àËÁǵÊٵà ผูปฏบิ ัตธิ รรมในปจ จุบนั เพยี บพรอ มดว ย ความรแู ละความประพฤติ ผูปฏิบัติท่ีปฏิบัติธรรมอยูในขณะนี้ ในข้ันแรกนับวามีคุณธรรม ของวปิ ส สนาญาณแลว สว นบคุ คลผไู ดบ รรลมุ รรคผลกน็ บั วา เพยี บพรอ ม ดวยอาสวักขยญาณ ในความประพฤติ ๑๕ อยาง ผปู ฏิบตั ินับวา มีศีล มี การสํารวมกายและจิต บริโภคพอประมาณ และตื่นอยูตลอดดวยการ เจริญสตนิ อนหลับเพียงวนั ละ ๔ ชวั่ โมง มิจําเปน ตอ งกลา วถึงคุณธรรม ของสัตบุรุษมีศรัทธาเปนตนเลย ฉะนั้นผูปฏิบัติท่ีอยูในสํานักกรรมฐาน แหง นจี้ งึ จดั วา เพยี บพรอ มดว ยความรแู ละความประพฤติ บคุ คลดงั กลา ว เปนผูป ระเสรฐิ โดยคลอ ยตามคําสอนของพระพทุ ธเจา จึงขอใหผูปฏิบัติ ทั้งหลายรสู ึกปต ิยินดแี ละพยายามกําหนดรูตอไปใหบ รบิ ูรณมากขึน้ พระพทุ ธองคเ ปน ผเู พียบพรอมดว ยความรคู อื วชิ ชา ๓ วชิ ชา ๘ และความประพฤตคิ ือจรณะ ๑๕ อยา งสงู สุด ดงั นน้ั จงึ มคี ณุ บทเกยี่ วกบั พระพทุ ธคณุ ในพระพทุ ธคณุ ๙ประการคอื วชิ ชฺ าจรณสมปฺ นโฺ น (ถงึ พรอ ม ดวยความรแู ละความประพฤติ) ๑๖๖
àËÁǵÊٵà เร่อื งสุปปพุทธะ เกยี่ วกบั เรอ่ื งนจี้ ะขอกลา วถงึ เรอื่ งคนเขญ็ ใจชอื่ วา สปุ ปพทุ ธะใน สมัยพุทธกาล เขาอยูในเมืองราชคฤห เขาถูกบิดามารดาทอดทิ้งตั้งแต เล็ก จึงถือถวยเที่ยวขอทานเร่ือยไป เขาเปนทุกขทรมานจากโรคเร้ือน ทัว่ ตวั ไรบา นเรอื นอาศัยตอ งนอนขา งถนน เน่ืองจากโรคที่เปน อยทู าํ ให เขาเจบ็ ปวดรอ งครวญครางในตอนกลางคนื ทําใหร บกวนผอู น่ื ท่นี อนอยู เขาจงึ ถกู เรยี กวา สปุ ปพุทธะ (ผูป ลุกคนนอนหลับ)๑๐๘ วันหน่ึงเขาออกขอทานอยูเห็นคนกลุมใหญมาชุมนุมกัน จึงคิด วา คงจะไดร บั บรจิ าคจากคนกลมุ นนั้ พอเขา ไปใกลไ ดพ บวา พระพทุ ธเจา กําลังแสดงธรรมอยู ในเวลานั้นเขาอยากฟงธรรมจึงต้ังใจฟงโดยเคารพ พระพทุ ธองคท รงทราบดวยพุทธจักษุวาสปุ ปพุทธะจะไดบ รรลคุ ณุ วิเศษ ในวันน้ี จึงแสดงธรรมวาดวยทานและศีลเปนตนตามลําดับที่เรียกวา อนุปุพพกิ ถา๑๐๙ เขาฟง ธรรมอยไู ดเกิดศรัทธาที่เชอ่ื มั่นเลื่อมใสพระรตั น- ตรยั กรรมและผลกรรมพระพุทธองคจงึ สอนเรื่องศลี ตอมาเขาตดั สินใจ ทจี่ ะรกั ษาศลี โดยหลกี เลย่ี งจากการฆา สตั วแ ละลกั ทรพั ยเ ปน ตน ตอ จาก นั้นเขาไดฟ งอานสิ งสของทานและศลี พรอมท้งั โทษของกามคุณและการ พนไปจากกามคณุ จงึ เกดิ ปตปิ ราโมทยจ นกระทัง่ นิวรณเสอ่ื มสญู ไป ใน ขณะนั้นพระพทุ ธองคท รงแสดงอรยิ สัจ ๔ คอื ทกุ ข สมุทัย นโิ รธ และ ๑๖๗
àËÁǵÊٵà มรรค เขาฟง อริยสจั ๔ เหลา นีอ้ ยูไดเจริญวปิ ส สนาและบรรลุธรรมเปน พระโสดาบันในขณะฟง นนั่ เอง๑๑๐ หลงั การฟง ธรรมสน้ิ สดุ ลง สปุ ปพทุ ธะจงึ ออกจากทน่ี น้ั ในขณะที่ กลุมชนตางแยกกันออกไป ถัดจากน้ันเล็กนอยเขาก็กลับมาเขาเฝา พระพทุ ธเจา อกี เพอื่ กราบทลู ธรรมทต่ี นรแู จง แตใ นระหวา งทางทา วสกั กะ ตอ งการจะทดสอบความเลอื่ มใสของเขา ทา วเธอจงึ กลา ววา “นเี่ จา สปุ ป- พุทธะ เจาเปนคนยากจนที่สุด แลวยังตองเจ็บปวยทุกขทรมานจาก โรคเร้ือนอีกดวย หากเจาเชื่อฟงฉัน ฉันจะใหทรัพยสินมากมายแกเจา และรกั ษาเจา ใหห ายจากโรคทเ่ี ปน อยูจะเอาไหม” สปุ ปพุทธะถามวา “ทานเปนใคร ฉนั ตองเชอ่ื ฟง อะไรจากทา น” ทา วสกั กะจงึ ตรสั วา “ขา เปน ทา วสกั กะจอมเทพ ส่ิงทเี่ จา ตอ งเชอ่ื ฟง คือ เจาตองพูดวา พระโคดมที่แสดงธรรมอยูนั้นไมใชพระพุทธเจาที่แทจริง พระธรรมไมใชธ รรมท่ดี ีงามและจรงิ แท พระสงฆก ็ไมใ ชสงฆท แ่ี ทจริงอกี เชน กนั ขา พเจา ไมต อ งพระพทุ ธเจา พระธรรม และพระสงฆเ ปน สรณะ” สปุ ปพทุ ธะตอบวา “ทา นหยาบคายมากสาํ หรบั ผเู ปน ทา วสกั กะ จอมเทพ ทานไมควรมาพูดกับฉัน ทานพูดใสรายฉันวาเปนคนยากจน และไมม ที พ่ี ง่ึ พงิ แตบ ดั นฉ้ี นั เปน พทุ ธบตุ รทแี่ ทจ รงิ แลว ฉนั ไมย ากจน ฉนั ราํ่ รวยเปนสุขดว ยความสุขอันสงู สดุ เพราะฉนั บริบรู ณดวยอริยทรัพย ๗ ประการ คือ ศรทั ธา ศลี หริ ิ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ และปญญา ตามที่ พระพุทธเจาตรัสวาผูบริบูรณดวยอริยทรัพยเหลานี้เปนคนร่ํารวย ทาน ไมค วรจะมาพูดกบั ฉนั จงกลบั ไปเถิด” ๑๖๘
àËÁǵÊٵà ตอจากนั้นสุปปพุทธะไดไปเขาเฝาพระพุทธเจา แลวทูลเร่ืองท่ี ตนไดบรรลุธรรมแกพระพุทธองค เรื่องนี้เปนไปในทํานองเดียวกันกับ ผปู ฏบิ ตั ใิ นปจ จบุ นั ทกี่ ระตอื รอื รน ตอ งการจะรายงานผลทตี่ นเองไดร บั ใน การปฏิบัติวิปสสนาตอวิปสสนาจารยของตน หลังจากสุปปพุทธะ กราบทลู รายงานตอ พระพทุ ธเจา แลว กก็ ลบั ไป ดว ยกรรมเกา เขาไดถ กู ววั ขวิดตายระหวางทางกลับจากวัด หลังจากเสียชีวิตแลวเขาไปเกิดเปน เทวดาในสวรรคช้ันดาวดึงส มีฤทธานุภาพเหนือเหลาเทวดาที่ไปเกิดใน สวรรคด วยบุญที่พวกเขาทําภายนอกพระพุทธศาสนา ดว ยเหตนุ ี้ เทวดาท่ีมฤี ทธานุภาพนอ ยจึงไมพ อใจ ตา งพากันพดู วา “เจาสุปปพุทธะนี้เคยเปนมนุษยชั้นตํ่า แตกลับไดรับสถานะสูงกวา พวกเรา” ทาวสักกะไดยินเชนน้ันจึงสอนเทวดาเหลานั้นวา “พวกทาน อยา ไปรษิ ยาเทพสปุ ปพทุ ธะ เขาไดร บั ผลแหง กศุ ลทที่ าํ ไวใ นชาตกิ อ น โดย เขาไดฟงธรรมจากพระพุทธองคในวาระสุดทายของชีวิตแลวสมาทาน เจริญคุณธรรมของสัตบุรุษ ๗ ประการมีศรัทธาและศีลเปนตน ดังนั้น ในภพนจ้ี งึ มาเกดิ เปน เทวดาผทู รงฤทธานภุ าพมบี รวิ ารมากมายยงิ่ ไปกวา พวกทาน” เรอ่ื งทเี่ ลา มานมี้ งุ ใหเ หน็ ประเดน็ วา แมค นชน้ั ตาํ่ ทยี่ ากจนเขญ็ ใจ ก็อาจกลายเปนคนประเสริฐสูงสงไดดวยธรรมของสัตบุรุษดังกลาว ศรทั ธาเปน ตน นจ้ี ดั เปน ความประพฤติ นอกจากน้ี สปุ ปพทุ ธะไดฟ ง ธรรม เจริญวิปส สนาญาณจนไดบรรลมุ รรคญาณ จงึ จดั วา บรบิ ูรณดวยความรู อกี ดว ย ดงั นนั้ สปุ ปพทุ ธะจงึ เปน ผบู รบิ รู ณด ว ยความรแู ละความประพฤติ เปนเวลาเพยี งไมกี่ชัว่ โมงกอ นเสยี ชีวติ ทาํ ใหเขาไดชวี ิตทส่ี งู สงในสวรรค ๑๖๙
àËÁǵÊٵà ในเรอ่ื งนก้ี ารทเ่ี ขาเปน โรคเรอื้ นกเ็ พราะวา ในชาตกิ อ นทเี่ ขาเปน เศรษฐี ไดค ดิ กา วรา วตอ พระปจ เจกพทุ ธเจา พระนามวา ตครสขิ วี า เปน คน ขเี้ รอ้ื น๑๑๑ การทเี่ ขาถกู ววั ขวดิ ตายกเ็ พราะวา ในชาตกิ อ นเขาเกดิ เปน บตุ ร ของเศรษฐี ไดป ลน และฆา หญงิ งามเมอื ง๑๑๒ พระพทุ ธเจา ทรงปรารภเรอ่ื ง นี้แลวเปลงอุทานวา “บุคคลควรหลีกเล่ียงจากบาป เหมือนคนตาดี หลีกเลย่ี งจากหนามตอฉะน้นั ”๑๑๓ คาํ ตอบสุดทาย ๒ ขอ เทพเหมวตะถามอีกวา “พระบรมครูของทานทรงหมดจาก อาสวะจรงิ หรือ และทรงไมเ กิดอกี จริงหรอื ” สวนเทพสาตาคิระตอบวา “พระบรมครูของเราทรงหมดอาสวะ และไมท รงเกดิ อกี ” ประเด็นสําคัญในเร่ืองน้ีคือ การกําจัดกิเลสและการดับวัฏจักร แหงการเกดิ นัน่ เอง หากบคุ คลใดไมบริสทุ ธ์ิสะอาดจากกิเลสแลว แมเ ขา จะมีคณุ ธรรมแหง วชิ ชาและจรณะอยูแลว ก็ตาม กจ็ ะมกี ารเกดิ อีก แลว จะตอ งตกทกุ ขจ ากความเกดิ ความชรา การเจบ็ ปวย รวมท้งั ความทุกข อื่นๆ เมื่อไมมีภพหนาบุคคลนั้นก็กําจัดความทุกขท้ังปวงหมดสิ้นไป ประเด็นทง้ั สองนี้สาํ คัญอยางยิ่งยวด ๑๗๐
àËÁǵÊٵà วาดว ยเร่ืองสตรีช่ือกาฬ ขอกลับมาเรื่องนางกาฬอีกครั้งหน่ึง หญิงสาวผูมีครรภนี้ไดยิน เทพสองตนสนทนากันดวยบุญบารมีท่ีตนไดเคยสั่งสมไว ทําใหเธอรูสึก ปลื้มใจเปนอยางยิ่งท่ีไดฟงคุณธรรมของพระพุทธเจา เธอไดกําหนดรู ความปติยินดีที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ไดหย่ังเห็นความดับไปอยางรวดเร็ว ของปต นิ น้ั เธอรเู หน็ เชน นอี้ ยไู ดพ ฒั นาวปิ ส สนาญาณขน้ั ตา งๆ ตามลาํ ดบั อยางรวดเร็วจนกระทั่งบรรลุโสดาปตติผลเปนพระโสดาบันในที่สุด ใน เวลาตอมาเธอไดใหกําเนิดบุตรซ่ึงภายหลังก็คือทานพระโสณกุฏิกัณณะ นางกาฬจ งึ เปน สตรคี นแรกทไี่ ดเ ปน พระโสดาบนั เธอประสบความสาํ เรจ็ อยางเดนชัดเชนน้ีเน่ืองจากไดยินคุณธรรมของพระพุทธเจา รวมท้ังมี ศรัทธาเชื่อมั่นในพระองค ภายหลังตอมาเธอไดรับแตงต้ังในตําแหนง เอตทัคคะวา เปนอุบาสิกาผูเลิศในศรทั ธาตอพระพทุ ธเจา ๑๑๔ ๑๗๑
àËÁǵÊٵà การสรรเสริญและเชือ้ เชญิ ซ่ึงกันและกนั ของเทพทงั้ สอง เทพเหมวตะไดฟงคุณธรรมของพระพุทธเจาจากเทพสาตาคิระ ผูสหายแลว จึงยอมรับวาพระโคดมเปนพระพุทธเจาที่แทจริงเหมือน พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจาที่เสด็จอุบัติขึ้นมากอน และตัดสินใจวาเรา จะเขาเฝา พระพุทธองคพรอมกับสหายของตน ฉะนั้นจงึ กลาววา สมฺปนฺนํ มุนโิ น จิตฺตํ กมมฺ นุ า พยฺ ปปฺ เถน จ วิชชฺ าจรณสมฺปนนฺ ํ ธมฺมโต นํ ปสํสส.ิ ๑๑๕ “พระหทัยของพระมุนีหมดจดบริบูรณ อีกท้ังหมดจดบริบูรณ ทางกายและวาจา ทานไดสรรเสริญพระองคผูถึงพรอมดวยความรูและ ความประพฤติตามความเปน จริง” ขอ ความนเี้ ปน คาํ แสดงความยนิ ดขี องเทพเหมวตะในการทเ่ี ทพ สาตาคริ ะสรรเสรญิ พระพทุ ธเจา มใี จความวา พระมนุ ที รงหมดจดบรบิ รู ณ ดวยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมตามที่สหายสาตาคิระรับรองไว ทานสรรเสริญพระพุทธเจาผูควรแกการสรรเสริญอยางแทจริง เพราะ พระองคทรงถึงพรอมดวยความรูและความประพฤติ ขาพเจาขอกลาว อนโุ มทนาสาธุการดวยความยินดี ๑๗๒
àËÁǵÊٵà เพื่อเปนการตอบคําของเทพเหมวตะ เทพสาตาคิระจึงแสดง ความยินดีกับเทพเหมวตะท่ียอมรับการสรรเสริญพระพุทธเจาของเขา ดวยศรัทธา ดงั ขอความวา สมฺปนฺนํ มุนโิ น จิตฺตํ กมมฺ นุ า พฺยปฺปเถน จ วิชฺชาจรณสมปฺ นนฺ ํ ธมฺมโต อนุโมทส.ิ ๑๑๖ “พระหทัยของพระมุนีหมดจดบริบูรณ อีกท้ังหมดจดบริบูรณ ทางกายและวาจา ทา นกช็ น่ื ชมพระองคผ ถู งึ พรอ มดว ยความรแู ละความ ประพฤตติ ามความเปน จริง” หลังจากนัน้ เทพสาตาคริ ะจงึ เชิญเทพเหมวตะไปเฝาพระพุทธ- เจา พรอ มกันเพอ่ื ฟง ธรรม ดังขอ ความวา สมปฺ นฺนํ มุนโิ น จติ ตฺ ํ กมฺมุนา พยฺ ปฺปเถน จ วิชชฺ าจรณสมปฺ นฺนํ หนทฺ ปสสฺ าม โคตม.ํ ๑๑๗ “พระหทัยของพระมุนีหมดจดบริบูรณ อีกท้ังหมดจดบริบูรณ ทางกายและวาจา เราไปเฝาพระโคดมผูถึงพรอมดวยความรูและความ ประพฤตกิ นั เถดิ ” เทพเหมวตะกร็ บั คาํ เชอ้ื เชญิ นดี้ ว ยความชน่ื ชมยนิ ดโี ดยกลา ววา เอณิชงฺฆํ กิสํ วีรํ อปฺปาหารํ อโลลปุ มุนึ วนสมฺ ึ ฌายนตฺ ํ เอหิ ปสฺสาม โคตมํ.๑๑๘ “มาเถิด เราท้ังสองจะไปเฝาพระโคดม ผูมีพระชงฆดังปลีแขง เน้ือทราย มีพระวรกายซบู ผอม มลี ักษณะองอาจ เสวยพระกระยาหาร นอ ย ไมมักมากในอาหาร ทรงเปน มุนีผเู พงฌานอยใู นปา” ๑๗๓
àËÁǵÊٵà พระชงฆของพระพุทธเจาเหมือนปลีแขงเนื้อทรายท่ีเรียบเนียน ไมมปี มุ ตามลาํ ดับต้งั แตปลายจนถึงโคน ขอนต้ี า งกับแขงของคนทว่ั ไปท่ี ดานหนาลีบไมมีเนื้อแตมีเนื้อบวมข้ึนทางดานหลังเหมือนทองจระเข๑๑๙ พระพทุ ธองคมีพระวรกายซูบผอมที่เกิดจากการบาํ เพญ็ ทุกรจรยิ า หรอื มีพระวรกายซูบผอมเพราะเพ่ิงออกจากการบําเพ็ญทุกรจริยาเพียงสอง เดอื นกวา ในคมั ภรี อ รรถกถากลา ววา พระพทุ ธองคม พี ระวรกายซบู ผอม เพราะทรงบรบิ รู ณด ว ยองคาพยพนอ ยใหญเ ชน นนั้ ในสถานทค่ี วรยาว สน้ั เสมอกนั และกลมมน ไมทรงมีรูปรางอว นเหมือนคนอว นท่วั ไป๑๒๐ พระพุทธองคมีลักษณะองอาจ เพราะกําจัดขาศึกทั้งภายใน และภายนอกได๑๒๑ นอกจากนนั้ พระพทุ ธองคเ สวยพระกระยาหารนอ ย คําน้ีคงจะกลาวชมเชยพระองคในขณะท่ีพระองคทรงบําเพ็ญทุกรจริยา ตลอด ๖ ป ในคัมภรี อรรถกถากลาววา เสวยกระยาหารนอยเพราะเสวย เพียงมื้อเดียวและเสวยพอประมาณ๑๒๒ นอกจากนน้ั ในคัมภรี อรรถกถาของสุตตนบิ าตยังนาํ พระพุทธ- พจนม ากลาววา โดยปกตพิ ระพทุ ธองคมักเสวยเพียงหน่ึงบาตรเตม็ หาก จะตองออกเดินทางเปนตนในบางวันก็จะเสวยเพิ่มอีกเพียงเล็กนอย ทําใหสาวกบางรูปท่ีฉันนอยเพียงถวยเล็ก คร่ึงถวยเล็ก ผลมะตูม หรือ ครึ่งผลมะตมู มไิ ดเคารพนบั ถอื เลอ่ื มใสพระองคเ พราะเสวยพระกระยา- หารนอ ย แตเ คารพนบั ถอื เลอื่ มใสพระองคเ พราะเหตอุ นื่ ๑๒๓ อยา งไรกต็ าม ในคัมภีรอรรถกถาของมัชฌิมนิกายกลาววา พระพุทธองคเสวย พระกระยาหารนอยในขณะบําเพ็ญทุกรจริยา ขณะจําพรรษาในเมือง ๑๗๔
àËÁǵÊٵà เวสาลีซ่ึงเกิดขาวยากหมากแพง และในขณะพํานักอยูท่ีปาปาลิไลย๑๒๔ ดังนัน้ คาถาน้จี ึงนา จะหมายถงึ การบาํ เพ็ญทุกรจรยิ าดังกลา ว หลงั จากนนั้ เทพเหมวตะไดห นั ไปทางเหลา เทวดาบรวิ ารทงั้ หมด แลวขอเชิญใหตามไปพรอมกับสหายสาตาคริ ะดว ยคาถาวา สีหํเวกจรํ นาคํ กาเมสุ อนเปกฺขินํ อปุ สงฺกมมฺ ปุจฉฺ าม มจจฺ ปุ าสปโมจนํ.๑๒๕ “พวกเราไปเฝาพระโคดม ผูองอาจดุจราชสีห เสด็จจาริก พระองคเดียว ไมกระทําบาป ไมอาลัยในกามคุณ จะทูลถามถึงธรรมท่ี ทาํ ใหพนไปจากบว งมจั จ”ุ ต้ังแตคาถาที่ ๑ จนถึงคาถาท่ี ๑๗ ขางตน เปนคํานําของ พระสูตรนี้ ตอจากนี้ไปเปนเนื้อหาโดยตรงของพระสูตร หลังจากเทพ เหมวตะและสหายสาตาคริ ะพรอ มทง้ั บรวิ ารไดไ ปถงึ สถานทปี่ ระทบั ของ พระผูมีพระภาคแลว ไดท ลู ขอโอกาสในการถามปญหาดวยขอ ความวา อกขฺ าตารํ ปวตตฺ ารํ สพฺพธมฺมาน ปารคํุ พุทธฺ ํ เวรภยาตตี ํ มยํ ปจุ ฺฉาม โคตม.ํ ๑๒๖ “ขาพระองคขอทูลถามพระโคดมผูตรัสอริยสัจ ๔ โดยยอบาง จําแนกโดยพิสดารบาง ทรงถึงฝงแหงธรรมท้ังปวง ทรงเปนผูตรัสรู ลวงพน เวรภัยไดทุกอยาง” การอนุญาตถามปญหาน้ีเปนธรรมเนียมที่สุภาพของคนชั้นสูง และผูมีปญญาในสมัยน้ัน บุคคลเหลานั้นมักขออนุญาตกอนจะถาม ๑๗๕
àËÁǵÊٵà ปญหา เมื่อไดรับอนุญาตแลวจึงคอยถาม จัดวาเปนธรรมเนียมท่ีสุภาพ ดีงาม แตคนที่ไมมีการศึกษาจะถามตรงๆ โดยไมมีพิธีรีตองใดๆ จัดวา เปน การแสดงความไมน อบนอม เพราะเขาไมท ราบวาผตู อบวา งจะตอบ ปญหาของตนอยูหรือไม เทพเหมวตะเคยเปนพระเถระผูทรงปริยัติ ใน ปจ จบุ นั กเ็ ปน เทพผมู ศี กั ดยิ์ ง่ิ ใหญ จงึ ขอโอกาสถามปญ หาตามธรรมเนยี ม ของคนชนั้ สงู ทส่ี ภุ าพออ นโยน เมอ่ื พระผมู พี ระภาคทรงอนญุ าตโดยดษุ ฎ-ี ภาพแลว เทพเหมวตะจงึ ทลู ถามปญหาขอแรกดังนี้ คําถามที่ ๑ ของเทพเหมวตะ กิสมฺ ึ โลโก สมปุ ฺปนโฺ น กิสฺมึ กพุ พฺ ติ สนถฺ วํ กิสฺส โลโก อุปาทาย กสิ ฺมึ โลโก วิหฺติ.๑๒๗ “เมื่ออะไรเกดิ สตั วโลกจึงเกิด สตั วโ ลกเก่ยี วพนั กบั อะไร อาศยั เหตุอะไรจงึ ไดชอ่ื วาสัตวโ ลก สตั วโ ลกเดือดรอนเพราะอะไร” ความหมายของคาถาน้ี คือ เมื่อมีสิ่งใดเกิดข้ึน สัตวโลกจึงเกิด ขนึ้ สตั วโลกเกย่ี วพันกบั อะไรอยเู สมอ อาศยั เหตอุ ะไรบัญญัตวิ า สัตวโลก จึงมีได และสัตวโลกถูกบบี ค้ันใหเปน ทุกขเ พราะอะไร คําถาม ๔ ประเด็นเหลานี้ลึกซง้ึ มาก เทวดาท่ัวไปไมอาจจะตัง้ คําถามเชน น้ไี ด แตเทพเหมวตะไดเ คยศึกษาพระไตรปฎ กเปน อยางดใี น สมัยพระกสั สปสมั มาสัมพุทธเจา จึงตง้ั คาํ ถามทล่ี กึ ซึ้งเหลานีไ้ ด ๑๗๖
àËÁǵÊٵà คําตอบท่ี ๑ ของพระพุทธเจา พระพุทธองคท รงตอบคาํ ถามของเทพเหมวตะ ดงั นี้ ฉสุ โลโก สมุปฺปนฺโน ฉสุ กุพฺพติ สนถฺ วํ ฉนฺนเมว อปุ าทาย ฉสุ โลโก วหิ ฺติ.๑๒๘ “เมื่ออายตนะ ๖ เกิด สัตวโลกจึงเกิด สัตวโลกเก่ียวพันกับ อายตนะ ๖ อาศัยอายตนะ ๖ จึงไดชื่อวาสัตวโลก สัตวโลกเดือดรอน เพราะอายตนะ ๖” อายตนะ ๖ ในคาํ ตอบทง้ั ๔ ขอ นี้ คือ อายตนะภายใน ๖ และ อายตนะภายนอก ๖ ตามท่ีกลาวไวในอรรถกถาของสุตตนิบาต สวน อรรถกถาของสคาถวรรคกลา ววา หมายถงึ อายตนะภายใน ๖ อยา งเดยี ว สว นตามความเหน็ ของพระพุทธโฆสาจารยก ลาววา คาํ ตอบท่ี ๑ และที่ ๓ หมายถงึ อายตนะภายนอก ๖ สวนคําตอบที่ ๒ และท่ี ๔ หมายถงึ อายตนะภายใน ๖ ความเห็นสุดทายน้ีเขาใจงายท่ีสุด จึงจะอธิบาย เนื้อความของคาถานต้ี ามความเห็นดังกลาว ๑๗๗
àËÁǵÊٵà (ก) เมื่ออายตนะ ๖ เกิด สัตวโลกจงึ เกิด องค ๖ ทพี่ ระพทุ ธเจาทรงระบถุ ึงคอื อายตนะ ๖ ไดแก ตา หู จมูก ลนิ้ กาย และใจ ทง้ั หมดนีเ้ รียกวา อายตนะภายใน หากมอี ายตนะ เหลา น้ี สตั วโ ลกยอมบังเกดิ ขนึ้ หมายความวา สตั วโลกตอ งมีตาทีเ่ หน็ หู ทไี่ ดยิน เปน ตน จึงเรียกวา สตั วโลก รูปแกะสลกั และรูปปน ที่ทําดว ยหนิ ดิน หรือปูน แมจะมีรูปรางของอายตนะเหลานั้น แตเนื่องจากมันไมมี ชวี ติ ที่เหน็ หรือไดย ิน เปนตน จึงไมช อ่ื วาสตั วโลก ถามีอายตนะ ๔ หรือ ๕ อยางก็อาจเรียกวาสัตวโลกได คือ คนตาบอดมีอายตนะ ๕ อยางมีหูเปนตน คนตาบอดและหูหนวกมี อายตนะ ๔ อยางมจี มกู เปนตน เม่ือราว ๓๐ กวา ปม าแลว อาตมาเคยพบ ภิกษุรูปหน่งึ ทมี่ ีจมูกบกพรองต้งั แตกําเนดิ จงึ ไมม ฆี านายตนะ ดงั นนั้ ถา มอี ายตนะ ๓ อยาง คือ ล้ิน กาย และมีใจเปน อยา งตํ่า กอ็ าจเรยี กวาสตั ว โลกได สตั วท ะเลบางประเภทมรี ปู คลา ยตน ไมห รอื เหด็ แตก เ็ ปน สง่ิ มชี วี ติ สตั วเ หลา นั้นคงจะไมม ตี า หู และจมกู แตก ็ยังนับวา เปนสัตวไ ด ดงั นน้ั อายตนะ ๓ คือ ลิ้น กาย และใจ ตองมีเปนอยา งตา่ํ ในกามภมู ิ จงึ นับวา เปน สัตวโลกได รูปพรหมไมม ีจมูก ลิน้ และกาย มีเพียงอายตนะ ๓ คือ ตา หู และจติ กน็ ับวาเปน สัตวโลกไดดว ยอายตนะ ๓ เหลา นี้ สว นอรปู พรหมมี ๑๗๘
àËÁǵÊٵà เพียงจิตที่เรียกวามนายตนะ ก็นับวาเปนสัตวโลกเชนกัน นอกจากนั้น อสัญญสัตตพรหมท่ีไมมีสัญญาและจิต ไมนับวามีตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จึงไมมีอายตนะภายใน ๖ แตยังนับวาเปนสัตวโลกอยู อยางไร ก็ตาม พรหมเหลาน้ันไมมีความคุนเคยและไมเดือดรอนเพราะอายตนะ ๖ จึงเขาใจวาพระพุทธองคมิไดทรงระบุถึงอสัญญสัตตพรหมไวใน ขอ ความนี้ สรุปความวา เม่ือมีเพียงจิตก็อาจนับวาเปนสัตวโลกได จึง เปน การชดั เจนวา เมอื่ สตั วโ ลกมอี ายตนะครบทง้ั ๖ กไ็ มม อี ะไรทจี่ ะกลา ว เพ่มิ อีก ภมู ิทีม่ ีอายตนะ ๓, ๔ หรอื ๕ นนั้ รวมอยใู นอายตนะ ๖ แลว การท่ีสัตวโลกเกิดข้ึนเมื่อมีอายตนะ ๖ คือ ในมนุษยโลกน้ัน ปฏิสนธิจิตยอมปรากฏในครรภมารดาในเวลาเดียวกับการกอตัวของ ตัวออน ดังน้ันจิตและกายจึงเกิดพรอมกัน สัตวโลกจึงเปนส่ิงมีชีวิต เพราะมีอายตนะ ๒ คอื จติ และกายดังกลา ว หลงั จากคลอดออกมาแลว สามารถเห็นส่ิงตางๆ ไดทางตา ตาและจิตยอมเกิดขึ้นและอายตนะ ทั้งสองนี้ทําใหไดชื่อวาสัตวโลก เชนเดียวกับหูและการไดยิน จมูกและ การไดก ล่ิน ลน้ิ และการลิม้ รส กายและการสัมผสั สําหรับจิตนัน้ ทาํ ใหไ ด ชื่อวาสัตวโลกเพราะนึกคิดเรื่องราวตางๆ ฉะนั้น อายตนะท้ังหมดนี้จึง สรา งสัตวโ ลกขนึ้ หากไมมีตาสัตวโลกก็ไมอาจมองเห็น ไมมีหูก็ไมอาจไดยินเสียง ไมม ลี ้นิ ก็ล้มิ รสไมได ไมมีกายก็ไมอาจสมั ผัสได ไมม ีจติ กไ็ มมีความนึกคิด ดังนน้ั จงึ ไมม สี ตั วโ ลกเกิดขน้ึ ในมนุษยโลก ลองพจิ ารณาศพหลงั จากเสยี ๑๗๙
àËÁǵÊٵà ชวี ิตเพยี งเลก็ นอย ศพนัน้ ดูเหมอื นมนษุ ยท่มี ีชีวติ แตค วามแตกตา งก็คือ ไมมอี ายตนะใดๆ ในรางน้นั เลย เพราะปสาทรปู คอื ตา หู จมกู ลนิ้ และ กายดบั ไป อีกทง้ั นามธรรมคือจติ กด็ ับไปเชนเดียวกัน ฉะน้นั ศพจึงไมใ ช สิง่ มชี ีวิต ไมอาจเหน็ ไดย นิ รูกลิ่น ล้ิมรส กระทบสัมผสั หรอื นกึ คิดเร่อื ง ราวตา งๆ ได หากผใู ดผา ตดั ศพนน้ั กไ็ มถ อื วา เขาฆา สตั ว แตห ากผใู ดแสดง ความกาวราวไมเคารพตอศพของบุคคลผูทรงศีลเปนตน ถือวาผูนั้น กระทําบาป บางคนยังมีความผูกพันอยูกับศพท่ีเพ่ิงเสียชีวิต แตศพน้ัน ไมม ีอายตนะใดๆแลว จงึ ไมอ าจเรียกไดว า สัตวโ ลก บางคนเขาใจวาความตายหมายถึงการท่ีวิญญาณออกไปจาก รา งกาย แตค วามจริงมิไดเ ปนเชนนนั้ กลาวคือ ถา อายตนะ ๖ ยงั ทาํ งาน อยางตอเน่ืองอยู ก็กลาวไดวายังมีชีวิตอยู แตในชวงสุดทายของชีวิต อายตนะ ๖ หยดุ ทํางานโดยสนิ้ เชิง โดยเฉพาะอยางย่ิงจติ ท่เี กดิ ดับอยูใน ทุกขณะตลอดเวลาน้ันไดดับสนิทไมเกิดอีก จึงกลาววาไดเสียชีวิตแลว ทนั ทีทีจ่ ตุ จิ ิตดังกลา วดับลง และบคุ คลนน้ั ยงั มกี เิ ลสอยู จติ ดวงใหมยอ ม เกิดขนึ้ ในฐานะอีกแหง หน่งึ จิตดวงสุดทายจากภพกอนชื่อวา จุติจิต (จิตเคล่ือน) เพราะมี ลกั ษณะเคลอ่ื นจากภพกอ น จติ ดวงใหมท เี่ กดิ ขนึ้ ในฐานะอกี แหง หนงึ่ ทาํ หนา ทเ่ี ชอ่ื มโยงใหเ นอ่ื งกบั ภพกอ น จงึ ชอ่ื วา ปฏสิ นธจิ ติ (จติ เชอ่ื มโยงภพ) ปฏิสนธิจิตดังกลาวก็คือมนายตนะน่ันเอง ในบางภูมิมีรูปท่ีเกิดรวมกับ ปฏิสนธิจิต ในรูปเหลาน้ีมีรูปประเภทหนึ่งท่ีเรียกวากายายตนะเกิดขึ้น แนน อน ถา เปน ปฏิสนธิของสงั เสทชสัตว (สตั วท ่เี กดิ ในยางเหนียว เชน ๑๘๐
àËÁǵÊٵà โคลน ตม นาํ้ ) หรอื โอปปาตกิ ะ (สตั วท ผี่ ดุ เกดิ ขนึ้ ทนั ที เชน เทวดา พรหม) ก็จะมีอายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น เกดิ ข้นึ ทันที ดงั นั้น ตง้ั แตจดุ เรม่ิ ตน (ปฏิสนธขิ ณะ) ของสง่ิ มีชวี ิตก็จะมีอายตนะหน่งึ สอง สาม สี่ หา หรือ ครบท้ังหกเกิดขึ้น ดวยการปรากฏขึ้นของอายตนะเหลาน้ี ชีวิตใหมจึง บงั เกดิ ขน้ึ ฉะน้นั พระพทุ ธองคจงึ ตรัสวา “เม่อื อายตนะ ๖ เกิด สัตวโลก จึงเกดิ ” อยา งไรกด็ ี ไมใ ชวา ชวี ติ ใหมจะเกดิ ขึน้ ในบดั น้ีเทานั้น ตามความ เปนจริงแลว อายตนะ ๖ เกิดขึ้นไดเพราะกรรมที่เคยทําไวในภพกอน หากปราศจากอายตนะ ๖ ชวี ิตกม็ ไี มได เชนเดยี วกบั สายนาํ้ ในแมนาํ้ ท่ี กําลังไหลอยู มนี ํา้ เกา น้าํ ใหมไ หลเวยี นกันอยูตลอดเวลา อายตนะ ๖ เหลา น้ี ก็เกิดดับเปล่ียนแปลงอยูตลอดเวลาเชนเดียวกัน แตคนที่มิไดเจริญ วิปส สนายอมเขา ใจผดิ วา เปนตวั ตนที่เท่ียงแทถ าวร ผูปฏิบัติที่กําหนดรูรูปนามทุกอยางท่ีปรากฏในทุกขณะท่ีเห็น ไดยิน กระทบ หรือรูเห็น อาจหย่ังเห็นความเกิดดับอยางรวดเร็วของ อายตนะ ๖ ในขณะทสี่ มาธมิ กี าํ ลงั แกก ลา เชน เมอ่ื กาํ หนดวา “ถกู หนอๆ” อาจหยง่ั เหน็ วาจติ ท่รี ูกระทบ มสี ภาพดบั ไปอยางรวดเร็ว น้ีคอื การรูเห็น มนายตนะ บางคราวเม่ือกําหนดวา “คิดหนอ” “รหู นอ” อาจหยงั่ เหน็ วา มนายตนะคอื จติ ทค่ี ดิ หรอื จติ ทรี่ ู มสี ภาพดบั ไปอยา งรวดเรว็ บางคราว เมอ่ื กาํ หนดวา “เหน็ หนอ” ในขณะเหน็ อาจหยง่ั เหน็ วา มนายตนะคอื จติ ท่ีเหน็ และจักขายตนะคอื รูปท่ีเห็น มสี ภาพดบั ไปอยา งรวดเรว็ บางคราว เมื่อกําหนดวา “ยนิ หนอ” ในขณะไดยนิ อาจหยงั่ เห็นวามนายตนะคือ ๑๘๑
àËÁǵÊٵà จติ ทไ่ี ดย นิ และโสตายตนะคอื รปู ทไ่ี ดย นิ เสยี ง มสี ภาพดบั ไปอยา งรวดเรว็ บางคราวเมอื่ กาํ หนดวา “ดมหนอ” หรอื “ลม้ิ หนอ” ในขณะไดก ลนิ่ หรอื ลมิ้ รสอาจรเู หน็ วา มนายตนะคอื จติ ทดี่ มกลนิ่ หรอื ลมิ้ รสและฆานายตนะ คอื รปู ทด่ี มกลนิ่ หรอื ชวิ หายตนะคอื รปู ทลี่ ม้ิ รส มสี ภาพดบั ไปอยา งรวดเรว็ จะเหน็ วาสตั วโลกกค็ อื อายตนะ ๖ ท่ีเกดิ ดบั อยตู ลอดเวลา และมสี ภาพ แปรปรวนไมจีรังย่ังยืน พระพุทธองคจึงตรัสวา “เมื่ออายตนะ ๖ เกิด สัตวโ ลกจงึ เกดิ ” เพอื่ ใหผฟู ง ธรรมเขาใจความจริงของชวี ติ ในเรือ่ งนี้ ๑๘๒
àËÁǵÊٵà (ข) สัตวโ ลกเก่ียวพนั กับอายตนะ ๖ พระพทุ ธเจา ตรสั วา สตั วโ ลกคอื การรวมตวั กนั อยา งตอ เนอื่ งของ อายตนะภายใน ๖ ไดแก ตา หู จมูก ลิน่ กาย และใจ ทาํ ปฏสิ ัมพนั ธกับ อายตนะภายนอก ๖ คอื รปู เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั และธรรมารมณ (มโน- สัมผัส) กลาวโดยยอวา อายตนะภายใน ๖ ทําปฏิสัมพันธกับอายตนะ ภายนอก ๖ นั่นเอง ตาและการเหน็ ทําปฏิสัมพันธก ับรปู ารมณ เราแยกแยะระหวางสตรีกับบุรุษดวยภาพท่ีปรากฏ โดยอาศัย สาเหตคุ ือตาและการเหน็ (จิตท่ีรอู ารมณทางตา) ทําปฏสิ ัมพนั ธก ับภาพ หรอื สง่ิ ทถี่ กู เหน็ ทนั ทที มี่ องเหน็ อายตนะทางจติ กจ็ ะรบั เอาภาพนน้ั ไวใ น ใจ และหวนคิดถงึ อีกซาํ้ แลว ซ้ําเลา แมภาพนนั้ ไดหายไปเองและไมอ ยทู ี่ นน่ั อีกตอไป แตอายตนะทางจิตยังหวนคิดถงึ รบั เอาภาพนนั้ เปน อารมณ ไดใ นทกุ ขณะทค่ี ดิ ถงึ เพราะรบั เอาไวท างใจเรยี บรอ ยแลว เมอ่ื หวนคดิ ถงึ บรุ ษุ สตรี หรอื วตั ถสุ งิ่ ของตา งๆ กย็ อ นกลบั ไปรตู ามทพ่ี บเหน็ ในลกั ษณะ นั่ง ยนื ยม้ิ หวั เราะ ขมวดคิว้ เปนตน การที่บุคคลคนหน่ึงพบเห็นและติดตอสัมพันธกับอีกคนหน่ึง ไดน้ัน เปนเพราะวาจิตที่เห็นอันเปนมนายตนะสัมผัสกับสิ่งท่ีถูกเห็นอัน เปนรูปายตนะ ถา พจิ ารณาโดยละเอยี ดจะพบวา ในขณะเห็นมเี พียงตา ๑๘๓
àËÁǵÊٵà (จักขายตนะ) จิตทเ่ี ห็น (มนายตนะ) ทาํ ปฏสิ มั พนั ธกับภาพหรอื สงิ่ ท่ีถกู เหน็ (รปู ายตนะ) หรอื ในขณะหวนระลกึ สง่ิ ทเ่ี หน็ กม็ เี พยี งอายตนะ ๒ คอื จิตที่หวนระลึกถึง และรูปที่เคยเห็น ไมมีผูเห็นหรือบุคคลส่ิงของที่ถูก เห็นโดยปรมัตถแตอยางใด หากคิดอยางละเอียดลึกซึ้งแลวจะเขาใจได วา การพบเห็นเปนเพียงสัมพันธภาพระหวางจักขายตนะ มนายตนะ กับรูปายตนะเทานั้น ผูปฏิบัติที่กําหนดรูความคิดนึกท่ีมาจากสิ่งท่ีเคย เห็นมากอ นยอมจะเขาใจเรอื่ งนอี้ ยา งชดั เจน ผูปฏิบัติท่ีเจริญสติอยูตลอดเวลาและมีสมาธิแกกลาพอสมควร เมือ่ เห็นรปู อยางใดอยางหนงึ่ โดยกําหนดวา “เหน็ หนอ” ยอมรเู หน็ วา มี เพียงดวงตา (จักขุประสาท) รูป และจิตท่ีเห็นเทาน้ัน แมในเวลาหวน คดิ ถงึ สง่ิ ทเี่ คยเหน็ มากอ น ยอ มรเู หน็ วา มเี พยี งรปู ทเี่ คยเหน็ และจติ ทหี่ วน คิดถงึ เชนเดยี วกนั พระพทุ ธองคทรงหมายถงึ ความเขาใจดังท่ีกลาวมาน้ี จึงตรัสวา “สัตวโ ลกเกยี่ วพันกับอายตนะ ๖” หูและการไดย ินทําปฏิสมั พันธกับสัททารมณ การแยกชายหญิงทําไดดวยการฟงเสียงของชายหรือหญิง โดย อาศยั สาเหตุคือหแู ละการไดยิน (จิตทรี่ อู ารมณทางห)ู ทําปฏสิ มั พันธกบั เสยี งทถี่ ูกไดย นิ ทันทีที่ไดยนิ อายตนะทางจิตก็จะรบั เอาเสียงนั้นไวใ นใจ และหวนคดิ ถงึ อกี ซํา้ แลวซ้ําเลา แมเ สียงน้ันไดห ายไปเองและไมอ ยทู ่ีนั่น อกี ตอไป แตอายตนะทางจิตยงั หวนคิดถึงรบั เอาเสียงน้ันเปนอารมณได ในทุกขณะท่คี ดิ ถงึ เพราะรบั เอาไวทางใจเรียบรอ ยแลว จิตน้นั จะรกั ษา ๑๘๔
àËÁǵÊٵà ความจําเสียงนั้นไว ไมวาจะเปนเสียงของผูชายหรือผูหญิงคนใด ไมวา จะเปน เสยี งทน่ี าฟงหรือขัดหูกต็ าม ถาพิจารณาโดยละเอียดจะพบวา ในขณะไดยินเสียงมีเพียงหู (โสตายตนะ) จิตท่ีไดย นิ (มนายตนะ) ทาํ ปฏสิ ัมพันธก ับเสยี งทีถ่ กู ไดย นิ (สทั ทายตนะ) หรือในขณะหวนระลกึ ส่ิงที่ไดยินกม็ ีเพียงอายตนะ ๒ คือ จิตท่ีหวนระลึกถึง และเสียงที่เคยไดยิน ไมมีผูไดยินโดยปรมัตถแต อยางใด หากคิดอยางละเอียดลึกซ้ึงแลวจะเขาใจไดวา การไดยินเปน เพยี งสมั พนั ธภาพระหวา งโสตายตนะ มนายตนะ กบั สทั ทายตนะเทา นน้ั ผูปฏิบัติท่ีเจริญสติอยูตลอดเวลาและมีสมาธิแกกลาพอสมควร เม่ือไดยนิ เสียงอยา งใดอยางหนึง่ โดยกาํ หนดวา “ยนิ หนอ” ยอมรเู หน็ วา มีเพียงหู (โสตประสาท) เสียง และจิตที่ไดยินเทาน้ัน ไมมีเรา ของเรา บรุ ุษ หรอื สตรี แมใ นเวลาหวนคดิ ถงึ เสยี งทเี่ คยไดยนิ มากอน ยอมรูเ หน็ วา มเี พยี งเสยี งทเี่ คยไดย นิ และจติ ทหี่ วนคดิ ถงึ เชน เดยี วกนั พระพทุ ธองค ทรงหมายถงึ ความเขา ใจดงั ทกี่ ลา วมาน้ี จงึ ตรสั วา “สตั วโ ลกเกีย่ วพันกบั อายตนะ ๖” จมูกและการดมกลิน่ ทาํ ปฏิสมั พันธก บั คนั ธารมณ จมูกกับการดมกลิ่นทาํ ปฏสิ มั พนั ธกับกลิ่นทุกชนดิ ไมวา จะเปน กลิ่นของผูชายหรือผูหญิง กล่ินดอกไม และ ฯลฯ จิตก็จะจดจํากลิ่น น้ันไว ในเรื่องนี้ไมใชเฉพาะกลิ่นเทานั้น แตยังทําปฏสิ มั พนั ธก บั เจา ของ กลิ่นน้ัน ไมวาจะเปนกล่ินของหญิงหรือชายท่ีไดสรางความประทับใจ ใหแ กจ ิตนน้ั ๑๘๕
àËÁǵÊٵà ถา พจิ ารณาโดยละเอยี ดจะพบวา ในขณะจบู บตุ รนอ ย คนจบู แม จะเขาใจวาเราจบู บตุ รของเรา แตความจริงคนจูบไมม ีจรงิ และคนที่ ถูกจูบก็ไมมีจริง มีเพียงจมูก (ฆานายตนะ) จิตท่ีรูกลิ่น (คันธายตนะ) ทาํ ปฏสิ มั พนั ธก บั กลน่ิ ทถี่ กู ดม (คนั ธายตนะ) หรอื ในขณะหวนระลกึ กลนิ่ ที่เคยดมกม็ ีเพยี งอายตนะ ๒ คอื จิตท่หี วนระลกึ ถึง และกลนิ่ ทเ่ี คยดม โดยแทจ รงิ แลว ผดู มกลน่ิ ไมม อี ยจู รงิ โดยปรมตั ถแ ตอ ยา งใด หากคดิ อยา ง ละเอียดลึกซ้ึงแลวจะเขาใจไดวา การดมกลิ่นเปนเพียงสัมพันธภาพ ระหวา งฆานายตนะ มนายตนะ กับคันธายตนะเทา นั้น ผูปฏิบัติที่เจริญสติอยูตลอดเวลาและมีสมาธิแกกลาพอสมควร เมอื่ ดมกลน่ิ ดอกไมห รอื กลน่ิ อาหารเปน ตน โดยกาํ หนดวา “ดมหนอ” ยอ ม รูเห็นวามีเพียงจมูก (ฆานประสาท) กลิ่น และจิตท่ีดมเทานั้น ไมมีเรา ของเรา บุรุษ หรือสตรี พระพุทธองคท รงหมายถงึ ความเขา ใจดังที่กลา ว มาน้ี จึงตรสั วา “สตั วโลกเก่ยี วพันกับอายตนะ ๖” ลน้ิ และการลมิ้ รสทําปฏิสมั พนั ธกบั รสารมณ จิตมักเกิดความประทับใจในรสชาติของอาหารพรอมกับคน เตรยี มอาหารทตี่ นพอใจ หลงั รบั ประทานแลว กม็ กั หวนระลกึ ถงึ อยเู สมอ อยา งไรกด็ ี ครนั้ กลนื อาหารนนั้ ไปแลว รสชาตขิ องอาหารนนั้ กห็ มดสนิ้ ไป แตค นรบั ประทานยงั ติดใจรสชาติหรอื คนเตรยี มอาหารอยู ผูปฏิบัติท่ีเจริญสติอยูตลอดเวลาและมีสมาธิแกกลาพอสมควร เม่อื กาํ หนดรรู สชาติของอาหารตามสภาวะนน้ั ๆ วา “หวานหนอ” หรือ ๑๘๖
àËÁǵÊٵà “เค็มหนอ” ยอมรูเห็นวารสชาติของอาหารหรือจิตท่ีรูรสดับไปอยาง รวดเร็ว จงึ เขา ใจวา มีเพยี งล้นิ (ชวิ หาประสาท) รส และจิตที่รูรสเทา นั้น ไมมีเราผูบริโภค เขายอมไมยึดติดผูกพันกับวัตถุส่ิงของอันเปนที่ตั้งของ รส เชน หมู ไก และคนเตรียมอาหาร เพราะรเู ห็นสภาวะดับไปซ่งึ ไมจ รี งั ยั่งยืนของรสและจิตที่รูรส พระพุทธองคทรงหมายถึงความเขาใจดังที่ กลาวมาน้ี จึงตรสั วา “สัตวโลกเก่ียวพนั กบั อายตนะ ๖” กายและการสมั ผสั ทาํ ปฏิสัมพันธกับโผฏฐพั พารมณ กายที่เรียกวาบุรุษหรือสตรีและการสัมผัส (จิตท่ีรูสัมผัส) ทํา ปฏิสัมพันธกับโผฏฐัพพารมณ หมายความวา โผฏฐัพพารมณ (ส่ิงที่ กระทบสมั ผัส) มาปะทะกบั กายประสาท ทาํ ใหเ กดิ การสมั ผสั ที่เรยี กวา กายวิญญาณจิตท่ีรับรูสภาวะกระทบสัมผัส น้ีคือตัวอยางที่อายตนะ ๒ คือ กายและการสัมผัสทําปฏิสัมพันธกับอายตนะภายนอกคือ โผฏฐัพพารมณ โผฏฐพั พารมณเ ปนองคประกอบของธาตุ ๓ ไดแก ปฐวี (ธาตุ ดนิ ) เตโช (ธาตุไฟ) และวาโย (ธาตุลม) ความหยาบกระดา งหรอื ความ ละเอยี ดออน คอื ปฐวี ความอบอุนหรอื ความเยน็ คือเตโช ความผลกั ดนั หยอน ตงึ หรอื ความเคล่อื นไหว คอื วาโย สัมผัสดงั กลาวเปนการกระทบ ที่มีในรางกายบาง เชน มือเทากระทบกันเอง หรือมือเทากระทบกับ รางกาย หรือลิ้นกระทบกับเพดาน เปนตน นอกจากน้ัน ยังเปนการ กระทบกบั สงิ่ ภายนอกรา งกาย เชน การทมี่ อื เทา กระทบกบั เสอื้ ผา ทนี่ อน หรอื กระทบกับรางกายของคนอืน่ ๑๘๗
àËÁǵÊٵà ไมวาจะกระทบกับอะไรก็ตาม คนท่ัวไปมักเขาใจผิดวา เรา กระทบ และกระทบคน เสื้อผา ที่นอน ฯลฯ นี้คือลักษณะท่ียึดม่ัน โผฏฐัพพารมณและจิตท่ีรูการสัมผัสวาเปนตัวตน ท่ีจริงโผฏฐัพพารมณ ดบั ไปต้ังแตเวลาทีเ่ ริม่ กระทบแลว แตจ ิตยงั หวนระลึกถึงสิง่ ทีถ่ กู กระทบ น้ันซํา้ แลวซํ้าเลา ทําใหเห็นผิดวาคนท่กี ระทบสัมผสั และสง่ิ ทถ่ี ูกกระทบ เปนของเที่ยงแทถาวรจีรังย่ังยืน โดยทั่วไปผูปฏิบัติตองกําหนดรู โผฏฐัพพารมณนเี้ ปน หลักในขณะปฏิบัติ ดว ยเหตุน้ี พระพทุ ธองคจงึ ตรัสไวใ นมหาสตปิ ฏ ฐานสตู ร หมวด กายานปุ สสนาวา คจฉฺ นโฺ ต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ๑๒๙ (เมอ่ื เดิน ยอมรชู ัด วา เดินอยู) เปนตน นี้คอื คาํ สอนหน่งึ ที่แนะนาํ ใหผปู ฏิบตั ิรูเห็นธรรมชาติ อนั แทจ รงิ ของวาโย ในทาํ นองเดยี วกนั พระพทุ ธองคต รสั สอนใหก าํ หนด สภาวะตา งๆ คอื สภาวะเดิน สภาวะยนื สภาวะนั่ง และสภาวะนอน๑๓๐ อกี ท้งั ยังแนะนาํ ใหตามรอู ากปั กิรยิ าทางกายทัง้ หมดดวยขอ ความวา “หรือเธอตั้งกายไวดวยกิริยาทาทางอยางใดๆ ก็รูกิริยาทาทาง อยางนน้ั ๆ”๑๓๑ สาเหตุท่ีพระพุทธองคตรัสสอนใหสาวกตามรูอิริยาบถทางกาย ท้งั หมด ท้ังทเ่ี ปน อริ ิยาบถใหญท ้ัง ๔ คอื การยืน เดิน นั่ง และนอน และ ท่ีเปนอิริยาบถยอยตา งๆ ไดแก การคู เหยียด เปนตน กเ็ พราะวา ผทู ม่ี ิได กาํ หนดรอู ากปั กริ ยิ าทางกายยอ มจะเกดิ กเิ ลสเรมิ่ ตง้ั แตอ วชิ ชาทเ่ี กยี่ วกบั การกระทบสัมผัสทางกายเปนตนไป ซึ่งอาจทําใหบุญบาปเกิดข้ึนดวย อาํ นาจของกเิ ลส และสง ผลใหไ ปเกดิ ในอบายภมู หิ รอื สคุ ตภิ มู ทิ เี่ ปน มนษุ ย ๑๘๘
àËÁǵÊٵà และเทวดาตามสมควร หลังจากนั้นก็ประสบความทุกขคือความแก เจ็บ ตายเปนตน ในภพทไ่ี ปเกิดนนั้ ๆ ถาผูปฏิบัติกําหนดรูรูปนามแลวหย่ังเห็นตามความเปนจริงวา มีเพียงรูปนามเทานั้นท่ีไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตน กิเลสดังกลาว ยอ มสงบไปไมอ าจกอ ใหเกดิ กรรมและผลกรรมในภพตอไปได ตอเม่อื ได บรรลุอริยมรรคแลวกิเลสและทุกขในภพเหลานี้ยอมสงบไปโดยส้ินเชิง ดงั นนั้ พระพทุ ธองคจ งึ ทรงแนะนาํ ใหต ามรอู ากปั กริ ยิ าทางกายดงั ทก่ี ลา ว มาแลวเพอื่ ตดั วฏั ฏะ ๓ คือ กิเลสวัฏ (วนเวยี นกิเลส) กรรมวฏั (วนเวียน กรรม) วปิ ากวัฏ (วนเวยี นวิบาก) สภาวะพองยบุ กเ็ ปน อากัปกริ ิยาทางกาย ในทนี่ อ้ี าตมาใครจ ะชี้แจงวา สภาวะพองข้นึ และยบุ ลงของทอ ง ไดรวมไวในอากัปกิริยาทางกายแลว เพราะฉะน้ัน อาตมาจึงสอนให กําหนดรูสภาวะพองยุบของทอง ผูเร่ิมฝกปฏิบัติควรใชคําบริกรรมเพื่อ ใหเรียกโดยสะดวกวา “พองหนอ” “ยบุ หนอ” เม่ือผูป ฏิบตั ิเขา ถงึ สมาธิ แลวก็จะเขาใจความรูสึกสัมผัสท่ีมีความตึงหรือหยอนของทอง น้ีคือ สภาวะที่อายตนะภายในคือกายกับจิตกระทําปฏิสัมพันธกับอายตนะ ภายนอกคือโผฏฐพั พารมณ ผูปฏิบัติท่ีเจริญสติอยูตลอดเวลาและมีสมาธิแกกลาพอสมควร ยอ มรเู หน็ วา มเี พยี งสง่ิ ทถ่ี กู กระทบสมั ผสั คอื สภาวะตงึ หยอ น(โผฏฐพั พา- รมณ) และจติ ท่ีรบั รเู ทานัน้ ไมมเี ราผูกระทบสมั ผสั หรือในเวลากระทบ ๑๘๙
àËÁǵÊٵà สัมผัสกับส่ิงใดส่ิงหน่ึง ก็รูวามีเพียงกายประสาท ส่ิงท่ีถูกกระทบสัมผัส และจิตท่รี ับรเู ทา นนั้ ไมใชเรากระทบสมั ผสั บุรุษ สตรี หรือสง่ิ ใดสิ่งหนง่ึ แตอ ยา งใด พระพทุ ธองคท รงหมายถงึ ความเขา ใจดงั ทกี่ ลา วมานี้ จงึ ตรสั วา “สัตวโลกเกยี่ วพันกับอายตนะ ๖” ความคดิ เกี่ยวพนั กับเรอื่ งที่คิด จิตที่จัดเปนความคิด (มนายตนะ) ทําปฏิสัมพันธกับเรื่องที่คิด (ธรรมายตนะ) เปน ลกั ษณะที่คิดถึงเรอื่ งทต่ี อ งการคิดนกึ ดว ยจติ ของตน คนทั้งหลายมักกลาววา “ฉันคิดถึงใครบางคน” “ฉันพบใครบางคนใน ความคิด” “ฉนั ฝน ถึงใครบางคน” ฯลฯ ตามความเปน จรงิ แลว ไมมใี คร พบกับใครเลย เปนเพียงความคิดรับเอาเรื่องท่ีคิดเปนอารมณแลวทํา ปฏสิ มั พนั ธก นั เทา นนั้ ความคดิ เชน นน้ั มกั เกดิ ขนึ้ อยา งตอ เนอื่ งตลอดเวลา ทต่ี นื่ อยู จบความคดิ เรอื่ งหนง่ึ แลว กไ็ ปคดิ อกี เรอ่ื งหนง่ึ อยเู สมอไมข าดชว ง บางคราวกค็ ดิ เรอื่ งทไ่ี มส มควรจะคดิ ในทกุ ๆ ขณะทคี่ ดิ จติ รบั เอาอารมณ ทางใจอยเู สมอและเกยี่ วพนั กบั เรอ่ื งทค่ี ดิ ตลอดเวลา ทาํ ใหเ พลดิ เพลนิ กบั ความคิด ไมเพลิดเพลินกับการรูเทาทันรูปนามปจจุบันในขณะเจริญ วปิ สสนา เพราะเขาใจวาถูกกกั กันไวไ มใหซดั สายตามใจชอบ วิปสสนาจารยบางคนตําหนิวา การปฏิบัติธรรมเปนการกักกัน จติ และสอนใหป ลอ ยจติ ไปตามสบายไมต อ งจาํ กดั ความคดิ พวกเขาสอน วาการปฏิบัติธรรมเปนความลําบากอยางเดียว ขอความนี้ถือวาขัดแยง กับคําสอนของพระพุทธเจาอยางรายแรง เพราะผูท่ีเช่ือคําสอนน้ีจะ ๑๙๐
àËÁǵÊٵà ปลอยจิตไปตามสบายและคดิ แตเร่ืองท่จี ิตตองการ อยดู ว ยการพอใจใน กามคุณที่จัดเปนวิธีปฏิบัติกามสุขัลลิกานุโยค แมจะไมไดสัมผัสกับ กามคุณโดยตรง จิตของคนทว่ั ไปกน็ ึกคิดถวิลหากามคุณมบี ุรษุ หรือสตรี เปนตนแลวหลงไหลยินดี คงจะเหมือนกับความคิดเหลวไหลของคนสูบ ฝน เพราะความความคิดเหลวไหลของคนสูบฝนเชนนั้นก็เปรียบไดกับ การลมุ หลงทีพ่ อใจความนึกคดิ นนั่ เอง ขอ ความในเหมวตสตู รนที้ กี่ ลา ววา จติ คอื มนายตนะทาํ ปฏสิ มั พนั ธ กับความนึกคดิ คอื ธรรมายตนะ เปนส่งิ ทีส่ มควรอยา งย่งิ จะเห็นไดว า ถา บุคคลไมควบคุมจิตไว แตปลอยไปตามสบายเพ่ือหวนคิดถึงกามสุข กจ็ ดั เปน วธิ ปี ฏบิ ตั กิ ามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค มจิ าํ เปน ตอ งกลา วถงึ การเสพกาม- สขุ โดยตรง ดงั นน้ั จงึ ควรเจรญิ สมถะหรอื วปิ ส สนาอยา งใดอยา งหนง่ึ เพอ่ื ควบคุมจิตไมใหเกี่ยวพันกับความนึกคิด ผูท่ีพยายามเจริญสมถะหรือ วิปสสนาเชนน้ีก็ยังคิดซัดสายไปสูอารมณภายนอกในขณะที่สมาธิยัง ไมแกก ลา ดังผปู ฏบิ ัติไดเ คยพบมาแลวดวยตนเอง ผูสอนวิปสสนาบางคนตําหนิการปฏิบัติสมถะและวิปสสนาวา เปนวิธีทําใหตนลําบาก จัดเปนอัตตกิลมถานุโยค น้ีถือวาเปนการพูดท่ี ลบหลูคําสอนของพระพุทธเจาอยางยิ่ง ผูที่ปฏิบัติตามคําแนะนําของ วปิ ส สนาจารยกาํ มะลอเหลา น้ันอาจสญู เสยี โอกาสท่จี ะไดร ับความรูแ จง อันแทจริง แลวยังอาจจะกระทําบาปที่ย่ิงใหญโดยมิไดต้ังใจดวยการ วารา ยพระอริยะอีกดวย ๑๙๑
àËÁǵÊٵà การทรมานตนทกุ อยางมใิ ชอ ัตตกิลมถานโุ ยค การทรมานตนเองตามแบบอัตตกิลมถานุโยคนั้นเปนวิธีทําตน ใหลาํ บากโดยไมเกยี่ วกบั การเจรญิ ศีล สมาธิ หรือปญญาแตอยา งใด จัด เปน การทรมานตนดว ยความเชอ่ื ผดิ ๆ เพอื่ ไมใ หจ ติ ดาํ รใิ นกาม (กามวติ ก) เปนตน กิเลสจึงสงบลงในขณะรางกายเจ็บปวดทรมาน แตการปฏิบัติ เพ่ือใหเกิดศีล สมาธิ หรือปญญา แมจะทําใหตนลําบากก็ไมจัดเปนอัตต- กิลมถานุโยค แมบุคคลจะไดรับความทุกขจากการปฏิบัติจนกระท่ัง เสยี ชีวติ โดยบงั เอิญก็ไมจ ัดเปนอัตตกิลมถานโุ ยคเชน กนั ลองพจิ ารณากรณขี องคนตดิ ฝน ทเี่ ลกิ สบู เพราะตอ งการจะรกั ษา ศลี ถา เขารกั ษาศลี แลว เลกิ สบู ฝน กต็ อ งไดร บั ทกุ ขท รมาน แตเ ขาไดส งั่ สม บญุ ทเี่ นอื่ งดว ยศลี พระพทุ ธองคท รงสรรเสรญิ บคุ คลเชน นนั้ ทท่ี าํ บญุ กศุ ล ไดแมจ ะไดร บั ทกุ ขทรมาน นอกจากน้ัน การละเวนจากเร่ืองชูสาวดวยการรักษาศีล ๕ ก็ เปน ความลําบากอยา งหน่ึงทางกาย พระพุทธเจา ทรงตําหนิคนประเภท นไ้ี หม ในทาํ นองเดยี วกนั ผทู เ่ี วน การรบั ประทานอาหารมอ้ื บา ยเพยี งเพอื่ รกั ษาศลี ๘ พระพทุ ธเจา จะทรงตาํ หนคิ นนไี้ หม มตี วั อยา งหนงึ่ เรอ่ื งคนใช ของอนาถปณฑิกเศรษฐที ี่รกั ษาศลี ๘ งดอาหารเยน็ ทาํ ใหเขาเจบ็ ปว ย ดวยโรคกระเพาะเสียชีวิตไป หลังจากส้ินชีวิตแลวเขาไปเกิดเปนรุกข- เทวดา ถา วิธปี ฏิบัตขิ องเขาเปนอตั ตกิลมถานุโยค เขาก็ไมจ ะอาจไปเกดิ เปน เทวดาไดเ ลย พระพทุ ธองคท รงสรรเสรญิ การรกั ษาศลี แมก ระทงั่ ยอม เสียชวี ิตของตน ดงั ขอความวา ๑๙๒
àËÁǵÊٵà “สาวกท้ังหลายของเรายอมไมละเมิดสิกขาบทที่เราบัญญัติไว แมเ พราะชีวิตเปน เหตุ”๑๓๒ คําตักเตอื นของพระพุทธเจา พระพุทธองคทรงตักเตือนสาวกใหมุงม่ันปฏิบัติธรรมอยางไม ทอ ถอยดวยพระดาํ รัสวา “ เพราะเหตนุ ัน้ แล เธอทงั้ หลายพึงสาํ เหนยี กอยางนีว้ า เราจัก พากเพียรไมยอหยอนวา จะเหลืออยูแตหนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที เน้ือและเลือดในสรีระจงเหือดแหงไปเถิด เมื่อยังไมบรรลุผลที่พึงบรรลุ ดวยเรี่ยวแรง ความเพียร และความบากบ่ันของบุรุษแลว จักไมหยุด ความเพียร”๑๓๓ แมใ นมูลปณณาสก มหาโคสงิ คสตู ร กต็ รัสถงึ เรื่องดังกลา ววา “สารีบุตร ภกิ ษใุ นธรรมวินัยนีก้ ลบั จากบณิ ฑบาต ภายหลังฉนั ภตั ตาหารเสรจ็ แลว นง่ั คูบลั ลังก ตงั้ กายตรง ดํารงสติเฉพาะหนาวา เรา จกั ไมท าํ ลายบลั ลงั กน ต้ี ราบทจี่ ติ ของเรายงั ไมพ น ไปจากอาสวะ เพราะยงั ไมห มดความถอื มน่ั [ดว ยตณั หาและทฏิ ฐ]ิ ปา โคสงิ คสาลวนั จะพงึ งามดว ย ภกิ ษุเชนนี้”๑๓๔ ขอความที่กลาวมานี้ชี้ใหเห็นวา พระผูมีพระภาคตองการใหผู ปฏิบัติบําเพ็ญเพียรอยางเครงครัดเพ่ือใหเกิดสมาธิและปญญาโดยไม เหลยี วแลรา งกายและชีวติ ของตน ดงั น้ัน การปฏบิ ตั ขิ า งตนจงึ ไมจัดเปน อตั ตกิลมถานุโยค ดว ยเหตนุ ี้ ขอใหช าวพุทธสําเนียกวา การยอมลาํ บาก ทางกายเพื่อบําเพ็ญศีล สมาธิ และปญญา เปนหนทางท่ีถูกตองซึ่ง ๑๙๓
àËÁǵÊٵà พระพุทธองคทรงสรรเสริญ และตองจดจําวาคนท่ีตําหนิแนวปฏิบัติที่ ถกู ตอ งนนั้ เปน คนทาํ ลายปฏบิ ตั แิ ละปฏเิ วธของศาสนา เราจงึ ตอ งหลกี เลย่ี ง จากวปิ ส สนาจารยกาํ มะลอเหลา น้ี มฉิ ะนั้นอาจถกู ชกั นําไปในทางผดิ ได กามสุขลั ลกิ านุโยคกบั อัตตกลิ มถานุโยค การปฏิบัติที่มิไดใชสติควบคุมจิตของตน แตปลอยจิตไปตาม ตอ งการ จดั เปนกามสุขัลลกิ านโุ ยค ภิกษุตอ งพยายามควบคุมจิตใหเปน อิสระจากส่ิงที่กลา วมานี้ดว ยสมถะหรอื วิปสสนา อยา งนอยท่สี ุด ตอ งมี สติพิจารณาปจจัย ๔ ในขณะบริโภคใชสอยจีวรหรืออาหารวาเพื่อให รางกายดํารงอยูเพ่ือเจริญสมณธรรม จึงจะไมนับวาเปนกามสุขัลลิกา- นโุ ยค การพจิ ารณาในขณะบรโิ ภคใชส อยดงั กลา วน้ี มตี รสั ไวใ นทฆี นกิ าย ปาฏกิ วรรค ปาสาทิกสูตร เปน ตน นอกจากน้ัน ในพระสูตรมากมายมีคําสอนท่ีแนะนําใหภิกษุ เจริญสมถะและวปิ สสนาเพอ่ื กาํ จัดความดาํ ริในกาม (กามวติ ก) เปนตน ทั้งน้ีเพ่ือไมใหดําเนินไปสูกามสุขัลลิกานุโยค โดยเฉพาะอยางย่ิงในสติ- ปฏ ฐานสงั ยตุ ตเ ปนตนมพี ระพทุ ธดํารัสท่ีตรสั ไวโ ดยตรงวา “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พวกเธอจงเพง กาํ หนด[ดว ยสมถะหรอื วปิ ส สนา] อยาประมาท”๑๓๕ ๑๙๔
àËÁǵÊٵà สวนอัตตกลิ มถานโุ ยคนั้นเปน ขอ ปฏบิ ตั ิที่ทรมานตนลว นๆ โดย ปราศจากวตั ถุประสงคเ พอ่ื บําเพญ็ ศีล สมาธิ และปญ ญา เชน อดอาหาร เปลือยกาย ผิงไฟ ตากแดด แชนํา้ เยน็ เปนตน นัน่ แหละคอื อตั ตกลิ มถา- นุโยคทีแ่ ทจ ริง การทําใหกายและจติ ของตนเองลําบากเพ่ือรกั ษาศีล ๕ ศีล ๘ ศลี ๑๐ ศลี ของสามเณร และศลี ของภกิ ษุ ไมจ ดั เปน อตั ตกลิ มถานโุ ยคแต อยา งใด แตเ ปน การปฏบิ ตั ติ ามทางสายกลางของศลี มรรค คอื สมั มาวาจา (การกลา วชอบ) สมั มากมั มนั ตะ (การกระทาํ ชอบ) และสมั มาอาชวี ะ (การ เลี้ยงชพี ชอบ) การเจริญสมาธิเพ่ือใหเกิดขณกิ สมาธิ อุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ ก็ไมใชอัตตกิลมถานุโยค แตจัดเปนการปฏิบัติตามทาง สายกลางแหงสมาธิมรรค คือ สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) สมั มาสติ (การระลึกชอบ) และสมั มาสมาธิ (การต้งั มัน่ ชอบ) การกําหนดรูร ูปนาม อยางตอเน่ืองเพ่ือใหบรรลุวิปสสนาปญญาและปญญาในมรรคผล มิได ถือวาเปนอัตตกิลมถานุโยค แตเปนการปฏิบัติตามทางสายกลางแหง ปญญามรรค คือ สัมมาทฏิ ฐิ (ความเห็นชอบ) และสัมมาสงั กัปปะ (ความ ดาํ รชิ อบ) ๑๙๕
àËÁǵÊٵà สมถะกบั วิปส สนา ในบรรดาทางสายกลางสามประเภท คอื ศีล สมาธิ และปญ ญา ศลี นนั้ ถอื วาชดั แจง ไมจ ําเปน ตองอธบิ ายโดยละเอยี ด จงึ จะอธบิ ายสอง ประเภททเ่ี หลือ กลาวคอื สมถะคือการมงุ เนน จิตใหจ ดจอ อยทู ่อี ารมณ อยา งเดยี วมลี มหายใจเขา ออกเปน ตน ทงั้ นเ้ี พอื่ การรกั ษาจติ ใหส งบไม ซดั สา ยฟงุ ซา น เชน การกาํ หนดลมหายใจเขา ออกขณะทล่ี มหายใจสมั ผสั ปลายจมกู การกาํ หนดเชน นี้ เรยี กวา อานาปานภาวนา ขณะทบี่ คุ คลนน้ั มจี ติ มงุ จดจอ อยกู บั ลมหายใจเขา ออก เขาคอ ยๆ มสี มาธเิ กดิ ขน้ึ ทลี ะนอ ย ซึ่งกค็ อื ความตงั้ ม่นั ของจิตนัน้ เอง ในทาํ นองเดียวกัน สมาธิกเ็ กิดขนึ้ ได ดว ยสมถกรรมฐานแบบอ่ืน เชน การเพง กสณิ การพจิ ารณาศพ เปนตน อยางไรก็ตาม สมาธิในสมถภาวนานี้มีประโยชนเพื่อใหจิตต้ังม่ันเทาน้ัน ไมเก่ียวของกับการรูเห็นแยกแยะรูปนาม และมิไดกอใหเกิดปญญา หย่ังเห็นไตรลักษณตามความเปนจริง พระพุทธเจาทรงแนะนําใหสาวก ควบคมุ จติ ดวยวธิ สี มถะดังท่ีกลา วมาน้ี การกําหนดรูรปู นามปจ จุบนั ท่ีปรากฏทางทวาร ๖ ตามความ เปน จรงิ ในทุกขณะที่เหน็ ไดยนิ ฯลฯ เปน วปิ สสนา ตามวิธีน้ีผูปฏบิ ตั ิ ตอ งรเู หน็ ลกั ษณะเฉพาะของรปู นามในเบอ้ื งตน กอ น หลงั จากนน้ั จงึ รเู หน็ ความสภาวะเรมิ่ ตน และสนิ้ สดุ ซงึ่ กค็ อื ความเกดิ ขนึ้ และดบั ไปของรปู นาม เหลาน้ัน ก็จะเห็นประจักษความไมเท่ียง เปนทุกข และไมใชตัวตน ดงั ขอ ความวา ๑๙๖
àËÁǵÊٵà “ภิกษทุ ้งั หลาย พงึ กาํ หนดรรู ูปนามทกุ อยา ง”๑๓๖ ขอน้ีหมายความวา ผูปฏิบัติตองกําหนดรูรูปนามทุกอยางท่ีมา ปรากฏชดั เจนทางทวาร ๖ ตามลกั ษณะที่ไมเ ทย่ี ง เปนทกุ ข ไมใชตัวตน พระพทุ ธองคท รงแสดงธรรมไวใ นพระสตู รนบั พนั สตู รเพอ่ื ควบคมุ จติ ดว ย วปิ ส สนา ผทู เ่ี จรญิ วปิ ส สนาตามคาํ แนะนาํ ของพระพทุ ธองคย อ มรเู หน็ วา อายตนะภายใน ๖ ที่เรียกวาบุรุษหรือสตรีเปนตนทําปฏิสัมพันธกับ อายตนะภายนอก ๖ ทเี่ รยี กวา บรุ ษุ หรอื สตรเี ปน ตน เชน กนั และเขายอ ม เขา ใจวา อายตนะภายใน ๖ มตี าและจติ ทเี่ หน็ เปน ตน เกยี่ วพนั กบั อายตนะ ภายใน ๖ มรี ูปท่เี ห็นเปน ตน จึงเกิดการเห็น การไดย นิ ฯลฯ โดยไมมี บคุ คลสงิ่ ของทีท่ ําปฏสิ มั พนั ธกนั อยางแทจริง หลักธรรมไมขดั แยง กัน หลกั ธรรมจากสายหนง่ึ ไมข ัดแยงกับอกี สายหน่ึง เชน ปญ ญาไม ขัดแยงกับศีล บางคนไมรูสภาวะที่เกิดข้ึนของอายตนะและธาตุจาก ประสบการณของตนอยางแทจริง เพียงเรียนรูจากการฟงคนอื่นก็หลง ตัวเอง แลวมักทึกทักสรุปแบบผิดๆ เอาเองวา น้ําเตาเปนธาตุดิน เชนเดียวกับเปดไก ดังน้ัน การฆาเปดไกจึงไมบาปเหมือนการตัดเฉือน นํา้ เตา นาํ้ เชอ่ื มเปน ธาตนุ า้ํ เชนเดียวกบั เหลาเบียร ฉะน้นั การด่มื สุราจึง ไมบาป เชนเดียวกับการด่ืมเคร่ืองดื่มท่ัวไป สัมผัสของบุรุษจัดเปน โผฏฐพั พารมณ สมั ผสั ของสตรกี จ็ ดั เปน โผฏฐพั พารมณเ ชน กนั ฉะนนั้ การ กระทบสัมผัสกับสตรีจึงไมบาปเชนเดียวกับการกระทบสัมผัสบุรุษและ ๑๙๗
àËÁǵÊٵà การสัมผัสฟูกหรือหมอน การโตแยงแบบโงเขลานี้เหมือนความเห็นผิด ของพระอรฏิ ฐะในสมัยพทุ ธกาล ความเหน็ ผดิ ของพระอรฏิ ฐะ พระอริฏฐะคิดวา เหตใุ ดฆราวาสทพี่ อใจกามคุณ ๕ จึงสามารถ บรรลุธรรมเปนพระโสดาบันและพระสกทาคามีได สวนภิกษุถูกปฏิเสธ เรื่องเชนน้ัน ถึงแมวาภิกษุจะไดรับอนุญาตใหนอนบนท่ีนอนออนนุมได เหตุใดภิกษุเหลาน้ันจึงไมไดรับอนุญาตใหแตะตองตัวสตรี เพราะเปน สัมผัส (โผฏฐัพพายตนะ) เหมือนกัน ภิกษุจึงแตะตองตัวสตรีได ไมผิด วนิ ยั แมภิกษุผูทรงความรูจะอธิบายใหเขาเขาใจดวยเหตุผลตางๆ นานา แตเ ขากลบั พดู วา ความเหน็ นสี้ อดคลอ งกบั คาํ สอนของพระพทุ ธเจา เขาเขา ใจตามที่พระพุทธองคต รสั สอนเปนอยางดี ดงั นนั้ เขาจึงถูกนําไป เฝาพระพุทธเจา เมื่อพระพุทธองคถามเขาก็ตอบวา ความเห็นของเขา เปนคําสอนของพระพทุ ธเจา พระพุทธองคต รัสวา พระองคไ มเคยสอน ในทาํ นองนน้ั แลว เรยี กพระอรฏิ ฐะวา โมฆบรุ ษุ คอื ผสู นิ้ หวงั จากมรรคผล แลวตรัสวาเธอเขา ใจธรรมท่ีเราแสดงแลวอยางน้จี ากใครเลา เธอกลา วตู ตถาคตดว ยความเห็นผดิ ของตนเอง แมกระนนั้ ก็ตามพระอริฏฐะก็ยังไม ลมเลกิ ความเห็นผดิ ของตน ในปจ จุบนั น้ี มีคนเชน เดยี วพระอรฏิ ฐะมาก อาจกลาวไดวา พวกเขาเหลานั้นคือลูกหลานของพระอริฏฐะผูที่ยังคง โตแ ยง วา ความเช่อื ของเขาสอดคลอ งกับคาํ สอนของพระพุทธเจา ๑๙๘
àËÁǵÊٵà คราวนี้หากพวกเขาพูดวาเคร่ืองดื่มเหมือนเหลา เพราะท้ังสอง อยางตางก็เปนของเหลวเหมือนกัน ฉะน้ันเหลาก็เหมือนปสสาวะ พวก เขาดื่มปสสาวะไดไหม ถาพวกเขาพูดวานํ้าเตาเหมือนเปดไก พวกเขา อยากใหลูกหลานของตนถูกเชือดคอเหมือนน้ําเตาและเปดไกไหม ถา พวกเขาพูดวาการแตะตองตัวสตรีก็เหมือนการสัมผัสฟูกและหมอน ถา เปนดังน้ัน เหตุใดพวกเขาไมแตงงานกับฟูกและหมอนเลา ถาเราถาม คําถามเชน วา มาแลว น้ีก็คงจะไดคาํ ตอบทถี่ กู ตอ ง พระอรหนั ตท ง้ั หลายผเู หน็ ประจกั ษส ภาวะของอายตนะและธาตุ ไดแลวมักรักษาศีลโดยเคารพ ไมกาวลวงขอบเขตของศีล แมกระท่ัง พระโสดาบันก็ไมละเมดิ ศลี แตคนทีม่ คี วามรผู ิวเผนิ มักกาวลวงขอบเขต ของศลี พวกเขาไมเ พยี งแตพ ดู เชน นนั้ แตอ าจกระทาํ การกา วลว งทางกาย ตามความเชอื่ ของตนอกี ดว ย หากพวกเขาทาํ เชน นนั้ กเ็ ปน เหมอื นการกาํ กอ นไฟไว พรอ มกบั คดิ วา มนั ไมร อ น บาปคงไมป ลอ ยใหพ วกเขาลอยนวล เปน แน และตอ งใหผ ลชวั่ อยา งเตม็ ทเี่ ทา ทจี่ ะเปน ไปได ยง่ิ คนทก่ี าํ กอ นไฟ ไวแ นนเพราะคิดวา ไมรอน กย็ ิง่ ถกู ไหมป วดแสบปวดรอนอยางทส่ี ดุ ไมก า วลวงขอบเขตของสมาธิ บางคนพูดวา “การฝกสมาธิเปนเร่ืองไมจําเปน หากคนใด พิจารณาเฉพาะปญญามรรค ๒ ประการ คือ สัมมาทิฏฐิ และสัมมา- สงั กัปปะ เขาก็อาจรเู หน็ รปู นามตามความเปน จริงได” นเี้ ปนการรุกลํ้า ขอบเขตของสมาธิ อันที่จรงิ แลว การเจริญภาวนาทแ่ี ทจริงจะเกิดขึน้ ได ๑๙๙
àËÁǵÊٵà ก็ดวยการอุปถัมภของสมาธเิ ทา น้นั ยง่ิ ถา ผูป ฏบิ ัตไิ ดบรรลฌุ านสมาธิ ก็ เปน การดีท่ีสดุ ถา ฌานสมาธยิ งั ไมเกดิ ข้ึน ผปู ฏิบตั ิก็ควรไดบ รรลอุ ุปจาร- สมาธิหรือขณิกสมาธิที่มีกําลังเทียบเทาอุปจารสมาธิเปนอยางต่ํา มิเชน น้นั กไ็ มใ ชวปิ สสนาปญ ญาที่แทจริง ดังพระพุทธพจนวา “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงเจริญสมาธิ ภิกษุผูมีจิตต้ังมั่นยอม รชู ัดเหน็ ประจกั ษต ามความเปน จรงิ รชู ัดอะไร รชู ดั ตามความเปนจรงิ วา จักษุไมเท่ียง รปู ไมเ ที่ยง จักขวุ ญิ ญาณไมเท่ียง”๑๓๗ “เมอ่ื ไมม สี มั มาสมาธิ ยถาภตู ญาณทสั สนะ (วปิ ส สนาญาณ) ของ ผูวบิ ตั จิ ากสัมมาสมาธิ ชือ่ วามีเหตถุ ูกขจดั แลว”๑๓๘ พระพุทธดํารัสขางตนแสดงวา ความเขาใจท่ีปราศจากสมาธิ ไมใ ชว ปิ สสนาญาณ และไมอาจนาํ ไปสมู รรคผลนิพพานได ท่ีจริงแลว ความเขาใจจากการเรยี นรอู าจเกดิ ข้นึ ไดด ว ยการศึกษาพระอภธิ รรม ถึง แมไมใชชาวพุทธก็สามารถเรียนรูจนเขาใจไดเชนเดียวกัน ดังน้ัน จึง จาํ เปน ตองพยายามกําหนดรูรูปนามที่เกดิ ขนึ้ อยา งแทจรงิ ภายในตน จงึ จะเหน็ ประจกั ษส ภาวะของอายตนะและธาตไุ ด แมใ นเหมวตสตู รนกี้ ร็ ะบุ ถงึ ความเขาใจดวยภาวนาปญญา จึงตรสั วา “เม่อื อายตนะ ๖ เกดิ สัตว โลกจึงเกิด สตั วโ ลกเก่ยี วพนั กบั อายตนะ ๖” ๒๐๐
àËÁǵÊٵà (ค) อาศยั อายตนะ ๖ จงึ ไดช ื่อวา สตั วโ ลก คําถามที่ ๓ กลาววา “อาศัยเหตุอะไรจึงไดช่ือวาสัตวโลก” พระพุทธองคตรัสตอบวา “อาศัยอายตนะ ๖ จึงไดช่ือวาสัตวโลก” คาํ ตอบของคาํ ถามนเี้ หมอื นกบั ขอ ความวา “เมอื่ อายตนะ๖เกดิ สตั วโ ลก จงึ เกดิ ” หมายความวา เพราะอาศยั อายตนะ ๖ คอื ตา หู จมกู ลน้ิ กาย และใจ จึงทําใหเ รียกวาสตั วโลก (ฆ) สตั วโ ลกเดือดรอนเพราะอายตนะ ๖ คาํ ถามท่ี ๔ กลา ววา “สตั วโ ลกเดอื ดรอ นเพราะอะไร” พระพทุ ธ- องคต รัสตอบวา “สตั วโ ลกเดอื ดรอนเพราะอายตนะ ๖” หมายความวา อายตนะภายนอกหรืออารมณ ๖ ไดแก รปู เสยี ง กล่ิน รส สมั ผัส และ ธรรมารมณม ากระทบกบั อายตนะภายในมจี กั ษเุ ปน ตน แลว ทาํ ใหส ตั วโ ลก เดือดรอน เพราะตัณหาทําใหเพลิดเพลินยินดีอารมณ ๖ เหลาน้ันแลว บบี คน้ั เหลาสัตวถ กู บบี คั้นเชนน้ีจึงเดือดรอ น คนสว นใหญเ พยี รแสวงหาเพอ่ื ใหไ ดร บั สง่ิ สวยงาม ทง้ั มชี วี ติ และ ไมมีชีวิต หากพวกเขายังไมไดสิ่งเหลานั้น ก็จะพยายามแสวงหาตอไป ๒๐๑
àËÁǵÊٵà เรอื่ ยๆ จนกวา จะไดม าครอบครอง เมอ่ื พวกเขาไดค รอบครองเปน เจา ของ แลว กจ็ ะพยายามปกปอ งสง่ิ เหลา นนั้ มใิ หส ญู หายหรอื ถกู ทาํ ลายไป ฉะนนั้ คนสวนใหญท่ีพยายามแสวงหาและปกปองจึงตองตกทุกขตอไป ใน ลักษณะเดียวกัน คนทั่วไปยังคงพยายามแสวงหาส่ิงอื่นๆ ที่ทําใหพอใจ เชน เสียงไพเราะ รสอรอย สัมผัสที่นาพอใจ และความคิดที่ชื่นชอบ พวกเขาพยายามท่ีจะทําใหตนมีสุขภาพดีและอายุยืนเพื่อจะไดช่ืนชม สิ่งเหลาน้ีนานย่ิงขึ้น ดังน้ัน คนสวนใหญจึงตองเหน็ดเหน่ือยเมื่อยลา เกีย่ วกับตนบา ง คนอ่นื บา ง แมพ วกเขายังพยายามอยางตอ เนอ่ื งเพอ่ื ให ไดม าและธาํ รงรกั ษาสงิ่ เหลา น้ี สงิ่ ทง้ั หลายยอ มไมเ กดิ ขนึ้ ตามทปี่ รารถนา มันดบั ไปอยางรวดเร็วในทนั ทที ่เี ห็นหรือไดย นิ เปนตน บางคราวตองพบ กบั อุปสรรคอันตรายทท่ี ําใหเ สยี ทรัพยส ินไป ในเวลาเชนนนั้ มกั รูสกึ เปน ทุกขท ้งั กายและใจเหลือคณานบั ความทุกขเชนน้ีมิไดเก่ียวของกับมนุษยเทาน้ัน แตยังสงผลถึง เทวดาอกี ดว ย บางคนทาํ บญุ กศุ ลตามความเชอื่ ของตนโดยมจี ดุ มงุ หมาย เพ่ือเสวยสุขในสวรรค เขาเสียชีวิตแลวไปเกิดเปนเทวดา แมเขาจะเกิด ในสวรรคท อี่ ดุ มไปดว ยความสขุ อนั ลน พน แตเ ขาไมร จู กั พอ ยงั เดอื ดรอ น ตอ งการไดร ับเพม่ิ ย่งิ ๆ ข้นึ ไป จะเหน็ วา ส่งิ ทเ่ี ขาตองการนน้ั ไมม แี กนสาร อะไรเลย ๒๐๒
àËÁǵÊٵà คนทท่ี าํ บาปฆา สตั วเ พอื่ บชู ายญั เปน ตน ยอ มไดร บั ทกุ ขใ นอบาย และเสวยทุกขอ ยา งแสนสาหัส แมค นทีฆ่ า สัตวและลกั ทรัพยเปน ตนเพอ่ื ใหต นหรอื คนทเ่ี กย่ี วขอ งอยดู มี สี ขุ กต็ อ งไดร บั ทกุ ขใ นอบายและเสวยทกุ ข อยา งแสนสาหัสเชนกนั การชนื่ ชมอารมณท ต่ี นคดิ วา ดงี ามนนั้ มไิ ดน าํ ความสขุ อนั แทจ รงิ มาให แตก ลบั นาํ มาเฉพาะความทกุ ขเ ทา นน้ั ตวั อยา งเชน เราไมอ ยากกนิ อาหารอรอยๆ ตอไปหลงั จากที่กนิ อ่มิ แลว การกนิ อาหารอรอ ยๆ นนั้ ใน ตอนแรกดูเหมือนนา ชื่นชม แตความชนื่ ชมเหลา น้นั จะคอ ยๆ ลดลงทีละ นอ ยๆ ความทกุ ขก ลบั จะเพม่ิ ขน้ึ อารมณใ นดา นอนื่ ๆ กเ็ ชน เดยี วกนั หาก บคุ คลใดดหู รอื ไดย นิ แตส งิ่ ทสี่ วยงามอยตู ลอดเวลาอยา งตอ เนอ่ื ง เขากจ็ ะ เบ่ือและเปนทกุ ข ความช่ืนชอบน้นั เปนเพยี งช่ัวคราวเทานั้น และมันยัง ปกปด ความทกุ ขภ ายในเพยี งชว่ั คราวเชน กนั ดงั นนั้ พระพทุ ธองคจ งึ ตรสั วา “สัตวโลกเดือดรอนเพราะอายตนะ ๖” ๒๐๓
àËÁǵÊٵà คําถามที่ ๒ ของเทพเหมวตะ กตมํ ตํ อปุ าทานํ ยตฺถ โลโก วิหฺติ นยิ ยฺ านํ ปุจฺฉโิ ต พฺรหู ิ กถํ ทกุ ขฺ า ปมฺุจต.ิ ๑๓๙ “ธรรม ๖ อยา งทถ่ี กู ยดึ มนั่ [วา เปนเราของเรา] ซง่ึ ทําใหสตั วโลก เดอื ดรอ นนน้ั คอื อะไร ขา พระองคท ลู ถามแลว ขอพระองคโ ปรดตรสั บอก วิธีหลดุ พน สตั วโลกจะพน ไปจากทกุ ขไ ดอยางไร” ใจความของคาถานี้คือ ในคาถากอนพระพุทธองคตรัสตอบวา “สัตวโลกเดือดรอนเพราะอายตนะ ๖” เทพเหมวตะจึงทูลถามวา อายตนะ ๖ ทีถ่ กู ยึดตดิ ผูกพนั วาเปนเราของเราคืออะไร ผทู ่ยี งั คงยึดม่ัน อยูยอมจะตองเดือดรอนซ้ําแลวซํ้าเลา บุคคลจะพนไปจากทุกขนั้นได อยางไร ในคัมภีรอรรถกถาอธิบายเพ่ิมเติมวา คําถามขอแรกระบุถึง ทกุ ขสจั สว นคาํ ถามทส่ี องหมายความถงึ สมทุ ยสจั โดยออ ม เพราะถามวา ควรปฏิบตั อิ ยา งไรจึงจะพนไปจากทกุ ขไ ด๑ ๔๐ ๒๐๔
àËÁǵÊٵà คําตอบท่ี ๒ ของพระพทุ ธเจา ปจฺ กามคณุ า โลเก มโนฉฏา ปเวทิตา เอตถฺ ฉนฺทํ วิราเชตวฺ า เอวํ ทกุ ฺขา ปมุ ฺจต.ิ ๑๔๑ “กามคณุ ๕ อนั มใี จเปน ท่ี ๖ ซง่ึ มอี ยใู นโลก เราแสดงวา เปน ธรรม ทีถ่ ูกยดึ มั่น สตั วโ ลกคลายความพอใจในอารมณ ๖ เหลานแ้ี ลว ยอมพน จากทกุ ขดว ยวธิ ีดงั กลา ว” กามคุณ ๕ คือ ส่ิงท่ีนาเพลดิ เพลินยนิ ดี ไดแก รปู เสยี ง กลน่ิ รส และสัมผัส เมอ่ื กลาวถงึ อารมณ ๕ เหลานี้ก็รวมเอาทวาร ๕ คือ ตา หู จมูก ล้ิน และกาย ซึ่งรับรูอารมณเหลาน้ีอีกดวย เพราะถาไมมีดวงตา เปน ตน กไ็ มอ าจรบั รแู ละยดึ มนั่ กามคณุ ดงั กลา วได นอกจากนนั้ การกลา ว ถึงใจดวยคาํ วา มโนฉฏฐ า (มใี จเปน ท่ี ๖) ก็รวมเอาธรรมายตนะอนั เปน อารมณของจติ อกี ดว ย ดังน้ัน คาํ วา “กามคุณ ๕ อันมใี จเปน ท่ี ๖” จงึ รวมถงึ อายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖ ไวทง้ั หมด ซึ่งเปน ธรรมท่ีถกู ยึดม่นั วา เปนเรา ของเรา กามคณุ ๕ คอื รูป เสียง กลิ่น รส และสมั ผัส และทวาร ๕ ท่ีรบั เอาเปนอารมณ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย พรอมท่ีใจที่เรียกวา มนายตนะ และอารมณข องใจท่เี รยี กวา ธรรมายตนะ อายตนะภายใน และภายนอกทั้ง ๑๒ อยางนี้ถกู สัตวโ ลกยดึ ม่ันวาเปนเรา ของเรา ๒๐๕
àËÁǵÊٵà ผูที่ไมไดฝกวิปสสนามองเห็นสิ่งใด เขามักเขาใจวาตาคือตัวเรา หรอื ของเรา คนหนุมท่มี องเห็นไดดีมักคดิ วาตาของเราดแี ละแจม ใส แต คนแกซ่ึงมีสายตาบกพรองก็จะเสียใจวาตาของเราพรามัว ความเขาใจ เชนน้ีจัดเปนความยึดม่ันวาเปนเราของเรา นอกจากนั้น คนท่ัวไปยัง ยดึ มนั่ การเหน็ (จติ ทเ่ี หน็ ) วา เปน เราเหน็ หรอื การเหน็ ของเรา นคี้ อื ความ ยดึ มนั่ วา เปน เราของเราเชน กัน คนท่วั ไปยังเหน็ อวยั วะมีมือและเทาของ ตนวาเปนมือของเรา เทาของเรา ความยึดม่ันวาเปนเราของเรา หรือ เม่ือพบเห็นคนอื่นที่เปนบุรุษสตรี ก็เขา ใจวาเราเหน็ บุรุษ เหน็ สตรี เหน็ คนโนนคนนี้ เปน ตน จดั วาเปนความยึดม่นั สัตวบ คุ คล นับวาเหมือนกบั ความยดึ มั่นตนเองวาเปน ตวั เรา ของเรา นอกจากนน้ั บางคราวยังคดิ วา ส่งิ ทเี่ ห็นสวยงามนาพอใจ ก็ยึดมนั่ วา เปน ของเรา แมเขาจะไมใ ชเจา ของ จรงิ ๆ ก็คิดเหมอื นกับวา ตนเปน เจาของดวยความพอใจ ตวั อยางเชน เราไปตลาดและมองเห็นเส้อื ผาหรือรองเทา เพียง แคม องเราก็ยึดม่นั วา เปนของเรา จงึ ซอื้ หาเพือ่ ครองครอง ท่จี ริงสิ่งท่ีเรา เห็นเปนเพียงสี ไมใชรูปรางสัณฐาน แตคนทั่วไปเห็นสีแลวยังนึกไปถึง รปู รา งสณั ฐานแลว ยดึ มนั่ อกี ดว ย ทจ่ี รงิ แลว ทกุ ขณะทเ่ี หน็ รปู รา งของตน หรือผอู น่ื มเี พียงอายตนะภายใน ๒ คอื ดวงตาและการเห็น (จติ ทีเ่ ห็น) อกี ทงั้ อายตนะภายนอก ๑ คือ ส่ิงที่ถกู เหน็ มีอยจู ริงในปจจุบัน ทาํ ใหเ รา ยดึ มน่ั วา นค่ี อื ของเรา นคี่ อื ตัวเรา เราเปน เจาของมนั การยึดม่ันถือม่ันนี้สามารถนํามาใชไดกับกรณีของการฟงเสียง การดมกลนิ่ การล้ิมรส การสัมผัส ทุกสง่ิ ทกุ อยา งเปน ไปเพือ่ การยึดมัน่ ๒๐๖
àËÁǵÊٵà ถอื มนั่ ทงั้ นน้ั ตวั อยา งเชน หากเราสมั ผสั คนบางคนแลว รบั รกู ารสมั ผสั นนั้ ก็จะกลา ววา รา งกายของเราสมั ผัส เขาสมั ผัสรางกายของเรา เราสมั ผสั เรารอน เย็น เจ็บปวด เราสัมผัสไดดี และเขาใจผิดวา สิ่งท่ีสัมผัสไดดี เปนเรา เราจบั คนอื่น หรือกระทบคนอ่นื เปนตน แมในการนึกคิดกเ็ ชน เดียวกนั มกั ยึดมนั่ ถือมนั่ วา เราคดิ เราพจิ ารณา เราสนกุ เราเบื่อ เรา เกยี จครา น เราดใี จ เราเสยี ใจ เรารู เราเกง เปน ตน หรอื ยดึ มนั่ วา คนโนน นารัก นารังเกียจ เปนตน อีกท้ังยังเขาใจผิดวา การนึกคิดเปนของเรา เราเปนผนู กึ คดิ เปนตน ดงั นัน้ พระพุทธองคจ ึงตรัสวา “กามคุณ ๕ อัน มีใจเปนท่ี ๖ ซึ่งมีอยูในโลก เราแสดงวาเปนธรรมท่ีถูกยึดม่ัน” ในที่นี้ พระพุทธองคต รัสถึงกามคุณ ๕ ซ่งึ เปน อารมณท ีน่ ายนิ ดีพอใจเปนหลกั แตย งั หมายรวมถึงรูปารมณทวั่ ไปเปน ตนอีกดว ย สรุปความวา อารมณ ๖ เปนสาเหตุแหงตัณหา สัตวโลกจึง ตอ งปฏบิ ตั เิ พอื่ กาํ จดั ตณั หาใหห มดสน้ิ ไป ถา ตณั หาถกู กาํ จดั ไดแ ลว ความ หลุดพน จากทุกขยอมสมั ฤทธ์ิผลแนน อน ตณั หาอาจถูกกําจดั ไดดว ยวิปส สนาญาณและมรรคญาณ กลาว คอื ตณั หาเกดิ ขนึ้ ในทุกขณะทเ่ี ห็น ไดยนิ ดมกลิ่น ลิม้ รส กระทบสัมผัส และนึกคิด เชน เมื่อเราเห็นรูปารมณก็เกิดความยินดีพอใจสิ่งท่ีเห็นวา สวยงาม เราไมเพียงพอใจสีท่ีถูกเห็นเทาน้ัน แตยังพอใจรูปรางของตน หรือผูอ่ืนและวัตถุสิ่งของท้ังหมดท่ีอยูรวมกับสีอีกดวย อีกทั้งยังพอใจ การเห็นของตนอีก การพอใจเชน น้เี กิดจากความไมร จู ริงในอายตนะคอื ดวงตาและการเห็น อวิชชานี้เหมือนกับความวิกลจริต คนบาที่มีจิต ๒๐๗
àËÁǵÊٵà แปรปรวนไมสามารถแยกความดีออกจากความช่ัว สิ่งที่มีคาออกจาก สิ่งไมมีคาได พวกเขาไมรูวาส่ิงใดเปนประโยชนมีคุณคา กลับเก็บสิ่งท่ี ไรคา ไวในถงุ ของเขา ทุกคนคงจะเคยเห็นคนบา มาแลว แมคนธรรมดาก็ อาจกระทําสิ่งท่ีเหมือนๆ กันหากพวกเขาตกอยูภายใตความเห็นผิด เชน เดิม ตอนปลายสงครามโลกคร้ังที่สองเหลือเพียงไมก่ีเดือน ผูที่คาด การณล ว งหนา วา การยดึ ครองเมยี นมารข องญปี่ นุ จะจบเมอ่ื ไร ตา งกแ็ ลก เปลี่ยนเงินญี่ปุน คนจํานวนมากยินดีรับธนบัตรของญ่ีปุนไวดวยหวังวา ธนบัตรนน้ั ยังคงมีคา ตอ ไป ถดั จากนัน้ มาเพยี งไมก ี่วัน คา เงินญป่ี นุ คอยๆ ลดลง ในทสี่ ดุ ธนบัตรเงินตราของญีป่ นุ กก็ ลายเปน สง่ิ ไรค า คนทเี่ กบ็ เงิน ตราเหลานน้ั ไวตา งสะสมดว ยความยินดีเพราะความไมรูเ ปนเหตุ สมัยผูบรรยายเปนหนุมไดเคยพบบางคนท่ีเอาทรายใสไวในตุม จนเตม็ แลว คอยเพราะหวงั วา หลงั จากหนงึ่ ปแ ลว ทรายจะกลายเปน ทองคาํ ตามคําบอกของนักตมตุนผูแสดงตนวามากดวยอิทธิฤทธิ์ คนเหลานั้น เห็นผิดวาทรายจะกลายเปนทองได ในสมัยพระพุทธกาล นางปฏาจรา เปนบาเดินไปทั่วโดยไมสวมเส้ือผา เน่ืองจากเธอเสียสติเธอคิดวาสิ่งที่ เธอทํานัน้ ดงี ามเหมาะสมแลว เมอ่ื เธอเขาใกลพระพุทธเจา พระพทุ ธเจา ตรัสวา “จงไดสติกลับมาเถิด” เธอจึงไดสติหายจากความวิกลจริตดวย เมตตากรุณาของพระพุทธองค เน่ืองจากเธอเปนผูมีบารมีท่ีจะไดบรรลุ ธรรม ตอมาเธอจงึ รตู วั วา ตอ งนงุ ผา จงึ รับผาคลุมจากคนทอี่ ยูใกลๆ มา ปกปดรางกาย แลวนั่งลงฟงพระเทศนาจากพระพุทธเจา ขณะที่ฟง ๒๐๘
àËÁǵÊٵà พระเทศนาน้ัน เธอไดบรรลุธรรมเปนพระโสดาบัน๑๔๒ หลังจากนั้นได ออกบวชและบรรลเุ ปน พระอรหนั ตใ นทส่ี ดุ นคี้ อื ตวั อยา งของการทบ่ี คุ คล ไดความเห็นที่ถูกตอ งแลวหลุดพนดว ยการสละความยดึ ม่ันถือมน่ั เพราะ ความไมร ถู ูกกําจดั ไป คนทสี่ ะสมธนบตั รญป่ี นุ และหมอ ทรายทพี่ ดู ถงึ เมอื่ ครนู ี้ ถา ยงั ไม ถึงเวลาอันควร แมคนอื่นจะบอกใหทิ้งไปก็ไมยอมท้ิง แตเมื่อถึงเวลา อนั ควร เขาพบวาไมไ ดเปนไปตามท่คี าดหวัง กจ็ ะหมดความเยือ่ ใยแลว ทงิ้ ไปเอง ฉันใด ผูท ่ีเจรญิ สติและหยัง่ เห็นวา ดวงตา สงิ่ ทถี่ กู เห็น และจติ ทีเ่ หน็ เปนเพยี งสภาวธรรมที่เกิดขึ้นแลวดบั ไปตลอดเวลา ยอ มจะไมยึด มัน่ ถือมนั่ สงิ่ ใดๆ ทคี่ นอื่นไดกาํ หนดวา มีคามากมาย ถา เขาพจิ ารณาดจู ะ พบวา ส่ิงทพ่ี บเหน็ ในขณะเหน็ ไมม ีอยจู รงิ เปนเพยี งสภาวธรรมท่ีเกิดขนึ้ แลวดับไปทันที น้ีคือลักษณะที่บุคคลเห็นแตเหมือนกับไมไดเห็นอยาง แทจรงิ ๒๐๙
àËÁǵÊٵà ทรงประทานคาํ สอนแกพ ระมาลุงกยบตุ ร ถา ผปู ฏบิ ตั กิ าํ หนดรสู ภาวะเหน็ ไดท นั ปจ จบุ นั ขณะทก่ี าํ ลงั เหน็ วา “เห็นหนอๆ” รูปน้ันก็จะดับไปในขณะที่เห็น ทําใหกระบวนการที่รับรู สมมุติบัญญัติเกี่ยวกับสงิ่ ทเ่ี หน็ ไมส ามารถเกิดข้นึ ได ดังพระบาลีวา “มาลงุ กยบตุ ร เธอเกดิ ความพอใจกาํ หนดั ยนิ ดเี กยี่ วกบั รปู ารมณ ท่ีเธอไมเคยเห็นมากอน หรือไมเห็นในบัดนี้ หรือไมคาดหวังที่จะเห็น หรือไม” “ไมม ีเลย พระพุทธเจาขา ” คราวนี้ ถา ผบู รรยายถามคาํ ถามเชน เดยี วกนั เหมอื นทพ่ี ระพทุ ธ- เจา ถามพระมาลุงกยบุตร ทุกทานอาจใหคําตอบเชน เดียวกบั พระมาลงุ - กยบตุ รก็ได จะเหน็ ไดว า ความรูสกึ ยนิ ดพี อใจมไี ดในส่ิงที่เคยเห็น กาํ ลัง เหน็ อยู หรอื นกึ คดิ จนิ ตนาการขนึ้ สว นคนทเี่ ราไมเ คยพบเหน็ หรอื กระทงั่ ไมน กึ คดิ ในจนิ ตนาการ ไมอ าจเปน อารมณท กี่ อ ใหเ กดิ ความรกั หรอื ความ ชังได ในปจจุบันน้ีมีบุคคลเชนนั้นมากมายทั้งในหมูบานหรือประเทศ ตา งๆ ซง่ึ เราไมร สู กึ รกั หรอื ชงั แตอ ยา งใด เพราะไมเ คยเหน็ พวกเขานน่ั เอง ดังน้ัน ถาผูปฏิบัติเจริญสติกําหนดรูสิ่งที่เห็นใหเหมือนกับส่ิงที่ไมไดเห็น ความรกั และความชงั ยอ มเกดิ ขนึ้ ไมได ๒๑๐
àËÁǵÊٵà การไมเกิดกิเลสโดยเน่ืองดวยอารณท่ีไมไดรูเห็นเปนไปตาม ธรรมชาติ ไมจ ําเปน ตองกาํ จัดดว ยวปิ สสนา แตเก่ียวกบั สิ่งทไ่ี ดเ ห็นแลว กิเลสยอมเกิดข้ึนทั้งในขณะกําลังเห็นและหลังจากที่ไดเห็นแลว เพราะ ภาพในจิตยังคงอยูในความจําแลวสะทอนกลับหรือระลึกได กิเลสจึง อาจหวนกลบั มาอกี เม่อื มเี หตุปจจยั ทีเ่ หมาะสม กเิ ลสท่อี าจหวนกลบั มา อกี นเี้ รยี กวา อนสุ ยั (กเิ ลสนอนเนอ่ื ง) ดงั นนั้ จงึ จาํ เปน ตอ งปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนา เพ่อื ถอนรากของอนสุ ยั นีอ้ อกไปดว ยวิธวี ปิ ส สนา ดงั น้นั พระพทุ ธองคจ งึ ตรสั ถามคาํ ถามขา งตน กับพระมาลุงกย- บตุ รเพอื่ แสดงวา ผปู ฏบิ ตั คิ วรกาํ จดั การนอนเนอื่ งของกเิ ลสดว ยการเจรญิ สตกิ าํ หนดรใู นขณะเหน็ ฯลฯ อยูตลอดเวลา โดยทาํ ใหไ มเ กดิ ความยินดี พอใจนอนเนื่องในกระแสจิตเหมือนในอารมณท่ีไมเคยรูเห็นมากอน นนั่ เอง ๒๑๑
àËÁǵÊٵà กําจดั ตัณหาท่อี าจเกิดข้นึ ในขณะเหน็ หลังจากนั้น พระพุทธองคประทานกรรมฐานแกพระมาลุงกย- บตุ รดว ยขอ ความเปน ตน วา ทฏิ เ ฐ ทฏิ ฐ มตตฺ ํ ภวสิ สฺ ติ๑๔๓ (เมอ่ื เหน็ จงเพยี ง แตเ หน็ ) เพื่อใหใ สใจระลึกรูรปู นามปจจบุ นั เทา น้นั ขอน้ีหมายความวา เม่ือเห็นก็สักแตวาเห็น เพราะจิตที่เห็นได หยุดอยูเพียงการเห็นเทาน้ัน ไมเลยตอไปวาส่ิงท่ีเห็นคืออะไร อนึ่ง ขอ ความขา งตน ตรสั ตามเทศนานยั คอื วธิ แี สดงเทศนาโดยทว่ั ไป แตต าม ลําดับการปฏิบัติแลวผูปฏิบัติควรเริ่มกําหนดรูรูปนามทุกอยางท่ีมา ปรากฏชดั เจนทางทวาร ๖ และโดยท่วั ไปธาตุ ๔ เปน สิ่งท่ีปรากฏชัดเจน ในรูปทั้งหลาย ในวันกอนผูบรรยายไดกลาวถึงการระลึกรูธาตุดังกลาว ตามขอ ความในมหาสตปิ ฏ ฐานสตู รวา คจฉฺ นโฺ ต วา คจฉฺ ามตี ิ ปชานาติ๑๔๔ (เมอ่ื เดนิ ยอ มรูช ดั วา เดนิ อย)ู เปน ตน ผทู ่ีปฏบิ ัตติ ามวิธีนแ้ี ลว ไดพ ฒั นา สมาธแิ ละปญ ญาจนแกก ลา ขน้ึ ยอ มรเู หน็ วา สง่ิ ทเี่ หน็ ทกุ อยา งเกดิ ขน้ึ แลว ดับไปอยางรวดเร็ว จึงเปนเพียงแตเห็นเทาน้ัน ในขณะน้ันเขาไมเกิด ตัณหาในอายตนะทง้ั สาม คอื ดวงตา การเหน็ และสง่ิ ทีถ่ กู เห็น นีค้ ือการ กาํ จัดตณั หาท่ีอาจเกิดขึน้ ในขณะเหน็ ดว ยวปิ ส สนา แมการกาํ จดั ตณั หา ในขณะไดย ินเปน ตนดว ยวปิ ส สนา กม็ ลี ักษณะอยางเดยี วกัน ๒๑๒
àËÁǵÊٵà การกาํ จัดตัณหาที่อาจเกิดขน้ึ ในขณะไดย นิ เปน ตน ผทู ม่ี ไิ ดเ จรญิ วปิ ส สนาในขณะไดย นิ หรอื บางคนทเ่ี จรญิ วปิ ส สนา แลว แตป ญญายงั ไมแ กกลา มักรูสกึ พอใจเสียงทีไ่ ดยิน การไดย ิน และหู พรอ มท้ังรา งกายทกุ สว น แตผ ทู ีม่ วี ิปสสนาญาณแกก ลา แลว กําหนดรวู า “ไดยินหนอๆ” ยอมเห็นประจักษวาสภาวะไดยินเกิดข้ึนแลวดับไปเปน ชว งๆ อยา งรวดเรว็ บางคนอาจรสู กึ วา เสยี งมากระทบทหี่ ู และยงั จาํ แนก ไดวาหูซายหรือหูขวาท่ีไดยินเสียง ผูที่รูเห็นความเกิดดับโดยเน่ืองดวย การไดย นิ เชนน้ี ยอ มไมเ กดิ ตัณหาแตอ ยา งใด กลน่ิ กเ็ ชน เดยี วกนั มนั เกดิ ขน้ึ แลว กด็ บั ไปตดิ ตอ กนั อยา งรวดเรว็ และไมม ีการยดึ ม่ันใดๆ เกดิ ขึ้น การลม้ิ รสอาหารกเ็ หมือนกัน ผูที่รูเหน็ ความเกิดดับของรสอาหารเชนน้ีมักรูสึกวาบริโภคอาหารไมอรอย ไมมี รสชาติ เขาพบวาสภาวะรูรสเกิดข้ึนแลวดับไปเปนชวงๆ อยางรวดเร็ว ทําใหไมร ูสึกอรอ ยในการบรโิ ภค เพราะไมเกิดตณั หานัน่ เอง ผัสสะดานการสัมผัสน้ันเปนอารมณกรรมฐานที่ปรากฏชัดเจน ท่ีสุด ผูปฏิบัติจึงควรกําหนดวา “พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ รูหนอ” เปน ตน ถา มที กุ ขเวทนาเกดิ ขน้ึ กค็ วรกาํ หนดวา “รอ นหนอ เจบ็ หนอ ปวด หนอ คันหนอ” เปนตน การกําหนดรเู ชน นที้ ําใหพ ฒั นาวิปสสนาปญ ญา จนกระทงั่ เหน็ ประจกั ษว า สภาวะกระทบสมั ผสั หรอื สภาวะเจบ็ ปวดเกดิ ขน้ึ แลว ดับไปอยา งรวดเร็ว ๒๑๓
àËÁǵÊٵà นอกจากนี้ อากัปกริ ยิ าทางกาย เชน สภาวะคู เหยียด ยก ยา ง เหยียบ เปนตน ก็อาจปรากฏแกผูปฏิบัติวาเปนส่ิงท่ีเกิดขึ้นแลวดับไป ทนั ที ไมด าํ เนินไปสูอีกระยะหนึง่ ที่เคลื่อนไหว เชน ในสภาวะเคล่ือนของ เทา ๖ ระยะ คอื ยกสน ยกเทา ยาง เหยียบ กด และสมั ผัส ระยะหนึ่งๆ นั้นดับไปในระยะของมันเอง ไมดําเนินตอไปสูระยะอื่น น้ีคือลักษณะท่ี ตัณหาไมเกิดข้ึนโดยเน่อื งดวยอายตนะ ๓ คอื การสัมผสั กายประสาท และส่ิงท่ีถูกสัมผัส ตัณหาที่ไมเกิดข้ึนในลักษณะนี้จัดวาถูกกําจัดไปดวย วปิ ส สนา ความคิดฟุงซานมักหายไปเร็วดวยการกําหนดรู ย่ิงสมาธิดีข้ึน เพียงใด ความคิดฟุงซานก็ลดนอยลงเพียงน้ัน บางคราวเพียงผูปฏิบัติ กําหนดวา “คิดหนอ” เพียงครั้งเดียว ความคิดฟุง ซา นน้ันกห็ ายไปทันที บางคราวผปู ฏบิ ตั อิ าจเหน็ ประจกั ษว า จติ ทคี่ ดิ ฟงุ ซา นและจติ ทกี่ าํ หนดรู เกิดขึ้นแลว ดับไปเปนคูๆ ในบางคราวสภาวะพอง ยุบ นั่ง และสมั ผสั ไม ปรากฏชดั เจน รา งกายทง้ั หมดของผปู ฏบิ ตั กิ ห็ ายไป ในขณะนนั้ ใหก าํ หนด วา “รหู นอๆ” ไปเร่อื ยๆ ผปู ฏิบัติอาจเห็นประจกั ษวาจิตดวงแรกและจิต ดวงหลังเกิดขึ้นแลวดับไปทันทีในขณะที่รับรูเชนนั้น นี้คือลักษณะที่ ตณั หาไมเกดิ ขน้ึ ดว ยวปิ สสนาโดยเนือ่ งดวยอายตนะ ๒ คอื จติ ผูร ู และ จิตทถ่ี กู รู บางคราวภาพตา งๆ ทางจติ ของบคุ คล ภกิ ษุ สวน หรือส่ิงอ่นื ๆ ปรากฏข้ึนมา สิ่งเหลาน้ันเปนเพียงภาพปรุงแตงของจินตนาการเทาน้ัน มนั อาจจางหายไปดว ยการกาํ หนดรูว า “เห็นหนอๆ” เปนตน ในเวลาท่ี ๒๑๔
àËÁǵÊٵà วิปสสนาญาณมีกําลังแกกลาขึ้น มันอาจหายไปทันทีดวยการกําหนดรู เพียงครง้ั เดียว ทีจ่ ริงแลวภาพทีค่ ดิ เห็นเปนธรรมารมณท จี่ ัดเปน บญั ญตั ิ ซงึ่ ไมม จี รงิ แตจ ติ ทคี่ ดิ ฟงุ ซา นเปน ปรมตั ถท มี่ จี รงิ และจติ ดงั กลา วนแ้ี หละ เกดิ ขนึ้ แลว ดบั ไปอยา งรวดเรว็ การยดึ มนั่ ยอ มไมเ กดิ ขนึ้ ดว ยการเจรญิ สติ เชน น้ี ในบางคราวอาจไดยินเสียงเหมือนมีเทวดาหรือวิปสสนาจารย มากระซบิ บอก ถา เขากาํ หนดรูวา “ไดยนิ หนอๆ” เสียงท่ไี ดยินกจ็ ะหาย ไป และการยดึ มน่ั กจ็ ะเกดิ ขน้ึ ไมไ ด ผปู ฏบิ ตั ทิ ม่ี ปี ระสบการณก บั การไดย นิ เสียงเชนน้ันไมควรจะหลงดีใจผิดๆ หากหลงช่ืนชมดีใจ ควรจะทําการ กาํ หนดความดีใจน้นั ทนั ที มันกจ็ ะหายไป หรอื ถา รสู กึ เบอ่ื ไมสบายใจ ก็ ควรกําหนดรูสภาวะน้ันอีกดวย นี้คือการท่ีตัณหาถูกกําจัดออกไปจาก ความนึกคิด จัดวา ไดก ําจัดตณั หาท่อี าจเกิดข้ึนในมนายตนะและธรรมา- ยตนะดวยวปิ ส สนา ผปู ฏบิ ตั ทิ เ่ี จรญิ วปิ ส สนาเชน นยี้ อ มเหน็ ประจกั ษพ ระนพิ พานดว ย มรรคญาณในเวลาทว่ี ปิ ส สนาญาณแกก ลา ถงึ ทส่ี ดุ ในขณะนนั้ ตณั หากจ็ ะ ถกู กาํ จดั ไดเ ดด็ ขาดไมเ กดิ ขนึ้ อกี ดว ยกาํ ลงั ของมรรคญาณนน้ั ๆ พระพทุ ธ- องคท รงระบถุ งึ การกาํ จดั ตณั หาทอี่ าจเกดิ ขน้ึ ไดอ ยา งนดี้ ว ยวปิ ส สนาญาณ และมรรคญาณ จึงตรัสวา “สัตวโลกคลายความพอใจในอารมณ ๖ เหลาน้ีแลวยอมพนจากทุกขดวยวิธีดังกลาว” หมายความวา ผูที่กําจัด ตัณหาโดยส้ินเชิงดวยอรหัตตมรรคญาณแลว ยอมพนจากทุกขมีความ เกดิ ความแกช รา ความเจบ็ ปวย และความตายเปนตน ๒๑๕
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 507
Pages: