Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เหมวตสูตร พระสูตรว่าด้วยพระพุทธเจ้าโดยละเอียด พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) _ รจนา, สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) _ ตรวจชำระ,พระคันธสารราภิวงศ์ แปลและเรียบเรียง

เหมวตสูตร พระสูตรว่าด้วยพระพุทธเจ้าโดยละเอียด พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) _ รจนา, สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) _ ตรวจชำระ,พระคันธสารราภิวงศ์ แปลและเรียบเรียง

Description: ✍️☸️✅ แบ่งปันโดย ❝ ศร-ศิษฏ์❞ เหมวตสูตร พระสูตรว่าด้วยพระพุทธเจ้าโดยละเอียด พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) _ รจนา, สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) _ ตรวจชำระ,พระคันธสารราภิวงศ์ แปลและเรียบเรียง

Search

Read the Text Version

ÀÒÃÊٵà ความยึดม่ันดวยตณั หาและทิฏฐิ ขนั ธ ๕ เหลา นน้ั เปน อารมณแ หง ความยดึ มน่ั ดว ยตณั หาและทฏิ ฐิ กลาวคอื เรายึดมัน่ รปู อันไดแก ดวงตา หู จมูก ลนิ้ และรางกายของตน วา สง่ิ เหลา นน้ั ดงี ามนา พอใจ เชน เมอ่ื เรามองเหน็ สตี า งๆ ทางดวงตา เรา มักพอใจดวงตาท่ีสามารถเห็นไดชัดเจน เมื่อไดยินเสียงก็รูสึกพอใจวา โสตประสาทรบั รูเ สียงไดช ดั เจน เวลาจมกู รูกลิน่ ลิน้ ล้มิ รส หรือรา งกาย กระทบสัมผัส เรามักพงึ พอใจสิ่งเหลานว้ี า รูปธรรมซงึ่ ก็คอื รางกายนี้เปน สิ่งที่ดีงาม เปนเรา ของเรา บุรุษ หรือสตรี ในขณะเหยียดแขน คูแขน น่ังลง ลุกข้ึน เรามักรสู ึกพึงพอใจรา งกายของตัวเองวา เปน สิง่ ท่ดี ีงาม นอกจากนน้ั ไมเ พยี งแตร า งกายของเรา แมก ระทง่ั โลกภายนอก ของบุคคลอื่นซึ่งเปนวัตถุส่ิงของที่เราครอบครองอยู ไมวาจะเปนทรัพย สมบตั ิ บตุ รธดิ า สามี หรือภรรยา เรามักรูสกึ พงึ พอใจและยึดม่นั วาเปน ของเรา บรุ ุษ หรอื สตรี น้คี ือลักษณะท่ีคนท่ัวไปยดึ มั่นรปู ขนั ธ เวทนาขันธก เ็ ชนเดียวกัน ในเวลาท่เี รารสู กึ เปนสขุ บา ง เปนทุกข บาง หรอื วางเฉยบาง ก็รูสึกวาเปนตัวเรา เวลาดใี จกร็ สู ึกวา เปน ตัวเราที่ ดใี จ เวลาเสียใจเปน ทุกขก ็รูสึกวา เปนตัวเราท่ีเสยี ใจเปนทกุ ข ความรสู ึก เชนนี้เปนความยึดมั่นเวทนาขันธคือความรูสึกตางๆ ไมวาจะเปนความ รูสึกเปนสุข เปนทุกข หรือวางเฉย เรามักรูสึกวาเปนตัวเราของเราอยู ตลอดเวลา ๒๖๖

ÀÒÃÊٵà สัญญาขันธก็เหมือนกัน สัญญามีลักษณะจําไดหมายรูเหมือน กลองถายรูปท่ีถายภาพเก็บไว ทําใหเราสามารถระลึกถึงหรือจําไดใน สงิ่ ทีเ่ คยพบมากอน เวลาทจี่ าํ สงิ่ เหลา นั้นได ไมวาจะเปน ขณะเห็น ไดยนิ รูกล่ิน ลมิ้ รส กระทบสมั ผสั หรอื นึกคดิ เรอ่ื งราวตา งๆ สญั ญามักเกิดรวม กับจิตตลอดเวลา และเราก็รูสึกวาเปนตัวเราท่ีจําไดหมายรูอยูตลอด เวลาเชนเดียวกัน สงั ขารขนั ธ หมายถงึ เจตสกิ ๕๐ ดวงนอกจากเวทนาและสญั ญา๑๒ นั่นก็คือรวมไปถงึ เจตนา โลภะ โทสะ โมหะ เปนตน ขณะเกิดสงั ขารขันธ น้ันชาวโลกมักรูสึกวา เปน ตวั เราอยเู สมอ เชน เมื่อตง้ั ใจทาํ อยางใดอยา ง หนง่ึ มกั รสู กึ วา เปน ตวั เราทปี่ ระกอบดว ยเจตนา เมอื่ เกดิ ความชอบใจหรอื ความโลภก็เปนตัวเราที่กําลังชอบอยู ขณะเกิดความโกรธก็เปนตัวเราท่ี กําลังเกิดโทสะอยู ในทุกขณะดังกลาวถือวาสังขารขันธเหลาน้ีเปนที่ต้ัง ของตณั หาและทิฏฐิ นอกจากน้ัน วญิ ญาณคอื สภาวะรูอารมณทางทวาร ๖ กลาวคือ ในขณะเห็น ไดยิน รูกลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส หรือนึกคิด ชาวโลก มกั รับรูถึงสภาวะโดยมีความยึดตดิ ผกู พนั วาเปน ตวั เราท่ีกาํ ลังเหน็ ไดย ิน รูกลิ่น ล้ิมรส กระทบสัมผัส หรือนึกคิดเรื่องราวตางๆ ในขณะน้ันเรา ประกอบดวยตัณหาที่พึงพอใจสิ่งเหลาน้ันและทิฏฐิที่เขาใจผิดวาเปน ตัวเรา ๒๖๗

ÀÒÃÊٵà รูปขนั ธเปนของหนัก ในพระสูตรนพี้ ระพุทธองคตรสั วาขนั ธ ๕ เปนของหนกั แตคน ทวั่ ไปมกั ไมค ดิ วา มนั เปน ของหนกั ตอ เมอื่ เราแกช ราขน้ึ มาเดนิ ไมไ หวแลว ตาก็มองเห็นไมชัดเจน หูกไ็ ดยนิ ไมชัดเจน เราถึงเรมิ่ เขา ใจวาขนั ธ ๕ เปน ของหนกั เปน ของทไ่ี มน า ยนิ ดี แตใ นขณะทเ่ี รายงั อยดู มี สี ขุ อยนู เ้ี รากเ็ ขา ใจ ผิดวา ขนั ธ ๕ เปน ของท่ีนา เพลดิ เพลินยนิ ดีไมใชของหนกั แตอยา งใด รูปขันธคอื ตา หู จมูก ล้ิน กาย ประกอบมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน นา้ํ ไฟ ลม จะเห็นไดว า :- ก. ธาตุดนิ มีลกั ษณะแขง็ /ออน เชน กลา มเนื้อ เสนเอน็ กระดกู ผม ขน เลบ็ ฟน หนัง เหลาน้ีจัดเปน ธาตดุ ิน ข. ธาตนุ า้ํ มลี กั ษณะเกาะกมุ เปน รปู รา งตา งๆ รวมไปถงึ นาํ้ เลอื ด นา้ํ หนอง หรอื น้ําลายเปนตนที่มลี กั ษณะไหล เหลา นจี้ ดั เปนธาตุนา้ํ ค. ธาตุไฟมีลักษณะเย็น/รอน เปนอุณหภูมิในรางกายซึ่งข้ึนๆ ลงๆ ไมส มํ่าเสมอกัน ฆ. ธาตุลมมีลักษณะหยอน/ตึง หรือเคลื่อนไหว ซึ่งปรากฏใน รา งกาย ๒๖๘

ÀÒÃÊٵà คนท่ัวไปตองดูแลรักษารางกายอยูทุกวัน พอตื่นข้ึนก็ตองลาง หนา แปรงฟน อาบน้ํา หาอาหารใหรางกาย ถา ยงั ไมอ ิ่มก็ตอ งหากนิ ให อม่ิ มสี ภุ าษติ พมา บทหนงึ่ กลา ววา “ทอ งกวา งคบื หนงึ่ ลกึ ดง่ั มหาสมทุ ร” หมายความวา ทอ งของเรากวางเพยี งคบื เดยี ว แตลกึ เหมอื นมหาสมทุ ร ถมเทาไหรก็ไมเต็ม เราตองพยายามหาอาหารถมทองนี้ต้ังแตเกิดจนถึง ตาย เวลานุงหมเสื้อผา ชาวโลกมักใชเสื้อผาท่ีสวยงามทันสมัยเทียบ เทา กับบคุ คลอ่ืน ไมนุง เสอื้ ผา ขาด หรอื เกา ครา่ํ ครา ถาเสือ้ ผา ท่ใี ชสอยไม สวยงาม เราก็พยายามแสวงหาเส้ือผาใหสวยงามเพื่อปรนเปรอรางกาย อยตู ลอดเวลา ถา รา งกายนถี้ กู ฝนหรอื กระทบกบั ความเยน็ กเ็ ปน ไข หรอื เมอื่ อยู กลางแดดนานๆ ถกู แดดเผา ก็เปนไขตัวรอ น ดงั นนั้ เพอ่ื ใหร า งกายนีอ้ ยู อยา งสขุ สบาย ชาวโลกจงึ แสวงหาทอ่ี ยคู อื บา น และแสวงหาเครอื่ งอาํ นวย ความสะดวกตา งๆ เพ่อื ปรนเปรอรา งกาย แมชาวโลกจะรักษาดูแลปรนเปรอรางกายน้ีเพียงใด แตมัน มิไดซ ื่อสตั ยต อเรา มิไดเปนไปในอํานาจของเรา ทุกคนอยากเปนหนุม สาวตลอดไป แตก ็ไมอาจเปนเชนนนั้ ได ตอ งแกลงทุกวนั ดวงตาของเรา กเ็ ชน กนั เราอยากมดี วงตาทสี่ ดใสอยตู ลอดไป แตส กั วนั หนง่ึ มนั กฝ็ า ฟาง ไมเ ชอ่ื ฟงคําส่งั ของเรา เราอยากใหห ไู ดย นิ เสยี งชดั เจนอยตู ลอดเวลา พอ นานไปหูเราก็เร่ิมไดยินเสียงไมชัดเจน เราอยากมีผมดกดําอยูเสมอ สัก วนั หนงึ่ ผมเรากจ็ ะขาว ดงั นเี้ ปน ตน เราอยากจะใหม นั คงอยใู นสภาพทเ่ี รา ๒๖๙

ÀÒÃÊٵà ตองการอยูตลอดไป แตรางกายน้ีไมไดเปนเชนนั้น มันไมไดซ่ือสัตยตอ เรา และมันก็ดําเนินไปสูความแก ความเจ็บไข และความตายตาม ธรรมชาติของมนั เอง จะเหน็ ไดว า รา งกายนมี้ ไิ ดซ อื่ สตั ยต อ เรา เนอ่ื งจากพระพทุ ธองค ตรสั เปรียบธาตุ ๔ คือ ดิน น้าํ ไฟ ลม วา เหมอื นงูพิษ ๔ ตวั ดงั ตอไปน้ี งูพิษตัวแรกเรยี กวา กัฏฐมุขะ (งปู ากไม) หมายถึง ธาตดุ นิ เปน งูที่กัดแลวทําใหคนถูกกัดตัวแข็งตาย ธาตุดินที่มีลักษณะแข็งหรือออน ก็เชนเดียวกัน เมื่อมันแปรปรวนก็ทําใหรางกายแปรปรวนในลักษณะ ของความแข็ง เชน เกิดผดผื่นตุมคันตามรางกาย หรือเกิดเน้ือรายคือ มะเร็ง งูพษิ ตัวท่ี ๒ เรียกวา ปตู มิ ขุ ะ (งปู ากเนา ) หมายถึง ธาตุน้ํา เปน งูที่กัดแลวทําใหคนถูกกัดมีน้ําหนองเนาไหลออกจากตัวกอนจะตายไป จะเหน็ ไดวา เม่อื ธาตุนํ้าแปรปรวน เรามักถา ยทอง งูพิษตวั ท่ี ๓ เรยี กวา อคั คมิ ุขะ (งูปากไฟ) หมายถงึ ธาตไุ ฟ เปน งูท่ีกัดแลวทําใหคนถูกกัดตัวรอนและตายไป จะเห็นไดวา เมื่อธาตุไฟ แปรปรวนในเวลาเปนไข อุณหภูมิในรางกายจะเกิดการแปรปรวน เย็น บา ง รอ นบา ง งูพิษตวั ที่ ๔ เรียกวา สตั ถมขุ ะ (งปู ากมีด) หมายถงึ ธาตลุ ม เปน งูที่กัดแลวทําใหคนถูกกัดรูสึกเหมือนถูกมีดกรีดตามรางกายแลวตายไป และหลังจากเสียชีวิตแลวอวัยวะตางๆ ในรางกายยอมหลุดลุยกระจัด ๒๗๐

ÀÒÃÊٵà กระจาย จะเหน็ ไดว า เมื่อธาตลุ มแปรปรวน กท็ าํ ใหร างกายเคลอื่ นไหว ผดิ ปรกตโิ ดยเปน โรคอมั พฤกษ อัมพาต หรอื อาเจียน จะเหน็ ไดว า รปู ทเ่ี ราเขา ใจวา เปน สง่ิ ทด่ี งี ามและรกั ษาปรนเปรอ มันตลอดเวลาดวยการใหอาหาร หาเคร่ืองอุปโภคบริโภคซ่ึงเปนเส้ือผา เคร่อื งนงุ หม และสถานทีพ่ ักเพอ่ื ดแู ลมนั นบั วา เราทําเพื่อรางกาย แตมนั มไิ ดซ ื่อสตั ยก ับเรา นอกจากนน้ั ลองคิดดวู าสัตวเ ดรจั ฉานตอ งแสวงหาอาหารดว ย การกินสัตวอ่ืน ภาวะของสัตวเดรัจฉานนั้นถือวาเปนภาวะท่ีทุกขระทม อยา งยง่ิ เนอ่ื งจากสตั วเ หลา นนั้ มไิ ดเ กดิ ตายตามธรรมชาตขิ องมนั เอง สตั ว กินเนื้อมักตองตายดวยสัตวอ่ืนท่ีแข็งแรงกวาในวันใดวันหนึ่ง จะเห็นได วา จระเขห รอื เสอื สงิ โตเปน ตน มไิ ดแ กต ายตามธรรมชาติ เมอ่ื มนั แกต วั ลง จระเขอาจถูกเสือกินบาง เสืออาจถูกจระเขกินบาง หรือจระเขอาจถูกงู กินบาง เปนตน เมื่อสัตวเหลานั้นตางกินกันและกันเชนนี้ มันก็จะตาย ดว ยโทสะ และเมอื่ ตายดว ยโทสะ การทสี่ ตั วเ หลา นน้ั จะไปเกดิ ในสคุ ตภิ มู ิ ยอ มเปนไปไดยาก ดวยเหตุนี้ พระพุทธองคจึงตรสั วา ผทู ีไ่ ปเกดิ เปนสัตวด ริ จั ฉาน แมเ พยี งภพเดยี ว การกลบั มาเกดิ เปน มนษุ ยข องเขาเปน สงิ่ ทแี่ สนยาก มาก เพราะสัตวเหลานั้นมักเสียชีวิตดวยโทสจิตท่ีผูกพยาบาทตอสัตวท่ี ทาํ รา ยตน พวกมนั จงึ เปน จองเวรกนั คอยทาํ ลายลา งกนั แบบนต้ี อ ไปไมม ี ท่สี ้ินสุด ๒๗๑

ÀÒÃÊٵà ตามทีก่ ลา วมาน้ี เมื่อธาตุ ๔ แปรปรวน ชาวโลกเปรยี บเหมอื น คนถกู งพู ษิ กดั ทาํ ใหเ กดิ ทกุ ข ดงั นน้ั รปู ขนั ธจ งึ เปน ของหนกั อยา งหนงึ่ ซง่ึ ชาวโลกตอ งแบกหามอยูต ลอดเวลาตราบเทาที่ยงั มชี วี ติ อยู เวทนาขันธเ ปนของหนกั เวทนาขันธเปนของหนักเชนเดียวกัน กลาวคือ ในบางขณะ ชาวโลกรสู กึ ดใี จบา ง เสยี ใจบา ง แตค วามรสู กึ ดใี จนน้ั มไิ ดป รากฏอยเู สมอ ไมมีใครพบเห็นอิฏฐารมณตลอดเวลา สุขดังกลาวมิใชสุขถาวรที่แทจริง มันเกิดข้ึนเพียงช่ัวขณะมิไดคงอยูตลอดไป นอกจากน้ัน แมเราไดรับ ความสุขอยางหน่ึงก็ตองการรักษาความสุขที่ไดมานั้นใหคงอยูกับเรา ตลอดไป อีกทั้งตองการไดรับความสุขอ่ืนย่ิงๆ ข้ึนไป นี้คือความเปน ของหนักของสขุ เวทนา สุขเปรียบไดกับหางงู สวนทุกขเปรียบไดกับหัวงู เมื่อจับหัวงู งูก็กัดเอา แตเวลาท่ีจับหางงู งูก็กัดเอาเชนเดียวกัน เพียงแตเวลากัด ของงอู าจจะชา ลงกวา เดมิ ทงั้ นเ้ี พราะสขุ กบั ทกุ ขเ ปน สงั ขตธรรม คอื ธรรม ท่ีมีปจจัยปรุงแตง มันเกิดข้ึนตามเหตุปจจัยและดับลงตามเหตุปจจัย เชน กนั ในขณะท่อี าตมาเดนิ ทางไปศึกษาปรยิ ัตธิ รรมทป่ี ระเทศพมา ได พํานักอยูท่ีเมืองแปร ทานอาจารยพาราณสีสยาดอ (พระอานันท- ๒๗๒

ÀÒÃÊٵà ปณ ฑติ าภวิ งศ) มกั สงั่ สอนลกู ศษิ ยว า ความสขุ ทนไดย าก ความทกุ ขท น ไดงาย หมายความวา ทุกคนอดทนตอความสุขไดยากกวาความทุกข เพราะเวลามสี ขุ ชาวโลกมกั อยากไดร บั สขุ ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป แตเ มอ่ื มที กุ ขก ต็ อ ง อดทน ถาอดทนไมไ ดก ็ตองทนอด ในเวลาทม่ี ีสุขนนั้ คนสว นใหญมกั หลง ระเริงกับความสุขที่ได ทุกคนจึงอดทนตอความสุขไดยากและอดทน ตอความทุกขไดงายกวา เม่ือประสบอนิฏฐารมณทางกาย ชาวโลกมักรูสึกเปนทุกขทาง กาย เชน ปวดหัว ปวดฟน หิวกระหาย นอนไมพอ บางครั้งก็เกิด อนิฏฐารมณทางใจโดยความรูสึกหงุดหงิดรําคาญใจ เสียใจ ไมพอใจ เหลา นถี้ อื วา เปน ทกุ ขท างใจ เปน สง่ิ ทท่ี กุ คนไมช อบใหเ กดิ ขน้ึ ในบางขณะ ตองพลัดพรากจากญาติพี่นองที่รัก เราตองเศราโศก รองไห เสียใจ เหลานถ้ี อื วา เปนของหนักของทุกขเวทนา แมขณะท่ีประสบเวทนาปานกลาง ไมสุขไมทุกข เราก็อยากได รบั ความสุขยิง่ ๆ ข้นึ ไป เพราะทกุ คนนอ มไปในความสขุ ดงั น้ัน อุเบกขา เวทนาจึงเปนของหนกั ตามคาํ สอนในศาสนาพทุ ธ พระพทุ ธองคต รสั แนะนาํ ใหช าวพทุ ธ นัน้ ไมห ลงระเรงิ เพลิดเพลนิ ตอความสขุ จนเกนิ พอดี และตองรูจกั อดทน ไมเ ศรา โศกตอความทุกขทมี่ ากระทบใจ สงิ่ นเี้ รียกวา อุเบกขาบารมี คอื การวางใจเปนกลาง กลาวคือ โดยท่ัวไปคนสวนใหญมักจะหลงระเริง เพลดิ เพลนิ กบั ความสขุ ทไี่ ดร บั มากอ น และปรารถนาไดร บั สขุ ยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป เราจึงเอาเวลาไปแลกงาน เอางานมาแลกเงิน แตเม่ือไดเงินแลวเรา ๒๗๓

ÀÒÃÊٵà ไมอ าจใชเ งนิ นน้ั มาแลกเวลาทส่ี ญู เสยี ไปได เพราะสงิ่ ทม่ี คี า ทสี่ ดุ ในชวี ติ มนษุ ยก็คือเวลานนั่ เอง พระพทุ ธองคต รัสความสําคญั ของเวลาวา กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตตฺ นา โย จ กาลฆโส ภูโต ส ภตู ปจินึ ปจิ.๑๓ “กาลเวลายอ มกนิ เหลา สตั วท ง้ั ปวงพรอ มกบั ตนเอง ผใู ดกนิ กาล เวลาได ผูน ั้นชอื่ วา เผาตัณหาท่เี ผาเหลา สัตวไ ดแ ลว ” ขอ นห้ี มายความวา กาลเวลากนิ ชาวโลกโดยนาํ ไปสชู รา พยาธิ และมรณะ พรอมท้งั กินตัวเอง คือ วนิ าทีกินนาที นาทีกินชว่ั โมง ชั่วโมง กนิ วนั วนั กนิ เดอื น เดอื นกนิ ป แตพ ระอรหนั ตเ ปน ผกู นิ กาลเวลาได เพราะ ทานไมถือวาถูกนําไปสูชรา พยาธิ และมรณะ เน่ืองจากทานรอเวลา ปรนิ พิ พานเพือ่ การไมเกดิ อีก เหมอื นลูกจางรอรบั คาจา ง๑๔ เราใชเงินซอื้ เวลาทล่ี วงเลยไปแลวไมได ใชฤทธย์ิ อนเวลากไ็ มไ ด พระพุทธเจา พระปจเจกพุทธเจา เปนตน แมทรงฤทธิ์ยิ่งใหญเพียงใด ก็ตองปรินิพพาน ไมอาจคงอยูตลอดไป และเราไมอาจยอนเวลาดวย เครอ่ื งมอื ทางวทิ ยาศาสตร ดงั นน้ั จงึ ไมค วรหลงระเรงิ ในขณะเกดิ สขุ และ ไมควรเศราโศกเสียใจจนเกินไปในขณะเกิดทุกขวา เหตุใดทุกขนี้จึงเกิด กับเรา ไมเ กดิ กับผูอน่ื ทุกคนเกิดมาเพื่อชดใชกรรมเกาและทํากรรมใหม ไมมีความ บังเอญิ ในโลกน้ี สมมตุ ิวา เราไปตีหัว นาย ก. พอนาย ข. พบเรา ก็อาจ ๒๗๔

ÀÒÃÊٵà หมั่นไสม าตีหัวเราก็ได ถึงไมมนี าย ข. ก็มีนาย ค. แมจ ะไมมีใครเลยเรา อาจหกลม หวั แตกได สงิ่ นค้ี อื กรรมทสี่ ง ผลใหไ ดร บั ทกุ ขต า งๆ ทางรา งกาย หรอื จติ ใจ มีขอ ความเกย่ี วกบั การเจริญอเุ บกขาบารมวี า สขุ ปปฺ ตฺโต น รชฺชามิ ทกุ เฺ ข น โหมิ ทุมฺมโน สพพฺ ตฺถ ตลุ ิโต โหมิ เอสา เม อเุ ปกฺขาบารม.ี ๑๕ “เมือ่ ไดรับสขุ เราไมยินดี เมอ่ื ไดร บั ทกุ ขก ็ไมเ สยี ใจ มจี ติ สมดุล กันเหมือนตาช่งั ในสขุ และทุกขท ง้ั ปวง น้ีคืออุเบกขาบารมีของเรา” สัญญาขันธเ ปนของหนัก สัญญาขันธเปนของหนักเชนกัน สัญญาคือความจําไดหมายรู หมายความวา ในขณะที่ตาเห็นภาพอยางใดอยางหนึ่ง สัญญาเหมือน กลอ งถา ยรปู ทถ่ี า ยภาพเกบ็ ไว หรอื เมอ่ื หไู ดย นิ เสยี ง สญั ญากเ็ กบ็ เสยี งนน้ั ไว เพอ่ื ทาํ ใหจ าํ ไดว า สง่ิ นน้ั คอื อะไรในโอกาสตอ ไป แมก ลน่ิ รส หรอื สมั ผสั รวมไปถงึ ธรรมารมณค อื มโนสมั ผสั กเ็ ชน เดยี วกนั สญั ญาทเี่ กดิ รว มกบั จติ นี้ถายภาพเก็บไวอยูในกระแสจิตของเราตลอดเวลา เมื่อเราไดพบกับ สิ่งนั้นอีก หรือเมอื่ หวนระลึกถงึ ส่งิ เหลา นน้ั ก็สามารถจําได นค้ี ือลกั ษณะ ของสัญญา ซึ่งเปน เจตสกิ ดวงหนง่ึ ทําหนา ท่ีจาํ ไดห มายรู ๒๗๕

ÀÒÃÊٵà เมอื่ สัญญาบันทึกหรือจาํ ไดห มายรู คอื ทาํ เคร่อื งหมายไว เวทนา ยอ มเกดิ ขนึ้ เพอ่ื ทาํ หนา ทร่ี สู กึ ถงึ สง่ิ ทก่ี าํ ลงั พบอยู เมอื่ เวทนาเกดิ ขน้ึ กเ็ กดิ ตัณหาคือความยินดีพอใจ จากนั้นจึงกอใหเกิดกรรมเพื่อแสวงหาสิ่งที่ ตอ งการ ดงั นัน้ จึงเกิดทกุ ขตามมา ถาสัญญาไมไ ดบนั ทึกไว ไมไ ดห มายรู ไวเชนน้ี เวทนายอ มเกดิ ขึน้ ไมไ ด เชน ถาสญั ญาหมายรูเสียงทไ่ี พเราะ เรา ก็รูวาเสียงนี้เปนเสียงท่ีเราชอบ ดังนั้น สัญญายอมเปนเหตุใหเกิดสุข เวทนา สขุ เวทนายอ มกอ ใหเ กดิ ตณั หา ตณั หายอ มกอ ใหเกิดกรรมตอ มา น้ันเอง จึงถือวาสัญญาเปนเหตุใหเกิดเวทนา ตัณหา และกรรมเปน ประการตอมา สญั ญาจงึ นับวาเปนของหนกั อยา งหน่งึ ในบางขณะสญั ญาอาจจาํ ไดห มายรอู ยา งไมถ กู ตอ ง จงึ กอ ใหเ กดิ ความทกุ ขแ กต นเองเปน อยา งมาก เพราะชาวโลกนน้ั ตา งมสี ญั ญาวปิ ลาส คือการแปรปรวนแหงสัญญา เปนความจําไดหมายรอู ยา งผดิ พลาด คือ เขาใจผิดวาส่ิงที่ไมเท่ียงเปนของเท่ียง ส่ิงที่เปนทุกขวาเปนสุข ส่ิงท่ีเปน อนัตตาวาเปนอัตตา และสิ่งท่ีไมสวยงามวาสวยงาม ชาวโลกประกอบ ดว ยสญั ญาวปิ ลาสเชน นจี้ งึ เขา ใจวา สรรพสงิ่ ทงั้ หลายเปน ของเทย่ี ง เปน สขุ เปน อัตตา และสวยงาม จะเห็นไดวา เราเขา ใจผิดวา สามารถทีจ่ ะทําให รูปนามเปนไปตามที่ตองการ ถึงรูปรางไมสวยงามก็ปรุงแตงใหสวยงาม หรือประดับตกแตงรางกายเทาท่ีทําไดดวยอํานาจของสัญญาวิปลาส น่ันเอง ในสมยั หนง่ึ ทา นพระวงั คสี ะไดพ บเหน็ อารมณภ ายนอกทส่ี วยงาม แลวเกิดราคะขึ้น จึงเขาไปถามทานพระอานนทวา ทานเกิดราคะแลว ๒๗๖

ÀÒÃÊٵà ควรปฏิบตั อิ ยางไร๑๖ ในขณะนน้ั ทานพระอานนทตอบวา สฺาย วิปริเยสา จติ ฺตํ เต ปริทยหฺ ติ นิมิตตฺ ํ ปรวิ ชฺเชหิ สุภํ ราคปู สหฺ ติ .ํ ๑๗ “จิตของทา นเรา รอน เพราะความสาํ คัญผิด ทานจงละทิง้ นิมติ วา งามซง่ึ ประกอบดวยราคะ” นั่นก็คือ ชาวโลกถูกสัญญาบิดเบือนความจริงของชีวิต ทําให เขาใจผิดสิ่งท่ีไมสวยงามวาสวยงาม ราคะจึงเกิดขึ้น แตเมื่อเขาใจอยาง ถูกตองวา รูปนามเหลานน้ั เปน ของไมเ ท่ียง เกิดดบั ตลอดเวลา เปนทกุ ข ไมใชสขุ ถาวร เปน อนัตตาทบ่ี งั คับบญั ชาไมได และไมสวยงาม เม่ือเปน เชน นัน้ ราคะยอมเกดิ ขนึ้ ในจิตไมไ ด สัญญาทีแ่ ปรปรวนน้ีเปรียบไดกับหุนไลก า เมื่ออกี า กวาง หรอื เน้ือทรายเห็นหุนไลกา พวกมันมักตกใจแลววิ่งหนีเพราะเขาใจผิดวา เปน คน ชาวโลกกเ็ หมอื นกนั สญั ญาทเี่ ขา ใจกนั นส้ี ว นใหญเ ปน ความเขา ใจ ท่ไี มถูกตอ งตามจติ ทั่วไปของปุถุชนคือคนกิเลสหนาปญญาหยาบ ดังนนั้ จงึ เกิดการแปรปรวนของสญั ญา สญั ญาจงึ เปน ของหนกั อยางหน่ึงซ่ึงเรา ตองแบกหามอยูตลอดเวลา และตราบใดที่เรายังมีสัญญาท่ีเปนตนเหตุ ใหเ กดิ เวทนาอันกอ ใหเกดิ ตณั หาและกรรม หรอื ยังมสี ญั ญาที่แปรปรวน อยูเชนน้ีตามลักษณะของปุถุชนท่ัวไป เราก็ตองเวียนวายตายเกิดอยูใน ทางกนั ดารแหง สงั สารวฏั ซงึ่ ถกู ความแก ความเจบ็ และความตายบบี คนั้ อยตู ลอดเวลา ๒๗๗

ÀÒÃÊٵà ที่พมามีเรื่องเลาวา ในสมัยกอนมีพอคากลุมหน่ึงไดเดินทาง คาขายในหมูบานชนบท ครั้งหน่ึงขณะท่ีเดินทางอยู ไดพบกับหมูบาน กันดารแหงหนึ่ง และในหมูบานนั้นไมมีไฟฟาใช ชาวบานไดเอาอาหาร มาเล้ียงพอคากลุมนั้นซ่ึงถือวาเปนแขกของหมูบาน มีอาหารชนิดหน่ึง คลายๆ วุนเสนยาวๆ นุมๆ อรอยมาก พอคาบางคนจึงเก็บไวเพื่อรับ ประทานในตอนเชาตอไป พอรงุ เชา พวกเขาพบวา วนุ เสน ทกี่ นิ อรอ ยนนั้ กค็ อื ไสเ ดอื นนนั่ เอง ทําใหทุกคนอาเจียนกันออกมาหมดเพราะไมรูวาเปนแกงไสเดือน ตวั อยา งนถ้ี อื วา เปน สญั ญาวปิ ลาสทเ่ี ขา ใจผดิ วา ไสเ ดอื นเปน อาหารอรอ ย ชาวโลกกเ็ หมอื นกนั เรามสี ญั ญาวปิ ลาสอยตู ลอดเวลา จติ ของเราเรา รอ น ถูกความโลภ โกรธ หลงเผาผลาญอยูตลอดเวลาดวยอํานาจของสัญญา วปิ ลาสนน้ั เอง พระพทุ ธองคจ งึ ไดต รสั ถงึ การเจรญิ อสภุ สญั ญา คอื ความสาํ คญั วา ไมส วยงาม การเจรญิ อนจิ จสญั ญาคอื ความสาํ คญั วา ไมเ ทยี่ งการเจรญิ สพั พโลเก อนภริ ตสิ ญั ญา คอื ความสาํ คญั วา ไมน า เพลดิ เพลนิ ยนิ ดใี นโลก ทงั้ หมด และอาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา คอื ความสาํ คญั วา อาหารเปน สง่ิ ปฏกิ ลู พระพุทธองคตรัสเรื่องนี้ไวในพระสูตรบางสูตร เพื่อใหผูปฏิบัติธรรม สามารถกาํ จดั สญั ญาวปิ ลาสดังกลา ว เพราะเหตนุ ี้ พระพทุ ธองคจ งึ ไดต รสั สอนใหผ ปู ฏบิ ตั เิ จรญิ สญั ญา ๕ อยา ง๑๘ คือ ๒๗๘

ÀÒÃÊٵà ก. อสภุ สญั ญา คอื สญั ญาวา เปน สงิ่ ทไี่ มส วยงามเพอื่ กาํ จดั ราคะ ข. อาหาเรปฏกิ ลู สัญญา คอื สญั ญาวาเปน สงิ่ ปฏกิ ูลไมส วยงาม ในอาหารเพอ่ื บรรเทาความยึดติดผกู พันในรสชาติของอาหาร ค. สพั พโลเก อนภริ ตสิ ญั ญา คอื สญั ญาวา สรรพสง่ิ ในโลกทงั้ หมด ไมนายินดีเพื่อคลายตัณหาในโลกซ่ึงก็คือโลกภายในและโลกภายนอก (โลกภายใน หมายถึง รางกายที่กวางศอกยาววาหนาคืบ อันประกอบ ดวยขนั ธ ๕ สว นโลกภายนอก คือ คน สตั ว บคุ คล สิง่ ของตางๆ) ฆ. อนจิ จสัญญา คอื สญั ญาวา ไมเ ท่ียงเพื่อปลอยวางและเขาใจ อยางถกู ตอ งวา รูปนามเปนของไมเท่ยี ง ง. มรณสัญญา คอื สัญญาวาเราตอ งตายเพื่อความไมประมาท ในชวี ติ เมอื่ ผปู ฏบิ ตั ไิ ดเ จรญิ สญั ญา ๕ อยา งเหลา นี้ เรากจ็ ะคอ ยๆ ปลอ ย วางความยึดติดวามีตัวตน ปลอยวางความยึดติดในรูปนามของตนและ ผูอื่น สงผลใหตัณหาลดนอยลง เมื่อตัณหาลดนอยลงเชนน้ี เราก็จะไม ขวนขวายทํากรรมเพื่อแสวงหาส่ิงที่ตนตองการดวยอํานาจของตัณหา ซึ่งมสี ัญญาเปน มลู เหตุน้ันเอง ๒๗๙

ÀÒÃÊٵà สงั ขารขนั ธเ ปนของหนกั ของหนักประการตอไปคอื สงั ขารขันธ ไดแก เจตนา ความต้ังใจ และสภาวะอ่ืนๆ อกี หลายประการท่ีเกิดรว มกับจติ สงั ขารขันธเ ปนสงิ่ ที่ เกิดขน้ึ อยเู สมอในขณะท่ีรับรูร ปู เสียง กลนิ่ รส สมั ผัส และนกึ คดิ ใน ขณะน้นั จะเกดิ สังขารขึน้ มาดว ย สงั ขาร แปลวา สภาวะปรงุ แตง เชน ความโลภปรงุ แตงลกั ษณะ พอใจในเชงิ บวก ดังขอ ความวา โลโภ อารมฺมณคฺคหณลกฺขโณ๑๙ (ความ โลภมีลักษณะยึดอารมณ) โทสะปรุงแตงลักษณะไมพอใจในเชิงลบ ดัง ขอความวา โทโส จณฺฑิกฺกลกฺขโณ๒๐ (โทสะมีลักษณะดุราย) อโลภะ (ความไมโ ลภ) คือ จาคะ ปรงุ แตงลักษณะไมย ึดตดิ ผูกพัน๒๑ เชน เวลาให ทานเปนขณะที่ประกอบดวยอโลภะ ถาคนใหยังยึดติดสิ่งของอยู เขาก็ ใหท านไมได หรืออโทสะ คือเมตตา ทําใหร ูสกึ ปรารถนาดี ไมมีลกั ษณะ ดุรา ย นอกจากน้ันยังมีสังขารขันธอีกหลายอยาง เชน เจตนา ความ ตั้งใจ ฉันทะ ความตองการ ฯลฯ ในขณะเกดิ สังขารขันธเ หลา นี้ ชาวโลก มักเกิดความโลภ โกรธ หลง หรือความไมโลภ ไมโ กรธ ไมหลง (ปญญา) เจตนา และ ฉนั ทะ เปนตน ในขณะนัน้ ไมว า สงั ขารนน้ั จะเปนอะไรก็ตาม สญั ญายอ มเกดิ ขนึ้ รว มดว ย ทาํ ใหบ คุ คลนน้ั เกดิ ตณั หา เพราะสญั ญาเปน ๒๘๐

ÀÒÃÊٵà เหตุใหเกิดเวทนาที่รูสึกดีหรือไมดี เวทนาทําใหเกิดตัณหาท่ีพึงพอใจ ตัณหาทําใหเกิดอุปาทานท่ียึดไวสละไมได สงผลใหทํากรรมเพราะ อปุ าทานนน้ั ในขณะทคี่ วามโลภเกดิ ขน้ึ บุคคลอาจฆา สตั วห รอื ลกั ทรพั ยดวย ความโลภ การกระทาํ กรรมดว ยการฆา สตั วหรอื ลักทรพั ยน ้ี มสี าเหตมุ า จากความโลภท่ีเปนกรรมช่ัวอันจะสงผลใหไปเกิดในภพไมดีตอไป หรือ ในขณะใหทานดวยอโลภะ ก็ยอมสงผลดีในอนาคตชาติ บางคนอาจ ปรารถนาวา ขอใหไปเกิดเปนเทวดา ขอใหเกิดเปนเศรษฐีร่ํารวยในภพ ตอ ไป หรือแมแ ตจ ะไมป รารถนาก็ตาม แตท านจะสง ใหไ ปเกดิ ในภพทีม่ ี ความสขุ ตอ ไป ตราบทก่ี รรมและกเิ ลสคอื อวชิ ชาและตณั หายงั มอี ยู กรรม คอื การใหท านสง ผลใหเ ราไดรับขันธ ๕ ในภพตอ ไป เมื่อไปเกดิ ใหมชาว โลกตอ งแก เจบ็ ตาย ไมอ าจพน ไปจากความแก ความเจบ็ และความตาย ได ดังน้นั ไมว าสังขารขันธจ ะเปน บุญหรอื บาป กเ็ ปนสาเหตใุ หท ํากรรม และกรรมนน้ั ยอ มสง ผลใหม ขี นั ธในภพใหม ทาํ ใหการเวยี นตายเวยี นเกดิ หมุนรอบเปน วงตอ ไปไมส ้ินสุด ดวยเหตุนี้ พระพุทธองคจ งึ ตรัสวา สพพฺ ปาปสสฺ กรณํ กุสลสฺส อปุ สมฺปทา สจิตตฺ ปรโิ ยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ.๒๒ “ไมค วรทาํ ความชว่ั ทกุ อยา ง ทาํ แตค วามดี ทาํ ใจใหผ อ งใส นเ้ี ปน คําสอนของพระพุทธเจาท้ังหลาย” ๒๘๑

ÀÒÃÊٵà ขอ นหี้ มายความวา แมช าวโลกจะไมท าํ ชวั่ กระทาํ แตค วามดี แต การเวียนตายเวยี นเกดิ ก็ยังคงอยู ดงั นนั้ เพื่อกาํ จดั สงั สารวัฏจงึ ตองทําใจ ใหผองใส กลาวคือ เมื่อบรรลุความเปนพระอรหันตแลวจึงกําจัดกิเลส และกรรมทุกอยางได ดังขอความวา กุสลากุสลํ ชห๒ํ ๓ (ผูสละบุญและ บาปได) นัน่ กค็ ือพระอรหนั ตไมมที ้ังบญุ และบาป ทานจึงไมไปเกดิ อีกตอ ไป ไมต องไดรับขนั ธอ กี ในภพใหม วิญญาณขันธ ของหนักประการสุดทายคือวิญญาณขันธ หมายถึง จิตท่ีรับรู อารมณท างทวาร ๖ คือ ตา หู จมกู ล้นิ กาย และใจ ในขณะที่ชาวโลกรู อารมณเหลานี้ถือเปน ขณะที่แบกของหนัก จะเห็นไดวา บางครั้งจติ ของ เราเปน สขุ บา ง ทกุ ขบ า ง รสู กึ หงดุ หงดิ ไมพ อใจ ไมส บายใจ ผดิ หวงั เรา รอ น กระวนกระวาย หรอื เสียใจ คับแคนใจ เปน ตน แมจติ ของเราอาจรสู กึ เปนสขุ ในบางครงั้ แตความสุขมิไดต้งั อยู ในจิตตลอดไป วิญญาณขันธจึงถือวาเปนของหนักอยางหน่ึง สวนจิตท่ี เปน ทกุ ขท าํ ใหท กุ คนไมช อบใจ จงึ เปน ของหนกั ทปี่ รากฏชดั เจน นอกจาก น้ัน จิตทเี่ ปน สุขหรอื ทุกขม กั สงผลใหทาํ กรรมดีหรอื ไมดีดวยอํานาจของ จติ กรรมดงั กลาวยอมสงผลใหเ วยี นตายเวยี นเกดิ ตอไปไมสน้ิ สดุ ๒๘๒

ÀÒÃÊٵà ดวยเหตุน้ี ขันธ ๕ เหลานี้จึงเปนของหนัก ดังขอความใน ภารสูตรนี้วา ภารา หเว ปจกขฺ นธฺ า ภารหาโร จ ปุคฺคโล ภาราทานํ ทุขํ โลเก ภารนิกฺเขปนํ สุข.ํ ๒๔ “ขันธ ๕ เปนของหนักโดยแท บุคคลคือผูแบกของหนัก การ ถอื ของหนกั เปนทกุ ขในโลก การวางของหนกั เปน สขุ ” ตราบที่ชาวโลกยังมีขันธอยู เราตองแบกถือของหนักที่เปนรูป- ขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ และวิญญาณขันธ แตผูท่ีได บรรลธุ รรมเปนพระอรหันตไมตองเกิดอีก ทา นไมมีขันธ ๕ ทีจ่ ะตองดแู ล รกั ษาตอ ไป การวางของหนกั ไดจึงถือวาเปนสุขในโลก สรรพสตั วท วั่ ไปไมร ูวาขนั ธ ๕ เปนของหนัก จึงหลงเพลนิ ขนั ธ ของตนดว ยอาํ นาจของตณั หาทเี่ พลดิ เพลนิ ยนิ ดภี พและอารมณต า งๆ ตอ เมอื่ ประสบความแกช รา ตาฝา ฟาง ผมหงอก หูตึง หลงั คอม เดนิ ไมไหว เมอื่ นนั้ จึงคอ ยรูสกึ เบอื่ หนายรางกาย นอกจากนนั้ ในขณะเจบ็ ไข ปวดหวั ปวดฟน กไ็ มอ ยากมรี า งกาย แตก อ นทจ่ี ะปวดหวั ปวดฟน เรายังมีความยนิ ดีในรา งกายอยู ยังตกแตง บํารุงรักษาดูแลรางกายนี้อยางดีท่ีสุด ขณะปวยใกลเสียชีวิตจึงมักรูสึก วารางกายนี้เปนส่ิงที่ไมดีงาม เพราะตองพบกับทุกขเวทนาแสนสาหัส ปุถชุ นทวั่ ไปจงึ เพลิดเพลนิ ยินดใี นขนั ธดวยอาํ นาจของตณั หา อีกทง้ั ทํานุ บํารุงดูแลรักษาตลอดเวลาต้ังแตตื่นจนถึงหลับ ต้ังแตเกิดจนถึงตาย ๒๘๓

ÀÒÃÊٵà และไมเพียงในภพน้ีเทาน้ัน ในภพหนาก็ตองแบกของหนักนี้ติดตาม ตวั เราตอ ไปภพแลว ภพเลา ดงั นนั้ ขนั ธจ งึ มชี อื่ หนง่ึ วา ทกุ ข ซง่ึ เปน หนงึ่ ในทกุ ขสจั มรี ากศพั ท มาจาก ทุ (วา งเปลา) + ข (นารังเกยี จ) ตามคําอธบิ ายในคัมภีรว ิสุทธ-ิ มรรคมหาฏกี า๒๕ [คาํ วา ทุกขฺ ซอ น กฺ เปน กฺข เพราะสันสกฤตมาจาก ทรุ ฺ อปุ สรรค เปลี่ยน รฺ เปน วสิ รรชนีย จงึ มีรูปวา ทุะข] ขันธ ๕ น้ันวาโดย ยอ คอื รูปนาม ในบางแหง ใชเปน สังขาร คือ สภาวะถกู ปจ จยั ปรงุ แตง๒๖ ถาตรวจดูดวยธรรมจักษุและวิปสสนาปญญาที่รูเห็นตามความ เปน จริงจะพบวา ขันธ ๕ เหลา น้ันไรแกน สารเหมอื นกองแกลบ เพราะ เปน สภาวะทเี่ กิดดบั ตลอดเวลา จะเห็นวาจิตและนามคอื เวทนา สญั ญา สังขาร และวิญญาณท่ีเกิดรวมกับจิต เกิดดับเปนเวลาแสนโกฏิขณะใน ช่วั ขณะเพยี งลดั นว้ิ มือเดียว สว นรปู เกิดดบั ชากวานาม ๑๗ เทา ดังนน้ั เม่ือสภาวธรรมเหลานี้เกิดดับอยูตลอดเวลา ไมใชสุขถาวร นาอึดอัด นากลัว และไมใ ชอัตตาตวั ตน ไมอยูใ นอาํ นาจของเราทต่ี อ งการจะใหม ัน คงอยตู ลอดไปและเปน สขุ ทถี่ าวร จงึ ถือวาเปน อนตั ตา ผูมีปญญารูแจงเห็นจริงขันธ ๕ วาเปนของหนักดวยวิปสสนา ปญ ญาเชนนยี้ อมเห็นโทษของขันธ สง ผลใหม ุงม่ันเจริญวิปสสนาปญ ญา ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไปเพอื่ กาํ จดั ขนั ธด ว ยการกาํ จดั เหตเุ กดิ ของขนั ธค อื ตณั หานนั่ เอง ในคาถานี้พระพทุ ธองคต รัสวา ภารหาโร จ ปุคฺคโล (บุคคลคอื ผแู บกของหนกั ) หมายความวา ขนั ธ ๕ เกิดขน้ึ หลงั จากทเี่ หลาสัตวไ ดร ับ ๒๘๔

ÀÒÃÊٵà ปฏิสนธิแลว แตคนท่ัวไปไมเขาใจวาขันธ ๕ คือสภาวธรรม กลับเขาใจ วา เปน สัตว บคุ คล มนษุ ย เทวดา หรือพรหม เปน ตน ดังพระพุทธดํารัส ในพระสูตรน้วี า กตโม จ ภิกขฺ เว ภารหาโร ? “ปุคฺคโลติสสฺ วจนีย,ํ ยฺวายํ อายสฺมา เอวํนาโม เอวํโคตฺโต. อยํ วุจจฺ ติ ภิกฺขเว ภารหาโร.๒๗ “ใครคือ ผูแบกของหนกั ควรตอบวา บคุ คลคอื ผแู บก ของหนกั ไดแ ก ผมู ชี อ่ื หรอื โคตรอยา งนี้ บคุ คลนเี้ รยี กวา ผแู บก ของหนัก” บุคคลหรือสัตวโลกมีอยูจริงโดยสมมุติบัญญัติ ไมวาจะเปน สตั วดิรจั ฉาน มนุษย เทวดา หรือพรหม สิง่ มีชีวติ เหลานี้เรยี กวา บคุ คล โดยสมมุตบิ ัญญัติ ในเรอ่ื งนี้พระพทุ ธองคไ ดตรสั วา คือผทู ีม่ ีชอื่ หรอื โคตร อยา งน้ี ชาวอินเดียสมัยกอนมีช่ือกับนามสกุลมาชานานแลว เหมือน ชอื่ กบั นามสกลุ ของชาวตะวนั ตกนนั่ เอง เพราะชาวอนิ เดยี สบื เชอ้ื สายมา จากชาวอารยัน จะเห็นไดวา ชาวจีนมีแซที่แสดงถึงวงศตระกูลของตน แตคนไทยในสมัยกอนไมมีนามสกุล ภายหลังจึงมีนามสกุลขึ้นมา ท่ี ประเทศพมาน้ันยังไมมีนามสกุลใชจนถึงปจจุบัน แตในสมัยพุทธกาลมี นามสกลุ ซงึ่ กค็ อื โคตรน่นั เอง ๒๘๕

ÀÒÃÊٵà ตัวอยา งเชน พระพทุ ธเจา เราทงั้ หลายทรงพระนามวา สทิ ธัตถะ ตระกูลของพระองคคือโคตมะหรือโคดม ดังน้ัน พวกพราหมณจึงเรียก พระพทุ ธเจาวา พระสมณโคดม หรือพระโคตมะ การเรียกขานช่ือสกลุ เปนคําเรียกทั่วไปเหมือนการเรียกช่ือนามสกุลของฝรั่งที่ยังไมสนิทสนม กนั แมพระพุทธเจาของเราก็ตรสั เรียกพระราชบิดาของพระองคว าทา น โคตมะดว ยชอ่ื สกลุ ของพระองคเ อง มภี กิ ษบุ างรปู ในสมยั พทุ ธกาลไดเ รยี ก ทา นพระอานนทวาทานโคตมะดวยช่อื สกุลเชน เดยี วกัน พระมารดาเล้ียงของพระพุทธเจามีชื่อวา มหาปชาบดีโคตมี ชื่อจริงของพระนางคือ มหาปชาบดี เน่ืองจากอยูใ นโคตมโคตรจงึ ไดช ื่อ สกลุ วาโคตมี คําวา โคตมี เปน ชื่อเรียกสกุลสาํ หรับสตรี ในภาษาบาลมี ี ลงิ คห รือเพศทางไวยากรณ ถา เปนสตรที ีเ่ กดิ ในตระกูลโคตมะ กไ็ ดชื่อวา โคตมี โดยลง อี อิตถปี จ จัยเพ่ือแสดงเพศหญิง ดังนั้น ในสมัยกอนพระพุทธองคจึงตรัสวา บุคคลผูมีช่ือหรือ โคตรอยางนี้ ตามท่ีชาวโลกเรียกขานวาเปนบุคคล บุรุษ หรือสตรี แต ความจรงิ บคุ คลดงั กลา วไมม จี รงิ ตามสภาวะรปู นาม มเี พยี งรปู นามเทา นนั้ ทปี่ รากฏอยูจรงิ พระพทุ ธองคจึงตรสั สัจจะวามี ๒ ประเภท คือ ๑. สมั มตุ สิ ัจจะ ความจริงโดยสมมตุ ิ ๒. ปรมตั ถสัจจะ ความจริงโดยปรมตั ถ ๒๘๖

ÀÒÃÊٵà ดงั ขอ ความวา ทเุ ว สจฺจานิ อกฺขาสิ สมฺพุทโฺ ธ วทตํ วโร สมฺมุตึ ปรมตถฺ จฺ ตติยํ นปุ ลพฺภต.ิ ๒๘ “พระสัมพุทธเจาผูประเสริฐกวาผูพูดทั้งหลาย ตรัสสัจจะ ๒ ประเภท คอื สัมมุติสจั จะ และปรมตั ถสจั จะ ไมมสี ัจจะที่ ๓” สงเฺ กตวจนํ สจฺจํ โลกสมมฺ ุติการณํ ปรมตฺถวจนํ สจจฺ ํ ธมฺมานํ ตถลกขฺ ณํ.๒๙ “คํากลา วโดยสมมุติ ซึ่งเปน เหตุใหชาวโลกสมมตุ ิ เปน ความจริง คาํ กลา วโดยปรมตั ถ ซง่ึ เปน ลกั ษณะทม่ี จี รงิ ของสภาวธรรม เปน ความจรงิ ” ในเร่ืองน้ีพระพุทธองคตรัสความจริงโดยสมมุติวาเปนบุคคลท่ี มชี อื่ หรอื โคตรอยา งนตี้ ามทชี่ าวโลกเรยี กขานกนั แตใ นพระสตู รบางสตู ร ทรงปฏิเสธวาสัตวโลกหรือบุคคลไมมีจริงโดยปรมัตถ เหมือนที่ศาสนา พราหมณถือวาบุคคลคือวิญญาณท่ีแอบแฝงอยูในรางกาย ซึ่งอาจเปน ขนั ธ ๕ หรือสวนหน่ึงของขันธ ๕ ครั้งหนึ่งพญามารไดถามปญหาภิกษุณีรูปหน่ึงชื่อวาวชิรา โดย กลา ววา เกนายํ ปกโต สตโฺ ต กวุ ํ สตฺตสฺส การโก กวุ ํ สตฺโต สมุปปฺ นโฺ น กุวํ สตโฺ ต นริ ุชฌฺ ติ.๓๐ “ใครสรา งสตั วน ี้ ผสู รา งสตั วอ ยทู ไี่ หน สตั วเ กดิ ขน้ึ ทไี่ หน สตั วด บั ที่ไหน” ๒๘๗

ÀÒÃÊٵà ทา นวชิราภกิ ษุณตี อบวา กึ นุ สตฺโตติ ปจเฺ จสิ มาร ทิฏคิ ตํ นุ เต สทุ ฺธสงฺขารปุฺโชยํ นยิธ สตตฺ ุปลพภฺ ต.ิ ๓๑ “มารเอย ทิฏฐิของเจาเช่ือวาอะไรเปนสัตว นี้เปนกองสังขาร ลว นๆ นี้ ไมมสี ตั วใ นกองสงั ขารนี”้ ตามหลักพระพุทธศาสนา บุคคลหรือสัตวโลกมีอยูโดยสมมุติ- บัญญัติเทานั้น แตโดยปรมัตถมีเพียงกองสังขารคือรูปนามหรือขันธ ๕ ซง่ึ สรุปแลว เรียกวาทุกขสจั บา ง สังขารบา ง ขันธบาง ในบางแหง ใชเปน อุปาทานขนั ธ (ขนั ธอนั เปนอารมณข องความยึดมนั่ ) บา ง หลังจากน้ัน วชริ าภกิ ษณุ ีไดกลาวตอไปวา ยถา หิ องฺคสมภฺ ารา โหติ สทฺโท รโถ อติ ิ เอวํ ขนฺเธสุ สนเฺ ตสุ โหติ สตโฺ ตติ สมฺมุติ.๓๒ “เมอ่ื ขนั ธม อี ยู การสมมตุ วิ า สตั วจ งึ มี เหมอื นคาํ วา รถมไี ดเ พราะ ประกอบสว นตา งๆ เขา ดวยกัน” เมอื่ เรามขี นั ธ ๕ ไดแกร ูป เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ การ สมมุตวิ าเปนสตั ว บคุ คล ชาวโลก บุรษุ หรอื สตรี ยอ มมีไดดว ยสมมุติ ลวนๆ ถาขันธ ๕ ดบั สูญไป การสมมุตดิ ังกลาวยอมไมเกิดขน้ึ ๒๘๘

ÀÒÃÊٵà ทุกฺขเมว หิ สมโฺ ภติ ทกุ ขฺ ํ ติฏ ติ เวติ จ นาฺ ตฺร ทุกขฺ า สมโฺ ภติ นาฺ ํ ทกุ ฺขา นริ ชุ ฌฺ ติ.๓๓ “ทกุ ขเทา นน้ั เกิดข้ึน ทุกขเทานัน้ ดาํ รงอยแู ละแปรผนั นอกจาก ทุกขไมม สี ่ิงอ่นื เกดิ ขน้ึ นอกจากทกุ ขไมม ีอะไรอื่นดบั ไป” ทุกขคือรูปนามหรือขันธ ๕ เกิดข้ึนแลว ดํารงอยู และดับไป สงิ่ อน่ื นอกจากทุกขคอื ขนั ธ ๕ ดงั กลา ว มไิ ดเกิดขึ้นและดบั ไป ดวยเหตนุ ี้ พระดํารัสวา ภารหาโร จ ปุคฺคโล (บุคคลคือผูแบกของหนัก) จึงตรัส ไวโ ดยสมมตุ สิ จั จะตามท่ีชาวโลกเขาใจกัน หลงั จากนัน้ พระพทุ ธองคต รัสวา ภาราทานํ ทุขํ โลเก (การถือ ของหนักเปน ทกุ ขในโลก) ซึง่ อธิบายไดว า ถาชาวโลกยังแบกของหนกั ไว คือ ยงั มีขันธ ๕ ทตี่ องดูแลรักษา เราก็มีทุกขอยู น่นั ก็คือจะตอ งเวยี นตาย เวียนเกดิ ตอ งพบกับความแก ความเจบ็ และความตายอยูเ สมอ ในเรื่องน้มี ีคาถาประพันธบ ทหนงึ่ กลาววา นาหํ ทาโส ภโฏ ตยุ หฺ ํ นาหํ โปเสมิ ทานิ ตํ ตวฺ เมว โปเสนฺโต ทกุ ขฺ ํ ปตโฺ ต วฏเฏ อนปฺปกํ.๓๔ “เรามิใชท าสหรือคนงานของเจา (รางกาย) เราจะไมเลี้ยงดเู จา อกี ในบัดน้ี เราไดรบั ทุกขม ากมายในวฏั ฏะ เพราะเลี้ยงดูเจา โดยแท” ๒๘๙

ÀÒÃÊٵà ขอนีห้ มายความวา ชาวโลกเลย้ี งดูรางกายซ่ึงประกอบดว ยขันธ ๕ เหมือนเราเปนทาสหรือคนใช และการเล้ียงดูมันเชนน้ีมีแตจะไดรับ ทุกขเร่ือยไป ดังน้ันทานผูแตงจึงประพันธคาถาบทน้ีเพื่อแสดงวาทานก็ จะไมใ สใจเล้ยี งดูขนั ธเหลา น้ีอีกแลวเพอ่ื ไมใ หตกอยูใ นอาํ นาจของกเิ ลส การถือของหนกั คอื ตัณหา พระพทุ ธองคตรัสไวในพระสูตรนวี้ า การถอื ของหนกั คือตัณหา นนั่ เอง ดงั ขอ ความวา กตมฺจ ภกิ ฺขเว ภาราทานํ ? ยายํ ตณหฺ า โปโนภวิกา นนทฺ รี าคสหคตา ตตฺรตตรฺ าภินนฺทินี.๓๕ “การถอื ของหนกั คืออะไร คอื ความผกู พันทีก่ อ ใหเกดิ ภพใหม ประกอบดวยความยินดีพอใจท่ีเพลิดเพลินภพและ อารมณน ัน้ ๆ” การยดึ มั่นดว ยความพอใจไมป ลอ ยวาง เปน ลกั ษณะของตัณหา สง ผลใหเ ปน ทกุ ข แตก ารปลอ ยวางขนั ธไ มย ดึ มนั่ ดว ยตณั หา สง ผลใหพ น ไปจากการแบกของหนกั ไว อปุ มาเหมอื นกอ นหนิ กอ นหนง่ึ ไมว า จะหนกั เพยี งใด ถา เราไมถอื ไวกไ็ มรสู ึกกอนหินหนกั แตหมอนใบหนง่ึ ไมวา จะ ๒๙๐

ÀÒÃÊٵà เบาเพียงใด ถาเราถือไวเปนเวลานานก็จะรูสึกหนัก ในกรณีเดียวกัน การปลอยวางขันธ ๕ ยอมทําใหสัตวโลกไมอยูในอํานาจของตัณหาที่ ยึดถอื ขนั ธไวม่นั ในพระสูตรนตี้ รัสลักษณะของตณั หา ๓ ประการ คือ ก. โปโนภวิกา (กอใหเกิดภพใหม) หมายความวา ตัณหาเปน ตวั การสาํ คญั ในการกอใหเกิดภพใหม ถา สัตวโลกยังมีตณั หาอยู ก็ตองมี ภพแนน อน แมบางคนกลาววาไมอยากเกิดอีก ไมชอบการเวียนวา ยตาย เกดิ เบอ่ื ขนั ธ ๕ แตถ า เขายงั มตี ัณหาทเี่ พลดิ เพลนิ ยนิ ดกี ามคณุ ๕ คอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั เขากต็ อ งเกดิ แก เจบ็ ตาย มขี นั ธใ นภพตอ ไป เพราะ ตณั หามีลักษณะท่กี อใหเ กิดภพใหม ในขณะรับอารมณทางทวาร ๖ สัญญาก็ทําหนาท่ีจําไดหมายรู และเวทนาทีร่ สู กึ เปน สขุ ทกุ ข หรอื วางเฉย ยอ มเกิดขนึ้ หลังจากนน้ั จึง เกิดตณั หาที่พอใจอารมณนัน้ ๆ กอใหเกดิ อปุ าทาน ความยดึ ม่ัน แลวจงึ กอกรรม ไมวากรรมน้ันจะเปนกรรมดีหรือกรรมชั่ว ก็มีสาเหตุมาจาก ตณั หานั่นเอง เมือ่ สัญญาค้าํ จุนเชนน้ี ชาวโลกจงึ ปรงุ แตงอารมณว าดีหรือไมดี และตอบสนองในเชิงลบหรือบวกเปนลักษณะท่ีชอบใจหรือไมชอบใจ ตอ มาเวทนาจงึ เกดิ ขึน้ ดวยการชักจูงของสญั ญา ในขณะรูสกึ เปนสุข คน สว นใหญอ ยากใหค วามรสู กึ เปน สขุ นนั้ คงอยตู ลอดไป และอยากไดร บั สขุ ยิง่ ๆ ข้ึนไป ดงั พระพทุ ธดาํ รัสวา นตฺถิ ตณฺหาสมา นที๓๖ (แมน้ําเสมอดว ย ตณั หาไมมี) ๒๙๑

ÀÒÃÊٵà แมในขณะไดรับทุกขอยู ถึงแมวาในขณะนั้นจะไมเกิดตัณหา เพราะเกิดโทสะที่ตอบสนองอารมณในเชิงลบ แตหลังจากน้ันมักเกิด ตัณหาเพราะทุกคนรักสุขเกลียดทุกข ไมมีใครที่อยากไดรับความทุกข ดงั นนั้ ในขณะไดร บั ความทกุ ขก เ็ กดิ ตณั หาทตี่ อ งการพน ไปจากความทกุ ข นนั้ และถา อเุ บกขาเวทนาเกดิ ขน้ึ เรากม็ กั ตอ งการไดร บั ความสขุ มากขน้ึ เพราะความรสู กึ วางเฉยไมใ ชเปน อารมณท่ีนา พึงพอใจของคนทวั่ ไป จะเห็นไดวา เวทนาทั้งสามเปนเหตุใหเกิดตัณหา และตัณหาก็ เปนตัวการสําคัญในการกอใหเกิดภพชาติ พระพุทธองคตรัสตัณหาวา เหมือนนายชางท่ีสรางเรือนแหงภพ กลาวคือ นายชางทําหนาท่ีสราง เรอื นแกคนทั่วไป ฉนั ใด ตณั หาสรา งเรอื นคือขนั ธใ หแ กเหลา สตั ว ฉันนั้น หลงั จากพระพทุ ธองคไ ดต รสั รแู ลว ทรงราํ ลกึ ถงึ เรอ่ื งทต่ี ณั หาเปน นายชา ง สรางเรือนแหง ภพวา อเนกชาตสิ ํสารํ สนฺธาวิสสฺ ํ อนพิ ฺพิสํ คหการํ คเวสนโฺ ต ทกุ ขฺ า ชาติ ปนุ ปปฺ นุ ํ.๓๗ “เม่ือไมพ บนายชางผสู รางเรือน เราเวียนวายตายเกิดในสงสาร นบั ชาติไมถวน การเกดิ แลว เกดิ อีกเปน ทกุ ข” ๒๙๒

ÀÒÃÊٵà คหการก ทฏิ โ สิ ปุน เคหํ น กาหสิ สพพฺ า เต ผาสกุ า ภคฺคา คหกูฏํ วิสงฺขตํ วิสงฺขารคตํ จติ ตฺ ํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.๓๘ “นายชางเอย บัดน้ีเราพบเจาแลว เจาจะสรางเรือนอีกไมได เราทาํ ลายจนั ทันและอกไกไ ดห มด จติ ของเราบรรลุนิพพาน หมดความ ทะยานอยากแลว” ข. นนั ทรี าคสหคตา (ประกอบดว ยความยนิ ดพี อใจ) หมายความ วา ตณั หามคี วามพอใจอยเู สมอในทกุ ขณะทต่ี าเหน็ รปู หไู ดย นิ เสยี ง จมกู ดมกลิ่น ล้ินลิ้มรส และรา งกายกระทบสัมผัส เชน ในขณะเห็นชาวโลก มักอยากเห็นรูปท่ีสวยงาม ไมอยากเห็นส่ิงท่ีตนไมชอบ เสียงก็เชนกัน เราอยากไดย นิ เสยี งทไี่ พเราะนา พอใจ ไมอ ยากไดย นิ เสยี งดวุ า ตาํ หนิ หรอื เสียงพูดของคนที่เราไมพอใจ แมจมูก ลิ้น และรางกายก็เชนกัน เรามี ตัณหาทเี่ พลิดเพลนิ ยินดีกามคณุ ๕ เหลานนั้ ตลอดเวลา ตองการไดรับ รปู สวย เสยี งเพราะ กล่ินหอม รสอรอย และสัมผสั ถกู ใจ ปฏเิ สธสิง่ ทไ่ี ม ชอบใจ ค. ตัตรตัตราภินันทินี (เพลิดเพลินภพและอารมณน้ันๆ) หมายความวา ไมวาบุคคลผูมีตัณหานั้นจะเปนมนุษย สัตวดิรัจฉาน เทวดา หรือพรหม ทุกคนตางเพลิดเพลินภพท่ีตนอยู ไมวาจะเกิดเปน สนุ ขั กนิ อาจม หมอู ยใู นคอกกนิ ราํ ขา ว หรอื หนอนกนิ อจุ จาระ ชวี ติ ทงั้ หมด น้ันตา งเพลดิ เพลนิ ภพของตน เพลนิ อยูกบั อารมณที่ตนไดรบั อยู ๒๙๓

ÀÒÃÊٵà หลังจากพระพุทธองคตรัสลักษณะของตัณหา ๓ ประการแลว ทรงแสดงประเภทของตัณหาดว ยประโยคตอไปวา เสยฺยถทิ .ํ กามตณหฺ า ภวตณฺหา วิภวตณหฺ า. อิทํ วจุ จฺ ติ ภกิ ขฺ เว ภาราทานํ.๓๙ ตัณหากลาวคือ :- ก. ความพอใจในกามคุณ (กามตณั หา) ข. ความพอใจโดยเหน็ ผดิ วาภพเทีย่ ง (ภวตณั หา) ค. ความพอใจโดยเห็นผิดวา ภพขาดสญู (วิภวตัณหา) นเี้ รยี กวา การถือของหนัก” ตณั หาประการแรกคอื กามตัณหา เปน ความเพลดิ เพลินพอใจ ในกามคุณ ไมวาจะเปนภาพท่ีเห็นทางตา เสียงที่ไดยินทางหู เปนตน เม่ือชาวโลกพบสิ่งท่ีตนตองการ ก็รูสึกพอใจส่ิงเหลาน้ัน จึงเรียกวา กามคุณ แปลวา เครื่องผูกคือกาม เปนโซตรวนท่ีผูกเหลาสัตวไวไมให หลดุ ไปได ท่ีจริงแลวอารมณที่คนทั่วไปคิดวาดีน้ันขึ้นอยูกับการตีคาของ แตละคน เชน รูปบางอยางอาจเปนส่ิงดีสําหรับคนหนึ่ง แตอาจเปนส่ิง ไมดีสําหรับอีกคนหนึ่ง มิตรของบุคคลหนึ่งอาจเปนศัตรูของอีกคนหนึ่ง ก็ได ดังน้ัน อิฏฐารมณคืออารมณท่ีนาปรารถนายินดีจึงข้ึนอยูกับการ ตีคาของแตละคน มิไดขึ้นอยูกับอารมณนั้นเสมอไป บางคนไดยินเสียง บางอยางก็รูสึกพอใจ บางคนไดยินแลวอาจไมพอใจ อารมณเหลาน้ีข้ึน ๒๙๔

ÀÒÃÊٵà อยูก บั การตีคา เรยี กวา ปรกิ ัปปอิฏฐารมณ คือ อิฏฐารมณท ี่เกดิ จากการ ดํารขิ องแตละบุคคล ตัณหาประการท่ี ๒ คือ ภวตัณหา ความพอใจโดยเห็นผิดวา ภพเทยี่ ง ประกอบดวย สัสสตทิฏฐิ ความเหน็ ผดิ วา โลกเท่ียง บางคนเช่อื วาในรางกายน้ีมีอาตมันหรือวิญญาณแอบแฝงอยู แมคนจะตายไปแต วิญญาณไมต ายไปดวย ไมถ กู ไฟเผาไปพรอ มกับคน วิญญาณจะลอยจาก รา งไปเกดิ ใหม ผมู คี วามเขา ใจวา วญิ ญาณเทยี่ งแทแ นน อนคงอยตู ลอดไป มกั อยากไปเกิดในภพที่เปน สุขซ่งึ ตนชอบใจ และอยากจะไปเกิดในภพท่ี ดีย่ิงขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะคิดวาสังสารวัฏน้ีเปนการเวียนวายตายเกิดของ วญิ ญาณ ความพอใจเชนนเี้ รียกวา ภวตณั หา ตณั หาประการทสี่ ามคือ วภิ วตัณหา ความพอใจโดยเหน็ ผิดวา ภพขาดสูญ ประกอบดว ยอุจเฉททฏิ ฐิ ความเขา ใจผิดวาโลกขาดสูญ บาง คนเขา ใจวาตายแลวสญู บาปบญุ ไมม ี ผลกรรมไมมี เขาเพลดิ เพลนิ ยนิ ดี กามคุณเชน เดยี วกัน ความพอใจเชนนเ้ี รียกวา วิภวตัณหา ความพอใจทั้งสามอยางเหลาน้ีกอใหเกิดภพใหม เพราะบุคคล น้ันที่ประกอบดวยตัณหายอมกอใหเกิดอุปาทานและทํากรรม จึงตอง เวียนวายตายเกดิ ดวยอาํ นาจของกรรมกเิ ลสเหลา น้ัน ๒๙๕

ÀÒÃÊٵà การวางของหนกั คอื การกาํ จดั ตณั หา พระพุทธองคตรัสการวางของหนักวาคือการกําจัดตัณหาดวย ขอ ความในพระสตู รน้วี า กตมจฺ ภิกขฺ เว ภารนกิ เฺ ขปนํ ? โย ตสสฺ าเยว ตณฺหาย อเสสวิราคนิโรโธ จาโค ปฏินิสฺสคฺโค มุตฺติ อนาลโย. อิทํ วุจจฺ ติ ภิกขฺ เว ภารนิกเฺ ขปนนตฺ ิ.๔๐ “อะไรเปน การวางของหนัก คือ ความดับสนิทโดย ส้นิ เชิง ความสละปลอย และความหลุดพน ไมพัวพนั ในตัณหา น้นั น้ีเรยี กวา การวางของหนัก” การวางของหนักเปนการกําจัดตัณหาที่ยอมรับของหนักน้ัน น่ันเอง การกําจัดตัณหาดังกลาวเปนการทําใหตัณหาดับสนิทไมเกิดข้ึน อีกดวยวิปสสนาและมรรคญาณ อรหัตตมรรคญาณยอมเกิดข้ึนกําจัด ตัณหาโดยส้ินเชิง เหมือนแสงอาทิตยที่ทําลายความมืด เม่ือตัณหา ถูกกําจดั ไป รปู นามขันธ ๕ ในภพใหมย อ มดับสูญไปไมเ กดิ ขึน้ อีก การกําจัดตัณหาดวยอรหัตตมรรคญาณเปนการกําจัดตัณหา โดยส้ินเชิง แตพระอนาคามีก็สามารถกําจัดกามตัณหาโดยเด็ดขาด เชน เดยี วกนั ทา นจงึ ไมไ ปเกดิ เปน มนษุ ยห รอื เทวดา แตไ ปเกดิ เปน พรหม ๒๙๖

ÀÒÃÊٵà ในรูปพรหมคือพรหมโลกช้ันสุทธาวาสหรอื อรูปพรหม นับวาไดว างของ หนกั คอื ขนั ธข องมนษุ ยแ ละเทวดาได พระสกทาคามกี าํ จดั กามราคะอยา ง หยาบไดโ ดยเดด็ ขาด ทา นจงึ เกดิ อกี เพยี งชาตเิ ดยี ว นบั วา ไดว างของหนกั คอื ขันธใ นชาตทิ ี่ ๒ เปนตน ไป สวนพระโสดาบันกําจดั ตณั หาท่อี ยรู ะดับ เดียวกับสักกายทิฏฐิและวิจิกิจฉา ทานจึงไมตกอบายและเกิดอีกเพียง ๗ ชาติเปนอยางมาก จัดวาวางของหนักคือขันธในอบายและภพชาติที่ ๘ เปนตน ไป ซึง่ เปนทกุ ขอ นั นบั ประมาณมไิ ด คร้ังหน่ึง พระผูมีพระภาคทรงใชปลายพระนขาชอนฝุนขึ้นมา เล็กนอย แลว รับสง่ั กับภิกษทุ ัง้ หลายวา “ฝุนเล็กนอ ยนี้ที่เราใชปลายเล็บ ชอ นข้ึนมา กบั แผน ดินใหญน ี้ อยางไหนจะมากกวากัน” ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ทูลตอบวา “แผน ดินใหญนี้มากกวา ฝนุ ท่พี ระองคท รงใชปลายพระนขา ชอนข้ึนมามีเพียงเล็กนอย เทียบไมไดกับแผนดินใหญเลย” พระผูมี- พระภาครับสง่ั วา “ทุกขทหี่ มดสิ้นไปของพระโสดาบนั ผหู ยั่งเหน็ สัจจะ แลว เทยี บไดก บั แผน ดนิ ใหญ สว นทกุ ขท ยี่ งั คงเหลอื อยใู น ๗ ชาตเิ ทยี บ ไดก บั ฝนุ ที่ปลายเลบ็ ของเรา”๔๑ แมผูท่ีเจริญวิปสสนายอมกําจัดตัณหาไดตามสมควร กลาวคือ ในขณะระลึกรูรูปนามปจจุบัน สมาธิที่เกิดรวมกับสติจะขมกิเลสเปน วกิ ขมั ภนปหาน เพราะสติ สมาธิ และปญ ญา เปน สภาวธรรมฝา ยดี เปรยี บ ไดกับแสงสวาง สวนอวชิ ชาและตัณหาเปรียบไดกบั ความมดื ซง่ึ เกิดรว ม กับความสวางไมได ดังน้ัน สมาธิท่ีเกิดรวมกับสติพรอมกับปญญาจึง ขมกเิ ลสคือตณั หาและกเิ ลสอนื่ ๆ เปนวกิ ขมั ภนปหาน คอื ละไดด ว ยการ ขมไว ๒๙๗

ÀÒÃÊٵà หลงั จากนนั้ ในขณะทก่ี เิ ลสปรากฏขนึ้ ในใจ ผปู ฏบิ ตั กิ าํ หนดตาม สภาวะนน้ั ๆ วา “ชอบหนอ” “โกรธหนอ” หรอื “หว งหนอ” เปนตน วปิ ส สนาทเี่ กดิ รว มกบั สตยิ อ มกาํ จดั กเิ ลสไดเ ปน ตทงั คปหาน คอื ละไดช วั่ ขณะดวยวิปสสนา ตัวอยางเชน เราพอใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งสมมุติวาเปนเสื้อ ตัวหน่ึง หรือส่งิ ของอยางใดอยางหนง่ึ เมอื่ กําหนดรูว า “ชอบหนอ” โดย รบั รสู ภาวะชอบชดั เจนและเหน็ ความดบั ไปของสภาวะชอบนน้ั หลงั จาก ลากรรมฐานแลว ผปู ฏบิ ตั มิ กั ไมร สู กึ ชอบสง่ิ นน้ั อกี แตเ จาะจงเฉพาะสง่ิ นนั้ ส่ิงเดยี วอนั เกยี่ วกับการกําหนดรขู องผูปฏบิ ตั ใิ นขณะน้นั หรอื ถา ในขณะ ปฏิบัติธรรม เราเกิดโทสะไมพอใจบุคคลใดบุคคลหน่ึงหรือเร่ืองใดเรื่อง หน่งึ เมอื่ กาํ หนดวา “โกรธหนอ” แลว รสู กึ วา โทสะน้นั ดับไป หลงั จากลา กรรมฐานแลวผูปฏิบัติมักไมรูสึกวาโกรธบุคคลน้ัน เหมือนเขาเปนอีก บุคคลหนึ่งซ่ึงไมไดทําเรื่องดังกลาว และแมเราจะคิดถึงเร่ืองนั้นก็จะไม เกิดโทสะซึ่งเก่ียวกับเร่ืองน้ันเลย เหมือนเร่ืองนั้นเปนส่ิงท่ีเกิดกับบุคคล อน่ื มไิ ดเ กดิ กบั ตวั เรา นคี้ อื ลกั ษณะทวี่ ปิ ส สนาสามารถกาํ จดั กเิ ลสไดเ ปน ตทงั คปหาน เมอ่ื ผูปฏบิ ัติเจริญสตริ ะลึกรรู ูปนามที่ปรากฏทางทวาร ๖ เชนนี้ อยตู ลอดเวลา จดั วา ไดก าํ จดั ตณั หาอยเู สมอ เปน การวางของหนกั คอื ขนั ธ ในภพใหมท เี่ กยี่ วกบั ตณั หา เมอื่ หนว ยกติ แหง ปญ ญาพฒั นาขน้ึ ในทส่ี ดุ ผูปฏิบัติยอมบรรลุถึงภาวะของพระอรหันตท่ีกําจัดตัณหาโดยสิ้นเชิง ปลอยวางของหนักในภพไดโดยเด็ดขาด ๒๙๘

ÀÒÃÊٵà พระพุทธองคตรัสประโยชนของการวางของหนักดวยขอความ ในพระสตู รนวี้ า ภารนกิ เฺ ขปนํ สขุ ๔ํ ๒ (การวางของหนกั เปน สขุ ) หมายความ วา การไมม ีรูปนามขนั ธ ๕ โดยส้ินเชงิ เปน สุข เพราะการเกิดข้ึนของรูป นามเปน ทกุ ขท่ตี อ งเกิด แก เจบ็ ตาย แตก ารดบั รปู นามคือนิพพานเปน บรมสุข ขอความนี้สอดคลองกับพระพุทธพจนวา นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ๔๓ (นพิ พานเปน บรมสขุ ) สรุปความในภารสูตรน้ีวา ของหนักคือขันธ ๕ เปนทุกขสัจ ตัณหาท่ียอมรับเอาของหนักเปนสมุทยสัจ การวางตัณหาเปนนิโรธสัจ วิปสสนาญาณและอริยมรรคอันเปน วธิ ีกาํ จดั ตณั หาเปนมรรคสจั ในคําลงทายของพระสูตรนี้ พระพุทธองคทรงแสดงภาวะของ พระอรหนั ตท ่ีวางของหนกั ไดโดยสิน้ เชิงดว ยขอความวา นิกฺขิปตฺวา ครุ ภารํ อฺ  ภารํ อนาทิย สมูลํ ตณหฺ ํ อพฺพยุ ฺห นจิ ฉฺ าโต ปรินิพฺพุโต.๔๔ “บุคคลวางของหนักไดแลว ไมถือของหนักอื่นไว ถอนตัณหา พรอ มท้งั ราก[คืออวชิ ชา] สนิ้ ความอยาก ดบั สนทิ แลว ” ขอนี้หมายความวา พระอรหันตผูวางของหนักคือขันธ ๕ ใน ปจจุบันชาติไดดวยการปรินิพพาน ไมถือเอาขันธใหมในภพตอไป ถอน ตณั หาทพี่ อใจอารมณ ๖ พรอ มกบั รากคอื อวชิ ชาดว ยอรหตั ตมรรคไดแ ลว เปน ผสู ิน้ ความอยากในภพ ดบั สนิทดวยการไมเ กิดอกี คนั ธสาราภิวงศ ๒๙๙

ÀÒÃÊٵà แมผ ทู เ่ี จรญิ วปิ ส สนายอ มกาํ จดั ตณั หา ไดตามสมควร กลาวคือ ในขณะระลึกรูรูป นามปจจุบัน สมาธิท่ีเกิดรวมกับสติจะขม กิเลสเปนวิกขัมภนปหาน เพราะสติ สมาธิ และปญ ญา เปน สภาวธรรมฝา ยดี เปรียบได กับแสงสวาง สวนอวิชชาและตัณหาเปรียบ ไดก บั ความมดื ซง่ึ เกดิ รว มกบั ความสวา งไมไ ด ดงั นนั้ สมาธทิ เี่ กดิ รว มกบั สตพิ รอ มกบั ปญ ญา จึงขมกิเลสคือตัณหาและกิเลสอ่ืนๆ เปน วกิ ขมั ภนปหาน คือ ละไดดวยการขมไว ๓๐๐

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà อาสีวโิ สปมสตู ร ผูท่ีเจริญวิปสสนากรรมฐานจัดวาไดเห็นโทษของรางกายและ การเวียนวายตายเกิดในภพชาติตางๆ วา ภพน้ีมีภัยนาหวาดกลัว จึง ตองการหลุดพนจากฝงนี้ท่ีเปรียบไดกับภพท่ีมีอันตรายมากมาย แลว ขามไปสูฝ ง โนนอันเปนแดนเกษมปราศจากภยนั ตราย มพี ระสตู รสตู รหนงึ่ ทสี่ าํ คญั ยง่ิ ตอ การปฏบิ ตั ธิ รรมชอื่ วา อาสวี โิ ส- ปมสตู ร๑ พบในสังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค แปลวา “พระสูตรเปรียบ ธาตุ ๔ เหมือนงพู ิษ” ในพระสตู รน้พี ระพุทธเจา ทรงเปรียบธาตุ ๔ คอื ดิน นํ้า ไฟ และลมวา เหมือนงพู ิษ ๔ ตวั และภพในปจ จุบันเหมือนฝงน้ี คนทม่ี ไิ ดป ฏบิ ัตธิ รรมอาจคิดวา ชีวิตในภพนี้เปน สงิ่ ที่มคี วามสขุ แตห าก ไดศ กึ ษาปฏบิ ตั ธิ รรมจนเขา ใจธรรมะแลว โดยเฉพาะขอ ความทไ่ี ดต รสั ไว ในพระสตู รน้ี กจ็ ะเขา ใจไดว า ภพทเี่ รามชี วี ติ อยนู มี้ ไิ ดเ ปน ภพทม่ี คี วามสขุ เลย แตฝงโนนคือพระนิพพานหรือความดับทุกขจึงนับวาเปนความสุข ท่ีแทจรงิ ในพระสูตรนีม้ ีเรอ่ื งยอ ๆ วา บุรุษคนหนงึ่ พบกับงูพษิ ๔ ตัว เขา เกดิ ความกลวั ไดห นอี อกจากหมบู า นไปสสู ถานทอ่ี นื่ เพอ่ื ตอ งการพน จาก ๓๐๑

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà งูพิษเหลานั้น แตเมื่อไปถึงสถานท่ีอ่ืนแลวก็ยังพบกับนักฆา ๕ คนคอย ตดิ ตามมา เขาจึงตอ งหนีตอ ไป และมบี รุ ุษผูห นงึ่ กลาววา ยงั มีสายลบั อกี คนหนงึ่ คอยลอบทาํ รา ยเขาอยู เขาจึงตองหนตี อ ไปจนมาพบหมูบานรา ง ท่ีไมมีส่ิงของ ไมมีเครื่องอุปโภคบริโภค และยังมีโจรอยู ๖ คนมาปลน หมูบานรา งน้ัน เขาแลเห็นเชนนั้นจึงตองหนีตอไปจนพบหวงน้ําใหญ ไดดําริวา ฝง นไ้ี มป ลอดภยั ถา กระไรหนอเราควรจะขา มไปสฝู ง โนน แตบ งั เอญิ ไมม ี สะพานหรอื เรอื ขา มฟาก เขาจงึ ตอ งโคน ไมผ กู แพ แลว ลอ งแพไปถงึ ฝง โนน โดยใชม อื เทา ตา งพายขา มไปจนถงึ ฝง อกี ดา นหนงึ่ ได ขอ นฉี้ นั ใด ผทู ด่ี าํ รง ชวี ติ อยใู นปจจุบันยังตองเวยี นวา ยตายเกดิ อยู มรี ูปนามขนั ธ ๕ อยู ก็นบั วาเปน เชนเดียวกัน นน่ั คอื เราพบกบั งพู ษิ ๔ ตัวอยูตลอดเวลา ฉนั น้ัน ๓๐๒

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà งูพิษ ๔ ตวั = ธาตุ ๔๒ ในบรรดางูพิษ ๔ ตัวนี้ ตัวแรกคืองูปากไม เรียกวา กัฏฐมุขะ หมายถึง งูพิษท่ีกัดแลวทําใหคนถูกกัดตัวแข็งตาย งูตัวท่ีสองคือ งูปาก เนา เรยี กวา ปตู มิ ขุ ะ เปน งพู ษิ ทกี่ ดั แลว ทาํ ใหร า งกายเนา เปอ ย มนี า้ํ หนอง ไหลแลว ตาย งูตวั ท่ีสามคือ งูปากไฟ เรียกวา อคั คิมุขะ หมายถงึ พอกดั แลว ก็ทําใหตัวรอ นตาย สว นงูตัวสดุ ทา ยคือ งูปากมีด เรียกวา สตั ถมุขะ เม่ือกัดแลวทําใหเกิดบาดแผลตามรางกายเหมือนถูกมีดกรีดเฉือนแลว ตายไป๓ รา งกายของมนุษยเ รากเ็ ชนเดยี วกัน ประกอบดว ยธาตทุ ้ัง ๔ คือ ดนิ น้ํา ไฟ ลม หรอื ปถวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ธาตุ ทั้ง ๔ เหลานี้เปรียบไดกับงูพิษ ๔ ตัว จะเห็นไดวา ธาตุดินมีลักษณะ แขง็ หรอื ออ น ซง่ึ กค็ อื สงิ่ ทเี่ ราสาํ คญั วา เปน รปู รา งสณั ฐานทงั้ รา งกายหรอื เพยี งอวยั วะบางสว น ทจี่ รงิ แลว มไิ ดเ ปน สง่ิ ทม่ี จี รงิ โดยสภาวะเลย แตเ ปน ส่ิงที่มจี รงิ โดยสมมตุ บิ ัญญตั เิ ทา นน้ั หากเราเขาใจวาส่ิงเหลานี้มีจริง ก็เหมือนกับเรามองเห็นเงานก ที่บินไปในนํ้า มีเพียงรูปนกท่ีสะทอนอยูในนํ้าเทานั้น แตไมไดมีตัวนก จรงิ ๆ ธาตดุ ินมีลักษณะแข็งหรือออน เชน ในเนือ้ หนังเอ็นกระดูกเหลาน้ี เปนธาตุดินท่ีแข็ง หรือในนํ้าลาย น้ํามูก นํ้าหนอง เลือด มีธาตุดินที่ ๓๐๓

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ออน สภาวะแข็งหรือออนของธาตุดินน้ีถือวาเปนสภาวะเดียวกัน ถามี ธาตุดินหนาแนน ก็เปนสภาวะแข็ง ถามีสภาวะของธาตุดินนอยไมหนา แนน ก็เปน สภาวะออ นน่นั เอง ธาตุน้ําที่มีลักษณะไหลและเกาะกุมก็เชนเดียวกัน สภาวะเกาะ กุมเปนรูปรางตางๆ เปนธาตุนํ้า หรือสภาวะไหลไปโดยไมไดเกาะกุมก็ เปน ธาตนุ า้ํ เชน เดยี วกนั จะเหน็ ไดว า นาํ้ กบั นาํ้ แขง็ เปน สง่ิ เดยี วกนั ตา งกนั ทค่ี วามเกาะกมุ หรอื ความละลายเทา นน้ั หากวา มธี าตนุ าํ้ ทหี่ นาแนน กเ็ ปน สภาวะเกาะกมุ หากวา มีธาตุนํ้าทไ่ี มหนาแนนก็เปนสภาวะท่ไี หล ธาตุไฟมีลักษณะเย็นหรือรอน ก็คือความเย็นหรือรอนน้ีเปนสิ่ง เดียวกันคืออุณหภูมินั่นเอง ตางกันที่เราเขาใจกันวาเปนความเย็นหรือ ความรอนขนึ้ อยกู ับความรสู กึ ของตวั เราเอง ธาตลุ มมลี กั ษณะหยอ นหรอื ตงึ สภาวะตงึ เปน รปู รา งตา งๆ นนี้ บั วา เปนธาตุลม สวนสภาวะหยอ นกเ็ ปน ธาตุลมเหมอื นกัน แตเปนธาตุลม ท่ีมีกําลังนอยไมหนาแนน ถาเปนธาตุลมท่ีมีกําลังมากหนาแนน ก็เปน ธาตุลมท่ีตงึ ถา เปนธาตลุ มทีไ่ มห นาแนน กเ็ ปน ธาตลุ มทีห่ ยอ น ทกุ คนตางมรี า งกายของตน เราอยากใหร า งกายน้เี ปนไปตามที่ เราตองการ อยากใหมีรูปรางสวยงาม มีสุขภาพแข็งแรง อยูในวัยหนุม สาวตลอดเวลา แตธ าตุทงั้ ๔ มไิ ดเ ปนเชนน้นั เพราะมนั จะดํารงอยไู ดด กี ็ ตอเมอื่ มีความสมดุลกันเทานน้ั หากมนั ไมสมดุลกนั เกดิ ความยอ หยอน ของธาตอุ ยา งใดอยา งหนึ่งไซร จะเกดิ สภาวะแปรปรวนทนั ที ๓๐๔

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà นั่นก็คือ หากธาตุดินแปรปรวนก็เหมือนเราถูกงูปากไมกัด เรา มักรสู ึกแขง็ ตามรางกาย เชน ปวดคอ ปวดหลงั ปวดไหล หรอื ปวดเอว เหลา นเ้ี กดิ จากธาตดุ นิ แปรปรวน หรอื โรคทม่ี ผี น่ื คนั เหลา นกี้ เ็ ปน ธาตดุ นิ ท่ีแปรปรวน หรือมะเร็งคือเน้ือรายก็นับวาเปนธาตุดินที่แปรปรวนเชน เดียวกนั ในบางขณะธาตุนํ้าก็แปรปรวนเหมือนเราถูกงูปากเนากัด เชน ขณะถา ยทองดวยอาํ นาจของธาตุนา้ํ ทแ่ี ปรปรวน ในบางขณะธาตไุ ฟแปรปรวนเราเหมอื นถกู งปู ากไฟกดั บางขณะ ที่ไมสบาย เราจะรูสึกเปนไขตัวรอน แตกอนเปนไขมักจะรูสึกเย็นกอน เชน ตวั เยน็ หัวเย็น ขาเย็น แลว จงึ ตัวรอนขน้ึ มา ส่งิ นี้คอื ความแปรปรวน ของธาตุไฟซ่ึงปรากฏในรางกายในขณะท่ีไมสบาย น้ีคือธาตุไฟประเภท หนง่ึ ทเี่ รยี กวา สนั ตาปนเตโช แปลวา “ธาตไุ ฟทท่ี าํ ใหร า งกายอบอนุ ” ถา มนั กาํ เริบขึ้นก็ทาํ ใหเ ราไมส บายมอี ุณหภมู ิสงู ขึน้ อกี ทงั้ มธี าตไุ ฟอกี อยา งหนง่ึ ซงึ่ ทาํ ใหเ ราเกดิ การเปลย่ี นแปลงทาง รางกายกค็ อื แกลงไปเร่ือย ๆ เรียกวา ชรี ณเตโช แปลวา “ธาตุไฟทาํ ให รางกายทรุดโทรม” จะเห็นไดวา ทุกคนมีพละกําลังลดนอยลง หนัง เหยี่ ว ดวงตาฝา ฟาง หูตึง ผมหงอก ฟนหกั หลังโกง เปน ตน เหลา นี้เกิด จากชรี ณเตโช๔ ธาตุอยา งทีส่ ค่ี อื วาโยธาตุ มลี กั ษณะหยอ นหรือตึง ในบางขณะ วาโยธาตแุ ปรปรวน เชน บางคร้งั เราเรอบา ง สะอึกบาง อาเจยี นบาง ก็ ๓๐๕

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà เปนธาตุลม คนท่ีเปนอัมพฤกษอัมพาตก็เหมือนกับถูกงูปากมีดกัดเอา ทาํ ใหเคล่อื นไหวรางกายไมไ ด ธาตทุ ัง้ ๔ นจี้ ึงเหมือนกบั งูพษิ ๔ ตัว ถา มันกดั เขา กจ็ ะทาํ ใหเ ราตอ งไดร บั ทกุ ขต อ ไป ในพระสูตรน้ีพระพทุ ธองคไดต รสั ถงึ งพู ิษเหลา นีว้ า โฆรวิสา (มี พษิ กลา) อาสีวสิ า (มีพิษแลน เรว็ ) มนั ทําใหเ ราประสบความทกุ ข ดงั น้ัน รางกายของเราทป่ี ระกอบมาจากธาตุทง้ั ๔ นจ้ี ึงไมไดม ีแกน สารเลย ถา มันยงั สมดลุ กัน เราก็อยูดมี ีสุข แตในขณะใดก็ตามทม่ี ันแปรปรวน เราก็ จะไดรับความทุกขจากการแปรปรวนของธาตุเหลานั้นเหมือนถูกงูพิษ ๔ ตัวกัด ในมหาสติปฏฐานสูตร พระพุทธองคตรัสวา รางกายน้ีเปนส่ิง ท่เี ราเขา ใจผิดวา เปน ตวั เรา ของเรา บุรษุ สตรี แตถ า แยกรา งกายน้อี อก กจ็ ะพบเพียงธาตุทั้ง ๔ เทา น้ัน ไมม ภี าวะที่เรียกวาตวั เรา ของเรา บุรุษ หรือสตรีแตอยา งใด๕ พระพทุ ธองคต รสั เปรียบวา บุรุษผฆู าโคหรอื ลูกมือของบรุ ุษน้นั ผูชํานาญไดฆาโคแลวชําแหละเนื้อออกเปนสวนๆ เปนกองๆ วางไวใน ทางสามแพรงบาง ส่ีแพรงบาง แลวน่ังขายเน้ือวัว ในตอนที่คนฆาวัว หรือลูกมือของเขากําลังฆาวัวอยู เขารูสึกวาเรากําลังฆาวัวอยู แตหลัง จากชําแหละเนื้อวัวเปนกองๆ แลวนั่งขายอยู เขาไมมีความรูสึกวาเรา ขายวัวอยู หรือคนซ้ือกําลังซื้อวัวอยู แตเขารูสึกวาเขากําลังขายเน้ืออยู และคนซื้อกซ็ อ้ื เนื้อไป มิไดซ อ้ื วัว ๓๐๖

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà การกําหนดรูธ าตุ ๔ ผูปฏิบัติก็เชนเดียวกัน ขณะท่ีเจริญสติระลึกรูธาตุท้ังส่ีเหลาน้ี เราจะรสู กึ วา มเี พียงธาตุเทานน้ั ท่ปี รากฏอยู เชน เวลาทีย่ กเทาขนึ้ ขอให ผูปฏิบัติรับรูสภาวะเบาของธาตุไฟ เวลายางเทา ใหรับรูสภาวะผลักดัน ของธาตลุ ม เวลาเหยยี บเทา ลง ใหร บั รสู ภาวะหนกั ของธาตนุ า้ํ โดยไมต อ ง สนใจตอรูปรางสัณฐานของเทาที่เคลื่อนไหวอยู ในขณะน้ันขอใหใสใจ ทบ่ี รเิ วณฝา เทา นอกจากน้ัน ในขณะยกมือ ก็ใหใสใจท่ีบริเวณฝามือ และรับรู สภาวะเบา ผลักดัน หนักในเวลายกขึ้น เหยียดออก คูเขา หรือวางลง สภาวธรรมเหลาน้ีแมเกิดบริเวณฝามือหรือฝาเทา แตมิไดเปนสวนหน่ึง ของฝามือหรือฝาเทา เปรียบไดกับเงาไมเกิดโดยอาศัยตนไม แตไมใช ตนไม ฉนั ใด สภาวธรรมเหลา นก้ี ็เกิดโดยอาศัยบัญญัตคิ ือมือหรือเทา แต เปน คนละสวนกับบัญญัติ ฉนั นนั้ ดังนั้น เวลาท่ีเราเจริญสติอยู จึงไมควรสนใจตอรูปรางสัณฐาน พยายามรบั รูเ พยี งสภาวะเบา ผลกั ดนั และหนกั กจ็ ะทาํ ใหรบั รูส ภาวะ ของธาตุชัดเจน และหากสภาวธรรมปรากฏชัดเจนแลว รูปรางของเทา จะหายไป เราจะรูถึงสภาวธรรมเบา ผลักดันและหนักอยางชัดเจนโดย ทไ่ี มม ีรปู รางของเทา แตอยางใด ๓๐๗

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà นอกจากน้ันแลว ในขณะทเี่ คล่อื นไหวมือหรอื เทา อยู เราไมค วร จะรับรูอาการเคล่ือนไหวเปนหลัก เชน ในเวลายกเทาข้ึน มีอาการ เคล่ือนไหวของธาตุลม เวลายางเทาก็มีอาการเคลื่อนไหว เวลาเหยียบ เทา ลง กม็ อี าการเคลอ่ื นไหวเชน เดยี วกนั แตเ ราควรรบั รสู ภาวะเคลอ่ื นไหว เปนฉากหลัง ในเมืองไทยมักเขาใจธาตุลมวามีลักษณะหยอนหรือตึง๖ แต ความจรงิ สภาวะหยอ นหรอื ตงึ นเี้ ปน สงิ่ ทป่ี รากฏในขณะรบั รสู ภาวะพอง ยุบของทอง ถาเราไมรับรูสภาวะพองยุบ สภาวะหยอนหรือตึงก็มิได ปรากฏแตอยา งใด ในคัมภีรวิสุทธิมรรคกลาวถึงธาตุ ๔ โดยแยกออกเปนธาตุเบา และธาตหุ นกั ธาตเุ บามี ๒ อยา ง คือ ธาตไุ ฟและธาตุลม ธาตุหนกั มี ๒ อยาง คือ ธาตดุ ินและธาตนุ ้ํา๗ ในคัมภรี อรรถกถามไิ ดระบวุ าธาตุใดเบา หรอื หนกั กวา แตใ นคมั ภรี ฎ กี าของทฆี นกิ ายไดร ะบวุ า ธาตไุ ฟเบากวา ธาตุ ลม ธาตนุ ํา้ หนักกวา ธาตุดิน๘ ดังนั้น ในเวลาท่ียกเทาขึ้น ผูปฏิบัติจึงควรรับรูสภาวะเบาของ ธาตไุ ฟเปน หลกั แมจ ะมอี าการเคลอื่ นไหวกถ็ อื วา เปน หนา ทข่ี องธาตลุ ม๙ มิไดปรากฏลักษณะคือสภาวะตึงหยอนของธาตุลม เพราะธาตุลมไมได เปนประธานในขณะนั้น ในธาตทุ ง้ั ๔ ท่ีผปู ฏบิ ัติกําหนดรูเหลาน้ี เราไมเ พียงจะตองรับรู สภาวะหรอื ลกั ษณะของธาตดุ นิ อยา งเดยี วบางขณะใหร บั รถู งึ หนา ทขี่ อง ๓๐๘

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ธาตุ บางขณะกร็ บั รูอ าการปรากฏของธาตุอกี ดว ย เชน ธาตุลมมีหนา ที่ เคลือ่ นไหว ถาไมมธี าตลุ มเราจะเคลื่อนไหวไมได แมกระทง่ั ตอนเหยยี บ ลง ก็ตอ งเคลอื่ นไหวเชนเดยี วกัน เพราะธาตุทัง้ ๔ เปน รูปทเี่ กดิ รว มกัน ไมแยกจากกัน ตามหลักพระอภิธรรมเรียกวา อวินิพโภครูป คือ รูปที่ ประกอบรว มกนั แยกจากกันไมไ ด แตในขณะที่เรารับรสู ภาวะของธาตุ นอกจากจะรูถึงลักษณะแลว บางขณะตองรับรูอาการปรากฏท่ีเรียกวา ปจ จุปฏฐาน ขอนี้หมายความวา ธาตุลมมีลักษณะหยอนหรือตึง มีหนาที่ เคลอื่ นไหว มอี าการปรากฏคอื สภาวะผลกั ดนั ดงั ขอ ความในคมั ภรี อ รรถ- กถาวา วาโยธาตุ วิตฺถมฺภนลกฺขณา สมุทีรณรสา อภินีหาร- ปจฺจุปฏ านา.๑๐ “ธาตุลมมีลักษณะหยอนหรือตึง มีหนาท่ีเคลื่อนไหว มกี ารผลักดนั เปน อาการปรากฏ” นั่นกค็ ือ ในเวลาท่ยี า งเทา ไปขางหนา อาการปรากฏของธาตุลม คือสภาวะผลักดนั ไปขา งหนา แตเวลากา วถอยหลัง หรอื คมู อื เขามา กม็ ี อาการปรากฏคอื สภาวะผลักดันไปขางหลัง นี้คอื อาการปรากฏของธาตุ ลมนนั่ เอง ในขณะเดนิ จงกรมอยู แมห นา ทข่ี องธาตลุ มจะปรากฏตลอดเวลา แตเราไมตองรับรูหนาที่ของธาตุลม ใหรับรูอาการปรากฏของธาตุลม ๓๐๙

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ในขณะท่ียางเทาออกไป หรือถาเหยียดมือออกไปก็ใหรูสภาวะผลักดัน ไปขางหนา ถาถอยหลังหรือคูมือเขาก็ใหรับรูสภาวะผลักดันไปขางหลัง ของธาตลุ ม ดว ยเหตนุ ้ี ในขณะเดนิ จงกรมอยู ผปู ฏบิ ตั จิ งึ ควรรบั รสู ภาวะเบา ในขณะยกเทา สภาวะผลักดนั ในขณะยางเทา และสภาวะหนกั ในขณะ เหยยี บเทา ตามทกี่ ลา วไวใ นคมั ภรี อ รรถกถาและฏกี าของมหาสตปิ ฏ ฐาน สูตร ผูท่ปี ฏบิ ัตดิ งั ท่ีกลาวมานม้ี ักรับรูวามเี พียงธาตปุ รากฏอยูเทา นนั้ สว นธาตดุ นิ ยงั ไมจําเปน ตองสงั เกตมาก เน่อื งจากในขณะทฝี่ า เทา สมั ผัส พน้ื เตม็ ทแี่ ลว แมจ ะปรากฏสภาวะของธาตดุ นิ คอื สภาวะแขง็ หรอื ออ น แต ในขณะนั้นเรารูวาฝาเทากระทบพ้ืนอยู รูวาเปนพ้ืนที่แข็งหรือเย็นอยู ถือวาเราไดรับรูบัญญัติไปแลว เม่ือเปนเชนน้ีจึงนับวาเปนการกําหนดรู สภาวะของธาตุดินที่มีลักษณะแข็งหรือออน แตก็มีบัญญัติเจือปนดวย ดังนนั้ ขอใหผ ปู ฏิบัติรบั รสู ภาวะของธาตทุ ้งั สามอยา งเปน เบ้ืองแรกกอ น ที่จรงิ แลวในขณะเดนิ จงกรม ผปู ฏบิ ัตคิ วรเริม่ ตน ดวยการเจริญ พระพทุ ธคณุ กบั เมตตาในทกุ ครง้ั ทเี่ รมิ่ เดนิ จงกรม เมอื่ เดนิ จนกระทง่ั รสู กึ วาจิตสงบแลว มีขนลุกตามรางกาย หรือมีความเย็นตามรางกาย หลัง จากน้นั จติ ของเราจะนอมไปสูวปิ ส สนาเอง นนั่ กค็ อื ตอนยกเทา ใหร บั รสู ภาวะเบา ยา งเทา ใหร บั รสู ภาวะผลกั ดนั เหยยี บเทา ใหร บั รสู ภาวะหนกั รวมไปถงึ การสงั เกตสภาวะเรม่ิ ตน และ ๓๑๐

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ทีส่ ุดของยก เร่ิมตน และทีส่ ดุ ของยา ง เรมิ่ ตนและทส่ี ุดของเหยยี บไดเ อง แตใ นเบอื้ งแรกขอใหผ ปู ฏบิ ตั เิ จรญิ สมถกรรมฐานเสยี กอ น คอื เรม่ิ ดว ยการ เจรญิ พระพทุ ธคุณกับเมตตา จนกระท่ังจิตของเราออนโยนมีสมาธเิ พียง พอ ในชว งน้ันจิตของเราถือวาหลดุ พนจากนิวรณ มีความฟงุ ซา นนอยลง หรือแมความฟุงซานเกดิ ข้นึ เรากก็ าํ หนดรไู ดท นั ที ก็ถอื วา ใชไดแ ลว และ เมื่อเปนเชนน้ันผูปฏิบัติซ่ึงเจริญสติอยูนี้ถือวาเราไดรับรูธาตุท้ัง ๔ ตาม ความเปน จริง ๓๑๑

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà นักฆา ๕ คน = ขนั ธ ๕๑๑ บุรษุ น้ันหลงั จากหนพี น จากงูพษิ ท้ัง ๔ ตวั แลว กย็ ังพบกบั นกั ฆา หาคน ซึง่ เปรยี บไดกับขันธ ๕ น่ันเอง ตราบใดเรามขี นั ธ ๕ อยู กเ็ หมอื น กับมนี กั ฆาประจาํ ตัวเราอยูเ สมอ นกั ฆา เหลา นม้ี ไิ ดเ ปน มติ รของเรา แตเ ปน ศตั รตู วั ฉกาจ มติ รนน้ั มี ลกั ษณะทาํ สิง่ ท่ีเปน ประโยชนเกือ้ กลู คอยชว ยเหลือสนับสนนุ แตนักฆา เปน ศัตรูที่ปองราย จะเหน็ ไดว า ขันธ ๕ เหลาน้ี คือ รูป เวทนา สญั ญา สังขาร และวิญญาณ เหมือนนักฆา จัดวาเปนศัตรูที่จองจะทํารายเรา อยเู สมอ รูปขันธ เราตองการใหรูปของเราอยูในวัยท่ีสดใสออนเยาว ตองการมี รูปรา งสวยงาม ไมต องการแกชรา แตเ ราไมอาจหามได บางครั้งดวงตาก็ ฝาฟาง หตู งึ ผมหงอก เปน ตน นอกจากน้นั แลว รูปขันธค ือรางกายของ เรานีไ้ ดป ระสบกบั ความเย็น ความรอน กเ็ ปลย่ี นแปลงตามอุณหภมู ิ ดิน ฟา อากาศ เชน เราอยูในหอ งเย็นจดั ก็จะหนาวและอาจไมส บาย หรือถา อยูในทีร่ อนจดั ก็จะเหงอื่ ไหลมากและอาจไมส บาย ๓๑๒

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà แมเราตอ งการจะใหรปู คงอยูตลอดไป แตม นั ก็เปล่ียนแปลงอยู ตลอดเวลาและเมอื่ พบกบั อปุ สรรคซง่ึ มสี ภาพตรงกนั ขา มทเี่ รยี กวา วโิ รธ-ิ ปจ จยั คอื ปจ จยั ทต่ี รงกนั ขา ม กม็ กั เปลย่ี นแปลงชดั เจน ดงั นนั้ พระพทุ ธเจา จงึ ตรัสวา รูปเปน เหมอื นนกั ฆาคนแรก เวทนาขนั ธ ขันธต อ มาคือเวทนา (ความรสู ึก) เวทนามี ๓ อยาง คอื ความ รูสึกเปนสุขทางกายและใจ หรือสุขเวทนา ความรูสึกเปนทุกขทางกาย และใจ หรอื ทกุ ขเวทนา และความรสู กึ วางเฉย ไมส ขุ ไมท กุ ข หรอื อเุ บกขา เวทนา ทกุ คนตา งกต็ อ งการใหต นรสู กึ เปน สขุ อยเู สมอ ไมว า จะเปน ความ รูสึกเปนสุขทางกาย หรือทางใจ เราก็ตองการใหตนมีความสุข เพราะ ธรรมชาติของคนคือความตองการมีความสุขตลอดเวลา น่ันก็คือเรารัก สขุ เกลยี ดทกุ ข ดังพระพุทธดํารสั วา ตสมฺ า อเิ ม โภนโฺ ต สมณพรฺ าหฺมณา สลี วนฺโต กลฺยาณ- ธมฺมา ชีวิตุกามา อมริตุกามา สุขกามา ทุกฺขปฏิกูลา. (ที.ม. ๑๐/๔๑๙/๒๘๑) “ดังน้ัน สมณพราหมณผูเจริญเหลานี้ผูทรงศีล มี กัลยาณธรรม จึงอยากมีชีวิตอยู ไมอยากตาย รักความสุข เกลียดความทกุ ข” ๓๑๓

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ขอใหสังเกตวา เวทนาดังกลาวเปนส่ิงท่ีแปรปรวนอยูในใจของ เราเสมอ โดยขึ้นอยูกับอารมณภายนอก มิไดข้ึนอยูกับความปรารถนา ของตวั เราเอง เชน เมื่อเราไดพบกบั อฏิ ฐารมณ คอื อารมณท ด่ี ีทางกาย เปน ตน วา อยใู นอณุ หภมู ทิ ดี่ ีอยใู นบา นทส่ี บายสถานทท่ี เ่ี หมาะสมจดั วา เปนความสขุ ทางกาย ถา เราไดร ับอารมณท่ีดที างใจ ไมว า จะเปน ส่งิ ท่ดี ตี ามสภาวะทมี่ ี จรงิ เชน เวลาทเ่ี จรญิ วปิ ส สนา ระลกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ และแผเ มตตา หรอื เปน อารมณท ด่ี ที างใจโดยการดาํ รขิ องใจเราเองโดยทเี่ ราคดิ วา เปน สง่ิ ทดี่ ี นั่นกค็ อื กามคณุ อารมณท้งั หา ไดแ ก รูป เสียง กล่ิน รส และสมั ผัส เม่ือ เราไดพ บกับอารมณท ดี่ ีเหลานี้ กจ็ ะเกดิ ความสุขใจ ความสขุ กาย ความสขุ ใจ หรือความทุกขก าย ความทุกขใ จ รวม ไปถงึ ความรสู กึ วางเฉยนนั้ เปน สงิ่ ทข่ี น้ึ อยกู บั อารมณภ ายนอก มไิ ดข นึ้ อยู กบั ความปรารถนาของเรา มฉิ ะนั้นแลวเราอยากใหอ ยสู บาย กค็ งสบาย ไดตลอดเวลา แตมิไดเปนเชนน้ัน เพราะเดี๋ยวเปนทุกขกายบาง เปนสุข กายบา ง เดย๋ี วเรากร็ าํ่ ไหค รา่ํ ครวญเพราะญาตพิ น่ี อ งเพอื่ นมติ รสหายเสยี ชวี ติ ไปบา ง อยา งนเ้ี ปน ตน เรามคี วามรสู กึ เปลยี่ นแปลงทางใจตลอดเวลา โดยขึ้นอยกู บั อารมณภ ายนอกท่มี ากระทบใจ ๓๑๔

ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà สญั ญาขันธ ขันธอยางท่ีสามคือสัญญาขันธ ขันธประเภทน้ีเปนความจําได หมายรูว าเปน สีเขียว สีเหลอื ง สแี ดง เปนตน แตค วามจาํ นนั้ ก็ไมแนน อน เสมอไป เด๋ียวจําได เดี๋ยวก็ลืม ข้ึนอยูกับสัญญาวามีกําลังมากนอยหรือ ไม ถา สญั ญามกี าํ ลงั มาก เรากจ็ าํ ไดน าน หากสญั ญามกี าํ ลงั นอ ย ความจาํ ก็ส้ันลง จะเหน็ ไดว า วชิ าความรหู รอื ความชอบใจของแตล ะคนไมเ หมอื น กัน การชอบเรียนวิชาสาขาตางๆ ของแตละคนก็ไมเหมือนกัน บางคน เรียนวิชานี้ไมดี เรียนวิชาอื่นอาจจะดี ส่ิงน้ีขึ้นอยูกับสัญญาก็คือสัญญา เกาของเรา หากเราเคยส่ังสมวชิ าความรเู ชนนีม้ ามาก เมอื่ ไดมาเรยี นรูสงิ่ นี้ อาจทําใหเรามคี วามรสู กึ ชอบใจและเรยี นไดเรว็ กวาบุคคลอน่ื สิ่งนีถ้ ือวา เปน สญั ญาเกา ในคัมภีรฎีกาของพระอภิธรรมกลาววา “ถาสัญญาเกามีกําลัง มาก แมแ ตพ ระพทุ ธเจา กไ็ มอ าจแกไ ขได ตวั อยา งเชน สญั ญาเกา ของพวก เดียรถียท่ีเช่ือม่ันเร่ืองอาตมันหรือเรื่องวิญญาณวาเปนวิญญาณท่ีเที่ยง บา ง ขาดสญู บา ง หากเปน สญั ญาเกา ที่แนน แฟนแลว แมแตพ ระพทุ ธเจา กไ็ มอ าจแกไ ขได” ๑๒ ความจรงิ แลว พระพทุ ธองคไ ดต รสั ถงึ รา งกายของเราวา ประกอบ ดว ยธาตุ ๔ และขนั ธ ๕ ไมม อี าตมนั หรอื กายทพิ ยท แ่ี อบแฝงอยใู นรา งกาย แตบางคนในสมัยพุทธกาลยังมีความยึดม่ันแนนแฟนในอาตมันดังกลาว แมจะพบพระพุทธเจา กไ็ มอ าจเพิกถอนสญั ญาเกาได ๓๑๕