ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ดังเชน พระสนุ ักขตั ตะ บตุ รของเจา ลจิ ฉวีพระองคห น่งึ เล่อื มใส พระพุทธเจาแลวออกบวช หลังจากนั้นทานเจริญกรรมฐานจนกระท่ัง บรรลฌุ านอภญิ ญาจนกระทงั่ สามารถเหน็ เทวดาได วนั หนงึ่ ทา นไดเ ขา ไป เฝาพระพุทธเจาเพื่อถามเร่ืองนี้วา อาตมันมีจริงหรือไม อาตมันเปน อยางไร เปนของเท่ียงแท หรือขาดสูญเม่ือบุคคลเสียชีวิตแลว คําวา อาตมันเท่ียงแท หมายความวา เม่ือบุคคลเสียชีวิตแลว อาตมันหรือ กายทพิ ยก็ลอ งลอยไปเกดิ ในภพใหม หรืออาตมนั นัน้ ขาดสญู ไมเ กิดอกี แมกระท่ังพระพุทธเจาก็ไมอาจส่ังสอนพระสุนักขัตตะใหเขาถึง ธรรมได หลังจากนนั้ ทานลาสิกขาออกไป และยังทําตวั เปนปฏิปก ษต อ พระพทุ ธเจา อกี ดว ย ดงั นน้ั สญั ญาเกา จงึ นบั วา เปน สง่ิ ทสี่ าํ คญั มาก ถา เรา มีสญั ญาเกา ในทางผดิ โดยเฉพาะในเรอื่ งปฏบิ ตั ิ กอ็ าจทําใหเ ปน อปุ สรรค ในการประสบความกา วหนาตอไป สาํ หรบั ผปู ฏบิ ตั ทิ ไ่ี ดเ จรญิ วปิ ส สนา เราไดร บั รสู ภาวธรรมรปู นาม ซึ่งปรากฏชัดเจนในปจจุบัน ในขณะนั้นจัดวาไดกําจัดสักกายทิฏฐิ คือ ความเหน็ ผดิ วา มตี วั ตน ซงึ่ เปน ความเหน็ ผดิ ทเี่ หน็ วา มรี ปู รา งสณั ฐาน หรอื ความเหน็ ผดิ วา มอี าตมนั วญิ ญาณ หรือกายทพิ ย ผูปฏิบัตสิ ามารถกําจดั สักกายทิฏฐดิ ังกลาวไดตลอดเวลาดวยการเจรญิ วปิ ส สนากรรมฐาน ๓๑๖
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà สังขารขันธ ขันธอ ยา งท่ี ๔ คือ สังขารขนั ธ เปนสภาวะปรุงแตง จติ โดยเปน ความนกึ คิดตางๆ ความชอบ หรอื ความโกรธ ฯลฯ จะเหน็ ไดวา สภาวะ เหลา นมี้ ไิ ดเกดิ ขึ้นตลอดเวลา แตเ กิดข้นึ ตามเหตุปจ จัยทปี่ รงุ แตง จะเหน็ ไดว า ถา เราพบอฏิ ฐารมณท นี่ า พอใจ ความโลภมกั เกดิ ขนึ้ เพราะทกุ คนอยากไดร ปู สวย เสยี งเพราะ กลน่ิ หอม รสอรอ ย สมั ผสั ถกู ใจ ตางเพลดิ เพลนิ ยนิ ดีกับกามคุณเหลา น้ี คาํ วา กามคณุ มีความหมายวา เครอื่ งผกู คอื กาม หมายความวา เปน เครอื่ งผกู โดยเปน สงิ่ ทน่ี า เพลดิ เพลนิ ยินดีนน่ั เอง และเมอ่ื เราไดพ บกบั อารมณท ่ีนา ยนิ ดีเชน นี้ โลภะยอมเกิด ขนึ้ หรือขณะทีเ่ ราพบกับบุคคลส่งิ ของทไ่ี มช อบใจ โทสะยอ มเกิดข้ึน ท้ัง โลภะและโทสะเกิดขนึ้ แลว หายไป โดยข้นึ อยูก บั เหตปุ จจัยเชนเดยี วกนั การเจรญิ สตปิ ฏ ฐานวปิ ส สนาภาวนากเ็ หมอื นกนั สติ สมาธิ และ ปญญาข้ึนอยูกับเหตุปจจัย ผูท่ีตองการเจริญสติปฏฐานเพ่ือใหกาวหนา ในการปฏบิ ัติ จําตอ งพยายามปลอยวาง อยาตั้งใจวา เราจะตองกา วหนา อยางมากมาย ความจริงแลวเราก็ตองมีฉันทะคือความตองการจะ กาวหนา แตฉนั ทะน้ีจะตองมีความพอดี ผปู ฏบิ ตั ติ อ งพยายามหาความ พอดี ถา เรามคี วามพอดี การเดนิ จงกรมหรอื การนงั่ กรรมฐานกเ็ กดิ ความ พอดี จะไมร สู ึกเครยี ดจนเกนิ ไป แตถ าเรามีฉนั ทะมากจนเกนิ พอดี เราก็ จะเกิดความเครียด เกิดความกังวล กลัววาจะเดินผิดทาบาง กลัววา จะกราบพระผิดทาบาง หรอื ยกมือผิดทา บาง เปนตน ๓๑๗
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ดังนน้ั ขอใหผ ปู ฏิบัตเิ พยี รปฏิบัตดิ ว ยความพอดี แลว เราจะรสู กึ ผอ นคลาย ไมเ กรง็ ไมกงั วลตอ การปฏิบตั ิธรรม วญิ ญาณขันธ ขนั ธประการสุดทา ยก็คือวญิ ญาณขนั ธ เปนสภาวะรับรูอารมณ คําวา วิญญาณ แปลตามศัพทวา สภาวะรูอารมณ ซึ่งก็คือจิตน่ันเอง จัดวาเปน สภาวะรอู ารมณท างทวาร ๖ คอื ตา หู จมูก ลน้ิ กาย และใจ ตวั เราเหมือนคนทอี่ ยูในบานมองสิง่ นอกบา นผานประตู ๖ บาน คอื ประตูตา ประตหู ู ประตูจมูก ประตลู ิน้ ประตกู าย และประตูใจ กค็ อื ทวารทง้ั หกนน่ั เอง เมอ่ื จติ ของเราเกดิ ทางดวงตา กเ็ รยี กวา จกั ขวุ ญิ ญาณ- จติ เกดิ ขน้ึ ดว ยการกระทบสมั ผสั ระหวา งจกั ขปุ ระสาทกบั รปู ารมณ รวม ทง้ั มีแสงสวาง และมมี นสกิ ารคือความใสใจหรือความตั้งใจจะดู เม่ือมีเหตุปจ จยั ๔ อยา งเหลา นีม้ าประชมุ กนั จกั ขุวิญญาณจิต คอื จติ ทร่ี อู ารมณทางจกั ษจุ งึ เกดิ ขน้ึ ถา ตาของเราไมก ระทบกบั รปู ารมณ หรอื กระทบกันแตไ มม ีแสงเพียงพอ หรือแมกระทงั่ มเี หตุ ๓ อยา งเหลา น้ี แตเ ราไมใ สใ จ จกั ขวุ ญิ ญาณจติ กเ็ กดิ ขนึ้ ทดี่ วงตาไมไ ด แมโ สตวญิ ญาณจติ ก็เหมือนกนั จติ เหลา น้เี ปนจติ ทเ่ี กิดทางทวาร ๖ โดยเนือ่ งดว ยเหตุปจจัย ไมเกดิ ขึน้ ตามท่ีเราตองการ สรปุ ความวา ขนั ธ ๕ คอื รปู เวทนา สญั ญา สังขาร และวญิ ญาณ เปน ส่งิ ท่เี กดิ ข้นึ ตามเหตปุ จจยั เม่อื เกดิ ขน้ึ แลวกด็ ับไป มิไดเ กิดขน้ึ ตลอด ๓๑๘
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà เวลาหรอื เกิดขนึ้ โดยปราศจากเหตปุ จจยั ดงั ขอความวา เอวํ ขนฺธา จ ธาตุโย ฉ จ อายตนา อิเม เหตุํ ปฏิจฺจ สมภฺ ตู า เหตุภงฺคา นริ ชุ ฺฌเร.๑๓ “ขนั ธ ธาตุ และอายตนะ ๖ เหลานีก้ ็ฉนั นน้ั อาศัยเหตจุ งึ เกดิ เพราะเหตดุ ับจึงดบั ” ขอ นหี้ มายความวา สภาวธรรมเหลา นเ้ี กดิ ขน้ึ ตามเหตปุ จ จยั มไิ ด อยภู ายใตอ าํ นาจหรอื ความปรารถนาของเรา มันเกดิ ขน้ึ ตัง้ อยู และดบั ไปตามลักษณะของสังขตธรรม คือ ธรรมท่ีมีปจจัยปรุงแตง ซึ่งเกิดข้ึน ตามเหตปุ จ จยั นัน่ เอง ถาไมมีปจจยั ปรุงแตง ไมมีเหตุปจ จัยทเ่ี กี่ยวเนอื่ ง กนั แลว สภาวธรรมเหลา นีย้ อ มเกดิ ขึน้ ไมได ดวยเหตุน้ัน พระพุทธองคจึงตรัสวาขันธ ๕ เหมือนนักฆาหรือ ศัตรูท่ีคอยทํารายเรา ตามปกติคนทั่วไปเวลาไมชอบใครมักนึกวาคนน้ี เปนศัตรขู องเรา แตค วามจริงขนั ธ ๕ ภายในรางกายทก่ี วางศอกยาววา หนาคืบนี้ตางหากเปนศัตรูที่แทจริง เนื่องจากมันไมอยูในอํานาจ ไมอยู ในบังคับบญั ชาของเรา มนั เกิดตามเหตุปจ จยั แลว ดับลงตามเหตปุ จ จัย เชนเดยี วกนั ความจริงคนเรามกั เพลิดเพลนิ ยนิ ดีขันธ ๕ ของตน คอื เขา ใจวา รูปนามของเรานี้เปน ส่ิงทด่ี ีงาม เปน สุข และเปน อตั ตาตวั ตน แตในพระ สตู รนพ้ี ระพทุ ธองคต รสั ถงึ ความไรแ กน สารของรปู นามวา เหมอื นฝง นที้ มี่ ี ภยนั ตราย มอี ปุ สรรคนานาประการ เพราะมีงูพิษ ๔ ตวั คือ ธาตุ ๔ นัก ๓๑๙
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ฆา ๕ คนคือ ขันธ ๕ ท่ีเบียดเบียนชาวโลกอยเู สมอ เนอ่ื งจากธาตทุ ัง้ ๔ ทแี่ ปรปรวนยอ มกอ ใหเ กดิ ความไมส บายและความทกุ ขท างรา งกาย หรอื ขันธ ๕ ก็เกิดขึ้นตามเหตุปจจัยและดับไปตามเหตุปจจัย ไมเที่ยงแท แนน อน ไมใ ชส ขุ ถาวร และไมใ ชอ ตั ตาตวั ตนทเ่ี ราบงั คบั บญั ชาได การตรสั เชน นมี้ ปี ระโยชนเ พอ่ื ทจี่ ะใหผ ปู ฏบิ ตั เิ บอื่ หนา ยรปู นามขนั ธ ๕ เบอื่ หนา ย ภพชาติ และมงุ มนั่ ปฏิบตั ิธรรมเพ่ือบรรลถุ ึงความพนทกุ ขตอ ไป สายลบั = นนั ทีราคะในกามคุณ ๕๑๔ พระพุทธองคไดตรัสถึงภยันตรายอีกอยางหนึ่ง คือสายลับ หมายความวา สายลับหรอื ศัตรภู ายใน หมายถึง นันทรี าคะ คอื ความ เพลดิ เพลนิ ยนิ ดีในกามคุณ ๕ อนั ไดแก รูป เสียง กลิน่ รส และสมั ผสั กลา วคอื คนทว่ั ไปมกั เขา ใจวา เรามคี นทไ่ี มช อบ จงึ สาํ คญั วา บคุ คลเหลา นนั้ เปน ศตั รขู องเรา แตค วามจริงแลวเรามสี ายลบั ทเ่ี ปนศัตรภู ายในอยูใ นใจ ของเรา นน่ั กค็ ือ นันทีราคะ ความเพลิดเพลนิ ยนิ ดีในกามคณุ ๕ ทกุ คนมกั รสู กึ พอใจทไี่ ดเ หน็ รปู สวย ไดย นิ เสยี งเพราะ ไดด มกลน่ิ หอม ไดล ม้ิ รสอรอ ย ไดร บั สมั ผสั ทตี่ นชอบใจ ในทกุ ขณะทรี่ สู กึ เพลดิ เพลนิ พอใจกามคณุ ซง่ึ แปลวา “เครอื่ งผกู คอื กาม” หมายถงึ โซต รวนทช่ี าวโลก ยินดพี อใจ ๓๒๐
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà เมื่อเรารูสึกพอใจเคร่ืองผูกเหลานี้ ก็เหมือนถูกสายลับหรือศัตรู ภายในทาํ รา ยจติ ใจ นนั ทรี าคะคอื ตณั หาทพี่ อใจกามคณุ ๕ ตณั หานเี้ ปน ตัวการหรือเปนเหตุแหงทุกขท่ีทําใหเหลาสัตวตองเวียนวายตายเกิด ตอไป จัดเปนสมุทยสจั คอื ความจรงิ อันเปน เหตแุ หง ทุกข นอกจากคนทว่ั ไปทมี่ กั ยนิ ดพี อใจกามคณุ ทงั้ ๕ แลว บางคนอาจ คิดวาเราไมอยากเกิดอีก ไมย ินดีท่จี ะเกดิ อกี แตเ ม่ือถงึ เวลาใกลเสียชวี ิต อารมณ ๓ อยา งยอ มปรากฏในขณะนน้ั เรยี กวา กรรมอารมณบ า ง กรรม นมิ ติ บาง คตนิ ิมิตบา ง และดว ยความยึดติดผูกพนั ในอารมณทั้ง ๓ อยา ง เหลา น้ีอยางใดอยา งหนง่ึ สตั วโลกยอ มไปเกดิ ในภพตอไป กรรมอารมณ กรรมอารมณ หมายถงึ อารมณท เี่ ราไดเ คยทาํ สงิ่ นนั้ ๆ ซงึ่ ปรากฏ เหมือนเรากําลังทําสิ่งน้ันอยูอีกครั้งหน่ึง เชน คนที่ฆาวัวหรือฆาหมูเปน ประจํา อาจรูสึกวาเขากําลังฆาสัตวอยู คนท่ีใสบาตรถวายสังฆทานเปน ประจํา จะรูสกึ วาตนเองกําลังทาํ ส่งิ นนั้ อยู กรรมอารมณดังกลาวจะเปนกรรมดีก็ตาม กรรมช่ัวก็ตามที่มา ปรากฏในขณะนั้น เหมือนเรากําลังทําสิ่งน้ันๆ อยู และจิตของบุคคล ผูใกลตายก็จะรับเอากรรมอารมณดังกลาวเปนอารมณไว แลวจิตได ดับลง หลังจากนั้นจึงมีปฏิสนธิจิตเกิดข้ึนรับเอากรรมอารมณน้ันเปน อารมณ แลวไปเกิดในภพตอไปดว ยแรงกรรมตามสมควร ๓๒๑
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà กรรมนมิ ิต อารมณป ระการที่ ๒ คอื กรรมนมิ ติ แปลวา “เหตขุ องกรรมหรอื อปุ กรณข องกรรม” หมายถงึ อปุ กรณใ นการทาํ กรรมดหี รอื กรรมชวั่ เชน คนท่ีฆาสัตวอยูเสมออาจเห็นสัตวที่ตนฆา หรือเห็นมีดท่ีใชในการฆา เปนตน ถาเปนบุคคลที่ใสบาตรอยูเปนประจํา อาจเห็นอาหารท่ีตนใส บาตร บาตรพระหรือจีวรพระกไ็ ด เหลา นนี้ ับเปน กรรมนมิ ิต และเม่ือจติ ของคนใกลเ สยี ชวี ติ รับเอากรรมนิมิตน้ันไวเปน อารมณ ก็จะเกดิ ปฏิสนธิ จติ ตอมา แลวไปเกิดในภพตอไปดว ยแรงกรรมทด่ี หี รือไมด ดี งั กลาว คตนิ ิมิต อารมณป ระการที่ ๓ คอื คตินิมติ แปลวา “เหตุของภพภูมิทีจ่ ะ ไปเกิด” เชน คนท่ีจะตกนรกมักเห็นเปลวไฟ คนที่ไปเกิดเปนเทวดา มักเห็นวมิ าน เปน ตน หรอื คนทีจ่ ะไปเกิดเปน มนุษยม กั เห็นทอ งแมห รือ เปลเด็ก เปนตน คนที่จะเกิดเปนเปรตหรือสัตวดิรัจฉาน มักเห็นภูเขา แมน า้ํ หรอื ลาํ ธารทตี่ นจะไปเกดิ สง่ิ นคี้ อื คตนิ มิ ติ จดั วา เปน อารมณท เี่ ปน เหตขุ องภพภูมิทีเ่ ราจะไปเกิด ดังนั้น ทุกคนจึงรับเอาอารมณดังกลาวท่ีมาปรากฏทางใจเปน อารมณ แลวปฏิสนธิจิตยอมเกิดขึ้นตอมา เราไมอาจปฏิเสธอารมณ เหลาน้ันไดเ ลย พระพทุ ธองคต รสั วา เหมือนภูเขาใหญ เกิดเงาของภเู ขา ทวมทับพ้ืนดินอยูในเวลาเย็น พื้นดินไมอาจปฏิเสธเงาของภูเขาได๑๕ ๓๒๒
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà บคุ คลผใู กลเ สยี ชวี ติ กเ็ ชน เดยี วกนั พวกเขารสู กึ ยนิ ดพี อใจกบั อารมณท มี่ า ปรากฏทางใจในขณะนน้ั เปรียบไดกบั คนท่จี มนํา้ อยู หากมไี มหรือสิ่งใด ลอยผานมา เขาจะจับไวแนนทันที และดวยอารมณท่ีมาปรากฏนั้น น่นั เอง บคุ คลยอ มไปเกดิ ในภพตางๆ ดวยอํานาจของความยินดีพอใจที่ เรียกวา นนั ทีราคะ ซง่ึ พอใจอารมณท ่ีมาปรากฏในขณะนน้ั ดว ยเหตุดังกลาว นันทรี าคะนจ้ี งึ เหมือนสายลบั หรือศตั รภู ายใน ซง่ึ ซอ นเรน อยใู นใจของเรา ทาํ ใหเ ราตอ งเวยี นวา ยตายเกดิ ตอ ไป ตอ งเกดิ แก เจ็บ และตาย แมเ ราไมอ ยากเกิดกต็ อ งเกิด เมอ่ื เกดิ มาแลวไมอยาก แกก ต็ อ งแก เมอื่ แกแ ลว ไมอ ยากตายกต็ อ งตาย อยากมคี วามสขุ กายสขุ ใจ กต็ อ งประสบกบั ความทกุ ขก ายบา งทกุ ขใ จบา ง ดงั นเี้ ปน ตน จงึ ถอื วา ทกุ ข ตา งๆ ในภพชาติมสี าเหตุมาจากศตั รภู ายในคือนันทีราคะนนั่ เอง ๓๒๓
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà หมูบา นรา ง = อายตนะภายใน ๖๑๖ หลงั จากทบ่ี รุ ษุ นน้ั พบวา มสี ายลบั หรอื ศตั รภู ายในอยู จงึ หนตี อ ไป เขาไปถึงหมูบานรางแหงหน่ึงที่ไมควรพักอาศัย หมูบานรางน้ีเหมือน อายตนะภายใน ๖ น่นั เอง เพราะเปน สิ่งท่ไี มม แี กน สาร คาํ วา อายตนะ มคี วามหมายตามรากศพั ทว า “สภาวะกอ ใหเ กดิ สังสารทกุ ขอ นั ยาวนาน” นน่ั ก็คอื เม่อื เรามอี ายตนะภายใน ๖ ไดแก ตา หู จมกู ลิ้น กาย และใจ รวมไปถงึ มอี ายตนะภายนอก ๖ คอื รูป เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐพั พะ และธรรมารมณคอื มโนสมั ผสั เราจึงตองเวียนวา ย ตายเกิดตอไป เพราะอายตนะเหลาน้ีเปนสภาวะกอใหเกิดสังสารทุกข อันยาวนานนนั่ เอง๑๗ ชาวโลกมักยดึ ติดผกู พันกบั อายตนะภายในเหลา น้ี เชน ในเวลา เหน็ รปู เรามกั รสู กึ วา ดวงตาของเรามองเหน็ ไดช ดั เจน จงึ ยดึ ตดิ ผกู พนั กบั ดวงตาของตน อีกทง้ั รสู กึ วา ดวงตาเปนส่ิงทดี่ งี าม เปนของเท่ยี ง เพราะ ตอนนเ้ี รายงั ไมเ หน็ ความแปรปรวนของดวงตา เนอื่ งจากยงั ไมม ที กุ ขเ กดิ ขึ้น และเปน อัตตาตัวตน คือเปน สวนหน่ึงในรา งกายของเรา เมอ่ื เรารสู กึ ยนิ ดพี อใจเชน น้ี นบั วา เกดิ กเิ ลสโดยเนอ่ื งดว ยดวงตา และเมอ่ื เปน เชน นนั้ ดวงตาจงึ นบั วา เปน สง่ิ ทข่ี ยายภพชาตขิ องเรา ดวงตา นั้นทําใหเห็นรูปที่สวยงาม สง ผลใหเกิดความยนิ ดีพอใจ ตองการทีจ่ ะให ๓๒๔
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà รูปน้ันอยูกับเรานานๆ อยูกับเราตลอดไป หรืออยากไดมาเปนสมบัติ ของเรา ดงั นนั้ การยดึ ตดิ ผกู พนั ในดวงตาจงึ ทาํ ใหภ พชาตติ อ งยดื ยาวออก ไปดวยอาํ นาจของกเิ ลสซ่งึ เกดิ ขนึ้ โดยอาศัยดวงตา นอกจากนั้น คนท่ีดวงตาไมดี มีดวงตาฝาฟาง ก็ตองการจะให ดวงตาของตนดีข้ึน สิ่งน้ีคือความโลภ ในบางขณะเราก็ไมพอใจดวงตา ของเรา ซงึ่ อาจไมส วยงามหรอื มองเหน็ ไมช ดั เจน ในขณะนน้ั เราเกดิ โทสะ อยา งไรก็ตาม แมจะเปน ความไมช อบใจ เรากร็ สู กึ วา ดวงตานน้ั เปน ของ เทย่ี ง เปนสุข และเปน อัตตาตัวตนอยูต ลอดเวลา ดวงตายงั ทาํ ใหเหน็ รูป ทไ่ี มพ ึงพอใจ กอ ใหเ กิดโทสะโดยเน่อื งดวยรปู ที่เหน็ อีกดว ย ดังนั้น ดวงตาหรือรูปจึงเปนเหตุใหเกิดกิเลสทางใจ ไมวาจะ เปนความโลภ ความโกรธ หรือความหลงก็ตาม ความหลงนั้นหมาย ความวา ในทกุ ขณะทเ่ี รารสู กึ วา มรี ปู รา งสณั ฐาน นนั่ คอื เราเกดิ โมหะหรอื ความหลงตลอดเวลา ดว ยเหตนุ ้ี อายตนะจงึ มคี วามหมายวา สภาวะขยาย ภพชาติ พระพุทธองคตรัสเปรียบอายตนะภายใน ๖ วาเหมือนหมูบาน ราง น่ันก็คือ ดวงตาของเราน้ีไมมีแกนสารแตอยางใด เปนของไมเท่ียง คือเกิดดับตลอดเวลา เปน ทกุ ข คือถกู บบี คัน้ ดว ยการเกดิ ดบั และไมใ ช ตวั ตน เพราะไมอ ยใู นบงั คบั บญั ชาทเี่ ราตอ งการ จะเหน็ วา แมเ ราตอ งการ ใหด วงตาของเราสวยงามใสกระจา ง สามารถมองเหน็ ชดั อยเู สมอ แตม นั กม็ ิไดเปน เชน น้นั เพราะดวงตาดาํ รงอยตู ามเหตุปจ จยั เชนเดียวกัน ๓๒๕
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ตามหลกั ของพระอภธิ รรม ในดวงตามรี ปู กลาปหรอื กลมุ รปู ๑๐ อยาง คอื ธาตทุ ั้ง ๔ ไดแ ก ดนิ นาํ้ ไฟ ลม ซึง่ เหมือนงพู ิษ และมสี ี กลน่ิ รส โอชาคือสารอาหาร อกี ท้ังมีรปู อีกอยางหน่งึ เรียกวา ชวี ติ นิ ทรยิ หรอื ชีวิตรูป ซ่ึงเปนรูปที่ทําหนาที่รักษารูปตางๆ ใหคงอยู ตราบจนถึงท่ีสุด ของชวี ติ แมร ปู เหลา นน้ั จะเกดิ ดบั อยตู ลอดเวลา กย็ งั สามารถเกดิ ใหมไ ด จนกระท่ังเสียชีวติ เมอื่ น้ันการทํางานของรปู เหลา นัน้ จงึ หยุดยัง้ ลง และ รปู ประการท่ี ๑๐ ในรูปกลาปคือ จักขุปสาทรูป หรือจักขุประสาท เปน รปู ใสอยูกลางตาดาํ ภายในลกู ตา นอกจากดวงตาจะประกอบดว ยรูปกลาป ๑๐ อยางเหลานี้แลว กย็ งั มจี ติ อตุ ุ และอาหารทาํ หนา ทอ่ี ปุ ถมั ภด วงตา ถา ธาตทุ งั้ ๔ แปรปรวน หรอื จติ อตุ ุ และอาหารแปรปรวน ยอมสง ผลใหดวงตาเปล่ยี นแปลง จะ เห็นไดวา ดวงตาในขณะเกิดกุศลจิต เชน ขณะแผเมตตา มีลักษณะ แตกตางจากดวงตาในขณะเกดิ โทสะ รปู ท่วั ไปมเี หตุเกดิ ๔ ประการ คือ กรรม จิต อตุ ุ และ อาหาร กรรมหมายถึงกรรมเกาในอดีตและกรรมใหมในปจจุบัน ถาเรานอนพอ ดวงตาของเราก็กระจางใส ถานอนไมพอ ดวงตาของเราจะฝาฟางเกิด การเปล่ียนแปลงในดวงตา จิตก็เชนเดียวกัน หากจิตท่ีผองใสเปนกุศล เกดิ ขนึ้ ดวงตาของเรายอ มดดู ี ถา จติ ทเี่ ปย มดว ยความโลภหรอื ความโกรธ เกดิ ขนึ้ ดวงตาของเราก็มกั เปลย่ี นแปลงไป นอกจากนัน้ อตุ คุ ืออุณหภมู ิ หรอื อาหารก็ทาํ ใหด วงตาของเราเปลีย่ นแปลงไดเชน เดียวกัน ๓๒๖
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà จะเห็นไดว า ตา หู จมกู ลน้ิ กาย และใจเหลานี้ ข้ึนอยูก บั เหตุ ปจจัยคือธาตุท้ัง ๔ กรรม จิต อตุ ุ และอาหาร ซ่งึ ทาํ ใหเกิดการเปลี่ยน แปลงได ดงั นนั้ พระพทุ ธองคจ งึ ตรสั วา อายตนะภายใน ๖ เหลา นเ้ี หมอื น หมบู านรางซึง่ ปราศจากเครือ่ งอุปโภคบรโิ ภค ไรแ กนสารโดยสนิ้ เชิง โจร ๖ คน = อายตนะภายนอก ๖๑๘ เมอ่ื บรุ ษุ ผนู พี้ บหมบู า นรา งแลว เหน็ วา ไมส ามารถยดึ เปน ทพ่ี าํ นกั ได จึงออกเดินทางตอไป เขาพบกับโจร ๖ คน ซ่ึงก็คอื อายตนะภายนอก ๖ อนั หมายถงึ รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ และธรรมารมณ หมายความ วา โจรเปน คนทปี่ ลนทรพั ยจากเราไป ฉันใด อายตนะภายนอก ๖ กป็ ลน กศุ ลจากใจของเรา ฉันนั้น เมื่อเรามองเห็นรูปตางๆ ทางดวงตา เรามักเกิดกิเลสทางใจ กลา วคอื ถา เปน รปู ทสี่ วยงามนา พอใจ ความโลภยอ มเกดิ ขน้ึ หรอื ถา เปน รปู ทไ่ี มสวยงามไมนาพอใจ โทสะยอมเกิดข้นึ และในขณะนน้ั โมหะกเ็ กดิ ขน้ึ รว มกบั โลภะและโทสะ เพราะโมหะทาํ หนา ทป่ี ด บงั โทษของความโลภ และความโกรธ จงึ ทาํ ใหเรายินดพี อใจท่ีจะโลภและโกรธตอ ไป ความจริงในขณะรับรูอารมณภายนอกหรืออายตนะภายนอก ดังกลาว ถาเราเกิดโยนิโสมนสิการ คือ การใสใจดวยปญญา มีความ ระมัดระวังไมใหเกิดกิเลส โจรซึ่งเปรียบกับอายตนะภายนอกเหลานั้นก็ ไมอาจจะปลนกศุ ลจากเราไปได ๓๒๗
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà วิธกี าํ หนดรูอายตนะ ดังน้ัน ในขณะที่สภาวะเห็นปรากฏอยู ผูปฏิบัติควรกําหนดวา “เหน็ หนอ” โดยเพยี งแตร บั รสู ภาวะเหน็ ในขณะนนั้ จดั วา เราเกดิ ศรทั ธา ทเ่ี ชอ่ื มนั่ เลอื่ มใสเพราะศรทั ธาเปน เหตใุ หเ จรญิ สตไิ ด ถา ไมม ศี รทั ธาเราก็ เจรญิ สตไิ มไ ด เราเกดิ วริ ยิ ะความเพยี รในการปฏบิ ตั ธิ รรม เกดิ สตทิ รี่ ะลกึ รสู ภาวะเหน็ ในปจ จบุ นั ขณะ เกดิ สมาธคิ อื ความตง้ั มนั่ และเกดิ ปญ ญาคอื การรูเห็นสภาวะเห็นตามความเปนจริงวาเปนเพียงสภาวะที่ปรากฏข้ึน อาศัยจกั ขปุ สาทและรูปารมณ ไมมบี คุ คลส่ิงของท่ถี กู เหน็ โดยปรมตั ถแต อยางใด สภาวะเห็นน้ีเปนเพียงนามธรรมอยางหน่ึงซึ่งเกิดทางใจเทานั้น และเกิดข้ึนตามเหตุปจจัยเชนเดียวกัน บุคคลที่สามารถรับรูเชนนี้ถือวา ไดร บั รสู ภาวะเหน็ เมอื่ เปน เชน นนั้ โจรซงึ่ เปรยี บไดก บั อายตนะภายนอก ๖ กไ็ มอาจปลน ทรัพยท ่ีเปรยี บไดกับกุศลของเราไปได อยางไรก็ตาม ในขณะพบกับรูปารมณเปนตนท่ีนาชอบใจ โดย ทวั่ ไปแทบทกุ คนไมอ าจจะปฏเิ สธความพอใจในสง่ิ ทเ่ี หน็ หรอื เสยี งไพเราะ ทไ่ี ดยนิ ไดเ ลย อีกท้ังในขณะทีพ่ บกบั รูปารมณเ ปน ตนทไ่ี มนาชอบใจ คน สว นมากมกั มใี จประทษุ รา ย ดงั นน้ั อายตนะภายนอก ๖ เหลา นจี้ งึ เหมอื น กับโจรที่ปลนทรัพยซึ่งเปรียบไดกับกุศลของเราในขณะท่ีเกิดความโลภ หรอื ความโกรธ ๓๒๘
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà หวงนาํ้ ใหญ = โอฆะ ๔๑๙ บรุ ษุ นน้ั พบโจรแลว หวาดกลวั จงึ หนจี ากโจรตอ ไป เขาพบหว งนาํ้ ใหญซ่ึงมีคล่ืนสูงไมสามารถวายผานไปได และไมมีเรือหรือสะพานขาม เขาจึงผูกแพขึ้นมาเองแลวใชม อื เทา ตา งพาย นาํ แพขามหวงน้าํ ใหญได หว งนาํ้ ใหญน้ีเปรยี บไดกับโอฆะ ๔ คาํ วา โอฆะ แปลตามศพั ท วา “หว งกิเลส” หมายถึง กิเลสทีเ่ หมือนหวงนา้ํ นนั่ เอง มี ๔ ชนดิ คอื กาโมฆะ หวงน้ําคอื กาม หมายถึง หว งน้าํ คือความยนิ ดพี อใจในกามคุณ ภโวฆะ หวงนํ้าคือภพ หมายถึง หวงน้ําคือฌานสุข หรือความพอใจใน ฌานสขุ ทิฏโฐฆะ หว งนา้ํ คอื ทฎิ ฐิ หมายถงึ หว งนํา้ คอื ความเหน็ ผิด และ อวิชโชฆะ หว งนา้ํ คอื อวชิ ชา กาโมฆะ หวงนํ้าอยางแรกคือกาโมฆะ หวงนํ้าคือความยินดีพอใจใน กามคุณ หมายความวา ในขณะท่ีดวงตากระทบรูปหรือเสียงกระทบหู การกระทบเชน นเ้ี รยี กวา ผัสสะ ตามหลักพระอภธิ รรม เรามักเกดิ ความ ยินดีพอใจในรปู สวย เสียงไพเราะ กลิน่ หอม รสอรอย และสัมผัสถกู ใจ ความยินดพี อใจในกามคุณ ๕ เหลา น้ี เรียกวา กาโมฆะ เปน หวงน้าํ คือ ความยินดีพอใจในกามคุณซ่ึงทวมทับชาวโลกอยู เปนส่ิงที่นอยคนจะ ๓๒๙
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà สามารถปฏิเสธได เม่ือเราไมสามารถปฏิเสธความยินดีพอใจในกามคุณ เหลานีไ้ ด ก็ถือวาถกู หว งน้ําใหญอ ยางแรกคือกาโมฆะทวมทับแลว ภโวฆะ หว งนา้ํ อยา งทส่ี องคอื ภโวฆะ หว งนาํ้ คอื ภพ คาํ วา ภพ ในทน่ี มี้ ไิ ด หมายถึงภพชาติ แตห มายถงึ ฌานสุข คือสุขในฌาน หมายความวา บาง คนเช่ือวาการเกิดในกามภูมิเปนมนุษยหรือเทวดาแลวเสวยกามสุขใน มนุษยโลกหรือเทวโลก ยังเปนของตํ่าทรามอยู แตการเสวยฌานสุขใน พรหมโลกจึงนับวาเปนสุขท่ีแทจริง ดังน้ัน เขาจึงเจริญฌานและเสวย ฌานสขุ การเสวยสุขในฌานสุขนี้ทําใหเขายึดติดผูกพันกับฌานสุขท่ีได รบั บคุ คลทปี่ ฏบิ ัติฌานจนไดบ รรลุฌานแลว ไมวาจะเปนการบรรลฌุ าน ดว ยการระลกึ รลู มหายใจเขา ออกหรอื ดว ยเมตตา มกั มคี วามรสู กึ เหมอื น กันอยา งหนึง่ น่นั กค็ ือ สขุ ซ่งึ เราไดรบั ในขณะทเ่ี ขาฌานอยู แมจ ะมใี คร จะนาํ เงนิ รอ ยลา นพนั ลา นมาใหก ไ็ มย อมแลก หากมคี วามรสู กึ เชน นเี้ มอ่ื ไร น่ีคือเปนความรูสึกของผูท่ีไดบรรลุฌานแลว และเมื่อเปนเชนนั้น ฌาน สุขของบุคคลผูไดบรรลุยอมทําใหเขาไมสามารถขามพนจากหวงน้ําคือ ฌานสขุ ได ดังนน้ั พระพุทธองคจ ึงตรัสถงึ หวงน้ําอยางท่ี ๒ คอื ภโวฆะ หวงนํ้าคอื ภพ ๓๓๐
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ทฏิ โฐฆะ หวงนํ้าประการตอมาคือ ทิฏโฐฆะ หวงน้ําคือความเห็นผิด หมายความวา คนทั่วไปมักเหน็ ผิดวามีตวั ตน มีเพยี งชาวพุทธท่ีเขา ใจวา รางกายของเราประกอบข้ึนจากรูปนาม ๒ อยาง ในศาสนาอ่ืนที่เปน เทวนยิ มมกั กลาวถงึ วญิ ญาณ อาตมนั หรือกายทพิ ย อีกท้งั คนสว นใหญ มกั ยดึ ติดผกู พนั อยูกบั กายทพิ ย จะเหน็ ไดวา ในหนังสืองานศพทัว่ ไปมัก เขียนขอความวา “ขอใหวิญญาณของบุคคลผูน้ันจงไปสูสุคติเถิด” การ กลา วเชน นไี้ มถ กู ตอ ง ถอื วา เปน การเขยี นในลกั ษณะทป่ี ระกอบดว ยทฏิ ฐิ คอื ยงั มคี วามเขา ใจผดิ วา มวี ญิ ญาณหรอื กายทพิ ยท ล่ี อ งลอยไปเกดิ ในภพ ตางๆ แตค วามจรงิ แลว ไมม วี ิญญาณเชนนัน้ แตอยา งใด รา งกายของเรานปี้ ระกอบขน้ึ จากรปู กบั นาม ๒ อยา งเทา นนั้ รปู คอื สภาวะไมร บั รอู ารมณ แตเ คลือ่ นไหวได สว นนามทําหนาที่รอู ารมณ เปนตัวบงการรูปใหทําส่ิงตางๆ ได ดังนั้น ความเขาใจวาวิญญาณหรือ กายทพิ ยไ มม จี รงิ เชน นจ้ี งึ นบั วา เปน ความเขา ใจอยา งถกู ตอ งวา มเี พยี งรปู กับนาม ๒ อยาง อันท่ีจริงวิญญาณตามหลักธรรมทางศาสนาพุทธก็คือ จติ อันเปน นามประเภทหนึง่ นัน่ เอง ความเห็นผิดหรือทิฏฐิมิไดหมายถึงความเห็นผิดท่ีเก่ียวกับ วิญญาณเทานั้น แตยังรวมไปถึงความเห็นผิดวามีตัวตน ชาวพุทธทั่วไป มักเขาใจวาไมมีตัวกูของกู จัดเปนความเขาใจดวยอํานาจของสัญญาวา รางกายของเราประกอบมาจากรปู นามเพยี ง ๒ อยาง ไมมสี ิ่งที่เราคิดวา ๓๓๑
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà เปนตัวกูของกูแตอยางใด ความเขาใจเชนน้ีถือวาอยูในระดับสัญญา บางทานก็กลาววาไมมีตัวกูของกูเดินไปไหนมาไหน แตถาเรายังรูสึกวา ในขณะเดนิ มรี า งกายเคลอ่ื นไปขา งหนา อยู มขี าทเี่ คลอ่ื นไหวอยู จดั วา ใน ตอนน้ันเรายังมีความรูสึกวามีตัวกูของกูตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะเรารับรู ถงึ รปู รางสัณฐานของรางกายทุกสว นหรือบางสวน ผทู ส่ี ามารถกาํ จดั ความรสู กึ วา มตี วั กขู องกอู ยา งชดั เจนได จะตอ ง บรรลุถึงวิปสสนาญาณขั้นท่ี ๕ คือภังคญาณ (ปญญาหย่ังรูความดับ) เปนตนไป น่ันก็คือ ถาผูปฏิบัติสามารถบรรลุถึงญาณท่ี ๕ ไปแลวก็จะรู วา ไมมรี า งกายของเราท่ีเคลอ่ื นไหวแตอ ยางใด มเี พยี งเงาดําๆ หรอื ควัน จางๆ ท่ีเคลื่อนไหวอยูเทา นนั้ โดยที่ไมรสู กึ วา เปน รูปรางสณั ฐานของเรา เลย ความรูสึกเชนน้ียอมเกิดข้ึนกับผูปฏิบัติธรรมท่ีบรรลุวิปสสนาญาณ ขั้นที่ ๕ ไปแลว เทา นั้น อยางไรก็ตาม ถาเราเจริญสติอยูกับปจจุบัน รับรูสภาวะเบา ผลกั ดนั และหนักโดยไมค ิดวา เปนขาของเรา อาจจะเปนเพียงกงิ่ ไมหรอื ทอนไมซ่ึงเคลื่อนไปมา ก็นับวาเราไดเร่ิมกําจัดความเห็นผิดในตัวตนได แลว ถอื วา ยงั เปน ขนั้ แรกอยแู มป ญ ญาของเรายงั ไมก ระจา งชดั เจน เพราะ ในคัมภีรอรรถกถากลาววา นามรูปปริจเฉทญาณ (ปญญากําหนดแยก รูปนาม) ทําหนาท่ีกําจัดสักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดในหมูรูปนามวา เปน ตัวตน๒๐ ดว ยเหตนุ ้ี ถา ผปู ฏบิ ตั ริ บั รสู ภาวะเบา ผลกั ดนั หรอื หนกั กน็ บั วา ไดกําจัดทิฏฐิแลว แมจะเปนเพียงช่ัวขณะก็นับวาเราไดสะสมหนวยกิต ๓๓๒
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà สวนบุคคลผูท่ียังเห็นผิดอยูในอาตมัน หรือแมในตัวตนท่ีเคลื่อนไหวอยู ก็นบั วาไดถกู หว งนาํ้ คอื ทิฏฐคิ รอบงาํ ไมอ าจวา ยขามหว งนา้ํ นั้นไปได ในคมั ภีรอ รรถกถา๒๑กลา ววา ชาวโลกมักรับรคู วามไมเ ท่ียงและ เปน ทกุ ขไ ดแ มจ ะรใู นลกั ษณะของสมมตุ บิ ญั ญตั กิ ต็ าม เชน แกว นา้ํ ใบหนง่ึ ตกแตก คนทั่วไปก็กลา ววา แกว น้าํ ไมเ ทยี่ ง หรอื พอเรานัง่ นานกบ็ อกวา เปน ทกุ ข แตค วามจริงแกวน้ําไมมลี ักษณะของความไมเ ท่ียง เพราะเปน สมมตุ บิ ญั ญตั ิ ไมใ ชส ภาวะของรปู นาม มฉิ ะนน้ั แลว แกว นา้ํ กเ็ ปน ของเทยี่ ง เมอื่ ยงั ไมแ ตก แตกเมอื่ ไรคอ ยไมเ ทยี่ ง แตค วามจรงิ ความไมเ ทยี่ งนน้ั เปน สภาวะเกิดดบั อยางรวดเร็วตลอดเวลา นอกจากนน้ั ชาวโลกมกั เขา ใจทกุ ขงั ในลกั ษณะของสมมตุ บิ ญั ญตั ิ อกี ดว ย เชน ถา เรานง่ั นานกร็ สู กึ เปน ทกุ ข แตค วามจรงิ ทกุ ขใ นไตรลกั ษณ มีความหมายวา “สภาวะบีบคน้ั ” คอื ถา เรามีความรูสึกวาถูกบบี คน้ั ใน ใจหลังจากเห็นความเกิดดับแลว น่ันคือเปนลักษณะของทุกขอยาง แทจ รงิ หรอื ถา มคี วามรสู กึ วา รปู นามเปน สง่ิ ทนี่ า กลวั ไมด งี าม กน็ บั วา เปน ลกั ษณะของทุกขในไตรลักษณเ ชนเดยี วกนั ๒๒ ในเบ้ืองแรกของการปฏิบัติ ผูปฏิบัติอาจรูสึกฟุงซานเปนอยาง มากในวนั สองวันแรก แตใ นวันที่สามความฟุงซา นคอ ยสงบลง หลังจาก นนั้ เรามกั รสู กึ สบาย คอื รสู กึ ถงึ ความเบาหนกั ชดั เจน รปู รา งสณั ฐานหาย ไป และเกดิ ปต ิโสมนสั ขนลุก เยน็ ซาบซานตามรา งกาย เกดิ ความสขุ ใจ หรอื รสู กึ สงบเหมอื นเราอยคู นเดยี วในโลกน้ี หรอื เหมอื นเสยี งทงั้ หมดดบั หายไป ๓๓๓
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ในขณะนนั้ ผปู ฏบิ ตั มิ กั รสู กึ วา รปู นามเปน แกน สารทดี่ งี าม เพราะ ทาํ ใหเ ราไดร บั ความสขุ อยา งทไ่ี มเ คยพบมากอ น แตห ลงั จากปฏบิ ตั ธิ รรม ไปเรอ่ื ยๆ เขายอ มหยงั่ เห็นไตรลักษณขั้นแรก คอื อนิจจัง ความไมเ ทยี่ ง หมายความวา ในเบ้ืองแรกเราอาจรูสึกวาระยะเดินมีชวงเดียวในขณะ ยก ยาง และเหยียบ ไมอาจแยกเปน ๓ ชวงได แตเมื่อสมาธิมีกําลัง มากขึ้น สภาวะเบาหนักยอมปรากฏชัดเจนมากขึ้น และเรายอมสังเกต สภาวะเรม่ิ กบั สดุ ของยก ยา ง และเหยยี บวา สภาวะยกเกดิ ขน้ึ แลว ดบั ไป จึงเกิดสภาวะยาง ในสภาวะยางไมมีสภาวะยก หลังจากสภาวะยาง ส้ินสดุ แลว จงึ เกดิ สภาวะเหยียบ ในสภาวะเหยยี บไมม สี ภาวะยา ง การท่ีเรารูเห็นสภาวะเดินวาเปนสามชวง ซึ่งจัดวาเปนความ เกิดขึ้น ต้ังอยู และดับไปของสภาวะยก ยาง และเหยียบ น้ีถือวาเปน ไตรลักษณข้ันแรกแลว และเราก็จะอนุมานรูวารูปนามทุกอยางหรือ อากัปกิริยาเคลื่อนไหวทุกอยางมีความเกิดข้ึน ต้ังอยู และดับไปตลอด เวลา ผูปฏิบัติท่ีรูสึกวาเทาเหนียวในขณะเดิน ก็มักสังเกตเห็นความ เกดิ ดบั เลก็ ๆ ของการเดนิ วา ในขณะนน้ั ความเกดิ ดบั ไดป รากฏอยตู ลอด เวลาเปนเวลาชวงหนึ่ง แมในขณะยกมือหรือกราบพระ เม่ือเรารับรู สภาวะเบาหนักชัดเจนโดยมือหรือขาหายไป ในตอนนั้นมักสังเกตเห็น ความเกิดดบั เล็กๆ ซ่ึงปรากฏอยา งชดั เจน น้คี อื อนจิ จังทล่ี ะเอยี ดมากขึ้น เปน การเกดิ ขนึ้ และดบั ไปอยา งละเอยี ดมากขน้ึ กวา เดมิ และหลงั จากนน้ั ผูปฏิบัติธรรมก็จะหยั่งเห็นทุกขในไตรลักษณ คือรูสึกวารูปนามท่ีเรา ๓๓๔
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà กําหนดรูอยูเปนสิ่งที่นาอึดอัดไมนาชอบใจ หรือรูสึกวาเปนส่ิงท่ีนากลัว ไมควรยดึ ตดิ ผกู พนั จึงตอ งการจะหลดุ พนไปจากรปู นามนี้ ในบางขณะผูปฏิบัติหยั่งเห็นอนัตตา คือ ความไมใชตัวตน บางทา นท่ีน่งั อยูอาจรูสึกวาตัวสูงตดิ เพดาน แขนขายาวออกไป ตวั หมนุ หรือตัวเล็กลงเปนจุดเดียวก็มี หรือบางทานอาจจะเกิดความรูสึกในใจ วาไมใ ชตวั ตน นค้ี อื ลกั ษณะของอนตั ตา สภาวะของอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา มักเกิดข้ึนขณะปฏิบัติ ธรรมอยู และในขณะน้ันผูปฏิบัติยอมสามารถกําจัดหวงนํ้าคือทิฏฐิได ตลอดเวลา มิฉะน้ันแลว หวงนํ้าคือทิฏฐินี้จะทวมทับทําใหไมสามารถ วายออกจากหว งน้าํ นีไ้ ด มโี ยมคนหนึง่ ถามอาตมาวา “โยมก็รวู าตนเองแกลงทกุ วนั หนงั ก็เห่ยี ว ผมกห็ งอก ดวงตากฝ็ า ฟาง ทําไมกเิ ลสจึงไมลดลง” อาตมาตอบ วา “เพราะโยมรูเห็นความแกหรือความไมเท่ียงของสมมุติบัญญัติคือ รางกาย ถาเรารูเห็นความไมเที่ยงของบัญญัติเชนนี้ ก็ไมอาจทําใหกิเลส ลดลงได เพราะยังรูสึกวามีตัวตน เมื่อบัญญัติปรากฏเชนนี้ สภาวธรรม ยอมไมปรากฏชัดเจน ดังคําพังเพยของไทยกลาววา เห็นไพรไมเห็น พฤกษ เหน็ พฤกษไ มเ ห็นไพร นนั่ ก็คือ ถา ผูปฏบิ ตั ิรบั รสู มมุตบิ ัญญตั ิ ก็ ไมรูสภาวธรรม ถา เขารบั รูส ภาวธรรมไดแ ลว สมมุตบิ ัญญตั ยิ อมหายไป ในเวลานนั้ ๓๓๕
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà อวชิ โชฆะ นอกจากหวงนํ้าคือทิฏฐิแลวยังมีหวงน้ําอีกอยางหน่ึง เรียกวา อวิชโชฆะ หว งนํ้าคืออวิชชา หมายความวา ขณะที่เรามไิ ดปฏิบตั ธิ รรม อยู อวิชชาหรือโมหะมักเกิดข้ึนตลอดเวลา การเกิดขึ้นของอวิชชามีอยู หลายลักษณะ เชน การเกิดข้ึนของอวิชชาในขณะท่ีเราคิดฟุงซานโดย ไมร เู หน็ รปู นามตามความเปน จรงิ นคี้ อื เปน ลกั ษณะหนง่ึ ทอ่ี วชิ ชามกี าํ ลงั แตในบางขณะความโลภหรือความโกรธก็เกิดข้ึนรวมกับอวิชชา ดังเชน เวลาทเ่ี ราเหน็ รปู ทสี่ วยงาม ไดย นิ เสยี งทไ่ี พเราะ เปน ตน ความโลภไดเ กดิ ข้นึ รวมกับอวชิ ชาในขณะนัน้ ดังพระพุทธดํารสั วา ลทุ ฺโธ อตถฺ ํ น ชานาติ ลุทฺโธ ธมมฺ ํ น ปสสฺ ติ อนฺธตมํ ตทา โหติ ยํ โลโภ สหเต นร.ํ ๒๓ “ผูโ ลภแลวยอมไมรผู ล ผโู ลภแลว ยอมไมร เู หตุ ความโลภยอ ม ครอบงาํ นรชนในกาลใด ความมดื มนยอมปรากฏในกาลนน้ั ” ในเวลาท่คี วามโลภเกดิ ขึ้น เรามกั ไมรเู หตุ ไมร ผู ล และในขณะ น้ันมีความมืดเกิดข้ึน ความมืดนี้เปรียบไดกับอวิชชานั่นเอง จัดวาเปน อวชิ ชาทเี่ กดิ รว มกบั ความโลภ ทาํ หนา ทปี่ ด บงั โทษของความโลภ จะเหน็ วาอวิชชาเหมือนความมดื ซ่ึงเกดิ ขึน้ รวมกบั ความโลภ แมคนท่ีถูกความโกรธครอบงําก็เหมือนคนท่ีถูกความโลภนั้น ครอบงํา พระพทุ ธองคตรัสถึงเร่อื งนวี้ า ๓๓๖
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ทฏุ โ อตถฺ ํ น ชานาติ ทฏุ โ ธมมฺ ํ น ปสสฺ ติ อนฺธตมํ ตทา โหติ ยํ โกโธ สหเต นรํ.๒๔ “ผูโกรธแลวยอมไมรูผล ผูโกรธแลวยอมไมรูเหตุ ความโกรธ ยอ มครอบงาํ นรชนในกาลใด ความมืดมนยอมปรากฏในกาลนน้ั ” ในขณะใดทจ่ี ติ ของเราเกดิ ความโลภ ขณะนนั้ อวชิ ชายอ มเกดิ ขนึ้ รวมกบั ความโลภอีกดวย ตามหลักพระอภธิ รรมเรียกจิตชนิดนวี้ า โลภ- มลู จติ แปลวา จิตท่มี ีโลภะเปนมูลเหตุ คอื มีโลภะเปน ประธาน โดยมี โมหะเกิดรวมกับโลภะ หรือขณะท่ีเราเกิดความโกรธข้ึนในใจ ก็มีโมหะ เกดิ รว มดว ย จงึ เรยี กวา โทสมลู จติ คอื จติ ทมี่ โี ทสะเปน มลู เหตุ หมายความ วา มโี ทสะเปนประธาน โดยมีโมหะประกอบรว มอีกดวย ดวยเหตุน้ี ผูที่มิไดปฏิบัติธรรมจึงถือวาเกิดหวงน้ําคืออวิชชา ทว มทบั อยู ไมส ามารถจะวา ยขามหวงน้ําคืออวิชชาไปได ความจริงเวลา ที่เกิดอวิชชานี้เปนชวงที่เรารับรูสมมุติบัญญัติตลอดเวลา ในคัมภีรทาง ศาสนาเรยี กวา สกั กายทฏิ ฐิ คอื ความเหน็ ผดิ วา เปน ตวั ตน คาํ นแี้ ปลตาม ศพั ทว า “ความเหน็ ผดิ ในหมขู นั ธท ม่ี อี ยจู รงิ ” หมายความวา ขนั ธ ๕ เปน สิ่งที่มีอยูจริง แตเราเขาใจผิดวาขันธ ๕ เปนอัตตา ตัวตน เรา ของเรา บรุ ษุ หรือสตรี ซึง่ ไมม ีอยูจริง ขันธ ๕ น้ันเรยี กวา สกั กายะ คือ หมูขนั ธท ม่ี อี ยูจริง โดยคาํ วา ส มาจาก สนฺต ซง่ึ แปลวา “มอี ยจู รงิ ” กาย ศัพทแ ปลวา “หม”ู รวมทั้ง ศพั ทจงึ แปลวา “หมขู นั ธท่มี ีอยจู ริง” นน่ั ก็คอื ขนั ธ ๕ เหลานี้เปน สภาว- ๓๓๗
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ธรรมทม่ี อี ยจู รงิ ตามไตรลกั ษณ แตช าวโลกสาํ คญั ผดิ วา เปน รปู รา งสณั ฐาน บุรุษ หรือสตรี จึงทําใหเ ราเขา ใจผิดขันธว า เปนรูปรางสณั ฐานตวั ตน๒๕ สรุปความวา เมื่อเราเพลิดเพลินยินดีในกามคุณ พอใจใน ฌานสุข เหน็ ผิดในขันธ ๕ วา เปนตวั ตน หรอื มีอวชิ ชาท่ไี มรูเห็นรปู นาม ตามความเปน จรงิ กน็ บั วา ถกู โอฆะทงั้ ๔ ทว มทบั อยู ไมอ าจวา ยขา มหว ง กเิ ลสได การนอมใจ ๖ ประการ ในคมั ภรี ว สิ ทุ ธมิ รรค๒๖กลา วถงึ ผทู ตี่ อ งการบรรลธุ รรมพน ไปจาก หว งกเิ ลส ไมว า จะเปน พระอรหนั ต พระปจ เจกพทุ ธเจา หรอื พระพทุ ธเจา จะตอ งมกี ารนอ มใจ ๖ ประการ ซ่ึงเปน วิธีขดั เกลากเิ ลสใหล ดนอยลง ประการแรกคอื อโลภชั ฌาสยะ มอี ธั ยาศยั ในความไมโ ลภ คอื เหน็ โทษของความโลภ ทาํ ใหไ มย ดึ ตดิ บคุ คลหรอื สง่ิ ของใด ๆ หมายความ วา ถา เรายงั ยดึ ตดิ ผกู พนั บคุ คลหรอื สงิ่ ของ กย็ ากทจี่ ะบรรลธุ รรมได โดย เฉพาะผูที่ต้ังใจบรรลุธรรมในชาตินี้ เน่ืองจากเราถูกกาโมฆะทวมทับอยู ดงั นัน้ จงึ ตองมีอัธยาศยั ในความไมโ ลภ ประการท่ี ๒ คือ อโทสัชฌาสยะ มอี ธั ยาศัยในความไมโกรธ คือ เหน็ โทษของความโกรธ ทาํ ใหไ มอาฆาตจองเวร หมายความวา ถาเรายงั ผกู โกรธอยู ยังไมช อบคนน้นั หรอื คนน้อี ยู ก็จะทาํ ใหเราไมสามารถบรรลุ ๓๓๘
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ธรรมในภพน้ีได จึงตองปลอยวางความโกรธใหหายไปดวยการเห็นโทษ ของความโกรธ ควรเขา ใจวาในสังสารวัฏทีย่ าวนานนีไ้ มมใี ครผิด ๑๐๐% นน่ั ก็ คอื เราตอ งผดิ ๕๐% เชน ถาเรามกี รรมที่จะหัวแตก นาย ก. เหน็ เราแลว เกดิ หม่ันไสม าตีหัวเราก็ได ถงึ ไมมนี าย ก. กม็ ีนาย ข. แมจ ะไมม ใี ครเลย ก็หกลมหัวแตกได นาย ก. หรอื นาย ข. เปน เพียงอุปกรณของกรรมที่ สง ผลผานบุคคลเทานน้ั สมมติวาคนอื่นยืมเงินเราไปแลวไมคืน ก็แสดงวาในชาติน้ีเรา อาจจะยมื เงนิ คนอน่ื แลว อาจจะลมื ไป หรอื มฉิ ะนนั้ ในชาตกิ อ นเรากค็ งยมื คนอื่นแลวไมไดใช ความจริงแลวไมมีใครทําความดีอยางเดียวในชาติ กอนๆ แมกระทั่งพระโพธิสัตวก็อาจทําช่ัวไดบาง เชน บางชาติท่ีเปน พระราชาตองสูรบกับโจร ปราบกบฏภายใน หรือสั่งประหารโจร ฯลฯ บางชาติทีเ่ กิดเปน สัตวด ริ จั ฉานตองกินสตั วอื่นเปนอาหาร ดงั นน้ั อกศุ ล กรรมในชาตกิ อ นจงึ ตดิ ตามเราอยเู สมอ ถา เราเหน็ โทษของความโกรธวา เราผดิ ๕๐% คนอน่ื ผดิ ๕๐% ถอื วา เปน กรรมของเราเอง เราชดใชก รรม เกา คนอ่ืนทาํ กรรมใหม ก็จะทําใหค วามโกรธคลายไปได ประการที่ ๓ คอื อโมหชั ฌาสยะ มอี ธั ยาศัยในความไมหลง คือ เห็นโทษของความหลงดว ยการหม่นั พจิ ารณาเหตุผลทถี่ กู ตอ ง หรอื ดวย การเรียนรูหลักธรรมอยางถูกตอง ก็จะทําใหมีอัธยาศัยในความไมหลง การศึกษาพระอภิธรรมจะทําใหเราเขาใจรูปนามโดยละเอียด สวนการ ๓๓๙
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà เจรญิ วปิ ส สนากรรมฐานเปน วธิ พี ฒั นาปญ ญาเพอ่ื การรเู หน็ รปู นามอยา ง แทจ รงิ จากประสบการณของตน ประการที่ ๔ คือ เนกขัมมัชฌาสยะ มีอัธยาศัยออกจากกาม คอื เหน็ โทษของการครองเรอื น ทาํ ใหไ มเ พลดิ เพลนิ ยินดีกามคุณ ๕ อนั ไดแก รูป เสียง กล่ิน รส และโผฏฐัพพะ แมเราอาจเพลิดเพลินยินดี กามคณุ ในปฐมวยั และมชั ฌมิ วยั แตค วรเบอื่ หนา ยคลายกาํ หนดั ในปจ ฉมิ - วยั จะเหน็ ไดว า พระโพธสิ ตั วใ นแตล ะชาตมิ ลี กั ษณะเหมอื นกนั อยา งหนงึ่ นน่ั ก็คือ ไมวาพระองคจ ะครองเรือนเปน กษตั รยิ อาํ มาตย ปุโรหติ หรือ คนเข็ญใจ แตใ นบ้ันปลายชวี ิต พระองคมกั ออกบวชเจรญิ ฌานอยูเนืองๆ นจี้ ดั วา เปน อธั ยาศัยในการออกจากกาม การเจรญิ ฌานดงั กลา วเปน วธิ ปี ฏบิ ตั นิ อกพระพทุ ธศาสนา เพราะ ในสมยั น้ันมไิ ดมพี ระพทุ ธเจาอุบัติข้ึน จงึ อาศัยการเจรญิ ฌานอยา งเดียว แตใ นปจ จุบนั ซงึ่ พระพุทธศาสนาเจรญิ รงุ เรืองอยู เราควรเจรญิ วปิ สสนา ภาวนาเพื่อใหวิปสสนาภาวนาเปนเมล็ดพันธุซึ่งจะผลิดอกออกผลเปน มรรคผลนิพพานตอไป นอกจากน้ัน ผูปฏิบัติควรเจริญสมถกรรมฐาน ควบคูไ ปดว ย จะทาํ ใหจ ิตของเราสงบจากนิวรณ สามารถปฏบิ ตั ิธรรมให กาวหนา ไดเ รว็ ข้นึ ๓๔๐
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ประการที่ ๕ คือ ปวิเวกัชฌาสยะ มีอัธยาศัยพอใจความสงัด คือ เห็นโทษของการคลกุ คลกี ับหมคู ณะ ทําใหช อบอยใู นปาทเี่ งียบสงดั ไมพลุกพลา น ขอ นห้ี มายความวา ผูทตี่ อ งการจะบรรลมุ รรคผลนพิ พาน ในชาตนิ ต้ี อ งพอใจความสงดั พยายามหลกี เลย่ี งจากการคลกุ คลหี มคู ณะ คือการเขา สงั คมท่ีไมจ ําเปน และใชเวลาในการปฏิบัติธรรมใหมากขนึ้ ก็ นบั วาไดบ าํ เพ็ญขอที่ ๕ แลว ประการที่๖คอื นิสสรณัชฌาสยะมอี ธั ยาศยั เพ่อื ความหลดุ พน คือ เห็นโทษของการเวียนตายเวียนเกิด ไมนอมจิตเพื่อเสวยสุขท่ีเนื่อง ดวยมนุษยสมบตั หิ รือสวรรคสมบตั ิ กลาวโดยสรุปดังนี้คือ ผูที่ตองการบรรลุธรรมเปนพระอรหันต พระปจ เจกพทุ ธเจา หรือพระพทุ ธเจา ตองวางจิตไวใ นลักษณะ ๖ อยาง คือ อธั ยาศยั ไมโ ลภ ไมโกรธ ไมหลง ออกจากกาม พอใจความสงดั และ ความหลุดพน เมือ่ บุคคลนอ มใจไวในลักษณะ ๖ อยา งน้กี ถ็ อื วาพยายาม ปฏิบัติเพือ่ ขา มหวงกิเลสทง้ั ๔ ประการดงั ท่ีกลา วมาแลว ๓๔๑
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ฝงน้ี = กองรูปนาม, ฝง โนน = พระนพิ พาน๒๗ ฝง นคี้ อื กองรปู นาม มภี ยนั ตรายมากมาย มใิ ชแ ดนเกษม เราตอ ง ขา มหว งนาํ้ ใหญจ งึ จะพบฝง โนน ซงึ่ เปรยี บไดก บั พระนพิ พาน คอื ความดบั รูปนาม อันเปนแดนเกษม ในเรื่องน้ีพระพุทธองคตรัสพระนิพพานวา เหมือนเปนสถานท่ีแหงหน่ึงท่ีเรียกวาแดนเกษม การตรัสเชนน้ีจัดเปน สํานวนทางภาษาทีก่ ลาวถึงสิง่ ทไ่ี มใ ชสถานที่ใหเหมอื นเปน สถานที่ ตาม หลกั อลงั การศาสตรเ ปน การใชค าํ ชน้ั สงู ทกี่ ลา วถงึ สงิ่ ทไ่ี มม วี ตั ถใุ หเ หมอื น มีวัตถุ ส่ิงที่ไมมีชีวิตใหเหมือนมีชีวิต หรือสิ่งที่ไมมีรางกายใหเหมือนมี รางกาย๒๘ ดงั น้ีเปนตน ในเรื่องนี้พระพุทธองคทรงเปรียบวา พระนิพพานคือความดับ รูปนามขันธ ๕ เหมือนฝงโนนที่เปนแดนเกษม เหตุที่เปนแดนเกษมก็ เน่ืองจากวาพระนิพพานน้ันปราศจากรูปนามขันธ ๕ เมื่อไมมีรูปนาม ทัง้ หมดจงึ ไมมีธาตุ ๔ ไมมีขนั ธ ๕ ไมมนี นั ทีราคะ ไมมีอายตนะภายใน ๖ ไมมอี ายตนะภายนอก ๖ ไมม หี วงกิเลสท้งั ๔ อยา ง ดังนั้น พระนิพพาน จึงเปนแดนเกษมอยางแทจ ริง ๓๔๒
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà การใชมอื เทาตางพาย = วีรยิ ารัมภะ๒๙ บุรุษท่ีตองการจะขามหวงนํ้าตองตอแพเอง แลวใชมือเทาตาง พายเคล่ือนตัวออกไปยังอีกฝงหนึ่ง การใชมือเทาตางพายเปรียบไดกับ การปรารภความเพยี รทางกายและใจ ซ่ึงเรียกวา วรี ิยารมั ภะ ผขู ามฝง = พระอรหันต๓ ๐ ผูปฏิบัติจะตองมีความเพียรท้ังทางกายและทางใจ ถาเรา ปราศจากความเพยี รดงั กลา วกไ็ มอ าจลอ งแพหรอื ทาํ ใหแ พนน้ั เคลอื่ นตวั สูฝงตรงขา มได สว นผทู ่ขี ามฝง แลวเปรียบไดก บั พระอรหนั ต ซง่ึ สามารถ ขจัดกเิ ลสทกุ ประการโดยสิ้นเชิง จงึ นับวา เปน ผูขามฝงได แพ = อรยิ มรรคมีองค ๘๓๑ ในเรื่องนีพ้ ระพุทธองคไดเ ปรยี บแพวาคอื อริยมรรคมอี งค ๘ ซึ่ง จะทําใหเ ราสามารถขามหว งกเิ ลสได อริยมรรคเหลา น้นั แยกออกเปน ๓ หมวด คือ หมวดศีล หมวดสมาธิ และหมวดปญญา ๓๔๓
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà อริยมรรคหมวดศลี ๓ สัมมาวาจา หมวดศลี แบง ออกเปน ๓ ประเภท คอื สัมมาวาจา การกลาว ชอบ สมั มากมั มนั ตะ การกระทาํ ชอบ และสมั มาอาชวี ะ การเลย้ี งชพี ชอบ ผูตองการจะขามหวงนํ้า ในเบ้ืองแรกตองมีสัมมาวาจาคือการ กลาวชอบเสียกอน การกลาวชอบน้ีหมายถึงการหลีกเล่ียงจากการพูด เทจ็ พดู สอเสยี ด พดู คําหยาบ และพูดเพอ เจอ จะเหน็ ไดว า เม่ือเราพูด เท็จอยู ก็จะทําใหไมสบายใจในขณะพูด และทําใหบุคคลอ่ืนไมสบายใจ อกี ดว ย และเมอ่ื เรามคี วามไมส งบทางใจ อกี ทง้ั ทาํ ใหผ อู น่ื มคี วามไมส งบ ทางใจเชนนี้ ถือวาเรายังอยูในหวงกิเลส ไมอาจขึ้นแพคือสัมมาวาจาได เพราะถาจิตของเรายังไมสงบ และทําใหจิตของผูอ่ืนไมสงบ ยอมไมอาจ เจริญคณุ ธรรมข้นั สูงตอไป ผทู ป่ี ระพฤตสิ มั มาวาจาจะตอ งพดู คาํ จรงิ พดู คาํ ทกี่ อ ใหเ กดิ ความ สามคั คี พดู คําไพเราะออนหวาน และพดู คําที่มีประโยชน การหลกี เลย่ี ง จากการพูดเท็จก็คือการพูดคําจริง การหลีกเลี่ยงจากการพูดสอเสียดก็ คอื การพดู คาํ ทก่ี อ ใหเ กดิ ความสามคั คี แมเ ราจะไดย นิ คาํ พดู ของผอู นื่ และ เปนความจริง แตถานําไปพูดแลวกอใหเกิดความแตกแยก ก็ไมควรพูด คาํ นั้น เพราะคําพดู ดังกลา วจดั เปนปสุณวาจา ๓๔๔
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà การหลีกเลี่ยงจากการพูดคําหยาบก็คือการพูดคําไพเราะออน หวาน การหลีกเล่ียงจากการพูดเพอเจอคือการพูดคําที่มีประโยชน จะ เห็นไดว า คนที่พูดเทจ็ พดู สอ เสยี ด พูดคําหยาบ หรือพดู เพอเจอ คาํ เหลาน้ี ไมทําใหเรารูสกึ เปน สุขหรือสงบใจ ไมทําใหสังคมรอบขา งรสู กึ เปน สขุ ใจ เมอ่ื ตวั เราและสงั คมยงั ไมม คี วามสขุ ใจและความสงบเชน น้ี กถ็ อื วา เรายงั ไมอ าจปฏบิ ัตธิ รรมข้นั สูงตอไปได สมั มากมั มันตะ ศลี ประการตอมาคือ สัมมากัมมนั ตะ การกระทําชอบ หมายถงึ การกระทําท่ีงดเวนจากการฆาสัตว ลักทรัพย และประพฤติผิดในกาม จะเห็นไดวา คนที่ฆาสัตวมักรูสึกไมสบายใจในขณะทําบาป บุคคลรอบ ขา งทพ่ี บวา เขาฆา สตั วก บ็ งั เกดิ ความไมส บายใจเชน เดยี วกนั การลกั ทรพั ย ก็เหมือนกัน ทําใหเขากับบุคคลรอบขางไมสบายใจเพราะเกิดความ หวาดระแวงไมไ วใ จกนั การประพฤตผิ ดิ ในกามกท็ าํ ใหเ ขาและคนรอบขา ง ไมส บายใจ เกดิ ความวิตกกังวลหวาดกลวั ตอภยั ทจ่ี ะเกิดขนึ้ ในเบ้ืองแรกคนทําผิดมักไดรับอัตตานุวาทภัย คือ การตําหนิ ตนเองเมื่อเราทําชั่ว หลังจากน้ันก็มีปรานุวาทภัย คือบุคคลอื่นตําหนิ เอา หลังจากน้ันก็เปนทัณฑภัย คือ การไดรับโทษตามกฎหมาย และ ประการสดุ ทา ยเปนทุคติภยั คือ การไปเกดิ ในทุคตภิ ูมิ ดังน้ัน ผูท่ีลวงละเมิดการฆาสัตว ลักทรัพย หรือประพฤติผิด ในกาม เขามักเกิดความไมสบายใจ และคนรอบขางก็นึกหวาดระแวง ๓๔๕
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ไมส บายใจไปดว ย แตเ มอื่ เขาประพฤตสิ มั มากมั มนั ตะคอื การกระทาํ ชอบ แลว ตัวเขาเองก็รูสกึ สบายใจ ไมว ติ กกังวลกบั ภยั ทั้ง ๔ ประการเหลา น้ัน และบุคคลรอบขางกจ็ ะไวว างใจ ไมรสู กึ วิตกกงั วล ในขณะน้ันจัดวาเขาเจริญเมตตาและกรุณาโดยออม เพราะศีล เปนอภัยทานคือการใหอภัยบุคคลอ่ืน ที่จริงแลวการไมเบียดเบียนผูอ่ืน ทางกายและวาจาเหมอื นการเจรญิ เมตตาโดยมคี วามปรารถนาดตี อ ผอู น่ื หรอื เจรญิ กรณุ าคอื สงสารผอู นื่ ถา เขาทาํ ผดิ การรกั ษาศลี จงึ นบั วา เปน การ เจรญิ เมตตาและกรณุ าโดยออม สัมมาอาชวี ะ สวนสัมมาอาชีวะเปนการเลี้ยงชีพโดยชอบ คนท่ัวไปที่ฆาสัตว ดวยความตง้ั ใจ เชน ฆา ยุงหรอื มด ถือวาเราผิดเรอ่ื งการฆา สตั ว แตไมผิด ตอการเลี้ยงชพี ถา ตองฆาเปนอาชีพเหมือนกับคนทฆ่ี าหมู ววั ควาย ไก ปลา ก็นับวา ไดลว งละเมดิ มิจฉาอาชวี ะ เพราะเปนการฆาสัตวท ่เี ก่ยี วกับ การเลี้ยงชีพ เพราะเหตุนั้น สัมมาอาชีวะจึงเปนการหลีกเล่ียงจากการ ฆา สตั ว ลกั ทรพั ย ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พดู สอ เสียด พดู คาํ หยาบ และพูดเพอเจอ โดยเนื่องดวยการเล้ียงชีพ เม่ือเปนเชนน้ันจึงจัดวาเรา ไดประพฤตสิ มั มาอาชวี ะแลว ๓๔๖
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà อริยมรรคหมวดสมาธิ ๓ สมั มาวายามะ นอกจากอรยิ มรรคหมวดศลี กย็ งั มีอรยิ มรรคหมวดสมาธิตอ มา ซง่ึ กค็ อื สมั มาวายามะ ความเพยี รชอบ หมายถงึ ความเพยี รในการปด กนั้ อกศุ ล ในการกําจดั อกศุ ล ในการทาํ กุศล และในการเพิม่ พูนกุศล กลา วโดยยอคอื การปด ก้นั บาปเกา กาํ จดั บาปใหม ทาํ กุศลใหม และเพ่ิมพนู กศุ ลเกา หมายความวา คนท่วั ไปตองปดประตไู วใ นเวลาอยู บา นเพอื่ ไมใหข โมยเขาบา น จิตของเราก็เชนเดยี วกนั ตอ งประกอบดว ย สมั มาวายามะ คือ ความเพยี รชอบ ซ่งึ เรียกอีกช่อื หนึ่งวา สัมมปั ปธาน โดยพยายามปดกั้นจติ จากอกุศลท่ีเราเคยทาํ มาแลว เชน แมเราเคยเกิด โทสะมากอน ก็พยายามปดกั้นจิตไมใหเกิดโทสะ เหมือนการปดประตู บานเปนอยางดีเพ่ือไมใหขโมยเขา การปดกั้นบาปไมใหเกิดในจิตเชนน้ี จัดวา เปนความเพียรอยา งแรก คือ ความเพียรเพ่ือปด กั้นอกุศลเกา ความเพียรประการท่ี ๒ คือ ความเพียรเพื่อกําจัดอกุศลใหม หมายความวา อกุศลใดที่เรายังไมเคยทํา เราตองพยายามรักษาใจของ เราเพ่ือไมใหเกิดอกุศลเหลาน้ัน นอกจากความเพียรเกี่ยวกับการปดกั้น อกุศลเกาและกําจัดอกุศลใหมแลว ยังมีความเพียรเก่ียวกับการทํากุศล ใหมแ ละเพ่ิมพูนกศุ ลเกา หมายความวา กศุ ลใดกต็ ามซึง่ เรายงั ไมเคยทาํ ๓๔๗
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà มากอ น เรากพ็ ยายามทาํ ใหเ กดิ กศุ ลเหลา นน้ั เชน การเจรญิ เมตตาภาวนา ใหเ กดิ ขน้ึ ในจิตของเรา หลงั จากนั้นก็ตองพยายามเพมิ่ พนู เมตตาภาวนา ใหเจริญไพบลู ยง อกงามในจติ ของเรามากขนึ้ ดงั นนั้ สมั มาวายามะจงึ เปน องคค ณุ ทจ่ี าํ เปน ในขณะปฏบิ ตั ธิ รรม เราตองพยายามปดกน้ั อกศุ ลไมใ หเ กดิ ในใจ หรอื ถา มันเกดิ ขน้ึ เราก็ตอ ง กําจดั มนั คอื ถา มโี ทสะเกิดขึ้น เราตองกําหนดวา “โกรธหนอๆ” เพอ่ื กําจัดโทสะน้ัน หรือถากําหนดวา “โกรธหนอๆ” แลว โทสะยังไมหาย เรากแ็ ผเ มตตาเพื่อทําใหโ ทสะเบาบางลง สมั มาสติ สมั มาสมาธิ อริยมรรคมอี งค ๘ ประการตอ มาคือ สมั มาสติ การระลึกชอบ หมายถึง การเจรญิ สตริ เู ทา ทนั ปจ จุบันในกองรปู เวทนา จิต และสภาว- ธรรม นอกจากสัมมาสตแิ ลว กม็ ีสัมมาสมาธิ ความต้งั มนั่ หมายถงึ การ ดํารงใจไวอ ยางมนั่ คงในรูปนามปจจุบันทุกขณะๆ ที่กําหนดรูอยู ๓๔๘
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà อริยมรรคหมวดปญญา ๒ สัมมาทิฏฐิ อรยิ มรรคหมวดปญ ญามี ๒ อยา ง คอื สมั มาทฏิ ฐิ ความเหน็ ชอบ และสัมมาสงั กปั ปะ ความดาํ รชิ อบ หมายความวา ในเบอ้ื งแรกของการ ปฏิบัติ เราตองเกิดความเห็นชอบ คือ เช่ือม่ันกรรมและผลกรรมโดย เช่ือม่ันกฎแหงกรรมวา กฎแหงกรรมมีจริง มีการเวียนวายตายเกิดจริง ความเชอื่ มั่นในกฎแหงกรรมเชน นี้ช่อื วา กัมมัสสกตาสมั มาทฎิ ฐิ ในนเิ ทศของมหาสตปิ ฏ ฐานสตู ร๓๒ พระพทุ ธองคต รสั ขยายสมั มา ทิฏฐวิ า ความเห็นชอบในเรอ่ื งน้ีคอื ความเห็นชอบในอริยสจั ๔ ซ่ึงรูเห็น อยางถูกตองวา รูปนามหรือขันธ ๕ เปนทุกขสัจ (ความจริงคือทุกข) ตัณหาที่กอใหเกิดรูปนามเปนสมุทยสัจ (ความจริงคือเหตุแหงทุกข) พระนพิ พานทเ่ี ปน สภาวะดบั รปู นามเปน นโิ รธสจั (ความจรงิ คอื ความดบั ทุกข) และอริยมรรคมอี งค ๘ อันเปนแนวปฏิบัตเิ พือ่ ดบั ทุกขเปน มรรค สจั (ความจริงคอื ทางดับทุกข) ผปู ฏบิ ตั ทิ เ่ี จรญิ สตริ เู ทา ทนั รปู นามปจ จบุ นั จดั วา ไดก าํ หนดรทู กุ ข- สัจแลว กลา วคอื เมอ่ื เราระลกึ รูรูปนามซึง่ ปรากฏในปจจุบันขณะ นบั วา ไดร ูเหน็ วา มเี พยี งรปู นามเทาน้ัน ไมใ ชต ัวเรา ของเรา บุรษุ หรือสตรี ไมมี ตวั กขู องกอู ยใู นรปู นามเหลา นน้ั ในขณะนน้ั ผปู ฏบิ ตั ยิ อ มเขา ใจวา รปู นาม ๓๔๙
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ซง่ึ ปรากฏอยนู ้เี ปนเพยี งสภาวธรรมปจจบุ นั เกิดตามเหตปุ จจยั เมื่อเกดิ ข้ึนแลวไดดับไปอยางรวดเร็ว ความเขาใจเชนน้ีจัดวาเปนการกําหนดรู ทกุ ขสจั ในขณะน้ันตัณหาหรือโลภะมิไดเกิดขึ้น จัดวาผูปฏิบัติไดขจัด สมุทยสัจคือตัณหาโดยตทังคปหาน คือ การละไดชั่วขณะดวยวิปสสนา ปญ ญา และในขณะนน้ั เราไดเ จรญิ อรยิ มรรคมอี งค ๘ พรอ มกนั จงึ นบั วา ไดเ จริญมรรคสัจแลว สว นนิโรธสัจยอมปรากฏชดั เจนในขณะบรรลุมรรคญาณ สง ผล ใหผูปฏิบัติรับรูความดับของรูปนามท้ังหมดขณะที่เกิดมรรคญาณน้ัน นับวา ผูปฏิบตั ไิ ดกระทําใหแจงนิโรธสัจแลว ดว ยเหตดุ งั กลา ว ในนเิ ทศของมหาสตปิ ฏ ฐานสตู ร พระพทุ ธองค จึงตรัสสมั มาทฏิ ฐวิ า เปนความเขาใจอริยสัจ ๔ อยา งถูกตอ ง สมั มาสงั กปั ปะ อรยิ มรรคมอี งค ๘ อกี ประการหนง่ึ คอื สมั มาสงั กปั ปะ ความดาํ ริ ชอบ หมายถึง ความดําริในกุศล สมั มาสังกปั ปะน้ีตอ งประกอบรวมกับ สมั มาทฏิ ฐอิ กี ดว ย เพราะเปน สภาวะอปุ ถมั ภค าํ้ จนุ สมั มาทฏิ ฐิ ถา ผปู ฏบิ ตั ิ ไมม ีใจนอ มไปสูกุศล ก็ยอ มไมอ าจเจริญสมั มาทิฏฐไิ ด ในนิเทศของมหาสติปฏฐานสูตร๓๓ พระพุทธองคตรัสสัมมา- สังกัปปะวามี ๓ ประการ คือ เนกขัมมสังกัปปะ ความดําริในกุศลทุก ๓๕๐
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà อยา ง ซง่ึ รวมไปถงึ การปฏบิ ตั ธิ รรม อพั ยาปาทสงั กปั ปะ ความดาํ รใิ นการ ไมปองราย คอื การเจรญิ เมตตา และอวหิ ิงสาสังกปั ปะ ความดาํ ริในการ ไมเบียดเบียน คือการเจริญกรุณา ดังนั้น ในขณะที่เจริญสัมมาทิฏฐิจึง ตอ งมสี มั มาสงั กปั ปะประกอบรว มอยดู ว ยเพอ่ื ทาํ ใหจ ติ ของเรานอ มไปใน การเจริญปญ ญาซึง่ เรยี กวาสมั มาทฏิ ฐินั่นเอง ทุกขณะท่ีผูปฏิบัติเจริญสติปฏฐานวิปสสนาภาวนา จัดวาไดงด เวนจากการพดู เท็จ พูดสอ เสียด พดู คาํ หยาบ และพดู เพอเจอ จงึ นบั วา ไดเจริญสัมมาวาจา อีกท้ังไดงดเวนจากการฆาสัตว ลักทรัพย และ ประพฤตผิ ดิ ในกาม นบั วา ไดเ จรญิ สมั มากมั มนั ตะ รวมไปถงึ ไดง ดเวน จาก กายทุจริต ๓ และวจที จุ รติ ๔ นบั วา ไดเ จรญิ สัมมาอาชีวะ ในขณะนัน้ เรา มคี วามเพยี รจดจอ อยกู บั สภาวธรรมปจ จบุ นั นบั วา ไดเ จรญิ สมั มาวายามะ มีสติระลึกรูเทาทันปจจุบันทุกขณะโดยประคองสติมิใหหลุดออกไปจาก ปจจุบัน นับวาไดเจริญสัมมาสติ และไมมีความฟุงซานรบกวนจิตใน ขณะนัน้ กน็ ับวา ไดเ จรญิ สมั มาสมาธิ รวมไปถึงไดเจรญิ สัมมาทฏิ ฐิท่หี ยงั่ เห็นรูปนามตามความเปนจริง และเจริญสัมมาสังกัปปะซึ่งเปนสภาวะ นอมจิตสอู ารมณเพอ่ื ใหรูเทาทันรปู นามปจ จบุ นั ไดชัดเจน การปฏิบตั ิธรรมเหมือนยงิ ธนูคือคนทกี่ าํ ลงั ยงิ ธนูตองมวี ริ ยิ ะใน การยิง จัดเปนสัมมาวายามะ การรูตัวในขณะยิงจัดเปนสัมมาสติ การ รวบรวมสมาธจิ ดั เปน สมั มาสมาธิ การเลง็ เปา จดั เปน สมั มาสงั กปั ปะ และ การยิงถูกเปาจัดเปนสัมมาทิฏฐิ ผูที่เจริญวิปสสนาอยูถือวาไดเจริญ อริยมรรคมอี งค ๘ อยเู สมอ และอรยิ มรรคมีองค ๘ นีก้ ็เปรียบไดกับแพ ๓๕๑
ÍÒÊÕÇÔâÊ»ÁÊٵà ซึ่งนําพาชาวโลกใหข ามหวงกิเลสทัง้ ๔ อยาง บรรลถุ งึ อกี ฝง หน่ึงอันเปน แดนเกษม ซง่ึ กค็ อื พระนพิ พานนนั่ เอง ทงั้ นเ้ี พราะสมั มาทฏิ ฐไิ ดพ ฒั นาขนึ้ เร่อื ยๆ จากระดับโลกิยะจนถงึ ระดบั โลกุตระ จึงเปนมรรคปญ ญาท่ขี จดั กิเลสโดยเดด็ ขาดในขณะรบั เอาพระนพิ พานเปนอารมณ ขอยตุ บิ ทความเรื่องน้ดี ว ยคาถาประพันธของโบราณาจารยว า สงฺกมนฺตา วโยวุฑฺฒา ชณิ ฺณา มรณสนฺติเก ชวี ติ ํุ’นาคเต รสฺสา ภงโฺ คนตา ทิเน ทเิ น. “ปเกาผานไป เราเจริญวัยแกชรา อยูใกลมรณะ ชีวิตใน อนาคตกาลส้ันนกั นอ มไปสคู วามหมดสิ้นไปทกุ คนื วัน” อโมฆํ ทิวสํ กยิรา อปฺเปน พหเุ กน วา ยํ ยํ วิชหเต รตฺตึ ตทูนํ ตสฺส ชีวิตํ. “บคุ คลควรทาํ วนั ใหม คี ณุ คา ดว ยการเจรญิ ภาวนานอ ยหรอื มาก เมือ่ ราตรีใดๆ หมดสนิ้ ไป ชีวติ ของเขายอมลดนอยลงดว ยราตรีนั้น” พระคันธสาราภวิ งศ ๓๕๒
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà วมิ ตุ ตายตนสูตร วิมุตตายตนสตู รเปนพระสตู รท่ีสาํ คัญสตู รหนง่ึ พบในองั คตุ ตร- นกิ าย ปญ จกนบิ าต๑ พระสตู รนก้ี ลา วถงึ เหตขุ องความหลดุ พน (วมิ ตุ ตาย ตนะ) คอื วธิ ีปฏบิ ตั ิเพอ่ื ความหลดุ พน ๕ ประการ ดังนี้ ๑. การฟง ธรรม ๒. การแสดงธรรมโดยพิสดาร ๓. การสาธยายธรรมโดยพิสดาร ๔. การพิจารณาตรึกตรองธรรม ๕. การเจรญิ นิมิตทกี่ อใหเกดิ สมาธิ (การปฏิบัติธรรม) ดงั ขอความวา ๑. อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุโน สตฺถา ธมฺมํ เทเสติ อฺตโร วา ครุฏ- านิโย สพฺรหฺมจารี, ยถา ยถา ภิกฺขเว ตสฺส ภิกฺขุโน สตฺถา ธมฺมํ เทเสติ อฺตโร วา ครุฏานิโย สพฺรหฺมจารี, ตถา ตถา โส ตสฺมึ ธมฺเม อตถฺ ปฏสิ เํ วที จ โหติ ธมมฺ ปฏสิ เํ วที จ. “ศาสดาหรอื เพอ่ื นพรหมจารผี ตู งั้ อยใู นฐานะครบู างรปู แสดง ธรรมแกภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ี เธอรแู จง อรรถ รแู จงธรรมในธรรมน้ัน ตาม ๓๕๓
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà ท่ีศาสดาหรือเพือ่ นพรหมจารผี ตู ั้งอยูในฐานะครบู างรูปแสดงแกเ ธอ” ๒. อปจ โข ยถาสตุ ํ ยถาปรยิ ตฺตํ ธมฺมํ วติ ถฺ าเรน ปเรสํ เทเสต.ิ “ภิกษุแสดงธรรมตามที่ตนไดสดับมาตามท่ีตนไดเรียนมา แกผ ูอืน่ โดยพิสดาร” ๓. อปจ โข ยถาสตุ ํ ยถาปรยิ ตตฺ ํ ธมมฺ ํ วติ ถฺ าเรน สชฌฺ ายํ กโรต.ิ “ภกิ ษสุ าธยายธรรมตามทตี่ นไดส ดบั มาตามทต่ี นไดเ รยี นมา โดยพิสดาร” ๔. อปจ โข ยถาสุตํ ยถาปรยิ ตฺตํ ธมมฺ ํ เจตสา อนุวติ กฺเกติ อนุ- วจิ าเรติ มนสานเุ ปกขฺ ติ. “ภกิ ษตุ รกึ ตามตรองตามเพง ตามดว ยใจซง่ึ ธรรมตามทต่ี นได สดบั มาตามท่ตี นไดเรยี นมา” ๕. อปจ ขฺวสฺส อฺตรํ สมาธินิมิตฺตํ สุคฺคหิตํ โหติ สุมนสิกตํ สปู ธาริตํ สุปปฺ ฏวิ ทิ ธฺ ํ ปฺ าย. “ภกิ ษกุ าํ หนดเอาสมาธนิ มิ ติ อยา งใดอยา งหนง่ึ มาดี มนสกิ าร ดี ทรงจาํ ไวด ี แทงตลอดดีดว ยปญ ญา” ตัวอยา งของผูที่ไดบรรลุธรรมดวยเหตุ ๕ ประการเหลานี้ พบใน พระไตรปฎ กและคมั ภรี อ รรถกถา ดงั ตอ ไปนี้ ๑. การฟงธรรม เชน ทานอัญญาโกณฑัญญะไดฟงธรรมจักร จากพระพทุ ธเจา แลว ไดบ รรลธุ รรมเปน พระโสดาบนั ๒ อปุ ตสิ สะปรพิ าชก ไดฟ ง ธรรมจากทา นพระอสั สชแิ ลว ไดบ รรลธุ รรมเปน พระโสดาบนั ๓ และ ๓๕๔
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà ธิดาของชางหูกในเมืองอาฬวีไดบรรลุธรรมเปนพระโสดาบันดวยการ ฟงธรรมจากพระพทุ ธเจา ๔ ๒. การแสดงธรรมโดยพสิ ดาร เชน พระเขมกะไดสนทนาธรรม กบั ภกิ ษุ ๖๐ รปู การสนทนาธรรมในครงั้ นส้ี ง ผลใหท า นและภกิ ษทุ ง้ั หมด น้ันไดบรรลุธรรมเปนพระอรหันตในขณะสนทนาธรรม ดังท่ีปรากฏใน สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เขมกสตู ร๕ ๓. การสาธยายธรรมโดยพสิ ดาร เชน พระเถระสองรปู ผูเ รียน กรรมฐานในสํานักของพระมหาเทวเถระผูอยูในมลยวิหาร ไดหม่ัน สาธยายอาการ ๓๒ ตลอด ๔ เดอื น ไดสาํ เร็จเปนพระโสดาบัน๖ อุบาสิกา ช่อื วามาตกิ มาตาไดส าธยายอาการ ๓๒ ไดบรรลธุ รรมเปนพระอนาคามี พรอมกับฌานอภิญญาภายในเวลา ๓ เดือน๗ และพระวังคีสะสาธยาย อาการ ๓๒ แลวไดบ รรลุธรรมเปน พระอรหนั ต๘ ๔. การพจิ ารณาตรกึ ตรองธรรม เชน พระนาคสมาลเถระเห็น หญิงนักฟอนแตงตัวสวยงามฟอนรําอยู ไดพิจารณาวาเปนเพียงกอง กระดูกทไ่ี มส วยงามมกี ลิ่นเหม็น แลวนอมมาพจิ ารณารา งกายของตนวา เปนกองกระดูกเชนกัน ไดเกิดปญญารูเห็นความเกิดดับของรูปนาม จนกระทง่ั ไดบ รรลธุ รรมเปน พระอรหันตพรอ มดวยวชิ ชา ๓๙ ๕. การเจริญนิมิตท่ีกอใหเกิดสมาธิ (การปฏิบัติธรรม) เชน ภิกษุ ๕๐๐ รูปท่ีเจริญเมตตาภาวนาแลวอาศัยเมตตาเปนพ้ืนฐานใน การเจริญวปิ ส สนา ดงั ท่ปี รากฏในเมตตสตู ร๑๐ หรือการปฏบิ ัตขิ องทา น ๓๕๕
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà พระสารีบุตรไดบรรลุฌานกอนแลวใชฌานเปนพ้ืนฐานในการเจริญ วปิ สสนา ดังทป่ี รากฏในอนปุ ทสูตร๑๑ ตามความเขา ใจท่ัวไป การปฏบิ ัตธิ รรมดวยการเจริญอริยมรรค มีองค ๘ ซ่ึงเรียกวา มรรคสัจ เปนทางแหงความหลุดพน แตในสมัย พทุ ธกาลมผี ฟู ง ธรรมบางทา นไดบ รรลธุ รรมในขณะฟง ธรรมได ดงั นนั้ แม การฟง ธรรมกเ็ ปน เหตุใหบรรลุธรรมได อยางไรก็ตาม คนในสมัยปจจุบันไมอาจบรรลุธรรมดวยการฟง ธรรมหรือแสดงธรรมหรือสาธยายธรรมเปนตน เพราะผูบรรลุธรรมใน ขณะฟงธรรมเปนตนไดน้ันตองเคยเจริญวิปสสนามากอนที่จะฟงธรรม จึงทําใหเกิดสมาธิไดเร็วในขณะฟง นอกจากนั้น ทานเหลานั้นยังได กาํ หนดรปู ตทิ ่ีเกิดข้นึ จากการฟง ธรรม จึงนับวา เจรญิ วปิ สสนาท่รี เู ทา ทนั ปจจุบนั คือปต ิ แลวหย่งั เห็นความเกดิ ดบั ของปต ดิ งั กลาว สามารถบรรลุ วิปสสนาญาณขน้ั ตางๆ แลว ไดบรรลมุ รรคผลนพิ พานในท่สี ดุ จะเหน็ ไดว า พระพทุ ธองคต รสั ถงึ บคุ คลดงั กลา ววา ตอ งเคยเจรญิ วปิ ส สนามากอ นทจี่ ะฟง ธรรมดว ยขอ ความขนึ้ ตน ในวมิ ตุ ตายตนสตู รนว้ี า ๓๕๖
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà ปฺจิมานิ ภิกฺขเว วิมุตฺตายตนานิ, ยตฺถ ภิกฺขุโน อปฺ- ปมตฺตสฺส อาตาปโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโต อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อปริกฺขีณา วา อาสวา ปริกฺขยํ คจฺฉนฺติ, อนนุปฺปตฺตํ วา อนุตฺตรํ โยคกเฺ ขมํ อนปุ าปุณาต.ิ ๑๒ “ภิกษุท้ังหลาย เหตุแหงวิมุตติ ๕ ประการนี้ ซ่ึงเปน เหตุใหจิตของภิกษุผูไมประมาท มีความเพียร มีจิตมุงมั่นอยู ท่ียังไมหลุดพน ยอมหลุดพน อาสวะที่ยังไมสิ้นไป ยอมถึง ความส้ินไป หรือเธอยอมบรรลุธรรมอันปลอดจากเคร่ืองผูก อันยอดเยี่ยมทีย่ ังไมไดบรรล”ุ ขอความวา “ภิกษุผูไมประมาท มีความเพียร มีจิตมุงม่ันอยู” กลาวถึงองคคุณของผูฟงธรรมเปนตนแลวไดบรรลุธรรมวาตองเปนผู ประกอบความเพียรในการเจริญสติอยางตอเน่ืองจนกระทั่งถึงเวลาฟง ธรรมเปน ตน ไมใ ชบ คุ คลท่ัวไปทีข่ าดความเพียรมไิ ดเจรญิ สตแิ ตอ ยางใด ภิกษุนั้นเปนผูเจริญสติอยูเสมอดวยความเพียรเผากิเลสคือสัมมัปปธาน ๔ โดยมจี ติ มงุ มน่ั ในพระนพิ พานมไิ ดห ว งใยรา งกายและชวี ติ ดงั ขอ ความ วา ๓๕๗
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà สติยา อวิปฺปวาเสน อปฺปมตฺตสฺส. วีริยาตาเปน อา- ตาปโน. กาเย จ ชีวิเต จ อนเปกฺขตาย ปหิตตตฺ สฺส เปสิตตฺตสฺ สาติ อตโฺ ถ.๑๓ “ความหมายคอื ผไู มป ระมาทดว ยการไมอ ยปู ราศจาก สติ, ผพู ากเพยี รดว ยความเพยี รเผากเิ ลส, ผมู ีจติ มงุ มน่ั คอื สง จิตไป[สูความสําเร็จประโยชนตามตองการ] โดยมิไดหวงใย รา งกายและชวี ิต” อปฺปมตฺโตติ กมฺมฏาเน สตึ อวิชหนฺโต. อาตาปติ กายิกเจตสิกสงฺขาเตน วีรยิ าตาเปน อาตาป. ปหติ ตฺโตติ กาเย จ ชีวเิ ต จ อนเปกขฺ ตาย เปสิตจติ ฺโต วสิ ฺสฏอตตฺ ภาโว.๑๔ “คําวา อปฺปมตฺโต (ผูไ มประมาท) คือ ผูไมส ละสตจิ าก กรรมฐาน คําวา อาตาป (พากเพียร) คือ ผูพากเพียรดวย ความเพียรเผากิเลสคือความเพยี รทางกายและใจ คําวา ปหิตตฺโต (มจี ติ มงุ มั่น) คอื มงุ สง จติ ไปยอมสละ รา งกายโดยมไิ ดห วงใยรางกายและชีวติ ” นอกจากนั้น ภกิ ษุดังกลาวตองเจริญสตปิ ฏ ฐานในขณะฟง ธรรม ดว ยการกาํ หนดรปู ต ทิ เี่ กดิ ขนึ้ จงึ นบั วา ไดเ จรญิ วปิ ส สนาในขณะฟง ธรรม ถาเขาไมเ กดิ ปติในขณะฟง ธรรม หรอื มิไดก ําหนดรปู ต ดิ งั กลาว ก็ไมอ าจ บรรลุธรรมในขณะฟงได ดงั ขอความในพระสตู รนวี้ า ๓๕๘
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà ตสสฺ อตถฺ ปฏสิ เํ วทโิ น ธมมฺ ปฏสิ เํ วทโิ น ปาโมชชฺ ํ ชายต,ิ ปมุทิตสฺส ปติ ชายติ, ปติมนสฺส กาโย ปสฺสมฺภติ, ปสฺสทฺธ- กาโย สุขํ เวเทติ. สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติ. อิทํ ภิกฺขเว ปมํ วิมุตฺตายตนํ, ยตฺถ ภิกฺขุโน อปฺปมตฺตสฺส อาตาปโน ปหิต- ตฺตสฺส วิหรโต อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อปริกฺขีณา วา อาสวา ปริกฺขยํ คจฺฉนฺติ, อนนุปฺปตฺตํ วา อนุตฺตรํ โยคกฺเขมํ อนปุ าปณุ าติ.๑๕ “เมอ่ื เธอรแู จง อรรถรแู จง ธรรม ยอ มเกดิ ปราโมทย เมอื่ มีปราโมทย ยอมเกดิ ปติ เมื่อใจมปี ติ กายยอ มสงบ เธอมกี าย สงบ ยอ มไดร บั สขุ เมอ่ื มสี ขุ จติ ยอ มตง้ั มนั่ นเ้ี ปน เหตแุ หง วมิ ตุ ติ ประการท่ี ๑ ซึ่งเปนเหตุใหจิตของภิกษุผูไมประมาท มี ความเพยี ร มจี ติ มงุ มน่ั อยู ทยี่ งั ไมห ลดุ พน ยอ มหลดุ พน อาสวะ ท่ียงั ไมส นิ้ ไป ยอ มถงึ ความสนิ้ ไป หรือเธอยอมบรรลธุ รรมอนั ปลอดจากเคร่ืองผกู อันยอดเย่ยี มท่ยี ังไมไ ดบรรลุ” จะเหน็ ไดว า ในพระสูตรนี้ไดก ลา วถงึ การเกิดปราโมทยแ ละปติ เปน ตน ในขณะฟง ธรรม โดยปราโมทย (ปต อิ ยา งออ น) เปน เหตใุ หเ กดิ ปต ิ (ปต แิ กก ลา ) ปต เิ ปน เหตใุ หก ายสงบ ความสงบกายเปน เหตใุ หเ กดิ สขุ และ สุขเปนเหตุใหเกิดความตั้งม่ันของจิตคืออรหัตตผล ดังขอความขางตน ทนี่ าํ มาแสดงไวแ ลว ๓๕๙
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà แมใ นพระสตู รนจี้ ะมไิ ดร ะบวุ า ผฟู ง ธรรมไดก าํ หนดรปู ต ไิ วโ ดยตรง แตก เ็ ปน ทอี่ นมุ านรไู ดจ ากการทภี่ กิ ษเุ ปน ผไู มป ระมาท มคี วามเพยี ร มจี ติ มุงม่ันอยู ยอมจะเจริญสติปฏฐานในขณะฟงธรรมอีกดวย ดวยเหตนุ ั้น คัมภีรอรรถกถาจึงระบุถึงการเจริญสติปฏฐานดวยการกําหนดรูปติท่ี เกิดขนึ้ ในขณะนนั้ ดงั ขอ ความวา อยํ หิ ตํ ธมมฺ ํ สณุ นโฺ ต อาคตาคตฏ าเน ฌานวปิ สสฺ นา- มคฺคผลานิ ชานาติ, ตสฺส เอวํ ชานโต ปติ อุปฺปชฺชติ. โส ตสฺสา ปติยา อนฺตรา โอสกฺกิตุ น เทนฺโต อุปจารกมฺมฏ- านิโก หุตฺวา วิปสฺสนํ วฑฺเฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติ. ตํ สนฺธาย วตุ ฺตํ “จติ ฺตํ สมาธิยตีต.ิ เสเสสปุ เอเสว นโย.๑๖ “กลาวโดยละเอียดวา บุคคลน้ีฟงธรรมอยูยอมเขาใจ ฌาน วิปสสนา มรรค และผลในอาคตสถานนั้นๆ เขาเขาใจ อยางนจ้ี งึ เกดิ ปต ิ เขาไมป ลอ ยใหป ต ินน้ั จางหายไปในระหวาง จงึ เจรญิ อปุ จารกรรมฐาน (กรรมฐานทกี่ อ ใหเ กดิ อปุ จารสมาธ)ิ ไดเ จรญิ วปิ ส สนาแลว บรรลอุ รหตั ตผล พระพทุ ธองคท รงหมาย เอาขอความดังกลา วจงึ ตรัสวา จิตฺตํ สมาธิยติ (จิตยอมต้งั มน่ั ) แมหัวขอที่เหลือก็มีนัยเดียวกัน [คือ การแสดงธรรมแกผูอื่น โดยพิสดารเปนตนเปนเหตุของการเกิดปติปราโมทยและการ บรรลอุ รหัตตผล]” ๓๖๐
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà ทจ่ี รงิ แลว การทผี่ ฟู ง เกดิ ปต ใิ นระหวา งฟง ธรรมนน้ั ถอื วา เปน เรอ่ื ง สาํ คญั มาก โดยทว่ั ไปพระพทุ ธองคจ ะแสดงอนปุ พุ พกิ ถา คอื ถอ ยคาํ ตาม ลาํ ดบั ไดแก ทาน ศีล สวรรค โทษของกาม และอานิสงสในการออกบวช เม่ือทราบวาผูฟงเกิดปติในขณะฟงธรรมแลว จึงแสดงอริยสัจ ๔ เปน ลําดับสุดทาย เพ่ือใหผูฟงกําหนดรูปติที่เกิดขึ้นในขณะฟงธรรมน่ันเอง ดงั ขอความวา ยทา ภควา อฺาสิ ยสํ กลุ ปตุ ตฺ ํ กลลฺ จติ ตฺ ํ มุทจุ ิตฺตํ วนิ ีวรณจติ ฺตํ อทุ คคฺ จิตฺตํ ปสนฺนจิตฺต,ํ อถ ยา พทุ ธฺ านํ สามกุ -ฺ กสํ กิ า ธมฺมเทสนา, ตํ ปกาเสสิ ทกุ ขฺ ํ สมทุ ยํ นิโรธํ มคฺคํ. เสยฺยถาป นาม สุทฺธํ วตถฺ ํ อปคตกาฬกํ สมฺมเทว รชนํ ปฏคิ คฺ ณเฺ หยฺย, เอวเมว ยสสสฺ กลุ ปุตตฺ สฺส ตสฺมเึ ยวาสเน วิรชํ วีตมลํ ธมมฺ จกฺขุ อทุ ปาทิ “ยงกฺ ิ ฺจิ สมุทยธมฺมํ, สพพฺ ํ ตํ นโิ รธธมมฺ นฺติ.๑๗ “เม่ือทรงทราบวา ยสกุลบุตรมีจิตควร[แกภาวนา] ออนโยน ปราศจากนวิ รณ เบกิ บาน ผองใส จงึ ทรงประกาศ สามุกกังสิกธรรมเทศนาของพระพุทธเจาท้ังหลาย คือ ทุกข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค ธรรมจกั ษอุ นั ปราศจากธลุ ปี ราศจากมลทนิ ไดเ กดิ แกย สกลุ บตุ ร ณ อาสนะนนั้ วา ‘สง่ิ ใดสง่ิ หนง่ึ มคี วามเกดิ ข้ึนเปนธรรมดา สิ่งท้ังมวลนั้นมีความดับไปเปนธรรมดา’ เปรียบเหมือนผาขาวสะอาดปราศจากมลทิน ควรรับนํ้ายอม ไดเปนอยา งดี” ๓๖๑
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà องคป ระกอบของจติ ๕ ประการ คอื กลลฺ จติ ตฺ ํ มทุ จุ ติ ตฺ ํ วนิ วี รณ- จิตตฺ ํ อุทคคฺ จิตฺตํ ปสนฺนจิตตฺ ํ (จติ ควร[แกภาวนา] ออ นโยน ปราศจาก นิวรณ เบิกบาน ผองใส) กค็ ือจิตท่หี ลดุ พน แลว จากนวิ รณ ประกอบดวย ปต แิ ละศรทั ธาเปน หลกั การกาํ หนดรปู ต ติ ามวธิ นี จี้ ดั เขา ในธมั มานปุ ส สนา หมวดโพชฌงค ตามมหาสตปิ ฏฐานสูตร ดงั ขอความวา อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ สนฺตํ วา อชฺฌตฺตํ ปติสมฺโพชฺฌงฺคํ อตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ ปติสมฺโพชฺฌงฺโคติ ปชานาติ, อสนฺตํ วา อชฺฌตฺตํ ปติสมฺโพชฺฌงฺคํ นตถฺ ิ เม อชฌฺ ตฺตํ ปต สิ มโฺ พชฺฌงฺโคติ ปชานาต.ิ ยถา จ อนุปฺปนฺนสฺส ปติสมฺโพชฺฌงคฺ สสฺ อุปปฺ าโท โหติ, ตจฺ ปชานาติ. ยถา จ อปุ ฺปนฺนสฺส ปต สิ มฺโพชฺฌงฺคสฺส ภาวนาย ปารปิ ูรี โหติ, ตจฺ ปชานาติ.๑๘ “ภิกษุในธรรมวินัยน้ีรูชัดวา ปติสัมโพชฌงคมีอยู ภายในจิต ในขณะท่ีมีอยูภายในจิต รูชัดวา ปติสัมโพชฌงค ไมมีอยูภายในจิต ในขณะท่ีไมมีอยูภายในจิต รูชัดเหตุทําให เกดิ ปต สิ มั โพชฌงคท ยี่ งั ไมเ กดิ ขนึ้ (เหตเุ กดิ ของสตสิ มั โพชฌงค) รชู ดั เหตทุ าํ ใหส ตสิ มั โพชฌงคท ่ีเกิดขน้ึ แลว เจรญิ เพม่ิ พนู (เหตุ เจรญิ เพ่ิมพูนของสตสิ มั โพชฌงค)” ๓๖๒
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà นอกจากนน้ั ในคัมภีรธรรมบทมีขอ ความวา สุ ฺ าคารํ ปวฏิ สสฺ สนฺตจิตตฺ สฺส ภิกขฺ โุ น อมานุสี รติ โหติ สมมฺ า ธมมฺ ํ วปิ สฺสโต.๑๙ “ภิกษุไปสูที่สงัด มีใจสงบ หย่ังเห็นสภาวธรรมโดยชอบ ยอม บงั เกิดความยนิ ดที ี่มใิ ชของมนุษยท่ัวไป” ยโต ยโต สมฺมสติ ขนฺธานํ อทุ ยพฺพยํ ลภเต ปติปามชุ ฺชํ อมตํ ตํ วิชานต.ํ ๒๐ “เมื่อเธอหยั่งเห็นความเกิดข้ึนและดับไปแหงขันธแลว ยอมได ความปติปราโมทยจากรูปนามท่ีกําหนดรูอยู ซึ่งเปนทางอมตะสําหรับ ผูรเู หน็ [ความเกดิ ดับของรูปนาม]” จะเหน็ ไดว า พระพทุ ธองคต รสั ไวใ นคมั ภรี ธ รรมบทขา งตน วา ปต ิ ยอมเกิดข้ึนในวิปสสนาญาณระดับอุทยัพพยญาณ และเปนทางบรรลุ อมตะสําหรบั ผเู ห็นประจกั ษค วามเกดิ ดบั ของรปู นามในวิปสสนาญาณนี้ กลาวคือ การเจริญวิปสสนาดวยการกําหนดรูปติปราโมทยยอมทําให วปิ ส สนาญาณพฒั นาขนึ้ ไปเรอื่ ยๆ จนกระทงั่ บรรลถุ งึ มรรคผลนพิ พานใน ท่ีสดุ ดว ยการนําปติปราโมทยมาเปน อารมณของวิปส สนาน่นั เอง อนงึ่ มขี อ ความทกี่ ลา วถงึ การระลกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ สามารถทาํ ให บรรลุธรรมเปนพระอริยบุคคลได เพราะพระพุทธคุณยอมกอใหเกิดปติ ปราโมทยไดเร็ว ผูที่ระลึกถึงพระพุทธคุณจึงสามารถบรรลุธรรมไดงาย ดว ยการกําหนดรูปต ิปราโมทย ดงั ขอความวา ๓๖๓
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà อธิ ภกิ ขฺ เว อรยิ สาวโก ตถาคตํ อนสุ สฺ รต-ิ อติ ปิ โส ภควา ฯเปฯ อุชุคตเมวสฺส ตสฺมึ สมเย จิตฺตํ โหติ นิกฺขนฺตํ มุตฺตํ วุฏติ ํ เคธมฺหา. เคโธติ โข ภิกฺขเว ปฺจนฺเนตํ กามคุณาน- มธิวจนํ. อิทมฺป โข ภิกฺขเว อารมฺมณํ กริตฺวา เอวมิเธกจฺเจ สตฺตา วสิ ุชฌฺ นตฺ .ิ ๒๑ “ภิกษุทงั้ หลาย อริยสาวกในธรรมวนิ ัยน้หี มั่นระลึกถงึ [คณุ ของ]ตถาคตวา อิตปิ โส ภควา (แมเพราะเหตนุ ้ี พระผมู ี- พระภาคพระองคน นั้ ) จติ ของเธอดาํ เนนิ ไปตรงในขณะนน้ั พน ออกไปจากสงิ่ ทน่ี า ลมุ หลง คาํ วา สง่ิ ทน่ี า ลมุ หลง (เคธะ) นเ้ี ปน ชอื่ ของเบญจกามคณุ เหลา สตั วบ างคนในธรรมวนิ ยั นรี้ ะลกึ ถงึ พระพุทธคุณนีเ้ ปนเหตแุ ลวยอ มหมดจดดวยวธิ ีน้”ี ผูท่ีฟงธรรมบางทานสามารถบรรลุธรรมไดทันทีโดยมิไดเจริญ สตปิ ฏฐานมากอ น เชน ทา นอัญญาโกณฑญั ญะ หรืออปุ ตสิ สะปรพิ าชก ทานเหลาน้ันแมจะมิไดเจริญสติปฏฐานมากอน ก็กําหนดรูปติท่ีเกิดขึ้น ในขณะฟงธรรม จึงสามารถบรรลุธรรมได จัดวาทานเหลานั้นไดเจริญ สติปฏ ฐานในขณะฟง ธรรม ลาํ พงั การฟงโดยมไิ ดเจริญสติปฏ ฐานยอมไม อาจสง ผลใหบ รรลธุ รรมได เพราะสตปิ ฏ ฐานเปน ทางสายเดยี วแหง ความ พน ทกุ ขน นั่ เอง ๓๖๔
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà ในคัมภีรทางศาสนาพบวามีผูไดบรรลุธรรมในขณะฟงธรรม มากมาย แตคนในปจจุบันไมทราบวาทานเหลาน้ันปฏิบัติธรรมมานาน เพยี งใดกอ นจะมาฟง ธรรมครง้ั สดุ ทา ย หรอื ไดฟ ง ธรรมมากคี่ รงั้ จงึ สามารถ ไดบ รรลุธรรมดวยการฟง ธรรมครง้ั สดุ ทายได ตัวอยา งเชน ๑. เรื่องธิดาของชางหูกในเมืองอาฬวี พบในคัมภีรธรรมบท เปสการธตี าวตั ถุ นางไดบ รรลธุ รรมเปน พระโสดาบนั ดว ยการฟง ธรรมจาก พระพทุ ธเจา คร้งั หน่ึง พระพทุ ธองคเสดจ็ ไปเมืองอาฬวีแลวแสดงธรรม เรื่องมรณสติ (การระลึกถึงความตาย) วา อทธฺ วุ ํ เม ชีวิต.ํ ธุวํ เม มรณํ. อวสฺสํ มยา มรติ พฺพเมว. มรณปรโิ ยสานํ เม ชีวติ .ํ ชวี ิตเมว อนิยตํ. มรณํ นยิ ต.ํ ๒๒ “ชีวิตของเราไมแนนอน ความตายของเราแนนอน เราตองตายแนแท ชีวิตของเรามีความตายเปนท่ีสุด ชีวิต ไมแนน อน ความตายแนน อน” นางเจริญมรณสติกรรมฐานน้ันตลอดทิวาราตรีเปนเวลา ๓ ป ตามท่ีพระพุทธเจาตรัสสอน สันนิษฐานวานางคงจะไดบรรลุปฐมฌาน เพราะมรณสตสิ งผลใหบรรลปุ ฐมฌานได เมอื่ พระพทุ ธองคท รงทราบวา นางมีบารมีเต็มเปยมแลวจึงเสด็จไปเมืองอาฬวีเปนคร้ังท่ี ๒ แลวแสดง ธรรมเปน คาถา ๑ บท นางฟง ธรรมนแ้ี ลว ไดบ รรลธุ รรมเปน พระโสดาบนั ๒. ทานพระโปฏฐิละ พบในคัมภีรธรรมบท โปฏฐิลเถรวัตถุ๒๓ ทา นพระโปฏฐลิ ะเปน ผทู รงจาํ พระไตรปฎ กและสอนธรรมแกภ กิ ษุ ๕๐๐ ๓๖๕
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 507
Pages: