Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_75

tripitaka_75

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_75

Search

Read the Text Version

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 251 ก็กเิ ลสทั้งหลายอันบุคคลใดขม ไวแ ลว กุศลญาณสัมปยตุ จิตของบคุ คลน้นั เมือ่ เกิดก็อาศัยความที่คนเปนผูห า งไกลจากกเิ ลสเกดิ ขึ้น. สมดังทพ่ี ระผูม ีพระภาคเจาตรสั ไววา โยคา เว ชายเต ภูริ อาโยคา ภรู ิ สงขฺ โย เอต ทวฺ ิธา ปถ ตวฺ า ภวาย วภิ วาย จ ตถตตฺ าน นิเวเสยยฺ ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ. ภรู ปิ ญญายอ มเกดิ เพราะการประกอบ แล ความเส่ือมสิน้ ไปแหงภรู ปิ ญ ญายอ ม เกิดเพราะการไมประกอบ บัณฑติ รทู าง สองแพรง แหงความเจริญและความเสอ่ื ม นแ้ี ลว พึงต้ังตนไวโดยอาการท่ปี ญ ญาเพยี ง ดงั แผนดิน (ภูรปิ ญ ญา) จะเจรญิ ขึ้นเถดิ . บณั ฑติ พงึ ทราบความทก่ี ศุ ลจติ เปน ญาณสมั ปยุตโดยเหตเุ หลา น้ี คอืโดยกรรม โดยความเกดิ ขึน้ โดยความแกรอบแหงอนิ ทรยี  และโดยความเปนผูหางไกลจากกิเลส ดว ยประการน.้ี อกี อยา งหน่งึ ธรรม ๗ อยา ง ยอ มเปนไปเพราะอาศัยธรรมวจิ ย-สมั โพชฌงค คอื ๑. ความสอบถาม (ปรปิ ุจฉฺ กตา) ๒. การทําวตั ถภุ ายในและภายนอกใหส ะอาด (วตถฺ วุ ิสทกริ ยิ า) ๓. การปรบั อินทรียใหเ สมอกัน (อินฺทฺริยสมตฺตปฏิปาทนตา) ๔. การเวน บคุ คลผูทรามปญญา (ทปุ ปฺ ฺปคุ ฺคลปรวิ ชชฺ นตา) ๕. การคบผมู ปี ญ ญา (ปฺวนฺตปคุ ฺคลเสวนตา)

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 252 ๖. การพิจารณาจริยาดวยญาณอนั ลกึ ซึง้ (คมฺภริ าณจรยิ ปจฺจ-เวกฺขณตา) ๗. ความนอ มจิตเพอื่ ใหธรรมวิจยสมั โพชฌงคนั้นเกดิ ขนึ้ (ตทธ-ิมุตตฺ ตา). บณั ฑติ พึงทราบความทกี่ ศุ ลจติ เปนญาณสัมปยุตในทีน่ ี้ ดวยเหตุทั้ง-หลายเหลา นี้ สวนความพิสดารแหงเหตุทงั้ ๗ เหลานี้ จกั แจม แจงในอรรถกถาแหง โพชฌงควภิ งั ค. ก็กุศลจติ ท่ีเกิดขึ้นเปน ญาณสมั ปยตุ ดว ยอาการอยางน้ี ช่ือวา อสงั ขาริกเพราะความทีจ่ ิตน้ันเปน สภาพเกิดขนึ้ โดยอสงั ขาร (คือไมมีการปรงุ แตง หรือไมมีการชกั ชวน) โดยไมมีปโยคะ (การประกอบ) โดยไมค ิดดวยอุบายกุศลจติ ทีช่ ่ือวา อสงั ขาริกน้ีนน้ั มีสีทีน่ า ปรารถนาเปน อารมณจ งึ เกิดข้ึนโดยแทยอมเกดิ ขึน้ โดยกําหนด ๓ อยาง คอื ทานมยั สีลมยั และภาวนามัย. ถามวา กศุ ลญาณสัมปยุตจติ ท่ีช่อื วา อสงั ขาริกในทานมยั เปนตนนน้ัเกิดข้นึ ไดอ ยางไร ? ตอบวา ก็เมื่อใด บุคคลไดด อกไมอยา งใดอยา งหนงึ่ ในบรรดาดอกไมทม่ี ีสเี ขียว เหลือง แดง และขาวเปนตน แลวรําพงึ ถึงสีดอกไมนัน้ แลวบูชาพระพุทธรัตนะเปน ตน ดวยคิดวา เราถวายสเี ปน ทาน ดังนี้ เมอ่ื นน้ั บญุยอ มสาํ เร็จดว ยทาน. ในทานมยั น้ัน มเี รอื่ งเลา ไวด ังน.้ี ไดยินวา ผูรักษาเรือนคลัง ชื่อวา สังฆมิต ไดผ า ลายทอง (ขจิตดวยทอง) ผืนหนงึ่ จงึ คดิ วา ผาแมน มี้ ีสเี หมอื นทอง แมพระสมั มาสัมพุทธะก็มพี ระฉวีวรรณเหมือนทอง ผามีสเี หมอื นทองสมควรแกผ ูทม่ี ีผวิ พรรณดงั ทองเทา นน้ั และการใหสีจกั มแี กพ วกเรา ดงั น้ี จึงใหเ อาขึ้นไปหมพระมหาเจดีย

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 253 กศุ ลญาณสัมปยุตจิตในกาลแมเห็นปานนี้ บัณฑติ พงึ ทราบวา เปนทานมัย. กเ็ มือ่ ใด บคุ คลไดไ ทยธรรม (วัตถุทคี่ วรให) เหมือนอยา งนน้ั นน่ั แหละแลว บชู าพระรัตนตรยั มีพุทธรตั นะเปน ตน ดวยการคิดวา นั่นเปน วงศต ระกลูเปน แบบแผนตระกลู เปน ประเพณตี ระกลู เปนวัตรของเรา ดังนี้ เมอื่ นน้ัยอ มเปน สีลมัย. ก็เมอ่ื ใด บคุ คลทาํ การบูชาพระไตรรัตนด ว ยวตั ถเุ ชน นั้น แลว เรมิ่ตั้งความส้ินไป เสอ่ื มไป ดวยมนสกิ ารวา สี (วรรณะ) น้ี จักถงึ ความสิ้นไปจกั ถงึ ความเสือ่ มไป ดงั น้ี เมือ่ นนั้ ยอมเปน ภาวนามัย. อนึง่ กศุ ลญาณสมั ปยุตจติ เปนทานมัยยังเปน ไปอยู ในกาลใดความเปนไปของบคุ คลผูบูชาพระไตรรตั นด ว ยมอื ของตน ในกาลนั้น เปนกายกรรม. ในกาลใด เมือ่ บคุ คลจะบูชาพระไตรรตั นจ ึงส่งั บุตร ภรรยา ทาสกรรมกร และบุรษุ เปนตนใหบ ูชา ในกาลนน้ั เปน วจีกรรม. ในกาลใดบคุ คลปรารภวตั ถวุ ตั ถุทานท่มี ีอยู มีประการตามที่กลาวแลว น้ันน่ันแหละ แลว คดิ วาเราจกั ใหสเี ปน ทาน (วณฺณทาน ) ดงั นี้ ในกาลน้ัน เปน มโนกรรม. อีกอยา งหน่ึง เพงถงึ สํานวนพระวนิ ัยแลว กุศลจิตนน้ั ช่อื วา เปน ทานโดยลกั ษณะนี้วา การเปลง วาจาวาเราจกั ถวาย จักกระทาํ ดังนี้ แตถ าเพง ถึงสาํ นวนพระอภิธรรมแลว จติ นัน้ ยอมเปนกศุ ลจาํ เดมิ แตเวลาท่ใี จคิดปรารภถึงวตั ถุทมี่ ีอยวู า เราจกั ให ดงั น้.ี ทา นอธิบายไวว า ในกาลอน่ื อกี บุคคลนน้ัจักกระทาํ กจิ ท่ีควรกระทําดว ยกายหรอื ดว ยวาจา. ทานมยั ตามทีก่ ลาวมานี้ จงึมี ๓ อยา ง ดวยอํานาจแหง กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม.

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 254 ก็ในกาลใด บคุ คลไดว ัตถุมปี ระการตามที่กลาวแลว ยอมบชู าพระ-ไตรรัตนด วยมือของตน ดวยอาํ นาจแหงวงศตระกูลเปน ตน ในกาลน้นั กศุ ลจตินน้ั ก็เปน สลี มัย หรือเปน กายกรรม. ในกาลใด สง่ั ใหบ ตุ รและภรรยาเปน ตนดว ยอํานาจแหงวงศต ระกลู เปนตน บูชา ในกาลนัน้ กศุ ลจติ น้ัน เปนวจีกรรมในกาลใด บุคคลคิดวา เราจกั ถวายสเี ปน ทาน (วณฺณทาน ) ดังน้ี เพราะปรารภวัตถุทม่ี ีอยูวา วงศตระกูลของเรา แบบแผนตระกูล ประเพณตี ระกลูวัตรนัน้ ของเรา ดังนี้ ในกาลนั้น กศุ ลจิตนัน้ กเ็ ปนมโนกรรม. กศุ ลจติทเ่ี ปนสีลมยั มี ๓ อยา ง ดว ยสามารถแหง กายกรรม วจกี รรม และมโนกรรมดว ยประการฉะน้ี. สวนในกาลใด บุคคลไดว ัตถมุ ปี ระการดังกลาวแลว นั้น เมอื่ เดนิ บูชาพระไตรรตั น ก็เร่มิ ตั้งความส้ินไปเสอื่ มไป ในกาลน้นั กศุ ลญาณสัมปยตุ จิตที่เปนภาวนามัย ยอมเปน กายกรรม เม่ือบคุ คลเร่ิมรตู ลอดเพราะวาจา ก็เปนวจีกรรม เมือ่ บคุ คลไมใหสวนแหง กายและวาจาเคลือ่ นไหว เร่มิ ตง้ั การรตู ลอดดวยใจเทานน้ั กเ็ ปนมโนกรรมอยา งเดยี ว กศุ ลญาณสัมปยตุ จิตทเี่ ปน ภาวนามัยมี ๓ อยาง ดว ยอํานาจกาย วาจา และใจ ดว ยประการฉะนี้ ในอธิการนี้พระธรรมราชา ทรงจําแนกแสดงกศุ ลท่ีมรี ูปเปนอารมณไ วด วยกรรม ทวาร๙ อยาง ดว ยอาํ นาจแหงบุญกริ ิยาวัตถุ ๓ ดวยประการฉะนี้ แมในสัททารมณเปน ตน กน็ ัยน้ีแหละ. ความจรงิ กศุ ลจิตนี้กระทําเสียงอันเปนท่ตี ้ังแหงความยินดีในเสียงกลองเปนตนใหเ ปนอารมณเ กิดขึน้ ดวยการกาํ หนด ๓ อยา งโดยนยั ท่ีกลา วมาแลว น่ันแหละ. ในบรรดากุศลจิตทีเ่ ปน ทานมยั เปนตนเหลานัน้ ชื่อวา เสียงใคร ๆ ไมอ าจเพอ่ื หยิบมาวางไวในมือแลว ให เหมือนถอนเหงาบัวข้นึ หรือ

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 255เหมือนวางกําดอกอบุ ลเขียวไวใ นมอื ได แตเมอ่ื บุคคลทาํ เสยี งพรอมดว ยวตั ถุใหอ ยู ชอื่ วา ยอ มใหเสียงเปนทาน เพราะฉะนนั้ ในกาลใด บคุ คลคิดวาเราจกั ถวายเสยี งใหเปน ทานดังนี้ จึงทําการบชู าพระไตรรัตน ดว ยเครอื่ งดนตรีอยา งใดอยา งหน่ึง มกี ลองและตะโพนเปนตน แลว ใหห ยุดเคร่ืองดนตรีมีกลองเปน ตน ดวยคดิ วา เราจักถวายทานดวยเสยี งของเรา จงึ ถวายเภสัช น้าํ มันน้าํ ออ ยเปนตน ดวยเปลง เสียงถวายภกิ ษผุ ูเปน ธรรมกถา ยอ มโฆษณาการฟง ธรรมยอมสวดสรภัญญะ ยอมกลาวธรรมกถา ยอ มกลา วอปุ นสิ ินนกถา อนุโมทนา-กถา ในกาลนนั้ กุศลจติ น้นั ยอ มเปน ทานมยั . ในกาลใด บคุ คลกระทําวิธีอยา งน้ีนน่ั แหละ ดวยสามารถแหง วงศต ระกลู เปน ตน ดว ยสามารถแหงวตั รในกาลนนั้ กศุ ลจติ น้ัน ยอ มเปนสลี มัย. ในกาลใด บคุ คลกระทาํ วิธีนั้นทั้งหมดแลวเรม่ิ พิจารณาวา เสียงน้มี ีประมาณเทาน้ี แมม ีประมาณเทา พรหมโลกกจ็ กั ถงึความสน้ิ ไป จักถงึ ความเสื่อมไป ดงั น้ี ในกาลน้ัน กุศลจิตนนั้ ยอ มเปนภาวนามัย. บรรดาบญุ กริ ยิ าวตั ถเุ หลา นัน้ จะกลา วกศุ ลจติ ทเี่ ปนทานมยั กอน ในกาลใด บุคคลถอื เอาเคร่อื งดนตรมี กี ลองเปน ตนกระทําการบูชาพระไตรรัตนดวยมือของตน แมจ ะตง้ั ไวเ พอ่ื ตอ งการบูชาประจํากว็ างไวด ว ยมอืของตน ยอ มเดนิ โฆษณาการฟง ธรรม ยอ มไปกลาวธรรมกถา สวดสรภัญญะดว ยคิดวา เราจักใหเสียงของเราเปน ทานดงั น้ี ในกาลน้นั กศุ ลจติ น้นั ก็เปนกายกรรม. ในกาลใด ส่ังบุคคลอน่ื วา ดกู อ นพอ ท้งั หลาย พอ จงไป จงทําเสียงของพวกเราใหเปน ทานบูชาพระไตรรัตน ดังน้ี คดิ วา เราจกั ใหเสยี งของเราเปนทาน จึงส่งั บุคคลอื่นวา พวกทา นจงวางกลองน้ี ตะโพนนี้ ทล่ี านพระเจดยี  ยอ มโฆษณาธรรมสวนะเองทเี ดยี ว ยอ มกลาวธรรมกถา ยอมสวด

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 256สรภัญญะ ในกาลนั้น กศุ ลจิตน้ัน ยอ มเปน วจกี รรม. ในกาลใด บคุ คลไมใหสว นแหง กาย แหงวาจาไหว สละวตั ถอุ ันมีอยูดว ยใจวา เราจักใหเสยี งเปน ทาน ดงั น้ี ในกาลน้ัน กุศลจติ ก็เปนมโนกรรม. กุศลจิตแมที่เปน ภาวนามยั ในกาลใด บคุ คลกําลังเดิน เรม่ิ ต้งั ความสน้ิ ไป เสือ่ มไปในเสยี ง ในกาลน้นั กศุ ลจติ นั้นก็เปน กายกรรม. ก็หรือวาเมื่อบุคคลไมย งั สว นแหงกายใหไ หวพิจารณาอยูตามวาจา กุศลจิตทเี่ ปน ภาวนา-มยั กเ็ ปนวจกี รรม. เมอื่ บุคคลไมใ หกายและวาจาไหว พิจารณาอยซู งึ่ สทั ทาย-ตนะดว ยใจเทา น้ัน กุศลจิตทีเ่ ปน ภาวนามยั น้ันกเ็ ปน มโนกรรม. พระธรรม-ราชาทรงจาํ แนกแสดงแลว ซง่ึ กศุ ลจติ แมมเี สียงเปน อารมณ ดว ยกรรมและทวาร๙ ดว ยสามารถแหงบญุ กริ ิวัตถุ ๓ อยา ง ดงั พรรณนามาฉะน.้ี กุศลจิตน้ีกระทํากลน่ิ อนั นาชอบใจแมในกลิน่ ทเ่ี กิดแตร ากไมเ ปน ตนใหเปน อารมณเกิดขน้ึ โดยการกาํ หนด ๓ อยา ง โดยนยั ทีก่ ลา วแลว หนหลังนัน่ แหละ ในกาลใด บุคคลไดก ลนิ่ หอมอยางใดอยา งหนึง่ ในกลิ่นทัง้ หลายมีกลนิ่ ทเี่ กดิ แตรากไมเ ปน ตนแลว คํานึงถึงดวยอํานาจแหงกลิ่น คิดวา เราจกัถวายกล่ินของเราใหเ ปน ทาน ดงั นี้ จึงบูชาพระพุทธรัตนะเปน ตน ในกาลน้นักุศลจติ กเ็ ปนทานมยั . บัณฑติ พึงทราบคําทง้ั หมดโดยพสิ ดาร โดยนัยทกี่ ลาวไวใ นการใหสเี ปน ทานนน่ั แหละ พระธรรมราชา ทรงจาํ แนกแสดงซง่ึ กศุ ลจติแมม กี ล่นิ เปน อารมณ ดวยกรรมและทวาร ๙ ดวยสามารถแหง บญุ กริ ยิ าวัตถุ๓ อยาง ดวยประการฉะนี้. กก็ ุศลจิตทท่ี ํารสอันนาชอบใจในรสทงั้ หลายมรี สเกดิ จากรากเปน ตนใหเปน อารมณ ยอ มเกิดขึน้ ดวยการกาํ หนด ๓ อยาง โดยนยั ทก่ี ลาวแลว ในหนหลังนั่นแหละ ในกาลใด บคุ คลไดร สทนี่ า ยนิ ดอี ยางใดอยางหนึ่งในรส

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 257ทัง้ หลายมรี สเกดิ แตรากเปน ตนนั้น แลวราํ พงึ ดวยสามารถแหงรส ยอ มใหยอ มสละดวยคิดวา เราจกั ใหร สของเราเปน ทาน ดงั นี้ ในกาลน้นั กุศลจติเปนทานมัย ดังน้.ี พงึ ทราบขอ ความทั้งปวง โดยพสิ ดารตามนยั ทกี่ ลาวไวในการใหส ีเปน ทาน. กใ็ นกศุ ลจิตท่ีมีสีลมยั นี้ มเี รื่องท้ังหลายมาในมหาอรรถ-กถา ตงั้ แตเรอ่ื งพระเจา ทฏุ ฐคามนิอภัย ทรงพระดํารวิ า ธรรมดาวา การไมถวายสงั ฆทานแลวบรโิ ภค เราไมเคยประพฤติ ดังนี้ จึงใหถ วายทานแกภ ิกษุประมาณ ๑,๒๐๐ รปู แลว จึงเสวยพระกระยาหารมีรสดี. ขอ ความท่ีแตกตางกันมีเพียงเทา นี้. พระผูม ีพระภาคเจาผูธรรมราชา ทรงจําแนกแสดงกุศลจติแมมีรสเปน อารมณ ดว ยกรรมและทวาร. โดยบญุ กิริยาวตั ถุ ๓ นั่นแหละ. แมในโผฏฐพั พารมณ มหาภูตรปู ๓ คือ ปฐวีธาตุ เตโชธาตุวาโยธาตุ ชอ่ื วา โผฏฐพั พารมณ. ในฐานะน้ี บัณฑติ ไมท าํ การประกอบดวยอาํ นาจแหงธาตุท้งั ๓ เหลานนั้ พึงทาํ การประกอบดวยสามารถแหงเตยี งและตงั่ เปน ตน. จรงิ อยู ในกาลใด บคุ คลไดวัตถุอันควรถกู ตอ งนาปรารถนาอยางใดอยา งหนงึ่ ในวัตถุทั้งหลายมีเตยี งและต่งั เปนตน แลว คํานึงถึงดว ยอาํ นาจแหง การถกู ตอง ยอมให ยอ มบรจิ าค ดว ยคิดวา เราจกั ใหโผฏฐพั พะเปนทานของเรา ดงั นี้ ในกาลนั้น กศุ ลจติ ก็ยอมเปน ทานมยั ดงั น้ี. บณั ฑติพึงทราบขอ ความทั้งปวง โดยพิสดารตามนัยทกี่ ลาวไวใ นการใหส ีเปนทานน่ันแหละ พระธรรมราชา ทรงจําแนกแสดงกุศลจติ แมมโี ผฏฐพั พะเปน อารมณดวยกรรมและทวาร ๙ ดว ยบญุ กิริยาวตั ถุ ๓ อยางดงั พรรณนานามาฉะนี.้ แตวา ในธรรมารมณ ไดแก ธรรมทัง้ หลายท่เี ปน ปรยิ าปนนะและอปริยปน นะในธรรมายตนะเหลา นี้ คอื อายตนภายใน ๖ ลกั ษณะ ๓ อรูปขนั ธ ๓สขุ ุมรูป ๑๕ นพิ พาน และบัญญัติ ชื่อวา ธรรมารมณ แตใ นฐานะนี้ บณั ฑิต

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 258ไมทาํ การประกอบไวดว ยอาํ นาจแหงธรรมเหลา น้ี พึงประกอบไวด วยการใหโอชะ การใหปานะ และการใหชวี ติ เปน ทาน. จริงอยู กุศลจิตน้ี กระทาํธรรมารมณอ นั นายนิ ดใี นโอชะเปน ตน ใหเ ปน อารมณ เกิดข้ึนดวยการกําหนด๓ อยาง โดยนยั ทกี่ ลาวแลว ในหนหลงั นน่ั แหละ. ในธรรมารมณนนั้ เมือ่ ใดบุคคลยอมถวายเนยใสเนยขนึ้ เปนตน โดยคิดวา เราถวายโอชะเปนทาน ยอมถวายนา้ํ ปานะ ๘ อยาง โดยคดิ วา เราถวายนา้ํ ปานะใหเ ปนทาน ดงั น้ี ยอมถวายสลากภัต ปก ขยิ ภตั สงั ฆภตั เปนตน โดยคดิ วา เราถวายชีวติ เปน ทาน ดังนี้ยอมถวายเภสชั แกภกิ ษผุ ไู มผาสกุ ทั้งหลาย ใหห มอมารกั ษา ใหเผาตาขา ย ใหรอ้ื รอบ ใหทาํ ลายกรงนก ใหพนจากเรือนจาํ ใหต ีกลองหา มฆา สัตว กระทําเห็นปานนแี้ มอ ืน่ ๆ เพอื่ ปอ งกนั ชีวิต ในกาลนนั้ กศุ ลจติ กเ็ ปนทานมัย อน่งึในกาลใด บุคคลคิดวา การใหโ อชะเปนทาน ใหน ้ําปานะเปน ทาน ใหชวี ิตเปน ทาน เปนวงศตระกลู วงศของเรา เปน แบบแผนของตระกูล เปนประเพณีของตระกูล ดงั นี้ จึงยังทานมโี อชะเปน ตน ใหเปน ไปดว ยวัตรเปน ประธานในกาลนั้น กุศลจิตยอมเปนสีลมยั . ในกาลใด เรม่ิ ตัง้ ความสนิ้ ไปเสื่อมไปในธรรมารมณ ในกาลนนั้ กศุ ลจติ ยอ มเปน ภาวนามยั . อน่ึง กุศลจติ ทเ่ี ปนทานมัยแมก ําลงั เปนไป คือ ในกาลใด บุคคลยอ มถวายโอชะเปนทาน นํา้ ปานะเปนทาน ชีวิตเปน ทานดวยมือของตน ในกาลนัน้ ยอ มเปน กายกรรม ในกาลใดใชใ หบตุ รและภรรยาเปน ตน ใหถวายทาน ในกาลนั้น กุศลจิตก็เปน วจีกรรมในกาลใด ไมย ังสวนแหงกายและวาจาใหเคล่ือนไหว ยอ มคิดดวยใจวา เราจักถวายวัตถุท่ีมีอยดู ว ยอํานาจแหง การใหโ อชะเปน ทาน ใหน ํา้ ปานะเปนทาน ใหชวี ิตเปน ทาน ดงั น้ี ในกาลนน้ั กุศลจติ กเ็ ปน มโนกรรม.

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 259 อนงึ่ ในกาลใด บคุ คลยอ มใหวตั ถอุ ันมอี ยูมีประการตามที่กลา วแลวดว ยมือของตน ดว ยอํานาจแหง วงศตระกลู เปนตน ในกาลนัน้ กศุ ลจติ ทเ่ี ปนสีลมยั ยอมเปน กายกรรม. ในกาลใด ใชใหบตุ รและภรรยาเปน ตน ใหถ วายดว ยอํานาจแหง วงศตระกลู น่ันแหละ ในกาลนัน้ กศุ ลจติ ก็เปน วจกี รรม. ในกาลใด ยอมคดิ ดว ยใจวา เราจักถวายวตั ถุอันมอี ยูมีประการตามที่กลาวแลวดวยอํานาจแหง วงศต ระกูลเปน ตน น่ันแหละ ในกาลน้ัน กศุ ลจติ กเ็ ปน มโนกรรม. อนึ่ง บุคคลเดนิ ไปแลว เรมิ่ ต้งั ความสิน้ ไปเส่ือมไปในธรรมารมณกุศลจิตทเี่ ปน ภาวนามัย ยอมเปน กายกรรม. เม่ือบคุ คลไมยังสวนแหง กายใหไหวแลว เริม่ ตง้ั ความสน้ิ ไปเส่อื มไปดว ยวาจา กุศลจิต ยอ มเปน วจีกรรม.บคุ คลไมย ังสวนแหง กายและวาจาใหไหว เร่ิมตง้ั ซ่ึงความสิ้นไปเส่อื มไปดวยใจเทา น้นั กศุ ลจติ ยอ มเปนมโนกรรม. กศุ ลจติ ท่ีเปน ภาวนามัย ๓ อยาง ยอมมีดวยอาํ นาจ กายกรรม วจกี รรม และมโนกรรม ดว ยประการฉะนี.้ พระธรรม-ราชาทรงจําแนกแสดงกุศลจติ ทเ่ี ปน ธรรมารมณ ในทนี่ ดี้ วยกรรมและทวาร ๙ดวยสามารถแหง บญุ กิริยาวัตถุ ๓ อยาง ดงั พรรณนามาฉะน.ี้ จติ นี้ พระผูมพี ระภาคเจาทรงแสดงแลว อยา งน้ี ดว ยอํานาจแหงวตั ถุตา งกัน และอารมณตางกนั . แตจิตน้ี บณั ฑิตยอมไดในวตั ถุเดยี วกนั ดว ยอํานาจแหง อารมณทต่ี างกัน. ถามวา ไดอ ยางไร ตอบวา เพราะในปจ จัย๔ อยา ง เฉพาะในจีวร (เอกวตั ถุ) บณั ฑติ ยอมไดอารมณ ๖ อยา ง. จรงิ อยูสแี หง จีวรท่ียอ มใหม เปน สีทช่ี อบใจ นา ดู นี้ เรยี กวา มสี เี ปนอารมณ. อน่งึในเวลาใชสอยยอ มสงเสยี งดงั ปฏะปฏะ นเี้ ปน สัททารมณ. ในผานั้น มกี ลนิ่เปลอื กไมไ ทรดําเปนตน นเ้ี ปน คนั ธารมณ. อน่ึง รสารมณ ทานกลาวไวดว ยสามารถแหงรสคอื การใชสอย. ในผา นน้ั มสี มั ผัสเปน สุข นีเ้ ปนโผฏฐพั พา-

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 260รมณ. สุขเวทนาเกดิ ขน้ึ เพราะอาศยั จวี ร นเ้ี ปน ธรรมารมณ. รสารมณ บณั ฑติยอมไดใ นบิณฑิตโดยนิปปรยิ าย (โดยตรง) ทเี ดียว. บัณฑติ ทาํ การประกอบจิตในปจจยั ดวยสามารถแหง อารมณตา ง ๆ อยางนแี้ ลว พึงทราบความตางกนัแหงจิตทเ่ี ปน ทานมยั เปน ตน . อนึง่ อารมณเ ปน สภาวะผูกพันจติ นี้ เปนอารมณแ ลว จิตกไ็ มเ กิดข้ึน สวนทวารไมผ กู พนั จิตไว ถามวา เพราะเหตุไรตอบวา เพราะกรรมเปน สภาพไมผ กู พนั . จริงอยู เมือ่ กรรมไมผ กู พันจติ ไวแมทวาร ก็ช่อื วา ไมผูกพันเหมอื นกนั . กามาวจรกศุ ลและทวารกถา วาดว ยกายกรรมและทวาร ก็เพือ่ ประกาศเน้ือความนี้ ในมหาอรรถกถาทา นกลา วทวารกถาไวในฐานะน.ี้ ในทวารกถานัน้ ช่ือการต้งั มาติกาในทวารกถาน้มี ีประมาณเทาน้ี คอื กรรม ๓ ทวารแหงกรรม ๓ วิญญาณ ๕ ทวารวญิ ญาณ ๕ ผสั สะ ๖ ทวารผัสสะ ๖ อสังวร ๘ ทวารแหง อสังวร ๘

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 261 สงั วร ๘ ทวารแหง สงั วร ๘ อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ กุศลกรรมบถ ๑๐ ในการตง้ั มาตกิ าเหลา น้ัน กรรม ๓ อยาง ทา นกลาวไวกอนแมก็จริงถงึ อยางนัน้ ทา นกเ็ วน กรรม ๓ เหลา น้ัน แลว แสดงจําแนกทวารแหงกรรม ๓โดยความเปน เบอื้ งตน กอ น. ถามวา ทวารแหง กรรม ๓ เปนไฉน ? ตอบวา ทวารแหง กายกรรม ทวารแหงวจกี รรม ทวารแหงมโนกรรม. ในทวารแหง กายกรรมน้ัน กายมี ๔ อยา ง คอื อุปาทินนกกาย (กายท่ีมใี จครอง) ๑. อาหารสมุฏฐานกาย ๑ อุตุสมฏุ ฐานกาย ๑ จิตตสมฏุ ฐานกาย ๑บรรดากาย ๔ เหลา น้นั รูปท่ีมกี รรมเปน สมฏุ ฐาน ๘ คือ มีจกั ขายตนะเปนตน *มชี วี ติ นิ ทรียเ ปนท่สี ดุ กด็ ี รูป ๘ คือ ธาตุ ๔ วรรณะ คันธะ รสะ โอชาที่มีกรรมเปน สมุฏฐานกด็ ี ช่อื วา อปุ ทนิ นกกาย. รปู ๘ เหลาน้นั นนั่ แหละเกดิ แตอาหาร ชอ่ื วา อาหารสมฏุ ฐานกิ กายรูป ๘ เกดิ แตอ ตุ ุ ช่อื วา อุตสุ มฏุ ฐานนกิ กาย. รูป ๘ เกิดแตจติ ชอ่ื วาจิตตสมฏุ ฐานิกกาย. ในบรรดาอปุ าทนิ นกายเปนตนเหลานั้น คาํ วา ทวารแหงกายกรรมมไิ ดเ ปน ชอ่ื ของอุปาทนิ นกกาย มไิ ดเ ปนชอื่ ของกายนอกน้ี แตในรปู ๘ มีจติเปนสมุฏฐาน มีวญิ ญัตริ ปู หนงึ่ รปู น้ี ช่ือวา ทวารแหง กายกรรม ตามท่ีทา นกลา วไวว า รปู ทช่ี ่อื วา กายวิญญตั ิ น้ันเปนไฉน ? ความเครง ตงึ* จักขโุ สตฆานชวิ หากายอติ ถิปรุ สิ ชวี ิตนิ ทรียรูป.

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 262ความเครงตึงดว ยดี กิรยิ าทเ่ี ครง ตงึ ดวยดี การเคล่ือนไหวกายใหร คู วามหมายกริ ยิ าทีแ่ สดงใหร ูความหมาย ภาวะที่ใหผ ูอ ื่นรคู วามหมายของกายของผมู ีจติ เปนกศุ ล หรอื ผูมีจติ เปน อกุศล หรอื มจี ติ เปน อัพยากตะ หรือผกู าวไปขางหนาหรือถอยกลบั หรอื แลดูขา งหนา หรือเหลียวดซู า ยขวา หรอื เหยยี ด หรือคแู ขน อนั ใด รูปน้ีนัน้ เรยี กวา กายวญิ ญตั .ิ จริงอยู จติ ทีเ่ กิดขน้ึ วา เราจกั กาวไปขางหนา จักถอยกลับ ดังนี้ยอมยังรูปใหตัง้ ข้ึน ในขณะแหง จิตทีเ่ กิดขึน้ น้นั วาโยธาตุมีจิตเปน สมฏุ ฐานในภายในแหงรปู กลาปทัง้ ๘ เหลา นี้ คอื ปฐวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุวาโยธาตุ วรรณะ คันธะ รสะ โอชะ ซ่ึงอาศัยธาตุท้งั ๔ นน้ั ยอมคาํ้ จนุทรงไว ยงั รูปกายที่เกิดพรอ มกับตนน้ันใหเ คลอ่ื นไหว ใหก า วไปขา งหนาใหถ อยกลบั . ในบรรดารปู กลาป ๘ เหลานั้น วาโยธาตุทต่ี ้งั ขนึ้ ดวยจิตดวงแรกในบรรดาชวนจิต ๗ ดวง ในอาวัชชนวถิ ีหนงึ่ ยอ มสามารถคํ้าจนุ ดํารงไวซ ึง่รูปกายทีเ่ กดิ พรอมกบั ตนได แตไมอ าจใหเคลอ่ื นไหวไปมา แมใ นชวนจติดวงที่ ๒ เปนตน กน็ ยั นีแ้ หละ. สวนวาโยธาตทุ ต่ี ั้งขนึ้ ดวยชวนจติ ดวยท่ี ๗ไดว าโยธาตุที่ตงั้ ขึน้ ดวยชวนจติ ๖ ดวงเบ้อื งตน เปน ปจ จัยอปุ ถมั ภแลว ยอ มสามารถเพอื่ คํา้ จุน เพื่อทรงไว เพือ่ ยังรปู ทเ่ี กิดพรอมกับตนใหเ คล่ือนไหวใหก า วไปขา งหนา ใหถ อยกลับ ใหแ ลดู ใหเหลียวซา ยแลขวา ใหคูเขาใหเ หยยี ดออก เพราะเหตนุ น้ั จึงช่อื วา เกดิ การเดนิ ไปเกิดการเดนิ มา ชอื่ วาเกดิ การเดนิ ไปเดนิ มา คอื ยอ มถึงคาํ อันบุคคลพงึ กลาววา ไปไดโ ยชนห น่งึไปได ๑๐ โยชน ดังน้ี.

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 263 เหมือนอยางวา เมอื่ เกวยี นทพ่ี งึ ลากไปดว ยแอก ๗ แอก โคท่ีเทยี มแลวในแอกคแู รก ยอมสามารถเพื่อคํา้ จนุ เพอื่ ทรงแอกไวไ ดกอน แตไ มอาจใหล อหมุนไป แมในคทู ี่ ๒ เปน ตน กเ็ หมือนกนั แตว าในกาลใด สารถีผูฉลาดเทยี มคโู คท่ี ๗ ทแ่ี อกนง่ั ทท่ี ูบเกวียน ถอื เชือกแลวเอาปลายปฏักกระตุนคูโคจําเดิมแตโคคแู รกทั้งหมด ในกาลน้ัน คูโคทง้ั หมดทเี ดยี วก็รวมกาํ ลังกนัทรงแอกและใหลอ หมนุ ไป ยอมถงึ คําอนั บคุ คลพึงพูดไดว า โคพาเกวยี นไปได๑๐ โยชน พาไป ๒๐ โยชน ฉันใด คําอุปมาเปนเครื่องยังอปุ ไมยใหถงึ พรอ มนี้บณั ฑติ พงึ ทราบฉนั นน้ั . ในบรรดากาย ๔ เหลา นัน้ กายที่มจี ติ เปนสมฏุ ฐาน ไมใชวญิ ญัติแตว กิ ารแหงอาการหน่ึงที่สามารถเพ่อื เปนปจ จยั เพื่อใหค าํ้ จุน ทรงไวซ ึง่ รปู กายทีเ่ กดิ พรอ มกบั วาโยธาตทุ ม่ี จี ิตเปนสมฏุ ฐานใหไหวได น้ีชอ่ื วา วญิ ญตั ิ.วญิ ญตั ินน้ั ไมใชมจี ิตเปน สมฏุ ฐาน เหมือนรปู ๘ อยา ง. เหมือนอยางคํามีอาทิวา ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย ชราและมรณะ ชือ่ วา ไมเท่ียง เปนสังขตะ เพราะความทธ่ี รรมทั้งหลายมีประเภทท่ีไมเท่ียงเปนตน ตองแกแ ละตาย ฉันใด วิญญตั ิแมนน้ั ช่ือวา มีจิตเปน สมุฏฐาน เพราะความท่ีรปู ทั้งหลายมจี ิตเปน สมฏุ ฐานเปนสภาพประกาศใหรู ฉันนั้น. ก็วญิ ญตั ิน้นั เรยี กวา วิญญตั ิ เพราะประกาศใหร .ู ประกาศใหรูอะไร ? ประกาศใหรทู างกายอยางหน่งึ จริงอยู บคุ คลยืนอยูในคลองแหงจักษุยอ มยกมือหรือเทา สัน่ ศรี ษะหรอื ยกั ค้วิ อาการของมอื เปนตน น้ี เปน การใหรไู ดด วยจักษุ แมวิญญัติก็ไมร ไู ดด ว ยตาแตรูไดดว ยใจเทาน้ัน เพราะวาบคุ คลยอมเห็นสเี ปน อารมณ เปนไปตาง ๆ ดว ยสามารถแหง การเคลอื่ นไหวมือเปน ตน แตวา บุคคลคดิ ถึงรปู ท่ปี ระกาศใหรู ดว ยจิตทางมโนทวารแลวจึงรวู า บุคคลนีเ้ หน็ จะใหเ ราทาํ สงิ่ นี้และสงิ่ น้ี ดังน้ี.

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 264 เหมือนอยางวา พวกมนุษยใ หผกู ใบตาลเปน ตน ทย่ี อดตนไมในสถานทม่ี ีนาํ้ ในฤดูแลงในปา โดยประสงควา ชนทงั้ หลายจกั รูซ ่ึงความทน่ี ํ้ามีอยใู นทน่ี ี้ดวยสญั ญาน้ี หรือชักธงขนึ้ ทีป่ ระตูรา นสุรา หรือวา ลมพัดตน ไมสูงใหห วัน่ ไหวหรอื วา เมอื่ ปลาแหวกวายอยใู นน้ํา ฟองนาํ้ ก็ผดุ ขนึ้ ขา งบน หรือเศษหญาและใบไมทถ่ี กู นํ้าซัดไปตดิ อยทู ที่ างไปของหวงน้าํ ใหญ ในกาลใด บคุ คลเห็นใบตาลธง ก่งิ ไม ฟองนํา้ เศษหญาและใบไม แมไมเห็นดว ยตาแตก็ยอ มรดู วยมโนวญิ ญาณวา ในที่นน้ี าํ้ จกั มี สุราจกั มี ตน ไมน ถี้ กู ลมพดั ปลาจักมีภายในน้ําหว งนา้ํ จักไหลทวมทีม่ ีประมาณเทา นี้ ฉนั ใด แมวิญญัติ ก็ฉันนั้น ไมรูดว ยตารไู ดดว ยใจ เพราะวา บคุ คลยอมเห็นสเี ปนอารมณเ คลอื่ นไหวไปมา ดว ยอํานาจแหง การยกมอื เปน ตน ดวยตาเทา นั้น แตเ ขาคดิ ดว ยจติ ทางมโนทวารจึงรวู า บุคคลนีเ้ หน็ จะใหเ ราทาํ อยา งนี้ ๆ. ก็วิญญตั นิ ้ี ช่อื วา วิญญตั ิ เพราะการประกาศใหรอู ยา งเดียวก็หาไมที่แทแ ลว ช่อื วา วิญญตั ิ เพราะควรรกู ็มีทีเดียว. เพราะวา วญิ ญัตินี้ยอ มปรากฏแกช นทั้งหลายเหลาอืน่ โดยที่สดุ แมแกส ัตวเดรัจฉานบา ง. จรงิ อยูสตั วเดรัจฉานท้ังหลายมสี ุนขั บาน สนุ ัขจ้งิ จอก กา โคเปน ตน ทปี่ ระชุมกนั ในท่ีนัน้ เมือ่ บคุ คลจบั ทอนไม หรอื กอนดินแสดงอาการขวางปา สัตวนี้ก็รวู าเขาตองประหารพวกเรา ยอ มหนไี ปที่ใดท่หี นึ่ง แตเมื่อบุคคลอื่นอยูใ นภายในกาํ แพงและฝาเรือนเปนตน เวลาน้ันกเ็ ปน เวลาทีร่ ูปไมปรากฏ ในขณะนัน้ รปูไมป รากฏแกเ ขา ถึงอยา งนน้ั ก็ชือ่ วา วญิ ญัตินน่ั แหละ เพราะเปนธรรมชาติปรากฏแกผูอยูเฉพาะหนา . ถามวา เมื่อกายทม่ี ีจิตเปนสมฏุ ฐานกาํ ลงั ไหว กายทมี่ สี มุฏฐาน ๓ยอมไหวไปดวย หรอื ไมไหวไป.

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 265 ตอบวา กายมสี มฏุ ฐาน ๓ แมน น้ั กไ็ หวไปเหมือนกัน. กายท่ีมีสมุฏฐาน ๓ นน้ั มีคติเหมือนกายท่มี จี ิตเปนสมุฏฐาน คลอ ยตามกายที่มีจิตเปน สมุฏฐานโดยแท. เหมอื นอยางวา เมื่อนํา้ กาํ ลงั ไหลไปอยูแมเ ศษไมแ หง หญา แหง ใบไมแหงเปน ตน ที่ตกไปสูน า้ํ กย็ อ มไหลไปตามน้ํา(มีคตอิ ยางนํา้ ) ทีเดยี ว คือ เม่อื นา้ํ ไหลไป เศษไมแหงเปนตน ก็ยอ มลอยไปเมือ่ น้ําหยุด เศษไมแ หง เปนตนนน้ั ก็หยุด ฉนั ใด คําอปุ มาเปนเครื่องยังอปุ ไมยใหถึงพรอมนบ้ี ัณฑติ พึงทราบ ฉันนน้ั วิญญัตใิ นรูปทงั้ หลายทมี่ ีจติ เปนสมฏุ ฐานแมน้ี บณั ฑิตพึงทราบวา ชอ่ื ทวารแหงกายธรรม ดวยประการฉะน.้ี ก็เจตนาท่ีใหส าํ เร็จในทวารนน้ั เปนเหตใุ หบ ุคคลฆาสัตว ถอื เอาส่งิ ของทเี่ จาของไมให ประพฤติมจิ ฉาจาร งดเวน จากปาณาติบาต ขอนีช้ ือ่ วากายกรรม. เม่ือปรวาทมี ีอยอู ยางน้ี บัณฑิตก็พึงดาํ รงไวดว ยนยั แหง คาํ วา กายเปนทวาร เจตนาท่ีสาํ เร็จในทวารนัน้ เปนกายกรรม คอื เปนกศุ ล หรอื วาเปนอกุศล ดังน.้ี แตเม่ือปรวาทไี มม ี กพ็ งึ ดํารงตกิ ะวา กายกรรมเปนกศุ ลหรือกุศล หรืออพั ยากตะ ดงั นใ้ี หบริบูรณ ในขอนนั้ เปรยี บเหมือนประตูพระนคร ยอ มตง้ั ไวในที่ท่ีเขาสรางไวแ ลว ยอมไมเล่ือนไปเลือ่ นมาแมส กั องคุลีก็มหาชนยอ มสัญจรไปทางประตูนนั้ ๆ ฉันใด ทวารก็ฉันนน้ั เหมอื นกนั จะเที่ยวไปหาไดไ ม สวนกรรมยอมเท่ียวไปโดยการเกิดขึ้นในทวารนัน้ ๆ ดว ยเหตุน้นั พระโบราณาจารยท ้งั หลายจงึ กลาวไววา ทฺวาเร จรนฺติ กมมฺ านิ น ทวฺ ารา ทฺวารจารโิ น ตสฺมา ทวฺ าเรหิ กมฺมานิ อฺมฺ  ววฏติ า.

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 266 กรรมทั้งหลายยอมเท่ียวไปในทวาร ทวารทงั้ หลายไมเที่ยวไปกับทวารทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ทานจงึ กําหนดกรรมท้ังหลาย กบั ทวารทัง้ หลายไวด ว ยกัน. ในคาถาน้ัน อธิบายวา ทวารยอ มไดชอื่ ตามกรรม แมกรรมกไ็ ดช่อืตามทวาร. เหมอื นอยา งวา ทเี่ ปนทเ่ี กดิ แหง วญิ ญาณเปนตน ยอ มไดชอื่ วา ทวารแหง วญิ ญาณ ทวารแหง ผสั สะ ทวารแหงความไมสาํ รวมทวารแหง ความสาํ รวม ดงั น้ี ฉันใด ทเ่ี ปน ทเ่ี กิดขึน้ แหง กายกรรม ก็ไดชื่อวาทวารแหงกายกรรม ฉันนนั้ . แมใ นทวารแหงวจีกรรมและมโนกรรมกน็ ัยน้ีเหมือนกัน. อนึง่ เทวดาท่สี ิงอยทู ตี่ นไมน ้ัน ๆ ยอมไดชอ่ื ตามตนไมนน้ั ๆ วาเทวดาไมง ้วิ (สมิ พฺ ลิเทวตา) เทวดาใบไมเหลือง (ปลาสเทวตา) เทวดาตน สะเดา (ปจุ มิ นฺททวตา) เทวดาไมส ะครอ ฉนั ใด แมก รรมที่บคุ คลทาํ แลวดวยกายทวาร ยอ มไดชอื่ ตามทวารวา กายกรรม ฉันน้นั เหมือนกนั . แมในวจกี รรมและมโนกรรมก็นยั นีเ้ หมอื นกัน. ในบรรดากายและกรรมนน้ั กายก็เปนอยางหนง่ึ กรรมก็เปนอยางหน่งึ แตทานเรยี กกายและกรรมนนั้ วากายกรรม เพราะความทกี่ รรมน้ันกระทาํ ดว ยกาย ดวยเหตนุ ้ัน พระอรรถกถา-จารยทง้ั หลายจึงกลา วไวว า หากกรรมกระทําดวยกาย เรียกวา กายกรรม กายและกายกรรม ทา นก็กาํ หนด ไวดว ยกัน หากกรรมกระทาํ ดว ยเข็ม เรยี กวา สุจิกรรม เข็มและสุจิกรรม ทานกก็ าํ หนด ไวดว ยกนั หากกรรมกระทําดว ยมดี เรยี กวา วาสกิ รรม มีดและวาสกิ รรม ทานกก็ าํ หนด

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 267 ไวดวยกนั หากกรรมกระทาํ ดว ยบรุ ุษ เรียกวา ปรุ ิสกรรม บุรษุ และปุรสิ กรรม ทานก็กาํ หนดไวด วยกนั ฉันใด หากกรรม กระทําดวยกาย ก็เรยี กวา กายกรรม กาย และกายกรรม ทา นกาํ หนดไวด วยกัน ฉันน้นั เหมอื นกนั . คร้นั เมอ่ื ความเปนอยา งนน้ั การกาํ หนดเฉพาะทวารก็ไมถ ูก การกําหนดเฉพาะกรรมก็ไมถูก ถามวา ไมถกู อยางไร ตอบวา เพราะบาลีวาทวฺ าเร จรนตฺ ิ กมฺมานิ (กรรมทั้งหลายยอมเที่ยวไปในทวาร) แมวจกี รรมก็ยอมเปน ไปในกายวิญญตั ิ เพราะฉะน้ัน การกาํ หนดวจีวญิ ญตั นิ ัน้ วาทวารแหง กายกรรมดงั นี้กไ็ มถ ูก ทงั้ กายกรรมกย็ อ มเปน ไป แมใ นวจวี ญิ ญัติเพราะเหตุน้ัน การกาํ หนดวจีวิญญัตนิ ั้นวา กายกรรมก็ไมถกู . การกาํ หนดอยา งน้ันมใิ ชไมถ ูก เพราะเหตุไร เพราะความเปน ไปโดยมาก และเพราะเปนไปมากในทวารน้นั . จริงอยู กายกรรมเทา นน้ั ยอมเปนไปโดยมากในกาย-วญิ ญัติ วจีกรรมนอกนี้ไมเ ปน ไปโดยมาก เพราะฉะน้ัน ความท่กี ายวิญญตั นิ ี้เปน ทวารแหง กายกรรมสาํ เรจ็ แลว เปนไปโดยมากแหงกายกรรม เปรยี บเหมือนบา นพราหมณ สวนมะมวง และไมกากะทงิ เปน ตน ชื่อวา บานพราหมณเปน ตน เพราะฉะน้นั การกําหนดทวารจงึ ถูก เพราะกายกรรมยอ มเปนไปมากในกายทวารทีเดียว สว นในวจที วารเปนไปนอ ย ฉะนนั้ การท่ีทวารนีเ้ ปนกายกรรมสําเร็จเปน ไปมากในกายทวาร เปรียบเหมอื นโคจรของนายพรานปาและกมุ ารกิ าอวนเปนตน ช่ือวา นายพรานปาเปน ตน ฉะน้นั แมการกาํ หนดกรรมจงึ ถกู ตอง ดวยประการฉะน.้ี จบกถาวาดวยทวารแหง กายกรรม

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 268ิ กถาวา ดว ยทวารแหง วจกี รรม ก็ในกถาวา ดว ยทวารแหง วจกี รรม ช่ือวา วาจา มี ๓ อยา ง คอืเจตนา วริ ติ สทั ทะ (เสียง) บรรดาวาจา ๓ อยา งเหลา นนั้ วาจาน้ีวาดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย วาจาประกอบดว ยองค เหลานั้น เปน วาจาสภุ าษิต มใิ ชวาจาทพุ ภาษติ เปน วาจาไมมีโทษ เปน วาจาทีผ่ รู ูท ง้ั หลายไมติเตยี น ดงั นี้ชอ่ื วา เจตนาวาจา. วาจานีว้ า การงด การเวน จากวจีทจุ ริต ๔ ฯลฯ อนั ใดน้ตี รสั เรยี กวา สมั มาวาจา ดงั น้ี ชอ่ื วา วิรตวิ าจา. วาจานีว้ า จรงิ อยูวาจาท่เี ปลง คลองแหงคาํ การเปลง ขนึ้ เสียงกึกกอง ทําเสยี งใหกกึ กอ ง วาจาการเปลงวาจา ดังน้ี ช่อื วา สทั ทวาจา. บรรดาวาจาทง้ั ๓ เหลา นนั้ คาํ วา วจกี รรมทวาร มใิ ชเ ปน ช่อื ของเจตนามใิ ชเ ปน ชือ่ ของวริ ติ แตว า วิญญัติอยางหนงึ่ ซ่งึ มีเสียงรว มดวยมีอยู นชี้ อื่วา ทวารแหงวจกี รรม. วจที วารท่ีพระผูมพี ระภาคเจา ทรงหมายเอาตรสั ไววารปู ท่ีเปน วจีวิญญตั นิ ัน้ เปน ไฉน ? การพดู การเปลง ออก คลองแหง วาจาการเปลง ข้นึ เสยี งกึกกอง การทําเสียงใหกึกกอ ง วาจา การเปลงวาจา แหงบคุ คลผมู ีจติ เปนกศุ ล หรือมจี ิตเปนอกุศล หรือมีจิตเปน อพั ยากตะ อนั ใดดงั นี้ นีเ้ รยี กวา วาจา. วญิ ญตั ิ การแสดงใหร ูความหมาย กิริยาทแี่ สดงใหร ูความหมายทางวาจา อนั ใด รปู นนี้ นั้ เรียกวา วจวี ิญญัต.ิ จริงอยู เมอ่ื เราตรกึ วา เราจกั กลาวคําน้ี เราจกั กลาวคํานนั้ ชอ่ื วาเสยี งอันแผไปดวยวติ ก ยอมเกิดข้ึน. วาทะนม้ี าในมหาอรรถกถาวา เสยี งนี้มไิ ดรไู ดด วยโสตะ รไู ดด วยใจ ดังนี้ แตในอรรถกถาทีม่ าทง้ั หลาย อธบิ าย

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 269คาํ วา วิตกกฺ วปิ ผฺ ารสทฺท (เสยี งที่แผไปดวยวิตก) เปนเสียงของคนหลับและประมาทแลว กําลงั บน เพอ อันเกิดขนึ้ ดวยอาํ นาจแหง การแผไ ปของวติ ก.คําวา สตุ วฺ า น้ัน ความวา เม่อื บุคคลนั้นฟง แลว ตรกึ ซงึ่ เรอ่ื งใด เสยี งอันแผไปแหงวติ กน้ันเกดิ ขึ้นแลว ดว ยอาํ นาจแหง เรอ่ื งนัน้ กจ็ ักทายใจไดวา ใจของทา นเปนอยา งนีบ้ า ง ใจของทา นเปนอยา งน้นั บา ง ครัน้ กลา วดว ยประการฉะนนั้แลว ก็กลา วแมเรอื่ งทง้ั หลาย. แมใ นปฏ ฐานก็มีพระบาลีอันมาแลววา สัททาย-ตนะ มีจติ เปน สมฏุ ฐาน เปนปจจัยแกโสตวิญญาณดวยอารัมมณปจ จัย ดงั นี้เพราะฉะนั้น ชอ่ื วา เสียงทีแ่ ผไ ปแหงวติ กทร่ี ไู มไดดว ยโสตะ ซึ่งเกิดขน้ึ เวนจากการกระทบกับวิญญตั ิยอ มไมมี ก็จิตเม่อื เกิดขึน้ วา ขาพเจา จกั กลาวคาํ น้ีขา พเจาจักกลา วคาํ นัน้ ดงั น้ี ยอมยงั รปู ใหต ั้งขึ้น ๘ รูป คอื ปฐวีธาตุ อาโปธาตุเตโชธาตุ วาโยธาตุ วรรณะ คนั ธะ รส โอชา ปฐวธี าตทุ ่ีมจี ติ เปนสมุฏฐานในภายในแหงรปู ๘ เหลานั้น กระทบอยูซงึ่ อุปทินนกกายกอ นจงึ เกิดข้ึน เสียงยอ มเกดิ ขน้ึ ดวยกายกระทบกบั ปฐวธี าตนุ ัน้ นช้ี ่อื วา เสยี งทม่ี จี ติ เปนสมุฏฐานน้ไี มใชวิญญตั ิ แตว า วกิ ารแหง อาการอยางหน่งึ ซงึ่ เปนปจ จยั แกก ารกระทบอุปทินนกกายของปฐวีธาตุที่มีจิตเปน สมฏุ ฐานน้นั นีช้ ่อื วา วจวี ญิ ญัตินอกจากนี้ คาํ ทงั้ ปวงมอี าทวิ า สา อฏ รูปานิ วยิ น จติ ตฺ สมฏุ  านาวจีวญิ ญตั นิ น้ั ไมมจี ติ เปนสมฏุ ฐาน เหมอื นรปู ทงั้ ๘ บัณฑติ พึงทราบโดยนยักลาวแลวในหนหลงั นน่ั แหละ. จริงอยู แมใ นท่นี ี้ บคุ คลฟงเสียงของผเู รียกวา ติสสะ ทตั ตะ มติ ตะดังน้ี แลว กค็ ิดถึงวิญญตั ิ ดวยมโนทวารจติ แลว ยอมรวู า ผนู ้เี ห็นจะใหก ระทําส่งิ นแี้ ละสง่ิ นี้ ดงั นี้ อน่ึง แมว าจานี้ กย็ อ มปรากฏแกสัตวเ ดรจั ฉาน ดจุ กาย-

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 270วิญญตั .ิ จริงอยู แมส ตั วเดรจั ฉานท้งั หลายพงึ เสยี งวา เจา จงมา เจา จงไป ดังนี้ก็รูวา บคุ คลน้ีเหน็ จะใหทาํ ชอ่ื สง่ิ น้ี จึงเดินมาและเดินไป. ก็วาระน้ีวา เสียงยอ มยงั กายอันมีสมฏุ ฐาน ๓ อยา ง ยอ มใหไ หวหรอื ไมใ หไหว ดังน้ี ไมมใี นวจวี ิญญัตนิ ้ี แมกจิ คอื การอปุ ถมั ภแหง เสยี งทีม่ ีจิตเปนสมุฏฐานดวงกอนก็ไมม ี แตว า เจตนาใดท่ใี หส าํ เรจ็ แมในวจีทวารนั้น และเจตนาที่เปนเหตพุ ดู เทจ็ กลาวสอเสยี ด กลา วคาํ หยาบ กลาวเพอ เจอเจตนางดเวน จากมสุ าวาทเปน ตน น้ชี ่ือวา วจีกรรม. เบอ้ื งหนาแตนี้ บัณฑิตพึงทราบการกาํ หนดกรรม การกําหนดทวาร โดยนยั ทีก่ ลา วไวในหนหลังนน้ั แล. จบ กถาวาดว ยทวารแหงวจกี รรม กถาวา ดวยทวารแหงมโนกรรม กบ็ ัณฑิตพึงทราบวนิ จิ ฉัยในกถาวา ดว ยทวารแหง มโนกรรมตอไปใจ ๔ อยาง ดวยสามารถแหงจติ ท่เี ปน กามาวจรจติ เปนตน ช่ือวา มโน(ใจ) ในบรรดามโนท่เี ปน กามาวจรเปน ตน เหลานัน้ มโนแมท ัง้ หมดมี ๘๙อยางคอื มโนทเี่ ปนกามาวจร ๕๔ อยา ง มโนทเี่ ปน รปู าวจรมี ๑๕ อยางมโนที่เปนอรูปาวจรมี ๑๒ อยาง มโนทเ่ี ปนโลกตุ รมี ๘ อยาง ในบรรดามโนเหลา นั้น ธรรมดามโนนีไ้ มควรกลาววา ไมเ ปนมโน เหมอื นอยา งวาธรรมดาวา เจตนาน้ี ไมค วรกลา ววา ไมเ ปนกรรม เพราะโดยท่สี ดุ แมเจตนาท่สี มั ปยตุ ดวยปญจวิญญาณ (วิญญาณ ๕) ในมหาปกรณก ท็ รงแสดงไววา เปนกรรมนัน่ แหละ ฉันใด ธรรมดาวา มโนนี้กไ็ มค วรกลาววา ไมใ ชมโนทวารฉนั นัน้ เหมอื นกัน.




























































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook