Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_81

tripitaka_81

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:45

Description: tripitaka_81

Search

Read the Text Version

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 365ฯลฯ ทเ่ี ปนโลกตุ ตร หรอื ? ส. ไมพ ึงกลา วอยางนนั้ ฯลฯ กศุ ลจิตตปฏิลาภกถา จบ อรรถกถากุสลจติ ตัปปฏลิ าภกถา วา ดวย การกลบั ไดกสุ ลจิต บัดน้ี ชื่อวา เรอ่ื งการกลับไดก สุ ลจติ ของผตู ง้ั อยตู ลอดกลั ป. ในเร่อื งนนั้ บุคคลผตู ้งั อยตู ลอดกัลป ไดแก ผูเ กดิ ในนรก ในลัทธขิ องสกวาทียอมไดเฉพาะกามาวจรจิตเทาน้ัน กบ็ คุ คลใดไมพ งึ ปดกัน้ การเกดิ ในนรกน้นั บุคคลนน้ั ยอมไมไ ดเ ฉพาะมหัคคตกศุ ล หรือโลกุตตรกศุ ล อน่งึ ชนเหลา ใดไมทําการวภิ าคนี้ มคี วามเห็นผิดดุจลทั ธนิ กิ ายอตุ ตราปถกะทง้ั หลายวา บุคคลผตู ัง้ อยูต ลอดกลั ปน ั้น คือผูเกดิ ในนรก ยอมไมไ ดก ศุ ลจติ โดยไมแปลกกนั เลย ดังนี้ คาํ ถามของสกวาทเี พ่ือทาํ ลายลทั ธนิ ้นั ดวยการแสดงวิภาค คอื การแยกประเภทกศุ ลแตล ะอยาง แหงกุสลจิตเหลานั้นคําตอบรับรองเปน ของปรวาท.ี คําท่เี หลอื ในท่ีนม้ี อี รรถต้นื ทงั้ นัน้ แล. อรรถกถากุสลจิตตัปปฏิลาภกถา จบ

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 366 อนนั ตราปยุตตกถา [๑๕๑๘] ปรวาที บุคคลผใู ชใหท าํ อนันตริยกรรม พงึ กา วลงสูสมั มัตตนยิ ามได หรือ ? สกวาที ถกู แลว . ป. พงึ กาวลงสมู ิจฉัตตนยิ าม และสมั มัตตนิยามไดท ้งัสองอยา ง หรือ ? ส. ไมพ ึงกลาวอยางนัน้ ฯลฯ ป. บุคคลผใู ชใ หทาํ อนันตริยกรรม พึงกา วลงสูสัมมัตต-นิยามได หรอื ? ส. ถูกแลว. ป. กรรมนัน้ ไดใ ชใ หทาํ แลว กอ ความรําคาญใจใหแ ลวใหเ กิดความวปิ ฏสิ ารขน้ึ แลว มใิ ชห รือ ? ส. ถูกแลว ป. หากวา กรรมน้ันไดใชใหท าํ แลว กอความราํ คาญใจใหแ ลว ใหเกดิ ความวิปฏสิ ารขน้ึ แลว กต็ องไมกลา ววา บคุ คลผูใ ชใหทําอนันตรยิ กรรม พงึ กา วลงสูสัมมตั ตนิยามได. [๑๕๑๙] ส. บคุ คลผูใชใ หท ําอนันตริยกรรม เปน ผูไ มค วรเพอ่ื จะกาวลงสสู มั มัตตนยิ าม หรือ ? ป. ถูกแลว . ส. เขาไดปลงชวี ติ มารดา ไดปลงชีวิตบิดา ไดป ลงชีวิตพระอรหันต ไดมีจติ ประทษุ รา ยยังพระโลหิตแหงพระตถาคตใหหอ ไดยังสงฆใหแ ตกจากกัน หรอื ?

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 367 ป. ไมพ ึงกลาวอยา งนน้ั ฯลฯ ส. บุคคลผูใชใ หท าํ อนันตรยิ กรรม ลม เลิกกรรมนั้นแลวบรรเทาความราํ คาญใจไดแ ลว กําจดั ความวปิ ฏิสารไดแ ลว เปนผไู มค วรเพื่อจะกาวลงสูสัมมตั ตนยิ าม หรอื ? ป. ถูกแลว . ส. เขาไดป ลงชีวิตมารดา ไดป ลงชีวิตบดิ า ฯลฯ ไดย ังสงฆใหแตกจากกัน หรอื ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งน้นั ฯลฯ ส. บุคคลผใู ชใหท ําอนนั ตริยกาาร ลม เลิกกรรมนนั้ แลวบรรเทาความรําคาญใจไดแ ลว กาํ จัดความวิปฏสิ ารไดแ ลว เปนผูไมควรเพือ่ จะกาวลงสูสัมมัตตนยิ าม หรือ ? ป. ถกู แลว . ส. กรรมน้นั ไดลมเลิกแลว ความราํ คาญใจก็ไดบรรเทาแลว ความวิปฏิสารก็ไดก ําจดั แลว มใิ ชหรอื ? ป.ถูกแลว. ส. หากวา กรรมนนั้ ไดล ม เลิกแลว ความราํ คาญใจก็ไดบรรเทาแลว ความวปิ ฏสิ ารก็ไดก าํ จดั แลว กต็ องไมกลา ววาบคุ คลผูใชใหทําอนนั ตรยิ กรรม ลมเลกิ กรรมน้ันแลว บรรเทาความรําคาญใจไดแลว กําจดั ความวิปฏิสารไดแ ลว เปน ผไู มควรเพอื่ จะกาวลงสสู ัมมัตตนยิ าม [๑๕๒๐] ป. บุคคลผูใชใ หท ําอนนั ตรยิ กรรม พึงกาวลงสูส มั มัตต-นยิ าม หรือ ? ส.ถกู แลว .

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 368 ป. เขาไดใ ชใ หท าํ กรรมนั้นแลว มใิ ชห รือ ? ส. ถกู แลว. ป. หากวา เขาไดใชใ หท าํ กรรมนั้นแลว กต็ อ งไมก ลา ววา บคุ คลผูใชใหทาํ อนันตรยิ กรรม พึงกา วลงสูส ัมมตั ตนิยามได. อนนั ตราปยุตตกถา จบ อรรถกถาอนนั ตราปยตุ ตกถา วา ดว ย บุคคลผูใชใหทาํ อนันตรยิ กรรม บัดน้ี ชอื่ วา เรื่องบุคคลผูใ ชใหท ําอนันตรยิ กรรม คือผูสง่ั ใหทําอนันตรยิ กรรม. ในเร่ืองนั้น บคุ คลใดสั่งใหทาํ อนันตริยกรรมมกี ารฆามารดาเปน ตนอนั ใหผลโดยไมม ีภพอ่ืนคน่ั ในระหวางโดยประเภทแหงขนั ธบคุ คลนัน้ ชื่อวาผใู ชใหทําอนันตริยกรรม ในเรอ่ื งนี้ สกวาทที ําการสันนิษฐานคอื ลงความเหน็ ในลัทธขิ องตนวา บุคคลใดจักกระทาํ กรรมน้ันท่ีเขาสั่งดวยคาํ สั่งทีแ่ นนอน บคุ คลนน้ั ยอ มเปนผูเที่ยงในทางที่ผิด เขายอ มเปน ผูไมควรเพื่อกาวลงสสู มั มตั ตนยิ าม เพราะความที่เจตนาที่ยงั ประโยชนใหสําเร็จเกดิ ขึ้นแลว แตว าบุคคลใดจักกระทําซ่ึงกรรมทเ่ี ขาสัง่ นนั้ ดว ยคาํ ส่งั ทไ่ี มแ นน อน บุคคลนน้ั ไมช ่ือวา เปนผเู ท่ยี งในทางท่ีผิด เขายอ มเปนผคู วรเพอ่ื กาวลงสูสมั มตั ตนยิ ามเพราะความท่เี จตนาอนั ใหส ําเรจ็ ประโยชนนนั้ ยังไมเกิดขน้ึ ดังน.ี้ ชนเหลาใด มคี วามเหน็ ผิด ดจุ ลทั ธนิ ิกายอุตตราปถกะทง้ั หลายวาบุคคลชอื่ วา เปน ผูไ มควรเพ่ือกา วลงสูสมั มัตตนิยามท้ังน้นั แมคําสง่ัแนนอนก็ตาม ไมแ นน อนกต็ าม ดังน้ี เพ่ือทําลายลัทธิแหง ชนเหลานนั้

พระอภิธรรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 369สกวาทจี ึงใหป รวาทีถามตนกอนวา บคุ คลผูใชใ หท าํ อนันตริยกรรมเปน ตน ดวยเหตนุ ัน้ คาํ ถามแรกในปญ หานจ้ี ึงเปนของปรวาที คําตอบรับรองหมายเอาความไมมีเจตนาท่ียงั ประโยชนใ หสาํ เรจ็ เปน ของสกวาท.ีจากนน้ั ปรวาทสี าํ คญั อยวู า บุคคลนน้ั เปนผูเ ที่ยงในทางทผ่ี ดิ เพราะการส่ังใหท ํากรรมมกี ารฆามารดาเปนตน น่นั เทยี ว เพราะฉะนัน้ จงึ ถามปญ หาวา (เขา) พึงกา วลงสูม จิ ฉตั ตนิยาม เปนตน สกวาทตี อบปฏเิ สธวา ไมพ งึ กลา วอยางน้นั โดยหมายเอาการไมก าวลงสูนยิ ามทง้ั ๒ ของบุคคลผูเดียว คําวา กรรมนนั้ ไดแก อนนั ตริยกรรม มีการฆา มารดาเปนตน. ในปญหานั้น สกวาทีตอบรับรองวา ใช หมายเอาคาํ ส่ังท่ีไมแนน อน. เพราะวาความราํ คาญใจ และความเดอื ดรอน ยอมเกดิ ขนึ้ แกผชู ักนําทําคําส่งั อันไมแ นน อนวา เราทาํ กรรมอนั ไมส มควรแลว ทีเดียวดงั นี.้ คําวา หากวา เปน ตน ท่ปี รวาทีกลา วกเ็ พื่อจะใหล ทั ธติ ัง้ ไวดวยการถอื เอาซ่ึงเหตุสักวาความเกิดขนึ้ แหง ความราํ คาญใจ. บัดน้ี เปนคาํ ถามของสกวาทีวา บุคคลผใู ชใหทําอนันตรยิ กรรมเปน ผูไมควรเพอ่ื จะกา วลงสูส มั มตั ตนิยาม เพราะถือเอาบุคคลนน้ั น่ันแหละทป่ี รวาทตี อบปฏเิ สธถงึ การกาวลงสสู ัมมตั ตนิยามของผชู ักนําในการทําอนันตรยิ กรรมแมด ว ยคาํ ส่ังอันไมแ นนอน. คาํ ตอบรบั รองของปรวาทียอ มมีดว ยสามารถแหง ลัทธิของตน. ลําดับนั้น สกวาทีเพื่อทว งปรวาทีนน้ั วา บคุ คลผูไมค วรกาวลงสสู มั มัตตนยิ ามเปนทํากรรมมกี ารฆามารดาเปนตน กก็ รรมเหลา นัน้ อนั บุคคลนั้นทาํ แลวหรอื จงึ กลา วคําวา เขาไดปลงชีวติ มารดา เปน ตน . ปรวาทีเม่อื ไมเ ห็นการกระทาํ เชนน้นั เพราะความไมเ บียดเบียนชนเหลาน้นั จึงตอบปฏิเสธวา ไมพึงกลาวอยางนนั้ .

พระอภธิ รรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 370 คาํ วา ลมเลกิ กรรมนน้ั แลว ทานกลาวหมายเอากรรมอันเปนคาํ ส่งั ท่ไี มแ นนอน อธิบายวา บุคคลผูหา มคาํ สัง่ อยูวา ก็กรรมน้นั แล.เราส่ังแลว ขอทา นอยาทาํ ดงั นี้ ช่อื วา คําสั่งนนั้ อนั ตนลม เลกิ เสียแลวเพราะความท่ีคําสงั่ นนั้ อนั ตนถอนเสยี แลวนัน่ แหละ จงึ ชือ่ วา ตนกาํ จัดความรําคาญใจ และความเดอื ดรอนใจไดในปญ หานี้ แมคร้นั เมือ่ ความเปน อยา งนม้ี ีอยู ปรวาทสี าํ คญั อยซู งึ่ ความทค่ี ําส่ังแรกเทาน้ันเปน คําส่งัแนนอน ในปญ หาน้ัน จึงตอบรบั รองวา ใช. ทีน้นั สกวาทีจงึ ใหป รวาทีรับคําซึง่ ความที่กรรมน้ันเปนกรรมอันถอนแลว จงึ กลา วคาํ วา หากวาเปน ตน เพอ่ื อันยงั ลัทธิของตนใหต ้งั ไว. ในปญหาทสี่ ดุ วา บคุ คลผูใชใ หทําอนันตริยกรรม อีกเปน คาํ ถามของปรวาทีซึ่งเหมือนปญ หาแรก คาํตอบรับรองเปนของสกวาที. คําซกั ถามวา เขาไดใ ชใหท ําอนนั ตริยกรรมนน้ั แลวมใิ ชหรือ เปนของปรวาที คําตอบรับรองสกวาทีหมายเอาการชกั นําแลว ในกาลกอนแตก ารถอนคาํ . การตั้งลทั ธิของปรวาทดี วยคาํ วา หากวา เปน ตน ไดแก ดวยอํานาจคําสงั่ ทีไ่ มแ นน อนเพราะถอืเอาเหตุสักวา ความเปนผสู ่งั กอ นของผูช ักนาํ . กล็ ทั ธินยี้ อมตง้ั อยูไมไดเลย เพราะตั้งไวโ ดยไมพ ิจารณา ดงั น้ี. อรรถกถาอนนั ตราปยุตตกถา จบ

พระอภิธรรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 371 นยิ ตสั สนิยามกถา [๑๕๒๑] สกวาที บคุ คลผูแนนอนแลว ยอ มกาวลงสทู างแนนอน(นิยาม) หรอื ? ปรวาที ถกู แลว. ส. บุคคลผูแนนอนแลว ในมจิ ฉตั ตะ กาวลงสสู ัมมตั ตนยิ ามได บุคคลผแู นน อนแลว ในสมั มตั ตะ ก็กาวลงสมู ิจฉัตตนิยามได หรือ ? ป. ไมพ ึงกลา วอยางนน้ั ฯลฯ ส. บุคคลแนนอนแลว ยอ มกา วลงสูทางแนน อน หรือ ? ป. ถูกแลว . ส. ยงั มรรคใหเกดิ กอนแลว จึงกาวลงสทู างแนน อน (นยิ าม)ในภายหลัง หรอื ? ป. ไมพงึ กลาวอยา งนนั้ ฯลฯ ส. ยงั โสดาปตตมิ รรคใหเ กดิ กอนแลว จงึ กา วลงสูโสดา-ปตตนิ ิยามในภายหลัง หรอื ? ป. ไมพ งึ กลา วอยา งนน้ั ฯลฯ ส. ยงั สกทาคามิมรรค ฯลฯ ยังอนาคามมิ รรค ฯลฯ ยงัอรหตั มรรคใหเ กิดกอ นแลว จงึ กา วลงสอู รหตั ตนยิ าม ในภายหลงั หรอื ? ป. ไมพ งึ กลา วอยา งนัน้ ฯลฯ ส. บคุ คลยงั สตปิ ฏ ฐาน ฯลฯ ยังสัมมปั ปธาน ฯลฯ ยังอทิ ธบิ าท ฯลฯ ยงั อินทรีย ฯลฯ ยังพละ ฯลฯ ยงั โพชฌงคใ หเ กดิ กอ นแลวจึงกาวลงสทู างแนน อนในภายหลงั หรือ ? ป. ไมพ งึ กลา วอยางนัน้ ฯลฯ

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 372 [๑๕๒๒] ป. ไมพงึ กลา ววา บคุ คลผแู นน อนแลว ยอ มกา วลงสทู างแนนอน หรือ ? ส. ถกู แลว . ป. พระโพธสิ ัตว ไมเปนควรเพอื่ จะตรัสรธู รรมในชาตินน้ั หรือ ? ส. ไมพ ึงกลา วอยางนน้ั ฯลฯ ป. ถา อยางนัน้ บคุ คลผูแนน อนแลว ก็ยอมกาวลงสทู างแนนอน นะ ส.ิ นิยตสั สนิยามกถา จบ อรรถกถานิยตัสส นิยามกถา วาดวย นิยามของบคุ คลผแู นน อนแลว บัดนี้ ชื่อวาเรือ่ งนยิ ามของบุคคลผูแ นนอนแลว . ในเร่อื งนน้ั นยิ ามคอื ความแนน อน มี ๒ คอื อนนั ตริยกรรม ช่ือวา มิจฉตั ตนยิ าม และอริย-มรรค ชือ่ วา สัมมัตตนิยาม เวนนิยาม ๒ นี้แลว ธรรมอ่นื ชื่อวา นยิ ามยอ มไมมี. จรงิ อยู เตภูมิกธรรม คือธรรมอนั เปนไปในภมู ิ ๓ ทเ่ี หลือแมทง้ั ปวงชอื่ วา อนิยตธรรม คอื ธรรมอันไมแ นน อน แมแตธ รรมท่ีประกอบดวยเตภูมกิ ธรรมเหลา นน้ั กช็ อื่ วาเปน อนิยตธรรมท้งั ส้ิน. อนงึ่ พระพทุ ธเจาท้ังหลายไมพยากรณการกาวลงสนู ยิ ามธรรมดว ยคาํ วา สัตวน จี้ กั บรรลุโพธิญาณในอนาคตกาล ดว ยกาํ ลังแหงพระองค แตพระโพธสิ ัตวท า นเรียกวา นยิ ตบุคคล เพราะความเปนผูมบี ุญมาก. ชนเหลา ใด มคี วามเห็นผดิ ดจุ ลัทธนิ กิ ายปุพพเสลิยะและอปรเสลยิ ะทง้ั หลายวา พระโพธสิ ัตว

พระอภธิ รรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 373ยอ มกา วลงสูนยิ าม ดังน้ี เพราะประสงคเอาคําวา พระโพธสิ ตั วผูเกดิในภพสุดทา ยเปน ผูสามารถเพือ่ จะตรัสรูในชาตนิ นั้ โดยถือเอาโวหารนด้ี วยประการฉะน้ี คาํ ถามของสกวาทหี มายชนเหลา น้นั คําตอบรบั รองเปนของปรวาท.ี คําวา บุคคลผูแนน อนแลวในมจิ ฉตั ตะ เปนตน สกวาทกี ลา วเพอ่ื แสดงความเปน นิยามอยา งหนง่ึ ของผเู ท่ยี งแลว โดยนิยามอยา งหนึ่ง.คําวา ยงั มรรคใหเ กดิ กอ น เปนตน สกวาทกี ลาวเพ่อื แสดงประเภทแหง นิยาม. คําวา บุคคลยังสตปิ ฏฐาน เปน ตน สกวาทกี ลาวเพ่อื แสดงประเภทแหง ธรรมในนยิ ามแมอยางเดียว. คําวา พระโพธิสตั วไ มเ ปนผูค วร เปนตน ทานแสดงความท่พี ระโพธิสตั วเปนสามารถตรัสรูอยา งเดียว มิใชแ สดงการกาวลงสนู ยิ ามของนยิ ตบุคคล เพราะฉะน้นัคํานี้จงึ มิไดส าํ เรจ็ ประโยชน. จรงิ อยู พระโพธิสตั วนนั้ เปน ผูไ มแนน อนดวยนยิ ตธรรมอยา งหน่ึงในปางกอ นมาแมก ็จริง ถงึ อยางนน้ั ทานกก็ า วลงสูสมั มตั ตนยิ ามแลว ดว ยการเหน็ สัจจะที่โคนไมโพธิ ดวยประการฉะน้แี ล. อรรถกถานิยตัสสนิยามกถา จบ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 374 นวี ตุ ตกถา [๑๕๒๓] สกวาที บุคคลเปนผูมจี ติ อนั นิวรณครอบงาํ แลว ละนวิ รณหรือ ? ปรวาที ถูกแลว. ส. บคุ คลเปนผูมีจิตอันราคะยอ มแลว ละราคะ เปนผมู ีจติอันโทสะประทุษรา ยแลว ละโทสะ เปนผูมีจติ หลงแลว ละโมหะ เปน ผูมจี ติ เศรา หมองแลว ละกเิ ลสหรอื ? ป. ไมพึงกลา วอยา งนน้ั ฯลฯ ส. บุคคลละราคะดวยราคะ ละโทสะดว ยโทสะ ละโมหะดวยโมหะ ละกเิ ลสดวยกิเลส หรือ ? ป. ไมพึงกลา วอยา งน้ัน ฯลฯ ส. ราคะกส็ มั ปยุตดวยจติ มรรคก็สมั ปยตุ ดวยจติ หรอื ? ป. ถูกแลว. ส. เปนความประชมุ แหง ผสั สะ ๒ ฯลฯ แหงจติ ๒ หรอื ? ป. ไมพงึ กลาวอยา งนนั้ ฯลฯ ส. ราคะ เปน อกุศล มรรคเปนกุศล หรอื ? ป. ถูกแลว . ส. ธรรมเปนกศุ ลและธรรมเปน อกุศล ธรรมมีโทษและธรรมไมมโี ทษ ธรรมเลวและธรรมประณีต ธรรมดาํ และธรรมขาวอันเปน ขา ศึกกนั มาพบกันหรือ ? ป. ไมพึงกลา วอยา งน้ัน ฯลฯ ส. ธรรมเปน กุศลและธรรมเปนอกศุ ล ธรรมมโี ทษและ

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 375ธรรมไมม ีโทษ ธรรมเลวและธรรมประณตี ธรรมดําและธรรมขาวอันเปนขาศกึ กนั มาพบกนั หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. พระผมู พี ระภาคเจาไดต รสั ไวว า ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย๔ ประการนี้ ไกลกนั ไกลกนั นกั ๔ ประการ เปน ไฉน ฟาและแผน ดนิ นี้ประการแรกทไี่ กลกันไกลกนั นกั ฯลฯ เพราะฉะนัน้ ธรรมของสตั บรุ ษุ จงึไกลจากอสัตบรุ ษุ ดงั น๑้ี เปนสูตรมีอยูจรงิ มใิ ชหรือ ? ป. ถกู แลว. ส. ถา อยา งน้ัน กไ็ มพ ึงกลาววา ธรรมท่เี ปน กศุ ลและธรรมที่เปน อกุศล ฯลฯ มาพบกัน นะส.ิ [๑๕๒๔] ส. บคุ คลเปนผูมจี ิตอันนิวรณครอบงําแลว ละนิวรณ หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. พระผมู พี ระภาคเจา ไดตรสั ไวว า ภกิ ษนุ ้ัน ครัน้ เม่อืจติ ตัง้ ม่นั แลว เปนจติ บริสทุ ธิ์ ผอ งแผว ไมม ีกิเลสเครอ่ื งย่วั ยวน มอี ปุ กเิ ลสปราศไปแลว เปนจติ ออน ควรแกก ารงาน ต้งั อยู ถงึ ความเปนธรรมชาติไมห วนั่ ไหวแลว อยา งนี้ ยอมนอมจิตไป เพื่อญาณเปน เครื่องสิน้ ไปแหงอาสวะทัง้ หลาย ดงั น๒ี้ เปน สูตรมีอยจู รงิ มิใชหรือ ? ป. ถูกแลว. ส. ถาอยา งนนั้ กไ็ มพ งึ กลาววา บคุ คลเปน ผมู ีจติ อันนิวรณครอบงําแลว ละนิวรณ๑. องฺ.จตกุ ฺก ๒๑/๒๗.๒. ม.อุ. ๑๔/๒๖.

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 376 [๑๕๒๕] ป. ไมพงึ กลาววา บคุ คลเปนผมู จี ติ อนั นวิ รณค รอบงาํแลว ละนิวรณ หรอื ? ส. ถกู แลว. ป. พระผมู พี ระภาคเจาไดต รัสไววา เมื่อภกิ ษนุ ัน้ รูอ ยูอยางน้ี เห็นอยูอยางนี้ จติ ยอ มหลุดพน แมจ ากกามาสวะ ฯลฯ จิตยอมหลุดพน แมจากอวิชชาสวะ ดังน๑ี้ เปน สูตรมอี ยูจริง มใิ ชหรือ ? ส. ถูกแลว. ป. ถา อยางนัน้ บคุ คลกเ็ ปนผูมีจติ อนั นิวรณครอบงําแลวละนิวรณ นะ ส.ิ นวี ตุ กถา จบ อรรถกถานวี ตุ กถา วา ดวย ผูมจี ติ อนั นวิ รณครอบงําแลว บดั นี้ ชอื่ วา เร่อื งของผมู ีจติ อันนิวรณครอบงําแลว . ในเร่อื งน้นัชนเหลา ใดมีความเหน็ ผดิ ดุจลัทธนิ กิ ายอุตตราปถกะทงั้ หลายวา บคุ คลผูถ ูกนวิ รณท้ังหลายครอบงําแลว ปกปด แลว หุมหอ แลว ยอ มละนวิ รณเพราะความทบี่ ุคคลบริสุทธ์ิแลวไมม ีสิ่งท่คี วรทําใหบ ริสุทธิ์ ดังน้ี คาํ ถามของสกวาทีวา บุคคลผูมีจิตอนั นิวรณครอบงาํ แลว เปน ตน หมายถึงชนเหลานัน้ คําตอบรบั รองเปน ของปรวาท.ี คาํ วา บุคคลเปน ผูมีจิตอันราคะยอ มแลว เปน ตน สกวาทกี ลาวเพื่อแสดงโทษในการละนิวรณ๑. อภ.ิ ก. ๓๗/ ๗๖๐.

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ที่ 377ของผูม จี ติ อนั นิวรณค รอบงําแลว. คาํ วา บคุ คลผมู ีจติ บริสทุ ธ์ิ ผองแผวเปน ตน สกวาทกี ลาวเพอ่ื แสดงสมุจเฉทวิสุทธแิ หง ผบู รสิ ุทธ์แิ ลวนอกจากวิขมั ภนวสิ ทุ ธ.ิ คาํ วา เม่ือภิกษุนนั้ รอู ยอู ยา งนี้ เห็นอยูอยางนี้ เปน ตนทา นยอมแสดงความส้นิ ไปแหง อาสวะของผูรูอยู เห็นอยอู ยา งน้ี มิใชแสดงถึงการละนวิ รณของผมู จี ติ อนั นิวรณกําลงั ครอบงาํ เพราะฉะนนั้ ขอน้ีจึงไมส ําเร็จประโยชนดว ยประการฉะนี้แล. อรรถกถานีวตุ กถา จบ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 378 สัมมขุ ภี ูตกถา [๑๕๒๖] สกวาที บุคคลเปนผูมจี ติ พรอมพร่งั ดว ยสญั โญชน ละสัญโญชนไ ดห รือ ? ปรวาที ถกู แลว. ส. บุคคลเปนผมู ีจติ อนั ราคะยอมแลว ละราคะ เปนผูมีจติ อันโทสะประทุษรายแลว ละโทสะ เปนผูม จี ติ หลงแลว ละโมหะ เปนผมู จี ิตเศราหมองแลว ละกเิ ลส หรือ ? ป. ไมพ งึ กลา วอยา งนัน้ ฯลฯ ส. บุคคลละราคะดว ยราคะ ละโทสะดว ยโทสะ ละโมหะดว ยโมหะ ละกิเลสดวยกเิ ลส หรือ ? ป. ไมพงึ กลาวอยางน้นั ฯลฯ ส. ราคะก็สัมปยตุ ดว ยจิต มรรคก็สัมปยตุ ดวยจติ หรอื ? ป. ถูกแลว . ส. เปนความประชุมแหงผัสสะ ๒ ฯลฯ แหง จติ ๒ หรอื ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งนน้ั ฯลฯ ส. ราคะเปนอกศุ ล มรรคเปนกุศล หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. ธรรมทีเ่ ปนกศุ ลและธรรมท่เี ปน อกศุ ล ธรรมทีม่ ีโทษและธรรมทไี่ มมโี ทษ ธรรมเลวและธรรมประณตี ธรรมดําและธรรมขาวอันเปนขาศกึ กัน มาพบกันหรอื ? ป. ไมพ ึงกลา วอยางนน้ั ฯลฯ ส. ธรรมท่เี ปนกศุ ลและธรรมท่ีเปน อกุศล ธรรมทมี่ โี ทษ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 379และธรรมที่ไมม ีโทษ ธรรมเลวและธรรมประณีต ธรรมดําและธรรมขาวอนั เปนขาศึกกนั มาพบกันหรอื ? ป. ถกู แลว. ส. พระผมู ีพระภาคเจา ไดต รสั ไววา ดกู อนภิกษทุ ั้งหลาย๔ ประการนี้ ไกลกัน ไกลกนั นกั ๔ ประการ เปนไฉน ฟา และแผน ดนินี้ประการแรก ท่ไี กลกนั ไกลกันนัก ฯลฯ เพราะฉะน้นั ธรรมของสัตบรุ ษุจงึ ไกลกนั จากอสตั บรุ ษุ ดงั น้ี เปนสูตรมีอยูจริง มิใชห รือ ? ป. ถูกแลว . ส. ถาอยา งนน้ั ก็ไมพงึ กลา ววา ธรรมท่ีเปน กศุ ล และธรรมทเ่ี ปนอกศุ ล ฯลฯ มาพบกัน [๑๕๒๗] ส. บคุ คลเปน ผมู ีจติ พรอมพร่ังดวยสญั โญชน ละสญั โญชนหรือ ? ป. ถูกแลว. ส. พระผมู ีพระภาคเจาไดตรัสไวว า ภกิ ษุนัน้ ครนั้ เมื่อจิตตง้ั มั่นแลว ฯลฯ อยางนี้ ยอ มนอมจิตไปเพ่อื ญาณเปนเคร่อื งสิ้นไปแหงอาสวะทง้ั หลาย ดงั น้ี เปนสตู รมีอยูจรงิ มิใชห รอื ? ป. ถูกแลว . ส. ถาอยา งนนั้ ก็ไมพึงกลา ววา บุคคลมจี ิตพรอ มพรัง่ดว ยสญั โญชน ละสัญโญชน. [๑๕๒๘] ป. ไมพึงกลา ววา ผูมีจติ พรอมพรัง่ ดว ยสญั โญชน ละสญั โญชน หรอื ? ส. ถูกแลว .

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 380 ป. พระผูม ีพระภาคเจาไดตรสั ไวว า เมอ่ื ภกิ ษุนั้น รอู ยูอยางนี้ เห็นอยูอ ยา งนี้ จิตยอมหลุดพน แมจากกามาสวะ ฯลฯ จติ ยอ มหลดุ พน แมจากอวชิ ชาสวะ ดังน้ี เปนสูตรมีอยูจรงิ มิใชห รอื ? ส. ถกู แลว. ป. ถาอยา งน้นั บุคคลก็เปน ผูม ีจติ พรอ มพรงั่ ดวยสญั โญชนละสญั โญชน นะสิ. สัมมุขภี ตู กถา จบ อรรถกถาสมั มขุ ภี ูตกถา วา ดวย ผมู จี ิตพรอมพรง่ั ดวยสญั โญชน บดั นี้ ชื่อวา เรือ่ งผูม จี ติ พรอ มพรง่ั ดว ยสญั โญชน. ในเรอื่ งนั้นบุคคลผูมสี ัญโญชนยอมเปน เขา ถงึ ซง่ึ ความเปน ผูมีจิตพรง่ั พรอมตอสญั โญชนท ัง้ หลาย คือเปน ผบู ริบรู ณด ว ยสญั โญชนเหลานน้ั . คําท่ีเหลอืในทนี่ เ้ี ชนกนั เรื่องผถู กู นิวรณค รอบงาํ แลว นั่นแหละ ดงั น้แี ล. อรรถกถาสมั มขุ ีภูตกถา จบ

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 381 สมาปน โน อสั สาเทติกถา [๑๕๒๙] สกวาที ผูเขา สมาบัตยิ อมยนิ ดี ความยนิ ดรี กั ใครในฌานมีฌานเปน อารมณ หรอื ? ปรวาที ถูกแลว . ส. ฌานน้นั เปนอารมณแหง ฌานนั้น หรอื ? ป. ไมพ ึงกลา วอยา งนัน้ ฯลฯ ส. ฌานนน้ั เปนอารมณแหง ฌานน้ัน หรือ ? ป. ถกู แลว. ส. บุคคลถกู ตองผัสสะนั้นดวยผสั สะนัน้ เสวยเวทนานั้นดวยเวทนาน้ัน จาํ สัญญานนั้ ดวยสญั ญานน้ั ตั้งเจตนาน้นั ดวยเจตนาน้ันคิดจติ น้นั ดวยจติ น้ัน ตรกึ วิตกน้ันดวยวติ กน้นั ตรองวิจารน้นั ดว ยวิจารนนั้ ดื่มปตนิ ้ันดวยปตินนั้ ระลึกสตนิ น้ั ดว ยสตนิ ้ัน รูแ จง ปญญานัน้ ดวยปญญาน้นั หรือ ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งนั้น ฯลฯ ส. ความยินดีรักใครใ นฌาน กส็ มั ปยุตดวยจติ ฌานก็สัมปยตุ ดวยจติ หรือ ? ป. ถูกแลว . ส. เปนความประชมุ กนั แหง ผสั สะ ๒ ฯลฯ แหง จติ ๒ หรือ ? ป. ไมพ งึ กลา วอยางน้นั ฯลฯ ส. ความยนิ ดรี ักใครในฌานเปน อกุศล ฌานปนกุศล หรือ ? ป. ถูกแลว . ส. ธรรมเปนกุศลและธรรมทีเ่ ปนอกุศล ธรรมทีม่ โี ทษ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 382และธรรมท่ีไมมีโทษ ธรรมเลวและธรรมประณีต ธรรมดําและธรรมขาวอนั เปนขา ศึกกัน มาพบกัน หรือ ? ป. ไมพ ึงกลา วอยางนัน้ ฯลฯ ส. ธรรมทเี่ ปนกุศลและธรรมทีเ่ ปนอกศุ ล ธรรมท่มี โี ทษและธรรมทีไ่ มมโี ทษ ธรรมเลวและธรรมประณตี ธรรมดาํ และธรรมขาวอนั เปนขาศึกกนั มาพบกนั หรือ ? ป. ถกู แลว. ส. พระผมู ีพระภาคเจา ไดตรัสไววา ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย๔ ประการน้ี ไกลกนั ไกลกนั นกั ๔ ประการเปน ไฉน ฟา และแผนดนิ น้ีเปน ประการแรก ทไ่ี กลกันไกลกันนกั ฯลฯ เพราะฉะนน้ั ธรรมของสตั บรุ ุษ จงึ ไกลจากอสัตบรุ ษุ ดงั นี้ เปนสตู รมีอยูจรงิ มใิ ชหรือ ? ป. ถูกแลว. ส. ถา อยา งนนั้ ก็ไมพ ึงกลา ววา ธรรมทีเ่ ปนกุศลและธรรมทเ่ี ปนอกุศล ธรรมทม่ี ีโทษและธรรมทีไ่ มม โี ทษ ธรรมเลวและธรรมประณตี ธรรมดําและธรรมขาวอันเปนขา ศกึ กัน มาพบกนั . [๑๕๓๐] ป. ไมพึงกลา ววา ผเู ขาสมาบัตยิ อมยนิ ดี ความยนิ ดีรักใครในฌาน มฌี านเปนอารมณ หรือ ? ส. ถูกแลว. ป. พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสไวว า ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลายภิกษใุ นธรรมวินยั นี้ สงดั แลว จากกามท้งั หลาย ฯลฯ บรรลปุ ฐมฌานอยู เธอยนิ ดใี นฌานนน้ั รกั ใครฌ านนนั้ และประสบความปล้มื ใจดว ยฌานนนั้ บรรลุทุตยิ ฌาน ภายในผอ งใส เพราะวติ กและวิจารสงบ ฯลฯ

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 383บรรลถุ ึงตตยิ ฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌานอยู ฯลฯ เธอยินดฌี านนน้ัรักใครฌ านน้ัน และประสบความปลม้ื ใจดว ยฌานนั้น ดังน้ี เปน สตู รมอี ยจู ริง มใิ ชหรือ ? ส. ถูกแลว. ป. ถา อยางนั้น ผูเขาสมาบตั ิกย็ ินดี ความยนิ ดีรกั ใครในฌาน ก็มีฌานเปนอารมณ นะส.ิ สมาปน โน อัสสาเทตกิ ถา จบ อรรถกถาสมาปน โน อัสสาเทตกิ ถา วาดว ย ผูเขาสมาบตั ิยอมยนิ ดี บัดน้ี ชอื่ วา เรอื่ งผเู ขาสมาบตั ิยอมยินดี. ในเรือ่ งนั้น ชนเหลา ใดมคี วามเหน็ ผิดดุจลัทธนิ กิ ายอนั ธกะท้งั หลายวา ผูเขา ฌานยอมยินดี และความยนิ ดีในฌานนน้ั ของผนู ้นั เปนอารมณข องฌาน เพราะอาศัยพระบาลีวา ภกิ ษุในธรรมวินัยน.้ี .. บรรลปุ ฐมฌานอยู เธอยินดีในฌานนั้น ดงั นี้คําถามของสกวาทีวา ผเู ขา สมาบัติ เปนตน โดยหมายถงึ ชนเหลา นนั้คาํ ตอบรับรองเปน ของปรวาที. ในปญหาทั้งหลายวา ฌานนน้ั เปนอารมณของฌานนัน้ หรอื ปรวาทเี ม่อื ไมเห็นซงึ่ ความฌานนัน้ น่นั แหละเปนอารมณของฌานนน้ั จึงตอบปฏิเสธโดยกลัวผิดจากพระสตู ร ยอมตอบรบั รองดวยคําในพระสตู รวา บรรลปุ ฐมฌาน เธอยินดใี นฌานนั้น ดังนี.้พระสตู รวา เธอยนิ ดีในฌานนั้น ความวา ออกจากฌานแลวจงึ ยงั ความยินดใี นฌานใหสาํ เรจ็ ได มใิ ชห มายถึงความยนิ ดใี นฌานในขณะทก่ี ําลัง

พระอภธิ รรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 384เขาฌานมฌี านเปน อารมณอ ยู เพราะฉะน้นั พระสตู รนจี้ ึงมิใชข ออา งวาผกู ําลังเขา ฌานซ่งึ มฌี านนน้ั เปนอารมณมีความยนิ ดีในฌานนนั้ ได เพราะกําลังเขาฌานกม็ อี ารมณของฌานนั้นแลว จะมอี ารมณเ กดิ ขึ้นมาพรอม ๆกนั อีกไมไ ด ดังนแี้ ล. อรรถกถาสมาปน โนอัสสาเทตกิ ถา จบ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 385 อสาตราคกถา [๑๕๓๑] สกวาที ความยนิ ดีในส่งิ ทไ่ี มชอบใจ มอี ยู หรือ ? ปรวาที ถกู แลว. ส. สตั วท ง้ั หลายเปน ผชู ่นื ชมยิ่งในทุกข มีอยบู างพวกทป่ี รารถนา กระหย่ิม แสวงหา คน หา เสาะหาทกุ ข หมกมุนทกุ ข ตั้งอยูหรือ ? ป. ไมพงึ กลา วอยางน้นั ฯลฯ ส. สัตวท ง้ั หลายเปน ผชู ่นื ชมยิ่งในสขุ มีอยบู างพวกที่ปรารถนา กระหยม่ิ แสวงหา คนหา เสาะหาสขุ หมกมนุ สุขต้ังอยูมใิ ชหรือ ? ป. ถกู แลว . ส. หากวา สตั วท ั้งหลายเปน ผชู ่ืนชมย่ิงในสุข มอี ยูบ างพวกทป่ี รารถนา กระหย่มิ แสวงหา คนหา เสาะหาสุข หมกมนุ สขุ ตัง้ อยูกต็ องไมก ลา ววา ความยนิ ดใี นสิ่งทีไ่ มชอบใจมีอยู ดงั น้ี [๑๕๓๒] ส. ความยนิ ดใี นสง่ิ ท่ไี มช อบใจมีอยู หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. ราคานุสยั นอนเน่ืองอยใู นทุกขเวทนา ปฏิฆานุสัยนอนเน่ืองอยใู นสขุ เวทนา หรอื ? ป. ไมพ งึ กลาวอยางนัน้ ฯลฯ ส. ราคานุสยั นอนเน่ืองอยใู นสขุ เวทนา ปฏฆิ านสุ ยั นอนเนื่องอยใู นทุกขเวทนา มใิ ชหรือ ? ป. ถูกแลว.

พระอภิธรรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 386 ส. หากวา ราคานุสยั นอนเน่อื งอยใู นสขุ เวทนา ปฏิฆานุสยันอนเนอ่ื งอยูในทกุ ขเวทนา ก็ตอ งไมก ลาววา ความยินดใี นส่ิงท่ีไมชอบใจมีอยู ดงั น้.ี [๑๕๓๓] ป. ไมพงึ กลา ววา ความยนิ ดใี นส่งิ ที่ไมชอบใจมีอยู หรอื ? ส. ถกู แลว . ป. พระผูมพี ระภาคเจา ไดตรสั ไววา บคุ คลน้ัน ประสบความยินดหี รอื ความยินรา ยอยางน้ีแลว เสวยเวทนาอยางใดอยา งหนงึ่สขุ กต็ าม ทุกขก็ตาม มิใชท กุ ขมใิ ชสุขก็ตาม เขาเพลดิ เพลินบน ถงึหมกมนุ เวทนานน้ั ตง้ั อยู ดังน๑้ี เปนสตู รมีอยจู ริง มใิ ชหรอื ? ส. ถกู แลว. ป. ถา อยา งนั้น ความยินดีในสง่ิ ท่ีไมช อบใจกม็ อี ยู นะ สิ อสาตราคกถา จบ อรรถกถาอสาตราคกถา วา ดว ย ความยินดีในสิ่งท่ีไมชอบใจ บดั น้ี ชื่อวาเรื่องความยินดใี นสิ่งทีไ่ มช อบใจ คือความยนิ ดีในทกุ ขเวทนา. ในเร่ืองน้ัน พระสตู รวา บุคคล ... เสวยเวทนาอยา งใดอยางหนงึ่ สขุ ก็ตาม ทุกขก ต็ าม มิใชท ุกขมใิ ชส ขุ ก็ตาม เขาเพลิดเพลินบนถงึ หมกมุนเวทนาน้ัน ดงั นี้ พระผูมีพระภาคเจา ตรัสแลว ดวยสามารถแหงความเพลิดเพลนิ ในส่งิ ที่บคุ คลประสบมาแลว. ชนเหลา ใด มีความเห็นผิดดจุ ลทั ธินิกายอตุ ตราปถกะทงั้ หลายวา๑. ม.มู. ๑๒/๔๕๓.

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 387ความยนิ ดเี พลิดเพลินแมในทกุ ขเวทนา ดว ยอาํ นาจแหงความชอบใจในราคะ เพราะอาศยั คาํ ในพระสูตรวา บคุ คลน้ันประสบความยนิ ดยี ่งิมอี ยู เหตุใด เพราะเหตุนัน้ ความยินดีในส่งิ ทีไ่ มช อบใจกต็ องมีอยู ดงั นี้คําถามของสกวาทวี า ความยินดใี นสิ่งทไี่ มชอบใจ โดยหมายถึงชนเหลาน้นั คาํ ตอบรับรองเปนของปรวาท.ี ในบรรดาคาํ เหลานนั้ คําวาความยนิ ดีในสิง่ ทีไ่ มช อบใจ ความวา ปรวาทตี อบรับรองวา ใช ดว ยสามารถแหง ลัทธิ เพราะกิเลสเครือ่ งทาํ ใจใหเ ศราหมองในขอ วา โอหนอความยินดีนน้ั นน่ั แหละพึงมีแกเราในการเสวยทุกขอันไมช อบใจ. คาํ ทเี่ หลอืในท่นี ีม้ ีอรรถตนื้ ทง้ั น้ันแล. อนงึ่ ในพระสตู รวา เขาเพลิดเพลินบนถึงหมกมุนเวทนานั้นอธบิ ายวา ข้นึ ชือ่ วา ความเกิดขน้ึ แหง ราคะยอมหมนุ กลับมาปรารภทกุ ขเวทนานน่ั แหละยอ มไมม ี แตเ ม่ือถือเอาโดยสวนรวมแลว บคุ คลเม่อืพิจารณาเห็นอยูซ งึ่ ธรรมอันมีการเสวยอารมณเ ปนลักษณะ หรือซึ่งทุกขเวทนาน่ันเทียวโดยความเปน อัตตา เขายอมยินดีเวทนานั้นดวยความยนิ ดตี อ สง่ิ ท่ีตนประสบแลว กลา วคือในความรูตอ สิ่งท่ตี นทราบแลวมิใชย ินดใี นความเปลี่ยนแปลงมาเปน ทกุ ขเวทนา บุคคลผูถ กู ทุกขเวทนาครอบงาํ แลวแมปรารถนาซงึ่ กามสุขอันเปน ฝา ยตรงขามกบั ทกุ ขเวทนานัน้ กช็ ่ือวา ยอ มยนิ ดีตอ ทุกขเวทนา. ความยนิ ดใี นทุกขเวทนาแหง ปญ หาน้ียอ มมดี วยประการฉะน้ี ดงั น้ี เพราะฉะน้นั พระสูตรนีจ้ งึ มใิ ชข อ พสิ จู นความยนิ ดใี นสิ่งท่ีไมชอบใจ ดว ยประการฉะน้แี ล. อรรกถาอสาตราคกถา จบ

พระอภิธรรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 388 ธมั มตัณหา อพั ยากตาติกถา [๑๕๓๔] สกวาที ธัมมตัณหาเปนอพั ยากฤต หรือ ? ปรวาที ถกู แลว . ส. เปนวบิ ากอพั ยากฤต เปนกริ ิยาอัพยากฤต เปนรปูเปน นพิ พาน เปน จักขายตนะ ฯลฯ เปน โผฏฐัพพายตนะ หรอื ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งนนั้ ฯ [๑๕๓๕] ส. ธัมมตณั หาเปนอัพยากฤต หรือ ? ป. ถกู แลว . ส. รูปตณั หาเปน อพั ยากฤต หรือ ? ป. ไมพ งึ กลา วอยา งนั้น ฯลฯ ส. ธัมมตณั หาเปนอัพยากฤต หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. สทั ทตณั หา ฯลฯ คนั ธตัณหา รสตัณหา ฯลฯ โผฏ-ฐพั พตณั หาเปน อัพยากฤต หรือ ? ป. ไมพึงกลาวอยา งน้นั ฯลฯ [๑๕๓๖] ส. รปู ตณั หาเปนอกศุ ล หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. ธัมมตณั หาเปน อกศุ ล หรอื ? ป. ไมพึงกลา วอยางน้นั ฯลฯ ส. สทั ทตณั หา ฯลฯ โผฏฐัพพตณั หา เปน อกุศล หรือ ? ป. ถกู แลว. ส. ธมั มตัณหาเปนอกศุ ล หรือ ?

พระอภิธรรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 389 ป. ไมพงึ กลาวอยา งนัน้ ฯลฯ [๑๕๓๗] ส. ธัมมตัณหาเปนอพั ยากฤต หรือ ? ป. ถกู แลว . ส. ตัณหา พระผูมพี ระภาคเจาตรสั วา เปน กุศล มิใชห รือ ? ป. ถกู แลว . ส. หากวา ตณั หาพระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวาเปน อกศุ ลก็ตองไมก ลา ววา ธัมมตัณหาเปน อพั ยากฤต. [๑๕๓๘] ส. ธัมมตัณหาเปน อัพยากฤต หรือ ? ป. ถูกแลว. ส. ความโลภพระผูม ีพระภาคเจาตรสั วา เปนอกศุ ล และธัมมตัณหาก็เปน ความโลภ มใิ ชห รอื ? ป. ถูกแลว. ส. หากวา ความโลภพระผูมีพระภาคเจาตรัสวาเปนอกศุ ล และธัมมตณั หากเ็ ปนความโลภ กต็ องไมกลา ววาธัมมตัณหาเปนอัพยากฤต. [๑๕๓๙] ส. โลภะคอื ธัมมตณั หาเปนอัพยากฤต หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. โลภะคือรูปตณั หาเปนอัพยากฤต หรือ ? ป. ไมพ ึงกลาวอยางน้นั ฯลฯ ส. โลภะคือธมั มตณั หาเปน อพั ยากฤต หรือ ? ป. ถูกแลว . ส. โลภะคอื สัททตัณหา ฯลฯ คอื โผฏฐพั พตัณหาเปน

พระอภธิ รรมปฎ ก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 390อัพยากฤต หรอื ? ป. ไมพงึ กลาวอยางน้นั ฯลฯ [๑๕๔๐] ส. โลภะคือรูปตณั หาเปน อกุศล หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. โลภะคือธมั มตณั หาเปน อกุศล หรือ ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งนน้ั ฯลฯ ส. โลภะคอื สัททตัณหา ฯลฯ คือโผฏฐพั พตัณหาเปนอกุศล หรอื ? ป. ถูกแลว . ส. โลภะคอื ธมั มตณั หาเปนอกุศล หรือ ? ป. ไมพงึ กลา วอยางน้นั ฯลฯ [๑๕๔๑] ส. ธัมมตัณหาเปนอัพยากฤต หรือ ? ป. ถูกแลว ส. พระผมู พี ระภาคเจา ไดตรสั ไวว า ตัณหานีใ้ ด ทําความเกดิ อีก เปน ไปกับดวยความกําหนัดดว ยอํานาจความเพลิดเพลินเพลิดเพลินยิ่งในอารมณน ั้น ๆ ตณั หาดังกลาวน้คี ือ กามตัณหา ภวตณั หาวภิ วตณั หา ดงั น๑้ี เปน สูตรมอี ยูจรงิ มิใชห รือ ? ป. ถกู แลว. ส. ถา อยางนน้ั กไ็ มพ งึ กลา ววา ธมั มตณั หาเปนอัพยากฤต. [๑๕๔๒] ป. ไมพ งึ กลาววา ธัมมตณั หาเปนอพั ยากฤต หรือ ? ส. ถกู แลว.๑. ส . มหา. ๑๙/๑๖๖๕.

พระอภิธรรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 391 ป. มันเปน ตัณหาในธรรม มิใชห รือ ? ส. ถูกแลว. ป. หากวา มนั เปน ตัณหาในธรรม ดวยเหตนุ นั้ นะทานจึ ึงตองกลาววา ธัมมตัณหาเปน อัพยากฤต. ธัมมตณั หา อพั ยากตาติกถา จบ อรรถกถาธมั มตัณหา อัพยากตาติกถา วาดวย ธัมมตัณหาเปนอพั ยากฤต บดั น้ี ชอื่ วา เรือ่ งธมั มตณั หาเปน อพั ยากฤต. ในปญหาเหลาน้นับรรดาตัณหาทง้ั ๖ เหลาน้ี คอื รูปตณั หา ฯลฯ ธัมมตัณหา ตณั หาอนัเปนขอสดุ ทายแหง ตัณหาทง้ั หมดน้ี ทานเรยี กวา ธัมมตณั หา เหตุใดเพราะเหตนุ นั้ ชนเหลา ใดมคี วามเหน็ ผดิ ดุจลัทธินิกายปุพพเสลิยะทงั้ หลายวา ธมั มตณั หาพงึ เปนอัพยากฤต ดงั นี้ คําถามของสกวาทีหมายถึงชนเหลา นน้ั คาํ ตอบรับรองเปนของปรวาท.ี เนอื้ ความปญหาที่เหลอื ท้ังหลายพึงทราบตามพระบาล.ี ตณั หาแมทั้ง ๖ ทานแสดงยอไวเ ปน ๓ ประเภทมีกามตณั หาเปนตน. ตณั หาทีเ่ ปน ไปในอารมณท งั้ ๖ แมมรี ปู เปนตนดว ยสามารถแหง ความยนิ ดีในกามชื่อวา กามตณั หา. ตัณหาท่เี กิดพรอ มกับสัสสตทฏิ ฐใิ นความเหน็ วา \"อตั ตา และโลกจักม\"ี ดงั นชี้ ่อื วา ภวตัณหา.ตณั หาทีเ่ กดิ พรอ มกบั อจุ เฉททิฏฐิในความเห็นวา อัตตา และโลกจกั ไมมีดงั นช้ี ื่อวา วิภวตัณหา. บทวา มนั เปนตัณหาในธรรมมใิ ชหรอื น้ยี อมแสดงถงึ ความเปน ไปของตณั หาโดยปรารภธัมมารมณ มิใชแสดงถึงความท่ีธมั มตณั หานั้นเปนอัพยากฤต เพราะฉะนน้ั คํานีจ้ ึงมใิ ชขออางวาตัณหาเปน อพั ยากฤต ดงั นี้แล. อรรถกถาธัมมตัณหาอพั ยากตาตกิ ถา จบ

พระอภธิ รรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนา ท่ี 392 ธมั มตัณหา นทกุ ขสมทุ โยติกถา [๑๕๔๓] สกวาที ธมั มตณั หาไมเปน ทุกขสมทุ ยั หรอื ? ปรวาที ถูกแลว. ส. รปู ตัณหาไมเ ปน ทุกขสมุทยั หรอื ? ป. ไมพึงกลา วอยา งนนั้ ฯลฯ ส. ธมั ตัณหาไมเปนทกุ ขสมุทยั หรอื ? ป. ถูกแลว. ส. สทั ทตัณหา ฯลฯ คันธตณั หา รสตัณหา ฯลฯ โผฏ-ฐพั พตัณหาไมเปน ทุกขสมุทัย หรอื ? ป. ไมพึงกลา วอยา งนั้น ฯลฯ [๑๕๔๔] ส. รูปตัณหาเปน ทุกขสมุทัย หรือ ? ป. ถกู แลว. ส. ธมั มตัณหาเปน ทกุ ขสมทุ ยั หรือ ? ป. ไมพ ึงกลา วอยางนน้ั ฯลฯ ส. สัททตัณหา ฯลฯ คันธตัณหา ฯลฯ รสตณั หา ฯลฯโผฏฐัพพตัณหาเปนทุกขสมทุ ยั หรือ ? ป. ถูกแลว. ส. ธัมมตณั หาเปน ทกุ ขสมทุ ยั หรือ ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งนน้ั ฯลฯ ส. ธมั มตัณหาไมเปนทุกขสมุทัย หรือ ? ป. ถูกแลว . ส. ตณั หา พระผูมีพระภาคเจา ตรสั วาเปน ทกุ ขสมุทัย

พระอภธิ รรมปฎก กถาวัตถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาที่ 393มิใชหรือ ? ป. ถกู แลว . ส. หากวา ตัณหาพระผมู ีพระภาคเจาตรสั วาเปนทุกขสมุทยั ก็ตอ งไมกลา ววา ธมั มตณั หาไมเ ปนทกุ ขสมทุ ยั [๑๕๔๕] ส. ธมั มตณั หาไมเ ปน ทกุ ขสมทุ ัย หรอื ? ป. ถกู แลว. ส. ความโลภพระผมู พี ระภาคเจาตรสั วาเปน ทุกขสมทุ ัยและธัมมตณั หากเ็ ปนความโลภ มใิ ชหรือ ? ป. ถูกแลว . ส. หากวา ความโลภ พระผมู ีพระภาคเจาตรัสวา เปนทุกขสมทุ ัย และธมั มตณั หาก็เปนความโลภ ก็ตองไมกลา ววา ธมั มตณั หาไมเปน ทุกขสมทุ ัย. [๑๕๔๖] ส. โลภะคือธัมมตัณหา ไมเ ปน ทกุ ขสมทุ ัย หรือ ? ป. ถูกแลว. ส. โลภะคือรูปตัณหา ไมเ ปนทกุ ขสมุทยั หรือ ? ป. ไมพึงกลาวอยา งนั้น ฯลฯ ส. โลภะคอื ธมั มตัณหา ไมเ ปนทุกขสมุทัย หรอื ? ป. ถูกแลว. ส. โลภะคือสทั ทตัณหา ฯลฯ คอื คันธตณั หา ฯลฯ คือรสตัณหา ฯลฯ คอื โผฏฐพั พตัณหา ไมเ ปนทกุ ขสมทุ ัย หรอื ? ป. ไมพึงกลา วอยา งนัน้ ฯลฯ [๑๕๔๗] ส. โลภะคือรปู ตณั หา เปน ทุกขสมทุ ัย หรอื ?

พระอภิธรรมปฎก กถาวตั ถุ เลม ๔ ภาค ๒ - หนาท่ี 394 ป. ถูกแลว . ส. โลภะคือธมั มตณั หา เปนทกุ ขสมทุ ยั หรอื ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งน้นั ฯลฯ ส. โลภะคือสทั ทตัณหา ฯลฯ คอื โผฏฐัพพตณั หา เปนทกุ ขสมุทัย หรอื ? ป. ถกู แลว . ส. โลภะคือธัมมตณั หา เปนทกุ ขสมทุ ัย หรือ ? ป. ไมพงึ กลา วอยา งนนั้ ฯลฯ [๑๕๔๘] ส. ธมั มตัณหาไมเ ปนทกุ ขสมทุ ยั หรือ ? ป. ถกู แลว. ส. พระผมู ีพระภาคเจา ไดต รัสไวว า ตัณหานีใ้ ด กระทําความเกิดอีก เปน ไปกบั ดวยความกําหนดั ดวยอํานาจความเพลิดเพลินเพลิดเพลนิ ยงิ่ ในอารมณน ้ัน ๆ ตัณหาดงั กลา วนคี้ อื กามตัณหา ภวตณั หาวภิ วตัณหา ดังน้ี เปนสูตรมอี ยูจรงิ มิใชหรอื ? ป. ถกู แลว. ส. ถา อยางนนั้ ก็ไมพ งึ กลาววา ธมั มตัณหาไมเ ปนทกุ ขสมทุ ยั ดังนี.้ [๑๕๔๙] ป. ไมพึงกลาววา ธัมมตณั หาไมเ ปน ทกุ ขสมทุ ัย หรอื ? ส. ถูกแลว. ป. มนั เปน ตัณหาในธรรม มิใชหรอื ? ส. ถูกแลว. ป. หากวา มนั เปนตัณหาในธรรม กต็ อ งไมกลา ววา












Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook