Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_81

tripitaka_81

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:45

Description: tripitaka_81

Search

Read the Text Version

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 201หน่งึ เปน ธรรมไมมอี ารมณ หรือ ? ป. ไมพ งึ กลาวอยา งน้นั ฯลฯ ส. สงั ขารขันธส วนหนึง่ เปน ธรรมมีอารมณ แตอีกสว นหนงึ่ เปน ธรรมไมมีอารมณ หรือ ? ป. ถูกแลว . ส. เวทนาขนั ธ สญั ญาขันธ วญิ ญาณขนั ธ สว นหนง่ึเปน ธรรมมีอารมณ แตอ กี สว นหนึง่ เปน ธรรมไมมอี ารมณ หรือ ? ป. ไมพ ึงกลา วอยา งนั้น ฯลฯ [๑๓๓๒] ส. ปฏฆิ านสุ ัย มานานสุ ยั ทฏิ ฐานุสัย วิจิกิจฉานสุ ัยภวราคานสุ ัย อวิชชานสุ ัย เปนธรรมไมมอี ารมณ หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. อวิชชา อวชิ โชฆะ อวชิ ชาโยคะ อวชิ ชานุสัย อวิชชา-ปรยิ ฏุ ฐาน อวิชชาสัญโญชน อวิชชานิวรณ เปน ธรรมไมมอี ารมณ หรือ ? ป. ไมพ ึงกลา วอยา งน้ัน ฯลฯ ส. อวชิ ชา อวิชโชฆะ อวิชชาโยคะ ฯลฯ อวิชชานิวรณเปนธรรมมีอารมณ หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. อวชิ ชานสุ ยั เปน ธรรมมอี ารมณ หรอื ? ป. ไมพงึ กลาวอยางนนั้ ฯลฯ [๑๓๓๓] ส. อวชิ ชานสุ ัย เปนธรรมไมม อี ารมณ หรือ ? ป. ถกู แลว . ส. นับเน่ืองในขันธไหน ?

พระอภธิ รรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 202 ป. นบั เน่ืองในสงั ขารขันธ. ส. สังขารขนั ธเ ปนธรรมไมมอี ารมณ หรอื ? ป. ไมพงึ กลาวอยา งนนั้ ฯลฯ ส. สงั ขารขันธเ ปนธรรมไมม ีอารมณ หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. เวทนาขันธ สัญญาขนั ธ วญิ ญาณขันธ เปน ธรรมไมมอี ารมณ หรือ ? ป. ไมพงึ กลาวอยา งน้ัน ฯลฯ [๑๓๓๔] ส. อวิชชานสุ ยั นบั เน่ืองในสังขารขันธ แตเปนธรรมไมม อี ารมณ หรือ ? ป. ถกู แลว . ส. อวชิ ชา นับเน่ืองในสังขารขนั ธ แตเปน ธรรมไมมีอารมณ หรอื ? ป. ไมพ งึ กลา วอยา งน้นั ฯลฯ ส. อวชิ ชานับเน่ืองในสังขารขันธ และเปน ธรรมมีอารมณ หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. อวิชชานุสยั นบั เนื่องในสงั ขารขนั ธ และเปนธรรมมีอารมณ หรือ ? ป. ไมพึงกลา วอยา งนนั้ ฯลฯ [๑๓๓๕] ส. อวิชชานุสยั นบั เนอื่ งในสงั ขารขันธ แตเ ปน ธรรมไมมอี ารมณ สว นอวิชชานับเน่ืองในสังขารขนั ธ และเปน ธรรมมอี ารมณ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 203หรอื ? ป. ถูกแลว . ส. สังขารขนั ธส ว นหน่ึง เปนธรรมมอี ารมณ แตอีกสว นหนงึ่ เปน ธรรมไมมีอารมณ หรอื ? ป. ไมพ ึงกลาวอยางน้นั ฯลฯ ส. สงั ขารสวนหนง่ึ เปน ธรรมมอี ารมณ แตอกี สว นหนึ่งเปนธรรมไมมอี ารมณ หรือ ? ป. ถกู แลว . ส. เวทนาขนั ธ สัญญาขนั ธ วิญญาณขันธ สวนหนึง่ เปนธรรมมีอารมณ แตอีกสวนหน่งึ เปน ธรรมไมม อี ารมณ หรอื ? ป. ไมพึงกลาวอยา งนั้น ฯลฯ [๑๓๓๖] ป. ไมพ ึงกลา ววา อนสุ ัยเปน ธรรมไมมีอารมณ หรอื ? ส. ถกู แลว . ป. ปถุ ุชน เม่อื จติ เปนกศุ ลและอพั ยากฤตเปน ไปอยูพึงกลา วไดวา เปน ผูมอี นุสัย หรอื ? ส. ถกู แลว . ป. อารมณของอนุสยั เหลา นัน้ มอี ยูหรอื ? ส. ไมพึงกลา วอยา งนัน้ ฯลฯ ป. ถาอยางน้นั อนุสัยก็เปนธรรมไมม ีอารมณ นะส.ิ [๑๓๓๗] ส. ปถุ ุชน เมือ่ จติ เปน กุศลและอัพยากฤตเปนไปอยูพงึ กลา วไดว า เปน ผูมีราคะ หรือ ? ป. ถกู แลว .

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 204 ส. อารมณของราคะน้นั มีอยหู รอื ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งนนั้ ฯลฯ ส. ถา อยา งน้นั ราคะก็เปนธรรมไมมีอารมณ นะ สิ. อนุสยา อนารมั มณาตกิ ถา จบ อรรถกถาอนุสยา อนารัมมณาติกถา วาดว ย อนุสยั เปนธรรมไมมอี ารมณ บดั นี้ ชือ่ วา เร่อื งอนุสยั เปนธรรมไมม ีอารมณ. ในเร่ืองนน้ั ชนเหลาใด มคี วามเห็นผิดดุจลทั ธขิ องนิกายอันธกะ นิกายเอกัจจะ และนกิ ายอตุ ตราปถกะทั้งหลายวา ช่ือวา อนสุ ยั ท้งั หลาย คอื กิเลสทนี่ อนเนื่องอยูใ นสนั ดาน ไมป ระกอบกับจิตเปนอเหตกุ ะ เปนอัพยากตะ ดว ยเหตุนน้ั แหละ คือดว ยเหตทุ ่ีไมป ระกอบกบั จติ เปนตน จงึ เปน อนารัมมณะดงั นี้ คาํ ถามของสกวาทวี า อนุสยั เปนตน โดยหมายถงึ ชนเหลา น้ันคําตอบรบั รองเปนของปรวาที. ลาํ ดับน้ัน สกวาทีจงึ กลา วกะปรวาทีน้นั วาอนุสัย เปน รูป เปนตน เพื่อทว งวา ธรรมดาอนุสยั ไมมอี ารมณ อนสุ ยัน้นั กจ็ ะพงึ เปน อยางน้ี คอื พงึ เปนอยา งรปู เปนตน. คาํ วา กามราคะเปนตน ทานแสดงโดยความเปน กาม ราคานสุ ยั มิใชเ ปนอยา งอืน่ . ในปญหาวา สงั ขารขันธเ ปน ธรรมไมม ีอารมณห รอื ปรวาทตี อบปฏเิ สธเพราะหมายเอาสงั ขารขันธท ี่สัมปยตุ ดว ยจติ ยอ มตอบรับรองหมายเอาอนสุ ัย ชีวิตินทรยี  และรูปมกี ายกรรมเปนตน วาเปนธรรมนบั เนอ่ื งดว ยสังขารขนั ธ. บณั ฑิตพึงทราบเนอ้ื ความในวาระทั้งปวงโดยอุบายนีแ้ ล.

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 205 อนง่ึ ในปญ หาวา เปนผมู อี นุสยั หรอื อธบิ ายวา ปถุ ชุ นชื่อวายงั เปน ผูมอี นสุ ยั เพราะความทเี่ ขายงั มิไดละ แตส ภาพความเปนไปของอนสุ ัยทัง้ หลาย คือความเกดิ ดบั พระผมู ีพระภาคเจามไิ ดท รงบญั ญัติไวจรงิ อยู อนุสัยใดอันบุคคลใดยังละไมได อนสุ ยั น้ันไมนับวา เปนอดตีอนาคตและปจ จบุ ัน กแ็ ตวาอนสุ ยั นน้ั ช่ือวา เปนกิเลสท่ีพึงละดวยมรรคเพราะความเปนผูยังละไมไ ดน ั่นแหละ ทานจงึ กลา ววาเปน ของมอี ยู ดงั น.้ีอน่งึ ใคร ๆ ไมพงึ กลาววา ธรรมชอ่ื นี้เปน อารมณข องอนสุ ยั เห็นปานน้ีคือทานหมายเอาเฉพาะขณะจติ ทีเ่ ปน กศุ ลหรอื อัพยากตะซ่ึงอนสุ ัยมไิ ดเ กิดสัมปยตุ ดวย เพราะฉะนนั้ อารมณข องอนสุ ยั นัน้ ทา นจงึ ปฏิเสธแลว.อนั ทจ่ี ริง อารมณน้นั ๆ ยอมไมม ีแกอนสุ ัยอยางเดียวเทานั้นก็หาไมอารมณน้นั ๆ ยอมไมม ีแกกิเลสทงั้ หลายแมมรี าคะเปนตนก็เชน เดียวกันตรงนที้ านหมายเอาขณะทกี่ เิ ลสเหลา น้ันยังไมเ กดิ สมั ปยุตกับจิต เพราะฉะนนั้ ขอ นจ้ี งึ ไมส าํ เร็จซง่ึ ความท่ีอนุสยั ท้งั หลายเปน สภาพมีอารมณดงั นี้แล. อรรถกถาอนุสยาอนารัมมณาติกถา จบหมายเหตุ การวินิจฉยั อนสุ ัยกถาในคมั ภีรกถาวัตถนุ ี้ ทา นหมายเอากิเลส๗ อยา ง มีกามราคานสุ ยั เปน ตนท่ยี งั มิไดล ะดวยอริยมรรค อนุสยั กเิ ลสนีแ้ หละขณะทีจ่ ิตเปนกศุ ลก็ดี เปนอพั ยากตะกด็ ี ทานเรียกวาเปนจติ ตวปิ ปยุตเพราะไมป ระกอบจติ ในขณะนนั้ เรยี กวา อเหตกุ ะเพราะไมม เี หตุประกอบในขณะนั้น เรียกวาเปนอัพยากตะเพราะพระผูม ีพระภาคเจา ไมทรง

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 206พยากรณวา เปน บุญหรือเปนบาปในขณะนน้ั ดว ยเหตุทั้ง ๓ น้แี หละทา นจึงวา เปนอนารัมมณะ คอื เปนธรรมไมมีอารมณ ดงั น้ี. สวนนัยแหง อรรถกถาอนุสัยยมก หนา.......... ทา นแสดง ดงั นี้ :- อนุสยาติ เกนฏเ น อนสุ ยา ฯ อนุสยนฏเน ฯลฯ ถามวา อนสุ ัยทั้งหลายช่ือวา อนุสัย เพราะอรรถวากระไร ? ตอบวา เพราะอรรถวา นอนเนอ่ื ง. ถามวา ชอ่ื วา อรรถวา การนอนเนื่องนี้เปนอยา งไร ? ตอบวา ชอ่ื วา อรรถวาการนอนเนื่องนม้ี กี ารละไมไ ดเปน อรรถอธบิ ายวา อนุสยั เหลา นัน้ ชอ่ื วายอมนอนเนือ่ งในสันดานแหง สตั ว เพราะอรรถวา ยังละไมได เพราะฉะนน้ั ทานจึงเรยี กวา อนสุ ัย. คําวา ยอ มนอนเนื่อง อธบิ ายวา อนสุ ยั เหลา นน้ั ไดเ หตอุ ันสมควรแลวจงึ เกดิ ขึ้น. อีกอยา งหนงึ่ อธบิ ายวา ถาวา อาการคือการละยงั ไมไดพึงช่ือวาเปน อรรถแหง การนอนเน่อื งไซร ก็ไมควรกลา ววา อาการคอืการละไมไดยอ มเกิดขนึ้ เพราะอนสุ ยั ท้งั หลายยอ มเกิดข้นึ ดงั นี.้ ในทนี่ ี้ทานรบั รองวา อนสุ ยั คืออาการท่ลี ะไมได. อน่ึง คําวา อนุสัย ทานเรียกกิเลสทม่ี ีกาํ ลงั เพราะอรรถวา ละไมได. อธิบายวา อนสุ ยั น้ันเปนจิตตสมั ปยุต เปน สารมั มณะ เปน สเหตุกะเพราะอรรถวามีปจจยั เปนอกุศลอยา งเดียว ทัง้ เปนอดีตบาง เปน อนาคตบา ง เปนปจ จบุ ันบา ง เพราะฉะนั้น การกลา ววา อนุสยั ยอ มเกดิ ข้นึ ดังน้ี ยอมควร. ในที่นี้ ทานถอื เอาคําท่กี ลาวมาน้ีเปนประมาณ. ในคมั ภีรยมกนมี้ กี ารทา วความถงึ คัมภรี กถาวัตถุและคัมภีรอ น่ื ๆ ดว ย เชนกลาววา :- ในอภิธรรมกถาวตั ถุกอ น ทา นปฏิเสธวาทะทัง้ ปวงวา อนสุ ยั

พระอภธิ รรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 207ทงั้ หลายเปนอัพยากตะ เปน อเหตกุ ะ และเปน จิตตวิปปยตุ หมายถึงขณะนั้นจติ กาํ ลงั เปนกศุ ลหรอื อพั ยากตะ. ในปฏสิ ัมภทิ ามรรค ทานทําคาํ ถามวา บคุ คลยอมละกิเลสท้ังหลายแมอ นั เปน ปจจุบนั หรือ ดังน้ี แลวตอบวา บคุ คลชอื่ วายอ มละอนสุ ยั อนั มีกาํ ลังเพราะความท่อี นสุ ยั ทง้ั หลายเปนสภาพมีอยแู กค วามเปนปจ จุบนั . ในธรรมสังคหะ ในการจาํ แนกบทโมหะ ทานกลา วความเกิดขึน้แหง อวชิ ชานสุ ยั กับอกสลจิตวา อวชิ ชานสุ ัย ไดแ ก อนุสัยคอื อวิชชา อวชิ ชา-ปริยฏุ ฐาน ไดแก ปริยฏุ ฐานคอื อวชิ ชา อวชิ ชาลังคิ ไดแ ก ล่มิ คืออวชิ ชาอกุสลมูล คอื โมหะน้ีมี ณ สมยั ใด สมยั นัน้ โมหะยอมมี ดงั น้.ี ในอนุสัยยมกนี้น่นั แหละ ในอุปปช ชวาระ คือวาระวา ดว ยการเกดิ ขน้ึวาระใดวาระหนงึ่ แหง มหาวาระ ๗ ทา นกลา วคําเปน ตน ไวว า กามราคา-นสุ ัยยอ มเกดิ แกบ คุ คลใด ปฏฆิ านุสัยก็ยอมเกดิ แกบคุ คลนัน้ ใชไ หม ดังน้ีเพราะฉะนัน้ คําใดท่ีทานกลา วแลว วา ยอมนอนเนอ่ื ง คาํ นน้ั อธิบายวาอนุสัยท้ังหลายเหลา น้ันไดเหตุอันสมควรแลวยอมเกดิ ข้นึ ดงั น้ี บณั ฑติพึงทราบวา คํานัน้ ทานกลาวดีแลว โดยแบบแผนนี้เปน ประมาณ. คําแมใดทท่ี า นกลาวไวเ ปนตน วา อนุสยั เปน จิตตสมั ปยตุ เปน สารมั มณะ ดังนี้แมคาํ นนั้ ก็ชอ่ื วา ทานกลา วดีแลวนัน่ แหละ. คาํ วา ก็ชื่อวา อนสุ ยั เปนของสําเรจ็ แลว เปน จิตตสัมปตุ เปนอกสุ ลธรรม ดังนี้ พึงถงึ ความสิ้นสดุกนั ในทน่ี ี้แล. อนึ่ง พึงทราบวนิ ิจฉัยในคาํ ทง้ั หลาย มกี ามราคานสุ ยั เปน ตน วา กามราคะนน้ั แหละช่อื วา อนสุ ยั เพราะอรรถวายังละไมได เพราะฉะน้นั จึงช่ือวา กามราคานุสัย. แมในบททีเ่ หลือก็นัยน้นี นั่ แหละ. ตอไป

พระอภธิ รรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 208ทา นยังไดบ ง ชัดลงไปอกี วา อนสุ ยั เกิดที่ไหนบาง ดงั คาํ วา . บัดนี้ เพื่อประการซึ่งท่ีเปนทีเ่ กิดข้นึ แหง อนสุ ยั ทง้ั หลายน้ัน พระผมู พี ระภาคเจาจงึ ตรสั คาํ วา ตตฺถ กามราคานุสโย อนุเสติ เปนตนแปลวา กามราคานสุ ัยยอ มนอนเน่ืองในกามธาตุน้นั ขอทานผรู คู นควาในอนุสัยยมกนนั้ เถิด. สรปุ ความวา คําวา อนุสัยที่กลาวไวใ นคัมภีรกถาวัตถุน้นั มคี วามมงุ หมายเอาอยางหนึง่ ทก่ี ลา วในคมั ภีรอนุสยั ยมกน้นั มงุ หมายเอาอยางหนงึ่นัยทั้ง ๒ นเี้ มอื่ พิจารณาแลวกถ็ ูกตองดวยกัน.

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 209 ญาณงั อนารัมมณนั ติกถา [๑๓๓๘] สกวาที ญาณ เปน ธรรมไมม ีอารมณ หรอื ? ปรวาที ถูกแลว . ส. เปน ไป เปน นพิ พาน เปน จักขายตนะ ฯลฯ เปนโผฏฐัพพายตนะ หรือ ? ป. ไมพ ึงกลาวอยา งน้ัน ฯลฯ ส. ญาณ เปนธรรมไมมีอารมณ หรือ ? ป. ถกู แลว. ส. ปญญา ปญ ญนิ ทรีย ปญ ญาพละ สมั มาทิฏฐิ ธมั ม-วจิ ยสมั โพชฌงค เปน ธรรมไมม อี ารมณ หรือ ? ป. ไมพ งึ กลาวอยา งน้นั ฯลฯ ส. ปญ ญา ปญญินทรยี  ปญ ญาพละ สัมมาทฏิ ฐิ ธัมม-วิจยสัมโพชฌงค เปนธรรมมอี ารมณ หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. ญาณ เปนธรรมมีอารมณ หรือ ? ป. ไมพ งึ กลาวอยา งน้นั ฯลฯ [๑๓๓๙] ส. ญาณเปนธรรมไมมอี ารมณ หรือ ? ป. ถกู แลว . ส. นบั เนือ่ งในขนั ธไ หน ? ป. นับเน่ืองในสงั ขารขันธ. ส. สังขารขนั ธเ ปนธรรมไมมีอารมณ หรือ ? ป. ไมพึงกลาวอยา งน้ัน ฯลฯ

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 210 ส. สังขารขนั ธเปนธรรมไมม ีอารมณ หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. เวทนาขันธ สัญญาขนั ธ วญิ ญาณขันธ เปน ธรรมไมมอี ารมณ หรอื ? ป. ไมพึงกลาวอยา งน้ัน ฯลฯ [๑๓๔๐] ส. ญาณ นับเนอื่ งในสงั ขารขนั ธ แตเ ปนธรรมไมมีอารมณ หรือ ? ป. ถกู แลว . ส. ปญ ญา นบั เนอ่ื งในสงั ขารขันธ แตเ ปน ธรรมไมม ีอารมณ หรอื ? ป. ไมพ ึงกลาวอยา งน้ัน ฯลฯ ส. ปญญานบั เนอื่ งในสงั ขารขนั ธ และเปน ธรรมมีอารมณ หรอื ? ป. ถูกแลว . ส. ญาณ นับเนือ่ งในสงั ขารขันธ เปน ธรรมมีอารมณหรอื ? ป. ไมพ ึงกลา วอยา งนน้ั ฯลฯ [๑๓๔๑] ส. ญาณ นบั เน่ืองในสงั ขารขันธ แตเ ปนธรรมไมม ีอารมณ สวนปญญานับเนอื่ งในสงั ขารขนั ธ และเปนธรรมมีอารมณหรือ ? ป. ถูกแลว . ส. สงั ขารขันธสวนหน่งึ เปน ธรรมมอี ารมณ แตอีกสว นหน่งึ เปนธรรมไมมอี ารมณ หรอื ?

พระอภิธรรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 211 ป. ไมพ ึงกลาวอยา งนั้น ฯลฯ ส. สังขารขันธส ว นหนึง่ เปน ธรรมมีอารมณ แตอกีสวนหนึง่ เปนธรรมไมมีอารมณ หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. เวทนาขันธ สัญญาขันธ วญิ ญาณขนั ธ สว นหนึง่ เปนธรรมมอี ารมณ แตอ กี สวนหนงึ่ เปนธรรมไมมีอารมณ หรอื ? ป. ไมพ ึงกลา วอยางนัน้ ฯลฯ [๑๓๔๒] ป. ไมพงึ กลา ววา ญาณเปนธรรมไมม อี ารมณ หรอื ? ส. ถูกแลว . ป. พระอรหันตผูพรั่งพรอมดว ยจกั ขุวิญญาณ พึงกลาววา มีญาณ หรือ ? ส. ถกู แลว. ป. อารมณข องญาณนัน้ มีหรอื ? ส. ไมพึงกลา วอยา งนน้ั ฯลฯ ป. ถา อยา งน้นั ญาณก็เปน ธรรมไมม อี ารมณ นะ สิ. ส. พระอรหนั ตผ พู ร่งั พรอมดวยจักขุวิญญาณ พงึ กลาววามปี ญญา หรือ ? ป. ถกู แลว . ส. อารมณข องปญ ญานนั้ มีหรือ ? ป. ไมพ ึงกลาวอยา งน้ัน ฯลฯ ส. ถาอยา งนั้น ปญญาก็เปน ธรรมไมม ีอารมณ นะสิ. ญาณงั อนารมั มณันติกถา จบ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 212 อรรถกถาญานงั อนารัมมณันตกิ ถา วา ดว ย ญาณไมม ีอารมณ บดั นี้ ชื่อวาเรื่องญาณไมม อี ารมณ. ในเร่ืองน้นั พระอรหันตผ ูพรง่ั พรอ มดว ยจักขวุ ญิ ญาณ คอื จกั ขุวิญญาณจิตของทานกาํ ลังเกดิ เขาเรียกวามญี าณ คอื มีปญ ญา แตอารมณของญาณในขณะทีจ่ ักขุวญิ ญาณจติกําลงั เกิดน้ันไมมี เหตุใด เพราะเหตนุ นั้ ลัทธิแหงชนเหลา ใดดจุ ลทั ธิของนิกายอนั ธกะท้ังหลายวา ญาณ ของพระอรหันต เปนธรรมไมมอี ารมณดงั น้ี คาํ ถามของสกวาทหี มายถงึ ชนเหลานนั้ คําตอบรบั รองของปรวาท.ีคําทีเ่ หลือในทีน่ ี้ พงึ ทราบโดยนยั ท่ีกลาวแลว ในเรือ่ งอนสุ ยั นัน่ แหละดังนีแ้ ล. อรรถกถาญานงั อนารมั มณันติกถา จบ

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 213 อตีตารัมมณกถา [๑๓๔๓] สกวาที จติ ท่มี อี ดีตเปน อารมณ เปนธรรมไมมอี ารมณหรือ ? ปรวาที ถกู แลว. ส. มอี ดตี เปน อารมณ มิใชหรอื ? ป. ถกู แลว . ส. หากวา มอี ดีตเปน อารมณ กต็ อ งไมก ลา ววา จติ ทม่ี ีอดีตเปนอารมณ เปนธรรมไมมอี ารมณ และดังนั้น การกลา ววา จติ ท่ีมีอดีตเปน อารมณ เปนธรรมไมมีอารมณ จึงผดิ กห็ รือหากวา จติ เปนธรรมไมม อี ารมณ ก็ตองไมกลา ววา มอี ดีตเปนอารมณ และดงั นนั้ การกลา ววาจติ ทเี่ ปน ธรรมไมมอี ารมณ เปนธรรมมีอดตี เปน อารมณ จึงผิด. [๑๓๔๔] ส. จิตที่มีอดีตเปนอารมณ เปน ธรรมไมมอี ารมณ หรอื ? ป. ถูกแลว. ส. ความนกึ ฯลฯ ความต้งั ใจ ปรารภอดีตมี มิใชห รอื ? ป. ถกู แลว . ส. หากวา ความนึก ฯลฯ ความตัง้ ใจ ปรารภอดตี มอี ยูกต็ องไมก ลาววา จิตทม่ี อี ดตี เปน อารมณ เปน ธรรมไมม ีอารมณ. อตีตารมั มณกถา จบ

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 214 อนาคตารมั มณกถา [๑๓๔๕] สกวาที จิตท่มี อี นาคตเปน อารมณ เปนธรรมไมมีอารมณหรอื ? ปรวาที ถูกแลว . ส. มีอนาคตเปนอารมณ มใิ ชหรอื ? ป. ถูกแลว . ส. หากวา มีอนาคตเปน อารมณ กต็ อ งไมกลา ววา จิตท่ีมอี นาคตเปนอารมณ เปน ธรรมไมมอี ารมณ และดังน้นั การกลาววาจติ ทม่ี ีอนาคตเปน อารมณ เปน ธรรมไมมอี ารมณ จึงผิด ก็หรือหากวาจิตเปนธรรมไมม ีอารมณ กต็ อ งไมก ลา ววา จติ มีอนาคตเปน อารมณ และดังนนั้ การกลาววา จิตท่เี ปน ธรรมไมม อี ารมณ เปนธรรมมอี นาคตปนอารมณจงึ ผดิ . [๑๓๔๖] ส. จติ ที่มอี นาคตเปน อารมณ เปน ธรรมไมมอี ารมณหรือ ? ป. ถกู แลว . ส. ความนกึ ฯลฯ ความต้ังใจ ปรารภอนาคตมี มิใชหรือ ? ป. ถูกแลว. ส. หากวา ความนึก ฯลฯ ความตัง้ ใจ ปรารภอนาคตมีอยกู ็ตอ งไมกลาววา จติ ทีม่ อี นาคตเปน อารมณ เปน ธรรมไมมีอารมณ [๑๓๔๗] ส. ความนึก ฯลฯ ความตง้ั ใจ ปรารภปจ จุบันมอี ยู และจิตท่ีมปี จจุบันเปนอารมณ เปน ธรรมมอี ารมณ หรอื ? ป. ถูกแลว.








































































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook