Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_18

tripitaka_18

Published by sadudees, 2017-01-10 01:16:26

Description: tripitaka_18

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 301อรรถวา ตามเผา อปุ มาดวยหลุมถานเพลงิ เพราะอรรถวา ทาํ ใหเ รา รอนมาก อปุ มาดว ยความฝน เพราะอรรถวา ปรากฏนิดหนอย อปุ มาดวยของที่ขอยมื เขามา เพราะอรรถวา เปน ไปช่ัวคราว อุปมาดวยผลตน ไมมีพิษ เพราะอรรถวา ทําลายทั่วสรรพางค อปุ มาดว ยคมดาบ เพราะอรรถวา ตัดรอนอปุ มาดวยหอกและหลาว เพราะอรรถท่ิมแทง อุปมาดวยหวั งู เพราะอรรถวานารังเกยี จ และมีภยั เฉพาะหนา . บทวา ถามสา ไดแ กด ว ยกําลังแหง ทิฏฐิ.บทวา ปรามาสา ไดแก ลบู คลําดวยทิฏฐิ. บทวา อภินวิ ิสฺส โวหรติไดแกมงุ ม่ันกลา วหรือแสดง. บทวา ยโต โข เต ภกิ ขฺ ู ไดแก ครั้งใดภิกษเุ หลา นน้ั . อริฏฐภกิ ษนุ ้แี มใครจ ะกลาววา ไมม ี ดงั นี้ตามอัธยาศรัยของตนกย็ อมรบั คํานวี้ า เอว พฺยา โข อห ภนเฺ ต ภควตา ดว ยอานภุ าพของพระผูมีพระภาคเจา. ไดยนิ วา ช่อื วา ผูส ามารถจะกลา วคาํ ๒ คําตอ พระ-พกั ตรของพระพทุ ธทัง้ หลายไมมี. บทวา กสฺส โข นาม ตฺว โมฆปรุ ิสความวา ดกู อ นโมฆบรุ ษุ ทา นรูทว่ั ถงึ ธรรมที่เราแสดงอยา งนี้แกใคร กษัตรยิ หรือพราหมณ แพทย หรอื สูทร คฤหัสถ หรือ บรรพชิต เทวดา หรือมนษุ ย. บทวา อถ โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ นีเ้ ปนอนสุ นธแิ ผนกหนึ่งโดยเฉพาะ. ไดย นิ วา อริฏฐภิกษคุ ิดวา พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั เรียกเราวาโมฆปุริส แตเ ธอจะไมมธี รรมอันเปนอปุ นสิ ยั แหง มรรคและผล ดวยเหตุเพยี งตรัสวา โมฆปุรสิ หามไิ ดแ ล จริงอยู พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั เรยี กอปุ เสนวังคนั ตบตุ รดว ยวาทะวาโมฆปรุ ิส วาดกู อนโมฆปรุ ิส เธอเปน ผูเวียนมาเพ่อื ความมักมากเร็วเกนิ ไป ภายหลังพระเถระเพียรพยายามกระทําใหแจง ซึ่งอภญิ ญา ๖ดว ยคิดวา แมเ ราก็จักประคองความเพียรเหน็ ปานนัน้ ทาํ มรรคผลใหเ กิด. ลาํ ดบัน้นั พระผูมีพระภาคเจาเม่อื จะทรงแสดงความทีอ่ รฏิ ฐภิกษเุ ปน ผูไมง อกงาม

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 302เหมือนใบไมเหลอื งท่ีหลดุ จากข้ัว จึงเริ่มแสดงพระธรรมเทศนาน.้ี บทวา อสุ ฺมีกโตป ความวา ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอสาํ คัญความขอ นน้ั เปนอยา งไร อริฏฐภกิ ษุนม้ี ีลทั ธิอยางนี้ ขัดแยง กบั สพั พญั ตุ ญาณ ปฏิเสธเวสารชั ชญาณ ประหารอาณาจกั รพระตถาคต แมเธอกอ็ บรมญาณในธรรมวินยั นไี้ ดบ า ง เธออาศยัความอบรมญาณแมมีประมาณนอ ย พยายามอยู พงึ ทํามรรคผลใหเกิดขึน้ ไดบา ง เหมอื นกองไฟใหญท ี่จะพึงมไี ด เพราะอาศยั ลกู ไฟแมมปี ระมาณเทา หิง้หอ ยในกองไฟใหญแมทีด่ บั ไปแลวฉนั นัน้ . บทวา โน เหต ภนเฺ ต ความวา ภิกษุท้ังหลายกลา วคัดคานความท่ีอรฏิ ฐภิกษุอบรมญาณ เพือ่ ประโยชนแกมรรคผลทม่ี ปี จจัยเสมอกนั วา ขา แตพ ระองคผ เู จริญ อริฏฐภิกษผุ ูม ลี ัทธิอยา งน้ี จะอบรมญาณเชนนน้ั ไดแ ตทไ่ี หน. บทวา มงฺกุภโู ต ไดแกเปนผไู รอํานาจ. บทวา ปตตฺ กขฺ นโฺ ธ ไดแ ก คอตก. บทวา อปปฺ ฏภิ าโณ ไดแก ไมเหน็ อะไร ๆ แจม ชัด คือขาดปฎภิ าณ. อริฏฐภิกษุพจิ ารณาความทต่ี นเปน อภพั พบุคคลวา ไดย ินวา เราไดคาํ สอนทน่ี ําออกจากทุกขเห็นปานนแ้ี ลวยงั ไมงอกงาม เรามีปจจยั ถูกถอนเสยี แลว ดงั น้ี นั่งเอาปลายน้ิวเทาขุดดินอยู. แมบ ทวา ปฺายิสสฺ สิ โข นี้ กเ็ ปนอนุสนธแิ ผนกหนึง่ โดยเฉพาะ. ไดยินวา อริฏฐภิกษคุ ดิ วา พระผูม ีพระภาคเจาตรสั วา เราเปนผูขาดธรรมอนั เปน อุปนสิ ัยแหงมรรคและผล ก็พระพทุ ธเจา ท้ังหลายมิใชทรงแสดงธรรมเฉพาะผูมอี ปุ นสิ ัยเทานัน้ ทรงแสดงธรรมแกผูไมม ีอุปนสิ ยั ดว ย เราไดสุคโตวาทจากสํานักพระศาสดาแลว จักกระทํากศุ ลอนั จะเขาถงึ สมบตั ิของตน.คร้งั น้นั พระผมู ีพระภาคเจา เมอ่ื จะระงบั พระโอวาท จึงตรสั วา ปฺ ายิสฺสสิเปนตน . คํานั้นมคี วามวา ดูกอนโมฆบรุ ษุ ทานน่ันแล จักปรากฏในนรกเปน ตน ดว ยทิฏฐอิ นั ช่ัวชา นี้ ขึน้ ช่ือวาสคุ โตวาทของทานยอ มไมมีจากสาํ นักของเรา ทานไมม ีประโยชนส าํ หรับเรา เราจักสอบถามภิกษทุ ง้ั หลายในที่นี.้

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 303 ความวา อถ โข ภควา นเ้ี ปนอนสุ นธิแผนกหนึ่ง. จริงอยู พระผมู พี ระภาคเจา จะทรงชาํ ระบรษิ ัทในทน่ี ี้ จึงทรงขับพระอริฏฐออกเสยี จากหมูกถ็ า หากวา บรรดาบริษัทท้ังหลาย ภกิ ษบุ างรูปจะพึงคิดอยา งนวี้ า อรฏิ ฐะน้ีหรือจักอาจกลา วคาํ ท่พี ระผมู พี ระภาคเจามไิ ดตรัส เมื่อพระผมู ีพระภาคเจา ทรงเร่ิมกถา ก็รีบตรัสในทา มกลางสงฆเลยหรือ ก็คาํ ทตี่ รสั อยางนี้ พระอรฏิ ฐะเทาน้นั ไมฟง แตจ ักเปน พระดํารัสท่ีภิกษแุ มอ ่นื ฟง กันแลว แมเ ชนน้ันภิกษบุ างรปูนน้ั พงึ คิดวา พระศาสดาทรงนิคคหะภกิ ษอุ ริฏฐะฉันใด พึงทรงนิคคหะแมเราฉันนนั้ แมฟ ง แลว ก็ตองนงิ่ จกั ไมทาํ การนนั้ ทัง้ หมด คําท่แี มเราไมกลาว แมคาํ ท่คี นอ่ืนฟง ก็ไมมี. เพราะฉะนั้น พระผมู ีพระภาคเจาทรงชําระลทั ธิในบรษิ ทัดวยพระดํารัสวา ตุมฺเหป เม ภิกขฺ เว เปนตน พระอริฏฐะช่ือวา เปน อันพระผูม พี ระภาคเจาทรงขบั ไลจากคณะ ดวยการชาํ ระลทั ธิในบริษทั น่นั แหละ. บดั นี้ พระผูมีพระภาคเจาเมอื่ จะทรงประกาศลทั ธขิ องภิกษอุ ริฏฐะจงึตรสั คํามีอาทิวา โส วต ภิกขฺ เว ดงั น.ี้ พึงทราบวินิจฉัยในคําเปน ตนวาอฺ ตเรว กาเมหิ ในบาลนี ้ัน ดงั นี้วา ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ภิกษุนั้นใดมลี ทั ธอิ ยา งนี้วา ธรรมเหลานั้นไมส ามารถทาํ อนั ตรายแกผเู สพไดจริง ภกิ ษุนน้ัหนอจักเสพวัตถุกามทง้ั หลาย คือจกั ประพฤติเมถุนสมาจาร เวนกเิ ลสกามและสัญญาวิตกท่ปี ระกอบดว ยกิเลสกาม ละธรรมเหลานนั้ คอื เวนจากธรรมเหลานัน้ . บทวา เนต าน วิชฺชติ ความวา ชอ่ื วา ช่อื เหตุนีไ้ มม ี คือเหตุน้ีมใิ ชฐานะ มิใชโอกาส. ดวยประการฉะนี้ พระผูมพี ระภาคเจาทรงประกาศลัทธิของพระอริฏฐะวา อริฏฐะน้เี ปรียบเหมือนชา งยอ ม ถอื เอาผา ท่ีหอมบาง เหมน็ บาง เกาบางใหมบ าง สะอาดบา ง ไมส ะอาดบาง มาหอ รวมเปนหอเดยี วกนั ฉนั ใด เธอกก็ ระทําการบริโภคจีวรประณีตเปน ตน ทไี่ มม ีฉนั ทราคะสาํ หรบั ภิกษุ กระทํา

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 304การบริโภคที่มฉี นั ทราคะอันกระทาํ อันตราย สําหรบั คฤหัสถท ีม่ ีศลี ไมประจําและทาํ การบริโภคท่ีมีฉันทราคะอันกระทําปอ งกนั สาํ หรับภิกษมุ ที ่ศี ลี ประจํารวมเปนอนั เดยี วกันทงั้ หมด บดั นี้ เมอ่ื จะทรงแสดงโทษของปรยิ ัติท่ีเรียนมาไมดี จงึ ตรัสวา อธิ ภิกฺขเว เอกจฺเจ เปนตน . บรรดาบทเหลานั้น บทวาปริยาปณุ นฺติ แปลวา เลา เรียน. พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในคาํ วา สุต เปนตนอภุ โตวภิ งั ค นทิ เทส ขนั ธกะและบริวารมงคลสูตร รตั นสตู ร นาฬกสตู รตุวัฏฏกสตู ร ในสุตตนบิ าต และตถาคตวจนะ แมอืน่ ทีม่ ชี ือ่ วา สูตร พึงทราบวาสตู ร. สูตรทมี่ ีคาถาทง้ั หมด พงึ ทราบวา เคยยะ. โดยเฉพาะอยา งยง่ิ สคาถวรรคทงั้ สน้ิ ในสังยตุ ตนิกาย พึงทราบวา เคยยะ. อภธิ รรมปฏกทงั้ สิ้น สตู รทไี่ มม ีคาถาและพุทธพจนแ มอื่นท่ีสงเคราะหด ว ยองค ๘ พึงทราบวา เวยยากรณะ. ธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา และคาถาลวนที่ไมช ือ่ วา สตู รในสุตตนบิ าต พึงทราบวา คาถา. พระสตู ร ๘๒ สูตร ที่เก่ียวดวยคาถาทสี่ ําเรจ็ มาแตโสมนัสญาณพึงทราบวา อุทาน. พระสูตร ๑๑๐ สูตร ท่ีเปน ไปโดยอาทิวา วุตฺตมิทภตวตา พึงทราบวา อิตวิ ตุ ตกะ. ชาดก ๕๕๐ เรือ่ ง มีอปณณกชาดกเปนตน พงึ ทราบวา ชาดก. พระสตู รที่เกียวดว ยอจั ฉรยิ อัพภูตธรรมแมท ัง้ หมดทเ่ี ปน ไปโดยนยั มีอาทิวา จตตฺ าโรเม ภกิ ฺขเว อจฉฺ ริยา อพภฺ ตู ธมมฺ าอานนฺเท พงึ ทราบวา อัพภตู ธรรม. พระสูตรทต่ี รสั ถามแลว ไดความรูไดค วามยินดที ัง้ หมด มจี ุลลเวทลั ลสตู ร มหาเวทลั ลสตู ร สมั มาทฏิ ฐสิ ูตรสกั กปญ หสูตร สงั ขารภาชนยี สูตร มหาปณุ ณสูตรเปน ตน พงึ ทราบวาเวทัลละ. บทวา อตถฺ  น อปุ ริกฺขนตฺ ิ ไดแก ไมเหน็ และกาํ หนดไมไดซงึ่ อรรถแหงสตู ร ซง่ึ อรรถแหง เหตุ. บทวา อนปุ ปริกขฺ ต ไดแ ก กําหนด

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 305ไมไ ด. บทวา น นชิ ฺฌาน ขมนตฺ ิ ไดแก ไมปรากฏ คอื ไมมาปรากฎ.อธบิ ายวา ใคร ๆ ไมอ าจจะรูอยางนีว้ า ศลี สมาธิ ปญ ญ า มรรค ผลวัฏฏะ. หรือวิวฏั ฏะ ตรัสไวแลว ในทน่ี ้ี. บทวา เต อปุ ารมฺภานิส สา เจวความวา กลุ บตุ รเหลา น้นั เปน ผูไมย กโทษในวาทะของคนเหลาอน่ื เปน อานสิ งสเลา เรยี น. บทวา อิตวิ าทปฺปโมกขฺ านิส สา จ ไดแก มีการปลดเปลอ้ื งวาทะอยา งนีเ้ ปน อานิสงส เลา เรยี น อธิบายวา ไมเลา เรียนดวยเหตนุ ้วี า เมือ่คนอนื่ ยกโทษวาทะของตน เราจักเปลือ้ งโทษนั้นอยางน้.ี บทวา ตจฺ สสฺอตถฺ  นานโุ ภนตฺ ิ ความวา กุลบตุ รท้ังหลาย เลา เรยี นธรรมเพื่อประโยชนมรรคหรอื ผลอันใด เรียนไมดี ยอ มไมไดรับประโยชนนัน้ ของธรรมนนั้ อน่ึงแมเ มอ่ื ไมอ าจจะยกโทษในวาทะของผอู น่ื และปลดเปลอื้ งวาทะของตน ยอมไมไดร บั ประโยชนน นั้ เหมือนกัน. บทวา อลคทฺทตฺถโิ ก ไดแ ก ผตู องการอสรพษิ . กค็ าํ วา คทโฺ ท เปน ชอ่ื ของพิษ. พษิ น้ันของงนู นั้ มีพอ คือบรบิ รู ณ เหตุน้ัน อสรพิษนั้น จงึ ชอื่ วา อลคทั ทะ มีพษิ พอตวั . บทวา โภเคไดแ ก ตัว. ขอวา ดกู อนภกิ ษทุ ัง้ หลาย กก็ ลุ บตุ รบางพวกในโลกนี้ เลาเรียนธรรม ไดแกเ ลา เรยี นดวยอาํ นาจนิตถรณปรยิ ัต.ิ จริงอย.ู ปริยตั ิมี ๓ คอื อลคทั ทปรยิ ตั ิ นติ ถรณปริยตั ิ ภณั ฑาคา-รกิ ปริยตั ิ. บรรดาปรยิ ตั ิทง้ั ๓ นน้ั ภกิ ษใุ ดเลาเรยี นพุทธวจนะ เหตุปรารภลาภสักการะวา เราจกั ไดจ วี รเปนตน หรอื คนทงั้ หลายจักรูจกั เราในทามกลางบริษัท ๔ อยางน้ี ปริยตั ิน้ันของภกิ ษนุ ัน้ ชอ่ื วา อลคทั ทปริยตั .ิ จริงอยู การไมเ ลา เรยี นพทุ ธวจนะ แลวนอนหลบั เสีย ยังดกี วาการเลา เรียนอยางนี้. สวนภกิ ษุใดเลาเรยี นดวยคดิ วา เลา เรยี นพุทธวจนะ บาํ เพญ็ ศลี ในฐานะท่ศี ลี มาถงึเขา ใหถอื เอาหอ งสมาธใิ นฐานะทสี่ มาธมิ าถึงเขา เรม่ิ ต้ังวิปสสนาในฐานะท่วี ิปส สนามาถงึ เขา ทํามรรคใหเกดิ ทําใหแ จง ผล ในฐานะทม่ี รรคผลมาแลว

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 306ปรยิ ตั ิน้นั ของภิกษุนั้นชอื่ วา นติ ถรณปริยตั .ิ ปรยิ ัติของพระขณี าสพ ชอื่ วาภัณฑาคาริกปรยิ ัติ. จริงอยู ทุกขสัจท่ียังไมก ําหนดรู สมุทยั สจั ท่ยี งั ละไมไ ดมรรคสจั ทยี่ งั ไมไดเจริญ หรือนิโรธสัจทีย่ ังไมท ําใหแจง ยอ มไมมีแกพ ระขณี าสพนั้น ดว ยวา พระขณี าสพนน้ั กําหนดรขู ันธแ ลว ละกิเลสไดแ ลว เจริญมรรคแลว ทาํ ใหแจง ผลแลว เพราะฉะนัน้ ทา นเลา เรียนพทุ ธวจนะ จึงเลา เรยี นเปนผูทรงแบบแผน รกั ษาประเพณี อนรุ กั ษวงศ ดังนน้ั ปรยิ ตั นิ นั้ ของทา นจงึ ชอื่ วา ภัณฑาคารกิ ปริยัติ. ถามวา กเ็ ม่อื พวกคันถธรุ ะ ไมส ามารถจะอยูในท่ีแหง หนงึ่ ในเพราะฉาตกภัยเปนตน ปถุ ุชนใดเม่อื ไมล ําบากดวยภกิ ษาจารเองเลาเรยี นดวยคิดวา ขอพระพทุ ธวจนะที่ไพเราะย่ิงอยา สูญเสียไป เราจกั ดํารงแบบแผน จกั รกั ษาประเพณีไว ปริยัติของปถุ ชุ นน้ันเปนภัณฑาคาริกปริยัติ หรือไมเ ปน. ตอบวา ไมเปน . ถามวา เพราะเหตไุ ร. ตอบวา เพราะความทตี่ นมไิ ดต้ังอยใู นฐานเลาเรียน จรงิ อยู ช่ือวา ปรยิ ัตขิ องปุถุชน เปน อลคัททะบา ง เปนนติ ถรณะบา ง. ปริยตั ิของพระเสขะท้ัง ๗ เปนนติ ถรณะอยางเดียวปรยิ ัติของพระขีณาสพ เปนภัณฑาคารกิ ปรยิ ตั ิเทานัน้ แตในทนี่ ท้ี านประสงคเ อานิตถรณปรยิ ัติ. บทวา นชิ ฺฌาน ขมนฺติ ความวา ธรรมทัง้ หลายยอมมาปรากฏในอาคตสถานแหงธรรมมศี ีลเปน ตนวา ศลี ตรสั ไวในท่ีนี้ สมาธใิ นทนี่ .ี้ วิปส -สนาในที่น้ี มรรคในท่ีนี้ ผลในทีน่ ้ี วัฏฏะในท่นี ้ี ววิ ัฏฏะในที่น.้ี บทวาตฺจสฺส อตฺถ อนโุ ภนฺติ ความวา กุลบุตรท้งั หลายยอมเลา เรยี นเพ่ือมรรคผลอันใด กลุ บุตรเหลา น้ันอาศยั ปริยตั ิทีเ่ ลา เรยี นดีแลว ทาํ มรรคใหเ กดิทําผลใหแ จง และเสวยประโยชนน น้ั ของธรรมนน้ั . แมไ มส ามารถจะยกโทษในวาทะของผอู ่นื กด็ ีไมสามารถจะถือเอาฐานะทตี่ นปรารถนาแลว ปรารถนาอกีเปลอื้ งโทษทีเ่ ขายกในวาทะของตนกด็ ี ชื่อวา เสวยประโยชนเ หมือนกัน. บทวาทีฆรตฺต หติ าย สุขาย ส วตฺตนตฺ ิ ความวา เมอื่ บําเพญ็ ศลี เปน ตน ใน

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 307ฐานะแหง ศลี เปน ตนมาแลว ก็ดี ยกโทษในวาทะของผูอ่นื โดยชอบธรรมก็ดีเปล้อื งโทษจากวาทะของตนกด็ ี บรรลอุ รหัตตแ ลว แสดงธรรม ในทามกลางบริษัท บรโิ ภคปจ จัย ๔ ทคี่ นผเู ล่ือมใสในพระธรรมเทศนานอ มเขาไปถวายก็ดีธรรมเหลา น้นั ยอมเปน ไปเพอื่ ประโยชนเก้ือกลู เพ่ือความสุขสน้ิ กาลนาน. คร้ันทรงแสดงอานิสงสในพระพุทธวจนะท่เี รยี นดีอยางน้แี ลว บัดน้ีเมอื่ จะทรงประกอบบรษิ ัทไวในพุทธวจนะนน้ั นัน่ แล จงึ ตรสั คําอาทิวา ตสฺมาติห ภกิ ขฺ เว ดังน.้ี บรรดาบทเหลาน้นั บทวา ตสมฺ า ความวาเพราะเหตุท่ีปริยัติท่ีเรียนมาไมด ี ยอ มเปนไปเพอื่ สง่ิ มิใชประโยชน เพอื่ ทกุ ขตลอดกาลนาน เหมอื นงพู ษิ ท่จี ับไมดฉี ะนน้ั สว นปริยัติที่เรยี นมาดี ยอมเปนไปเพอื่ ประโยชนเ ก้ือกลู เพอื่ ความสขุ ตลอดกาลนาน เหมือนงูพิษทจ่ี ับไวดีฉะน้นั . บทวา ตถา น ธาเรยยฺ าถ ความวา พึงทรงปริยัตนิ ัน้ ไวอ ยา งนน้ั นัน่ แล คอื ทรงไวโ ดยอรรถน้นั น่ันแล. บทวา เย วา ปนสสฺ ุ พฺยตฺตาภิกฺขู ความวา ก็หรือวา พงึ สอบถามเหลา ภกิ ษุผฉู ลาดผบู ณั ฑติ มีพระสารีบตุ รพระโมคคลั ลานะ พระมหากัสสปะ และพระมหากจั จานะเปนตน แตภิกษุไมพ ึงเปน เหมือนอริฏฐภกิ ษุใสเปอกตมหรอื หยากใยล งในศาสนาของเรา. บทวากลุ ลฺ ูปม แปลวา เหมือนทุน . บทวา นติ ฺถรณตฺถาย ไดแก เพื่อประโยชนแกการขา มโอฆะ ๔. บทวา อุทกณณฺ ว ความวา ก็นํา้ ใดลกึ แตไมก วางหรอื กวา งแตไมลึก น้าํ นนั้ ทานไมเ รียกวา อัณณพ สว นน้ําใดทงั้ ลกึ ท้ังกวา งนํ้านั้นทานเรยี กวา อัณณพ เพราะฉะน้ัน อรรถในบทวา มหนตฺ อทุ กณฺณว นจ้ี ึงมคี วามดังน้วี า นํ้าใหญคือกวาง ลึก. ทใ่ี ดมีโอกาสทโี่ จรอยูยืน น่ัง นอน ปรากฏอยู ทนี่ ั้น ชอื่ วา สาลงั กะ นา สงสัย. ที่ใดมีเหลา มนษุ ยถ กูพวกโจรมาปลน ตชี ิง ปรากฏอยู ที่นน้ั ชอ่ื วาสปั ปฏภิ ยะมภี ยั ปรากฏเฉพาะหนา .สะพานที่เขาผกู ไวเ บอื้ งบนหว งนํ้า ชอ่ื วา อุตตรเสตุ แปลวา สะพานขาม. บทวา

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 308กลุ ฺล พนฺธิตวฺ า ความวา กอไมเปน ตน ที่เขามดั เปนกําเพื่อประโยชนแ กขา มนํ้า ช่อื วา ทุน สว นกอไมเ ปนตน ทเ่ี ขามัดแผ ๆ ทานเรียกวา แพ. บทวาอสุ ฺสาเปตวฺ า แปลวา ตง้ั ไว. บทวา กิจฺจการี ความวา ทาํ กจิ ทถี่ งึ แลวทาํ กิจทค่ี วร ทาํ กจิ ที่เหมาะ. ในคําวา ธมมฺ าป โว ปทาตพฺพา น้ี ธรรมทั้งหลาย ชื่อวา สมถะ และวิปสสนา. จรงิ อยู พระผูมีพระภาคเจาทรงใหละฉนั ทราคะ ท้งั ในสมถะ ทงั้ ในวิปสสนา. ทรงใหล ะฉันทราคะในสมถะไวในทไี่ หน. ทรงใหล ะฉันทราคะไวในสมถะ ในท่นี ้ีวา ดกู อนอุทายีเพราะเหตนุ ้ีแล เรากลา วการละแมเ นวสญั ญานาสญั ายตนะ ดูกอ นอุทายีเธอไมเ ห็นสงั โยชน อนั ละเอยี ดหรอื หยาบ ท่เี รามิไดกลาวการละไว. ทรงใหละฉันทราคะไวในวปิ ส สนา ในท่นี วี้ า ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย หากพวกเธอไมเกาะไมย ึด ไมถ อื ทิฏฐนิ ้ี ท่ีบรสิ ุทธิผ์ ุดผองอยา งน้.ี แตในท่ีนพ้ี ระผูมพี ระภาคเจาเม่อื ทรงใหละฉันทราคะในสมถะ และวิปสสนาท้งั ๒ จึงตรัสวา แมธรรมท้ังหลายพวกเธอพงึ ละ จะปว ยกลา วไปไย ถึงอธรรมท้ังหลาย. ในขอน้นั มีอธ-ิบายดงั นี้วา ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย เรากลาวการละฉันทราคะในธรรมทง้ั หลายอันสงบ และประณตี เหน็ ปานนี้ กจ็ ะปว ยกลาวไปไยในอัสสทั ธรรมน้ี ซงึ่ เปนของชาวบาน เปนของถอ ย เปน ธรรมช่ัวหยาบ เปน ธรรมเหลวไหล ซง่ึอรฏิ ฐะ โมฆบรุ ุษนี้ สําคัญวา ไมมีโทษ กลาวฉันทราคะในกามคุณทัง้ ๕ วาเปน ธรรมไมอาจทําอันตรายได พวกเธอไมพึงเปน เหมือนอรฏิ ฐภิกษุ ใสโคลนหรอื หยากเยือ่ ลงในศาสนาของเรา. พระผมู ีพระภาคเจาทรงนคิ คหะอริฏฐภกิ ษผุ ูเดยี ว ดว ยโอวาทแมนี้ ดวยประการฉะนี้ บดั น้ีเม่ือทรงแสดงวา ผใู ดยึดวาเรา ของเรา ดว ยอํานาจการยึดถอืสามอยา งในขนั ธ ๕ ผูน น้ั ช่ือวา ใสโ คลนหรอื หยากเยอ่ื ลงในศาสนาของเราเหมอื นอรฏิ ฐภกิ ษนุ ้ี จึงตรสั วา ฉยิมานิ ภกิ ขฺ เว เปน ตน . บรรดาบท

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 309เหลา นั้น บทวา ทิฏฏิ านานิ ความวา แมท ฏิ ฐิ ก็ชือ่ วา ที่ตง้ั แหง ทฏิ ฐิท้งั อารมณข องทฏิ ฐิ ทั้งปจจัยของทิฏฐิ ก็ชื่อวา ที่ตง้ั ของทิฏฐิ ในบทวารปู  เอต มม เปนตน การถือวา น่นั ของเรา เปนตัณหาคาหะ การถอืวา เราเปน นั่นเปนมานคาหะ การถอื วา นน่ั เปนตวั ของเราเปน ทิฏฐิคาหะ เปนอนั ตรสั ตัณหา มานะ และทฏิ ฐิ ซ่งึ มีรปู เปน อารมณดว ยประการฉะน้ีสวนรูปไมค วรกลาววาเปน อตั ต. เเมในเวทนาเปนตน กน็ ัยนี้เหมอื นกัน.รปู ายตนะ ช่ือวา ทฏิ ฐะ สัททายตนะ ช่ือวา สุตะ คันธายตนะ รสายตนะและโผฏฐพั พายตนะ ชอ่ื วา มุตะ คนั ธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะนัน้ ทา นกลาววา มุตะ เพราะพบแลวยดึ ไว. อายตนะ ๗ ท่ีเหลอื ชอื่ วาวิญญาตะ. บทวา ปตฺต ไดแ ก ที่แสวงหาก็ดี ไมแ สวงหาก็ดี พบแลว.บทวา ปรเิ ยสติ  ไดแกท่พี บหรอื ไมพบก็แสวงหาแลว. บทวา อนุวิจริตมนสา ไดแก ติดตามดวยจติ . จรงิ อยู ในโลกของท่ีแสวงหาแลว พบก็มีแสวงหาแลวไมพบก็มี ไมแสวงหาแลวพบก็มี ไมแสวงหาแลวไมพบกม็ .ี ในท่ีต้ังแหงความเห็นนัน้ ของที่แสวงหาแลว พบ ชือ่ วา ปตตะ ของท่ีแสวงหาแลว ไมพ บชอื่ วา ปริเยสิตะ ของทไี่ มแสวงหาแลว พบ และของท่ีไมแสวงหาแลว ไมพ บ ช่ือวา มนสานจุ ริต. อีกนัยหน่ึง ของทแ่ี สวงหาแลว พบก็ดี ของท่ีไมแ สวงหาไมพบก็ดี ช่อื วา ปต ตะ เพราะอรรถวา พบแลว . ของทแี่ สวงหาไมพบอยางเดยี ว ชอื่ วา ปรเิ ยสติ ะ ของที่ไมแ สวงหาแลวพบ และของท่ไี มแ สวงหาแลวไมพบ ชอ่ื วา มนสานุจรติ ะ หรือวา ของน้นั ทัง้ หมด ชอื่ วา มนสานุจริตะ เพราะเปนของติดตามดวยใจ ตณั หา มานะ ทฏิ ฐทิ ี่มวี ญิ ญาณเปน อารมณ ตรสั ดว ยบทน้ีวญิ ญาณ ตรสั ดว ยอา นาจทฏิ ฐเิ ปนตน เปน อารมณ ในหนหลังดว ยอํานาจการยักยา ยแหง เทศนา. บทวา ย ป ต ทิฏฏิ าน ไดแก ที่ตงั้ แหงทฏิ ฐิ ท่ีเปน ไปโดยนัยมีอาทวิ า ย ป ต เอต โส โลโก. บทวา โส โลโก โส อตตฺ า ความวา

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 310ทิฏฐทิ ่เี ปน ไปโดยนยั เปนตนวา ผนู ัน้ เห็นรปู โดยเปน อัตตา ยอมยึดถอื วา เปนโลก เปน อตั ตา ทา นหมายเอาทฏิ ฐินั้นจึงกลาวไวด งั น.ี้ บทวา โส เปจฺจ ภว-ิสฺสามิ ความวา เราน้นั ไปปรโลกแลว จักอยูเปนนิจ ยั่งยนื เทยี่ ง มีความไมแปรปรวนเปนธรรมดา จักตง้ั อยูเสมอดวยความย่ันยนื ดจุ ภูเขาสเิ นรุมหาปฐพแี ละมหาสมทุ รเปน ตน ฉนั น้นั เหมอื นกัน. บทวา ต ป เอต มมความวา ยอ มตามเห็นวาทัสสนะแมน ้ันวา น่นั ของเรา เราเปน นั่น น่นั อัตตาของเรา. ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ท่มี ที ฏิ ฐเิ ปน อารมณ ตรัสดวยบทนี้. เวลาถอื ทิฏฐคิ รัง้ แรก มไี ดดว ยทิฏฐคิ รงั้ หลังอยา งน้ี เหมอื นเวลากับเหน็ แจง ดวยวิปสสนา. ในสกุ กปกข ฝา ยขาว ทรงคัดคา น การยดึ ถอื ดว ยตณั หา มานะและทฏิ ฐใิ นรปู วา น่นั ไมใ ชรปู ของเราเปนตน. แมใ นเวทนาเปน ตนกน็ ัยนี้เหมือนกัน. กบ็ ทน้ีวา สมนปุ สฺสติ ความวา สมนุปสสนามี ๔ คอื ตัณหาสมนปุ สสนา มานสมนปุ สสนา ทิฏฐสิ มนปุ สสนา ญาณสมนุปส สนา. เนือ้ความแหง สมนปุ สสนาเหลานนั้ พึงทราบดวยอาํ นาจ สมนปุ ส สนา ๓ อยใู นกัณหปกข ญาณสมนุปสสนา อยใู นสกุ กปกข. บทวา อสติ น ปริตสสฺ ติความวา เมอื่ ความยดึ ถือไมม ี เธอยอมไมสะดุง ดวยความสะดงุ ดว ยภัย หรือดวยความสะดุงดวยตัณหา. พระผูมพี ระภาคเจาเมอื่ ทรงแสดงถึงพระขณี าสพผไู มสะดงุ เพราะความพินาศแหง ขันธภายใน จึงทรงจบเทศนาดว ยบทนี.้ บทวา เอว วุตเฺ ต อฺตโร ภกิ ฺขุ ความวา เม่อื พระผูมพี ระภาค-เจาตรัสอยางนี้แลว ภกิ ษผุ ูฉลาดในอนสุ นธริ ปู หน่งึ คิดวา พระผูมพี ระภาคเจาคร้นั ทรงแสดงถึงพระขีณาสพผไู มสะดงุ เพราะความพนิ าศแหงขันธภายใน ทรงจบเทศนาก็เม่อื พระขีณาสพไมส ะดุง ภายในอยู ภิกษผุ สู ะดุงภายใน ภกิ ษุผสู ะดุงภายนอก ภกิ ษผุ ูส ะดุง เพราะความพินาศในบริขาร และแมผ ไู มสะดุง พึงมีเราจะถามปญ หาน้ี ดวยเหตุ ๔ ประการ ดงั กลาวมา แลวจึงทําจวี รเฉวียงบา

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 311ประคองอญั ชลกี ราบทูลพระผูม ีพระภาคเจา ดังน.้ี บทวา พหทิ ฺธา อสติ ไดแ กในภายนอก คอื เพราะความพนิ าศแหงบริขาร. บทวา อหุ วต เม ความวาสง่ิ ของ ยาน พาหนะ เงิน ทอง ของเรา ไดมแี ลว หนอ. บทวา ต วต เม นตฺถิความวา บดั นี้ ส่งิ ของน้ันหนอของเราไมมี คือ ถูกพระราชาริบเอาเสยี บางพวกโจรลกั ไปบาง ไฟใหมบาง ถูกนาํ้ พดั ไปเสียบา ง คราํ่ ครา เพราะใชสอยบาง.บทวา สยิ า วต เม ความวา ยาน พาหนะ เงนิ ทอง ขา วสาลี ขา วเปลือกขาวเหนยี ว ขา วละมานของเรามหี นอ. บทวา ต วตาห น ลภามิ ความวาเศรา โศกวา เราเมอื่ ไมไดข องน้นั บัดน้ีเราก็ไมไดเ พราะไมท าํ งานท่ีสมควรแกทรัพยนน้ั น่ันเอง นี้ชอื่ วา ความเศรา โศกของผคู รองเรอื น (คฤหัสถ). ความเศรา โศกของผูไมครองเรอื น (บรรพชิต) พึงทราบดวยอํานาจบาตรจีวรเปนตน . พงึ ทราบในอปริตสั สนาวาร ดงั ตอ ไปนี้ บทวา น เอว โหติ ความวา ความสะดุงพงึ มอี ยางน้ี เพราะกิเลสเหลาใด ยอมไมม ีอยางนี้ เพราะกิเลสเหลา นัน้ ไดล ะแลว . บทวา ทิฏ ฏิ  านาธฏิ  านปริยฏุ านาภนิ ิเวสาน-ุสยาน ความวา ซึง่ ทฏิ ฐิ ทีต่ ้ังทิฏฐิ ทตี่ ง้ั มัน่ แหงทิฏฐิ ท่กี ลมุ รุมแหง ทฏิ ฐิและท่ีนอนเนื่องแหงความถอื มน่ั . บทวา สพพฺ สงขฺ ารสมถาย ไดแ ก เพ่อืประโยชนแ กค วามดับ. จรงิ อยู ความหวน่ั ความไหว ความผนั แปรแหงสงั ขารท้งั ปวง มาถึงพระนพิ พานยอ มสงบระงับไป เพราะฉะนน้ั พระนพิ พานน้ันทา นจึงเรียกวา เปน ทรี่ ะงบั สงั ขารทัง้ ปวง. อน่งึ อปุ ธเิ หลา นี้ คอื อุปธิ คือ ขันธอุปธิ คือ กิเลส อุปธคิ อื อภสิ งั ขาร อุปธิคือกามคณุ ๕ มาถึงพระนิพพานน้ันนน่ั แล ก็สลัดคนื ไป ตณั หา ก็สิน้ ก็คลาย กด็ ับ เพราะฉะนน้ั พระนิพพานนน้ัทานจงึ เรียกวา สพั พูปธิปฏินสิ สัคคะ. เปน ท่สี ลดั คืนอปุ ธทิ ้งั ปวง ตัณหักขยะเปน ท่สี น้ิ ตัณหา วิราคะ คายราคะ นิโรธดับ. ศพั ทว า นิพพฺ านาย นเ้ี ปนนิเทสสรปุ แหงพระนิพพานน้ัน. ดงั น้ัน ทานแสดงความนี้วา เมอ่ื ทรงแสดง

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 312ธรรมเพ่อื ประโยชนแ กการกระทําใหแจง พระนพิ พาน ดว ยบทเหลา นนั้ ท้งั หมดทเี ดยี ว. บทวา ตสเฺ สว โหติ ความวา ภิกษุผมที ิฏฐินนั้ ยอมมีความคดิอยา งน้วี า เราจกั ขาดสูญ เราจกั พินาศ เราจกั ไมมี. จรงิ อยู ภกิ ษุผูมที ฏิ ฐิฟงธรรมทท่ี รงยกขนึ้ สไู ตรลกั ษณแ สดงใหเกีย่ วดว ยสญุ ญตาอยู เกดิ ความสะดุง.สมจริงดงั คาํ ท่พี ระผูม ีพระภาคเจา ตรสั ไววา ภิกษทุ ้ังหลาย ปถุ ุชนผไู มสดบัยอ มมีความสะดงุ อยา งนี้วา มีเราและไมมีเรา. ดว ยถอยคํามปี ระมาณเทา นี้ ตรัสสุญญตา มี ๔ เงอ่ื นดวยสามารถแหง ภกิ ษุเหลา น้คี อื ภิกษผุ สู ะดุง และผูไ มสะดุงเพราะความพินาศแหงปรขิ ารภายนอก คู ๑ และภกิ ษุผสู ะดงุ และผูไมส ะดุงเพราะความพนิ าศแหงขนั ธภายในคู ๑. บดั นี้ เพื่อจะทรงแสดงสุญญตา ๓ เงือ่ น คือ จดั ปริกขารภายนอกใหชอ่ื วา ทฏิ ฐปิ ริคคหะ จัดสกั กายทฏิ ฐิทมี่ วี ัตถุ ๒๐ ใหชอ่ื วา อัตตวาทุปาทานจดั ทฏิ ฐิ ๖๒ ซึ่งมีสกั กายทิฏฐเิ ปนหัวหนาใหชอื่ วา ทฏิ ฐินิสสยะ จึงตรัสวาภิกฺขเว ปริคฺคห เปนตน. บรรดาบทเหลา นั้น บทวา ปริคฺคห ไดแ กปริกขารภายนอก. บทวา ปริคฺคณฺเหยยฺ ความวา มนุษยว ญิ ูชน พึงกําหนดยึดถือ. ดว ยบทวา อห ป โข ต ภกิ ขฺ เว ทรงแสดงวา ดกู อนภกิ ษุแมพ วกเธอกไ็ มเ ห็น แมเ ราก็ไมเหน็ ดงั นั้น ความกําหนดเหน็ ปานน้นั กไ็ มม ี.พึงทราบความในบททั้งปวงดว ยประการฉะน.้ี พระผูม พี ระภาคเจา คร้นั ทรงแสดงสุญญตา ๓ เง่ือนอยา งนี้แลว บดั น้ีเมอื่ จะทรงแสดง ๒ เงือ่ น คอื อตั ตา ในขนั ธภ ายใน และทเี่ นอื่ งดวยตนในปรขิ ารภายนอก จึงตรสั คําอาทวิ า อตฺตนิ วา ภิกขฺ เว สติ เปน ตน . ในคํานน้ั มคี วามสงั เขปดงั นวี้ า เม่ือตนมีอยู บรขิ ารของเราน้ีกเ็ นือ่ งในตนหรอื วาเม่อื ปริขารทเี่ น่ืองกับตนมีอยู อัตตาของเรานกี้ ็เปน เจาของบริขารนี้ เราก็เหมือนกัน พึงประกอบคาํ วา เม่ือวตั ถมุ ีอยู ของ ๆ เรากม็ ี เราก็มี ดงั น้ี.

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 313ฯบทวา สจฺจโต แปลวา โดยความเปน จรงิ . บทวา เถตโต แปลวา โดยเปน แท หรอื มัน่ คง. บัดน้ี เม่ือไมท รงถอื เบญขันธดว ยปริวัฏฏ ๓ อยางน้ีคือ อนจิ จฺ ทกุ ฺข อนตตฺ า เมอื่ จะทรงแสดงวา ภิกษนุ ้ีก็เหมือนอริฏฐภกิ ษุ ใสเปอ กตมหยากไย ลงในศาสนาของเรา จงึ ตรสั วา ต กึ มฺ ถ ภกิ ฺขเว รูป นจิ จฺ  วาเปน ตน. บทวา อนิจจฺ  ภนเฺ ต ความวา พระเจาขา เพราะเหตทุ ร่ี ปู มีแลวไมมี ฉะนนั้ รปู จงึ ไมเทีย่ ง ทชี่ ่ือวา ไมเทีย่ งเพราะเหตุ ๔ ประการ คอื เพราะเกดิ แลวก็เสื่อมไป หรอื เพราะอรรถวาแปรปรวน เปนไปชวั่ คราว และปฏิเสธความเทีย่ ง. บทวา ทุกขฺ  ภนฺเต ความวา พระเจาขา รูปชอื่ วาทกุ ขโดยอาการคือ เบียดเบียน ช่อื วาเปนทกุ ขดวยเหตุ ๔ อยา งคอื เพราะอรรถวา ทําใหเ รารอนทนไดยาก เปน ทต่ี ้ังแหง ทุกขแ ละปฏเิ สธความสขุ . บทวา วิปรณิ ามธมมฺ ความวา มอี นั กาวลงและเขาถึงภพเปน สภาวะ คอื มีอนั ละความเปนปกตเิ ปนสภาวะ. บทวา กลลฺ  นุ ต สมนปุ สฺสติ ุ เอต มม เอโสหมสฺมิ เอโส เมอตตฺ า ความวา สมควรหรอื ทีจ่ ะมายึดถือรูปนั้นอยางนี้วา เรา ของเรา ดวยอาํ นาจแหง การ ยดึ ถอื แหงตณั หา มานะ และทฏิ ฐิ ท้ัง ๓ เหลา น.้ี ดวยบทนี้วาโน เหต ภนเฺ ต ภกิ ษุเหลานน้ั ยอมปฏิญาณวา รูปเปน อนัตตา พระเจา ขาดว ยอาการไมเ ปนไปในอาํ นาจ รปู ชื่อวา เปนอนัตตา ดวยเหตุ ๔ คือ ดว ยอรรถวาเปน ของสญู ไมม ีเจาของ ไมเ ปนใหญ และปฏเิ สธอัตตา. จริงอยูพระผูม ีพระภาคเจาทรงแสดงความเปน อนตั ตาดวยอาํ นาจเปน ของไมเ ทยี่ ง ไวในท่ไี หน ดว ยอํานาจความเปนทุกขไวในท่ีไหน ดวยอาํ นาจความเปน ของไมเ ทีย่ ง และความเปน ทกุ ขไวในทไ่ี หน. จรงิ อยู ทรงแสดงความเปน อนัตตาดวยอาํ นาจความไมเทีย่ งไวในฉฉักกสูตรนวี้ า ผูใ ดพงึ กลาววา จักษุเปนอัตตา

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 314จกั ษขุ องผูน้นั ยอมไมเ กิด ท้งั ความเกดิ ท้งั ความเส่ือมของจกั ษุ ยอมปรากฏแตทง้ั ความเกดิ ทง้ั ความเส่อื มของจักษุใด ยอ มปรากฏ จกั ษุนัน้ ยอมมาอยางนว้ี า อตั ตาของเราเกดิ และเสือ่ ม เพราะฉะน้นั จักษนุ น้ั จงึ ไมเกดิ . ผูใ ดพงึ กลา ววา จักษุเปนอนตั ตา ดังนัน้ จกั ษุจึงเปน อนัตตา ดงั น.้ี ทรงแสดงความเปนอนัตตา ดวยอํานาจความเปน ทุกขไว ในอนัตตลักขณสูตรน้วี าดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย กร็ ปู นี้เปนอตั ตา รปู น้กี ไ็ มพ งึ เปนไปเพ่ืออาพาธ จะพึงไดใ นรูปวา รูปของเราจงเปนอยางนี้ รปู ของเราอยา เปน อยา งน้นั เลย ดกู อนภิกษุท้ังหลาย กเ็ พราะรปู เปน อนัตตา ฉะนน้ั รปู จงึ เปนไปเพือ่ อาพาธ ทง้ัไมไดในรูปวา ขอรปู ของเราจงเปนอยา งน้ี รปู ของเราอยา เปนอยางนเ้ี ลย ดังน.้ีทรงแสดงความเปนอนัตตา ดว ยอาํ นาจความไมเ ที่ยง และเปน ทกุ ขท ั้งสองไวในอรหัตตสตู รนี้วา ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย รูปไมเ ท่ยี ง รปู ใดไมเท่ียง รูปนั้นกเ็ ปน ทกุ ข รูปใดเปนทกุ ข รูปนัน้ กเ็ ปนอนัตตา รปู ใดเปน อนตั ตา รูปนน้ั ก็ไมใ ชของเรา เราก็ไมเ ปน รปู นั้น รปู นั้นกไ็ มใชอ ัตตาของเรา พึงเห็นรูปนัน้ ดว ยปญญาอนั ชอบตามเปนจริง ดงั กลา วมานี้. เพราะเหตไุ ร. เพราะ อนิจจฺ และ ทกุ ฺข ปรากฏแลว อนตั ตายังไมปรากฏ. จรงิ อยู เม่อื ภาชนะใสของบริโภคเปน ตน แตกไป คนทัง้ หลายก็กลาววา อโห อนจิ จฺ  โอ ไมเ ท่ียงหนอไมมีคนกลาววา อนัตตา. หรอื เมื่อตอมฝท้ังหลายเกดิ ข้นึ ทีร่ างกาย หรือคนถกูหนามแทง ก็กลา วกันวา อโห ทุกข โอ ทุกขห นอ แตไมมคี นกลา ววาอโห อนตตฺ า โอ ไมใ ชอัตตาหนอ. เพราะเหตุไร. เพราะชื่อวาอนัตต-ลกั ขณะน้ี ไมช ดั เห็นยาก รูก ันยาก ดวยเหตุนัน้ พระผมู ีพระภาคเจาจึงทรงแสดงความเปนอนตั ตาน้นั ดว ยอํานาจไมเทยี่ งบา ง ทุกขบ า ง ทง้ั ไมเ ทย่ี งทั้งทุกขท้ังสองบา ง. รูปน้ีนั้น ทรงแสดงดวยอาํ นาจไมเท่ียงเปนทกุ ขเทา นนั้ในปรวิ ัฏ ๓ แมนี.้ แมใ นเวทนาเปน ตน กน็ ัยนีเ้ หมอื นกัน.

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 315 บทวา ตสมฺ า ติห ภิกขฺ เว ความวา ดกู อนภิกษุทง้ั หลายเพราะรปู ไมเทีย่ งเปนทกุ ขเปน อนตั ตา ทง้ั ในบดั น้ี ท้ังในกาลอน่ื ๆ.คําวา ยงกฺ ิฺจิ รูป เปนตน กลาวไวพ สิ ดารแลว ในขันธนทิ เทส วสิ ุทธ-ิมรรค. บทวา นพิ ฺพินทฺ ติ แปลวา เบือ่ หนา ย. ก็ในคําวา นิพพินฺทติในบาลีนี้ ทานประสงคเ อาวุฏฐานคามนิ ีวปิ สสนา (วิปสสนาอันใหถงึ ความออกจากความยึดถอื ตณั หา). แทจริง วุฏฐานคามนิ ีวปิ ส สนามมี ากชอ่ื บางแหงเรยี กวา สญั ญัคคะ บางแหง วา ธรรมฐีติญาณ บางแหงวา ปาริสุทธปิ ธานยิ งั คะบางแหงวา ปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ บางแหงวา ตมั มยปริยาทาน บางแหงกม็ ี ๓ ชื่อ บางแหงก็ ๒ ชอื่ . บรรดาอาคตสถานเหลานนั้ ในโปฏฐปาทสตู รกอ น ตรสั เรยี กวา สญั ญัคคะ อยางนีว้ า ดูกอนโปฏฐปาทะ สญั ญาเกดิ ขนึ้กอ น. ภายหลัง ญาณจึงเกิดขน้ึ ดังน.้ี ในสุสิมสตู ร ตรัสเรียกวา ธรรม-ฐิตญิ าณ อยา งน้ีวา ดูกอ นสุสิมะ ธรรมฐิติญาณมกี อ น ภายหลังญาณในนิพพานจึงมี ดังน.้ี ในทสุตตรสูตร ตรสั เรียกวา ปาริสทุ ธิปธานิยงั คะ วา ปฏปิ ทา-ญาณทัสสนวสิ ทุ ธิปธานิยังคะ ดังน.ี้ ในรถวินีตสูตร ทานเรียกวา ปฎิปทา-ญาณทสั สนวิสุทธิ อยางน้ีวา ผมู ีอายุ ทา นประพฤติพรหมจรรยในพระผมู ีพระภาคเจา เพื่อปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ หรอื หนอ ดังนี้. ในสฬายตนวภิ งั คสูตร ทานเรียกวา ตมั มยปรยิ าทาน อยา งน้วี า ดกู อนภกิ ษุทั้งหลายอุเบกขานใี้ ด พงึ พาความไมม ีตัณหา อาศัยความไมม ีตณั หา มอี ารมณอันเดยี วอาศยั อารมณอ ันเดียว พวกเธอจงละอุเบกขาน้ันเสยี จงกา วลว งอุเบกขานน้ั เสียการละอุเบกขาน้มี ีอยางน้ี การกาวลวงอเุ บกขานี้มอี ยา งนีด้ ังนี.้ ในปฏิสมั ภทิ า-มรรค ทา นระบไุ ว ๓ ช่อื อยางนีว้ า ธรรมเหลานี้ คอื มญุ จติ ุกมั ยตา ปฏิสงั ขานุปสสนา และสงั ขารุเปกขา มีอรรถอยา งเดียวกัน ตา งแตพ ยญั ชนะเทา นนั้ .ในคัมภีรป ฏ ฐาน ทานระบุไว ๒ ช่อื อยางนี้ คอื อนุโลมญาณ เปนปจ จัยแหง

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 316โคตรภญู าณ โดยเปน อนนั ตรปจ จัย อนุโลมญาณเปน ปจจัยแหง โวทาน(มรรคจติ -ผลจิต) โดยเปนอนันตรปจ จยั . สวนในอลคัททูปรสูตรนี้ วฏุ ฐานคามินิวปิ สสนา มาโดยชอื่ วา นิพพิทา ในบทวา นิพพฺ ินทฺ ติ. มรรคชื่อวาวิราคะ ในบทนว้ี า นพิ พฺ ินฺทนโฺ ต วริ ชฺชต.ิ ในบทวา วิราคา วมิ จุ จฺ ติน้ีทา นกลา วผลวา ยอ มหลดุ พน เพราะวิราคะ คือ มรรค. ในท่นี ้ี ทา นกลาวปจจเวกขณญาณไววา เมื่อหลดุ พน ก็มีญาณรวู า เราหลดุ พนแลว . พระผูมีพระภาคเจาครนั้ ทรงแสดงพระมหาขีณาสพ ผูม จี ิตหลดุ พนอยา งนแี้ ลว บดั นี้ เมื่อจะทรงระบุช่อื ของพระมหาขีณาสพนน้ั โดยเหตุ ๕ ประการตามเปน จริง จึงตรัสวา อย วุจฺจติ ภิกขฺ เว เปน ตน . บทวา อวชิ ฺชาไดแ ก อวชิ ชามีวฏั ฏะเปน มูล. จริงอยู อวิชชาน้ที านเรยี กวา ปลิฆะ เพราะอรรถวา ยกข้นึ ไดย าก. ดว ยเหตนุ ้ัน ภกิ ษนุ ี้ ทานจึงเรยี กวา อุกขติ ตปลฆิ ะเพราะอวชิ ชานน้ั ถูกยกขึ้น. บทวา ตาลาวตฺถกุ ตา ไดแ ก กระทําใหเปนเหมอื นหนึง่ ตาลยอดดว น อธบิ ายวา หรือถอนตาลพรอมท้ังราก ทําใหเ หมือนทีต่ ั้งแหง ตาล คือนําไปใหถ ึงความไมม บี ญั ญัติอกี เหมือนตนตาลนน้ั ไมปรากฏพนื้ ท่ตี ้ัง. บทวา โปโนพภฺ วิโก ไดแก ใหภพใหม. บทวา ชาตสิ  สาโรไดแก อภิสังขารคือกรรม อนั เปน ปจ จยั แหง ขันธใ นภพใหม ท่ไี ดช ่อื อยา งนี้โดยการเกิดและทองเทยี่ วไปในชาตทิ ้งั หลาย. จรงิ อยู อภสิ งั ขารคือกรรมน้ันทานเรยี กวา ปริกขา เพราะต้ังแวดลอมไวโดยการกระทาํ ใหเกิดบอย ๆ ดวยเหตุนัน้ ภกิ ษุน้ัน เรยี กวา สงั กิณณปรกิ ขะ เพราะอวิชชานัน้ เกลื่อนกลน ไป.บทวา ตณหฺ า ไดแก ตัณหาทม่ี ีวฏั ฏะเปนมลู . จริงอยู ตัณหาน้ที า นเรยี กวาเอสกิ า เพราะอรรถวา ตามไปโดยลกึ ซ้ึง. ดวยเหตุน้นั ภกิ ษุน้ันทา นเรียกวา

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 317อพั ภุฬเหสิกะ เพราะตณั หานน้ั เขายกท้งิ คือ เพราะเขาตดั ทิ้ง. บทวา โอร-มภฺ าคิยานิ ไดแ ก ใหเกดิ ตาํ่ ลง คือเปนปจ จยั ใหเ กดิ ในกามภพ. จรงิ อยูสังโยชนเ หลานี้ ทา นเรยี กวา อคั คฬะ เพราะตงั้ ปดจติ เหมือนบานประตปู ดประตูเมอื ง. ดว ยเหตนุ ้ัน ภิกษนุ ั้น ทา นเรยี กวา นริ คั คฬะ เพราะสงั โยชนเหลานนั้ อนั เธอกระทําใหไมมี คือ ทําลายไป. บทวา อริโย ไดแ ก ผูไมม ีกิเลส คอื หมดจด. บทวา ปนฺนทธฺ โช ไดแ ก มีธงคือมานะอันตกไปแลว . บทวา ปนฺนภาโร วเิ คราะหว า ชื่อวาปน นภาระ. เพราะภกิ ษนุ ั้นมภี าระ คือ ขันธ กิเลส อภิสังขาร และกามคุณหา ตกแลว คือยกลงแลว .อีกนัยหนึ่ง ในทนี่ ้ีทานประสงคว าปน นภาระ เพราะปลงภาระคอื มานะเทาน้นั .บทวา วิส ยตุ ฺโต ไดแ ก พรากเสียแลว จากโยคะส่ีและกเิ ลสทง้ั หมด. แตใ นท่ีน้ี ทานประสงควา วสิ งั ยตุ ตะ เพราะพรากจากสังโยชนค ือมานะอยางเดียว.บทวา อสมฺ ิมาโน ไดแก มมี านะวา เรามีในรูป มมี านะวา เรามีในเวทนาสญั ญา สงั ขาร วิญญาณ. พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงกาลของพระขีณาสพ ผูทาํ กเิ ลสใหส ้นิ ไปดว ยมรรค ผูอยบู นที่นอนคือนโิ รธอนั ประเสรฐิ ผเู ขา ผลสมาบัติท่มี นี ิพพานเปน อารมณอ ย.ู เปรยี บเหมอื นนคร ๒ นคร นครโจร ๑ นครเกษม ๑ เมื่อเปนดงั นน้ั นักรบใหญผหู นึง่ พงึ คดิ อยางนว้ี า นครโจรนีต้ ้งั อยตู ราบใด นครเกษมก็ไมปลอดภยั อยตู ราบนนั้ เราจกั ทา นครโจรไมใ หเปนนครแลว จึงสวมเกราะถือพระขรรคเ ขาไปยงั นครโจร เอาพระขรรคต ัดเสาระเนยี ดทีย่ กข้ึนใกลประตนู ครทาํ ลายบานประตพู รอมกับกรอบประตู แลว ยกสลกั ขน้ึ ทาํ ลายกาํ แพง ร้ือคายคลู ม ธงทย่ี กขน้ึ เพื่อความงามของนคร เอาไฟเผานครแลว เขานครเกษม ขน้ึปราสาท แวดลอ มดวยหมูญาติ บริโภคโภชนะมรี สอรอ ย ฉันใด ขอ นกี้ ็กฉ็ นั นั้น สักกายะเหมอื นนครโจร นิพพานเหมือนนครเกษม พระโยคาวจร

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 318เหมือนนกั รบใหญ พระโยคาวจรน้ันมีความคิดอยา งนี้วา ความหมนุ เวียนแหงสกั กายะยงั เปน ไปอยตู ราบใด ความหลดุ พน จากกรรมกรณ ๓๒ โรค ๙๘ มหาภัย๒๕ กม็ ีไมไ ดต ราบนัน้ พระโยคาวจรเปรียบเหมอื นนกั รบใหญนัน้ สวมเกราะคือเกราะศีล จับพระขรรคค อื ปญญา เอาพระอรหัตตมรรคตดั เสาระเนยี ดคอืตณั หา ดุจเอาพระขรรคตัดเสาระเนยี ด พระโยคาวจรนัน้ ยกสลักคือ สังโยชนเบ้ืองตาํ่ ๕ ดจุ นักรบยกบานประตูนครพรอ มท้งั กรอบประตู พระโยคาวจรนัน้ ยกสลักคือ อวชิ ชาดจุ นกั รบยกสลกั พระโยคาวจรทาํ ลายอภิสังขารคือกรรมร้อื คา ยดูคอื ชาติสงสาร ดจุ นกั รบทําลายกาํ แพงรื้อคายคู พระโยคาวจรลม ธงคอืมานะ. เผานครคือ สักกายะ. ดุจนักรบลมธงท่ยี กขึ้นเพ่ือทาํ นครใหสวยงามพระโยคาวจรเขานครคือกิเลสนพิ พาน เสวยสุขเกดิ แตผลสมาบัติ อนั มีอมต-นโิ รธเปน อารมณ ยงั กาลใหลว งไป เหมือนนักรบบริโภคโภชนะมีรสดีในปราสาทช้นั บนในนครเกษม. บัดนี้ พระผมู พี ระภาคเจา เม่ือทรงแสดงความท่ีพระขณี าสพผมู จี ิตหลดุพนอยางน้ี เปนผูมีวิญญาณอนั ผูอื่นพบไมได จึงตรสั วา เอว วมิ ตุ ตฺ จิตตฺ  โขเปนตน . บรรดาบทเหลา นั้น บทวา อนเฺ วสนฺตา ไดแก เสาะแสวงหา.บทวา อิท นสิ ฺสิต ไดแ ก อาศัยช่อื สิง่ นี.้ แมสตั ว ทานก็ประสงคเอาวาตถาคตในคาํ วา ตถาคตสสฺ น.ี้ แมพระขณี าสพก็เปนบคุ คลสงู สุด. บทวาอนนวุ ชโฺ ช แปลวา ผไู มม ี หรอื ผทู ี่ใครไมพบ. จริงอยู เมอื่ ถอื วา สัตวเปนตถาคต ก็ควรจะมีความวา ไมม.ี เม่อื ถือวา ขีณาสพ ก็ควรจะมีความวาใครพบไมได. ในนยั ทง้ั สองน้ัน นัยแรกมอี ธิบายดังนวี้ า ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลายเราไมบ ัญญัติพระขีณาสพท่ียงั ดาํ รงซีวิตอยใู นปจ จบุ นั เทา นั้นวา ตถาคต สัตวบุคคล แตเราบัญญัติพระขณี าสพผูปรินิพพานแลว ไมมปี ฏสิ นธิวา สัตวหรอื บุคคลไดอ ยา งไร อธบิ ายวา ตถาคตไมมีอยู จริงอยู วา โดยปรมตั ถ

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 319ชอ่ื วา สตั วไร ๆ ไมม ี เมอ่ื สตั วน นั้ ไมมอี ยู เทวดาทงั้ หลายแมเสาะแสวงวาวิญญาณอาศยั อะไร ดังน้ี จักประสบไดอ ยา งไร คอื จักพบไดอ ยางไร. ในนยั ทสี่ อง อธบิ ายดงั น้วี า ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย เรากลา ววาพระขณี าสพผูยังดาํ รงชีวิตอยใู นปจ จุบันนเ้ี ทานัน้ อันเทวดาทง้ั หลายมพี ระอินทรเปน ตนพบไมไดโ ดยวิญญาณ จริงอยู เทวดาท้งั หลายพรอมท้ังพระอินทร พรอ มทั้งพระ-พรหม พรอมท้งั ปชาบดี แมเสาะแสวงอยู ก็ไมอ าจจะรวู ิปสสนาจิต มรรคจติหรอื ผลจิต ของพระขีณาสพ วา อาศัยอารมณช่ือนี้เปน ไป เทวดาเหลา นัน้ จักรูอะไรของพระขีณาสพผปู รนิ ิพพานแลว ไมม ีปฏสิ นธ.ิ บทวา อสตา แปลวาไมมอี ยู. บทวา ตจุ ฉฺ า แปลวา วา งเปลา. บทวา มสุ า แปลวา พูดเท็จ. บทวา อภูเตน แปลวา ดวยเรื่องท่ีไมม .ี บทวา อพภฺ าจิกขฺ นตฺ ิไดแก ใสค วาม กลา วตู. บทวา เวนยโิ ก ความวา ชือ่ วา วินัย เพราะกําจดัทาํ ใหพ ินาศ วินัยน่ันแหละช่ือเวนยกิ ะ อธบิ ายวา ผูท าํ สัตวใ หพนิ าศ. บทวายถา จาห ภิกฺขเว เน ความวา ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย เราไมเปน ผูทําสัตวใ หพินาศดว ยเหตใุ ด. บทวา ยถา จาห น วทามิ ความวา หรอื เราไมบัญญตั กิ ารทําสตั วใหพ นิ าศดว ยเหตใุ ด. ทา นอธบิ ายไววา เราไมทาํ สัตวใหพนิ าศโดยประการใด และไมบ ัญญัติการทําสตั วใ หพนิ าศโดยประการใด สมณ-พราหมณผูเจรญิ เหลา นั้นกลาวหาเราวา พระสมณโคดมเปน ผกู ําจัด และกลา วหาวา พระสมณะโคดมทาํ สัตวใ หพินาศ วาเราบญั ญัตคิ วามขาดสญู ความพนิ าศความไมมี แหงสัตวทม่ี ีอยู ทั้งกลาวตูดว ยเร่ืองทไ่ี มม ี วางเปลา เทจ็ และไมเปน จริงวา ตถาคตบญั ญัติความพินาศแหง สัตว. บทวา ปพุ ฺเพ จ ไดแ กในกาลกอน คอื คร้ังตรัสรู ณ มหาโพธมิ ณั ฑสถาน. บทวา เอตรหิ จไดแก ในบัดนี้ คอื ในเวลาแสดงธรรม. บทวา ทกุ ขฺ  เจว ปฺเปมิทกุ ฺขสฺส นิโรธ ความวา ตถาคตอยทู โ่ี พธมิ ณฑสถาน ยงั ไมประกาศ

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 320พระธรรมจักรก็ดี แสดงธรรมทั้งแตป ระกาศพระธรรมจกั รกด็ ี ยอมบัญญตั ิสัจจะ ๔ เทา นน้ั . จรงิ อยู ในสัจจะ ๔ นั้น สมุทยั อนั เปน มูลแหงทุกขน้ันพงึ ทราบวา ทรงถือเอาดว ยทกุ ขศัพท สวนมรรค*ท่ใี หถ งึ นิโรธนั้น พงึ ทราบวาทรงถือเอาดวยนโิ รธศัพท. บทวา ตตฺร เจ ไดแก ในการประกาศสจั จะ๔ นน้ั . บทวา ปเร ไดแก บุคคลผไู มสามารถรแู จง แทงตลอดสัจจะทั้งหลาย.บทวา อกฺโกสนตฺ ิ ไดแ ก ดา ดว ยอกั โกสวัตถุ ๑๐. บทวา ปรภิ าสนฺติไดแก ปริภาษดวยวาจา. บทวา โรเสนตฺ ิ วิเหเสนตฺ ิ ไดแก ประสงคว าเราจกั โกรธขน้ึ จักเบยี ดเบียน. บทวา ฆฏเฏนตฺ ิ ไดแ ก ใหประสบทกุ ข.บทวา ตตรฺ ไดแ ก ในการดา เปน ตน เหลา นน้ั หรอื ในบุคคลอื่นเหลา นั้น.บทวา อาฆาโต ไดแก ความโกรธ. บทวา อปฺปจจฺ โย ไดแก ความเสยี ใจ. บทวา อนภินนทฺ ิ ไดแก ความไมย นิ ด.ี บทวา ตตฺร เจ ไดแก ในการประกาศสัจจะ ๔ นั้นแหละ. บทวา ปเร ไดแ ก บคุ คลผูร ูแจงแทงตลอดการประกาศสัจจะ ๔. บทวา อานนฺโท ไดแก ความดื่มด่ําดวยความยนิ ด.ี บทวา อุพฺพิลาวติ ตตฺ  ไดแก ความด่มื ดา่ํ ดว ยอาํ นาจความปลาบปลืม้ . บทวา ตตฺเร เจ ไดแกใ นการประกาศสจั จะ ๔ นัน้ แหละ. บทวา ตตฺรไดแ ก ในสกั การะเปนตน . บทวา ย โข อิท ปุพเฺ พ ปริ ฺาต ความวาขนั ธปญจกนีใ้ ด พระผมู ีพระภาคเจาทรงกาํ หนดรแู ลวดวยปรญิ ญา ๓ ท่โี พธิมัณฑสถานกอ น. บทวา ตตฺถ เม แปลวา สกั การะเหลาน้ี อนั เขากระทําในขันธปญ จกนั้น. ทา นอธิบายไวอ ยา งไร. ทานอธิบายไววา ความคิดวา สักการะเหลา นี้จักมีในเรา หรือวา เราจะเสวยสักการะเหลานไี้ มม แี กพระตถาคตในขันธปญจกแมน นั้ และมคี วามดาํ รเิ ทา น้ีวา ตถาคตยอมเสวยสักการะของขันธปญ จกท่ีกําหนดรแู ลวแตกอ นนัน้ และขนั ธปญจกยอมเสวยสกั การะเหลา น้ี. บทวาตสฺมา ความวา ก็เพราะเหตทุ ส่ี มณพราหมณเ หลาอ่นื ผูไมสามารถแทงตลอด

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 321สัจจะท้งั หลาย จงึ พากันดาซ่งึ พระตถาคตฉะน้ัน. คําทเ่ี หลือพึงทราบโดยนยั ท่ีกลาวมาแลว นน้ั แล. บทวา ตสฺมา ตหิ ภิกฺขเว ย น ตมุ ฺหาก ความวา การละฉนั ทราคะ แมในส่ิงที่ไมเ น่อื งกบั ตน เปนไปเพือ่ ประโยชนเกื้อกูล เพื่อความสุขตลอดกาลนาน เพราะฉะนัน้ พวกเธอจงละสิ่งที่ไมใชข องพวกเธอเสีย. บทวายถาปจจฺ ย วา กเรยยฺ ความวา เธอปรารถนาโดยประการใด ๆ พงึ กระทาํโดยประการน้นั ๆ. บทวา น หิ โน เจติ ภนฺเต อตฺตา วา ความวาพระเจาขา สมณพราหมณท ั้งหลายกลา วหญาไม กงิ่ ไม และใบไมน ้นั วา ไมใชตัวของเรา ไมใชร ปู ของเรา ไมใชวญิ ญาณของเรา. บทวา อตฺตนยิ  วาความวา แมบ รขิ ารมจี ีวรเปน ตนไมใชข องเรา. บทวา เอวเมว โข ภกิ ขฺ เวย น ตมุ ฺหาก ต ปชหถ ความวา พระผูมพี ระภาคเจา ทรงแสดงขันธปญ จกนน้ั แลวา ไมใ ชของทา น จงึ ทรงใหละเสีย แตก ็มใิ ชใ หเพิกถอนหรือตดั ขนั ธ-ปญจก แตใหละมันเสียดว ยการกําจัดฉนั ทราคะ. พงึ ทราบวินิจฉยั ในคําวาเอว สวฺ ากขฺ าโต นี้ดังน้ี แมจ ะนํามาแตปริวฏั ฏ ๓ รอบ จงึ ถึงฐานะนกี้ ค็ วรโดยปฏิโลม จะยอนกลบั มา ตงั้ แตเปมมตั ตสัคคปรายนะ จนถึงฐานะน้ีกค็ วร.บทวา สวฺ ากฺขาโต ความวา ตรสั ไวด ีแลว คอื งาย เปด เผย ประกาศแลวเพราะเปน ธรรมที่ตรัสไวด ีแลว . ผาฉกี ผา ขาด ท่เี ขาเยบ็ ทําเปน ปมไวในที่น้นั ๆผาครํา่ ครา ทา นเรียกวา ผาเกา ในคําวา ฉินนฺ ปโลตโิ ก ผูใดไมม ผี าเกาน้นัผนู ้นั นงุ ผา ใหม ๘ ศอกบาง ๙ ศอกบา ง ชอ่ื วา ผูขาดผาเกา. ธรรมแมนีก้ เ็ ปนเชน นั้น กใ็ นคาํ น้ี ไมมภี าวะ อยางผาท่ีขาดทฉ่ี ีกท่ีเยบ็ ท่ีทําเปนปม โดยการลอลวงเปน ตน . อน่ึง หยากไย ทานก็เรียก ปโ ลตกิ ะ แตขนึ้ ช่อื วา สมณะหยากไย จะอยใู นศาสนานีไ้ มได. ดว ยเหตุน้ัน พระผูมีพระภาคเจา จงึ ตรัสวา

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 322 พวกเธอ จงขจัดสมณะหยากไย จง กวาดสมณะกองขยะ จงลอยสมณะแกลบ ผูมิใชส มณะ แตส าํ คญั ตวั วาเปน สมณะ เสียจากพระศาสนาน้ัน คร้ันกาํ จัดสมณะผู มีความปรารถนาลามก ผูมีอาจาระและ โคจรลามก จงเปน อยูบริสุทธิอ์ ยูรวมกบั ผู บรสิ ทุ ธ์ิ มสี ตจิ าํ เพาะหนา แตน น้ั มคี วาม พรอ มเพรยี งกนั มีปญ ญารักษาตัว จะทาํ ท่ีสุดแหงทกุ ขได.ธรรมน้ี ยอมชอ่ื วา ขาดผา เกา เพราะขาดสมณะหยากไย ดว ยประการฉะน้ี บทวา วฏฏนฺเตส นตฺถิ ปฺญาปนาย ความวา วัฏฏะของภิกษุเหลา นั้นถึงความไมม ีบัญญัติหาบัญญตั ไิ มไ ด. พระมหาขณี าสพเหน็ ปานน้ันยอมเกิดขนึ้ ในศาสนาท่ีพระผูม พี ระภาคเจา ตรัสไวดแี ลวอยา งน้เี ทานน้ั . กพ็ ระ-ขณี าสพเปนฉนั ใด พระอรยิ บคุ คลมีพระอนาคามเี ปน ตน ก็เปนฉนั นน้ั . บรรดาพระอริยบคุ คลเหลานั้น พระอรยิ บุคคล ๒ น้ี คอื ธมั มานสุ ารี สัทธานสุ ารี ยอมเปน ผูต ้งั อยูในโสดาปตตมิ รรค. เหมือนทที่ านกลา วไวว า ธมั มานุสารบี ุคคลเปนไฉน ปญญนิ ทรยี ข องบคุ คลใด ผูป ฏิบตั เิ พือ่ ทาํ ใหแ จง โสดาบตั ตผิ ลมีประมาณย่ิง. ยอมเจริญอรยิ มรรคมีปญ ญาเปนเครอ่ื งนํา มีปญ ญาเปนประธาน บุคคลผนู ี้ทานเรียกวา ธัมมานุสารี บุคคลผปู ฏิบตั ิเพอ่ื ทาํ ใหแจง โสดาปตติผล เปนธมั มานุสารี ผตู ง้ั อยใู นผล ช่อื วา ทิฏฐิปตตะ ก็สทั ธานสุ ารีบุคคลเปน ไฉน สทั ธนิ ทรยข องบุคคลใด ผูป ฏิบตั เิ พื่อทําใหแจงโสดาปต ตผิ ลมี

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 323ประมาณยิ่ง เจริญอรยิ มรรค มีศรทั ธาเปน ตัวนาํ มีศรัทธาเปนประธานบคุ คลนี้ ทานเรียกวา สัทธานุสารี บุคคลผปู ฏิบตั เิ พ่ือทาํ ใหแจงโสดาปตติผลเปนสัทธานุสารบี คุ คลผตู ั้งอยใู นผล ผนู อมไปดวยศรัทธา. ดว ยคาํ วา เยสมย สทธฺ ามตตฺ  เปมมตฺต นี้ทานประสงคเอาเหลาบุคคลผูเ จรญิ วิปสสนาท่ีไมม ีอรยิ ธรรมอยางอน่ื แตม เี พียงความเชอ่ื เพียงความรกั ในพระตถาคตเทานั้น. จริงอยู เหลา ภกิ ษผุ นู ง่ั เรมิ่ วปิ สสนาเกดิ ความเช่อื อยางหนง่ึ ความรักอยางหน่งึ ในพระทศพล เธอก็เปนเสมือนความเช่อื นนั้ ความรกั นั้น จับมอื ไปวางไวในสวรรค. นัยวา ภกิ ษเุ หลา น้ัน มีคติท่แี นนอน. สวนเหลาพระเถระเกา ๆ เรียกภิกษุเหลาน้นั วา พระจุลลโสดาบนั . คําทเ่ี หลอื ในท่ีทกุ แหงงายทงั้นนั้ แล. จบอรรถกถาอลคทั ทปู สูตรที่ ๒

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 324 ๓. วัมมิกสูตร [๒๘๙] ขาพเจาไดฟ งมาอยา งนี:้ - สมัยหนงึ่ พระผมู ีพระภาคเจา ประทับอยู ณ พระวิหารเชตวัน อารามของทา นอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี กรุงสาวัตถี. สมยั น้นั ทา นพระกมุ ารกัสสปะพักอยูที่ปาอนั ธวัน. ครัง้ นั้นเทวดาองคหน่ึง มีวรรณงามยงิ่ เมื่อราตรลี วงปฐมยามแลว ยังปอ ันธวนั ท้ังส้ินใหสวาง เขา ไปหาทานพระกมุ ารกสั สปะไดย นื ณท่ีควรสว นขางหนง่ึ ไดก ลา วกะทานพระกมุ ารกัสสปะวา ดูกอนภกิ ษุ จอมปลวกนีพ้ นควันในกลางคนื ลกุ โพลงในกลางวนั พราหมณไ ดก ลา วอยา งน้ีวา พอสเุ มธะ เจา จงเอาศาสตราไปขุดด.ู สุเมธะเอาศาสตราขดุ ลงไปไดเห็นลิม่ สลัก จงึเรยี นวา ลิม่ สลักขอรบั . พราหมณกลา วอยา งนวี้ า พอ สเุ มธะ เจาจงยกลม่ิ สลักข้ึน เอาศาสตราขดุ ดู. สุเมธะเอาศาสตราขดุ ลงไปไดเหน็ อึง่ จงึ เรยี นวาองึ่ ขอรบั .พราหมณก ลา วอยา งนี้วา พอ สเุ มธะ เจา จงยกอึง่ ขึ้น เอาศาสตราขดุ ด.ู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปไดเ หน็ ทาง ๒ แพรง จึงเรยี นวา ทาง ๒ แพรงขอรบี . พราหมณกลา วอยา งนี้วา พอสุเมธะ เจา จงกน ทาง ๒ แพรงเสยี เอาศาสตราขุดดู. สเุ มธะเอาศาตราขุดลงไปไดเหน็ หมอ กรองนํา้ ดาง จึงเรียนวา หมอ กรองนาํ้ ดาง ขอรับ.พราหมณก ลาวอยา งน้วี า พอ สุเมธะ เจา จงยกหมอ กรองน้ําดา งขึ้น เอาศาสตราขดุ ด.ู สุเมธะเอาศาสตราขดุ ลงไปไดเ ห็นเตา จึงเรยี นวา เตา ขอรบั . พราหมณกลา วอยางนี้วา พอ สุเมธะ เจาจงยกเตา ข้ึน เอาศาสตราขดุ ด.ู สเุ มธะเอาศาสตราขดุ ดูไปไดเหน็ เขยี งหน่ั เนือ้ จึงเรยี นวา เขียงหัน่ เนอ้ื ขอรบั . พราหมณก ลาวอยางน้ีวา พอ สุเมธะ เจา จงยกเขยี งหน่ั เนือ้ ข้นึ เอาศาสตราขดุ ด.ู สเุ มธะเอาศาสตราขดุ ลงไปไดเ ห็นช้ินเนื้อ จึงเรยี นวาชิ้นเน้ือขอรับ. พราหมณกลาวอยา งนี้

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 325วา พอ สเุ มธะ เจา จงยกช้นิ เน้ือข้ึน เอาศาสตราขุดด.ู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปไดเ หน็ นาค จึงเรยี นวา นาคขอรบั . พราหมณก ลา วอยางนี้วา นาคจงอยูเจา อยาเบียดเบียนนาคเลย จงทาํ ความนอบนอมตอนาค. ดกู อ นภกิ ษุ ทา นพึงเขาไปเฝา พระผูมีพระภาคเจา แลวทลู ถามปญญา ๑๕ ขอ เหลา น้ีแล ทา นพงึ จําทรงปญหาเหลานนั้ ตามทีพ่ ระผมู ีพระภาคเจา ทรงพยากรณ. ดูกอนภิกษุขา พเจายอมไมเหน็ บุคคลในโลกพรอ มท้งั เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมูสตั ว พรอ มทง้ั สมณพราหมณเ ทวดาและมนษุ ย ท่จี ะยงั จิตใหย ินดีดวยการพยากรณปญหาเหลานี้ นอกจากพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต หรอืเพราะฟง จากสํานักน.้ี เทวดานนั่ คร้นั กลา วคํานแี้ ลว ไดห ายไปในทน่ี ้นั แล. ทูลถามปญหา ๑๕ ขอ [๒๙๐] ครั้งน้นั แล ทานพระกมุ ารกัสสปะ เมื่อราตรีนน้ั ลว งไปแลวเขาไปเฝา พระผูมีพระเจา ถวายอภวิ าทแลวนั่ง ณ ทีค่ วรสวนขา งหน่ึง ไดก ราบทลู พระผมู ีพระภาคเจาวา ขาแตพระองคผ เู จริญ เม่ือคืนนเ้ี ทวดาองคหนึง่ มีวรรณงามย่งิ ราตรีลวงปฐมยามไปแลว ยงั ปา อันธวันทง้ั ส้นิ ใหสวางแลวเขาไปหาขา พระองค ยืน ณ ที่ควรสว นขางหนง่ึ ไดก ลาวกะขา พระองคว า ดกู อ นภกิ ษุ จอมปลวกนพ้ี น ควนั ในเวลากลางคืน ลุกโพลงในกลางวัน พราหมณไดก ลา วอยา งน้ีวา พอ สุเมธะ เจาจงเอาศาสตราขุดด.ู สเุ มธะเอาศาสตราขุดลงไปไดเ ห็นลิม่ สลัก จึงเรยี นวา ลิม่ สลกั ขอรับ. พราหมณ กลา วอยางนวี้ า พอสุเมธะ เจา จงยกลิ่มสลักข้ึน เอาศาสตราขุดดู. สเุ มธะเอาศาสตราขดุ ลงไปไดเ ห็นอึง่ จงึ เรียนวา อื่นขอรบั . พราหมณก ลา วอยางนว้ี า พอ สุเมธะ เจาจงยกองึ่ข้นึ เอาศาสตราขดุ ดู สเุ มธะเอาศาสตราขุดลงไปไดเหน็ ทาง ๒ แหง จึงเรียนวา ทาง ๒ แพรง ขอรับ. พราหมณกลาวอยางนว้ี า พอ สุเมธะ. เจา จงกน ทาง๒ แพรง เสีย เอาศาสตราขดุ ดู สุเมธะเอาศาสตราขดุ ลงไปไดเ หน็ หมอกรองนาํ้ดาง จงึ เรยี นวา หมอ กรองน้าํ ดางขอรบั . พราหมณกลา วอยา งนวี้ า พอสุเมธะ

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 326เจาจงยกหมอกรองน้าํ ดางขน้ึ เอาศาสตราขุดด.ู สเุ มธะเอาศาสตราขดุ ลงไปไดเห็นเตา จึงเรียนวา เตา ขอรับ. พราหมณกลา วอยางนีว้ า พอ สเุ มธะ เจา จงยกเตา ขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สเุ มธะเอาศาสตราขุดลงไปไดเ ห็นเขยี งหน่ั เน้อื จงึ เรียนวา เขยี งหั่นเน้อื ขอรับ. พราหมณก ลา วอยา งน้วี า พอสุเมธะ เจา จงยกเขยี งหนั่ เนื้อขน้ึ เอาศาสตราขดุ ด.ู สเุ มธะเอาศาสตราขดุ ลงไปไดเ ห็นชิ้นเนื้อ จึงเรียนวา ช้นิ เน้ือขอรับ. พราหมณกลา วอยา งน้วี า พอสเุ มธะ. เจาจงยกชน้ิ เนอื้ ขึ้นเอาศาสตราขุดดู. สเุ มธะเอาศาสตราขดุ ลงไปไดเห็นนาค จึงเรียนวา นาคขอรบั .พราหมณกลา วอยางนี้วา นาคจงอยเู ถดิ เจาจงอยา เบยี ดเบียนนาคเลย จงทาํความนอบนอ มตอนาค. ดูกอนภิกษุ ทานพึงเขา ไปเฝาพระผมู ีพระภาคเจา ทูลถาม ปญ หา ๑๕ ขอ เหลา นี้เเล ทานพงึ จําทรงปญหาเหลา นนั้ ตามท่ีพระผมู พี ระภาคเจาทรงพยากรณ. ดกู อ นภกิ ษุ ขาพเจายอมไมเ ห็นบคุ คลในโลกพรอ มทัง้เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมสู ัตวพรอมท้งั สมณพราหมณเ ทวดาและมนษุ ย ท่ยี ังจิตใหย นิ ดดี ว ยการพยากรณปญหาเหลาน้ี นอกจากพระตถาคตหรอื สาวกของพระตถาคต หรือเพราะฟง จากสํานกั นี้. เทวดานั้นครัน้ กลาวคํานี้แลวไดห ายไปในทน่ี นั้ แล. ขา แตพระองคผ ูเจริญ อะไรหนอแลชือ่ วาจอมปลวก อยางไรชอ่ื วาพน ควันในกลางคืน อยางไรชอื่ วาลุกโพลงในกลางวัน อะไรชื่อวาพราหมณอะไรช่ือวาสุเมธะ อะไรช่อื วาศาสตรา อยา งไรชื่อวา การขดุ อะไรช่ือวาล่มิ สลักอะไรช่ือวา องึ่ อะไรช่ือวา ทาง ๒ แพรง อะไรชอ่ื วา หมอกรองนา้ํ ดาง อะไรชื่อวา เตา อะไรชือ่ วา เขียงหั่นเนื้อ อะไรชื่อวาชิน้ เน้อื อะไรชื่อวานาค ดังน้.ี ทรงพยากรณป ญหา ๑๕ ขอ [๒๙๑] ผมู พี ระภาคเจาทรงพยากรณว า ดกู อ นภกิ ษุ คําวา จอมปลวกน่ันเปน ช่ือของกายน้ี อันประกอบดวยมหาภูตรปู ทัง้ ๔ ซ่งึ มมี ารดาบิดาเปนแดนเกดิ เจริญดว ยขาวสุกและขนมกมุ มาส ไมเทย่ี ง ตอ งอบรม ตอ งนวด

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 327ฟน มอี ันทําลายและกระจดั กระจายไปเปนธรรมดา. ปญ หาขอวา อยางไรชอ่ื วาพน ควนั ในกลางคนื นนั้ ดกู อ นภกิ ษุ ไดแ กการทบี่ ุคคลขมกั เขมน การงานในกลางวัน แลว ตรึกถึงตรองถงึ ในกลางคนื นี้ชอื่ วาพนควนั ในกลางคืน. ปญหาขอ วา อยา งไรช่อื วา ลกุ โพลงในกลางวันนนั้ ดูกอ นภกิ ษุ ไดแ กการท่บี คุ คลตรกึถึงตรองถงึ (การงาน) ในกลางคนื แลว ยอ มประกอบการงานในกลางวนัดวยกาย ดว ยวาจา นช้ี ่อื วา ลกุ โพลงในกลางวัน. ดูกอ นภกิ ษุ คําวา พราหมณน้นั เปน ชอื่ ของพระตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจา . คาํ วาสุเมธะน้ัน เปนชอ่ื ของเสขภกิ ษุ. คาํ วาศาตราน้นั เปนชือ่ ของปญญาอันประเสริฐ. คําวา จงขุดนั้นเปนชอื่ ของการปรารภความเพียร. คาํ วาลม่ิ สลักนน้ั เปน ชอ่ื ของอวิชชา. คําน้นั มีอธบิ ายดังน้วี า พอ สุเมธะ เจาจงใชปญ ญาเพียงด่ังศาสตรา ยกลมิ่ สลักข้นึ คอืจงละอวชิ ชาเสีย จงขุดมนั ขน้ึ เสีย. คาํ วาองึ่ น้นั เปนชอื่ แหง ความคบั แคน ดว ยอํานาจความโกรธ. คํานน้ั มีอธบิ ายดังนี้วา พอสุเมธะ เจาจงใชปญญาเพยี งดงัศาสตรา ยกอ่ึงข้นึ เสีย คอื จงละความคับแคน ดว ยอํานาจความโกรธเสีย จงขดุมนั เสยี . คาํ วาทาง ๒ แพรง น้นั เปนชือ่ แหง วิจกิ ิจฉา. คํานั้นมอี ธิบายดงั น้วี าพอ สเุ มธะ เจาจงใชป ญญาเพยี งดงั่ ศาสตรา กน ทาง ๒ แพรงเสีย คอื จงละวจิ ิกิจฉาเสีย จงขดุ มันเสยี . คาํ วาหมอ กรองนํ้าดางนั้น เปน ช่อื ของนิวรณ ๕ คอื กามฉนั ท-นิวรณ พยาบาทนวิ รณ ถีนมิทธนิวรณ อุทธจั จกกุ กจุ จนิวรณ วิจิกิจฉานวิ รณ.คํานัน้ มีอธบิ ายดงั น้วี า พอสุเมธะ เจา จงใชปญ ญาเพียงดงั ศาสตรา ยกหมอกรองนาํ้ ดางข้นึ เสีย คือจงละนิวรณ ๕ เสีย จงขดุ ขึ้นเสยี . คาํ วาเตานน้ั เปนชือ่ ของอปุ าทานขนั ธ ๕ คือ รปู ปาทานขันธ เวทนปู าทานขันธ สญั ูปาทานขันธสงั ขารูปาทานขันธ วิญญาณูปาทานขันธ. คาํ นั้นมีอธิบายดงั น้ีวา พอ สุเมธะเจา จงใชป ญ ญาเพยี งดังศาสตรา ยกเตาขน้ึ เสยี คือ จงละอุปาทานขนั ธ ๕ เสียจงขดุ ข้นึ เสีย. คาํ วา เขียงห่นั เนอื้ นนั้ เปน ช่ือของกามคุณ ๕ คือ รูปอนั จะพงึ รู

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 328แจง ดวยจักษุ นา ปรารถนา นา ใคร นา พอใจ เปนรูปที่นารกั ประกอบดว ยกามเปน ท่ีต้ังแหง ความกาํ หนดั เสยี งอันจะพงึ รแู จงดวยโสต. . . กล่ินอนั จะพงึ รูแจงดวยฆานะ. . .รสอันจะพึงรูแจงดว ยชิวหา...โผฏฐัพพะอันจะพึงรูแจง ดว ยกายนาปรารถนา นา ใคร นาพอใจ เปน รูปท่ีนารัก ประกอบดว ยกาม เปน ทีต่ ั้งแหงความกาํ หนดั . คาํ น้ัน มอี ธบิ ายดงั นวี้ า พอสุเมธะ เจาจงใชปญญาเพียงดังศาสตรา ยกเขยี งหน่ั เนอ้ื เสีย คือ จงละกามคณุ ๕ เสีย จงขุดขนึ้ เสีย. คําวาชิ้นเน้อื น้นั เปน ชอ่ื ของนนั ทริ าคะ. คํานั้นมอี ธิบายดงั นว้ี า พอสุเมธะ เจาจงใชปญ ญาเพยี งดังศาสตรา ยกชิ้นเนอื้ ขน้ึ เสีย คือ จงละนนั ทริ าคะ จงขุดข้นึ เสีย.คาํ วา นาคนนั้ เปน ช่อื ของภกิ ษุผขู ีณาสพ. คาํ น้ันมีอธบิ ายดังนว้ี า นาคจงหยดุอยูเ ถดิ เจา อยา เบยี ดเบียนนาค จงทาํ ความนอบนอ มตอนาคดังน้ี. พระผมู ีพระภาคเจาไดต รสั พระพทุ ธพจนน้แี ลว ทานพระกมุ ารกัสสปะมีใจชืน่ ชม เพลิดเพลินภาษิตของพระผมู ีพระภาคเจาดังน้ีแล. จบ วัมมิกสตู ร ท่ี ๓

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 329 อรรถกถาวัมมกิ สูตร วมั มกิ สตู ร เริม่ ตน วา ขา พเจาไดฟง มาแลวอยางน:้ี - พงึ ทราบวินิจฉัยในวมั มกิ สตู รนนั้ คําวา อายสมฺ า น้ีเปน คํากลา วแสดงถึงความนา รัก. คําวา กมุ ารกสสฺ โป เปนชือ่ ของทาน. แตเ พราะทา นบวชในเวลายังเด็ก เมื่อพระผมู พี ระภาคเจาตรัสวา จงเรียกกสั สปมา จงใหผลไม หรอื ของเคี้ยวนีแ้ กกัสสป เพราะภกิ ษทุ ัง้ หลายสงสยั วา กัสสป องคไหนจงึ ขนานนามทา นอยา งน้ีวา กมุ ารกสั สป ตง้ั แตนน้ั มา ในเวลาท่ีทา นแกเ ฒากย็ ังเรยี กวา กุมารกัสสปอยูน้ันเอง. อีกอยา งหนงึ่ คนทั้งหลายจาํ หมายทานวากุมารกสั สป เพราะเปน บุตรเล้ยี งของพระราชา. จะกลาวใหแจมแจงต้งั แตบพุ พประโยคของทา น ดังตอไปนี้. ดงั ไดสดับมา พระเถระเปน บุตรเศรษฐี ครั้งพระพุทธเจาพระนามวาปทมุ ุตตระ. ตอ มาวนั หนงึ่ พระเถระเหน็ พระผมู พี ระภาคเจาทรงสถาปนาสาวกของพระองครปู หนงึ่ ผูก ลา วธรรมไดวิจิตรไวในฐานนั ดร ถวายทาน ๗ วันแดพระผูม พี ระภาคเจาทาํ ความปรารถนาวา ขาแดพระผูมพี ระภาคเจา แมขา -พระองค กพ็ งึ เปนสาวกผกู ลา วธรรมไดวจิ ิตรเหมอื นพระเถระรูปนี้ ของพระพุทธเจา พระองคห น่ึงในอนาคตกาล ดังนีแ้ ลว กระทําบญุ ทง้ั หลายบวชในพระศาสนาของพระผูม พี ระภาคเจา พระนานวากสั สป ไมอาจทาํ คุณวิเศษใหบงั เกดิ ได. ไดยินวา ครัง้ นั้นเมอ่ื พระศาสนาของพระผมู พี ระภาคเจา เสด็จปรนิ ิพพานแลวเส่ือมลง ภิกษุ ๕ รูปผกู บนั ไดขน้ึ ภูเขา กระทาํ สมณธรรม.พระสังฆเถระบรรลุพระอรหตั ตว นั ท่ี ๓. พระอนเุ ถระเปนพระอนาคามีวันท่ี ๔. ฝา ยพระเถระอกี ๓ รปู ไมอ าจทาํ คุณวิเศษใหบังเกิด ก็ไปบงั เกิดในเทวโลก. เมือ่ เทพเหลา น้ันเสวยสมบัติในเทวดาและมนุษยต ลอดพทุ ธนั ดร

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 330หนึ่ง องคหนึ่งก็ไปเกิดในราชตระกลู กรงุ ตักกสลิ า เปน พระราชาพระนามวา ปุกกสุ าติ บวชอทุ ศิ พระผูมพี ระภาคเจา มาสกู รุงราชคฤห ฟงพระธรรมเทศนาของพระผูมีพระภาคเจา ท่โี รงชางหมอ บรรลอุ นาคามิผล.องคห น่งึ บังเกิดในเรือนสกลุ ใกลทา เรือแหง สปุ ารกะแหง หน่งึ ข้นึ เรือ เรอือปั ปาง นงุ ทอ นไมแ ทนผา ถงึ ลาภสมบตั เิ กิดความคดิ ขึ้นวา ขาเปนพระอรหันตถกู เทวดาผูหวงั ดีตักเตือนวา ทา นไมใชพระอรหนั ตด อก ไปทลู ถามปญหากะพระศาสดาเถิด ไดกระทาํ เหมอื นอยา งน้ัน บรรลุอรหัตตผล. องคห น่ึงเกดิ ในทอ งของหญงิ ผมู สี กลุ คนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห. นางไดออ นวอนมารดาบิดา เมื่อไมไดบ รรพชาก็แตงงาน ไมร ูต ัววา ตง้ั ครรภ ออ นวอนสามี สามอี นญุ าตก็บวชในสํานกั ภกิ ษณุ .ี ภิกษณุ ีทง้ั หลายเหน็ นางตง้ั ครรภจ ึงถามพระเทวทตั . พระ-เทวทตั ตอบวา นางไมเปนสมณะแลว. เหลาภิกษุณจี ึงไปทลู ถามพระทศพล.พระศาสดาโปรดใหพ ระอุบาลีรบั เร่ืองไวพจิ ารณา พระเถระใหเ ชญิ สกลุ ชาวพระนครสาวตั ถีและนางวิสาขาอบุ าสิกา ใหช ว ยกันชําระ (ไดขอเท็จจรงิ แลว )จงึ กลวววา นางมคี รรภมากอน บรรพชาจึงไมเ สีย. พระศาสดาประทานสาธกุ ารแกพระเถระวา อบุ าลวี นิ ิจฉยั อธิกรณช อบแลว. ภกิ ษณุ นี น้ั คลอดบตุ รมปี ระพมิประพายดังเเทงทอง. พระเจาปเสนทิโกศลทรงรบั เดก็ นนั้ มาชบุ เลีย้ ง. ประทานนามเดก็ นัน้ วา กัสสป ตอมาทรงเล้ยี งเจริญวยั แลว นําไปยังสํานกั พระศาสดาใหบ รรพชา. ดงั นน้ั คนท้ังหลายจงึ หมายชอื่ เด็กน้ันวา กุมารกสั สป เพราะเปนบุตรเล้ียงของพระราชา แล. บทวา อนฺธวเน ไดแ ก ปา มชี อ่ื อยางนี.้ เขาวา ปา นนั้ มีชอ่ือยา งน้ีในคร้งั พระพุทธเจา ๒ พระองค ปรากฏชอ่ื วา อันธวนั น่นั แล. ในปาอนั ธวันน้นั จะกระทาํ เรือ่ งราวใหแจมแจงดงั ตอไปน้ี.

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ที่ 331 จรงิ อยู สรีรธาตขุ องพระพุทธเจาผมู ชี นมายนุ อย ไมเ ปน แทงเดียวกันยอ มกระจดั กระจายไปดวยอานภุ าพแหง การอธษิ ฐาน. ดว ยเหตนุ น้ั น่นั แล พระ-ผูมพี ระภาคเจา ของเราทั้งหลายทรงอธษิ ฐานวา เราดํารงอยูไดไมย่งั ยืน เหลาสัตวเ ปน จํานวนนอยเหน็ เรา ท่ไี มเ ห็นเราจํานวนมากกวา สตั วเ หลานัน้ ถอื เอาธาตุของเราบชู าอยูในที่นัน้ จกั มีสวรรคเ ปน เบ้ืองหนา เพราะฉะนนั้ คราวปรนิ พิ พาน ขอสรรี ธาตขุ องเราจงกระจัดกระจายไป. สวนพระพุทธเจาผมู พี ระ-ชนมายยุ ืน พระสรรี ธาตุตงั้ อยูเปน แหง เดยี วกนั เหมอื นแทง ทองคาํ . พระสรรี -ธาตุของพระผมู พี ระภาคเจา แมพระนามวากสั สปะ กต็ งั้ อยอู ยางน้ันเหมือนกัน.แตน น้ั มหาชนกป็ ระชมุ ปรกึ ษากนั วา เราไมอ าจจะแยกพระธาตุท่ีเปนแทง เดยี วกันได พวกเราจะทาํ อยางไร จึงตกลงกันวา เราจักทําพระธาตแุ ทง เดียวน้ันแลใหเปนพระเจดีย จะมขี นาดเทาไหร. พวกหนึ่งบอกวา เอา ๗ โยชน แตต กลงกนั วา นน่ั ใหญเ กนิ ไป ใคร ๆไมอ าจจะบาํ รงุ ไดใ นอนาคตกาล เอา ๖ โยชน ๕โยชน ๔ โยชน ๓ โยชน ๒ โยชน ๑ โยชน ปรกึ ษากนั วา จะใชอิฐเชนไร ตกลงกันวา ภายนอกเปน อฐิ แทงเดยี วทําดว ยทองสแี ดงมีคา ๑๐๐๐๐๐, ภายใน มีคา๕๐,๐๐๐ ฉาบดวยหรดาล และมโนสลิ าแทนดนิ ชะโลมดว ยนํ้ามนั แทนนาํ้ แยกมุขทัง้ ๔ ออกดา นละ ๔. พระราชาทรงรบั มขุ หนึ่ง ปฐวนิ ธรกุมานราชบตุ รรับมขุ หนึ่ง เสนาบดหี วั หนา อํามาตยรับมขุ หน่ึง เศรษฐีหัวหนาชาวชนบทรบั มุขหน่งึ . บรรดาชนเหลา นน้ั เพราะเปน ผสู มบูรณดว ยทรัพย แมพ ระราชาใหขนทองมา ทรงเร่มิ งานท่มี ุขทพ่ี ระองครบั ไว ทง้ั อุปราชท้งั เสนาบดกี ็เหมือนกัน.สวนงานท่ีมขุ ทเ่ี ศรษฐรี บั ไวห ยอนไป. ครน้ั นัน้ อุบาสกคนหนึง่ ชอื่ ยโสธร เปนอรยิ สาวกช้นั อนาคามีทรงพระไตรปฏก รวู า เศรษฐนี น้ั ทาํ งานหยอ นไป จงึใหเ ทียมเกวียน ๕๐๐ เลมไปในชนบทชกั ชวนคนท้งั หลายวา พระกัสสปสัมมา-สัมพุทธเจา ทรงพระชนม ๒๐,๐๐๐ ป ปรนิ พิ พานนานแลว พวกเราจกั ทํา

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 332รตั นเจดียโ ยชนหน่ึงของพระองค ผใู ดจะสามารถจะใหส ่ิงใด จะเปน ทองหรอืเงนิ แกว ๗ ประการ หรดาล หรือมโนสลิ า ก็ตามที ผูน น้ั จงใหสง่ิ นนั้ . ชนทัง้ หลายไดใหเงนิ และทองเปนตน ตามกาํ ลังของตน ๆ เมอื่ ไมส ามารถจะใหกใ็ หน า้ํ มนั และขา วสารเปนตน เทานัน้ . อบุ าสกสงนํา้ มันและขา วสารเปน ตนเพ่ือเปน อาหารประจาํ วนั แกกรรมกรทงั้ หลาย ท่เี หลอื จงใจจะใหท องสง ไปไดป าวรองไปทว่ั ชมพทู วปี ดว ยอาการอยา งนี.้ งานทีพ่ ระเจดยี เสรจ็ แลว เพราะฉะนน้ั พวกเขาสงหนังสอื ไปจากเจดยี สถานวา การงานเสรจ็ แลว ขออาจารยจงมาไหวพ ระเจดีย. แมอ าจารยกส็ งหนังสอื ไปวา เราชกั ชวนชมพูทวปี ทั่วแลวสง่ิ ใดท่ีมอี ยู จงถือเอาสงิ่ น้ันทาํ การงานใหส ําเรจ็ . หนังสอื ๒ ฉบับมาประจวบกันระหวางทาง แตหนงั สือจากเจดยี ส ถานมาถงึ มือของอาจารยก อนหนงั สอื ของอาจารย. อาจารยนัน้ อานหนงั สือแลว ก็คดิ วา จักไหวพระเจดยี  กอ็ อกไปตามลําพัง. ระหวา งทางโจร ๕๐๐ กป็ รากฏข้ึนทีด่ ง. บรรดาโจรเหลาน้นั บางพวกเหน็ อาจารยนัน้ คดิ วา คนผนู ีร้ วบรวมเงินและทองจากชมพทู วปี ทงั้ ส้ิน คนทั้งหลาย ผรู ักษาขมุ ทรพั ยคงมากนั แลว จงึ บอกแกโ จรทเ่ี หลอื แลว จบั อาจารยนั้น. อาจารยถามวา พอ เอย เหตุไรพวกเจาจงึ จบั เรา. พวกโจรตอบวา ทานรวบรวมเงนิ และทองทั้งหมดจากชมพทู วปี ทา นจงใหท รัพยเลก็ ๆ นอ ย ๆ แกพวกเราเถอะ. อาจารยถ ามวา พวกเจาไมร ูหรอกหรอื วา พระพทุ ธเจา พระนามวา กสั สป ปรินิพพานแลว พวกเรากาํ ลังสรา งพระรตั นเจดียโ ยชนห นงึ่ สาํ หรับพระองค กข็ าชักชวนเขาเพื่อประโยชนน ั้น ไมใ ชเพื่อประโยชน ของตน ฉะนัน้จําสง ของทีเ่ กบ็ ไวๆ แลวไปในทน่ี ้นั แหละ สว นผา นอกจากทนี่ ุงมา ก็ไมมอี ะไรอยางอ่นื แมแ ตก ากณึกหน่ึง. โจรพวกหนึ่งกลาววา ขอนนั้ จรงิ อยางนน้ั ก็จงปลอยอาจารยไปเสยี . โจรพวกหนึ่งกลา ววา อาจารยผ ูน้ี พระราชาก็บชู าอํามาตยกบ็ ชู า เหน็ บางคนในพวกเราท่ีถนนพระนคร พึงบอกพระราชา

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 333และมหาอํามาตยของพระราชาเปน ตน จะทําใหพวกเราถึงความยอยยับได.อุบาสกกลาววา พอ เอย ขา จักไมทําอยางนัน้ แน ก็ขอ น้ันแล มีดว ยความกรุณาในโจรเหลา นน้ั ไมใ ชมดี ว ยความรกั ในชีวติ ของตน. เม่ือเปนเชน น้นั บรรดาโจรเหลา นน้ั ซึง่ กาํ ลงั ทุม เถียงกนั วา ควรจับไว ควรปลอ ยไป พวกโจรเหลา ท่มี ีความเหน็ วาควรจบั มีจาํ นวนมากกวา ก็ฆาอาจารยน น้ั เสยี . ดวงตาของโจรเหลานัน้ กอ็ ันตรธานไปเหมอื นประทปี ดา มที่ดบั เพราะผดิ ในพระอริยสาวกผูมีพลังคณุ . โจรเหลานัน้ รําพันวา ดวงตาอยูไ หน ดวงตาอยูไ หน บางพวกญาติกน็ าํ กลับบา น บางพวกไมม ญี าติ กก็ ลายเปน เปน คนอนาถา เพราะฉะนนั้ จึงอาศยั อยูที่บรรณศาลาท่โี คนไมใ นดงนน้ั เอง. เหลามนุษยท่มี าในดง ก็ใหข า วสารบาง หอขาวบาง เสบยี งบาง แกโ จรเหลา นน้ั ดว ยความความกรุณา.เหลามนษุ ยที่ไปแสวงหาไมและใบไมเ ปนตนกลบั มากันแลว เมื่อถูกถามวาพวกทานไปไหนกัน ตอบวา พวกเราไปปา คนตาบอด. ปานนั้ ปรากฏชอ่ื วาอนั ธวนั คร้ังพระพุทธเจา ๒ พระองคดวยประการฉะน.ี้ กป็ า นัน้ ครั้งพระพุทธเจาพระนามวา กัสสป ไดกลายเปนดง ในชนบททีร่ า งไป. แตค รง้ั พระผมู พี ระภาคเจาของเรา ไดกลายเปน เรอื นสาํ หรับทําความเพยี ร เปนสถานทอ่ี ยูข องเหลา กุลบุตรผูตอ งการความสงัด อยูหลงัพระเชตวันไมไกลกรงุ สาวัตถ.ี สมัยนั้นทานกุมารกัสสปก็บําเพญ็ เสกขปฎิปทาอยูทอ่ี นั ธวนั นัน้ . เพราะเหตุนั้น ทา นจงกลาววา อนธฺ วเน วหิ รต.ิ บทวา อฺ ตรา เทวตา ความวา เทวดาองคหนึ่งไมป รากฏนามและโคตร. แมทาวสกั กเทวราชทรี่ ูกันชัดแจง ทา นก็ยังเรียกวา อฺตโรในบาลีนว้ี า ขา แตพระองคผ ูเ จริญ พระผูมพี ระภาคเจา ทรงทราบหรือไมว าพระองคไดต รสั ตณั หาสังขยวมิ ตุ ติ โดยสังเขปแกย กั ษผ ูม ีศักด์ใิ หญอ งคห น่งึ .แมคําวา เทวตา น้เี ปน คําเรยี กทว่ั ไป แมสาํ หรบั เทวดาทัง้ หลาย. แตใ นที่

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 334นท้ี านประสงคเ อาเทพในคําวา เทวตา นน้ั . อภิกกันตศัพท ในคาํ วาอภิกกฺ นตฺ าย รตตฺ ิยา ปรากฏในอรรถทั้งหลายมี สิ้นไป งาม สวย และความยนิ ดยี ิ่งยวดเปน ตน. ในอรรถเหลานนั้ อภิกกันตศพั ทปรากฎในอรรถวาส้นิ ไปไดใ นคําเปนตน อยา งนี้วา ราตรสี ิ้นไปแลว ปฐมยามลวงไปแลว ภิกษุสงฆน ง่ัคอยนานแลว ขอพระผูมีพระภาคเจาโปรดทรงแสดงปาฎโิ มกขแ กภ ิกษุทั้งหลายเถดิ พระเจาขา . ปรากฏในอรรถวา งาม ไดในคําเปนตนอยางน้วี า ผูน้งี ามกวา ประณีตกวา บุคคล ๔ จําพวกเหลา นี.้ ปรากฏในอรรถวา สวย ไดใ นคําเปนตน อยา งนี้วา ใครรุงเรอื งดว ยฤทธิ์ ยศ มวี รรณ สวยงาม ทาํ ทศิ ทงั้ ปวงใหส วางมาไหวเ ทา ทัง้ ๒ ของเรา.ปรากฏในอรรถวา ยนิ ดีอยางยง่ิ ยวด ไดในคาํ เปน ตนอยา งนว้ี า พระโคดมผเู จรญินายนิ ดีจรงิ ๆ. แตในทน่ี ้ีอภกิ กันตศพั ทปรากฎในอรรถวา สิน้ ไป. เพราะเหตุนน้ั บทวา อภิกกฺ นฺตาย รตตฺ ิยา ทานจึงอธิบายวา เมื่อราตรสี น้ิ ไปเเลว.ในขอนั้นพงึ ทราบวา เทพบตุ รนมี้ าในระหวางมัชฌมิ ยาน. อภกิ กนั ตศพั ท ในบทวา อภกิ กฺ นตฺ วณณฺ า นีป้ รากฎในอรรถวา สวยสว นวัณณศัพทปรากฏในอรรถมีอาทวิ า ผิว นา ชมเชย พวกตระกูล เหตุ ทรวดทรง ประมาณและรูปายตนะ. ในอรรถเหลานน้ั อภกิ กัตนศพั ทปรากฎในอรรถวา ผวิ ไดในคําเปนตน อยางน้ีวา ขา แตพระผูมพี ระภาคเจา พระองคม วี รรณดงั ทองคํา. ปรากฏในอรรถวา นา ชมเชย ไดใ นคาํ เปนตนอยางน้ีวา ดกู อ นคฤหบดี ในกาลไหนวรรณะของพระสมณโคดมอนั ทานควรชมเชย. ปรากฏในอรรถวา พวกตระกูล ไดใ นคํามีอาทอิ ยา งนี้วา ขา แตพ ระโคดมผูเจรญิ ตระกูล ๔เหลาน.ี้ ปรากฏในอรรถวา เหตุ ไดใ นคาํ มีอาทิอยา งน้ีวา เมื่อเปนเชนนี้เพราะเหตุอะไรหนอ ทานจึงกลาววาขะโมยกลิน่ . ปรากฎในอรรถวา ทรวดทรง ไดใ นคํามีอาทิอยางน้ีวา นริ มิตทรวดทรงพญาชางใหญ. ปรากฏในอรรถ

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 335วา ประมาณ ไดในคํามอี าทิอยางนว้ี า บาตร ๓ ขนาด. ปรากฏในรูปายตนะ ไดในคํามอี าทิอยางน้วี า รปู ายตนะ คนั ธายตนะ รสายตนะ และโผฏฐพั พายตนะ.อภกิ กนั ตศพั ทนัน้ พึงเห็นวา ลงในอรรถวา ผวิ ในท่นี ี้. ดว ยเหตนุ ้นั บทวาอภิกฺกนฺตวณณฺ า ทา นอธบิ ายไวว า มผี วิ สวย มผี วิ นาปรารถนานา ชอบใจ.จริงอยู เทวดาทง้ั หลาย เมอ่ื มาสมู นุษยโลกละผิวอยางปกติฤทธ์ิปกติ ทําอตั ภาพใหห ยาบ เนรมติ ผวิ เกินปกติ ฤทธิ์เกินปกติ มาดวยกายทปี่ รุงแตงแลว เหมอื นมนษุ ยไ ปสูทีช่ มุ นมุ ฟอนราํ เปนตน. เทพบุตรแมน ้ี กม็ าโดยอาการอยา งนั่นนัน้ แล. เหตนุ ้นั ทา นจึงกลา ววา อภกิ ฺกนฺตวณณฺ า. เกวลศพั ท ในคําวา เกวลกปปฺ  น้ี มอี รรถเปน อเนก เชนไมม ีสว นเหลอื โดยมาก ไมผสม ไมเ กิน แนน หนา ไมประกอบเปน ตน. จริงอยา งน้นัเกวลศพั ทนั้น มอี รรถวา ไมเหลือ ไดใ นคํามอี าทอิ ยา งนว้ี า พรหมจรรยบรสิ ุทธิ์บริบูรณ โดยไมเหลือ. มีอรรถวา โดยมาก ไดในคํามีอาทอิ ยางน้วี า โดยมาก ชาวองั คะ และมคธ ถอื ของเคย้ี ว ของกินเปน อันมาก เขาไปเฝา.มอี รรถวาไมผสม ไดในคาํ มอี าทิอยา งนี้วา กองทกุ ขลวน ๆ ยอ มเกิดขนึ้ . มีอรรถวา ไมเกิน ไดในคํามอี าทอิ ยา งนีว้ า มศี รทั ธาเพยี งอยางเดียวแนแท ทา นผูน .้ี มอี รรถวา แนนหนา ไดใ นคาํ มอี าทอิ ยางน้วี า สทั ธวิ ิหาริกของทา นพระอนุรุทธ ชอ่ื วา พาหกิ ะ ต้งั อยใู นสงั ฆเภทตลอดวันแนแ ท. มอี รรถวา ไมประกอบ ไดในคาํ มอี าทิวา ผูอยู อยจู บพรหมจรรยเสรจ็ แลว ทา นเรยี กวาบรุ ษุ สงู สดุ . แตใ นทีน่ ีท้ านประสงคเอาวา มีอรรถวา ไมเ หลอื . สว น กัปปะศพั ทน ้ี มอี รรถเปนอเนก เชน เช่อื อยา งยง่ิ -โวหาร-กาล-บัญญตั -ิ ตดั -ว-ิกัปป-เลสโดยรอบ. จริงอยางนัน้ กัปปศัพทน้นั มอี รรถวา นา เชอ่ื อยางยิ่งในคํามอี าทิอยางนวี้ า คํานขี้ องทานพระโคดมผเู ปนเสมือนพระอรหนั ตสัมมา-สัมพทุ ธ นา เชื่อจริง. มอี รรถวา โวหาร ไดในคาํ มีอาทอิ ยางน้ีวา ดกู อ นภิกษุ

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาที่ 336ทั้งหลาย เราอนญุ าตใหฉันผลไม โดยสมณโวหาร ๕ อยาง. มีอรรถวา กาละไดใ นคํามีอาทิอยา งนว้ี า ไดย ินวา ดวยเหตุทเี่ ราอยตู ลอดกาลเปนนิจ. มีอรรถวาบัญญัติไดในคาํ มีอาทิอยา งน้วี า ทานบญั ญัตดิ งั น้.ี มอี รรถวา ตัดไดในคาํ มีอาทิอยา งน้ี แตงตัว ตดั ผม และหนวด. มอี รรถวา วิกปั ป ไดใ นคาํ มอี าทิอยา งน้ีวา วิกปั ป ๒ องคลุ คี วร. มอี รรถเลศิ ไดใ นคาํ มอี าทอิ ยางนวี้ า มเี ลิศเพึ่อจะนอน. มีอรรถวา โดยรอบ ไดในคํามีอาทิอยางนว้ี า ทาํ ใหส วางโดยรอบพระเชตวัน. แตใ นท่นี ้ี ทา นประสงคเอากปั ปศพั ทน นั้ วา มอี รรถะวาโดยรอบ. เพราะฉะน้ัน ในค าวา เกวลกปปฺ  อนฺธวน น้ี พงึ เหน็ เนือ้ ความอยา งนว้ี า โดยรอบอนั ธวนั ไมมสี ว นเหลือ. บทวา โอภาเสตฺวา ความวาแผไปดวยรัศมที ี่เกดิ ข้ึนจากสรีระอันประดับดว ยผา ทาํ ใหม ีโอภาสเปนอันเดียวกนัเหมือนดวงจันทรแ ละดวงอาทิตย. บทวา เอกมนตฺ  อฏ าสิ ไดแก ยืนณ สว นขา งหน่ึง คือในโอกาสหน่ึง. บทวา เอตทโวจ ไดแ ก ตรัสกะภกิ ษุนนั่ วา ภิกษุ ภกิ ษุ ดงั น้เี ปนตน. ถามวา ก็เพราะเหตุไร เทวดาน้ไี มไ หว กลา วโดยสมณโวหารอยางเดยี ว.ตอบวา โดยการรอ งเรียกดว ยสมณสัญญา. ไดย นิ วา เทพบุตร ไดมีความคิดอยา งนวี้ า ผนู ี้ อยูในระหวา งกามาวจรภมู ิ สวนเราเปน พรหมจารี ตง้ั แตกาลน้ันในเวลานั้น. แมสมณสญั ญาของเทพบตุ รนนั้ ยังปรากฏอยู เพราะฉะน้นัเทพบตุ รนนั้ จึงไมไ หว กลา วโดยสมณโวหารอยา งเดียว. ถามวา ไดยินวาเทพบตุ รน้ัน เปน บรุ พสหายของพระเถระ ตั้งแตครง้ั ไหน. ตอบวา ต้งั แตกาลแหง พระสมั มาสมั พทุ ธเจาพระนามกัสสปะ. จริงอยู บรรดาสหายท้ัง ๕ ท่ีมาในครัง้ กอน สหายนนั้ ใด ทที่ านกลา ววา พระอนเุ ถระ ไดเปน พระอนาคามี ในวนั ที่ ๔ สหายน้นั ก็คอื ผนู ี.้ ไดย นิ วา คร้ังนัน้ บรรดาพระเถระเหลา นั้นอภิญญา กบั พระอรหัตตน ั้นแลมาถึงแกส ังฆเถระ. พระสงั ฆเถระนนั้ คิดวา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 337กิจของเราถงึ ท่สี ุดแลว จงึ เหาะสูนภากาศ บวนปากทีส่ ระอโนดาด รับบณิ ฑ-บาตจากอตุ ตรกรุ ุทวปี กลับมาแลว กลาววา ผูม อี ายุ จงฉันบิณฑบาตนี้อยา ประมาท กระทาํ สมณธรรม. เหลา ภกิ ษุนอกนก้ี ลา ววา ผูมีอายุ พวกเราไมม ีกตกิ าอยางนีว้ า ผใู ดบงั เกดิ คณุ วิเศษกอนกน็ ําบณิ ฑบาตมา พวกทเ่ี หลือ ฉนั -บณิ ฑบาตทีผ่ ูน ้ันนาํ มากระทําสมณธรรม พวกทา นบรรลุท่ีสุดกจิ ดวยอุปนสิ สยัของตน ถา วาพวกเราจักมีอปุ นิสสัยกจ็ กั บรรลุทส่ี ดุ กิจ นัน่ เปน ความชักชา ของพวกเราเอง พวกทานจงไปเถดิ . สงั ฆเถระนัน้ ไปตามความผาสกุ ปรนิ พิ พานเม่ือสนิ้ อาย.ุ วันรงุ ข้ึน พระอนเุ ถระกระทาํ ใหแ จงพระอนาคามิผล อภิญญาท้ังหลายก็มาถงึ ทาน. แมทานกน็ าํ บิณฑบาตมาเหมือนอยางน้นั เหมือนกนัถกู ภิกษเุ หลา น้ันปฏิเสธ ก็ไปตามความผาสุก เม่อื ส้ินอายุกบ็ ังเกดิ ในชั้นสุทธาวาส.พระอนุเถระน้นั คร้ันดํารงอยใู นชนั้ สทุ ธาวาสแลว ตรวจดสู หายเหลาน้นั กเ็ หน็ วาสหายผหู น่ึงปรินพิ พานในคร้งั นัน้ แล ผูหนง่ึ บรรลุอรยิ ภูมิในสํานักของพระผมู -ีพระภาคเจา โดยไมนาน ผูหนึ่งอาศยั ลาภสกั การะเกดิ ความคิดข้นึ วา เราเปนพระอรหันต อยูท ท่ี าเรือชือ่ สปุ ปารกะนั่นแล แลวเขาไปหาเขา ส่งั เขาไปดว ยกลา ววา ทา นไมใชเปน พระอรหนั ต ยงั ปฏบิ ัติไมถึงพระอรหตั ตมรรค จงไปเฝา พระผมู ีพระภาคเจา ฟงธรรมเสยี . แมส หายผนู ้นั ทูลขอโอวาทกะพระผมู พี ระ-ภาคเจาในละแวกบาน พระผูมพี ระภาคเจา ทรงโอวาทโดยสังเขปวา พาหยิ ะเพราะฉะนนั้ แล เธอพึงศกึ ษาในส่งิ ท่ที านเหน็ แลว จงเปนสกั แตว า เหน็ กบ็ รรลุอรยิ ภมู ิ. สหายผูหน่งึ นอกจากน้ันมอี ยู เขาตรวจดูวา อยูที่ไหน กเ็ หน็ วา กาํ ลงับําเพ็ญเสกขปฏิปทาอยูในอันธวัน จงึ คดิ วา เราจักไปยังสาํ นักของสหาย แตเ ม่อืไปไมไ ปมือเปลา ควรจะถอื เครื่องบรรณาการบางอยา งไปดวย แตสหายของเราไมม อี ามิสอยบู นยอดเขา แตสหายน้นั จักไมฉันแมบิณฑบาต ท่ีเรายืนอยบู นอากาศถวาย ไดกระทาํ สมณธรรม บดั นท้ี า นจักรับอามิสบรรณาการหรอื จาํ เรา

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนา ท่ี 338จกั ถือธรรมบรรณาการไป แลวดาํ รงในพรหมโลกนนั่ แล จําแนกปญ หา ๑๕ ขอเหมอื นรอ ยรัตนวลีพวงแกว ถือธรรมบรรณาการนั้นมา ยนื อยใู นทไ่ี มไ กลสหายไมอ ภิวาทพระเถระนั้นโดยกลาวดว ยสมณสัญญาเรียกวา ภกิ ษุ ภิกษุ จงึ กลา ววาอย วมมฺ ิโก เปนตน. ในคาํ นั้นพงึ ทราบคาํ ทท่ี านกลาวซํา้ วา ภกิ ษุ ภิกษุโดยเรยี กเรว็ ๆ. หนาผากยอมไมงามดว ยการเจิมจดุ เดียวเทาน้ัน ตอเม่อื เจิมจดุอืน่ ๆ ลอมจดุ นนั้ จงึ จะงามเหมือนประดบั ดว ยดอกไมทบี่ านฉนั ใด ถอยคําจะไมง ามดวยบท ๆ เดยี วเทา นนั้ ตอ ประกอบดว ยบทแวดลอมจงึ จะงามเหมือนตกแตงดวยดอกไมท ีบ่ านฉะนัน้ เพราะฉะนน้ั เทพบตุ รผูน้นั กระทําถอยคําโดยบทแวดลอ มน้นั กระทาํ ใหเ หมอื นตกแตง ดอกไมท ่ีบานจึงกลา วอยา งน.้ี ขึน้ ชือ่ วา จอมปลวก ท่ตี ัง้ อยูต รงหนาไมม ี แตเ ทพบุตรเหมือนจะแสดงจอมปลวกท่ีต้งั อยูตรงหนา ดวยอาํ นาจเทศนาวธิ ี จงึ กลา ววา อย ในบทวาอย วมฺมิโก. บทวา ลงฺคึ ความวา ถอื ศสั ตราขดุ พบกลอนเหล็ก. บทวาอกุ ขฺ ิป ลงคฺ ึ อภกิ ฺขน สเุ มธ ไดแก พอบัณฑิต ช่ือวา กลอนเหลก็กลางคนื เปนควัน กลางวนั เปน ไฟ เมื่อยกกลอนเหลก็ ขนึ้ ขดุ ตอ พงึ เห็นความในบททง้ั ปวงอยา งท่กี ลา วมานี.้ บทวา อุทฺธูมายกิ  ไดแ ก อ่งึ . บทวา ปงกฺ วารไดแก หมอกรองน้ําดา ง. บทวา กุมมฺ  ไดแก เตา . บทวา อสสิ นู  ไดแ กเขยี งห่ันเนือ้ . บทวา ม สเปสึ ไดแก ชนิ้ เนื้อสดขนาดลกู หนิ บด. บทวานาค ไดแ ก ไดเหน็ พญานาคแวดลอมดวยดอกจันทร ๓ ดอก มีพงั พานใหญเชน กับกาํ ดอกมะลิ. บทวา มา นาค ฆฏเ ฏสิ ไดแ ก อยาใชป ลายไมปลายเถาวลั ย หรอื โปรยฝุนลงไปกระทบกระท่ังนาค. บทวา นโม กโรหินาคสฺส ความวา จงหลกี ไปเหนือลม นงุ ผาสะอาดกระทาํ การนอบนอมพญานาค ขน้ึ ช่ือวา ทรัพยท ่ีพญานาคปกครอง กิน ๗ ช่ัวตระกลู ก็ไมหมดพญานาคจักใหทรพั ยท ต่ี นปกครองแกเธอ เพราะฉะนั้น เธอจงกระทําความ

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๒ - หนาท่ี 339นอบนอ มแกพญานาค. บทวา อิโต วา ปน สตุ วฺ า ความวา หมดความสงสัยในกองทกุ ขจ ากสาํ นกั เรานี้ เพราะฉะนนั้ จึงชอ่ื วา หมดความสงสัยในศาสนาอยา งใด ในทน่ี ีห้ าเปน อยา งนน้ั ไม แตใ นทน่ี หี้ มดความสงสัยในเพราะเทพบตุ ร เพราะฉะนนั้ ในขอน้ี จงึ มีใจความดงั น้ีวา บทวา อิโต วา ปนไดแ ก กห็ รือวา เพราะฟงจากสํานักของเรา. บทวา จาตุมมฺ หาภูมกิ สฺส ไดแ ก สําเร็จดวยมหาภูตทั้ง ๔. บทวากายสสฺ อธิวจน แปลวา เปน ชอ่ื ของสรีระ. เหมอื นอยางวา กายภายนอกทา นเรียกวา วัมมกิ ะ เพราะเหตุ ๔ อยาง คือ จอมปลวกยอมคาย ๑ ผูคาย๑ ผูตายรางทป่ี ระชุมธาตุ ๔ ๑ ผคู ายความสมั พันธด ว ยเสนห า ๑ จริงอยูสภาพนน้ั ยอ มคายสัตวเ ลก็ ๆ มีประการตาง ๆ เชนงู พงั พอน หนู งเู หลือมเปนตน เพราะฉะนนั้ กายนน้ั ชอ่ื วา วัมมกิ ะ กายอันตวั ปลวกคายแลว เหตุนน้ัจึงชือ่ วา วมั มิกะ กายอันตัวปลวกกอขึ้นดวยผงฝุน ทีต่ ัวคายยกข้นึ ดว ยจะงอยปากประมาณเพียงสะเอวบา ง ชัว่ บรุ ษุ บาง เพราะฉะนั้น จึงชือ่ วา วมั มกิ ะ กายเม่อื ฝนตก ๗ สัปดาห อนั ตัวปลวกเกลีย่ เพราะเนอื่ งดวยยางนา้ํ ลายทคี่ ายออกแมใ นฤดแู ลง มนั กค็ ายเอาฝุน จากทนี่ ั้น บบี ทน่ี น้ั ใหเปน กอง ยางเหนียวกอ็ อกแลว กต็ ดิ กนั ดว ยยางเหนยี วท่คี าย เหตนุ น้ั จงึ ชอ่ื วา วมั มิกะ ฉนั ใดนัน้ แล แมกายน้ีกฉ็ นั นนั้ ช่อื วา วัมมิกะ เพราะคายของไมส ะอาด ของมีโทษและมลทนิมีประการตาง ๆ โดยนยั เปนตนวา ขต้ี าออกจากลูกตา เปน ตน และชอ่ื วาวมั มกิ ะ เพราะอันพระอรยิ เจาคายแลว เหตพุ ระพทุ ธเจาพระปจเจกพุทธะและพระขณี าสพ ทงิ้ อตั ภาพไป เพราะหมดความเยอื่ ใยในอตั ตภาพนี้ ชื่อวาวมั มิกะ เพราะคายหมดท้ังรางท่ปี ระชมุ ธาตุ ๔ เหตุท่พี ระอริยเจาคายรา งท้ังหมดท่กี ระดูก ๓๐๐ ทอน ยกข้ึนรัดดวยเอ็น ฉาบดว ยเน้ือ หอ ดวยหนังสดยอมผวิ ลวงสตั วทง้ั หลาย ชอ่ื วา วมั มกิ ะ เพราะผกู ดว ยเสนห า ทค่ี าย






















Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook