ขนาดถงั DEF G H,K 2.41 3.14 คา่ คงที่ (K) 0.16 0.28 0.93 5.05 6.59 ความจุออกซิเจน (ลบ.ม.) 0.34 0.59 1.98 ตารางท่ี 12-2 แสดงชนดิ ของถงั ออกซิเจนจำแนกตามค่าคงทแี่ ละความจุของออกซเิ จน ข้อควรระวังของการใช้ออกซิเจนถัง เพื่อป้องกันการเกิดเพลิงไหม้หรือการระเบิดของถัง ชนิดน้ี ควรปฏิบัตดิ งั น้ี - ตรวจสอบสภาพถัง ไม่เปดิ วาลว์ ท้ิงไว้ ถงึ แมอ้ อกซเิ จนจะหมดแลว้ - เก็บถงั ออกซเิ จนไวใ้ นทีป่ ลอดภัยจากความร้อน รังสี น้ำมนั หรือเปลวไฟ - เคล่ือนยา้ ยด้วยความระมดั ระวังไม่โยนหรอื กระแทก - ควรมตี วั จับหรือยึดถงั ให้อยู่กับที่ขณะใช้งานเพอ่ื ไมใ่ ห้ถงั ลม้ -ตรวจสอบความดันออกซิเจนที่อยู่ในถังจากหน้าปัดตัวถังก่อนต่อออกซิเจนทุกคร้ัง หากมคี วามดนั เหลือนอ้ ยประมาณ 500 ปอนดต์ อ่ ตารางนิว้ ควรเปลี่ยนถงั ใหม่เพราะสว่ นที่เหลืออาจมี ส่งิ ระคายเคอื งเยอ่ื บุทางเดินหายใจ - หากมอี อกซิเจนรัว่ ตามรูหรอื ขอ้ ตอ่ ต่าง ๆ ควรส่งซ่อมทนั ที รปู ภาพท่ี 12-2 แสดง ถงั ออกซิเจน http://siammetalliczone.com 351
(2) ออกซิเจนจากหนว่ ยจ่ายกลาง (central piped line) หรือออกซเิ จนจากท่อ ซ่งึ ใช้ใน โรงพยาบาล โดยมีศูนย์เก็บออกซิเจนและจ่ายออกซิเจนจากศูนย์ไปยังหอผู้ป่วยโดยผ่านท่อซึ่งฝังไว้ที่ ผนงั ตกึ และมีชอ่ งเปดิ ท่ีผนงั หอ้ งสามารถสวมเครอ่ื งปรับอัตราการไหลของแกส๊ ได้ รูปภาพที่ 12- 3 แสดง Oxygen Piped line 2) อุปกรณ์ควบคุมอัตราการไหลของออกซิเจน (flow meter) สามารถปรับอัตราการ ไหลของออกซิเจนต้ังแต่ 0 – 15 ลิตรตอ่ นาที โดยขา้ งในหลอดแก้วจะมลี ูกลอยเล็ก ๆ ไว้อ่านค่าอัตรา การไหลของออกซเิ จน 3) กระบอกใหค้ วามช้ืนและฝอยละออง (Humidifier and nebulizer) เป็นอุปกรณช์ ว่ ย เพ่ิมความชนื้ ให้กับออกซิเจน ก่อนเดนิ ทางไปสู่ทางเดนิ หายใจของผูป้ ่วย สามารถปรบั ให้ละอองฝอยมี ขนาดใหญ่ (bubble) หรือขนาดเลก็ (jet) ได้ รูปภาพที่ 12-4 แสดงอุปกรณ์ให้ออกซเิ จน 352
4) สายออกซเิ จนชนดิ มีหลายชนิดรายละเอียดดงั นี้ (1) Nasal cannula เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นสายสั้นแยกเข้าจมูกทั้งสองข้าง เปน็ อุปกรณ์ที่ใช้งานง่าย สะดวก ใสไ่ วไ้ ด้ตลอดเวลา โดยทผ่ี ูป้ ว่ ยยงั คงทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เปิดอัตราการไหลได้สูงสุดไม่เกิน 6 ลิตร/นาที เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองของเย่ือบุโพรงจมกู ผูป้ ว่ ยจะไดอ้ อกซิเจนความเขม้ ขน้ (FiO2) ประมาณรอ้ ยละ 24 – 45 รปู ภาพท่ี 12-5 แสดงลักษณะของสายออกซเิ จนชนิด nasal cannula (2) หนา้ กากออกซิเจนชนิดธรรมดา (Simple face mask) เปน็ อุปกรณ์ที่เป็นการใช้ หนา้ กากครอบจมกู และปากให้ความเข้มข้นของออกซเิ จนทสี่ งู กวา่ ชนิด nasal cannula เลก็ นอ้ ย การ ระคายเคืองต่อเยื่อบุโพรงจมูกน้อย แต่มีข้อเสียคือ ผู้ป่วยจะรู้สึกอึดอัดขณะทำกิจวัตรประจำวัน การ เลือกขนาดของหน้ากากต้องเลือกให้เหมาะสมกับใบหน้า ครอบจมกู และปากได้พอดีเพราะหากครอบ ไม่สนิทอาจทำให้ออกซิเจนในอากาศซึง่ มีความเข้มขน้ น้อยเข้าไปผสมได้ ควรเปิดออกซิเจนอย่างน้อย 5 – 8 ลติ ร / นาที ผู้ป่วยจะได้รับออกซเิ จนทม่ี ีความเขม้ ข้น (FiO2) ประมาณร้อยละ 40 – 60 รูปภาพที่ 12-6 แสดงลักษณะหน้ากากออกซิเจนชนดิ ธรรมดา (Simple face mask) ทม่ี า: https://www.slideshare.net 353
(3) หน้ากากออกซิเจนชนิดมีถุงเก็บออกซิเจน (Mask with reservoir bag) เป็น อุปกรณ์ที่ประกอบไปด้วยหน้ากากออกซิเจนและถุงสำหรับเก็บออกซิเจน ทำให้ผู้ป่วยสามารถหายใจ เอาอากาศที่มีความเข้มข้นของออกซิเจนสูงกว่าการให้ด้วยหน้ากากธรรมดา ซึ่งหน้ากากชนิดนี้มี 2 แบบ ไดแ้ ก่ - หน้ากากออกซิเจนชนิดมีถุงเก็บออกซิเจนแบบที่ไม่มีลิ้นกั้น ( Partial rebreathing mask: PRM) คือสว่ นต่อของหน้ากากกับถุงออกซิเจนไม่มีลิ้นก้ัน ผู้ปว่ ยจะหายใจเอาลม หายใจออกบางสว่ นเขา้ ไปดว้ ย ก่อนใช้ต้องเปดิ อัตราการไหลของออกซิเจนให้มากพอทจี่ ะทำให้ถุงเก็บ ออกซเิ จนโปง่ กอ่ น และถงุ ต้องโปง่ ตลอดเวลาไมค่ วรแฟบหมดขณะผู้ปว่ ยหายใจเขา้ ควรเปิดอัตราการ ไหลของออกซิเจนอย่างน้อย 6- 10 ลติ ร / นาที ผปู้ ว่ ยจะได้รับออกซเิ จนเข้มขน้ (FiO2) ประมาณร้อย ละ 60 -90 -หน้ากากออกซิเจนชนิดมีถุงเก็บออกซิเจนแบบที่มีลิ้นกั้น (Non rebreathing mask: NRM) คือมีลิ้นกั้นบริเวณส่วนต่อของหนา้ กากและถุงเก็บออกซิเจนเพื่อป้องกันไม่ให้ลมหายใจ ออกไหลรวมกับอากาศในถุง โดยลมหายใจออกจะไหลออกจากรูด้านข้างของหน้ากาก เมื่อเปิดอัตรา การไหลของออกซิเจน 10 -15 ลิตร / นาที ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนเข้มข้น (FiO2) ประมาณร้อยละ 90 – 100 % รูปภาพที่ 12-7 แสดงลักษณะของ Non rebreathing mask ทมี่ า: https://clinicalgate.com 354
รปู ภาพที่ 12-8 เปรียบเทยี บลกั ษณะของ Partial rebreathing mask กับ Non rebreathing mask ที่มา: http://accessmedicine.mhmedical.com (4) ออกซิเจนชนิดกระโจมหรือกลอ่ ง (Oxygen hood or box) เป็นการใหอ้ อกซิเจน โดยการพ่นออกซิเจนเข้าไปทางกล่องพลาสติกที่ครอบเฉพาะบริเวณศีรษะและไหล่ใช้ในผู้ป่วยเด็ก การทำความช้นื ควรเป็นชนดิ ละอองฝอย (jet) รปู ภาพที่ 12-9 แสดง Oxygen hood ทมี่ า: Adam.com (5) สายออกซิเจนที่ให้ผ่านทางท่อหลอดลมคอ (Tracheostomy mask or Collar mask) เป็นอุปกรณ์ให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่หายใจทางท่อหลอดลมคอ ลักษณะคล้ายหน้ากาก ออกซิเจนชนิดธรรมดาแต่มีรูปร่างรีให้สามารถครอบหลอดลมคอได้ สายที่ต่อเข้ากับหน้ากากจะเป็น ชนิดขนาดใหญ่ (corrugate tube) และการใหค้ วามชนื้ เปน็ ชนดิ ฝอยละอองเล็ก (jet) 355
รูปภาพที่ 12-10 แสดง Collar mask ทม่ี า: https://www.indiamart.com (6) การให้ออกซิเจนแบบอัตราไหลสูง (High flow nasal cannula: HFNC) เป็น การรักษาดว้ ยออกซิเจนอัตราไหลสูงทางสายให้ออกซเิ จนทางจมูกสำหรับผู้ปว่ ยที่มีระดับความรุนแรง ของภาวะพร่องออกซิเจนปานกลางถึงสูง สามารถให้ออกซิเจนอัตราการไหลสูง 10 - 60 LPM (Michael A Matthay et al, 2021) สามารถกำหนดความเข้มขันของออกซิเจน (FiO2) ได้คงที่ โดย สามารถกำหนดที่ 80 -90 % (Michael A Matthay et al, 2021) ควบคุมความชื้นและอุณหภูมิที่ อณุ หภมู ริ ่างกาย (31, 34, 37๐C) (ธนรัตน์ พรศิริรตั น์ และ สรุ ัตน์ ทองอยู่, 2563) ประกอบด้วยระบบ จ่ายอากาศ และออกซิเจนความดันสูง (gas generator) เครื่องผสมอากาศและออกซิเจน (Air/oxygen blender) เครื่องทำความชื้นและอุณหภูมิ(Heated humidifier) และ Nasal cannula (ธนรัตน์ พรศริ ิรัตน์ และ สุรัตน์ ทองอยู่, 2563). ดังแสดงในรปู ที่ 12-11 รปู ภาพท่ี 12-11 แสดง High flow nasal cannula ท่ีมา: https://www.thelancet.com 356
12.2.3 วิธปี ฏบิ ตั กิ ารใหอ้ อกซิเจนชนดิ ตา่ งๆ 1) ลา้ งมอื ใหส้ ะอาด เพ่อื ลดการปนเป้อื นเชื้อโรค เตรียมอปุ กรณใ์ ห้พรอ้ ม 2) แจ้งผ้ปู ว่ ยใหท้ ราบวตั ถุประสงค์การให้ออกซเิ จน และวธิ ีการให้ออกซิเจนโดยย่อ เพื่อ ชว่ ยคลายความวิตกกงั วลของผปู้ ่วย 3) ตรวจสอบสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัว เพื่อประเมินอาการผู้ป่วย ประเมิน ระดบั ความตอ้ งการออกซิเจน 4) ทำความสะอาดช่องจมูกทั้งสองข้างก่อนให้ออกซิเจนและควรทำความสะอาดทุก 8 ชัว่ โมง เพ่อื ให้ชอ่ งจมกู โลง่ ลดการติดเชอ้ื 5) สวม Flow meter กับแหล่งออกซิเจนที่ผนัง / ถัง ให้ถูกต้องและแน่นพอดี เพ่ือ ปอ้ งกันไมใ่ หอ้ อกซิเจนไม่ร่วั ปริมาณออกซเิ จนท่ีได้รับไมเ่ พยี งพอ 6) ต่อกระบอกความชื้นที่ใส่น้ำกลั่นปลอดเชื้อ (Sterile water) ระดับที่ถูกต้องคือไม่ มากกว่าขดี สูงสุด เพอ่ื ปอ้ งกนั ไมใ่ ห้ Flow meter เสยี และไม่นอ้ ยนอ้ ยกวา่ ขีดต่ำสดุ เพ่ือป้องกันระคาย เคืองเยอื่ เมอื กในช่องจมูกและคอ 7) เปิดการทำความชื้นตามความเหมาะสม เช่นละอองโต (bubble) ละอองฝอย(jet) เพอ่ื ทำให้เยือ่ บุทางเดนิ หายใจชุ่มชน้ื ไมเ่ กิดการระคาย เคืองตอ่ หลอดลม 8) สวมสายออกซิเจน กับท่อของเครื่องปรับความชื้น เตรียมการให้ออกซิเจนพร้อม ความชื้น เพอื่ ให้เกิดความชืน้ กอ่ นใหผ้ ูป้ ว่ ย 9) หมุนปุ่มเปิด Flow meter ปรับอัตราการไหลของออกซิเจนทิ้งไว้ประมาณ 1 – 2 นาทีกอ่ นสวมอุปกรณท์ ุกชนิดให้ ผูป้ ่วยตามแผนการรักษา เพื่อทดสอบว่าออกซิเจนไหลผ่านได้ดี และ ให้ได้ปรมิ าณตามแผนการรกั ษา 10) จดั ทา่ ให้ผู้ปว่ ยนอนศรี ษะสูง 15 – 30 องศา (Semi – Fowler, s position) หากไม่ มขี อ้ จำกัด 11) ใส่สายออกซแิ จนชนดิ ตา่ ง ๆ ตามแผนการรักษา (1) Nasal cannula สวมเขี้ยว (nasal prong) เข้าในช่องจมูกทั้ง 2 ข้างโดยให้ส่วน โค้งแนบไปกับโพรงจมูก เพื่อให้ออกซิเจนผ่านเข้าไปในหลอดลมให้สะดวก ป้องกันการระคายเคือง- คล้องสายกับใบหู 2 ข้าง ปรับสายให้พอดีกับใต้คางเพื่อให้อยู่ในตำแหน่งถูกต้องป้องกันเลื่อนหลุด- ปรบั ออกซิเจนตามแผนการรักษา (2) Simple mask เป็นอุปกรณ์การให้ออกซิเจนที่มีความเข้มข้นสูงกว่าชนิด nasal cannulaที่ด้านข้างของฝาครอบจะมีรูเปิด เพื่อระบายลมหายใจออกและเป็นทางให้อากาศจาก ภายนอกมาผสมควรเลือกขนาดของฝาครอบใหเ้ หมาะสมกับใบหน้า และครอบจมูกและปากพอดี การ ใหอ้ อกซเิ จนอย่างน้อย 5 ลติ รตอ่ นาที เพ่ือขบั คาร์บอนไดออกไซด์ท่ีเกิดจากการหายใจออกออกซิเจน 357
ที่ให้ควรผ่านความชื้น (humidifier) ควรสังเกตผิวหนังบริเวณที่ฝาครอบจมูกและสายกดทับ อาจมี การระคายเคือง (3) Mask with reservoir bag ให้เปิดออกซิเจนไหลผ่านถุง 10 -20 ลิตร/นาที จน ถุงโป่งเต็มที่ เพื่อไล่ก๊าซอื่นที่ค้างใจถุงออก รวมทั้งทดสอบถุงไม่รั่วแล้วจึงใส่เหมือน simple mask การใหอ้ อกซเิ จน 6 -10 ลติ รต่อนาที เพื่อทำให้ถงุ เก็บออกซิเจนโป่งพองอยตู่ ลอดเวลา ครอบหน้ากาก บริเวณสันจมกู และปากให้แนบสนทิ เพอื่ ใหไ้ ดอ้ อกซเิ จนตามแผนการรกั ษา ปรบั สายคลอ้ งทดั เหนือใบ หูรอบศรี ษะ จดั ให้พอดี แลว้ จงึ ปรบั Flow meter ตามแผนการรกั ษา เพื่อไมใ่ หส้ ายออกซเิ จนหลดุ (4) Oxygen Hood or Box ต่อท่อออกซิเจนเข้ากับกล่อง และวางครอบเฉพาะ ศีรษะและไหล่ เพื่อให้ศีรษะเดก็ อยู่ในกล่องทีม่ ีออกซิเจน ระวังไม่ให้สายอยูใ่ กล้หน้าเดก็ ให้ออกซิเจน ในปริมาณพอเพียงและไม่ให้ออกซิเจนระคายเคืองตาเด็ก เพื่อป้องกันอันตรายจากพิษของออกซิเจน ระคายเคืองตา (5) การใหอ้ อกซิเจนแบบอัตราไหลสูง (High flow nasal cannula: HFNC) กอ่ นให้ ออกซิเจนต้อง ทำการฆ่าเชื้อเครื่องด้วยความร้อนสูงอุณหภูมิ87 OC (189F) เป็นเวลา 55 นาทีก่อน นำมาใช้งานกบั ผู้ป่วย ประกอบอุปกรณ์เข้ากบั เคร่ืองดว้ ยหลัก sterile technique เลือก cannula ให้ เหมาะกับผปู้ ว่ ย (low, medium, large) ตอ่ สายต่าง ๆ เข้าด้วยกนั ต่อ SWI 1,000 ml เขา้ กบั water chamber เพื่อปรับอุณหภูมิและความชื้น ต่อ O2 flow meter เข้ากับเครื่อง เพื่อปรับระดับ ออกซิเจน เสียบปลั๊กไฟ เปิดเครื่อง ตรวจสอบสถานะความพร้อมสำหรับการใช้งาน ปรับตั้งค่าตาม คำสั่งการรักษา (ธนรัตน์ พรศิริรัตน์ และ สุรัตน์ ทองอยู่, 2563) หลังจากการตั้งค่าพร้อมแล้วใส่สาย ออกซิเจนเช่นเดียวกับ Nasal cannula 12) ล้างมือให้สะอาด ลงบันทึกเกี่ยวกับการพยาบาลที่ให้ก๊าซออกซิเจน ได้แก่ อาการ สัญญาณชีพผู้ป่วย ปริมาณก๊าซออกซิเจนที่ให้ อุปกรณ์ที่ให้ ปฏิกิริยาผู้ป่วยเมื่อได้รับกาซออกซิเจน รวมทงั้ การประเมนิ ผล 12.2.4 วธิ ีปฏบิ ตั กิ รณผี ปู้ ่วยท่ไี ดร้ ับยาในรูปการสูดละอองยา (aerosol therapy) วิธีการปฏิบัตเิ ชน่ เดยี วกันกับการให้ออกซิเจน แตเ่ ปลย่ี นสายให้ออกซเิ จนเป็นสายสำหรับพ่น ยา(Nebulizer set) แล้วต่อกบั simple mask โดยไมต่ อ้ งต่อกระบอกทำความชนื้ ปรบั อตั ราการไหล ของ ออกซิเจน 6 – 8 ลิตร/นาที โดยหลักการอัตราการไหลของก๊าซสูงขึ้นทำให้ aerosol มีอนุภาค ขนาดเลก็ ลง (การผสมยาพน่ ตามแผนการรักษา ใชต้ วั ทำละลายเป็น NaCl ห้ามใช้ Sterile water) 358
12.2.5 การหยดุ ใหอ้ อกซเิ จน เมื่อผู้ป่วยมีอาการคงที่ ควรค่อยๆลดความเข้มข้นของออกซิเจนที่ให้จนสามารถหยุดให้ ออกซเิ จนโดยคา่ oxygen saturation อย่ใู นช่วง 94 -98 % 12.3 การพยาบาลผู้ปว่ ยทไี่ ด้รบั การบำบัดด้วยออกซเิ จน 12.3.1 ภาวะแทรกซอ้ นจากการให้ออกซิเจน 1) การติดเชื้อ การใสส่ ายยางตา่ ง ๆเปน็ การนำเช้ือโรคเข้าสู่ร่างกายได้ โดยเฉพาะการใส่ ทอ่ หลอดลมคอ นอกจากนผี้ ูป้ ว่ ยที่ไดร้ ับการรักษาด้วยการให้ออกซิเจนอาจมภี าวะร่างกายอ่อนแอ จึง เกดิ การมีการตดิ เชือ้ ในทางเดินหายใจได้ 2) ภาวะเยื่อบุทางเดินหายใจแห้ง และเกิดการระคายเคือง จากการให้ออกซิเจนที่มี อตั ราการไหลแรงเกนิ ไปหรอื การให้ความชื้นไมเ่ หมาะสม 3) การทำลายเน้ือเยื่อภายในปอด เมื่อผู้ปว่ ยได้รับออกซิเจนที่มีความเข้มขน้ สูงมากกว่า ร้อยละ 60 เป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อปอดได้ คือในระยะ 24 – 48 ชั่วโมง ได้แก่ ระคายเคืองหลอดลม และมีอาการไอตลอดเวลา เมื่อไอมากจะทำให้เกิดการหายใจลำบากได้ ทำให้ปอดมีความจุของออกซิเจนลดลง แต่ความต้องการออกซิเจนของร่างกายเพิ่มมากขึ้น เนื้อเยื่อ ปอดจะถูกทำลาย เนอ้ื ระหวา่ งเซลล์บวม ผนงั หลอดเลอื ดและถงุ ลมหนาตวั อาจเกิดภาวะเลือดออกใน ถุงลม ถุงลมอุดตัน หากยังมีการทำลายต่อไปจะมีการขับโปรตีน ไฟบริน และเซลล์ที่ตายแล้วมา รวมกันเกิดเป็นเยื่อบุไฮยาไลน์ (Hyaline membrane) ในถุงลมทำให้เนื้อปอดแข็งตัว เอ็กซเรย์ปอด พบก้อนและเสียงหายใจเบากว่าปกติ ดังนั้น ควรบำบัดด้วยออกซิเจนความเข้มข้นสูงในผู้ป่วยที่อยู่ใน ภาวะขาดออกซเิ จนในระยะแรกเทา่ น้นั และปรบั ลดลงเม่ืออาการพน้ ภาวะวิกฤต 4) เกิดอันตรายต่อดวงตา (Retrolental fibroplasia : R.L.P ) ซึ่งจะพบในเด็กทารก คลอดกอ่ นกำหนด จากการได้รับออกซิเจนความเข้มข้นสงู เป็นระยะเวลานาน ๆ ทำให้หลอดเลือดหลัง เลนส์ตามีการเปลี่ยนแปลงไปปิดกั้นลำแสงที่พุ่งไปยงั จอตา จนทำให้เกิดความผิดปกติในการมองเห็น อาการพิษนี้อาจเกิดได้บา้ งในเด็กทารกคลอดปกติ 5) เกิดการหยุดหายใจในผูป้ ่วยโรคปอดอดุ กั้นเรือ้ รงั หากได้รับออกซเิ จนความเข้มขน้ สงู 12.3.2 การพยาบาลผปู้ ่วยที่ได้รับการบำบัดด้วยออกซิเจน 1) ดแู ลสภาพทางเดนิ หายใจให้โลง่ ตลอดเวลา โดยการจัดทา่ นอนศีรษะสูง หากมีเสมหะ หรือน้ำคดั หลง่ั บรเิ วณทางเดนิ หายใจให้ดูดเสมหะให้ถูกต้องตามเทคนิค รวมทั้งการกระตุ้นให้ผู้ป่วยไอ อยา่ งถกู ตอ้ ง (effective cough) และการให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างเพยี งพอเพือ่ ช่วยละลายเสมหะ 359
2) หมั่นดแู ลความสะอาดของจมูก ปาก ใบหนา้ ทุก 2 – 4 ชว่ั โมง เพือ่ ลดอาการปาก คอ แห้ง กลิ่นปากหรืออาการเจ็บคอ กระตุ้นให้ผู้ป่วยบ้วนปากและจิบน้ำบ่อย ๆ อาจทากลีเซอรีนที่ริม ฝีปากเพื่อช่วยลดอาการปากแห้งได้ ในผู้ป่วยที่ได้รับออกซิเจนแบบใส่หน้ากากผูป้ ่วยอาจเกิดความไม่ สุขสบายมีความชื้น เหงื่ออกได้ ดังนั้นพยาบาลจึงควรทำความสะอาด ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดบริเวณใบหน้า ทาแปง้ บริเวณใบหนน้า สันจมูก จะช่วยลดความชนื้ และการระคายเคอื งได้ ดแู ลความสะอาดในรจู มูก โดยใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำหมาด ๆ ทำความสะอาด รวมถึงการทำความสะอาดสายหรือท่อที่คา บริเวณจมูกดว้ ย สำหรับผู้ป่วยทีไ่ ด้รบั การใหอ้ อกซิเจนทางท่อหลอดลมคอ อาจมเี สมหะหรอื น้ำคัดหล่ัง บรเิ วณทอ่ ทต่ี ิดกบั ผวิ หนงั ต้องทำความสะอาดรอบ ๆ ท่อและเปลีย่ นก๊อซที่รองใต้แปน้ ท่อหลอดลมคอ อยา่ งนอ้ ยวันละ 2 ครัง้ เพือ่ ความสะอาดและความสขุ สบายของผปู้ ว่ ย 3) ดูแลไม่ให้สายออกซิเจนหัก พับ งอ หรือปลายสายอุดตันจากน้ำมูก เสมหะ ตรวจดู ตำแหน่งของท่อออกซิเจน รอยต่อต่าง ๆ ไม่ให้เลื่อนหลุดเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่าง เพียงพอ เตมิ น้ำในกระบอกทำความชน้ื ใหไ้ ดร้ ะดับเสมอ 4) ติดตามดูอาการและอาการแสดงที่บ่งถึงออกซิเจนไม่เพียงพอ เช่น กระสับกระส่าย ปลายมือปลายเท้าเขียว ติดตามดูค่า oxygen saturation โดยปรับความเข้มข้นของออกซิเจนจนได้ ค่าตามเป้าหมายจนไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 5 นาที หลังจากนั้นจึงติดตามทุก 1 ชั่วโมง จน อาการคงที่จึงวัดทุก 4 ชั่วโมง ยกเว้นผู้ป่วยวิกฤตควรวัดค่าอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายของการให้ ออกซิเจนโดยทั่วไปคือช่วง oxygen saturation 94 – 98% ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) กำหนดเป้าหมายประมาณ 88 -92% เนื่องจากในผู้ป่วยกลุ่มนี้การมีระดับคาร์บอนไดออกไซท่ี พอเหมาะจะช่วยกระตุ้น Chemo – receptor ในสมองเพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยหายใจ หากๆได้รับ ออกซิเจนเข้มข้นสูงเกินไปอาจทำให้ผู้ป่วยหยุดหายใจได้ โดยส่วนใหญ่ในผู้ป่วยกลุ่มนี้จะได้รับ ออกซเิ จนชนดิ cannula 2 ลติ รต่อนาที กรณีผู้ปว่ ยวิกฤตหรือผู้ป่วยท่ีอาการไม่คงท่ีหรือมีความเส่ียงท่ี จะเกิดภาวะการหายใจล้มเหลว (Hypercapnic respiratory failure) ต้องรายงานแพทย์เพื่อติดตาม ประเมินค่า arterial blood gas 5) การดูแลด้านจิตใจของผู้ป่วยและญาติ โดยมากเมื่อได้รับออกซิเจนผู้ป่วยและญาติ อาจจะมีความวิตกกังวลเพราะอาจเข้าใจว่าผู้ป่วยมีอาการหนัก ดังนั้นจึงควรอธิบายวัตถุประสงค์ใน การใหอ้ อกซเิ จนเพอ่ื ให้ผปู้ ่วยและญาตเิ ขา้ ใจ ความวติ กกังวลลดลง รวมถึงการเปดิ โอกาสให้ซักถามข้อ สงสยั และรบั ฟังความต้องการของผู้ป่วยและญาติดว้ ย 12.4 สรุป การให้ออกซิเจนเป็นการรักษาที่มีความสำคัญ สามารถป้องกันการสูญเสียหน้าที่ของอวัยวะ สำคัญเชน่ หวั ใจ สมอง ได้ การพยาบาลผูป้ ่วยที่ไดร้ ับออกซิเจนจำเป็นต้องมีความรหู้ ลายด้าน ทั้งกาย 360
วภิ าคศาสตร์ สรีรวทิ ยา และพยาธสิ รีระวิทยาของการหายใจ รวมทั้งสามารถนำกระบวนการพยาบาล มาใช้ในการดูแลผู้ปว่ ยต้ังแต่กระบวนการเตรียมความพร้อมก่อนการให้ออกซเิ จน การให้ออกซิเจนวิธี ต่าง ๆอย่างถูกต้องตามเทคนิค และการดูแลเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจนได้ เพอ่ื ลดภาวะแทรกซ้อนท่ีอาจเกิดข้ึนได้ 12.5 คำถามท้ายบท ข้อ 1 อุปกรณ์ในขอ้ ใดใชส้ ำหรับวัดคา่ ความเขม้ ขน้ ออกซเิ จนในเลือด 1. Pulse Oximeter 2. Arterial blood gas 3. Oxygen saturation 4. Partial pressure of oxygen ข้อ 2 on Oxygen mask with bag 8 Lit/min ต้องเตรยี มอปุ กรณ์ใดบา้ ง 1. 2. 3. 4. 5. 6. 361
ข้อ 3 การทำความชน้ื ในการให้ออกซเิ จน ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง 1. เติม 0.9 % NSS 1/3 ของกระบอกทำความชื้น 2. เติม 0.9 % NSS 2/3 ของกระบอกทำความชื้น 3. เติม Sterile water 1/3 ของกระบอกทำความช้ืน 4. เติม Sterile water 2/3 ของกระบอกทำความชน้ื ข้อ 4 การพยาบาลผู้ป่วยทีไ่ ดร้ ับ Oxygen cannula ที่ขอ้ ใดถูกตอ้ ง 1. เปิดการทำความช้นื แบบละอองฝอย (jet) 2. ทำความสะอาดจมูก อยา่ งน้อยทกุ 8 ช่วั โมง 3. เลือกสาย Oxygen ให้เหมาะสมกับใบหนา้ ผ้ปู ่วย 4. ใชผ้ ้ากอ๊ ซรองบริเวณทา้ ยทอย ป้องกันสายกดทับจนเกิดแผล ขอ้ 5 การเลือกวธิ กี ารใหอ้ อกซเิ จน 20 LPM ข้อใดเหมาะสม 1. Oxygen hood 2. Simple mask 3. Mask with reservoir bag 4. High flow nasal cannula 12.6 เอกสารอา้ งองิ ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ และอรุณรัตน์ เทพนา. (2559). ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ: หจก. เอน็ พีเพรส. ธนรัตน์ พรศิริรัตน์ และ สุรัตน์ ทองอยู่. (2563). การพยาบาลผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีภาวะพร่องออกซิเจน และได้รับการรักษาด้วย High Flow Nasal Cannula. เวชบันทึกศิรริ าช, 13(1), 60-68. สัมพันธ์ สันทนาคณิต, สุมาลี โพธิ์ทอง และสุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พ้ืนฐาน II. กรงุ เทพฯ: บริษทั บพิธการพิมพ์ จำกดั . สุปราณี เสนาดิสัยและวรรณภา ประไพพานิช. (2558). การพยาบาลพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : บริษัท จุด ทอง จำกดั 362
สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์ สุมาลี โพธิ์ทอง, และสัมพันธ์ สันทนาคณิต. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พืน้ ฐาน I.กรงุ เทพฯ: บริษทั บพธิ การพมิ พ์ จำกดั . อัจฉรา พุ่มดวง. (2559). การพยาบาลพื้นฐาน : ปฏิบัติการพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2556). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 1. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บริษัท ธนาเพรส จำกดั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2558). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 2. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บริษัท จรลั สนทิ วงศก์ ารพิมพ์ จำกดั . Michael A Matthay, B Taylor Thompson, Lorraine B Ware. (2021). The Berlin definition of acute respiratory distress syndrome: should patients receiving high-flow nasal oxygen be included? The Lancet, 9, 933-936. Nettina SM. (2 0 1 4 ) . Manual of Nursing Practice. Philadelphia: Williams &Wilkins Lippincott. Patricia A. Potter. (2 0 1 3 ) . Fundamentals of Nursing 8 th ed. St. Louis, Mo : Mosby Elsevier. Taylor ll. (2015). Fundamental of Nursing .8th ed. Philadelphia: Walters Kluwer. 363
แผนบรหิ ารการสอนประจำบทที่ 13 หลักการและเทคนคิ การพยาบาลพ้ืนฐานในการดดู เสมหะ หัวข้อเนื้อหาประจำบท 1. ความรเู้ บ้อื งต้นเก่ยี วกบั ภาวะเสมหะค่งั ค้าง 2. การพยาบาลผู้ป่วยที่ไดร้ บั การดูดเสมหะทางทอ่ หลอดลมคอ 3. หลักการและวธิ ีการดูดเสมหะทางทอ่ หลอดลมคอ จำนวนชัว่ โมงทส่ี อน: ภาคทฤษฎี 1 ชว่ั โมง วัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. ระบุขอ้ บง่ ชขี้ องการดดู เสมหะได้ 2. อธบิ ายหลกั การดดู เสมหะทางทอ่ หลอดลมคอได้ 3. วางแผนการพยาบาลผปู้ ่วยที่ต้องได้รบั การดดู เสมหะได้ วธิ ีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธสี อน 1.1 บรรยายสรุป 1.2 อภิปรายกลุ่ม 1.3 ยกตัวอยา่ งกรณีศกึ ษาเพ่ือการอภปิ ราย 2. กิจกรรมการเรยี นการสอน 2.1 มอบหมายงานล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สปั ดาห์ ใหน้ ักศึกษาดู VDO สอื่ การสอน เรอื่ ง การดดู เสมหะทางท่าหลอดลมคอ ทาง YouTube channel: nursing practice https://www.youtube.com/channel/UCvKvxUJtmc7syshf5zcy7Xw สรุปการเรยี นรู้ในห้องเรียน 2.2 บรรยายเกยี่ วกับภาวะเสมหะคั่งค้าง หลักการและวิธีการดูดเสมหะทางท่อหลอดลมคอ การพยาบาลผู้ป่วยทไ่ี ด้รับการดูดเสมหะทางทอ่ หลอดลมคอ 364
2.3 ยกตัวอย่างกรณีศึกษาให้ผู้เรียนร่วมกันวางแผนการพยาบาลผู้ป่วยที่มีเสมหะคั่งค้าง และจำเป็นตอ้ งไดร้ บั การดุดเสมหะทางท่อหลอดลมคอ ส่ือการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. โปรแกรมสำเร็จรปู Power Point Presentation 3. โจทย์ตัวอย่างกรณีศึกษา 4. YouTube channel: nursing practice 5. ใบบันทึกทางการพยาบาล การวัดผลและประเมินผล 1. การเขา้ ชน้ั เรยี นร่วมกับการสังเกตพฤตกิ รรมการเรยี น 2. การสงั เกตการมสี ว่ นร่วมในอภปิ รายและตอบคำถาม 3. ผลการการบันทึกปรมิ าณนำ้ เข้า-ออก 4. การทำแบบฝึกหัดท้ายบท 5. การสอบปลายภาค 365
บทท่ี 13 หลักการและเทคนคิ การพยาบาลพืน้ ฐานในการดูดเสมหะ การดดู เสมหะ (suction) เป็นการนำเอาเสมหะออกจากทางเดินหายใจในผปู้ ว่ ยท่ไี ม่ สามารถไอขบั เสมหะได้ดว้ ยตนเอง โดยการใสส่ ายดูดเสมหะ (suction catheter) ที่ปราศจากเช้อื ผ่านเข้าไปทางปาก จมกู หรือทอ่ ช่วยหายใจชนดิ ต่างๆ เพ่ือดดู เสมหะท่ีคัง่ ค้างในระบบทางเดินหายใจ ออก การพยาบาลผู้ปว่ ยที่มเี สมหะค่ังคา้ ง มีรายละเอยี ดทีเ่ กี่ยวข้องดงั นี้ 13.1 ความรู้เบอ้ื งตน้ เกยี่ วกับภาวะเสมหะค่ังคา้ ง ในภาวะปกติ รา่ งกายของมนุษย์สามารถขับเสมหะออกได้เองโดยการไอ จาม หรอื การกลืน แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในระบบทางเดินหายใจ และไม่สามารถขับเสมหะออกได้เอง อาจ สง่ ผลใหก้ ลไกของระบบทางเดนิ หายใจทำงานได้ไม่มปี ระสิทธภิ าพ หรือในกรณีผปู้ ่วยท่ีได้รับการใส่ท่อ ทางเดนิ หายใจชนิดต่าง ๆ เช่น ทอ่ ทางเดนิ หายใจทางปาก (Endotracheal tube) ทอ่ ทางเดินหายใจ ทางจมกู (Nasotracheal tube) และท่อเจาะคอ (Tracheostomy tube) อาจส่งผลกระทบต่อกลไก การทำงานของระบบทางเดินหายใจได้ เช่น กระตุ้นให้ร่างกายมีการสร้างเสมหะเพิ่มขึ้น การรบกวน การทำงานของขนพดั โบก (Cilia) ทำใหพ้ ดั โบกสิ่งคดั หล่งั บริเวณเยือ่ บทุ างเดนิ หายใจไดไ้ มส่ ะดวก และ ทำให้ฝาปิดกล่องเสียงปิดไม่สนิท ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถไอเอาเสมหะออกมาได้ เสมหะผู้ป่วยจึง เหนียวข้น แห้งกรัง และอาจทำให้เกิดการอดุ กลั้นของทางเดินหายใจได้ ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรได้รบั การ ดดู เสมหะเพ่อื ทำใหท้ างเดนิ หายใจโล่ง 13.2 หลักการและวิธีการดดู เสมหะทางทอ่ หลอดลมคอ 13.2.1 วัตถุประสงค์ของการดูดเสมหะ 1) ช่วยขจดั เสมหะออกจากทางเดนิ หายใจ ทำใหผ้ ปู้ ว่ ยมที างเดนิ หายใจโล่ง 2) ป้องกันทางเดินหายใจอุดกั้น ภาวะปอดอักเสบ ถุงลมปอดแฟบ และการติดเชื้อใน ระบบทางเดินหายใจจากการมเี สมหะค่ังค้าง 3) เพื่อส่งเสริมการระบายอากาศในระบบทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ ปอดมกี ารแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน และก๊าซคารบ์ อนไดออกไซดด์ ีย่ิงขึ้น 4) ชว่ ยใหผ้ ู้ปว่ ยสุขสบาย คลายความวิตกกงั วลจากการมีเสมหะในทางเดินหายใจ 366
5) เก็บเสมหะส่งตรวจทางห้องปฏบิ ัตกิ าร 13.2.2 ช่องทางการดูดเสมหะ การดดู เสมหะสามารถทำไดห้ ลายทางข้ึนกับลักษณะของผูป้ ว่ ย ดังนี้ 1) ทางปาก (Oropharynx) โดยการใส่สายดูดเสมหะในปาก บริเวณกระพุ้งแก้ม ใต้ลิ้น เพอื่ ดูดเสมหะออกมา 2) ทางท่อหายใจทางปาก (Oropharyngeal tube or Oropharyngeal airway) เป็น การดูดเสมหะทางปาก ในกรณที ตี่ ้องใช้ท่อหายใจทางปากร่วมด้วย มลี ักษณะเปน็ ท่อขนาดใหญ่ที่สอด เขา้ ไปทางปากถึงโคนล้นิ 3) ทางจมูก (Nasopharynx) โดยใส่สายดูดเสมหะในจมูกของผู้ป่วยเพื่อดูดเสมหะ ออกมา 4) ทางท่อหายใจทางจมูก (Nasopharyngeal tube) ในกรณีที่ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ ทางจมูก มีลักษณะเป็นท่อยาว โค้ง ภายในกลวง และมีความยืดหยุ่น สามารถสอดใส่สายยางดูด เสมหะทางจมกู ผ่านไปยังโพรงจมกู ได้ 5) ทางท่อหลอดลม (Endotracheal tube) เป็นท่อทำด้วยยางพลาสติกหรือสาร สังเคราะห์อื่นๆ มีลักษณะโค้งยาว ใส่เข้าไปในปากถึงหลอดลมคอเป็นการชั่วคราว เพื่อช่วยให้ผู้ป่วย หายใจได้สะดวก โดยส่วนบนของท่อช่วยหายใจ จะมีข้อต่อเชื่อมไว้สำหรับต่อกับเครื่องช่วยหายใจ ส่วนบริเวณปลายท่อช่วยหายใจจะมีรูเปิดและมีกระเปาะสำหรับใส่ลมไว้ขณะคาท่อหลอดลมกับ เครอื่ งชว่ ยหายใจ 6) ทางท่อเจาะคอ (Tracheostomy tube) เป็นท่อที่ใส่เข้าไปในหลอดลมคอ เพื่อให้ อากาศผ่านเข้าสู่ปอดได้ ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาการอุดกลั้นทางเดินหายใจ หรือต้องใส่เครื่องช่วย หายใจในระยะยาว มีลักษณะเป็นท่อสั้น โค้ง 2 ชั้น สวมซ้อนกันอยู่สามารถถอดออกจากกันได้ ประกอบด้วย ท่อหลอดลมชั้นนอก (Outer tube) ถอดออกไม่ได้ และท่อหลอดลมชั้นใน (Inner tube) ที่สามารถถอดออกทำความสะอาดได้ ทำจากวัสดุหลายชนิด เช่น พลาสติก โลหะเงิน โลหะ ผสม ซิลิโคน เป็นต้น บริเวณส่วนปลายบนของท่อมีข้อต่อสำหรับต่อเข้ากับเครื่องช่วยหายใจ ส่ วน บรเิ วณปลายท่อบางชนิดมกี ระเปาะใส่ลม เพ่ือป้องกันการรว่ั ของลม และป้องกันการเลื่อนหลดุ 13.2.3 การพยาบาลผ้ปู ว่ ยทตี่ ้องได้รับการดดู เสมหะ 1) การประเมินผู้ป่วย (Assessment) ก่อนให้การพยาบาลต้องประเมินผู้ป่วย หากมี ขอ้ บง่ ช้ีการดูดเสมหะจงึ ทำการดูดเสมหะให้ผู้ป่วย ซึ่งขอ้ บ่งชผี้ ูป้ ่วยท่ีตอ้ งไดร้ ับการดดู เสมหะมดี ังน้ี (1) ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่อการมีเสมหะอุดกั้นในทางเดินหายใจ เช่น ผู้ป่วยมีเสมหะ เหนยี ว ปริมาณมาก ไม่สามารถไอขบั เสมหะออกเองได้ 367
(2) ผู้ป่วยมีอาการแสดงของเสมหะอุดกั้นทางเดินหายใจ เช่น มีภาวะพร่อง ออกซเิ จน (Cyanosis) O2 saturation < 92 % ผวิ หนงั เล็บมอื เลบ็ เท้ามีสีเขยี วคล้ำ มีอาการเหนื่อย หายใจลำบาก หายใจได้ยินเสียงดังครืดคราด หรือได้ยินเสียงเสมหะในหลอดลมผู้ป่วย ฟังปอดได้ยิน เสยี งผดิ ปกติ เชน่ Rhonchi, Wheezing (3) สญั ญาณชพี อัตราชพี จรและหายใจเพม่ิ ข้นึ โดยไมม่ ีสาเหตอุ น่ื (4) กอ่ นไดร้ ับอาหารทางสายยาง (Nasogastric tube) (4) ขณะทำกายภาพบำบัดทรวงอกให้ผู้ป่วย หรือหลังจากกระตุ้นให้ผู้ป่วยไออย่างมี ประสทิ ธิภาพ (Effective cough) (5) ก่อนและหลังเอาลมออกจากกระเปาะลมของท่อหลอดลมคอ (Endotracheal tube cuff) และท่อเจาะคอ (Tracheostomy tube cuff) (6) ก่อนหรือหลงั การพลกิ ตะแคงตวั (7) เก็บเสมหะส่งตรวจ (8) ปว่ ยบอกวา่ มเี สมหะ ตอ้ งการใหด้ ูดเสมหะออก 2) การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis) การวินิจฉัยทางการพยาบาล ข้นึ อย่กู บั ขอ้ มูลการประเมินผ้ปู ว่ ย ตวั อย่างเชน่ - เสีย่ งต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนือ่ งจากการขบั เสมหะไมม่ ปี ระสทิ ธิภาพ เป้าหมายของการดูดเสมหะ มดี งั นี้ - ขจัดเสมหะออกจากทางเดินหายใจ ทำให้ทางเดินหายใจผู้ป่วยโล่ง การหายใจมี ประสิทธิภาพ 3) การวางแผนการพยาบาล (Planning) (1) การเตรียมผู้ป่วย โดยยึดหลักการพยาบาลด้วยจิตใจของความเปน็ มนุษย์ (2) อธิบายให้ผู้ป่วยทราบวัตถุประสงค์ของการดูดเสมหะ เพื่อคลายความวิตกกังวล และให้ความรว่ มมอื ขณะดูดเสมหะ (3) จัดท่าผู้ป่วยศีรษะสูง 30 องศา (Semi-fowler’s position) เพื่อให้ดูดเสมหะได้ งา่ ย และปอ้ งกนั การสำลัก (4) ให้ออกซิเจนที่มีความเข้มข้นสูง (Hyperoxygenation) ก่อนการดูดเสมหะเพ่ือ ป้องกันภาวะพร่องออกซิเจน กรณีผู้ป่วยที่หายใจด้วยเครือ่ งช่วยหายใจ ให้ออกซิเจน 100% โดยการ ปรับ FiO2 ของเครื่องช่วยหายใจ ใช้ปุ่มปรับ 100% oxygen suction ของเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งจะ ทำงานอยู่นาน 2 นาที (โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ปัญหาพร่องออกซิเจนอย่างรุนแรง เช่น ARDS) หรือใช้ Manual resuscitating bag with reservoir bag with O2 > 10 LPM บีบ 4-6 ครั้ง หรือกรณีท่ี ผปู้ ว่ ยรู้สกึ ตัวดี ให้หายใจเข้า-ออกลึกๆ 2-3 คร้ัง 368
13.3 หลกั การและวธิ กี ารดดู เสมหะทางท่อหลอดลมคอ 13.3.1 การเตรียมอปุ กรณใ์ นการดดู เสมหะ ใหส้ ะดวกพร้อมใชง้ าน ดงั นี้ 1) เครื่องดูดเสมหะชนิดติดฝาผนัง (Wall suction) หรือรถเคลื่อนที่ไฟฟ้า (Portable suction machine) 2) ข้อตอ่ ควบคมุ แรงดนั (vacuum control fingertip) 3) หูฟงั (Stethoscope) ใชฟ้ งั เสยี งเสมหะในปอด 4) สายดูดเสมหะปลอดเชื้อ (suction catheter) การเลือกสายดูดเสมหะ คือ เส้นผ่าศนู ยก์ ลางของสายดูดเสมหะต้องมีขนาดไม่เกิน ½ ของเสน้ ผ่าศูนย์กลางของท่อเจาะคอหรือท่อ หลอดลมคอ ผู้ใหญ่ใช้เบอร์ 14-16 Fr. เด็กใช้เบอร์ 8-12 Fr. ทารกใช้เบอร์ 4 – 8 Fr. การเลือกสาย ดูดเสมหะที่มีขนาดใหญ่เกินไป จะทำให้เกิดภาวะถุงลมปอดแฟบ (Lung collapse) และพร่อง ออกซเิ จน เน่ืองจากการเลือกสายดูดเสมหะท่ีมีขนาดใหญ่อาจทำใหไ้ มม่ ีช่องวา่ งเพียงพอให้อากาศจาก ภายนอกเข้าไปแทนท่ีอากาศท่ีดดู ออกมาพร้อมเสมหะ 5) ถงุ มือปลอดเชือ้ 7) ผา้ ปดิ จมกู (Mask) 8) สำลีปลอดเช้ือ และ 70% แอลกอฮอล์ 9) ปากคบี (Forceps) 10.) ขวดน้ำสะอาด 1 ขวดสำหรบั ล้างสายยางที่ใชด้ ดู เสมหะแลว้ 11) ถังขยะติดเชื้อ 12) เสื้อกาวน์ สำหรับผู้ป่วยกรณีติดเชื้อที่สามารถติดต่อได้ทางเสมหะ หรือทางเดิน หายใจ 13.3.2 การปฏิบัติการพยาบาลในการดูดเสมหะ (Implementation) โดยยึดหลัก Aseptic technique 1) ล้างมือใหส้ ะอาด เพือ่ ลดการตดิ เชอ้ื และการแพรก่ ระจายเชื้อ 2) สวมผ้าปิดปากและจมูก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อของละอองเสมหะ หาก ผูป้ ว่ ยมกี ารติดเช้ือทสี่ ามารถตดิ ตอ่ ไดท้ างเสมหะหรือทางเดนิ หายใจให้สวมเส้อื กาวน์ 3) ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดทำความสะอาดบริเวณปลายข้อต่อของสายดูด เสมหะทตี่ ่อกบั เครื่องดูดเสมหะ 4) ฉีกซองสายดูดเสมหะ สวมถุงมือปลอดเชื้อข้างที่ถนัดและหยิบสายดูดเสมหะด้วย เทคนิคปลอดเชือ้ 5) ต่อสายดูดเสมหะเข้ากับข้อต่อของสายเครื่องดูดเสมหะ ระมัดระวังไม่ให้ถุงมือและ สายดดู เสมหะปนเป้ือน (Contaminate) 369
6) เปิดเครื่องดูดเสมหะด้วยมือข้างที่ไม่ใส่ถุงมือ ปรับแรงดันให้เหมาะสม เพื่อป้องกัน ไม่ใหเ้ กิดการระคายเคืองหรอื การบาดเจ็บของเซลล์บุทางเดนิ หายใจ ดงั น้ี เด็กเล็ก 60-90 มม.ปรอท เด็กโต 80-100 มม.ปรอท ผ้ใู หญ่ 100-120 มม.ปรอท 7) ใช้หลัก Aseptic technique ในการใส่สายดูดเสมหะโดยไม่อุดรูเปิดของข้อต่อ ควบคุมความดัน ผ่านท่อหลอดลมคอ (Endotracheal tube) และท่อเจาะคอ (Tracheostomy tube) ให้ใส่สายดูดเสมหะถึงระดับ Carina หรือรู้สึกว่ามีสิ่งกีดขวาง แล้วดึงสายขึ้นมา 1 เซนติเมตร เพื่อให้ปลายสายดูดเสมหะอย่ใู นตำแหนง่ ทีเ่ หมาะสมและสามารถดดู เอาเสมหะออกมาได้ 8) เริ่มดูดเสมหะ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือข้างที่ไม่ถนัดปิดรูข้อต่อควบคุมความดัน ขณะเดียวกันใช้นิ้วมือข้างที่สวมถุงมอื ค่อยๆดึงสายดดู เสมหะขึ้นอย่างนุ่มนวล ใช้ระยะเวลาในการดูด เสมหะแต่ละครั้ง ไม่เกิน 10-15 วินาที เพื่อป้องกันภาวะพร่องออกซิเจน และการกระตุ้น Vagus nerve จะทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ และในการดูดเสมหะแต่ละครั้ง ควรเว้นระยะ 20-30 วินาที ให้ ผปู้ ว่ ยพกั หรอื ให้ผู้ป่วยหายใจ 3 – 5 คร้งั เพอ่ื ป้องกนั ภาวะพร่องออกซิเจน 9) การดูดเสมหะไม่ควรเกิน 3 ครั้งต่อรอบของการดูดเสมหะ เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยไม่ สุขสบาย และเกิดการบาดเจ็บของเยื่อบทุ างเดินหายใจ โดยเฉพาะในผูป้ ่วยที่ไดร้ บั บาดเจ็บทางศีรษะ อาจส่งผลใหก้ ารไหลเวียนโลหติ เปลยี่ นแปลง และอตั ราการเต้นของหัวใจเพิ่มข้ึน 10) กรณีที่ยังมีเสียงเสมหะให้ดูดซ้ำได้ โดยเว้นระยะให้ผู้ป่วยพักหายใจอย่างน้อย 2-3 นาที เพอ่ื ป้องกันภาวะพรอ่ งออกซเิ จน 11) ในผปู้ ว่ ยท่ตี อ้ งการเกบ็ เสมหะส่งตรวจ ให้ตอ่ สายดดู เสมหะเข้ากับสายยางของหลอด เกบ็ เสมหะ เมอ่ื ดูดเสมหะแลว้ ให้ปลดสายดูดเสมหะออกจากหลอดเก็บเสมหะ แล้วนำเสมหะส่งตรวจ 12) ขณะดูดเสมหะ ให้สงั เกตลักษณะสี ปริมาณเสมหะ และอาการแสดงของผู้ป่วยด้วย เช่น อาการหายใจลำบาก กระสับกระส่าย ปลายมือปลายเท้าเขียว เป็นต้น เพื่อสังเกตภาวะพร่อง ออกซิเจน 13) ในกรณีที่มีเสมหะหรือน้ำลายในปากให้ใช้สายดูดเสมหะเส้นใหม่ ห้ามใช้สายดูด เสมหะที่ดูดน้ำลายในปากแล้วมาดูดเสมหะทางท่อทางเดินหายใจ เนื่องจากอาจทำให้เกิดการติดเช้ือ ได้ 14) กรณีดูดเสมหะด้วยระบบปิด (Closed suction) ปฏิบัติเช่นเดียวกันโดยไม่ จำเป็นต้องใส่ถุงมือปลอดเช้ือ เนื่องจากสายดูดเสมหะอยู่ในระบบปิด สามารถใส่สายเข้าไปในระบบ ทางเดินหายใจได้เลย เมื่อสายไปถึง carina ให้ดึงสายขึ้นมาประมาณ 1 เซนติเมตร แล้วกดบริเวณ 370
Thumb control for suction เพื่อดูดเสมหะ ภายหลังดูเสมหะเสร็จแล้วให้ต่อ 0.9 % NSS ทาง Irrigation port แลว้ เปดิ ลา้ งสาย รูปที่ 13-1 แสดงอปุ กรณส์ ำหรับดูดเสมหะแบบระบบปดิ (close suction) ทีม่ า: https://bradford.instructure.com 15) หลังการดูดเสมหะให้ล้างสายดูดเสมหะ โดยการดูดน้ำสะอาดจากขวดที่เตรียมไว้ เพือ่ ปอ้ งกันไมใ่ ห้เสมหะอุดตันสายยาง และป้องกันการแพรก่ ระจายเช้ือโรค 16) ปิดเครื่องดูดเสมหะ ปลดสายดูดเสมหะ และถอดถุงมืออย่างถูกวิธีแล้วทิ้งลงในถัง ขยะตดิ เชือ้ เพื่อปอ้ งกนั การแพรก่ ระจายเชื้อโรค 17) เช็ดข้อต่อของเครื่องดูดเสมหะด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% เพื่อทำความสะอาด และลดการแพร่กระจายเชื้อโรค 18) ถอดผ้าปิดปากและจมูกแล้วล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง เพื่อป้องกันการ แพรก่ ระจายเช้อื โรค ภายหลงั การปฏิบตั กิ จิ กรรมการพยาบาล 19) จัดให้ผู้ป่วยนอนในท่าที่สุขสบาย เพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนหลังการปฏิบัติกิจกรรม การพยาบาล 371
13.3.3 การประเมนิ ผลหลังการดดู เสมหะ การประเมินผลภายหลังการพยาบาลผู้ป่วย อาการที่แสดงถึงการดูดเสมหะได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพมดี งั น้ี 1) ผปู้ ว่ ยหายใจปกติ ทางเดินหายใจโล่ง ไม่ได้ยนิ เสียงเสมหะในปอด 2) ค่าความอ่มิ ตัวของออกซิเจนอยใู่ นระดับปกติ (Oxygen saturation 96-100%) 3) อตั ราการหายใจ 12-20 คร้ังต่อนาที และอัตราชีพจร 60-100 ครัง้ ตอ่ นาที 4) ไม่มีภาวะพรอ่ งออกซเิ จน (Cyanosis) ผวิ หนงั เล็บมือ เล็บเท้ามีสปี กติ 5) ไมม่ ีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ 7) ผู้ปว่ ยมสี หี น้าสุขสบายขึน้ เมื่อประเมินผลแล้วต้องบันทึกลักษณะ ปริมาณ สีของเสมหะ อาการผู้ป่วยลงในบั นทึก ทางการพยาบาล (Nurse note) เพื่อเป็นหลักฐานในการปฏิบัติการพยาบาลให้ผู้ป่วยและเพื่อส่งต่อ ขอ้ มูลการพยาบาลใหก้ บั บุคลากรทมี สขุ ภาพ 13.3.4 ภาวะแทรกซ้อนจากการดูดเสมหะ ภาวะแทรกซอ้ นที่อาจพบได้จากการดูดเสมหะ มีดังน้ี 1) ภาวะพร่องออกซิเจนในเลือด (Hypoxemia) เปน็ ภาวะท่ีคา่ ความอิม่ ตวั ของออกซิเจนใน เลือดลดลงตำ่ กว่าค่าความอ่ิมตวั ของออกซิเจนในเลือดก่อนดูดเสมหะ เป็นภาวะที่พบไดบ้ อ่ ยที่สดุ เกิด จากการเลือกขนาดของสายดูดเสมหะที่ใหญ่เกินไป ใช้ระยะเวลาในการดูดเสมหะแต่ละครั้งนาน เกินไป อาการผู้ป่วยจะขึ้นอยู่กับระดับค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด หากมีภาวะพร่อง ออกซิเจนในเลือดอย่างรุนแรง อาจทำให้ผู้ป่วยมีภาวะหัวใจเตน้ ผิดจงั หวะ หัวใจเต้นเร็ว หรืออาจเกิด ภาวะหวั ใจหยดุ เตน้ ได้ 2) ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac arrhythmia) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ในขณะดูด เสมหะ เนื่องจากการดูดเสมหะจะไปกระตุ้นปลายประสาทวากัส (Vagal nerve) หรือกระตุ้นระบบ ประสาท Sympathetic ทำใหผ้ ู้ป่วยมภี าวะหัวใจเต้นช้า หรือเต้นเร็วผิดจังหวะ 3) หลอดลมหดเกร็ง (Bronchospasm) เกิดจากการกระตุ้นประสาทรับความรู้สึก (Sensory neuron) บริเวณทางแยกของหลอดลมทั้งสองขา้ ง หรอื กระตนุ้ ระบบประสาทอัตโนมตั ิ 4) ภาวะปอดแฟบ (Atelectasis) เกิดจากการคั่งค้างของเสมหะ เนื่องจากดูดเสมหะน้อย เกินไป การเลือกสายดูดเสมหะที่มีขนาดใหญเ่ กินไป ทำให้ไม่มีช่องว่างที่อากาศภายนอกเข้าไปแทนที่ อากาศที่ดูดออกมาได้ การดูดเสมหะท่ีนานเกินไป หรือเกิดจากการใช้แรงดันในการดูดเสมหะมาก เกินไป 372
5) การเพิ่มขึ้นของความดันในกะโหลกศีรษะ (Increased intracranial pressure) เกดิ จาก การมีออกซิเจนในเลือดต่ำ และคาร์บอนไดออกไซดค์ ัง่ ในสมอง ทำให้ความดันในกะโหลกศีรษะสูงข้นึ ได้ 6) การบาดเจ็บของเซลล์บุทางเดินหายใจ (Mucosal trauma) เกิดจากการใช้แรงดันใน การดูดเสมหะที่มากเกินไป หรือการดูดเสมหะบ่อยๆ ทำให้มีการระคายเคือง หรือการหลุดลอกของ เซลลบ์ ริเวณเยอื่ บทุ างเดนิ หายใจ ทำใหม้ เี ลือดออก บวม หรืออกั เสบได้ 7) การติดเชื้อ (Infection) เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามเทคนิคปราศจากเชื้อ (Aseptic technique) 13.4 สรุป การให้ออกซิเจนเป็นการรักษาที่มีความสำคัญ สามารถป้องกันการสูญเสียหน้าที่ของอวัยวะ สำคัญเช่น หัวใจ สมอง ได้ การพยาบาลผูป้ ่วยที่ไดร้ ับออกซเิ จนจำเป็นต้องมีความรหู้ ลายด้าน ท้ังกาย วิภาคศาสตร์ สรรี วิทยา และพยาธสิ รีระวิทยาของการหายใจ รวมท้ังสามารถนำกระบวนการพยาบาล มาใชใ้ นการดูแลผู้ป่วยต้ังแต่กระบวนการเตรียมความพร้อมก่อนการให้ออกซเิ จน การให้ออกซิเจนวิธี ต่าง ๆอย่างถูกต้องตามเทคนิค และการดูแลเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจนได้ การดูดเสมหะมคี วามสำคญั อยา่ งมากในผู้ป่วยที่มีความผดิ ปกติในระบบทางเดนิ หายใจ ที่ได้รับการใส่ ท่อทางเดินหายใจชนิดต่างๆ และผู้ป่วยที่ไม่สามารถไอขับเสมหะได้ด้วยตนเอง พยาบาลจึงควรมี ความรูใ้ นการประเมินสภาพผูป้ ่วยท่ตี ้องไดร้ ับการดูดเสมหะ การวางแผนการพยาบาล และมีทักษะใน การปฏิบัติการพยาบาลในการดูดเสมหะให้ผู้ป่วยได้อย่างถูกวิธี รวมทั้งระมัดระวังในทุกขั้นตอนของ การดดู เสมหะเพือ่ ลดภาวะแทรกซอ้ นท่ีอาจเกดิ ขึ้นได้ 13.5 คำถามท้ายบท ขอ้ 1 ขอ้ ใดถูกตอ้ งเกยี่ วกบั ระยะเวลาในการดูดเสมหะแตล่ ะครง้ั 1. 10 -15 วินาที ตัง้ แต่เร่ิมใสส่ ายดูดเสมหะ 2. 20 -30 วินาที ต้งั แต่เริ่มใสส่ ายดดู เสมหะ 3. 10 -15 วนิ าที ตั้งแตเ่ ร่ิมปิดรขู ้อต่อควบคุมความดัน 4. 20 -30 วนิ าที ตัง้ แตเ่ รม่ิ ปิดรขู อ้ ตอ่ ควบคมุ ความดนั 373
ขอ้ 2 การสายดูดเสมหะปลอดเชอื้ (suction catheter) สำหรบั ผปู้ ว่ ยในภาพ ข้อใดถกู ต้อง 1. 8 Fr. 2. 10 Fr. 3. 12 Fr. 4. 14 Fr. ข้อ 3 การดดู เสมหะผ้ใู หญ่ต้องเปิด Pressure เท่าใด 1. 60-80 mmHg 2. 80-100 mmHg 3. 100-140 mmHg 4. 140-160 mmHg ข้อ 4 ระหว่างดดู เสมหะมเี สมหะเหนยี วข้นมาก การปฏบิ ตั ขิ อ้ ใดเหมาะสม 1. หยอด 0.9% NSS ในทอ่ หลอดลมคอ 2. หยอด Sterile water ในทอ่ หลอดลมคอ 3. พน่ ยาขยายหลอดลมกอ่ นดูดเสมหะคร้งั ตอ่ ไป 4. เคาะปอดและใหค้ วามชน้ื ก่อนดูดเสมหะครง้ั ต่อไป ข้อ 5 การป้องกันภาวะพรอ่ งออกซิเจนระหวา่ งดูดเสมหะ ข้อใดถกู ต้อง 1. จดั ทา่ นอนศีรษะสงู อย่างน้อย 45 องศา 2. ดดู เสมหะด้วยความรวดเร็ว ไม่เกนิ 10 วนิ าที 3. บีบ Manual resuscitating bag กอ่ นและระหว่างดูดเสมหะ 4. เม่ือใสส่ ายลกึ ถงึ carina ใหด้ งึ สายข้นึ มาประมาณ 1 เซนตเิ มตรจงึ เร่มิ ดดู เสมหะ 374
13.6 เอกสารอา้ งอิง ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ และอรุณรัตน์ เทพนา. (2559). ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ: หจก. เอ็นพีเพรส. สัมพันธ์ สันทนาคณิต, สุมาลี โพธิ์ทอง และสุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พน้ื ฐาน II. กรุงเทพฯ: บริษัท บพธิ การพมิ พ์ จำกดั . สุปราณี เสนาดิสัยและวรรณภา ประไพพานิช. (2558). การพยาบาลพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : บริษัท จุด ทอง จำกดั สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์ สุมาลี โพธิ์ทอง, และสัมพันธ์ สันทนาคณิต. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พน้ื ฐาน I.กรงุ เทพฯ: บริษทั บพิธการพมิ พ์ จำกัด. อัจฉรา พุ่มดวง. (2559). การพยาบาลพื้นฐาน : ปฏิบัติการพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2556). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 1. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บรษิ ัท ธนาเพรส จำกดั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2558). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 2. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บรษิ ัท จรัลสนิทวงศ์การพิมพ์ จำกดั . Nettina SM. (2 0 1 4 ) . Manual of Nursing Practice. Philadelphia: Williams &Wilkins Lippincott. Patricia A. Potter. (2 0 1 3 ) . Fundamentals of Nursing 8 th ed. St. Louis, Mo : Mosby Elsevier. Taylor ll. (2015). Fundamental of Nursing .8th ed. Philadelphia: Walters Kluwer. 375
แผนบริหารการสอนประจำบทที่ 14 หลักการและเทคนิคการพยาบาลพื้นฐานในการเก็บสิง่ ส่งตรวจ หวั ข้อเนอ้ื หาประจำบท 1. หลักการเก็บสง่ิ สง่ ตรวจ 2. วิธกี ารเก็บสิ่งส่งตรวจ จำนวนช่ัวโมงที่สอน: ภาคทฤษฎี 1 ช่วั โมง วตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. บอกหลักการเก็บสงิ่ สง่ ตรวจได้ถกู ต้อง 2. อธบิ ายวธิ กี ารเกบ็ ตัวอย่างสง่ิ สง่ ตรวจได้ วิธสี อนและกิจกรรมการเรยี นการสอน 1. วธิ สี อน 1.1 บรรยายสรุป 1.2 อภิปรายกลุ่ม 1.3 ยกตัวอย่างกรณศี ึกษาเพื่อการอภปิ ราย 2. กิจกรรมการเรียนการสอน 2.1 มอบหมายงานล่วงหนา้ อย่างนอ้ ย 1 สปั ดาห์ ให้นกั ศึกษาดู VDO สอ่ื การสอน เรอ่ื ง การเก็บส่ิงส่งตรวจ ทาง YouTube channel: nursing practice https://www.youtube.com/channel/UCvKvxUJtmc7syshf5zcy7Xw สรุปการเรียนรู้ในห้องเรยี น 2.2 บรรยายเกีย่ วกบั หลักการเกบ็ ส่ิงสง่ ตรวจและวิธกี ารเก็บสงิ่ สง่ ตรวจ 2.3 ยกตัวอย่างกรณีศึกษาให้ผู้เรียนเขียนใบขอตรวจสิ่งส่งตรวจ และการเลือดชนิดของ ภาชนะใสส่ ิ่งสง่ ตรวจ 376
สอื่ การเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. โปรแกรมสำเร็จรูป Power Point Presentation 3. โจทย์ตัวอยา่ งกรณีศกึ ษา 4. YouTube channel: nursing practice การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. การเข้าชั้นเรยี นร่วมกบั การสังเกตพฤติกรรมการเรยี น 2. การสังเกตการมีส่วนร่วมในอภิปรายและตอบคำถาม 3. ผลการเขยี นใบขอสง่ ส่ิงส่งตรวจและการเลอื กภาชนะใสส่ ิง่ สง่ ตรวจ 4. การทำแบบฝกึ หัดทา้ ยบท 5. การสอบปลายภาค 377
บทท่ี 14 หลักการและเทคนิคการพยาบาลพนื้ ฐานในการเก็บสิ่งส่งตรวจ พยาบาลเปน็ ผู้ท่ใี กลช้ ดิ ผูป้ ว่ ยมากท่สี ุด เนื่องจากตอ้ งดูแลชว่ ยเหลือผปู้ ว่ ยในการทำกิจกรรม ต่างๆ รวมท้งั ให้การรกั ษา และคน้ หาความผดิ ปกตขิ องผ้ปู ่วย ซ่ึงการคน้ หาความผดิ ปกติของผู้ป่วยนั้น นอกเหนือจากการซักประวัติและตรวจร่างกายแล้ว การตรวจทางห้องปฏิบัติการก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะ ชว่ ยใหก้ ารวนิ จิ ฉัยโรคและการรักษาพยาบาลมคี วามถูกต้อง เหมาะสม จงึ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่ พยาบาลควรมคี วามรู้ และสามารถเก็บสิ่งส่งตรวจได้ถูกต้อง เพือ่ ให้การวินิจฉัยโรคมคี วามถูกต้องมาก ที่สุด ผู้รับบริการได้รับการรักษาพยาบาลได้เหมาะสม และปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะ เกดิ ข้ึน 14.1 หลกั การเกบ็ สิง่ สง่ ตรวจ เพอ่ื ใหก้ ารตรวจมีความถูกต้อง เปน็ ประโยชน์กบั ผปู้ ว่ ยมากท่ีสุด มีกระบวนการในการปฏิบัติ 3 ขัน้ ตอน หลักดังน้ี 1) การเตรียมก่อนเกบ็ สิง่ สง่ ตรวจ 2) การเก็บส่งิ สง่ ตรวจที่ถกู ตอ้ งตามหลกั การ 3) การนำส่งสงิ่ สง่ ตรวจ หลักในการเก็บส่งิ ส่งตรวจในการเก็บตัวอย่างสง่ ตรวจ มีหลกั สำคัญ ดงั นี้ 1) ถูกผู้ป่วย การเก็บวิ่งส่งตรวจต้องถูกผู้ป่วย โดยในขั้นตอนการเก็บสั่งส่งตรวจต้อง ตรวจสอบความถูกต้องของชื่อผู้ป่วย เลขโรงพยาบาล โดยก่อนการเตรียมก่อนเก็บสิ่งส่งตรวจ ต้อง ตรวจสอบคำสง่ั การรักษา ภาชนะเก็บสง่ิ ส่งตรวจ และป้ายข้อมอื ผ้ปู ว่ ย ตอ้ งถกู ตอ้ งตรงกัน 2) สิ่งส่งตรวจถูกต้อง พยาบาลต้องตรวจสอบคำสั่งการรักษา หากไม่มั่นใจในคำสั่งการ รกั ษาต้องตรวจทานกับแพทย์ผู้สัง่ การรักษาอีกครั้ง 3) วิธีการถูกต้อง วิธีการเก็บสิ่งส่งตรวจต้องถูกต้องตามหลักการของสิ่งส่วตรวจนั้น ๆ รายละเอยี ดในหัวขอ้ ถัดไป 378
4) เวลาถูกต้อง การสิ่งสิ่งส่วตรวจบางชนิดมีความสำคัญมากเกี่ยวกับเวลาในการเก็บ เพราะหากเก็บสิ่งสิ่งตรวจไม่ถูกต้องตามเวลาอาจทำให้ผลการตรวจคลาดเคลื่อนได้ เช่น การตรวจ ระดบั น้ำตาลในเลือดก่อนการรับประทานอาหาร การเกบ็ ตัวอยา่ งเลอื ดส่งตรวจระดบั Cortisol level ต้องเกบ็ ในตอนเชา้ 5) ภาชนะที่ใช้บรรจุ การเก็บสิ่งส่งตรวจต้องเลือกภาชนะให้ถูกต้อง เช่น การเก้บสิ่งส่ง ตรวจเพ่อื การเพาะเชอื้ ตอ้ งใช้ภาชนะทีป่ ลอดเชือ้ เทา่ น้นั 6) ปริมาณถูกต้อง สิ่งส่งตรวจต้องมีปริมาณเพียงพอต่อการตรวจ หรือเหมาะสม เช่น การ เก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจในภาชนะที่มีสารกันเลือดแข็งตัว ปริมาณเลือดต้องถูกต้องตามที่ระบุไว้ เพื่อให้เหมาะสมกับสารกันเลือดแข็งตัว หากน้อยเกินไปอาจทำให้ผลการตรวจคลาดเคลื่อน หาก ปริมาณเลอื ดมากเกนิ จะทำให้เลอื ดแขง็ ตวั ไมส่ ามารถตรวจได้ 7) ฉลากถูกต้อง ก่อนการส่งสิ่งส่งตรวจไปห้องปฏิบัติต้องตรวจสอบความถูกต้องของช่ือ ผปู้ ว่ ยในคำสง่ั การรักษา ใบขอตรวจสง่ิ ส่งตรวจ และภาชนะทเี่ กบ็ สิง่ ส่งตรวจ 14.2 วธิ กี ารเกบ็ สิ่งส่งตรวจ 14.2.1 การเก็บตัวอยา่ งเลอื ด การเก็บตวั อยา่ งเลอื ด มีหลายชนดิ และมวี ธิ กี ารเก็บ ดงั นี้ 14.2.1.1 Complete Blood count (CBC) เป็นการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ประกอบด้วยการตรวจค่า red blood cell count (Hemoglobin, Hct) white blood cell count และ Platelet count เป็นการตรวจพื้นฐานในการคัดกรองโรคสำหรับผู้ป่วยทั่วไป และการเตรียม ความพรอ้ มผ้ปู ว่ ยก่อนการผา่ ตัด วิธีเก็บ เจาะเลือดจากเส้นโลหิตดำ 3 มิลลิลิตร ใส่ในหลอดบรรจุเลือดที่มีสารกัน เลือดแข็งตวั ชนิด Ethylene diamine Tetra acetic acid (E.D.T.A) หรือเรยี กว่า EDTA tube แล้ว ผสมใหเ้ ขา้ กนั ด้วยวิธีการคว่ำหลอดบรรจุขึ้น - ลง (mixed invert) ประมาณ 8 -10 ครัง้ 379
รูปภาพที่ 14-1 แสดงแสดงหลอดบรรจุเลอื ดชนดิ EDTA tube ที่มา: http://g2016.digitree.co.kr 14.2.1.2 Prothrombin time test (PT) Partial Thromboplastin time test (PTT) เป็น การตรวจดรู ะยะเวลาในการแขง็ ตวั ของเลือด วิธีเก็บ เจาะเลือดจากเส้นโลหิตดำ 1.8-2 มิลลิลิตรใส่ในหลอดบรรจุเลือดที่มีสารกัน เลอื ดแข็งตัวชนดิ sodium citrate 0.2 มิลลลิ ติ ร หรือเรยี กว่า sodium citrate tube แล้วผสมใหเ้ ข้า กนั ดว้ ยวิธีการควำ่ หลอดบรรจุขนึ้ – ลง (mixed invert) ประมาณ 8 -10 คร้ัง รูปภาพท่ี 14-2 แสดงแสดงหลอดบรรจเุ ลือดชนิด sodium citrate tube ที่มา: http://g2016.digitree.co.kr 380
14.2.1.3 Electrolyte เป็นการตรวจดูความสมดลุ ของปรมิ าณอิเลคโตรไลทท์ ี่อยู่ในร่างกาย ประกอบด้วย Sodium (Na+), Potassium (K+), Calcium (Ca2+), Phosphorus (P), Chloride (CI-) CO2, Magnesium (Mg2+) วิธีเก็บ เจาะเลือดจากเส้นโลหิตดำ 5 มิลลิลิตร ใส่ในหลอดบรรจุเลือดที่ไม่มีสารเคมีใน ใด ๆ เรียกวา่ clot blood tube หรอื ใส่ในหลอดบรรจุเลอื ดท่มี สี ารกนั แข็งตัวของเลือดชนิด Lithium heparin กไ็ ด้ โดย ห้าม เขย่าหลอดบรรจเุ ลือดภายหลงั นำเลอื ดมาใสเ่ พราะจำทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ผลการตรวจคลาดเคลอื่ นได้ รปู ภาพท่ี 14-3 แสดงหลอดบรรจเุ ลอื ดชนดิ Lithium heparin tube ที่มา: https://arkanmedical.id/home-old/ 14.2.1.4 การตรวจการทำงานของไต ประกอบด้วย Blood urea nitrogen (BUN) Creatinine (Cr) ค่าอัตราการกรอของไต (eGFR) วิธเี ก็บ เจาะเลือดจากเส้นโลหิตดำ 5 มลิ ลิลิตร ใสใ่ น tube เปน็ clot blood 14.2.1.5 การตรวจการทำงานของตับ (Liver function test: LFT) ประกอบด้วย SGOT, SGPT, LDH, HDL, Cholesterol, Triglyceride, Serum bilirubin Albumin/Globulin Ratio Globulin วิธเี กบ็ เจาะเลอื ดจากเสน้ โลหติ ดำ 5 มิลลิลติ ร ใสใ่ นหลอดบรรจเุ ลือดชนิด clot blood 381
รปู ภาพที่ 14-4 แสดงหลอดบรรจเุ ลอื ดชนดิ clot blood tube ทมี่ า: http://g2016.digitree.co.kr 14.2.1.6 การตรวจน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar: FBS) เป็นการตรวจระดับ น้ำตาลในเลอื ดเพอื่ วเิ คราะหโ์ รคเบาหวาน วิธีเก็บ เจาะเลือดจากเส้นโลหิตดำ 3 มิลลิลิตร ใส่ในหลอดบรรจุเลือดที่มี Sodium Fluoride หรือ NaF tube แล้วผสมให้เข้ากันด้วยวิธีการคว่ำหลอดบรรจุขึ้น - ลง (mixed invert) ประมาณ 8 -10 คร้ัง (เจาะเลอื ดหลงั จากงดอาหารและเครอ่ื งดมื่ 8-10ชว่ั โมง) รูปภาพที่ 14-5 แสดง Sodium Fluoride tube ท่มี า: https://stevens.ca 382
14.2.1.7 การเจาะหาค่าความดันแก๊สในหลอดเลือดแดง (Arterial blood gas: ABG) วิธีเก็บ เจาะเลือดจากเส้นโลหิตแดงโดยแพทย์เป็นผู้เจาะ พยาบาลเตรียม Syringe ขนาด 1 มลิ ลลิ ิตร ทหี่ ลอ่ ด้วย heparin เม่ือเจาะเสรจ็ แล้วนำ syringe แชใ่ นนำ้ แข็งก่อนการสง่ ตรวจ รูปภาพท่ี 14-6 แสดงการเจาะ Arterial blood gas ท่ีมา: https://andyheeps.wordpress.com. 14.2.1.8 การส่งตรวจหาภูมิคุ้มกัน เช่น Venereal Disease Research Laboratory: VDRL, Widal’s test, HBsAg, HIV วธิ ีเกบ็ เจาะเลือดจากเส้นโลหติ ดำ 5 มลิ ลิลติ รใส่หลอดบรรจุเลือดชนิด clot blood 14.2.1.9 การเจาะโลหิตส่งเพาะเชื้อ (Hemoculture) เป็นการเจาะโลหิตไปเพาะเลี้ยงเช้ือ เพ่อื ดูความไวของเชอ้ื โรค วิธีเก็บ ทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่ต้องการเจาะเลือดด้วย Betadine หรือ 2 % Chlorhexidine in 70 % Alcohol เจาะเลือดจากเส้นโลหิตดำ 5 มลิ ลติ ร ได้แล้วเปลีย่ นเข็มใหม่และ ใส่เลือดลงในขวด Hemoculture ซึ่งมีอาหารเลี้ยงเชื้อ โดยแทงผ่านจุกยาง แล้วเขย่าเบา ๆ เพื่อกัน การแข็งตัวของเลือด ลงหมายเลขขวด และเวลาที่เจาะให้ชัดเจน จำนวนขวดที่ใช้ในการเจาะ 2-3 ขวด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแผนการรักษาของแพทย์ ระยะเวลาในการเจาะแต่ละขวด เว้นช่ วงห่าง 15-30 นาที และเปลีย่ นตำแหน่งการเจาะ 383
รปู ภาพที่ 14-7 แสดง ขวด Hemoculture ที่มา: https://www.biomerieux-asean.com 14.2.1.10 การเจาะหาระดับเอนไซม์ของหัวใจ (cardiac enzymes test) ประกอบด้วย การหาค่า CPK, LDH วธิ เี ก็บ เจาะเลือดจำนวน 5 มิลลิลติ รใส่ tube ที่เป็น clot blood 14.2.1.11 การตรวจเลือดปลายนิ้วเพื่อวัดค่าระดับน้ำตาลในเลือด โดยการเจาะก่อนม้ือ อาหาร วิธีเก็บ นวดคลึงปลายนิ้ว เช็ดนิ้วที่จะเจาะด้วยสำลีแอลกอฮอล์ ควรเจาะด้านข้างของ นิ้วกลาง หรือนิ้วนาง ใช้เข็มเจาะชนิดใช้แล้วทิ้งที่มาพร้อมเครื่องเจาะน้ำตาล เช็ดเลือดหยดแรกออก หยดเลือดหยดท่ีสองลงบนแถบตรวจ รปู ภาพท่ี 14-8 แสดงการเจาะน้ำตาลปลายนิว้ ที่มา: https://hellokhunmor.com 384
14.2.1.12 กรณเี กบ็ ตวั อย่างเลือดส่งตรวจจำนวนหลายชนดิ ให้เรยี งลำดับการนำเลือดใสห่ ลอด เลอื ดดังนี้ รปู ภาพที่ 14-9 แสดงลำดับการเรียงลำดบั การนำเลือดใสห่ ลอดเลอื ด 14.2.2 การเก็บตัวอย่างปัสสาวะส่งตรวจ 14.2.2.1 การเก็บปัสสาวะตรวจทั่วไป (Urine analysis: UA) เพื่อตรวจดู สี ความ ถว่ งจำเพาะโปรตนี เมด็ เลอื ดขาว ความเป็นกรด-ด่าง เมด็ เลอื ดแดง เซลล์ และอ่ืน ๆ วธิ ีเกบ็ แจง้ ให้ผู้ป่วยทราบ และเกบ็ ปัสสาวะตามสภาพผปู้ ว่ ย - ผู้ป่วยช่วยตัวเองได้ให้ไปถ่ายปัสสาวะที่ห้องน้ำ ก่อนปัสสาวะให้ทำความ สะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยสบู่ให้สะอาด แล้วถ่ายปัสสาวะส่วนต้นทิ้งเก็บปัสสาวะส่วนกลาง ( Mid- stream urine) 10-20 มลิ ลลิ ติ รใสใ่ นถว้ ยหรอื ขวดสะอาดท่ีมีฝาปดิ -ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ให้พยาบาลเป็นผู้ช่วยเหลือโดยให้หม้อนอนทำ ความสะอาดอวัยวะสืบพนั ธุ์ และเกบ็ ปัสสาวะดว้ ยวิธกี ารเดยี วกัน -ผู้ป่วยไม่สามารถเก็บปัสสาวะได้ด้วยตนเอง เช่น ไม่รู้สึกตัว หรือกลั้นปัสสาวะ ไม่ได้ ให้เก็บปัสสาวะด้วยวธิ ีการสวนปัสสาวะแบบสวนทิ้ง (intermittent catheter) นำน้ำปัสสาวะ 10-20 มิลลิลติ รใสล่ งในขวดสะอาดท่มี ีฝาปิด 385
- ผู้ป่วยที่ใส่สายสวนปัสสาวะ ให้ใช้กระบอกฉีดยา ขนาด 10 มิลลิลิตร เข็ม เบอร์ 23 หรือ 24 เจาะที่สาย Foley's catheter สว่ นทเ่ี ป็นกระเปาะโป่งออกมา ก่อนเจาะต้องผกู รัด สายส่วนของ Urine bag ไว้ประมาณ 15 นาที เช็ดบรเิ วณจะเจาะด้วย Betadine ตามด้วย Alcohol 70% หรือ 2 % chlorhexidine in 70 % alcohol ปล่อยให้แห้ง แล้วเจาะดูดปัสสาวะออก 5-10 มิลลิลิตร ใส่ในขวดสะอาด ที่มีจุกปิดเมื่อได้น้ำปัสสาวะใส่ลงในขวดสะอาดแล้ว จากนั้นเขียนป้ายชอ่ื ติดขวด เขียนใบส่งตรวจ ส่งห้องปฏิบัติการภายใน 2 ชั่วโมง หรือเก็บที่ 40 องศาเซลเซียส (ไม่เกิน 24 ช่ัวโมง) หลังการเกบ็ รปู ภาพที่ 14-10 แสดงการตรวจปัสสาวะตรวจท่วั ไป (Urine analysis) ท่มี า: https://www.imed.co.th 14.2.2.2 การสง่ ปสั สาวะเพ่ือเพาะเชื้อ (Urine Culture) เปน็ การเกบ็ ปัสสาวะเพ่ือนำไป เพาะเลี้ยงเช้ือ หาเชื้อแบคทเี รีย เช้ือราในอาหารเลยี้ งเช้อื พเิ ศษ วิธีเก็บ มีวิธีการเก็บเช่นเดียวกับการส่งปัสสาวะตรวจทั่วไป เพียงแต่ต้องใช้ภาชนะ หรอื ขวดปราศจากเชือ้ สำหรบั ใส่น้ำปัสสาวะ 14.2.2.3 การเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง เป็นการเก็บรวบรวมปัสสาวะผู้ป่วยจนครบ 24 ชม. แล้วจึงสง่ ตรวจ วิธีเก็บ ให้ผู้ป่วยปัสสาวะทิ้งก่อนการเก็บตอน 08.00 น. แล้วเก็บปัสสาวะที่ถ่ายทุก ครั้งหลัง 08.00 น. รวมกันจนครบ 24 ชั่วโมง คือ 08.00 น. ของวันรุ่งขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย โดยเก็บใน ขวดสะอาดปากกว้าง ระหวา่ งท่ีเก็บปัสสาวะควรเก็บไว้ในตเู้ ย็นตลอดเวลา หรอื ถ้าไม่เกบ็ ในตู้เย็นให้ใส่ 386
สารเคมีบางอย่างลงไปเพื่อรักษาสภาพของปัสสาวะ เช่น Toluene, concentrated Hydrochloric acid ทง้ั นีเ้ วลาในการเกบ็ มกี ารปรับเปลีย่ นได้ แลว้ แตโ่ รงพยาบาลจะเลอื กปฏบิ ตั ิ 14.2.3 การเก็บตัวอย่างอจุ จาระสง่ ตรวจ 14.2.3.1 การเก็บอุจจาระตรวจทั่วไป (Stool examination) เพื่อตรวจดูสี พยาธิ ไข่ พยาธโิ ปรโตซวั เลอื ดในอจุ จาระ สงิ่ ตกตะกอนต่าง ๆ ในอุจจาระ วิธีเก็บ เมื่อผู้ป่วยถ่ายอุจจาระ ใช้ไม้เขี่ยอุจจาระใส่ขวดที่มีฝาปิดให้เรียบร้อย และ หากอุจจาระมีส่วนผิดปกติ เช่น มีมูกเลือด ควรเลือกส่วนที่ผิดปกติ ส่งตรวจโดยเร็วภายใน 30 นาที เพือ่ ไดผ้ ลดียงิ่ ข้ึน 14.2.3.2 การเกบ็ อุจจาระเพือ่ ตรวจหาเลือดในอจุ จาระ (Occult Blood) วิธีเก็บ ก่อนการเก็บควรให้ผู้ป่วยงดอาหาร เนื้อสัตว์ที่มีเลือดปน เช่น อาหารเนื้อท่ี ปรุงสุกๆดิบๆ (งด 3 วัน ก่อนเก็บ) จากนั้นเมื่อผู้ป่วยถ่ายอุจจาระ ใช้ไม้เขี่ยอุจจาระจำนวนเล็กน้อย พยายามเลือกส่วนท่ไี ม่มเี ลอื ดปนใส่ขวดท่ีมฝี าปิดมิดชดิ ส่งตรวจทนั ทีภายใน 30 นาที (3) การเก็บอุจจาระเพื่อเพาะเชื้อ (Stool-culture) เป็นการเก็บอุจจาระเพื่อนำไป เพาะเล้ยี งเช้ือ และดคู วามไวของเชือ้ ต่อยา วิธีเก็บ ให้ผู้ป่วยนอนตะแคงซ้ายขาด้านล่างเหยียดตรง ขาด้านบนงอขึ้นชดิ อก จน เห็นรูทวารหนักชัดเจน จากนั้นใช้ไม้พันสำลีขนาดเล็กที่ปราศจากเชื้อสอดเข้าทางทวารหนักลึก ประมาณ 1-2 นวิ้ หมนุ ไมไ้ ปมา 2-30 รอบ ก่อนนำไม้น้ันใส่ลงในขวดทมี่ ีอาหารเลี้ยงเช้ือ แล้วส่งตรวจ ทันทหี รือเกบ็ ไวท้ อ่ี ุณหภูมิ 4 0C (ไม่เกิน 24 ช่ัวโมง) 14.2.4 การเก็บตัวอย่างเสมหะส่งตรวจ 14.2.4.1 การเก็บเสมหะตรวจทั่วไป (Sputum examination) เป็นการตรวจหา ส่วนประกอบของเสมหะ เชน่ เช้อื โรค มูก เลอื ด หนอง เซลล์ท่ลี อกหลดุ ตายและส่งิ เจอื ปนอ่นื ๆ 14.2.4.2 การเก็บเสมหะส่งเพาะเชื้อ (Sputum culture) เป็นการเก็บเสมหะ เพื่อส่ง เพาะเล้ยี งเช้อื และดคู วามไวของเช้อื ต่อยา 14.2.4.3 การเก็บเสมหะตรวจ Acid -fast-Bacilli (AFB) เป็นการเก็บเสมหะ เพื่อนำไป ย้อมสหี าเช้อื วณั โรค วธิ กี ารเก็บ มี 2 ลักษณะดงั นี้ 387
- การเก็บเสมหะในผู้ป่วยที่ไอออกเองได้ ให้ผู้ป่วยเก็บเสมหะในตอนเช้าก่อน รับประทานอาหาร ก่อนเก็บให้บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด (ห้ามบ้วนด้วยน้ำยาบ้วนปาก) เพื่อลด แบคทเี รยี ในชอ่ งปาก ใหห้ ายใจเขา้ -ออก ลึก ๆ 2-3 คร้ัง ครงั้ สุดท้ายให้หายใจเขา้ ลกึ -ยาว แลว้ กล้ันไว้ สักครู่จึงไอออกมาแรงๆ ขณะหายใจออก เมื่อขากได้เสมหะแล้วให้ยกปากขวดหรือถ้วยขึ้นชิดริม ฝีปากล่างค่อยๆ ปล่อยเสมหะไหลลงในถ้วย (ใส่ขวด sterile หากเก็บเพาะเชื้อ : gram stain, culture หรือใส่ในกระปุกสะอาดที่มีฝาปิด มิดชิด หากเก็บ sputum exam, AFB) ตรวจดูเสมหะที่ เก็บได้ ควรมีลักษณะเป็นเมือกเหนียว เป็นยวง ขุ่นข้น มีสีปนเหลือง หรือปนเขียว ไม่ใช่น้ำลายซึ่งใส หรือเปน็ ฟองสขี าว ปดิ ฝาขวดเสมหะให้แนน่ แล้วสง่ ตรวจทันทหี รือเกบ็ ที่อุณหภูมิหอ้ ง * หมายเหตุ การเก็บ AFB มักเก็บสง่ ห้องปฏิบัติการติดต่อกนั 3 วนั -การเก็บเสมหะโดยการใช้เครื่องดูดเสมหะ ดูดเสมหะด้วยวิธี sterile technique จากนัน้ นำสายยางออกจากท่อทางเดนิ หายใจ นำปลายสายใสใ่ นขวด sterile ใช้ syringe ดันปลายอีก ดา้ นหนึ่งเพ่อื ให้เสมหะออกจากสายยางในขวด หรอื หากมเี สมหะคาสายก็ใช้กรรไกร sterile ตัดปลาย สายใส่ลงในขวด เสร็จแล้วเปดิ ฝาใหม้ ดิ ชิด แต่หากมขี วดเก็บเสมหะสำเร็จรูป ก็สามารถนำมาใช้ได้เลย ด้วยวธิ ีการเดยี วกนั กบั การดดู เสมหะใหผ้ ู้ป่วย รปู ภาพท่ี 14-11 แสดงขวดเก็บเสมหะสำเร็จรปู (sputum collection) ที่มา: https://www.indiamart.com 388
14.2.5 การเกบ็ หนองส่งตรวจ 14.2.5.1 การตรวจโดยตรงด้วยกล้องจลุ ทรรศน์ (Smear) เป็นการตรวจหาเชื้อโดยย้อม สี แกรมแลว้ ดูเชอื้ ด้วยกลองจุลทรรศน์ วิธีเก็บ ใช้ไม้พันสำลีที่ปราศจากเชื้อป้ายหนองจากบริเวณแผลที่ต้องการตรวจโดย หมุนปลายไม้พันสำลีเบา ๆ ให้ติดหนอง แล้วนำหนองที่ติดที่ไม้พันสำลีป้ายลงบนสไลด์สะอาด เขียน ช่ือ-สกลุ ผู้ป่วยลงบนสไลดก์ ่อนนำไปส่งที่หอ้ งปฏิบตั ิการ 14.2.5.2 การเก็บหนองส่งเพาะเชื้อ (Pus culture) เป็นการตรวจเพื่อหาเชื้อที่อยู่ บรเิ วณแผลและดูความไวของเชือ้ ตอ่ ยา วิธีเก็บ หลังจากทำแผลแล้วใช้ไม้พันสำลีขนาดเล็กที่ปราศจากเชื้อป้ายหนองจาก บริเวณแผล หรือหนองจากบริเวณที่ต้องการตรวจ ใสใ่ นขวดท่ีมีอาหารเลีย้ งเช้ือ เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง หรอื นำส่งตรวจทันที แล้วทำความสะอาดปดิ แผลตามวิธีการทำแผลท่วั ไป 14.2.6 การเกบ็ นำ้ ไขสันหลงั สง่ ตรวจ เป็นการตรวจเพื่อค้นหาความผิดปกติของโรคที่เกี่ยวกับสมองและไขสันหลัง เช่น เยื่อหุ้ม สมองอกั เสบ ผู้ป่วยท่ีอาการชัก หรอื มไี ข้สูง โดยแพทยเ์ ปน็ ผู้เจาะน้ำจากไขสันหลงั วิธีเก็บ ภายหลังจากเจาะหลังและได้น้ำไขสันหลังออกมา ก็จะเก็บตัวอย่างส่งตรวจโดยใช้ ขวดท่ีปราศจากเชือ้ รองน้ำไขสันหลัง บรรจุลงในขวด ขวดละ 2-3 มลิ ลิลติ ร จำนวน 3 ขวด ขวดใบที่ 1 ส่ง culture ขวดใบท่ี 2 สง่ gram stain ขวดใบที่ 3 ส่ง cell diff, cell count นอกจากน้ีจะเจาะ Blood sugar สง่ ตรวจหลังจากเจาะด้วย 14.3 บทสรุป การเก็บสิ่งส่งตรวจ เป็นการตรวจหาความผิดปกติภายในร่างกายผู้ป่วย เพื่อนำผลมาใช้ใน การวินิจฉัยหรือตัดสินใจรักษาของแพทย์ ดังนั้นพยาบาลผู้เก็บจึงต้องเข้าใจหลักการและเก็บอย่าง ถูกตอ้ ง ระวังการผดิ พลาด เพ่อื ประโยชน์สูงสดุ ของผ้ปู ว่ ย 389
14.4 คำถามทา้ ยบท ข้อ 1 การเกบ็ สิง่ ส่งตรวจต้องตรวจสอบชื่อผปู้ ว่ ยทตี่ ำแหน่งใดบา้ ง (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 1. ป้ายข้อมอื 2. คำสัง่ การรกั ษา 3. หลอดบรรจสุ ่ิงสง่ ตรวจ 4. ใบขอตรวจทางหอ้ งปฏิบัติการ ขอ้ 2 การเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจ Complete blood count ต้องใช้หลอดบรรจุเลือดในข้อ ใด 1. 2. 3. 4. 390
ข้อ 3 คำสั่งการรกั ษา blood for Hemoculture, CBC, BUN, Cr, E, lyte. ต้องเรียงลำดบั การ นำเลอื ดใสห่ ลอดเลอื ดอย่างไร 1. E.D.T.A tube, clot blood tube, Hemoculture 2. clot blood tube, E.D.T.A tube, Hemoculture 3. Hemoculture, E.D.T.A tube, clot blood tube 4. Hemoculture, clot blood tube, E.D.T.A tube ขอ้ 4 การเก็บ mid steam urine culture (MUC) ข้อใดถูกตอ้ ง 1. เทปสั สาวะจากถงุ รองรับปัสสาวะไปครึง่ ถุงแล้วเกบ็ ส่วนกลาง 2. ใหผ้ ้ปู ่วยปัสสาวะลงในภาชนะรอรบั แล้วใช้ syringe ดดู เก็บสิ่งสง่ ตรวจ 3. สวนปสั สาวะแบบเปน็ ครั้งคราวเพ่อื เกบ็ MUC แม้ผปู้ ่วยจะปัสสาวะเองได้ 4. พับสาย urine ไว้ประมาณ 15 นาที แล้วใช้เข็มดูดจากกระเปาะสาย Foley, s catheter ข้อ 5 การเกบ็ เสมหะส่งตรวจช่วงเวลาใดเหมาะสมท่สี ดุ 1. ก่อนนอน 2. หลังตนื่ นอน 3. กอ่ นรับประทานอาหาร 4. หลงั รับประทานอาหาร 14.5 เอกสารอ้างอิง ชวนพศิ วงศ์สามญั และ กล้าเผชญิ โชคบำรุง. (2558). การตรวจทางหอ้ งปฏบิ ตั ิการและการพยาบาล. พมิ พค์ รั้งท่ี 21. ขอนแก่น: หจก ขอนแกน่ การพมิ พ์. ณัฐสุรางค์ บุญจันทร์ และอรุณรัตน์ เทพนา. (2559). ทักษะพื้นฐานทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ: หจก. เอน็ พเี พรส. ปาหนนั บุญหลง.(2554). หลกั การและเทคนิคการพยาบาล เลม่ 1.นครราชสีมา: บริษัท สมบูรณ์การ พมิ พ์ จำกัด สัมพันธ์ สันทนาคณิต, สุมาลี โพธิ์ทอง และสุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พ้ืนฐาน II. กรุงเทพฯ: บริษัท บพธิ การพมิ พ์ จำกัด. 391
สุปราณี เสนาดิสัยและวรรณภา ประไพพานิช. (2558). การพยาบาลพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : บริษัท จุด ทอง จำกัด สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์ สุมาลี โพธิ์ทอง, และสัมพันธ์ สันทนาคณิต. (2558). ปฏิบัติการพยาบาล พ้นื ฐาน I.กรงุ เทพฯ: บริษัท บพิธการพิมพ์ จำกดั . อัจฉรา พุ่มดวง. (2559). การพยาบาลพื้นฐาน : ปฏิบัติการพยาบาล. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2556). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 1. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บรษิ ทั ธนาเพรส จำกัด. อภิญญา เพียรพิจารณ์ (2558). คู่มือปฏิบัติการพยาบาลเล่ม 2. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ : บรษิ ัท จรัลสนิทวงศ์การพมิ พ์ จำกัด. Michael A Matthay, B Taylor Thompson, Lorraine B Ware. (2021). The Berlin definition of acute respiratory distress syndrome: should patients receiving high-flow nasal oxygen be included?. The Lancet, 9, 933-936. Nettina SM. (2 0 1 4 ) . Manual of Nursing Practice. Philadelphia: Williams &Wilkins Lippincott. Patricia A. Potter. (2 0 1 3 ) . Fundamentals of Nursing 8 th ed. St. Louis, Mo : Mosby Elsevier. Taylor ll. (2015). Fundamental of Nursing .8th ed. Philadelphia: Walters Kluwer. 392
แผนบรหิ ารการสอนประจำบทท่ี 15 หลักการและเทคนิคการพยาบาลพ้นื ฐาน ในการพยาบาลผู้ปว่ ยระยะสุดท้ายของชีวิต หวั ข้อเนอื้ หาประจำบท 1. ความร้เู บื้องต้นเกยี่ วกบั ผ้ปู ว่ ยระยะสุดทา้ ย 2. หลกั การพยาบาลแบบประคบั ประคองและการดูแลระยะสุดท้ายของชวี ติ 3. หลักการพยาบาลและวิธีปฎบิ ตั ิเมอ่ื ผปู้ ว่ ยที่ถงึ แก่กรรม จำนวนชว่ั โมงทส่ี อน: ภาคทฤษฎี 1 ช่วั โมง วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. อธิบายหลักการดูแลแบบประคับประคองและการดูแลระยะสุดทา้ ยได้ 2. ระบปุ ัญหาของผปู้ ว่ ยระยะสดุ ท้ายและวางแผนการพยาบาลผูป้ ่วยและครอบครวั ได้ 3. วางแผนการพยาบาลผปู้ ่วยที่ถึงแก่กรรม วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอน 1. วธิ ีสอน 1.1 บรรยายสรปุ 1.2 อภิปรายกลมุ่ 1.3 ยกตวั อย่างกรณศี กึ ษาเพ่ือการอภปิ ราย 2. กจิ กรรมการเรยี นการสอน 2.1 บรรยายเก่ียวกบั หลกั การเก็บสงิ่ สง่ ตรวจและวธิ กี ารเกบ็ ส่งิ สง่ ตรวจ 2.3 ยกตัวอย่างกรณีศึกษาให้ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายการประยุกต์ใช้หลักการของศาสนา ความเชอื่ ในการดแู ลผปู้ ว่ ยระยะสดุ ทา้ ย 393
สื่อการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. โปรแกรมสำเร็จรูป Power Point Presentation 3. โจทยต์ วั อยา่ งกรณีศกึ ษา การวดั ผลและประเมินผล 1. การเข้าชัน้ เรยี นรว่ มกบั การสังเกตพฤติกรรมการเรยี น 2. การสงั เกตการมีส่วนรว่ มในอภปิ รายและตอบคำถาม 3. การทำแบบฝกึ หดั ทา้ ยบท 4. การสอบปลายภาค 394
บทที่ 15 หลักการและเทคนคิ การพยาบาลพ้นื ฐาน ในการพยาบาลผู้ป่วยระยะสดุ ท้ายของชีวิต การดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต การดูแลแบบประคับประคองเป็นหลักการดูแลใน ผู้ป่วยที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่ดำเนินมาถึงระยะที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ โดยการดูแลรักษามุ่งเน้นที่ การลดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย เพื่อให้จากไปอย่างสงบ ตามธรรมชาติหรือการตายดี (good death) ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์จึงมีความจำเป็นที่ต้องทำความเข้าใจในหลักการดูแลเพื่อให้ สามารถนำไปประยุกตใ์ ชไ้ ด้ รายละเอยี ดดังนี้ 15.1 ความร้เู บอ้ื งต้นเกี่ยวกบั ผ้ปู ่วยระยะสุดท้าย 15.1.1 ผ้ปู ว่ ยระยะสุดทา้ ย (End of life) ผ้ปู ว่ ยระยะสุดท้าย หมายถึง ผูป้ ่วยทีไ่ ด้รบั การวนิ ิจฉัยการเจ็บปว่ ยถึงขนั้ สูญเสียชวี ิต ภายใต้ การรกั ษาด้วยยา การดแู ลอย่างใกลช้ ิด และพยากรณ์โรคว่าสามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน หรอื น้อยกวา่ ผู้ป่วยระยะสดุ ท้าย หรอื ผู้ทห่ี มดหวงั หมายถงึ ผ้ปู ว่ ยที่แพทยใ์ หก้ ารวินิจฉัยวา่ เปน็ โรคทไ่ี ม่ สามารถจะรักษาใหห้ ายได้ และไม่มีโอกาสทีจ่ ะใช้เวลาที่เหลอื ในชวี ติ ของตนให้เปน็ ประโยชนแ์ ก่ ตนเอง และผู้อื่นได้อีก ผู้ปว่ ยระยะสดุ ทา้ ยหรือผู้ป่วยใกล้ตาย หมายถึง ผปู้ ่วยท่ีหมดหวังจะหายจากโรค เปน็ ความ เจ็บป่วยทไ่ี ม่สามารถรกั ษาให้หายไดด้ ว้ ยวธิ กี ารใดๆ อาการจะทรุดลงเร่ือยๆ และเสยี ชวี ติ ในทีส่ ุด เช่น ผู้ปว่ ยสมองเสื่อมระยะสุดท้าย ภาวะหวั ใจล้มเหลว มะเรง็ ระยะสดุ ทา้ ย เปน็ ต้น 15.1.2 ความตาย (death) ความตาย มีความหมายไดห้ ลายแบบดงั นี้ 15.1.2.1 ความหมายในทศั นะทางการแพทย์สมัยใหม่ ความตาย หมายถึง “การทสี่ มองถูกทำลาย ไมอ่ าจทำงานไดภ้ ายใน 20 นาที ก็จะทำให้ การหายใจตามธรรมชาติและการเต้นของหวั ใจหยุดลง ซึ่งกค็ อื การตาย” เกณฑใ์ หมส่ ำหรบั ความตาย 3 ประเดน็ คอื 1) ไม่มีการตอบรับเกีย่ วกับระบบประสาท และไม่มีการตอบสนอง (unreceptively and unresponsively) 395
2) ไม่มีการเคลื่อนไหวหรือการหายใจตามธรรมชาติ (no spontaneous muscle or spontaneous breathing) 3) ไม่มีปฏกิ ิรยิ าของการตอบสนอง (no reflex) 15.1.2.2 ความตายในทางศาสนา พบว่ายังไม่มีผู้ให้ความหมายไว้ชัดเจน แต่ส่วนใหญ่ กลา่ วเก่ียวกบั ความเช่ือของการตายดงั น้ี 1) ศาสนาพทุ ธ ชาวพทุ ธมคี วามเชอ่ื วา่ ความตายเปน็ การดบั ของขนั ธ์ 5 ประกอบด้วย รูป วิญญาณ สัญญา เวทนา และสังขาร เมื่อขันธ์ 5 ดับ คือกายกับจิตดับลง จุดนั้นเรียกว่าความตาย ในทางการแพทย์ให้ความหมายของความตายวา่ “หวั ใจหยุดเต้น” หรอื “สมองหยุดทำงาน” จึงจำกัด อยู่เฉพาะทางกาย หรือรูป เท่านั้น ทำให้การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มุ่งเน้นเฉพาะมิติทางกาย แต่ ในทางพุทธศาสนา ความหมายของความตาย ไม่ใช่เฉพาะทางกาย แต่ยังรวมถึงการดับลงของจิตด้วย ดังนั้น แนวทางการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในทางพุทธ จึงต้องดูแลครอบคลุมทั้งมิติทางกาย ใจ และ จิตวิญญาณ 2) ศาสนาคริสต์ ชาวคาทอลิก เชื่อว่า “ความตาย” คือภาวะที่ร่างกายและวิญญาณ แยกออกจากกัน มนุษย์เกิดมาครั้งเดียว และตายครั้งเดียว เมื่อตาย ร่างกายซึ่งเป็นสสารจะสลาย กลายเป็นธุลีตามเดิม ขณะที่วิญญาณซึ่งแยกออกจากร่างกายจะถูกนำไปพิพากษาทันทีตามบาปบุญ ของตน ชาวคาทอลิกยังมีความเชื่อเรื่องการกลับฟื้นคืนชีพภายหลังความตาย คือ มนุษย์จะถูกตัดสิน โทษบาปของตนครั้งแรก เมื่อตายภาวะวิญญาณที่แยกออกจากร่างกาย และถูกนำไปยังสวรรค์ หรือ สถานไฟชำระ (นรก) ตามบาปบุญของตนเอง 3) ศาสนาอิสลาม ความตาย คือ การกลับสู่ความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าหรือ พระอัลเลาะฮ์ ซึ่งเรียกว่า “อายัล” เมื่อชาวมุสลิมทราบข่าวการตายของมุสลิมไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่ก็ ตาม ก็จะกล่าวข้อความจากคัมภีร์อัลกุรอานว่า “แท้จริงเราเป็นของอัลเลาะฮ์ และแท้จริงเราเป็นผู้ กลับไปหาพระองค์” ความตายตามหลักศาสนาอิสลาม ถือว่า มิใช่การดับสญู หรือการสูญเสีย แต่เป็น การเคลื่อนย้ายสถานที่จากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหน่ึง และถือว่าเนื้อแท้ของมนุษย์มิใช่เรือนร่างอันเปน็ วตั ถแุ ตเ่ ปน็ “วญิ ญาณ” (รูห์) ซง่ึ ยงั คงสภาพอยู่ และเตรียมพรอ้ มสำหรับการเคลื่อนยา้ ยไปส่ชู วี ติ ใหม่ 396
15.1.3 สิทธเิ กีย่ วกบั ความตาย ปัจจุบันความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ สิทธิเกี่ยวกับความตายในประเทศไทยยังมีน้อยและมี ความเข้าใจที่ค่อนข้างเคลื่อนเคลื่อนมาก เนื่องจากวิธีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรมต่าง ๆในประเทศไทย การตัดสนิ ใจเกี่ยวกบั ความตายมกั เปน็ หนา้ ทข่ี องญาติ หรอื ตามคำแนะนำของแพทยเ์ ปน็ ส่วนใหญ่ โดย ที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่รู้ว่า บุคคลมีสิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับความตายของตนเอง ได้อยา่ งถูกตอ้ งตามกฎหมาย แต่ทัง้ น้ีไมไ่ ด้หมายรวมถงึ การฆา่ ตวั ตาย แต่เปน็ การแสดงเจตนาว่า หาก เม่ือถึงวาระสุดท้ายของชวี ิต บุคคลมีสทิ ธิในการเลือกรับหรือปฏิเสธการยื้อชวี ิตได้ เพื่อให้เกิดการตาย ตามธรรมชาติ ลดความทุกข์ทรมาน เป็นการตายอย่างมีศักดิ์ศรี โดยในพระราชบัญญัติสุขภาพ แหง่ ชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 กล่าวว่า บคุ คลมีสทิ ธิทำหนังสอื แสดงเจตนาไม่ประสงคจ์ ะรบั บรกิ ารทางสาธารณสขุ ทีเ่ ป็นไปเพียงเพ่ือ ยดื การตายในวาระสุดทา้ ยของชีวิตตน หรือเพอื่ ยุติการทรมานจากการเจบ็ ป่วยได้ การดำเนินการตามหนงั สือแสดงเจตนาตามวรรคหนึง่ ให้เป็นไปตามหลกั เกณฑ์และวิธกี ารที่ กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อผู้ประกอบวชิ าชีพด้านสาธารณสุขไดป้ ฏบิ ัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ ถอื ว่าการกระทำนน้ั เป้นความผดิ และให้พน้ จากความรบั ผดิ ท้งั ปวง 15.1.4 วาระสดุ ท้ายของชีวิต วาระสุดท้ายของชีวิตตาม พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 หมายถึง ภาวะของผู้ทำ หนังสือแสดงเจตนาอันเกิดจากการบาดเจ็บหรือโรคที่ไม่อาจรักษาให้หายได้ และผู้ประกอบวิชาชีพ เวชกรรมผู้รับผิดชอบการการรักษาได้วินิจฉัยจากการพยากรณ์โรคตามมาตรฐานทางการแพทย์ว่า ภาวะน้นั นำไปสู่การตายอย่างหลีกเลยี่ งไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้จะถึงและให้หมายความรวมถึงภาวะ ที่มีการสูญเสียหน้าที่อย่างถาวร ของเปลือกสมองใหญ่ที่ทำให้ขาดความสามารถในการรับรู้และ ติดต่อสื่อสารอย่างถาวรโดยปราศจากพฤติกรรมการตอบสนองใดๆ ที่แสดงถึงการรับรู้ได้ จะมีเพียง ปฏกิ ริ ยิ าสนองตอบอตั โนมัตเิ ทา่ นั้น สำหรับการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็ นไปเพื่อยืดการ ตายในวาระสุดทา้ ยของชวี ติ หรือเพื่อยุตกิ ารทรมานจากการเจ็บป่วย หรอื Living will ผู้ป่วยสามารถ ทำไว้ล่วงหน้าก่อนจะไม่มีสัมปชัญญะ โดยการทำหนังสือนี้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับพินัยกรรมใด ๆ ทงั้ สน้ิ 397
รูปภาพท่ี 15-1 แสดงตวั อย่าง หนังสอื แสดงเจตนา หรอื living will. 15.2 หลกั การพยาบาลแบบประคบั ประคองและการดูแลระยะสุดทา้ ยของชีวติ การมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกบั ความตาม ความเชอ่ื เก่ยี วกับความตายตามหลักการของแต่ ละศาสนา รวมถึงการมีความรู้ด้านกฎหมาย สิทธิเกี่ยวกับความตาย ทำให้บุคคลกรทางการแพทย์ให้ การดูแลผู้ป่วยและครอบครัวได้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น โดยปัญหาที่พบบ่อยและการพยาบาลผู้ป่วยใน ระยะสดุ ทา้ ยทสี่ ำคัญมดี ังนี้ 15.2.1 การแจ้งข่าวร้ายและการดูแลครอบครัวผู้ป่วย (Breaking bad news and family support) การตอบสนองของบุคคลเมื่อไดร้ บั ขา่ วรา้ ย ท่ีพบได้บ่อยๆ คือ 1) ปฏิเสธ (denial) เป็นระยะเริ่มต้นของการตกใจและชาไปทั้งตัว ปฏิเสธที่จะยอมรับ ความจรงิ 398
2) โกรธ (Anger) อาจแสดงออกมาภายนอกหรือซ่อนอยูภ่ ายใน เปน็ การต่อตา้ นผู้ให้การ รกั ษา ครอบครัวความเชื่อหรือส่งิ ศกั ดสิ์ ิทธิ์ท่นี ับถอื 3) ตอ่ รอง (Bargaining) เพ่ือขอให้ไดใ้ นสิ่งท่ตี ้องการ เพอื่ ให้คนท่ีตนรักกลบั มา 4) ซึมเศรา้ (Depression) เป็นระยะเริ่มตน้ ของการยอมรับขา่ วรา้ ยจงึ เกดิ ภาวะซึมเศรา้ 5) ยอมรับ (Acceptance) เป็นระยะที่ยอมรับเหตุการณ์ร้ายและอาจเกิดความ แปรปรวนของอารมณ์ การตอบสนองในแต่ละระยะของบุคคลอาจมีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวหน้า ถอยหลัง หรืออาจหยุดติดขัดในแต่ละระยะได้ ดังนั้นเพื่อให้ครอบครัวสารรถปรับตัวได้เหมาะสม ข้ามผ่าน เหตุการณ์ร้ายได้ พยาบาลจึงควรมีทักษะในการแจ้งข่าวร้ายอย่างเหมาะสมเพื่อส่งเสริมให้เกิดการ ปรับตวั ที่ดี การส่อื สารท่ีมีประสิทธภิ าพเพื่อการแจ้งข่าวร้ายซ่งึ เป็นงานท่ีมีความซับซ้อน จำเป็นต้องมี ทักษะในการสื่อสารด้วยภาษาพูด (verbal communication) และภาษากาย (non-verbal communication) องค์ประกอบของการแจ้งข่าวร้าย ประกอบไปด้วย การฟัง การตั้งคำถาม การตอบ คำถาม การทำความเข้าใจอย่างชัดเจนในประเด็นต่าง ๆ และการตอบสนองทางอารมณ์อย่าง เหมาะสม บุคลากรทางสุขภาพที่ทำหน้าที่แจ้งข่าวร้ายควรเตรียมข้อมูลที่ครอบครัวควรรับทราบให้ เหมาะสมกบั ระดบั การศึกษาเพื่อใหผ้ รู้ ับข้อมูลเขา้ ใจไดง้ ่าย แล้วจงึ ใหข้ อ้ มลู ในระยะเวลาทเ่ี หมาะสม มี การเตรียมความพร้อมของผู้รบั ข้อมลู บุคลากรทางการแพทย์แสดงทา่ ทางที่พร้อมจะรบั ฟังโดยการนั่ง ลง แสดงท่าทีผ่อนคลาย ไม่เร่งรีบ สบตา ประเมินความต้องการของครอบครัว ตอบคำถามอย่าง ถูกต้อง ตรงประเด็น ซื่อสัตย์ ชัดเจน หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์แพทย์ พร้อมทั้งการตรวจสอบความเข้าใจ ของผู้รับข้อมูล ตอบสนองทางอารมณ์ด้วยการสัมผัสมือ โอบไหล่ ในช่วงเวลาที่เหมาะสม สื่อสารให้ ครอบครัวรู้สึกว่าบุคลากรทางการแพทย์มีความเข้าใจอย่างแท้จริง มีความจริงใจ หลีกเลี่ยงการ บรรยายถึงการเข้าสู่ระยะสุดท้ายของชีวิต เมื่อแพทย์ให้การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยอยู่ในระยะสุดท้าย พยาบาลจะนัดญาติมาพบแพทยแ์ ละดำเนินการ ดงั น้ี 1) แพทย์เปน็ ผใู้ ห้ข้อมูลแกญ่ าติ โดยมีพยาบาลรว่ มอยู่ดว้ ย เม่อื ประเมนิ วา่ ผูป้ ่วยมีความ พร้อมในการรับทราบเกีย่ วกับชีวติ และความตายของตนเอง แพทย์จะบอกทั้งผ้ปู ่วยและญาติ โดย เลอื กบุคคลที่ใกล้ชดิ หรือรบั ผิดชอบผู้ป่วยหรือเป็นบุคคลที่ครอบครวั เลอื ก ผ้ปู ่วยและ/หรอื ญาติ จะ รว่ มกันตัดสินใจในการรกั ษาพยาบาล 399
2) พยาบาลจะเป็นผใู้ ห้ข้อมูลเพมิ่ เติมหากผปู้ ว่ ยหรอื ญาตมิ ขี ้อสงสยั และช่วย ประคับประคองจิตใจของผ้ปู ่วยและญาติ 3) เปิดโอกาสให้ญาตซิ ักถามอาการตา่ งๆ หรือปรึกษาได้ตลอดเวลา รวมท้ังให้สทิ ธิ์ผู้ป่วย หรือญาติ เลือกวิธกี ารรักษา หรือจะขอกลับบ้าน 4) บอกอาการเปลีย่ นแปลงของผู้ป่วยใหญ้ าตทิ ราบเปน็ ระยะๆ 5) ตอบสนองความตอ้ งการของผู้ปว่ ย 15.2.2 การดแู ลรกั ษาแบบประคบั ประคอง (Palliative care) การดูแลแบบประคับประคองนั้นมีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบันเนื่องจากลักษณะความ เจ็บปว่ ยในปจั จบุ นั เปล่ยี นแปลงไปจากเดิม การเจบ็ ป่วยเรอื้ รังมากขึน้ รวมทัง้ วิทยาการทางการแพทย์ ที่มีความทันสมัยมากขึ้น การรักษาเพื่อการยื้อความตายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจไม่ตรงต่อความต้องการ ของผูป้ ว่ ย เกิดความทุกขท์ รมาน ความมีศักดิ์ศรีและคุณค่าลดลง ปัจจุบนั จึงมีการพัฒนาแนวทางการ ดูแลแบบประคับประคองเพอ่ื สง่ เสริมให้เกิดการเสียชีวติ อยา่ งสงบหรือการตายดี (good dead) ความหมายการดูแลรกั ษาแบบประคบั ประคอง องค์การอนามัยโลกไดใ้ ห้คำจำกัดความดังน้ี “ วิธีการดูแลทเ่ี ปน็ การเพ่ิมคุณภาพชีวติ ของผู้ป่วยท่ีปว่ ยด้วยโรคทีค่ ุกคามชีวติ โดยให้การป้องกันและ บรรเทาความทุกข์ทรมานต่าง ๆ ทีเ่ กิดขน้ึ กับผปู้ ว่ ยและครอบครวั ดว้ ยการเขา้ ไปดูแลปัญหาสุขภาพท่ี เกิดขึ้นตั้งแต่ในระยะแรก ๆของโรค รวมทั้งทำการประเมินปัญหาสุขภาพทั้งทางด้านกาย ใจ ปัญญา และสังคม อยา่ งละเอียดครบถ้วน ”(อ้างใน กิตติพล นาควิโรจน์ และ ดารนิ จตุรภัทรพร, 2560) ดงั น้ี การดูแลประคับประคองจึงเป็นการดูแลที่เน้นให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีความทุกข์ ทรมานนอ้ ยท่สี ุด การดูแลแบบประคับประคองผู้ที่มีบทบาทสำคัญ นอกเหนือจากแพทย์ พยาบาลบุคลากร ทางการแพทย์แล้ว ยังต้องมีความร่วมมือจากญาติผู้ป่วย ซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้การ ดแู ลแบบประคบั ประคองประสบผลสำเรจ็ วธิ กี ารดูแลแบบประคบั ประคองมหี ลกั การสำคญั ดังน้ี 15.2.2.1 การดูแลความสะอาดและความสขุ สบายทว่ั ไป การดูแลความสะอาดและความสุขสบายทั่วไป เพื่อเป็นการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อ โรค การล้างมือก่อนและหลังการสัมผัสผู้ป่วย ผู้ดูแลควรตัดเล็บให้สั้น การทิ้งขยะอย่างถูกต้อง เหมาะสม ใช้ถุงมือเมื่อต้องสัมผัสสารคัดหลั่งจากตัวผู้ป่วย หากผู้ดูแลมีอาการหวัด คัดจมูก ควรสวม หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปยังผู้ป่วย การเตรียมอาหารให้ผู้ป่วยต้อง สะอาด ปรุงสุก ทำความสะอาดภาชนะบรรจุอาหารให้สะอาด และหลีกเลี่ยงการนำสัตว์เลี้ยงมาใกล้ ผูป้ ่วย ยกเว้น กรณีที่สัตว์เลี้ยงนนั้ มีคุณค่าทางจติ ใจตอ่ ผูป้ ่วย 400
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 582
Pages: