àËÁǵÊٵà พนจากบาปอยางเด็ดขาดดว ยสมจุ เฉทวริ ตั ิ หากบุคคลใดมิไดเจริญสัมมากัมมันตะอยางครบถวนบริบูรณ แลว เขาไมอาจจะวางใจไดแมจะสมาทานสิกขาบทวา อทินฺนาทานา วิรมณิสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ (ขาพเจาขอสมาทานสิกขาบทท่ีงดเวนจาก การลักทรัพย) เพราะเขาอาจลักขโมยไดหากมีโอกาส ซึ่งเขาไมอาจจะ ตา นทานตอ สงิ่ เยา ยวนนนั้ ได ตวั อยา งเชน ไดย นิ วา เมอ่ื คราวกองทพั ของ อังกฤษอพยพออกไป และกอ นหนา ทกี่ องทัพญ่ปี นุ จะเขามาในประเทศ นี้ เปนเวลาท่ีการปกครองขาดชวงไประยะหนึ่ง ชาวเมืองสวนใหญตาง หลบหนีไปจากบานของตน ทําใหชาวชนบทไดพากันกรูเขาเมืองเพ่ือ ลกั ขโมยขา วของเครอ่ื งใชแ ละทรพั ยส นิ ตา งๆ บางคนขนตใู บใหญน าํ กลบั ไปไวใ นกระตอ บ แตต ใู หญก วา กระตอ บ จงึ ตอ งวางไวห นา บา น ทาํ ใหเ ปน ภาพท่ไี มนาดูอยา งยิง่ ๖๖
àËÁǵÊٵà พวกหัวขโมยเหลานี้คงเปนคนที่รักษาศีล ๕ เปนปกติอยูแลว แตเมื่อโอกาสอํานวยใหเพราะไมมีคนปกครอง พวกเขาก็จะทําการ ลกั ขโมยตามใจ ศีลของเขากข็ าดทนั ที เหตทุ ีเ่ ปนเชนนี้ก็เพราะการขาด สมจุ เฉทวริ ตั ิ แตถ า ไดบ รรลธุ รรมเปน พระโสดาบนั แลว กจ็ ะบรบิ รู ณด ว ย สมุจเฉทวิรัติ เขาจะปลอดจากทุจริตท้ังหมดอยางเด็ดขาด สําหรับ พระพุทธเจาแลวไดทรงเจริญสัมมากัมมันตะโดยครบถวนบริบูรณแลว พระองคจ งึ หมดจดจากบาปตา งๆ ทางกาย คอื การลกั ทรพั ยห รอื การฆา สตั วเปน ตน (ในเรื่องน้ีไดก ลาวถึงการลกั ทรพั ยก อ นการฆา สัตวตามหลัก ฉันทลักษณ เพ่ือใหคําในคาถาตองคณะฉันทตามคัมภีรฉันทศาสตร น่นั เอง) ๖๗
àËÁǵÊٵà คนเหน็ ใจผูอ ืน่ ไมอ าจลักทรพั ยไ ด การลักขโมยทรัพยสินของผูอ่ืนน้ันเปนการกระทําของคนต่ําชา เลวทรามที่ขาดความรูสึกเห็นอกเห็นใจผูอื่น คนท่ีรูสึกเห็นใจคนอื่น อยางนีว้ า “เราไมช อบทจ่ี ะถูกลกั ทรัพยดวยการแอบถอื เอาหรือปลน ชงิ แมค นอนื่ กไ็ มช อบใจเชน กนั ” แมจ ะมไิ ดส มาทานรกั ษาศลี กไ็ มค ดิ อยากท่ี จะลักขโมย การหลกี เลีย่ งการกระทาํ เชนนี้โดยมิไดสมาทานศีล เรยี กวา สมั ปต ตวริ ตั ิ สว นการหลกี เลย่ี งหลงั จากการรบั ศลี แลว เรยี กวา สมาทาน- วริ ตั ิ ครูสอนศาสนาเชนคนหน่ึงกลาวถึงการลักขโมยวา “ทรัพยสิน ของบุคคลหนึ่งๆ คือชีวิตภายนอกของเขา การลักขโมยก็คือการ ลักเอาชีวิตของเจาของทรัพยไป ดังนั้น จึงไมควรลักขโมยทรัพยสิน ของคนอน่ื ” คาํ พดู เชน นแ้ี มจ ะไมเ ปน ความจรงิ เสยี ทเี ดยี ว กฟ็ ง ดมู เี หตผุ ล อยบู าง ๖๘
àËÁǵÊٵà ครูสอนศาสนาเชนนั้นหมายความวา การฆาเปนการเอาชีวิต ของอกี คนหนงึ่ ฉนั ใด การลกั ขโมยกเ็ ปน อกี รปู แบบหนงึ่ ของการเอาชวี ติ ฉนั นน้ั เพราะทรพั ยส นิ ของเขากอ ใหเ กดิ ชวี ติ ภายนอกกาย เนอ่ื งจากเขา ตอ งอาศยั ทรพั ยส นิ นนั้ เพอ่ื การมชี วี ติ อยู บางคนแสวงหาไดท รพั ยม าดว ย การขยนั หมน่ั เพยี รทาํ งานหนกั และประหยดั สะสมเสยี ดายทจี่ ะกนิ จะใช เอง บางคนตายไปโดยมิไดใชทรัพยข องเขาเลย ดังนั้น ทรพั ยข องเขาก็ เปนสวนหนึ่งของชีวิต บางคนเกือบเสียชีวิตจากความโศกเศราเสียใจ เพราะสญู เสยี ทรพั ยส นิ ของตนไป นน่ั คอื สาเหตทุ เี่ จา ลทั ธเิ ชนนน้ั กลา ววา ทรัพยสินเปนชีวิตภายนอกของบุคคลใดบุคคลหน่ึง การพูดเชนน้ีฟงดูมี เหตผุ ลโดยออมเชนเดยี วกัน ๖๙
àËÁǵÊٵà พน จากการลกั ทรัพยช ั่วขณะดวยวิปส สนา แมบางคนยังไมปลอดจากความโลภ เขาก็ควรละเวนจากการ ลกั ทรพั ยด ว ยความเหน็ อกเหน็ ใจหรอื ดว ยการรกั ษาศลี ผปู ฏบิ ตั ทิ ก่ี าํ หนด รูรูปนามในปจจุบันขณะจัดวาไดทําการหลีกเลี่ยงจากทุจริตมีการ ลักทรัพยเปนตนใหสําเร็จไดในทุกขณะที่กําหนดรูอยู คือ ผูที่กําหนดรู รูปนามปจจุบันในทุกขณะท่ีเห็น ไดยิน ฯลฯ แลวหยั่งเห็นวาเปนเพียง สภาวธรรมทีไ่ มเ ที่ยง เพราะเกิดข้นึ แลว ดบั ไปทันที เปนทุกขทถ่ี ูกบีบคัน้ ดว ยความเกิดดบั และเปนอนัตตาทเี่ กดิ ดับตามสภาวะของตน ไมอยูใน การควบคมุ ของผใู ด ยอ มปลอดจากจติ ทต่ี อ งการจะลกั ทรพั ยห รอื ฆา สตั ว มพิ กั ตอ งกลา วถงึ การลงมอื ทาํ เลย ดงั นนั้ ผปู ฏบิ ตั ทิ รี่ ะลกึ รรู ปู นามในทกุ ๆ ขณะที่เจริญสติกําหนดรูอยู นับวาไดทําวิรัติคือการงดเวนจากทุจริตให สาํ เร็จไดต ามปกติ ๗๐
àËÁǵÊٵà พน จากการลกั ทรพั ยโ ดยเด็ดขาดดวยอริยมรรค เม่ือวิปสสนาญาณแกกลาแลว ผูปฏิบัติไดรูเห็นการดับของรูป นามทั้งหมดดวยอริยมรรค ในขณะน้ันความคิดอยากจะทําทุจริตตางๆ ยอมไมเกดิ ขึ้น น่ันคอื การที่วริ ตั ไิ ดขุดรากถอนโคนทุจริตความชัว่ ทั้งปวง ดวยสมุจเฉทปหานคอื การกาํ จัดอยา งสน้ิ เชงิ นีเ้ รียกวา สมจุ เฉทวิรตั ิ คือ การงดเวน โดยเด็ดขาด พระพทุ ธเจา ทรงกาํ จดั ทุจริตทุกอยา งดวยวิรัติที่ เกดิ รว มกับอริยมรรค การกาํ จัดดังกลา วนเี้ กิดข้ึนไมเ ฉพาะเมอ่ื บคุ คลได เขาถึงมรรคญาณข้ันสูงเทานั้น แมกระทั่งขั้นตํ่าลงมา เมื่อเขาไดบรรลุ ธรรมเปน โสดาบนั การกระทําช่ัวทั้งปวงตามทกี่ าํ หนดไวในศลี ๕ น้นั ได ถกู ขุดรากถอนโคนไปจนหมดส้ิน ดงั นน้ั ในธมั มาทาสสตู รจงึ กลา ววา โสดาบนั เปน ผปู ระกอบดว ย ศรทั ธาเลอ่ื มใสอยา งมน่ั คงในคณุ ธรรมของพระพทุ ธเจา ฉะนั้น ทา นจงึ มี ความเคารพนับถอื อยา งลกึ ซ้ึงในพระพุทธองค ในทํานองเดียวกนั ทา น มีความเชื่อม่นั ไมหว่นั ไหวตอพระธรรมและพระอริยสงฆ อกี ทัง้ สามารถ รักษาศีลหาไดครบถวนบริบูรณ ซ่ึงเรียกวา อริยกันตะ (ศีลที่พระอริยะ เคารพรัก)๔๓ ๗๑
àËÁǵÊٵà พระโสดาบนั เคารพรกั ศลี ๕ และไมท าํ ผดิ ศลี ตามธรรมชาตขิ อง ตน พวกทา นรกั ษาศลี ไมใ ชเ กรงวา จะมผี อู นื่ คอยตรวจสอบ แตเ ปน เพราะ จติ ของพวกทา นบรสิ ทุ ธต์ิ า งหาก เนอื่ งจากความบรสิ ทุ ธขิ์ องจติ ทาํ ใหก าร รกั ษาศลี สมบรู ณไ ด และไมใ ชเ ฉพาะในชวี ติ นเ้ี ทา นน้ั แตร วมภพในอนาคต ทั้งหมดดวย พวกทานจะไมทําผิดศีลอีกเลย สมมติวาพวกทานอาจไมรู วา ไดบ รรลโุ สดาบนั ในชาตกิ อ นแลว แตใ นชาตนิ ตี้ อ งรวู า จาํ ตอ งรกั ษาศลี ใหค รบถว นไมมมี ลทนิ ในบางครง้ั เราอาจไดพ บกบั คนบางคนทไ่ี มเ คยกระทาํ ชว่ั ใดๆ เชน ฆาสตั ว หรอื ลักทรพั ย ตงั้ แตยงั เปน เด็กเลก็ ๆ เขาไมเ คยไดร ับคําสงั่ สอน จากบดิ ามารดาเลย แตเ ขารไู ดด ว ยตนเองวา อะไรเปน การกระทาํ ชวั่ แลว ละเวน จากสง่ิ นน้ั ๆ รกั ษาศลี ใหบ รสิ ทุ ธต์ิ งั้ แตว ยั เดก็ ทงั้ นอี้ าจจะเปน เพราะ วา เขาไดบรรลคุ ณุ ธรรมวเิ ศษในภพกอนมาแลวกไ็ ด นอกจากน้นั ยงั มี บางคนที่เกิดมาในครอบครัวตางศาสนา กลับสนใจศาสนาพุทธ จึงเดิน ทางมาจากตา งประเทศทหี่ า งไกลเพอ่ื มาปฏบิ ตั ธิ รรม อาจเปน ไปไดว า เขา ไดเ คยฝกปฏบิ ตั พิ ทุ ธธรรมในภพกอน เหตกุ ารณเหลา นน้ี าํ มากลา วไวใ น เรื่องนี้เพื่อใหเปนกรณีศึกษาถึงการอบรมบมบารมีที่อาจติดตามมาจาก ชาติกอ นได พระโสดาบันท่แี ทจ ริงไดเขา สูแนวทางของอรยิ ะแลว ดงั น้ันเขา จึงรกั ษาศลี ๕ อยางเครง ครดั และสามารถขุดรากถอนโคนการกระทาํ ชว่ั ทั้งปวงไดด วยสมุจเฉทปหาน คือ การละไดโ ดยเด็ดขาด แมทา นจะไม หมดจากความโลภและความโกรธไดอ ยา งสนิ้ เชงิ กต็ าม แตค วามโลภและ ๗๒
àËÁǵÊٵà ความโกรธของทานก็ไมมากจนกระท่ังผลักดันใหกระทําบาปตางๆ อัน ขดั ตอ การรกั ษาศลี ๕ ดงั นน้ั แมท า นจะโกรธทถ่ี กู ยงุ เหลอื บ หรอื ตวั เรอื ด กัด ก็ไมคิดจะฆา มัน หากทานอยากไดบ างอยางท่ีอาจเปน ประโยชน ก็ ไมคิดถึงเรื่องการลักขโมยอยางไมเปนธรรม แตอาจจะซื้อหาหรือขอรับ บริจาคในรูปของการกุศลก็ได นี้เปนพฤติกรรมของผูเปนอริยะทั่วไปท่ี สามารถกาํ จดั ความชวั่ มกี ารลกั ทรพั ยเ ปนตนดวยโสดาปต ติมรรค สวนพระพุทธเจาทรงกําจัดการกระทําชั่วไดหมดดวยวิรัติท่ีเกิด รว มกับอริยมรรค ๔ ฉะนั้น จงึ เวน ขาดจากการลกั ขโมยอยางสน้ิ เชงิ ใน ขณะที่พระองคแสดงปฐมเทศนาอยูน้ัน ไดประกาศวาทรงกําจัดการ กระทําชั่วทั้งหมด ดังน้ัน เทพสาตาคิระจึงรับรองอยางอาจหาญวา “พระโคดมไมท รงถือเอาสงิ่ ของทีเ่ จาของมิไดใหจรงิ ” เทพเหมวตะมิไดตั้งคําถามที่เก่ียวกับการไมลักทรัพยช่ัวคราว ดวยการรักษาศีลท่ัวไป แตมุงถามการไมลักทรัพยอยางเด็ดขาดดวย สมุจเฉทปฏิปสสัทธิ (ความสงบอยางเด็ดขาด) เพราะกําจัดทุจริตได ดวยอริยมรรค แมเทพสาตาคิระก็ตอบคําถามโดยรับรองถึงสมุจเฉท- ปฏิปสสัทธิเชนเดียวกัน ท้ังคําถามและคําตอบของเทพท้ังสองตนจึงมี เน้ือหาลมุ ลึกคมั ภีรภาพยิง่ นัก ๗๓
àËÁǵÊٵà ทรงสํารวมในสัตวทงั้ หลายจรงิ ถัดจากน้ันก็เปนคําตอบประการท่ี ๒ ไดแก “พระโคดมทรง สํารวมในสตั วทง้ั หลายจรงิ ” หมายความวา ทรงหมดจดสะอาดจากการ เบียดเบียนสัตวหรอื ฆาสัตว คําตอบนีด้ เู หมอื นไมส อดคลอ งกับคุณธรรม อันสูงสงของพระองค แตถือวาเปนคําถามที่เหมาะสมกับสมัยนั้นซ่ึงมี พระพุทธเจาปลอมจํานวนมาก โดยมีจุดมุงหมายเพ่ือตองการแยกแยะ ระหวางพระพุทธเจาจริงและพระพุทธเจาปลอม อีกทั้งในสมัยน้ันยังมี ผเู ชอ่ื ถอื เรอื่ งพระเจา วา เปน ผสู รา งสรรพสง่ิ ทม่ี ชี วี ติ และสงิ่ ตา งๆ พระเจา ดงั กลา วมกั ลงโทษคนทไี่ มน บั ถอื ตนเองตามทป่ี รากฏในตาํ ราของศาสนา นน้ั ๆ การลงโทษของพระเจา นน้ั ประกอบดว ยการสรา งนา้ํ ทว มและ พายุใหญเพ่ือฆาคน สรางแผนดินไหวรุนแรง และทําลายพืชพันธุ ธัญญาหารเพื่อจุดประสงคเดียวกัน หากเปนดังนั้นจริง พระเจาของ พวกเขาก็ไมพนบาปจากการฆาสัตว คําถามท่ีเทพเหมวตะสอบถาม เกี่ยวกับบาปจากการลักทรัพยและการฆาสัตว จึงเหมาะสมกับ สถานการณในสมัยน้นั ๗๔
àËÁǵÊٵà เราไมช อบใหม ใี ครมาทาํ รายหรอื ฆา เรา ถา เราไปทาํ รา ยหรอื ฆา ผอู นื่ เขายอมไมช อบเชน เดยี วกนั ดังน้นั เมอื่ พิจารณาโดยเอาใจเขามา ใสใจเราเชนนี้ การทํารายหรือฆาผูอื่นจึงเปน ส่งิ ทไ่ี มควรกระทาํ แตค วร หลกี เลย่ี งในทกุ กรณี และควรหลกี เลย่ี งจากการฆา สตั วด ว ยการสมาทาน ศีลขอแรกวา ปาณาติปาตา เวรมณิสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ (ขาพเจาขอ สมาทานสิกขาบทที่งดเวนจากการฆาสัตว) หรือแมจะไมสมาทานศีลก็ หลกี เล่ยี งจากการกระทาํ ชั่วดังกลาวเมอ่ื โอกาสมาถึง การหลกี เล่ยี งโดย มไิ ดส มาทานศลี เรยี กวา สมั ปต ตวริ ตั ิ สว นการหลกี เลย่ี งหลงั จากสมาทาน ศลี แลว เรียกวา สมาทานวิรตั ิ ผูท่ีเจริญวิปสสนาระลึกรูรูปนามปจจุบันทางทวาร ๖ จัดวาได ทาํ การหลกี เลยี่ งจากการฆา สตั วใ หส าํ เรจ็ ได ตอ เมอื่ วปิ ส สนาญาณพฒั นา จนกระทั่งหยัง่ เหน็ พระนพิ พานดว ยอริยมรรค กจ็ ะกําจดั ทุจริตความชั่ว มกี ารฆาสตั วเ ปนตน โดยเด็ดขาด นีเ้ รียกวาสมุจเฉทวริ ตั ิ คอื การงดเวน โดยเด็ดขาด ฉะนนั้ พระโสดาบันจงึ หมดจดจากการฆาสตั วเ ปนตนโดย เด็ดขาดตามปกติ ๗๕
àËÁǵÊٵà บคุ คลที่ยงั ฆาสตั วไ มใชพ ระโสดาบนั ครั้งหนึ่งมีนักเขียนคนหนึ่งไดเขียนบทความลงในวารสารเลม หนึ่งวา “โสดาบนั จะไมฆาผูอ ื่น แตหากผใู ดจะฆา เขา เขาก็จะฆาผทู ี่จะ ทําการน้ัน ไมยอมเปนฝายถูกกระทําแนนอน” นักเขียนคนน้ันกลาว เชน นเี้ พอ่ื ตอ งการจะโออ วดวา ตนไดท าํ การวจิ ยั ถงึ ธรรมชาตขิ องจติ มนษุ ย มานาน นับเปนเรื่องท่ีนาขบขันมาก ผูบรรยายเพียงแตสงสัยวา เขา ทําการวิจัยจิตของใคร เขาไมอาจรูจิตของคนอื่นแลวจะทําการวิจัยจิต ของคนอื่นไดอยางไร อีกทั้งทําการวิจัยจิตของพระโสดาบันคนไหน ผบู รรยายเขาใจวาเขาคงจะวิจยั จติ ของตวั เองมากกวา และคงจะทึกทัก เอาเองวา ตนเปนพระโสดาบันกระมัง เขาคงถามตนเองวา ถาเราถูกคน อื่นมาทํารายและมีอาวุธท่ีดีพรอมที่จะตอสูตอบโตเพ่ือปองกันตนเอง ก็ตองโจมตีผูบุกรุกกอน สรุปความวาเขาตั้งสมมุติฐานวาตนเองเปน พระโสดาบนั และมีจิตทคี่ ดิ จะทํารายศัตรู จึงตดั สนิ วาพระโสดาบันอาจ ฆาสัตวได การพดู เชนนเ้ี ปนส่ิงท่ีนา ขบขนั ยง่ิ ๗๖
àËÁǵÊٵà ความเขาใจวาตนเองอาจฆาสัตวไดนั้นเปนเครื่องพิสูจนวา เขา ไมใชพระโสดาบันจริงๆ ท้ังน้ีเพราะคนที่ยังฆาสัตวไดจัดวาเปนเพียง ปถุ ชุ น ไมใ ชพ ระโสดาบนั แนน อนตามหลกั คาํ สอนของพระพทุ ธเจา พระ โสดาบนั ที่แทจ ริงจะไมฆ า แมแ ตย งุ เหลอื บ หรือแมลงตางๆ ไมต องพดู ถงึ มนษุ ย แมก ระทงั่ จติ หยาบทคี่ ดิ ตอ งการจะทาํ รา ยคนอน่ื กไ็ มเ กดิ ขน้ึ แก พระโสดาบนั ความจรงิ ขอ นเ้ี ปนสิ่งที่เราตองยอมรบั กนั เสียกอ น พระพุทธเจาทรงกําจัดทุจริตความชั่วเชนนั้นดวยวิรัติ ทเี่ กดิ รว มกบั อรยิ มรรค ๔ โดยเดด็ ขาดไมเ หลอื แมแ ตอ นสุ ยั (กเิ ลส ที่นอนเนื่องในกระแสจิต) เรื่องนี้มีกลาวไวในธรรมจักร๔๔ ดังน้ัน เทพสาตาคริ ะจงึ รบั รองวา “พระโคดมทรงสาํ รวมในสตั วท ง้ั หลาย จรงิ ” ๗๗
àËÁǵÊٵà ทรงหา งไกลจากความหลงเพลินจรงิ ถดั จากนน้ั เปน คาํ ตอบที่ ๓ คอื “พระโคดมทรงหา งไกลจากความ หลงเพลินจรงิ ” หมายความวา ความประมาทเผอเรอทางโลกนั้นเปน ที่ รกู นั ดอี ยแู ลว เราอาจหลงลมื ทาํ บางอยา ง ลมื ชอื่ คนหรอื อยา งอนื่ ได หรอื อาจหมดสติเน่ืองจากตกจากที่สูง จมนํ้า หรือถูกโรคบีบคั้น แตความ หลงเพลนิ ในเรื่องนไี้ มใชเ ปนเชนนั้น ความหลงเพลนิ ในท่นี ้หี มายถงึ การ ปลอ ยจติ ใหห ลงสคู วามรนื่ รมยท างกามคณุ ๕ คอื รปู เสยี ง กลนิ่ รส และ สมั ผสั การปลอยจติ ไปสูกามคุณเชนน้จี ดั วา เปน ความหลงเพลิน๔๕ ขอ นเี้ หมอื นการคลายเชอื กทผ่ี กู ววั ไวแ ลว ปลอ ยใหม นั เดนิ ไปทว่ั ๆ เที่ยวและเล็มหญาในที่ท่ีมันชอบ หากจิตของเราถูกปลอยใหไปรื่นรมย กามคุณอยางนี้ ก็เรียกวา ความหลงเพลิน จัดวาเปนการหลงลืม อยา งใหญห ลวง คนทวั่ ไปพงึ พอใจกบั การหลงลมื เชน นใี้ นขณะเดนิ ไปมา กนิ ดมื่ พดู คยุ หัวเราะ ราเริงยินดี จึงช่ืนชมความงามของหญงิ หรอื ชาย ความไพเราะของเสยี ง ความหอมของกลนิ่ ความอรอ ยของรส และความ ดเี ลศิ ของสมั ผสั อกี ทั้งคิดถึงของใชด ๆี ในชีวติ ก็รสู กึ เพลดิ เพลนิ แมเรา ไมส ามารถจะมไี ดจ รงิ ๆ เพยี งแคค ดิ ถงึ สงิ่ ทช่ี อบใจกเ็ ปน ความสขุ ประการ หนง่ึ ๗๘
àËÁǵÊٵà ตลอดเวลาที่ต่ืนอยูเรามักคิดถึงส่ิงที่นาพอใจเหลาน้ัน และ หาทางจดั การเพื่อชนื่ ชมสิง่ เหลา นนั้ เราทาํ เชนน้นั มใิ ชเพยี งเพื่อวนั เดียว อาจเปนหนึ่งเดือนหรือหน่ึงปก็ได แตความจริงก็คือเราทําอยางนี้ตลอด ชีวติ หากเราไมม ีโอกาสคิดถึงส่ิงทน่ี าพอใจเหลา นั้น กจ็ ะรูสึกเบ่อื หนาย ไมสนุกสนาน ถาไมมีอารมณท่ีนาพอใจใหคิดถึงและจัดการเพื่อใหได มาแลว คนทวั่ ไปคงไมอ ยากอยูในโลกนท้ี เี ดียว การหลงเพลินไปกับความร่ืนรมยในกามคุณทั้งหลายจัดวาเปน ความประมาทในทางพระศาสนา ในบรรดาความรื่นรมยท้ังหลายนั้น การรน่ื รมยท างเพศถอื วา เปน หวั ขอ สาํ คญั ทผ่ี ถู ามตอ งการจะถาม ฉะนน้ั เทพเหมวตะจงึ ถามสหายของเขาวา พระบรมครขู องเขาหมดจดจากการ รวมประเวณีหรือไม โดยใชคําถามที่สุภาพวาพระองคทรงหางไกลจาก ความหลงเพลนิ จรงิ หรอื ไม เทพสาตาคริ ะใหค าํ ตอบทแี่ นช ดั วา พระบรม- ครขู องเราทรงหมดจดจากเรอื่ งดงั กลา วโดยเดด็ ขาด การหลงเพลินในเรื่องนี้อาจหมายความถึงความประมาททุก ประการอีกดวย กลาวคือ พระพุทธเจาทรงหางไกลจากความประมาท ในการปลอยจิตไปสทู จุ ริตทางกาย ๓ และการปลอยจิตไปสูก ามคุณ ๕ ดงั นนั้ จงึ มไิ ดท รงหา งไกลจากการรว มประเวณที เี่ ปน สมั ผสั ทางกายเทา นนั้ แตย ังหา งไกลจากกามคณุ ๕ ท้ังหมด นอกจากนน้ั ยงั ทรงหา งไกลจาก ความประมาทท่ีเรียกวาการไมเจริญสติปฏฐานเปนตนอีกดวย ดัง ขอความที่เทพสาตาคิระจะกลาวตอไปวา “พระองคตรัสรูแลว ไมทรง ละทิ้งฌานจริง” ๗๙
àËÁǵÊٵà ฌานมี ๒ ประเภท คอื สมถฌาน และวิปส สนาฌาน อยา งแรก เปนการเพงนิมิตอารมณมีวงกสิณเปนตน อยางหลังเปนการเพงไตร- ลักษณ คอื ความไมเ ท่ยี ง ความเปน ทกุ ข และความไมใ ชตวั ตนของรูป นามทงั้ ปวง๔๖ สมถฌาน การเพงจิตใหมีอารมณเดียวดวยการจดจอวงกสิณเปนตนแลว บริกรรมวา ปฐวี ปฐวี (ดินๆ) มีประโยชนเ พือ่ ใหจิตตงั้ มนั่ เทา นนั้ เมือ่ จติ ตั้งม่ันในอารมณเดียวเชนน้ี นิวรณท่ีรบกวนจิตอันไดแกกามฉันทะ คือ ความพอใจส่ิงที่นาเพลิดเพลินยินดี เปนตน ยอมไมมีโอกาสเกิดข้ึน ผูปฏบิ ัติสามารถขม นวิ รณแลว ไดบ รรลุฌาน ๔ คอื ปฐมฌาน ทตุ ิยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน หลังจากน้ันก็เพิกกสิณอารมณแลวปฏิบัติ ตอไปกจ็ ะไดบรรลอุ รูปฌาน ๔ บางคนใชฌานเปนพื้นฐานฝกปฏิบัติตอไปก็จะไดรับคุณวิเศษ บางอยา ง เชน หูทิพย ตาทพิ ย รใู จคนอืน่ ระลกึ ถงึ ชาตกิ อน นอกจากนั้น บางคนเจริญกรรมฐานดวยการตามรูลมหายใจ (อานาปานะ) หรือ พจิ ารณาอาการ ๓๒ (โกฏฐาสะ) จนไดบ รรลฌุ าน แลว อาศัยฌานเปน พ้ืนฐานเจริญวปิ สสนาตอไป ก็อาจบรรลวุ ปิ ส สนาญาณ มรรคญาณ และ ผลญานไดอ กี ดวย จงึ ไมควรดหู มนิ่ สมถฌานเหลา นี้ สรปุ ความวา รปู ฌานและอรูปฌานเหลานีท้ าํ ใหจ ติ สงบเทานั้น ไมอ าจรเู หน็ รปู นามตามความเปน จรงิ และไมอ าจหยง่ั เหน็ ไตรลกั ษณข อง ๘๐
àËÁǵÊٵà รูปนามได เพราะมิไดระลึกรูรูปนามในปจจุบันขณะตามความเปนจริง จึงมีประโยชนเพ่ือใหจิตตั้งม่ันไดช่ัวขณะเทาน้ัน เหมือนใชหินทับหญา ไวชั่วคราวนั่นเอง วปิ สสนาฌาน การเพงจิตจดจอไตรลักษณ คือ ความไมเท่ียง เปนทุกข และ ไมใชตวั ตนของรูปนาม จดั เปน วปิ ส สนาฌาน แตเราไมอาจจะเร่ิมปฏิบตั ิ ดว ยการรเู ห็นไตรลกั ษณได จงึ ตอ งเริ่มดว ยการเจริญสติระลกึ รสู ภาวะที่ มีจริงของรูปนามท่ีปรากฏในปจจุบันขณะทางทวาร ๖ ตามวิธีปฏิบัติท่ี ตรสั ไวในมหาสติปฏฐานสูตรวา คจฉฺ นโฺ ต วา คจฉฺ ามีติ ปชานาติ๔๗ (เม่ือ เดนิ ยอ มรชู ดั วา เดนิ อย)ู เปน ตน ดงั นน้ั ในสาํ นกั นจ้ี งึ สอนใหผ ปู ฏบิ ตั เิ จรญิ สตดิ วยการกาํ หนดวา เดนิ หนอ ยกหนอ ยางหนอ เหยยี บหนอ นั่งหนอ นอนหนอ คูห นอ เหยียดหนอ พองหนอ ยบุ หนอ เหน็ หนอ ไดยนิ หนอ เปนตน หลังจากผูปฏิบัติรูเห็นสภาวะท่ีมีจริงของรูปนามท่ีกําลังเกิดข้ึน อยางน้ี ยอมหยงั่ เห็นสภาวะท่กี าํ ลังเกดิ ขน้ึ ใหมๆ และหย่ังเห็นวาสภาวะ นัน้ หมดสิ้นไปทนั ทอี ยเู สมอ จึงเขาใจวารูปนามไมเที่ยง นค้ี อื ความเขาใจ อนจิ จลกั ษณะ ตอ จากนน้ั จะหยงั่ เหน็ วา รปู นามทถี่ กู ความเกดิ ดบั บบี คน้ั อยนู นั้ เปน ทกุ ขล ว นๆ นคี้ อื ความเขา ใจทกุ ขลกั ษณะ แลว ผปู ฏบิ ตั จิ ะรเู หน็ วา รปู นามเกดิ ดบั ตามธรรมชาตขิ องมนั ไมเ ปน ไปตามความตอ งการของ เรา ไมมใี ครบังคับใหอ ยูในอํานาจได นคี้ อื ความเขา ใจอนตั ตลักษณะ ๘๑
àËÁǵÊٵà ความเขา ใจเชน นเ้ี รม่ิ เกดิ ขน้ึ ตง้ั แตส มั มสนญาณ (ปญ ญาพจิ ารณา รปู นาม) เปน ตน ไป ในระยะสมั มสนญาณดงั กลา ว ผปู ฏบิ ตั ยิ งั ตอ งแสวงหา รูปนามมาเปนอารมณที่ควรกําหนด และตองเคลาคลึงอารมณซ้ําแลว ซาํ้ เลา ปต แิ ละสขุ เกดิ ขน้ึ พอสมควร อกี ทงั้ สมาธทิ ที่ าํ ใหจ ติ ตงั้ มน่ั มอี ารมณ เดียว (เอกัคคตา) ก็ปรากฏเหมือนวิ่งไปแนบชิดกับรูปนามที่รับรูอยู ดังนนั้ สัมมสนญาณน้ีจงึ เสมอกบั ปฐมฌานทีม่ อี งคฌาน ๕ ตอเม่ือไดบรรลุอุทยัพพยญาณ (ปญญาหย่ังเห็นความเกิดดับ) แลว ผปู ฏบิ ตั ไิ มจําเปน ตองแสวงหารูปนามมาเปนอารมณทค่ี วรกาํ หนด เพราะอารมณมกั ปรากฏชดั เจนขึ้นเองตอๆ มาโดยไมต องตัง้ ใจแสวงหา ผูปฏิบัติเพียงรับรูรูปนามทุกอยางท่ีเกิดขึ้นอยางชัดเจนในปจจุบันขณะ เทาน้ัน และไมตองเคลาคลึงอารมณซํ้าแลวซ้ําเลา ดังนั้น ในระยะน้ีจึง ไมมีวิตกและวจิ าร มีเพยี งปต แิ ละสขุ ท่มี ีกาํ ลังแกกลา ดงั นั้น อุทยัพพย- ญาณระดบั ออ นจงึ เสมอกับทุติยฌานที่มีองคฌ าน ๓ หลงั จากนน้ั เมอ่ื ไดบ รรลอุ ทุ ยพั พยญาณระดบั แกก ลา วปิ ส สนปู - กเิ ลส (สิ่งทท่ี ําใหวปิ สสนาเศรา หมอง) มีแสงสวา งและปต ิเปนตน มักหาย ไป มีเพียงสุขและสมาธิปรากฏชัดเจน ระยะน้ีจึงเสมอกับตติยฌานที่มี องคฌาน ๒ คอื สขุ และเอกัคคตา สวนตัง้ แตภ งั คญาณ (ปญ ญาหยั่งเห็น ความดับ) เปนตนไป ผูปฏิบัติยอมหย่ังเห็นความดับไปอยางรวดเร็ว ของรปู นาม แมก ระทงั่ สขุ กไ็ มป รากฏชดั เจนในระยะเหลา นี้ จงึ จดั วา เสมอ กับจตุตถฌานที่มีองคฌาน ๒ คือ อุเบกขา และเอกัคคตา โดยเฉพาะ อยางยิ่ง อุเบกขาและเอกัคคตาเหลานี้ปรากฏชัดเจนในขณะบรรลุ ๘๒
àËÁǵÊٵà สังขารุเปกขาญาณ (ปญญาวางเฉยสังขาร) ผูปฏิบัติที่กาวหนาถึงข้ันนี้ ยอ มเห็นประจกั ษดวยตนเอง นอกจากน้ี แมมรรคผลก็เรียกวา ฌาน เพราะเพงลักษณะท่ี แทจ รงิ ของพระนิพพาน ดงั ที่กลา วไวในคัมภีรอ รรถกถา๔๘ จะเห็นไดวา ขอ ความทเ่ี ทพสาตาคริ ะกลา ววา พระพทุ ธเจา ไมท รงละทง้ิ ฌาน เกย่ี วกบั ฌานทัง้ หมดทก่ี ลาวมานี้ ๘๓
àËÁǵÊٵà ทรงเขา ฌานเม่อื ผูฟง กลาวคาํ วา สาธุ พระพทุ ธเจาทรงอยใู นฌานอยางสมํ่าเสมอ ดว ยเหตนุ ี้ พระองค จงึ ทรงเปน ทนี่ า เคารพนบั ถอื ขณะทฟี่ ง พระธรรมเทศนา ผฟู ง ทเ่ี กดิ ความ ปติยนิ ดจี ะเปลง เสยี งสาธุการวา สาธุ สาธุ สาธุ (ดีเยี่ยมๆๆ) พระองคจะ ทรงเขาผลญานที่เรียกวา ผลสมาบัติ ในขณะน้ันแมกระทั่งช่ัวเวลาพัก สนั้ ๆ กต็ าม ถดั จากนนั้ พระองคจ ะกลบั มาแสดงธรรมตอ ไป การเขา ฌาน อยา งสมา่ํ เสมอเชนนเ้ี ปนที่นา อัศจรรยย ง่ิ นัก สาธกุ ารของชาวเมยี นมารแ ละชาวสิงหล ผูฟงมีหลายโอกาสที่จะกลาวสาธุการไดบางคร้ังระหวางการ บรรยายธรรมของผูบรรยายแตม ีเพียงเลก็ นอ ย ในประเทศเมยี นมารถอื เปนเร่ืองปกติของผูฟงจะกลาวสาธุการเม่ือผูแสดงธรรมแปลคําบาลีจบ ลงดว ยนาํ้ เสยี งทล่ี ากยาวลงทา ยดว ยคาํ วา ตะดี (ภาษาไทยใชเ ปน เทอญ) ผฟู ง จะกลา วพรอ มกนั โดยไมล งั เลวา สาธุ พวกเขาไมส นใจวา คาํ เทศนน นั้ ถูกตองและดีอยางไร ตรงกับเรื่องหรือไม พวกเขาเพียงแตกําหนด คําลงทา ยดังกลา ว แลว เปลง เสียงออกมาวา สาธุ ๘๔
àËÁǵÊٵà ตัวอยางเชน ในเวสสันดรชาดก พระเจาเวสสันดรไดประทาน โอรสและธิดาที่มีอายุเพียงส่ีหาขวบใหแกพราหมณชูชก คําบาลีท่ี เก่ียวของบรรยายการกระทําอันทารุณโหดรายของพราหมณชูชกตอ เด็กทั้งสอง โดยกลาวถึงการท่ีชูชกทุบตีอยางโหดรายทารุณ แลวฉุด กระชากลากถูไปตลอดทาง เม่ือพระนักเทศนแปลคําบาลีเปนภาษา เมยี นมาร จบลงดวยคําสาํ นวนของทา นเองดวยคําวา ตะดี (เทอญ) ผฟู ง กเ็ ปลง เสยี งเปน ปกตวิ า สาธุ นค้ี อื สว นของเรอื่ งเวสสนั ดรชาดกทเี่ รยี กรอ ง ความเห็นอกเห็นใจและความเศราจากผูฟง แมจะไมใชเรื่องดีงามและ คําวา สาธุ ก็ดูผิดท่ีผิดทาง แตในประเทศเมียนมารนี้ผูฟงมักไมสนใจที่ จะแยกแยะการใชค ําดงั กลาว แตส าํ หรบั ในประเทศศรลี งั กา ผฟู ง ชาวสงิ หลมกั เปลง สาธกุ าร ๓ ครั้งเฉพาะสวนของคําเทศนท่ีเกี่ยวกับการเปนพระอรหันตหรือไดบรรลุ นพิ พาน เปน ตน เพราะถอื เปน โอกาสของการแสดงความปลม้ื ใจ การกลา ว สาธกุ ารตามธรรมเนียมของชาวสิงหลในลักษณะน้ถี ือวา เหมาะสมยง่ิ ผูฟงธรรมในสมัยพุทธกาลคงจะกลาวสาธุการในเวลาไดยิน ขอ ความทป่ี ระทบั ใจเหมอื นชาวสงิ หล ในขณะทผ่ี ฟู ง กลา วสาธกุ ารอยนู น้ั พระพทุ ธเจา จะหยดุ แสดงธรรม เพราะถา แสดงธรรมในตอนนนั้ อาจทาํ ให ผฟู ง ทกุ คนไมไ ดย นิ ชดั เจน อยา งไรกต็ าม ในชว งพกั หยดุ สน้ั ๆ นี้ พระพทุ ธ- องคกท็ รงเขาผลสมาบัติทนั ที หลงั จากนนั้ จงึ ออกจากผลสมาบตั เิ มือ่ สน้ิ สุดเสียงสาธุการ แลวเริ่มแสดงธรรมตอจากขอความที่คางไว นับไดวา นา เลื่อมใสยิง่ นัก ๘๕
àËÁǵÊٵà ในปจจุบันพระธรรมกถึกท่ีสามารถเขาผลสมาบัติได คงหาได ยาก แมบางรปู จะเขา สมาบตั ไิ ดก ค็ งไมอ าจเขาไดภ ายในเวลาส้นั มากทม่ี ี เสยี งสาธุการ ๓ คร้งั สว นใหญใ นชวงนน้ั พระนักเทศนม ักพักการใชเสยี ง ชว่ั ขณะ หรอื คิดถงึ เรอ่ื งท่ีกําลังจะเทศนต อไป พระพทุ ธเจา มไิ ดค ดิ ลว งหนา ถงึ เรอ่ื งทจ่ี ะเทศน พระองคส ามารถ เทศนไดดวยการพิจารณาเร่ืองที่กําลังจะเทศนอยูน้ัน ท้ังนี้เพราะญาณ ของพระองคเนื่องดวยการพจิ ารณา๔๙ หมายความวา ทรงรูเหน็ ทกุ เร่อื ง ราวในทุกขณะท่ีทรงพิจารณา ไมมีสิ่งใดท่ีไมอาจพิจารณารูได ดังนั้น พระองคจึงสามารถเทศนตอไดหลังจากออกจากผลสมาบัติ การท่ี พระองคไมทรงอยูเฉย และเขาผลสมาบัติแมในระยะเวลาส้ันเพียงชั่ว เวลาที่ผูฟงกลาวสาธุการเทานั้น เปนตัวอยางแสดงใหเห็นถึงการท่ี พระองคไมละทิง้ ฌาน ยิ่งกวานั้น ทุกวันพระพุทธเจาทรงตรวจดูเหลาสัตวดวยความ สงสารแลวเขามหากรุณาสมาบัติ ๑๒ แสนโกฏิขณะ และทรงเขา อรหัตตผลสมาบัติอีก ๑๒ แสนโกฏิขณะ รวมท้ังสองอยางเปนสมาบัติ ๒๔ แสนโกฏขิ ณะ๕๐ ขอ นเ้ี ปน ตวั อยา งอกี เรอื่ งหนง่ึ ของการไมล ะทง้ิ ฌาน ดวยเหตุนั้น เทพสาตาคิระจึงกลาวตอบคําถามของสหายของทานวา พระพุทธเจาทรงรูเห็นธรรมท้ังหมดโดยครบถวนสมบูรณ ไมทรงละทิ้ง ฌานเลย ๘๖
àËÁǵÊٵà โดยเหตุที่พระพุทธเจาทรงรูเห็นธรรมท้ังหมดอยางครบถวน ฉะนน้ั พระองคจ งึ ไมจ าํ เปน ตอ งคดิ ลว งหนา เมอ่ื พระองคจ ะแสดงธรรมก็ ทรงพรอมอยูเสมอ พระองคยังทรงทราบที่จะประเมินความเหมาะสม ของแตละบุคคลวาสมควรจะสอนเร่ืองอะไรสําหรับคนเหลานั้นตาม อนิ ทรยี ท อ่ี อ นหรอื แกก ลา ของผฟู ง ดงั นน้ั พระองคจ งึ ไมต อ งการเวลาเพอ่ื เตรียมตัวเทศนแตอยางใด และทรงใชเวลาในชวงพักเพียงส้ันๆ ระหวาง การแสดงธรรมเพ่ือเขาสมาบัติในขณะท่ีผูฟงกลาวคําสาธุการ พระองค มิทรงอยเู ฉยแมแ ตช ัว่ ขณะเดียว ถา นาํ เรอ่ื งนม้ี าพจิ ารณาแลว เราทง้ั หลายจะรวู า พระองคส มควร ไดร ับความเคารพนับถอื เพียงใด เราจงึ ควรนอมเอาพระพุทธคุณมาเปน อารมณจ นเกดิ ปต ิ เมอื่ ปต เิ กดิ ขน้ึ แลว กค็ วรกาํ หนดรปู ต นิ น้ั จะทาํ ใหร เู หน็ ความเกิดข้ึนแลวดับไปอยางรวดเร็วของปติดวยการปฏิบัติเชนนี้ เมื่อ วปิ ส สนาพฒั นาจนกระท่งั แกกลา แลว ผูฟง ธรรมอาจไดบ รรลอุ รหตั ตผล ตอไป ๘๗
àËÁǵÊٵà การเจรญิ วปิ สสนาฌานดวยความไมป ระมาท การระลึกรูร ูปนามในทุกๆ ขณะทีเ่ หน็ ไดยนิ ฯลฯ จดั เปนความ ไมประมาท นักปฏิบัติใหมท่ีไมอาจรับรูรูปนามทุกอยางที่ปรากฏทาง ทวาร ๖ ได ควรเรมิ่ ปฏบิ ตั ดิ ว ยการกาํ หนดรสู ภาวะตงึ หยอ นของทอ งเปน ลําดบั แรกโดยบริกรรมวา “พองหนอ ยบุ หนอ พองหนอ ยบุ หนอ” การ ระลึกรสู ภาวะของธาตลุ มในลกั ษณะนีเ้ รียกวา กายานุปส สนา คอื การ ตามรกู องรูป แมใ นขณะเหยยี ดหรือคแู ขนและขา ก็กาํ หนดวา “เหยียด หนอ” “คหู นอ” หรอื ถา ผปู ฏบิ ตั ทิ าํ อากปั กริ ยิ าทางกายอยา งใดอยา งหนง่ึ กต็ อ งกาํ หนดรสู ภาวะทกุ อยา งนนั้ อกี ดว ย เพราะสภาวะทางกายทกุ อยา ง ต้ังแตสภาวะพองยุบเปนตนไป เปนส่ิงที่ผูปฏิบัติตองกําหนดรูดวย วปิ ส สนา ไมม สี ภาวะทางกายท่ีผูปฏิบัตไิ มควรกําหนดรู อน่ึง ในขณะกําหนดรูอยางน้ี ถามีความคิดฟุงซานเกิดขึ้น แทรกซอ นเขามาก็ควรกําหนดวา “คดิ หนอ” หรอื “ฟุงหนอ” การระลึก รูจติ ที่เกดิ ข้ึนเชน นเี้ รยี กวา จติ ตานปุ สสนา คอื การตามรจู ติ ถา ความรสู กึ ทนไดย ากทเี่ ปน ความเมอ่ื ย เจบ็ ปวด รอ น หรอื เสยี ด แทง อยา งใดอยา งหนงึ่ เกดิ ขนึ้ ทางกาย ผปู ฏบิ ตั กิ ค็ วรกาํ หนดรสู ภาวะนน้ั วา “เมือ่ ยหนอ” หรือ “รอ นหนอ” เปน ตน การระลกึ รเู วทนาท่ีเกดิ ข้นึ เชน นีเ้ รยี กวา เวทนานปุ สสนา คอื การตามรคู วามรูสึก ๘๘
àËÁǵÊٵà ถาสภาวะเห็นหรือไดยินเปนตนปรากฏชัดเจน ผูปฏิบัติก็ควร กําหนดวา “เห็นหนอ” หรอื “ยินหนอ” เปน ตน การระลกึ รสู ภาวธรรม ท่ีปรากฏชัดเจนทางทวาร ๖ ตามความเปนจริงเชนนี้ เรียกวา ธัมมา- นปุ ส สนา คือ การตามรูสภาวธรรม ถาผปู ฏิบตั ิรูสกึ พอใจ ใหกาํ หนดวา “ชอบหนอ” ถารสู กึ โกรธใหก ําหนดวา “โกรธหนอ” การกําหนดเชนน้ี เปนการตามรูสภาวะของกามฉันทะและพยาปาทะตามความเปนจริง จัดวาเปน ธมั มานุปสสนาเชนเดยี วกัน เมื่อเปนดังนี้จัดวาผูปฏิบัติในสํานักกรรมฐานแหงน้ีไดเจริญสติ ปฏฐาน ๔ คือ กายานุปสสนา เวทนานุปสสนา จิตตานุปสสนา และ ธมั มานปุ ส สนา ตามสมควร การปฏบิ ตั ดิ งั กลา วนจี้ ดั เปน ความไมป ระมาท และเรยี กวา วิปส สนาฌาน ผทู ี่ปฏบิ ัตวิ ปิ ส สนาเชน นย้ี อ มสามารถพฒั นา วิปสสนาญาณย่ิงๆ ขึ้นไปจนกระทั่งไดบรรลุมรรคญาณในท่ีสุดภายใน ชวงเวลานบั วนั หรือนับเดือนเปน ตนไป ๘๙
àËÁǵÊٵà ในบรรดามรรคญาณ ๔ โสดาปตติมรรคสามารถชวยใหบ ุคคลที่ เขาถึงมรรคญาณพัฒนาสติใหมีกําลังย่ิงขึ้น ถาเจริญสติปฏิบัติตอไปก็ จะไดบรรลุสกทาคามิมรรค สติของผูปฏิบัติในระดับน้ีจะมีกําลังย่ิงข้ึน กวาเดิม ตอมาผูปฏิบัติจะบรรลุอนาคามิมรรค สติของทานก็จะมีกําลัง มากข้ึน โดยพระอนาคามีแทบจะไมมีความฟุงซานในใจเลย และเม่ือ ปฏบิ ตั ธิ รรมตอ ไปกไ็ ดบ รรลอุ รหตั ตมรรคญาณเปน พระอรหนั ต ในระดบั น้ีถือวาผูปฏิบัติไดอบรมความไมประมาทโดยสมบูรณ ทานปราศจาก ความประมาทที่หลงลืมสติโดยสิ้นเชิง และสามารถระลึกรูรูปนามที่ ปรากฏทางทวาร ๖ ไดตลอดเวลา ดังขอความที่ชมเชยสติและความ รูแจงเห็นจรงิ ของพระอรหนั ตวา ตสสฺ จรโต เจว ติฏ โต จ สตุ ฺตสสฺ จ ชาครสฺส จ สตตํ สมิตํ าณทสฺสนํ ปจฺจปุ ฏติ ํ.๕๑ “ปญญารูเห็นยอมปรากฏแกพระอรหันตน้ันผูเดินอยู ยนื อยู นอนอยู และตนื่ อยอู ยางสมาํ่ เสมอไมขาดชวง” พระอรหันตไมเคยขาดสติในสภาวธรรมทางกายและจิตแมแต ขณะเดียว สติของทานน้ันเปนไปตามธรรมชาติ ทานสามารถหยั่งเห็น รูปนามที่เกิดดับอยางรวดเร็วไดตลอดเวลา การนอนหลับในเรื่องนี้ หมายความวา ทา นมีสตอิ ยจู นกระทัง่ ถึงจุดทีก่ ําลงั หลบั และสติจะกลับ มาอกี เมอ่ื ถงึ จุดที่กําลังต่นื มิไดหมายถึงขณะกาํ ลังหลับสนทิ เพราะไมมี ใครรสู กึ ตวั ในขณะน้นั นีค้ ือสติที่ไดร บั การฝก ฝนมาทุกๆ ขณะของการมี ๙๐
àËÁǵÊٵà ชวี ติ ตน่ื อยูของพระอรหนั ต ตามคาํ สอนของพระพทุ ธเจา วา อปฺปมาเทน สมปฺ าเทถ๕๒ (จงพยายามทาํ หนาท่ีใหสําเรจ็ ดวยสตทิ ่ีไมป ระมาท)๕๓ อาจ กลาวไดวาคําสอนน้ีกระตุนใหชาวพุทธพากเพียรเจริญวิปสสนาฌาน มรรคฌาน และผลฌานอยางไมลดละ ผูปฏิบัติท่ีไดฝกเจริญวิปสสนาดวยการระลึกรูรูปนามที่กําลัง ปรากฏทางทวาร ๖ ถอื วาไดส ่งั สมความไมป ระมาทเพื่อใหหางไกลจาก ความหลงเพลินเชนกับพระผูมีพระภาค และถือวามิไดละเลยการเจริญ วปิ ส สนาฌาน นบั เปน เรอ่ื งทนี่ า ชนื่ ชมยนิ ดี ขอใหผ ปู ฏบิ ตั ริ สู กึ ชนื่ ชมยนิ ดี แลวมุงหนาปฏิบัติตอไปใหบรรลุโสดาปตติมรรคเปนอยางตํ่าที่สุด ก็จะ สามารถปดประตอู บายได ทาํ ใหส บายใจทไ่ี มตองไปเกิดในอบาย แตถา สามารถทําไดก็ควรปฏิบัติใหบรรลุถึงมรรคผลขึ้นสูงย่ิงๆ ขึ้นไป ก็จะ เปนการดีท่สี ดุ ๙๑
àËÁǵÊٵà คําถามท่ี ๓ ของเทพเหมวตะ สองคําถามท่ีเทพเหมวตะสอบถามน้ันเก่ียวกับการกระทําบาป ทางกาย สวนเทพสาตาคิระตอบวา พระพุทธเจาทรงปลอดจากการ กระทาํ บาปทางกายดังกลา ว และไมทรงละเลยฌานอกี ดว ย ถัดจากนั้น เทพเหมวตะไดตง้ั คําถามเกี่ยวกบั บาปทางวาจาอีกดวย ดังน้ี กจจฺ ิ มสุ า น ภณติ กจฺจิ น ขีณพยฺ ปปฺ โถ กจฺจิ เวภูติยํ นาห กจฺจิ สมผฺ ํ น ภาสต.ิ ๕๔ “พระโคดมไมตรัสคําเทจ็ จรงิ หรือ มีพระวาจาไมห ยาบคายจรงิ หรือ ไมต รัสคาํ สอเสียดจรงิ หรอื ไมตรสั คําเพอเจอ จริงหรือ” ความหมายของคาถาน้ี คือ สหายสาตาคิระ พระบรมครูของ ทานทรงเวนจากการพูดเท็จคือการพูดส่ิงท่ีไมจริงใหเปนจริงหรือ ทรง เวน จากการพูดคําหยาบคือคาํ ดาวาดูถูกเหยยี ดหยามผอู ื่นจริงหรอื ทรง เวน จากการพดู สอ เสยี ดคอื คาํ ทาํ ลายมติ รภาพและความสามคั คจี รงิ หรอื ทรงเวน จากการพดู คาํ เพอ เจอ คอื คาํ ไรแ กน สารไมป ระกอบดว ยประโยชน ในสงั สารวัฏจรงิ หรอื คําวา เวภตู ิก มาจากรากศพั ทว า วิภูติ (พินาศ) + ก (ทาํ ) คาํ นี้ จึงหมายความวา ทําใหพินาศ คือ ทําลายมิตรภาพและความสามัคคี ๙๒
àËÁǵÊٵà ระหวางคนหนง่ึ กบั อกี คนหนึ่ง กลา วคอื พดู ยุแหยใ หค นทมี่ ีไมตรีตอ กัน เกดิ ความไมพ อใจกนั และทาํ ใหค วามสามคั ครี ะหวา งคนสองคนพนิ าศไป คาํ สอ เสยี ดบางคาํ อาจไมใ ชค าํ หยาบคาย แตเ ปน คาํ สภุ าพเพยี งหนงึ่ หรอื สองคํากอ็ าจทาํ ใหเขา ใจผดิ จนกระทง่ั เกิดความแตกแยกได๕ ๕ การยแุ หยข องวัสสการพราหมณ ในสมัยพุทธกาล พระเจา อชาตศัตรูตองการจะบุกยดึ แควนวัชชี ทมี่ เี จา ลจิ ฉวปี กครองอยู เจา ลจิ ฉวเี หลา นป้ี กครองแควน ดว ยความสามคั คี เปนอันหนึ่งอันเดียวกัน ความสามัคคีนี้สรางความเขมแข็ง พระเจา อชาตศัตรูตองการจะขัดขวางทําลายความเขมแข็งและความสามัคคี ของเจาลจิ ฉวีแหงแควน วชั ชี จึงใชยุทธวิธที ําลายใหแ ตกแยก๕๖ พระองค ทรงเนรเทศวัสสการพราหมณใหออกจากเมือง พราหมณคนนี้จึงเขา ไปเขาเฝาเจาลิจฉวีเพื่อขอที่พ่ึงพิง เจาลิจฉวีบางองคกลาวกับองคอื่นๆ วา พราหมณคนนี้เปนคนเจาเลหเพทุบาย ไมควรใหที่พักพิงแกเขา สวนเจาลิจฉวีคนอ่ืนก็วา พราหมณถูกเนรเทศมาเพราะคัดคานพระเจา อชาตศตั รูเพอ่ื ไมใ หบุกรุกแวนแควน ของเรา ดงั นั้นเราจึงควรรับไว วสั ส- การพราหมณจึงไดรับท่ีพักพิง และไดรับการแตงต้ังใหสอนบุตรหลาน ของเจา ลิจฉวีเหลา นน้ั ๙๓
àËÁǵÊٵà พราหมณไดต้ังใจสอนลูกหลานของเจาลิจฉวีเหลานั้นอยางดี จนไดรบั ความไววางใจ เมื่อไดร บั ความไวว างใจและความเชอ่ื ถอื มากขนึ้ เขาก็เริ่มยุแหยเจาชายองคหน่ึงใหขัดแยงกับอีกองคหนึ่ง กลอุบายที่ พราหมณค นนใ้ี ชน น้ั แยบยลมาก คอื เขาเรยี กเจา ชายคนหนง่ึ เขา มาใกลๆ แลว กระซิบวา เสวยกระยาหารหรอื ยัง เสวยแกงอะไร เปน ตน เจา ชายองคอ น่ื เหน็ เชน นนั้ จงึ ถามเจา ชายองคน น้ั วา ครพู ดู อะไร เจาชายองคท่ีครูพูดดวยก็ตอบดวยความสัตยจริงวา ครูถามวากินอะไร กินแกงอะไร เจาชายองคอ น่ื ไมเช่อื ตา งพากันคดิ เอาเองวา คงไมมใี คร ถามเรื่องน้ีแบบกระซิบกระซาบเชน น้นั ตองมคี วามลับสาํ คญั แนนอน ตอมาพราหมณก็เรียกเจาชายองคอ่ืนถามอีกวา บิดาของเธอ ไถนาไหม ใชว วั กต่ี วั ลากไถ เมอื่ คนอน่ื ถามถงึ สงิ่ ทพี่ ราหมณพ ดู กบั เจา ชาย ท่ีถูกกระซิบถาม เจาชายองคน้ันก็ตอบดวยความสัตยจริงอีก แตก็ไมมี ใครเช่อื แลว พราหมณก เ็ รียกคนอน่ื มาถามแบบกระซบิ กระซาบเชน เดมิ อกี วา เจา ขขี้ ลาดใชไ หม เจา ชายกถ็ ามพราหมณด ว ยความสงสยั วา ทาํ ไม ใครบอกเร่ืองนแี้ กท า น พราหมณก พ็ ดู เอาเองวา โธ ก็เพื่อนของเจานะซิ เจาชายองคน้ันยังไง เจาชายองคน้ันก็โกรธเพราะถูกกลาวหา แลวเริ่ม เขา ใจผิดซง่ึ กันและกันกับเจาชายองคอ ่ืนๆ ดว ยการใชค าํ พดู งา ยๆ เชน นี้ วสั สการพราหมณเ รม่ิ ทาํ ใหเ จา ชาย องคหน่ึงขัดแยงกับอีกองคหนึ่ง ภายในเวลา ๓ ปเทาน้ันพราหมณก็ ประสบความสาํ เรจ็ ในการสรา งความเขา ใจผดิ ในหมเู จา ลจิ ฉวี การขดั แยง ๙๔
àËÁǵÊٵà มมี ากจนกระทง่ั เจา ชายแตล ะองคไ มอ ยากจะมองหนา กนั แลว พราหมณ กแ็ อบสง ขา วลบั ไปถงึ พระเจา อชาตศตั รู พระเจา อชาตศตั รจู งึ นาํ กองทพั บกุ เขา แควน วชั ชี เนอ่ื งจากเจา ชายแตล ะองคเ ขา ใจผดิ คดิ วา เจา ชายองค อื่นๆ กลา วหาวา ตนเปนคนขี้ขลาด จงึ ไมยอมออกไปรบ ตา งกพ็ ดู วาใคร กลาหาญก็ออกไปรบเอง เม่ือไมมีใครยอมออกไปตอสูกับศัตรูผูรุกราน พระเจาอชาตศัตรูจึงบุกเขายึดแควนวัชชีไวไดอยางงายดาย เร่ืองน้ีเปน บทเรยี นอยา งดเี กย่ี วกบั การพดู ยแุ หยใ หแ ตกแยก ดงั นนั้ เทพเหมวตะจงึ ถามเทพสาตาคริ ะวา พระบรมครขู องทา นทรงละเวน จากการพดู สอ เสยี ด จรงิ หรอื คําถามท่ี ๔ คือ พระบรมครูของทานทรงละเวนจากคําเพอเจอ จริงหรอื คาํ เพอ เจอเปนคาํ พูดที่ไมม แี กนสารสาระ คําพูดเชน นน้ั รวมไป ถงึ นิยายในปจ จุบันและนทิ านปรมั ปราทเ่ี ลากันตอ มา ซง่ึ ไมม ีคุณคาทาง ศีลธรรมและขอความที่มีประโยชนเพื่อชีวิตและจิตวิญญาณท่ีดีของ ประชาชน นิทานหรือนิยายเหลานั้นเขียนข้ึนเพ่ือใหอานสนุกสนาน ร่ืนรมย มแี ตเ รือ่ งเลา ตา งๆ และคาํ พรรณนาเพ่ือการอานใหส นุกเทา นน้ั เทพเหมวตะจงึ ถามสหายสาตาคริ ะวา พระบรมครขู องทา นไมต รสั คาํ พดู ไรส าระทไ่ี มเ กยี่ วกบั ประโยชนใ นโลกนแี้ ละประโยชนใ นสงั สารวฏั เชน นน้ั หรือ ๙๕
àËÁǵÊٵà คาํ ตอบที่ ๓ ของเทพสาตาคริ ะ มสุ า จ โส น ภณติ อโถ น ขีณพยฺ ปปฺ โถ อโถ เวภูติยํ นาห มนฺตา อตถฺ ํ ส ภาสต.ิ ๕๗ “พระโคดมไมตรัสคําเท็จ มีพระวาจาไมหยาบคาย ไมตรัสคํา สอเสียด ไมตรัสคําเพอเจอ พระองคทรงพิจารณาดวยปญญาแลวตรัส คําทเี่ ปน ประโยชนอยา งเดยี ว” เทพสาตาคิระตอบวา สหายเหมวตะ พระโคดมทรงเวนจาก การพูดเท็จ ท่ีจริงแลวการที่พระองคไมตรัสคําเท็จนี้มิไดมีเม่ือไดบรรลุ ธรรมเปน พระพทุ ธเจา เทา นน้ั แตม มี านบั ตงั้ แตเ วลาทพี่ ระองคย งั ทรงเปน พระโพธสิ ตั วท ไี่ ดร บั พยากรณแ ลว ถา หากวา เปน บาปอยา งอน่ื เชน การ ฆาสัตว พระองคอ าจกระทาํ บา งในชาติทเ่ี กดิ เปนนายพรานหรือสตั ว กนิ เนอ้ื แตท รงงดเวน จากการพดู เทจ็ ดว ยการรกั ษาสจั วาจาอยเู สมอ๕๘ เหตุที่เปนเชนนั้นก็เพราะคนพูดเท็จไมรักษาสัจจะยอมอาจทําบาป ทกุ อยา ง เพราะเขาจะพดู เทจ็ เมอื่ ถกู ถามวา ทาํ จรงิ ไหม ดงั พระพทุ ธดาํ รสั อยางนีว้ า ๙๖
àËÁǵÊٵà เอกํ ธมมฺ ํ อตตี สสฺ มุสาวาทสิ ฺส ชนตฺ โุ น วติ ณิ ฺณปรโลกสฺส นตฺถิ ปาป อการยิ ํ.๕๙ “คนที่ละเลยคุณธรรมขอหนึ่ง [คือสัจจะ] มักพูดเท็จ ไมคํานึง ถงึ ปรโลก ไมมคี วามชวั่ ท่ีไมก ลาทาํ ” การละเลยคณุ ธรรมขอ หนงึ่ หมายถึง การไมสาํ รวม ไมเคารพ ตอคําสัตย บุคคลเชนน้ันสามารถจะกระทําความผิดใดๆ ก็ไดเพื่อผล ประโยชนสวนตนของเขาเทา นน้ั เขาไมค ํานงึ ถึงปรโลก ไมสนใจกับสิง่ ท่ี จะเกดิ ขนึ้ กบั เขาในโลกหนา อกี ดว ย บคุ คลเชน นนั้ จะกระทาํ บาปทกุ อยา ง ถา การกระทาํ นนั้ ๆ สามารถบนั ดาลผลประโยชนท างวตั ถแุ กเ ขาไดใ นชวี ติ ปจ จบุ นั ดงั นนั้ จงึ อาจกลา วไดว า การพดู เทจ็ จงึ เปน ตวั นาํ ของบาปทง้ั มวล ดว ยเหตนุ ี้ พระโพธสิ ตั วจ งึ เวน จากการพดู เทจ็ ในทกุ ภพชาตขิ อง พระองคเ พราะมีโทษอันใหญห ลวง การเวน บาปชนดิ นีม้ ไี ดด ว ยสมั ปตต- วริ ตั แิ ละสมาทานวริ ตั ิ แตไ มใ ชด ว ยสมจุ เฉทวริ ตั ิ เมอ่ื พระพทุ ธองคไ ดเ ปน พระพุทธเจาแลวจึงทรงละเวนไดเด็ดขาดดวยสมุจเฉทวิรัติ น่ันคือการ ละเวน ดว ยอรหตั ตมรรค ขออธิบายตอไปวา พระโพธิสัตวทรงเวนจากการพูดเท็จแมวา จะมไิ ดส มาทานศลี พระองคก ม็ ไิ ดพ ดู เทจ็ แตต รสั คาํ จรงิ เสมอ นน่ั คอื การ ละเวน ดว ยสมั ปต ตวริ ตั ิ แตใ นขณะสมาทานศลี ดว ยการกลา ววา มสุ าวาทา เวรมณิสิกขฺ าปทํ สมาทิยามิ (ขา พเจาขอสมาทานสกิ ขาบทท่งี ดเวนจาก การพูดเทจ็ ) นับวาเปน การละเวน จากการพดู เทจ็ ดวยสมาทานวริ ตั ิ ๙๗
àËÁǵÊٵà กรณีของการละเวนการพูดเท็จเชนน้ีดวยวิรัติทั้งสองอยางนั้น ขึน้ อยูกบั เหตุปจ จัยตางๆ เชน อายเุ พิ่มข้ึน มชี ื่อเสียง กลัวคาํ ตาํ หนขิ อง คนอ่ืน หรือเกรงกลัวการกระทําบาป เปนตน อยางไรก็ดี ผูที่ไดบรรลุ โสดาปต ตมิ รรคดว ยการปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนากรรมฐานแลว ยอ มจะละเวน การ พดู เทจ็ ไดอ ยา งเดด็ ขาด การละเวน เชน นเี้ ปน สมจุ เฉทวริ ตั ิ บคุ คลนนั้ ยอ ม ไมพูดเท็จตามธรรมชาติของเขา พระพุทธเจาทรงกําจัดบาปนี้ตั้งแตได บรรลุโสดาปต ตมิ รรคแลว มิตอ งกลาวถึงการท่พี ระองคไดบรรลุอรหัตต- มรรคแลวตรัสรูเปนพระสัพพัญู นอกจากน้ัน พระพุทธองคตรัสไวใน ธรรมจกั รวา ไดเ จรญิ มรรคสจั โดยบรบิ รู ณแ ลว ๖๐ ฉะนน้ั เทพสาตาคริ ะจงึ ใหค าํ ตอบทอี่ าจหาญตอ คาํ ถามนว้ี า พระบรมครขู องเราทรงเวน ขาดบาป จากการพูดเท็จโดยสิ้นเชงิ แลว ถัดจากนั้น เทพสาตาคิระไดต อบคาํ ถามตอไปวา พระพุทธเจา ยังทรงเวนขาดการใช คําหยาบคายที่ไมนาฟงซึ่งเปนคําดุดาหรือดูหมิ่น เหยียดหยามผอู ่นื นอกจากนน้ั ทรงเวนขาดคาํ พดู ทที่ าํ ลายความสมคั ร สมานสามัคคีของผูอื่น การละเวนเชนน้ีมิไดเกิดจากการคํานึงถึง ชาติตระกูลเปนตน แตเปนไปตามธรรมชาติของพระองคที่กําจัดกิเลส ไดโ ดยสนิ้ เชิงดวยอริยมรรคนัน่ เอง ในกรณขี องพระอรหนั ตน นั้ มอี ยใู นหลายๆ กรณที มี่ กี ารใชภ าษา หยาบคาย เพราะทานเหลาน้ันแมจะกําจัดกิเลสไดแลว ก็ยังมีความ เคยชินที่ทําเปนประจําในชวงท่ีมีกิเลสอยู จึงอาจพูดถอยคําท่ีไมสุภาพ ตามความเคยชินโดยมิไดตั้งใจ ตัวอยางเชน ทานปลินทวัจฉะมักเรียก ๙๘
àËÁǵÊٵà ผูอื่นวา วสละ (เจาคนถอย) ต้ังแตครั้งเปนพราหมณในชาติท่ีผานมา จนถงึ ชาตปิ จ จบุ นั ทานจึงไมอาจละท้งิ ความเคยชนิ น๖้ี ๑ แตพ ระพุทธเจา ทรงกําจัดกิเลสพรอมท้ังความเคยชินท่ีมีมาแตภพกอนๆ โดยส้ินเชิง๖๒ จงึ ทรงหมดจดจากถอ ยคําทีห่ ยาบคาย เทพสาตาคิระตอบคําถามท่ี ๔ วา พระองคทรงพิจารณาดวย ปญ ญาแลว ตรสั คาํ ทเ่ี ปน ประโยชนอ ยา งเดยี วหมายความวา ทรงพจิ ารณา ดวยปญญาแลวตรัสสิ่งท่ีเปนประโยชนตอชีวิตทางโลกหรือทางธรรม พระองคจงึ ทรงหมดจดจากคําพูดเหลวไหลไรส าระ คําพูดประกอบดว ยองคป ระกอบ ๔ อยาง คือ (๑) การพูดคาํ จริง ไมเ ปน เทจ็ (๒) การพูดคําสมคั รสมานสามคั คี ไมพ ูดสอเสียด (๓) การพูดคําไพเราะ ไมพูดคําหยาบ (๔) การพูดคําที่มีประโยชนทางโลก หรอื ทางธรรม ไมพ ดู เพอ เจอ องคป ระกอบทงั้ สนี่ น้ี าํ มาใชไ ดใ นการสอ่ื สาร กิจการทางโลก เชนเดียวกับในกิจการทางศาสนา หากบุคคลใดรักษา กฏเกณฑท้ังสี่ประการนี้ได เขาสมควรไดรับการเรียกขานวาเปนผูมี วาจาสะอาด และพระพทุ ธเจา ก็ตรสั ถอ ยคาํ ทีม่ ีองคประกอบทง้ั ๔ อยา ง เหลาน้อี ยเู สมอ จึงมพี ระวาจาหมดจดอยา งแทจ ริง ๙๙
àËÁǵÊٵà ตรสั ถอ ยคํา ๒ อยา งในถอยคํา ๖ อยา ง คาํ พดู ทใ่ี ชใ นการสอ่ื สารกนั ของมนษุ ยม ี๖ประเภทไดแ กคาํ พดู ประเภทท่ี ๑ คอื คาํ พดู เทจ็ ทไี่ มม ปี ระโยชน และคนอนื่ กไ็ มช อบ เชน การ พูดถึงคนที่มีศีลบริสุทธิ์วาเปนคนทุศีล การพูดเชนนี้เปนคําเท็จ ไมมี ประโยชน เพราะทําใหคนพูดทําบาปและทําใหคนไดยินเชื่อถือแลวขาด ความเคารพนบั ถอื คนทถ่ี กู กลา วหา อกี ทง้ั คนทถี่ กู กลา วหายงั รสู กึ ไมด อี กี ดว ย เพราะเขาถกู กลา วหาใสค วามอยา งผดิ ๆ คนดมี ศี ลี ธรรมทที่ รงปญ ญา ก็ไมชอบใจคําเชนนั้น ฉะน้ันคําพูดท่ีมีองคประกอบ ๓ อยาง คือ เปน คําเท็จ ไมมีประโยชน และไมนาชอบใจ จึงไมเหมาะสม พระพุทธเจา ไมต รัสคําพดู ดงั กลา ว คาํ พูดประเภทท่ี ๒ คอื คําพูดเท็จไมม ปี ระโยชน แตมีคนชอบ คาํ พดู ประเภทนม้ี ที งั้ นทิ านปรมั ปรา คาํ พดู ทที่ าํ ใหแ ตกความสามคั คี และ คาํ สอนทางศาสนาทผ่ี ดิ ๆ ทจี่ รงิ แลว นทิ านปรมั ปราหรอื นยิ ายเปน เรอ่ื งที่ แตงขึ้น เรื่องราวเหลานีไ้ มมสี าระใดๆ การอา นเรอ่ื งดังกลาวไมก อใหเ กดิ ประโยชนอันใดแกผูอ าน เพียงกระตุนกเิ ลสทเี่ พลดิ เพลนิ เจรญิ ใจเทานน้ั บางคราวกเ็ กิดโทสะเมือ่ ไดอานเรื่องท่ีชวนโกรธ หรือรูส กึ เสียใจเมือ่ อา น เร่อื งท่ีนา เศรา แตคนจาํ นวนมากชอบนิทานหรือนยิ ายเหลาน้ี ๑๐๐
àËÁǵÊٵà นอกจากน้ัน การพูดสอเสียดหรือการนินทาลับหลังก็เปนการ กลาวหาใสความอยางผิดๆ โดยมุงหมายเพ่ือทําลายความเปนมิตรและ ความกลมเกลียว การโฆษณาชวนเช่ือในปจจุบันมีความเท็จมากมาย คํากลาวรายเหลานี้เปนสาเหตุใหเกิดความเศราหมองแกผูฟง แตผูฟง อาจจะรสู กึ วา คาํ พดู ดงั กลาวเปนประโยชนตอ ตนเองจงึ ชอบ ในปจ จบุ นั การพดู วจิ ารณศ าสนาอน่ื มกั ไมเ ปน ทพี่ อใจของคนใน ศาสนานั้นๆ ผูบรรยายจะขออางถึงขอความบางตอนจากพระไตรปฎก กลาวคือ กอนที่พระพุทธเจาจะเสด็จอุบัติข้ึนในโลก ในยุคน้ันมีบาง ศาสนากลาววา การฆาสัตวเพ่ือบูชายัญเปนการลางบาป และนําความ เจริญมงั่ ค่งั มาให ครัง้ หนึ่งแมแตพ ระเจาปเสนทิโกศลกเ็ คยเตรยี มพธิ ีฆา สัตวบูชายัญ พระองคทรงจัดสัตวแตละประเภทๆ ละหารอยตัว เชน แมวัว ววั แพะ และแกะ เพ่ือบชู าบวงสรวงทวยเทพ ในขณะน้ัน พระเจาปเสนทโิ กศลไดเขาเฝาพระพุทธเจาตามคํา แนะนาํ ของพระนางมลั ลกิ าแลว ทลู ถามเรอื่ งนี้ พระพทุ ธเจา ตรสั วา “เสยี ง พระเจาปเสนทิโกศลไดยินในขณะสุบินนั้นมิไดเกี่ยวของกับพระองคแต อยา งใด๖๓ การฆา สตั วบ ชู ายญั นน้ั เปน บาปมหนั ต ในกรณตี รงกนั ขา ม การ ปลอ ยสตั วเ หลา นนั้ ใหม ชี วี ติ ตอ ไปและการใหท านอนื่ ๆ เปน บญุ กศุ ลทจี่ ะ นําความสงบสุขมาสูพระองค” พระเจาปเสนทิโกศลจึงรับส่ังใหปลอย สัตวบ ชู ายญั เหลานนั้ ไป ไมป รากฏวา มตี รรกะอนั ใดทย่ี อมรับไดว า การ ฆา สตั วบชู ายัญเปนการทาํ บญุ ลางบาป ทําใหไ ดร บั ประโยชนส ุข นับเปน เรอ่ื งไมส มเหตสุ มผลทจี่ ะทกึ ทกั วา ความทกุ ขข องคนอน่ื จะนาํ มาซง่ึ ความ สขุ แกตนเอง อยา งไรกด็ ี ยงั มคี นจํานวนมากท่ีชอบการบชู ายญั ๑๐๑
àËÁǵÊٵà แมในสมัยพุทธกาล เจาลัทธิคนหนึ่งชื่ออชิตเกสกัมพลกลาววา “บญุ บาปไมม ีจรงิ ผลของบญุ บาปไมมีจรงิ ภพหนาไมม ีจริง”๖๔ หากเรา พิจารณาผลลัพธของการทําความดีและความช่ัว ก็จะเห็นวาการกลาว เชนน้ีไมนาเช่ือถือ ตามหลักพระพุทธศาสนาความเช่ือเชนนี้เรียกวา อจุ เฉททิฏฐิ คอื ความเหน็ ผดิ วาโลกขาดสูญ ผูเช่อื ตามจะไมทาํ ความดี ใดๆ และจะไมห ลกี เลี่ยงการทําช่วั อีกดว ย ฉะนนั้ จึงไมมีคุณความดใี ดๆ ในตวั เขาทค่ี วรไดร บั การยกยอ งชมเชย เมอื่ เขาเสยี ชวี ติ กจ็ ะไปสโู ลกหนา ทเ่ี ขาไดป ฏเิ สธไว เขาจงึ ไปสอู บายภมู แิ ละตอ งทกุ ขท รมานอยา งมากมาย นคี้ อื ชะตากรรมทเี่ ขาจะไดรบั ตามคําสอนของพระพทุ ธเจา ความเชื่อเชนนั้นไมมีประโยชนใดๆ แตก็ยังมีคนจํานวนมาก หลงเชือ่ อยู ฉะน้นั คํากลา วทว่ี า บญุ บาปไมม จี ริง ผลของบญุ บาปไมมี จริง ภพหนาไมมีจริง จึงเปนคําเท็จท่ีไมมีประโยชน แตคนจํานวนมาก ชอบ นค้ี อื ตวั อยา งของคาํ พดู ประเภททส่ี องทมี่ อี งคป ระกอบ ๓ อยา ง คอื เปนคาํ เท็จ ไมม ีประโยชน แตม ีคนชอบ พระพทุ ธเจาทรงเวน ขาดคําพดู เชนนั้นเพราะไมมีประโยชนใดๆ แมวาจะเปนท่ีช่ืนชอบของคนจํานวน มากกต็ าม คําพูดประเภทท่ี ๓ คอื คําจรงิ ทไี่ มมปี ระโยชน และคนอ่นื กไ็ ม ชอบ ตวั อยางเชน คาํ พดู ที่เรยี กโจรวาโจร เรียกคนโกงวาคนโกง หรอื คน ตาบอดวาไอบอด เปนตน ซึ่งเปนคําพูดจริง แตไมมีประโยชน คนท่ี เก่ียวขอ งไมช อบ พระพทุ ธเจาไมต รสั คาํ พูดประเภทนี้ ๑๐๒
àËÁǵÊٵà คาํ พดู ประเภทท่ี ๔ คอื คาํ พูดท่ีเปนจรงิ แตไมมีประโยชน แมว า คนสวนมากชอบ ตวั อยางเชน คาํ พูดที่ไดยินมาจากคนอื่นจรงิ ๆ แลว นํา ไปบอกคนอน่ื เพอื่ ใหเ ขาแตกแยกกนั คาํ พดู เชน นเ้ี ปน สาเหตใุ หเ กดิ ความ เขาใจผิดและความเสียใจของคนท่ีเก่ียวของ แตคนท่ีไดยินก็ยังชอบ เพราะเขาประทบั ใจวา ผมู าบอกนน้ั ชว ยใหเ ขารสู งิ่ ทผี่ อู นื่ พดู ถงึ เขา คาํ พดู ในลักษณะน้ียังรวมถึงขาวท่ัวไปซึ่งเกี่ยวกับการเมือง ขโมย โจร นคร หมูบาน เปนตน ขาวเหลานี้อาจเปนความจริงและคนสวนมากชอบฟง แตไมมีประโยชนตอภิกษุและผูปฏิบัติธรรม เพียงทําใหสมาธิปญญา เส่ือมลงเทานั้น บางถอยคําทางโลกียวิสัยอาจทําใหศีลวิบัติไดอีกดวย ดังนั้น พระพุทธเจาจึงไมตรัสถอยคําประเภทน้ีเพราะไมมีประโยชนแม จะเปนความจรงิ กต็ าม ๑๐๓
àËÁǵÊٵà พระพทุ ธเจา ตรัสถอ ยคาํ ๒ ประเภท คาํ พูดประเภทที่ ๕ คอื คําพูดจริงมปี ระโยชน แตบ างคนไมช อบ คาํ พดู ประเภทนไ้ี ดแ ก คาํ ตกั เตอื นซงึ่ กลา ววา “ในชาตกิ อ นเธอไดก ระทาํ ความช่ัวไวมาก ในชาติน้ีจึงตองไดรับทุกข หากเธอไมแกไขวิถีทางเสีย ใหมแลวยังทําความชั่วตอไปอีก ก็เปนเรื่องยากที่เธอจะชวยใหตัวเอง ปลอดภัยจากนรก” คําตักเตือนเชนน้ีกระทําดวยความปรารถนาดีเพื่อ ความสุขของผูที่เก่ียวของ แตคนที่เกี่ยวของบางคนอาจไมชอบแมจะ เปน คาํ พูดที่เปน จริงกต็ าม แตพระพทุ ธเจา ทรงพิจารณาดว ยปญญาแลว ใชวาจาเชนนีเ้ พ่ือประโยชนข องคนฟง ดวยเหตุน้ี พระพุทธเจาจึงตรัสถึงพระเทวทัตผูทําใหสงฆ แตกแยกวา “เทวทตั จะตกนรก ไดรับทุกขตลอดกัปหนึง่ ” เปนตน การ พยากรณเชนนั้นไมเปนที่ชอบใจของพรรคพวกพระเทวทัต แตเปน ประโยชนแกคนอื่นเพ่ือใหเห็นโทษของการทําสังฆเภทแลวหลีกเล่ียง จากกรรมดังกลาว พระพุทธเจาตรัสคําพูดเชนน้ีในโอกาสท่ีเหมาะสม เพราะพระองคทรงรูวาเปนความจริงและเปนประโยชนตอคนสวนมาก แมบ างคนจะไมชอบก็ตาม คาํ พูดประเภทท่ี ๖ คอื คําจรงิ ท่เี ปน ประโยชน และมคี นชอบ เชน คําสอนท่ีวาดวยทาน ศีล และภาวนา เปนตน คําพูดเหลานี้เปน ๑๐๔
àËÁǵÊٵà ความจริง เปนประโยชน ผูมีปญญาชอบฟง ดังนั้นจึงทรงตรัสคําพูด ประเภทนี้ในโอกาสท่ีเหมาะสม จุดประสงคหลักของพระพุทธองคคือ การใชค ําพดู ประเภทนี้ ในบรรดาคําพูด ๖ ประเภทดังกลาว คําที่เปนเท็จและไมเปน ประโยชน แมวาบางคนชอบหรือไมชอบก็ตาม พระพุทธองคไมตรัสคํา เชนนี้ นอกจากนั้น พระพุทธองคไมตรัสคําแมจะเปนจริง แตไมเปน ประโยชนท อ่ี าจมคี นชอบหรอื ไมช อบ ดงั ทก่ี ลา วมานพ้ี ระพทุ ธองคไ มต รสั คําพูด ๔ ประเภทแรก แตพระพุทธองคทรงเลือกโอกาสท่ีเหมาะสมเพือ่ ตรสั คาํ พดู จรงิ และเปน ประโยชนแ มว า บางคนอาจชอบหรอื ไมช อบกต็ าม ไมตรัสในเวลาทีไ่ มเ หมาะสม การเลอื กใชค าํ พดู ทถ่ี กู ตอ งเหมาะสมกบั โอกาสเปน เรอื่ งทสี่ าํ คญั อยางหนึ่ง นับเปนการไมเหมาะสมที่จะกลาวบางอยางท่ีเปนจริงและมี ประโยชนใ นสถานทจี่ ัดงานเฉลิมฉลอง เชน ในพิธีแตงงาน หรือพธิ ีบวช สามเณร ซ่ึงไมเหมาะที่จะแสดงธรรมเรื่องการระลึกถึงความตาย หรือ ธรรมที่กอใหเ กิดความสลดใจ ในทํานองเดยี วกนั นบั เปนเร่อื งไมเหมาะ สมทจ่ี ะพดู ถงึ คาํ สอนวา ดว ยเรอ่ื งมงคลในพธิ ถี วายทานในงานศพ เปน ตน กลาวโดยสรุป พระพุทธเจาตรัสพระวาจาท่ีเปนคําจริงและมี ประโยชนต อ คนสว นใหญ โดยพจิ ารณาโอกาสทเี่ หมาะสมดว ยปญ ญาของ พระองค ฉะนนั้ เทพสาตาคริ ะจงึ ตอบวา พระองคท รงพจิ ารณาดว ยปญ ญา แลว ตรัสคาํ ทเ่ี ปน ประโยชนอยา งเดียว ๑๐๕
àËÁǵÊٵà คณุ ธรรมของพระสุคต พระผูมีพระภาคมักตรัสพระวาจาท่ีดีงามอยูเสมอ จึงประกอบ ดวยคณุ ธรรมประการหนงึ่ วา สุคต (ผูตรัสดี) คํานีม้ าจาก สุ (ดี) + คต (ตรสั ) โดย คต ศพั ทม ีศัพทเ ดมิ มาจาก คท ธาตุ (พดู ) เปล่ียน ท เปน ต จงึ มีรูปวา สุคต ตามนัยน้ีพระพุทธองคต รัสคาํ พดู ๒ ประเภท คือ คาํ พูด ท่ีเปนคําจริง มีประโยชน มีคนชอบประเภทหนึ่ง และมีคนไมชอบอีก ประเภทหน่งึ ทรงหลีกเลีย่ งจากคาํ พดู ๔ ประเภท คอื คาํ พูดเทจ็ ทไ่ี มมี ประโยชน มคี นชอบและไมช อบ และคาํ พดู จรงิ ทไี่ มม ปี ระโยชน มคี นชอบ และไมช อบ๖๕ หลังจากเทพสาตาคิระไดต อบคาํ ถามเกี่ยวกับวจที ุจริต ๔ อยา ง ของพระพทุ ธเจา แลว เทพเหมวตะไดต งั้ คาํ ถามเกยี่ วกบั บาปทางใจ (มโน- ทุจริต) ดงั น้ี ๑๐๖
àËÁǵÊٵà คาํ ถามที่ ๔ ของเทพเหมวตะ กจฺจิ น รชชฺ ติ กาเมสุ กจฺจิ จิตฺตํ อนาวิลํ กจฺจิ โมหํ อติกฺกนโฺ ต กจฺจิ ธมเฺ มสุ จกขฺ ุมา.๖๖ “พระโคดมไมทรงยินดีในกามทั้งหลายจริงหรือ พระหทัยของ พระองคไ มข นุ มวั จรงิ หรอื พระองคท รงลว งพน โมหะไดจ รงิ หรอื พระองค ทรงมีปญ ญาจักษใุ นธรรมท้ังหลายจรงิ หรอื ” เทพเหมวตะถามวา สหายสาตาคิระ พระบรมครูของทานทรง หมดจดจากความยินดพี อใจในกามท้ังหลายจรงิ หรือ หมายความวา ใน บรรดาบาปทางใจ (มโนทจุ รติ ) ๓ ประการ บาปประการแรก คอื อภชิ ฌา หมายถึง ความอยากไดทรัพยสินของผูอื่นแลววางแผนท่ีจะทําให เปาหมายนัน้ สมั ฤทธิ์ผล เทพเหมวตะตอ งการจะทราบวา พระพุทธเจา ทรงปลอดจากอภิชฌาจริงหรือ ตามปกติคนท่ัวไปมักตองการจะ ครอบครองสงิ่ ตา งๆ ทตี่ นยนิ ดีพอใจ ทั้งท่ีมีชวี ติ และไมมชี วี ติ ไมเ พยี งแต คนทว่ั ไปเทา นนั้ แมแ ตพ ระพทุ ธเจา ปลอมทปี่ ระกาศตนวา เปน พระพทุ ธ- เจากไ็ มป ลอดจากอภิชฌาดังกลาว ๑๐๗
àËÁǵÊٵà คาํ วา “พระหทยั ของพระองคไ มข นุ มวั จรงิ หรอื ” หมายความวา พระพุทธเจาทรงหมดจดจากความปองรายท่ีเปนบาปทางใจอยางที่ ๒ จริงหรือ ความปองรายนั้นเปนความปรารถนาจะใหคนท่ีตนเกลียดชัง เสียชีวิตหรือถูกทําลาย โดยทั่วไปบางคนอยากใหคนที่ตนไมชอบตาย เรว็ ๆ บางคนยังเปลง วาจาพูดคําเชน น้นั ออกมาดวยซ้าํ แมพ ระพุทธเจา ปลอมในยุคกอนก็ไมปลอดจากความปองรายเชนนี้ พวกเขาจึงสอนวา “บคุ คลสามารถฆา สัตวไ ด ไมตองรบั โทษ” เปน ตน แมก ระท่ังพระเจา ผูลงโทษสัตวท้ังหลายใหถึงตายก็อาจถือไดวาไมปลอดจากความ ปองราย ความคิดทําลายคนอื่นใหพินาศหรือตายทําใหจิตขุนมัวไมใส สะอาด เทพเหมวตะตองการจะทราบวาพระพุทธเจาทรงมีพระหทัยใส สะอาดจริงหรือ จึงถามวา พระบรมครูของทานมีพระหทัยหมดจดไม ขุนมัวจริงหรือ ถัดจากน้ันเทพเหมวตะไดต้ังคําถามตอไปวา พระพุทธเจาทรง ลวงพนโมหะจริงหรือ โดยหมายความวา พระองคทรงลวงพนไปจาก มจิ ฉาทฏิ ฐจิ รงิ หรอื เพราะมจิ ฉาทฏิ ฐมิ กั เกดิ รว มกบั โมหะทไี่ มร สู ภาวธรรม ตามความเปนจริง ดังน้นั คาํ ถามน้จี ึงเปนการถามถงึ การลว งพน มจิ ฉา- ทิฏฐิอนั เปนหนงึ่ ในมโนทุจริต ๓ การตง้ั คาํ ถามวา พระพทุ ธเจา ทรงหมดจดจากมจิ ฉาทฏิ ฐหิ รอื ไม ดูเหมือนเปนความหยาบคายไมเหมาะสมที่จะตั้งคําถามเชนนี้กับ พระพทุ ธเจา แตใ นสมยั โนน มเี จา ลทั ธเิ ปน อนั มากอา งตนวา เปน พระพทุ ธ- เจา คาํ ถามจึงตรงประเด็นและเหมาะสม เพราะถามเพอ่ื เทียบเคยี งกบั พระพุทธเจา ปลอมเหลาน้นั ๑๐๘
àËÁǵÊٵà มิจฉาทิฏฐิ ๓ ประการ ในบรรดาพระพทุ ธเจา ปลอมเหลา นนั้ ปรู ณกสั สปะสอนวา “การ ฆา และการลกั ขโมยเปน ตน ไมใ ชความชว่ั แมการใหทานและการกระทํา ดอี ่นื ๆ กไ็ มใ ชค วามดี” ความเชื่อเชนนี้เปนการปฏิเสธกฎแหง กรรมและ ผลกรรม จึงเรียกวา อกิริยทฏิ ฐิ คือ ความเห็นผิดวา กรรมไมมี ความเห็น นี้ปฏิเสธกรรมท่ีเปนเหตุไวโดยตรง และถือวาปฏิเสธผลของกรรมโดย ออ มอีกดว ย เจาลัทธิอชิตเกสกัมพลสอนวา “ความดีและความชั่วไมใหผล ใดๆ ภพหนา ไมม ีจริง” ความเชื่อเชนนเี้ รยี กวา นัตถกิ ทฏิ ฐิ คอื ความเหน็ ผิดวาผลกรรมไมม ี ความเห็นน้ีปฏิเสธผลกรรมที่เปนผลไวโดยตรง และ ถอื วาปฏิเสธเหตขุ องกรรมโดยออ มอกี ดว ย เจา ลทั ธมิ กั ขลโิ คสาลสอนวา “เหลา สตั วไ มม สี าเหตขุ องความสขุ หรอื ทกุ ขเขาอยเู ปน สขุ หรอื ทกุ ขโ ดยไมม เี หตปุ จ จยั แตอ ยา งใด”ความเชอ่ื เรอ่ื งไมมสี าเหตนุ เี้ รียกวา อเหตกุ ทิฏฐิ คอื ความเหน็ ผดิ วา ไมม เี หตุ จดั เปน การปฏิเสธกรรมและผลกรรมท้ังสองอยาง เจาลัทธิปกุธกัจจายนะสอนวา “สรรพสัตวประกอบดวยองค ประกอบ ๗ อยาง คอื ธาตุ ๔ ความทุกข ความสุข และชวี ะ (วิญญาณ, อาตมัน)” ธาตุเหลาน้ีคงอยูตลอดไปไมวิบัติ ไมมีใครทําลายได การ ๑๐๙
àËÁǵÊٵà กระทําดีหรือชั่วไมเปนผลกระทบกับองคประกอบดังกลาว บาปหรือ บุญจึงไมมีความหมายใดๆ ท้ังส้ิน ความเห็นนี้จัดวาปฏิเสธกรรมและ ผลกรรมเชน เดยี วกนั พระพทุ ธเจา ปลอมเหลา นแ้ี สดงธรรมทเี่ ปน มจิ ฉาทฏิ ฐดิ ว ยโมหะ หรืออวิชชาทีไ่ มรจู รงิ แตรูส่ิงทไ่ี มจรงิ ฉะน้ัน คําถามของเทพเหมวตะวา พระพทุ ธเจา ทรงหมดจดจากมจิ ฉาทฏิ ฐหิ รอื ไม จงึ ตรงประเดน็ ทเี ดยี วกบั เหตกุ ารณใ นสมยั นั้น เทพเหมวตะไดถามคําถามเกี่ยวกับบาปทางกาย วาจา และใจ หรอื ทจุ รติ ๑๐ ทางทวารทงั้ สามแลว จงึ ถามคาํ ถามสดุ ทา ยวา “พระองค ทรงมีปญญาจักษุในธรรมท้ังหลายจริงหรือ” เพื่อใหม่ันใจถึงความเปน พระสัมมาสัมพุทธเจา ท้ังน้ีเพราะพระปจเจกพุทธเจาและพระอรหันต ทั้งหลายก็อาจลว งพน ทจุ ริต ๑๐ ไดเชนเดยี วกัน ๑๑๐
àËÁǵÊٵà คําตอบท่ี ๔ ของเทพสาตาคริ ะ น โส รชฺชติ กาเมสุ อโถ จติ ตฺ ํ อนาวลิ ํ สพพฺ โมหํ อติกกฺ นฺโต พทุ ฺโธ ธมฺเมสุ จกขฺ มุ า.๖๗ “พระโคดมไมทรงยินดีในกามท้ังหลาย พระหทัยของพระองค ไมข นุ มวั พระองคทรงลว งพน โมหะทง้ั ปวงได พระองคตรสั รแู ลว ทรงมี ปญญาจักษุในธรรมทั้งหลาย” ทรงปลอดจากความยนิ ดพี อใจในกาม นบั ตงั้ แตพ ระโพธสิ ตั วท รงออกผนวชเมอ่ื พระชนมายุ ๒๙ พรรษา พระองคทรงปลอดจากจิตท่ีนอมไปสูกามคุณอันเปนโลกียวิสัย แม กระทั่งเม่ือพระองคไดรับทุกขทรมานอยางแสนสาหัสจากการบําเพ็ญ ทุกรกิริยา จิตของพระองคไมเรียกรองหวนกลับสูความรื่นเริงในราช- สมบัติเมื่อคร้ังอดีตอีก๖๘ มิจําเปนตองกลาวถึงเรื่องท่ีพระองคมีความ อยากไดต อ งการครอบครองทรพั ยส นิ ของผอู น่ื เลย และในขณะทไี่ ดบ รรลุ ความเปนพระสัพพัญูน้ันก็ทรงกําจัดตัณหาทุกอยางดวยอรหัตตมรรค อีกทั้งไดรับรองเร่ืองน้ีไวในขณะแสดงปฐมเทศนาโดยตรัสวาพระองคได กาํ จดั สมุทยสจั แลว๖๙ ๑๑๑
àËÁǵÊٵà คาํ ตอบที่ ๒ ในคาถาน้ี คือ “พระหทยั ของพระองคไ มข ุนมวั ” หมายความวา จติ ของพระพทุ ธเจา นนั้ เตม็ เปย มดว ยเมตตาตอ สรรพสตั ว ไมม เี วลาทจี่ ะคดิ รา ยโกรธเคอื งผอู น่ื ในขณะทโ่ี จรองคลุ มิ าลใชม อื ถอื ดาบ วิ่งไลกวดพระพุทธเจา พระพุทธองคมีจิตท่ีสะอาดหมดจด เต็มไปดวย เมตตาและกรุณาตอโจรท่ีว่ิงไลกวดพระองค และในขณะชางนาฬาคิรี พุงเขาจะมาทํารายพระพุทธเจา พระองคก็ทรงมีจิตผองใสดวยเมตตา เชนกัน เชนเดียวกบั ทพี่ ระเทวทัตกลงิ้ กอ นหนิ ใหญล งมาใส พระองคก ม็ ี จติ ผอ งใสดว ยเมตตากรณุ า จะเหน็ ไดว า แมก ระทง่ั ในโอกาสอนั วกิ ฤตเชน นี้ จิตของพระองคก็ยังหมดจดสะอาดปราศจากโทสะ จึงไมจําเปนตอง กลาวถึงเวลาอื่นจากนี้เลย พระพุทธองคทรงกําจัดโทสะโดยส้ินเชิง ดวยอนาคามิมรรคกอ น แลวทรงกําจัดความเคยชนิ ทเี่ กย่ี วกบั โทสะดว ย อรหัตตมรรค ดังนั้น พระองคจึงมีจิตผองใสอยูเสมอ ดวยเหตุนี้ เทพ สาตาคริ ะจึงรบั รองเรื่องนีว้ า “พระหทัยของพระองคไ มข ุน มัว” ๑๑๒
àËÁǵÊٵà จิตของพระพทุ ธเจา ยงั ปลอดจากโมหะอีกดว ย เทพสาตาคริ ะตอบคาํ ถามท่ี ๓ วา “พระองคทรงลว งพน โมหะ ทง้ั ปวงได” หมายความวา สงิ่ ท่ีเทพเหมวตะมงุ ถามคอื พระพทุ ธเจา ทรง ลวงพนมิจฉาทิฏฐิท่ีมีโมหะเปนสาเหตุจริงหรือ แตคําตอบของเทพ สาตาคริ ะครอบคลมุ เนอ้ื หามากกวา นน้ั โดยกลา ววา พระพทุ ธองคไ มเ พยี ง ลวงพน โมหะท่ีเปน เหตุทําใหเ กิดมิจฉาทฏิ ฐิ แตย งั ลวงพน โมหะทุกอยา ง อีกดวย ทรงปลอดจากมจิ ฉาทฏิ ฐิต้งั แตไ ดร บั พทุ ธทาํ นาย นบั ตงั้ แตพ ระโพธสิ ตั วไ ดร บั พทุ ธทาํ นายจากพระพทุ ธเจา ทปี ง กร พระองคก อ นวา จะไดต รสั รเู ปน พระพทุ ธเจา นน้ั พระองคท รงหมดจดจาก ความเห็นผิดที่ปฏิเสธกฎแหงกรรมคือสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ เม่ือ พระองคใ กลจ ะตรสั รพู ระสพั พญั ตุ ญาณ ไดก าํ จดั มจิ ฉาทฏิ ฐทิ ง้ั หมดดว ย โสดาปตติมรรค อกี ท้ังกาํ จดั กเิ ลสทกุ อยา งท่ีมโี มหะเปน ตวั นาํ และความ เคยชินดวยอรหัตตมรรค ดังน้ัน พระองคจึงไมเพียงหมดจดจากมิจฉา- ทฏิ ฐเิ ทา นนั้ แตย งั หมดจดจากกเิ ลสทง้ั ปวง นอกจากนน้ั พระองคย งั ทรง แสดงธรรมแนะนําใหสาวกปฏิบัติเพ่ือใหหมดจดจากกิเลสมีมิจฉาทิฏฐิ เปนตนอีกดวย ในสังยุตตนิกายไดตรัสถึงสาเหตุของการเกิดมิจฉาทิฏฐิ แหง เจา ลทั ธมิ ปี รู ณกสั สปะเปน ตน แลว ทรงแนะนาํ วา ไมค วรเชอ่ื ความเหน็ ผิดเชน น้นั โดยตรสั วา ๑๑๓
àËÁǵÊٵà “ความเหน็ ผดิ อาศยั อะไรเกดิ ขนึ้ อาศยั รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณเกดิ ขนึ้ ถา บคุ คลเขา ใจรปู วา ไมเ ทยี่ ง เปน ทกุ ข เขา ใจเวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณวา ไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข มจิ ฉาทฏิ ฐดิ งั กลา วยอ ม เกิดข้นึ ไมได” ๗๐ โดยเฉพาะอยางย่ิง พระพุทธเจาทรงเปรียบเทียบความเห็นผิด ของเจาลัทธิมักขลิโคสาลวาเหมือนแหดักปลา และทรงแนะนําใหสาวก ของพระองคปฏิเสธความเห็นผิดเหลานั้น ขอกลาวถึงความเห็นขางตน วา “เหลา สตั วไ มมเี หตทุ ่ที ําใหเกดิ สขุ หรอื ทุกข ไมมีใครทาํ ใหตนเปนสุข ได เหลาสัตวเปนสุขหรือทุกขตามที่ไดถูกกําหนดไวแลว ตองเวียนตาย เวยี นเกดิ ในภพชน้ั สงู บา งชน้ั ตา่ํ บา งตามทไี่ ดถ กู กาํ หนดไวแ ลว เชน เดยี วกนั คนชั่วมิไดเวียนตายเวียนเกิดนานหรือไดรับทุกขมากกวาคนดี คนดีมี ปญ ญากม็ ไิ ดเ วยี นตายเวยี นเกดิ สน้ั หรอื ไดร บั สขุ นอ ยกวา คนชว่ั ทกุ คนได รบั สขุ ทกุ ขท แี่ นน อนเหมอื นถกู ตวงดว ยตาชงั่ ทงั้ คนชว่ั และคนดตี อ งเวยี น ตายเวียนเกิดแลวจบลงตามที่ถูกกําหนดไวเหมือนมวนดายที่กลิ้งไปสุด แลวหยุดเม่ือดายคลายออก คนดีทําใหส ังสารวัฏสัน้ ลงไมได คนชัว่ ทําให สงั สารวฏั ยาวขนึ้ ไมได” ๑๑๔
àËÁǵÊٵà เหมือนทฤษฎีวา คนตายกลบั มาเกิดเปน คนอีก แนวคดิ ขา งตน เกย่ี วกบั การกาํ หนดของโชคชะตาทย่ี นื ยนั วา ทกุ คนทมี่ ชี วี ติ อยใู นสงั สารวฏั ไมจ าํ เปน ตอ งทาํ ความเพยี รใดๆ เพอื่ ทาํ ใหช วี ติ ดีข้ึน นาจะเหมาะสมกับคนเกียจครานไมเอาถาน และยังเหมาะสมกับ คนทอี่ ยากทาํ ชวั่ แลว ยงั ดเู หมอื นสอดคลอ งกบั ความเชอ่ื ผดิ ๆ ในประเทศ พมา ทช่ี กั ชวนกนั เมอื่ เรว็ ๆ นวี้ า “คนตายกลบั มาเกดิ เปน คนอกี ” โดยเชอื่ วา มนษุ ยไ ดเ ขา ถงึ สภาวะของมนษุ ยแ ลว เขาจะไมต กชน้ั หลงั จากการตาย ของเขา เพราะจะคอยๆ สุกงอมไปสคู วามหลุดพน ไดเ อง พระพุทธเจาทรงเปรียบความเห็นของมักขลิโคสาลวาเหมือน แหดกั ปลา แตเ ปน แหดกั คน เพราะคนทเ่ี ขา ไปในแหของความเชอ่ื แลว ก็ จะออกมาไมได จึงตองตายอยูในแหนั้นเองเหมือนปลาท่ีติดรางแห พระพุทธเจาทรงหมายถึงบุคคลท่ีชื่นชอบความเช่ือน้ีจะไมพยายามทํา ความดใี ดๆ ทาํ ใหพ วกเขาไมส ามารถไปสสู คุ ตภิ มู แิ ละนพิ พานได พวกเขา จงึ ตอ งไปเกดิ ในอบายภูมเิ ทานน้ั เพราะไมไดส ่ังสมความดีไวเลย ผูบรรยายไดยินมาวา ครูบางคนสอนวา การไดฟงส่ิงท่ีเขา พร่ําสอนก็เพียงพอแลว ไมจ ําเปน ตองปฏบิ ัติกรรมฐานอีก ครูพวกนี้ก็ เปรียบไดกบั แหดักคนเชนเดยี วกนั นอกจากนั้น ไมเพียงความเห็นของ มักขลิโคสาลเทานั้นท่ีเหมือนแหดักคน แมความเห็นของปูรณกัสสปะ ๑๑๕
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 507
Pages: