Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_75

tripitaka_75

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_75

Search

Read the Text Version

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 411ราหารเปนอาหาร ในนามกายผัสสะเปนปจ จยั พิเศษแกเ วทนา มโนสัญเจตนาเปนปจ จยั พเิ ศษแกวิญญาณ. วญิ ญาณเปน ปจจัยพเิ ศษแกน ามรูป. เหมอื นอยางท่ีพระผมู ีพระภาคเจาตรัสวา ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย กายนด้ี าํ รงอยไู ดเ พราะอาหาร อาศัยอาหารจงึ ดาํ รงอยู ไมอาศยั อาหารกด็ ํารงอยูไมได เชน กับที่ตรสั วา เพราะผสั สะเปน ปจ จยั จงึ มีเวทนา เพราะสงั ขารเปนปจจัยจึงมวี ิญญาณเพราะวิญญาณเปน ปจจยั จงึ มีนามรูป ฉะนัน้ . กธ็ รรม ๘ เทาน้นั (ศรัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญ ญา มนะโสมนัส ชีวติ ะ) ชื่อวา อินทรยี  ดว ยอรรถวา เปนอธิบดี ธรรมทเี่ หลอืไมชื่อวาเปน อนิ ทรีย เพราะเหตนุ นั้ จึงตรัสวา อินทรยี  ๘ มีในสมยั นน้ั .ธรรม ๕ เทา นน้ั ช่ือวา เปนองคฌ าน เพราะอรรถวา เขาไปเพง เพราะเหตุนัน้ จงึ ตรสั วา ฌานมีองค ๕ ดงั น.้ี ธรรม ๕ เทานัน้ ชือ่ วาเปน องคมรรคเพราะอรรถวา นาํ ออก และเพราะอรรถเปนเหตุ เพราะเหตุนน้ั จงึ ตรัสวามรรคมอี งค ๕ ดงั น.้ี จริงอยู อรยิ มรรคมีองค ๘ แมกจ็ ริง แตว าองคม รรคในโลกิยจติ ไมไ ดวิรติ ๓ พรอ มกนั เพราะฉะน้นั จงึ ตรัสวา มรรคมีองค ๕. ถามวา แมมรรคท่เี ปน บรุ พภาควิปสสนากม็ ีองค ๘ เหมือนโลกตุ ร-มรรค ดังในสูตรนีว้ า ดูกอนภกิ ษุ คําวา ยถาคตมคโฺ คติ โข มคโฺ ค โหติน้ี เปน ช่อื ของอรยิ มรรคประกอบดวยองค ๘ เพราะความที่เน้อื ความน้ี เปนการแสดงตามยถาคตศพั ท แมโลกยิ มรรคกพ็ ึงประกอบดวยองค ๘ มใิ ชห รือ.ตอบวา โลกยิ มรรคไมพงึ ประกอบดว ยองค ๘ เพราะชื่อวา สุตตันติกเทศนานี้ เปนปริยายเทศนา ดวยเหตนุ ้นั น่ันแหละ พระผมู พี ระภาคเจา จึงตรสั วาสว นกายกรรม วจกี รรม อาชวี ะของเธอบรสิ ุทธิ์ดีแลว ในเบือ้ งตน เทยี ว ดงั นี้.สว นเทศนานี้เปน นปิ ปริยายเทศนา เพราะในโลกิยจิตไมไ ดว ริ ติ ๓ พรอมกนัเพราะฉะนน้ั จงึ ตรสั วา ในโลกยิ มรรคไดมรรคมอี งค ๕ เทา นั้น ดังนี.้

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 412 ก็ธรรม ๗ เทานน้ั (ศรัทธา วริ ิยะ สติ สมาธิ ปญญา หิริโอตตปั ปะ) ช่อื วา พละ เพราะอรรถวา ไมห วน่ั ไหว. ธรรม ๓ เทา น้นั(อโลภะ อโทสะ อโมหะ) ชื่อวา เปนเหตุ เพราะอรรถวา เปน มูล. ธรรมหนงึ่ เทานั้น ชอื่ วา ผัสสะ เพราะอรรถวา ถกู ตอง. ธรรมหน่ึงเทา นน้ั ชอ่ื วาเวทนา เพราะอรรถวา เสวยอารมณ. ธรรมหนง่ึ เทา นน้ั ชื่อวา สญั ญาเพราะอรรถจาํ ได. ธรรมหนงึ่ เทา นั้น ชื่อวา เจตนา เพราะอรรถวา การตง้ั ใจ.ธรรมหนึง่ เทา นั้น ชือ่ วา จติ เพราะอรรถวาคิดและทําใหวิจติ ร. ธรรมหนง่ึ เทานั้น ช่ือวา เวทนาขันธ เพราะอรรถวาเปนกองและเพราะอรรถวาเสวยอารมณ. ธรรมหนึ่งเทานนั้ ช่อื วา สญั ญาขนั ธเพราะอรรถวา เปน กอง และเพราะอรรถวาจาํ ได. ธรรมหนึ่งเทา น้นั ชื่อวาสงั ขารขันธ เพราะอรรถวาเปน กอง และเพราะอรรถวาปรงุ แตง . ธรรมหนึ่งเทานนั้ ชื่อวา วญิ ญาณขนั ธ เพราะอรรถวาเปนกอง และเพราะอรรถวาคดิ และกระทําใหว จิ ติ ร. ธรรมนนั่ แหละ ชอ่ื วา มนายตนะ เพราะอรรถวารแู จง และเพราะอรรถวา เปนอายตนะตามที่กลาวแลว . ธรรมหน่ึงเทา น้ันชอื่ วา มนนิ ทรยี  เพราะอรรถวารแู จง และเพราะอรรถวา เปน อธบิ ด.ี ธรรมหนงึ่ เทา นน้ั ชื่อวา มโนวิญญาณธาต.ุ เพราะอรรถวารแู จง และเพราะอรรถวา เปน สภาวะ เปนสุญญตะ เปน นสิ สตั ตะ ธรรมทีเ่ หลอื ไมใ ชธ รรม(ตามที่กลา วมา) ธรรมแมท้ังหมดทเ่ี หลือเวนจิต ช่อื วา เปน ธรรมายตนะหน่ึง และเปนธรรมธาตุหนึง่ นน่ั แหละ เพราะอรรถวา เปนอายตนะตามทก่ี ลาวแลว ดังน.ี้ ก็วาโดยอปั ปนาวารน้วี า เย วา ปน ตสมฺ ึ สมเย ดงั นี้ แมใ นท่นี ้ีทานกส็ งเคราะห คอื รวมเอาเยวาปนกธรรมตามท่กี ลา วแลว ในหนหลงั ดวย

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 413คือวา เยวาปนกธรรม ในที่นี้ฉันใด ในที่ทง้ั ปวงก็ฉนั นัน้ เพราะวา ตอ จากนไ้ี ป ขา พเจาจกั ไมว จิ ารเทาน้ี บัณฑิตพึงทราบวาระในนทิ เทสและปฏนิ ทิ เทสทั้งหลายโดยนยั ตามทก่ี ลา วมาแลวในหนหลังน่ันแหละ แมคาํ วาโกฏฐาสวารก็เปนชื่อของสังคหวารนั่นแหละ. จบสังคหวาร บาลสี ญุ ญตวาร จิตดวงท่ี ๑ [๙๘] ก็ธรรม ขันธ อายตนะ ธาตุ อาหาร อินทรยี  ฌาน มรรคพละ เหตุ ผสั สะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต เวทนาขนั ธ สัญญาขนั ธสงั ขารขนั ธ วิญญาณขันธ มนายตนะ มนินทรยี  มโนวิญญาณธาตุ ธรรมายตนะธรรมธาตุ มใี นสมยั น้ัน หรอื นามธรรมทอี่ ิงอาศยั เกดิ ขึ้นแมอ่ืนใด มอี ยูใ นสมัยนั้น. สภาวธรรมเหลา นี้ ชอ่ื วา ธรรมเปนกศุ ล. [๙๙] ธรรม มใี นสมัยนน้ั เปน ไฉน ? เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขนั ธ วิญญาณขันธ เหลานชี้ ่ือวาธรรม มีในสมัยนนั้ . [๑๐๐] ขนั ธ มีในสมัยนัน้ เปน ไฉน ? เวทนาขนั ธ สญั ญาขนั ธ สงั ขารขันธ วญิ ญาณขันธ เหลานีช้ อ่ื วาขันธ มใี นสมัยน้นั .

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 414 [๑๐๑] อายตนะ มใี นสมยั น้นั เปนไฉน ? มนายตนะ ธรรมายตนะ เหลาน้ชี ่อื วา อายตนะ มีในสมยั น้นั . [๑๐๒ ] ธาตุ มใี นสมัยน้ัน เปน ไฉน ? มโนวิญญาณธาตุ ธรรมธาตุ เหลา น้ชี ื่อวา ธาตุ มใี นสมยั นน้ั . [๑๐๓] อาหาร มีในสมยั น้นั เปนไฉน ? ผัสสาหาร มโนสญั เจตนาหาร วญิ ญาณาหาร เหลา น้นั ช่อื วา อาหารมใี นสมัยนัน้ . [๑๐๔] อนิ ทรีย มใี นสมัยน้นั เปน ไฉน ? สทั ธินทรีย วริ ิยนิ ทรยี  สตนิ ทรีย สมาธินทรยี  ปญญนิ ทรียมนินทรยี  โสมมนสั สนิ ทรยี  ชีวติ นิ ทรีย เหลาน้นั ชือ่ วา อนิ ทรีย มใี นสมยั นั้น. [๑๐๕] ฌาน มีในสมัยน้นั เปนไฉน ? วติ ก วิจาร ปติ สขุ เอกัคคตา นีช้ ือ่ วา ฌาน มีในสมัยนนั้ . [๑๐๖] มรรค มใี นสมัยนั้น เปนไฉน ? สมั มาทิฏฐิ สมั มาสังกปั ปะ สมั มาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิน้ีช่ือวา มรรค มีในสมยั น้นั . [๑๐๗] พละ มีในสมยั นน้ั เปน ไฉน ? สทั ธาพละ วริ ิยพละ สตพิ ละ สมาธพิ ละ ปญ ญาพละ หิรพิ ละโอตตปั ปพละ เหลานัน้ ช่อื วา พละ มใี นสมัยนัน้ . [๑๐๘] เหตุ มใี นสมัยนั้น เปนไฉน ? อโลภะ อโทสะ อโมหะ เหลาน้ีช่อื วา เหตุ มใี นสมยั นั้น. [๑๐๙] ผสั สะ มใี นสมยั น้นั เปนไฉน ฯลฯ นชี้ อื่ วา ผสั สะมใี นสมัยน้นั .

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 415 [๑๑๐] เวทนา มีในสมัยนน้ั เปนไฉน ฯลฯ น้ีชือ่ วา เวทนามใี นสมยั นั้น. [๑๑๑] สัญญา มีในสมัยนนั้ เปน ไฉน ฯลฯ น้ชี อ่ื วา สัญญามใี นสมยั นนั้ . [๑๑๒] เจตนา มีในสมยั นั้น เปนไฉน ฯลฯ น้ชี ่ือวา เจตนามใี นสมัยนั้น. [๑๑๓] จิต มใี นสมัยน้นั เปน ไฉน ฯลฯ น้ชี อ่ื วา จติ มีในสมยั นน้ั . [๑๑๔] เวทนาขันธ มใี นสมัยนน้ั เปน ไฉน ฯลฯ น้ชี ่อื วาเวทนาขนั ธ มีในสมัยน้ัน. [๑๑๕] สัญญาขนั ธ มใี นสมัยนัน้ เปน ไฉน ฯลฯ นชี้ ือ่ วาสัญญาขนั ธ มีในสมัยน้ัน. [๑๑๖] สงั ขารขันธ มีในสมัยนนั้ เปนไฉน ฯลฯ น้ชี อื่ วาสังขารขนั ธ มใี นสมยั นน้ั . [๑๑๗] วญิ ญาณขันธ มใี นสมยั นั้น เปนไฉน ฯลฯ น้ชี อ่ื วาวิญญาณขันธ มใี นสมยั นัน้ . [๑๑๘] มนายตนะ มใี นสมยั นั้น เปน ไฉน ฯลฯ น้ีชื่อวามนายตนะ มใี นสมัยนนั้ . [๑๐๙] มนินทรีย มใี นสมยั นั้น เปนไฉน ฯลฯ นช้ี อื่ วา มนินทรยี มีในสมัยน้ัน. [๑๒๐] มโนวญิ ญาณธาตุ มใี นสมัยนัน้ เปนไฉน ฯลฯ นีช้ ือ่ วามโนวญิ ญาณธาตุ มใี นสมยั นนั้ .

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 416 [๑๒๑] ธรรมายตนะ มใี นสมัยนนั้ เปน ไฉน ? เวทนาขนั ธ สญั ญาขนั ธ สังขารขันธ นี้ชอ่ื วา ธรรมายตนะ มีในสมัยนั้น. [๑๒๒] ธรรมธาตุ มีในสมยั นน้ั เปนไฉน ? เวทนาขนั ธ สญั ญาขันธ สังขารขนั ธ นี้ช่ือวา ธรรมธาตุ มใี นสมัยนัน้ . [๑๒๓] หรือวา นามธรรมท่อี งิ อาศัยเกดิ ขึ้นแมอน่ื ใด มอี ยูใ นสมยั นัน้ สภาวธรรมเหลา นี้ ชอ่ื วา ธรรมเปน กศุ ล. สญุ ญตวาร จบ จิตดวงที่ ๑ จบ จติ ดวงที่ ๒ [๑๒๔] ธรรมเปนกศุ ล เปนไฉน ? กามาวจรกุศลจิต สหรคตดว ยโสมนัส สมั ปยุตดว ยญาณ มีรปู เปนอารมณ ฯลฯ มธี รรมเปนอารมณ หรอื ปรารภอารมณใ ด ๆ เกิดขนึ้ โดยมีกายชกั จงู ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยน้ัน ฯลฯ สภาวธรรมเหลานีช้ อ่ื วา ธรรมเปน กศุ ล ฯลฯ จิตดวงที่ ๒ จบ จิตดวงท่ี ๓ [๑๒๕] ธรรมเปน กุศล เปนไฉน ? กามาวจรกศุ ลจิต สหรคตดวยโสมนสั วิปปยุตจากญาณ มรี ูปเปนอารมณ ฯลฯ มีธรรมเปนอารมณ หรือปรารภอารมณใด ๆ เกดิ ขนึ้ ในสมยั ใด

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 417ผสั สะ เวทนา สญั ญา เจตนา จิต วิตก วิจาร ปต ิ สุข เอกัคคตาสัทธนิ ทรีย วิริยนิ ทรีย สตนิ ทรยี  สมาธนิ ทรีย มนินทรยี  โสมนัสสนิ ทรยี ชีวติ ินทรยี  สัมมาสงั กปั ปะ สัมมาวายามะ สมั มาสติ สัมมาสมาธิ สทั ธาพละวริ ยิ พละ สตพิ ละ สมาธพิ ละ หิรพิ ละ โอตตปั ปพละ อโลภะ อโทสะอนภชิ ฌา อพั ยาปาทะ หริ โิ อตตปั ปะ กายปสสทั ธิ จติ ตปสสัทธิ กายลหตุ าจติ ตลหุตา กายมุทตุ า จติ ตมุทตุ า กายกมั มัญญตา จติ ตกัมมัญญตา กาย-ปาคุญญตา จติ ตปาคุญญตา กายชุ ุกตา จติ ตุชุกตา สติ สมถะ ปค คาหะอวิกเขปะ มใี นสมยั น้นั หรอื นามธรรมท่อี ิงอาศัยเกิดขึ้นแมอืน่ ใด มอี ยูในสมยั นนั้ . สภาวธรรมเหลานนั้ ชอ่ื วา ธรรมเปนกศุ ล. [๑๒๖] กข็ ันธ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย ๗ฌานมอี งค ๕ มรรคมอี งค ๔ พละ ๖ เหตุ ๒ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑ธรรมธาตุ ๑ มใี นสมัยนัน้ หรือนามธรรมทีอ่ งิ อาศยั เกิดขน้ึ แมอ ่นื ใด มอี ยูในสมัยน้นั สภาวธรรมเหลา น้นั ชอ่ื วา ธรรมเปน กุศล ฯลฯ [๑๒๗] สังขารขันธ มีในสมยั นั้น เปน ไฉน ? ผสั สะ เจตนา วติ ก วิจาร ปต ิ เอกัคคตา สัทธินทรยี  วิรยิ นิ ทรียสตินทรยี  สมาธินทรีย ชีวติ ินทรยี  สัมมาสงั กัปปะ สมั มาวายามะ สมั มาสติสมั มาสมาธิ สทั ธาพละ วิรยิ พละ สตพิ ละ สมาธพิ ละ หิรพิ ละ โอตตัปปพละอโลภะ อโทสะ อนภชิ ฌา อพั ยาปาทะ หริ ิ โอตตัปปะ กายปส สัทธิจิตตปสสัทธิ กายลหตุ า จิตตลหุตา กายมุทตุ า จิตตมทุ ุตา กายกมั มญั ญตาจติ ตกมั มัญญตา กายปาคญุ ญตา จิคตปาคุญญตา กายุชกุ ตา จติ ตุชกุ ตา สติ

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 418สมถะ ปค คาหะ อวกิ เขปะ หรือนามธรรมท่อี งิ อาศัยเกิดขึ้นแมอน่ื ใด มอี ยูในสมัยน้ัน เวนเวทนาขันธ สญั ญาขนั ธ วญิ ญาณขันธ นชี้ อ่ื วา สงั ขารขนั ธมีในสมัยนนั้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นช้ี อื่ วา ธรรมเปนกุศล ฯลฯ จิตดวงท่ี ๓ จบ จติ ดวงท่ี ๔ [๑๒๘] ธรรมเปน กุศล เปน ไฉน ? กามาวจรกศุ ลจติ สหรคตดว ยโสมนสั วปิ ปยุตจากญาณ มรี ปู เปนอารมณ ฯลฯ มีธรรมเปน อารมณ หรือปรารภอารมณใด ๆ เกดิ ขึ้นโดยมีการชกั จงู ในสมัยใด ผสั สะ ฯลฯ อวกิ เขปะ มใี นสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหลานั้นช่อื วา ธรรมเปนกศุ ล ฯลฯ จิตดวงท่ี ๔ จบ จติ ดวงที่ ๕ [๑๒๙] ธรรมเปนกศุ ล เปน ไฉน ? กามาวจรกุศลจติ สหรคตดว ยอเุ บกขา สมั ปยตุ ดว ยญาณ มีรปู เปนอารมณ หรือมีเสียงเปน อารมณ มกี ล่ินเปนอารมณ มีรสเปนอารมณ มีโผฏฐพั พะเปนอารมณ มีธรรมเปน อารมณ หรอื ปรารภอารมณใด ๆ เกิดขนึ้ในสมยั ใด ผัสสะ เวทหา สญั ญา เจตนา จิต วติ ก วิจาร อุเบกขาเอกคั คตา สทั ธินทรีย วิริยนิ ทรยี  สตินทรีย สมาธนิ ทรยี  ปญ ญนิ ทรยี 

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 419มนินทรยี  อุเบกขนิ ทรีย ชวี ิตินทรีย สมั มาทิฏฐิ สัมมาสังกปั ปะ สมั มาวายามะสมั มาสติ สมั มาสมาธิ สทั ธาพละ วริ ิยพละ สตพิ ละ สมาธพิ ละ ปญญาพละหิรพิ ละ โอตตปั ปพละ อโลภะ อโทสะ อโมหะ อนภชิ ฌา อัพยาปาทะสมั มาทฏิ ฐิ หริ ิ โอตตปั ปะ จิตตปส สทั ธิ กายปสสัทธิ กายลหตุ า จติ ตลหตุ ากายมุทุตา จติ ตมุทตุ า กายกมั มัญญตา จิตตกัมมญั ญตา กายปาคญุ ญตาจติ ตปาคญุ ญตา กายุชุกตา จติ ตชุ ุกตา สติ สมั ปชัญญะ สมถะ วิปสสนาปคคาหะ อวกิ เขปะ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศยั เกิดขนึ้ แมอ ่นื ใดอยใู นสมยั นั้น. สภาวธรรมเหลานั้นช่ือวา ธรรมเปนกุศล. [๑๓๐] ผัสสะ มใี นสมัยน้ัน เปนไฉน ? การกระทบ กริ ิยาทกี่ ระทบ กิรยิ าท่ีถูกตอ ง ความถกู ตอ งในสมยั น้นัอนั ใด นีช้ อ่ื วา ผสั สะ มใี นสมยั นัน้ . เวทนา มีในสมัยน้นั เปน ไฉน ? ความสบายทางใจก็ไมใ ช ความไมสบายทางใจก็ไมใช อนั เกิดแตสมั ผัสแหง มโนวิญญาณธาตทุ สี่ มกนั ความเสวยอารมณท ไี่ มท กุ ขไมสุข อนัเกดิ แตเจโตสมั ผสั กิริยาเสวยอารมณท่ีไมท ุกขไมส ุขอนั เกิดแตเจโตสมั ผัสในสมัยนนั้ อันใด นี้ช่อื วา เวทนา มใี นสมัยนั้น ฯลฯ อุเบกขา มใี นสมัยนั้น เปน ไฉน ? ความสบายทางใจก็ไมใ ช ความไมสบายทางใจกไ็ มใ ช ความเสวยอารมณท ไี่ มท กุ ขไ มส ุขอันเกดิ แตเ จโตสมั ผัส กริ ยิ าเสวยอารมณท ่ไี มทกุ ขไ มสุขอันเกดิ แตเจโตสัมผสั ในสมัยน้นั อันใด น้ชี ่อื วา อุเบกขา มใี นสมยั นน้ั ฯลฯ อุเบกขนิ ทรยี  มใี นสมัยนนั้ เปน ไฉน ?

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 420ความสบายทางใจกไ็ มใช ความไมสบายทางใจก็ไมใ ช ความเสวยอารมณที่ไมทกุ ขไ มสขุ อันเกดิ แตเจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณท ่ีไมทุกขไมสขุอันเกิดแตเจโตสมั ผัส ในสมัยนัน้ อันใด นีช้ อื่ วา อเุ บกขินทรีย มีในสมัยนั้น. [๑๓๑] หรือนามธรรมทอ่ี งิ อาศัยเกดิ ขนึ้ แมอ นื่ ใด มีอยูใ นสมยั น้ันสภาวธรรมเหลาน้ี ชอื่ วา ธรรมเปนกุศล. [๑๓๒] กข็ ันธ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อนิ ทรยี  ๘ฌานมอี งค ๔ มรรคมอี งค ๕ พละ ๗ เหตุ ๓ ผัสสะ ๑ ฯลฯ สภาวธรรมเหลาน้ชี ื่อวา ธรรมเปนกุศล ฯลฯ [๑๓๓] สงั ขารขนั ธ มใี นสมยั นัน้ เปนไฉน ?ผัสสะ เจตนา วติ ก วิจาร เอกคั คตา สัทธนิ ทรยี  วริ ยิ นิ ทรียสตินทรยี  สมาธนิ ทรีย ปญญินทรยี  ชีวิตนิ ทรยี  สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสงั กปั ปะสมั มาวายามะ สัมมาสติ สมั มาสมาธิ สัทธาพละ วริ ยิ พละ สติพละ สมาธิ-พละ ปญ ญาพละ หริ พิ ละ โอตตปั ปพละ อโลภะ อโทสะ อโมหะ อนภิชฌาอัพยาปาทะ สมั มาทฏิ ฐิ หริ ิ โอตตปั ปะ กายปส สทั ธิ จติ ตปส สัทธิ กายลหุตาจติ ตลหุตา กายมทุ ตุ า จิตตมุทุตา กายกัมมัญญตา จติ ตกมั มญั ญตา กายปา-คญุ ญตา จิตตปาคญุ ญตา กายชุ กุ ตา จติ ตุชกุ ตา สติ สัมปชญั ญะ สมถะวิปส สนา ปค คาหะ อวิกเขปะ หรอื นามธรรมท่ีองิ อาศยั เกดิ ขึ้นแมอ่ืนใดมีอยูในสมยั น้ัน เวนเวทนาขันธ สัญญาขนั ธ วิญญาณขันธน้ชี ื่อวาสังขารขันธมีในสมยั นั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหลานี้ชอ่ื วา ธรรมเปนกศุ ล ฯลฯ จิตดวงท่ี ๕ จบ

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 421 จิตดวงที่ ๖ [๑๓๔] ธรรมเปน กุศล เปนไฉน ? กามาวจรกศุ ลจติ สหรคตดว ยอุเบกขา สมั ปยุตดว ยญาณ มีรูปเปนอารมณ ฯลฯ มีธรรมเปน อารมณ หรือปรารภอารมณใ ดๆ เกดิ ขึ้นโดยมีการชักจูง ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมยั นัน้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นน้ั ชื่อวา ธรรมเปน กศุ ล ฯลฯ จติ ดวงที่ ๖ จบ จติ ดวงที่ ๗ [๑๓๕] ธรรมเปน กุศล เปนไฉน ? กามาวจรกศุ ลจติ สหรคตดว ยอุเบกขา วปิ ปยตุ จากญาณ มรี ปู เปนอารมณ ฯลฯ มธี รรมเปน อารมณ หรือปรารภอารมณใด ๆ เกดิ ขึน้ ในสมยั ใดผสั สะ เวทนา สญั ญา เจตนา จติ วติ ก วิจาร อเุ บกขา เอกคั คตาสัทธนิ ทรยี  วิริยินทรีย สตนิ ทรยี  สมาธนิ ทรยี  มนนิ ทรยี  อเุ บกขินทรียชีวติ ินทรยี  สมั มาสังกปั ปะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ สทั ธาพละวริ ิยพละ สติพละ สมาธพิ ละ หริ ิพละ โอตตปั ปพละ อโลภะ อโทสะอนภิชฌา อัพยาปาทะ หิริ โอตตปั ปะ กายปส สัทธิ จิตตปสสัทธิ กายลหตุ าจติ ตลหตุ า กายมทุ ตุ า จิตตมทุ ุตา กายกัมมญั ญตา จติ ตกมั มญั ญตา กายปา-คุญญตา จิตตปาคุญญตา กายชุ ุกตา จติ ตุชกุ ตา สติ สมถะ ปค คาหะอวกิ เขปะ มใี นสมยั น้ัน หรือนามธรรมท่ีอิงอาศยั เกดิ ขึน้ แมอ ืน่ ใด มอี ยูใ นสมัยน้ัน.

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 422 สภาวธรรมเหลา นั้นช่อื วา ธรรมเปน กุศล ฯลฯ [๑๓๖] กข็ นั ธ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อนิ ทรีย ๗ ฌานมีองค ๔ มรรคมอี งค ๔ พละ ๖ เหตุ ๒ ผสั สะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑ ธรรม-ธาตุ ๑ มใี นสมยั นั้น หรอื นามธรรมท่อี ิงอาศัยเกิดขึ้นแมอ ่นื ใด มีอยูในสมัยนน้ั . สภาวธรรมเหลาน้ันช่ือวา ธรรมเปนกุศล ฯลฯ [๑๓๗] สงั ขารขนั ธ มใี นสมยั น้นั เปน ไฉน ? ผสั สะ เจตนา วติ ก วิจาร เอกัคคตา สัทธนิ ทรยี  วิรยิ นิ ทรียสตนิ ทรยี  สมาธนิ ทรยี  ชวี ติ ินทรยี  สัมมาสงั กัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติสัมมาสมาธิ สทั ธาพละ วริ ิยพละ สติพละ สมาธิพละ หริ พิ ละ โอตตัปปพละอโลภะ อโทสะ อนภชิ ฌา อัพยาปาทะ หิริ โอตตปั ปะ กายปสสัทธิจิตตปสสทั ธิ กายลหตุ า จติ ตลหตุ า กายมุทตุ า จิตตมทุ ุตา กายกัมมญั ตาจติ ตกมั มญั ญตา กายปาคญุ ญตา จิตตปาคุญญตา กายุชุกตา จิตตชุ ุกตา สติสมถะ ปค คาหะ อวิกเขปะ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกดิ ขน้ึ แมอืน่ ใดมอี ยูในสมยั นั้น เวนเวทนาขนั ธ สญั ญาขันธ วิญญาณขนั ธ นี้ชอ่ื วา สังขารขนั ธมีในสมยั น้นั ฯลฯ สภาวธรรมเหลาน้นั ช่อื วา ธรรมเปนกุศล ฯลฯ จติ ดวงท่ี ๗ จบ

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 423 จติ ดวงท่ี ๘ [๑๓๘] ธรรมเปนกุศล เปน ไฉน ? กามาวจรกุศลจิต สหรคตดวยอเุ บกขา วิปปยุตจากญาณ มีรปู เปนอารมณ ฯลฯ มธี รรมเปนอารมณ หรือวา ปรารภอารมณใ ด ๆ เกิดขนึ้โดยมีการชักจงู ในสมยั ใด ผสั สะ ฯสฯ อวิกเขปะมีในสมัยนนั้ ฯลฯ สภาวธรรมเหลา นช้ี ื่อวา ธรรมเปน กศุ ล ฯลฯ จติ ดวงท่ี ๘ จบ กามาวจรมหากศุ ลจติ ๘ จบ ทุตยิ ภาณวาร จบ อธบิ ายสุญญตวาร จิตดวงท่ี ๑ บดั น้ี พระผมู ีพระภาคเจา ทรงเร่ิมสญุ ญตวาร มีคาํ วา ตสฺมึ โข ปนสมเย ธมฺมา โหนตฺ ิ ดงั นี้ สุญญตวารน้นั กาํ หนดไว ๒ อยาง ดว ยสามารถแหง อุทเทส และนทิ เทส. บรรดาอุทเทสและนทิ เทสเหลา น้ัน วาระวาดว ยอุทเทสจิตไวเปน ๒ สวน รวมท้ังบทวา ธมฺมา โหนตฺ ิ. กใ็ นสว นท้ังปวงทา นมิไดกลาวกาํ หนดนบั วา เปน ๔ เปน ๒ และเปน ๓ ดังน.้ี ถามวาเพราะเหตุไร ? ตอบวา เพราะกําหนดไวใ นสงั คหวารแลว ดวยวา ธรรมทงั้ หลายทีก่ ําหนดไวใ นสังคหวารน้ันนัน่ แหละทานกก็ ลาวไว แมในสุญญต-

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 424วารนี้ จริงอยู ในสญุ ญตวารนี้ ยอมไมไ ดส ัตว หรอื ภาวะ หรืออตั ตากธ็ รรมทง้ั หลาย ตรัสไวเพอ่ื แสดงสญุ ญตา (ความวาง) น้วี า ธรรมเหลาน้ีสกั วาเปน ธรรม ไมมีสาระ ไมเปนปรณิ ายก เพราะฉะนน้ั ในวาระแหงอทุ เทสน้ี พึงทราบเนื้อความ อยา งนวี้ า ในสมยั ใด กามาวจรมหากศุ ลจติ ดวงท่ี ๑ ยอ มเกิดขน้ึ ธรรมเกิน๕๐ ทเี่ กดิ ขน้ึ ดว ยองคป ระกอบของจิต ในสมยั นนั้ ธรรมนน่ั แหละ ยอมมีดว ยอรรถวา เปน สภาวะ ไมใชอะไร ๆ อื่น คอื ไมใชส ตั ว ไมใชภาวะไมใ ชช วี ะ ไมใชโ ปสะ ไมใชบ ุคคล. อนึง่ ธรรมนนั้ ยอมช่ือวา ขันธเพราะอรรถวา เปนกอง. ในบทท้ังปวงพงึ ทราบการประกอบเน้ือความโดยนยักอนนน่ั แหละ ดวยประการฉะนี้. กเ็ พราะองคฌ านอ่นื จากฌาน หรือวา องคมรรคอ่นื จากมรรคไมม ีฉะน้ัน ในทน่ี พี้ ระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรสั วา ฌานยอ มมี มรรคยอ มมี ดงั นี้.จรงิ อยู ที่ช่อื วา ฌาน ก็เพราะอรรถวาการเขาไปเพง โดยแท ทชี่ อ่ื วา มรรคก็เพราะอรรถวา เปนเหตุนั่นแหละ สตั วหรอื วา ภาวะ อยา งใดอยา งหนึ่งอืน่ ไมม ีพึงทราบการประกอบเนื้อความในบทท้งั ปวง อยา งนดี้ วยประการฉะน.้ี นทิ เทส-วาร มีเน้อื ความงา ยท้งั นน้ั แล. จบสุญญตวาร และ จบการพรรณนาอรรถแหง ปฐมจติ ซ่ึงอธิบายแลว ประดบั ดว ยมหาวารท้งั ๓

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 425 อธบิ ายจติ ดวงท่ี ๒ บัดนี้ เพอ่ื แสดงมหากุศลจิตมจี ติ ดวงที่ ๒ เปนตน จงึ เรม่ิ คําเปนตนวา กตเม ธมฺมา ดังนอ้ี ีก. แมในจิตเหลา นนั้ ทั้งหมด พงึ ทราบมหาวาระดวงละ ๓ วาระโดยนัยทก่ี ลาวแลวในปฐมจติ และไมใ ชม หาวาระอยา งเดียวเทา น้นั แมอ รรถแหงบททง้ั ปวงเชน กับคําท่กี ลาวในปฐมจิต กพ็ งึ ทราบโดยนยัท่ีกลา วแลวเหมือนกนั . เพราะวา เบอ้ื งหนา นไี้ ปขา พเจา จกั กระทาํ การพรรณนาตามลาํ ดบั บท เบอ้ื งตนพึงทราบวนิ จิ ฉยั ในนิทเทสแหงจิตดวงที่ ๒ กอน. คาํ วา สส ขาเรน นเี้ ทาน้นั เปน คํายังไมเ คยพรรณนา พงึ ทราบเน้ือความแหง คําวา สส ขาเรน นัน้ . ธรรมทช่ี ือ่ วา สสังขาร (การชักชวน)เพราะเปน ไปกับดวยสงั ขาร อธบิ ายวา มสี ังขารน้ัน คอื มกี ารประกอบ มอี ุบายมีปจจัยเปน หมู จริงอยู ปฐมจติ (มหากุศลจติ ดวงที่ ๑) ยอ มเกดิ ขนึ้ ดวยหมูแหงปจ จัยมอี ารมณเ ปน ตน อันใด จิตดวงที่ ๒ นี้ กย็ อ มเกิดขนึ้ ดว ยหมูแหง ปจจยั โดยมีปโยคะ มอี ุบายน้นั เหมือนกัน. พึงทราบความเกิดข้ึนแหง จิตดวงท่ี ๒ นน้ั อยา งนวี้ า ภิกษบุ างรปู ในพระธรรมวินัยนี้ อาศัยอยใู นที่สดุ แหงวหิ าร เมื่อถึงเวลากวาดลานพระเจดยี หรอื ถงึ เวลาบํารุงพระเถระ หรอื ถึงวันฟง ธรรม ก็คดิ วา เมอ่ื เราไปแลวกลับมาจกั ไกลยิง่ เราจักไมไ ป ดังน้ี แลว คิดอกี วา ชื่อวา การปดกวาดลานพระเจดยี  หรอื การบาํ รงุ พระเถระ หรือการไมไปฟง ธรรมไมสมควรแกภิกษุเราจกั ไป ดงั นี้ จงึ ไป. กุศลจติ ท่ีเกดิ ขน้ึ แกภิกษนุ ้นั ผูกระทําปโยคะของตนหรือถกู ผอู ่ืนแสดงโทษในการไมทําวัตรเปนตน และอานิสงสในการกระทาํ แลวกลา วสอนอยู หรือแกภ กิ ษทุ ีถ่ กู สง่ั ใหก ระทาํ วา เจา จงมาจงกระทําส่ิงนี้ ดังนี้ชื่อวา ยอมเกิดขึ้นโดยมสี ังขาร มหี มแู หงปจ จัย ดงั น.ี้ จบจิตดวงท่ี ๒

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 426 อธบิ ายจิตดวงที่ ๓ ในจิตดวงที่ ๓ บทวา าณวปิ ฺปยุตต ความวา จติ ไมป ระกอบดวยญาณ ชอื่ วา ญาณวปิ ปยตุ ถงึ จติ ญาณวปิ ปยุตน้ีจะราเริงยินดแี ลว ในอารมณ แตวาในจติ ดวงที่ ๓ นี้ไมมีญาณเปนเครื่องกาํ หนด เพราะฉะนนั้จติ ทีเ่ ปนญาณวปิ ปยุตนี้ บณั ฑติ พึงทราบวา ยอมเกดิ ข้ึนในกาลทีพ่ วกเดก็ เล็ก ๆเห็นภกิ ษุแลวไหวดวยคดิ วา พระเถระน้ีของพวกเราดงั นี้ และในกาลตา ง ๆมีการไหวพระเจดียแ ละการฟงธรรมเปนตน โดยนัยนั้นน่นั แหละ ก็ในพระบาลีจติ ดวงที่ ๓ น้ี ไมม ปี ญ ญาในท่ี ๗ แหง คําท่ีเหลอื เปนไปตามปกติ คือ เชน กบัท่ีกลา วมาแลว น้ันแล. จบจิตดวงท่ี ๓ อธิบายจติ ดวงท่ี ๔ แมใ นจิตดวงท่ี ๔ ก็นยั นเี้ หมือนกนั แตจติ ดวงท่ี ๔ นี้ เพราะพระ-บาลวี า สส ขาเรน (การชกั ชวน) พงึ ทราบวา ยอ มมใี นกาลท่ีมารดาบิดาจบั ศรี ษะเดก็ เล็ก ๆ ใหกมไหวพ ระเจดียเ ปน ตน ถงึ แมเ ดก็ เหลา นั้นไมปรารถนาจะไหวก ็ราเรงิ ยินดี. จบจิตดวงท่ี ๔ อธบิ ายจิตดวงท่ี ๕ เปนตน ในจติ ดวงที่ ๕ บทวา อุเปกฺขาสหคต ไดแก สมั ปยตุ ดวยอเุ บกขาเวทนา เพราะวา อุเบกขาสหคตะนี้ ยอ มเปน กลางในอารมณ ในจติดวงท่ี ๕ น้ี มญี าณเปน เครอื่ งกําหนดโดยแท. กใ็ นจติ ดวงท่ี ๕ นีใ้ นบาลี

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 427พระผูม พี ระภาคเจาตรสั วา อุเบกขายอมมีในหมวด ๔ แหงฌาน อเุ บกขินทรยี ยอมมใี นหมวด ๘ แหงอนิ ทรยี  ดงั น้ี แลว ทรงทาํ เทศหาโดยการปฏิเสธสิง่ ท่ีนายินดี ไมน ายินดี สขุ ทุกขในนทิ เทสแหง บทวา เวทนา เปนตน แมท ัง้ ปวงแลว ตรสั อทุกขมสขุ เวทนา พงึ ทราบความที่อทุกขสุขเวทนานั้นเปน อเุ บกขินทรยี ดว ยสามารถแหงการครองความเปนใหญใ นลกั ษณะแหงมัชฌตั ตา. อน่งึ เมอื่วา โดยลําดับแหงบทไมมีปติในฐานะหน่ึงเลย เพราะฉะนัน้ ธรรม ๕๕ ทา นจงึ ยกขนึ้ สูพระบาลีดวยสามารถแหง องคประกอบของจิต พึงทราบวินิจฉยั ในโกฏฐาสทั้งปวง และในวาระท้ังปวงดว ยสามารถแหงธรรมเหลานั้น. พึงทราบจิตดวงท่ี ๖ ที่ ๗ ท่ี ๘ โดยนยั ทกี่ ลาวแลวในจิตดวงที่ ๒ที่ ๓ ท่ี ๔ นั่นแหละ. ในจิตดวงท่ี ๖ ท่ี ๗ ที่ ๘ เหลาน้ี การเปลีย่ นไปแหงเวทนาและการลดปติอยา งเดยี ว. คาํ ท่เี หลือ กับนยั แหงการเกิดขึน้ เปนเชน นน้ั เหมอื นกนั . แมใ นการบริกรรมของกรณุ าและมุทติ า ความเกดิ ขนึ้ แหงจิตดวงที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ เหลา น้ี ไดร บั รองแลวในมหาอรรถกถาทีเดยี ว.จติ เหลา น้ี ชื่อวา กามาวจรกุศลจิต ๘ ดวง. กามาวจรกุศลจติ เหลา น้นั แมทัง้ หมดบัณฑิตพงึ แสดงดวยบญุ กริ ยิ า-วัตถุ ๑๐ ประการ ถามวาแสดงอยา งไร ? ตอบวา พงึ แสดง ชอื่ บุญกริ ยิ าวัตถุ๑๐ เหลา นี้ คอื ๑. ทานมยั บญุ กริ ิยาวัตถุสําเรจ็ ดว ยทาน ๒. สลี มยั \" \" ดว ยศีล ๓. ภาวนามยั \" \" ดวยภาวนา ๔. อปจติ สิ หคตะ บญุ ที่สหรคตดว ยนอบนอ ม ๕. เวยยาวจั จสหคตะ \" ดว ยการขวนขวาย

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 428 ๖. ปต ตานปุ ทานมยั บญุ สําเรจ็ ดว ยการแผส วนบญุ ๗. อพั ภานโุ มทนมยั บุญสําเร็จดว ยการอนุโมทนา ๘. เทศนามัย บุญสําเร็จดวยการแสดงธรรม ๙. สวนมยั บญุ สาํ เรจ็ ดวยการฟง ธรรม ๑๐. ทิฏุชกุ รรม. บรรดาบญุ กริ ิยาวัตถุเหลาน้นั ทานนน่ั แหละชอื่ วา ทานมัย เปนการทาํ บุญ (ปุ ฺกิริยา) การทาํ บญุ น้นั ดว ย เปนวัตถุ (คอื ทตี่ งั้ ) แหงอานิสงสทั้งหลายน้นั ๆ ดวย เพราะฉะนั้น จึงชอ่ื วา บุญกริ ยิ าวตั ถุ. ในบญุ กริ ิยาวตั ถุแมท เี่ หลือกน็ ัยนแ้ี หละ. บรรดาบุญกริ ยิ าวัตถุเหลานนั้ เมอื่ บคุ คลใหปจ จยั เปนตน ในบรรดาปจ จยั ๔ มจี ีวรเปน ตน หรอื ในบรรดาอารมณ ๖ มรี ปู เปน ตน หรือทานวตั ถุ๑๐ มกี ารใหข า วเปน ตน นัน้ เจตนาทเี่ ปนไปในกาลท้งั ๓ คือ ในกาลเบอ้ื งตน ๑ในกาลบริจาค ๑ ในการตามระลกึ ถงึ ดว ยจติ โสมนสั ในกาลภายหลัง ๑ จําเดมิแตก ารเกิดขน้ึ แหงปจ จยั เปน ตนนน้ั ๆ ช่อื วา เปน บญุ กิรยิ าวัตถสุ าํ เร็จดว ยการให (ทานมย ). เจตนาทเี่ ปน ไปของบคุ คลผสู มาทานศีล ๕ หรือศีล ๘ หรอื ศีล ๑๐หรือของผไู ปสูวิหารดวยคดิ วา เราจักบวชก็ดี ผบู วชอยกู ด็ ี ผูยงั มโนรถใหถึงทีส่ ุดแลว รําพึงวา เราบวชแลวเปน การดยี ิง่ หนอดงั นีก้ ็ดี ผสู าํ รวมพระปาฏิโมกขกด็ ี ผูพ จิ ารณาปจ จัยทั้งหลายมจี ีวรเปน ตน ก็ดี ผสู าํ รวมทวารมจี ักขุทวารเปน ตนในรูปเปนตนท่มี าสคู ลองก็ดี ผชู ําระอาชีวะใหบ ริสุทธิก์ ด็ ี ช่ือวา บุญกริ ยิ าวตั ถุสําเรจ็ ดว ยศีล (สลี มย ).

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 429 เจตนาท่ีเปนไปของบคุ คลผูพจิ ารณาจักษโุ ดยความเปน ของไมเ ทยี่ งเปนทกุ ข เปนอนตั ตา ผูพจิ ารณาโสต ฯลฯ ผพู ิจารณามนะ ฯสฯ ผูพ จิ ารณารปู ท้งั หลาย ฯลฯ ผพู ิจารณาธรรมท้งั หลาย ผูพ ิจารณาจกั ขุวญิ ญาณ ฯลฯผพู จิ ารณามโนวญิ ญาณ. ผพู ิจารณาจักขสุ มั ผัส ฯลฯ ผพู จิ ารณามโนสมั ผสั ผูพิจารณาเวทนาอันเกดิ แตจักขุสมั ผสั ฯลฯ ผพู ิจารณาเวทนาอนั เกดิ แต มโนสัมผัส ผพู ิจารณารปู สัญญา ฯลฯ ผูพิจารณาชรามรณะโดยความเปนของไมเท่ียง เปน ทุกข เปน อนตั ตา โดยอุบายแหงวิปส สนา (วปิ สสฺ นามคเฺ คน)ท่พี ระสารบี ตุ รเถระกลาวไวในปฏสิ มั ภิทามรรค หรอื วา เจตนาแมทง้ั หมดทีไ่ มถงึ อปั ปนาในอารมณ ๓๘ อยาง ชอ่ื วา บุญกิริยาวตั ถุ สําเร็จดวยภาวนา(ภาวนามย ). พึงทราบบุญกิรยิ าวตั ถทุ สี่ หรคต โดยเหน็ ผใู หญแ ลวทําการตอนรบัการรบั บาตรจวี ร การอภิวาท และการหลีกทางใหเปน ตน . พึงทราบบุญกริ ิยาวตั ถุท่สี หรคต ดว ยการขวนขวายในกาลขวนขวายทางกาย ดวยสามารถทาํ วัตรและทําวตั รปฏบิ ัตแิ กภ กิ ษผุ เู จรญิ กวาก็ดี โดยเหน็ภกิ ษผุ เู ขาไปสูบา นเพอ่ื บณิ ฑบาต แลว รบั บาตรชักชวนใหเ ขา ไปรบั ภกิ ษาในบา นกด็ ี โดยไดย นิ คาํ วา ทา นจงไป จงนําบาตรมาใหภ ิกษุทงั้ หลาย แลวรบี ไปนําบาตรมาใหเปน ตน ก็ดี. เมือ่ บุคคลใหทาน กระทาํ การบูชาดว ยของหอมเปน ตน แลว ใหสว นบุญวา ขอสวนบุญจงมแี กบคุ คลช่ือโนน หรือวา ขอสว นบุญจงมีแกส รรพสัตวท้งั หลาย ดงั นี้ พงึ ทราบวา เปนบุญกิริยาวตั ถอุ นั เกิดแตการใหสวนบุญ.ถามวา ก็เม่ือบคุ คลใหอ ยซู ่ึงสวนบญุ นี้ บุญยอ มไมห มดไปหรือ ตอบวายอ มไมห มดไป เหมือนอยา งวา บคุ คลตามประทีปใหโ พลงอยหู น่ึงดวง แลว

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 430ก็ยงั ประทีปหนง่ึ พันดวงใหส วางโพลงไดเพราะประทปี หนง่ึ ดวงน้นั ใคร ๆ ไมพงึ พดู ไดวา ประทปี ดวงแรกสิน้ ไปแลว แตว า แสงสวางแหง ประทปี ดวงหลัง ๆ กับประทีปดวงแรกรวมกัน แลว กเ็ ปนแสงสวางมากยงิ่ ฉันใด เมื่อบุคคลใหอยซู ่ึงสว นบุญกฉ็ นั นน้ั เหมอื นกัน ช่ือวาบญุ ทงั้ หลายท่ีจะลดลงไปยอ มไมม ี พึงทราบวา ยอ มมแี ตเ จริญขน้ึ เทานัน้ . พงึ ทราบบญุ กริ ยิ าวตั ถทุ ีเ่ กดิ จากการอนุโมทนา ดว ยสามารถแหงการอนุโมทนาสว นบุญท่บี คุ คลอน่ื ใหแลว หรอื วา ดวยบญุ กิริยาอืน่ ๆ ดวยการเปลงวา สาธุ (ดี) สุฏ ุ (ด)ี ดังน้.ี ภิกษุรูปหน่งึ ตง้ั อยใู นความอยากโดยคดิ วา ชนทั้งหลายจกั รจู ักเราวาเปน พระธรรมกถกึ ดังน้ี แลว เปนผหู นกั (มาก) ดวยลาภแสดงธรรม การแสดงธรรมน้นั ไมม ผี ลมาก. สวนภิกษุรูปหนึ่ง ไมห วงั ผลตอบแทนแสดงธรรมท่ตี นชาํ นาญแกช นเหลาอ่นื โดยอุบายทีจ่ ะใหบรรลวุ ิมุตติ การแสดงน้ี ชอ่ื วาบญุ กิรยิ าวัตถุ สาํ เรจ็ ดว ยการแสดง (เทสนามย ). ภิกษรุ ปู หนึง่ เมือ่ ฟงธรรม ยอมฟงดวยคิดวา ชนทง้ั หลายจักรูเราวาเปน ผมู ศี รัทธา การฟง นน้ั ไมม ีผลมาก. สวนภิกษรุ ูปหน่งึ ยอ มฟง ธรรมดว ยจติ ออนโยน ดวยการแผไปซึง่ ประโยชนเ กอ้ื กูลวา ผลมากจักมีแกเ ราดว ยอาการอยางนี้ การฟง ธรรมนน้ั ชอื่ วา บุญกริ ิยาวัตถุ สําเรจ็ ดว ยการฟง(สวนมย ). เมือ่ บคุ คลทาํ ความเห็นใหต รง ชื่อวา บุญกิรยิ าวตั ถุ ท่ีเกดิ จากการทาํ ความเหน็ ใหตรง. แตทา นทีฆภาณกาจารยก ลา ววา ทิฏุชุกรรมเปน ลกั ษณะนยิ ม (คอื เครื่องหมายแหงความสมบรู ณ) ของบุญกิริยาท้ังหมด เพราะวา

พระอภธิ รรมปฎก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 431เม่ือบุคคลจะทาํ บญุ อยางใดอยา งหนึง่ ยอมเปน บุญมผี ลมาก เพราะความเห็นอันตรงนั่นเอง ดังน.้ี กบ็ รรดาบุญกิริยาวัตถุเหลา น้ัน บญุ กริ ยิ าวัตถทุ เ่ี ปนทานมยั ยอมเกิดขึ้นแกบคุ คลผคู ิดอยวู า เราจกั ใหทานกอ น เมอ่ื บุคคลกําลังใหท าน บุญกิรยิ าวัตถุท่เี ปนทานมยั ก็เกดิ ขน้ึ เมอื่ บคุ คลพิจารณาอยวู า ทานอนั เราใหแลว ดังน้ีบญุ กิริยาวัตถทุ ่ีเปนทานมยั กเ็ กดิ ขึ้น ธรรมดาวา บุญกิริยาวตั ถุที่เปนทานมัยจะมไี ดก็เพราะทําเจตนาทั้ง ๓ คือ บุพเจตนา มุญจนเจตนา อปรเจตนาใหเ ปนอนั เดยี วกนั . แมศ ลี มยั ก็ยอ มเกิดแกบคุ คลผคู ิดอยวู า เราจกั บาํ เพ็ญศีลมยั ก็ยอมเกดิ ขึน้ ในเวลาท่ีกําลงั บาํ เพ็ญศลี ใหบ ริบรู ณ ศลี มัยก็เกิดขึน้ เม่ือพิจารณาวา เราไดบ ําเพ็ญศลี แลว ศีลมัยก็ยอ มเกิดข้นึ ธรรมดาวา บญุ กริ ยิ าวตั ถุทีเ่ ปนศลี มัยจะมไี ดก็เพราะเจตนาแมท ั้งปวงนนั้ เปนอนั เดยี วกนั ฯลฯ แมบุญกิรยิ าวัตถุท่ีเปน ทิฏชุ กุ รรม เม่อื เกิดก็ยอมเกิดแกบ คุ คลผูคิดวา เราจกั ทาํความเห็นใหต รง ดงั นี้ เมอ่ื บคุ คลกําลังทําความเห็นใหต รง ทฏิ ุชกุ รรมก็ยอ มเกดิ ขึ้น เมอ่ื บุคคลพิจารณาอยูวา ความเห็นอนั เราทําใหตรงแลว ดงั น้ีทิฏุชกุ รรมกย็ อ มเกดิ ข้ึน ธรรมดาบญุ กริ ยิ าวัตถุท่เี ปน ทฏิ ชุ กุ รรมจะมีไดก็เพราะทําเจตนาแมท ัง้ หมดเหลาน้ันใหเ ปนอนั เดียวกนั ก็บญุ กริ ยิ าวัตถใุ นพระสตู รมีมาเพยี ง ๓ เทานนั้ . พึงทราบการสงเคราะหบุญกริ ยิ าวัตถแุ มน อกน้ี ลงในบญุ กริ ิยาวัตถุ ๓เหลาน้นั จริงอยู ความประพฤตอิ อนนอ มและการขวนขวาย ยอมสงเคราะหเปน ศีลมัยเทา นั้น. การใหสวนบุญและการอนโุ มทนาสวนบญุ สงเคราะหเขา ในทานยั . การแสดงธรรม การฟง และทิฏุชุกรรมสงเคราะหเขาในภาวนามัย.สวนชนเหลา ใดกลา ววา ทิฏุชกุ รรมเปน ลกั ษณะแหง ความสมบรู ณก วา

พระอภิธรรมปฎก ธรรมสงั คณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 432บญุ กิรยิ าทั้งปวง ทิฏุชุกรรมของชนเหลานั้น ยอ มถึงการสงเคราะหลงในบญุ กริ ยิ าวัตถุแมท ง้ั ๓. บุญกิรยิ าวัตถุเหลาน้นั โดยยอมี ๓ โดยพสิ ดารมี ๑๐ดวยประการฉะนี.้ บรรดาบญุ กิรยิ าวตั ถุเหลา นั้น เมอื่ บคุ คลคดิ อยวู า เราจักใหทาน ดังน้ียอ มคิดดวยกามาวจรกุศลจิต ๘ ดวง ดวงใดดวงหนึง่ โดยแท. แมเมือ่ ให (ทาน)ก็ยอมใหด ว ยกามาวจรกุศลจติ ๘ ดวง ดวงใดดวงหนึ่งนนั่ แหละ แมเมอื่พิจารณาวา ทานอนั เราถวายแลวดงั น้ี กย็ อมพิจารณาดว ยกามาวจรกุศลจติ๘ ดวง ดวงใดดวงหนงึ่ เหมือนกนั แมเมอ่ื คดิ วา เราจกั บําเพ็ญศีลใหบริบูรณดงั นี้ ก็ยอ มคิดดว ยกามาวจรกศุ ลจติ ๘ ดวง ดวงใดดวงหนึง่ นน่ั แหละ แมกาํ ลังบาํ เพ็ญศีลอยู ก็บาํ เพญ็ ดว ยกามาวจรกุศลจิต ๘ ดวง ดวงใดดวงหนง่ึน่ันแหละ แมพจิ ารณาวา ศีลเราบําเพ็ญแลว ก็ยอ มพจิ ารณาดว ยกามาวจร-กศุ ลจิต ๘ ดวง ดวงใดดวงหน่งึ เหมือนกัน แมเมือ่ คิดวา เราจักเจริญภาวนาดังน้ี กย็ อ มพิจารณาดว ยกามาวจรกุศลจิต ๘ ดวง ดวงใดดวงหนง่ึ น่นั แหละแมเ ม่ือเจรญิ ภาวนา ก็ยอ มเจรญิ ดว ยกามาวจรกศุ ลจติ ๘ ดวง ดวงใดดวงหนึง่น่นั แหละ แมเมอื่ พจิ ารณาวา ภาวนาเราเจรญิ แลว ดังนี้ กย็ อมพิจารณาดว ยกามาวจรกศุ ล ๘ ดวง ดวงใดดวงหน่งึ เหมือนกัน. แมเ ม่ือคดิ วา เราจักทําความออนนอ มตอ ผูใหญ กย็ อ มคดิ ดว ยกามา-วจรกศุ ลจติ ๘ ดวง ดวงใดดวงหนึง่ น่นั แหละ แมเม่อื จะกระทาํ กย็ อ มกระทําดวยกามาวจรกศุ ลจติ ๘ ดวง เหลานน้ั ดวงใดดวงหนงึ่ แมเ มื่อพจิ ารณาวาความออ นนอ มเรากระทาํ แลว ดงั นี้ ก็ยอมพจิ ารณาดว ยกามาวจรกศุ ล ๘เหลาน้ัน ดวงใดดวงหนงึ่ แมเมือ่ คิดวา เราจักทาํ กรรมคอื การขวนขวายทางกาย แมเ มื่อจะการทํา แมเม่ือพจิ ารณาวา เราทําการขวนขวายแลว กย็ อม

พระอภธิ รรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 433พจิ ารณาดว ยกามาวจรกุศล ๘ เหลานั้น ดวงใดดวงหน่งึ แมเ มอ่ื คิดวา เราจักใหส ว นบุญ ดงั นี้ แมเมื่อกาํ ลังให แมเ มอ่ื พจิ ารณา สว นบุญอนั เราใหแ ลวแมค ิดวา เราจกั อนโุ มทนาสว นบุญ หรือกศุ ลทเ่ี หลือ ดังน้ี กค็ ิดดว ยกามาวจร-กศุ ลจติ ๘ เหลาน้นั ดวงใดดวงหนึง่ แมเ มอื่ อนโุ มทนา ก็ยอมอนุโมทนาดว ยกามาวจรกศุ ล ๘ เหลาน้นั ดวงใดดวงหนึง่ แมเมอ่ื จะพิจารณาวา คําอนุโมทนาเราอนุโมทนาแลว ดังน้ี กย็ อมพจิ ารณาดว ยกามาวจรกุศล ๘ เหลา นน้ัดวงใดดวงหนึ่ง แมเมือ่ คิดวา เราจกั แสดงธรรม กค็ ดิ ดว ยกามาวจรกศุ ล ๘เหลานัน้ ดวงใดดวงหนงึ่ แมเมือ่ แสดง ก็ยอ มแสดงดว ยกามาวจรกุศล ๘เหลา นนั้ ดวงใดดวงหน่งึ แมเมอื่ พจิ ารณาวา เราแสดงเทศนาแลว ดังน้ีก็ยอ มพิจารณาดว ยกามาวจรกศุ ล ๘ เหลานนั้ ดวงใดดวงหนึง่ แมเมอื่ คิดวาเราจักฟงธรรม ดังน้ี ก็ยอมคิดดวยกามาวจรกุศล ๘ เหลา นนั้ ดวงใดดวงหนง่ึแมเ ม่อื ฟงก็ยอมฟงดวยกามาวจรกศุ ลจิต ๘ เหลา นัน้ ดวงใดดวงหน่งึ แมเมือ่พิจารณาวา เราฟงธรรมแลว ดงั นี้ ก็ยอมพจิ ารณาดวยกามาวจรกุศล ๘เหลา น้ัน ดวงใดดวงหนึ่ง แมเมอื่ คิดวา เราจักกระทําทฏิ ฐใิ หตรง ดงั น้ีกย็ อมคิดดวยกามาวจรกุศลจติ ๘ เหลานนั้ ดวงใดดวงหนึง่ ก็เม่อื จะกระทาํความเห็นใหตรง กย็ อ มกระทําโดยญาณสมั ปยตุ ๔ ดวงใดดวงหน่ึง ก็เมอื่ จะกระทําพจิ ารณาวา ทฏิ ฐอิ ันตรงเรากระทําแลว ดงั นี้ กย็ อมพจิ ารณาดวยกามาวจรกศุ ลจติ๘ เหลานั้น ดวงใดดวงหนึ่ง. วาดว ยอนนั ตะ (สิ่งไมมีทส่ี ุด) ๔ อยา ง ในฐานะ (แหงกามาวจรกุศลจิต ๘) นี้ ทานถอื เอาอนนั ตะ ๔ อยา งจริงอยู อนันตะ มี ๔ อยาง คอื

พระอภิธรรมปฎ ก ธรรมสังคณี เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 434 อากาโส อนนฺโต (อากาศไมม ที ีส่ ุด) จกกฺ วาฬานิ อนนฺตานิ (จกั รวาลไมม ีท่สี ุด) สตตฺ นิกาโย อนนฺโต (หมูสัตวไ มมีทีส่ ดุ ) พทุ ธฺ าณ อนนฺต (พุทธญาณไมมที ี่สุด). จรงิ อยู การกําหนดอากาศวา ในทิศบูรพา หรอื ในทศิ ปจฉมิ ในทศิอดุ ร ในทิศทกั ษณิ วา มเี ทาน้ีรอยโยชน หรอื เทา นเี้ ปน โยชน ยอ มไมไ ด ถาวาเอาคอ นเหลก็ เทา ขุนเขาสิเนรทุ ําแผน ดินใหแ ยกเปนสวนแลวโยนไป คอนเหล็กกพ็ งึ ตกไปขางลา งโดยแท หามที ่รี องรบั ไวไ ดไม ชอ่ื วา อากาศ เปน อนนั ตะ(คือไมมที ่ีสุด) อยา งน.ี้ การกําหนดแมจักรวาลท้ังหลายวา มหี ลายรอย หรอื วาหลายพัน หรอื วาหลายแสนจักรวาล หาไดไม. จรงิ อยู แมถา วา ทา วมหาพรหมท้งั ๔ ผูเ กิดในอกนิฏฐภพ ผูป ระกอบดว ยความเรว็ ผสู ามารถผานแสนจกั รวาลไปดวยเวลาเพียงเทา ทีล่ กู ศรท่เี ร็วมากของนายขมังธนูผมู ีกําลงั แข็งแรงผา นเงาตน ตาลดานขวาง พงึ ว่ิงไปโดยเร็วนน้ั ดวยคดิ วา เราจักดทู ่สี ดุ จกั รวาล ดงั น้ี ทา ว-มหาพรหมเหลา นน้ั ไมทนั เห็นทส่ี ดุ แหงจกั รวาล กจ็ ะพึงปรนิ พิ พานเสยี โดยแทชื่อวา จกั รวาล ทั้งหลายเปน อนนั ตะ (คือไมมที ี่สดุ ) อยางน.ี้ กป็ ระมาณแหง สตั วท ีอ่ ยใู นนํา้ และทีอ่ ยูบนบกทง้ั หลายในจกั รวาลทงั้ หลายมีประมาณเทานี้ ยอ มไมม ี หมสู ตั วทัง้ หลาย ชือ่ วา เปน อนนั ตะ(คือไมมที ี่สุด) อยางน้.ี พทุ ธญาณ ช่ือวา เปน อนนั ตะ (คือไมมีทสี่ ดุ ) แมกวาอนนั ตะทงั้ ๓ นน้ั โดยแท. กศุ ลจติ ท่ีเปน กามาวจร สหรคตดว ยโสมนัสเปน ญาณสมั ปยตุเปนอสงั ขาริก ยอมเกดิ ขึ้นมากมายแกสัตวห น่งึ ของสตั วท ง้ั หลายทไ่ี มม ีประมาณ
































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook