Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_18

tripitaka_18

Published by sadudees, 2017-01-10 01:16:26

Description: tripitaka_18

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 505ควร นอกจากท่ที รงอนญุ าตไวโ ดยเฉพาะ. คาํ วา อิตถฺ ี ในคําวา อิตฺถีกุมารกิ ปฏิคคฺ หณา นีไ้ ดแ กหญงิ ที่กําลังอยกู บั ผชู าย นอกนั้นจัดเปน หญิงสาว. การรับกด็ ี การจบั ตองก็ดี ซึ่งหญงิ เหลา นน้ั . ในบทวา ทาสที าสปฏิคคฺ หณา น้ี ความวา ไมค วรรับชนเหลา นน้ั ไวโ ดยเปนทาสหญงิ ทาสชายเลย แตเมือ่ เขาพดู วาฉันถวายเปน กัปปยะการก ฉนั ถวายเปน คนวัด ก็ควรไดรบั . ในแพะและแกะเปน ตน มนี าและสวนเปน ท่สี ุดพงึ ใครค รวญนยั ที่สมควรและไมส มควร ตามวนิ ยั . ในบรรดานาและสวนนนั้ ชื่อวา นา คอืทปี่ ลกู -ปุพพัณณชาติ ซ่ึงวา ทสี่ วน คอื ทป่ี ลกู อปรณั ณชาต.ิ อีกอยา งหนงึ่ทที่ ี่ปพุ พัณณชาติและอปรัณณชาติท้ังสองงอกขนึ้ นน้ั ชอื่ วา นา ภมู ิภาคที่มิไดท าํ ไวเพือ่ ประโยชนน ้นั ช่อื วา สวน. กใ็ นทีน่ ท้ี านรวมแมบงึ และหนองเปน ตน โดยมนี าและสวนเปน สาํ คญั . งานทูตคอื การถือหนงั สอื หรือขา วสารของคฤหสั ถไปในทนี่ ้ัน ๆ เรยี กวา ทูเตยะ (การสง ขา วสาร). การไปดวยกิจเลก็ ๆ นอยๆ ของผูท ี่เขาสง ไปจากเรือน (น)้ี สูเ รอื นโนน ทา นเรยี กวา การรบัใช. การกระทาํ ทั้งสองอยางน้ัน ชื่อวาอนุโยค เพราะฉะนัน้ พึงเห็นความในขอน้วี า การประกอบเนืองๆ ซงึ่ การสงขา วสารและการรับใช. บทวา กยวกิ กฺ ยาไดแกการซอื้ และการขาย. บทวา กูฏ ในคาํ วา ตลุ ากูฏเปน ตน ไดแกก ารโกง. กอนอ่นื ในการโกงเหลาน้ัน การโกงดวยตาช่ังมี ๔ อยา ง คือ โกงโดยรูปโกงโดยอวัยวะ โกงโดยรับ โกงโดยปกปด . ในการโกงอยา งน้ัน ช่ือวาการโกงโดยรูป คือ การทําตาชงั่ ๒ อนั ใหรปู เทา กัน เมื่อรบั ก็รับดวยตาชั่งอันใหญ เม่อื ใหก็ใหดว ยตาชัง่ อันเลก็ . ช่ือวา โกงโดยอวยั วะคอื เม่ือรบั ก็เอามือกดตาชัง่ ขา งหลงั ไว เมื่อใหก ็เอามอื กดตาชั่งขางหนาไว. ชอ่ื วาการโกงโดยรับคือเม่อื รับกจ็ ับเชือกที่ตน เมอ่ื ใหกจ็ ับเชือกทปี่ ลาย. ชอ่ื วา โกงโดยปกปด คือ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 506กระทําตาชง่ั กลวงแลวใสผ งเหลก็ ไวขางใน เมอ่ื รบั กก็ ระทาํ ตาชง่ั น้ันไวทางหลังเมอื่ ใหกก็ ระทาํ ตาชั่งไวท างปลาย. ถาดทองคําเรียกวาสําริด. การโกงดวยถาดทองนั้น ชอ่ื วา โกงดวยสาํ ริด. อยางไร ? คือกระทาํ ถาดทองขึ้นใบหน่งึ แลว กระทาํ ถาดโลหะอยางอนื่๒-๓ ใบใหม ีสเี หมอื นทอง แตนน้ั ไปยงั ชนบทเขา ไปหาตระกลู ทม่ี ัง่ คงั่ ตระกลูใดตระกูลหนง่ึ กลาววา ทานจงซอ้ื ภาชนะทอง เมือ่ เขาถามราคาเปน ผูประ-สงคจ ะใหส ิ่งทม่ี รี าคามากกวา . แตนนั้ เม่อื คนเหลา นน้ั พดู วา บอกที่เถดิ ขาพเจาจะทราบวาถาดเหลา นี้เปนทองคาํ ไดอยา งไร จึงบอกวา ทา นจงทดลองเอาเถอะแลว เอาถาดทองครูดทีห่ ิน แลวนอบถาดท้ังหมดใหไป. ชื่อการโกงดวยเครือ่ งตวงวดั มี ๓ อยางคือ หทยเภท ๑ สิขาเภท ๑รชั ชเุ ภท ๑. ใน ๓ อยางน้นั หทยเภทะ ใชใ นเวลาตวงเนยใสและนํา้ มันเปนตน .คือเม่ือจะซ้อื เนยใสและนํา้ มันเปน ตนเหลาน้ัน กบ็ อกวา จงคอยๆรนิ แลวใหเ นยใสและนํา้ มันเปนอนั มากไหลลงในภายในภาชนะ ดวยเคร่ืองตวงทม่ี ีชอ งอยูภายในรับเอา เม่อื จะขายกป็ ดชอ งเสียทําใหเต็มเรว็ ๆ ใหไป. สขิ าเภทะ ใชในเวลาตวงงาและขา วสารเปน ตน. คือเม่อื จะตวงซื้องาและขาวสารเปน ตน เหลา นัน้ ก็คอ ย ๆ ยอดพนู สงู ข้นึ ถือเอา เมอื่ ตวงขายกร็ บี ตวงใหเต็มแลว ปาดขายไป.รัชชุเภทะ ใชในเวลาวดั ท่นี าและที่สวน. คอื เมอื่ ไมไดสินจางก็วัดทาํ นาทแ่ี มใ นใหญก ็ใหใหญไ ด. พึงทราบวินจิ ฉัยในคาํ วา อกั โกฏนะ เปน ตน . บทวา อุกโฺ กฏนหมายเอาการโกง เพอื่ ทาํ คนผูเปนเจาของไมใหเปนเจาของ. บทวา วฺจน ไดแกการลวงคนอน่ื ดว ยอบุ ายนน้ั ๆ. ในขอนนั้ มีเร่ืองหน่งึ เปนอทุ าหรณดงั ตอไปนี้เลากันมาวา นายพรานคนหนงึ่ จบั เน้ือและลูกเนอื้ มา. นักเลงคนหนงึ่ พูดกะเขาวา ผเู จรญิ เนือ้ ราคาเทาไรลูกเนื้อราคาเทาไร. เมื่อเขาตอบวาเนื้อ ๒ กหาปณะ

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 507ลกู เนอื้ ๑ กหาปณะ จงึ ให ๑ กหาปณะแลว พาเอาลูกเน้ือไปไดห นอ ยหนึ่งก็กลับมาพูดวาฉันไมตอ งการลกู เนื้อละ ทา นจงใหเ นอ้ื แกฉ นั . ถาเชน นนั้ ทานจงให ๒กหาปณะ. นักเลงนั้นพดู วา ผเู จรญิ เราให ๑ กหาปณะ แกทา นกอ นแลวมิใชหรือ. รบั วา เออใหแ ลว. จงึ กลาววา ทา นจงเอาลกู เน้ือแมน ้ไี ป เมอื่ เปนเชนนนั้ กหาปณะน้ัน และลกู เนอื้ ซึ่งไดราคา ๑ กหาปณะ น้ี จงึ รวมเปน๒ กหาปณะ นี้ จึงรวมเปน ๒ กหาปณะ. นายพรานกําหนดวา เขากลาวมีเหตุผลจึงรับเอาลกู เนอื้ ไวแลว ใหเ นอ้ื ไป. บทวา นิกติ ไดแกการลวงดว ยวิธีปลอม โดยทําส่ิงซึ่งไมใชส ังวาลวา เปนสังวาล ท่ีไมใ ชแ กว มณี วาเปน แกวมณี ทมี่ ใี ชทองวาเปน ทอง ดว ยการตลบตะแลงหรือดว ยกลลวง. บทวา สา-วโิ ยโค แปลวา การตลบตะแลงดว ยการโกง. คําวา สาวิโยโคน้ี เปน ชื่อของการคดโกงเปน ตน เหลานั้นน่ันเอง. เพราะฉะนั้น พงึ เหน็ ความในคาํ วา สาวิโยโคน้ีวา ตลบตะแลงดว ยการกดโกง ตลบตะแลงดว ยหลอกลวง. อาจารยบางพวกกลาววา การแสดงสิ่งหนึ่งแลว เปลีย่ นเปนอีกสง่ิ หนงึ่ ชือ่ วาสาวิโยคะ ตลบตะแลง. แตค ํานน้ั ทา นกร็ วมเขา ดวยการหลอกลวงเหมือนกนั . พึงทราบวนิ ิจฉยัในขอ วา เฉทนะเปน ตน คาํ วา เฉทน ไดแกก ารัดมอื เปนตน. บทวาวโธ ไดแ กก ารทาํ ใหตาย. บทวา พนฺโธ ไดแกการจองจําดวยเครื่องจําคอืเชอื กเปน ตน. บทวา วิปราโมโส ไดแกการบงั มี ๒ อยาง คือ บังดว ยหิมะและบังดวยพมุ ไม. ใน ๒ อยา งนนั้ บังดวยหมิ ะ ในเวลาหมิ ะตกแลวพดู เท็จกะชนผูเดินไป นี้ เรยี กวา หมิ วิปราโมส หิมะบงั ดว ยหิมะ. บงั ดวยพมุ ไมเปนตนแลวพูดเท็จนี้ เรียกวา คุมพวิปราโมสะ บงั ดว ยพุมไม. การปลน สะดมชาวบา นและชาวนคิ มเปนตนทานเรยี กวา อาโลโป การปลน . บทวา สหสากาโรไดแ ก การกระทาํ อยา งฉบั พลนั คอื เขา ไปสเู รือนแลว จีอ้ กของตนทัง้ หลายแลวฉวยสิ่งของตามปรารถนาไป เปน ผเู วนขาดจากอาการตัด ฆา จองจาํ บัง ปลนจ้ีน้นั ดว ยประการฉะน้.ี

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 508 บทวา โส สนฺตุฏโ โหติ ความวา ภิกษุนน้ั ประกอบดวยอติ ริตรปจ จยั สนั โดษ ๑๒ อยาง ในปจจยั ๔ ดังกลาวแลวในหนหลงั . อนึง่บรขิ าร ๘ คือ ไตรจวี ร บาตร มีดนอยสําหรับเหลาไมส ีฟน เขม็ เลมหน่งึประคตเอว ผากรองน้าํ ยอมควรแกภิกษุผูประกอบดวยสนั โดษในปจจยั ตามมีตามไค ๑๒ อยางน้.ี สมจริงดงั พระโปราณาจารย กลาวไว บรขิ ารเหลานี้ คอื ไตรจีวร บาตร มีดนอย เขม็ และประคตเอว เปน ๘ ทัง้ ผากรองนํา้ ยอมควรแกภ ิกษุผปู ระกอบ ความเพียรดวย. บริขารเหลา นัน้ แมท้ังหมด เปนเครือ่ งบริหารกายก็ได บริหารทองกไ็ ด อยา งไร กอนอ่นื ไตรจีวร ยอมบริหาร คือเล้ยี งกาย ในคราวท่ีนุง และหมุ เพราะฉะนั้น จึงช่ือวา เปนเครื่องบริหารกาย ยอ มบริหารคือเล้ยี งทอง ในคราวทกี่ รองน้ําดว ยมุมจวี รแลว ดม่ื และในคราวทห่ี อ ผลไมใ หญนอย ท่คี วรเค้ยี วกนิ ไดดวยชายจวี รนนั้ เพราะฉะนัน้ จึงช่อื วา เปนเคร่อื งบริหารทอง แมบ าตรกเ็ ปน เคร่ืองบริหารกาย โนคราวทต่ี กั น้ําดว ยบาตรนน้ัอาบและในคราวตกั นา้ํ ดวยบาตรน้ันประพรมกฏุ ี. เปน เคร่ืองบริหารทอ ง ในคราวรบั อาหารดว ยบาตรนัน้ ฉนั . แมมีดนอย ยอมเปนเคร่อื งบรหิ ารกาย ในคราวที่เหลาไมสีฟน และในคราวที่ทําขาเตียงตั่งและคนั กลด เปนเครอื่ งบริหารทอง ในคราวทต่ี ดั ออยและปอกมะพราวเปน ตน . แมเขม็ ยอ มเปน เครื่องบริหารกาย ในคราวทเี่ ยบ็ จวี ร เปนเครื่องบริหารทอง ในคราวจมิ้ ขนมหรอื ผลไมฉนั . แมประคดเอว ยอมเปน เครื่องบรหิ ารกายในคราวคาดเทยี่ วไป เปนเคร่อื งบรหิ ารทอง ในคราวมดั ออ ยเปน ตนถอื เอาไป. แมผากรองนํา้ ยอ มเปน เครอ่ื งบริหารกาย ในคราวท่ีกรองน้ําดวยผานั้นอาบ และในคราวทีก่ รองนํ้าดว ยผา

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 509น้ันแลวทาํ การประพรมเสนาสนะ เปน เครื่องบรหิ ารทอง ในคราวท่ีกรองนํา้ ด่มืและในคราวท่หี องาขาวสารและขา วเมา เปน ตน ดว ยผา นนั้ แลว ฉัน. น้ีเปนประมาณบริขารของภกิ ษผุ มู ีบริขาร ๘ เทา นัน้ . สว นภกิ ษผุ ูม บี ริขาร ๙ เขา ไปสูท ี่นอนจะมเี ครอ่ื งลาดสําหรบั เสนาสนะนนั้ หรือลกู กญุ แจก็ควร. ภิกษุผมู บี รขิ าร ๑๐ จะมผี านิสีทนะ หรือ แผนหนงั ก็ควร. ภกิ ษุผูมีบริขาร ๑๑ จะมไี มเทา คนแก หรือทะนานนา้ํ มันกค็ วร.ภิกษผุ มู ีบรขิ าร ๑๒ จะมรี มหรอื รองเทา ก็ควร. กใ็ นภกิ ษุเหลา นน้ั ภกิ ษุผูมีบรขิ าร ๘ เทา นัน้ ช่ือวาผสู ันโดษ นอกนั้นใครๆ กไ็ มควรกลา ววา ไมส นั โดษเปน ผูมักมาก เปนผูอยากใหญ ภกิ ษเุ หลา นั้นท้งั หมด เปนผูม กั นอ ย สันโดษเล้ยี งงา ย และมคี วามพระพฤตเิ บาทเี ดยี ว. ก็พระผูม พี ระภาคเจา มไิ ดทรงแสดงพระสตู รนีด้ ว ยสามารถแหงภิกษุเหลา นนั้ ทรงแสดงดวยอํานาจแหงภิกษุผมู ีบริขาร ๘. จริงอย.ู ภิกษผุ มู ีบริขาร ๘ นนั้ หอ มดี นอยและเขม็ ไวใ นผา กรองน้ําเกบ็ ไวใ นบาตรแลว คลองบาตรไวท ีจ่ ะงอยบานงุ หมไตรจวี ร คาดประคดเอวแลว หลีกไป สบายตามประสงค. เธอไมตองกลบั มาเอาอะไรอีก. ดงั น้ันพระผูมพี ระภาคเจา เมอ่ื ทรงแสดงความประพฤตเิ บาพรอมของภกิ ษุน้ี จงึ ตรัสวา สนตฺ ุฏโ  โหติ กายบรหิ าริเยน จีวเรน ดงั น้เี ปน ตน.บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา กายบริหาริเยน คือเพียงเปนเครอ่ื งบริหารกาย.บทวา กุจฺฉปิ ริหาริเยน ไดแ ก เพยี งเปน เครอื่ งบรหิ ารทอง. บทวา สมาทา-เยว ปกกฺ มติ ความวา เธอถือเอาเพยี งเคร่อื งบรขิ าร ๘ ท้งั หมดน้นั ตดิ ตัวไปยอ มไมของหรือติดอยูวา วหิ าร บริเวณ อปุ ฏ ฐากของเรา ภกิ ษุผูมบี รขิ าร ๘น้ัน ใชสรอ ยเสนาสนะ ท่ีตนปรารถนาแลว ๆ คอื ไพรสณฑ โคนไม ชายปาอยูค นเดยี ว นง่ั คนเดยี วไมม ีเพอ่ื นในอิริยาบถทั้งปวง ดจุ ลูกศรท่ีพน จากแหลง

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 510และดุจชางตกมัน ปลกี ไปจากโขลงฉะน้ัน ยอ มถงึ ความเปน ผูเหมือนนอแรดท่ีทา นพรรณนาไวอยางนว้ี า จาตทุ ฺทโิ ส อปปฺ ฏิโฆ จ โหติ สนฺตสุ ฺสมาโน อตรีตเรน ปรสิ สฺ ยาน สหิตา อจฺฉมภฺ ี เอโก จเร ขคฺควิสาณกปโฺ ป ภิกษุผูสนั โดษ ยอ มเปนผอู ยูเปน สขุ ในทิศทั้ง ๔ และเปน ผูไ มหงดุ หงิดสนั โดษ ดวยปจจัยตามมีตามได ครอบงาํ อนั ตราย ทั้งหลาย ไมห วาดเสียว เท่ียวไปคนเดยี ว ดงั นอแรด. บัดน้ี เม่อื ทรงสาธกความขอ น้ัน ดว ยอุปมาจึงตรสั วา เสยยฺ ถาป เปนตน . บรรดาบทเหลานน้ั บทวา ปกฺขี สกโุ ณ ไดแก นกมีปก . บทวาเฑติ แปลวา บิน. ก็ความสังเขปในขอ นี้มีดังน้.ี ธรรมดาวานกทง้ั หลายรวู าตนไมใ นถ่ินโนน มีผลสุก จึงพากนั มาจากทิศตาง ๆ เจาะจิก กนิ ผลของตน ไมนั้น ดวยเลบ็ ปก และจงอยปากเปน ตน . นกเหลาน้นั ไมม คี วามคิดวา นส้ี าํ หรับวนั น้ีๆสาํ หรบั วันพรุงน้ี แตเ มื่อผลไมห มด มันกไ็ มตอ งรักษาตน ไมไ ว ไมต องเอาปก เล็บ หรอื จงอยปากเกบ็ ไวท ่ตี น ไมนนั้ โดยทแ่ี ท ไมม ีความอาลัยในตน นนั้ ตวั ใด ปรารถนาทศิ ภาคใด ตวั น้นั มีภาระคือปก ของตนเทา นัน้ บนิ ไปทางทิศนนั้ ฉันใด ภิกษนุ ี้ก็ฉนั น้ันเหมอื นกัน ไมม คี วามคิดปราศจากความอาลยัหลีกไป มงุ มั่นแตจะหลีกไปอยา งเดยี ว. บทวา อริเยน แปลวา ไมมโี ทษ.บทวา อชฌฺ ตฺต แปลวา ในอัตภาพของตน. บทวา อนวชชฺ สขุ  แปลวา สขุ ที่ไมมโี ทษ. บทวา โส จกขฺ นุ า รูป ทิสวฺ า ความวา ภกิ ษุนั้นคือผปู ระกอบดว ยสีลขันธอ ันเปนอรยิ ะน้ี เห็นรปู ดว ยวญิ ญาณจกั ษ.ุ คาํ ที่

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 511จะพงึ กลาวในบทท่ีเหลือทั้งหมดกลาวไวแ ลวในวสิ ุทธิมรรค. บทวา อพฺยา-เสกสุข ไดแ ก สขุ ทไี่ มระคนดว ยกิเลส. ทา นกลาววา สุขทไี่ มคาบเก่ียวดว ยกเิ ลสก็ม.ี จรงิ อยู สุขในอินทรียสงั วรชื่อวา ไมคาบเก่ยี ว เพราะเปน ไปดวยอํานาจเพียงรปู ท่เี ห็นแลวในอารมณมีรปู ทีเ่ หน็ แลว เปน ตน. บทวา โส อภกิ -ฺกนเฺ ต ปฏิกฺกนเฺ ต ความวา ภกิ ษนุ ้นั คอื ผปู ระกอบ ดว ยการสํารวมอนิ ทรยี มใี จเปนที่ ๖ เปน ผมู ีปกติกระทําดว ยความรูตัวดวยสตแิ ละสัมปชญั ญะ ในฐานะทั้ง ๗ น้มี ีการกาวไปและการถอยกลบั เปนตน . คําทจี่ ะพงึ กลา วในขอ น้นัไดก ลาวไวแ ลวในสติปฏฐานสตู รน้นั แล. ดว ยคาํ วา โส อมิ ินา จ เปน ตน ทานแสดงไวอ ยา งไร. ทา นแสดงถงึ ปจจัยสมบัติแหง การอยูปา . จริงอยู การอยูปาของผูท ีไ่ มม ปี จ จยั เหลา นี้ยอ มไมส าํ เร็จ จะถกู คอ นวาเหมอื นกบั สตั วดิรัจฉาน หรอื พรานไพร. เหลา เทวดาผูสิงอยูใ นปา ชวยกนั ประกาศกอ งดวยเสยี งทน่ี า กลวั วา ภิกษุช่ัวเห็นปานนี้ อยูปา ไปทาํ ไม เอามอื ตศี ีรษะ. กระทาํ อาการใหห นไี ป. ความไมม ีเกยี รติยศก็แพรไปวา ภิกษโุ นน เขา ไปปา กระทํากรรมช่ัวเชนนี้. แตการอยูปาของภกิ ษุผูท่ีมปี จจยั ๔ เหลาน้ัน ยอ มสาํ เรจ็ . แทจ รงิ เธอเมือ่ พิจารณาถงึ ศลี ของตนอยูไมเ ห็นความตา งพรอ ยไร ๆ ก็ทาํ ใหเกดิ ปต ิพิจารณาเหน็ สงิ่ นน้ั โดยความสนิ้ ไปยอ มกา วลงสูอรยิ ภูมิ. เหลาเทวดาผูส ิงอยูใ นปาดใี จ กส็ รรเสรญิ เกียรตยิ ศของภกิ ษุนน้ั ยอ มแผออกไป เหมือนหยาดนาํ้ มนั งาทใี่ สล งในนํา้ ฉะน้นั ดวยประการฉะน.ี้ บรรดาบทเหลา น้ัน บทวา วิวิตฺต แปลวา วาง อธบิ ายวาไมมเี สยี งคือไรเสยี ง. กท็ านหมายเอาคํานเี้ อง จงึ กลาวไวในวภิ งั คว า บทวา วิวติ ฺตความวา แมหากวา เสนาสนะมีในทใี่ กลไ ซร และเสนาสนะน้ัน ไมเกล่อื นดวยคฤหสั ถ แลบรรพชติ เพราะฉะนัน้ เสนาสนะน้ัน ช่ือวา ววิ ิตตะ. ช่อื วา

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 512เสนาสนะ เพราะเปนทน่ี อนและเปน ทน่ี ่งั คาํ นนั่ เปนชื่อของเตียงและต่ังเปนตน . ดวยเหตุน้ัน ทา นจึงกลา ววา บทวา เสนาสนะไดแ กเ สนาสนะคอืทนี่ อน ทนี่ ั่ง ต่ัง ฟูก หมอน วิหาร เพงิ ปราสาท เรอื นแถว ถ้าํปอ ม ศาลา ท่เี รน พุมไผ โคนไม มณฑป อันเปนท่ที ภ่ี กิ ษตุ องอาศยัทงั้ หมดน่ัน จัดเปน เสนาสนะ. อนึ่ง วิหาร เพงิ ปราสาท เรอื นแถว ถ้าํน้ีชื่อวา วิหารเสนาสนะ เสนาสนะ คอื ท่ีอย.ู เตยี ง ตง่ั ฟกู หมอน น้ีชอ่ื วามญั จปฐ เสนาสนะ แผงจาก ทอนหนงั เคร่ืองลาดทาํ ดวยหญา เครอ่ื งลาดทําดวยใบไม น้ีช่อื วา สันถตั เสนาสนะ เสนาสนะคือสนั ถดั อันเปนที่ ๆภิกษอุ าศัย น้ีชอ่ื วา โอกาสเสนาสนะ เสนาสนะคอื ที่วาง รวมทั้ง ๔ ดงั วามานี้ จดั เปน เสนาสนะ. เสนาสนะน้ันท้ังหมด ทา นรวมความไวดวยศัพทว าเสนาสนะเหมอื นกัน. ก็พระผมู พี ระภาคเจา เมอ่ื ทรงแสดงเสนาสนะอนั สมควรแกภิกษผุ ูจารกิ ไปในทิศทง้ั ๔ ซ่ึงเสมอื นนกนี้ จึงตรสั คาํ วา อรฺ รกุ ฺขมลู  ดังน้ีเปนตน. บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา อรฺ  ไดแ ก ท่ที ัง้ หมดนอกเสาเขื่อนออกไปนน่ั ช่ือวาปา . ขอนมี้ าโดยเร่อื งสองเหลา ภิกษุณี. เสนาสนะช่วั ๕๐๐ ลูกธนูเปนทีส่ ดุ ชื่อวา เสนาสนะปา ก็เสนาสนะปานี้ สมควรแกภ ิกษนุ ้.ี ลักษณะของเสนาสนะนัน่ กลาวไวแลวในธุดงคนเิ ทศ ในวสิ ทุ ธมิ รรค. บทวา รกุ ฺขมูลไดแก โคนตนไมอนั สงดั มรี ม เงาเย็นแหงใดแหง หน่งึ . บทวา ปพพฺ ต แปลวาภเู ขาสลิ า. จริงอยู เมอ่ื ภกิ ษใุ ชน าํ้ ท่แี อง น้ําทภี่ เู ขาศิลานน้ั นงั่ ณ รม เงาของตนไมอ ันเยน็ ตองลมเย็นทีโ่ ชยมาในทิศตาง ๆ ที่ปรากฏอยู จติ กม็ ีอารมณเปนอนั เดยี ว. นา้ํ ทานเรยี กวา ก ในคําวา กนทฺ ร ทีอ่ ันนํา้ กัด ท่ีอันน้ําเซาะไดแกป ระเทศแหง ภูเขา ที่อาจารยบางพวกเรยี กวา นทตี ุมพะ บาง นทกี ฏุ ฏะบา ง. แทจรงิ ในประเทศแหง ภูเขาน้ัน มที รายเสมือนแผน เงิน นํ้าเสมอื นแทงแกว มณี ยอมไหลผานชัฏแหงปา เหมือนเพดานแกวมณบี นยอด ภิกษลุ งสูหว ย

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 513ละหานเหน็ ปานน้ัน ดื่มน้ํา ลูบตัวใหเ ย็น ยกทรายขึน้ ปูผาบังสกุ ลุ จวี รน่ังทาํสมณธรรม จิตตก็มีอารมณเ ดยี ว. บทวา คริ ิคุห ไดแ ก มชี อ งใหญเชนกบั อุมงคระหวางภเู ขา ๒ ลูก หรือ ภเู ขาลกู เดียวกนั . ลกั ษณะสสุ านกลาวไวแลวในวิสุทธิมรรค. บทวา วนปตฺถ ไดแก สถานทีใ่ กลเ คียงทีพ่ วกมนุษยไ มไ ถไมห วา น.ดวยเหตนุ ้นั น่นั แหละ ทานจึงกลาววา วนปตถฺ  เปน ชอื่ ของเสนาสนะทหี่ างไกล.บทวา อพโฺ ภกกาส ไดแกท ่ไี มมุงบงั . แตภ ิกษปุ ระสงคก ก็ ั้นกลดอยใู นที่นน้ั ได.บทวา ปลาลปุ ช ไดแ ก ลอมฟาง จริงอยู เหลา ภิกษชุ ักฟางจากลอมฟางใหญ ทําที่อยเู สมือนเงือ้ มภูเขาและทเ่ี รนวางฟางไวขางพุม ไมเ ปนตน แลว นงั่ทําสมณธรรมภายใต ทา นหมายเอาลอมฟางนัน้ จึงกลาวคํานี.้ บทวา ปจฺฉา-ภฺตต คอื ภายหลังภตั . บทวา ปณฑฺ ปาตปฏิกฺกนโฺ ต แปลวา กลบั จากบณิ ฑบาต. บทวา ปลลฺ งฺก ไดแ ก นัง่ พบั ขาโดยรอบ. บทวา อาภชุ ิตฺวาแปลวา ตดิ กัน. บทวา อุชุ กาย ปณิธาย ไดแ ก ตง้ั กายขางบนใหต รงเอาปลายกบั ปลายกระดูกสนั หลงั ๑๘ ชน้ิ ใหจดกนั . จรงิ อยู ภกิ ษุนง่ั อยางน้ีหนงั เนื้อเอน็ ไมขัดกนั เมื่อเปน อยา งน้นั เวทนาท้ังหลายที่พงึ เกดิ ทกุ ขณะ เพราะความขดั กนั แหง หนึ่งเนอ้ื เอน็ เหลานั้นเปนปจ จัย ก็ไมเ กดิ แกภ ิกษนุ นั้ เมอ่ืเวทนาเหลานั้นไมเกิดขึ้น จติ ก็มอี ารมณเ ดียว. กมั มฏั ฐานก็ไมตกไป กเ็ ขา ถงึความเจรญิ งอกงาม. บทวา ปริมขุ  สติ อปุ ฏ เปตฺวา ความวา ตงั้ สตมิ ุงตรงตอพระกมั มัฏฐานหรอื กระทาํ ไวใ กลหนา . ดวยเหตุน้ันแลทา นจงึ กลาวไวในวภิ งั คว า สตนิ ย้ี อ มตงั้ มั่น ตั้งมน่ั ดว ยดีทีป่ ลายจมูกหรือเงาหนา ดวยเหตุน้ันทานจงึ กลาววา ต้ังสติไวรอบหนา . อกี อยา งหน่ึง ศพั ทว า ปริ มอี รรถวาถอื เอาโดยรอบ ศพั ทวา มุข มีอรรถวา นําออก ศพั ทว า สติ มอี รรถวาปรากฏ ดวยเหตุน้ันทานจงึ กลา ววา ปริมขุ  สตึ พึงเหน็ ความในคาํ นโี้ ดยนัยที่กลา วมาแลว ในปฏิสัมภิทามรรคดวยประการฉะน.้ี ในคาํ น้นั มคี วามสังเขป

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 514ดังนี้วา ปริคฺคหติ นิยยฺ าน สตึ กตวฺ า ทําสติเครื่องนําออกจากทกุ ขท ่ีกําหนดไวเปนอารมณ. อุปาทานขนั ธ ๕ ช่อื วาโลก ในคําวา อภิชฺฌ โลเก น้ี เพราะอรรถวา ชาํ รุดทรดุ โทรม เพราะฉะนัน้ ในคาํ นม้ี เี น้ือความดงั นว้ี า ละ ราคะ ในอปุ าทานขนั ธ ๕ ขมกามฉันทะ. บทวา วคิ ตาภชิ ฺเฌน ความวา ชื่อวาปราศจากอภิชฌา เพราะละดว ยวิกขัมภนปหานะ. ไมใ ชเ สมือน จักขุวญิ ญาณ.บทวา อภิชฺฌาย จิตต ปรโิ สเธติ ความวา ยอมเปลอ้ื งจติ จากอภชิ ฌา คอืกระทําโดยประการทอี่ ภชิ ฌานนั้ ปลอ ยและคร้นั ปลอยแลว กไ็ มจับจติ น้ันอีก. แมในคาํ วา พฺยาปาทปโทสมฺปหาย ดังนี้เปนตน กน็ ยั นีเ้ หมอื นกนั . ชอ่ื วาพยาปาทะ เพราะเปน เครื่องเบียดเบยี น คอื จิตละปกติเดิมเหมือนขนมกุมมาสบดูเปน ตน . ช่อื วา ปโทสะ เพราะประทษุ รา ยดวยถาวรใหถึงวกิ ารหรือประทุษรา ยผูอ น่ื ใหพินาศ. คําท้งั ๒ นเี้ ปน ชือ่ ของโกรธเหมือนกนั . ถ่ินะ เปน ความปว ยทางจติ มทิ ธะเปน ความปว ยทางเจตสิก. ท้ังถีนะทง้ั มทิ ธะ ช่ือวา ถิน่ มทิ ธะ.บทวา อาโลกสฺ ี ไดแก ผูประกอบดวยปญญาอันบรสิ ุทธ์ิ ปราศจากนวี รณ เพราะสามารถจาํ แสงสวา งท่ตี นเหน็ ทง้ั กลางคืนและกลางวันได. บทวาสโต สมฺปชาโน ไดแ ก ประกอบดว ยสตแิ ละญาณ (ปญญา). ท้งั ๒ น้ีทานกลาวไว เพราะเปน ธรรมอปุ การะแตอ าโลกสัญญา. ทั้งอทุ ธัจจะ ทง้ั กุก-กจุ จะ ชอื่ วา อุทธัจจกุกกุจจะ. บทวา ตณิ ฺณวจิ ิกจิ ฺโฉ แปลวา ขา มพน ความสงสยั ไดแ ลว . ชือ่ วา อกถ กถี ผไู มม ีความสงสัยเปนเหตกุ ลาววาอยางไร เพราะไมเปน ไปอยางน้ีวา น้เี ปน อยางไร. บทวา กสุ เลสุ ธมฺเมสุไดแกธรรมไมมโี ทษ. อธบิ ายวา ไมส งสัยไมเ คลอื บแคลงอยา งน้ีวา ธรรมเหลา นเี้ ปน กุศล หรอื ธรรมเหลานั้นจดั เปน กุศลไดอยางไร. ในขอนมี้ คี วามสังเขปดังนี.้ แตเ มอ่ื วาโดยแยกตามอรรถและลักษณะแหงคําเปน ตน ในนีวรณ

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 515เหลา น้ี คาํ ทีค่ วรกลาวทั้งหมด กก็ ลา วไวแ ลวในวสิ ุทธิมรรค. บทวา ปฺ ายทุพฺพลกี รเณ ความวา นวี รณ ๕ เหลานี.้ เม่อื เกิด ยอ มไมใหเ กิดปญ ญาทั้งทเี่ ปน โลกยิ ะ และโลกุทตระ ทย่ี งั ไมเ กดิ แมท เี่ กิดแลวก็ตดั สมาบัติ ๘อภญิ ญา ๕ ใหขาดตกไป เพราะฉะนั้น ทานจงึ กลาววา ปฺ าย ทุพพลี-กรณา กระทาํ ปญ ญาใหออนกาํ ลงั . บทวา ตถาคตปท อิติป ความวา ทางคือ ญาณ รอ งรอยคือญาณ ของพระตถาคตแมน ี้ ทา นเรียกวา ฐาน อันญาณเหยียบแลว . บทวา ตถาคตนิเสวิต ไดแกฐ าน อนั สีข่ า งคือญาณของพระ-ตถาคตสีแลว. บทวา ตถาคตารชฺ ิต ไดแ ก ฐานอันพระเขีย้ วแกว คอื ญาณของพระตถาคตกระทบแลว . บทวา ยถาภตู  ปชานาติ ไดแกย อมรตู ามสภาวะความเปนจริง. บทวา น เตฺวว ตาว อริยสาวโก นฏิ   คโต โหติ ความวาฌานและอภญิ ญาเหลานย้ี อมท่ัวไปแมกบั คนภายนอกพระศาสนา เพราะฉะนั้นพระอรยิ สาวกจงึ ไมส ําเรจ็ กอ น ทชี่ อื่ วา ยงั ไมส าํ เร็จกอนก็เพราะยังไมส ําเรจ็ แมในขณะแหง มรรคจิต. บทวา อปจ โข นิฏ  คจฉฺ ติ ความวา ก็อีกอยา งหนึง่ แล ในขณะแหง มรรคจติ ยอมถงึ ความสําเร็จในรตั นะ ๓ โดยอาการ น้วี าพระผูมีพระภาคเจา เปนพระสมั มาสมั พุทธะหนอ เหมือนคนตอชา ง เหน็ ชางใหญฉะน้นั . บทวา นฏิ   คโต โหติ ความวา เมื่อถึงความสําเร็จในขณะแหง มรรคจิตอยา งนี้ ยอมถงึ ความสําเรจ็ ในรัตนะ ๓ โดยอาการทั้งปวง เพราะมีกจิ ทั้งหมดเสร็จแลว ในขณะแหง อรหัตผลจิต. คาํ ท่เี หลอื ในทีท่ ุกแหง มคี วามงา ยท้งั น้ัน. จบอรรถกถาจลุ ลหตั ถิปโทปมสตู รที่ ๗

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 516 ๘. มหาหตั ถิปโทปมสูตร [๓๔๐] ขา พเจา ไดฟง มาแลว อยางน้ี :- สมยั หน่ึง พระผมู ีพระภาคเจาประทับอยู ณ พระวหิ ารเชตวัน อารามของทา นอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี กรงุ สาวตั ถ.ี สมัยนัน้ ทา นพระสารีบตุ รเรยี กภิกษุท้ังหลายมาวา ดูกอ นผูม อี ายุท้ังหลาย ภิกษุเหลาน้ันรบั คาํ ของทา นพระ-สารีบุตรแลว . พระสารีบุตรไดก ลา ววา ดกู อนทา นผมู อี ายุทัง้ หลาย รอยเทา เหลาใดเหลาหนึ่งแหงสตั วทง้ั หลายผเู ทียวไปบนแผน ดนิ รอยเทา เหลา น้นั ทงั้ หมดยอมประชุมลงในรอยเทาชาง รอยเทาชางชาวโลกยอ มกลาววา เปนยอดของรอยเทา เหลาน้ัน เพราะรอยเทา ชางเปนรอยใหญ แมฉันใด ดูกอนทา นผมู ีอายุท้งั หลาย กศุ ลธรรมเหลา ใดเหลาหน่ึง กศุ ลธรรมเหลา นั้นทัง้ หมด ยอมสงเคราะหเขาในอรยิ สัจสี่ ฉนั น้ันเหมือนกันแล. อริยสจั สเ่ี หลา ไหน. คอืทกุ ขอริยสจั ทุกขสมทุ ัยอรยิ สัจ ทกุ ขนิโรธอริยสัจ ทกุ ขนโิ รธคามินปี ฏิปทาอรยิ สัจ. [๓๔๑] ดกู อ นทานผมู อี ายุทั้งหลาย กท็ ุกขอรยิ สจั เปนไฉน. แมค วามเกิดเปนทุกข แมความแกเปนทุกข แมความตายเปน ทกุ ข แมความโศกความรําพัน ความทกุ ขกาย ความทกุ ขใ จ ความคบั แคนใจก็เปนทุกข แมความที่ไมไ ดสิง่ ทตี่ นอยากไดก็เปนทกุ ข โดยยอ อปุ าทานขนั ธ ๕ เปนทุกข. ก็อุปาทานขนั ธหาเปนไฉน. คือ อุปาทานขนั ธค ือรูป อุปาทานขันธค ือเวทนาอุปาทานขนั ธค ือสญั ญา อุปาทานขันธค ือสังขาร อปุ าทานขนั ธคอื วญิ ญาณ.ก็อุปาทานขนั ธค ือรปู เปนไฉน. คือ มหาภตู รูป ๔ และรปู ที่อาศัยมหาภตู รูป ๔.

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 517ดูกอนทา นผูมีอายุทั้งหลาย กม็ หาภูตรูป ๔ เปน ไฉน คือปฐวธี าตุ อาโปธาตุเตโชธาตุ วาโยธาตุ. วาดว ยปฐวธี าตุ [๓๔๒] ดูกอ นทานผมู ีอายุทั้งหลาย กป็ ฐวธี าตุเปนไฉน. คือ ปฐวีธาตุทเี่ ปน ไปภายในกม็ ี ปฐวีธาตทุ เ่ี ปนไปภายนอกก็ม.ี กป็ ฐวธี าตุท่เี ปนไปภายในเปนไฉน. คอื อปุ าทินนกรปู อนั เปน ภายใน เฉพาะตน เปน ของแขน แข็งเปน ของหยาบ คอื ผม ขน เลบ็ ฟน หนัง เน้อื เอน็ กระดกู เยือ่ ในกระดูก มา ม หวั ใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไสใหญ ไสน อย อาหารใหมอาหารเกา ก็หรือส่ิงใดสิ่งหน่งึ ซ่งึ เปนอปุ าทินนกรูป อนั เปน ภายในเปนของเฉพาะตน เปนของแขน แข็ง เปน ของหยาบอยา งอื่น น้ีเรยี กวา ปฐวีธาตุเปนไปภายใน. ก็ปฐวธี าตอุ ันใดแล เปน ไปภายใน และปฐวีธาตุอันใด เปนไปภายนอก นนั่ เปนปฐวีธาตุแล. บณั ฑิตพงึ เหน็ ปรวธี าตุนั้นนน่ั ดวยปญ ญาอันชอบตามความเปน จริงอยางน้วี า นั่นไมใชข องเรา เราไมเปน นัน่ น่ันไมเปน ตนของเรา. บัณฑติ ครนั้ เหน็ ปฐวธี าตนุ นั่ ดว ยปญญาอนั ชอบตามความเปน จริงอยา งน้ีแลว ยอมเบื่อหนายในปฐวธี าตุ ยอ มยงั จติ ใหค ลายกาํ หนดั ในปฐวธี าต.ุ สมัยทีป่ ฐวีธาตุท่ีเปนไปภายนอกกําเริบ ยอมจะมไี ดแ ล ในสมยั นั้นปฐวีธาตอุ ันเปนภายนอกจะเปน ของอนั ตรธานไป. กช็ อ่ื วา ความทีแ่ หง ปฐวีธาตุอันเปนไปภายนอกนั้น ซงึ่ ใหญถงึ เพยี งนัน้ เปน ของไมเ ที่ยงจักปรากฏไดความเปน ของสิ้นไปเปน ธรรมดาจักปรากฏได ความเปนของเสอ่ื มไปเปนธรรมดาจกั ปรากฏได ความเปน ของแปรปรวนไปเปน ธรรมดาจกั ปรากฏได.กไ็ ฉนความท่ีแหง กายอันตัณหาเขาไปถือเอาแลว วา เรา วาของเรา วาเรามีอยูอนั ตงั้ อยูตลอดกาลพอประมาณนี้ เปนของไมเท่ียง เปน ของมคี วามสน้ิ ไปเปนธรรมดา เปนของมคี วามเส่ือมไปเปนธรรมดา เปน ของมีความแปรปรวนไปเปน ธรรมดา จักไมปรากฏเลา เมอ่ื เปน เชน น้ี ความยึดถอื ดว ยสามารถตณั หา

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 518มานะและทิฐใิ นปฐวธี าตุนน้ั จะไมมีแกผูนั้นเลย. หากวาชนเหลา อ่ืนจะดา จะตดั เพอ จะกระทบกระเทียบ จะเบยี ดเบียน ภกิ ษุนั้นไซร. ภิกษนุ นั้ ยอมรูชดัอยา งนี้วา ทุกขเวทนาอนั เกิดแตโ สตสัมผัสนีเ้ กิดข้ึนแลว แกเ รา กแ็ ตวา ทุกข-เวทนานัน้ แล อาศยั เหตุจงึ มไี ด ไมอาศัยเหตุจะมไี มได ทุกขเวทนานี้ อาศยัอะไรจงึ มไี ด ทุกขเวทนาอาศัยผสั สะจึงมไี ด. ภกิ ษุแมน้ันแล ยอ มเหน็ วาผัสสะ เปนของไมเที่ยง ยอมเหน็ วาเวทนานน้ั เปนของไมเ ท่ยี ง ยอมเห็นวาสัญญาน้นั เปนของไมเ ทย่ี ง ยอมเห็นวา สังขารท้งั หลายนน้ั เปน ของไมเ ที่ยงยอมเห็นวาวญิ ญาณน้นั เปนของไมเ ที่ยง จิตอนั มธี าตเุ ปนอารมณน ั่นเทียวของภิกษนุ ้นั ยอ มแลน ไป ยอ มผองใส ยอ มตั้งอยดู วยดี ยอมหลุดพน . หากวาชนเหลาอน่ื จะพยายามทํารายภิกษุนน้ั ดวยอาการทไ่ี มนาปรารถนา ไมนา ใครไมน า ชอบใจ คอื ดว ยการประหารดวยฝา มอื บาง ดวยการประหารดวยกอ นดนิบา ง ดวยการประหารดว ยทอ นไมบาง ดวยการประหารดวยศาสตราบาง ภิกษุนนั้ ยอมรชู ัดอยา งนี้วา กายนเี้ ปน สภาพเปนทีเ่ ปนไปดวยการประหารดวยฝามือบาง เปน ทีเ่ ปนไปดวยการประหารดวยกอ นดินบาง เปน ที่เปนไปดวยการประหารดว ยทอนไมบ า ง เปน ทเี่ ปน ไปดวยการประหารดว ยศาสตราบา ง. อนึง่พระผมู ีพระภาคเจาไดตรัสไวใ นพระโอวาทอนั เปรยี บดวยเลอ่ื ยดงั นวี้ า ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย แมว าพวกโจรผูมีความประพฤติตํา่ ชา พงึ ตัดอวัยวะใหญนอยดว ยเลือ่ ยอันมีดามสองขางไซร ภกิ ษุผทู ย่ี งั ใจใหป ระทษุ รา ย ในพวกโจรแมนั้นยอมไมเ ปน ผชู อ่ื วา ทําตามคาํ ส่งั สอนของเราดว ยเหตุนั้น ดังน.ี้ อนึ่ง ความเพียรอนั เราปรารภแลว จักเปนคุณชาติ ไมย อ หยอน สติอนั เราเขาไปตัง้ ไวแ ลวจักเปนคณุ ชาติไมห ลงลมื กายอันเราใหส งบแลว จักเปน สภาพไมกระวนกระวาย จติ อันเราใหต ้ังมั่นแลว จกั เปนธรรมชาติมีอารมณเ ปน อยา งเดยี วคราวน้ี การประหารดวยฝามือทงั้ หลาย จะเปนไปในกายน้ีกด็ ี การประหาร

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 519ดว ยกอนดนิ ท้งั หลาย จะเปน ไปในกายน้กี ็ดี การประหารดวยทอ นไมท ง้ั หลายจะเปนไปในกายนี้ก็ดี การประหารดว ยศาสตราทัง้ หลาย จะเปน ไปในกายน้กี ็ดีตามทเี่ ถดิ คําสัง่ สอนของพระพุทธเจา ทง้ั หลายน้ี เราจะทาํ ใหจ งได ดงั น.ี้ดกู อ นทา นผมู อี ายทุ ง้ั หลาย หากวา เมอ่ื ภกิ ษนุ น้ั ระลึกถึงพระพุทธเจา อยอู ยางน้ีระลึกถงึ พระธรรมอยูอยา งน้ี ระลกึ ถึงพระสงฆอยอู ยางน้ี อุเบกขาอันอาศยักุศลธรรมยอมไมต้งั อยูพรอมได. ภิกษนุ ้ันยอมสลดใจ ยอมถึงความสลดใจเพราะเหตนุ ้นั วา ไมเปน ลาภของเราหนอ ลาภไมมีแกเราหนอ เราไดไมด ีแลว หนอ การไดด วยดีไมม แี กเราแลว หนอ ท่ีเราระลึกถงึ พระพุทธเจา อยอู ยา งนี้ระลกึ ถงึ พระธรรมอยอู ยางน้ี ระลกึ ถึงพระสงฆอ ยูอยางน้ี อเุ บกขาอันอาศยักุศลธรรมไมตัง้ อยูไดด วยดี ดงั น้.ี เปรยี บเสมอื นหญงิ สะใภเ ห็นพอ ผัวแลวยอมสลดใจ ยอมถึงความสลดใจ แมฉันใด ดกู อ นทานผมู ีอายุท้งั หลายหากวา เม่ือภกิ ษุน้นั ระลึกถงึ พระพุทธเจาอยอู ยา งนี้ ระลึกถึงพระธรรมอยูอยา งนี้ระลกึ ถึงพระสงฆอ ยูอยา งน้ี อุเบกขาอันอาศัยกุศลธรรมไมต ้ังอยูไดดวยด.ี ภกิ ษุนนั้ ยอมสลดใจ ยอมถงึ ความสลดใจ เพราะเหตนุ ัน้ ฉนั นัน้ เหมอื นกันแล.หากวาเมื่อภิกษุนัน้ ระลึกถึงพระธรรมอยอู ยา งนี้ ระลึกถงึ พระสงฆอยอู ยา งน้ี อเุ บกขาอนัอาศยักศุ ลธรรมยอ มตงั้ อยูไ ดด ว ยดไี ซร. ภกิ ษนุ ้นั ยอมเปน ผูปล้มื ใจเพราะเหตนุ นั้ .ดูกอ นทานผูมอี ายุทงั้ หลาย ดว ยเหตแุ มม ปี ระมาณเทาน้แี ล คาํ สอนของพระผูมีพระภาคเจา เปน อนั ภกิ ษุทาํ ใหมากแลว . วา ดวยอาโปธาตุ [๓๔๓] ดกู อ นทานผมู ีอายุทั้งหลาย ก็อาโปธาตุเปนไฉน. คอือาโปธาตุที่เปน ไปในภายในกม็ ี อาโปธาตทุ ่ีเปน ไปภายนอกกม็ .ี ก็อาโปธาตุที่เปนไปภายในเปน ไฉน. คอื อุปาทนิ นกรปู อนั เปน ภายใน เฉพาะตน เปนของเอิบอาบ ถึงความเอิบอาบ คือ ดี เสลด หนอง เลือด เหง่ือ มนั ขน

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 520นํ้าตา เปลวมนั น้ําลาย น้าํ มูก ไขขอ น้าํ มูตร กห็ รืออปุ าทนิ นกรูป ส่ิงใดสง่ิ หนึง่ อนั เปนภายใน เฉพาะตน เปนของเอบิ อาบ ถึงความเปนของเอิบอาบอยางอ่ืน นี้เรียกวา อาโปธาตุเปน ไปภายใน. ก็อาโปธาตุอันใดแลเปน ไปภายใน และอาโปธาตุอันใด เปน ไปภายนอก นน่ั เปนอาโปธาตุแล.บัณฑติ พึงเหน็ อาโปธาตุน้นั น่นั ดวยปญ ญาอนั ชอบตามความเปนจริงอยา งน้วี านัน่ ไมใ ชข องเรา เราไมเปน น่นั นน่ั ไมเปน ตนของเรา. คร้นั เหน็อาโปธาตุน่ัน ดว ยปญญาอันชอบตามความเปนจรงิ อยา งนแ้ี ลว ยอ มเบ่ือหนายในอาโปธาตุ ยอ มยงั จติ ใหค ลายกาํ หนดั ในอาโปธาตุ. สมัยทอ่ี าโปธาตุ ที่เปนไปภายนอกกําเรบิ ยอ มจะมไี ดแล อาโปธาตุอนั เปนภายนอกนัน้ ยอ มพดั เอาบานไปบาง พัดเอานคิ มไปบาง พดั เอาเมอื งไปบาง พัดเอาชนบทไปบางยอ มพัดเอาประเทศแหงชนบทไปบา ง. สมัยทีน่ าํ้ ในมหาสมุทรยอมลกึ ลงไปรอ ยโยชนบาง สองรอ ยโยชนบาง สามรอยโยชนบ า ง สีร่ อยโยชนบา ง หา รอยโยชนบาง หกรอยโยชนบา ง เจ็ดรอ ยโยชนบาง ยอ มมไี ดแ ล. สมัยทนี่ า้ํ ในมหาสมุทรขงั อยูเจ็ดช่วั ลาํ ตาลบา ง หกช่ัวลําตาลบา ง หาช่วั ลาํ ตาลบาง สีชว่ั -ลําตาลบา ง สามชวั่ ลาํ ตาลบา ง สองช่วั ลาํ ตาลบาง ช่วั ลาํ ตาลหนึง่ บา ง ยอมมีไดแ ล. สมัยทน่ี าํ้ ในมหาสมุทรขังอยู ไดเจ็ดชวั่ บุรุษบา ง หกชวั่ บุรุษบา งหา ชัว่ บุรุษบา ง สชี วั่ บรุ ุษบา ง สามชว่ั บุรุษบา ง สองชัว่ บรุ ษุ บาง ประมาณชั่วบุรุษหนง่ึ บาง ยอ มมีไดแ ล. กส็ มัยท่นี ํ้าในมหาสมุทรขังอยกู ึง่ ช่วั บุรุษบางประมาณเพยี งสะเอวบาง ประมาณเพยี งเขา บา ง ประมาณเพยี งขอ เทาบางยอ มมไี ดแ ล. สมยั ทีน่ าํ้ แมป ระมาณพอเปย กขอนิ้วมอื จะไมมใี นมหาสมุทร ก็ยอ มมไี ดแล. กช็ ่ือวา ความท่ีแหงอาโปธาตอุ นั เปน ไปภายนอกนน้ั ซ่งึ มากถึงเพยี งนน้ั เปน ของไมเ ทีย่ งจักปรากฏได ความเปนของส้ินไปเปน ธรรมดาจกัปรากฏได ความเปนของเส่อื มไปเปน ธรรมดาจักปรากฏได ความเปนของ

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 521แปรปรวนไปเปน ธรรมดาจักปรากฏได. กไ็ ฉนความทแี่ หงกายอันตัณหาเขา ไปถอื เอาแลว วาเรา วา ของเรา วา เรามอี ยู อันตง้ั อยตู ลอดกาลพอประมาณนี้เปน ของไมเ ท่ียง เปน ของมคี วามส้นิ ไปเปน ธรรมดา เปนของมีความเสอื่ มไปเปนธรรมดา เปนของมคี วามแปรปรวนไปเปน ธรรมดา จกั ไมป รากฏเลาเมือ่ เปนเชนน้ี ความยดึ ถอื ดวยสวมารถตณั หามานะและทิฐิ ในอาโปธาตนุ นั้จะไมมแี กผูน้ันเลย. หากวา เม่ือภิกษุน้ันระลึกถงึ พระพทุ ธเจา อยูอยางนี้ ระลกึถึงพระธรรมอยอู ยางน้ี ระลกึ ถงึ พระสงฆอยอู ยา งนี้ อเุ บกขาอนั อาศัยกศุ ลธรรมยอมต้งั อยูไดด วยดีไซร. ภกิ ษุนั้นยอมเปน ผูปลม้ื ใจเพราะเหตุน้นั . ดกู อนทา นผมู อี ายทุ งั้ หลาย ดวยเหตุแมมีประมาณเทา นแี้ ล คําสอนของพระผมู ีพระภาคเจาเปน อนั ภิกษทุ าํ ใหมากแลว . วา ดว ยเตโชธาตุ [๓๔๔] ดูกอนทานผมู ีอายทุ ัง้ หลาย ก็เตโชธาตุเปน ไฉน. คอื เตโชธาตทุ ี่เปน ไปภายในก็มี เตโชธาตทุ ่เี ปน ไปภายนอกก็ม.ี กเ็ ตโชธาตทุ ่ีเปน ไปภายในเปน ไฉน. คือ อุปาทนิ นกรูปอันเปนภายใน. เฉพาะตน เปนของเรา รอน ถงึ ความเปน ของเรา รอน คือ เตโชธาตุท่ีเปน เคร่ืองอบอนุ แหง กายเตโชธาตุท่เี ปนเครือ่ งทรดุ โทรมแหง กาย เตโชธาตุเปนเครือ่ งเรารอนแหงกายเตโชธาตทุ ่เี ปนเคร่ืองยอ ยของที่กนิ แลว ดื่มแลว เคีย้ วแลว และของที่ลิม้ รสแลว ก็หรืออุปาทนิ นกรปู สิ่งหนงึ่ สง่ิ ใด อันเปน ภายใน เฉพาะตน เปนของเรา รอ น ถึงความเปน ของเรา รอน อยา งอน่ื น้ีเรยี กวา เตโชธาตุเปน ไปภายใน. กเ็ ตโชธาตุอนั ใดแล เปน ไปภายใน และเตโชธาตอุ นั ใด เปน ภายนอกนั่นเปนเตโชธาตแุ ล. บณั ฑิตพึงเห็นเตโชธาตนุ ัน้ นนั่ ดวยปญญาอนั ชอบตามความเปนจรงิ อยา งนีว้ า นนั่ ไมใ ชข องเรา เราไมเ ปนนน่ั น่นั ไมเ ปนของเรา.บณั ฑติ ครั้นเหน็ เตโชธาตนุ ่นั ดวยปญญาอันชอบตามความเปน จริงอยา งนี้แลวยอ มเบ่ือหนายในเตโชธาตุ ยอมยงั จติ ใหคลายกาํ หนดั ในเตโชธาตุ สมัยท่ี

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 522เตโชธาตุอันเปน ไปภายนอกกําเริบ ยอมจะมีไดแล เตโชธาตุอันเปน ภายนอกนัน้ ยอ มไหมบ า นบาง ยอ มไหมเ มอื งบา ง ยอ มไหมน คิ มบา ง ยอมไหมชนบทบา ง ยอ มไหมป ระเทศแหง ชนบทบา ง. เตโชธาตอุ ันเปน ภายนอกน้นั มาถงึ หญาสด หนทาง ภูเขา นํ้า หรอื ภูมิภาค อนั เปน ท่ีรืน่ รมยไ มม เี ชอื้ยอมดบั ไปเอง. สมัยท่ีชนทั้งหลายแสวงหาไฟดว ยขนไกบ า ง ดว ยการขดู หนังยอ มมไี ดแ ล. ก็ช่ือวา ความท่แี หงเตโชธาตุ อนั เปน ไปภายนอกน้นั ซง่ึ ใหญถ งึเพยี งนน้ั เปนของไมเที่ยงจักปรากฏได ความเปนของสิน้ ไปเปน ธรรมดาจกัปรากฏได ความเปน ของแปรปรวนไปเปน ธรรมดาจักปรากฏได. กไ็ ฉนความทีแ่ หง กายอนั ตณั หาเขา ไปถอื เอาแลววาเรา วา ของเรา วาเรามอี ยู อนั ตั้งอยูตลอดกาลพอประมาณนี้ เปน ของไมเท่ียง เปน ของมีความสิน้ ไปเปน ธรรมดาเปนของมคี วามเสอื่ มไปเปนธรรมดา เปนของมคี วามแปรปรวนไปเปน ธรรมดาจกั ไมปรากฏเลา เม่ือเปนเชนน้ี ความยึดถอื ดวยสามารถตัณหามานะและทิฐิในเตโชธาตนุ ั้น จะไมม ีแกผ ูน ้ันเลย. หากวา เมื่อภกิ ษุนน้ั ระลีกถงึ พระพทุ ธเจา อยูอยา งน้ี ระลกึ ถงึ พระธรรมอยูอยางน้ี ระลึกถึงพระสงฆอยอู ยางนี้อุเบกขาอันอาศยั กุศลธรรมยอ มตง้ั อยไู ดด วยดีไซร ภิกษนุ ้ันยอมเปนผูป ลืม้ ใจเพราะเหตนุ ั้น. ดูกอนทา นผูม อี ายุทัง้ หลาย ดว ยเหตแุ มมปี ระมาณเทานีแ้ ลคาํ สอนของพระผมู พี ระภาคเจา เปนอันภกิ ษุทําใหมากแลว . วา ดวยวาโยธาตุ [๓๔๕] ดกู อ นทานผูมอี ายทุ ้งั หลาย กว็ าโยธาตุเปน ไฉน. คอืวาโยธาตุท่เี ปนไปภายในก็มี วาโยธาตทุ ีเ่ ปน ภายนอกกม็ ี. ก็วาโยธาตทุ ่เี ปนไปภายในเปน ไฉน. คือ อปุ าทินนกรูปอนั เปน ภายใน เฉพาะตน เปนของพดัไปมา ถงึ ความเปน ของพดั ไปมา คือ ลมพดั ขน้ึ เบ้ืองบน ลมพดั ลงเบ้ืองตํ่าลมอันอยใู นทอ ง ลมอันอยใู นลําไส ลมอนั แลน ไปตามอวยั วะนอ ยใหญ ลมหายใจเขา ลมหายใจออก ก็หรอื อุปาทนิ นกรูป สิ่งใดสงิ่ หนงึ่ อนั เปน ภายใน

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 523เฉพาะตน เปนของพดั ไปมา ถึงความเปน ของพดั ไปมา อยา งอน่ื นีเ้ รียกวาวาโยธาตเุ ปนไปภายใน. กว็ าโยธาตอุ ันใดแล เปนไปภายใน และวาโยธาตุอนั ใด เปนไปภายนอกน่นั เปนวาโยธาตุแล. บัณฑติ พึงเหน็ วาโยธาตุนน้ั นนั่ดว ยปญญาอนั ชอบตามความเปนจรงิ อยา งนี้วา นั่นไมใ ชข องเรา เราไมเ ปนนนั่นั่นไมเปน ตนของเรา. บัณฑิตคร้ันเหน็ วาโยธาตนุ ั้น ดวยปญ ญาอันชอบตามความเปนจรงิ อยางน้แี ลว ยอ มเบอื่ หนายในวาโยธาตุ ยอ มยงั จิตใหคลายกาํ หนดั ในวาโยธาตุ ยอ มยงั จิตใหคลายกาํ หนัดในวาโยธาต.ุ สมยั ทีว่ าโยธาตุอันเปน ไปภายนอกกําเรบิ ยอ มจะมีไดแ ล วาโยธาตอุ ันเปนไปภายนอกนั้นยอ มพัดเอาบา นไปบาง ยอมพดั เอานิคมไปบา ง ยอ มพดั เอานครไปบา ง ยอ มพัดเอาประเทศแหง ชนบทไปบา ง. สมยั ทชี่ นท้ังหลาย แสวงหาลมดว ยพัดใบตาลบาง ดว ยพดั สําหรับพัดไฟบา ง ในเดอื นทา ยแหงฤดูรอ น แมในทีช่ ายคาหญา ทัง้ หลายกไ็ มไหว ยอ มมแี ล. กช็ ่อื วา ความทแ่ี หง วาโยธาตอุ นั เปนไปภายนอกนนั้ ซง่ึ ใหญถ ึงเพยี งน้นั เปน ของไมเ ทย่ี งจกั ปรากฏได ความเปน ของสิ้นไปเปน ธรรมดาจักปรากฏได ความเปนของเสื่อมไปเปน ธรรมดาจกั ปรากฏไดความเปนของแปรปรวนไปเปน ธรรมดาจักปรากฏได. กไ็ ฉนความทแี่ หง กายอนั ตัณหายดึ ถอื เอาแลว วา เรา วาของเรา วาเรามอี ยู อนั ตงั้ อยตู ลอดกาลพอประมาณนี้ เปนของไมเทีย่ ง เปน ของมคี วามสน้ิ ไปเปนธรรมดา เปนของมีความเสอื มไปเปน ธรรมดา เปน ของมคี วามแปรปรวนไปเปน ธรรมดา จักไมปรากฏเลา เมอ่ื เปนเชน น้ี ความยดึ ถอื ดวยสามารถตณั หานานะและทิฐใิ นวาโยธาตุน้ันจะไมมีแกผนู ั้นเลย. หากวาชนเหลาอ่นื จะดา จะตดั เพอ จะกระทบกระเทียบ จะเบยี ดเบยี นภกิ ษนุ ้นั ไซร. ภกิ ษุนน้ั ยอ มรชู ดั อยา งนวี้ า ทกุ ขเวทนาอนั เกดิ แตโ สตสมั ผสั นี้ เกิดข้นึ แลวแกเ รา ก็แตวาทกุ ขเวทนาน้ันแล อาศยัเหตุจงึ มไี ด ไมอาศยั เหตุจะมีไมได ทกุ ขเวทนาน้ีอาศัยอะไรจงึ มีได. ทุกข-

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 524เวทนานอี้ าศยั ผสั สะ จงึ มีได. ภิกษแุ มนน้ั แลยอ มเห็นวา ผสั สะเปนของไมเที่ยง ยอ มเห็นวาเวทนาเปน ของไมเท่ยี ง ยอมเหน็ วาสญั ญาเปน ของไมเ ท่ยี งยอ มเห็นวา สงั ขารทั้งหลายเปนของไมเที่ยง ยอ มเห็นวา วิญญาณเปน ของไมเ ทีย่ งจติ อันมีธาตเุ ปนอารมณนัน่ เทยี วของภิกษุนัน้ ยอมแลนไป ยอมผองใสยอมตง้ั อยดู วยดี ยอ มหลุดพน. หากชนเหลาอ่นื จะพยายามทาํ รา ยภิกษุน้ันดวยอาการท่ีไมน าปรารถนา ไมน าใคร ไมน าพอใจคอื ดว ยการประหารดวยฝามือบาง ดว ยการประหารดว ยกอนดนิ บาง ดวยการประหารดวยทอนไมบางดว ยการประหารดว ยศาสตราบา ง. ภิกษนุ ัน้ ยอ มรูชดั อยางนีว้ ากายน้เี ปน สภาพเปนทเ่ี ปน ไปดวยการประหารดวยฝา มือบาง เปน ทเ่ี ปน ไปดวยการประหารดว ยกอนดนิ บาง เปน ทเี่ ปน ไปดว ยการประหารดว ยทอนไมบ าง เปนท่เี ปน ไปดว ยการประหารดวยศาสตราบา ง. อนึ่ง พระผมู พี ระภาคเจา ไดต รัสไวใ นพระโอวาทอนัเปรียบดวยเลือ่ ยดังน้ี วา ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย แมวาพวกโจรผมู ีความประ-พฤตติ ํา่ ชา พงึ ตัดอวยั วะใหญน อย ดว ยเลอ่ื ยอนั มีดา มสองขา งไซร ภิกษุผทู ่ียังใจใหประทุษรายในพวกโจรแมน้นั ยอมไมเปน ผชู ่อื วา ทาํ ตามคําสอนของเราดว ยเหตุนนั้ ดังนี้. อน่งึ ความเพียรอนั เราปรารภแลว จกั เปน คุณชาติไมยอ หยอ น สติอันเราเขา ไปต้ังไวแ ลว จักเปนคณุ ชาตไิ มหลงลมื กายอันเราใหส งบแลว จกั เปน สภาพไมก ระวนกระวาย. จติ อันเราใหต ั้งมั่นแลว จักเปนธรรมชาติมอี ารมณเปน อยางเดียว คราวน้ี การประหารดว ยฝา มือท้งั หลายจะเปนไปในกายนกี้ ด็ ี การประหารดวยกอ นดินทัง้ หลาย จะเปน ไปในกายนี้ก็ดี การประหารดวยทอนไมท ้ังหลาย จะเปน ไปในกายน้ีกด็ ี การประหารดว ยศาสตรา จะเปนไปในกายนกี้ ด็ ี ตามทีเ่ ถดิ คําสอนของพระพุทธเจาทัง้ หลายน้ีเราจะทาํ ใหจ งได ดังนี.้ ดกู อ นทานผมู อี ายทุ ั้งหลาย หากวาเมอ่ืภิกษุนั้นระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจาอยูอยา งน้ี ระลกึ ถึงพระธรรมอยอู ยา งน้ี ระลกึ ถึง

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 525พระสงฆอ ยอู ยา งนี้ อุเบกขาอนั อาศัยกศุ ลธรรม ยอมตัง้ อยูไมได. ภิกษนุ ัน้ยอ มสลดใจ ยอ มถงึ ความสลดใจ เพราะเหตุนั้น วาไมเปนลาภของเราหนอลาภไมมแี กเ ราหนอ เราไดไมดแี ลวหนอ การไดดวยดีไมม แี กเ ราแลวหนอทเี่ ราระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา อยูอ ยางน้ี ระลกึ ถึงพระธรรมอยูอยา งน้ี ระลกึ ถึงพระสงฆอยูอยา งนี้ อเุ บกขาอนั อาศัยกุศลธรรมไมต้งั อยไู ดด วยดี ดงั น้ี เปรียบเหมอื นหญงิ สะใภเ ห็นพอ ผวั แลว ยอมสลดใจ ยอ มถึงความสลดใจ แมฉันใดหากวาเม่อื ภิกษุนัน้ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา อยอู ยางน้ี ระลกึ ถงึ พระธรรมอยอู ยางนี้ระลึกถงึ พระสงฆอยูอ ยางน้ี อุเบกขาอันอาศัยกศุ ลธรรม ต้งั อยไู มไ ดดว ยดีภิกษุนัน้ ยอมสลดใจ ยอมถงึ ความสลดใจ เพราะเหตนุ นั้ ฉนั น้ันเหมอื นกนั แล.หากวา เมือ่ ภิกษุนน้ั ระลึกถงึ พระพทุ ธเจาอยอู ยางนี้ ระลึกถึงพระธรรมอยูอยา งนี้ ระลกึ ถึงพระสงฆอยูอยางนี้ อุเบกขาอาศยั กุศลธรรม ยอ มตัง้ อยูด วยดีไซร. ภิกษนุ ้ันยอ มเปนผูปล้ืมใจเพราะเหตุน้ัน. ดูกอนทา นผูมอี ายุทงั้ หลายดวยเหตมุ ปี ระมาณเทา นแี้ ล คาํ สอนของพระผูมพี ระภาคเจา เปน อนั ภกิ ษทุ ําใหมากแลว. วาดว ยขันธสงั คหะ [๓๔๖] ดกู อ นทา นผูม ีอายทุ ง้ั หลาย อากาศอาศัยไมและอาศยั เถาวลั ยดนิ เหนียวและหญาแวดลอ มแลว ยอ มนับวาเรือนฉันใด ดกู อนทานผูมอี ายุท้งั หลาย อากาศอาศัยกระดกู และอาศัยเอ็นเนอื้ และหนึง่ แวดลอ มแลว ยอ มนบัวารูป ฉนั นั้นเหมอื นกันแล. หากวา จักษุอันเปน ไปในภายใน ไมแตกทาํ ลายแลว และรปู ทง้ั หลายอันเปนภายนอก ยอมไมป รากฏ ทัง้ ความกําหนดอนั เกิดแตจ กั ษแุ ละรปู นัน้ ก็ไมม ี ความปรากฏแหงสวนของวิญญาณ อันเกิดแตการกําหนดนน้ั กย็ งั มีไมไดก อน. หากวา จักษุอันเปน ไปในภายใน ไมแตกทาํ ลายแลว และรปู ทง้ั หลายอนั เปน ภายนอกยอมปรากฏ แตความกําหนดอันเกดิ แตจักษุและรปู นัน้ ไมม ี ความปรากฏแหง สว นของวญิ ญาณอันเกดิ แต

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 526การกาํ หนดนน้ั ก็ยงั มไี มไดก อน. แตว า ในกาลใดแลจักษอุ ันเปนไปในภายในไมแ ตกไมท าํ ลายแลว และรปู ทงั้ หลายอันเปน ภายนอก ยอมปรากฏท้ังความกาํ หนดอันเกดิ แตจ ักษแุ ละรูปก็ยอ มมใี นกาลนั้น ความปรากฏแหงสว นของวญิ ญาณอันเกิดแตการกาํ หนดนัน้ ยอ มมีไดด ว ยอาการอยางน้.ีรปู แหงสภาพท่ีเปน แลวอยา งน้นั อนั ใด รูปน้นั ยอ มสงเคราะหใ นอปุ าทานขนั ธคอื รปู . เวทนาแหง สภาพท่ีเปน แลวอยา งนนั้ อนั ใด เวทนานั้นยอมสงเคราะหในอปุ าทานขันธคอื เวทนา. สัญญาแหงสภาพท่ีเปนแลว อยางนนั้ อนั ใด สญั ญานั้นยอมสงเคราะหใ นอปุ าทานขันธค อื สัญญา. สังขารแหงสภาพทีเ่ ปนแลวอยา งนน้ั เหลา ใด สงั ขารเหลานัน้ ยอ มสงเคราะหใ นอุปาทานขันธคอื สงั ขาร. วญิ ญาณแหงสภาพท่เี ปน แลว อยางนนั้ อันใด วญิ ญาณนัน้ ยอมสงเคราะห ในอุปาทานขันธคือวญิ ญาณ. ภกิ ษุนนั้ ยอมรูชัดอยางนี้วา ไดย นิ วา การสงเคราะห การประชมุ พรอม หมวดหมแู หงอุปาทานขนั ธ ๕ เหลา น้ี ยอมมีไดดวยประการอยางนี.้ อนึง่ พระผมู พี ระภาคเจาไดต รสั พระพุทธพจนน ไี้ ววา ผูใดเห็นปฏิจจสมปุ บาท ผูนั้นชอ่ื วาเห็นธรรม ผูใดเหน็ ธรรม ผูน้ันชอ่ื วา เหน็ ปฏจิ จ-สมปุ บาท ดงั น้ี. ก็ธรรมทอ่ี าศยั การเกิดข้ึนเหลาน้ีคอื ปญ จปุ าทานขันธความพอใจ ความอาลัย ความยินดี ความหมกมนุ ในอปุ าทานขนั ธ ๕ เหลาน้อี นั ใด อนั นนั้ ชื่อวาทุกขสมุทัย การกาํ จดั ความกาํ หนัดดว ยสามารถความพอใจ การละความกําหนัดดวยสามารถความพอใจ ในอุปาทานขนั ธ ๕ เหลานี้อันใด อนั น้นั ช่ือวาทุกขนิโรธแล. ดกู อ นทานผมู อี ายทุ ้งั หลาย ดวยเหตแุ มมีประมาณเทา นแ้ี ล คําสอนของพระผูมพี ระภาคเจา เปน อนั ภกิ ษุทําใหม ากแลว. ดูกอนทานผมู อี ายุทัง้ หลาย หากวาโสตอันเปนไปในภายใน ไมแตกทาํ ลายแลว . . .

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 527 ดูกอนทานผมู ีอายทุ งั้ หลาย หากวาฆานะอนั เปนไปในภายใน ไมแ ตกทําลายแลว . . . ดูกอ นทา นผมู ีอายุท้ังหลาย หากวาชิวหาอนั เปน ไปในภายใน ไมแ ตกทําลายแลว . . . ดกู อ นทานผมู อี ายทุ ้ังหลาย หากวา กายอันเปน ไปในภายใน ไมแ ตกทําลายแลว . . . ดกู อนทา นผมู ีอายุทงั้ หลาย หากวา มนะอนั เปนไปในภายใน ไมแ ตกทาํ ลายแลว และธรรมารมณท ง้ั หลายอนั เปน ภายนอก ยอ มไมป รากฏ ทง้ั ความกําหนดอันเกิดแตม นะและ ธรรมารมณน น้ั ก็ไมม ี ความปรากฏแหงสว นของวญิ ญาณอันเกดิ แตการกําหนดนั้น ก็ยงั มีไมไดกอ น. หากวามนะอนัเปน ไปในภายใน ไมแ ตกทําลายแลว และธรรมารมณทง้ั หลายอนั เปนภายนอกยอ มปรากฏ แตค วามกาํ หนดอันเกดิ แตม นะและธรรมารมณน ้นั ไมมีความปรากฏแหง สวนของวญิ ญาณอันเกดิ แตค วามกําหนดน้ัน ก็ยังมไี มไดก อน. แตว า ในกาลใดแล มนะอนั เปนไปในภายในไมแ ตกทําลายแลวและธรรมารมณทง้ั หลายอนั เปนภายนอกยอ มปรากฏ ทัง้ ความกาํ หนดอนัเกดิ แตม นะและธรรมารมณน ้ันกย็ อ มมี ในกาลนั้น ความปรากฏแหงสวนของวิญญาณอันเกดิ แตก ารกาํ หนดน้นั ยอ มมีไดดวยอาการอยา งนี้ รปู แหง สภาพทเี่ ปน แลว อยางน้ันอันใด รปู นัน้ ยอ มสงเคราะหอุปาทานขันธคือรปู เวทนาแหงสภาพทเ่ี ปนอยา งนนั้ อนั ใด เวทนานน้ั ยอ มสงเคราะหใ นอุปาทานขันธคือเวทนา สญั ญาแหง สภาพทเี่ ปน ไปแลว อยา งน้นั อนั ใด สัญญานั้นยอมสงเคราะหในอปุ าทานขนั ธค ือสญั ญา สงั ขารทง้ั หลายแหงสภาพทีเ่ ปน แลว อยางน้นั เหลาใดสงั ขารเหลานั้นยอ มสงเคราะหในอปุ าทานขนั ธค ือสังขาร วิญญาณแหงสภาพท่ีเปนแลวอยา งน้ันอันใด วิญญาณนัน้ ยอ มสงเคราะหในอปุ าทานขันธคือวิญญาณ.

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 528ภิกษุนนั้ ยอมรชู ัดอยา งนว้ี า ไดย นิ วา การสงเคราะห การประชุมพรอ ม หมวดหมูแหง อปุ าทานขันธ ๕ เหลา น้ี ยอ มมีไดด ว ยประการอยางนี.้ อนง่ึ พระผูมีพระภาคเจาไดต รัสพระพทุ ธพจนน ้ไี ววา ผูใดเหน็ ปฏจิ จสมุปบาท ผนู นั้ ชื่อวาเห็นธรรม ผูใ ดเหน็ ธรรม ผนู ั้นช่อื วาเห็นปฏิจจสมปุ บาท ดงั นี.้ ก็ธรรมท่อี าศัยกันเกิดขึ้นเหลา นี้ กค็ ือ ปญจุปาทานขันธ ความพอใจ ความอาลัย ความยนิ ดี ความหมกมุน ในอุปาทานขนั ธ ๕ เหลานนั้ อันใด อนั นั้นชอ่ื วา ทุกขสมทุ ยัการกําจัดความกําหนดั ดวยสามารถความพอใจ การละความกําหนัดดว ยสามารถความพอใจในอปุ าทานขันธ ๕ เหลา นี้อนั ใด อันนน้ั ช่ือวาทุกขนิโรธแล. ดูกอนทา นผมู อี ายทุ ั้งหลาย ดว ยเหตแุ มมีประมาณเทา นีแ้ ล คําสอนของพระผมู ีพระภาคเจา เปนอันภิกษทุ ําใหมากแลว. ทา นพระสารบี ตุ ร ไดกลา วธรรมปริยายน้แี ลว ภกิ ษเุ หลา นน้ั ช่นื ชมยนิ ดี ภาษิตของทานพระสารีบตุ รแลว แล. จบ มหาหัตถิปโทปมสตู รท่ี ๘

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 529 อรรถกถามหาหัตถปิ โทปมสูตร มหาหัตถปิ โทปมสูตร เรม่ิ ตน วา ขา พเจาได ฟง มาแลว อยา งนี:้ - พึงทราบวินิจฉัยในมหาหตั ถปิ โทปมสตู รน้ัน บทวา ชงคฺ ลานแปลวาผสู ัญจรไปบนแผนดนิ . บทวา ปาณาน ไดแก สัตวม เี ทา และสัตวไมมเี ทา. บทวา ปทชาตานิ แปลวา รอยเทาทง้ั หลาย. บทวา สโมธานคจฉฺ นตฺ ิ ไดแ ก ถงึ การรวมลงคือใสล ง. บทวา อคฺคมกฺขายติ แปลวาทา นกลาววา ประเสรฐิ . บทวา ยททิ  มหนตฺ ตเฺ ตน ความวา ทา นกลาววาเลศิ เพราะเปน รอยเทาใหญ อธิบายวา ไมใ ชใหญโดยคณุ . บทวา เย เกจิกุสลา ธมฺมา ไดแ ก กศุ ลธรรมไมว า โลกิยะ หรอื โลกุตตระ เหลาใดเหลาหนง่ึ . สังคหะ ในคาํ วา สงคฺ ห คจฺฉนฺติ น้ี มี ๔ อยา ง คือสชาตสิ งั คหะ ๑สญั ชาตสิ งั คหะ ๑ กริยาสงั คหะ ๑ คณนสงั คหะ ๑. บรรดาสังคหะ ๔ อยางนนั้การรวบรวมตามชาตขิ องตนอยา งนว้ี า ขอกษัตริยท ัง้ ปวงจงมา ขอพราหมณทั้งปวงจงมาดังน้ี ชื่อวา สชาตสิ ังคหะ. การรวบรวมตามถ่ินแหงคนชาตเิ ดยี วกนัอยา งนี้วา คนชาวโกศลทั้งหมด ชาวมคธทง้ั หมด ช่ือวาสญั ชาติสังคหะ. การรวบรวมโดยกิริยาอยางที่วา พลรถท้ังหมด พลถอื ธนูทัง้ หมด ช่อื วา กริ ิยาสงั คหะ.การรวบรวมอยางน้ีวา จกั ขายตนะ รวมเขา ในขันธไหน จักขายตนะรวมเขาในรปู ขันธ จักขายตนะ ถงึ การรวมเขา ในรูปขนั ธไ หน เม่ือถกู วา กลา วดว ยขอนั้น จักขายตนะทานกร็ วมเขา กับรปู ขันธ ชือ่ วา คณนสงั คหะ. แมในทีน่ ี้ทานก็ประสงคค ณนสงั คหะนี้นีแ่ ล. ถามวา ก็ในการแกปญหาวา บรรดาอริยสจั ๔ อยา งไหนเปน กศุ ลอยางไหนเปนอกุศล อยางไหนเปนอัพยากฤต ดงั น้ี พระมหาเถระจําแนก

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 530กุศลจิตแมที่เปนไปในภูมิ ๔ วา เปนสจั จะครง่ึ หนึ่งเทา นั้น เพราะเมาในพระบาลีวาสมทุ ัยสัจ จัดเปน อกุศล มคั คสจั จดั เปนกุศล นิโรธสจั จดั เปนอพั ยากฤตทุกขสจั บางคราวเปน กุศล บางคราวเปน อกศุ ล บางคราวเปนอพั ยากฤตมใิ ชห รือ เมือ่ เปนเชนน้ี เพราะเหตุไร พระมหาเถระ จงึ กลา ววา กุศลธรรมเหลานีร้ วมลงในอรยิ สจั ๔ เลา. แกว า เพราะกศุ ลธรรมเหลาน้นั รวมอยใู นสัจจะทงั้ หลาย. จริงอยู สกิ ขาบท ๑๕๐ สกิ ขาบททใ่ี หส าํ เร็จประโยชนยอมเปน อธสิ ีลสกิ ขา อยา งหนง่ึ ภิกษแุ มศกึ ษาอธิสลี สิกขานัน้ พระผูมพี ระ-ภาคเจาทรงแสดงวา ช่ือวาศกึ ษาสิกขา ๓ ดงั ในพระบาลีนี้วา ดกู อนภิกษุทั้งหลายสิกขาบท ๑๕๐ สกิ ขาบทท่ีสําเร็จประโยชนน ้ี ยอ มสวดกันทกุ ก่ึงเดอื นทเ่ี หลากลุ บุตรผูหวังประโยชน ศกึ ษากันอยู ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย สิกขา ๓ เหลานี้ คอือธิสลี สิกขา อธจิ ติ ตสกิ ขา อธิปญญาสกิ ขา เพราะสกิ ขาบท ๑๕๐ สิกขาบทนั้นรวมอยใู นสิกขาทั้งหลาย เปรยี บเหมอื นรอยเทา ของสัตวทง้ั หลาย มีสุนขั จิ้งจอกกระตาย และเนือ้ เปนตน ยอมลงในสวน ๑ ก็ดี ยอ มลงในสว น ๒-๓-๔ก็ดี ช่ือวาใน ๔ สว นแหงรอยเทาชา งเชอื กหนง่ึ ยอ มรวมลงในรอยเทาชางทั้งนัน้ ไมพน จากรอยเทาชาง เพราะรวมอยใู นรอยเทา ชา งนนั้ เทานนั้ ฉันใด ธรรมท้ังหลาย ท่ีนบั ลงในสจั ๑ กด็ ี ๒ ก็ดี ๓ กด็ ี ๔ กด็ ี กฉ็ นั นน้ั เหมอื นกัน ยอ มนบั รวมในสจั จะ ๔ ทง้ั นน้ั เพราะธรรมท้ังหลายรวมอยใู นสัจจะท้ังหลาย เพราะเหตุน้ัน ทานจึงกลา วถงึ กศุ ลธรรมแมท ่รี วมเขา ในสัจจะคร่ึงวา ธรรมเหลา นนั้ทัง้ หมดยอมรวมลงในอรยิ สัจ ๔. คําทค่ี วรกลาวในบทอุทเทสวา ทกุ ฺเข อรยิ สจฺเจ เปนตน และในบทนทิ เทสวา ชาติป ทกุ ขฺ า เปน ตนทงั้ หมดไดกลาวไวแ ลว ในวสิ ทุ ธมิ รรค.แตใ นทน่ี ีพ้ ึงทราบเฉพาะลาํ ดบั เทศนา อยางเดยี ว. เหมือนอยางวา ชางสานผฉู ลาด ไดไ มไ ผท่ดี ีมาลาํ ๑ ตดั เปน ๑ ทอ น จาก ๔ ทอ นน้นั เวน ไว ๓

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 531ทอนถอื เอาแตท อ นเดยี วจึงตดั เปน ๕ ซกี จาก ๕ ซีกนัน้ เวน ไว ๔ ซกีถือเอาซีกเดียว แลวผา เปน ๕ เสยี้ ว จาก ๕ เส้ยี วนั้น เวนไว ๔ เส้ียวถอื เอาเสย้ี วเดยี ว เกรียกเปน ๒ คือ สวนทอ ง สว นหลงั เวน สวนหลงั ไว ถอื เอาแตสว นทอ ง จากนั้น กระทําใหเปน เครอื่ งสานไมไ ผห ลากชนดิ มหี ีบพัดวชี นีและพัดใบตาลเปนตน ชางสานนัน้ ไมถูกใครกลาววา ไมใ ชง านสว นหลังอีก ๔ ชิ้นอกี ๔ สว นและอีก ๓ สวน แตเขาไมอ าจใชง านในคราวเดยี วกนั ได แตจ กั ใชงานตามลาํ ดับ ฉันใด ฝายพระมหาเถระนก้ี ็ฉนั นน้ั เหมอื นกัน เรมิ่ ต้ัง สตุ ตันตะใหญน้ีแลว ตงั้ มาติกาโดยอรยิ สัจ ๔ เหมอื นชางสานไดไมไ ผทด่ี แี ลว แบง ๔ สว นฉะนั้น. พระเถระเวนอริยสัจ ๓ แลว ถือเอาทุกขสจั จะอยางเดียว จาํ แนก ทําใหเปนขันธ ๕ สว น เหมอื นชา งสานเวน ๓ สวนถือเอาสว นหน่งึ แลวทําสว นหนง่ึ นนั้ใหเปน ๕ สวน. แตนน้ั พระเถระเวนอรปู ขันธ ๔ แลวจาํ แนกรปู ขันธ และทาํมหาภตู รปู ๔ ใหเปน ๕ สว น คอื มหาภตู รปู ๔ และ อปุ าทายรูป ๑ เปรียบเหมอื นชา งสานนน้ั เวน ๔ สว น ถอื เอาสวนหน่งึ แลว ผาเปน ๕ เสยี้ วฉะนนั้ .แตน ั้น เมอื่ พระเถระเวน อุปทายรูป และธาตุ ๓ แลว จาํ แนกปรวธี าตอุ ยา งเดียว แสดงเปน ๒ สวน คอื อัชฌัตตกิ รูป รูปภายใน พาหิรรปู รปู ภายนอกเปรยี บเหมอื นชางสานน้ัน เวน ๔ สว น ถอื เอาสว นหนึง่ แลว ผา เปน ๒ สวนคือสวนทอง ๑ สว นหลัง ๑. เพ่อื จะเวน ปฐวีธาตุ ภายนอก แลว แสดงจําแนกปฐวธี าตภุ ายในโดยอาการ ๒๐ พระเถระ จึงกลาวคําเปนตน วา กตมา จ อาวโุ สอชฌฺ ตตฺ กิ า ปวีธาตุ เปรยี บเหมอื นชางสานเวนสว นหลงั ถอื เอาสว นทอ งจงึกระทําใหเ ปนเคร่ืองสานชนิดตา ง ๆ ฉะน้ัน. อน่ึงเปรียบเหมือนชางสานใชงานสวนหลังอีก ๔ ชิน้ อกี ๔ สว น และอีก ๓ สว น โดยลําดับ แตไ มอ าจใชง านในคราวเดยี วกันไดโ ดยประการฉะนี้ ฉันใด แมพ ระเถระก็ฉนั น้ัน จําแนกปฐว-ีธาตุภายนอก และอกี ธาตุ ๔ อุปาทายรปู อรูปขันธ ๔ อรยิ สัจ ๓ แลว แสดงตามลําดับ แตไ มอ าจแสดงโดยคราวเดยี วกนั ได.

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 532 อีกอยางหน่งึ พึงบรรยาย ลําดบั แมน้ีดวยขอ อุปมาดว ยราชบตุ ร ใหแจม แจง ดงั ตอ ไปนี.้ เลา กนั มาวา มหาราช องคหน่ึง มพี ระราชโอรสมากกวา๑,๐๐๐ องค. พระองคทรงเกบ็ เครือ่ งประดับของพระโอรสเหลา นัน้ ไวใ นหีบใหญ ๔ ใบ ทรงมอบไวแกเชษฐโอรส ดวยตรัสสัง่ วา ลูกเอย เคร่อื งประดบั นี้เปนของพวกนอ งของเจา เมอื่ คราวมมี หรสพ เจา จงใหเคร่อื งประดับน้ี เพราะฉะนั้น เม่อื หอ ง ๆ ขอจงึ คอ ยให. เชษฐราชโอรสน้นั ทูลรบั วาพระเจาขาจึงเก็บไวใ นหอ งเกบ็ ราชสมบัติ. ในวนั มหรสพเชน นน้ั เหลาพระราชโอรสพากนั ไปเฝา พระราชา กราบทูลวา ขา แตเ สด็จพอ ขอไดโปรดพระราชทานเครอ่ื งประดบั แกพวกหมอ มฉันเถิด พวกหมอมฉันจะเลน นกั ษัตร. พระราชาตรสั วาลูกเอย พอ ไดม อบเครอ่ื งประดบั ไวใ นมือพช่ี ายของพวกเจาแลว พวกเจาจงนาํเครื่องประดบั น้ันไปประดับเถิด. พระราชโอรสเหลา นัน้ รับพระดาํ รัส แลวพากนั ไปหาพระเชษฐโอรสนน้ั แลวทูลขอเคร่ืองประดับจากเชษฐโอรส. เชษฐโอรสไดเขาไปในหองหมายจะนาํ หีบใหญ ๔ ใบออกเวน ไว ๓ ใบ เปด ใบหนึ่ง นาํ หบีเลก็ ๕ ใบ ออกจากหีบใหญนัน้ เวนไว ๔ ใบ เปด ใบเดยี ว เมือ่ นาํ ผอบ ๕ ใบออกจากหบี เลก็ เวนไว ๔ ใบ เปดใบเดียว วางฝาไวขา งหน่ึง แตน ้ันจึงนาํเครอ่ื งประดับมอื เคร่ืองประดับเทาตา ง ๆ มอบให. เชษฐโอรส มิไดแบงใหจาก ๔ ผอบ หบี เล็ก ๔ ใบ หีบใหญ ๔ ใบ กอนก็จรงิ ถงึ กระน้นั กใ็ หตามลําดับ เพราะฉะนนั้ จึงไมอ าจมอบใหคราวเดียวกนั ได. ในขอ อุปมาน้ัน พงึ เห็นพระผมู พี ระภาคเจาเหมือนมหาราช. สมจริงดังคําทีท่ า นกลา วไวว า พระผูมีพระภาคเจาผเู ปนพระธรรมราชาอนั ยอดเยย่ี มตรัสวา ดกู อนเสลพราหมณ เรากเ็ ปนพระราชา. พึงเหน็ พระสารบี ตุ รเหมอื นเชษฐโอรส. สมจริงดังคําทพ่ี ระผูมีพระภาคเจา ตรัสไวว า ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 533บคุ คลเมอ่ื จะเรียกโดยชอบ พงึ เรียกภกิ ษรุ ปู น้ันไดว า สารีบุตรวา บตุ ร โอรสเกดิ แตโอษฐ เกิดแตธ รรม อันธรรมนริ มิต ธรรมทายาท แตม ใิ ชอ ามสิ ทายาทของพระผมู ีพระภาคเจา บุคคลเมือ่ เรยี กโดยชอบ พงึ เรียกภิกษนุ ้ีนัน่ แลวา บตุ รฯลฯ มใิ ชเ ปน อามิสทายาทของพระผมู ีพระภาคเจา . พึงเห็นภิกษสุ งฆเ หมือนราชโอรสมากกวา ๑,๐๐๐ องค. สมจริงดังคําทีพ่ ระผูม ีพระภาคเจาตรัสไววา ภกิ ษุมากกวา ๑,๐๐๐ รปู เขาไปเฝา พระสุคต ผแู สดงธรรมปราศจากธุลี ผูไ ม มีตัณหาชือ่ วา วานะ ผูม ไี มภ ยั แตที่ไหน ๆ.เวลาทพี่ ระผมู พี ระภาคเจาทรงประกาศสจั จะ ๔ วางไวใ นมอื ของพระธรรมเสนาบดี เปรียบเหมอื นเวลาท่พี ระราชาทรงเก็บเครื่องประดับของพระราชโอรสเหลานนั้ ไวในหบี ใหญ ๔ ใบ แลว วางไวใ นมือของเชษฐโอรสฉะนน้ั . ดว ยเหตุน่ันแล พระผูมีพระภาคเจาจึงตรสั วา ภิกษทุ งั้ หลาย สารีบตุ ร สมควรบอกบัญญตั ิ แตง ตงั้ เปดเผย จาํ แนก ทาํ ใหต ่ืน ซงึ่ อรยิ สจั จ ๔ โดยพสิ ดาร. เวลาทภ่ี ิกษสุ งฆม าในสมัยจวนเขา พรรษา แลว อาราธนาใหแ สดงธรรม เปรยี บเหมือนเวลาทีพ่ ระราชโอรสเหลานั้น เขาไปเฝา พระราชาทลู ขอเครอื่ งประดับในวนั มหรสพเชน นน้ั ไดย ินวา ในวันจวนเขา พรรษา พระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงพระสตู รน.ี้ เวลาท่พี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา ทรงสงภกิ ษุทงั้ หลายไปยังสาํ นักของพระธรรมเสนาบดี ดวยพระดํารสั อยา งนี้วา ภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธอจงเสพ จงคบสารบี ุตรและโมคคัลลานะเถิด ภิกษุท้งั หลาย สารีบตุ รและโมคคัลลานะ เปน บณั ฑติ อนเุ คราะหเพื่อนสพรหมจารี เปรียบเวลาที่พระราชาตรสั วา ลูกเอย พอไดม อบเครอ่ื งประดับไวในมือพชี่ ายพวกเจาแลว จงนาํมาประดบั เถดิ . เวลาทภี่ กิ ษทุ ง้ั หลายฟงพระดํารสั ของพระศาสดาแลว เขาไปหาพระธรรมเสนาบดีแลว อาราธนาใหแสดงธรรม เปรยี บเหมอื นเวลาทีเ่ หลา

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 534พระราชโอรสฟงพระดาํ รสั ของพระราชาแลว ไปยงั สํานกั ของเชษฐโอรส แลวขอเครือ่ งประดับ ฉะนั้น. เวลาที่พระธรรมเสนาบดเี ร่มิ พระสุตตนั ตะนี้ แลววางมาติกาโดยอรยิ สัจ ๔ เปรียบเหมอื นเวลาทพ่ี ระเชษฐโอรสเปดหองแลวนาํหบิ ๔ ใบวางไวฉะนนั้ . การเวน อรยิ สจั ๓ แลว จาํ แนกทุกขอรยิ สจัแสดงปญจขันธ เปรียบเหมอื นการเวนหบี ๓ ใบแลว เปด ใบเดียวนาํ หบี เล็ก๕ ใบ ออกจากหีบใบเดยี วนัน้ ฉะนน้ั . การท่ีพระเถระเวนอรูปขันธ ๔ แลวแสดงจาํ แนกรูปขนั ธเดยี วแสดง ๕ สว น โดยมหาภตู รปู ๔ และอปุ ายรูป ๑เปรยี บเหมือนเวนหบี เล็ก ๔ ใบ เปด ใบเดียว แลวนําผอบ ๕ ผอบจากหีบเลก็ใบเดยี วน้นั ฉะน้ัน. การท่พี ระเถระเวน มหาภูตรปู ๓ และอุปาทายรปู แลวจาํ แนกปฐวีธาตุอยางเดียวเวน ปฐวธี าตุภายนอกเสียเหมอื นปด ไว เพ่ือจะแสดงปฐวธี าตุภายในทมี่ อี าการ ๒๐ โดยสภาวะตาง ๆ จงึ กลา วคํามีอาทวิ า กตมาจาวโุ ส อชฌฺ ตตฺ กิ า ปวธี าตุ. เปรยี บเหมือนเวนหบี ๔ ใบ เปด ใบเดียวเวน หบี ท่ีปด ไวขา งหน่งึ แลว ใหเครอ่ื งประดบั มือและเคร่ืองประดับเทาเปนตน .พงึ ทราบวาแมพ ระเถระจําแนก มหาภตู รปู ๓ อุปาทายรูป อรูปขนั ธ ๔ อรยิ สจั๓ แลว แสดงตามลาํ ดับในภายหลังเหมือนราชโอรสนัน้ นาํ ผอบ ๔ ใบ หีบเล็ก๔ ใบ และหบี ๓ ใบเหลานัน้ แลว ประทานเคร่อื งประดับตามลาํ ดับในภายหลัง. กค็ ําน้นั ใดทา นกลา วไวว า กตมา จาวุโส อชฌฺ ตฺตกิ า ปวธี าตุเปนตน พึงทราบวนิ ิจฉยั ในคาํ น้ัน แมบ ททัง้ ๒ วา อชฌฺ ตตฺ  ปจฺจตฺต น้ีเปน ชือ่ ของธรรมชาตทิ ม่ี ีในตน. บทวา กกขฺ ล แปลวา กระดาง. บทวาขรคิ ต แปลวา หยาบ. บทวา อปุ าทินนฺ  ไดแ ก ไมใ ชม ธี รรมเปน สมุฏฐานเทา นัน้ . แตเ มอื่ วาโดยไมแ ปลกกนั คําวา อปุ าทินนฺ  น้ี เปนช่ือของรูปท่ีต่งัอยูใ นสรรี ะ. จริงอยู รปู ที่ต้ังอยใู นสรีระ ไมวาเปนอุปาทนิ นรปู หรืออนุ-ปาทินนรปู ช่ือวา เปนอุปาทินนรปู ท้ังหมดท่ีเดยี ว โดยทย่ี ึดถอื จับตอ งลูบคลําได คือ ผม ขน ฯลฯ อาหารใหม อาหารเกา . คําน้ีทานกําหมด

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 535จําแนกไว โดยเปนปฐวธี าตทุ เี่ ปน ภายในสาํ หรับกุลบตุ รผบู ําเพญ็ ธาตกุ มั มฏั ฐาน.แตใ นท่นี ค้ี ําท่ีผใู ครจ ะเรม่ิ มนสิการเจริญวิปส สนายดึ เอาพระอรหัตตค วรกระทาํทั้งหมดไดก ลาวไวพิสดารแลว ในวิสทุ ธมิ รรคนน่ั แล. แตค าํ วามันสมองไมไ ดข้ึนสบู าลใี นทีน่ .ี้ แตม ันสมองแมนนั้ นํามากาํ หนดโดยวรรณะและสมณฐานเปนตนโดยนยั ที่กลาวแลว ในวิสทุ ธิมรรค จงึ มนสิการวา แมธ าตนุ ี้ก็ไมม เี จตนา เปนอัพยากฤต วา งเปลา เปนของแขน จดั เปนปฐวธี าตุ. เหมือนกนั . บทวา ย วาปนฺ มปฺ  นี้ ทานกลา วเพ่ือกาํ หนดถือเอาปฐวธี าตทุ ีอ่ ยูใ นสว น ๓นอกน้ี. บทวา ยา เจว โข ปน อชฺฌตฺติกา ปวธี าตุ ความวาปฐวีธาตุมปี ระการตามทกี่ ลาวแลวนี้ จัดเปน ปฐวีธาตภุ ายใน บทวา ยา จพาหริ า ความวา ปรวีธาตุทมี่ าแลว ในวภิ ังคโดยนยั วา เหล็ก โลหะ ดีบกุตะก่วั เปน ตน จดั เปน ปฐวีธาตุภายนอก. ดว ยอันดบั คาํ เพยี งเทานี้ พระเถระ. แสดงปฐวีธาตุอันเปน ภายในโดยอาการ ๒๐ โดยสภาวะตาง ๆ อยางพสิ ดาร แสดงธาตภุ ายนอกไวโดยสังเขป.เพราะเหตไุ ร ? เพราะในทีใ่ ดสัตวท ้งั หลายมคี วามอาลัย ใครป รารถนา กลุมรุมยึดมนั่ ถอื ม่ัน รนุ แรง ในทน่ี ้นั พระพุทธเจา ทั้งหลาย หรือเหลา พระพทุ ธสาวกจะกลา วเรอ่ื งอยางพิสดาร เพอ่ื ถอนอาลยั เปนตน ของสัตวเ หลานน้ั . อน่งึ ในทีใ่ ดความอาลัยเปนตน ของเหลาสัตวไ มมีกําลงั ในทีน่ ัน้ ทานจะกลาวโดยสงั เขปเพราะไมมกี ิจท่ีจะตอ งทาํ . เหมอื นอยางวา ชาวนาเมื่อไถนากห็ ยดุ โคไวในท่ี ๆไถตดิ เพราะรากไมแ ละตอไมแนน หนา คยุ ดินขึ้นตดั รากไมแ ละตอไมย กข้นึตองกระทําความพยายามมาก ในทใ่ี ด ไมม รี ากไมแ ละตอ กไ็ มต องพยายามมากในทนี่ ้นั คงตีหลังโคไถตอไปฉันใด คาํ อปุ ไมยนี้กพ็ ึงทราบฉนั นนั้ . บทวา ปวีธาตเุ รเวสา ความวา ก็ธาตทุ ั้ง ๒ อยางน้ี มลี ักษณะอยา งเดียวกัน ดวยอรรถวา แขง็ กระดาง และหยาบ แมน ้กี ็จัดเปน ปฐวีธาต.ุ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 536ทานแสดงประกอบไวภายในและภายนอก. กเ็ พราะเหตทุ ี่ปฐ วีธาตภุ ายนอกปรากฏวา ไมมเี จตนา ปรวีธาตภุ ายในหาปรากฎเชน นนั้ ไม เพราะฉะนน้ัพระโยคาวจรกําหนดวา ปฐวธี าตภุ ายในนนั้ เปน เชน เดียวกันกับปฐวีธาตุภายนอกไมมีเจตนาเหมอื นกัน จึงกาํ หนดไดสะดวก. เปรยี บเหมอื นอะไร ?เปรยี บเหมอื นโคท่ีไมไดฝกเทียมกับโคท่ีฝกแลว ยอ มตะเกยี กตะกายดน้ิ รน๒-๓ วันเทา น้ัน เมือ่ เปนเชน นี้ ไมน านนกั กฝ็ กหดั ได ฉนั ใด พระโยคาวจรกําหนดวา แมป ฐวีธาตุภายใน ก็เชนเดียวกันกับปฐวธี าตภุ าจนอก ปฐวีธาตกุ ็จะปรากฏ ไมม ีเจตนาไดใ น ๒-๓ วนั เทา น้ัน เม่อื เปนเชนนี้ ไมนานนกัปฐวีธาตุภายในนน้ั กป็ รากฏวา ไมม เี จตนาฉนั นน้ั . บทวา ต เนต มมความวา ธาตุทัง้ ๒ อัน บณั ฑิตพงึ เห็นดว ยปญ ญาอันถูกตองตามความเปน จริงอยา งนว้ี า นน่ั ไมใ ชข องเรา เราไมใชเปนนัน้ นน่ั ไมใ ชอ ัตตาของเรา. บทวายถาภตู  แปลวา ตามสภาพเปน จริง. อธิบายวา จริงอยู ธาตุท้ัง ๒ นัน้ มีสภาวะไมเ ท่ียงเปนตน เพราะฉะน้นั พงึ เหน็ อยางนี้วา อนิจฺจ ทกุ ขฺ  อนตตฺ า.บทวา โหติ โข โส อาวุโส ความวา เพราะเหตุไรทานจึงปรารภไว.เพราะเพื่อจะแสดงความพนิ าศแหง ปฐวธี าตภุ ายนอกโดยอํานาจอาโปธาตุภายนอกแลว แสดงความพินาศแหงปฐวีธาตุ ทตี่ งั้ อยใู นรางกาย ซึง่ เปน อุปาทนิ นรูปพิเศษกวานั้น. บทวา ปกุปฺปติ ความวา กําเริบเสิบสานดวยอํานาจ ความยอ ยยบั ดว ยนํ้า. บทวา อนฺตรหติ า ตสฺมึ สมเย พาหริ า ปวธี าตุ โหติความวา สมัยนนั้ ปฐวีธาตุละลายดว ยนา้ํ ดางในแสนโกฏิจักรวาล ไหลตามนาํ้ไปตง้ั แตภ ูเขาเปน ตน ท้งั หมดกอ็ นั ตรธานไป ละลายเปน นาํ้ อยา งเดยี ว. บทวาตาว มหลลฺ กิ าย แปลวา ใหญเ พยี งน้ัน. ท่ีช่ือวา ใหญ เพราะมคี วามหนาอยางนี้ คอื

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 537เทวฺ จ สตสหสสฺ านิ จตฺตาริ นหตุ านิ จเอตตฺ ก พหลตฺเตน สงขฺ าตาย วสนุ ฺธราแผนดินใหญนี้ วา โดยสว นหนาประมาณถึงสองแสนสี่หมืน่ โยชนแตเม่อื วา โดยสว นกวา งมปี ระมาณแสนโกฏิจักรวาล ดว ยประการฉะนี.้ บทวาอนิจฺจตา แปลวา มแี ลว ก็ไมมี. บทวา ขยธมมฺ ตา เเปลวา มีความสิ้นไปเปน สภาวะ. บทวา วยธมมฺ ตา แปลวา มคี วามเสอ่ื มไปเปนสภาวะ.บทวา วปิ ริณามธมมฺ ตา แปลวา มีการละปกตเิ ปน สภาวะ. ทานกลา วถงึอนจิ จลักษณะอยา งเดยี ว ไวท กุ บทดว ยประการฉะนี.้ ก็ลักษณะทัง้ ๓ ยอ มมาตามพระบาลวี า ส่ิงใดไมเท่ียง สิ่งน้นั เปนทุกข ส่งิ ใดเปนทุกข ส่งิ นน้ั เปนอนตั ตา บทวา มตตฺ ฏ กสฺส แปลวา ตงั้ อยูช ัว่ ระยะกาลนดิ หนอ ย. ในบทน้นั พึงทราบวา กายน้ี ดาํ รงอยูชว่ั ระยะกาลเลก็ นอ ย โดยอาการ ๒ คอืตัง้ อยูน ิดหนอ ยและมีกจิ นดิ หนอย. จรงิ อยู กายนท้ี านกลา ววา ในขณะจิตที่เปนอดตี เปนอยูเเลว ไมใชก ําลังเปนอยู ไมใชจ ักเปน อยู ในขณะจิตที่เปนอนาคต จกั เปนอยูไ มใชก ําลงั เปน อยู ไมใชเปน อยูแลว ในขณะจิตท่ีเปนปจจบุ ันกําลังเปน อยู ไมใชเ ปนอยูแ ลว ไมใชจักเปนอยู. เพือ่ แสดงวากายน้ีน่แี ลต้งั อยูนิดหนอยทานจึงกลาวคํานีว้ าชีวิต อตฺตภาโว จ สขุ ทกุ ขฺ า จ เกวลาเอกจิตฺตสมายตุ ฺตา ลหโุ ส วตตฺ เต ขโณชีวติ อัตภาพและสุขทกุ ขทงั้ มวลลวนประกอบดวยจิตดวงเดียว ขณะยอมเปนไปฉบั พลนั .

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 538พงึ ทราบวา กายน้ี ตัง้ อยูชว่ั ระยะกาลเล็กนอย เพราะตั้งอยูชั่วระยะกาลนิดหนอ ย อยางนี.้ อนึ่งพงึ ทราบวา กายน้นั มีกิจนดิ หนอย เพราะเนือ่ งดวยลมอสั สาปส สาสะเปน ตน . จริงอยู สตั วทง้ั หลายมชี วี ิต เนื่องดว ยลมอสั สาสะเน่อื งดว ยลมปสสาวะ เนอื่ งดวยลมท้งั อัสสาสะท้ังปส สาสะ เน่ืองดวยมหาภูตรปูเนอื่ งดวยกวฬิงการาหาร เนื่องดวยวญิ ญาณ ทงั้ นก้ี ลาวไวพ สิ ดารแลว ในวิสทุ ธิมรรค. บทวา เอต ตณฺหูปาทินนฺ สฺส แปลวา ถูกตัณหายึดถือ ลบู คลํา. บทวาอหนตฺ ิ วา มมนตฺ ิ วา อสฺมีติ วา อถขฺวสสฺ โนเตเวตถฺ โหติ ความวาครั้งน้ันแล ภกิ ษุนัน้ ยกขน้ึ สูไตรลกั ษณพิจารณาอยอู ยางน้ี ยอมไมมคี าหะคอื ตัณหา มานะและทฏิ ฐิ ๓ อยาง ในปฐวีธาตุภายในนี้วา น่เี ปน เราเปนตนอธบิ ายวา ไมม เี ลย. ปฐวีธาตภุ ายนอก ยอมอนั ตรธานไปดวยอาํ นาจเตโชธาตุวาโยธาตุ. เหมอื นอนั ตรธานไปดวยอาํ นาจอาโปธาตุ ฉะนนั้ . แตในทนี่ ี้ มาอยา งเดยี วเทา น้นั . แมน อกน้กี พ็ ึงทราบโดยความหมายเหมือนกัน . ในคําวาตเฺ จ อาวุโส น้ี พระเถระเมื่อเร่ิมทําการกาํ หนดอารมณใ นโสตทวารของภิกษุผูบ ําเพญ็ ธาตุกมั มฏั ฐานน้ัน จงึ แสดงกาํ ลัง. บทวา อกโฺ กสนตฺ ิ ไดแ กดาดว ยอักโกสวัตถุ ๑๐. บทวา ปริภาสนฺติ ไดแ ก ขม ดว ยวาจาวา ทานทาํ เชน น้ี ๆ เราจะลงโทษทานอยางน้ี ๆ. บทวา โรเสนตฺ ิ แปลวา ยอมเสียดส.ี บทวา วิเหเสนฺติ แปลวา ยอ มทําใหลาํ บาก. ทานกลา วเฉพาะการเสยี ดสีดว ยวาจาไวทั้งหมด. บทวา โส เอว ความวา ภิกษุผูบ าํ เพ็ญธาตุกัมมัฏฐานนัน้ ยอมรอู ยางน.ี้ บทวา อปุ ปฺ นฺนา โข เม อย ความวา เกดิข้ึนเพราะธาตุ ๔ ทีเ่ กิดเปน ไปในปจจบุ นั และ เกดิ ขึ้นเพราะความกําเรบิ สบื สาน.บทวา โสตสมผฺ สสฺ ชา ความวา เวทนาที่แลนไปทางโสตทวารเกิดจากโสตสัมผัส ดวยอํานาจอปุ นิสยั . ดว ยบทวา ผสโฺ ส อนจิ ฺโจ ทานแสดงวาโสตสัมผสั ช่ือวา ไมเ ท่ยี งเพราะอรรถวา มแี ลวกไ็ มม .ี แมเ วทนาเปน ตน พึง

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 539เขา ใจวา สัมปยตุ ดวยโสตสัมผสั อยางเดยี ว. บทวา ธาตารมมฺ ณเมว ไดแกอารมณ กลา วคือธาตนุ ัน่ เอง. บทวา ปกฺขนทฺ ติ ไดแ ก หยั่งลง. บทวาปสีทติ ไดแ ก ผอ งใสในอารมณ. อกี อยางหน่งึ คํานนั่ เปนสตั ตมวี ภิ ัตอิ ยางเดยี ว. เมือ่ วาดว ยอํานาจพยญั ชนสนธิ ทานกลาววา ธาตารมมฺ ณเมว ในคําน้ีมีเนื้อความดงั นว้ี า ธาตารมมฺ เณเยว ในอารมณ คอื ธาต.ุ เมอ่ื วาดวยอํานาจธาตุ คําวา วิมุจจฺ ติ นี้ ยอ มไดแกอธโิ มกข ไมยนิ ดี ไมยินราย.ความจริง ภิกษผุ ูบาํ เพ็ญธาตุกมั มัฏฐานน้ี เมอ่ื อารมณม าปรากฏในโสตทวารยอมกาํ หนดวา เปนมูล เปน อารมณท ค่ี วรกําหนดรู เปนอารมณท ่ีจรมาเปนอารมณท ่ีเกดิ ข้นึ ชวั่ ขณะ. เรอื่ งพสิ ดารของอารมณนัน้ กลาวไวแ ลวในสติสัม-ปชัญญบรรพ ในสตปิ ฏฐานสตู ร. แตเวทนานนั้ กลา วไวแ ลว ในสตปิ ฏฐานสตู รนนั้ ดว ยอํานาจจกั ขทุ วาร. ในที่น้ีพงึ ทราบ ดวยอํานาจโสตทวาร. จรงิ อยู ภิกษบุ าํ เพ็ญธาตกุ มั มัฏฐาน ผูท าํ การกําหนดอยา งนแี้ ลวเจรญิ วิปสสนาอยา งแรง แมเมอ่ื อารมณม าปรากฏในจกั ขทุ วารเปน ตน ยอ มเกดิ อาวัชชนจติ โวฏฐพั พนจติ โดยอบุ ายไมแ ยบคาย ถงึ โวฏฐัพพนจติ แลว ไดอาเสวนจติ ครัง้ หนึ่งหรอื สองครั้ง จติ ก็หยงั่ ลงสูภ วงั คเหมอื นเดิม ก็ไมเ กิดดว ยอํานาจราคะ เปน ตน ภิกษนุ ้ี ชอื่ วา ถึงท่สี ดุ วปิ ส สนากลาแขง็ . ภิกษุรูปหนึง่เกิดชวนจติ ครั้งเดยี ว ดวยอํานาจราคะเปน ตน แตใ นทสี่ ดุ ชวนจิต เธอนกึ ดว ยอํานาจราคะเปน ตน วา ชวนจิตเกดิ แกเ รา ชื่อวา กาํ หนดอารมณไดแ ลว ไมเกิดเชน นนั้ อกี ครง้ั . ภกิ ษุอกี รูปหน่งึ นึกถงึ ครั้งเดียวกเ็ กดิ ชวนจิตดว ยอาํ นาจราคะเปน ตน เปนครัง้ ที่ ๒ อีก และเม่อื จบครงั้ ที่ ๒ เมื่อนกึ วา ชวนจิตเกดิ แกเ ราแลวอยางนี้เปนอนั กําหนดอารมณเ หมอื นกัน. ในคร้ังท่ี ๓ ก็ไมเ กิดอยา งน้ัน. ก็บรรดาภกิ ษุ ๓ รปู น้ัน รปู ที่ ๑ กลาแขง็ รปู ท่ี ๓ ออ นแอ. แตว า ดว ยอํานาจ

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 540รูปท่ี ๒ พงึ ทราบเน้อื ความนีใ้ นพระสูตรนี้ มีนกไสเปน เครื่องเปรยี บโดยภาวะเปนอนิ ทรียน นั้ เอง. พระเถระครน้ั แสดงกําลังของภกิ ษุผูบาํ เพ็ญธาตกุ มั มัฏฐานดว ยอาํ นาจกาํ หนดในโสตทวารอยา งน้ีแลว บัดน้ี เม่ือจะแสดงในกายทวาร จงึ กลา วคําวาตฺเจ อาวุโส เปนตน. จริงอยู ภกิ ษุผูถ งึ อนฏิ ฐารมณ ยอ มลาํ บากในทวารท้งั ๒ คือ โสตทวาร และกายทวาร เพราะฉะน้นั พระมหาเถระคดิ วาในอนาคตกาล กลุ บตุ ร ผูตองการศกึ ษาบําเพญ็ เพยี ร ถึงความสาํ รวมในทวารท้งั ๒ เหลา น้ี จกั ทําทีส่ ุดแหงชาตชิ รามรณะไดฉ ับพลนั ทีเดยี ว เปรียบเหมือนบรุ ษุ เจาของนา ถือจอบเท่ยี วเดนิ สํารวจนาไมเสรมิ กอนดินในทีใ่ ดทหี่ น่งึ เอาจอบฟนดินเฉพาะในท่ีบกพรอง เพม่ิ ดินในทีม่ หี ญา ฉะนน้ั เม่อื จะแสดงการสาํ รวมในทวารทัง้ ๒ เหลานี้แล ใหมนั่ คง จึงเรมิ่ เทศนาน้.ี บรรดาบทเหลา นัน้ บทวา สมทุ าจรนฺติ ไดแ กพ ยายาม. บทวาปาณสิ มผฺ สฺเสน ไดแกประหารดวยฝามือ. แมใ นคาํ นอกนี้ ก็มนี ยั นี้เหมอื นกัน.บทวา ตถาภโู ต แปลวามสี ภาวะอยา งนั้น. บทวา ยถาภูตสมฺ ึ แปลวาตามสภาวะ. บทวา กมนฺติ แปลวา เปนไป. พึงทราบวนิ ิจฉัยในคาํ วา เอว พุทฺธอนสุ ฺสรโต เปน ตน ภิกษุผบู าํ เพ็ญจตธุ าตุกัมมฏั ฐานเม่ือนกึ ถึงอยโู ดยนัยเปน ตนวา อิตปิ  โส ภควา ชือ่ วาระลึกถงึ พระพุทธเจา คอื เมอ่ื ระลกึ วา คาํ น้ี พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสไวแ ลวเหมอื นกนั ก็ชอ่ื วา ระลกึ เหมือนกัน. แมเ ม่อื ระลึกอยูโดยนยั มีอาทวิ า สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม ช่อื วา ระลกึ ถงึ พระธรรม แมระลกึ ถงึ กกจูปโมวาทสตู ร กช็ อ่ื วาระลกึ ถงึ เหมอื นกนั . แมร ะลกึ ถึงโดยนัยเปนตน วา สุปฏปิ นโฺ น ชอื่ วา ระลึกถึงพระสงฆ เเมร ะลึกถงึ คุณของภกิ ษุผูอดกลั้นการตดั ดว ยเลอื่ ย กช็ ื่อวา ระลกึ ถงึ เหมือนกนั . ในคาํ วา อุเปกขฺ า ก-ุสลนสิ ฺสติ า สณฺาติ นี้ ทา นประสงคเ อาวปิ สสนุเบกขา. ในคาํ วา อุเปกขฺ า

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 541กุสลนิสฺสติ า สณฺ าติ น้ี ทานประสงคฉ ฬงั คเุ บกขา อุเบกขามอี งค ๖. ก็ฉฬังคเุ บกขา นี้น้นั เปน ไปดวยอํานาจความไมย ินดีเปน ตน ในอฏิ ฐารมณแ ละอนิฏฐารมณของพระขีณาสพก็จริง ถงึ อยา งนนั้ ภิกษนุ ้ี ตงั้ วปิ ส สนาของตนดวยความสาํ เร็จแหง ภาวนาตามกําลงั ความเพียร ในฐานของฉฬงั คเุ บกขาของพระขีณาสพ เพราะฉะนนั้ วปิ ส สนาแล จงึ ช่อื วา ฉฬังคเุ บกขา. พงึ ทราบวินิจฉยั ในอาโปธาตุนเิ ทศ ดงั ตอไปน้ี บทวา อาโปคตไดแก ส่ิงที่อุปาทนิ นรูปซมึ ซาบอยูใ นอาโปธาตุทง้ั หมด มลี กั ษณะเปน นาํ้ เยอื่ สด.กค็ าํ ทีพ่ ึงกลา ว ในคําวา ปตฺต เสมหฺ  เปน ตน ทงั้ หมดพรอมท้ังนัยแหงภาวนาไดก ลาวไวแ ลว ในวิสทุ ธิมรรค. บทวา ปกุปปฺ ติ ไดแก ไหลไปโดยเปน โอฆะหรอื ลนจากสมุทรไหลไป ๆ. มันมีความกําเริบเปน ปกตดิ งั นี้ . ก็เมอื่เวลาทโี่ ลกประลัยไปดวยอาโปธาตุ แสนโกฏจิ กั รวาลเตม็ ไปดวยนาํ้ ทีเดยี ว. บทวาโอคคฺ จฉฺ นฺติ ความวา ไหลไปภายใต ถงึ ความสนิ้ พนิ าศไป เหมือนน้ําท่ียกขนึ้ บนเตาไฟ ฉะนน้ั . คําทเ่ี หลือพงึ ทราบโดยนยั กอนน่นั แล. พงึ ทราบวินจิ ฉัย ในเตโชธาตุนิทเทส ดังตอ ไปน้ี บทวา เตโชคตไดแก ส่งิ ที่เปนอปุ าทนิ นรูปท้งั หมด ท่อี ยูในเตโชธาตทุ ง้ั หมด มลี กั ษณะรอนอีกอยางหนึ่ง ช่ือวา เตโชคต เพราะอยูในภาวะท่รี อ นคือ เตโชธาตุ. ในอาโปธาตุ เบ้ืองตน กด็ ี ในวาโปธาตุ เบอ้ื งหลงั ก็ดี กน็ ยั นเี้ หมอื นกนั . บทวาเยน จ ไดแก ดวยเตโชธาตุอนั ใด เม่ือมันกาํ เริบ กายนกี้ ร็ อนเกดิ ไออนุโดยภาวะทคี่ รํ่าคราไปช่ัววนั หนึง่ เปน ตน . บทวา เยน จ ชิริยติ ไดแ ก กายนี้ยอมทรุดโทรมดว ยเตโชธาตุใด บคุ คล กม็ อี นิ ทรยี บกพรอง หมดกําลงั หนงัเห่ียว ผมหงอกเปนตน ดวยเตโชธาตนุ ัน้ . บทวา เยน จ ปรฑิ ยหฺ ติ ความวา กายน้ียอ มรอ นดว ยเตโชธาตใุ ดอนั กําเริบแลว บุคคลนั้นรอ งบน วารอ นรอน ยอ มหวังการลบู ไลด วยเนยใสจันทนเทศและจันทรแดงผสมเนยใสรอย

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 542คร้ัง และลมเกดิ จากพดั ใบตาล. บทวา เยน จ อสติ  ปต ขายิต สายิต สมฺมา-ปรณิ าม คจฺฉติ ความวา ขาวเปนตน ทีก่ นิ ก็ดี นาํ้ ดื่มเปน ตน ท่ดี ืม่ แลวก็ดีแปงและของเคย้ี วเปนตนที่เคี้ยวแลวก็ดี มะมว งสุกน้ําผึ้งและนํา้ ออ ยเปน ตนที่ล้ิมแลว ก็ดี ยอมสกุ โดยชอบคือยอมเปล่ียนเปนรสเปนตนนั้นเอง. ในขอ นี้มีความสังเขปดังน.ี้ แตคําทีจ่ ะพึงกลาวโดยพสิ ดาร ท้ังหมดพรอมดว ยภาวนานัยไดก ลา วไวแลว ในวิสทุ ธมิ รรค. บทวา หรติ นฺต ไดแ ก ของเขยี วสดนนั้ เองอธิบายวา เตโชธาตุ อาศยั หญาสดเปน ตนก็ดับ. บทวา ปนฺถนตฺ  ไดแ กทางใหญนน้ั เอง. บทวา เสลนฺต ไดแ ก ภูเขา. บทวา อทุ กนฺต ไดแ กนํา้ . บทวา รมณยี  วา ภูมภิ าค ไดแก ภูมภิ าคปราศหญา และพมุ ไมเปน ตนท่ีวางไดแ ก ภมู ิภาคทโ่ี ลง . บทวา อนาหารา ไดแก ไมมีอาหารคือไมมีเช้ือ. ทานกลา วความวิการแหง เตโชธาตุตามปกติไวด ังน้ี. ก็เมื่อเวลาทโ่ี ลกพนิ าศดวยเตโชธาตุ เตโชธาตุก็ใหมแ สนโกฏจิ กั รวาล แมเพยี งข้เี ถากไ็ มเหลืออยู. บทวา นหารทุ ททฺ ลฺเลน ไดแ ก ดวยเศษของหนงั . บทวา อคฺคึคเวสนฺติ ความวา คนทงั้ หลายถือเอาเชอื้ ละเอยี ดเห็นปานนแี้ สวงหาไฟมันไดไออุนเพยี งเลก็ นอยกโ็ พลงขึ้น. คําที่เหลอื แมใ นท่นี ้ี พงึ ทราบโดยนัยกอ นแล. พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในวาโยธาตุนทิ เทสดงั ตอไปน้ี บทวา อุทฺธงคฺ มาวาตา ไดแก ลมทีพ่ ดั ขึน้ เบอ้ื งบนอันเปน ไปโดยอาการมีการเรอและสะอกึเปน ตน. บทวา อโธคมา วาตา ไดแก ลนพดั ลงเบือ้ งต่ํา มกี ารขับถา ยอจุ จาระ ปสสาวะเปน ตน . บทวา กุจฉฺ ิยา วาตา ไดแก ลมทพ่ี ดั ออกนอกลาํ ใสใหญเปนตน. บทวา โกฏ าสยา วาตา ไดแก ลมภายในลําไสใ หญ.บทว องฺคมงฺคานสุ ารโิ น ไดแ ก ลมท่ีเกิดจากการคูเ ขา เหยียดออกเปน ตนท่ซี า นไปตามอวัยวะนอยใหญใ นรางกายท้ังสิ้นตามแนวเสนเอน็ . บทวา อสฺสา-โส ไดแก ลมหายใจเขา. บทวา ปสสฺ าโส ไดแกล มหายใจออก. ในขอนี้มี

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 543ความยอ เทา น้ี. แตเ มื่อวาโดยพสิ ดาร คาํ ทจี่ ะพงึ กลา วนัน้ ทงั้ หมดพรอมทงั้ภาวนานยั ไดกลา วไวแลว ในวสิ ทุ ธมิ รรค. บทวา คามมฺป วหติ ไดแกพดั พาบา นทง้ั สิ้นใหแ หลกละเอียดไป. แมใ นนคิ มเปน ตน ก็มนี ัยนเ้ี หมอื นกนั .เมอื่ คราวโลกยอ ยยับดวยลมน้ี ทานแสดงการเปลีย่ นแปลงแหง วาโยธาตุ ดว ยอาํ นาจการกําจดั แสนโกฏิจกั รวาล. บทวา วธิ ปู เนน ไดแก พดั พาไฟไป.บทวา โอสฺสวเน ไดแก ชายคา ก็นํ้าไหลลงตามชายคาน้ัน เพราะฉะน้นัทานเรียก ชายคาน้ันวา โอสสวนะ. คําที่เหลือแมใ นที่น้ี พึงประกอบโดยนยักอนนนั่ แล. ในคําวา เสยฺยถาป อาวุโส น้ีทา นแสดงถงึ อะไร. ทานแสดงถงึ มหาภตู รปู ทก่ี ลา วไวแลว แตห นหลงั วา มิใชส ัตว. บทวา กฏ ไดแ ก ทัพพสมั -ภาระ. บทวา วลลฺ ึ ไดแ ก เถาวลั ยส ําหรบั ผกู . บทวา ติณ ไดแ ก หญาสําหรบั มุง. บทวา มตตฺ กิ  ไดแ ก ดินสาํ หรบั ฉาบทา. บทวา อากาโสปรวิ ารโิ ต ความวา โอกาสชอ งวางท่อี ยลู อมไมเ ปนตน เหลา นน้ั ภายในภายนอก. บทวา อคาร ในคาํ วา อคาร เตวฺ ว สงฺข คจฺฉติ เปน เพยี งบญั ญัติ.แตเ มอ่ื ไมเปน ตน แยกออกเปน กอง ๆ กองไมทานเรียกวา กฏ ราสิ วลลฺ ริ าสิทงั้ นน้ั . บทวา เอวเมวโข ความวา โอกาสท่ีอยูลอ มกระดกู เปน ตน ทง้ั ภายในภายนอก อาศัยกระดกู เปน ตน เหลา นน้ั จึงนับวา รปู ท้งั นั้น ฉนั นั้นเหมือนกัน. เรอื นที่อาศยั ไมเปน ตน ช่อื วา เคหะ ทา นเรียกวา ขตั ติยเคหะพราหมณเคหะ ฉนั ใด แมร ปู กฉ็ ันนน้ั เหมอื นกัน ทา นเรยี กวา ขตั ตยิ สรรี ะพราหมณสรีระ. แทจรงิ ในทนี่ ีส้ ภาวะไร ๆ ทช่ี อ่ื วา สัตวห รือชวี ะ หามไี ม. ถามวา คําวา อชฺฌตตฺ กิ เฺ จ อาวโุ ส จกฺขุ นี้ ทานเร่มิ ไวเพราะเหตไุ ร. ตอบวา อุปาทายรปู อรูปขนั ธ ๔ และ อรยิ สัจ ๓ ทานมไิ ดกลาวไว

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 544ขางตน บัดนี้ เพือ่ จะกลาวอปุ าทายรูปเปนตนเหลานนั้ ทา นจงึ เร่ิมเทศนานีไ้ ว. บรรดาบทเหลานนั้ บทวา จกฺขุ อปรภิ ินนฺ  ไดแ ก เม่ือจักขุประสาทดับไปกด็ ี ถูกอารมณภ ายนอกมาขัดขวางกด็ ี ถกู ดีเสลดและเลือดพัวพันกด็ ีจกั ขปุ ระสาทไมอาจเปน ปจจัยแกจักขุวิญญาณได เปน เพยี งชอื่ วา แตกไปเทานั้นแตส ามารถเปน ปจ จยั แกจักขวุ ิญญาณ ชอ่ื วา อปรภิ นิ นะ คือ ไมแ ตกไป. บทวาพาหิรา จ รปู า ไดแ ก รปู ท่มี ีสมฏุ ฐาน ๔ ภายนอก. บทวา ตชโฺ ช สมน-ฺนาหาโร ไดแก อาศยั จักขุนน้ั และรูป คํานงึ ถงึ ภวังคแลว เกดิ มนสกิ ารอธบิ ายวา กริ ิยมโนธาตุจติ ในจักขทุ วารสามารถคาํ นึงถึงภวังค กิรยิ มโนธาตุจติ นน้ั ไมมแี มแ กผ ูที่สง ใจไปในท่ีอื่น เพราะรปู ารมณไมป รากฏ. บทวาตชชฺ สฺส ไดแ ก สมควรแกจ ติ น้ัน. บทวา วิ ฺ าณภาคสสฺ ไดแ ก สว นแหง วญิ ญาณ. ทานแสดงสจั จะ ๔ โดยอาการ ๑๒ ในคาํ วา ยถาภูตสสฺเปนตน . บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา ตถาภตู สสฺ ความวา เกิดพรอมดวยจักขุวิญญาณ คือพรง่ั พรอมดว ยจกั ขุวิญญาณ. บทวา รูป ความวา รูปทมี่ ีสมุฏฐาน ๓ ยอ มไดในขณะจกั ขวุ ิญญาณ เพราะจักขุวญิ ญาณเปน ตัวทําใหรูปเกิด แมรูปท่ีมสี มุฏฐาน ๔ ยอ มไดในขณะจิตตอ จากนน้ั . บทวา สงคฺ หคจฺฉติ แปลวา ถงึ การนับ. เจตสิกธรรมมีเวทนาเปน ตน กส็ ัมปยุตดวยจกั ขุวิญญาณเหมอื นกัน. วิญญาณ ก็คอื จักขุวิญญาณน่ันเอง. ทา นกลา วเจตนาวาสังขาร ไวใ นคาํ น้ี . บทวา สงคฺ โห แปลวา รวมกัน. บทวา สนฺนปิ าโตแปลวา มาพรอมกัน. บทวา สมวาโย ไดแก กอง. บทวา โย ปฏิจฺจ-สมุปปฺ าท ปสสฺ ติ ไดแก ผใู ดเห็นปจจยั ทง้ั หลาย. บทวา โส ธมฺม ปสสฺ ติไดแก ผนู น้ั ชื่อวา เหน็ ปฏจิ จสมุปปนนธรรม. คาํ ทงั้ ปวงมฉี นั ทะเปนตน เปนไวพจนข องตณั หานนั่ เอง. จรงิ อยู ตัณหาทา นเรียกวาฉันทะ เพราะทาํ ความพอใจ เรียกวาอาลัย เพราะทําความเยอ่ื ใย เรียกวา อนนุ ยะ เพราะทาํ ความ

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 545ยินดี เรียกวา อชั โฌสานะ เพราะใสลงกลนื เก็บไว. คาํ วา ฉนทฺ ราควนิ โยฉนฺทราคปปฺ หาน เปน ช่อื ของพระนิพพานท้ังนนั้ . ในพระบาลี มา ๓ สัจจะเทา นั้น ควรนาํ มรรคสัจมารวมไวด ว ย ดว ยประการฉะนี.้ ในฐานะ ๓ เหลาน้ี ทฏิ ฐิ สังกปั ปะ วาจา กมั มนั ตะ อาชีวะ วายามะ สติ สมาธิ ภาวนาปฏิเวธ นี้ ช่อื วา มรรค. บทวา พหกุ ต โหติ ความวา ดวยแมอ ธบิ ายเพียงเทา น้ี ก็เปนอนั ทาํ ตามคาํ สอนของพระผูม ีพระภาคเจาเปน อันมาก. แมในวาระมอี าทิวา อชฺฌตฺติก เจ อาวุโส โสต กน็ ยั นเี้ หมอื นกัน. สวนในมโนทวารภวงั คจติ ชื่อวา ใจภายใน ภวังคจติ นัน้ แมด ับไปแลว ไมส ามารถเปนปจ จัยของอาวัชชนจิตได ภวงั คจติ ที่มีกําลงั ออ นแมเปน ไปอยู ก็ชื่อวาแตกแลว ท่ีสามารถเปน ปจ จยั ของอาวัชชนจิต ชื่อวา ไมแ ตก. คําวา พาหริ า จธมฺมา ฯเปฯ เนว ตาว ตชชฺ สสฺ นี้ ทานกลา วไวโ ดยสมัยภวงั คจติ เทาน้ัน.ในวาระที่ ๒ ทา นกลาวหมายเอาภิกษุผสู ง ใจไปในทอี่ นื่ โดยพิจารณาฌานที่ชํ่าชอง ใสใ จกัมมัฏฐานทคี่ ลองแคลว หรือทอ งบน พทุ ธพจนท ่ีชาํ นาญเปน ตน.รปู แมมีสมุฏฐาน ๔ กไ็ ดช ่ือวา รูป ในวาระนี้. เพราะนโนวิญญาณ ยอมใหรปู เกดิ ขน้ึ . เจตสิกธรรมมีเวทนาเปน ตน ก็สมั ปยตุ ดวยมโนวญิ ญาณ. วิญญาณก็คือมโนวิญญาณนนั่ เอง. แตในทน่ี ี้ สงั ขารท้งั หลายทา นถือดว ยผสั สเจตนาเหมอื นกัน. คาํ ที่เหลือ พึงทราบตามนัยที่กลาวแลวนนั้ แล. ดงั นั้น พระมหาเถระเมอ่ื พิจารณาเฉพาะเอกเทศในหนหลัง จึงเอามาตง้ั ไวในทนี่ ี้ แลวแยกแสดงเทศนาทไี่ มสมบูรณท ัง้ หมดในหนหลังไวดวยอํานาจทวาร จบพระสูตรลง ตามลําดับอนสุ นธิแล. จบอรรถกถามหาหัตถิปโทปมสตู ร ที่ ๘.

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 546 ๙. มหาสาโรปมสูตร [๓๔๗] ขาพเจาไดส ดับมาอยา งน:ี้ - สมยั หนงึ่ พระผมู ีพระภาคเจา ประทบั อยู ณ ภเู ขาคชิ ฌกูฏ กรงุ -ราชคฤห เมื่อพระเทวทัตหลีกไปไมน าน ณ ทนี่ น้ั แล พระผูมพี ระภาคเจาทรงปรารภพระเทวทตั ตรสั เรยี กภิกษทุ ง้ั หลายมาแลว ตรสั วา ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย กุลบุตรบางคนในโลกน้ี ออกจากเรือนไมมีเรือนบวชดว ยศรทั ธาดว ยคิดวา เราเปนผถู ูกชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนัส อปุ ายาสครอบงํา ถกู ความทกุ ขท วมทับแลว มคี วามทกุ ขเ ปน เบอ้ื งหนา ไฉนหนอความกระทาํ ทส่ี ุดแหงกองทุกขท งั้ มวลน้ี จะพงึ ปรากฏ. เขาบวชอยางนั้นแลวยังลาภสักการะและความสรรเสรญิ ใหบ งั เกิดขึน้ . เขามีความยินดี มคี วามดาํ ริเตม็ เปย มดวยลาภสักการะ และความสรรเสริญนน้ั . เพราะลาภสักการะและความสรรเสรญิ อนั นน้ั เขายอ มยกตนขมผอู ื่นวา เรามีลาภสกั การะและความสรรเสรญิ สวนภิกษอุ ื่นนอกนี้ไมปรากฏ มีศกั ดานอ ย. เขายอมมวั เมา ถึงความประมาทเพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนน้ั เมอ่ื เปน ผปู ระมาทแลวยอ มอยูเปน ทุกข. ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย เปรียบเหมอื นบรุ ุษผูม ีความตองการแกน ไมอยู เม่ือตน ไมใ หญม แี กน ยืนตน อยู ละเลยแกน ละเลยกระพี้ ละเลยเปลอื ก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิง่ และใบถอื ไป สําคญั วา แกน บรุ ุษผมู จี กั ษุเห็นเขาผูน น้ั แลว พึงกลาวอยางน้วี า บรุ ษุ ผูเจรญิ นี้ ไมร จู กั แกนไม ไมรูจกักระพี้ ไมรจู กั เปลอื ก ไมรูจักสะเกด็ ไมรูจ ักกิง่ และใบ จรงิ อยา งนั้น บุรุษผูเจรญิ น้มี คี วามตอ งการแกนไม แสวงหาแกนไม เท่ียวเสาะหาแกนไมอ ยู เมอ่ืตน ไมใ หญมแี กน ตัง้ อยู ละเลยกระพ้ี ละเลยเปลอื ก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตดั

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 547เอากง่ิ และใบถือไป สาํ คญั วาแกน และกจิ ทีจ่ ะพงึ ทาํ ดว ยไมแกน ของเขา จกัไมส ําเร็จประโยชนแกเขา ฉันใด กุลบตุ รบางคนในโลกน้ี กฉ็ นั นน้ั เหมือนกนั ออกจากเรือนไมมเี รือนบวชดวยศรทั ธาดว ยคดิ วา เราเปน ผูถูกชาติ ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนสั อปุ ายาส ครอบงาํ แลว ถูกความทกุ ขทว มทับแลว มคี วามทกุ ขเ ปนเบอ้ื งหนา ไฉนหนอ ความกระทําทีส่ ดุ แหงกองทุกขท ง้ั มวลน้ี จะพึงปรากฏ. เขาบวชอยางนั้นแลว ยังลาภสกั การะและความสรรเสรญิ ใหบ งั เกดิ ขึน้ . เขามีความยนิ ดี มคี วามดาํ รเิ ต็มเปยม ดวยลาภสักการะและความสรรเสริญอันน้นั . เพราะลาภสักการะ และความสรรเสรญิ อนั น้ันเขายอ มยกตนขม ผอู ื่นวา เรามีสกั การะ และความสรรเสรญิ สวนภกิ ษุอืน่นอกน้ีไมปรากฏ [หรอื มีคนรจู กั นอย] มีศักดานอ ย. เขายอมมัวเมา ถึงความประมาทเพราะลาภสักการะและความสรรเสรญิ นนั้ เมอ่ื เปนผปู ระมาทแลวยอ มอยูเปน ทกุ ข ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย ภกิ ษุนีเ้ ราเรียกวา ไดถ ือเอาก่งิ และใบของพรหมจรรย และถงึ ทีส่ ุดแคก่งิ และและใบนนั้ . วา ดว ยสะเกด็ ของพรหมจรรย [๓๔๘] ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย กุลบตุ รบางคนในโลกน้ี ออกจากเรือนไมม ีเรือนบวชดวยศรทั ธาดว ยคดิ วา เราเปน ผูถูกชาติ ชรา มรณะโสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนสั อปุ ายาส ครอบงาํ แลว ถูกความทุกขท ว มทบั แลว มีความทกุ ขเ ปน เบ้ืองหนา ไฉนหนอ ความกระทําท่สี ดุ แหงทุกขทง้ั มวลน้ี จะพงึ ปรากฏ. เขาบวชอยางนัน้ แลว ยงั มีลาภสกั การะและความสรรเสรญิ ใหบ ังเกดิ ขึ้น. เขาไมมีความยินดี มีความดาํ รยิ งั ไมเต็มเปยม ดวยลาภสกั การะและความสรรเสริญนั้น. เขาไมยกตน ไมขม ผอู ื่น เพราะลาภสกั การะและความสรรเสริญอันนน้ั . เขายอมไมม วั เมา ไมถ ึงความประมาทเพราะลาภสกั การะและความสรรเสรญิ น้นั เม่อื เปนผูไ มประมาทแลว ยอ มยังความถึงพรอมเเหง ศีลใหสาํ เรจ็ . เขามคี วามยินดมี ีความดํารเิ ต็มเปย ม ดวย

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 548ความถึงพรอมแหง ศลี น้ัน. เพราะความถึงพรอมแหงศลี นนั้ เขายอมยกตนขม ผอู นื่ วา เรามศี ีลมกี ลั ยาณธรรม สว นภกิ ษอุ นื่ นอกนเ้ี ปน ผูทุศีลมีบาปธรรม.เขายอ มมัวเมา ถึงความประมาทเพราะความถึงพรอ มแหงศีลน้นั เมื่อเปน ผูประมาทแลว ยอ มอยูเปนทุกข. ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย เปรียบเหมือนบรุ ุษผมู ีความตอ งการแกนไม แสวงหาแกนไม เท่ยี วเสาะหาแกน ไมอ ยู เมอื่ ตนไมใหญม ีแกนตัง้ อยู ละเลยแกน ละเลยกระพ้ี ละเลยเปลือกไปเสยี ถากเอาสะเก็ดถอื ไป สาํ คญั วา แกน บุรษุ ผมู ีจกั ษเุ ห็นเขาผนู ั้นแลว พงึ กลาวอยางนี้วา บรุ ษุ ผูเจรญิ นี้ ไมรูจักแกนไม ไมรจู กั กระพ้ี ไมร ูจกั เปลือก ไมร จู กัสะเกด็ ไมร ูจกั กงิ่ และใบ จริงอยางนัน้ บุรษุ ผเู จริญนี้ มคี วามตอ งการแกนไม แสวงหาแกนไม เที่ยวเสาะหาแกนไมอ ยู เมือ่ ตน ไมใ หญม แี กน ตัง้ อยูละเลยแกน ละเลยกะพ้ี ละเลยเปลอื กไปเสีย ถากเอาสะเกด็ ถอื ไป สําคัญวาแกน และกิจที่จะพึงดว ยไมแ กนของเขาจกั ไมสําเร็จประโยชนแกเ ขา ฉันใดกุลบตุ รบางคนในโลกน้ี กฉ็ นั น้ันเหมอื นกนั ออกจากเรือนไมม เี รือนบวชดว ยศรัทธาดว ยคดิ วา เราเปน ผถู กู ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนสัอปุ ายาส ครอบงําแลว ถกู ความทุกขทวมทบั แลว มีความทกุ ขเ ปนเบอ้ื งหนาไฉนหนอ ความกระทําทีส่ ุดแหง กองทกุ ขทั้งมวลน้ี จะพึงปรากฏ. เขาบวชอยางนแ้ี ลว ยังลาภสักการะและความสรรเสรญิ ใหบ งั เกิดขึ้น. เขาไมม ีความยนิ ดีมีความดาํ รยิ งั ไมเ ต็มเปย ม ดว ยลาภสักการะและความสรรเสรญิ นัน้ . เขาไมย กตน ไมข ม ผูอ ืน่ เพราะลาภสักการะและสรรเสริญอันน้ัน. เขายอ มไมม ัวเมาไมถงึ ความประมาท เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนน้ั เม่ือเปนผูไมประมาทแลว ยอ มยงั ความถงึ พรอมแหง ศีลใหส าํ เร็จ. เขามีความดาํ รเิ ต็มเปย มดว ยความถงึ พรอมแหง ศีลน้ัน. เพราะความถงึ พรอ มแหงศลี อันนั้น เขายอ มยกตนขม ผอู ื่นวา เรามีศลี มกี ลั ยาณธรรม สว นภิกษอุ ่นื นอกนี้ เปน ผูท ศุ ีล

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 549มีบาปธรรม เขายอมมวั เมา ถงึ ความประมาท เพราะความถงึ พรอ มแหง ศลี น้ันเมอ่ื เปนผูประมาทแลว ยอ มอยเู ปนทุกข ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ภกิ ษุน้เี ราเรยี กวา ไดถอื เอาสะเกด็ ของพรหมจรรย และถงึ ท่สี ุดแคสะเก็ดนนั้ . วา ดวยเปลือกของพรหมจรรย [๓๔๙] ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย กุลบตุ รบางคนในโลกนี้ ออกจากเรือนไมม เี รือนบวชดว ยศรทั ธาดวยคิดวา เราเปน ผูถูกชาติ ชรา มรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทุกข โทมนสั อปุ ายาส ครอบงาํ แลว ถกู ความทุกขทว มทับแลวมคี วามทกุ ขเ ปน เบือ้ งหนา ไฉนหนอ ความกระทาํ ที่สดุ แหงกองทกุ ขทัง้ มวลน้ีจะพึงปรากฏ. เขาบวชอยา งนั้นแลว ยงั ลาภสักการะและความสรรเสริญใหบงัเกิดขึน้ . เขาไมมีความยินดี มีความดํารยิ ังไมเต็มเปย ม ดวยลาภสักการะและความสรรเสริญนนั้ . เขาไมย กตน ไมขม ผูอื่น เพราะลาภสกั การะและความสรรเสรญิ อันนน้ั . เขายอ มไมมัวเมา ไมถึงความประมาทเพราะลาภสักการะและความสรรเสรญิ นั้น เมื่อเปน ผูไมประมาทแลว ยอมยังความถงึ พรอมแหง ศลีใหส ําเรจ็ . เขามคี วามยินดีดว ยความถงึ พรอมแหง ศลี นั้น แตมีความดํารยิ งั ไมเตม็ เปย ม. เขาไมยกตน ไมข มผอู ื่น เพราะความถงึ พรอมแหง ศีลอันนนั้ .เขายอมไมมวั เมา ไมถึงความประมาท เพราะความถงึ พรอ มแหงศีลนัน้ เมอ่ืเปน ผูไ มประมาทแลว ยอ มยังความถงึ พรอ มเเหงสมาธิใหสาํ เรจ็ เขามคี วามยินดี มคี วามดําริเต็มเปย ม ดวยความถึงพรอมแหง สมาธนิ ้นั . เพราะความถงึ พรอมแหงสมาธอิ ันน้ัน เขายอมยกตนขม ผูอืน่ วา เรามจี ติ ต้ังม่ัน มีจติมอี ารมณเปนอนั เดียว สวนภกิ ษุอืน่ นอกน้ี มจี ิตไมตง้ั มนั่ มจี ิตหมุนไปผดิ แลว .เขายอมมัวเมาถึงความประมาท เพราะความถงึ พรอมแหงสมาธนิ ัน้ เมื่อเปนผูประมาทแลว ยอมอยูเปนทุกข. ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย เปรียบเหมอื นบุรุษผูมีความตองการแกนไม แสวงหาแกน ไม เที่ยวเสาะหาแกน ไมอยู เม่ือตน ไมใหญมีแกน ตง้ั อยู ละเลยแกน ละเลยกระพไ้ี ปเสีย ถากเอาเปลือกถือไป สําคญั

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 550วา แกน บรุ ุษผูมีจกั ษุเห็นเขาผูนั้นแลว พงึ กลาวอยางนี้วา บรุ ุษผูเจริญนี้ไมร จู กั แกน ไมรจู ักกระพ้ี ไมร จู ักเปลือก ไมร ูจักสะเก็ด ไมรูจ ักก่งิ และใบจรงิ อยางนั้น บุรุษผูเ จรญิ น้มี คี วามตอ งการแกนไม แสวงหาแกนไม เทีย่ วเสาะหาแกน ไมอยู เม่ือตนไมใ หญม แี กน ต้ังอยู ละเลยแกน ละเลยกระพ้ไี ปเสียถากเอาเปลือกถอื ไป สําคญั วาแกน และกจิ ที่จะพงึ ทําดวยไมแ กน ของเขา จักไมส าํ เรจ็ ประโยชนแ กเขาฉนั ใด กลุ บุตรบางคนในโลกนี้ ก็ฉันน้นั เหมอื นกันออกจากเรอื นไมมีเรอื นบวช ดวยศรัทธาดว ยคดิ วา เราเปนผูถูกชาติ ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนสั อุปายาส ครอบงําแลว ถกู ความทกุ ขทวมทบั แลว มีความทุกขเปน เบือ้ งหนา ไฉนหนอ ความกระทาํ ทส่ี ุดแหงกองทุกขท้ังมวลน้ี จะพึงปรากฏ. เขาบวชอยา งนัน้ แลว ยังลาภสักการะและความสรรเสริญใหบ งั เกิดขึ้น. เขาไมมคี วามยินดี มคี วามดํารยิ งั ไมเ ต็มเปย มดวยลาภสักการะและความสรรเสรญิ นน้ั . เขาไมย กตน ไมข มผอู ่นื เพราะลาภสกั การะและความสรรเสรญิ อันนัน้ . เขายอมไมมวั เมา ไมถึงความประมาทเพราะลาภสกั การะและความสรรเสรญิ นนั้ เม่ือเปน ผไู มป ระมาทแลว ยอ มยงัความถึงพรอมแหงศีลใหส ําเร็จ. เขามคี วามยินดดี วยความถึงพรอ มแหงศลี นนั้แตมคี วามดาํ รยิ งั ไมเ ตม็ เปยม. เขาไมย กตน ไมขม ผูอ ืน่ เพราะความถึงพรอมแหง ศีลน้นั . เขายอมไมม ัวเมา ไมถ งึ ความประมาท เพราะความถงึ พรอมแหงศีลนัน้ เม่อื เปน ผูไมประมาทแลว ยอ มยังความถงึ พรอ มแหงสมาธิใหสําเร็จ. เขามคี วามยินดี มีความดําริเต็มเปย ม ดวยความถึงพรอมแหงสมาธิน้นัเขายอมยกตนขม ผูอ ืน่ วา เรามจี ติ ตัง้ มัน่ มจี ิตมีอารมณเปน อันเดยี ว สวนภกิ ษอุ ่ืนนอกน้ี มีจิตไมตงั้ มั่น มจี ิตหมุนไปผิดแลว เขายอมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะความถึงพรอมแหงสมาธินั้น เมอ่ื เปนผูประมาทแลว ยอ มอยู


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook