พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 505ควร นอกจากท่ที รงอนญุ าตไวโ ดยเฉพาะ. คาํ วา อิตถฺ ี ในคําวา อิตฺถีกุมารกิ ปฏิคคฺ หณา นีไ้ ดแ กหญงิ ที่กําลังอยกู บั ผชู าย นอกนั้นจัดเปน หญิงสาว. การรับกด็ ี การจบั ตองก็ดี ซึ่งหญงิ เหลา นน้ั . ในบทวา ทาสที าสปฏิคคฺ หณา น้ี ความวา ไมค วรรับชนเหลา นน้ั ไวโ ดยเปนทาสหญงิ ทาสชายเลย แตเมือ่ เขาพดู วาฉันถวายเปน กัปปยะการก ฉนั ถวายเปน คนวัด ก็ควรไดรบั . ในแพะและแกะเปน ตน มนี าและสวนเปน ท่สี ุดพงึ ใครค รวญนยั ที่สมควรและไมส มควร ตามวนิ ยั . ในบรรดานาและสวนนนั้ ชื่อวา นา คอืทปี่ ลกู -ปุพพัณณชาติ ซ่ึงวา ทสี่ วน คอื ทป่ี ลกู อปรณั ณชาต.ิ อีกอยา งหนงึ่ทที่ ี่ปพุ พัณณชาติและอปรัณณชาติท้ังสองงอกขนึ้ นน้ั ชอื่ วา นา ภมู ิภาคที่มิไดท าํ ไวเพือ่ ประโยชนน ้นั ช่อื วา สวน. กใ็ นทีน่ ท้ี านรวมแมบงึ และหนองเปน ตน โดยมนี าและสวนเปน สาํ คญั . งานทูตคอื การถือหนงั สอื หรือขา วสารของคฤหสั ถไปในทนี่ ้ัน ๆ เรยี กวา ทูเตยะ (การสง ขา วสาร). การไปดวยกิจเลก็ ๆ นอยๆ ของผูท ี่เขาสง ไปจากเรือน (น)้ี สูเ รอื นโนน ทา นเรยี กวา การรบัใช. การกระทาํ ทั้งสองอยางน้ัน ชื่อวาอนุโยค เพราะฉะนัน้ พึงเห็นความในขอน้วี า การประกอบเนืองๆ ซงึ่ การสงขา วสารและการรับใช. บทวา กยวกิ กฺ ยาไดแกการซอื้ และการขาย. บทวา กูฏ ในคาํ วา ตลุ ากูฏเปน ตน ไดแกก ารโกง. กอนอ่นื ในการโกงเหลาน้ัน การโกงดวยตาช่ังมี ๔ อยา ง คือ โกงโดยรูปโกงโดยอวัยวะ โกงโดยรับ โกงโดยปกปด . ในการโกงอยา งน้ัน ช่ือวาการโกงโดยรูป คือ การทําตาชงั่ ๒ อนั ใหรปู เทา กัน เมื่อรบั ก็รับดวยตาชั่งอันใหญ เม่อื ใหก็ใหดว ยตาชัง่ อันเลก็ . ช่ือวา โกงโดยอวยั วะคอื เม่ือรบั ก็เอามือกดตาชัง่ ขา งหลงั ไว เมื่อใหก ็เอามอื กดตาชั่งขางหนาไว. ชอ่ื วาการโกงโดยรับคือเม่อื รับกจ็ ับเชือกที่ตน เมอ่ื ใหกจ็ ับเชือกทปี่ ลาย. ชอ่ื วา โกงโดยปกปด คือ
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 506กระทําตาชง่ั กลวงแลวใสผ งเหลก็ ไวขางใน เมอ่ื รบั กก็ ระทาํ ตาชง่ั น้ันไวทางหลังเมอื่ ใหกก็ ระทาํ ตาชั่งไวท างปลาย. ถาดทองคําเรียกวาสําริด. การโกงดวยถาดทองนั้น ชอ่ื วา โกงดวยสาํ ริด. อยางไร ? คือกระทาํ ถาดทองขึ้นใบหน่งึ แลว กระทาํ ถาดโลหะอยางอนื่๒-๓ ใบใหม ีสเี หมอื นทอง แตนน้ั ไปยงั ชนบทเขา ไปหาตระกลู ทม่ี ัง่ คงั่ ตระกลูใดตระกูลหนง่ึ กลาววา ทานจงซอ้ื ภาชนะทอง เมือ่ เขาถามราคาเปน ผูประ-สงคจ ะใหส ิ่งทม่ี รี าคามากกวา . แตนนั้ เม่อื คนเหลา นน้ั พดู วา บอกที่เถดิ ขาพเจาจะทราบวาถาดเหลา นี้เปนทองคาํ ไดอยา งไร จึงบอกวา ทา นจงทดลองเอาเถอะแลว เอาถาดทองครูดทีห่ ิน แลวนอบถาดท้ังหมดใหไป. ชื่อการโกงดวยเครือ่ งตวงวดั มี ๓ อยางคือ หทยเภท ๑ สิขาเภท ๑รชั ชเุ ภท ๑. ใน ๓ อยางน้นั หทยเภทะ ใชใ นเวลาตวงเนยใสและนํา้ มันเปนตน .คือเม่ือจะซ้อื เนยใสและนํา้ มันเปน ตนเหลาน้ัน กบ็ อกวา จงคอยๆรนิ แลวใหเ นยใสและนํา้ มันเปนอนั มากไหลลงในภายในภาชนะ ดวยเคร่ืองตวงทม่ี ีชอ งอยูภายในรับเอา เม่อื จะขายกป็ ดชอ งเสียทําใหเต็มเรว็ ๆ ใหไป. สขิ าเภทะ ใชในเวลาตวงงาและขา วสารเปน ตน. คือเม่อื จะตวงซื้องาและขาวสารเปน ตน เหลา นัน้ ก็คอ ย ๆ ยอดพนู สงู ข้นึ ถือเอา เมอื่ ตวงขายกร็ บี ตวงใหเต็มแลว ปาดขายไป.รัชชุเภทะ ใชในเวลาวดั ท่นี าและที่สวน. คอื เมอื่ ไมไดสินจางก็วัดทาํ นาทแ่ี มใ นใหญก ็ใหใหญไ ด. พึงทราบวินจิ ฉัยในคาํ วา อกั โกฏนะ เปน ตน . บทวา อุกโฺ กฏนหมายเอาการโกง เพอื่ ทาํ คนผูเปนเจาของไมใหเปนเจาของ. บทวา วฺจน ไดแกการลวงคนอน่ื ดว ยอบุ ายนน้ั ๆ. ในขอนนั้ มีเร่ืองหน่งึ เปนอทุ าหรณดงั ตอไปนี้เลากันมาวา นายพรานคนหนงึ่ จบั เน้ือและลูกเนอื้ มา. นักเลงคนหนงึ่ พูดกะเขาวา ผเู จรญิ เนือ้ ราคาเทาไรลูกเนื้อราคาเทาไร. เมื่อเขาตอบวาเนื้อ ๒ กหาปณะ
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 507ลกู เนอื้ ๑ กหาปณะ จงึ ให ๑ กหาปณะแลว พาเอาลูกเน้ือไปไดห นอ ยหนึ่งก็กลับมาพูดวาฉันไมตอ งการลกู เนื้อละ ทา นจงใหเ นอ้ื แกฉ นั . ถาเชน นนั้ ทานจงให ๒กหาปณะ. นักเลงนั้นพดู วา ผเู จรญิ เราให ๑ กหาปณะ แกทา นกอ นแลวมิใชหรือ. รบั วา เออใหแ ลว. จงึ กลาววา ทา นจงเอาลกู เน้ือแมน ้ไี ป เมอื่ เปนเชนนนั้ กหาปณะน้ัน และลกู เนอื้ ซึ่งไดราคา ๑ กหาปณะ น้ี จงึ รวมเปน๒ กหาปณะ นี้ จึงรวมเปน ๒ กหาปณะ. นายพรานกําหนดวา เขากลาวมีเหตุผลจึงรับเอาลกู เนอื้ ไวแลว ใหเ นอ้ื ไป. บทวา นิกติ ไดแกการลวงดว ยวิธีปลอม โดยทําส่ิงซึ่งไมใชส ังวาลวา เปนสังวาล ท่ีไมใ ชแ กว มณี วาเปน แกวมณี ทมี่ ใี ชทองวาเปน ทอง ดว ยการตลบตะแลงหรือดว ยกลลวง. บทวา สา-วโิ ยโค แปลวา การตลบตะแลงดว ยการโกง. คําวา สาวิโยโคน้ี เปน ชื่อของการคดโกงเปน ตน เหลานั้นน่ันเอง. เพราะฉะนั้น พงึ เหน็ ความในคาํ วา สาวิโยโคน้ีวา ตลบตะแลงดว ยการกดโกง ตลบตะแลงดว ยหลอกลวง. อาจารยบางพวกกลาววา การแสดงสิ่งหนึ่งแลว เปลีย่ นเปนอีกสง่ิ หนงึ่ ชือ่ วาสาวิโยคะ ตลบตะแลง. แตค ํานน้ั ทา นกร็ วมเขา ดวยการหลอกลวงเหมือนกนั . พึงทราบวนิ ิจฉยัในขอ วา เฉทนะเปน ตน คาํ วา เฉทน ไดแกก ารัดมอื เปนตน. บทวาวโธ ไดแ กก ารทาํ ใหตาย. บทวา พนฺโธ ไดแกการจองจําดวยเครื่องจําคอืเชอื กเปน ตน. บทวา วิปราโมโส ไดแกการบงั มี ๒ อยาง คือ บังดว ยหิมะและบังดวยพมุ ไม. ใน ๒ อยา งนนั้ บังดวยหมิ ะ ในเวลาหมิ ะตกแลวพดู เท็จกะชนผูเดินไป นี้ เรยี กวา หมิ วิปราโมส หิมะบงั ดว ยหิมะ. บงั ดวยพมุ ไมเปนตนแลวพูดเท็จนี้ เรียกวา คุมพวิปราโมสะ บงั ดว ยพุมไม. การปลน สะดมชาวบา นและชาวนคิ มเปนตนทานเรยี กวา อาโลโป การปลน . บทวา สหสากาโรไดแ ก การกระทาํ อยา งฉบั พลนั คอื เขา ไปสเู รือนแลว จีอ้ กของตนทัง้ หลายแลวฉวยสิ่งของตามปรารถนาไป เปน ผเู วนขาดจากอาการตัด ฆา จองจาํ บัง ปลนจ้ีน้นั ดว ยประการฉะน้.ี
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 508 บทวา โส สนฺตุฏโ โหติ ความวา ภิกษุนน้ั ประกอบดวยอติ ริตรปจ จยั สนั โดษ ๑๒ อยาง ในปจจยั ๔ ดังกลาวแลวในหนหลงั . อนึง่บรขิ าร ๘ คือ ไตรจวี ร บาตร มีดนอยสําหรับเหลาไมส ีฟน เขม็ เลมหน่งึประคตเอว ผากรองน้าํ ยอมควรแกภิกษุผูประกอบดวยสนั โดษในปจจยั ตามมีตามไค ๑๒ อยางน้.ี สมจริงดงั พระโปราณาจารย กลาวไว บรขิ ารเหลานี้ คอื ไตรจีวร บาตร มีดนอย เขม็ และประคตเอว เปน ๘ ทัง้ ผากรองนํา้ ยอมควรแกภ ิกษุผปู ระกอบ ความเพียรดวย. บริขารเหลา นัน้ แมท้ังหมด เปนเครือ่ งบริหารกายก็ได บริหารทองกไ็ ด อยา งไร กอนอ่นื ไตรจีวร ยอมบริหาร คือเล้ยี งกาย ในคราวท่ีนุง และหมุ เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา เปนเครื่องบริหารกาย ยอ มบริหารคือเล้ยี งทอง ในคราวทกี่ รองน้ําดว ยมุมจวี รแลว ดม่ื และในคราวทห่ี อ ผลไมใ หญนอย ท่คี วรเค้ยี วกนิ ไดดวยชายจวี รนนั้ เพราะฉะนัน้ จึงช่อื วา เปนเคร่อื งบริหารทอง แมบ าตรกเ็ ปน เคร่ืองบริหารกาย โนคราวทต่ี กั น้ําดว ยบาตรนน้ัอาบและในคราวตกั นา้ํ ดวยบาตรน้ันประพรมกฏุ ี. เปน เคร่ืองบริหารทอ ง ในคราวรบั อาหารดว ยบาตรนัน้ ฉนั . แมมีดนอย ยอมเปนเคร่อื งบรหิ ารกาย ในคราวที่เหลาไมสีฟน และในคราวที่ทําขาเตียงตั่งและคนั กลด เปนเครอื่ งบริหารทอง ในคราวทต่ี ดั ออยและปอกมะพราวเปน ตน . แมเขม็ ยอ มเปน เครื่องบริหารกาย ในคราวทเี่ ยบ็ จวี ร เปนเครื่องบริหารทอง ในคราวจมิ้ ขนมหรอื ผลไมฉนั . แมประคดเอว ยอมเปน เครื่องบรหิ ารกายในคราวคาดเทยี่ วไป เปนเคร่อื งบรหิ ารทอง ในคราวมดั ออ ยเปน ตนถอื เอาไป. แมผากรองนํา้ ยอ มเปน เครอ่ื งบริหารกาย ในคราวท่ีกรองน้ําดวยผานั้นอาบ และในคราวทีก่ รองนํ้าดว ยผา
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 509น้ันแลวทาํ การประพรมเสนาสนะ เปน เครื่องบรหิ ารทอง ในคราวท่ีกรองนํา้ ด่มืและในคราวท่หี องาขาวสารและขา วเมา เปน ตน ดว ยผา นนั้ แลว ฉัน. น้ีเปนประมาณบริขารของภกิ ษผุ มู ีบริขาร ๘ เทา นัน้ . สว นภกิ ษผุ ูม บี ริขาร ๙ เขา ไปสูท ี่นอนจะมเี ครอ่ื งลาดสําหรบั เสนาสนะนนั้ หรือลกู กญุ แจก็ควร. ภิกษุผมู บี รขิ าร ๑๐ จะมผี านิสีทนะ หรือ แผนหนงั ก็ควร. ภกิ ษุผูมีบริขาร ๑๑ จะมไี มเทา คนแก หรือทะนานนา้ํ มันกค็ วร.ภิกษผุ มู ีบรขิ าร ๑๒ จะมรี มหรอื รองเทา ก็ควร. กใ็ นภกิ ษุเหลา นน้ั ภกิ ษุผูมีบรขิ าร ๘ เทา นัน้ ช่ือวาผสู ันโดษ นอกนั้นใครๆ กไ็ มควรกลา ววา ไมส นั โดษเปน ผูมักมาก เปนผูอยากใหญ ภกิ ษเุ หลา นั้นท้งั หมด เปนผูม กั นอ ย สันโดษเล้ยี งงา ย และมคี วามพระพฤตเิ บาทเี ดยี ว. ก็พระผูม พี ระภาคเจา มไิ ดทรงแสดงพระสตู รนีด้ ว ยสามารถแหงภิกษุเหลา นนั้ ทรงแสดงดวยอํานาจแหงภิกษุผมู ีบริขาร ๘. จริงอย.ู ภิกษผุ มู ีบริขาร ๘ นนั้ หอ มดี นอยและเขม็ ไวใ นผา กรองน้ําเกบ็ ไวใ นบาตรแลว คลองบาตรไวท ีจ่ ะงอยบานงุ หมไตรจวี ร คาดประคดเอวแลว หลีกไป สบายตามประสงค. เธอไมตองกลบั มาเอาอะไรอีก. ดงั น้ันพระผูมพี ระภาคเจา เมอ่ื ทรงแสดงความประพฤตเิ บาพรอมของภกิ ษุน้ี จงึ ตรัสวา สนตฺ ุฏโ โหติ กายบรหิ าริเยน จีวเรน ดงั น้เี ปน ตน.บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา กายบริหาริเยน คือเพียงเปนเครอ่ื งบริหารกาย.บทวา กุจฺฉปิ ริหาริเยน ไดแ ก เพยี งเปน เครอื่ งบรหิ ารทอง. บทวา สมาทา-เยว ปกกฺ มติ ความวา เธอถือเอาเพยี งเคร่อื งบรขิ าร ๘ ท้งั หมดน้นั ตดิ ตัวไปยอ มไมของหรือติดอยูวา วหิ าร บริเวณ อปุ ฏ ฐากของเรา ภกิ ษุผูมบี รขิ าร ๘น้ัน ใชสรอ ยเสนาสนะ ท่ีตนปรารถนาแลว ๆ คอื ไพรสณฑ โคนไม ชายปาอยูค นเดยี ว นง่ั คนเดยี วไมม ีเพอ่ื นในอิริยาบถทั้งปวง ดจุ ลูกศรท่ีพน จากแหลง
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 510และดุจชางตกมัน ปลกี ไปจากโขลงฉะน้ัน ยอ มถงึ ความเปน ผูเหมือนนอแรดท่ีทา นพรรณนาไวอยางนว้ี า จาตทุ ฺทโิ ส อปปฺ ฏิโฆ จ โหติ สนฺตสุ ฺสมาโน อตรีตเรน ปรสิ สฺ ยาน สหิตา อจฺฉมภฺ ี เอโก จเร ขคฺควิสาณกปโฺ ป ภิกษุผูสนั โดษ ยอ มเปนผอู ยูเปน สขุ ในทิศทั้ง ๔ และเปน ผูไ มหงดุ หงิดสนั โดษ ดวยปจจัยตามมีตามได ครอบงาํ อนั ตราย ทั้งหลาย ไมห วาดเสียว เท่ียวไปคนเดยี ว ดงั นอแรด. บัดน้ี เม่อื ทรงสาธกความขอ น้ัน ดว ยอุปมาจึงตรสั วา เสยยฺ ถาป เปนตน . บรรดาบทเหลานน้ั บทวา ปกฺขี สกโุ ณ ไดแก นกมีปก . บทวาเฑติ แปลวา บิน. ก็ความสังเขปในขอ นี้มีดังน้.ี ธรรมดาวานกทง้ั หลายรวู าตนไมใ นถ่ินโนน มีผลสุก จึงพากนั มาจากทิศตาง ๆ เจาะจิก กนิ ผลของตน ไมนั้น ดวยเลบ็ ปก และจงอยปากเปน ตน . นกเหลาน้นั ไมม คี วามคิดวา นส้ี าํ หรับวนั น้ีๆสาํ หรบั วันพรุงน้ี แตเ มื่อผลไมห มด มันกไ็ มตอ งรักษาตน ไมไ ว ไมต องเอาปก เล็บ หรอื จงอยปากเกบ็ ไวท ่ตี น ไมนนั้ โดยทแ่ี ท ไมม ีความอาลัยในตน นนั้ ตวั ใด ปรารถนาทศิ ภาคใด ตวั น้นั มีภาระคือปก ของตนเทา นัน้ บนิ ไปทางทิศนนั้ ฉันใด ภิกษนุ ี้ก็ฉนั น้ันเหมอื นกัน ไมม คี วามคิดปราศจากความอาลยัหลีกไป มงุ มั่นแตจะหลีกไปอยา งเดยี ว. บทวา อริเยน แปลวา ไมมโี ทษ.บทวา อชฌฺ ตฺต แปลวา ในอัตภาพของตน. บทวา อนวชชฺ สขุ แปลวา สขุ ที่ไมมโี ทษ. บทวา โส จกขฺ นุ า รูป ทิสวฺ า ความวา ภกิ ษุนั้นคือผปู ระกอบดว ยสีลขันธอ ันเปนอรยิ ะน้ี เห็นรปู ดว ยวญิ ญาณจกั ษ.ุ คาํ ที่
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 511จะพงึ กลาวในบทท่ีเหลือทั้งหมดกลาวไวแ ลวในวสิ ุทธิมรรค. บทวา อพฺยา-เสกสุข ไดแ ก สขุ ทไี่ มระคนดว ยกิเลส. ทา นกลาววา สุขทไี่ มคาบเก่ียวดว ยกเิ ลสก็ม.ี จรงิ อยู สุขในอินทรียสงั วรชื่อวา ไมคาบเก่ยี ว เพราะเปน ไปดวยอํานาจเพียงรปู ท่เี ห็นแลวในอารมณมีรปู ทีเ่ หน็ แลว เปน ตน. บทวา โส อภกิ -ฺกนเฺ ต ปฏิกฺกนเฺ ต ความวา ภกิ ษนุ ้นั คอื ผปู ระกอบ ดว ยการสํารวมอนิ ทรยี มใี จเปนที่ ๖ เปน ผมู ีปกติกระทําดว ยความรูตัวดวยสตแิ ละสัมปชญั ญะ ในฐานะทั้ง ๗ น้มี ีการกาวไปและการถอยกลบั เปนตน . คําทจี่ ะพงึ กลา วในขอ น้นัไดก ลาวไวแ ลวในสติปฏฐานสตู รน้นั แล. ดว ยคาํ วา โส อมิ ินา จ เปน ตน ทานแสดงไวอ ยา งไร. ทา นแสดงถงึ ปจจัยสมบัติแหง การอยูปา . จริงอยู การอยูปาของผูท ีไ่ มม ปี จ จยั เหลา นี้ยอ มไมส าํ เร็จ จะถกู คอ นวาเหมอื นกบั สตั วดิรัจฉาน หรอื พรานไพร. เหลา เทวดาผูสิงอยูใ นปา ชวยกนั ประกาศกอ งดวยเสยี งทน่ี า กลวั วา ภิกษุช่ัวเห็นปานนี้ อยูปา ไปทาํ ไม เอามอื ตศี ีรษะ. กระทาํ อาการใหห นไี ป. ความไมม ีเกยี รติยศก็แพรไปวา ภิกษโุ นน เขา ไปปา กระทํากรรมช่ัวเชนนี้. แตการอยูปาของภกิ ษุผูท่ีมปี จจยั ๔ เหลาน้ัน ยอ มสาํ เรจ็ . แทจ รงิ เธอเมือ่ พิจารณาถงึ ศลี ของตนอยูไมเ ห็นความตา งพรอ ยไร ๆ ก็ทาํ ใหเกดิ ปต ิพิจารณาเหน็ สงิ่ นน้ั โดยความสนิ้ ไปยอ มกา วลงสูอรยิ ภูมิ. เหลาเทวดาผูส ิงอยูใ นปาดใี จ กส็ รรเสรญิ เกียรตยิ ศของภกิ ษุนน้ั ยอ มแผออกไป เหมือนหยาดนาํ้ มนั งาทใี่ สล งในนํา้ ฉะน้นั ดวยประการฉะน.ี้ บรรดาบทเหลา น้ัน บทวา วิวิตฺต แปลวา วาง อธบิ ายวาไมมเี สยี งคือไรเสยี ง. กท็ านหมายเอาคํานเี้ อง จงึ กลาวไวในวภิ งั คว า บทวา วิวติ ฺตความวา แมหากวา เสนาสนะมีในทใี่ กลไ ซร และเสนาสนะน้ัน ไมเกล่อื นดวยคฤหสั ถ แลบรรพชติ เพราะฉะนัน้ เสนาสนะน้ัน ช่ือวา ววิ ิตตะ. ช่อื วา
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 512เสนาสนะ เพราะเปนทน่ี อนและเปน ทน่ี ่งั คาํ นนั่ เปนชื่อของเตียงและต่ังเปนตน . ดวยเหตุน้ัน ทา นจึงกลา ววา บทวา เสนาสนะไดแ กเ สนาสนะคอืทนี่ อน ทนี่ ั่ง ต่ัง ฟูก หมอน วิหาร เพงิ ปราสาท เรอื นแถว ถ้าํปอ ม ศาลา ท่เี รน พุมไผ โคนไม มณฑป อันเปนท่ที ภ่ี กิ ษตุ องอาศยัทงั้ หมดน่ัน จัดเปน เสนาสนะ. อนึ่ง วิหาร เพงิ ปราสาท เรอื นแถว ถ้าํน้ีชื่อวา วิหารเสนาสนะ เสนาสนะ คอื ท่ีอย.ู เตยี ง ตง่ั ฟกู หมอน น้ีชอ่ื วามญั จปฐ เสนาสนะ แผงจาก ทอนหนงั เคร่ืองลาดทาํ ดวยหญา เครอ่ื งลาดทําดวยใบไม น้ีช่อื วา สันถตั เสนาสนะ เสนาสนะคือสนั ถดั อันเปนที่ ๆภิกษอุ าศัย น้ีชอ่ื วา โอกาสเสนาสนะ เสนาสนะคอื ที่วาง รวมทั้ง ๔ ดงั วามานี้ จดั เปน เสนาสนะ. เสนาสนะน้ันท้ังหมด ทา นรวมความไวดวยศัพทว าเสนาสนะเหมอื นกัน. ก็พระผมู พี ระภาคเจา เมอ่ื ทรงแสดงเสนาสนะอนั สมควรแกภิกษผุ ูจารกิ ไปในทิศทง้ั ๔ ซ่ึงเสมอื นนกนี้ จึงตรสั คาํ วา อรฺ รกุ ฺขมลู ดังน้ีเปนตน. บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา อรฺ ไดแ ก ท่ที ัง้ หมดนอกเสาเขื่อนออกไปนน่ั ช่ือวาปา . ขอนมี้ าโดยเร่อื งสองเหลา ภิกษุณี. เสนาสนะช่วั ๕๐๐ ลูกธนูเปนทีส่ ดุ ชื่อวา เสนาสนะปา ก็เสนาสนะปานี้ สมควรแกภ ิกษนุ ้.ี ลักษณะของเสนาสนะนัน่ กลาวไวแลวในธุดงคนเิ ทศ ในวสิ ทุ ธมิ รรค. บทวา รกุ ฺขมูลไดแก โคนตนไมอนั สงดั มรี ม เงาเย็นแหงใดแหง หน่งึ . บทวา ปพพฺ ต แปลวาภเู ขาสลิ า. จริงอยู เมอ่ื ภกิ ษใุ ชน าํ้ ท่แี อง น้ําทภี่ เู ขาศิลานน้ั นงั่ ณ รม เงาของตนไมอ ันเยน็ ตองลมเย็นทีโ่ ชยมาในทิศตาง ๆ ที่ปรากฏอยู จติ กม็ ีอารมณเปนอนั เดยี ว. นา้ํ ทานเรยี กวา ก ในคําวา กนทฺ ร ทีอ่ ันนํา้ กัด ท่ีอันน้ําเซาะไดแกป ระเทศแหง ภูเขา ที่อาจารยบางพวกเรยี กวา นทตี ุมพะ บาง นทกี ฏุ ฏะบา ง. แทจรงิ ในประเทศแหง ภูเขาน้ัน มที รายเสมือนแผน เงิน นํ้าเสมอื นแทงแกว มณี ยอมไหลผานชัฏแหงปา เหมือนเพดานแกวมณบี นยอด ภิกษลุ งสูหว ย
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 513ละหานเหน็ ปานน้ัน ดื่มน้ํา ลูบตัวใหเ ย็น ยกทรายขึน้ ปูผาบังสกุ ลุ จวี รน่ังทาํสมณธรรม จิตตก็มีอารมณเ ดยี ว. บทวา คริ ิคุห ไดแ ก มชี อ งใหญเชนกบั อุมงคระหวางภเู ขา ๒ ลูก หรือ ภเู ขาลกู เดียวกนั . ลกั ษณะสสุ านกลาวไวแลวในวิสุทธิมรรค. บทวา วนปตฺถ ไดแก สถานทีใ่ กลเ คียงทีพ่ วกมนุษยไ มไ ถไมห วา น.ดวยเหตนุ ้นั น่นั แหละ ทานจึงกลาววา วนปตถฺ เปน ชอื่ ของเสนาสนะทหี่ างไกล.บทวา อพโฺ ภกกาส ไดแกท ่ไี มมุงบงั . แตภ ิกษปุ ระสงคก ก็ ั้นกลดอยใู นที่นน้ั ได.บทวา ปลาลปุ ช ไดแ ก ลอมฟาง จริงอยู เหลา ภิกษชุ ักฟางจากลอมฟางใหญ ทําที่อยเู สมือนเงือ้ มภูเขาและทเ่ี รนวางฟางไวขางพุม ไมเ ปนตน แลว นงั่ทําสมณธรรมภายใต ทา นหมายเอาลอมฟางนัน้ จึงกลาวคํานี.้ บทวา ปจฺฉา-ภฺตต คอื ภายหลังภตั . บทวา ปณฑฺ ปาตปฏิกฺกนโฺ ต แปลวา กลบั จากบณิ ฑบาต. บทวา ปลลฺ งฺก ไดแ ก นัง่ พบั ขาโดยรอบ. บทวา อาภชุ ิตฺวาแปลวา ตดิ กัน. บทวา อุชุ กาย ปณิธาย ไดแ ก ตง้ั กายขางบนใหต รงเอาปลายกบั ปลายกระดูกสนั หลงั ๑๘ ชน้ิ ใหจดกนั . จรงิ อยู ภกิ ษุนง่ั อยางน้ีหนงั เนื้อเอน็ ไมขัดกนั เมื่อเปน อยา งน้นั เวทนาท้ังหลายที่พงึ เกดิ ทกุ ขณะ เพราะความขดั กนั แหง หนึ่งเนอ้ื เอน็ เหลานั้นเปนปจ จัย ก็ไมเ กดิ แกภ ิกษนุ นั้ เมอ่ืเวทนาเหลานั้นไมเกิดขึ้น จติ ก็มอี ารมณเ ดียว. กมั มฏั ฐานก็ไมตกไป กเ็ ขา ถงึความเจรญิ งอกงาม. บทวา ปริมขุ สติ อปุ ฏ เปตฺวา ความวา ตงั้ สตมิ ุงตรงตอพระกมั มัฏฐานหรอื กระทาํ ไวใ กลหนา . ดวยเหตุน้ันแลทา นจงึ กลาวไวในวภิ งั คว า สตนิ ย้ี อ มตงั้ มั่น ตั้งมน่ั ดว ยดีทีป่ ลายจมูกหรือเงาหนา ดวยเหตุน้ันทานจงึ กลาววา ต้ังสติไวรอบหนา . อกี อยา งหน่ึง ศพั ทว า ปริ มอี รรถวาถอื เอาโดยรอบ ศพั ทวา มุข มีอรรถวา นําออก ศพั ทว า สติ มอี รรถวาปรากฏ ดวยเหตุน้ันทานจงึ กลา ววา ปริมขุ สตึ พึงเหน็ ความในคาํ นโี้ ดยนัยที่กลา วมาแลว ในปฏิสัมภิทามรรคดวยประการฉะน.้ี ในคาํ น้นั มคี วามสังเขป
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 514ดังนี้วา ปริคฺคหติ นิยยฺ าน สตึ กตวฺ า ทําสติเครื่องนําออกจากทกุ ขท ่ีกําหนดไวเปนอารมณ. อุปาทานขนั ธ ๕ ช่อื วาโลก ในคําวา อภิชฺฌ โลเก น้ี เพราะอรรถวา ชาํ รุดทรดุ โทรม เพราะฉะนัน้ ในคาํ นม้ี เี น้ือความดงั นว้ี า ละ ราคะ ในอปุ าทานขนั ธ ๕ ขมกามฉันทะ. บทวา วคิ ตาภชิ ฺเฌน ความวา ชื่อวาปราศจากอภิชฌา เพราะละดว ยวิกขัมภนปหานะ. ไมใ ชเ สมือน จักขุวญิ ญาณ.บทวา อภิชฺฌาย จิตต ปรโิ สเธติ ความวา ยอมเปลอ้ื งจติ จากอภชิ ฌา คอืกระทําโดยประการทอี่ ภชิ ฌานนั้ ปลอ ยและคร้นั ปลอยแลว กไ็ มจับจติ น้ันอีก. แมในคาํ วา พฺยาปาทปโทสมฺปหาย ดังนี้เปนตน กน็ ยั นีเ้ หมอื นกนั . ชอ่ื วาพยาปาทะ เพราะเปน เครื่องเบียดเบยี น คอื จิตละปกติเดิมเหมือนขนมกุมมาสบดูเปน ตน . ช่อื วา ปโทสะ เพราะประทษุ รา ยดวยถาวรใหถึงวกิ ารหรือประทุษรา ยผูอ น่ื ใหพินาศ. คําท้งั ๒ นเี้ ปน ชือ่ ของโกรธเหมือนกนั . ถ่ินะ เปน ความปว ยทางจติ มทิ ธะเปน ความปว ยทางเจตสิก. ท้ังถีนะทง้ั มทิ ธะ ช่ือวา ถิน่ มทิ ธะ.บทวา อาโลกสฺ ี ไดแก ผูประกอบดวยปญญาอันบรสิ ุทธ์ิ ปราศจากนวี รณ เพราะสามารถจาํ แสงสวา งท่ตี นเหน็ ทง้ั กลางคืนและกลางวันได. บทวาสโต สมฺปชาโน ไดแ ก ประกอบดว ยสตแิ ละญาณ (ปญญา). ท้งั ๒ น้ีทานกลาวไว เพราะเปน ธรรมอปุ การะแตอ าโลกสัญญา. ทั้งอทุ ธัจจะ ทง้ั กุก-กจุ จะ ชอื่ วา อุทธัจจกุกกุจจะ. บทวา ตณิ ฺณวจิ ิกจิ ฺโฉ แปลวา ขา มพน ความสงสยั ไดแ ลว . ชือ่ วา อกถ กถี ผไู มม ีความสงสัยเปนเหตกุ ลาววาอยางไร เพราะไมเปน ไปอยางน้ีวา น้เี ปน อยางไร. บทวา กสุ เลสุ ธมฺเมสุไดแกธรรมไมมโี ทษ. อธบิ ายวา ไมส งสัยไมเ คลอื บแคลงอยา งน้ีวา ธรรมเหลา นเี้ ปน กุศล หรอื ธรรมเหลานั้นจดั เปน กุศลไดอยางไร. ในขอนมี้ คี วามสังเขปดังนี.้ แตเ มอ่ื วาโดยแยกตามอรรถและลักษณะแหงคําเปน ตน ในนีวรณ
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 515เหลา น้ี คาํ ทีค่ วรกลาวทั้งหมด กก็ ลา วไวแ ลวในวสิ ุทธิมรรค. บทวา ปฺ ายทุพฺพลกี รเณ ความวา นวี รณ ๕ เหลานี.้ เม่อื เกิด ยอ มไมใหเ กิดปญ ญาทั้งทเี่ ปน โลกยิ ะ และโลกุทตระ ทย่ี งั ไมเ กดิ แมท เี่ กิดแลวก็ตดั สมาบัติ ๘อภญิ ญา ๕ ใหขาดตกไป เพราะฉะนั้น ทานจงึ กลาววา ปฺ าย ทุพพลี-กรณา กระทาํ ปญ ญาใหออนกาํ ลงั . บทวา ตถาคตปท อิติป ความวา ทางคือ ญาณ รอ งรอยคือญาณ ของพระตถาคตแมน ี้ ทา นเรียกวา ฐาน อันญาณเหยียบแลว . บทวา ตถาคตนิเสวิต ไดแกฐ าน อนั สีข่ า งคือญาณของพระ-ตถาคตสีแลว. บทวา ตถาคตารชฺ ิต ไดแ ก ฐานอันพระเขีย้ วแกว คอื ญาณของพระตถาคตกระทบแลว . บทวา ยถาภตู ปชานาติ ไดแกย อมรตู ามสภาวะความเปนจริง. บทวา น เตฺวว ตาว อริยสาวโก นฏิ คโต โหติ ความวาฌานและอภญิ ญาเหลานย้ี อมท่ัวไปแมกบั คนภายนอกพระศาสนา เพราะฉะนั้นพระอรยิ สาวกจงึ ไมส ําเรจ็ กอ น ทชี่ อื่ วา ยงั ไมส าํ เร็จกอนก็เพราะยังไมส ําเรจ็ แมในขณะแหง มรรคจิต. บทวา อปจ โข นิฏ คจฉฺ ติ ความวา ก็อีกอยา งหนึง่ แล ในขณะแหง มรรคจติ ยอมถงึ ความสําเร็จในรตั นะ ๓ โดยอาการ น้วี าพระผูมีพระภาคเจา เปนพระสมั มาสมั พุทธะหนอ เหมือนคนตอชา ง เหน็ ชางใหญฉะน้นั . บทวา นฏิ คโต โหติ ความวา เมื่อถึงความสําเร็จในขณะแหง มรรคจิตอยา งนี้ ยอมถงึ ความสําเรจ็ ในรัตนะ ๓ โดยอาการทั้งปวง เพราะมีกจิ ทั้งหมดเสร็จแลว ในขณะแหง อรหัตผลจิต. คาํ ท่เี หลอื ในทีท่ ุกแหง มคี วามงา ยท้งั น้ัน. จบอรรถกถาจลุ ลหตั ถิปโทปมสตู รที่ ๗
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 516 ๘. มหาหตั ถิปโทปมสูตร [๓๔๐] ขา พเจา ไดฟง มาแลว อยางน้ี :- สมยั หน่ึง พระผมู ีพระภาคเจาประทับอยู ณ พระวหิ ารเชตวัน อารามของทา นอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี กรงุ สาวตั ถ.ี สมัยนัน้ ทา นพระสารีบตุ รเรยี กภิกษุท้ังหลายมาวา ดูกอ นผูม อี ายุท้ังหลาย ภิกษุเหลาน้ันรบั คาํ ของทา นพระ-สารีบุตรแลว . พระสารีบุตรไดก ลา ววา ดกู อนทา นผมู อี ายุทัง้ หลาย รอยเทา เหลาใดเหลาหนึ่งแหงสตั วทง้ั หลายผเู ทียวไปบนแผน ดนิ รอยเทา เหลา น้นั ทงั้ หมดยอมประชุมลงในรอยเทาชาง รอยเทาชางชาวโลกยอ มกลาววา เปนยอดของรอยเทา เหลาน้ัน เพราะรอยเทา ชางเปนรอยใหญ แมฉันใด ดูกอนทา นผมู ีอายุท้งั หลาย กศุ ลธรรมเหลา ใดเหลาหน่ึง กศุ ลธรรมเหลา นั้นทัง้ หมด ยอมสงเคราะหเขาในอรยิ สัจสี่ ฉนั น้ันเหมือนกันแล. อริยสจั สเ่ี หลา ไหน. คอืทกุ ขอริยสจั ทุกขสมทุ ัยอรยิ สัจ ทกุ ขนิโรธอริยสัจ ทกุ ขนโิ รธคามินปี ฏิปทาอรยิ สัจ. [๓๔๑] ดกู อ นทานผมู อี ายุทั้งหลาย กท็ ุกขอรยิ สจั เปนไฉน. แมค วามเกิดเปนทุกข แมความแกเปนทุกข แมความตายเปน ทกุ ข แมความโศกความรําพัน ความทกุ ขกาย ความทกุ ขใ จ ความคบั แคนใจก็เปนทุกข แมความที่ไมไ ดสิง่ ทตี่ นอยากไดก็เปนทกุ ข โดยยอ อปุ าทานขนั ธ ๕ เปนทุกข. ก็อุปาทานขนั ธหาเปนไฉน. คือ อุปาทานขนั ธค ือรูป อุปาทานขันธค ือเวทนาอุปาทานขนั ธค ือสญั ญา อุปาทานขันธค ือสังขาร อปุ าทานขนั ธคอื วญิ ญาณ.ก็อุปาทานขนั ธค ือรปู เปนไฉน. คือ มหาภตู รูป ๔ และรปู ที่อาศัยมหาภตู รูป ๔.
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 517ดูกอนทา นผูมีอายุทั้งหลาย กม็ หาภูตรูป ๔ เปน ไฉน คือปฐวธี าตุ อาโปธาตุเตโชธาตุ วาโยธาตุ. วาดว ยปฐวธี าตุ [๓๔๒] ดูกอ นทานผมู ีอายุทั้งหลาย กป็ ฐวธี าตุเปนไฉน. คือ ปฐวีธาตุทเี่ ปน ไปภายในกม็ ี ปฐวีธาตทุ เ่ี ปนไปภายนอกก็ม.ี กป็ ฐวธี าตุท่เี ปนไปภายในเปนไฉน. คอื อปุ าทินนกรปู อนั เปน ภายใน เฉพาะตน เปน ของแขน แข็งเปน ของหยาบ คอื ผม ขน เลบ็ ฟน หนัง เน้อื เอน็ กระดกู เยือ่ ในกระดูก มา ม หวั ใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไสใหญ ไสน อย อาหารใหมอาหารเกา ก็หรือส่ิงใดสิ่งหน่งึ ซ่งึ เปนอปุ าทินนกรูป อนั เปน ภายในเปนของเฉพาะตน เปนของแขน แข็ง เปน ของหยาบอยา งอื่น น้ีเรยี กวา ปฐวีธาตุเปนไปภายใน. ก็ปฐวธี าตอุ ันใดแล เปน ไปภายใน และปฐวีธาตุอันใด เปนไปภายนอก นนั่ เปนปฐวีธาตุแล. บณั ฑิตพงึ เหน็ ปรวธี าตุนั้นนน่ั ดวยปญ ญาอันชอบตามความเปน จริงอยางน้วี า นั่นไมใชข องเรา เราไมเปน นัน่ น่ันไมเปน ตนของเรา. บัณฑติ ครนั้ เหน็ ปฐวธี าตนุ นั่ ดว ยปญญาอนั ชอบตามความเปน จริงอยา งน้ีแลว ยอมเบื่อหนายในปฐวธี าตุ ยอ มยงั จติ ใหค ลายกาํ หนดั ในปฐวธี าต.ุ สมัยทีป่ ฐวีธาตุท่ีเปนไปภายนอกกําเริบ ยอมจะมไี ดแ ล ในสมยั นั้นปฐวีธาตอุ ันเปนภายนอกจะเปน ของอนั ตรธานไป. กช็ อ่ื วา ความทีแ่ หง ปฐวีธาตุอันเปนไปภายนอกนั้น ซงึ่ ใหญถงึ เพยี งนัน้ เปน ของไมเ ที่ยงจักปรากฏไดความเปน ของสิ้นไปเปน ธรรมดาจักปรากฏได ความเปนของเสอ่ื มไปเปนธรรมดาจกั ปรากฏได ความเปน ของแปรปรวนไปเปน ธรรมดาจกั ปรากฏได.กไ็ ฉนความท่ีแหง กายอันตัณหาเขาไปถือเอาแลว วา เรา วาของเรา วาเรามีอยูอนั ตงั้ อยูตลอดกาลพอประมาณนี้ เปนของไมเท่ียง เปน ของมคี วามสน้ิ ไปเปนธรรมดา เปนของมคี วามเส่ือมไปเปนธรรมดา เปน ของมีความแปรปรวนไปเปน ธรรมดา จักไมปรากฏเลา เมอ่ื เปน เชน น้ี ความยึดถอื ดว ยสามารถตณั หา
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 518มานะและทิฐใิ นปฐวธี าตุนน้ั จะไมมีแกผูนั้นเลย. หากวาชนเหลา อ่ืนจะดา จะตดั เพอ จะกระทบกระเทียบ จะเบยี ดเบียน ภกิ ษุนั้นไซร. ภิกษนุ นั้ ยอมรูชดัอยา งนี้วา ทุกขเวทนาอนั เกิดแตโ สตสัมผัสนีเ้ กิดข้ึนแลว แกเ รา กแ็ ตวา ทุกข-เวทนานัน้ แล อาศยั เหตุจงึ มไี ด ไมอาศัยเหตุจะมไี มได ทุกขเวทนานี้ อาศยัอะไรจงึ มไี ด ทุกขเวทนาอาศัยผสั สะจึงมไี ด. ภกิ ษุแมน้ันแล ยอ มเหน็ วาผัสสะ เปนของไมเที่ยง ยอมเหน็ วาเวทนานน้ั เปนของไมเ ท่ยี ง ยอมเห็นวาสัญญาน้นั เปนของไมเ ทย่ี ง ยอมเห็นวา สังขารท้งั หลายนน้ั เปน ของไมเ ที่ยงยอมเห็นวาวญิ ญาณน้นั เปนของไมเ ที่ยง จิตอนั มธี าตเุ ปนอารมณน ั่นเทียวของภิกษนุ ้นั ยอ มแลน ไป ยอ มผองใส ยอ มตั้งอยดู วยดี ยอมหลุดพน . หากวาชนเหลาอน่ื จะพยายามทํารายภิกษุนน้ั ดวยอาการทไ่ี มนาปรารถนา ไมนา ใครไมน า ชอบใจ คอื ดว ยการประหารดวยฝา มอื บาง ดวยการประหารดวยกอ นดนิบา ง ดวยการประหารดว ยทอ นไมบาง ดวยการประหารดวยศาสตราบาง ภิกษุนนั้ ยอมรชู ัดอยา งนี้วา กายนเี้ ปน สภาพเปนทีเ่ ปนไปดวยการประหารดวยฝามือบาง เปน ทีเ่ ปนไปดวยการประหารดวยกอ นดินบาง เปน ที่เปนไปดวยการประหารดว ยทอนไมบ า ง เปน ทเี่ ปน ไปดวยการประหารดว ยศาสตราบา ง. อนึง่พระผมู ีพระภาคเจาไดตรัสไวใ นพระโอวาทอนั เปรยี บดวยเลอ่ื ยดงั นวี้ า ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย แมว าพวกโจรผูมีความประพฤติตํา่ ชา พงึ ตัดอวัยวะใหญนอยดว ยเลือ่ ยอันมีดามสองขางไซร ภกิ ษุผทู ย่ี งั ใจใหป ระทษุ รา ย ในพวกโจรแมนั้นยอมไมเ ปน ผชู อ่ื วา ทําตามคาํ ส่งั สอนของเราดว ยเหตุนั้น ดังน.ี้ อนึ่ง ความเพียรอนั เราปรารภแลว จักเปนคุณชาติ ไมย อ หยอน สติอนั เราเขาไปตัง้ ไวแ ลวจักเปนคณุ ชาติไมห ลงลมื กายอันเราใหส งบแลว จักเปน สภาพไมกระวนกระวาย จติ อันเราใหต ้ังมั่นแลว จกั เปนธรรมชาติมีอารมณเ ปน อยา งเดยี วคราวน้ี การประหารดวยฝามือทงั้ หลาย จะเปนไปในกายน้ีกด็ ี การประหาร
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 519ดว ยกอนดนิ ท้งั หลาย จะเปน ไปในกายน้กี ็ดี การประหารดวยทอ นไมท ง้ั หลายจะเปนไปในกายนี้ก็ดี การประหารดว ยศาสตราทัง้ หลาย จะเปน ไปในกายน้กี ็ดีตามทเี่ ถดิ คําสัง่ สอนของพระพุทธเจา ทง้ั หลายน้ี เราจะทาํ ใหจ งได ดงั น.ี้ดกู อ นทา นผมู อี ายทุ ง้ั หลาย หากวา เมอ่ื ภกิ ษนุ น้ั ระลึกถึงพระพุทธเจา อยอู ยางน้ีระลึกถงึ พระธรรมอยูอยา งน้ี ระลกึ ถึงพระสงฆอยอู ยางน้ี อุเบกขาอันอาศยักุศลธรรมยอมไมต้งั อยูพรอมได. ภิกษนุ ้ันยอมสลดใจ ยอมถึงความสลดใจเพราะเหตนุ ้นั วา ไมเปน ลาภของเราหนอ ลาภไมมีแกเราหนอ เราไดไมด ีแลว หนอ การไดด วยดีไมม แี กเราแลว หนอ ท่ีเราระลึกถงึ พระพุทธเจา อยอู ยา งนี้ระลกึ ถงึ พระธรรมอยอู ยางน้ี ระลกึ ถึงพระสงฆอ ยูอยางน้ี อเุ บกขาอันอาศยักุศลธรรมไมตัง้ อยูไดด วยดี ดงั น้.ี เปรยี บเสมอื นหญงิ สะใภเ ห็นพอ ผัวแลวยอมสลดใจ ยอมถึงความสลดใจ แมฉันใด ดกู อ นทานผมู ีอายุท้งั หลายหากวา เม่ือภกิ ษุน้นั ระลึกถงึ พระพุทธเจาอยอู ยา งนี้ ระลึกถึงพระธรรมอยูอยา งนี้ระลกึ ถึงพระสงฆอ ยูอยา งน้ี อุเบกขาอันอาศัยกุศลธรรมไมต ้ังอยูไดดวยด.ี ภกิ ษุนนั้ ยอมสลดใจ ยอมถงึ ความสลดใจ เพราะเหตนุ ัน้ ฉนั นัน้ เหมอื นกันแล.หากวาเมื่อภิกษุนัน้ ระลึกถึงพระธรรมอยอู ยา งนี้ ระลึกถงึ พระสงฆอยอู ยา งน้ี อเุ บกขาอนัอาศยักศุ ลธรรมยอ มตงั้ อยูไ ดด ว ยดไี ซร. ภกิ ษนุ ้นั ยอมเปน ผูปล้มื ใจเพราะเหตนุ นั้ .ดูกอ นทานผูมอี ายุทงั้ หลาย ดว ยเหตแุ มม ปี ระมาณเทาน้แี ล คาํ สอนของพระผูมีพระภาคเจา เปน อนั ภกิ ษุทาํ ใหมากแลว . วา ดวยอาโปธาตุ [๓๔๓] ดกู อ นทานผมู ีอายุทั้งหลาย ก็อาโปธาตุเปนไฉน. คอือาโปธาตุที่เปน ไปในภายในกม็ ี อาโปธาตทุ ่ีเปน ไปภายนอกกม็ .ี ก็อาโปธาตุที่เปนไปภายในเปน ไฉน. คอื อุปาทนิ นกรปู อนั เปน ภายใน เฉพาะตน เปนของเอิบอาบ ถึงความเอิบอาบ คือ ดี เสลด หนอง เลือด เหง่ือ มนั ขน
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 520นํ้าตา เปลวมนั น้ําลาย น้าํ มูก ไขขอ น้าํ มูตร กห็ รืออปุ าทนิ นกรูป ส่ิงใดสง่ิ หนึง่ อนั เปนภายใน เฉพาะตน เปนของเอบิ อาบ ถึงความเปนของเอิบอาบอยางอ่ืน นี้เรียกวา อาโปธาตุเปน ไปภายใน. ก็อาโปธาตุอันใดแลเปน ไปภายใน และอาโปธาตุอันใด เปน ไปภายนอก นน่ั เปนอาโปธาตุแล.บัณฑติ พึงเหน็ อาโปธาตุน้นั น่นั ดวยปญ ญาอนั ชอบตามความเปนจริงอยา งน้วี านัน่ ไมใ ชข องเรา เราไมเปน น่นั นน่ั ไมเปน ตนของเรา. คร้นั เหน็อาโปธาตุน่ัน ดว ยปญญาอันชอบตามความเปนจรงิ อยา งนแ้ี ลว ยอ มเบ่ือหนายในอาโปธาตุ ยอ มยงั จติ ใหค ลายกาํ หนดั ในอาโปธาตุ. สมัยทอ่ี าโปธาตุ ที่เปนไปภายนอกกําเรบิ ยอ มจะมไี ดแล อาโปธาตุอนั เปนภายนอกนัน้ ยอ มพดั เอาบานไปบาง พัดเอานคิ มไปบาง พดั เอาเมอื งไปบาง พัดเอาชนบทไปบางยอ มพัดเอาประเทศแหงชนบทไปบา ง. สมัยทีน่ าํ้ ในมหาสมุทรยอมลกึ ลงไปรอ ยโยชนบาง สองรอ ยโยชนบาง สามรอยโยชนบ า ง สีร่ อยโยชนบา ง หา รอยโยชนบาง หกรอยโยชนบา ง เจ็ดรอ ยโยชนบาง ยอ มมไี ดแ ล. สมัยทนี่ า้ํ ในมหาสมุทรขงั อยูเจ็ดช่วั ลาํ ตาลบา ง หกช่ัวลําตาลบา ง หาช่วั ลาํ ตาลบาง สีชว่ั -ลําตาลบา ง สามชวั่ ลาํ ตาลบา ง สองช่วั ลาํ ตาลบาง ช่วั ลาํ ตาลหนึง่ บา ง ยอมมีไดแ ล. สมัยทน่ี าํ้ ในมหาสมุทรขังอยู ไดเจ็ดชวั่ บุรุษบา ง หกชวั่ บุรุษบา งหา ชัว่ บุรุษบา ง สชี วั่ บรุ ุษบา ง สามชว่ั บุรุษบา ง สองชัว่ บรุ ษุ บาง ประมาณชั่วบุรุษหนง่ึ บาง ยอ มมีไดแ ล. กส็ มัยท่นี ํ้าในมหาสมุทรขังอยกู ึง่ ช่วั บุรุษบางประมาณเพยี งสะเอวบาง ประมาณเพยี งเขา บา ง ประมาณเพยี งขอ เทาบางยอ มมไี ดแ ล. สมยั ทีน่ าํ้ แมป ระมาณพอเปย กขอนิ้วมอื จะไมมใี นมหาสมุทร ก็ยอ มมไี ดแล. กช็ ่ือวา ความท่ีแหงอาโปธาตอุ นั เปน ไปภายนอกนน้ั ซ่งึ มากถึงเพยี งนน้ั เปน ของไมเ ทีย่ งจักปรากฏได ความเปนของส้ินไปเปน ธรรมดาจกัปรากฏได ความเปนของเส่อื มไปเปน ธรรมดาจักปรากฏได ความเปนของ
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 521แปรปรวนไปเปน ธรรมดาจักปรากฏได. กไ็ ฉนความทแี่ หงกายอันตัณหาเขา ไปถอื เอาแลว วาเรา วา ของเรา วา เรามอี ยู อันตง้ั อยตู ลอดกาลพอประมาณนี้เปน ของไมเ ท่ียง เปน ของมคี วามส้นิ ไปเปน ธรรมดา เปนของมีความเสอื่ มไปเปนธรรมดา เปนของมคี วามแปรปรวนไปเปน ธรรมดา จกั ไมป รากฏเลาเมือ่ เปนเชนน้ี ความยดึ ถอื ดวยสวมารถตณั หามานะและทิฐิ ในอาโปธาตนุ นั้จะไมมแี กผูน้ันเลย. หากวา เม่ือภิกษุน้ันระลึกถงึ พระพทุ ธเจา อยูอยางนี้ ระลกึถึงพระธรรมอยอู ยางน้ี ระลกึ ถงึ พระสงฆอยอู ยา งนี้ อเุ บกขาอนั อาศัยกศุ ลธรรมยอมต้งั อยูไดด วยดีไซร. ภกิ ษุนั้นยอมเปน ผูปลม้ื ใจเพราะเหตุน้นั . ดกู อนทา นผมู อี ายทุ งั้ หลาย ดวยเหตุแมมีประมาณเทา นแี้ ล คําสอนของพระผมู ีพระภาคเจาเปน อนั ภิกษทุ าํ ใหมากแลว . วา ดว ยเตโชธาตุ [๓๔๔] ดูกอนทานผมู ีอายทุ ัง้ หลาย ก็เตโชธาตุเปน ไฉน. คอื เตโชธาตทุ ี่เปน ไปภายในก็มี เตโชธาตทุ ่เี ปน ไปภายนอกก็ม.ี กเ็ ตโชธาตทุ ่ีเปน ไปภายในเปน ไฉน. คือ อุปาทนิ นกรูปอันเปนภายใน. เฉพาะตน เปนของเรา รอน ถงึ ความเปน ของเรา รอน คือ เตโชธาตุท่ีเปน เคร่ืองอบอนุ แหง กายเตโชธาตุท่เี ปนเครือ่ งทรดุ โทรมแหง กาย เตโชธาตุเปนเครือ่ งเรารอนแหงกายเตโชธาตทุ ่เี ปนเคร่ืองยอ ยของที่กนิ แลว ดื่มแลว เคีย้ วแลว และของที่ลิม้ รสแลว ก็หรืออุปาทนิ นกรปู สิ่งหนงึ่ สง่ิ ใด อันเปน ภายใน เฉพาะตน เปนของเรา รอ น ถึงความเปน ของเรา รอน อยา งอน่ื น้ีเรยี กวา เตโชธาตุเปน ไปภายใน. กเ็ ตโชธาตุอนั ใดแล เปน ไปภายใน และเตโชธาตอุ นั ใด เปน ภายนอกนั่นเปนเตโชธาตแุ ล. บณั ฑิตพึงเห็นเตโชธาตนุ ัน้ นนั่ ดวยปญญาอนั ชอบตามความเปนจรงิ อยา งนีว้ า นนั่ ไมใ ชข องเรา เราไมเ ปนนน่ั น่นั ไมเ ปนของเรา.บณั ฑติ ครั้นเหน็ เตโชธาตนุ ่นั ดวยปญญาอันชอบตามความเปน จริงอยา งนี้แลวยอ มเบ่ือหนายในเตโชธาตุ ยอมยงั จติ ใหคลายกาํ หนดั ในเตโชธาตุ สมัยท่ี
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 522เตโชธาตุอันเปน ไปภายนอกกําเริบ ยอมจะมีไดแล เตโชธาตุอันเปน ภายนอกนัน้ ยอ มไหมบ า นบาง ยอ มไหมเ มอื งบา ง ยอ มไหมน คิ มบา ง ยอมไหมชนบทบา ง ยอ มไหมป ระเทศแหง ชนบทบา ง. เตโชธาตอุ ันเปน ภายนอกน้นั มาถงึ หญาสด หนทาง ภูเขา นํ้า หรอื ภูมิภาค อนั เปน ท่ีรืน่ รมยไ มม เี ชอื้ยอมดบั ไปเอง. สมัยท่ีชนทั้งหลายแสวงหาไฟดว ยขนไกบ า ง ดว ยการขดู หนังยอ มมไี ดแ ล. ก็ช่ือวา ความท่แี หงเตโชธาตุ อนั เปน ไปภายนอกน้นั ซง่ึ ใหญถ งึเพยี งนน้ั เปนของไมเที่ยงจักปรากฏได ความเปนของสิน้ ไปเปน ธรรมดาจกัปรากฏได ความเปน ของแปรปรวนไปเปน ธรรมดาจักปรากฏได. กไ็ ฉนความทีแ่ หง กายอนั ตณั หาเขา ไปถอื เอาแลววาเรา วา ของเรา วาเรามอี ยู อนั ตั้งอยูตลอดกาลพอประมาณนี้ เปน ของไมเท่ียง เปน ของมีความสิน้ ไปเปน ธรรมดาเปนของมคี วามเสอื่ มไปเปนธรรมดา เปนของมคี วามแปรปรวนไปเปน ธรรมดาจกั ไมปรากฏเลา เม่ือเปนเชนน้ี ความยึดถอื ดวยสามารถตัณหามานะและทิฐิในเตโชธาตนุ ั้น จะไมม ีแกผ ูน ้ันเลย. หากวา เมื่อภกิ ษุนน้ั ระลีกถงึ พระพทุ ธเจา อยูอยา งน้ี ระลกึ ถงึ พระธรรมอยูอยางน้ี ระลึกถึงพระสงฆอยอู ยางนี้อุเบกขาอันอาศยั กุศลธรรมยอ มตง้ั อยไู ดด วยดีไซร ภิกษนุ ้ันยอมเปนผูป ลืม้ ใจเพราะเหตนุ ั้น. ดูกอนทา นผูม อี ายุทัง้ หลาย ดว ยเหตแุ มมปี ระมาณเทานีแ้ ลคาํ สอนของพระผมู พี ระภาคเจา เปนอันภกิ ษุทําใหมากแลว . วา ดวยวาโยธาตุ [๓๔๕] ดกู อ นทานผูมอี ายทุ ้งั หลาย กว็ าโยธาตุเปน ไฉน. คอืวาโยธาตุท่เี ปนไปภายในก็มี วาโยธาตทุ ีเ่ ปน ภายนอกกม็ ี. ก็วาโยธาตทุ ่เี ปนไปภายในเปน ไฉน. คือ อปุ าทินนกรูปอนั เปน ภายใน เฉพาะตน เปนของพดัไปมา ถงึ ความเปน ของพดั ไปมา คือ ลมพดั ขน้ึ เบ้ืองบน ลมพดั ลงเบ้ืองตํ่าลมอันอยใู นทอ ง ลมอันอยใู นลําไส ลมอนั แลน ไปตามอวยั วะนอ ยใหญ ลมหายใจเขา ลมหายใจออก ก็หรอื อุปาทนิ นกรูป สิ่งใดสงิ่ หนงึ่ อนั เปน ภายใน
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 523เฉพาะตน เปนของพดั ไปมา ถึงความเปน ของพดั ไปมา อยา งอน่ื นีเ้ รียกวาวาโยธาตเุ ปนไปภายใน. กว็ าโยธาตอุ ันใดแล เปนไปภายใน และวาโยธาตุอนั ใด เปนไปภายนอกน่นั เปนวาโยธาตุแล. บัณฑติ พึงเหน็ วาโยธาตุนน้ั นนั่ดว ยปญญาอนั ชอบตามความเปนจรงิ อยา งนี้วา นั่นไมใ ชข องเรา เราไมเ ปนนนั่นั่นไมเปน ตนของเรา. บัณฑิตคร้ันเหน็ วาโยธาตนุ ั้น ดวยปญ ญาอันชอบตามความเปนจรงิ อยางน้แี ลว ยอ มเบอื่ หนายในวาโยธาตุ ยอ มยงั จิตใหคลายกาํ หนดั ในวาโยธาตุ ยอ มยงั จิตใหคลายกาํ หนัดในวาโยธาต.ุ สมยั ทีว่ าโยธาตุอันเปน ไปภายนอกกําเรบิ ยอ มจะมีไดแ ล วาโยธาตอุ ันเปนไปภายนอกนั้นยอ มพัดเอาบา นไปบาง ยอมพดั เอานิคมไปบา ง ยอ มพดั เอานครไปบา ง ยอ มพัดเอาประเทศแหง ชนบทไปบา ง. สมยั ทชี่ นท้ังหลาย แสวงหาลมดว ยพัดใบตาลบาง ดว ยพดั สําหรับพัดไฟบา ง ในเดอื นทา ยแหงฤดูรอ น แมในทีช่ ายคาหญา ทัง้ หลายกไ็ มไหว ยอ มมแี ล. กช็ ่อื วา ความทแ่ี หง วาโยธาตอุ นั เปนไปภายนอกนนั้ ซง่ึ ใหญถ ึงเพยี งน้นั เปน ของไมเ ทย่ี งจกั ปรากฏได ความเปน ของสิ้นไปเปน ธรรมดาจักปรากฏได ความเปนของเสื่อมไปเปน ธรรมดาจกั ปรากฏไดความเปนของแปรปรวนไปเปน ธรรมดาจักปรากฏได. กไ็ ฉนความทแี่ หง กายอนั ตัณหายดึ ถอื เอาแลว วา เรา วาของเรา วาเรามอี ยู อนั ตงั้ อยตู ลอดกาลพอประมาณนี้ เปนของไมเทีย่ ง เปน ของมคี วามสน้ิ ไปเปนธรรมดา เปนของมีความเสอื มไปเปน ธรรมดา เปน ของมคี วามแปรปรวนไปเปน ธรรมดา จักไมปรากฏเลา เมอ่ื เปนเชน น้ี ความยดึ ถอื ดวยสามารถตณั หานานะและทิฐใิ นวาโยธาตุน้ันจะไมมีแกผนู ั้นเลย. หากวาชนเหลาอ่นื จะดา จะตดั เพอ จะกระทบกระเทียบ จะเบยี ดเบยี นภกิ ษนุ ้นั ไซร. ภกิ ษุนน้ั ยอ มรชู ดั อยา งนวี้ า ทกุ ขเวทนาอนั เกดิ แตโ สตสมั ผสั นี้ เกิดข้นึ แลวแกเ รา ก็แตวาทกุ ขเวทนาน้ันแล อาศยัเหตุจงึ มไี ด ไมอาศยั เหตุจะมีไมได ทกุ ขเวทนาน้ีอาศัยอะไรจงึ มีได. ทุกข-
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 524เวทนานอี้ าศยั ผสั สะ จงึ มีได. ภิกษแุ มนน้ั แลยอ มเห็นวา ผสั สะเปนของไมเที่ยง ยอ มเห็นวาเวทนาเปน ของไมเท่ยี ง ยอมเหน็ วาสญั ญาเปน ของไมเ ท่ยี งยอ มเห็นวา สงั ขารทั้งหลายเปนของไมเที่ยง ยอ มเห็นวา วิญญาณเปน ของไมเ ทีย่ งจติ อันมีธาตเุ ปนอารมณนัน่ เทยี วของภิกษุนัน้ ยอมแลนไป ยอมผองใสยอมตง้ั อยดู วยดี ยอ มหลุดพน. หากชนเหลาอ่นื จะพยายามทาํ รา ยภิกษุน้ันดวยอาการท่ีไมน าปรารถนา ไมน าใคร ไมน าพอใจคอื ดว ยการประหารดวยฝามือบาง ดว ยการประหารดว ยกอนดนิ บาง ดวยการประหารดวยทอนไมบางดว ยการประหารดว ยศาสตราบา ง. ภิกษนุ ัน้ ยอ มรูชดั อยางนีว้ ากายน้เี ปน สภาพเปนทเ่ี ปน ไปดวยการประหารดวยฝา มือบาง เปน ทเ่ี ปน ไปดวยการประหารดว ยกอนดนิ บาง เปน ทเี่ ปน ไปดว ยการประหารดว ยทอนไมบ าง เปนท่เี ปน ไปดว ยการประหารดวยศาสตราบา ง. อนึ่ง พระผมู พี ระภาคเจา ไดต รัสไวใ นพระโอวาทอนัเปรียบดวยเลือ่ ยดังน้ี วา ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย แมวาพวกโจรผมู ีความประ-พฤตติ ํา่ ชา พงึ ตัดอวยั วะใหญน อย ดว ยเลอ่ื ยอนั มีดา มสองขา งไซร ภิกษุผทู ่ียังใจใหประทุษรายในพวกโจรแมน้นั ยอมไมเปน ผชู ่อื วา ทาํ ตามคําสอนของเราดว ยเหตุนนั้ ดังนี้. อน่งึ ความเพียรอนั เราปรารภแลว จกั เปน คุณชาติไมยอ หยอ น สติอันเราเขา ไปต้ังไวแ ลว จักเปนคณุ ชาตไิ มหลงลมื กายอันเราใหส งบแลว จกั เปน สภาพไมก ระวนกระวาย. จติ อันเราใหต ั้งมั่นแลว จักเปนธรรมชาติมอี ารมณเปน อยางเดียว คราวน้ี การประหารดว ยฝา มือท้งั หลายจะเปนไปในกายนกี้ ด็ ี การประหารดวยกอ นดินทัง้ หลาย จะเปน ไปในกายนี้ก็ดี การประหารดวยทอนไมท ้ังหลาย จะเปน ไปในกายน้ีกด็ ี การประหารดว ยศาสตรา จะเปนไปในกายนกี้ ด็ ี ตามทีเ่ ถดิ คําสอนของพระพุทธเจาทัง้ หลายน้ีเราจะทาํ ใหจ งได ดังนี.้ ดกู อ นทานผมู อี ายทุ ั้งหลาย หากวาเมอ่ืภิกษุนั้นระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจาอยูอยา งน้ี ระลกึ ถึงพระธรรมอยอู ยา งน้ี ระลกึ ถึง
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 525พระสงฆอ ยอู ยา งนี้ อุเบกขาอนั อาศัยกศุ ลธรรม ยอมตัง้ อยูไมได. ภิกษนุ ัน้ยอ มสลดใจ ยอ มถงึ ความสลดใจ เพราะเหตุนั้น วาไมเปนลาภของเราหนอลาภไมมแี กเ ราหนอ เราไดไมดแี ลวหนอ การไดดวยดีไมม แี กเ ราแลวหนอทเี่ ราระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา อยูอ ยางน้ี ระลกึ ถึงพระธรรมอยูอยา งน้ี ระลกึ ถึงพระสงฆอยูอยา งนี้ อเุ บกขาอนั อาศัยกุศลธรรมไมต้งั อยไู ดด วยดี ดงั น้ี เปรียบเหมอื นหญงิ สะใภเ ห็นพอ ผวั แลว ยอมสลดใจ ยอ มถึงความสลดใจ แมฉันใดหากวาเม่อื ภิกษุนัน้ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา อยอู ยางน้ี ระลกึ ถงึ พระธรรมอยอู ยางนี้ระลึกถงึ พระสงฆอยูอ ยางน้ี อุเบกขาอันอาศัยกศุ ลธรรม ต้งั อยไู มไ ดดว ยดีภิกษุนัน้ ยอมสลดใจ ยอมถงึ ความสลดใจ เพราะเหตนุ นั้ ฉนั น้ันเหมอื นกนั แล.หากวา เมือ่ ภิกษุนน้ั ระลึกถงึ พระพทุ ธเจาอยอู ยางนี้ ระลึกถึงพระธรรมอยูอยา งนี้ ระลกึ ถึงพระสงฆอยูอยางนี้ อุเบกขาอาศยั กุศลธรรม ยอ มตัง้ อยูด วยดีไซร. ภิกษนุ ้ันยอ มเปนผูปล้ืมใจเพราะเหตุน้ัน. ดูกอนทา นผูมอี ายุทงั้ หลายดวยเหตมุ ปี ระมาณเทา นแี้ ล คาํ สอนของพระผูมพี ระภาคเจา เปน อนั ภกิ ษทุ ําใหมากแลว. วาดว ยขันธสงั คหะ [๓๔๖] ดกู อ นทา นผูม ีอายทุ ง้ั หลาย อากาศอาศัยไมและอาศยั เถาวลั ยดนิ เหนียวและหญาแวดลอ มแลว ยอ มนับวาเรือนฉันใด ดกู อนทานผูมอี ายุท้งั หลาย อากาศอาศัยกระดกู และอาศัยเอ็นเนอื้ และหนึง่ แวดลอ มแลว ยอ มนบัวารูป ฉนั นั้นเหมอื นกันแล. หากวา จักษุอันเปน ไปในภายใน ไมแตกทาํ ลายแลว และรปู ทง้ั หลายอันเปนภายนอก ยอมไมป รากฏ ทัง้ ความกําหนดอนั เกิดแตจ กั ษแุ ละรปู นัน้ ก็ไมม ี ความปรากฏแหงสวนของวิญญาณ อันเกิดแตการกําหนดนน้ั กย็ งั มีไมไดก อน. หากวา จักษุอันเปน ไปในภายใน ไมแตกทาํ ลายแลว และรปู ทง้ั หลายอนั เปน ภายนอกยอมปรากฏ แตความกําหนดอันเกดิ แตจักษุและรปู นัน้ ไมม ี ความปรากฏแหง สว นของวญิ ญาณอันเกดิ แต
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 526การกาํ หนดนน้ั ก็ยงั มไี มไดก อน. แตว า ในกาลใดแลจักษอุ ันเปนไปในภายในไมแ ตกไมท าํ ลายแลว และรปู ทงั้ หลายอันเปน ภายนอก ยอมปรากฏท้ังความกาํ หนดอันเกดิ แตจ ักษแุ ละรูปก็ยอ มมใี นกาลนั้น ความปรากฏแหงสว นของวญิ ญาณอันเกิดแตการกาํ หนดนัน้ ยอ มมีไดด ว ยอาการอยางน้.ีรปู แหงสภาพท่ีเปน แลวอยา งน้นั อนั ใด รูปน้นั ยอ มสงเคราะหใ นอปุ าทานขนั ธคอื รปู . เวทนาแหง สภาพท่ีเปน แลวอยา งนนั้ อนั ใด เวทนานั้นยอมสงเคราะหในอปุ าทานขันธคอื เวทนา. สัญญาแหงสภาพท่ีเปนแลว อยางนนั้ อนั ใด สญั ญานั้นยอมสงเคราะหใ นอปุ าทานขันธค อื สัญญา. สังขารแหงสภาพทีเ่ ปนแลวอยา งนน้ั เหลา ใด สงั ขารเหลานัน้ ยอ มสงเคราะหใ นอุปาทานขันธคอื สงั ขาร. วญิ ญาณแหงสภาพท่เี ปน แลว อยางนนั้ อันใด วญิ ญาณนัน้ ยอมสงเคราะห ในอุปาทานขันธคือวญิ ญาณ. ภกิ ษุนนั้ ยอมรูชัดอยางนี้วา ไดย นิ วา การสงเคราะห การประชมุ พรอม หมวดหมแู หงอุปาทานขนั ธ ๕ เหลา น้ี ยอมมีไดดวยประการอยางนี.้ อนึง่ พระผมู พี ระภาคเจาไดต รสั พระพุทธพจนน ไี้ ววา ผูใดเห็นปฏิจจสมปุ บาท ผูนั้นชอ่ื วาเห็นธรรม ผูใดเหน็ ธรรม ผูน้ันชอ่ื วา เหน็ ปฏจิ จ-สมปุ บาท ดงั น้ี. ก็ธรรมทอ่ี าศยั การเกิดข้ึนเหลาน้ีคอื ปญ จปุ าทานขันธความพอใจ ความอาลัย ความยินดี ความหมกมนุ ในอปุ าทานขนั ธ ๕ เหลาน้อี นั ใด อนั นนั้ ชื่อวาทุกขสมุทัย การกาํ จดั ความกาํ หนัดดว ยสามารถความพอใจ การละความกําหนัดดวยสามารถความพอใจ ในอุปาทานขนั ธ ๕ เหลานี้อันใด อนั น้นั ช่ือวาทุกขนิโรธแล. ดกู อ นทานผมู อี ายทุ ้งั หลาย ดวยเหตแุ มมีประมาณเทา นแ้ี ล คําสอนของพระผูมพี ระภาคเจา เปน อนั ภกิ ษุทําใหม ากแลว. ดูกอนทานผมู อี ายุทัง้ หลาย หากวาโสตอันเปนไปในภายใน ไมแตกทาํ ลายแลว . . .
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 527 ดูกอนทานผมู ีอายทุ งั้ หลาย หากวาฆานะอนั เปนไปในภายใน ไมแ ตกทําลายแลว . . . ดูกอ นทา นผมู ีอายุท้ังหลาย หากวาชิวหาอนั เปน ไปในภายใน ไมแ ตกทําลายแลว . . . ดกู อ นทานผมู อี ายทุ ้ังหลาย หากวา กายอันเปน ไปในภายใน ไมแ ตกทําลายแลว . . . ดกู อนทา นผมู ีอายุทงั้ หลาย หากวา มนะอนั เปนไปในภายใน ไมแ ตกทาํ ลายแลว และธรรมารมณท ง้ั หลายอนั เปน ภายนอก ยอ มไมป รากฏ ทง้ั ความกําหนดอันเกิดแตม นะและ ธรรมารมณน น้ั ก็ไมม ี ความปรากฏแหงสว นของวญิ ญาณอันเกดิ แตการกําหนดนั้น ก็ยงั มีไมไดกอ น. หากวามนะอนัเปน ไปในภายใน ไมแ ตกทําลายแลว และธรรมารมณทง้ั หลายอนั เปนภายนอกยอ มปรากฏ แตค วามกาํ หนดอันเกดิ แตม นะและธรรมารมณน ้นั ไมมีความปรากฏแหง สวนของวญิ ญาณอันเกดิ แตค วามกําหนดน้ัน ก็ยังมไี มไดก อน. แตว า ในกาลใดแล มนะอนั เปนไปในภายในไมแ ตกทําลายแลวและธรรมารมณทง้ั หลายอนั เปนภายนอกยอ มปรากฏ ทัง้ ความกาํ หนดอนัเกดิ แตม นะและธรรมารมณน ้ันกย็ อ มมี ในกาลนั้น ความปรากฏแหงสวนของวิญญาณอันเกดิ แตก ารกาํ หนดน้นั ยอ มมีไดดวยอาการอยา งนี้ รปู แหง สภาพทเี่ ปน แลว อยางน้ันอันใด รปู นัน้ ยอ มสงเคราะหอุปาทานขันธคือรปู เวทนาแหงสภาพทเ่ี ปนอยา งนนั้ อนั ใด เวทนานน้ั ยอ มสงเคราะหใ นอุปาทานขันธคือเวทนา สญั ญาแหง สภาพทเี่ ปน ไปแลว อยา งน้นั อนั ใด สัญญานั้นยอมสงเคราะหในอปุ าทานขนั ธค ือสญั ญา สงั ขารทง้ั หลายแหงสภาพทีเ่ ปน แลว อยางน้นั เหลาใดสงั ขารเหลานั้นยอ มสงเคราะหในอปุ าทานขนั ธค ือสังขาร วิญญาณแหงสภาพท่ีเปนแลวอยา งน้ันอันใด วิญญาณนัน้ ยอ มสงเคราะหในอปุ าทานขันธคือวิญญาณ.
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 528ภิกษุนนั้ ยอมรชู ัดอยา งนว้ี า ไดย นิ วา การสงเคราะห การประชุมพรอ ม หมวดหมูแหง อปุ าทานขันธ ๕ เหลา น้ี ยอ มมีไดด ว ยประการอยางนี.้ อนง่ึ พระผูมีพระภาคเจาไดต รัสพระพทุ ธพจนน ้ไี ววา ผูใดเหน็ ปฏจิ จสมุปบาท ผนู นั้ ชื่อวาเห็นธรรม ผูใ ดเหน็ ธรรม ผนู ั้นช่อื วาเห็นปฏิจจสมปุ บาท ดงั นี.้ ก็ธรรมท่อี าศัยกันเกิดขึ้นเหลา นี้ กค็ ือ ปญจุปาทานขันธ ความพอใจ ความอาลัย ความยนิ ดี ความหมกมุน ในอุปาทานขนั ธ ๕ เหลานนั้ อันใด อนั นั้นชอ่ื วา ทุกขสมทุ ยัการกําจัดความกําหนดั ดวยสามารถความพอใจ การละความกําหนัดดว ยสามารถความพอใจในอปุ าทานขันธ ๕ เหลา นี้อนั ใด อันนน้ั ช่ือวาทุกขนิโรธแล. ดูกอนทา นผมู อี ายทุ ั้งหลาย ดว ยเหตแุ มมีประมาณเทา นีแ้ ล คําสอนของพระผมู ีพระภาคเจา เปนอันภิกษทุ ําใหมากแลว. ทา นพระสารบี ตุ ร ไดกลา วธรรมปริยายน้แี ลว ภกิ ษเุ หลา นน้ั ช่นื ชมยนิ ดี ภาษิตของทานพระสารีบตุ รแลว แล. จบ มหาหัตถิปโทปมสตู รท่ี ๘
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 529 อรรถกถามหาหัตถปิ โทปมสูตร มหาหัตถปิ โทปมสูตร เรม่ิ ตน วา ขา พเจาได ฟง มาแลว อยา งนี:้ - พึงทราบวินิจฉัยในมหาหตั ถปิ โทปมสตู รน้ัน บทวา ชงคฺ ลานแปลวาผสู ัญจรไปบนแผนดนิ . บทวา ปาณาน ไดแก สัตวม เี ทา และสัตวไมมเี ทา. บทวา ปทชาตานิ แปลวา รอยเทาทง้ั หลาย. บทวา สโมธานคจฉฺ นตฺ ิ ไดแ ก ถงึ การรวมลงคือใสล ง. บทวา อคฺคมกฺขายติ แปลวาทา นกลาววา ประเสรฐิ . บทวา ยททิ มหนตฺ ตเฺ ตน ความวา ทา นกลาววาเลศิ เพราะเปน รอยเทาใหญ อธิบายวา ไมใ ชใหญโดยคณุ . บทวา เย เกจิกุสลา ธมฺมา ไดแ ก กศุ ลธรรมไมว า โลกิยะ หรอื โลกุตตระ เหลาใดเหลาหนง่ึ . สังคหะ ในคาํ วา สงคฺ ห คจฺฉนฺติ น้ี มี ๔ อยา ง คือสชาตสิ งั คหะ ๑สญั ชาตสิ งั คหะ ๑ กริยาสงั คหะ ๑ คณนสงั คหะ ๑. บรรดาสังคหะ ๔ อยางนนั้การรวบรวมตามชาตขิ องตนอยา งนว้ี า ขอกษัตริยท ัง้ ปวงจงมา ขอพราหมณทั้งปวงจงมาดังน้ี ชื่อวา สชาตสิ ังคหะ. การรวบรวมตามถ่ินแหงคนชาตเิ ดยี วกนัอยา งนี้วา คนชาวโกศลทั้งหมด ชาวมคธทง้ั หมด ช่ือวาสญั ชาติสังคหะ. การรวบรวมโดยกิริยาอยางที่วา พลรถท้ังหมด พลถอื ธนูทัง้ หมด ช่อื วา กริ ิยาสงั คหะ.การรวบรวมอยางน้ีวา จกั ขายตนะ รวมเขา ในขันธไหน จักขายตนะรวมเขาในรปู ขันธ จักขายตนะ ถงึ การรวมเขา ในรูปขนั ธไ หน เม่ือถกู วา กลา วดว ยขอนั้น จักขายตนะทานกร็ วมเขา กับรปู ขันธ ชือ่ วา คณนสงั คหะ. แมในทีน่ ี้ทานก็ประสงคค ณนสงั คหะนี้นีแ่ ล. ถามวา ก็ในการแกปญหาวา บรรดาอริยสจั ๔ อยา งไหนเปน กศุ ลอยางไหนเปนอกุศล อยางไหนเปนอัพยากฤต ดงั น้ี พระมหาเถระจําแนก
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 530กุศลจิตแมที่เปนไปในภูมิ ๔ วา เปนสจั จะครง่ึ หนึ่งเทา นั้น เพราะเมาในพระบาลีวาสมทุ ัยสัจ จัดเปน อกุศล มคั คสจั จดั เปนกุศล นิโรธสจั จดั เปนอพั ยากฤตทุกขสจั บางคราวเปน กุศล บางคราวเปน อกศุ ล บางคราวเปนอพั ยากฤตมใิ ชห รือ เมือ่ เปนเชนน้ี เพราะเหตุไร พระมหาเถระ จงึ กลา ววา กุศลธรรมเหลานีร้ วมลงในอรยิ สจั ๔ เลา. แกว า เพราะกศุ ลธรรมเหลาน้นั รวมอยใู นสัจจะทงั้ หลาย. จริงอยู สกิ ขาบท ๑๕๐ สกิ ขาบททใ่ี หส าํ เร็จประโยชนยอมเปน อธสิ ีลสกิ ขา อยา งหนง่ึ ภิกษแุ มศกึ ษาอธิสลี สิกขานัน้ พระผูมพี ระ-ภาคเจาทรงแสดงวา ช่ือวาศกึ ษาสิกขา ๓ ดงั ในพระบาลีนี้วา ดกู อนภิกษุทั้งหลายสิกขาบท ๑๕๐ สกิ ขาบทท่ีสําเร็จประโยชนน ้ี ยอ มสวดกันทกุ ก่ึงเดอื นทเ่ี หลากลุ บุตรผูหวังประโยชน ศกึ ษากันอยู ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย สิกขา ๓ เหลานี้ คอือธิสลี สิกขา อธจิ ติ ตสกิ ขา อธิปญญาสกิ ขา เพราะสกิ ขาบท ๑๕๐ สิกขาบทนั้นรวมอยใู นสิกขาทั้งหลาย เปรยี บเหมอื นรอยเทา ของสัตวทง้ั หลาย มีสุนขั จิ้งจอกกระตาย และเนือ้ เปนตน ยอมลงในสวน ๑ ก็ดี ยอ มลงในสว น ๒-๓-๔ก็ดี ช่ือวาใน ๔ สว นแหงรอยเทาชา งเชอื กหนง่ึ ยอ มรวมลงในรอยเทาชางทั้งนัน้ ไมพน จากรอยเทาชาง เพราะรวมอยใู นรอยเทา ชา งนนั้ เทานนั้ ฉันใด ธรรมท้ังหลาย ท่ีนบั ลงในสจั ๑ กด็ ี ๒ ก็ดี ๓ กด็ ี ๔ กด็ ี กฉ็ นั นน้ั เหมอื นกัน ยอ มนบั รวมในสจั จะ ๔ ทง้ั นน้ั เพราะธรรมท้ังหลายรวมอยใู นสัจจะท้ังหลาย เพราะเหตุน้ัน ทานจึงกลา วถงึ กศุ ลธรรมแมท ่รี วมเขา ในสัจจะคร่ึงวา ธรรมเหลา นนั้ทัง้ หมดยอมรวมลงในอรยิ สัจ ๔. คําทค่ี วรกลาวในบทอุทเทสวา ทกุ ฺเข อรยิ สจฺเจ เปนตน และในบทนทิ เทสวา ชาติป ทกุ ขฺ า เปน ตนทงั้ หมดไดกลาวไวแ ลว ในวสิ ทุ ธมิ รรค.แตใ นทน่ี ีพ้ ึงทราบเฉพาะลาํ ดบั เทศนา อยางเดยี ว. เหมือนอยางวา ชางสานผฉู ลาด ไดไ มไ ผท่ดี ีมาลาํ ๑ ตดั เปน ๑ ทอ น จาก ๔ ทอ นน้นั เวน ไว ๓
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 531ทอนถอื เอาแตท อ นเดยี วจึงตดั เปน ๕ ซกี จาก ๕ ซีกนัน้ เวน ไว ๔ ซกีถือเอาซีกเดียว แลวผา เปน ๕ เสยี้ ว จาก ๕ เส้ยี วนั้น เวนไว ๔ เส้ียวถอื เอาเสย้ี วเดยี ว เกรียกเปน ๒ คือ สวนทอ ง สว นหลงั เวน สวนหลงั ไว ถอื เอาแตสว นทอ ง จากนั้น กระทําใหเปน เครอื่ งสานไมไ ผห ลากชนดิ มหี ีบพัดวชี นีและพัดใบตาลเปนตน ชางสานนัน้ ไมถูกใครกลาววา ไมใ ชง านสว นหลังอีก ๔ ชิ้นอกี ๔ สว นและอีก ๓ สวน แตเขาไมอ าจใชง านในคราวเดยี วกนั ได แตจ กั ใชงานตามลาํ ดับ ฉันใด ฝายพระมหาเถระนก้ี ็ฉนั นน้ั เหมอื นกัน เรมิ่ ต้ัง สตุ ตันตะใหญน้ีแลว ตงั้ มาติกาโดยอรยิ สัจ ๔ เหมอื นชางสานไดไมไ ผทด่ี แี ลว แบง ๔ สว นฉะนั้น. พระเถระเวนอริยสัจ ๓ แลว ถือเอาทุกขสจั จะอยางเดียว จาํ แนก ทําใหเปนขันธ ๕ สว น เหมอื นชา งสานเวน ๓ สวนถือเอาสว นหน่งึ แลวทําสว นหนง่ึ นนั้ใหเปน ๕ สวน. แตนน้ั พระเถระเวนอรปู ขันธ ๔ แลวจาํ แนกรปู ขันธ และทาํมหาภตู รปู ๔ ใหเปน ๕ สว น คอื มหาภตู รปู ๔ และ อปุ าทายรูป ๑ เปรียบเหมอื นชา งสานนน้ั เวน ๔ สว น ถอื เอาสวนหน่งึ แลว ผาเปน ๕ เสยี้ วฉะนนั้ .แตน ั้น เมอื่ พระเถระเวน อุปทายรูป และธาตุ ๓ แลว จาํ แนกปรวธี าตอุ ยา งเดียว แสดงเปน ๒ สวน คอื อัชฌัตตกิ รูป รูปภายใน พาหิรรปู รปู ภายนอกเปรยี บเหมอื นชางสานน้ัน เวน ๔ สว น ถอื เอาสว นหนึง่ แลว ผา เปน ๒ สวนคือสวนทอง ๑ สว นหลัง ๑. เพ่อื จะเวน ปฐวีธาตุ ภายนอก แลว แสดงจําแนกปฐวธี าตภุ ายในโดยอาการ ๒๐ พระเถระ จึงกลาวคําเปนตน วา กตมา จ อาวโุ สอชฌฺ ตตฺ กิ า ปวีธาตุ เปรยี บเหมอื นชางสานเวนสว นหลงั ถอื เอาสว นทอ งจงึกระทําใหเ ปนเคร่ืองสานชนิดตา ง ๆ ฉะน้ัน. อน่ึงเปรียบเหมือนชางสานใชงานสวนหลังอีก ๔ ชิน้ อกี ๔ สว น และอีก ๓ สว น โดยลําดับ แตไ มอ าจใชง านในคราวเดยี วกันไดโ ดยประการฉะนี้ ฉันใด แมพ ระเถระก็ฉนั น้ัน จําแนกปฐว-ีธาตุภายนอก และอกี ธาตุ ๔ อุปาทายรปู อรูปขันธ ๔ อรยิ สัจ ๓ แลว แสดงตามลําดับ แตไ มอ าจแสดงโดยคราวเดยี วกนั ได.
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 532 อีกอยางหน่งึ พึงบรรยาย ลําดบั แมน้ีดวยขอ อุปมาดว ยราชบตุ ร ใหแจม แจง ดงั ตอ ไปนี.้ เลา กนั มาวา มหาราช องคหน่ึง มพี ระราชโอรสมากกวา๑,๐๐๐ องค. พระองคทรงเกบ็ เครือ่ งประดับของพระโอรสเหลา นัน้ ไวใ นหีบใหญ ๔ ใบ ทรงมอบไวแกเชษฐโอรส ดวยตรัสสัง่ วา ลูกเอย เคร่อื งประดบั นี้เปนของพวกนอ งของเจา เมอื่ คราวมมี หรสพ เจา จงใหเคร่อื งประดับน้ี เพราะฉะนั้น เม่อื หอ ง ๆ ขอจงึ คอ ยให. เชษฐราชโอรสน้นั ทูลรบั วาพระเจาขาจึงเก็บไวใ นหอ งเกบ็ ราชสมบัติ. ในวนั มหรสพเชน นน้ั เหลาพระราชโอรสพากนั ไปเฝา พระราชา กราบทูลวา ขา แตเ สด็จพอ ขอไดโปรดพระราชทานเครอ่ื งประดบั แกพวกหมอ มฉันเถิด พวกหมอมฉันจะเลน นกั ษัตร. พระราชาตรสั วาลูกเอย พอ ไดม อบเครอ่ื งประดบั ไวใ นมือพช่ี ายของพวกเจาแลว พวกเจาจงนาํเครื่องประดบั น้ันไปประดับเถิด. พระราชโอรสเหลา นัน้ รับพระดาํ รัส แลวพากนั ไปหาพระเชษฐโอรสนน้ั แลวทูลขอเคร่ืองประดับจากเชษฐโอรส. เชษฐโอรสไดเขาไปในหองหมายจะนาํ หีบใหญ ๔ ใบออกเวน ไว ๓ ใบ เปด ใบหนึ่ง นาํ หบีเลก็ ๕ ใบ ออกจากหีบใหญนัน้ เวนไว ๔ ใบ เปด ใบเดยี ว เมือ่ นาํ ผอบ ๕ ใบออกจากหบี เลก็ เวนไว ๔ ใบ เปดใบเดียว วางฝาไวขา งหน่ึง แตน ้ันจึงนาํเครอ่ื งประดับมอื เคร่ืองประดับเทาตา ง ๆ มอบให. เชษฐโอรส มิไดแบงใหจาก ๔ ผอบ หบี เล็ก ๔ ใบ หีบใหญ ๔ ใบ กอนก็จรงิ ถงึ กระน้นั กใ็ หตามลําดับ เพราะฉะนนั้ จึงไมอ าจมอบใหคราวเดียวกนั ได. ในขอ อุปมาน้ัน พงึ เห็นพระผมู พี ระภาคเจาเหมือนมหาราช. สมจริงดังคําทีท่ า นกลา วไวว า พระผูมีพระภาคเจาผเู ปนพระธรรมราชาอนั ยอดเยย่ี มตรัสวา ดกู อนเสลพราหมณ เรากเ็ ปนพระราชา. พึงเหน็ พระสารบี ตุ รเหมอื นเชษฐโอรส. สมจริงดังคําทพ่ี ระผูมีพระภาคเจา ตรัสไวว า ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 533บคุ คลเมอ่ื จะเรียกโดยชอบ พงึ เรียกภกิ ษรุ ปู น้ันไดว า สารีบุตรวา บตุ ร โอรสเกดิ แตโอษฐ เกิดแตธ รรม อันธรรมนริ มิต ธรรมทายาท แตม ใิ ชอ ามสิ ทายาทของพระผมู ีพระภาคเจา บุคคลเมือ่ เรยี กโดยชอบ พงึ เรียกภิกษนุ ้ีนัน่ แลวา บตุ รฯลฯ มใิ ชเ ปน อามิสทายาทของพระผมู ีพระภาคเจา . พึงเห็นภิกษสุ งฆเ หมือนราชโอรสมากกวา ๑,๐๐๐ องค. สมจริงดังคําทีพ่ ระผูม ีพระภาคเจาตรัสไววา ภกิ ษุมากกวา ๑,๐๐๐ รปู เขาไปเฝา พระสุคต ผแู สดงธรรมปราศจากธุลี ผูไ ม มีตัณหาชือ่ วา วานะ ผูม ไี มภ ยั แตที่ไหน ๆ.เวลาทพี่ ระผมู พี ระภาคเจาทรงประกาศสจั จะ ๔ วางไวใ นมอื ของพระธรรมเสนาบดี เปรียบเหมอื นเวลาท่พี ระราชาทรงเก็บเครื่องประดับของพระราชโอรสเหลานนั้ ไวในหบี ใหญ ๔ ใบ แลว วางไวใ นมือของเชษฐโอรสฉะนน้ั . ดว ยเหตุน่ันแล พระผูมีพระภาคเจาจึงตรสั วา ภิกษทุ งั้ หลาย สารีบตุ ร สมควรบอกบัญญตั ิ แตง ตงั้ เปดเผย จาํ แนก ทาํ ใหต ่ืน ซงึ่ อรยิ สจั จ ๔ โดยพสิ ดาร. เวลาทภ่ี ิกษสุ งฆม าในสมัยจวนเขา พรรษา แลว อาราธนาใหแ สดงธรรม เปรยี บเหมือนเวลาทีพ่ ระราชโอรสเหลานั้น เขาไปเฝา พระราชาทลู ขอเครอื่ งประดับในวนั มหรสพเชน นน้ั ไดย ินวา ในวันจวนเขา พรรษา พระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงพระสตู รน.ี้ เวลาท่พี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา ทรงสงภกิ ษุทงั้ หลายไปยังสาํ นักของพระธรรมเสนาบดี ดวยพระดํารสั อยา งนี้วา ภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธอจงเสพ จงคบสารบี ุตรและโมคคัลลานะเถิด ภิกษุท้งั หลาย สารีบตุ รและโมคคัลลานะ เปน บณั ฑติ อนเุ คราะหเพื่อนสพรหมจารี เปรียบเวลาที่พระราชาตรสั วา ลูกเอย พอไดม อบเครอ่ื งประดับไวในมือพชี่ ายพวกเจาแลว จงนาํมาประดบั เถดิ . เวลาทภี่ กิ ษทุ ง้ั หลายฟงพระดํารสั ของพระศาสดาแลว เขาไปหาพระธรรมเสนาบดีแลว อาราธนาใหแสดงธรรม เปรยี บเหมอื นเวลาทีเ่ หลา
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 534พระราชโอรสฟงพระดาํ รสั ของพระราชาแลว ไปยงั สํานกั ของเชษฐโอรส แลวขอเครือ่ งประดับ ฉะนั้น. เวลาที่พระธรรมเสนาบดเี ร่มิ พระสุตตนั ตะนี้ แลววางมาติกาโดยอรยิ สัจ ๔ เปรียบเหมอื นเวลาทพ่ี ระเชษฐโอรสเปดหองแลวนาํหบิ ๔ ใบวางไวฉะนนั้ . การเวน อรยิ สจั ๓ แลว จาํ แนกทุกขอรยิ สจัแสดงปญจขันธ เปรียบเหมอื นการเวนหบี ๓ ใบแลว เปด ใบเดียวนาํ หบี เล็ก๕ ใบ ออกจากหีบใบเดยี วนัน้ ฉะนน้ั . การท่ีพระเถระเวนอรูปขันธ ๔ แลวแสดงจาํ แนกรูปขนั ธเดยี วแสดง ๕ สว น โดยมหาภตู รปู ๔ และอปุ ายรูป ๑เปรยี บเหมือนเวนหบี เล็ก ๔ ใบ เปด ใบเดียว แลวนําผอบ ๕ ผอบจากหีบเลก็ใบเดยี วน้นั ฉะน้ัน. การท่พี ระเถระเวน มหาภูตรปู ๓ และอุปาทายรปู แลวจาํ แนกปฐวีธาตุอยางเดียวเวน ปฐวธี าตุภายนอกเสียเหมอื นปด ไว เพ่ือจะแสดงปฐวธี าตุภายในทมี่ อี าการ ๒๐ โดยสภาวะตาง ๆ จงึ กลา วคํามีอาทวิ า กตมาจาวโุ ส อชฌฺ ตตฺ กิ า ปวธี าตุ. เปรยี บเหมือนเวนหบี ๔ ใบ เปด ใบเดียวเวน หบี ท่ีปด ไวขา งหน่งึ แลว ใหเครอ่ื งประดบั มือและเคร่ืองประดับเทาเปนตน .พงึ ทราบวาแมพ ระเถระจําแนก มหาภตู รปู ๓ อุปาทายรูป อรูปขนั ธ ๔ อรยิ สจั๓ แลว แสดงตามลาํ ดับในภายหลังเหมือนราชโอรสนัน้ นาํ ผอบ ๔ ใบ หีบเล็ก๔ ใบ และหบี ๓ ใบเหลานัน้ แลว ประทานเคร่อื งประดับตามลาํ ดับในภายหลัง. กค็ ําน้นั ใดทา นกลา วไวว า กตมา จาวุโส อชฌฺ ตฺตกิ า ปวธี าตุเปนตน พึงทราบวนิ ิจฉยั ในคาํ น้ัน แมบ ททัง้ ๒ วา อชฌฺ ตตฺ ปจฺจตฺต น้ีเปน ชือ่ ของธรรมชาตทิ ม่ี ีในตน. บทวา กกขฺ ล แปลวา กระดาง. บทวาขรคิ ต แปลวา หยาบ. บทวา อปุ าทินนฺ ไดแ ก ไมใ ชม ธี รรมเปน สมุฏฐานเทา นัน้ . แตเ มอื่ วาโดยไมแ ปลกกนั คําวา อปุ าทินนฺ น้ี เปนช่ือของรูปท่ีต่งัอยูใ นสรรี ะ. จริงอยู รปู ที่ต้ังอยใู นสรีระ ไมวาเปนอุปาทนิ นรปู หรืออนุ-ปาทินนรปู ช่ือวา เปนอุปาทินนรปู ท้ังหมดท่ีเดยี ว โดยทย่ี ึดถอื จับตอ งลูบคลําได คือ ผม ขน ฯลฯ อาหารใหม อาหารเกา . คําน้ีทานกําหมด
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 535จําแนกไว โดยเปนปฐวธี าตทุ เี่ ปน ภายในสาํ หรับกุลบตุ รผบู ําเพญ็ ธาตกุ มั มฏั ฐาน.แตใ นท่นี ค้ี ําท่ีผใู ครจ ะเรม่ิ มนสิการเจริญวิปส สนายดึ เอาพระอรหัตตค วรกระทาํทั้งหมดไดก ลาวไวพิสดารแลว ในวิสทุ ธมิ รรคนน่ั แล. แตค าํ วามันสมองไมไ ดข้ึนสบู าลใี นทีน่ .ี้ แตม ันสมองแมนนั้ นํามากาํ หนดโดยวรรณะและสมณฐานเปนตนโดยนยั ที่กลาวแลว ในวิสทุ ธิมรรค จงึ มนสิการวา แมธ าตนุ ี้ก็ไมม เี จตนา เปนอัพยากฤต วา งเปลา เปนของแขน จดั เปนปฐวธี าตุ. เหมือนกนั . บทวา ย วาปนฺ มปฺ นี้ ทานกลา วเพ่ือกาํ หนดถือเอาปฐวธี าตทุ ีอ่ ยูใ นสว น ๓นอกน้ี. บทวา ยา เจว โข ปน อชฺฌตฺติกา ปวธี าตุ ความวาปฐวีธาตุมปี ระการตามทกี่ ลาวแลวนี้ จัดเปน ปฐวีธาตภุ ายใน บทวา ยา จพาหริ า ความวา ปรวีธาตุทมี่ าแลว ในวภิ ังคโดยนยั วา เหล็ก โลหะ ดีบกุตะก่วั เปน ตน จดั เปน ปฐวีธาตุภายนอก. ดว ยอันดบั คาํ เพยี งเทานี้ พระเถระ. แสดงปฐวีธาตุอันเปน ภายในโดยอาการ ๒๐ โดยสภาวะตาง ๆ อยางพสิ ดาร แสดงธาตภุ ายนอกไวโดยสังเขป.เพราะเหตไุ ร ? เพราะในทีใ่ ดสัตวท ้งั หลายมคี วามอาลัย ใครป รารถนา กลุมรุมยึดมนั่ ถอื ม่ัน รนุ แรง ในทน่ี ้นั พระพุทธเจา ทั้งหลาย หรือเหลา พระพทุ ธสาวกจะกลา วเรอ่ื งอยางพิสดาร เพอ่ื ถอนอาลยั เปนตน ของสัตวเ หลานน้ั . อน่งึ ในทีใ่ ดความอาลัยเปนตน ของเหลาสัตวไ มมีกําลงั ในทีน่ ัน้ ทานจะกลาวโดยสงั เขปเพราะไมมกี ิจท่ีจะตอ งทาํ . เหมอื นอยางวา ชาวนาเมื่อไถนากห็ ยดุ โคไวในท่ี ๆไถตดิ เพราะรากไมแ ละตอไมแนน หนา คยุ ดินขึ้นตดั รากไมแ ละตอไมย กข้นึตองกระทําความพยายามมาก ในทใ่ี ด ไมม รี ากไมแ ละตอ กไ็ มต องพยายามมากในทนี่ ้นั คงตีหลังโคไถตอไปฉันใด คาํ อปุ ไมยนี้กพ็ ึงทราบฉนั นนั้ . บทวา ปวีธาตเุ รเวสา ความวา ก็ธาตทุ ั้ง ๒ อยางน้ี มลี ักษณะอยา งเดียวกัน ดวยอรรถวา แขง็ กระดาง และหยาบ แมน ้กี ็จัดเปน ปฐวีธาต.ุ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 536ทานแสดงประกอบไวภายในและภายนอก. กเ็ พราะเหตทุ ี่ปฐ วีธาตภุ ายนอกปรากฏวา ไมมเี จตนา ปรวีธาตภุ ายในหาปรากฎเชน นนั้ ไม เพราะฉะนน้ัพระโยคาวจรกําหนดวา ปฐวธี าตภุ ายในนนั้ เปน เชน เดียวกันกับปฐวีธาตุภายนอกไมมีเจตนาเหมอื นกัน จึงกาํ หนดไดสะดวก. เปรยี บเหมอื นอะไร ?เปรยี บเหมอื นโคท่ีไมไดฝกเทียมกับโคท่ีฝกแลว ยอ มตะเกยี กตะกายดน้ิ รน๒-๓ วันเทา น้ัน เมือ่ เปนเชน นี้ ไมน านนกั กฝ็ กหดั ได ฉนั ใด พระโยคาวจรกําหนดวา แมป ฐวีธาตุภายใน ก็เชนเดียวกันกับปฐวธี าตภุ าจนอก ปฐวีธาตกุ ็จะปรากฏ ไมม ีเจตนาไดใ น ๒-๓ วนั เทา น้ัน เม่อื เปนเชนนี้ ไมนานนกัปฐวีธาตุภายในนน้ั กป็ รากฏวา ไมม เี จตนาฉนั นน้ั . บทวา ต เนต มมความวา ธาตุทัง้ ๒ อัน บณั ฑิตพงึ เห็นดว ยปญ ญาอันถูกตองตามความเปน จริงอยา งนว้ี า นน่ั ไมใ ชข องเรา เราไมใชเปนนัน้ นน่ั ไมใ ชอ ัตตาของเรา. บทวายถาภตู แปลวา ตามสภาพเปน จริง. อธิบายวา จริงอยู ธาตุท้ัง ๒ นัน้ มีสภาวะไมเ ท่ียงเปนตน เพราะฉะน้นั พงึ เหน็ อยางนี้วา อนิจฺจ ทกุ ขฺ อนตตฺ า.บทวา โหติ โข โส อาวุโส ความวา เพราะเหตุไรทานจึงปรารภไว.เพราะเพื่อจะแสดงความพนิ าศแหง ปฐวธี าตภุ ายนอกโดยอํานาจอาโปธาตุภายนอกแลว แสดงความพินาศแหงปฐวีธาตุ ทตี่ งั้ อยใู นรางกาย ซึง่ เปน อุปาทนิ นรูปพิเศษกวานั้น. บทวา ปกุปฺปติ ความวา กําเริบเสิบสานดวยอํานาจ ความยอ ยยบั ดว ยนํ้า. บทวา อนฺตรหติ า ตสฺมึ สมเย พาหริ า ปวธี าตุ โหติความวา สมัยนนั้ ปฐวีธาตุละลายดว ยนา้ํ ดางในแสนโกฏิจักรวาล ไหลตามนาํ้ไปตง้ั แตภ ูเขาเปน ตน ท้งั หมดกอ็ นั ตรธานไป ละลายเปน นาํ้ อยา งเดยี ว. บทวาตาว มหลลฺ กิ าย แปลวา ใหญเ พยี งน้ัน. ท่ีช่ือวา ใหญ เพราะมคี วามหนาอยางนี้ คอื
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 537เทวฺ จ สตสหสสฺ านิ จตฺตาริ นหตุ านิ จเอตตฺ ก พหลตฺเตน สงขฺ าตาย วสนุ ฺธราแผนดินใหญนี้ วา โดยสว นหนาประมาณถึงสองแสนสี่หมืน่ โยชนแตเม่อื วา โดยสว นกวา งมปี ระมาณแสนโกฏิจักรวาล ดว ยประการฉะนี.้ บทวาอนิจฺจตา แปลวา มแี ลว ก็ไมมี. บทวา ขยธมมฺ ตา เเปลวา มีความสิ้นไปเปน สภาวะ. บทวา วยธมมฺ ตา แปลวา มคี วามเสอ่ื มไปเปนสภาวะ.บทวา วปิ ริณามธมมฺ ตา แปลวา มีการละปกตเิ ปน สภาวะ. ทานกลา วถงึอนจิ จลักษณะอยา งเดยี ว ไวท กุ บทดว ยประการฉะนี.้ ก็ลักษณะทัง้ ๓ ยอ มมาตามพระบาลวี า ส่ิงใดไมเท่ียง สิ่งน้นั เปนทุกข ส่งิ ใดเปนทุกข ส่งิ นน้ั เปนอนตั ตา บทวา มตตฺ ฏ กสฺส แปลวา ตงั้ อยูช ัว่ ระยะกาลนดิ หนอ ย. ในบทน้นั พึงทราบวา กายน้ี ดาํ รงอยูชว่ั ระยะกาลเลก็ นอ ย โดยอาการ ๒ คอืตัง้ อยูน ิดหนอ ยและมีกจิ นดิ หนอย. จรงิ อยู กายนท้ี านกลา ววา ในขณะจิตที่เปนอดตี เปนอยูเเลว ไมใชก ําลังเปนอยู ไมใชจ ักเปน อยู ในขณะจิตที่เปนอนาคต จกั เปนอยูไ มใชก ําลงั เปน อยู ไมใชเปน อยูแลว ในขณะจิตท่ีเปนปจจบุ ันกําลังเปน อยู ไมใชเ ปนอยูแ ลว ไมใชจักเปนอยู. เพือ่ แสดงวากายน้ีน่แี ลต้งั อยูนิดหนอยทานจึงกลาวคํานีว้ าชีวิต อตฺตภาโว จ สขุ ทกุ ขฺ า จ เกวลาเอกจิตฺตสมายตุ ฺตา ลหโุ ส วตตฺ เต ขโณชีวติ อัตภาพและสุขทกุ ขทงั้ มวลลวนประกอบดวยจิตดวงเดียว ขณะยอมเปนไปฉบั พลนั .
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 538พงึ ทราบวา กายน้ี ตัง้ อยูชว่ั ระยะกาลเล็กนอย เพราะตั้งอยูชั่วระยะกาลนิดหนอ ย อยางนี.้ อนึ่งพงึ ทราบวา กายน้นั มีกิจนดิ หนอย เพราะเนือ่ งดวยลมอสั สาปส สาสะเปน ตน . จริงอยู สตั วทง้ั หลายมชี วี ิต เนื่องดว ยลมอสั สาสะเน่อื งดว ยลมปสสาวะ เนอื่ งดวยลมท้งั อัสสาสะท้ังปส สาสะ เน่ืองดวยมหาภูตรปูเนอื่ งดวยกวฬิงการาหาร เนื่องดวยวญิ ญาณ ทงั้ นก้ี ลาวไวพ สิ ดารแลว ในวิสทุ ธิมรรค. บทวา เอต ตณฺหูปาทินนฺ สฺส แปลวา ถูกตัณหายึดถือ ลบู คลํา. บทวาอหนตฺ ิ วา มมนตฺ ิ วา อสฺมีติ วา อถขฺวสสฺ โนเตเวตถฺ โหติ ความวาครั้งน้ันแล ภกิ ษุนัน้ ยกขน้ึ สูไตรลกั ษณพิจารณาอยอู ยางน้ี ยอมไมมคี าหะคอื ตัณหา มานะและทฏิ ฐิ ๓ อยาง ในปฐวีธาตุภายในนี้วา น่เี ปน เราเปนตนอธบิ ายวา ไมม เี ลย. ปฐวีธาตภุ ายนอก ยอมอนั ตรธานไปดวยอาํ นาจเตโชธาตุวาโยธาตุ. เหมอื นอนั ตรธานไปดวยอาํ นาจอาโปธาตุ ฉะนนั้ . แตในทนี่ ี้ มาอยา งเดยี วเทา น้นั . แมน อกน้กี พ็ ึงทราบโดยความหมายเหมือนกัน . ในคําวาตเฺ จ อาวุโส น้ี พระเถระเมื่อเร่ิมทําการกาํ หนดอารมณใ นโสตทวารของภิกษุผูบ ําเพญ็ ธาตุกมั มฏั ฐานน้ัน จงึ แสดงกาํ ลัง. บทวา อกโฺ กสนตฺ ิ ไดแ กดาดว ยอักโกสวัตถุ ๑๐. บทวา ปริภาสนฺติ ไดแ ก ขม ดว ยวาจาวา ทานทาํ เชน น้ี ๆ เราจะลงโทษทานอยางน้ี ๆ. บทวา โรเสนตฺ ิ แปลวา ยอมเสียดส.ี บทวา วิเหเสนฺติ แปลวา ยอ มทําใหลาํ บาก. ทานกลา วเฉพาะการเสยี ดสีดว ยวาจาไวทั้งหมด. บทวา โส เอว ความวา ภิกษุผูบ าํ เพ็ญธาตุกัมมัฏฐานนัน้ ยอมรอู ยางน.ี้ บทวา อปุ ปฺ นฺนา โข เม อย ความวา เกดิข้ึนเพราะธาตุ ๔ ทีเ่ กิดเปน ไปในปจจบุ นั และ เกดิ ขึ้นเพราะความกําเรบิ สบื สาน.บทวา โสตสมผฺ สสฺ ชา ความวา เวทนาที่แลนไปทางโสตทวารเกิดจากโสตสัมผัส ดวยอํานาจอปุ นิสยั . ดว ยบทวา ผสโฺ ส อนจิ ฺโจ ทานแสดงวาโสตสัมผสั ช่ือวา ไมเ ท่ยี งเพราะอรรถวา มแี ลวกไ็ มม .ี แมเ วทนาเปน ตน พึง
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 539เขา ใจวา สัมปยตุ ดวยโสตสัมผสั อยางเดยี ว. บทวา ธาตารมมฺ ณเมว ไดแกอารมณ กลา วคือธาตนุ ัน่ เอง. บทวา ปกฺขนทฺ ติ ไดแ ก หยั่งลง. บทวาปสีทติ ไดแ ก ผอ งใสในอารมณ. อกี อยางหน่งึ คํานนั่ เปนสตั ตมวี ภิ ัตอิ ยางเดยี ว. เมือ่ วาดว ยอํานาจพยญั ชนสนธิ ทานกลาววา ธาตารมมฺ ณเมว ในคําน้ีมีเนื้อความดงั นว้ี า ธาตารมมฺ เณเยว ในอารมณ คอื ธาต.ุ เมอ่ื วาดวยอํานาจธาตุ คําวา วิมุจจฺ ติ นี้ ยอ มไดแกอธโิ มกข ไมยนิ ดี ไมยินราย.ความจริง ภิกษผุ ูบาํ เพ็ญธาตุกมั มัฏฐานน้ี เมอ่ื อารมณม าปรากฏในโสตทวารยอมกาํ หนดวา เปนมูล เปน อารมณท ค่ี วรกําหนดรู เปนอารมณท ่ีจรมาเปนอารมณท ่ีเกดิ ข้นึ ชวั่ ขณะ. เรอื่ งพสิ ดารของอารมณนัน้ กลาวไวแ ลวในสติสัม-ปชัญญบรรพ ในสตปิ ฏฐานสตู ร. แตเวทนานนั้ กลา วไวแ ลว ในสตปิ ฏฐานสตู รนนั้ ดว ยอํานาจจกั ขทุ วาร. ในที่น้ีพงึ ทราบ ดวยอํานาจโสตทวาร. จรงิ อยู ภิกษบุ าํ เพ็ญธาตกุ มั มัฏฐาน ผูท าํ การกําหนดอยา งนแี้ ลวเจรญิ วิปสสนาอยา งแรง แมเมอ่ื อารมณม าปรากฏในจกั ขทุ วารเปน ตน ยอ มเกดิ อาวัชชนจติ โวฏฐพั พนจติ โดยอบุ ายไมแ ยบคาย ถงึ โวฏฐัพพนจติ แลว ไดอาเสวนจติ ครัง้ หนึ่งหรอื สองครั้ง จติ ก็หยงั่ ลงสูภ วงั คเหมอื นเดิม ก็ไมเ กิดดว ยอํานาจราคะ เปน ตน ภิกษนุ ้ี ชอื่ วา ถึงท่สี ดุ วปิ ส สนากลาแขง็ . ภิกษุรูปหนึง่เกิดชวนจติ ครั้งเดยี ว ดวยอํานาจราคะเปน ตน แตใ นทสี่ ดุ ชวนจิต เธอนกึ ดว ยอํานาจราคะเปน ตน วา ชวนจิตเกดิ แกเ รา ชื่อวา กาํ หนดอารมณไดแ ลว ไมเกิดเชน นนั้ อกี ครง้ั . ภกิ ษุอกี รูปหน่งึ นึกถงึ ครั้งเดียวกเ็ กดิ ชวนจิตดว ยอาํ นาจราคะเปน ตน เปนครัง้ ที่ ๒ อีก และเม่อื จบครงั้ ที่ ๒ เมื่อนกึ วา ชวนจิตเกดิ แกเ ราแลวอยางนี้เปนอนั กําหนดอารมณเ หมอื นกัน. ในคร้ังท่ี ๓ ก็ไมเ กิดอยา งน้ัน. ก็บรรดาภกิ ษุ ๓ รปู น้ัน รปู ที่ ๑ กลาแขง็ รปู ท่ี ๓ ออ นแอ. แตว า ดว ยอํานาจ
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 540รูปท่ี ๒ พงึ ทราบเน้อื ความนีใ้ นพระสูตรนี้ มีนกไสเปน เครื่องเปรยี บโดยภาวะเปนอนิ ทรียน นั้ เอง. พระเถระครน้ั แสดงกําลังของภกิ ษุผูบาํ เพ็ญธาตกุ มั มัฏฐานดว ยอาํ นาจกาํ หนดในโสตทวารอยา งน้ีแลว บัดน้ี เม่ือจะแสดงในกายทวาร จงึ กลา วคําวาตฺเจ อาวุโส เปนตน. จริงอยู ภกิ ษุผูถ งึ อนฏิ ฐารมณ ยอ มลาํ บากในทวารท้งั ๒ คือ โสตทวาร และกายทวาร เพราะฉะน้นั พระมหาเถระคดิ วาในอนาคตกาล กลุ บตุ ร ผูตองการศกึ ษาบําเพญ็ เพยี ร ถึงความสาํ รวมในทวารท้งั ๒ เหลา น้ี จกั ทําทีส่ ุดแหงชาตชิ รามรณะไดฉ ับพลนั ทีเดยี ว เปรียบเหมือนบรุ ษุ เจาของนา ถือจอบเท่ยี วเดนิ สํารวจนาไมเสรมิ กอนดินในทีใ่ ดทหี่ น่งึ เอาจอบฟนดินเฉพาะในท่ีบกพรอง เพม่ิ ดินในทีม่ หี ญา ฉะนน้ั เม่อื จะแสดงการสาํ รวมในทวารทัง้ ๒ เหลานี้แล ใหมนั่ คง จึงเรมิ่ เทศนาน้.ี บรรดาบทเหลา นัน้ บทวา สมทุ าจรนฺติ ไดแ กพ ยายาม. บทวาปาณสิ มผฺ สฺเสน ไดแกประหารดวยฝามือ. แมใ นคาํ นอกนี้ ก็มนี ยั นี้เหมอื นกัน.บทวา ตถาภโู ต แปลวามสี ภาวะอยา งนั้น. บทวา ยถาภูตสมฺ ึ แปลวาตามสภาวะ. บทวา กมนฺติ แปลวา เปนไป. พึงทราบวนิ ิจฉัยในคาํ วา เอว พุทฺธอนสุ ฺสรโต เปน ตน ภิกษุผบู าํ เพ็ญจตธุ าตุกัมมฏั ฐานเม่ือนกึ ถึงอยโู ดยนัยเปน ตนวา อิตปิ โส ภควา ชือ่ วาระลึกถงึ พระพุทธเจา คอื เมอ่ื ระลกึ วา คาํ น้ี พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสไวแ ลวเหมอื นกนั ก็ชอ่ื วา ระลกึ เหมือนกัน. แมเ ม่อื ระลึกอยูโดยนยั มีอาทวิ า สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม ช่อื วา ระลกึ ถงึ พระธรรม แมระลกึ ถงึ กกจูปโมวาทสตู ร กช็ อ่ื วาระลกึ ถงึ เหมอื นกนั . แมร ะลกึ ถึงโดยนัยเปนตน วา สุปฏปิ นโฺ น ชอื่ วา ระลึกถึงพระสงฆ เเมร ะลึกถงึ คุณของภกิ ษุผูอดกลั้นการตดั ดว ยเลอื่ ย กช็ ื่อวา ระลกึ ถงึ เหมือนกนั . ในคาํ วา อุเปกขฺ า ก-ุสลนสิ ฺสติ า สณฺาติ นี้ ทา นประสงคเ อาวปิ สสนุเบกขา. ในคาํ วา อุเปกขฺ า
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 541กุสลนิสฺสติ า สณฺ าติ น้ี ทานประสงคฉ ฬงั คเุ บกขา อุเบกขามอี งค ๖. ก็ฉฬังคเุ บกขา นี้น้นั เปน ไปดวยอํานาจความไมย ินดีเปน ตน ในอฏิ ฐารมณแ ละอนิฏฐารมณของพระขีณาสพก็จริง ถงึ อยา งนนั้ ภิกษนุ ้ี ตงั้ วปิ ส สนาของตนดวยความสาํ เร็จแหง ภาวนาตามกําลงั ความเพียร ในฐานของฉฬงั คเุ บกขาของพระขีณาสพ เพราะฉะนนั้ วปิ ส สนาแล จงึ ช่อื วา ฉฬังคเุ บกขา. พงึ ทราบวินิจฉยั ในอาโปธาตุนเิ ทศ ดงั ตอไปน้ี บทวา อาโปคตไดแก ส่ิงที่อุปาทนิ นรูปซมึ ซาบอยูใ นอาโปธาตุทง้ั หมด มลี กั ษณะเปน นาํ้ เยอื่ สด.กค็ าํ ทีพ่ ึงกลา ว ในคําวา ปตฺต เสมหฺ เปน ตน ทงั้ หมดพรอมท้ังนัยแหงภาวนาไดก ลาวไวแ ลว ในวิสทุ ธิมรรค. บทวา ปกุปปฺ ติ ไดแก ไหลไปโดยเปน โอฆะหรอื ลนจากสมุทรไหลไป ๆ. มันมีความกําเริบเปน ปกตดิ งั นี้ . ก็เมอื่เวลาทโี่ ลกประลัยไปดวยอาโปธาตุ แสนโกฏจิ กั รวาลเตม็ ไปดวยนาํ้ ทีเดยี ว. บทวาโอคคฺ จฉฺ นฺติ ความวา ไหลไปภายใต ถงึ ความสนิ้ พนิ าศไป เหมือนน้ําท่ียกขนึ้ บนเตาไฟ ฉะนน้ั . คําทเ่ี หลือพงึ ทราบโดยนยั กอนน่นั แล. พงึ ทราบวินจิ ฉัย ในเตโชธาตุนิทเทส ดังตอ ไปน้ี บทวา เตโชคตไดแก ส่งิ ที่เปนอปุ าทนิ นรูปท้งั หมด ท่อี ยูในเตโชธาตทุ ง้ั หมด มลี กั ษณะรอนอีกอยางหนึ่ง ช่ือวา เตโชคต เพราะอยูในภาวะท่รี อ นคือ เตโชธาตุ. ในอาโปธาตุ เบ้ืองตน กด็ ี ในวาโปธาตุ เบอ้ื งหลงั ก็ดี กน็ ยั นเี้ หมอื นกนั . บทวาเยน จ ไดแก ดวยเตโชธาตุอนั ใด เม่ือมันกาํ เริบ กายนกี้ ร็ อนเกดิ ไออนุโดยภาวะทคี่ รํ่าคราไปช่ัววนั หนึง่ เปน ตน . บทวา เยน จ ชิริยติ ไดแ ก กายนี้ยอมทรุดโทรมดว ยเตโชธาตุใด บคุ คล กม็ อี นิ ทรยี บกพรอง หมดกําลงั หนงัเห่ียว ผมหงอกเปนตน ดวยเตโชธาตนุ ัน้ . บทวา เยน จ ปรฑิ ยหฺ ติ ความวา กายน้ียอ มรอ นดว ยเตโชธาตใุ ดอนั กําเริบแลว บุคคลนั้นรอ งบน วารอ นรอน ยอ มหวังการลบู ไลด วยเนยใสจันทนเทศและจันทรแดงผสมเนยใสรอย
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 542คร้ัง และลมเกดิ จากพดั ใบตาล. บทวา เยน จ อสติ ปต ขายิต สายิต สมฺมา-ปรณิ าม คจฺฉติ ความวา ขาวเปนตน ทีก่ นิ ก็ดี นาํ้ ดื่มเปน ตน ท่ดี ืม่ แลวก็ดีแปงและของเคย้ี วเปนตนที่เคี้ยวแลวก็ดี มะมว งสุกน้ําผึ้งและนํา้ ออ ยเปน ตนที่ล้ิมแลว ก็ดี ยอมสกุ โดยชอบคือยอมเปล่ียนเปนรสเปนตนนั้นเอง. ในขอ นี้มีความสังเขปดังน.ี้ แตคําทีจ่ ะพึงกลาวโดยพสิ ดาร ท้ังหมดพรอมดว ยภาวนานัยไดก ลา วไวแลว ในวิสทุ ธมิ รรค. บทวา หรติ นฺต ไดแ ก ของเขยี วสดนนั้ เองอธิบายวา เตโชธาตุ อาศยั หญาสดเปน ตนก็ดับ. บทวา ปนฺถนตฺ ไดแ กทางใหญนน้ั เอง. บทวา เสลนฺต ไดแ ก ภูเขา. บทวา อทุ กนฺต ไดแ กนํา้ . บทวา รมณยี วา ภูมภิ าค ไดแก ภูมภิ าคปราศหญา และพมุ ไมเปน ตนท่ีวางไดแ ก ภมู ิภาคทโ่ี ลง . บทวา อนาหารา ไดแก ไมมีอาหารคือไมมีเช้ือ. ทานกลา วความวิการแหง เตโชธาตุตามปกติไวด ังน้ี. ก็เมื่อเวลาทโ่ี ลกพนิ าศดวยเตโชธาตุ เตโชธาตุก็ใหมแ สนโกฏจิ กั รวาล แมเพยี งข้เี ถากไ็ มเหลืออยู. บทวา นหารทุ ททฺ ลฺเลน ไดแ ก ดวยเศษของหนงั . บทวา อคฺคึคเวสนฺติ ความวา คนทงั้ หลายถือเอาเชอื้ ละเอยี ดเห็นปานนแี้ สวงหาไฟมันไดไออุนเพยี งเลก็ นอยกโ็ พลงขึ้น. คําที่เหลอื แมใ นท่นี ้ี พงึ ทราบโดยนัยกอ นแล. พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในวาโยธาตุนทิ เทสดงั ตอไปน้ี บทวา อุทฺธงคฺ มาวาตา ไดแก ลมทีพ่ ดั ขึน้ เบอ้ื งบนอันเปน ไปโดยอาการมีการเรอและสะอกึเปน ตน. บทวา อโธคมา วาตา ไดแก ลนพดั ลงเบือ้ งต่ํา มกี ารขับถา ยอจุ จาระ ปสสาวะเปน ตน . บทวา กุจฉฺ ิยา วาตา ไดแก ลมทพ่ี ดั ออกนอกลาํ ใสใหญเปนตน. บทวา โกฏ าสยา วาตา ไดแก ลมภายในลําไสใ หญ.บทว องฺคมงฺคานสุ ารโิ น ไดแ ก ลมท่ีเกิดจากการคูเ ขา เหยียดออกเปน ตนท่ซี า นไปตามอวัยวะนอยใหญใ นรางกายท้ังสิ้นตามแนวเสนเอน็ . บทวา อสฺสา-โส ไดแก ลมหายใจเขา. บทวา ปสสฺ าโส ไดแกล มหายใจออก. ในขอนี้มี
พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 543ความยอ เทา น้ี. แตเ มื่อวาโดยพสิ ดาร คาํ ทจี่ ะพงึ กลา วนัน้ ทงั้ หมดพรอมทงั้ภาวนานยั ไดกลา วไวแลว ในวสิ ทุ ธมิ รรค. บทวา คามมฺป วหติ ไดแกพดั พาบา นทง้ั สิ้นใหแ หลกละเอียดไป. แมใ นนคิ มเปน ตน ก็มนี ัยนเ้ี หมอื นกนั .เมอื่ คราวโลกยอ ยยับดวยลมน้ี ทานแสดงการเปลีย่ นแปลงแหง วาโยธาตุ ดว ยอาํ นาจการกําจดั แสนโกฏิจกั รวาล. บทวา วธิ ปู เนน ไดแก พดั พาไฟไป.บทวา โอสฺสวเน ไดแก ชายคา ก็นํ้าไหลลงตามชายคาน้ัน เพราะฉะน้นัทานเรียก ชายคาน้ันวา โอสสวนะ. คําที่เหลือแมใ นที่น้ี พึงประกอบโดยนยักอนนนั่ แล. ในคําวา เสยฺยถาป อาวุโส น้ีทา นแสดงถงึ อะไร. ทานแสดงถงึ มหาภตู รปู ทก่ี ลา วไวแลว แตห นหลงั วา มิใชส ัตว. บทวา กฏ ไดแ ก ทัพพสมั -ภาระ. บทวา วลลฺ ึ ไดแ ก เถาวลั ยส ําหรบั ผกู . บทวา ติณ ไดแ ก หญาสําหรบั มุง. บทวา มตตฺ กิ ไดแ ก ดินสาํ หรบั ฉาบทา. บทวา อากาโสปรวิ ารโิ ต ความวา โอกาสชอ งวางท่อี ยลู อมไมเ ปนตน เหลา นน้ั ภายในภายนอก. บทวา อคาร ในคาํ วา อคาร เตวฺ ว สงฺข คจฺฉติ เปน เพยี งบญั ญัติ.แตเ มอ่ื ไมเปน ตน แยกออกเปน กอง ๆ กองไมทานเรียกวา กฏ ราสิ วลลฺ ริ าสิทงั้ นน้ั . บทวา เอวเมวโข ความวา โอกาสท่ีอยูลอ มกระดกู เปน ตน ทง้ั ภายในภายนอก อาศัยกระดกู เปน ตน เหลา นน้ั จึงนับวา รปู ท้งั นั้น ฉนั นั้นเหมือนกัน. เรอื นที่อาศยั ไมเปน ตน ช่อื วา เคหะ ทา นเรียกวา ขตั ติยเคหะพราหมณเคหะ ฉนั ใด แมร ปู กฉ็ ันนน้ั เหมอื นกัน ทา นเรยี กวา ขตั ตยิ สรรี ะพราหมณสรีระ. แทจรงิ ในทนี่ ีส้ ภาวะไร ๆ ทช่ี อ่ื วา สัตวห รือชวี ะ หามไี ม. ถามวา คําวา อชฺฌตตฺ กิ เฺ จ อาวโุ ส จกฺขุ นี้ ทานเร่มิ ไวเพราะเหตไุ ร. ตอบวา อุปาทายรปู อรูปขนั ธ ๔ และ อรยิ สัจ ๓ ทานมไิ ดกลาวไว
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 544ขางตน บัดนี้ เพือ่ จะกลาวอปุ าทายรูปเปนตนเหลานนั้ ทา นจงึ เร่ิมเทศนานีไ้ ว. บรรดาบทเหลานนั้ บทวา จกฺขุ อปรภิ ินนฺ ไดแ ก เม่ือจักขุประสาทดับไปกด็ ี ถูกอารมณภ ายนอกมาขัดขวางกด็ ี ถกู ดีเสลดและเลือดพัวพันกด็ ีจกั ขปุ ระสาทไมอาจเปน ปจจัยแกจักขุวิญญาณได เปน เพยี งชอื่ วา แตกไปเทานั้นแตส ามารถเปน ปจ จยั แกจักขวุ ิญญาณ ชอ่ื วา อปรภิ นิ นะ คือ ไมแ ตกไป. บทวาพาหิรา จ รปู า ไดแ ก รปู ท่มี ีสมฏุ ฐาน ๔ ภายนอก. บทวา ตชโฺ ช สมน-ฺนาหาโร ไดแก อาศยั จักขุนน้ั และรูป คํานงึ ถงึ ภวังคแลว เกดิ มนสกิ ารอธบิ ายวา กริ ิยมโนธาตุจติ ในจักขทุ วารสามารถคาํ นึงถึงภวังค กิรยิ มโนธาตุจติ นน้ั ไมมแี มแ กผ ูที่สง ใจไปในท่ีอื่น เพราะรปู ารมณไมป รากฏ. บทวาตชชฺ สฺส ไดแ ก สมควรแกจ ติ น้ัน. บทวา วิ ฺ าณภาคสสฺ ไดแ ก สว นแหง วญิ ญาณ. ทานแสดงสจั จะ ๔ โดยอาการ ๑๒ ในคาํ วา ยถาภูตสสฺเปนตน . บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา ตถาภตู สสฺ ความวา เกิดพรอมดวยจักขุวิญญาณ คือพรง่ั พรอมดว ยจกั ขุวิญญาณ. บทวา รูป ความวา รูปทมี่ ีสมุฏฐาน ๓ ยอ มไดในขณะจกั ขวุ ิญญาณ เพราะจักขุวญิ ญาณเปน ตัวทําใหรูปเกิด แมรูปท่ีมสี มุฏฐาน ๔ ยอ มไดในขณะจิตตอ จากนน้ั . บทวา สงคฺ หคจฺฉติ แปลวา ถงึ การนับ. เจตสิกธรรมมีเวทนาเปน ตน กส็ ัมปยุตดวยจกั ขุวิญญาณเหมอื นกัน. วิญญาณ ก็คอื จักขุวิญญาณน่ันเอง. ทา นกลา วเจตนาวาสังขาร ไวใ นคาํ น้ี . บทวา สงคฺ โห แปลวา รวมกัน. บทวา สนฺนปิ าโตแปลวา มาพรอมกัน. บทวา สมวาโย ไดแก กอง. บทวา โย ปฏิจฺจ-สมุปปฺ าท ปสสฺ ติ ไดแก ผใู ดเห็นปจจยั ทง้ั หลาย. บทวา โส ธมฺม ปสสฺ ติไดแก ผนู น้ั ชื่อวา เหน็ ปฏจิ จสมุปปนนธรรม. คาํ ทงั้ ปวงมฉี นั ทะเปนตน เปนไวพจนข องตณั หานนั่ เอง. จรงิ อยู ตัณหาทา นเรียกวาฉันทะ เพราะทาํ ความพอใจ เรียกวาอาลัย เพราะทําความเยอ่ื ใย เรียกวา อนนุ ยะ เพราะทาํ ความ
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 545ยินดี เรียกวา อชั โฌสานะ เพราะใสลงกลนื เก็บไว. คาํ วา ฉนทฺ ราควนิ โยฉนฺทราคปปฺ หาน เปน ช่อื ของพระนิพพานท้ังนนั้ . ในพระบาลี มา ๓ สัจจะเทา นั้น ควรนาํ มรรคสัจมารวมไวด ว ย ดว ยประการฉะนี.้ ในฐานะ ๓ เหลาน้ี ทฏิ ฐิ สังกปั ปะ วาจา กมั มนั ตะ อาชีวะ วายามะ สติ สมาธิ ภาวนาปฏิเวธ นี้ ช่อื วา มรรค. บทวา พหกุ ต โหติ ความวา ดวยแมอ ธบิ ายเพียงเทา น้ี ก็เปนอนั ทาํ ตามคาํ สอนของพระผูม ีพระภาคเจาเปน อันมาก. แมในวาระมอี าทิวา อชฺฌตฺติก เจ อาวุโส โสต กน็ ยั นเี้ หมอื นกัน. สวนในมโนทวารภวงั คจติ ชื่อวา ใจภายใน ภวังคจติ นัน้ แมด ับไปแลว ไมส ามารถเปนปจ จัยของอาวัชชนจิตได ภวงั คจติ ที่มีกําลงั ออ นแมเปน ไปอยู ก็ชื่อวาแตกแลว ท่ีสามารถเปน ปจ จยั ของอาวัชชนจิต ชื่อวา ไมแ ตก. คําวา พาหริ า จธมฺมา ฯเปฯ เนว ตาว ตชชฺ สสฺ นี้ ทานกลา วไวโ ดยสมัยภวงั คจติ เทาน้ัน.ในวาระที่ ๒ ทา นกลาวหมายเอาภิกษุผสู ง ใจไปในทอี่ นื่ โดยพิจารณาฌานที่ชํ่าชอง ใสใ จกัมมัฏฐานทคี่ ลองแคลว หรือทอ งบน พทุ ธพจนท ่ีชาํ นาญเปน ตน.รปู แมมีสมุฏฐาน ๔ กไ็ ดช ่ือวา รูป ในวาระนี้. เพราะนโนวิญญาณ ยอมใหรปู เกดิ ขน้ึ . เจตสิกธรรมมีเวทนาเปน ตน ก็สมั ปยตุ ดวยมโนวญิ ญาณ. วิญญาณก็คือมโนวิญญาณนนั่ เอง. แตในทน่ี ี้ สงั ขารท้งั หลายทา นถือดว ยผสั สเจตนาเหมอื นกัน. คาํ ที่เหลือ พึงทราบตามนัยที่กลาวแลวนนั้ แล. ดงั นั้น พระมหาเถระเมอ่ื พิจารณาเฉพาะเอกเทศในหนหลัง จึงเอามาตง้ั ไวในทนี่ ี้ แลวแยกแสดงเทศนาทไี่ มสมบูรณท ัง้ หมดในหนหลังไวดวยอํานาจทวาร จบพระสูตรลง ตามลําดับอนสุ นธิแล. จบอรรถกถามหาหัตถิปโทปมสตู ร ที่ ๘.
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 546 ๙. มหาสาโรปมสูตร [๓๔๗] ขาพเจาไดส ดับมาอยา งน:ี้ - สมยั หนงึ่ พระผมู ีพระภาคเจา ประทบั อยู ณ ภเู ขาคชิ ฌกูฏ กรงุ -ราชคฤห เมื่อพระเทวทัตหลีกไปไมน าน ณ ทนี่ น้ั แล พระผูมพี ระภาคเจาทรงปรารภพระเทวทตั ตรสั เรยี กภิกษทุ ง้ั หลายมาแลว ตรสั วา ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย กุลบุตรบางคนในโลกน้ี ออกจากเรือนไมมีเรือนบวชดว ยศรทั ธาดว ยคิดวา เราเปนผถู ูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนัส อปุ ายาสครอบงํา ถกู ความทกุ ขท วมทับแลว มคี วามทกุ ขเ ปน เบอ้ื งหนา ไฉนหนอความกระทาํ ทส่ี ุดแหงกองทุกขท งั้ มวลน้ี จะพงึ ปรากฏ. เขาบวชอยางนั้นแลวยังลาภสักการะและความสรรเสรญิ ใหบ งั เกิดขึน้ . เขามีความยินดี มคี วามดาํ ริเตม็ เปย มดวยลาภสักการะ และความสรรเสริญนน้ั . เพราะลาภสักการะและความสรรเสรญิ อนั นน้ั เขายอ มยกตนขมผอู ื่นวา เรามีลาภสกั การะและความสรรเสรญิ สวนภิกษอุ ื่นนอกนี้ไมปรากฏ มีศกั ดานอ ย. เขายอมมวั เมา ถึงความประมาทเพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนน้ั เมอ่ื เปน ผปู ระมาทแลวยอ มอยูเปน ทุกข. ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย เปรียบเหมอื นบรุ ุษผูม ีความตองการแกน ไมอยู เม่ือตน ไมใ หญม แี กน ยืนตน อยู ละเลยแกน ละเลยกระพี้ ละเลยเปลอื ก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิง่ และใบถอื ไป สําคญั วา แกน บรุ ุษผมู จี กั ษุเห็นเขาผูน น้ั แลว พึงกลาวอยางน้วี า บรุ ษุ ผูเจรญิ นี้ ไมร จู กั แกนไม ไมรูจกักระพี้ ไมรจู กั เปลอื ก ไมรูจักสะเกด็ ไมรูจ ักกิง่ และใบ จรงิ อยา งนั้น บุรุษผูเจรญิ น้มี คี วามตอ งการแกนไม แสวงหาแกนไม เท่ียวเสาะหาแกนไมอ ยู เมอ่ืตน ไมใ หญมแี กน ตัง้ อยู ละเลยกระพ้ี ละเลยเปลอื ก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตดั
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 547เอากง่ิ และใบถือไป สาํ คญั วาแกน และกจิ ทีจ่ ะพงึ ทาํ ดว ยไมแกน ของเขา จกัไมส ําเร็จประโยชนแกเขา ฉันใด กุลบตุ รบางคนในโลกน้ี กฉ็ นั นน้ั เหมือนกนั ออกจากเรือนไมมเี รือนบวชดวยศรทั ธาดว ยคดิ วา เราเปน ผูถูกชาติ ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนสั อปุ ายาส ครอบงาํ แลว ถูกความทกุ ขทว มทับแลว มคี วามทกุ ขเ ปนเบอ้ื งหนา ไฉนหนอ ความกระทําทีส่ ดุ แหงกองทุกขท ง้ั มวลน้ี จะพึงปรากฏ. เขาบวชอยางนั้นแลว ยังลาภสกั การะและความสรรเสรญิ ใหบ งั เกดิ ขึน้ . เขามีความยนิ ดี มคี วามดาํ รเิ ต็มเปยม ดวยลาภสักการะและความสรรเสริญอันน้นั . เพราะลาภสักการะ และความสรรเสรญิ อนั น้ันเขายอ มยกตนขม ผอู ื่นวา เรามีสกั การะ และความสรรเสรญิ สวนภกิ ษุอืน่นอกน้ีไมปรากฏ [หรอื มีคนรจู กั นอย] มีศักดานอ ย. เขายอมมัวเมา ถึงความประมาทเพราะลาภสักการะและความสรรเสรญิ นนั้ เมอ่ื เปนผปู ระมาทแลวยอ มอยูเปน ทกุ ข ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ภกิ ษุนีเ้ ราเรียกวา ไดถ ือเอาก่งิ และใบของพรหมจรรย และถงึ ทีส่ ุดแคก่งิ และและใบนนั้ . วา ดว ยสะเกด็ ของพรหมจรรย [๓๔๘] ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย กุลบตุ รบางคนในโลกน้ี ออกจากเรือนไมม ีเรือนบวชดวยศรทั ธาดว ยคดิ วา เราเปน ผูถูกชาติ ชรา มรณะโสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนสั อปุ ายาส ครอบงาํ แลว ถูกความทุกขท ว มทบั แลว มีความทกุ ขเ ปน เบ้ืองหนา ไฉนหนอ ความกระทําท่สี ดุ แหงทุกขทง้ั มวลน้ี จะพงึ ปรากฏ. เขาบวชอยางนัน้ แลว ยงั มีลาภสกั การะและความสรรเสรญิ ใหบ ังเกดิ ขึ้น. เขาไมมีความยินดี มีความดาํ รยิ งั ไมเต็มเปยม ดวยลาภสกั การะและความสรรเสริญนั้น. เขาไมยกตน ไมขม ผอู ื่น เพราะลาภสกั การะและความสรรเสริญอันนน้ั . เขายอมไมม วั เมา ไมถ ึงความประมาทเพราะลาภสกั การะและความสรรเสรญิ น้นั เม่อื เปนผูไ มประมาทแลว ยอ มยังความถึงพรอมเเหง ศีลใหสาํ เรจ็ . เขามคี วามยินดมี ีความดํารเิ ต็มเปย ม ดวย
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 548ความถึงพรอมแหง ศลี น้ัน. เพราะความถึงพรอมแหงศลี นนั้ เขายอมยกตนขม ผอู นื่ วา เรามศี ีลมกี ลั ยาณธรรม สว นภกิ ษอุ นื่ นอกนเ้ี ปน ผูทุศีลมีบาปธรรม.เขายอ มมัวเมา ถึงความประมาทเพราะความถึงพรอ มแหงศีลน้นั เมื่อเปน ผูประมาทแลว ยอ มอยูเปนทุกข. ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย เปรียบเหมือนบรุ ุษผมู ีความตอ งการแกนไม แสวงหาแกนไม เท่ยี วเสาะหาแกน ไมอ ยู เมอื่ ตนไมใหญม ีแกนตัง้ อยู ละเลยแกน ละเลยกระพ้ี ละเลยเปลือกไปเสยี ถากเอาสะเก็ดถอื ไป สาํ คญั วา แกน บุรษุ ผมู ีจกั ษเุ ห็นเขาผนู ั้นแลว พงึ กลาวอยางนี้วา บรุ ษุ ผูเจรญิ นี้ ไมรูจักแกนไม ไมรจู กั กระพ้ี ไมร ูจกั เปลือก ไมร จู กัสะเกด็ ไมร ูจกั กงิ่ และใบ จริงอยางนัน้ บุรษุ ผเู จริญนี้ มคี วามตอ งการแกนไม แสวงหาแกนไม เที่ยวเสาะหาแกนไมอ ยู เมือ่ ตน ไมใ หญม แี กน ตัง้ อยูละเลยแกน ละเลยกะพ้ี ละเลยเปลอื กไปเสีย ถากเอาสะเกด็ ถอื ไป สําคัญวาแกน และกิจที่จะพึงดว ยไมแ กนของเขาจกั ไมสําเร็จประโยชนแกเ ขา ฉันใดกุลบตุ รบางคนในโลกน้ี กฉ็ นั น้ันเหมอื นกนั ออกจากเรือนไมม เี รือนบวชดว ยศรัทธาดว ยคดิ วา เราเปน ผถู กู ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนสัอปุ ายาส ครอบงําแลว ถกู ความทุกขทวมทบั แลว มีความทกุ ขเ ปนเบอ้ื งหนาไฉนหนอ ความกระทําทีส่ ุดแหง กองทกุ ขทั้งมวลน้ี จะพึงปรากฏ. เขาบวชอยางนแ้ี ลว ยังลาภสักการะและความสรรเสรญิ ใหบ งั เกิดขึ้น. เขาไมม ีความยนิ ดีมีความดาํ รยิ งั ไมเ ต็มเปย ม ดว ยลาภสักการะและความสรรเสรญิ นัน้ . เขาไมย กตน ไมข ม ผูอ ืน่ เพราะลาภสักการะและสรรเสริญอันน้ัน. เขายอ มไมม ัวเมาไมถงึ ความประมาท เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนน้ั เม่ือเปนผูไมประมาทแลว ยอ มยงั ความถงึ พรอมแหง ศีลใหส าํ เร็จ. เขามีความดาํ รเิ ต็มเปย มดว ยความถงึ พรอมแหง ศีลน้ัน. เพราะความถงึ พรอ มแหงศลี อันนั้น เขายอ มยกตนขม ผอู ื่นวา เรามีศลี มกี ลั ยาณธรรม สว นภิกษอุ ่นื นอกนี้ เปน ผูท ศุ ีล
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 549มีบาปธรรม เขายอมมวั เมา ถงึ ความประมาท เพราะความถงึ พรอ มแหง ศลี น้ันเมอ่ื เปนผูประมาทแลว ยอ มอยเู ปนทุกข ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ภกิ ษุน้เี ราเรยี กวา ไดถอื เอาสะเกด็ ของพรหมจรรย และถงึ ท่สี ุดแคสะเก็ดนนั้ . วา ดวยเปลือกของพรหมจรรย [๓๔๙] ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย กุลบตุ รบางคนในโลกนี้ ออกจากเรือนไมม เี รือนบวชดว ยศรทั ธาดวยคิดวา เราเปน ผูถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทุกข โทมนสั อปุ ายาส ครอบงาํ แลว ถกู ความทุกขทว มทับแลวมคี วามทกุ ขเ ปน เบือ้ งหนา ไฉนหนอ ความกระทาํ ที่สดุ แหงกองทกุ ขทัง้ มวลน้ีจะพึงปรากฏ. เขาบวชอยา งนั้นแลว ยงั ลาภสักการะและความสรรเสริญใหบงัเกิดขึน้ . เขาไมมีความยินดี มีความดํารยิ ังไมเต็มเปย ม ดวยลาภสักการะและความสรรเสริญนนั้ . เขาไมย กตน ไมขม ผูอื่น เพราะลาภสกั การะและความสรรเสรญิ อันนน้ั . เขายอ มไมมัวเมา ไมถึงความประมาทเพราะลาภสักการะและความสรรเสรญิ นั้น เมื่อเปน ผูไมประมาทแลว ยอมยังความถงึ พรอมแหง ศลีใหส ําเรจ็ . เขามคี วามยินดีดว ยความถงึ พรอมแหง ศลี นั้น แตมีความดํารยิ งั ไมเตม็ เปย ม. เขาไมยกตน ไมข มผอู ื่น เพราะความถงึ พรอมแหง ศีลอันนนั้ .เขายอมไมมวั เมา ไมถึงความประมาท เพราะความถงึ พรอ มแหงศีลนัน้ เมอ่ืเปน ผูไ มประมาทแลว ยอ มยังความถงึ พรอ มเเหงสมาธิใหสาํ เรจ็ เขามคี วามยินดี มคี วามดําริเต็มเปย ม ดวยความถึงพรอมแหง สมาธนิ ้นั . เพราะความถงึ พรอมแหงสมาธอิ ันน้ัน เขายอมยกตนขม ผูอืน่ วา เรามจี ติ ต้ังม่ัน มีจติมอี ารมณเปนอนั เดียว สวนภกิ ษุอืน่ นอกน้ี มจี ิตไมตง้ั มนั่ มจี ิตหมุนไปผดิ แลว .เขายอมมัวเมาถึงความประมาท เพราะความถงึ พรอมแหงสมาธนิ ัน้ เมื่อเปนผูประมาทแลว ยอมอยูเปนทุกข. ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย เปรียบเหมอื นบุรุษผูมีความตองการแกนไม แสวงหาแกน ไม เที่ยวเสาะหาแกน ไมอยู เม่ือตน ไมใหญมีแกน ตง้ั อยู ละเลยแกน ละเลยกระพไ้ี ปเสีย ถากเอาเปลือกถือไป สําคญั
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 550วา แกน บรุ ุษผูมีจกั ษุเห็นเขาผูนั้นแลว พงึ กลาวอยางนี้วา บรุ ุษผูเจริญนี้ไมร จู กั แกน ไมรจู ักกระพ้ี ไมร จู ักเปลือก ไมร ูจักสะเก็ด ไมรูจ ักก่งิ และใบจรงิ อยางนั้น บุรุษผูเ จรญิ น้มี คี วามตอ งการแกนไม แสวงหาแกนไม เทีย่ วเสาะหาแกน ไมอยู เม่ือตนไมใ หญม แี กน ต้ังอยู ละเลยแกน ละเลยกระพ้ไี ปเสียถากเอาเปลือกถอื ไป สําคญั วาแกน และกจิ ที่จะพงึ ทําดวยไมแ กน ของเขา จักไมส าํ เรจ็ ประโยชนแ กเขาฉนั ใด กลุ บุตรบางคนในโลกนี้ ก็ฉันน้นั เหมอื นกันออกจากเรอื นไมมีเรอื นบวช ดวยศรัทธาดว ยคดิ วา เราเปนผูถูกชาติ ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนสั อุปายาส ครอบงําแลว ถกู ความทกุ ขทวมทบั แลว มีความทุกขเปน เบือ้ งหนา ไฉนหนอ ความกระทาํ ทส่ี ุดแหงกองทุกขท้ังมวลน้ี จะพึงปรากฏ. เขาบวชอยา งนัน้ แลว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญใหบ งั เกิดขึ้น. เขาไมมคี วามยินดี มคี วามดํารยิ งั ไมเ ต็มเปย มดวยลาภสักการะและความสรรเสรญิ นน้ั . เขาไมย กตน ไมข มผอู ่นื เพราะลาภสกั การะและความสรรเสรญิ อันนัน้ . เขายอมไมมวั เมา ไมถึงความประมาทเพราะลาภสกั การะและความสรรเสรญิ นนั้ เม่ือเปน ผไู มป ระมาทแลว ยอ มยงัความถึงพรอมแหงศีลใหส ําเร็จ. เขามคี วามยินดดี วยความถึงพรอ มแหงศลี นนั้แตมคี วามดาํ รยิ งั ไมเ ตม็ เปยม. เขาไมย กตน ไมขม ผูอ ืน่ เพราะความถึงพรอมแหง ศีลน้นั . เขายอมไมม ัวเมา ไมถ งึ ความประมาท เพราะความถงึ พรอมแหงศีลนัน้ เม่อื เปน ผูไมประมาทแลว ยอ มยังความถงึ พรอ มแหงสมาธิใหสําเร็จ. เขามคี วามยินดี มีความดําริเต็มเปย ม ดวยความถึงพรอมแหงสมาธิน้นัเขายอมยกตนขม ผูอ ืน่ วา เรามจี ติ ตัง้ มัน่ มจี ิตมีอารมณเปน อันเดยี ว สวนภกิ ษอุ ่ืนนอกน้ี มีจิตไมตงั้ มั่น มจี ิตหมุนไปผิดแลว เขายอมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะความถึงพรอมแหงสมาธินั้น เมอ่ื เปนผูประมาทแลว ยอ มอยู
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 571
Pages: