2 “อาเจยี น ถ่ายเหลว 6 ชว่ั โมงก่อนมาโรงพยาบาล” ประโยคนีห้ มายถงึ ข้อใด 1. Past illness 2. Family illness 3. Present illness (PI) 4. Chief complain (CC) 3 “เคยผ่าตัดไส้ต่ิง เมอ่ื 1 ปกี อ่ น” ประโยคนหี้ มายถึงข้อใด 1. Past illness 2. Family illness 3. Present illness (PI) 4. Chief complain (CC) 4 ประวตั ยิ าเดมิ ท่ีผู้ปว่ ยเคยรับประทาน หมายถึงข้อใด 1. Past illness 2. Family illness 3. Allergy history 4. Medication Reconciliation (MR) 5 การซักประวตั ิปจั จุบัน หมายถงึ ให้ผปู้ ่วยบอกเล่าเร่ืองใด 1. การเจ็บปว่ ยตง้ั แต่เริ่มมอี าการ 2. อาการที่ทำให้ตอ้ งมาโรงพยาบาล 3. อาการแพ้ยา และ อาหารในปัจจบุ นั 4. การแก้ไขอาการเบือ้ งตน้ ขณะเกิดการเจบ็ ป่วย 6 การซกั ประวัตเิ กี่ยวกบั การหายใจ อยู่แบบประเมนิ 11 pattern Gordon แบบแผนใด 1. แบบแผนการรับรแู้ ละการดแู ลสขุ ภาพ 2. กิจกรรมและการออกกำลงั กาย 3. การพกั ผ่อน นอนหลบั 4. สตปิ ัญญาและการรบั รู้ 101
7 การจำหน่ายผู้ปว่ ยใชห้ ลกั การในข้อใด 1. METHOD 2. MEETING 3. MODERN 4. MODTHE 8 คำสั่งการรักษา ให้รับประทานยา Brufen ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง คำแนะนำเรื่องยาเมือ่ จำหนา่ ยผ้ปู ว่ ยขอ้ ใดถกู ตอ้ ง 1. รับประทานยาให้ครบทุกมอ้ื 2. รับประทานยาให้ครบทุกมื้อ หลงั อาหารทนั ที 3. รับประทานยาให้ครบทกุ มื้อ หลังอาหารทนั ที ระวังอาการปวดท้อง 4. รับประทานยาให้ครบทุกม้ือ หลังอาหารทันที ระวังอาการปวดท้อง เม่อื ยาหมดซ้ือยา ที่รา้ นขายยา 9. กรณศี ึกษา ผู้ป่วยชายไทย อายุ 22 ปี มาโรงพยาบาลด้วยอาการ ปวดท้องมากบริเวณด้านขวา ปวด ตื้อ ๆ ทั่วท้อง เป็นมั้งแต่เช้า พยายามทำงานต่อ จนรู้สึกไม่ไหวทำงานไม่ได้ ปวดท้องมาก คลื่นไส้ อาเจยี น เพือ่ รว่ มงานจงึ พามาสง่ โรงพยาบาล เวลา 14.00 น. สญั ญาณชีพแรกรบั T = 39 องศาเซลเซียส, P 120 ครง้ั ตอ่ นาท,ี RR 24 ครงั้ ต่อนาท,ี BP 130/90 มลิ ลเิ มตรปรอท แพทย์รับการรักษาไว้หอผู้ป่วยศัลยกรรมชายสามัญ ได้รับการวินิจฉัยโรคเป็น Appendicitis มีแผนการรักษาจะทำผ่าตดั ในเชา้ วันรุ่งข้ึน ผู้ปว่ ยไม่มโี รคประจำตวั ไมเ่ คยผ่าตัดมาก่อน ไมม่ ปี ระวตั ิแพย้ าและอาหาร คำถาม 1) จงเขยี นบนั ทึกประวตั ผิ ปู้ ่วยในรายงานผ้ปู ่วยใน 2) หลังจากผ่าตัดไส้ติ่ง (appendicitis) 3 วัน ผู้ป่วยอาการเริ่มดีขึ้น แผลผ่าตัดแห้งดี แพทย์ อนญุ าตใหก้ ลับบา้ นได้ จงวางแผนการจำหน่ายผู้ปว่ ยรายนี้ 102
3.6 เอกสารอา้ งอิง ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ และอรุณรัตน์ เทพนา. (2559). ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ: หจก. เอน็ พเี พรส. สัมพันธ์ สันทนาคณิต, สุมาลี โพธิ์ทอง และสุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พ้นื ฐาน II. กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธการพิมพ์ จำกัด. สุปราณี เสนาดิสัยและวรรณภา ประไพพานิช. (2558). การพยาบาลพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : บริษัท จุด ทอง จำกัด สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์ สุมาลี โพธิ์ทอง, และสัมพันธ์ สันทนาคณิต. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พ้นื ฐาน I.กรุงเทพฯ: บรษิ ัท บพิธการพมิ พ์ จำกัด. อัจฉรา พุ่มดวง. (2559). การพยาบาลพื้นฐาน : ปฏิบัติการพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2556). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 1. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บรษิ ทั ธนาเพรส จำกดั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2558). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 2. ฉบับปรับปรุงครั้งท่ี 1, กรุงเทพฯ : บริษทั จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์ จำกดั . Nettina SM. (2 0 1 4 ) . Manual of Nursing Practice. Philadelphia: Williams &Wilkins Lippincott. Patricia A. Potter. (2 0 1 3 ) . Fundamentals of Nursing 8 th ed. St. Louis, Mo : Mosby Elsevier. Taylor ll. (2015). Fundamental of Nursing .8th ed. Philadelphia: Walters Kluwer. 103
แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 4 หลักการและเทคนคิ พยาบาลพนื้ ฐาน ในการวัดและประเมินสัญญาณชีพ หวั ข้อเนือ้ หาประจำบท 1. ความสำคญั ของการวดั และประเมินสัญญาณชีพ 2. หลักการวดั และประเมินสญั ญาณชพี 3. การบันทึกสัญญาณชพี ในรายงานผู้ปว่ ย จำนวนชว่ั โมงท่ีสอน: ภาคทฤษฎี 2 ชว่ั โมง วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม 1. บอกความสำคัญของการวัดและประเมินสัญญาณชพี 2. อธิบายวธิ ีการการวัดและประเมินสัญญาณชีพ 3. ระบหุ ลกั การบันทึกสัญญาณชพี ในรายงานผู้ป่วย วิธีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธีสอน 1.1 บรรยายแบบมีส่วนร่วม 1.2 อภิปรายกลุ่มยอ่ ย 1.3 ยกตวั อย่างกรณีศึกษาเพ่อื การอภิปราย 2. กิจกรรมการเรียนการสอน 2.1 บรรยายเรื่อง การประเมินสัญญาณชีพ (vital signs) อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง หลักการวัด และบันทกึ สัญญาณชีพ 2.2 ยกตัวอย่างกรณีศึกษาและให้ผู้เรียนรว่ มกันบนั ทึกสญั ญาณชพี ในแบบฟอรม์ การบันทกึ สญั ญาณชพี 2.3 ผเู้ รยี นรว่ มกันสรุปการเรยี นรู้ 104
สอื่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. โปรแกรมสำเรจ็ รูป Power Point Presentation 3. โจทย์ตัวอย่างกรณีศกึ ษา 4. แบบฟอร์มการบันทึกสญั ญาณชพี 5. VDO การสอนเพ่ือการทบทวนเนอี้ หา การวัดผลและประเมินผล 1. การเข้าชน้ั เรียนร่วมกับการสงั เกตพฤตกิ รรมการเรียน 2. การสังเกตการมีสว่ นร่วมในอภิปรายและตอบคำถาม 3. ผลการบนั ทกึ สญั ญาณชพี ตามโจทยส์ ถานการณ์ 4. การทำแบบฝกึ หดั ทา้ ยบท 5. การสอบกลางภาค 105
บทที่ 4 หลกั การและเทคนิคพยาบาลพื้นฐาน ในการวัดและประเมินสัญญาณชพี การประเมินสัญญาณชีพเป็นหนึง่ ในขั้นตอนของการประเมินภาวะสุขภาพของผู้ป่วยซ่ึงเป็น ขนั้ ตอนแรกของกระบวนการพยาบาลเพอื่ ใหไ้ ดข้ ้อมูลเบื้องต้นสำหรบั การวางแผนการพยาบาล 4.1 ความสำคญั ของการวัดและประเมินสญั ญาณชพี การวัดและประเมินสัญญาณชีพ (Vital signs) เป็นกิจกรรมที่จำเป็นในการประเมินผู้ป่วย ท้ังในโรงพยาบาล ชุมชน สำหรบั การประเมินสัญญาณชีพในกรณีทผ่ี ู้ปว่ ยรกั ษาในโรงพยาบาลโดยปกติ ประเมินทุก 4 ชั่วโมง ได้แก่ 6.00, 10.00, 14.00, 18.00, 22.00, 2.00 น. ยกเว้นผู้ป่วยที่มีความ ผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยอยู่ในภาวะช็อค อาจวัดถี่ขึ้นหรือถ้าผู้ป่วยอยู่ในระยะพักฟื้น อาจประเมินทุก 6 ช่วั โมงกไ็ ด้ พิจารณาเป็นระยะๆ ไป การวัดและประเมินสัญญาณชีพมีสิ่งที่ต้องประเมินทั้งหมด 5 อย่าง หรือเรียกว่า 5 Vital signs ประกอบไปด้วย 1) อุณหภูมิร่างกาย (Temperature) 2) ชีพจร (Pulse rate) 3) อัตราการ หายใจ (Respiration rate) 4) ความดันโลหิต (Blood pressure) 5) ความปวด (pain score) 4.2 หลักการวัดและประเมนิ สัญญาณชีพ 4.2.1 การวดั อณุ หภมู ริ ่างกาย (Temperature measurement) อุณหภูมิร่างกาย หมายถึง ปริมาณพลังงานจลน์ที่เกิดขึ้นในหนึ่งหน่วยโมเลกุล มีสัดส่วน เท่ากบั ปรมิ าณความร้อนที่สะสมอยู่ในรา่ งกาย วัดไดม้ หี น่วยเปน็ องศาเซลเซียส (degree Celsius) การวัดอุณหภูมิร่างกายโดยใช้เทอร์โมมิเตอร์ (thermometer) บันทึกระบุเป็น องศา เซลเซียส (o C) ในวัยผใู้ หญ่สามารถวดั ได้ทางปากและทางรกั แร้ ในเดก็ ทารกจะวัดทางทวารหนัก 106
ก. ข. ค. รปู ภาพที่ 4-1 แสดงปรอทวัดไข้ ก. ปรอทวดั ไข้แบบแก้ว (glass thermometer) ข. ปรอทวัดไข้แบบดจิ ิตอล (digital Thermometer) ค. ปรอทวดั ไข้ทางทวารหนกั สำหรักทารก (baby Thermometer ) 4.2.1.1 หลักการวดั อุณหภูมริ ่างกาย 1) กรณีใช้ปรอทแก้ว ต้องสลัดปรอทลงกระเปาะหรือให้ตำกว่า 35.5 ๐C เพื่อให้ ระดบั ปรอทก่อนวดั อยูต่ ำ่ กวา่ อุณหภมู ิร่างกายทีป่ กติ 2) การวัดอุณหภูมิทางปาก (Oral temperature measurement) ใช้ในผู้ที่รู้สึกตัว ดี เทา่ นั้น เนอ่ื งจากต้องวางปลายปรอทท่เี ป็นกระเปาะท่มี ีปรอทบรรจุอยบู่ ริเวณใตล้ ้ินระหว่างเน้ือเยื่อ พงั ผืดใตล้ นิ้ (frenulum) และใหผ้ ู้ป่วยอมปรอทไวแ้ ละปิดปากให้สนิท ทิง้ ไว้ 3-5 นาที ซงึ่ หากผู้ป่วยไม่ รสู้ ึกตัว สับสน อาจทำให้กัดปรอทวัดไขห้ รือปรอทวัดไขต้ กแตกเสียหายได้ 3) การวัดอุณหภูมิทางรักแร้ (Axillary temperature measurement) ให้สอด ปรอทเขา้ ใตร้ กั แร้ ให้กระเปาะปรอทอยบู่ ริเวณกลางรักแร้พอดี เพอื่ ใหป้ รอทได้สัมผสั กบั เสน้ เลือดที่ไป เลี้ยงบริเวณรักแร้ (axillary blood supply) ทำให้ไดค้ ่าปรอททีถ่ กู ต้อง ถ้ารักแรช้ นื้ ใหใ้ ช้ผา้ ซบั ให้แห้ง เพราะความชื้นจะทำให้ได้ค่าอุณหภูมิต่ำกว่าค่าจริง ให้ผู้ป่วยหนีบปรอทไว้ประมาณ 5 นาที (สำหรับ เทอร์โมมิเตอร์แบบอิเล็กทรอนิก จับ probe ให้อยู่ในตำแหน่งจนกระทั่งได้ยินเสียงสัญญาณดังข้ึน อุณหภูมิจะปรากฏอยบู่ นจอมอนิเตอร์) จึงคอ่ ยอา่ นคา่ อุณหภูมริ ่างกาย 4) การวัดอุณหภูมิทางทวารหนัก (Anal temperature measurement) ในเด็ก ทารก ต้องหล่อลื่นด้วยวาสลีนหรือสารหล่อลื่น K-Y jelly ที่ปลายด้านกระเปาะเทอร์โมมิเตอร์ ยาว ประมาณ 1-1.5 น้วิ เพื่อลดการระคายเคืองขณะใส่ปรอทเขา้ ไปทางทวารหนัก โดยกอ่ นการวัดต้องจัด ทา่ ให้ผู้ปว่ ยนอนตะแคงไปด้านใดด้านหนึง่ ให้ผปู้ ่วยหายใจเข้าออกช้าๆ ลกึ ๆ เพ่อื ให้รสู้ กึ ผ่อนคลาย ซึ่ง จะทำให้กลา้ มเน้ือหรู ดู ชนั้ นอกของทวารหนักคลายตัว 107
4.2.1.2 ค่าปกติของอณุ หภมู ิร่างกาย ค่าปกติของอุณหภูมิร่างกายในผู้ใหญ่อยู่ระหว่าง 35.8 – 37.5 oC (Patricia A. Potter., 2013) กรณกี ารวดั อุณหภูมิในตำแหน่งที่ไมใ่ ช่อุณหภูมิในส่วนแกน (core temperature) คืออุณหภูมิ ในส่วนลึกของร่างกายมีความจำเป็นต้องปรับค่าก่อนการแปรผลและบันทึกข้อมูล ดังรายละเอียดใน ตารางท่ี 4.2.1.2 ตำแหนง่ ค่าเฉลย่ี อุณหภูมปิ กติใน การปรบั ค่าอุณหภูมิ ผใู้ หญ่ (0C) ทางปาก (Oral) 37 - ทางทวารหนกั (Rectal) 37.5 ค่าท่ีวดั ได้ ลบด้วย 0.5 oC ทางรกั แร้ (Axillary) 36.5 คา่ ทว่ี ดั ได้ บวกด้วย 0.5 oC ทางหู (Tympanic) 37.5 ทางหน้าผาก(Temporal artery) 37.5 - - ตารางที่ 4-1 แสดงตำแหน่งทีว่ ัดอณุ หภมู ิและค่าเฉล่ยี ของอณุ หภมู ปิ กติ ดัดแปลงจาก Patricia A. Potter. (2013) 4.2.2 การวดั ชพี จร (pulse measurement) ชีพจร (pulse) เป็นค่าที่เกิดจากหัวใจบีบตัวไล่เลือดจากหัวใจเข้าสู่หลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta) ผ่านไปยังเสน้ เลือดแดงที่เล็กกวา่ ทำให้ผนังหลอดเลือดแดงขยายพองออกซึ่งสามารถสัมผัสได้ โดยใช้มือวางไว้ตรงตำแหน่งของเส้นเลือด อัตราการเต้นของชีพจร (pulse rate) จะนับเป็นจำนวน ครง้ั ตอ่ นาที (beat per minute, bpm) อัตราการเต้นของชีพจรที่เร็วกว่าปกติ เรยี กว่า tachycardia ถา้ ช้ากวา่ ปกติเรยี ก bradycardia 4.2.2.1 หลกั การวดั ชพี จร 1) การวัดชีพจรด้วยการวางปลายนิ้วช้ี นิ้วกลาง นิ้วนาง เบา ๆ ตรงบริเวณหลอดเลือดที่ ต้องการวัด แล้วนับอัตราการเต้นของชีพจรให้ครบ 1 นาที กรณีค่าที่นับได้เป็นเลขคี่ให้ปัดเป็นเลขคู่ โดยสามารถปัดขึน้ หรือปดั ลงกไ็ ด้ 2) การวัดชีพจรเพื่อให้สามารถนำข้อมูลการประเมินที่ได้มาใช้ในการวางแผนการพยาบาล ได้อยา่ งครอบคลุมต้องประเมนิ ให้ครบ 4 ด้าน ดังนี้ 108
(1) อัตราชพี จร (Pulse rate) เป็นจำนวนครั้งของการเตน้ ของชีพจร โดยในผู้ใหญ่จะอยู่ ระหว่าง 60-100 คร้งั /นาที อตั ราชีพจรเป็นสงิ่ ท่ีต้องนำไปบันทึกในใบจดุ ปรอท (2) จังหวะชีพจร (Pulse rhythm) เพื่อประเมินความสม่ำเสมอของจังหวะชีพจร ซ่ึง อาจมจี ังหวะชีพจรแบบสมำ่ เสมอ (regular) หรอื ไมส่ มำ่ เสมอ (irregular) ได้ซ่งึ หากประเมินพบความ ผดิ ปกตขิ องจังหวะชีพจรจะมกี ารคน้ หาสาเหตุตอ่ ไป (3) ความแรงของชีพจร (Pulse amplitude) ประเมินความแรงของชีพจรที่มากระทบ มือ โดยอาจเป็นแบบมีความแรงปกติ (strong) หรือชีพจรที่เบา (weak) อาจพบในผู้ป่วยที่มีอาการ ออ่ นเพลีย ผ้ปู ่วยทอ่ี ยใู่ นภาวะใกลช้ อ็ ค เป็นตน้ (4) ความเท่ากันของชีพจรท้ัง 2 ข้างเปรียบเทียบกัน (equality) ใช้สำหรับประเมินการ ไหลเวียนของเลอื ดไปยงั อวัยวะสว่ นปลาย รยางค์แขน ขา 4.2.2.2 คา่ ปกตขิ องชพี จร คา่ ปกตขิ องชีพจรในวยั ผู้ใหญเ่ ท่ากบั 60-100 ครง้ั ต่อนาที (beat/minute (bpm) โดยหาก ชีพจรเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาที เรียกว่า Tachycardia และ ชีพจรช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาที เรียกว่า Bradycardia ซ่งึ ความผิดปกติบ่งบอกถึงภาวะสุขภาพท่เี ปลีย่ นแปลง 4.2.3 การวดั อตั ราการหายใจ (Respiratory measurement) การหายใจ (respiration) ประกอบด้วย การหายใจเข้า (inspiration or inhalation) และ การหายใจออก (expiration or exhalation) ขณะหายใจแตล่ ะครง้ั รา่ งกายจะได้รบั O2 จากภายนอก และระบาย CO2 ออกจาการ่างกาย ขั้นตอนการแลกเปลีย่ น O2 และ CO2 ระหว่างปอดและเส้นเลือด เราเรียกวา่ external respiration สว่ นการแลกเปลี่ยน O2 และ CO2 ระหวา่ งเลอื ดและเซลล์ร่างกาย เรียกวา่ internal respiration or tissue respiration 4.2.3.1 หลกั การอตั ราการหายใจ อัตราการหายใจหรือ Respiration rate (RR) สามารถวัดได้โดยนับการหายใจเข้า (inspiration or inhalation) และการหายใจออก (expiration or exhalation) นับเป็น 1 ครั้ง 4.2.3.2 คา่ ปกตขิ องอัตราการหายใจ ค่าปกติ 16 -24 ครั้งต่อนาที (breath per minute, bpm) อัตราการหายใจเร็วเกินไป มากกว่า 24 ครง้ั ตอ่ นาที เรียกว่า Tachypnea หายใจน้อยกว่า 16 คร้ังตอ่ นาที เรยี กว่า Bradypnea 109
4.2.4 การวัดความดนั โลหติ (Blood pressure measurement) ความดันโลหิต (Blood pressure, BP) เป็นแรงดันเลอื ดที่กระทำตอ่ ผนังของหลอดเลือด ซ่ึง เลือดจะไหลจากบริเวณที่มีแรงดันสูงไปสู่บริเวณที่มีแรงดันต่ำ วัดค่าได้โดยเครื่องวัดความดันโลหิต (Sphygmomanometer) หนว่ ยทใี่ ช้วัดความดนั โลหิตคือ มลิ ลิเมตรปรอท (mmHg) หมายถึง ความ ดันที่สามารถดนั ปรอทใหส้ งู ขึ้นเป็นกมี่ ิลลเิ มตร โดยค่าความดนั โลหิตมี 2 คา่ ดังนี้ Systolic blood pressure (SBp) หมายถึง แรงดันเลือดที่เกิดจากหัวใจบีบตัว ทำให้ได้ค่า ความดันโลหติ ตวั บน Diastolic blood pressure (DBp) หมายถึง แรงดันเลือดที่เกิดจากหัวใจคลายตัว ทำให้ได้ คา่ ความดนั โลหติ ตวั ลา่ ง 4.2.4.1 หลักการวดั ความดันโลหิต 1) เลือกแขนข้างที่จะวัดความดันโลหิต ควรเลือกแขนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่มีสาย น้ำเกลือไหลอยู่ ตำแหน่งท่ีหา้ มวดั ความดันโลหิต เพื่อปอ้ งกันไม่ให้เกิดปญั หาเลือดไหลเวียนไม่สะดวก ดังน้ี (1) แขนที่ได้รับการทำทางเบี่ยงหลอดเลือด ชนิด AV- shunt และ AV fistula สำหรบั ฟอกเลือดด้วยเคร่ืองไตเทยี ม (2) แขนข้างที่ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดเต้านมและเลาะต่อมเหลือง (Modified radical mastectomy: MRM) 2) ควรพันผา้ ของเครอื่ งวดั ความดนั โลหติ (cuff) รอบแขนเหนือบริเวณเส้นเลอื ดแดงเบร เคียล (brachial artery) ให้ขอบผ้าด้านล่างอยู่เหนือบริเวณข้อพับของข้อศอก (antecubital fossa) ขึน้ ไปอยา่ งน้อย 2 เซนติเมตร พันให้แนน่ พอดี โดยให้สายยางทง้ั 2 อยรู่ ะหว่างเสน้ เลือดแดงเบรเคียล (brachial artery) 3) ในกรณีที่ไม่ทราบค่าความดันโลหิตของผู้ป่วยมาก่อน หาค่าประมาณความดันซีสโต ลคิ (systolic pressure) ของผ้ปู ว่ ยโดยวางปลายน้วิ ลักษณะเดียวกบั การจบั ชพี จร แลว้ หมนุ บิดเกลยี ว ให้แน่น บีบลูกยางให้ระดับปรอทสูงขึ้นจนกว่าชีพจรจะหายไป พร้อมอ่านค่าประมาณความดันซีสโต ลิค ณ จดุ นั้น 110
4) การบีบลูกยางควรบีบให้ระดับปรอทสูงขึ้น 150-180 มิลลิเมตรปรอท หรือเกินกว่า ค่าประมาณความดนั ซสี โตลิคของผปู้ ่วยหรือคา่ ความดนั ซีสโตลิคของผู้ป่วยท่ีวัดได้ครัง้ สุดท้ายขึ้นไปอีก 20 มิลลิเมตรปรอท 5) การปล่อยลมออกจากลูกยางต้องค่อยๆ หมุนเปิดเกลียวให้ลมออกช้าๆ และตั้งใจฟัง เสียงตุ๊บแรกที่ได้ยินคือ ค่าความดันซีสโตลิคและเสียงตุ๊บสุดท้ายก่อนเสียงหายไปคือ ค่าความดันได แอสโตลิค 4.2.4.2 คา่ ปกตขิ องความดนั โลหติ ค่าปกติของความดันโลหิตในผู้ใหญ่เท่ากับ 120/80 mmHg หากค่าความดันโลหิตที่สูง มากกว่า 120/80 mmHg เรียกว่า “Hypertension” โดยเกณฑข์ อง American Heart Association and American stroke association กับกองโรคไม่ติดต่อ กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยมา ค่าที่แตกต่างกันเล็กน้อย ในที่นี้ได้ยดึ ตามเกณฑ์ของ กองโรคไม่ติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข ดังแสดง ในตารางท่ี 4.1.4 สำหรับค่าความดนั โลหิตที่ต่ำกว่า 120/80 mmHg เรียวา่ “Hypotension” ท้ังนี้ หากค่าความดันโลหติ ที่น้อยกว่า 90/60 mmHg หมายถึงอยู่ป่วยเริ่มเข้าสู่ภาวะ Shock มีความเสี่ยง ตอ่ การเสียชวี ิตได้ การแบง่ หมวดหมตู่ าม ความดนั โลหติ ตัวบน ความดนั โลหติ ตัวลา่ ง คา่ ความดันโลหติ (Systolic blood pressure) (Diastolic blood pressure) ความดันโลหิตสงู ระยะวกิ ฤต ≥ 180 mmHg ≥ 110 mmHg ความดันโลหติ สูง ระยะที่ 2 160–179 mmHg 100-109 mmHg ความดันโลหติ สูง ระยะท่ี 1 140-159 mmHg 90-99 mmHg ความดันโลหิตสูงกวา่ ปกติ 130- 139 mmHg 85-89 mmHg ความดันโลหติ ปกติ 120 -129 mmHg 80-84 mmHg ความดันโลหิตต่ำกวา่ ปกติ 91 – 119 mmHg 61-79 mmHg ความดันโลหติ ต่ำ ระยะวิกฤต ≤ 90 mmHg ≤ 60 mmHg ตารางท่ี 4-2 แสดงการแบง่ หมวดหมตู่ ามค่าความดนั โลหิต ท่ีมา : กองโรคไมต่ ดิ ต่อ กระทรวงสาธารณสุข, 2564 111
4.2.5 การประเมินความปวด (pain measurement) ความปวด (pain) เกิดจากการที่เนื้อเยื่อถูกทำลายจากการบาดเจ็บหรือการผ่าตัดทำให้ เกิดการกระตุ้นสารก่อการอักเสบ (Pro-inflammatory ) และสารเคมีตัวกลาง (mediator) เช่น histamine, substance P และ prostaglandin กระตนุ้ ปลายประสาทรับความรสู้ ึกและส่งสัญญาณ ผา่ นทางวถิ ีการนําความปวด (pain impulse pathway) บริเวณไขสันหลงั สว่ นดอร์ซลั ฮอร์น (dorsal horn) เกิดการเปล่ียนแปลงการรับรูค้ วามปวด ขีดความทนต่อความปวด (pain threshold) ลดลง มี ความไวต่อความปวด (pain sensitivity) โดยความรุนแรงของความปวดขึ้นอยู่กับความรุนแรงของ การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ ทําให้มีการกระตุ้นตัวรับความปวด (nociceptors) อย่างต่อเนื่องและมีการ รบั รูค้ วามปวดเพิ่มมากขึ้นแมใ้ นขณะพกั (อตภิ ัทร พรมสมบัติ และคณะ, 2563) การอธิบายความปวดยังสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีควบคุมประตู (Gate control theory) (พรทิพย์ พรหมแทนสุด สุทธีพร มูลศาสตร์ และดนัย หีบท่าไม้, 2561) ซึ่งอธิบายการนำ สัญญาณความปวดว่า บุคคลมีเส้นประสาทที่นำส่งสัญญาณประสาทไดแ้ ก่ 1) เส้นประสาทขนาดใหญ่ ชนิด A-alpha fibers รับสัญญาณจากการสัมผัส แรงกด อุณหภูมิ ฯลฯ และ 2) เส้นประสาทขนาด เล็ก ชนิด A-delta fibers และ C fibers เป็นตัวรับสัญญาณความเจ็บปวดจากระบบประสาทส่วน ปลายและส่งผ่านสัญญาณไปท่ีเซลล์ substantial gelantinosa (SG cell) ที่ไขสนั หลงั เม่ือเซลล์นี้ถูก กระต้นุ สญั ญาณปวด จะถูกสง่ ไปท่ี T cell ให้ทำงาน หรือในทางตรงข้าม SG cell สามารถยบั ย้ังการ ทำงานของ T cell ได้ กลไกนี้จึงเปรียบเสมือนประตูควบคุมการปิดหรือการเปิดประตูของไขสันหลัง (Neurological gates) ว่าจะยอมให้สัญญาณปวดถูกส่งต่อไปผ่าน spinothalamic tract ขึ้นสู่สมอง หรอื ไม่ หากสัญญาณปวดเขา้ สู่สมอง รา่ งกายจะรับร้คู วามปวดได้ ดงั แสดงในรปู ภาพท่ี 4.1.5 รูปภาพท่ี 4-2 ทฤษฎคี วบคมุ ประตู (Gate control theory) ท่ีมา: https://www.sciencephoto.com/ 112
4.2.5.1 หลกั การประเมินความปวด การประเมินความปวดใช้เครือ่ งมือที่เรียกว่า Pain scale วัดความรู้สึกของผู้ป่วยต่อการ รับรู้ความเจ็บปวด แบบประเมินมีหลายแบบตามความเหมาะสม เช่น Numerical Rating Scale, Face scale รวมทั้งแบบประเมินความปวดในเด็กด้วยแบบประเมิน Children's Hospital of Eastern Ontario Pain Scale (CHEOPS) การเลือกใชเ้ ครือ่ งมือประเมินความปวด 1) กรณีผู้ป่วยที่เข้าใจความหมายของตัวเลขและสามารถประเมินความปวดเป็น ตวั เลขได้ เชน่ ผใู้ หญห่ รอื เด็กอายุ 6 ปีขน้ึ ไป ควรประเมินความปวดด้วยมาตรวัดความปวดด้วยตัวเลข (Numerical Rating pain Scale: NRS) โดยมีคะแนนตั้งแต่ 0-10 คะแนน คะแนน 0 หมายถึง ไม่มี อาการปวด คะแนน 10 หมายถึง ปวดมากทีส่ ดุ แบ่งระดับความปวด ดงั นี้ 0 คะแนน หมายถงึ ไมม่ อี าการปวด (no pain) 1-3 คะแนน หมายถงึ ปวดเลก็ นอ้ ย (mild pain) 4-6 คะแนน หมายถงึ ปวดปานกลาง (moderate pain) 7-10 คะแนนหมายถึง ปวดรุนแรง (severe pain) รูปภาพที่ 4- 3 แสดงแบบประเมนิ pain scale ทีม่ า: https://www.freepik.com 113
2) กรณีผู้ป่วยที่ไม่สามารถเข้าใจความหมายของตัวเลข สามารถใช้แบบประเมิน Children's Hospital of Eastern Ontario Pain Scale (CHEOPS) หรอื Wong Baker FACES Pain Rating Scale 3) กรณีผู้ป่วยที่ไม่สามารถบอกความปวดได้ ผู้ป่วยระดับความรู้สึกตัวลดลง หรือ ผู้ป่วยวิกฤต สามารถใช้เครื่องมือ Behavior Pain Scale หรือ Critical care Pain Observation Tool ได้ 4.2.5.2 คา่ ปกตกิ ารประเมินความปวด ผู้ป่วยทุกรายควรได้รับการบรรเทาความปวดอย่างเหมาะสม โดยภายหลังได้รับการ พยาบาลเพื่อบรรเทาความปวดแล้ว ค่าเป้าหมายของระดับความปวด ควรลดลงน้อยเหลือ ≤ 3 คะแนน (ราชวิทยาลัยวิสัญญีแห่งประเทศไทยและสมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย, 2562) สญั ญาณชพี ค่าปกติ (ในผใู้ หญ่) อปุ กรณ์ในการวัด Temperature 35.8 -37.5 0C -ใช้ปรอทวดั ไข้ วดั ทางรกั แร้ ใต้ลน้ิ หรือทาง (T) คำศพั ทท์ เ่ี กยี่ วขอ้ ง ทวารหนัก ตามความเหมาะสม แลว้ อ่านคา่ อุณหภูมิ - Fever / Hyperthermia ร่างกาย หมายถึง มีไข้ อุณภูมิร่างกาย มากกวา่ 37.5 0C - Hypothermia ห ม า ย ถึ ง อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ อาจ เกิดภาวะช็อก Pulse rate 60-100 beat/minute (bpm) -สัมผัสได้โดยใช้มือวางไว้ตรงตำแหน่งของ (RR) ชพี จร คำศพั ทท์ ่ีเก่ียวข้อง เส้นเลือด เช่น บริเวณข้อมือ (radial - Tachycardia หมายถึง ชีพจร pulse) อัตราการเต้นของชีพจรจะนับเป็น เรว็ กว่า 100 ครั้งตอ่ นาที จำนวนคร้ังต่อนาที (beat/minute) - Bradycardia หมายถึง ชีพจร ช้ากว่า 60 ครง้ั ตอ่ นาที 114
สัญญาณชพี ค่าปกติ (ในผู้ใหญ่) อุปกรณใ์ นการวัด Respiration 1 6 – 2 4 breath /minute - สังเกตแขนของผู้ป่วยที่วางไว้บนหน้าอก rate (RR) (bpm) หรือมือผู้วัดที่วางไว้บนผนังหน้าอกหรือ อัตราการหายใจ คำศัพท์ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง หน้าท้องของผู้ป่วยขยับขึ้นลงตามจังหวะ - Tachypnea หมายถึง หายใจ การหายใจเขา้ และออก นบั เป็น 1 ครงั้ โดย เร็วเกินไป มากกว่า 24 breath นับการหายในให้ครบ 1 นาที /minute - Bradypnea หมายถึง หายใจ น้อยกวา่ 16 breath /minute Blood 120/80 mmHg -ใช้ผา้ พนั (cuff) ของเครื่องวัดความดนั pressure (BP) คำศัพทท์ ี่เกย่ี วขอ้ ง โลหติ (Sphygmomanometer) พนั เหนือ ความดนั โลหติ - Hypertension หมายถึง ค่า บริเวณขอ้ พับของข้อศอก (antecubital ความดันโลหิตมากกว่า 130/85 fossa) ขึ้นไปอย่างนอ้ ย 2 เซนตเิ มตร วางหู mmHg. ฟงั (Stethoscope) บรเิ วณตำแหน่ง - Hypotension ห ม า ย ถ ึ ง ค่ า brachial artery บีบลกู ยางด้วยอ้งุ มือ ให้ ความดันโลหิตน้อยกว่า 120/80 ระดบั ปรอทสูงขึน้ 150-180 มิลลเิ มตร mmHg. ปรอท หรอื เกินกวา่ ค่าประมาณความดนั ซสี -Shock หมายถึงค่าความดัน โตลคิ ของผปู้ ่วยหรอื ค่าความดันซีสโตลิค โลหิตน้อยกว่า 90/60 mmHg. ของผู้ปว่ ยท่ีวดั ได้ครง้ั สุดท้ายข้ึนไปอีก 20 เสย่ี งตอ่ การเสียชวี ติ มลิ ลิเมตรปรอท แล้ว ค่อยๆ หมนุ เปดิ เกลยี วให้ลมออกช้าๆ ฟังเสยี งตุ๊บแรกท่ีได้ ยนิ คอื คา่ ความดันซสี โตลิคและเสยี งตบุ๊ สุด ทา้ ยก่อนเสียงหายไปคือ คา่ ความดันได แอสโตลคิ 115
สัญญาณชีพ คา่ ปกติ (ในผ้ใู หญ่) อปุ กรณ์ในการวัด Pain score - ≤ 2 คะแนน - ให้ผู้ป่วยประเมินตนเองแล้วบอกเป็น คะแนนความ คำศพั ทท์ ่ีเกย่ี วขอ้ ง ระดับคะแนน ปวด - severe pain ห ม า ย ถ ึ ง ค่ า คะแนนความปวดตั้งแต่ 7 คะแนนข้ึนไป ตารางท่ี 4-2 แสดงการสรุปการวัดสัญญาณชพี คา่ ปกตแิ ละอุปกรณ์ในการวดั 4.3 การบนั ทึกสญั ญาณชพี ในรายงานผู้ป่วย หลักการบันทึกสญั ญาณชพี ในรายงานผ้ปู ่วย มีรายละเอียด ดังน้ี 4.3.1 การบันทึกอุณหภูมิร่างกายในฟอร์มปรอท โดยเคร่ืองหมาย ⚫ ใช้หมึกสนี ้ำเงิน กรณี บันทึกอณุ หภมู ิร่างกายภายหลงั การเช็ดตวั ลดไข้ ใหเ้ ขยี นจดุ ไข่ปลาสนี ำ้ เงิน จดุ ลงมาจากตำแหนง่ เดิม 4.3.2 การบนั ทกึ ค่าชพี จรลงในฟอรม์ ปรอท โดยเครื่องหมาย ⚫ สแี ดง 4.3.3 การบนั ทึกอตั ราการหายใจ เขียนอตั ราการหายใจในชอ่ งของ Respiration 4.3.4 การบนั ทกึ ความดันโลหติ เขียนค่าความดนั โลหิตในช่องของ Blood pressure 4.3.5 การบันทึกคะแนนความปวด โดยเครื่องหมาย ⚫ ในช่องของ pain score (การใช้สี ของหมกึ ขึ้นกบั ข้อกำหนดของแต่ละโรงพยาบาล เช่น สเี ขยี ว สีนำ้ เงิน) ตวั อย่าง การบนั ทกึ สญั ญาณชพี โจทย์สถานการณ์ 10.00 น. T = 38.8 0C, PR = 84 bpm, RR = 22 bpm, BP = 130/84 mmHg, PS = 2 10.30 น. ภายหลงั เข็ดตวั ลดไข้ T = 37.8 0C 14.00 น. T = 36.8 0C, PR = 72 bpm, RR = 18 bpm, BP = 120/80 mmHg, PS = 0 116
รูปภาพที่ 4-4 แสดงการการบันทกึ สญั ญาณชพี ตามโจทยต์ ัวอยา่ ง 117
4.4 บทสรปุ การวัดและประเมินสัญญาณชีพ เป็นทักษะที่พยาบาลวิชาชีพต้องใช้ในการประเมินผู้ป่วย อันเป็นการรวบรวมข้อมูลปัญหาทางการพยาบาล และการวางแผนการพยาบาลตามหลักการของ กระบวนการพยาบาล การเข้าใจถึงหลักการวัดและประเมินสัญญาณชีพ การเลือกใช้เครื่องมือท่ี เหมาะสม วิธีการวัดและประเมินอย่างถูกต้องนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกกับค่าปกติของสัญญาณชีพจะทำให้การวางแผนการพยาบาล การประเมินผลทางการพยาบาล ไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกับปญั หาสขุ ภาพของผู้ปว่ ย 4.5 คำถามท้ายบท 1 Fever หมายถงึ อณุ ภมู ิรา่ งกายในข้อใด 1. 36.8 0C 2. 36.9 0C 3. 37.4 0C 4. 37.7 0C 2 Pulse = 110 bpm หมายถึงข้อใด 1. Bradypnea 2. Tachypnea 3. Bradycardia 4. Tachycardia 3 วธิ กี ารนบั Respiration rate ข้อใดถกู ตอ้ ง 1. หายใจเข้า หายใจออก นับ 1 ครง้ั 2. หายใจเข้า นบั 1 คร้ัง หายใจออก นับ 1 คร้งั 4 BP = 80/50 mmHg หมายถงึ ข้อใด 1. ความดนั โลหิตปกติ 2. ความดันโลหติ ตำ่ กว่าปกติ 3. ความดนั โลหิตตำ่ มาก มีภาวะช็อก 118
5 BP = 120/80 mmHg ตัวเลข 80 หมายถึงขอ้ ใด 1. Systolic BP 2. Diastolic BP 6 ผู้ป่วยหลังทำผ่าตัดเต้านมขวาและเลาะตอ่ มนำ้ เหลอื ง ควรวดั ความดันโลหิตท่ตี ำแหนง่ ใด 1. แขนขวา 2. แขนซา้ ย 3. ขาขวา 4. ขาซ้าย 7 คา่ ความดันโลหติ ในข้อใด หมายถึง Hypertension stage 2 1. 128/80 mmHg 2. 136/84 mmHg 3. 144/98 mmHg 4. 180/90 mmHg 8 ผู้ปว่ ยเด็กอายุ 10 ปี เรยี นหนงั สืออยชู่ ั้น ป. 4 ควรใชแ้ บบประเมินความปวดในข้อใด 1. CHEOPS 2. Face scale 3. Digital rating scale 4. Number rating scale 9 การบันทกึ ชพี จรในฟอร์มปรอท ตอ้ งใช้หมกึ สีใด 1. สีดำ 2. สแี ดง 3. สีเขียว 4. สนี ้ำเงิน 119
10 การบันทกึ คะแนนความปวดในฟอร์มปรอท ต้องบนั ทึกอย่างไร 1. ใชเ้ ครื่องหมาย⚫ สแี ดง 2. เขียนตวั เลขคา่ คะแนนดว้ ยหมึกสีแดง 3. เขียนตวั เลขคา่ คะแนนด้วยหมกึ สีแดง 4. ใช้เครื่องหมาย⚫ สเี ขียวหรอื ตามทหี่ นว่ ยงานกำหนด 4.6 เอกสารอา้ งอิง กองโรคไม่ติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข. (2564). ระดับความดันโลหิต. สืบค้นจาก http://www.thaincd.com/ ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ และอรุณรัตน์ เทพนา. (2559). ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ: หจก. เอ็นพีเพรส. พรทิพย์ พรหมแทนสุด สุทธพี ร มลู ศาสตร์ และดนัย หบี ท่าไม.้ (2561). ประสทิ ธิผลของโปรแกรมการ จัดการความปวดร่วมกับการปรับสิ่งแวดล้อมในผู้สูงอายุข้อเข่าเสื่อม. วารสารพยาบาล, 67(4), 34-43. ราชวิทยาลัยวิสัญญีแห่งประเทศไทยและสมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย. (2562). แนวทางการพัฒนาการระงับปวดเฉียบพลันหลังผ่าตัด ฉบับที่ 2. สืบค้นจาก http://www.anesthai.org สัมพันธ์ สันทนาคณิต, สุมาลี โพธิ์ทอง และสุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พืน้ ฐาน II. กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธการพิมพ์ จำกดั . สุปราณี เสนาดิสัยและวรรณภา ประไพพานิช. (2558). การพยาบาลพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : บริษัท จุด ทอง จำกดั สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์ สุมาลี โพธิ์ทอง, และสัมพันธ์ สันทนาคณิต. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พ้ืนฐาน I.กรุงเทพฯ: บริษทั บพธิ การพมิ พ์ จำกัด. อัจฉรา พุ่มดวง. (2559). การพยาบาลพื้นฐาน : ปฏิบัติการพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2556). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 1. ฉบับปรับปรุงครั้งท่ี 1, กรุงเทพฯ : บรษิ ทั ธนาเพรส จำกดั . 120
อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2558). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 2. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บรษิ ทั จรัลสนิทวงศก์ ารพิมพ์ จำกัด. อติภัทร พรมสมบัติ สุพร ดนัยดุษฎีกุล อรพรรณ โตสิงห์ และ จตุพร ศิริกุล. (2563). ปัจจัยทํานาย ความปวดในผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บก่อนจําหน่ายจากโรงพยาบาล. Nursing Science Journal of Thailand. 38(2), 59-73. Nettina SM. (2 0 1 4 ) . Manual of Nursing Practice. Philadelphia: Williams &Wilkins Lippincott. Patricia A. Potter. (2 0 1 3 ) . Fundamentals of Nursing 8 th ed. St. Louis, Mo : Mosby Elsevier. Taylor ll. (2015). Fundamental of Nursing .8th ed. Philadelphia: Walters Kluwer. 121
แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 5 หลกั การและเทคนิคการพยาบาลพื้นฐาน ในการดูแลสขุ วิทยาส่วนบคุ คลและสิง่ แวดล้อม หัวขอ้ เน้อื หาประจำบท 1. กระบวนการพยาบาลในการดูแลสขุ วทิ ยาสว่ นบคุ คล 2. การดูแลสขุ วิทยาส่วนบุคคลในแต่ละช่วงเวลาของวัน 3. หลักการและวิธีการดแู ลสุขวทิ ยาสว่ นส่วนบคุ คล 3.1 การอาบน้ำบนเตยี งและการนวดหลัง การเช็ดตวั ลดไข้ 3.2 การทำความสะอาดอวัยวะสบื พนั ธภุ์ ายนอก 3.3 การทำความสะอาดปากฟนั 3.4 ทำความสะอาดตา หู จมกู มอื เล็บ 3.5 การสระผมบนเตียง 4. การดูแลส่งิ แวดล้อมข้างเตียงผูป้ ว่ ย 4.1 การจดั สิ่งแวดลอ้ มขา้ งเตียง 4.2 การทำความสะอาดเตยี งผูป้ ่วย จำนวนชั่วโมงทสี่ อน: ภาคทฤษฎี 4 ชัว่ โมง วตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 1. บอกหลักการและวิธกี ารดูแลสขุ วทิ ยาสว่ นบคุ คลได้ 2. บอกหลักการและวธิ ีการการดแู ลสิง่ แวดลอ้ มรอบเตียงผปู้ ่วยได้ 3. ใชก้ ระบวนการพยาบาลในการดแู ลสุขวิทยาส่วนบคุ คลและส่งิ แวดล้อมได้ วธิ สี อนและกิจกรรมการเรยี นการสอน 1. วธิ ีสอน 1.1 บรรยายสรุปจากการดู VDO สื่อการสอน 1.2 อภิปรายกลมุ่ 1.3 ยกตวั อย่างกรณศี ึกษาเพ่ือการอภิปราย 122
2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.1 มอบหมายงานลว่ งหน้าอย่างน้อย 1 สปั ดาห์ ใหน้ ักศึกษาดู VDO ส่อื การสอน เร่ืองการ ดูแลสุขวิทยาสว่ นบุคคล ทาง YouTube channel: nursing practice https://www.youtube.com/channel/UCvKvxUJtmc7syshf5zcy7Xw และสรปุ การเรียนรู้ 2.2 บรรยายสรปุ การดแู ลสขุ วทิ ยาสว่ นบุคคลในแตล่ ะช่วงเวลาของวนั หลักการและวิธีการ ดูแลสุขวิทยาส่วนส่วนบุคคล การทำความสะอาดตา หู จมูก มือ เล็บ การสระผมบนเตียง และการ ดแู ลสงิ่ แวดลอ้ ม 2.3 ยกตัวอย่างกรณีศึกษาและให้ผู้เรียนร่วมกันวางแผนการพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาพร่อง สุขวทิ ยาส่วนบคุ คล 2.4 ผเู้ รยี นรว่ มกันสรุปการเรยี นรู้ สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. โปรแกรมสำเร็จรปู Power Point Presentation 3. โจทย์ตวั อย่างกรณศี ึกษา 4. แบบฟอร์มการวางแผนการพยาบาล (nursing care plan) 5. VDO ประกอบการสอน เรื่องการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล ทาง YouTube channel: nursing practice การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. การเข้าชนั้ เรียนร่วมกับการสงั เกตพฤตกิ รรมการเรยี น 2. การสงั เกตการมสี ่วนรว่ มในอภปิ รายและตอบคำถาม 3. ผลการเขียนแผนการพยาบาลผู้ปว่ ยท่มี ปี ัญหาพรอ่ งสุขวิทยาส่วนบคุ คล 4. การทำแบบฝกึ หดั ท้ายบท 5. การสอบกลางภาค 123
บทที่ 5 หลักการและเทคนิคการพยาบาลพ้ืนฐาน ในการดแู ลสุขวิทยาส่วนบคุ คลและส่งิ แวดล้อม การดูแลสขุ วิทยา (Hygiene) เป็นคำมาจากภาษากรีก หมายถึง ความสขุ สบายของร่างกาย ความสมบูรณ์ของสุขภาพ (Healthful) รวมถึงการทำให้ร่างกายสะอาด และส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดี สุขวิทยาส่วนบุคคล (Personal Hygiene) หมายถึง การดูแลตนเองเพื่อให้มีสุขภาพดี ซึ่งแสดงออก โดยการให้ความสนใจ เอาใจใส่รักษาความสะอาดของร่างกายตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าทั้งในภาวะ ปกติและเจบ็ ปว่ ย บุคคลเมื่อเจ็บป่วยต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล พยาบาลจะเป็นผู้ดูแลว่ามีความ บกพร่องในการดูแลตนเองเกี่ยวกับสุขวิทยาส่วนบุคคลหรือไม่เรื่องใดบ้างเพื่อส่งเสริมสนับสนุนและ ช่วยเหลือให้ผู้ป่วยมีการดแู ลสขุ วทิ ยาส่วนบคุ คลทีด่ ี 5.1 กระบวนการพยาบาลในการดูแลสุขวทิ ยาสว่ นบุคคล หลักการดูแลสุขวิทยาส่วนส่วนบุคคล ใช้กระบวนการพยาบาลในการวางแผนและการ ปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลในการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล มีท้ังหมด 5 ข้นั ตอน ดงั นี้ 5.1.1 การประเมินสุขวทิ ยาส่วนบคุ คล (Nursing Assessment) ประกอบดว้ ย 1) การประเมินทั่วไปเก่ียวกับระดับความรุนแรงของความเจ็บป่วย ความสามารถในการ ช่วยเหลือตนเองเกี่ยวกับการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล แผนการรักษาของแพทย์และข้อจำกัดในการ ดูแลสขุ วทิ ยาสว่ นบุคคลของผู้ปว่ ย 2) การประเมินอวยั วะตา่ งๆทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ตา: สังเกตการบวมของหนังตาและต่อมน้ำตา การอักเสบได้แก่ ตาแดง มีขี้ตา มาก หรอื มีน้ำตาไหลตลอดเวลา ห:ู สงั เกตความสะอาดของใบหู หลงั หู ตลอดจนสิง่ คัดหลง่ั ไดแ้ ก่ หนู ้ำหนวก จมูก:สังเกตอาการอักเสบของเยอื่ บุ น้ำมกู การใส่ท่อหรอื สายยางตา่ งๆ ชอ่ งปาก: สังเกตลิน้ เปน็ ฝา้ ปากแหง้ แตก มแี ผล ผิวหนัง : สังเกตความแห้ง ชื้น การบวม การอักเสบ เม็ดตุ่ม ผื่นคัน ตลอดจนการ สัมผัสว่าร้อนหรือเย็นและการปอ้ งกันกลนิ่ ตัว 124
ศีรษะและผม: สังเกตการเกาะหรือกระจายของผม ลักษณะผมแห้งแตก หนังศีรษะ ลอกเป็นขุย มีรังแค หรือบาดแผล การสระผมบอ่ ย เล็บและเท้า : การสังเกตสีและลักษณะของเล็บ การฉีกของจมูกเล็บ ตาปลา หูด เท้าแตก หรือกลิ่น เหมน็ ของเทา้ อวยั วะสบื พันธุ์ภายนอก : สงั เกตลกั ษณะอวัยวะเพศชัดเจน การมีบาดแผลหรือมีส่ิง คดั หล่งั ทีผ่ ิดปกติ ตลอดจนความรู้และวธิ ีรกั ษาความสะอาด 5.1.2 ข้อวินิจฉัยการพยาบาล (Nursing Diagnosis) หลังจากการประเมินภาวะสุขภาพจึง กำหนดขอ้ วินจิ ฉัยทางการพยาบาล ซ่ึงเปน็ ปัญหาทต่ี อ้ งดแู ล เช่น - มีความบกพร่องในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองเนื่องจากแขนข้างขวา อ่อนแรง - ไม่สามารถทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกได้ด้วยตนเองเนื่องจาก ความสามารถในการเคล่อื นไหวรา่ งกายลดลง 5.1.3 การวางแผนการพยาบาล (Nursing planning) เมื่อได้ข้อวินิจฉัยการพยาบาลแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนการพยาบาลต้องคำนึงถึง ภาวะสุขภาพ ความสามารถในการช่วยเหลือ ตนเอง เวลา อุปกรณ์ เครื่องใช้ที่จะเอื้อต่อการปฏิบัติ ความสามารถของบุคลากรทางการพยาบาลที่ จะทำการช่วยเหลือ ตอ้ งมีการกำหนดเป้าหมายและเกณฑ์การประเมินผลไว้ในการวางแผนด้วย 5.1.4 การปฏบิ ัตกิ ารพยาบาล (Nursing Implementation) การดแู ลสุขวทิ ยาส่วนบุคคลมี หลายกจิ กรรมตามแผนการพยาบาลทีว่ างไว้ 5.1.5 การประเมินผลทางการพยาบาล (Nursing evaluation) การประเมินผลการ พยาบาลตามแผนการพยาบาลทก่ี ำหนดไว้ 5.2 การดแู ลสขุ วทิ ยาสว่ นบคุ คลในแต่ละช่วงเวลาของวัน 5.2.1 ชนดิ ของการดแู ลสขุ วทิ ยาสว่ นบคุ คล การดแู ลสขุ วทิ ยาสว่ นบคุ คลในโรงพยาบาลแบง่ เป็น 4 ชนดิ คือ 5.2.1.1 การดแู ลสุขวิทยาส่วนบุคคลตอนเชา้ (Complete morning care / complete bed bath) เพือ่ เตรยี มผปู้ ว่ ยทีช่ ่วยตนเองไมไ่ ดก้ อ่ นรับการตรวจต่างๆของแพทยม์ ีการปฏบิ ัตดิ ังนี้ 1) ให้หม้อนอน (bed pan) เพอ่ื ให้ผ้ปู ว่ ยถ่ายอุจจาระ ปสั สาวะ 2) ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำและทำความสะอาดอวยั วะสืบพนั ธุ์ 3) เปล่ียนผ้าปูที่นอนและดแู ลส่ิงแวดล้อมของผปู้ ่วย 125
5.2.1.2 การดูแลสุขวิทยาบางส่วน (Partial care or Partial bed bath) มีการปฏิบัติ ดงั น้ี 1) ทำความสะอาดชอ่ งปาก หน้า คอ มือ รักแร้ และอวยั วะสบื พันธภุ์ ายนอก บางคร้ัง นวดหลงั ดว้ ย 2) ทำความสะอาดท่ีนอนและเปลยี่ นผา้ ปทู ่ีนอน 3) การดแู ลสุขวิทยาบางส่วนมกั จะทำให้ผ้ปู ว่ ยระยะพักฟืน้ หรือช่วงบ่ายท่ีอากาศร้อน เพ่อื ให้ผูป้ ว่ ยรูส้ ึกสดชื่น 5.2.1.3 การดูแลสุขวิทยาตอนเช้าตรู่ให้ผู้ป่วยก่อนรับประทานอาหารเช้า (Early morning care, Before breakfast) เป็นความรับผิดชอบของพยาบาลเวรดึก มกี ารปฏิบตั ิ ดงั น้ี 1) ให้หม้อนอน (bed pan) แกผ่ ปู้ ว่ ยหญงิ หรอื ใหก้ ระบอกปสั สาวะในผ้ปู ว่ ยชายกรณี ลกุ จากเตยี งไมไ่ ด้ 2) จดั หาอ่างนำ้ ให้ลา้ งหนา้ แปรงฟนั หวผี ม ทาแปง้ และล้างมือ 3) ดึงผ้าปทู น่ี อนให้ตงึ 4) เตรียมสถานทร่ี บั ประทานอาหาร 5) ถา้ สามารถไปเข้าหอ้ งนำ้ ไดแ้ นะนำใหผ้ ปู้ ว่ ยไปหอ้ งน้ำ 5.2.1.4 การดแู ลสุขวิทยาผู้ปว่ ยกอ่ นนอน (Evening care, After supper, Before bed time or H.S. care) มกี ารปฏบิ ตั ิ ดังน้ี 1) ใหห้ ม้อนอน (bed pan) หรอื กระบอกปัสสาวะ 2) ล้างหน้า ลา้ งมอื เชด็ หลังและนวดหลัง 3) ดแู ลทนี่ อนให้สะอาดและเรียบตงึ เปล่ียนชุดนอน จดั ทา่ นอน 4) วางผา้ ห่มไวป้ ลายเตียงหรือข้างเตยี งเพ่ือสะดวกตอ่ การหยบิ ใช้ 5) ให้ด่มื นำ้ สะอาด 6) ปิดไฟดวงใกล้ตัวผ้ปู ว่ ยเพราะแสงไฟอาจรบกวนการนอนยกเวน้ ผู้ป่วยหนัก 7) วางกริ่งไว้ใกล้มือผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้สำหรับกดสัญญาณเมื่อต้องการ ความชว่ ยเหลือ 126
5.2.2 ปัจจัยท่มี ีผลตอ่ สขุ วทิ ยาส่วนบุคคล 1) ความรู้สึกต่อภาพลักษณ์ของตนเอง (Body image) เช่นบุคคลที่มีภาพลักษณ์ว่า ตนเองเปน็ คนสะอาด ประณีตจะสนใจเอาใจใส่เรอ่ื งของสขุ วทิ ยาสว่ นบุคคลอยเู่ สมอ 2) ความคาดหวังของสังคมเช่นกลุ่มคนทีม่ ีอาชีพให้บริการด้านสุขภาพหรือพนักงาน ต้อนรับถูกสังคมคาดหวังว่าต้องเป็นผู้ที่สะอาดแต่งกายประณีตสวยงาม บุคคลอาชีพเหล่านี้จึง จำเป็นตอ้ งให้ความสนใจสุขวิทยาสว่ นบคุ คลเป็นพิเศษ 3) กลุ่มสังคม ครอบครัวและเพื่อนมีอิทธิพลต่อการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคลเช่นเด็ก จะเรียนรู้การดูแลความสะอาดร่างกายจากบิดามารดา วัยรุ่นเรียนรู้การแต่งกายและการรักษาความ สะอาดจากเพ่อื น 4) การพฒั นาเก่ยี วกบั การรักษาความสะอาดของรา่ งกายเป็นไปตามวยั เชน่ วัยเด็กจะ ห่วงเล่นมากกว่าความสนใจการรกั ษาความสะอาด วัยรุ่นจะสนใจสุขวิทยาส่วนบุคคลเพราะเริ่มสนใจ ในเพศตรงข้าม 5) ระดับความรู้และการให้ความรู้เรื่องสุขวิทยาส่วนบุคคลทำให้บุคคลสนใจรักษา ความสะอาดรา่ งกายมากขน้ึ 6) อิทธิพลของขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมตอ่ การดูแลสขุ วทิ ยาส่วนบุคคลเชน่ ชาว ยุโรปบางประเทศอาบน้ำสัปดาห์ละ 1 ครัง้ คนไทยอาบน้ำวันละ 1- 2 ครง้ั 7) การปฏิบัติการบางอย่างเกี่ยวที่ข้องกับสภาวะของร่างกายเช่นบางครอบครัวนิยม อาบน้ำอุน่ เพราะเชื่อวา่ ทำให้สขุ ภาพแขง็ แรงเลือดไหลเวียนดสี มาชกิ ก็ปฏบิ ัตติ าม 8) ความเชอ่ื เชน่ ถ้าพอ่ มีความเช่ือว่าการใช้นำ้ ยาดับกลิน่ เหมาะสมกับความเป็นชาย อาจสง่ ผลตอ่ ความเชอื่ ของลูกชายด้วย 5.3 หลักการและวิธกี ารดแู ลสุขวิทยาส่วนสว่ นบคุ คล 5.3.1 หลักการอาบน้ำบนเตียงและการนวดหลงั การเช็ดตัวลดไข้ ผปู้ ว่ ยทต่ี ้องอาบน้ำบนเตยี งมักเปน็ ผู้ปว่ ยท่ีไม่รสู้ ึกตัวหรือมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวทำ ให้ไม่สามารถอาบน้ำเองได้ พยาบาลควรพิจารณาเวลาที่เหมาะสมในการอาบน้ำ สภาพของผู้ป่วย วิธีการและเทคนิคในการอาบน้ำเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความสุขสบายและพอใจ การอาบน้ำบนเตียงแบ่ง ออกเป็น 3 ชนดิ คือ -การอาบน้ำแบบสมบูรณ์บนเตยี ง (Complete bed bath) เปน็ การทำความสะอาด ร่างกายของผู้ป่วยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า โดยพยาบาลจะเป็นผู้ทำให้ทั้งหมดเนื่องจาก ผู้ป่วยไม่อยู่ใน สภาพทีช่ ่วยเหลือตนเองได้ เช่น ผปู้ ่วยไมร่ ูส้ ึกตวั กลบั จากห้องผ่าตัด อาการหนกั อ่อนเพลยี มาก 127
-การอาบน้ำบางส่วนของร่างกาย (partial bath) เป็นการทำความสะอาดร่างกาย ผู้ป่วย เพียงบางส่วน เช่นการทำความสะอาดใบหน้า หน้าอก มือ ซึ่งผู้ป่วยอาจทำเองหรือ พยาบาล เป็นผู้ทำให้ก็ได้ พบในกรณีที่สภาพผู้ป่วยไม่ควรทำความสะอาดร่างกาย ทั้งหมดเพราะอาจเกิด อันตรายหากมีการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่นหลังผ่าตัดตาวัน แรก หอบเหนื่อยมาก หัวใจเต้นเร็วและ แรง หากมกี ารเคล่อื นไหวมากเกินไปอาจทำ ให้ตัวใจหยุดเตน้ หรือทำความสะอาดบางส่วนเพื่อเตรียม ตัวรบั ประทานอาหาร หรือหลังออกกำลงั กายเพื่อใหส้ ดช่นื นอกจากนย้ี งั มีการทำความสะอาดร่างกาย บางส่วนเนอ่ื งจากการรกั ษาของแพทยเ์ ชน่ ใสเ่ ฝือก มอี ุปกรณ์รอบกายทำให้ไมส่ ะดวก ต่อการอาบนำ้ -การอาบน้ำเอง (Self-assisting bath or self-administered bath) เป็นการ อาบน้ำทผ่ี ปู้ ว่ ยทำเอง อาจเป็นการอาบนำ้ แบบสมบูรณ์หรือบางสว่ นก็ได้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ความ จำเป็น ความสะดวก บางกรณี ผู้ป่วยทำเองแตบ่ างสว่ นโดยพยาบาลชว่ ยเหลอื เช็ด บริเวณหลัง 5.3.1.1 วิธกี ารอาบน้ำผู้ป่วยบนเตียง (bed bath) 1) ประเมินสภาพผู้ป่วย แจ้งให้ผู้ป่วยทราบอธิบายวัตถุประสงค์และวิธีการอาบน้ำ เพื่อความร่วมมอื ของผู้ปว่ ยและลดความวติ กกังวล 2) เตรียมกะละมังอาบน้ำและอุปกรณ์เครื่องใช้ให้พร้อมนำมาที่เตียงผู้ป่วยเป็นการ ประหยัดเวลาและแรงงาน 3) กั้นม่าน ปิดประตูหน้าต่างและพัดลมเพื่อไม่เป็นการเปิดเผยผู้ป่วยและมีการ ถา่ ยเทอากาศมากจะทำใหส้ ูญเสยี ความร้อนจากร่างกายโดยการพา 4) ลา้ งมอื ป้องกันการนำเชอ้ื โรคไปสู่ตัวผู้ป่วย 5) เลื่อนตัวผู้ป่วยมาชิดริมเตียงด้านที่พยาบาลยืนอยู่เพื่อความสะดวกในการ ปฏิบัติงานและปอ้ งกันการปวดหลงั จากการก้มมากเกินไป 6) ใช้ผ้าคลุมตัวผู้ป่วยก่อนถอดเสื้อผ้าออกใส่ตะกร้าหรือถุงผ้าเปื้อนป้องกันการ เปิดเผยผู้ป่วย กรณมี กี ารบาดเจบ็ ของแขนหรือไหล่ หรือมสี ายนำ้ เกลือให้ถอดแขนเสื้อข้างที่ดีหรือข้าง ทไี่ มม่ ีสายให้สารนำ้ ทางหลอดเลอื ดก่อนเพ่ือลดการเจบ็ ปวดของแขนข้างที่เจบ็ และถอดได้ง่ายกว่า 7) ใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมหน้าอก ทำความสะอาดปากและฟันด้วยการให้ผู้ป่วยแปรงฟัน บ้วนปากดว้ ยนำ้ ยาถ้าผปู้ ่วยช่วยตนเองไมไ่ ด้ พยาบาลควรทำให้เพือ่ ใหป้ ากและฟันสะอาด 8) ใช้ผ้าถูตัวชุบน้ำบิดพอหมาดพันรอบเป็นสี่เหลี่ยม เหน็บชายผ้าด้านล่างป้องกัน ชายผ้าลยุ่ เพอื่ สะดวกในการถตู วั ให้ผู้ป่วย 9) เริ่มเช็ดตาจากหัวตาไปหางตาทีละข้าง เช็ดหน้า จมูก หู ลำคอ จนสะอาดด้วยน้ำ และสบู่ ใช้ผา้ เชด็ ตวั ซบั ให้แห้ง 128
10) ใช้ผ้าเช็ดตัวคลุมบริเวณหน้าอกแล้วเลื่อนผ้าคลุมตัวลงมาบริเวณเอว ทำความ สะอาดบริเวณหน้าอกและท้องด้วยน้ำและสบู่จนสะอาดซับให้แห้งและคลุมผ้าไว้เช่นเดิม เพื่อช่วยให้ ผู้ปว่ ยไมก่ ระดากอาย 11) ใช้ผ้าเช็ดตัวรองใต้แขนด้านไกลตัวจับข้อมือยกขึ้นเช็ดแขนด้วยน้ำและสบู่ให้ท่ัว เช็ดด้วยน้ำจนสะอาด เน้นการทำความสะอาดบริเวณรักแร้เป็นพิเศษ การทำความสะอาดด้วยสบู่จะ ทำให้เหงื่อและไขมันหลุดออกง่ายโดยเฉพาะบริเวณรักแร้ซึ่งมีต่อมเหงื่อมากและเช็ ดแขนด้านใกล้ตัว เช่นเดยี วกนั 12) แชม่ ือท้งั สองข้างในอา่ ง ฟอกบริเวณซอกน้วิ เลบ็ ล้างใหส้ ะอาด ซับให้แห้งจะทำ ใหผ้ ้ปู ว่ ยร้สู กึ สะอาดและสบาย 13) เดินไปด้านตรงข้ามเพื่อพลิกตะแคงผู้ป่วย โดยตะแคงตัวเข้าหาพยาบาล ยก เหลก็ กน้ั เตียงหรอื มีผู้ช่วยดแู ลเพ่ือความปลอดภยั แก่ผปู้ ่วย 14) พยาบาลกลับมายืนที่เดิม ปูผ้าเช็ดตัวแนบหลังผู้ป่วย ทำความสะอาดบริเวณ หลังตั้งแต่กกหู คอ หลัง จนถึงสะโพกและก้นกบด้วยสบู่และน้ำจนสะอาดซับให้แห้งแล้วเปลี่ยนน้ำ เพราะน้ำสกปรกและมีคราบสบู่ แล้วใส่เส้ือตัวใหม่ใหผ้ ู้ป่วย โดยใส่แขนข้างทีบ่ าดเจ็บหรอื ข้างทีม่ ีการ ให้สารน้ำทางหลอดเลอื ดดำกอ่ น จากนัน้ ให้ผปู้ ว่ ยนอนหงาย 15) ใช้ผ้าเช็ดตัวรองบริเวณใต้ขาด้านไกลตัวทำความสะอาดด้วยน้ำและสบู่บริเวณ ปลายขาถึงสะโพกจนสะอาด 16) เช็ดขาดา้ นใกล้ตวั ด้วยวธิ เี ดียวกัน 17) แช่เท้าในอ่าง ฟอกบริเวณซอกนิ้วและล้างจนสะอาด ซับให้แห้ง การแช่เท้าจะ ชว่ ยให้คราบไคลออกงา่ ย การเชด็ ให้แห้งจะทำใหเ้ ทา้ ไมอ่ บั ชนื้ 18) ให้ผู้ป่วยนอนคว่ำหรือนอนตะแคงเพื่อทาแป้งหรือโลชั่นแล้วนวดหลัง แป้งหรือ โลช่ันจะชว่ ยให้ผวิ ลื่นลดการเสยี ดสขี ณะนวดหลัง 19) ให้ผู้ป่วยนอนราบทาแป้งทว่ั ตัวโดยมผี ้าเช็ดตวั รองทกุ ส่วนเพ่อื ให้ผิวลนื่ ร้สู กึ สบาย ตัวสวมเสือ้ ให้เรยี บร้อย 20) ใช้ผา้ เช็ดตวั รองบนหมอนหวผี มใหส้ ะอาดโดยฝุ่นละอองไมห่ ลน่ ลงเตียง 21) เปลย่ี นผ้าปูทีน่ อนและผา้ อื่นๆ ตามความจำเป็นเพอ่ื ความสะอาดและเรียบร้อย 22) จดั ให้ผปู้ ว่ ยนอนในทา่ ทสี่ บายห่มผ้าให้เมื่ออากาศเยน็ หรือพับไวป้ ลายเท้าเพ่ือให้ ผู้ป่วยหยบิ ใชส้ ะดวก 23) นำอุปกรณ์เครื่องใช้ไปทำความสะอาดและเก็บเข้าที่เพื่อความสะดวกในการใช้ ครง้ั ต่อไป 129
5.3.1.2 วิธีการนวดหลัง (back rub/ massage) การนวดหลังเป็นกิจกรรมที่กระทำหลังจากการอาบน้ำโดยเฉพาะการอาบน้ำอย่าง สมบูรณบ์ นเตยี งเพ่ือกระตุ้นการไหลเวยี นโลหิต ความผอ่ นคลายและความสุขสบาย ก่อนการนวดหลัง ต้องมีการประเมินผู้ป่วยก่อน สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถนวดหลังได้ เช่น ผู้ป่วยไมร่ ูส้ กึ ตัว อยู่ในภาวะ วิกฤต ผู้ปว่ ยหลงั ผา่ ตัดภายใน 24 ช่ัวโมงแรก 1) แจง้ และอธบิ ายวัตถปุ ระสงค์และวธิ ีการอย่างง่าย 2) ตรวจบรเิ วณหลังดผู วิ หนังของผูป้ ่วยวา่ มีแผล ปุ่ม ปม ลกั ษณะของผิวหนงั 3) ลา้ งมอื เพือ่ ป้องกันการแพรก่ ระจายเช้ือโรค 4) จัดท่านอนนอนควำ่ หรอื นอนตะแคง 5) เล่อื นผา้ หม่ มาบริเวณก้นกบและปทู ับบนผ้าหม่ ถ้าผปู้ ่วยนอนตะแคงให้ปูผ้าเช็ดตัว ตามยาวแนบหลังผู้ป่วยเพอ่ื บรรเทาอาการเขินอาย 6) ทาครีมหรือโลชั่น ตามด้วยแปง้ เพอ่ื ลดการเสยี ดสี 7) นวดหลังมีท่านวดต่างๆดังน้ี (ณฐั สุรางค์ บุญจันทร์ และอรุณรัตน์ เทพนา, 2559) ดังนี้ -ท่าท่ี 1 Stroking ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างวางที่บริเวณก้นกบ ค่อยๆลูบขึ้นตามแนว กระดูกสันหลัง จนถึงต้นคอ ให้น้ำหนักกดลงที่ปลายนิ้วแล้วอ้อมมาที่ไหล่ สีข้างและตะโพก ทำช้าๆ เป็นจังหวะประมาณ 3-5 ครั้งและลูบตามแนวยาวของกล้ามเนื้อไหล่ (Trapezius) กล้ามเนื้อสีข้าง (Latissimus dorsi) ทง้ั สองขา้ งช่วยกระตุน้ กลา้ มเน้ือและการไหลเวยี นใหด้ ขี นึ้ -ท่าที่ 2 Wringing/ Kneading/ Petrissage ใช้อุ้งนิ้วทั้งสองข้างจับกล้ามเนื้อ ตามยาวสลบั กนั ลงมาอยา่ งนอ้ ยด้านละ 3 ครง้ั ลกั ษณะคล้ายนวดแปง้ มี 2 วธิ ี วิธี 1 วางนิ้วก้อย นาง กลางและนิ้วชี้แนบแนวกระดูกสันหลัง พรัอมปลาย นิ้วหวั แมม่ ือบีบกลา้ มเนือ้ ไขสนั หลงั (Erector spinous) เขา้ หากนั ทำพร้อมกนั ท้ังสองมอื วิธี 2 ใชป้ ลายนว้ิ หัวแม่มือ นวิ้ ช้ีและน้วิ กลางทง้ั สองมอื กดและบีบขา้ งกระดกู สันหลัง เข้าหากันและคลายออก ทำช้ำประมาณ 5- 6 ครั้ง การบีบนวดกล้ามเนื้อช่วยให้กล้ามเนือ้ บริเวณข้าง กระดุกสันหลงั ผอ่ นคลายและกระตนุ้ การไหลเวียนใหด้ ขี นึ้ -ท่าท่ี 3 Percussion(Clapping) หุบมือให้ชิดกันจะมีลมขังอยู่ในอุ้งมือ ใช้อุ้งมือทั้ง สองข้างตบเบาๆสลบั มอื กันโดยกระดกข้อมือขนึ้ ลงทว่ั บรเิ วณหลงั ทำซำ้ ประมาณ 10 ครัง้ ท่านี้มักใช้ ในการขบั เสมหะออกจากปอด 130
-ท่าท่ี 4 Digital Kneading กางนิ้วมือทั้งหมดวางบนแผ่นหลัง นิ้วหัวแม่มือทั้งสอง ข้างกดลงที่ปุ่มกระดูกหลังใบหู ไล่ลงมาสองข้างกระดูกสันหลังตลอดแนวสันหลังถึงก้นกบ ทำอย่าง น้อย 3 ครัง้ -ท่าที่ 5 Vibration ใช้มือหนึ่งจับข้อมืออีกข้างที่ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดด้านข้าง กระดกู สันหลัง กดพรอ้ มกบั คลงึ เบาๆเป็นแนวยาวจากตน้ คอไปจนถึงก้นกบ ทำอยา่ งน้อย 3 ครงั้ -ท่าที่ 6 Hacking การใช้สันมือทั้งสองข้างสับกล้ามเนื้อสลับกันเบาๆและเร็วโดย กระดกข้อมือสับขวางตามใยกลา้ มเน้ือตะโพก กน้ และตน้ ขา ทำช้ำประมาณ 10 ครง้ั -ท่าท่ี 7 Stroking ใช้ฝ่ามือทั้งสองลูบหลังจากบริเวณต้นคอลงมาบริเวณก้นกบทำ อยา่ งนอ้ ย 3ครง้ั และมักใช้เป็นทา่ ขึ้นต้นและจบกอ่ นขนึ้ ทา่ ใหม่ 8. สวมเสื้อผ้าให้ผู้ป่วยและจัดให้นอนในท่าที่สบายและเก็บอุปกรณ์เครื่องใช้เข้าท่ี เพื่อความเรียบร้อยและสะดวกในการใช้ครั้งต่อไป 5.3.1.3 วิธีการเชด็ ตัวลดไข้ (tepid sponge) การเช็ดตัวลดไข้เป็นหัตถการที่สำคัญในการบรรเทาความไม่สุขสบายจากภาวะไข้ โดย พยาบาลต้องเชด็ ตัวลดไขผ้ ู้ป่วยในกรณที ี่มอี ุณหภูมริ า่ งกาย ≥ 38.5 OC โดยวิธกี ารเช็ดตวั ลดไข้ดงั นี้ 1) เตรียมอุปกรณ์ได้แก่ ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก 3 ผืน ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ 1 ผืน กะละมังใส่น้ำ อุณหภูมหิ ้อง กรณีผู้ป่วยเด็กใชน้ ำ้ อ่นุ 2) บอกผู้ปว่ ยและอธิบายวัตถุประสงคใ์ หผ้ ู้ป่วยทราบ 3) จดั สง่ิ แวดลอ้ ม ก้ันมา่ น และถอดเสอ้ื ผา้ ผู้ปว่ ย โดยระมดั ระวังการเปิดเผยผปู้ ว่ ย 4) เช็ดตัวลดไข้ใช้วิธีการเช็ดตัวเชน่ เดียวกันกับการเช็ดตัวธรรมดาแต่ใช้วิธีการเช็ดเข้าสู่ หัวใจ เพื่อเปิดต่อมเหงื่อ และวางผ้าไว้ตามตำแหน่งข้อพับต่างๆ และรักแร้ ใช้เวลารวมประมาณ 15 นาที 5) ประเมินอาการผู้ป่วยหลังได้รับการเช็ดตัว โดยทำการวัดอุณหภูมิอีกครั้งหลังเช็ดตัว เสร็จประมาณ 30 นาที 6) เก็บอปุ กรณแ์ ละทำความสะอาด 7) ลงบันทกึ ฟอร์มปรอทตามหลกั การบนั ทึกสญั ญาณชีพและบนั ทกึ ทางการพยาบาล 131
5.3.2 การทำความสะอาดอวยั วะสบื พนั ธุ์ภายนอก (Flushing or Perineal care) 5.3.2.1 หลักการการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก (Flushing / Perineal care) การทำความสะอาดอวัยสบื พนั ธภุ์ ายนอกในเพศหญิงมีความสำคัญมากเนื่องจากร่างกาย เพศหญิงจะสร้างน้ำคัดหลั่งทางช่องคลอดและมีเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่น ( normal flora bacteria) ทำปฏกิ ริ ิยาให้เปน็ กรดอ่อนช่วยยับยงั้ การเจรญิ เตบิ โตของจลุ นิ ทรีย์ ถ้ามีการหมักหมมของสารคัดหลั่ง จะทำให้ร้สู ึกรำคาญ คันและมีกล่นิ เหม็น ผู้ปว่ ยควรได้รับการทำความสะอาดอวัยวะสบื พันธุ์ภายนอก และทวารหนกั ทกุ ครั้งท่มี ีการขับถ่าย ถา้ ทำความสะอาดไม่ดีมีการตกค้างของอจุ จาระจะทำให้เกิดการ ติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธุ์และทางเดินปัสสาวะ ผู้ป่วยชายที่ไม่ไดข้ ลิบหนังหุ้มปลายองคชาต สิ่งคัดหล่ัง จะสะสมบริเวณหนงั หุม้ ปลาย ตอ้ งเปดิ หนังหุ้มปลายเพ่ือทำความสะอาดแล้วดึงหนงั หุ้มปลายกลับคืน สภาพเดิม ผู้ป่วยทีใ่ ส่สายสวนปสั สาวะค้างไว้ควรได้รบั การดแู ลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์อย่างน้อย ทุก 8 ชั่วโมง 5.3.2.2 วธิ ีการการทำความสะอาดอวัยวะสบื พันธ์ุภายนอก 1) บอกให้ผู้ป่วยทราบและอธิบายวัตถุประสงค์และวิธีทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ุ ภายนอกเพอ่ื ให้ผปู้ ่วยลดความวิตกกังวลและให้ความรว่ มมอื 2) ลา้ งมือใหส้ ะอาด เพื่อป้องกนั การแพร่กระจายเชอ้ื 3) เตรยี มเคร่อื งใชใ้ หพ้ รอ้ มแลว้ ยกไปที่เตียงผปู้ ่วยเพื่อประหยดั เวลาและแรงงาน 4) กนั้ มา่ นให้มดิ ชดิ ปิดตาผ้ปู ่วย เพ่อื ไมเ่ ปน็ การเปดิ เผยผูป้ ว่ ย 5) ใหผ้ ปู้ ว่ ยหญิงนอนหงายชันเข่า ผู้ปว่ ยชายนอนหงาย คลุมผา้ ให้มดิ ชิด ถอดผ้าถุงหรือ กางเกงออก จัดขาและเท้าแยกออกจากกัน เพอื่ ความสะดวกในการชำระอวัยวะสืบพนั ธ์ุ 6) คลมุ ผ้าห่มบริเวณขาและปลายขาใหเ้ รียบร้อยเพ่ือป้องกนั การกระดากอาย 7) ให้ผู้ป่วยยกก้นแล้วสอดหม้อนอนและให้ปัสสาวะให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันที่นอน เปียก เปลี่ยนหมอ้ นอน 8) เปิดชุดทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกระหว่างขาผู้ป่วย เพื่อสะดวกในการ หยิบใช้ เทน้ำหรือ 0.9% NSS หรือน้ำยาทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกตามนโยบายของ โรงพยาบาล ลงในถ้วยภายในชุดทำความสะอาด วางชามรูปไตหรือถุงพลาสติกใกล้หม้อนอนเพ่ือ สะดวกในการทิง้ สำลี 9) เปิดผา้ คลุมระหว่างขาให้เห็นอวัยวะสืบพนั ธุ์ และทวารหนกั ทำความสะอาด ดังน้ี เพศหญิง - เทน้ำลงบนขาหนีบเล็กน้อย หลงั จากนัน้ ราดนำ้ เบาๆบนอวัยวะสืบพนั ธเ์ุ พื่อช่วยชะล้าง ส่ิงคดั หลงั่ ออก 132
- สวมถุงมือหรือใช้ปากคีบหยิบสำลีบีบหมาดๆ เช็ดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก เริ่มจาก หัวหน่าวข้ึนด้านบน แคมใหญด่ ้านไกลตัว และใกลต้ ัว และเช็ดแคมเลก็ ด้านไกลตัวและใกล้ตวั แลว้ เชด็ ตรงกลางจนถึงทวารหนกั การเชด็ ตอ้ งเช็ดจากบนลงลา่ งเสมอ - ซบั บริเวณอวัยวะสบื พันธ์ภุ ายนอกให้แหง้ ยกหมอ้ นอนออก - ใหผ้ ูป้ ว่ ยตะแคงตวั ซับด้านหลงั ให้แห้ง - เอาผา้ ปดิ ตาออก จดั ใหผ้ ู้ป่วยอยใู่ นทา่ สบาย เพศชาย - ปดิ ตาผปู้ ่วย เลอื่ นผ้าห่มลงมาถงึ เหนอื หัวเข่า เปิดเฉพาะอวัยวะเพศเพ่อื ไม่ใหผ้ ูป้ ่วยเขิน อาย - เทน้ำลงบนขาหนีบเล็กน้อยเพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกตัว และราดน้ำเบาๆบนอวัยวะเพศเบาๆ บนอวัยวะเพศ - สวมถุงมือ ใช้มือซ้าย(มือที่ไม่ถนัด) จับองคชาตตั้งขึ้น มือขวารูดหนังหุ้มปลายองคชา ตเปิดออกอยา่ งนุ่มนวล -หยิบสำลีบิดหมาดเช็ดทำความสะอาดรูเปิดของท่อปัสสาวะก่อนโดยเช็ดเป็นวงกลม ทำซำ้ จนสะอาด ใชส้ ำลี 1 กอ้ นตอ่ การเชด็ หน่ึงคร้งั เพื่อปอ้ งกนั การติดเชื้อเข้าสู่ท่อทางเดนิ ปสั สาวะ - ซับแห้งบริเวณส่วนปลายขององคชาต แลว้ รดู หนงั หุ้มปลายปิด เพือ่ ป้องกันการบวมรัด ของหนังหุ้มปลายองคชาต - ทำความสะอาดรอบองคชาตด้านนอกจากดา้ นบนลงดา้ นล่างหรือจากปลายถงึ โคนเช็ด ด้วยความนุ่มนวลเพือ่ ลดการกระตุ้นที่จะทำให้เกิดการแข็งตัวขององคชาตซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยกระดาก อาย - ทำความสะอาดถุงอัณฑะทั้งด้านบนและล่าง ทำความสะอาดขาหนีบด้านไกลตัวและ ใกล้ตัว - ทำความสะอาดบรเิ วณ ใต้ถงุ อณั ฑะ ซึง่ มักมีสิ่งสกปรกหมกั หมมอยู่ - ทำความสะอาดบรเิ วณทวารหนักเพอื่ ชำระคราบอุจจาระ เลอ่ื นหมอ้ นอนออก -เลื่อนผ้าคลุมบริเวณอวัยวะสืบพันธ์ุภายนอก ให้ผู้ป่วยตะแคงซับบรเิ วณทวารหนกั และ แกม้ กน้ เพอ่ื ปอ้ งกนั ความเปยี กช้ืน 11) กรณีใช้น้ำสบู่ชำระต้องใช้น้ำสะอาดล้างคราบสบู่ให้หมดป้องกันการเกิดอาการคัน จากคราบสบู่ 12) เอาผา้ ปดิ ตาออก ใหน้ อนราบสวมกางเกงให้เรียบร้อย เอาผา้ คลมุ ออก จดั ใหน้ อนใน ทา่ ทีส่ บาย 133
13) นำอุปกรณ์เครื่องใช้ไปทำความสะอาดเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันการ แพรก่ ระจายเช้ือและสะดวกในการใชค้ ร้งั ต่อไ 14) ล้างมือเพื่อป้องกันการติดเชื้อ บันทึกอาการและความผิดปกติที่พบ เพื่อเป็น หลกั ฐานในการดแู ลผู้ปว่ ยและวางแผนการพยาบาลอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง 15) กรณีที่ผู้ป่วยถ่ายอุจจาระควรเช็ดทำความสะอาดอุจจาระออกไปก่อนทำความ สะอาดอวยั วะสืบพนั ธ์เุ ปน็ การปอ้ งกนั เช้อื โรคในอจุ จาระเขา้ สทู่ างเดนิ ปัสสาวะโดยเฉพาะในเพศหญิง 5.3.3 การทำความสะอาดปากฟนั 5.3.3.1 หลกั การทำความสะอาดปากฟนั ปากและฟันเป็นอวัยวะส่วนต้นของทางเดินอาหารนอกจากมีบทบาทสำคัญในการย่อย อาหารแล้วฟันที่สะอาดสวยงามยังช่วยในการสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นและก่อให้เกิดความ ประทับใจแก่ผู้พบเห็นสร้างความมั่นใจแก่ตนเอง ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลต้องดูแล ปากและฟนั เพอ่ื ป้องกนั โรคเหงอื ก ลมหายใจมีกลิ่นเหมน็ เลอื ดออกตามไรฟนั เคี้ยวอาหารลำบาก ใน ระหวา่ งเจ็บปว่ ยจะมีคราบสเี ทาปกคลมุ บรเิ วณล้ินทำให้รับรสอาหารเปลี่ยนไป ความรสู้ กึ อยากอาหาร ลดลง พยาบาลควรดแู ลความสะอาดช่องปากท้งั ผูป้ ว่ ยท่ีรู้สึกตัวและไมร่ ู้สึกตวั รวมท้ังการดูแลทำความ สะอาดฟันปลอมด้วย กรณีผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองได้ควรแนะนำให้ทำความสะอาดปากฟันและบ้วน ปากด้วยนำ้ ยา ผู้ปว่ ยบางประเภทต้องทำความสะอาดปากและฟันเปน็ พิเศษทุก 2 ชวั่ โมงหรือบ่อยกว่า ปกติ ได้แก่ ผู้ป่วยหนัก ไม่สึกตัว มีไข้สูง ผู้ป่วยที่ต้องงดอาหารและน้ำทางปากหรือไม่สามารถ รับประทานอาหารทางปากได้ ผู้ป่วยที่หายใจทางปาก ผู้ป่วยที่เป็นแผลในปากหรือผ่าตัดบริเวณปาก เวลาที่ควรทำความสะอาดปากและฟันคือก่อนและภายหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง ก่อนเข้านอน และเมือ่ ตอ้ งการ 5.3.3.2 วิธีการทำความสะอาดปากฟนั การชว่ ยผู้ปว่ ยแปรงฟนั บนเตยี ง 1) แจ้งให้ผู้ป่วยทราบบอกวัตถุประสงค์และประเมินสภาพผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยคลาย ความวติ กกังวลและใหค้ วามร่วมมอื 2) เตรียมของใช้ให้พร้อมยกไปที่เตียงผู้ป่วยเพื่อประหยัดเวลาและสะดวกในการใช้ งาน 3) ปูผา้ กนั เป้ือนและวางชามรูปไตใตค้ างปอ้ งกนั การเปรอะเป้ือนขณะแปรงฟนั 4) ใหผ้ ู้ปว่ ยบ้วนปากดว้ ยนำ้ สะอาด ช่วยแปรงฟนั ขจัดเศษอาหารตามขั้นตอนดงั นี้ - ฟนั บน แปรงจากโคนฟันสูป่ ลายฟันในลกั ษณะแปรงลง - ฟนั ลา่ งแปรงในลักษณะเดียวกนั ด้านหนา้ ตัดของฟนั ถูไปมาให้ท่ัว 134
5) ในรายที่มีแผลในปาก ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำยาบ้วนปากถูตามซอกฟันเพื่อลดความ เจ็บปวด 6) แปรงลนิ้ เบาๆ 7) บว้ นปากดว้ ยน้ำสะอาด อมน้ำยาบ้วนปาก กล้วั คอแลว้ บว้ นท้ิงเพื่อให้ปากสะอาด ลดกลนิ่ ปาก 8) กรณรี มิ ฝปี ากแห้งใหท้ าดว้ ยกลเี ซอรีนบอแรกซ์หรือลิปท์มนั เพ่ือให้รมิ ฝีปากช่มุ ชน้ื 9) นำเครื่องใชไ้ ปทำความสะอาดและเก็บเข้าท่ีเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อและ สะดวกในการใช้ครั้ง ต่อไป 10) บันทึกอาการและความผิดปกติที่พบเพื่อเป็นหลักฐานทางการพยาบาลและวาง แผนการให้การพยาบาลอยา่ งต่อเนื่อง การทำความสะอาดปากฟนั ผู้ป่วยทไ่ี มร่ ู้สกึ ตวั หรือชว่ ยเหลือตวั เองได้นอ้ ย ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวต้องได้รับการดูแลทำความสะอาดปากและฟันเป็นพิเศษทุก 4 ชม. หรืออย่างน้อยทุก 8 ชม. บางรายกล้ามเนื้อหน้าอ่อนแรงทำให้ริมฝีปากบางส่วนปิด บางราย หายใจทางปากทำให้ลิ้นแห้งและเป็นสะเก็ดจากน้ำเมือกภายในปาก อาจทำให้ทางเดินหายใจอุดตัน และทำให้มีกลิ่นปาก 1) เตรียมของใช้มาที่เตียงผู้ป่วย กั้นม่านเพื่อความสะดวกและไม่เปิดเผยผู้ป่วยและ ล้างมอื ให้สะอาด 2) บอกใหผ้ ู้ปว่ ยทราบว่าจะทำความสะอาดปากฟันให้แม้ผูป้ ว่ ยไมร่ ูส้ ึกตัวแต่สามารถ รับรูไ้ ดท้ างการไดย้ นิ 3) จัดให้ผู้ป่วยนอนท่าตะแคงกึ่งคว่ำหรือนอนหงายหันหน้าด้านใดด้านหนึ่งมาทาง พยาบาล วางผา้ เชด็ ตวั คลุมอกและข้างหมอน วางชามรปู ไตใต้คางผูป้ ว่ ย เพ่ือให้น้ำทีล่ า้ งปากไหลออก สะดวกและปอ้ งกนั การสำลกั 4) ใช้ไม้กดลิ้นช่วยอ้าปากผู้ป่วย ใช้ปากคีบคีบผ้าก๊อสที่ชุบน้ำยาพอหมาดๆพันให้ แน่น เช็ดปาก ลิ้น ฟันและกระพุ้งแก้มให้ทั่ว ทำซ้ำจนสะอาด การขจัดเศษอาหารในซอกฟันควรใช้ เส้นด้ายขัดฟัน 5) ถา้ สกปรกมากใช้กระบอกฉดี ยา เทน้ำยาใสเ่ ข้ากระบอกฉีดพอประมาณ ดันน้ำยา เข้าไปล้างภายในปาก ทีละน้อยให้น้ำไหลลงชามรูปไต แล้วใช้ลูกยางหรือใช้เครื่องดูดเสมหะ ดูดน้ำ ออกจากปากจะป้องกนั ไมใ่ หผ้ ู้ป่วยสำลัก 6) ทารมิ ฝีปากดว้ ย Glycerin borax ช่วยให้ริมฝีปากสดชนื่ ไม่แหง้ แตก 7) จดั ใหผ้ ้ปู ่วยนอนท่าท่ีสุขสบาย ยกเหลก็ กน้ั เตยี งข้ึนใหค้ วามปลอดภยั แกผ่ ู้ป่วย 135
8) เก็บเครื่องใช้ไปทำความสะอาดเพื่อความสะอาดและสะดวกในการใช้งานคร้ัง ตอ่ ไปและลา้ งมือใหส้ ะอาด การทำความสะอาดฟันปลอม การดูแลทำความสะอาดฟันปลอมไม่ควรกระทำอย่างเปิดเผยเพราะผู้ป่วยอาจจะ อาย ส่วนมากผู้ป่วยจะดูแลฟันปลอมด้วยตัวเองเพียงแตต่ ้องการเครือ่ งใช้เท่านั้น ถ้าผู้ป่วยช่วยเหลอื ตนเองไม่ได้พยาบาลจึงทำให้ ฟันปลอมมีราคาแพงควรให้ความระมัดระวังในการถอดฟันปลอม เมื่อ ถอดแล้วควรใส่ลงในภาชนะที่ใส่น้ำเต็มแล้วล้างในภาชนะนั้น ไม่ควรล้างในอ่างล้างมือหรือใช้ก๊อกน้ำ โดยตรง เพราะอาจลน่ื หลุดมอื ตกแตกเสยี หาย การทำความสะอาดฟันปลอม ควรล้างด้วยน้ำสะอาดกับสบู่หรือยาสีฟันธรรมดา ไม่ ควรใชน้ ำ้ รอ้ นลา้ งฟนั ปลอมเพราะอาจทำใหแ้ ตกและเสียรูป ฟันปลอมทท่ี ำดว้ ย Vulcanite ซ่ึงมีรูและ มีเศษอาหารตดิ ไดจ้ ะทำให้ฟนั ปลอมมกี ล่นิ ควรแชใ่ นนำ้ ยาแอมโมเนียไฮดรอกไซด์ 1% อาทิตยล์ ะคร้ัง หรือแช่น้ำผสมกับหัวน้ำมัน Peppermint 2 – 3 หยด ไม่ควรขัดถูส่วนพื้นของฟันปลอม เพราะอาจ ทำให้เสียรูปเกิดการกดทับที่เหงือก เมื่อถอดฟันปลอมออกแล้วให้ผู้ป่วยบ้วนปากทำความสะอาดจะ ช่วยให้ปากสดชื่น ไม่ควรถอดฟันปลอมทิ้งไว้เป็นเวลานานจะทำให้เหงือกเปลี่ยนรูปทำให้เกิดปัญหา ในการใส่ฟันปลอม จึงควรจะใส่ไว้ตลอดเวลา การถอดควรใส่ในภาชนะที่เหมาะสมมิฉะนั้นอาจเป็นท่ี รังเกียจของบุคคลที่พบเห็นและควรวางไว้ในที่ที่ปลอดภัย การดูแลความสะอาดฟันปลอมมีขั้นตอน ดังน้ี 1) ให้ผ้ปู ว่ ยถอดฟันปลอมออกจากปาก 2) ล้างให้น้ำไหลผ่านฟันปลอมเบาๆ จนกระทั่งสิ่งสกปรกบางส่วนหลุดออกไปแล้ว แปรงดว้ ยแปรงสีฟนั กับสบูห่ รอื ยาสีฟัน 3) ลา้ งใหส้ ะอาด 4) วางฟันบนภาชนะทีส่ ะอาด 5) ใหผ้ ปู้ ่วยทำความสะอาดภายในปากโดยใชใ้ ม้พันสำลหี รือผา้ กอซพนั ปลายนิ้วมือที่ สวมถงุ มือชุบนำ้ ยาบว้ นปากแล้วเช็ดภายในปาก กระพ้งุ แก้ม และเหงือก 6) ใหบ้ ว้ นและลา้ งปากอกี ครั้ง 7) ให้ผปู้ ่วยหยบิ ฟันใสป่ ากให้เรยี บร้อย 136
5.3.4 ทำความสะอาดหู จมกู มือ เลบ็ และตา 5.3.4.1 การทำความสะอาดหู หูทำหน้าท่ีในการได้ยนิ และทรงตวั ความผดิ ปกติของหูเช่นหอู ื้อไดย้ นิ เสยี งไมช่ ัดเจน หูมี ลมออก บางคนเดินเซ การทรงตัวเสียไป ความผิดปกติที่เกิดขึ้นทำให้ไม่สบาย การดูแลรักษาความ สะอาดหูควรปฏบิ ตั ิดงั นี้ 1) หลังอาบน้ำ สระผมทุกครั้งควรเช็ดหูให้แห้งป้องกันอาการคันหูจากการที่มีเชื้อรา เกิดขนึ้ 2) อยา่ ใช้ของแขง็ แคะหหู รือเอาสิง่ ใดเข้าไปในหเู ช่น หยอดนำ้ เข้าหู 3) ถา้ มีความจำเปน็ ต้องล้างหูแพทยจ์ ะเปน็ ผูก้ ระทำเอง นำ้ ยาที่ใช้ลา้ งหคู วรจะมอี ุณหภูมิ ประมาณ 37.7 0C ไม่ฉดี นำ้ ยาแรงเกนิ ไปป้องกันนำ้ ยาพงุ่ ปะทะแกว้ หู ฉีดนำ้ ยาดว้ ยความแรงสม่ำเสมอ โดยเบนปลายลูกสูบไปท่ีผนังรหู ูดา้ นบนใชช้ ามรปู ไตรองน้ำล้างหู 4) อย่าขยีห้ รอื ใช้มอื ตบหอู าจทำให้เกิดอนั ตรายต่อแกว้ หู 5.3.4.2 การรักษาความสะอาดของจมกู จมูกและคอเป็นอวัยวะที่ต้องดูแลทำความสะอาดถ้าเกิดการติดเชื้อจะลุกลามถึงกันง่าย การทำความสะอาดจมกู ให้ใช้ไมพ้ นั สำลชี ุบน้ำหรอื น้ำเกลือหมาดๆเช็ดนำ้ มูกในจมูก การล้างจมูกเมื่อมีการอักเสบ ต้องมีเครื่องมือที่ถูกต้องและทำโดยผู้ท่ีมีความชำนาญ ขณะ ล้างสอนให้ผู้ป่วยหายใจออกหรือกลั้นหายใจชั่วขณะ ปิดน้ำเป็นพักๆเพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสหายใจ เมื่อ ล้างจมูกแล้วอาจมีการพ่นยา หยอดยา ขณะหยอดยาหรือพ่นยาต้องระวังการไอหรือจามของผู้ป่วยจึง ควรยืนเฉียงไปข้างหนึ่ง ถ้ามีน้ำมูกควรสั่งน้ำมูกเบาๆ กรณีที่น้ำมูกจับเป็นก้อนเข็งใช้ไม้พันสำลีพันชุบ น้ำมนั มะกอกเช็ด นำ้ มันจะชว่ ยใหน้ ้ำมกู อ่อนนุ่มง่ายแก่การเช็ดออกไม่ระคายเคืองโพรงจมูก ในรายท่ีใส่ ท่อหรือสายยางในจมูกให้ทำความสะอาดและเปลี่ยนปลาสเตอร์ที่ยึดสายยางทุก 8 ชั่วโมงป้องกันการ ระคายเคอื งของผิวหนังและเย่ือจมูก 5.3.4.3 การรกั ษาความสะอาดมือและเลบ็ เล็บมือและเล็บเท้าที่ช่วยป้องกันอันตรายให้กับปลายนิ้ว ช่วยให้ปลายนิ้วแข็งแรง สะดวกในการหยิบจับของต่างๆ การปลอ่ ยให้เลบ็ มือยาวดำสกปรกจะเป็นการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ได้ การดแู ลรกั ษาเล็บปฏบิ ัตดิ ังนี้ 1) ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นได้รูปตามลักษณะนิ้วอย่าตัดเข้ามุมมากเกินไปตัดเล็บให้สั้น อยู่เสมอ ถ้าผิวหนังรอบเล็บแห้งหรอื แตกควรใช้นำ้ มันหรือครีมทา 2) ลา้ งมอื ให้สะอาด ถา้ เล็บมีปญั หาเองควรพบแพทย์ 3) อย่าไวเ้ ลบ็ ยาวเกนิ ปลายนิ้วจะทำให้ใช้นิว้ มอื ไม่ถนัดและทำใหเ้ ลบ็ ฉีกขาดได้ง่าย 4) การตดั เลบ็ ทหี่ นาและแข็งควรแช่ดว้ ยนำ้ อุน่ จะชว่ ยทำให้เลบ็ อ่อนนมุ่ ตดั ได้ง่าย 137
5.3.4.4 การดูแลสุขวทิ ยาของดวงตา ตาเป็นอวยั วะท่ีละเอียดอ่อนการรักษาความสะอาดต้องทำด้วยความระมดั ระวังมิฉะนน้ั จะเกดิ อันตรายได้ ผ้ปู ่วยบางรายมีขี้ตามากและชว่ ยเหลือตนเองไม่ได้ต้องทำความสะอาดด้วยการเช็ด ตา ล้างตา ขี้ตาอาจเกิดจากตาอักเสบต้องระมัดระวังเรื่องการติดเชื้อ การเช็ดตาใช้สำลีชุบ 0.9 % NSS เช็ดตา โดยเชด็ จากหัวตาไปหางตา ทง้ั เปลอื งตาบนและขอบตาลา่ ง โดยไมเ่ ช็ดยอ้ นกลับ การลา้ งตา (Irrigation of the eye) 1) เตรียมเครื่องใช้ ได้แก่ ชุดล้างตา (ลูกยาง ภาชนะสำหรับใส่น้ำยาล้างตา) น้ำเกลือปลอดเชอื้ อุณหภูมิหอ้ ง สำลีปลอดเชอ้ื ใสถ่ าดสีเ่ หลีย่ ม ยกไปทเี่ ตียงผูป้ ว่ ย 2) บอกให้ผู้ป่วยทราบ จัดที่ผู้ป่วยนอนหงายหนุนหมอน พยาบาลยืนด้านเหนือ ศีรษะผู้ป่วย 3) ปูผา้ ยางรองใต้ศีรษะผู้ปว่ ย 4) เปิดห่อชุดล้างตา เปิดขวดน้ำเกลือเทใส่ภาชนะสำหรับใส่น้ำยาล้างตา ล้าง มือให้สะอาด 5) ใชล้ ูกยางดดู น้ำเกลือจนเตม็ 6) หยบิ ชามรปู ไตรองใต้คางผู้ป่วยโดยให้สว่ นเว้ากระชบั กับส่วนโค้งของแก้มและ ขมบั เพ่อื รองรับนำ้ ที่ไหลขณะล้างตา บอกให้ผปู้ ่วยเอยี งศรี ษะลงทางด้านที่จะล้างตาเล็กน้อยเพ่ือให้น้ำ ไหลลงชามรูปไตสะดวก 7) หยบิ สำลีถือไว้ในอุ้งมอื ซ้าย มอื ขวาถือลูกยางลา้ งตา 8) ใช้หัวแม่มือและนิ้วชี้ค่อยๆเปิดหนังตาผู้ป่วยโดยใช้หัวแม่มือเปิดหนังตาบน และใหก้ ดอยู่บนค้ิว นวิ้ ชีเ้ ปิดหนงั ตาล่างและให้กดอยู่บนโหนกแกม้ 9) บบี ลูกยางใหน้ ำ้ ไหลลงบนแก้มผู้ปว่ ยก่อนเพอ่ื ให้ผู้ป่วยรู้สึกตวั 10) ถือลูกยางให้อยู่ห่างจากตา 1 - 2 นิ้ว บีบลูกยางให้น้ำยาไหลลงบนเยื่อบุตา บรเิ วณหัวตาบอกให้ผู้ปว่ ยกลอกตาไปรอบๆตลอดเวลาทีล่ ้าง 11) ใช้สำลีในอุ้งมอื ซา้ ยเช็ดบริเวณหนงั ตาจากหวั ตาไปหางตา สำลีกอ้ นหนึ่งใช้ได้ ครงั้ เดียวแลว้ ทง้ิ ลงถงุ ขยะ 12) ล้างตาอีกข้างโดยปฏิบัติเหมือนข้อ 5 –11 สอบถามความรู้สึกผู้ป่วย จัดให้ ผู้ปว่ ยนอนในท่าที่สบาย 13) ทำความสะอาดอุปกรณข์ องใช้ ล้างมอื ใหส้ ะอาด 14) เขียนบันทึกรายงาน 138
การเชด็ ตาดว้ ยวธิ ปี ลอดเช้ือ (Aseptic Eye Dressing) การเช็ดตาจะเช็ดจากหัวตาไปหางตา การเช็ดต้องแยกเชด็ ทีละข้างและเช็ดดว้ ยสำลี สะอาดเพ่อื ปอ้ งกันการติดเชื้อจากตาขา้ งหน่ึงไปยงั ตาอีกข้างหนงึ่ ห้ามใช้สบ่ทู ำความสะอาดเพราะจะ ทำให้ระคายเคือง ถ้ามีขี้ตาแห้งกรังมาก ให้ใช้สำลีหรือผ้าชุบน้ำอุ่นหรือน้ำเกลืออุ่นวางบนเปลือกตา และเปลี่ยนสำลีหรือผ้าบ่อยๆ จนขี้ตาอ่อนตัวแล้วจึงเช็ดออกดว้ ยความนุ่มนวล ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวตอ้ ง ดแู ลตาอยา่ งนอ้ ยทกุ 4 ชั่วโมง ในรายทมี่ บี าดแผลจากการผ่าตัดต้องเชด็ ตาด้วยวิธีปลอดเชื้อ (Aseptic Eye Dressing) 1) เตรียมอุปกรณ์ ได้แก่ 0.9 % NSS แอลกอฮอล์ 70 % ยาหยอดตา สำลีก้อน เล็กปลอดเชือ้ ผ้าปิดตา (Eye pad) ปลอดเชอื้ ปลาสเตอร์นำเคร่ืองใชไ้ ปท่ีเตยี ง 2) บอกให้ผ้ปู ่วยทราบ 3) จดั ใหผ้ ปู้ ่วยนอนหงายชดิ ขอบเตยี งด้านเดียวกบั ทีพ่ ยาบาลยนื อยู่ 4) ลา้ งมอื ใหส้ ะอาด 5) บอกใหผ้ ปู้ ่วยหลับตา ใชส้ ำลีชบุ แอลกอฮอล์ 70% สำลีก้อนที่ 1 เช็ดหนงั ตาบนจากหัวตาไปหางตาเพยี งครงั้ เดยี ว สำลกี ้อนที่ 2 เช็ดบรเิ วณคว้ิ สำลกี ้อนที่ 3 เชด็ บรเิ วณหน้าผากถึงไรผม สำลีกอ้ นท่ี 4 เช็ดหนังตาลา่ ง สำลีก้อนท่ี 5 เช็ดบรเิ วณโหนกแกม้ สำลกี อ้ นที่ 6 เชด็ ระหวา่ งค้วิ โดยเช็ดจากหวั ควิ้ ถงึ ด้งั จมกู ลงมา 6) หยิบสำลีออกจากห่อแบ่งสำลีไว้ 1 ก้อนเพื่อซับน้ำตา เท 0.9 % NSS ลงบน สำลีทเ่ี หลอื พอเปยี ก บีบสำลีให้หมาด สำลีก้อนท่ี 1 เช็ดหัวตาออกทางดั้งจมูก บอกผู้ป่วยมองปลายเท้าใช้หัวแม่มือดึง หนังตาบนขน้ึ สำลกี อ้ นท่ี 2 เชด็ ขอบตาบน โดยเช็ดจากหวั ตาไปหางตาอย่างเบามือ สำลกี อ้ นท่ี 3 เชด็ ขอบตาบนซำ้ อีกรอบ สำลีกอ้ นที่ 4 เช็ดขอบตาลา่ งโดยบอกใหผ้ ปู้ ว่ ยมองขึ้นข้างบน ใช้นิ้วหัวแม่มือซ้าย ดึงหนงั ตาล่างลง เช็ดจากหัวตาไปหางตา ถ้ายงั ไมส่ ะอาดให้ใชส้ ำลีก้อนใหมเ่ ช็ดซ้ำอกี คร้ังจนสะอาด 7) หยอดยาให้ถกู วิธี 8) เมอ่ื เชด็ ตาและปดิ เรยี บร้อยแล้วจัดให้ผปู้ ่วยอยู่ในทา่ สุขสบาย 9) เกบ็ ของใชท้ ำความสะอาดและเก็บเข้าทีใ่ หเ้ รียบร้อย 139
5.3.5 การสระผมบนเตียง 5.3.5.1 หลักการทำความสะอาดผม ผมที่สวยงามส่งเสริมบุคลกิ ภาพและบ่งช้ีถงึ ภาวะสุขภาพ ผ้ปู ่วยหนกั อาจต้องตดั ผมให้สั้น เพราะเวลานอนศีรษะจะกดกับที่นอนทำให้ผมขมวดเป็นก้อน ทำให้ดูแลได้ลำบาก ถ้าต้องตัดผมควร ปรึกษาญาตผิ ู้ป่วยและควรเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรแสดงความยนิ ยอม ถา้ ผู้ป่วยไมย่ อมตดั สั้นควรหวี ให้เรียบร้อยอาจรัดเป็นผมแกละเพื่อไม่ให้เจ็บเวลาหนุนหมอน กรณีผมเป็นเปื้อนเลือดหรือสิ่งสกปรก ให้ใส่น้ำมันมะกอกแล้วใช้หวีสางออกโดยใช้มือจับโคนผมไว้ ค่อยๆสางผมให้ออกจากกันจนหมด ผู้ป่วยที่ใช้ยารักษามะเร็งจะทำให้ผมร่วงผู้ป่วยมักใส่ผมปลอมในกรณีนี้จะดูแลเพียงทำแบบผ มตามที่ ผปู้ ่วยต้องการ ผปู้ ่วยที่ชว่ ยตัวเองไม่ได้หรือผู้ปว่ ยท่ีต้องให้พักผ่อนบนเตยี งต้องสระผมให้ผู้ป่วยท่ีเตียง การสระผมอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยในรายที่ไม่แน่ใจต้องปรึกษาแพทย์ ปกติการสระผมที่เตียง ผู้ป่วยไม่มีอันตรายหรือมีน้อยมาก ผู้ป่วยที่อ่อนแอให้สระผมในท่านอนหงาย ผู้ป่วยที่มีโรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคปอด หายใจลำบากควรสระผมในท่านั่ง การสระผมมีขั้นตอนที่ยาวนานอาจทำให้ผู้ป่วย เหนื่อยควรให้ผู้ป่วยพักผ่อนเต็มที่แล้วจึงสระผมและควรให้พักหลังสระผม ก่อนสระผมต้องหวีหรือ แปรงผมก่อนเพื่อให้รังแค ผมที่ร่วงสิ่งสกปรกหรือเศษฝุ่นผงหลุดและยังกระตุ้นหนังศีรษะพร้อมทั้ง คลายผมที่พันกันออกด้วย หลังสระผมแล้วต้องใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดให้แห้งหรืออาจใช้เครื่องเป่าผม ระหว่างสระผมถ้าผู้ป่วยเพลียมากและหนาวให้รีบล้างแล้วหยุดทำทันทีจัดหาผ้าห่มมาห่มให้ถ้าผู้ป่วย นอนราบไมไ่ ด้ให้หนนุ หมอน 5.3.5.2 วธิ กี ารสระผมผ้ปู ่วยบนเตียง 1) เตรยี มอปุ กรณ์เครือ่ งใช้มาที่เตียง บอกใหผ้ ปู้ ว่ ยทราบและอธบิ ายวัตถุประสงค์ เพ่ือให้ ผปู้ ่วยเขา้ ใจและใหค้ วามรว่ มมือ 2) ปิดประตูหรือมา่ นก้ันเพอื่ ป้องกนั ลมโกรกไม่ใหผ้ ปู้ ว่ ยหนาวสัน่ และเป็นหวดั 3) จัดผู้ป่วยให้อยู่ในท่านอนทแยงกับเตียงเล็กน้อย ศีรษะอยู่ริมเตียงและไม่หนุนหมอน เพอื่ สะดวกในการสระผม 4) วางผ้าเชด็ ตัวบนผ้ายางตามยาวมว้ นผ้ายาง ทำเปน็ วงกลมเพ่อื หนนุ ต้นคอ ผ้ายางอีก ผืนหน่ึงม้วนขอบผา้ ยาง 2 ขา้ งเขา้ หากนั ตามยาว ทำตรงกลางใหเ้ ป็นรางน้ำ สอดชายหน่ึงรองใตค้ อ อกี ชายหนงึ่ ใส่ในถงั รองรบั น้ำสกปรกและใหน้ ำ้ ไหลลงถงั ไดส้ ะดวก 5) ใชผ้ ้าเชด็ ตัวอกี ผืนหน่งึ คลุมหน้าอกเพอื่ ให้ความอบอุ่นและปอ้ งกนั เส้อื เปียกน้ำ 6) หวหี รอื แปรงผมใหถ้ ึงหนงั ศรี ษะเพอื่ กำจัดใหเ้ ศษผงและส่งิ สกปรก 7) ใช้สำลีอดุ หทู ้ังสองข้างเพื่อป้องกันนำ้ เข้าหูและใช้ผ้าขนหนเู ล็กพบั ปดิ ตาผู้ป่วยป้องกัน น้ำเขา้ ตาผูป้ ่วยขณะสระผม 140
8) เทน้ำลงที่ข้อมือด้านใน เพื่อทดสอบอุณหภูมิของน้ำ ถ้าอุณหภูมิพอเหมาะจึงเทน้ำ เลก็ นอ้ ยท่ีผมผู้ปว่ ย แลว้ เทนำ้ จากดา้ นหนา้ ไปด้านหลงั ให้เปียกทั่วศีรษะระวังน้ำไหลเขา้ หนา้ ผปู้ ว่ ย 9) เทยาสระผมใส่ฝา่ มือลูบลงบนผมเตมิ น้ำเล็กน้อยใช้ปลายนิว้ นวดหนังศีรษะใหท้ ั่วเพอ่ื กระตุ้นการไหลเวียน แล้วล้างผมด้วยน้ำให้สะอาดเพื่อให้ผู้ป่วยสุขสบาย จำนวนครั้งพิจารณาตาม ความสกปรกของผมแต่ไม่ควรน้อยกวา่ 3 ครงั้ 10) หยิบสำลีอุดหูและผ้าปิดตาออก คลี่ผ้าเช็ดตัวที่รองต้นคอออกปูบนหมอนใช้ ผา้ เชด็ ตวั ท่ปี ิดหน้าอกเช็ดผมให้แห้ง ปลดผ้ายางลงในถังรองน้ำ เลือ่ นตวั ผปู้ ว่ ยขน้ึ นอนหนุนหมอนและ จดั ใหน้ อนในท่าทส่ี บาย 11) หวีหรอื แปรงผมใหเ้ รยี บรอ้ ยป้องกนั การเกาะตดิ กันของผม 12) นำอุปกรณ์เครื่องใช้ไปทำความสะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อยเพ่ือ สะดวกในการใชค้ รง้ั ตอ่ ไป 5.4 การดแู ลสิง่ แวดล้อมข้างเตียงผปู้ ว่ ย 5.4.1 การจัดส่งิ แวดลอ้ มข้างเตยี ง สิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย หมายถึง สิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยจากอันตราย ได้แก่สิ่งแวดล้อมที่ ปอ้ งกันการหกล้ม และอนั ตรายจากไฟฟ้า เปน็ ต้น หลักการจัดส่งิ แวดล้อมขา้ งเตยี งผูป้ ่วย ดังนี้ 1) จัดส่ิงแวดลอ้ มใหม้ คี วามสะดวก 2) รกั ษาอณุ หภูมิของหอ้ งพกั เหมาะสม 3) การถ่ายเทอากาศดี 4) แสงสวา่ งพอเหมาะ 5) ไม่มีเสียงรบกวนเช่นเสียงอุปกรณ์ทางการแพทย์ เสียงพูดคุยของเจ้าหน้าที่ เสียง ร้องของผปู้ ่วย 6) ปราศจากกลิ่นรบกวน เช่น กลิ่นอุจจาระ ปัสสาวะ อาเจียน แผลหนอง กลิ่นเหงื่อ ผปู้ ่วย กล่ินอาหารบูด 7) จดั สภาพแวดลอ้ มทีม่ ดิ ชิดและเป็นส่วนตวั 8) ความอบอุ่นทางใจกเ็ ป็นสงิ่ แวดล้อมท่ีสำคัญ 141
5.4.2 การทำความสะอาดเตียงผปู้ ่วย เตียงนอนเป็นสิ่งแวดล้อมที่ช่วยให้ผู้ป่วยได้พักผ่อน การเตรียมเตียงสำหรับผู้ป่วยมี ลักษณะต่างๆดงั นี้ 1) การทำเตยี งธรรมดาหรือการทำเตยี งว่าง (Closed bed, empty bed, ordinary bed) เพ่ือเตรยี มรับผปู้ ่วยใหมเ่ ม่ือจำหน่ายผ้ปู ่วยออกจากโรงพยาบาล 2) การทำเตยี งเปิด (opened bed) เปน็ การทำเตียงทใ่ี ชก้ ับผ้ปู ว่ ยทว่ั ไป ผปู้ ่วยท่เี ดนิ ได้จะ ใช้เตยี งเมอื่ ตอ้ งการนอนหลบั พักผอ่ น 3) การทำเตียงที่มีผปู้ ่วย (Occupied bed) เป็นการทำเตียงที่ต้องเรียนรู้วิธีการเปลี่ยนผ้า ด้วยความรวดเร็ว นุ่มนวล และปลอดภัยขณะที่มีผู้ป่วยนอนอยู่ มักเป็นผู้ปว่ ยที่มีอาการหนัก ผู้ป่วยท่ี จำกัดการทำกจิ กรรม 4) การทำเตยี งทจ่ี ดั สำหรบั ผปู้ ว่ ยหลังจากการผา่ ตดั (Surgical / Anesthetic / recovery bed) เพ่อื ใหผ้ ปู้ ว่ ยได้รับความปลอดภยั จากจุลินทรีย์และอุบัติเหตุ มคี วามสขุ สบายและสะดวกในการ เคลื่อนย้าย ผ้าที่ใช้ปูเตียงจะทำให้งา่ ยแก่การสับเปลี่ยนเมื่อเกิดความสกปรกเปรอะเปื้อน เช่น การใช้ ผ้ายางและผ้าขวางเตียงปูทับบนผ้าปูท่ีนอนบรเิ วณที่สกปรกง่ายจากอาเจียนหรือสิ่งขบั หล่ังต่างๆ โดย ไมต่ ้องเปล่ียนผ้าปูท่นี อนทั้งเตียง มผี ้าห่มเตรียมพรอ้ มเพ่ือรักษาความอบอ่นุ ให้แกผ่ ปู้ ว่ ย 5.4.2.1 หลกั การทำเตียง 1) เตรียมเครอื่ งใช้ให้พรอ้ ม 2) จดั บริเวณรอบๆ ใหส้ ะดวกแก่การปฏบิ ัติงาน 3) วางผ้าเท่ากันทุกด้านโดยให้จุดกึ่งกลางของผ้าทับลงตรงจุดกึ่งกลางของที่นอน เหนบ็ ชายผา้ ปูตรงกลาง ดา้ นขา้ งเตยี งกอ่ น แลว้ จงึ เหน็บผ้าตลอดข้างเตยี ง ทำมุมดา้ นหวั เตยี งกอ่ นเพ่ือ สะดวกในการตงึ ผ้าปูใหเ้ รยี บตงึ แล้วจึงกลบั ไปทำมมุ ทีป่ ลายเตียง 4) ควรทำเตียงให้เสร็จทีละข้าง เริ่มจากวางผ้าปูที่นอน ผ้ายางขวางเตียง ผ้าขวาง เตียง สวมปลอกหมอน คลุมผ้าคลุมเตียง วางผ้าห่มและผ้าเช็ดตวั ท่ีราวพนักหัวเตยี ง จัดตู้ข้างเตียงให้ เรียบร้อย แล้วจึงเดินอ้อมไปทำเตียงอีกด้านหนึ่ง เช่นเดียวกันโดยคลี่ผ้าออกทีละชิ้น ทำให้เตียงตึง เรียบ จดั หมอนให้เรียบร้อย 5) ไม่สะบัดผ้าหรือปล่อยให้เสื้อผ้าที่สวมอยู่สัมผัสกับเครื่องใช้ต่างๆ ของผู้ป่วย ล้าง มอื กอ่ นและหลังทำเตยี ง 142
6) รกั ษาท่าทางให้อย่ใู นลักษณะทีด่ ี (Good body alignment) ตลอดเวลา 7) เทคนิคการทำเตยี ง อาจแตกต่างกันในแต่ละสถาบัน หลักการสำคัญคือ เรียบ ตึง สะอาด ไม่เปียกช้นื เพือ่ ป้องกนั การเกิดแผลกดทับกบั ผปู้ ่วยท่นี อนบนเตียงนานๆ หรือในรายทีน่ ำ้ หนัก ตัวมาก มกี ารจำกดั การเคลอื่ นไหว 5.4.2.2 วธิ กี ารทำเตียงแบบต่าง ๆ การทำเตียงธรรมดาหรือการทำเตยี งว่างและเตยี งเปดิ (Closed bed, empty bed, ordinary bed) มีวธิ ีการดงั น้ี 1) ลา้ งมือใหส้ ะอาดก่อนจดั เตรยี มอปุ กรณ์ 2) ถือผ้าและอุปกรณเ์ คร่อื งใชห้ ่างจากเคร่อื งแตง่ กายทส่ี วมใส่ 3) นำผ้าที่เตรยี มไว้ เรียงลำดบั การใชม้ าวางบนเก้าอ้ีทสี่ ะอาด 4) จดั บรเิ วณเตยี งใหม้ ที วี่ า่ งพอสมควร 5) ลอ็ คลอ้ เตียง 6) ตรวจดทู น่ี อนใหอ้ ยู่ในสภาพแข็งแรง 7) ตรวจดูความสะอาดของหมอน ความอ่อนแข็ง การฉีกขาด มขี นาดพอดี 8) ทำเตียงทีละข้างเพอ่ื การประหยดั แรงงาน 9) ปูผา้ ปูทน่ี อนโดยใหจ้ ุดกึง่ กลางของผา้ วางทับลงบนจดุ กึง่ กลางของทน่ี อน 10) คลผี่ ้าปูออกไปทางหวั และปลายเตยี ง ตลบผา้ ปูครง่ึ หนึ่งกลับไปดา้ นตรงข้าม 11) เหน็บชายผ้าปูที่นอนด้านข้างเตียงก่อน แล้วจึงเหน็บชาผ้าด้านหัวเตียงแล้ว ตามด้วยด้านปลายเตียงและทำมุมด้านข้างทั้งสองข้าง โดยทำมุมด้านหัวเตียงก่อนเพราะดึงผ้าได้ สะดวกและทำด้านปลายเตียง กรณที ่ีนอนเบา ผ้าปูแคบ ผู้ปว่ ยด้นิ อาจต้องใช้วิธผี กู การทำมุมด้านขา้ งเตยี ง - ดึงผ้าปู (ผ้าหม่ หรอื ผ้าคลุมเตียง) ใหต้ งึ และแบมือสอดเข้าใต้ที่นอน ด้านข้าง และด้านหัวเตยี งและปลายเตยี ง - จับผ้าปูที่มุม ทำเป็นรูปสามเหลี่ยม (ชายธง) ให้ชายผ้าขนานกับที่นอนด้าน หวั เตยี ง - เหนบ็ มมุ ชายธงดา้ นล่างเขา้ ใตท้ นี่ อน - ใชม้ ือสอดทำมุมชายธงดา้ นบน - เหน็บมุมชายธงด้านล่าง เก็บชายผ้าด้านข้างดึงให้ตึง พับเหน็บชายธง ด้านบนเข้าใต้เตยี งให้เรยี บร้อย 143
12) ปูผ้ายางขวางเตียงบริเวณที่ต้องการ คลี่ผ้ายางให้อยู่ตรงกลางที่นอน พับ ผ้ายางที่เหลอื ไปด้านตรงขา้ มเหนบ็ ชายผ้ายางเข้าใตท้ ีน่ อน 13) ปูผ้าขวางเตียงใหค้ ลุมปิดผ้ายาง เหนบ็ ชายผา้ เขา้ ใต้ที่นอน โดยแบมือสอดผ้า เขา้ ไปให้สุดชายผ้า 14) สวมปลอกหมอน โดยสอดมือท้ังสองข้างเข้าไปในปลอกหมอนที่ตลบกลับเอา ด้านในออก จับตรงมุมทั้งสองข้างแล้วตลบปลอกหมอนกลับไปที่ตัวหมอน ใช้มือข้างหนึ่งจับตรง กลางด้านตวั หมอนที่มปี ลอกห้มุ แล้ว อกี มือหนึง่ ดึงปลอกหมอนโดยรอบลงมาคลมุ ตวั หมอน จับหมุน ปลอกหมอนให้เรียบร้อยแลว้ วางที่หวั เตยี ง 15) พับผ้าห่มตามยาวไว้ปลายเตียง 16) แขวนผา้ เช็ดตัวท่พี นักหัวเตยี ง 17) เดินไปหวั เตียงอีกดา้ นหน่ึงปูผ้าทเี่ หลอื 18) จดั เตียงให้เข้าที่ ดูแลความสะอาดของตู้ข้างเตียง เลือ่ นเข้ามาใกล้เตียง กรณี ทำเตียงเพื่อรับผู้ป่วยใหม่ นำผ้าคลุมเตียงมาปูทับผ้าปู ชายผ้าด้านหัวเตียงเสมอกับขอบที่นอนคลุม หมอนให้มิด ทำชายธงดา้ นลา่ ง ปล่อยปลายบนลงมาคลุม ไม่เหนบ็ เขา้ ใต้เตียงเพ่ือความสะดวกขณะ รบั ผปู้ ่วยใหม่ การทำเตียงที่มีผ้ปู ่วย (Occupied bed) มีวธิ กี ารดงั น้ี 1) แจ้งให้ผปู้ ว่ ยทราบ 2) เคลื่อนยา้ ยอุปกรณท์ ีไ่ ม่จำเปน็ ออกจากบรเิ วณรอบๆ เตยี ง 3) ปรบั เตียงใหอ้ ยใู่ นแนวราบ ถ้าไม่ขัดกับความเจ็บป่วย 4) เดินไปด้านตรงข้ามตู้ข้างเตียง รื้อชายผ้าออกจากใต้ที่นอน พลิกตะแคงตัวผู้ป่วย โดยพลิกเข้าหาตัวพยาบาล ให้ผู้ป่วยนอนในท่านอนตะแคง เพื่อสะดวกในการปูเตียง ถ้าผู้ป่วยไม่ รู้สกึ ตัว ใหย้ กราวกัน้ เตียงข้ึน 5) เดนิ กลับมาทางดา้ นตขู้ า้ งเตียง รอ้ื ผ้าตอ่ 6) ตลบผ้าขวางเตียงโดยเอาด้านนอกมว้ นไวภ้ ายในไปชิดตัวผปู้ ว่ ยมากทีส่ ุด 7) เชด็ ผา้ ยางขวางเตียงแล้วม้วนสอดไวแ้ นบชดิ ผปู้ ว่ ยมากทีส่ ดุ 8) ตลบผา้ ปทู น่ี อนเชน่ เดยี วกันโดยใหช้ ิดตวั ผูป้ ว่ ยมากทส่ี ุด 9) เช็ดท่ีนอน 10) ปูผ้าปูทีน่ อนทลี ะครึ่งเตียง โดยให้กึ่งกลางผ้าปูตรงกับกึ่งกลางที่นอน ตลบผ้าไป ทางหัวเตยี งและปลายเตยี ง เหนบ็ ผา้ ขา้ งเตียง หวั เตยี งทำมมุ ให้เรียบร้อย ดงึ ผา้ ยางออกมาปแู ละเหน็บ ใตเ้ ตยี ง ปูผ้าขวางและเหนบ็ ผา้ ยางและผา้ ขวางเข้าใต้ทีน่ อน 144
11)ยกศีรษะผู้ป่วยนำหมอนออก เปลี่ยนปลอกหมอน โดยพลิกด้านในออกภายนอก เอาด้านที่สกปรกเข้าด้านใน ใช้ปลอกหมอนเก่าเช็ดผมออกจากตัวหมอน แล้วม้วนทิ้งในตะกร้าผ้า สวมปลอกหมอนใหม่วางหมอนไวท้ ี่หัวเตียงดา้ นสะอาด 12) พลิกผู้ป่วยให้นอนหงายก่อนแล้วพลิกกลับมานอนตะแคงด้านที่เปลี่ยนผ้าแล้ว ให้หนนุ หมอน จดั ท่านอนตะแคง ยกราวกัน้ เตยี งข้ึน 13) ยกถังน้ำเดินไปด้านตรงข้ามตู้ข้างเตียง รื้อผ้าออกพับทีละชิ้นให้บริเวณสกปรก อยดู่ ้านใน ตลบหวั ท้าย ทงิ้ ลงในตะกรา้ ผา้ เป้ือนทีละชิ้น 14) ปูที่นอนทีละชิ้นตามลำดับ ดึงให้เรียบตึง ล้างมือให้สะอาด จัดให้ผู้ป่วยนอนใน ท่าทส่ี บาย 15) หม่ ผ้าห่มให้ผปู้ ่วย หรอื พบั พาดไว้หวั เตยี ง 16) เช็ดและทำความสะอาดเตียง ข้างเตียง จัดสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ตู้ข้าง เตียง โต๊ะท่ีครอ่ มเตยี งให้ใกล้ผูป้ ว่ ย วางกริ่งหรอื เครอ่ื งเรยี กไว้ใกลต้ ัวผูป้ ว่ ย 17) นำเหยือกน้ำ ถ้วยน้ำ ไปล้างทำความสะอาด แต่ถ้าเป็นขวดตวงน้ำ ๒๔ ชั่วโมง ไม่ตอ้ งนำไปลา้ ง 18) ล้างและทำความสะอาดถังเช็ดเตียง ซักทำความสะอาดผ้าเช็ดเตียงผึ่งตากให้ แหง้ การทำเตียงผู้ป่วยหลังจากการผ่าตัด (Surgical / Anesthetic / recovery bed) มี วิธีการเช่นเดียวกับการการทำเตียงว่าง แตกต่างกันเพียงการพับผ้าห่มให้สะดวกสำหรับผู้ป่วยหลัง ผา่ ตัด โดยวธิ กี ารพบั ผ้าห่มดังแสดงในรูปภาพ ก. ข. ค. รูปภาพที่ 5-1 แสดงการพับผ้าห่ม การทำเตียงผูป้ ่วยหลงั จากการผ่าตัด ก. ข้ันตอนท่ี 1 ของการพบั ผ้าห่ม ข. ข้นั ตอนที่ 2 ของการพบั ผา้ ห่ม ค. ขั้นตอนที่ 3 ของการพบั ผ้าห่ม 145
5.5 บทสรปุ สุขวิทยาส่วนบุคคล เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันในการดูแลตนเอง เพื่อความสะอาดและสุขสบายของร่างกาย เมื่อบุคคลมีความเจ็บป่วยเกิดขึน้ พยาบาลมีบทบาทสำคญั ในการตอบสนองความต้องการขน้ั พนื้ ฐานเหล่านี้ 5.6 คำถามท้ายบท 1 เทคนิคการนวดหลงั (Back rub) ทีช่ ่วยขบั เสมหะออกจากปอดได้คอื ขอ้ ใด 1. Stroking 2. Kneading 3. Percussion 4. Digital kneading 2 ขอ้ ใดคอื ทา่ จบของการนวดหลัง 1. Stroking 2. Kneading 3. Percussion 4. Digital kneading 3 การทำความสะอาดฟนั ปลอมข้อใด ไมถ่ ูกต้อง 1. ลวกน้ำอนุ่ 2. ใช้แปรงสฟี นั แปรง 3. แช่นำ้ เกลอื นอรม์ อล 4. เปิดน้ำก๊อกให้ไหลผ่าน 146
4 การทำเตียงผปู้ ่วยที่แพทยไ์ ม่อนุญาตใหล้ งจากเตยี งคือข้อใด 1. Opened bed 2. Ordinary bed 3. Occupied bed 4. Anesthetic bed 5 การทำความสะอาดอวยั วะสบื พนั ธภ์ ายนอก ต้องเตรยี มสำลีอยา่ งน้อยกี่ก้อน 1. 3 กอ้ น 2. 4 กอ้ น 3. 5 กอ้ น 4. 6 กอ้ น 6 การทำความสะอาดอวัยวะสบื พันธ์ภายนอกผปู้ ว่ ยเพศหญิง สำลกี อ้ นท่ี 1 เช็ดบริเวณใด 1. Clitoris 2. Mons pubis 3. Labia majora 4. Labia minora 7 การจัดทา่ สำหรบั การทำความสะอาดอวยั วะสืบพันธภ์ ายนอกผูป้ ว่ ยเพศชาย ข้อใดถูกตอ้ ง 1. นอนหงาย กางขา 2. นอนหงาย หบุ ขาตามปกติ 3. นอนหงาย ชันเขา่ ท้งั 2 ข้าง 4. นอนหงายชนั เข่าขา้ งทพ่ี ยาบาลยนื 147
8 ผู้ปว่ ยชว่ ยเหลือตัวเองได้พอควร ลงจากเตยี งไม่ได้ ควรเลอื กการทำความสะอาดร่างกายแบบ ใด 1. Partial bed bath 2. Self-assisting bath 3. Complete bed bath 4. Self-administered bath 9 ขอ้ ใดถูกตอ้ งเกีย่ วกบั น้ำยาสำหรับล้างตา 1. 0.9 % NSS 2. Sterile water 3. Betadine solution 4. 2 % Chlorhexidine 10 การจดั ท่าสำหรบั mouth care ผปู้ ่วยทไ่ี มร่ ู้สึกตวั ขอ้ ใดถูกต้อง 1. นอนคว่ำ 2. นอนตะแคงก่ึงควำ่ 3. นอนหงายให้หนา้ อยู่ในแนวตรง 4. นอนหงายเอยี งหนา้ ไปดา้ นใดหา้ นหน่ึง กรณีศึกษา ผู้ป่วยอายุ 25 ปีป่วยเป็นโรคไตวายเร้ือรัง ตัวบวมหายใจเหนือ่ ย ให้สารน้ำทางหลอดเลือด ดำแขนซ้าย พยาบาลจะวางแผนให้การดูแลสุขวิทยาส่วนบคุ คลอย่างไรเพ่ือใหผ้ ู้ปว่ ยสขุ สบาย 148
5.7 เอกสารอ้างอิง ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ และอรุณรัตน์ เทพนา. (2559). ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ: หจก. เอน็ พีเพรส. สัมพันธ์ สันทนาคณิต, สุมาลี โพธิ์ทอง และสุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พน้ื ฐาน II. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั บพิธการพิมพ์ จำกัด. สุปราณี เสนาดิสัยและวรรณภา ประไพพานิช. (2558). การพยาบาลพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : บริษัท จุด ทอง จำกดั สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์ สุมาลี โพธิ์ทอง, และสัมพันธ์ สันทนาคณิต. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พ้ืนฐาน I.กรุงเทพฯ: บริษทั บพธิ การพมิ พ์ จำกดั . อัจฉรา พุ่มดวง. (2559). การพยาบาลพื้นฐาน : ปฏิบัติการพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2556). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 1. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บริษทั ธนาเพรส จำกดั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2558). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 2. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บรษิ ัท จรลั สนทิ วงศ์การพมิ พ์ จำกัด. Nettina SM. (2 0 1 4 ) . Manual of Nursing Practice. Philadelphia: Williams &Wilkins Lippincott. Patricia A. Potter. (2 0 1 3 ) . Fundamentals of Nursing 8 th ed. St. Louis, Mo : Mosby Elsevier. Taylor ll. (2015). Fundamental of Nursing .8th ed. Philadelphia: Walters Kluwer. 149
แผนบรหิ ารการสอนประจำบทที่ 6 หลกั การและเทคนคิ การพยาบาลพื้นฐาน ในการช่วยเคลอ่ื นไหวรา่ งกายและการฟื้นฟูสภาพ หวั ขอ้ เน้ือหาประจำบท 1. องค์ประกอบของการเคล่อื นไหว 2. การพยาบาลผปู้ ว่ ยทีต่ ้องได้รับการจดั ทา่ 3. การพยาบาลผู้ป่วยทต่ี ้องได้รบั การเคล่ือนย้าย 4. การพยาบาลเพ่ือฟื้นฟูสภาพและป้องกนั ภาวะแทรกซ้อน จำนวนชัว่ โมงทส่ี อน: ภาคทฤษฎี 2 ชวั่ โมง วตั ถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 1. อธิบายองค์ประกอบของการเคลื่อนไหวได้ 2. บอกวิธีการการจัดทา่ และการเคล่ือนยา้ ย ผูป้ ่วยได้ 3. วางแผนการพยาบาลผู้ป่วยที่มีความผิดปกติด้านการเคลื่อนไหวได้เหมาะสมกับ สถานการณ์ วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอน 1. วิธีสอน 1.1 บรรยาย 1.2 อภิปรายกลุ่ม 1.3 ยกตัวอย่างกรณศี กึ ษาเพ่อื การอภปิ ราย 2. กิจกรรมการเรียนการสอน 2.1 บรรยายเกี่ยวกับองค์ประกอบของการเคลื่อนไหว การจดั ทา่ ผูป้ ว่ ยแบบต่าง ๆ การ เคลอื่ นย้าย ผูป้ ว่ ย และฟ้นื ฟูสภาพเพื่อป้องกนั ภาวะแทรกซ้อน 2.3 ยกตัวอย่างกรณีศึกษาและให้ผู้เรียนร่วมกันวางแผนการพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาการ เคล่ือนไหวรา่ งกาย 2.4 ผูเ้ รียนร่วมกันสรุปการเรยี นรู้ 150
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 582
Pages: