สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. โปรแกรมสำเร็จรปู Power Point Presentation 3. โจทย์ตัวอยา่ งกรณศี ึกษา 4. แบบฟอรม์ การวางแผนการพยาบาล (nursing care plan) การวดั ผลและประเมินผล 1. การเขา้ ช้ันเรียนร่วมกับการสงั เกตพฤติกรรมการเรียน 2. การสังเกตการมสี ว่ นร่วมในอภปิ รายและตอบคำถาม 3. ผลการเขยี นแผนการพยาบาลผู้ป่วยทีม่ ปี ัญหาปัญหาการเคลื่อนไหวรา่ งกาย 4. การทำแบบฝึกหัดทา้ ยบท 5. การสอบกลางภาค 151
บทที่ 6 หลกั การและเทคนิคการพยาบาลพืน้ ฐาน ในการช่วยเคลือ่ นไหวรา่ งกายและการฟน้ื ฟสู ภาพ การเคลอื่ นไหวรา่ งกายเปน็ การทำหนา้ ท่ีประสานกนั ของระบบกลา้ มเน้ือ กระดกู โดยการ สงั่ การของระบบประสาทและสมอง นอกจากนี้ยังตอ้ งใชอ้ อกซเิ จนมาจากการทำหน้าที่ของอย่างมี ประสทิ ธิภาพของระบบหายใจ ระบบหัวใจและการไหลเวยี นเลอื ด ดงั นนั้ หากการทำหน้าทข่ี องระบบ ใดระบบหนงึ่ บกพร่องไปย่อมส่งผลตอ่ ความสามารถในการเคลอ่ื นไหวรา่ งกายได้ 6.1 องคป์ ระกอบของการเคล่อื นไหว 6.1.1 กลไกการเคล่อื นไหวร่างกาย กลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย หมายถึง การใช้ร่างกายอย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ มี การประสานงานกันในการเคลื่อนไหวและดำรงความสมดลุ ระหวา่ งการมีกิจ ซึ่งกลไกการเคลื่อนไหว รา่ งกายจะทำโดยตนเองหรือทำการเคลื่อนไหวดว้ ยวัตถุส่ิงของใดก็ได้ ซง่ึ ทำใหเ้ กิดผลดีต่อร่างกาย ทำ ให้ ลดการเม่อื ยล้าหรือการใชพ้ ลังงานในการเคลื่อนไหวและรักษาสมดุล ช่วยใหเ้ กิดความปลอดภัย มี การใช้กลา้ มเน้อื อย่างเหมาะสม สง่ เสรมิ และสนบั สนุนการทำงานของร่างกายใหเ้ ปน็ ไปตามปกติ 6.1.2 แนวปกติของรา่ งกาย (Body alignment) แนวปกติของร่างกาย (Body alignment) หมายถึง การที่ส่วนต่างๆของรา่ งกายอยูใ่ นแนวท่ี ถูกต้องไม่วา่ ในอริ ิยาบทใด หรอื เปน็ ความสัมพันธ์อยา่ งเหมาะสมของส่วนต่างๆของร่างกายในลักษณะ ที่ไม่ทำให้เกิดความตึงเครียดตอ่ ข้อตอ่ กล้ามเนื้อ และเอ็น ซึ่งสว่ นต่างๆอยู่ในแนวทีถ่ ูกต้อง จะช่วย ส่งเสรมิ การทำหน้าทข่ี องอวยั วะภายในได้ แนวปกตขิ องรา่ งกายดงั แสดงในรูปภาพท่ี 6.1.2-1 152
รูปภาพที่ 6-1 แสดง แนวปกตขิ องรา่ งกาย (Body alignment) ทม่ี า https://breakingmuscle.com. ท่ายืนทด่ี ี : ยืนตวั ตรงในทา่ ที่สบาย น้ำหนกั ตกทส่ี ว่ นโค้งของเทา้ ให้แนวแกนของรา่ งกาย เปน็ เสน้ ตรงต้งั แต่ศรี ษะ ไหล่ เอว สะโพก เข่าและเท้า กางเท้าเลก็ นอ้ ย ไม่กม้ หนา้ หรือโค้งลำตวั รปู ภาพที่ 6-2 แสดง ท่ายนื ท่ีถูกต้อง ทมี่ า : https://innerbreathyoga.com. 153
ท่านั่งที่ดี : ศีรษะยืดตรงไม่ก้มหรือเงย หลังตรงกระดูกสันหลังอยูใ่ นท่าที่เช่นเดียวกับท่ายนื ยืดอกขึ้น พร้อมกับดึงกล้ามเนื้อหน้าอกขึ้น น้ำหนักของร่างกายตกลงที่กึ่งกลางระหว่างต้นขากับ สะโพก เท้าวางบนพื้น ข้อเท้างอในลักษณะเท้าทำมุมฉากกับขา ข้อพับที่เข่าอยู่ห่างขอบเก้าอี้อย่าง น้อย 1 นิ้ว ป้องกันการกดทับของหลอดเลือดและเส้นประสาทที่มาเลี้ยงขา ต้นขาอยู่ในแนวราบบน เก้าอ้ี และแขนวางบนพนัก รปู ภาพที่ 6-3 แสดงท่านงั่ ที่ถูกต้อง ที่มา: http://www.freepik.com. ท่านอนที่ดี : หลังตรง กระดูกสันหลังอยู่ในท่าที่ถูกต้องเช่นเดียวกับท่ายืน เข่างอเล็กน้อย เพอ่ื ลดการเกรง็ ของกลา้ มเน้ือที่ขา ท้อง และหลัง ไหล่ตรง แขนวางข้างลำตวั ขอ้ ศอกและน้ิวมืออยู่ใน ทา่ งอเลก็ น้อย รปู ภาพท่ี 6-4 แสดงท่านอนที่ถูกต้อง ทม่ี า: http://www.healthwise.incorporated. 154
6.1.3 การปฏบิ ัติเกย่ี วกับกลไกการเคลื่อนไหวรา่ งกายทีเ่ หมาะสม หลักการการปฏิบัติเกี่ยวกับกลไกการเคลื่อนไหวร่างกายที่เหมาะสม ควรมี ลักษณะดงั นี้ 1) การคงไวซ้ ึง่ แนวปกติของร่างกายและการทรงตัวที่ดี 2) มกี ารเตรียมกลา้ มเนือ้ กอ่ นการทำกิจกรรม 3) มีการเคลอ่ื นไหวร่างกายอยา่ งนมุ่ นวล ประสานกนั และเป็นจังหวะ 4) ใช้หลักการลดแรงเสยี ดทาน เพ่ือช่วยใหเ้ สียพลังงานน้อยลง 5) พยายามใชก้ ลา้ มเน้อื มัดใหญ่ทแ่ี ข็งแรงทำงาน 6) ใช้นำ้ หนกั ร่างกายของตนเองในการชว่ ยเคลอ่ื นย้าย 7) ใชห้ ลักการดนั และการดึงมากกวา่ การยก 8) ใช้หลักการเอื้อม ดังนี้ ยืนให้ใกล้ของที่จะเอื้อมให้มากที่สุด เพื่อลดระยะทาง และเป็นการหลีกเลี่ยงการยืดหลังมากเกินไปและไม่ควรเขย่งตัวเอื้อมจะทำให้เสียการทรงตัว มองให้ เห็นของทเ่ี อ้ือมหยบิ ก่อนจะเคลื่อนยกลงมา เพราะถา้ มองไม่เห็นอาจเกิดอุบตั ิเหตุได้ ถ้าของท่ีจะเอ้ือม หยบิ อยู่สงู เกนิ ศรี ษะ ไมค่ วรเขย่ง ควรใชเ้ ก้าอีห้ รอื บนั ได เพือ่ ช่วยใหฐ้ านรองรบั ร่างกายม่นั คงขึ้น 9) ใช้หลกั การกม้ และการหมุน 10) มกี ารหยุดพกั เป็นช่วงๆในระหว่างการทำกจิ กรรม 11) หาผ้ชู ่วยเหลือหรืออุปกรณ์ผ่อนแรงมาใช้ 6.2 การพยาบาลผูป้ ว่ ยทีต่ ้องไดร้ ับการจัดทา่ การจัดท่าใหผ้ ู้ป่วยสำหรับผูป้ ่วยทไ่ี ม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายไดด้ ้วยตนเองหรือมี ข้อจำกัดในการเคลอ่ื นไหวน้นั มีความจำเป้นอย่างย่งิ นอกจากชว่ ยใหผ้ ู้ป่วยสุขสบายแล้วยงั ชว่ ยป้องกนั ภาวะแทรกซ้อนได้ 6.2.1 การจดั ทา่ นอน การจัดท่านอน พลิกตะแคงตัวผู้ป่วยมีความสำคัญกับผู้ป่วยที่นอนบนเตียงนานๆ เพราะ ผ้ปู ว่ ยที่ไมไ่ ดร้ บั การเคลอื่ นไหวรา่ งกายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตา่ งๆได้ 155
6.2.1.1 หลักการการจดั ท่านอน การจัดท่านอนมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยเกิดความสุขสบาย พักผ่อนได้ และ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนและความพิการทางร่างกายจากท่านอนที่ไม่ถูกต้องและการนอนนานๆ หลักการปฏิบตั ิ ดงั น้ี 1) คงไว้ซึ่งแนวปกติของร่างกายตลอดเวลา จัดท่านอนให้เป็นไปตามหลักของกาย วิภาค ตั้งแต่แนวของลำตัวต้องตรงอวัยวะทุกส่วนของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างปกติ การกดลง ของน้ำหนักตัวทุกส่วน จะต้องเท่า ๆ กัน บริเวณอก ช่องท้อง ไม่ถูกกดทับ เพื่อให้ทางเดินหายใจ สะดวก 2) จัดพยุงส่วนต่างๆของร่างกายด้วยม้วนผ้า หรือหมอนตามความเหมาะสมของ ผู้ป่วยแต่ละราย เพ่ือลดจดุ กดทับ ช่วยใหก้ ลา้ มเนอ้ื ผอ่ นคลาย 3) ข้อตอ่ อยูใ่ นทา่ ตามธรรมชาติ งอเลก็ น้อย ไมม่ ีการยดื เกรง็ สามารถขยบั ร่างกายได้ ตามปกติ ยกเว้น กรณีที่ห้ามไว้เพื่อรักษา สามารถการออกกำลังกายตามสมควร โดยไม่ขัดกับการ รกั ษา 4) จัดเปลี่ยนท่านอนอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมงหรอื ตามช่วงเวลาที่เหมาะสมกับกิจวตั ร ประจำวนั 5) ก่อนจัดท่าควรบริหารข้อต่างๆให้เคลื่อนไหวตามขอบเขตที่ทำได้ ป้องกันข้อติด แข็ง 6) ทาโลชั่นบำรุงผิวโดยเฉพาะบริเวณปุ่มกระดูกเพื่อให้การไหลเวียนดีขึ้น ผิวหนัง อ่อนนมุ่ ไม่แห้งกระดา้ ง 7) หากต้องมีการผูกยึดข้อมือ ข้อเท้า ต้องมีผ้ารองรับและคลายเปลี่ยนตามสมควร และจัดเปลี่ยนท่านอนบ่อย ๆ อย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดปัญหาการ เกิดแผลกดทบั 156
6.2.1.2 การจดั ทา่ นอนในลักษณะตา่ ง ๆ 1) การจดั ท่านอนหงาย (Dorsal or Supine position) จดั ทา่ นอนในลักษณะทีส่ ุขสบาย หมอนรองประคองถึงไหล่ สำหรบั ผู้ป่วยที่ไม่ รู้สึกตัว ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างการได้เองต้องจัดท่านอนหงายเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน (protective supine position) เช่น ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งล่าง อัมพาตครึ่งซีก ผู้ป่วยภายหลังได้รับยา ระงับความร้สู ึกที่ยังไม่สามารถเคลอื่ นไหวร่างกายเองได้ ปฏบิ ัตดิ งั น้ี (1) ใช้หมอนเล็ก ๆ รองรับบริเวณส่วนโค้งเอว ไม่ให้หลังโค้งงอ และลดความ เจ็บปวด ป้องกันการการงอและการเหยยี ดออกของกระดูกสันหลงั ส่วนเอวมากเกนิ ไป (2) ใช้หมอนเล็ก ๆ รองไว้ใต้ข้อพับเข่า และข้อเท้า ยกส้นเท้าให้สูงลอยจาก พ้นื เพอื่ ปอ้ งกันการกดทบั กบั ทนี่ อน (3) ใช้หมอนหรือผา้ ห่มหรือหมอนทรายหนุนดันฝา่ เท้าให้ปลายเท้าตัง้ ตรง ข้อ เทา้ อยใู่ นลักษณะ เหมอื นท่ายืนเพอื่ ปอ้ งกนั ปลายเท้าตก (foot drop) (4) วางหมอนหรือผ้าห่มท่ีมว้ นกลมขนานกบั ต้นขาท้ัง 2 ขา้ งของผู้ป่วย จัดให้ อยใู่ นท่าปกติ ไมแ่ บะออกด้านนอก จะชว่ ยปอ้ งกันขอ้ ตะโพกหมนุ ออก (external rotation) รูปภาพที่ 6-5 แสดงการจดั ท่า protective supine position ที่มา: Potter, P. A., & Perry, A.G.,Elkin MK., 2012. 157
2) การจัดทา่ นอนตะแคง (Lateral or Side-lying position) ทา่ นอนตะแคงชว่ ยลดปญั หาการกดทับ บรเิ วณกน้ กบ สน้ เท้า กระดูกสะบัก ทา้ ย ทอย และส่วนหลังของร่างกาย ข้อต่างๆจะงอจึงเป็นท่าที่ควรเปลี่ยนให้หลังจากที่นอนหงายมาระยะ หนึ่ง และเป็นท่าที่สบายสำหรับผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวตนเองไม่ได้ ผลเสียของการนอนท่านี้ คือข้อไหล่ และข้อสะโพกที่อยู่ด้านบนจะห้อยลงและหมุนเข้าด้านใน (Adduction and internal rotation) ถ้า ไม่หนนุ ผา้ หรอื หมอนใหอ้ ยู่ในระดับท่ถี ูกต้อง การจัดท่านอนตะแคง (protective side-lying or lateral position) เป็นการ จัดทา่ นอนตะแคง ขากา่ ยหมอน งอข้อเข่า (knee flexion) 30 – 35 องศา ใช้หมอนรองใต้ศีรษะและ ใตค้ อ ใหอ้ ยใู่ นแนวลำตวั ตรง หมอนรองใต้แขนและไหล่ ลำตัวแนวลำตัวตรง หมอนรองใต้ขาข้างท่ีทับ ข้างบน ใหไ้ หล่ ตะโพก และขา อยู่ในแนวที่ถกู ต้อง รูปภาพที่ 6-6 แสดงการจดั ท่า protective side-Lying or Lateral position ทมี่ า: Potter, P. A., & Perry, A.G.,Elkin MK., 2012. 158
ท่านอนตะแคงประยุกต์ (Modified lateral position) เป็นท่าที่นิยมปฏิบัติเนื่องจากจัดให้ สะโพกทำมุม 30 องศากับที่นอนแรงกดที่สะโพกน้อยกว่าเหมาะสมกับผู้ป่วยท่ีได้รับการผ่าตดั เปลี่ยน ข้อสะโพก (hip arthroplasty) รูปภาพท่ี 6-7 แสดงการจดั ท่า Modified lateral position ทม่ี า: Potter, P. A., & Perry, A.G.,Elkin MK., 2012. 3) การจดั ท่านอนคว่ำ (protective prone position) การจัดท่านอนใหด้ ้านหน้าทอ้ งแนบกับที่นอนและเอียงหน้าไปขา้ งใดขา้ งหนึ่ง งอ แขนทั้งสองข้างไปด้านศีรษะ ขาเหยียดออกและแยกห่างออกจากกันเล็กน้อย สะโพกไม่งอ ท่านอน คว่ำช่วยลดหรือป้องกันการกดทับที่จะเกิดขึ้นกับปุ่มกระดูกต่าง ๆ เช่น ปุ่มกระดูกบริเวณกระดูกสัน หลัง เชิงกราน ท้ายทอย บางคนอาจสุขสบาย ในท่านอนคว่ำ แต่บางคนจะนอนไม่ได้เลย ต้อง พิจารณาก่อนจัดท่านี้ให้แก่ผู้ป่วย และการนอนท่านี้ทำให้เสียแนวปกติของกระดูกสันหลังส่วนเอว และลำบากในการประเมินการหายใจ ดังนั้น ไม่ควรจัดให้นอนท่านี้ในผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวและผู้ป่วยท่มี ี ปัญหากระดูกสนั หลงั ท่านี้เหมาะสมสำหรับการปอ้ งกัน Hip Flexion contraction ในผู้ป่วยที่ถกู ตัด ขา (Above Knee Amputation: AKA) การป้องกันปญั หาจากการจัดท่านอนคว่ำโดยใช้หมอนเล็ก ๆ วางใต้ศีรษะ เพื่อป้องกันเสมหะ ไหลออกมาเปื้อน ใช้หมอนเล็กรองใต้หน้าท้องต่ำกว่ากระบังลม ใช้หมอนรองบริเวณหน้าแข้งทั้งสอง ข้างใหป้ ลายเทา้ ยกสูงจากทีน่ อน 159
รปู ภาพท่ี 6-8 แสดงการจัดท่า Protective Prone Position ทม่ี า: Potter, P. A., & Perry, A.G.,Elkin MK., 2012. 4) การจัดท่านอนตะแคงก่งึ คว่ำ (Semi - prone position / Sim’s Position) ท่านอนกงึ่ คว่ำก่ึงตะแคง ใชใ้ นกรณีทีต่ ้องการใหเ้ สมหะไหลออกจากปากและจมูก ได้สะดวก การตรวจทางทวารหนัก การสวนอจุ จาระ และช่วยให้หญิงมคี รรภน์ อนในท่าทส่ี บาย คล้าย กบั ท่านอนตะแคง ตา่ งกันท่ีทา่ นอนน้ีแขนล่างจะอยู่ทางด้านหลังของลำตวั แขนท่ีอยู่ตรงข้ามกับด้านที่ ตะแคงจะงอที่ข้อไหล่และข้อศอก ขางอมาทางด้านหน้าของร่างกายโดยขาบน งอที่สะโพก ซึ่งมักใช้ กบั ผูป้ ว่ ยทีไ่ ม่สามารถทนการนอนในท่านอนคว่ำได้ เปน็ ทา่ ทีช่ ่วยลดแรงกดตอ่ ด้านหลังและด้านข้างใช้ หมอนรองศีรษะ จัดให้อยู่ในแนวที่ถูกต้อง ใช้หมอนรองใต้แขน ป้องกัน Internal rotation ของข้อ ไหล่ ใช้หมอนรองขาส่วนบน ให้อยู่ในแนวท่ีไมก่ ดทับ ใช้หมอนทรายดันปลายเทา้ ไวใ้ หต้ รงไปข้างหลัง 160
รปู ภาพที่ 6-9 แสดงการจดั ท่า Protective Sim’s Position ท่มี า: Potter, P. A., & Perry, A.G.,Elkin MK., 2012. 5) การจัดกง่ึ ทา่ นง่ั บนเตยี ง (Fowler’s position) ทา่ กง่ึ นั่งศรี ษะสูง ชว่ ยให้ทางเดนิ หายใจโล่ง หายใจได้สะดวก ทำกิจกรรมต่าง ๆ บนเตียงสะดวก เปน็ การจดั ท่านั่งบนเตียงทีส่ ุขสบายและเพื่อการรักษา การจัดท่าใหไ้ ขเตยี งด้านปลาย เท้า 15 องศา ก่อนการไขด้านหัวเตียงเพื่อป้องกันผู้ป่วยตัวไหลลงมา การไขเตียงด้านศีรษะแบ่งตาม ระดับองศาที่ทำมุมกับพืน้ เตียง แบง่ เปน็ 3 แบบ ดงั น้ี (1) High Fowler’s position จัดท่าใหห้ ัวเตยี งสงู ทำมมุ 60-90 º กบั พ้นื เตยี ง เหมาะกับทำกิจวัตรประจำวัน เช่น บ้วนปาก แปรงฟัน รับประทานอาหาร และเหมาะกับผู้ป่วยท่ี หายใจเหน่อื ยหอบ (2) Fowler’s position จัดท่าให้หวั เตยี งสูงทำมุม 45 – 60 º กับพืน้ เตียง 161
รปู ภาพท่ี 6-10 แสดงการจดั ทา่ Fowler’s position ท่มี า: Potter, P. A., & Perry, A.G.,Elkin MK., 2012. (3) Semi Fowler’s position จัดท่าให้หัวเตียงสูงทำมุม 30-45 º กับพื้น เตยี ง เหมาะกบั ผูป้ ว่ ยหลังผ่าตดั ช่องท้อง เพราะทำใหห้ น้าทอ้ งหย่อนไม่ดงึ รัง้ รปู ภาพท่ี 6-11 แสดงการจัดทา่ Semi Fowler’s position 6) ทา่ นงั่ ฟุบหน้า (Orthopneic position) เป็นท่าท่ีให้ผู้ป่วยนั่งอยู่กลางเตียงหรือขอบเตียง แขนวางอยู่บนโต๊ะคร่อมเตียง (Over bed table) ท่านี้เหมาะสำหรับช่วยใหท้ างเดินหายใจโลง่ หายใจไดด้ ขี ้ึน ใช้กับผูป้ ว่ ยท่ีมีปัญหา เกี่ยวกับการหายใจนอนราบไม่ได้ (orthopnea) ควรแนะนำให้ผู้ป่วยตะแคงหน้าสลับกันไปมา อย่า ฟบุ ข้างเดียวนานเกนิ ไป ให้เหยยี ดแขนออกไปตรง ๆ และงอแขนสลับกัน เปล่ียนเป็นท่านั่ง งอขาบ้าง ยดื ขาออกบ้าง และพิงพนกั ด้านหัวเตยี ง 162
รูปภาพที่ 6.-12 แสดงการจดั ท่า Orthopneic position ทมี่ า:https://quizlet.com/515908028/postural-positions-flash-cards. 7) การจดั ท่านอนศรี ษะตำ่ ปลายเท้าสูง (Trendelenburg position) เป็นท่านอนหงายราบยกปลายเตียงให้ปลายเท้าสูง 45 องศา ไม่หนุนหมอน เพื่อให้ศีรษะและไหลต่ำกว่าบริเวณตะโพกและขา ใช้ในกรณีช่วยเหลือผู้ป่วยเสียเลือด ช็อก เพื่อให้ เลือดไหลมาเลี้ยงสมองได้มากขึ้น เป็นการจัดท่าระบายเสมหะในปอดส่วนล่าง ใช้จัดท่าในผู้ป่วยที่ขา และเท้าบวม ช่วยให้เลือดดำไหลกลับหัวใจมากขึ้น เพื่อลดอาการบวมของขา และใช้จัดท่าเพื่อล้าง ช่องคลอด เพ่ือใหน้ ้ำหรอื นำ้ ยาไหลเขา้ ไปลึกพอ รปู ภาพที่ 6-13 แสดงการจดั ทา่ Trendelenburg position ทีม่ า: Potter, P. A., & Perry, A.G.,Elkin MK., 2012 163
8) การจดั ท่านอนหงายชันเขา่ (Dorsal recumbent position) เป็นท่าเตรียมตรวจหรือทำการพยาบาลโดยเฉพาะ เช่น ตรวจช่องคลอด ฝีเย็บ ทวารหนัก การสวนปสั สาวะ ทำความสะอาดอวยั วะสืบพนั ธุภ์ ายนอกและทำคลอดบตุ ร การคลุมผ้าจะ เปิดเฉพาะตำแหน่งที่ต้องการโดยวางผ้าห่มให้มุมหนึ่งอยู่ที่อก มุมตรงข้ามคลุมระหว่างขาผู้ป่วย สอง มุมที่เหลือปิดต้นขาและเท้าหนุนหมอนเตี้ย ๆ บริเวณโค้งเอวและน่องทั้ง 2 ข้าง จะรองไว้ด้วยหมอน บริเวณปลายเท้ามีกลอ่ งไมห้ รอื หมอนหนนุ ดันฝา่ เท้าป้องกนั เท้าตก (Foot drop) รปู ภาพท่ี 6-14 แสดงการจัดท่า Dorsal recumbent position ทม่ี า: Potter, P. A., & Perry, A.G.,Elkin MK., 2012 9) การจัดทา่ นอนหงายพาดเทา้ บนขาหยั่ง (Lithotomy position) การจดั ทา่ โดยชันเข่าทั้งสองข้างแยกปลายเท้าและหวั เข่าออกจากกนั อาจจะชนั เขา่ บนเตียงหรือพาดเท้าบนขาหยั่งกไ็ ด้ ต้องจดั ให้กน้ ผ้ปู ว่ ยอยู่พอดกี บั ขอบทีน่ อน อย่าปลอ่ ยใหผ้ ู้ป่วย อยตู่ ามลำพัง และอยา่ ใหน้ อนท่านนี้ านเกนิ จำเปน็ ต้องมผี า้ คลุมขาและปลายเท้าใหอ้ บอุ่นไมเ่ ปิดเผย ผปู้ ่วยโดยไม่จำเป็น เปน็ ท่าเตรียมตรวจโดยเฉพาะ การจัดทา่ น้ีจะช่วยใหส้ ามารถเขา้ ใกลบ้ รเิ วณที่ ตอ้ งการได้มากข้ึนทำให้สะดวกและทำใหถ้ นดั เช่น การทำคลอดเมื่อทารกในครรภอ์ ยู่ในทา่ ผดิ ปกติ 164
รูปภาพที่ 6-15 แสดงการจัดท่า Lithotomy position ท่ีมา: Potter, P. A., & Perry, A.G.,Elkin MK., 2012 10) การจัดทา่ นอนควำ่ คุกเขา่ (Knee- chest position) การจัดท่าโดยใหผ้ ปู้ ว่ ยนอนคว่ำ งอขาท่อนบนใหห้ วั เข่าแนบชดิ กบั หน้าอกให้มาก ที่สุด หันหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง วางแขนข้างลำตัวในท่างอข้อศอก อาจจะหนุนหมอนหรือไม่หนุน หมอนก็ได้ ใช้หมอนหนุนศีรษะให้มือทั้งสองข้างกอดหมอนไว้ และใช้หมอนทรายวางข้างหัวเข่า ด้านข้างทั้งสองขา เป็นการจัดท่าเพื่อเตรียมตรวจหรือทำผ่าตัดทวารหนักและลำไส้ส่วนปลาย โดยเฉพาะ รูปภาพที่ 6-16 แสดงการจัดทา่ Knee- chest position ท่ีมา: Potter, P. A., & Perry, A.G.,Elkin MK., 2012 165
6.3 การพยาบาลผูป้ ว่ ยท่ตี ้องไดร้ ับการเคล่อื นย้าย 6.3.1 การพลิกตะแคงตวั การพลกิ ตะแคงตัวจะกระทำเมอ่ื ต้องการเปล่ยี นท่านอนให้กบั ผปู้ ว่ ย มหี ลักการคือต้องพลกิ ตัวผ้ปู ่วยเข้าหาพยาบาลเสมอ เพือ่ ป้องกนั การตกเตียงและเป็นอนั ตรายแกผ่ ปู้ ่วย 6.3.1.1 หลักการพลิกตัวตะแคงตวั 1) ตอ้ งพลกิ ตัวผปู้ ่วยเข้าหาตัวผพู้ ลกิ ตัวเสมอ เพ่อื ป้องกนั ผูป้ ว่ ยตกเตียง 2) การตะแคงตัวผู้ป่วยให้อยู่ขอบเตียงข้างใดข้างหนึ่ง จะต้องกั้นเหล็กกั้นเตียง (Side rail) ใหผ้ ้ปู ว่ ยทุกคร้ัง ป้องกนั อนั ตรายจากการตกเตยี ง 3) ก่อนการพลิกตัวผู้ป่วย ควรปรับระดับเตียงให้อยู่ในแนวราบ เลื่อนหมอนออก จากศรีษะและไหลข่ องผูป้ ว่ ย 4) หากจัดให้ผู้ป่วยนอนตะแคงกลางเตียง ต้องเลื่อนตัวผู้ป่วยให้อยู่ริมเตียงด้าน ตรงข้ามที่จะพลกิ ตะแคงก่อน ซง่ึ เมอื่ พลิกตัวแล้วผปู้ ่วยอยกู่ ลางพอดี 6.3.1.2 วิธีการพลกิ ตัวตะแคงตัว ควรใช้ผู้ดูแล 2-3 คน ช่วยจัดแขน ขา ลำตัว ไหล่ ตะโพก ในการพลิกตัว และมี การใชเ้ ครอ่ื งพยงุ เพ่ือพลิกตัวโดยใชผ้ ้าปทู ี่นอนหรือผ้าขวางเตียงช่วยทำให้ไมต่ ้องใชก้ ำลงั มาก สามารถ ปฏิบัตดิ ังนี้ 1) อธิบายให้ผู้ป่วยทราบ เพ่อื คลายความวติ กกงั วล เพ่อื ความร่วมมอื และส่งเสริม ความเป็นบุคคล 2) จับแขนผู้ป่วยพาดบนหน้าอกหรือให้ผู้ป่วยกอดออก เพื่อความปลอดภัยขณะ พลกิ ตวั 3) ใช้ผ้ารองยกเพื่อยกเลื่อนตัวผู้ป่วยให้อยู่ขอบเตียงด้านตรงกันข้ามกับด้านที่ พลิกตัว เพ่ือเพ่มิ พนื้ ท่ีในการพลิกตวั 4) ใชผ้ า้ รองยกพลกิ ตะแคงตัวผู้ป่วยไปด้านท่ตี ้องการ 5) จัดทา่ ผูป้ ่วยใหส้ ขุ สบาย วางขาบนหมอนในท่างอเข่าเลก็ น้อย ใชห้ มอนรองรับ ขาด้านบนและหลัง 6) ยกข้างเตียงขึ้นแล้ว เดินกลับไปด้านท่ีจะตะแคงตวั เพื่อป้องกันผู้ป่วยพลิกตก เตียง 166
6.3.1.3 ข้อควรระวงั ในการพลิกตะแคงตัว 1) ก่อนพลิกตวั ตอ้ งประเมนิ สภาพผู้ป่วยและเลือกทิศทางทจ่ี ะพลิกตะแคงตัว ใหเ้ หมาะสม 2) หากผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวมาก หรือผ่าตัดกระดูกสันหลังการพลิกตัวผู้ป่วย ด้วยพยาบาลคนเดียว อาจจะไม่สะดวกควรจะใช้พยาบาล 2-3 คน โดยการตะแคงตวั พร้อมกนั โดยวิธี Log rolling technique ควรใช้ผา้ ขวางหรือ ผ้าปทู ี่นอนจะช่วยผ่อนแรงด้วย 3) ระมัดระวังทา่ ทางของพยาบาล เช่น การยืน การวางเทา้ การก้าวเท้า การ ถา่ ยน้ำหนกั ตวั ใหเ้ หมาะสม มคี วามสมดลุ ของรา่ งกาย 4) หลีกเลี่ยงการใช้กำลังมากในการพลิกตัวผู้ป่วย ควรหาผู้ช่วยเหลือหรือ เครื่องผอ่ นแรง เชน่ ผา้ ขวางเตยี งและอยา่ ใช้พลังงานของผู้ดูแลในการพลิกตัวอย่างเดียว ควรใช้เคร่ือง ผอ่ นแรงอย่างเหมาะสม รูปภาพท่ี 6-17 แสดงการพลกิ ตะแคงตวั แบบ Log rolling method ดัดแปลงจาก Potter, P. A., & Perry, A.G.,Elkin MK., 2012 167
6.3.2 การเคล่ือนยา้ ยผูป้ ่วย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเป็นกิจกรรมของพยาบาลที่ต้องปฏิบัติกับผู้ป่วยอยู่เสมอ เพื่อช่วย ส่งเสริมและ ฟื้นฟูสมรรถภาพของผูป้ ่วย ให้กลับคืนสูส่ ภาพปกติให้มากทีส่ ดุ ก่อให้เกิดความสุขสบาย ลดแรงกด ป้องกันปัญหาของระบบกล้ามเนื้อ ระบบกระดูก ระบบประสาท ระบบการไหลเวียนโลหติ พยาบาลจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย และสามารถเลือกวิธีการเคลื่อนย้ายให้ เหมาะสมกับผู้ป่วยแตล่ ะรายตามสภาพความเจ็บปว่ ย 6.3.2.1 วตั ถุประสงค์การเคลือ่ นยา้ ยผปู้ ่วย 1) ช่วยการเปลย่ี นอิริยาบถในผู้ป่วยทีช่ ่วยเหลอื ตนเองไม่ได้หรือไดน้ อ้ ย 2) ช่วยใหเ้ กดิ ความสะดวกในการรกั ษาพยาบาล 3) ทำใหเ้ กิดความสุขสบาย 4) ช่วยให้ระบบกล้ามเนื้อ กระดกู ประสาทและการไหลเวยี นโลหิต ทำหน้าท่ีได้ปกติ 6.3.2.2 หลกั การในการเคล่อื นยา้ ย 1) ต้องเตรียมผู้ป่วยให้ถูกต้อง ควรบอกให้ผู้ป่วยทราบ ปรับระดับเตียงให้อยู่ใน แนวราบ ล็อคล้อเตียงให้เรียบร้อย หากผู้ป่วยสามารถช่วยตัวเองหรือช่วยในการเคลื่อนย้ายได้บ้าง ควรใหผ้ ู้ปว่ ยไดม้ ีส่วนร่วม 2) ต้องจัดท่าทางให้ถูกต้องในทา่ ยืน การวางเท้า การใช้น้ำหนัก การถ่ายน้ำหนัก เคลือ่ นยา้ ยดว้ ยความนมุ่ นวล 3) ต้องให้ความปลอดภัย ความสุขสบาย และความมั่นใจแก่ผู้ป่วยในการ เคลือ่ นยา้ ย 6.3.2.3 การเคล่ือนย้ายผู้ปว่ ยในทา่ นอนไปทางหัวเตียง การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยการช่วยเลื่อนตัวขึ้นไปทางหัวเตียงเนื่องจากผูป้ ่วยมักเลื่อนตัว ลงไปปลายเตยี งแตร่ า่ งกายอ่อนแรงไมส่ ามารถเคลือ่ นตวั ขน้ึ ได้ด้วย ปฏิบัติดังน้ี 1) แจ้งผู้ป่วยถึงวัตถุประสงค์และขั้นตอน เพื่อคลายความวิตกกังวล เพื่อความ ร่วมมือและส่งเสริมความเป็นบุคคล (Autonomy) 2) ไขหัวเตียงในแนวราบ เพอื่ ลดแรงต้านจากแรงโนม้ ถ่วง เลอื่ นหมอนจากศรี ษะ 3) จบั ผ้ารองยกใหช้ ดิ ตวั ผปู้ ว่ ยมากทส่ี ุด 168
4) บอกผูป้ ่วยใหช้ นั เขา่ 5) ส่งสัญญาณใหผ้ ูป้ ว่ ยดันตวั ขน้ึ โดยพยาบาลออกแรงยกพรอ้ มกัน เพ่อื ผ่อนแรงของ พยาบาลหรือผชู้ ่วยเหลอื 6) ในกรณีที่มีบาร์โหนและผู้ป่วยพอมีแรงให้จับบาร์โหนยกตัวขึ้น ขณะเดียวกันให้ ผู้ปว่ ยออกแรงดันตวั ขนึ้ รปู ภาพที่ 6-18 แสดงการยกตัวผู้ปว่ ยไปด้านหัวเตียง ที่มา: https://commons.wikimedia.org/ รปู ภาพท่ี 6-19 แสดงการยกตวั ผู้ป่วยไปดา้ นหวั เตยี งโดยการโหนบารร์ ่วมดว้ ย ท่มี า: https://www.fairview.org/patient-education/82559 169
6.3.2.4 การเคลื่อนยา้ ยผู้ป่วยลงจากเตียงในท่านอน การเคลอ่ื นย้ายผู้ป่วยลงจากเตยี งในทา่ นอนในกรณีที่ผูป้ ่วยตอ้ งไปทำหตั ถการภายนอน หอกผปู้ ว่ ย การเคลื่อย้ายผ้ปู ว่ ยทด่ี จี ะต้องไมใ่ หผ้ ิวหนังของผู้ป่วยเสียดสกี บั เตียงและมีการผ่อนแรงของ ผูเ้ คลอื่ นยา้ ยดว้ ยการใช้กระดานเล่ือน จะวางกระดานเลื่อนระหวา่ งเตียงและสอดกระดานเล่ือนเขา้ ใต้ ผา้ ขวางเตยี ง โดยสอดไปใตห้ ลังผ้ปู ว่ ยขณะนอนตะแคง แล้วพลิกกลบั การเคล่ือนยา้ ยวธิ ีน้จี ะถูกต้อง และสะดวกในการเคล่ือนย้าย หากมีการจัดวางเตียงเก่าและเตยี งใหมห่ รือเปลนอน โดยให้เตยี งใหมต่ ั้ง ฉากกับเตียงเดิม ล็อคลอ้ เตียงใหเ้ รยี บรอ้ ย เพ่ือป้องกันการเคลอื่ นขณะยกหรือวางผูป้ ว่ ยลง 1) การเคลื่อนย้ายดว้ ยพยาบาล 3 คน ปฏิบตั ดิ ังน้ี (1) อธิบายให้ผู้ป่วยทราบ เพื่อคลายความวิตกกังวล ความร่วมมือและส่งเสริม ความเปน็ บุคคล (Autonomy) (2) พยาบาลคนท่ี 1 ยืนอยดู่ ้านศรี ษะของผู้ป่วยใช้แขนข้างหนึ่งวางไว้ที่คอใต้ไหล่ ของผู้ป่วยโดยให้ส่วนคอของผู้ป่วยอยู่บนแขนของพยาบาลและแขนอีกข้างหนึ่งรองอยู่ใต้หลังบริเวณ เหนอื เอว (3) พยาบาลคนที่ 2 รองแขนข้างหนึ่งเข้า ใต้เอวให้ชิดกับแขนพยาบาลคนที่ 1 และแขนอีกด้านหน่งึ รองเข้าใต้โคนขาหรือสะโพกของผปู้ ว่ ย (4) พยาบาลคนท่ี 3 สอดแขนขา้ งหนง่ึ เขา้ ใต้สะโพกให้ชิดกบั แขนของพยาบาลคน ที่ 2 และแขนอีกข้างหนึ่งสอดรองเข้าใต้ข้อเทา้ ของผู้ป่วย (5) ให้สัญญาณยกตัวผู้ป่วยขึ้น พร้อมๆ กับอุ้มผู้ป่วยให้ชิดตัวพยาบาลมากที่สุด เพ่ือรักษาความสมดลุ ในการทรงตวั ไม่ใชก้ ำลงั แขนมากเกนิ ไป (6) ถอยเท้าไปด้านหลงั เดินพร้อมกันไปยังเตยี งทีเ่ ตรยี มไว้ (7) พยาบาลผู้ที่ยกทางปลายเตยี งผูป้ ว่ ยจะเดนิ ไปยังปลายเตยี ง (8) สง่ สัญญาณวางผ้ปู ่วยลงบนเตยี งใหม่พร้อมกัน (9) จัดท่าใหผ้ ู้ป่วยสบาย ผ่อนคลาย เล่อื นตัวผู้ป่วยใหอ้ ย่กู ลางเตียง (10) คลุมผา้ ใหผ้ ู้ป่วยระดับหน้าอก 170
รปู ภาพที่ 6-20 แสดงการเคล่ือนยา้ ยผูป้ ่วยดว้ ยพยาบาล 3 คน ที่มา: https://www.jaypeedigital.com/book/9788184486100/chapter/ch12 (11) กรณีมีกระดานสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วย (transfer board/ pad-slide) สามารถใชก้ ระดานได้เพ่ือชว่ ยผ่อนแรงพยาบาลท่ีทำการเคลื่อนย้ายผ้ปู ่วย รูปภาพท่ี 6-21 แสดงการเคล่ือนย้ายผปู้ ่วยดว้ ยกระดานเคลื่อนย้าย ท่ีมา: smartdraw. 171
6.3.2.5 การเคล่ือนยา้ ยผูป้ ว่ ยลงจากเตียงในท่าน่ัง การเคลื่อนย้ายน้ีสำหรับผู้ป่วยสามารถนั่งรถเข็น (wheelchair) เช่น การเคลื่อนย้ายไป ทำกายภาพบำบัด การไปตรวจภายนอกหอผ้ปู ว่ ย กอ่ นการเคลอ่ื นยา้ ยต้องล็อคและลอ้ ของรถเข็นก่อน เสมอเพอื่ ความปลอดภัยของผู้ป่วยและตัวผู้ชว่ ยเหลือ การปฏิบัติดังน้ี 1) อธิบายผู้ป่วยและบอกวิธีการเคลื่อนย้ายเพื่อคลายความวติ กกังวล ความร่วมมือ และสง่ เสรมิ ความเป็นบุคคล (Autonomy) 2) นำเก้าอี้ล้อเข็นมาวางบริเวณหัวเตียง โดยวางขนานกับเตียง และล็อคล้อเตียงให้ เรยี บรอ้ ยเพ่อื ป้องกนั อนั ตราย 3) เลื่อนตัวผู้ป่วยมาริมเตียงใกล้พยาบาล ปรับตัวเตียงสูงประมาณ 60 ๐เลื่อนราว ขา้ งเตยี งลงขณะเคลื่อนยา้ ยผปู้ ่วย พยาบาลอยใู่ นท่าทางที่ถกู ต้อง ไม่กม้ ตวั ลงมากเกินไป 4) พยาบาลยืนข้างเตียงใกล้สะโพกผู้ป่วยเท้าเฉียงไปทางปลายเตียง แยกเท้าห่างกัน เล็กน้อยเพื่อการทรงตัวที่มั่งคงของพยาบาล สอดมือข้างหนึ่งเข้าใต้หัวไหล่ มืออีกข้างหนึ่งจับบริเวณ เหนือเข่าของผู้ป่วยออกแรงหมุนตัวให้ผู้ป่วยห้อยเท้าข้างเตียงประมาณ 2-3 นาทีเพื่อป้องกันผู้ป่วย หน้ามดื เปน็ ลม (Hypotension) 5) ใช้มอื ทง้ั สองข้างจับใต้รกั แร้ ใช้ขาขวาเปน็ หลกั ประคองให้ผูป้ ว่ ยยนื ริมเตยี งก่อน 7) หมนุ เอยี งผปู้ ว่ ยลงนง่ั โดยให้ผปู้ ่วยจับท่ีท้าวแขนประคองตัวชว่ ย 8) ประเมินความสามารถในการทรงตัวของผู้ป่วย วางเท้าบนที่วางเท้าให้เรียบร้อย เพอื่ ป้องกนั อนั ตรายจากปลายเท้าตก รปู ภาพท่ี 6-22 แสดงการเคลื่อนยา้ ยผู้ป่วยดว้ ยกระดานเคลื่อนยา้ ย ทีม่ า: https://www.wikihow.com/Safely-Transfer-a-Patient. 172
6.3.2.6 การพยุงผู้ป่วยเดิน 1) การพยงุ ผู้ปว่ ยเดนิ โดยผู้ช่วยเหลอื 1 คน สามารถปฏบิ ัติดังน้ี (1) อธิบายให้ผ้ปู ว่ ยทราบเพ่ือคลายความวติ กกังวล ความรว่ มมือและสง่ เสริม ความเป็นบุคคล (Autonomy) และพยุงผ้ปู ว่ ยลงจากเตยี ง (2) พยาบาลยืนข้างซ้ายหรอื ข้างทีอ่ ่อนแรงของผูป้ ่วย หันหน้าไปทิศเดียวกนั เพื่อประคองผู้ปว่ ย (3) ใชม้ ือขวาจบั เข็มขัดทีร่ ดั เอวผ้ปู ว่ ย เพือ่ ใหผ้ ู้ป่วยใชแ้ ขนไดอ้ ยา่ งอิสระ อีก มอื อาจประคองปลายตน้ แขนผู้ปว่ ยหรอื ประคองดา้ นหลังเพอื่ ความมั่นคง (4) พยุงเดินโดยกา้ วเทา้ ขา้ งเดียวกบั ผูป้ ่วยเดนิ ไปพร้อมกนั ถ้าผู้ป่วยหน้ามืด เปน็ ลม พยาบาลเลื่อนมือทพ่ี ยุงต้นแขนผู้ปว่ ยไปขา้ งหนา้ สอดแขนท้งั สองขา้ งใต้รักแร้ รับน้ำหนกั ตัว ผ้ปู ว่ ยไวพ้ รอ้ มกับใช้สะโพกยันสะโพกของผู้ป่วยและค่อยๆ พยงุ ผ้ปู ่วยลงน่งั กบั พื้น รูปภาพที่ 6-23 แสดงการพยุงผู้ป่วยเดนิ โดยผู้ช่วยเหลอื 1 คน ทีม่ า: Potter, P. A., & Perry, A.G.,Elkin MK., 2012 2) การพยงุ ผู้ป่วยเดนิ โดยผชู้ ว่ ยเหลือ 2 คน มวี ิธีการปฏิบตั ิดังนี้ (1) อธิบายผู้ป่วยถึงวัตถุประสงค์และการปฏิบัติ เพื่อคลายความวิตกกังวล ความร่วมมือและส่งเสรมิ ความเปน็ บุคคล (Autonomy) (2) พยาบาลทั้ง 2 คน ยืนคนละข้างของผู้ป่วยและหันหน้าไปทศิ ทางเดียวกนั พยาบาลแตล่ ะคนใชม้ ือพยงุ ใตร้ ักแกผ้ ้ปู ว่ ยหรือจบั เขม็ ขดั อีกมอื หนึง่ จับประคองต้นแขนผู้ป่วยไว้ (3) เดนิ กา้ วเท้าขา้ งเดียวกนั เดนิ ไป พร้อมๆ กนั 173
(4) ถา้ ผปู้ ว่ ยเวียนศรี ษะ หนา้ มืด พยาบาลท้ัง 2 คน จะเลื่อนมอื ขา้ งที่พยงุ ตัว ไปข้างหนา้ ใช้แขนสอดอยู่ใตร้ ักแร้ รบั น้ำหนักตวั ผปู้ ่วยไว้ พร้อมกบั ใช้สะโพกยนั สะโพกผปู้ ่วยไว้ แลว้ ค่อยๆ พยุงตัวผู้ปว่ ยไปนั่งเก้า รูปภาพท่ี 6-24 แสดงการพยุงผู้ปว่ ยเดนิ โดยผชู้ ่วยเหลอื 2 คน ทม่ี า: Potter, P. A., & Perry, A.G.,Elkin MK., 2012 6.4 การพยาบาลเพ่ือฟนื้ ฟูสภาพและปอ้ งกันภาวะแทรกซอ้ น การฟื้นฟูสมรรถภาพ (rehabilitation) หมายถึงการช่วยเหลือบุคคลทีด่ ้อยสมรรถภาพทาง กาย จิตใจ บุคคลที่เจ็บป่วยเรื้อรัง หรือบุคคลที่อยู่ในระยะพักฟื้น ได้ตระหนักถึงสมรรถภาพของ ตนเองที่ยังเหลืออยู่ และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิต และการทำงาน รวมทั้งเพื่อให้ ผ้ปู ว่ ยกลบั ฟ้นื คนื สภาพเดมิ หรอื ดีทีส่ ดุ เท่าที่เปน็ ไปได้ โดยมวี ัตถุประสงคเ์ พอ่ื 1) ปอ้ งกนั ความพิการ (mobility) หรอื ความดอ้ ยสมรรถภาพทอี่ าจเกิดข้ึน 2) เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วยให้กลับสู่สภาวะการทำหน้าที่เดิมให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไป ได้ (functional recovery) 3) เพ่ือใหบ้ คุ คลน้ันดำรงชีวิตได้อย่างเหมาะสมมีคุณภาพชวี ติ ที่ดี 6.4.1 หลักการฟน้ื ฟสู มรรถภาพ หลกั การฟื้นฟสู มรรถภาพคำนงึ ถงึ สิ่งสำคัญ 7 ประการคือ 1) การเรม่ิ ตน้ ของการฟื้นฟู ควรเร่มิ ในระยะท่ผี ูป้ ่วยพน้ วิกฤตแลว้ 174
2) ความต้องการและขอบเขตความสามารถในการปรับตัวของผู้ป่วย ทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม ประเพณี ความเชื่อ อาชพี เศรษฐกิจ 3) การวางแผนฟ้ืนฟูสมรรถภาพควรวางแผนเป็นรายบคุ คล 4) วางแผนฟื้นฟูสมรรถภาพท้งั ในระยะสั้น ระยะยาว และกระบวนการทีต่ ่อเนื่อง 5) การมสี ว่ นรว่ มของผปู้ ่วยและครอบครวั ในการวางแผนฟื้นฟสู มรรถภาพ 6) มกี ารให้กำลงั ใจผูป้ ว่ ย 7) จำเป็นตอ้ งมคี วามรว่ มมอื ของเจา้ หนา้ ทีใ่ นทมี สขุ ภาพ 6.4.2 บทบาทพยาบาลในการฟ้ืนฟสู มรรถภาพ 1) ปอ้ งกันการเกิดความด้อยสมรรถภาพแทรกซ้อน 2) ประสานงานในทมี การฟ้นื ฟสู มรรถภาพ จัดตารางเวลาท่ีเหมาะสมและได้ประโยชน์ ทสี่ ุด 3) เปน็ ผตู้ ระหนกั และประเมินถงึ ความต้องการของผ้ปู ่วย 4) กระต้นุ ให้ผูป้ ่วยมคี วามหวัง กำลังใจ 5) สอนแนะนำทักษะต่างๆ เพื่อช่วยให้ผปู้ ่วยยอมรบั การเปล่ียนแปลงสมรรถภาพของ ตน 6) แนะนำการใชบ้ รกิ ารจากแหล่งอ่นื ๆ ในชมุ ชน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับบรกิ ารอยา่ งต่อเนอ่ื ง 7) คำนึงถึงความเป็นบคุ คลของผปู้ ว่ ย ในการฟน้ื ฟูสมรรถภาพน้ัน พยาบาลมบี ทบาท สำคญั ในทีม 6.4.3 การประเมินผู้ป่วยก่อนการฟื้นฟูสภาพ ควรมีการประเมินความพร้อมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ รวมทั้งการประเมินความเสี่ยง ต่อการพลัดตกหกล้มก่อนเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการฟื้นฟูสภาพ หากมีความเสี่ยงต่อ การพลัดตกหกล้มต้องเฝา้ ระวังเป็นพเิ ศษระหว่างการฟน้ื ฟูสภาพ อาจเลือกการออกกำลังกายบนเตียง ก่อน ทั้งนี้แบบประเมินความเสี่ยงต่อดการพลัดตกหกล้มที่นิยมนำมาใช้ เช่น Hendrich Fall Risk Assessment Tool ดังแสดงในรปู ภาพท่ี 6.4.3 175
รปู ภาพที่ 6-25 แสดงแบบประเมินความเสี่ยงตอ่ การพลัดตกหกลม้ ทมี่ า: www.nurse.kku.ac.th 6.4.4 การบริหารร่างกาย ข้อ และกลา้ มเน้ือ ผปู้ ่วยท่นี อนโรงพยาบาลควรมีการบริหารรา่ งกายหรือออกกำลังกาย ข้อและกล้ามเนอ้ื เพื่อใหร้ ่างกายคงสมรรถภาพทางกายท่ีดี เม่ือหายจากการเจบ็ ป่วยสามารถเคลอื่ นไหวร่างกาย หรือ ชว่ ยเหลือตนเองได้ตามสมรรถภาพของแต่ละบคุ คล การออกกำลงั กายเพื่อการบำบัดรักษานน้ั แบง่ ออกเป็น 5 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Exercise for strength) ใช้ สำหรับผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ป่วยที่นอนนาน ๆ หรือเข้าเฝือกนาน ๆ ทำให้แขนและขาไม่ได้เคลื่อนไหว 176
เกิดลีบเพราะไม่ได้ใช้งาน การออกกำลังกายประเภทนี้ผู้ป่วยจะต้องทำเอง (Active exercise) แบ่ง ออกเปน็ 3 ประเภท คือ (1) การออกกำลังกายแบบเกรง็ กล้ามเนือ้ (Isometric exercise) เป็นการออกกำลัง กายโดยการเกรง็ กล้ามเนื้อเฉพาะมัด ไม่มีการเปลีย่ นแปลงความยาวของกล้ามเน้ือ เป็นการเพิ่มความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยที่ข้อไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น การเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง การเกร็ง กล้ามเนื้อแขนเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของแขน และเพื่อเป็นการเตรียมผู้ป่วยในการเดินด้วยไม้ค้ำยัน การออกกำลังแบบนี้ ใช้เวลาเกร็งนาน 6 – 10 วินาทีแล้วคลายและทำรอบละ 10 ครั้ง วันละ 2 – 3 รอบ (2) การออกกำลังกายแบบคงความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (Isotonic exercise) มีการ เปลี่ยนแปลงความยาวของกล้ามเนื้อ เป็นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยมีการเคลื่อนไหว ของขอ้ การออกกำลงั กายแบบน้ีได้ผลดีเพราะข้อต่าง ๆ ของรา่ งกาย มกี ารเคลอ่ื นไหวและกล้ามเน้ือมี การหดรัดตัวทำให้ตึงตัวและแข็งแรง การไหลเวียนของเลือดดี เช่น การให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวนั การลุกเดนิ เป็นต้น (3) การออกกำลังกายแบบออกแรงต้าน (Resistive exercise /isokinetic exercise) เป็นการออกกำลังกายโดยให้แรงต้านต่อการทำงานของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่นั้นๆ แรง ต้านอาจมาจากเครื่องมือหรือจากคน เชน่ ระบบรอกและนำ้ หนัก ตุ้มน้ำหนัก แรงตา้ นจากน้ำ เป็นต้น การออกกำลังกายแบบนี้เป็นทั้งแบบ Isometric exercise และ Isotonic exercise โดยช่วงที่มีการ เคลื่อนไหวของข้อจะเป็นแบบ Isotonic exercise และในช่วงที่ต้านแรงเกร็งกล้ามเนื้อจะเป็นแบบ Isometric exercise การออกกำลังแบบนี้ ได้แก่ การยกน้ำหนัก การให้ผู้ป่วยป่ันจักรยาน การใชม้ ือ ออกแรงดึงลูกรอก ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น แข็งแรงและทำงานได้นานขึ้น การออกกำลังใน ลกั ษณะนค้ี วรทำอยา่ งละ 3- 10 ครั้ง วนั ละ 2-3 คร้งั 2) การออกกำลังกายเพื่อการเคลื่อนไหวของข้อต่อ (Exercise for Range of Motion) Range of Motion (ROM) หมายถึง การเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่ของข้อนั้นๆ แต่ละคนไม่เหมือนกัน ตามปกติการเคลื่อนไหวข้อต่างๆของร่างกายจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเฉพาะของข้อนั้นๆ ดังน้ัน Range of Motion Exercise หมายถึง การเคลื่อนไหวของข้อต่อไม่เกินช่วงการเคลื่อนไหวปกติของ ข้อนั้นๆ เพื่อคงไว้ซึ่งการเคลื่อนไหวปกติของข้อ เพื่อป้องกันข้อยืดติด และเพิ่มการเคล่ือนไหวของข้อ กรณีที่ข้อยืดติดแล้ว มักกระทำโดยนักกายภาพบำบัด โดยการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่าง ๆ ใน รา่ งกายดังแสดงตาราง 177
ขอ้ ตอ่ ขอบเขตการเคล่อื นไหว คอ ก้มศีรษะ (flexion) เหยียดคอตรง (extension) แหงนศีรษะไปข้างหลัง (hyperextension)เอียงศีรษะไปหาไหล่ (lateral flexion) หมุนศีรษะไปด้านข้าง (rotation) ไหล่ ยกแขนไปข้างหน้าให้สูงระดับศีรษะ (flexion) วางแขนข้างลำตัว (extension) เหยยี ดแขนไปด้านหลงั ลำตัว (hyperextension) กางแขนออกจากลำตัว (Abduction) หุบแขนเข้าหาลำตัว (Adduction) หมุนแขนเป็นวงรอบ(circumduction) หมุนแขน ออกนอกลำตัว (outwardly rotation) หมนุ แขนเข้าหาลำตัว (inwardly rotation) ข้อศอก งอข้อศอก (flexion) เหยียดข้อศอกให้แขนตรง (extension) หมุนข้อศอกในท่า หงายมือ (rotate for supination) หมุนข้อศอกในท่าคว่ ำมือ (rotate for pronation) ขอ้ มือ งอข้อมือให้ฝ่ามือโค้งเข้าหาปลายแขน (flexion) เหยียดข้อมือในท่าปกติ (extension) ยกหลังมือให้โค้งเข้าหาปลายแขน (hyperextension) งอข้อมือไป ทางนิว้ หัวแมม่ ือ ( radial flexion) งอข้อมือไปทางนิ้วกอ้ ย ( ulnar flexion) มอื นว้ิ มอื กำมือ (Flex the hand and finger) เหยียดนิ้วมือในท่าปกติ (extension) เหยียด นิ้วมือในท่ารำละคร (hyperextension) กางนิ้วมือ (Abduction) หุบนิ้วมือให้ชิด กัน (Adduction) ให้นิ้วหัวแม่มือสัมผัสนิ้วอื่นๆ (Oppose the thumb) หมุน น้ิวหัวแมม่ อื เปน็ วงรอบ (rotate the thumb) สะโพก ยกขาขึ้นมาทางด้านหน้า (Flexion) เหยียดขาในท่าปกติ (extension) เหยียดขา ไปด้านหลงั ลำตัว (hyperextension) กางขาออกจากลำตวั (Abduction) หุบขาเข้า หาลำตัว (Adduction) หมนุ ขาเข้าหาลำตวั (circumduction) หมุนขาใหห้ ัวแม่เท้า เข้าหาลำตัว inwardly rotation) หมุนขาให้หัวแม่เท้าออกนอกลำตัว (outwardly rotation) 178
ขอ้ ต่อ ขอบเขตการเคลือ่ นไหว เข่า งอเข่า (Flexion) เหยียดเข่าออกในท่าปกติ (extension) ขอ้ เท้า เหยยี ดข้อเทา้ ใหห้ ลังเทา้ เบนห่างออกจากขา (plantar flexion) งอข้อเท้าให้หลงั เท้า โค้งเข้าหาขา (dorsal flexion) หมุนฝ่าเท้าเข้าหาลำตัว (inversion) หมุนฝ่าเท้า ออกนอกลำตวั นวิ้ เทา้ งอนิ้วเท้า (Flexion) เหยียดนิ้วเท้าในท่าปกติ (extension) กางนิ้วเท้า (Abduction) หุบนิว้ เท้าใหช้ ดิ กัน ((Adduction) ลำตวั ก้มลำตวั ใหห้ ลงั โค้ง งอ (Flexion) ลำตวั เหยยี ดตรงในทา่ ยนื (extension) แอ่นลำตัว ไปด้านหลัง (hyperextension) เอียงลำตัวไปด้านข้าง (lateral flexion) หมุน ลำตัวไปดา้ นข้าง (rotation) ตารางที่ 6-1 แสดงขอบเขตการเคลอ่ื นไหวของข้อตอ่ จำแนกตามชนดิ ของข้อต่อ 3) การออกกำลังกายเพ่ือเพิม่ ความทนทาน (Exercise for Endurance) 4) การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มการประสานงานของกล้ามเนื้อ (Exercise for Co - ordination) 5) การออกกำลังกายเพอื่ การผอ่ นคลาย (Exercise for Relaxation) 6.4.5 การอปุ กรณช์ ่วยพยงุ เดินเพือ่ การฟน้ื ฟสู ภาพ อุปกรณ์ช่วยพยุงเดินมีหลายประเภทควรเลือกให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย พิจารณา จากความสามารถในการเดนิ การทรงตัวและอายุของผู้ปว่ ย มีรายละเอียด ดังน้ี 1) ไม้เท้า (cane) ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีการทรงตัวค่อนข้างดี สามาถช่วยเหลือตนเองได้ ส่วนใหญใ่ ชใ้ นผ้สู ูงอายุ ลักษณะของไม้เท้ามีหลายรปู แบบ (1) ไม้เท้าแบบมาตรฐาน (standard cane) มีลักษณะฐานแบบขาเดียว บางคร้ัง เรยี กว่า single cane 179
รปู ภาพที่ 6-26 แสดงไมเ้ ทา้ แบบมาตรฐาน (standard cane) ที่มา: https://meded.psu.ac.th. (2) Wide base cane เป็นไมเ้ ท้าท่สี ว่ นฐานมี 3 ขา (tripod cane / triple cane) หรือ 4 ขา (quad cane) ซึ่งไม้เท้ากลุ่มนี้จะมีความมั่นคงมากกว่า สามารถใช้เดินในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ดี มากกวา่ standard cane รูปภาพที่ 6-27 แสดงไม้เท้าแบบ Wide base cane ทม่ี า: https://meded.psu.ac.th. 2) ไม้คำยัน (crutch) ส่วนใหญ่ใช้ในผู้ป่วยอายุนอ้ ย ภายหลังได้รับการผา่ ตัดส่วนระยาง ลา่ งของร่างกาย มคี วามแขง็ แรงของกล้ามเนื้อแขนที่ดี เนอื่ งจากการใชง้ านต้องอาศัยกล้ามเน้ือแขนใน การชว่ ยพยุงรา่ งกาย ไมค่ ำ้ ยันมีหลายประเภทแตท่ ่ใี ชบ้ อ่ ยคอื คือ Axillary crutches 180
รปู ภาพที่ 6-28 แสดงไม้คำยัน (crutch) ทม่ี า: https://pefricea.com. การใช้งาน Axillary crutches ที่ถูกต้อง ควรให้ปลายบนของไม้คำยันห่างจากรักแร้ เล็กน้อยประมาณ 1 -2 นิ้ว เพื่อลดการกดทับ radial nerve บริเวณมือจับต้องให้จับแล้วข้อศอกงอ เล็กน้อยประมาณ 30 องศา ส่วนปลายล่างของไม้ค้ำยันกางออก ให้ระยะห่างของปุ่มที่ส่วนปลายล่าง 2 ข้างหา่ งกนั ประมาณ 6 นิว้ ดังแสดงในรปู รูปภาพที่ 6-29 แสดงการใชง้ าน Axillary crutches ที่ถกู ต้อง ที่มา: https://quizlet.com/ วิธีการก้าวเดินดว้ ยอุปกรณไ์ ม้ค้ำยันรักแร้มีวธิ กี ารกา้ วเดนิ 4 แบบ ดังน้ี (1) Two point gait เป็นการก้าวเท้า 2 จังหวะ ลักษณะคล้ายคลึงกับการก้าวเดิน ตามปกติ 181
(2) Three point gait เป็นการก้าวเท้า 3 จังหวะ โดยก้าวเท้าที่ได้รับบาดเจ็บไป ก่อน เท้าเจบ็ แตะพ้ืน หลังจากนัน้ กา้ วเทา้ ปกตใิ หเ้ ลยเทา้ ทไี่ ด้รบั บาดเจ็บเลก็ นอ้ ย แล้วลงน้ำหนักเต็มที่ ก้าวเท้าเจบ็ ตามมาในระดับท่เี ท่ากนั (3) Swing – Through เป็นการเหวยี่ งเทา้ ทง้ั สองขา้ งขา้ มไม้ค้ำยนั ไปพร้อมกนั (4) Four point gait เป็นการก้าวเท้า 4 จังหวะ โดยก้าวเท้าที่ได้รับบาดเจ็บไปก่อน แล้วกา้ วเท้าปกตติ ามไปอยใู่ นระดบั เดยี วกนั รปู ภาพท่ี 6-30 แสดงวธิ กี ารก้าวเดนิ ด้วยอุปกรณ์ไม้คำ้ ยันรักแร้ ที่มา: https://link.springer.com. 3) อุปกรณ์ช่วยเดินชนิด 4 ขา (pick up walker) เป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสมสำหรับ ผู้สูงอายุเนื่องจากมคี วามมั่นคงกว่าอุปกรณ์ชว่ ยพยุงเดินแบบอื่น อุปกรณ์นี้มีใหเ้ ลือกหลากหลายแบบ เชน่ มลี อ้ เลอื่ น แบบที่พบั ได้ การเลอื กใช้ข้นึ อยกู่ บั ความตอ้ งการของผูป้ ว่ ย วธิ กี ารใช้อุปกรณช์ ่วยเดินชนิด pick up walker มีข้ันตอนหลัก 3 ข้ันตอนคอื (1) ยืนใหม้ ้ันคง วางมือบรเิ วณท่วี างมือจับ กางขาออกให้ความกว้างเทา่ กับความ กว้างของไหล่ (2) ยก pick up walker ไปด้ายหนา้ ประมาณ 1 กา้ ว (3) ก้าวขาไปด้านหน้า โดยให้ใช้ขาท่ไี ดร้ ับบาดเจบ็ ก้าวนำกอ่ น จากน้นั ก้าวขาอกี ขา้ ง หนึง่ ตาม โดยให้ปลายเท้าทั้งจากขา้ งอยใู่ นลกั ษณะของท่าท่ี 1 182
รูปภาพท่ี 6-31 แสดงวธิ กี ารใชอ้ ปุ กรณ์ชว่ ยเดินชนิด pick up walker ทม่ี า: https://demo.staywellhealthlibrary.com. 6.4.6 การลงนำ้ หนักเท้า การลงน้ำหนกั เทา้ เปน็ หน่งึ เรื่องท่ตี ้องให้ความสำคัญในการฟ้นื ฟสู ภาพผู้ป่วย ทั้งนี้การเลือก วธิ ีการลงน้ำหนกั น้นั เปน็ ไปตามแผนการรกั ษาของแพทย์ มีวิธกี ารลงนำ้ หนกั 3 แบบ ดงั น้ี 1) การลงน้ำหนักแบบเต็มที่ (Full weight bearing: FWB) เป็นการลงน้ำหนักเท้า ตามปกติของการเดิน ส่วนใหญ่ใช้ในผู้ป่วยที่ฟื้นฟูตามปกติ ไม่ได้มีการผ่าตัดบริเวณระยางล่างของ รา่ งกาย หรอื ในผู้ป่วยหลงั ผา่ ตดั เปล่ียนขอ้ เขา่ สามารถใชว้ ิธีการลงน้ำหนักแบบน้ไี ด้ 2) การลงน้ำหนักแบบบางส่วน (Partial weight bearing: PWB) เป็นการลงน้ำหนัก แบบปลายเท้าแตะที่พื้น ใช้สำหรบั ผปู้ ่วยทไี่ ด้รับการผ่าตัดใสอ่ ุปกรณ์ดามกระดูกทสี่ ่วนล่างของร่างกาย 3) ไม่ลงน้ำหนัก (Non weight bearing: NWB) ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดใส่ อุปกรณ์ดามกระดูกที่ส่วนล่างของร่างกาย โดยที่การผ่าตัดนั้นยังไม่สามารถลงน้ำหนักได้ ทั้งนี้ขึ้นกับ แผนการรกั ษา 183
6.5 บทสรปุ การจัดท่า การเคลื่อนย้ายและการฟื้นฟูสภาพร่างกายเป้นบทบาทที่สำคัญอย่างหนึ่งของ พยาบาล เนื่องจากสามารถช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ เช่น แผลกดทับ ข้อติดแข็งได้ นอกจากนี้การฟื้นฟูสภาพที่ถูกต้องเหมาะสมยังเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ ใกล้เคียงกบั ภาวะปกติ รา่ งกายแขง็ แรง รวมท้ังป้องกันการพลดั ตกหกลม้ ได้ 6.6 คำถามท้ายบท 1 ทา่ น้ีชื่อว่าอะไร 1. Fowler’s Position 2. Semi Fowler’s Position 3. Supine position 4. Prone, s position 184
2 การจดั ท่าในผู้ป่วยหลังตดั ขาที่ระดับเหนือเขา่ ข้อใดเหมาะสม 1. 2. 3. 4. 185
3 การจัดท่า Fowler’ s Position ควรไขปลายเทา้ สงู กี่องศา 1. 0 2. 15 3. 30 4. 45 4 ผูป้ ่วยหลังผ่าตัด ภายใต้ยาระงับความรสู้ ึกแบบทวั่ ร่างกาย (general anesthesia) ร้สู ึกตวั ดี ควรจัดท่าหลงั ผ่าตัดอยา่ งไร 1. Supine position 2. Prone’ s position 3. Semi – Fowler’ s position 4. Dorsal recumbent position 5 ผูป้ ่วยช็อคจากการเสียเลือดควรจัดทา่ นอนท่าใด 1. Prone, s position 2. Supine's position 3. Semi - Fowler's position 4. Trendelenburg, s position 6 การพลิกตะแคงตวั ผ้ปู ่วยทผ่ี ่าตัดหลัง ช่อื วา่ อะไร 1. Back rolling 2. Log rolling 3. Lateral turn 4. Back lateral turn 186
7 การออกกำลงั กายท่า งอ-เหยียดเขา้ พรอ้ มๆ กับกระดกปลายเทา้ เปน็ การออกกำลังกายชนิด ใด 1. Isotonic 2. Isometric 3. Isokinetic 4. Isomeric 8. คะแนนการประเมินความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม (Henrich Fall Risk Score) ผู้ป่วยราย ใดยังไม่ควรลงเดิน 1. 2 คะแนน 2. 3 คะแนน 3. 4 คะแนน 4. 5 คะแนน 9 ผ้ปู ่วยสูงอายุ หลงั ผ่าตัดเปลย่ี นข้อเขา่ ควรเลอื กอุปกรณช์ ว่ ยพยุงเดินในข้อใด 1. Quad cane 2. Wheel chair 3. Axillary crutch 4. Pick up walker 10 ผู้ป่วยหลังผ่าตัด แผนการรักษาให้ลงเดินแบบ Axillary crutch partial weight bearing ควรเดนิ แบบใด 1. 2 point gait 2. 3 point gait 3. 4 point gait 4. Swing trough 187
6.7 เอกสารอา้ งองิ ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ และอรุณรัตน์ เทพนา. (2559). ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ: หจก. เอน็ พเี พรส. สัมพันธ์ สันทนาคณิต, สุมาลี โพธิ์ทอง และสุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พนื้ ฐาน II. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท บพธิ การพมิ พ์ จำกัด. สุปราณี เสนาดิสัยและวรรณภา ประไพพานิช. (2558). การพยาบาลพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : บริษัท จุด ทอง จำกัด สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์ สุมาลี โพธิ์ทอง, และสัมพันธ์ สันทนาคณิต. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พ้ืนฐาน I.กรงุ เทพฯ: บริษัท บพธิ การพมิ พ์ จำกัด. อัจฉรา พุ่มดวง. (2559). การพยาบาลพื้นฐาน : ปฏิบัติการพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2556). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 1. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บริษัท ธนาเพรส จำกดั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2558). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 2. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บริษทั จรัลสนิทวงศ์การพมิ พ์ จำกัด. Nettina SM. (2 0 1 4 ) . Manual of Nursing Practice. Philadelphia: Williams &Wilkins Lippincott. Patricia A. Potter. (2 0 1 3 ) . Fundamentals of Nursing 8 th ed. St. Louis, Mo : Mosby Elsevier. Taylor ll. (2015). Fundamental of Nursing .8th ed. Philadelphia: Walters Kluwer. 188
แผนบริหารการสอนประจำบทท่ี 7 หลกั การและเทคนิคการพยาบาลพื้นฐานในการบริหารยา หัวข้อเนือ้ หาประจำบท 1. ความรู้เบื้องตน้ เกย่ี วกบั ยา 2. หลักการบริหารยา 3. การป้องกันความคลาดเคลอื่ นทางยา 4. การบริหารยาทางปาก 5. การบรหิ ารยาทางผวิ หนังและเยื่อบุ 6. การบรหิ ารยาฉดี 6.1 วธิ ีการเตรยี มยา 6.2 วิธกี ารฉดี ยาเขา้ ชน้ั ผวิ หนัง (intradermal injection) 6.3 วิธีการฉีดยาเข้าใตผ้ ิวหนงั (hypodermic injection or subcutaneous injection) 6.4 วิธีการฉีดยาเขา้ ชัน้ กล้ามเน้ือ (intramuscular injection) 6.5 วิธกี ารฉีดยาเข้าหลอดเลอื ดดำ (intravascular injection) 7. การบรหิ ารยาพน่ จำนวนชว่ั โมงท่สี อน: ภาคทฤษฎี 4 ชัว่ โมง วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. อธิบายเภสัชจลนศาสตร์ ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยาและอาการไม่พึงประสงค์ จากการใหย้ าได้ 2. บอกความหมายของคำศัพท์ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับการบริหารยาได้ 3. อธิบายการเรียกช่ือยา รูปแบบของยา การคำนวณปริมาณยาและหน่วยของยาตามหลกั สากลได้ 4. บันทกึ คำส่งั การใหย้ าลงในใบยา (medication administration record: MAR) ไดอ้ ยา่ ง ถกู ต้อง 5. บอกความสำคัญ ระบุหลักการบริหารยาอย่างปลอดภัย อธิบายการใช้ยาอย่างสมเหตุ ผลได้ 6. อธบิ ายวิธกี ารบริหารยาในรูปแบบต่างๆ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งตามหลกั การ 189
วธิ สี อนและกจิ กรรมการเรยี นการสอน 1. วิธสี อน 1.1 บรรยายสรปุ 1.2 อภิปรายกล่มุ 1.3 ยกตวั อยา่ งกรณีศกึ ษาเพ่ือการอภปิ ราย 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.1 มอบหมายงานล่วงหนา้ อย่างนอ้ ย 1 สัปดาห์ ให้นักศกึ ษาดู VDO สือ่ การสอน เรอ่ื งการ บรหิ ารยาทางปาก การบริหารยาฉดี ทาง YouTube channel: nursing practice https://www.youtube.com/channel/UCvKvxUJtmc7syshf5zcy7Xw และสรุปการเรียนรู้ 2.2 บรรยายเก่ยี วกบั ความรูพ้ นื้ ฐานทางเภสชั วิทยา การเรียกชอื่ ยา รปู แบบของยา การ คำนวณปริมาณยาและหนว่ ยของยาตามหลกั สากลได้ หลกั การบรหิ ารยาอยา่ งปลอดภัย อธิบาย วิธีการบริหารยาในรปู แบบต่างๆ 2.3 ผเู้ รยี นร่วมกนั ทำโจทยส์ ถานการณ์เกยี่ วกบั การคำนวณยา 2.4 ยกตัวอย่างกรณีศึกษาและให้ผู้เรียนบันทึกคำสั่งการให้ยา (doctor order sheet) ลง ในใบบันทึกการให้ยา (medication administration record: MAR) 2.5 ผเู้ รยี นรว่ มกนั สรปุ การเรยี นรู้ สอื่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. โปรแกรมสำเรจ็ รปู Power Point Presentation 3. โจทยต์ ัวอยา่ งกรณศี กึ ษา 4. บันทึกคำสั่งการให้ยา (doctor order sheet) และใบบันทึกการให้ยา (medication administration record: MAR) การวัดผลและประเมินผล 1. การเข้าชนั้ เรียนร่วมกับการสงั เกตพฤตกิ รรมการเรยี น 2. การสังเกตการมีสว่ นรว่ มในอภิปรายและตอบคำถาม 3. ผลการทำโจทย์สถานการณเ์ ก่ยี วกบั การคำนวณยา 4. บันทึกคำสงั่ การใหย้ าลงในใบบันทกึ การให้ยา (medication administration record) 5. การทำแบบฝึกหดั ทา้ ยบท 6. การสอบปลายภาค 190
บทที่ 7 หลกั การและเทคนคิ การพยาบาลพนื้ ฐานในการบริหารยา การให้ยา เป็นหน้าที่ที่สำคัญประการหนึ่งของพยาบาล เพื่อช่วยให้การรักษาของแพทย์มี ประสิทธิภาพมากขึ้นเนื่องจากยาช่วยในการรักษาโรค การบริหารยาให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างมี ประสทิ ธิภาพและปลอดภยั เปน็ หนา้ ที่สำคญั สำหรับบคุ คลากรทางการแพทยไ์ ม่วา่ จะเปน็ แพทย์ เภสชั กร พยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพยาบาลมีบทบาทสำคัญยิ่งในการจัดและให้ยาแก่ผู้ป่วยในแตล่ ะราย พยาบาลต้องอาศัยความรู้ ทักษะ และการจัดการ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และ สามารถใหก้ ารดแู ลอาการข้างเคยี งของยาได้ 7.1 ความรู้เบือ้ งตน้ เกยี่ วกับยา (Knowledge base of Medicine) 7.1.1 ความหมายของยา ความหมายของยาได้มีผู้ให้ความหมายไว้ค่อนข้างมาก เช่น พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน กล่าวว่า ยา หมายถึง สิ่งที่ใช้แกห้ รือป้องกันโรค หรือบํารุงร่างกาย เรียกชื่อตา่ ง ๆ กัน คือ เรียกตาม ลกั ษณะกม็ ี เชน่ ยาผง ยาเมด็ ยานํ้า เรียกตามสกี ็มี เชน่ ยาแดง ยาเขียว ยาเหลอื ง ยาดาํ เรียกตามรส หรอื กล่ินกม็ ี เช่น ยาขม ยาหอม เรยี กตามวิธที าํ กม็ ี เช่น ยาต้ม ยากลั่น ยาดอง เรยี กตามกิริยาที่ใช้ก็มี เชน่ ยากวาด ยากิน ยาฉดี ยาดม ยาอม ยา ตามความหมายใน พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 หมายความว่า วตั ถุทรี่ บั รองไวใ้ นตาํ รา ยาที่รัฐมนตรีประกาศ วัตถุที่มุ่งหมายสําหรับใช้ในการวินิจฉัย บําบัด บรรเทา รักษาหรือป้องกันโรค หรือความเจ็บป่วยของ มนุษย์หรือสัตว์ วัตถุที่เปน็ เภสัชเคมภี ณั ฑ์หรอื เภสัชเคมีภัณฑ์กึง่ สําเร็จรูปหรือ วัตถุที่มุ่งหมายสําหรับให้เกิดผลต่อสุขภาพ โครงสร้างหรือการกระทําหน้าที่ใดๆของร่างกายมนุษย์ หรอื สัตว์ จิรวรรณ มาลา ให้ความหมายของยา (drug หรือ medication) หมายถึง เภสัชภัณฑ์ที่ออก ฤทธิ์ต่อร่างกายเพื่อใช้ในการวินิจฉัยทางการแพทย์ การบำบัดรักษา หรือใช้ในการป้องกันโรค (จิรวรรณ มาลา, 2559 อ้างใน ณฐั สรุ างค์ บญุ จนั ทร,์ 2559) 191
สรุป ยา หมายถึง วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อร่างกายมนุษย์และสัตว์เพื่อใช้ในการวินิจฉัย บำบดั รกั ษา บรรเทาอาการ รวมถึงป้องกันโรค มที ้ังรปู แบบยาผง ยาน้ำ ยาเม็ด 7.1.2 เภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetics) กระบวนการของร่างกายในการจดั การเมื่อยาเข้าส่รู ่างกายประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดงั นี้ 7.1.2.1 การดูดซึมยา (absorption) คือ กระบวนการของโมเลกุลยาที่ถูกดูดซึมเข้าไป ในกระแสเลือดจากบริเวณที่มีการบริหารยา ยาจะผ่านผนังหุ้มเซลล์โดยการแพร่กระจายจากความ เข้มข้นสูงสู่ความเขม้ ขน้ ตำ่ ยาทม่ี ีดมเลกุลเล็กหรือละลายในไขมนั ไดด้ จี ะผา่ นเข้าส่เู ซลล์ได้ดี โดยปัจจัย ท่ีมีผลต่อการดูดซมึ ยามีดงั น้ี 1) วธิ ที างในการให้ยา (route of administration) การบรหิ ารยาทางปาก ยาจะถูก ดูดซึมไดด้ ที ่ีสุดบริเวณลำไส้เล็กสว่ นตน้ ยาทางภายนอกจะซึมแบบธรรมดา (simple diffusion) เข้าสู่ ผิวหนัง การบริหารยาด้วยการพ่น สูดดม หรือในรูปแบบของเหลวยาจะถูกดูดซึมผ่านเข้าทางเดิน หายใจ การบริหารยาโดยการฉีด ยาจะถูกดูดซึมจากชั้นใต้ผิวหนัง ชั้นไขมันเข้าไปยังกระแสเลือด ขน้ึ กับการบริหารยาฉีดในชั้นตา่ ง ๆ 2) ความสามารถในการละลายของยา ความสามารถในการละลายของยาขึ้นอยู่กับ รูปแบบการเตรียมยา เช่น ยาน้ำจะถูกดูดซึมได้ง่ายกว่ายาเมด็ ยาที่อยู่ในรูปน้ำมันสามารถดูดซึมได้ดี เนื่องจากสามารถผา่ นช้นั เยอ่ื ห้มุ เซลล์ได้ดกี วา่ 3) การไหลเวียนของเลือดในบริเวณทีใ่ หย้ า เช่น การฉีดยาเข้ากล้ามเน้ือยาจะดูดซึม ได้ดกี ว่าการฉีดเข้าช้นั ใตผ้ ิวหนังเนอื่ งจากมีการไหลเวียนของเลือดที่กล้ามเน้ือมากกว่าชน้ั ใต้ผิวหนงั 4) พน้ื ทผี่ ิวสัมผัสที่สมั ผัสกับยาได้มาก เช่น ในลำไสเ้ ลก็ จะดดู ซมึ ไดด้ ีกว่าในกระเพาะ เน่ืองจากมีพ้นื ท่ผี ิวสมั ผัสท่มี ากกว่า 5) ความเข้มขน้ ของยาสูงจะดดู ซึมได้ดกี วา่ ความเข้มขน้ ต่ำ 6) ภาวะความเป็นกรด-ด่าง ของร่างกาย เช่น ในกระเพาะอาหารมีความเปน็ กรดสูง ดังน้นั ยาที่มีความเปน็ กรดออ่ นจะสามารถดูดซึมไดด้ ี 7.1.2.2 การกระจายตัวของยา (Drug distribution) ภายหลังจากที่ยาถูกดูดซึมเข้าสู่ กระแสเลือดก็จะกระจายตัวไปยังส่วนต่าง ๆ ยาบางชนิดไปที่เนื้อเยื่อทุกชนิด ยาบางตัวไปจับกับ เนื้อเยื่อเป้าหมาย การกระจายตัวของยาจะดีหรือไม่ขึ้นกับการไหลเวียนของเลือด ความสามารถใน การจับกบั โปรตีน ความสามารถในการซึมผา่ นเย่ือห้มุ เซลล์ 7.2.1.3 การแตกตัวหรือการเปลี่ยนแปลงยาในร่างกาย (Biotransformation) เมื่อยา เขา้ ไปทเี่ นื้อเยอื่ ยาจะถูกเปลย่ี นโดยเอนไซม์ใหม้ ีฤทธ์ิมากข้นึ หรือมฤี ทธิ์ลดลง เพอ่ื เตรียมในการขับออก จากร่างกาย โดยส่วนใหญ่การเปลี่ยนแปลงของยามักเกิดขึ้นที่ตับ ดังนั้นหากการทำงานของตับไม่ดี 192
อาจทำให้ยาค้างอยใู่ นร่างกายมากจนเปน็ อันตรายได้ การได้รบั ยามากกว่า 1 ตวั และยามีปฏิกิริยาต่อ กัน (Drug - drug interaction) อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของยาที่ผิดไปจากเดิมได้ ดังนั้นการให้ ยาตอ้ งทราบปฏิกริ ยิ าตอ่ กนั ของยาแต่ละชนิดได้ 7.2.1.4 การกำจัดยา (Excretion) การจำจัดยาส่วนใหญ่เป็นการกำจัดออกทางไต มี บางส่วนที่ขับออกทางอุจจาระ เหงื่อ ลมหายใจ ดังนั้นการให้ยาผู้ป่วยต้องคำนึงถึงความสามารถใน การกำจัดยาของไตผูป้ ่วยด้วย 7.1.3 ปัจจัยทีม่ ผี ลตอ่ การออกฤทธข์ิ องยา เมื่อไดร้ ับยาเข้าไปในร่างกายแลว้ การออกฤทธข์ิ องยายังมีปัจจัยอื่น ๆ ท่ีเกีย่ วขอ้ ง ไดแ้ ก่ 1) อายุ การให้ยาในหญิงตั้งครรภ์หรือในเด็กเล็กที่การพัฒนาของอวัยวะต่าง ๆยัง เจริญเติบโตไม่เต็มที่ ส่งผลให้ต่อความสามารถในการกำจัดยาออก ยาอาจเกิดพิษได้มาก ดังนั้น การ ให้ยาในหญิงตั้งครรภ์ควรให้ในปริมาณน้อย คำนึงถึงทารกในครรภ์ การให้ยาในเด็กเช่นเดียวกัน นอกจากนี้การให้ยาในผู้สูงอายุหรือผู้ทีม่ ีความเสื่อม ความบกพร่องของตับและไต ควรพิจารณาให้ใน ปริมาณทีน่ ้อยกวา่ ผใู้ หญป่ กติ 2) น้ำหนักตัว หากน้ำหนักตัวมากการดูดซึมยาจะมากกว่าผูท้ ี่น้ำหนักตัวปกตดิ ังนั้นการ ให้ยาจึงคำนวณปริมาณยาตามน้ำหนัก และในเด็กทารกซึ่งมีพื้นที่ผิวมากกว่าผู้ใหญ่การดูดซึมยาจะ มากกวา่ ดังน้นั การใหย้ าในเดก็ ทารกจงึ ต้องคำนวณยาโดยคำนึงถึงนำ้ หนกั ตัวและพืน้ ที่ผวิ กายดว้ ย 3) ความสามารถในการทำหน้าที่ของตับและไต ซง่ึ อวยั วะทัง้ 2 อยา่ งนี้มีความเกี่ยวข้อง กับการกำจัดยาออกจากร่างกาย หากความสามารถในการทำหน้าที่ของตับและไตลดลง เช่น ผู้ป่วย โรคตบั ผูป้ ่วยไตวาย 4) พนั ธุกรรม (genetic) 7.1.4 การเรียกชื่อยา (Drug nomenclature) ยาแต่ละชนิดอาจมีชื่อเรียกได้หลาย ๆ แบบ ซง่ึ แบง่ ชือ่ ที่สามารถเรียกได้ 4 ช่อื เรยี ก ได้แก่ 1) ชื่อทางเคมี (chemical name) คือ ชื่อที่บอกถึงส่วนประกอบทางเคมีของยานั้น ๆ ตวั ยาชนิดหน่ึงจะมชี อ่ื ทางเคมไี ด้เพยี งชอื่ เดียวเท่านั้น 2) ช่ือสามญั (Generic name) เป็นชื่อทต่ี ้งั สำหรบั ยาชนิดนัน้ ๆ ตั้งแต่เรมิ่ ต้นผลิต 3) ชื่อทางการ (Official name) เป็นชื่อทีผ่ ่านการเห็นชอบอย่างเป็นทางการ และพิมพ์ อยใู่ นตำรายา 193
4) ชอื่ ทางการคา้ (Trade name or Brand name) เป็นชื่อทบี่ ริษทั ผู้ผลิตตงั้ ข้ึน และจด ทะเบียนไวส้ ำหรับยาแต่ละชนดิ ลำดบั chemical name Generic name Official name Trade name 1 N-Acetyl-para- Acetaminophen Acetaminophen, Paracap®, aminophenol Paracetamol Tylenol® 2 Omeprazole Omeprazole Omeprazole Losec® sodium ตารางท่ี 7-1 แสดงตัวอย่างการเรียกช่อื ยา 7.1.5 รปู แบบของยา (Drug form) รูปแบบของยาที่ใช้บ่อย ๆ มดี งั น้ี 7.1.5.1 ยาน้ำ ซึ่งเป็นรูปแบบของยาที่ถูกละลายด้วยตัวทำละลาย (solvent) ยาน้ำมี หลายลักษณะ ไดแ้ ก่ 1) ยาน้ำใส (solution) เป็นยาที่อยู่ในรูปแบบน้ำใสผสมอยู่ในตัวทำละลายที่ เหมาะสม ส่วนใหญ่จะเปน็ กลมุ่ ยาฉีด เชน่ ยาน้ำโพแทสเซยี มคลอไรด์ (KCL solution) 2) ยานำ้ เชื่อม (syrup) เปน็ ยาท่อี ยูใ่ นสารละลายที่มีสว่ นประกอบของนำ้ ตาล เพอ่ื ให้ กินได้งา่ ย เชน่ ยาแมกนเี ซียม ซัลเฟต (MgSO4) ยานำ้ เช่ือมพาราเชตามอล 3) อิมัลชัน (emulsion) เป็นยาที่ไม่สามารถละลายเข้าด้วยกันได้ มักเป็นรูปแบบ น้ำมัน แต่เมื่อใส่สารอิมัลชัน ยาจึงละลายเข้ากัน การใช้ยากลุ่มนี้ต้องเขย่าก่อนเพื่อให้ยาเข้ากัน หาก ไม่เขย่ายาจะแยกช้ันอยู่ เช่น ยาระบายน้ำมันละห่งุ 4) ยาน้ำแขวนตะกอน (suspension) คือยาทีอ่ ยรู่ ปู แบบของตะกอนทต่ี กอย่ดู ้านล่าง ตัวทำละลายจะลอยอยู่ด้านบน ก่อนใช้ยาต้องเขย่าให้ยาเข้ากันก่อน เช่น ยาลดกรดในกระเพาะ อาหาร (Alum milk) 5) อิลิกเซอร์ (elixir) เป็นลักษณะยาน้ำใส ถูกทำละลายด้วยสารที่มีส่วนประกอบ ของแอลกอฮอล์ ประมาณ 4 -40 % เช่น Elixir KCL 6) ทิงเจอร์ (Tincture) เป็นยาที่สกัดออกมาจากพืช สัตว์ โดยตัวทำละลายที่เป็น แอลกอฮอล์ เชน่ ทงิ เจอรไ์ อโอดนี สำหรับทำแผล 7) ยาสปิรติ (Spirit) เป็นยาทเ่ี ป็นของเหลว หรือของแขง็ ทถี่ กู ละลายด้วยแอลกอฮอล์ ผสมน้ำ ระเหยง่าย เชน่ แอมโทเนยี แกว้ ิงเวียนศีรษะ 194
8) ยาพ่น (Aerosol spray) เป็นยาน้ำที่ผสมอยู่ในน้ำหรือแอลกอฮอล์ เมื่อนำไปใช้ กับเครื่องพ่นละอองฝอยจะทำให้ได้ยาที่เป็นละอองเล็ก ใช้ในการสูดเข้าระบบทางเดินหายใจ เช่น Ventolin ใช้ในการพ่นขยายหลอดลม 7.1.5.2 ยาเม็ด เป็นยาที่ประกอบด้วยตัวยาตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป โดยยาเม็ดมีลักษณะต่าง ๆ ดังน้ี 1) ยาผงที่อัดเม็ดเป็นเม็ดแข็ง (tablet) มีรูปร่างได้หลายรูปแบบ ส่วนใหญ่เป็นยา รับประทานทางปาก หรือยาเหน็บต่าง ๆ 2) ยาเม็ดท่ีมีรปู รา่ งคลา้ ยแคปซลู (caplet) มีสารเคลอื บทีท่ ำให้ง่ายตอ่ การกลนื 3) ยาเมด็ ท่มี รี ปู ร่างกลมหรือรี (pill) มสี ว่ นประกอบของสารทีม่ ีความหนดื 4) ยาเม็ดที่มีปลอกหุ้มทำด้วยเจลาติน (Capsule) ภายในบรรจุยาที่เป็นผง หรือ ของเหลว หรอื ยาเม็ดเลก็ ๆ (Pellet) 7.1.5.3 ยาผง (Powder, Granule) มลี กั ษณะเป็นผงแห้ง มีทัง้ รูปแบบยารับประทานซ่ึง ต้องละลายกอ่ นรับประทาน หรอื ก่อนนำไปฉีด หรือหากเป็นยาทาภายนอกทน่ี ำไปโรยผิวหนงั 7.1.5.4 ยารูปแบบกึ่งแข็ง กึ่งเหลว (Semi- solid dosage form) เป็นยาที่ใช้ภายนอก รา่ งกายมีรูปแบบตา่ ง ๆ ดังน้ี 1) ยาขีผ้ ง้ึ (Ointment) เป็นยาท่มี ีสว่ นประกอบของไขมนั ใช้ยาเฉพาะท่เี ชน่ ขี้ผึ้งป้าย ตา 2) ครีม (cream) เป็นยาอิมัลชันชนิดกึง่ แขง็ ตวั ยาละลายในน้ำหรือนำ้ มัน สีขุ่น ขาว เช่น ครีมทาแกเ้ ชื้อรา 3) เจล (Gel) เน้อื ยามลี ักษณะข้น ใส ล้างออกงา่ ย เชน่ เจลทาแกป้ วด 4) ยาเปยี ก (Past) เป็นยาทีม่ ีลักษณะเหนยี ว ขน้ ไม่มีสว่ นประกอบของไขมัน ซึมเข้า ใตผ้ ิวหนังได้นอ้ ยกว่ายาขี้ผงึ้ 5) ยาสำหรับตดิ ท่ีผิวหนงั (Transdermal disk, patch) เป็นแผ่นฟิล์มที่มียาอยู่ดา้ น ใน ใช้แปะผิวหนัง ยาจะค่อยๆ ซึมเข้าสู่ผิว ผ่านเข้าสู่กระแสเลือดต่อไป เช่น Fentanyl patch ใช้ สำหรับแปะแก้ปวด 195
7.1.6 หนังสือคู่มือเกี่ยวกับยา (Drug references) การบริหารยาที่ดีนั้นมีความจำเป็น อย่างยิ่งที่ผู้บริหารยาต้องมีข้อมูลยาที่เป็นมาตรฐานสากล มีความทันสมัย โดยในทุกประเทศจะมี หนังสอื ตำรบั ยาอย่แู ล้ว ตวั อย่างคมู่ ือยาที่ใชบ้ ่อย 1) ตำรับยาของประเทศไทย (Thai pharmacopeia: TP) ที่เนื้อหาประกอบไปด้วยช่ือ ยา ส่วนประกอบของยา คุณสมบัติทางเคมี ทางกายภาพ วิธีการตรวจวิเคราะห์ การทดสอบสาร ปนเปื้อน ภาชนะบรรจุและการเก็บรักษา โดยในแต่ละประเทศจะมีตำรับยาเป็นของตนเอง เชน่ เดยี วกนั 2) หนังสือมาตรฐานยาที่แพทย์ใช้ในการอ้างอิง (Physical, Desk Reference) เป็น หนงั สอื คู่มือยาทแ่ี บ่งออกเปน็ หมวดหมู่ บอกชื่อการคา้ ช่อื สามญั สรรพคุณ ขนาดบรรจุ ข้อห้ามใช้ คำ เตือนต่าง ๆ 3) หนังสือคู่มือยาฉบับที่ใช้เฉพาะประเทศไทย ( Master Index of Medical Specialties: MIMS Thailand) เป็นหนังสอื คมู่ อื ยาทีม่ ขี ้อมลู ลกั ษณะเดยี วกบั PDR 7.2 หลักการบรหิ ารยา (Medication Administration) การบริหารยา หมายถึง กระบวนการนำยาเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งกระบวนการนำยาเข้าสู่ร่างกาย สามารถทำได้ลายวิธีขึ้นอยู่กับภาวะสุขภาพของผู้ป่วย กลไกการออกฤทธิ์ของยานั้น ๆ ในการบริหาร ยา พยาบาลตอ้ งมคี วามรู้พน้ื ฐานทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั การบริหารยาดังนี้ 7.2.1 วธิ ใี นการให้ยา (Method of drug administration) การนำยาเข้าสู่ร่างกายเพื่อให้เกิดการดูดซึมจนกระทั่งออกฤทธิ์ มีหลายวิธี ซึ่งยาหนึ่งชนิด อาจใหไ้ ดห้ ลายวิธี โดยวธิ ใี นการให้ยามีดงั นี้ 7.2.1.1 การให้ยาทางปากหรือยารับประทาน (Oral administration) เขียนตัวย่อว่า PO. หรือ เป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย สะดวก สิ้นเปลืองน้อย แต่มีข้อจำกัดในผู้ป่วยที่ไม่สามารถ รบั ประทานได้หรือมีปญั หาการกลนื 7.2.1.2 การฉีด (Injection) เป็นวิธีการให้ยาที่ออกฤทธิ์ได้เร็วกว่าการให้ยาทางปาก การใหย้ าฉดี สามารถทำได้หลายทาง ไดแ้ ก่ 1) การฉีดเขา้ ชัน้ ใต้ผิวหนัง (Hypodermic, subcutaneous injection) เขียนตัวย่อ ว่า sc เปน็ การฉีดยาเข้าไปในเนื้อเยื่อชน้ั ใตผ้ วิ หนัง 196
2) การฉีดเข้ากล้ามเน้อื (Intramuscular injection) เขียนตัวยอ่ วา่ IM หรือ m เป็น การฉดี ยาเขา้ ไปท่ีชนั้ กลา้ มเน้ือ ซึ่งยาจำดูดซึมไดเ้ รว็ กว่าช้ันใตผ้ วิ หนงั เนอื่ งจากมเี ลอื ดมาเล้ยี งมากกว่า และมเี ส้นประสาทมาเลย้ี งน้อย ดังนน้ั การฉดี ยาทเ่ี ป็นสูตรน้ำมนั ซ่ึงคอ่ นขา้ งปวดควรฉดี เขา้ ชน้ั น้ี 3) การฉดี ยาเขา้ ระหวา่ งชัน้ ผิวหนงั (Intradermal injection) เขยี นตวั ย่อวา่ ID หรือ D เป็นการฉีดยาที่มีปริมาณน้อยกว่า 0.5 มิลลิลิตร เข้าไปในชั้น dermis มักใช้ในการฉีดเพื่อทดสอบ ภมู แิ พ้ หรอื การฉดี ยาชา 4) การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ (Intravenous injection) เขียนตัวย่อว่า IV หรือ v เป็นวิธีที่ยาออกฤทธิ์เร็วมาก แต่การฉีดเร็วเกินไป หรือยาที่มีความเข้มข้นสูงอาจทำให้หลอดเลือดดำ อักเสบได้ 5) การหยดยาเข้าหลอดเลือดดำ (Intravenous infusion) เขียนตัวย่อว่า IV drip หรือ v drip เป็นวิธีการให้ยาทางหลอดเลือดดำที่ใช้ในการให้ยาที่มีความระคายเคือง ซึ่งต้องผสมใน สารละลายค่อนขา้ งมาก 7.2.1.3 การให้ยาทางผิวหนังและเยื่อบุ เป็นการให้ยาซึ่งมีผลเฉพาะที่มีฤทธิ์ข้างเคียง น้อย ซงึ่ การใหย้ ามีได้หลายทาง ไดแ้ ก่ 1) การให้ยาสอดทางช่องคลอดหรือทางทวารหนัก 2) การให้ยาอมใต้ลิ้น (sublingual administration) ยาจะดูดซึมเข้าทางเยื่อบุ ภายในชอ่ งปากซึง่ ออกฤทธ์ิไดเ้ รว็ กวา่ การให้ยาทางปาก 3) การสูดดมหรือการพ่น (Inhalation) 4) ยาทาหรอื ยาถูนวด (Inunction) 5) ยาหยอด (Instillation) เชน่ ยาหยอดหู ยาหยอดตา 6) ยาสำหรับตดิ ทผ่ี วิ หนงั (Transdermal disk, patch) 7.2.2 มาตราในระบบตา่ งๆ ที่ใชใ้ นการบรหิ ารยา 7.2.2.1 ระบบเมตริก (metric) เป็นหน่วยสากล มาตรฐาน ได้แก่ เมตร ลิตร กรัม โดย ส่วนใหญ่ยาน้ำจะวัดหน่วยเป็นมิลลิลิตร ยาที่อยู่ในรูปของแข็งจะวัดเป็นกรัม มิลลิกรัม หรือในกรณี ของอินซูลินจะมีหน่วยเป็นยูนิต (unit: U) นอกจากนี้ในระบบเมตริกยังมีคำอุปสรรค (Prefix) ที่เป็น เลขยกกำลังฐานสิบทม่ี ผี ลในการคำนวณขนาดยาได้ (จะกล่าวถึง การคำนวณยาในส่วนถัดไป) 197
ตารางท่ี 7-2 แสดงคำอุปสรรค (Prefix) ทใี่ ช้ในการคำนวณยา ท่มี า: http://cwweb2.tu.ac.th/emc/ShelfTU/@tubookshelf2/PM232/PM232.pdf 7.2.2.2 ระบบอะโพทิคารี (apothecary) เป็นระบบของน้ำหนักเป็น เกรน (Grain, gr) หน่วยพ้นื บานเรียกวา่ มินิม (Minim) เปน็ ระบบเก่าแก่ซ่งึ ใชต้ ัวเลขโรมนั 7.2.2.3 ระบบที่ใช้ภายในบ้าน (house hold) ประกอบด้วยการใช้เป็นหยด (Drops) ชอ้ นชา (teaspoons) ชอ้ นโตะ๊ (Spoons) ถ้วย (cups) แกว้ (glasses) ในการบริหารยานั้นมคี วามจำเป็นท่ีผู้บริหารยาตอ้ งเข้าใจมาตราในการวดั ขนาดยา สามารถ เทียบเคียงหน่วยน้ำหนัก หน่วยปริมาตรทั้งสามหน่วยได้ เพื่อให้สามารถคำนวณขนาดยาได้ รายละเอียดดงั นี้ การเปรียบเทยี บหน่วยเปน็ นำ้ หนกั ของระบบเมตรกิ และระบบอะโพทคิ ารี ระบบเมตรกิ ระบบอะโพทิคารี 60 mg. = 1 grain (gr.) 1 gm. = 15 grain (gr.) 4 gm. = 1 dram (dr.) 30 gm. = 1 ounce (oz.) 1000 gm. = 2.2 pound (lb.) 198
การเปรยี บเทียบหนว่ ยเป็นปรมิ าตรของระบบเมตรกิ และระบบอะโพทิคารี ระบบเมตรกิ ระบบอะโพกทิคารี 1 ml. = 15 minims 1 cc. = 15 minims 0.06 ml. = 1 minim 4 ml. = 1 fluid dram 30 ml. = 1 fluid ounce 500 ml. = 1 pint 1000 ml. = 1 quart 4000 ml. = 1 gallon การเปรียบเทยี บหนว่ ยเปน็ ปรมิ าตรของระบบเมตรกิ ระบบอะโพทคิ ารี ระบบเมตรกิ ระบบอะโพทคิ ารี ระบบทใ่ี ช้ภายในบา้ น 0.06 ml. = 1 minim = 1 drop 1 ml. = 15 minims = 15 drops 4-5 ml. = 1 fluid dram = 1 teaspoon 15 ml. = 4 fluid drams = 1 tablespoon 30 ml. = 1 fluid ounce = 2 tablespoons 180 ml. = 6 fluid ounces = 1 teacup 240ml = 8 fluid ounces = 1 glass 199
7.2.3 ตัวย่อเกี่ยวกบั การบริหารยา ในการบริหารยามีคำย่อที่เกี่ยวขอ้ งเป็นจำนวนมาก โดยคำทีใ่ ชบ้ ่อยๆ มีดงั น้ี ตวั ยอ่ ภาษาลาตนิ ความหมายใน ความหมายใน ภาษาไทย aq. ภาษาองั กฤษ Aq.dest.,aq. dest น้ำ Comp., comp. Aqua water นำ้ กลนั่ Dil., dil. ปน ผสมหลายชนิด Elix. aqua distillata distiled water เจือจาง ยาประเภทน้ำเชื่อม ext. Compositus,compositum compound ผสมแอลกอฮอล์ et. ยาสกัด Fl.,fl., fld. Dilutus dilute และ เ ห ล ว ข อ ง ท ี ่ มี Lin. elixir elixir ลกั ษณะเป็นนำ้ liq. ยาทาถนู วด Lot. extractum extract ลกั ษณะเปน็ น้ำ Mist.,mist.,M. et. and ยานำ้ สำหรับทา Pil., pil fluidus, fluidum fluid ยาผสม Pulv., pulv. ยาเมด็ ชนดิ กลม Sol. linimentum liniment ยาชนิดผง เป็นผง Sp., sp liquor. Liquid ยาชนิดนำ้ Syr. lotio. lotion เหลา้ ยา เหล้าระเหย Tab. mistura, Misc mixture, Mix น้ำเชื่อม Caps., caps. pilula pill ยาเมด็ ชนดิ แบน Tr.,tr.,Tinct.,tinct. Pulvis a powder ปลอกแคปซูลใส่ยา Ung., ung. Solution solution ผงทิงเจอร์ aa., a.a. spiritus spirit ข้ผี ึ้ง ad. Syrupus syrup อยา่ งละเท่าๆ กนั add. Tabella tablet เตมิ จนครบ Capsule capsule กับ Tinctura Tincture Unquentum ointment Ana of each Ad to, up to Adde add to 200
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 582
Pages: