àªÔ§ÍÃö ๘๖ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๑๖๓/๓๖๓ ๘๗ ตํ โข ปนิทํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจํ ภาวิตนฺติ เม ภิกฺขเว ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ จกฺขุ อุทปาทิ, าณํ อุทปาทิ, ปฺา อทุ ปาท,ิ วิชชฺ า อทุ ปาทิ, อาโลโก อุทปาท.ิ (ส.ํ ม. ๑๙/๑๐๘๑/๓๖๘) “ภิกษุท้ังหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปญญา วิชชา และ แสงสวางไดเกิดแลวแกตถาคตในธรรมท่ีไมเคยสดับมากอนวา เราได อบรมอรยิ สจั คอื มรรคนน้ั แลว” ๘๘ าณฺจ ปน เม ทสฺสนํ อทุ ปาทิ. อกุปปฺ า เม วิมตุ ฺต.ิ อยมนตฺ ิมา ชาต.ิ นตฺถทิ านิ ปนุ พภฺ โวต.ิ (ว.ิ ม. ๔/๑๖/๑๕, สํ.ม. ๑๙/๔๙๑/๑๗๘) ๘๙ ตตฺถ วิชชฺ าติ ติสโฺ สป วิชชฺ า อฏ ป วชิ ฺชา. ติสโฺ ส วิชฺชา ภยเภรว- สุตเฺ ต วตุ ตฺ นเยเนว เวทติ พพฺ า, อฏ อมพฺ ฏสตุ ฺเต. ตตรฺ หิ วปิ สฺสนา- าเณน มโนมยทิ ฺธยิ า จ สห ฉ อภิฺญา ปรคิ ฺคเหตวฺ า อฏ วิชฺชา วุตฺตา. (วสิ ทุ ฺธิ. ๑/๑๓๓/๒๒๑) “ในเรอ่ื งนนั้ ความรู (วชิ ชา) คอื วชิ ชา ๓ พงึ ทราบตามนยั ทต่ี รสั ไวในภยเภรวสตู ร (ม.ม.ู ๑๒/๕๒-๔/๒๙-๓๐) และวิชชา ๘ ในอมั พัฏฐ- สูตร (ที.สี. ๙/๒๗๙/๙๙) ดังจะเห็นไดวา ในพระสูตรดังกลาวตรัสถึง วิชชา ๘ โดยรวมอภิญญา ๖ กบั วิปสสนาญาณและมโนมยิทธิ” ๙๐ อถ โข ภควา ภกิ ฺขู อามนเฺ ตสิ “จกขฺ ภุ ตู า วต ภกิ ขฺ เว สาวกา วิหรนฺติ, าณภูตา วต ภิกฺขเว สาวกา วิหรนฺติ, ยตฺร หิ นาม สาวโก เอวรูป สสฺ ติ วา ทกฺขติ วา สกฺขึ วา กรสิ ฺสติ. ปุพฺเพว เม โส ภิกฺขเว สตฺโต ทฏิ โ อโหสิ. อปจาหํ น พยฺ ากาสึ. อหฺ เจตํ พฺยากเรยยฺ ํ, ปเร จ เม น สทฺทเหยยฺ ุ. เย เม น สทฺทเหยยฺ ,ุ เตสํ ตํ อสฺส ทฆี รตตฺ ํ อหติ าย ทกุ ขฺ าย. ๔๑๖
àªÔ§ÍÃö เอโส ภิกฺขเว สตฺโต อิมสฺมึเยว ราชคเห โคฆาตโก อโหสิ. โส ตสฺส กมฺมสฺส วิปาเกน พหูนิ วสสฺ านิ พหูนิ วสฺสสตานิ พหนู ิ วสฺสสหสสฺ านิ พหนู ิ วสฺสสตสหสสฺ านิ นริ เย ปจฺจติ วฺ า ตสเฺ สว กมมฺ สฺส วิปากาวเสเสน เอวรูป อตฺตภาวปฏิลาภํ ปฏสิ เํ วเทติ. สจจฺ ํ ภิกฺขเว โมคคฺ ลฺลาโน อาห. อนาปตฺติ ภกิ ขฺ เว โมคฺคลฺลานสฺสาติ. (ว.ิ มหา. ๑/๒๒๘/๑๖๐) “ภิกษุท้ังหลาย สาวกทั้งหลายที่มีจักษุญาณก็ยังมีอยู เพราะ สาวกทร่ี ทู เี่ หน็ เชน นเี้ ปน พยานได เมอ่ื กอ นเรากเ็ หน็ เปรตโครงกระดกู นนั้ แตไ มบ อก เพราะการบอกนนั้ จะไมเ ปน ประโยชนเ กอ้ื กลู ซา้ํ จะเปน ทกุ ข ยาวนานแกผ ทู ่ีไมเ ชอ่ื เรา เปรตน้ันเคยเปนคนฆาโคในกรุงราชคฤห เพราะผลกรรมน้ัน จึงตกนรกหมกไหมอยูหลายรอยป หลายพันป หลายแสนปแลวไดมี อัตภาพเชนนี้ดวยเศษกรรมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะกลาวจริงจึงไมตอง อาบตั ”ิ ๙๑ ว.ิ มหา. ๑/๒๒๘-๓๐/๑๖๐-๔ ๙๒ ที.ม. ๑๐/๓๗๕/๒๕๙ ๙๓ ที.ม. ๑๐/๓๗๕/๒๕๙ ๙๔ ที.ม. ๑๐/๓๗๕/๒๕๙ ๙๕ ยถาภูตญาณทสฺสนนฺติ สปฺปจฺจยนามรูปปริคฺคโห. (วิสุทฺธิ. ๒/ ๘๕๐/๓๘๒) “คาํ วา ยถาภตู ญาณทสสฺ นํ (ปญ ญารเู หน็ ตามความเปน จรงิ ) คอื ปญ ญากาํ หนดรูปนามพรอ มทงั้ เหตปุ จจัย” ๙๖ วิสทุ ฺธ.ิ ๒/๗๒๑/๒๙๘ ๔๑๗
àªÔ§ÍÃö ๙๗ ทนุ นฺ คิ ฺคหสฺส ลหุโน ยตถฺ กามนปิ าติโน จติ ฺตสฺส ทมโถ สาธุ จติ ฺตํ ทนฺตํ สขุ าวหํ. (ข.ุ ธ. ๒๕/๓๕/๒๒) ๙๘ สํ.ส. ๑๕/๖๒/๔๔ ๙๙ อมนสุ ฺสา รตฺตึ วิรวติ ฺวา วิรวิตวฺ า อาหณิ ฑฺ นตฺ าป น เกนจิ ปหร-ิ ตพพฺ า. (วิสทุ ธฺ .ิ ๑/๓๔/๘๒) “ถึงยักษเท่ียวร่ํารองอยูในเวลากลางคืน ก็อยาขวางปาดวย สงิ่ ใดสง่ิ หนงึ่ [เชน กอนดิน กอ นหนิ ]” ๑๐๐ จรณนฺติ สลี สวํ โร, อนิ ฺทรฺ เิ ยสุ คตุ ตฺ ทวฺ ารตา, โภชเน มตตฺ ฺตุ า, ชาครยิ านุโยโค, สตฺต สทฺธมฺมา, จตตฺ าริ รูปาวจรชฌฺ านานตี ิ อิเม ปนนฺ รส ธมมฺ า เวทิตพพฺ า. (วิสทุ ธฺ ิ. ๑/๑๓๓/๒๒๑) ความประพฤติ (จรณะ) คอื ธรรม ๑๕ ประการเหลา นี้ ไดแ ก สีลสังวร [การสํารวมในปาติโมกข], การรักษาทวารในอินทรีย ๖ [มี จักขุนทรียเปนตน], การบริโภคพอประมาณ, ความเพียรเจริญสติ, สัทธรรม ๗ [คือ ศรทั ธา หริ ิ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วริ ยิ ะ สติ และปญญา] และรูปาวจรฌาน ๔ [ปฐมฌาน ทตุ ิยฌาน ตตยิ ฌาน และจตุตถฌาน]” ๑๐๑ อิธ ภิกฺขุ ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธมฺเมหิ จิตฺตํ ปรโิ สเธต.ิ (อภิ.ว.ิ ๓๕/๕๑๘/๓๐๐) ๑๐๒ ผูแปลขออธบิ ายเพ่ิมเติมเกี่ยวกบั เวลาในสมัยพุทธกาลกบั เวลา ในยคุ ปจ จบุ นั กลา วคอื เวลาในสมยั กอ นทง้ั ในอนิ เดยี พมา และไทย กอ น จะนิยมใชเวลาสากลเหมือนในปจจบุ นั ถือวา วันหนึ่งมี ๖๐ ชั่วโมง โดย แบง เปน ๖ ยาม แตละยามมี ๑๐ ชั่วโมง กลางวันมี ๓ ยามหรือ ๓๐ ๔๑๘
àªÔ§ÍÃö ชว่ั โมง เรม่ิ ตง้ั แต ๖.๐๐ น. เปน ตน ไป กลางคืนมี ๓ ยามหรอื ๓๐ ชว่ั โมง เร่มิ ต้ังแต ๑๘.๐๐ น. เปนตน ไป จงึ รวมเปน ๖๐ ชัว่ โมง (ถาเปน เวลา ในยคุ ปจจุบนั แตละยามนับได ๔ ช.ม.) ดังขอความวา ฆฏกิ า สฏฺยโหรตฺโต (อภิธาน. ๑/๗๔) “๖๐ ชวั่ โมง เปนหนง่ึ วันหนึง่ คืน” ในพระไตรปฎ ก อรรถกถา และฎกี า กลาวถึงยาม ๖ ยามใน กลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะยามกลางคืนเรียกวา ปฐมยาม มัชฌิมยาม ปจฉิมยาม บาง หรือ ปุริมยาม มัชฌิมยาม ปจฉิมยาม บา ง หรือ ปฐมยาม ทุตยิ ยาม ตตยิ ยาม บาง เรมิ่ ต้งั แตเวลา ๑๘.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. เปน ปฐมยาม เวลา ๒๒.๐๐ - ๐๒.๐๐ น. เปน มชั ฌมิ ยาม และ เวลา ๐๒.๐๐ – ๐๖.๐๐ น. เปน ปจฉมิ ยาม คาํ วา ยาม แปลวา สว น หมายถึง สวนแหงเวลาที่แตกตา งกนั คมั ภีรท างศาสนาจาํ แนกยามออกเปน ๖ ยามตามทีก่ ลา วไวข า งตน สว น คัมภรี ณวาทิโมคคัลลานจําแนกไวเ ปน ๖ ยาม หรือ ๘ ยามโดยกลาววา ยาตีติ ยาโม. ทินสสฺ ฉฏโ ภาโค, อฏโม วา. (ณฺวาทิ. ๑๓๖) “สว นท่ดี าํ เนนิ ไป ช่อื วา ยาม คือ สวนที่ ๖ หรอื สว นที่ ๘ ของวัน” ถาจําแนกเปน ๖ ยาม นับแตละยามมี ๑๐ ชั่วโมงตามเวลา ยุคเกา หรือมียามละ ๔ ชั่วโมงตามเวลาในปจจุบัน โดยเร่ิมตั้งแตเวลา ๖.๐๐ น. เปนตนไป ถา จาํ แนกเปน ๘ ยาม นับแตละยามมี ๗ ช่วั โมงครึง่ ตามเวลายคุ เกา หรอื มียามละ ๓ ชัว่ โมงตามเวลาในปจ จบุ ัน อน่ึง การจําแนกยามเปน ๘ ยามตามอีกมติหนง่ึ นี้ พบในคัมภีร เหลา นี้ คือ ๔๑๙
àªÔ§ÍÃö ก. ศัพทกัลปทรมุ ะ กลาววา ทิวารตฺตีนํ จตุตถฺ ภาเคกภาโค. (ศพฺท.ทรฺ ุม ๔/๔๐) [ทวิ าราตฺรโยศฺ จตุรถฺ ภาไคกภาคะ] “สว นหน่งึ อันเปน สว นที่ ๔ ของทวิ าราตรี [ชือ่ วา ยาม]” ข. กัจจายนสารฎีกาใหม กลา ววา ตตฺถ อตตี รตฺติยา อตกิ กฺ นฺตาย นิสฺสยสมพฺ นฺธิปจฉฺ ิโม ปรจิ เฺ ฉท- วเสน ยายนโต คมนโต ปวตฺตนโต ยาโม, จตตุ ฺโถ ภาโค ปหาโร. (กจ.ฺ สาร อภินวฏีกา ๑/๒๔) “ยามทายของราตรีที่ลวงแลว คือ ยามท่ีเก่ียวเนื่องอันเปนที่ อาศัยของราตรีท่ีผานไปแลว ชื่อวา ยาม เพราะดําเนินไปดวยการ กาํ หนด[เวลา] หมายถึง ปหาระอนั เปน สว นท่ี ๔” ค. โลกนิติ กลา ววา จตุยามํ ตุ ยาจโก. (โลกนีติ ๑๑๒) “ยาจกนอน ๔ ยาม” ๑๐๓ วิสทุ ฺธิ. ๑/๑๓๓/๒๒๑ ๑๐๔ พาหุสจฺจํ นาม ยํ ตํ “สุตธโร โหติ สุตสนนฺ ิจโยติ จ “อเิ ธกจฺจสฺส พหุกํ สุตํ โหติ สตุ ฺตํ เคยยฺ ํ เวยยฺ ากรณนตฺ ิ จ เอวมาทนิ า นเยน สตฺถุ- สาสนธรตฺตํ วณฺณิตํ, ตํ อกุสลปฺปหานกุสลาธิคมเหตุโต อนุปุพฺเพน ปรมตถฺ สจจฺ สจฉฺ ิกริ ิยาเหตุโต จ มงฺคลนฺติ วุจฺจต.ิ วตุ ตฺ ฺเหตํ ภควตา- “สตุ วา จ โข ภิกฺขเว อริยสาวโก อกสุ ลํ ปชหต.ิ กุสลํ ภาเวติ. สาวชชฺ ํ ปชหต.ิ อนวชฺชํ ภาเวต.ิ สทุ ธฺ มตตฺ านํ ปริหรตีติ. อปรมปฺ วตุ ตฺ ํ- ๔๒๐
àªÔ§ÍÃö “ธตานํ ธมฺมานํ อตฺถมุปปริกฺขติ. อตฺถํ อุปปริกฺขโต ธมฺมา นิชฺฌานํ ขมนฺติ. ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติยา สติ ฉนฺโท ชายติ. ฉนฺทชาโต อุสฺสหติ. อุสฺสหนฺโต ตุลยติ. ตุลยนฺโต ปทหติ. ปทหนฺโต กาเยน เจว ปรมตถฺ สจฺจํ สจฉฺ กิ โรติ ปฺาย จ อติวิชฌฺ ปสสฺ ตีติ. (ขุ.ข.ุ อ. ๕/๑๑๖-๑๗) “การทรงจาํ คําสอนของพระศาสดาไวต ามนัยอยางนว้ี า ‘ภกิ ษุ ในธรรมวินัยนี้เปนผูทรงความรู ส่ังสมความรู’ และวา ‘ภิกษุบางรูปใน ธรรมวินัยนี้มีความรูมาก คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะเปนตน ช่ือวา การมคี วามรมู าก เรยี กวา มงคล เพราะเปน เหตลุ ะอกศุ ล ไดร บั กศุ ล และ รแู จง สจั จะอันยอดเย่ยี ม (พระนิพพาน) ตามลําดับ ดังพระพทุ ธดาํ รสั วา “ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผูมีความรูยอมละอกุศล เจริญกุศล ละธรรมที่มีโทษ เจริญธรรมท่ีไมมโี ทษ และรักษาตนใหบ ริสทุ ธไ์ิ ด” มีพระพุทธดาํ รัสอกี อยางหนง่ึ วา “บุคคลยอมพิจารณาเน้ือความของธรรมที่ทรงจําไว เมื่อ พจิ ารณาเนอ้ื ความอยู ธรรมทงั้ หลายยอ มควรเพง พนิ จิ เมอื่ มกี ารเพง พนิ จิ ธรรมอยู ฉนั ทะยอ มเกดิ ผเู กดิ ฉนั ทะแลว ยอ มอตุ สาหะ ครนั้ อตุ สาหะแลว ยอมไตรต รอง ครัน้ ไตรตรองแลวยอมอุทศิ กายและใจ เมอ่ื อุทิศกายและ ใจแลว ยอมรูแจงสัจจะอันยอดเยี่ยมดวย[นาม]กาย และเห็นประจักษ ดวย[มรรค]ปญญา” ๑๐๕ ที.ส.ี ๙/๒๗๗/๙๘ ๑๐๖ ขุ.ชา. ๒๗/๑-๒๓/๓๒๕-๒๘, ขุ.ชา.อ. ๗/๑-๒๓/๑-๑๗ ๑๐๗ อมิ นิ า ปน ญาเณน สมนฺนาคโต วปิ สฺสโก พุทธฺ สาสเน ลทธฺ สฺ- ๔๒๑
àªÔ§ÍÃö สาโส ลทธฺ ปติฏโ นยิ ตคติโก จูฬโสตาปนฺโน นาม โหต.ิ (วสิ ทุ ธฺ ิ. ๒/๖๙๑/ ๒๗๑) “ผูเจริญวปิ ส สนาท่ีเพยี บพรอ มดวยปจจยปรคิ คหญาณ (ปจ จยั กําหนดเหตุปจจัยของรูปนาม) น้ียอมไดรับความเบาใจและท่ีพ่ึงใน คําสอนของพระพุทธเจา ช่ือวาพระจูฬโสดาบันผูจะไปเกิดในสุคติภูมิ แนน อน” ๑๐๘ ยํ ยํ รจฺฉํ นิสฺสาย สยติ, สพฺพรตฺตึ มหารเวน รวติ. ตสฺส การฺุปริเทวิตสทฺเทน สกลวีถิยํ มนุสฺสา สพฺพรตฺตึ นิทฺทํ น ลภนฺติ. ตสฺส ตโต ปฏาย สขุ สยิเต ปโพเธตตี ิ สุปฺปพุทโฺ ธเตฺวว นามํ อทุ ปาท.ิ (ส.ํ ส.อ. ๑/๒๖๐/๓๓๓) “เขานอนพงิ ถนนรอ งโหยหวนตลอดคนื ทําใหป ระชาชนในทุก ถนนนอนไมห ลบั ตลอดคนื ดว ยเสยี งปรเิ ทวนานา สงสารของเขา ตง้ั แตน นั้ มาเขาจึงไดช่ือวา สุปปพุทธะ เพราะปลุกคนหลบั สบายใหตืน่ ” ๑๐๙ วิ.มหา. ๑/๒๖/๒๑ ๑๑๐ สุปฺปพทุ ธฺ ํ กฏุ ึ อารพภฺ อนปุ พุ พฺ กิ ถํ กเถสิ. เสยยฺ ถิท,ํ ทานกถํ สลี กถํ สคคฺ กถํ กามานํ อาทนี วํ โอการํ สงฺกเิ ลสํ เนกฺขมเฺ ม จ อานสิ ํสํ ปกาเสสิ. ยทา ภควา อฺาสิ สุปฺปพุทฺธํ กุฏึ กลฺลจิตฺตํ มุทุจิตฺตํ วินีวรณจิตฺตํ อุทคฺคจิตฺตํ ปสนฺนจิตฺตํ. อถ ยา พุทฺธานํ สามุกฺกํสิกา ธมฺมเทสนา, ตํ ปกาเสสิ ทกุ ขฺ ํ สมทุ ยํ นิโรธํ มคคฺ .ํ เสยยฺ ถาป นาม สุทฺธํ วตฺถํ อปคตกาฬกํ สมฺมเทว รชนํ ปฏิคฺคณเฺ หยยฺ , เอวเมว สปุ ฺปพทุ ธฺ สสฺ กุฏสิ ฺส ตสฺมึเยว อาสเน วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขุ อุทปาทิ “ยงฺกิฺจิ สมุทยธมมฺ ,ํ สพฺพํ ตํ นโิ รธธมฺมนตฺ .ิ (ข.ุ อ.ุ ๒๕/๔๓/๑๖๐-๑) ๔๒๒
àªÔ§ÍÃö “พระองคทรงปรารภชายโรคเรื้อนช่ือสุปปพุทธะ จึงตรัสอนุ- ปุพพกี ถา คอื เรื่องทาน ศีล สวรรค โทษ ความต่าํ ทราม ความเศราหมอง ของกามคุณ และอานิสงสใ นการออกจากกามคณุ เมื่อทรงทราบวาเขามีจิตควร[แกภาวนา] ออนโยน ปราศจาก นิวรณ เบิกบาน ผองใส จึงทรงประกาศสามุกกังสิกธรรมเทศนาของ พระพทุ ธเจา ทง้ั หลาย คอื ทกุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค ธรรมจกั ษอุ นั ปราศจาก ธุลีปราศจากมลทินไดเกิดแกเขา ณ อาสนะน้ันวา ‘สิ่งใดส่ิงหน่ึง มีความเกิดข้ึนเปนธรรมดา สิ่งทั้งมวลน้ันมีความดับไปเปนธรรมดา’ เปรียบเหมือนผาขาวสะอาดปราศจากมลทิน ควรรับน้ํายอมไดเปน อยา งดี” ๑๑๑ ภูตปุพฺพํ ภกิ ขฺ เว สุปปฺ พทุ โฺ ธ กุฏี อิมสมฺ ึเยว ราชคเห เสฏ -ิ ปุตฺโต อโหสิ, โส อุยฺยานภูมึ นิยฺยนฺโต อทฺทส ตครสิขึ ปจฺเจกพุทฺธํ นคเร ปณฺฑาย จรนฺตํ, ทิสวฺ านสสฺ เอตทโหสิ “กวฺ ายํ กุฏี กฏุ จิ วี เรน วิจรตีติ นิฏุภิตฺวา อปพฺยามโต กริตฺวา ปกฺกามิ. โส ตสฺส กมฺมสฺส วิปาเกน พหูนิ วสฺสานิ พหูนิ วสฺสสตานิ พหูนิ วสฺสสหสฺสานิ พหูนิ วสสฺ สตสหสสฺ านิ นริ เย ปจิตถฺ , ตสเฺ สว กมมฺ สสฺ วิปากาวเสเสน อิมสฺมึเยว ราชคเห กุฏี มนุสฺสทลิทฺโท อโหสิ มนุสฺสกปโณ มนุสฺสวราโก. (ขุ.อุ. ๒๕/๔๓/๑๖๒) “ภิกษุท้ังหลาย ในชาติกอน ชายโรคเรื้อนช่ือสุปปพุทธะเปน บุตรเศรษฐีในกรุงราชคฤหนี้เอง เขาออกไปยังสวนสาธารณะ ไดเห็น พระปจเจกพุทธะนามวาตครสิขีเดินบิณฑบาตอยูในพระนคร คร้ันเห็น แลว จงึ คดิ วา ‘คนโรคเรอ้ื นหม ผา สกปรกเดนิ ไปนเ้ี ปน ใคร’ แลว ถม นา้ํ ลาย ๔๒๓
àªÔ§ÍÃö เดินแซงไปทางดานซาย ดวยผลกรรมน้ันเขาไหมอยูในนรกหลายรอย หลายพนั หลายแสนป ดว ยเศษวิบากกรรมน้นั ยังเหลอื อยู เขาจึงเกิดเปน ชายโรคเรอ้ื น ยากจน กาํ พรา ยากไรใ นกรุงราชคฤหน ้ีเอง” ๑๑๒ โส กริ อตีเต เอโก เสฏ ปิ ตุ ฺโต หตุ ฺวา อตฺตโน สหาเยหิ ตีหิ เสฏ -ิ ปุตฺเตหิ สทธฺ ึ กฬี นฺโต เอกํ นครโสภินึ คณกิ ํ อุยยฺ านํ เนตวฺ า ทิวสํ สมปฺ ตฺตึ อนภุ วิตวฺ า อตถฺ งฺคเต สูริเย สหาเย เอตทโวจ “อมิ ิสฺสา หตเฺ ถ กหาปณ- สหสฺสํ พหุกฺจ สุวณณฺ ํ มหคฺฆานิ จ ปสาธนานิ สวํ ชิ ฺชนฺต.ิ อมิ สมฺ ึ วเน อฺโ โกจิ นตฺถ.ิ รตตฺ ิ จ ชาตา. หนทฺ อิมํ มยํ มาเรตฺวา สพฺพํ ธนํ คเหตฺวา คจฺฉามาต.ิ เต จตตฺ าโรป ชนา เอกชฺฌาสยา หตุ ฺวา ตํ มาเรตุ อุปกฺกมึสุ. สา เตหิ มารยิ มานา “อิเม นลิ ลฺ ชฺชา นิกฺกรณุ า มยา สทฺธึ กเิ ลสสนฺถวํ กตฺวา นิรปราธํ มํ เกวลํ ธนโลเภน มาเรนฺติ. เอกวารํ ตาว มํ อิเม มาเรนตฺ ุ. อหํ ปน ยกฺขินี หุตฺวา อเนกวารํ อเิ ม มาเรตุ สมตถฺ า ภเวยฺยนฺติ ปตฺถนํ กตวฺ า กาลมกาส.ิ เตสุ กิร เอโก ปกกฺ ุสาติ กลุ ปตุ โฺ ต อโหสิ เอโก พาหโิ ย ทารจุ ีรโิ ย เอโก ตมพฺ ทาโิ ก โจรฆาตโก เอโก สุปฺปพทุ โฺ ธ กุฏี อติ ิ อิเมสํ จตนุ ฺนํ ชนานํ อเนกสเต อตตฺ ภาเว สา ยกฺขโยนิยํ นพิ ฺพตตฺ า คาวี หตุ ฺวา ชวี ิตา โวโรเปสิ. เต ตสสฺ กมมฺ สฺส นสิ ฺสนเฺ ทน ตตถฺ ตตถฺ อนตฺ รามรณํ ปาปุณสึ .ุ เอวํ สปุ ปฺ พทุ ธฺ สสฺ กฏุ สิ ฺส สหสา มรณํ ชาต.ํ เตน วตุ ฺตํ “อถ โข อจริ ปกฺกนฺตํ ฯเปฯ โวโรเปสีต.ิ (ข.ุ อุ.อ. ๔๓/๓๐๙) “เลา กนั มาวา ในอดตี กาล สปุ ปพทุ ธกฏุ ฐนิ น้ั เกดิ เปน บตุ รเศรษฐี คนหนึ่งเลน สนกุ สนานกบั บตุ รเศรษฐี ๓ คนผเู ปน สหายของตน นาํ หญงิ แพศยางามเมอื งคนหนง่ึ ไปสอู ทุ ยานเสวยสมบตั ติ ลอดวนั เมอื่ ดวงอาทติ ย ลบั ไปไดก ลา วกับสหายวา หลอนมเี งินพันกหาปณะ ทองคําจาํ นวนมาก ๔๒๔
àªÔ§ÍÃö และเครอื่ งประดบั มคี า มาก ไมม ใี ครอ่นื อยูในปา น้ี และเวลาคา่ํ แลว เอา เถอะ พวกเราจะชวยกนั ฆาหญิงนแี้ ลวยึดเอาทรัพยทง้ั หมดไป คนทงั้ ๔ นน้ั มอี ธั ยาศัยตรงกันจงึ พยายามฆา หลอน หญงิ นนั้ ถกู พวกเขาฆา อยไู ดต งั้ ความปรารถนาวา คนพวกนไี้ มม ี ยางอาย ไรความกรุณา ทําการชิดเชยดวยกิเลสกับเราแลวยังจะฆาเรา ผูไมมีความผิดเพราะความโลภในทรัพยอยางเดียว คนพวกน้ีฆาเราคร้ัง เดียวกอน สวนเราขอใหไดเกิดเปนยักษิณีก็จะฆาคนพวกน้ีไดหลายครั้ง แลว ตายไป ดังไดส ดบั มาวา ในคนเหลา นั้น คนหน่ึงไดเปน กลุ บตุ รช่ือวา ปุกกุสาติ คนหนึ่งเปนพาหิยทารุจีริยะ คนหน่ึงเปนเพชฌฆาตเคราแดง และคนหน่ึงเปนสุปปพุทธกุฏฐิ ในหลายรอยอัตภาพของคนท้ัง ๔ ดังวามาน้ี นางไดเกิดในกําเนิดยักษจําแลงเปนแมโคแลวปลงชีวิต[ของ คนเหลานั้น] ดวยผลกรรมนั้นพวกเขาจึงถึงความตายในระหวางอัต- ภาพน้ันๆ โดยฉับพลันดวยอาการอยางนี้ ฉะน้ัน พระสังคีติกาจารยจึง กลา วคําเปนตนวา อถ โข อจริ ปกฺกนฺต ฯเปฯ โวโรเปสิ (ในขณะนั้นโคแม ลูกออนไดขวิดชายโรคเรื้อนชื่อสุปปพุทธะผูจากไปไมนานจนลมลงเสีย ชีวติ ) สา กิร เอกา ยกฺขนิ ี ปุกฺกุสาตกิ ลุ ปตุ ฺตํ พาหยิ ํ ทารุจรี ิยํ ตมฺพ- ทากิ โจรฆาตกํสปุ ปฺ พทุ ธฺ กฏุ นิ ตฺ ิอเิ มสํจตนุ นฺ ํชนานํอเนกสเตอตตฺ ภาเว คาวี หตุ วฺ า ชีวิตา โวโรเปส.ิ เต กิร อตเี ต จตตฺ าโร เสฏ ปิ ุตตฺ า หุตฺวา เอกํ นครโสภินึ คณิกํ อุยฺยานํ เนตฺวา ทิวสํ สมฺปตฺตึ อนุภวิตฺวา สายนฺหสมเย เอวํ สมฺมนฺตยึสุ “อิมสฺมึ าเน อฺโ นตฺถิ อิมิสฺสา อมฺเหหิ ทินฺนํ กหาปณสหสฺสฺจ สพฺพฺจ ปสาธนภณฺฑํ คเหตฺวา อิมํ ๔๒๕
àªÔ§ÍÃö มาเรตฺวา คจฺฉามาติ. สา เตสํ กถํ สุตฺวา “อิเม นิลฺลชฺชา มยา สทฺธึ อภิรมิตฺวา อิทานิ มํ มาเรตุกามา. ชานิสฺสามิ เนสํ กตฺตพฺพยุตฺตกนฺติ เตหิ มารยิ มานา “อหํ ยกขฺ นิ ี หตุ ฺวา ยถา มํ เอเต มาเรนตฺ ิ เอวเมว เต มาเรตุ สมตฺถา ภเวยฺยนตฺ ิ ปตถฺ นํ อกาส.ิ ตสสฺ นิสสฺ นฺเทน อิเม มาเรสิ. (ข.ุ ธ.อ. ๑/๖๖/๓๕๖) “ไดย นิ มาวา โคแมล กู ออ นนนั้ เปน ยกั ษณิ ตี นหนง่ึ จาํ แลงรา งเปน แมโ คปลงชวี ติ ของชนทง้ั ๔ นี้ คอื กุลบตุ รชอื่ ปกุ กสุ าติ พาหยิ ทารุจรี ิยะ เพชฌฆาตเคราแดง และสปุ ปพทุ ธกุฏฐหิ ลายรอยอตั ภาพ ดังไดสดับมา วา ในชาติกอนชนเหลา นนั้ เกดิ เปนบุตรเศรษฐที ้งั ๔ คน นาํ หญิงแพศยา งามเมืองคนหนงึ่ ไปสูส วนอุทยาน เสวยสมบัติตลอดวนั แลว ในเวลาเยน็ ไดปรึกษากนั วา ในทน่ี ไ้ี มม คี นอ่ืน พวกเราจักยึดเอากหาปณะพันหนง่ึ ที่ พวกเราใหแกหญิงน้ี และเครื่องประดับทั้งหมดแลวฆาหลอนไปเถิด หญิงนั้นฟงถอยคําของบุตรเศรษฐีเหลานั้นแลว คิดวา ชนพวกน้ีไมมี ยางอาย อภิรมยกับเราแลวปรารถนาจะฆาเราในบัดน้ี เราจักรูกรรมท่ี ควรกระทาํ แกพ วกเขา หลอ นถกู ฆาอยไู ดต ัง้ ความปรารถนาวา ขอเราจง เกิดเปน ยักษิณที ฆ่ี าพวกเขาไดเหมอื นอยา งพวกเขาฆาเรา” ๑๑๓ จกฺขุมา วิสมานีว วชิ ชฺ มาเน ปรกกฺ เม ปณฺฑิโต ชีวโลกสฺมึ ปาปานิ ปริวชฺชเย. (ขุ.อุ. ๒๕/๔๓/๑๖๒) “คนฉลาดในโลกนี้ควรละเวนบาปทุกอยางในขณะมีความ บากบ่นั อยู เหมอื นคนตาดลี ะเวน ทางขรุขระฉะนนั้ ” ๔๒๖
àªÔ§ÍÃö ๑๑๔ เอตทคคฺ ํ ภกิ ฺขเว มม สาวกิ านํ อุปาสิกานํ อนุสสฺ วปปฺ สนฺนานํ, ยทิทํ กาลี อปุ าสกิ า กุรรุ ฆรกิ า. (องฺ.เอกก. ๑/๒๖๗/๒๗) “อุบาสิกากาฬผูมาจากเมืองกุรรฆระ เปนผูเลิศกวาอุบาสิกา ผูเปนสาวกิ าของเรา ผูเลอื่ มใสดวยการฟง ตอ จากผอู ่ืน” ๑๑๕ ขุ.ส.ุ ๒๕/๑๖๔/๓๖๓ ๑๑๖ ขุ.สุ. ๒๕/๑๖๕/๓๖๓ ๑๑๗ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๑๖๖/๓๖๓ ๑๑๘ ขุ.สุ. ๒๕/๑๖๗/๓๖๓ ๑๑๙ เอณิมิคสฺเสว ชงฺฆา อสฺสาติ เอณิชงฺโฆ. พุทฺธานฺหิ เอณิ- มิคสฺเสว อนุปุพฺพวฏฏา ชงฺฆา โหนฺติ, น ปุรโต นิมฺมํสา ปจฺฉโต สสุ ุมารกจุ ฺฉิ วยิ อุทฺธุมาตา. (ขุ.สุ.อ. ๑/๑๖๗/๒๓๖) “พระชงฆทั้งสองของพระโคดมน้ัน เพียงปลีแขงเนื้อทราย เพราะเหตุนั้น พระองคจึงมีพระนามวา เอณิชังฆะ (ผูมีพระชงฆเพียง ปลีแขงเนอ้ื ทราย) กลาวคอื พระชงฆข องพระพทุ ธเจา ทัง้ หลายเรยี วกลม ตามลําดบั ดจุ ปลแี ขง เน้ือทราย ดา นหนา ไมลีบ ดา นหลังไมนนู ข้นึ เหมือน ทอ งจระเข” ๑๒๐ กิสา จ พุทธฺ า โหนฺติ ทฆี รสฺสสมวฏฏ ิตยตุ ตฺ ฏ าเนสุ ตถารูปาย องฺคปจฺจงคฺ สมฺปตฺติยา น วรปรุ สิ า วิย ถลู า. (ข.ุ สุ.อ. ๑/๑๖๗/๒๓๖-๓๗) “อนึ่ง พระพุทธเจาท้ังหลายเปนผูซูบผอม คือไมอวนเหมือน บุรุษอ่ืน เพราะเพียบพรอมดวยอวัยวะนอยใหญเชนนั้นในที่ควรยาว สนั้ เสมอ และกลม” ๑๒๑ อชฺฌตตฺ ิกพาหริ สปตตฺ วิทธฺ สํ นโต วรี า. (ขุ.สุ.อ. ๑/๑๖๗/๒๓๗) ๔๒๗
àªÔ§ÍÃö ๑๒๒ เอกาสนโภชิตาย ปริมิตโภชิตาย จ อปฺปาหารา, น ทฺวตฺติ- มตฺตาโลปโภชติ าย. (ขุ.ส.ุ อ. ๑/๑๖๗/๒๓๗) “พระพทุ ธเจา เสวยพระกระยาหารนอ ย เพราะมกั เสวยเพยี งมอ้ื เดียวและเสวยพอประมาณ มไิ ดเสวยเพยี งสองหรือสามคาํ ขา ว” ๑๒๓ “อปปฺ าหาโร สมโณ โคตโม อปปฺ าหารตาย จ วณณฺ วาทีติ อติ ิ เจ มํ อุทายิ สาวกา สกฺกเรยฺยุ ครุกเรยฺยุ มาเนยฺยุ ปูเชยฺยุ. สกฺกตฺวา ครกุ ตฺวา อปุ นสิ สฺ าย วหิ เรยฺยุ. สนฺติ โข ปน เม อทุ ายิ สาวกา โกสกา- หาราป อฑฺฒโกสกาหาราป เวลุวาหาราป อฑฺฒเวลุวาหาราป. อหํ โข ปนุทายิ อปฺเปกทา อิมินา ปตฺเตน สมติตฺติกมฺป ภฺุชามิ, ภิยฺโยป ภุ ฺชาม.ิ (ม.ม. ๑๓/๒๔๒/๒๑๗) “อุทายี ถาสาวกท้ังหลายจะพงึ สักการะ เคารพ นบั ถอื บูชาเรา ครั้นเคารพสักการะแลวก็ยังอาศัยเราอยูดวยเขาใจวา ‘พระสมณโคดม เสวยพระกระยาหารนอย และทรงกลาวสรรเสริญความเปนผูมีอาหาร นอ ย’ แตส าวกทง้ั หลายของเราฉนั อาหารเพียง ๑ ถว ยเล็กกม็ ี คร่ึงถว ย เล็กก็มี เทาผลมะตูมก็มี คร่ึงผลมะตูมก็มี สวนเราสิบางครั้งฉันอาหาร เสมอขอบปากบาตรน้ีก็มี ยงิ่ กวา ก็มี” ๑๒๔ เอตถฺ ปน สพพฺ ากาเรเนว ภควา อปปฺ าหาโรติ น วตฺตพฺโพ. ปธานภูมิยํ ฉพฺพสฺสานิ อปฺปาหาโรว อโหสิ, เวรฺชายํ ตโย มาเส ปตฺโถทเนเนว ยาเปสิ ปาลิเลยฺยกวนสณฺเฑ ตโย มาเส ภิสมุฬาเลเหว ยาเปส.ิ (ม.ม.อ. ๓/๒๔๒/๑๗๕) “อนงึ่ ในเรอ่ื งนไ้ี มค วรกลา ววา พระผมู พี ระภาคเสวยพระกระยา- หารนอยโดยลักษณะท้ังปวงทีเดียว พระองคเสวยพระกระยาหารนอย ๔๒๘
àªÔ§ÍÃö ตลอด ๖ ป ณ สถานทบี่ ําเพ็ญเพียร ทรงใหพ ระชนมชพี เปน ไปดวยขา ว หนึ่งแลง (๔ ซองมือ) เทานั้นตลอด ๓ เดือนในเมืองเวรัญชา ทรงให พระชนมชีพเปน ไปดว ยเหงาบวั เทา นน้ั ตลอด ๓ เดอื นในปาปาลไิ ลย” ๑๒๕ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๑๖๘/๓๖๕ ๑๒๖ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๑๖๙/๓๖๓ ๑๒๗ ขุ.ส.ุ ๒๕/๑๗๐/๓๖๓ ๑๒๘ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๑๗๑/๓๖๓ ๑๒๙ ท.ี ม. ๑๐/๓๗๕/๒๕๙ ๑๓๐ โิ ต วา โิ ตมฺหตี ิ ปชานาติ, นิสนิ ฺโน วา นิสนิ โฺ นมฺหตี ิ ปชานาต,ิ สยาโน วา สยาโนมหฺ ีติ ปชานาติ. (ที.ม. ๑๐/๓๗๕/๒๔๙) “เมอ่ื ยนื รชู ดั วา ยืนอยู เม่ือน่งั รชู ดั วา นัง่ อยู เมือ่ นอน รชู ดั วา นอนอย”ู ๑๓๑ ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ, ตถา ตถา นํ ปชานาต.ิ (ที.ม. ๑๐/๓๗๕/๒๕๙) ๑๓๒ เสยฺยถาป ปหาราท มหาสมุทฺโท ติ ธมฺโม เวลํ นาติวตฺตติ, เอวเมว โข ปหาราท ยํ มยา สาวกานํ สิกฺขาปทํ ปฺตตฺ ํ, ตํ มม สาวกา ชีวติ เหตปุ นาติกฺกมนตฺ ิ. (อง.ฺ อฏก. ๒๓/๑๙/๑๖๕) “ปหาราทะ สาวกทงั้ หลายของเรายอ มไมล ะเมดิ สกิ ขาบททเ่ี รา บัญญัตไิ วแ มเ พราะ ชวี ติ เปนเหตุ เหมือนมหาสมทุ รทีม่ ีปกตคิ งท่ี ไมล น ฝง” ๑๓๓ ตสมฺ าติห ภิกขฺ เว เอวํ สิกขฺ ติ พฺพํ อปปฺ ฏวิ านํ ปทหสิ สฺ าม “กามํ ตโจ จ นฺหารุ จ อฏิ จ อวสิสฺสตุ สรีเร อุปสุสฺสตุ มํสโลหิตํ. ยํ ตํ ๔๒๙
àªÔ§ÍÃö ปุริสตฺถาเมน ปุริสวีริเยน ปุริสปรกฺกเมน ปตฺตพฺพํ, น ตํ อปาปุณิตฺวา วรี ิยสสฺ สณฺ านํ ภวสิ ฺสตีติ. (องฺ.ทุก. ๒๐/๕/๕๐-๑) ๑๓๔ อิธ สารีปุตฺต ภิกฺขุ ปจฺฉาภตฺตํ ปณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภชุ ิตฺวา อชุ ุ กายํ ปณธิ าย ปริมขุ ํ สตึ อุปฏเปตฺวา “น ตาวาหํ อมิ ํ ปลลฺ งฺกํ ภินทฺ สิ สฺ าม,ิ ยาว เม น อนุปาทาย อาสเวหิ จิตตฺ ํ วิมจุ ฺจตตี ิ. เอวรเู ปน โข สารปี ตุ ตฺ ภกิ ขฺ นุ า โคสงิ คฺ สาลวนํ โสเภยยฺ . (ม.ม.ู ๑๒/๓๔๕/๓๐๕) ๑๓๕ ฌายถ ภิกฺขเว มา ปมาทตฺถ. (สํ.สฬา. ๑๘/๑๔๖/๑๒๔, ม.มู. ๑๒/๒๑๕/๑๘๑) ๑๓๖ สพฺพํ ภิกขฺ เว อภิ เฺ ยยฺ ํ. (สํ.สฬา. ๑๘/๔๖/๒๕) ๑๓๗ สมาธึ ภกิ ขฺ เว ภาเวถ. สมาหิโต ภิกฺขุ ยถาภตู ํ ปชานาติ ปสสฺ ต.ิ กิฺจ ปชานาติ? จกฺขุ อนิจฺจนฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ. รูปา อนิจฺจาติ ยถาภูตํ ปชานาติ. จกฺขุวิฺญาณํ อนิจฺจนฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ. (สํ.ข. ๑๗/๕/๑๒, อง.ฺ ทสก. ๒๔/๒/๓, องฺ.เอกาทสก. ๒๔/๒/๒๖๐) ๑๓๘ สมฺมาสมาธิมฺหิ อสติ สมฺมาสมาธิวิปนฺนสฺส หตูปนิสํ โหติ ยถาภตู าณทสฺสน.ํ (อง.ฺ ปจฺ ก. ๒๒/๑๖๘/๑๘๙) ๑๓๙ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๑๗๒/๓๖๖ ๑๔๐ เอวํ อุปฑฺฒคาถาย สรูเปเนว ทุกฺขสจฺจํ ปุจฺฉิ. สมุทยสจฺจํ ปน ตสสฺ การณภาเวน คหติ เมว โหติ. (ข.ุ ส.ุ อ. ๑/๑๗๒/๑๔๑) “เทพเหมวตะไดถามถึงทุกขสัจโดยตรงดวยกึ่งคาถาแรกอยางน้ี สว นสมุทยั สจั จะกเ็ ปน อันถกู กลา วถึง[โดยออม] เพราะสมทุ ยสจั เปนเหตุ ของทกุ ขสัจนัน้ ” ๑๔๑ ขุ.สุ. ๒๕/๑๗๓/๓๖๖ ๔๓๐
àªÔ§ÍÃö ๑๔๒ เทสนาวสาเน ปฏาจารา มหาปถวิยํ ปสุปริมาเณ กิเลเส ฌาเปตฺวา โสตาปตฺติผเล ปติฏหิ. อฺเป พหู โสตาปตฺติผลาทีนิ ปาปณุ สึ ูต.ิ (ข.ุ ธ.อ. ๑/๑๑๓/๕๑๕) “ในกาลจบเทศนา นางปฏาจาราเผากิเลสมีประมาณเทาฝุน ในแผนดินใหญแลวดํารงอยูในโสดาปตติผล แมชนเหลาอื่นมากมาย ก็ไดบรรลุโสดาปตตผิ ลเปน ตน” ๑๔๓ ข.ุ อ.ุ ๒๕/๑๐/๑๐๒ ๑๔๔ ท.ี ม. ๑๐/๓๗๕/๒๕๙ ๑๔๕ ขุ.ส.ุ ๒๕/๑๗๔/๓๖๖ ๑๔๖ ขุ.ส.ุ ๒๕/๑๗๕/๓๖๖ ๑๔๗ ขุ.ส.ุ ๒๕/๑๗๖/๓๖๓๖ ๑๔๘ ข.ุ ธ.อ. ๑/๑๔๒/๕๘ ๑๔๙ อิมสฺมิฺจ ปน เวยฺยากรณสฺมึ ภฺมาเน อายสฺมโต โกณฺฑฺสฺส วิรชํ วีตมลํ ธมฺมจกฺขํุ อุทปาทิ “ยงฺกิฺจิ สมุทยธมฺมํ, สพฺพํ ตํ นโิ รธธมฺมนฺติ. (วิ.ม. ๔/๑๖/๑๕, สํ.ม. ๑๙/๑๐๘๑/๓๖๘) “เม่ือพระผูมีพระภาคตรัสพระธรรมเทศนาน้ีอยู ดวงตาเห็น ธรรมอนั ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ไดบงั เกิดแกทา นโกณฑญั ญะวา ‘ส่ิงใดสง่ิ หนง่ึ มีความเกดิ ขน้ึ เปนธรรมดา สิ่งทง้ั ปวงนั้นมคี วามดบั ไปเปน ธรรมดา’” ๑๕๐ “อถ โข อายสฺมโต จ วปฺปสฺสาติอาทมิ หฺ ิ วปฺปตฺเถรสสฺ ปาฏ-ิ ปททิวเส ธมฺมจกฺขุ อุทปาทิ, ภทฺทิยตฺเถรสฺส ทุติยทิวเส, มหานามตฺ- เถรสฺส ตติยทิวเส, อสฺสชิตฺเถรสฺส จตุตฺถิยนฺติ. อิเมสฺจ ปน ภิกฺขูนํ ๔๓๑
àªÔ§ÍÃö กมฺมฏาเนสุ อุปฺปนฺนมลวิโสธนตฺถํ ภควา อนฺโตวิหาเรเยว อโหสิ. อุปฺปนฺเน อุปฺปนฺเน กมฺมฏานมเล อากาเสนาคนฺตฺวา มลํ วิโนเทสิ. ปกขฺ สสฺ ปน ปฺจมยิ ํ สพเฺ พว เต เอกโต สนนฺ ิปาเตตวฺ า อนตฺตสตุ ฺเตน โอวท.ิ เตน วตุ ตฺ ํ “อถ โข ภควา ปจฺ วคฺคเิ ยตอิ าท.ิ (ว.ิ ม.อ. ๓/๑๙/๑๘) คาํ วา อถ โข อายสมฺ โต จ วปปฺ สสฺ เปน ตน หมายความวา ดวงตา เหน็ ธรรมเกดิ ขึ้นแกพระวัปปเถระในวนั แรม ๑ คํา่ แกท า นพระภทั ทยิ - เถระในวนั แรม ๒ คา่ํ แกทา นพระมหานามเถระในวันแรม ๓ คํ่า และแก พระอสั สชเิ ถระในวนั แรม ๔ คา่ํ พระผมู พี ระภาคประทบั อยภู ายในวหิ าร เทานั้นเพ่ือทรงชําระมลทินท่ีเกิดข้ึนในกรรมฐานของภิกษุเหลานี้ เมื่อ มลทนิ กรรมฐานเกดิ ครงั้ แลว ครง้ั เลา พระองคจ งึ เสดจ็ มาทางอากาศแลว ทรงบรรเทามลทิน แตในวันแรม ๕ คา่ํ แหง ปก ษ ไดรับส่งั ใหภ กิ ษุท้ังหมด นนั้ มาชมุ นมุ พรอ มกนั แลว ตรสั สอนดว ยอนตั ตลกั ขณสตู ร ฉะนน้ั จงึ กลา ว วา อถ โข ภควา ปฺจวคคฺ เิ ย (ครง้ั นั้น พระผมู พี ระภาคไดต รสั กับภิกษุ ปญ จวัคคีย) เปน ตน” ๑๕๑ สเี ล ปตฏิ าย นโร สปฺโ จติ ตฺ ํ ปฺฺจ ภาวยํ อาตาป นปิ โก ภิกขฺ ุ โส อมิ ํ วชิ ฏเย ชฏํ. (ส.ํ ส. ๑๕/๒๓,๑๙๒/๑๖,๑๙๘) “ชนผฉู ลาดเพยี รเผากเิ ลส มปี ญ ญาพจิ ารณา ดาํ รงอยใู นศลี แลว อบรมจติ และปญ ญาอยู เขาผเู หน็ ภยั ในสงสารยอ มถางชฏั (ตณั หา) นไี้ ด” ๑๕๒ เอเต วา ปน อโุ ภ อนฺเต อนุปคมมฺ อิทปฺปจฺจยตาปฏจิ จฺ สมุปฺ- ปนเฺ นสุ ธมเฺ มสุ อนโุ ลมกิ า ขนฺติ ปฏลิ ทฺธา โหติ, ยถาภูตํ วา าณ.ํ (ข.ุ ป. ๓๑/๑๑๓/๑๒๖) ๔๓๒
àªÔ§ÍÃö อีกอยางหน่ึง คือเหลาสัตวผูไมเขาถึงที่สุดทั้งสองน้ี ไดบรรลุ อนโุ ลมิกขันติ (ปญ ญาหยั่งเห็นคลอยตามโลกุตตรธรรม, วิปส สนาญาณ) ในสภาวธรรมที่เปนปจจัยของกันและกันและเกิดขึ้นอาศัยกัน หรือได บรรลุยถาภูตญาณ (ปญญารูเห็นตามความเปนจริง) น้ีช่ือวาอัธยาศัย ความชอบใจของเหลา สัตว” ยถาภตู ํ วา าณนตฺ ิ ยถาภตู ํ ยถาสภาวํ เนยยฺ ํ. ตตฺถ ปวตตฺ - าณมปฺ วิสยโวหาเรน ยถาภตู าณนฺติ วตุ ตฺ .ํ ตํ ปน สงขฺ ารเุ ปกขฺ าปริย นฺตํ วปิ สฺสนาาณํ อธิ าธปิ ฺเปต.ํ (ข.ุ ป.อ. ๒/๑๑๓/๗) “คาํ วา ยถาภตู ํ วา าณํ หมายความวา ญาณทนี่ าํ ไปตามความ เปนจริง คือ ตามสภาพท่ีเปนจริง แมญาณท่ีเปนไปในสภาพนั้นก็เรียก วา ยถาภตู ญาณดว ยชอ่ื ของทอี่ าศยั [คอื สภาพ แตม งุ ใหห มายถงึ สง่ิ ทอ่ี าศยั คอื ญาณ = ฐานปู จาระ] อนงึ่ ยถาภตู ญาณนนั้ หมายถงึ วปิ ส สนาญาณอนั มสี ังขารเุ ปกขาญาณเปนท่ีสุด” ๑๕๓ ทุวิโธ หิ สมาธิ อุปจารสมาธิ จ อปปฺ นาสมาธิ จ. ทวฺ หี ากาเรหิ จิตฺตํ สมาธิยติ อุปจารภูมิยํ วา ปฏิลาภภูมิยํ วา. ตตฺถ อุปจารภูมิยํ นีวรณปฺปหาเนน จิตฺตํ สมาหิตํ โหติ, ปฏิลาภภูมิยํ องฺคปาตุภาเวน. (วสิ ทุ ธฺ .ิ ๑/๕๘/๑๓๗) “สมาธิมี ๒ ประเภท คอื ๑. อุปจารสมาธิ สมาธิใกลจะแนบแนน , สมาธใิ กลฌาน ๒. อปั ปนาสมาธิ สมาธิแนบแนน , สมาธใิ นฌาน จติ ยอ มตงั้ มนั่ ดว ยเหตุ ๒ อยา ง [คอื การทฌ่ี านธรรมหา งไกลจากปฏปิ ก ษ และการถงึ ความมั่นคง] ในระดับ :- ๔๓๓
àªÔ§ÍÃö ๑. อุปจารสมาธิ จิตตั้งมั่นดวยการขจัดนวิ รณ ๒. บรรลุฌาน (อปั ปนาสมาธิ) จิตตง้ั มน่ั ดว ยองคฌานปรากฏ” สุขํ คพฺภํ คณฺหนฺตํ ปริปากํ คจฺฉนฺตํ ติวิธํ สมาธึ ปริปูเรติ ขณิกสมาธึ อปุ จารสมาธึ อปปฺ นาสมาธนิ ฺต.ิ (วสิ ุทฺธ.ิ ๑/๗๒/๑๕๗) “ความสขุ ท่ีพฒั นาข้ึนแกก ลายอ มยังสมาธิ ๓ อยา ง คอื ขณิก- สมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ ใหบริบูรณ” สมถํ อนุปฺปาเทตฺวาติ อวธารเณน อุปจารสมาธึ นิวตฺเตติ, น ขณกิ สมาธ.ึ น หิ ขณกิ สมาธึ วนิ า วปิ สสฺ นา สมภฺ วต.ิ (ม.ม.ู ฏกี า ๑/๓๓/๒๕๗) “คําปฏิเสธวา สมถํ อนุปฺปาเทตฺวา (ไมยังสมถะใหเกิดขึ้น) หามอปุ จารสมาธิ แตไมหา มขณิกสมาธิ เพราะวปิ สสนาเกิดข้ึนไมไดโดย ปราศจากขณกิ สมาธ”ิ ๑๕๔ ส.ํ สฬา. ๑๘/๑๔๖/๑๒๔, ม.ม.ู ๑๒/๒๑๕/๑๘๑ ๑๕๕ วิสุทธฺ .ิ ๑/๒๒๓/๓๐๓ ๑๕๖ ส.ํ สฬา. ๑๘/๔๖/๒๕ ๑๕๗ ที.ปา. ๑๑/๓๕๐/๒๔๑ ๑๕๘ ขุ.ส.ุ ๒๕/๑๗๗/๓๖๗ ๑๕๙ ขุ.สุ. ๒๕/๑๗๘/๓๖๗ ๑๖๐ ข.ุ สุ. ๒๕/๑๗๙/๓๖๗ ๑๖๑ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๑๘๐/๓๖๗ ๑๖๒ ข.ุ สุ. ๒๕/๑๘๑/๓๖๗ ๑๖๓ ขุ.ธ. ๒๕/๓๘๒/๘๓ ๔๓๔
àªÔ§ÍÃö ๑๖๔ โอวเทยยฺ านุสาเสยฺย อสพฺภา จ นวิ ารเย สตํ หิ โส ปโ ย โหติ อสตํ โหติ อปปฺ โ ย. (ขุ.ธ. ๒๕/๗๗/๓๐) “พึงวากลาวตักเตือนคนอ่ืน และพึงกีดกันเขาจากความชั่ว คนทคี่ อยส่ังสอนเชนนี้ คนดรี กั แตคนชั่วเกลียด” ๑๖๕ อถ โข เต ภิกฺขู สํวิคฺคมานสา “มยํ ปุคฺคลมนุรกฺขนฺตา สาสนรตนํ โสพฺเภ ปกฺขปิ มหฺ าติ กกุ ฺกจุ ฺจํ อปุ ฺปาเทส.ุ เต เตเนว กกุ ฺกจุ ฺเจน อุปหตาสยตฺตา กาลํ กตฺวา สคฺเค นิพฺพตฺติตุมสกฺโกนฺตา เอกาจริโย หมิ วติ เหมวเต ปพพฺ เต นิพพฺ ตฺติ เหมวโต ยกโฺ ขติ นาเมน. ทุตยิ าจรโิ ย มชฌฺ ิมเทเส สาตปพฺพเต สาตาคิโรติ นาเมน. เตป เนสํ ปรวิ ารา ภิกขฺ ู เตสเํ ยว อนวุ ตฺตติ วฺ า สคฺเค นิพพฺ ตฺตติ ุมสกโฺ กนฺตา เตสํ ปริวารา ยกขฺ าว หุตฺวา นิพฺพตฺตึสุ. เตสํ ปน ปจฺจยทายกา คหฏา เทวโลเก นิพฺพตึสุ. เหมวตสาตาคิรา อฏ วีสตยิ กขฺ เสนาปตนี มพฺภนตฺ รา มหานุภาวา ยกขฺ - ราชาโน อเหสุ. (ข.ุ ส.ุ อ. ๑/๑๕๓/๒๒๖) “ลาํ ดบั นนั้ ภกิ ษเุ หลา นนั้ รสู กึ เสยี ใจกอ ใหเ กดิ ความเดอื ดรอ นใจ วา พวกเรารกั ษาบคุ คลโยนรตั นะคอื พระศาสนาลงเหว เธอเหลา นน้ั มรณ- ภาพแลว ไมอ าจไปเกดิ ในสวรรค เพราะถกู ความเดอื ดรอ นเบยี ดเบยี นจติ คนหนึ่งไปเกิดเปนยักษช่ือเหมวตะในภูเขาเหมวตะภายในภูเขาหิมาลัย คนท่ีสองเกิดเปนเทพยักษช่ือสาตาคิระ ณ สาตบรรพตในมัชฌิม ประเทศ ฝายภิกษุผูเปนบริวารของอาจารยทั้งสองนั้น ปฏิบัติตาม อาจารยเ หลา นนั้ ไมอ าจไปเกดิ ในสวรรค จงึ เกดิ เปน ยกั ษบ รวิ ารของยกั ษ ๔๓๕
àªÔ§ÍÃö ทั้งสองนั้น สวนคฤหัสถผูถวายปจจัยแกภิกษุเหลาน้ันบังเกิดในเทวโลก เทพเหมวตะและเทพสาตาคิระเปนเจายักษมีอานุภาพมากในภายใน เสนาบดียกั ษ ๒๘ ตน” ๑๖๖ ขุ.สุ. ๒๕/๑๘๒/๓๖๗ ๔๓๖
àªÔ§ÍÃö เชงิ อรรถ : ภารสูตร ๑ ตเทวํ ปวตฺตมานํ ตณฺหาอวิชฺชานํ อปฺปหีนตฺตา อวิชฺชา- ปฏิจฺฉาทิตาทีนเว ตสฺมึ วิสเย ตณฺหา นาเมติ สหชาตสงฺขารา ขิปนฺติ. (อภิ.ว.ิ อ. ๒/๒๒๗/๑๗๖) “วิญญาณน้ันที่เปนไปอยูอยางนี้ ยอมถูกตัณหานอมไป ถูก สังขารท่ีเกิดรวมกันซัดไปในอารมณนั้นท่ีถูกอวิชชาปกปดโทษไว เพราะยงั ละตณั หาและอวชิ ชาไมไ ด” ปจฺจาสนฺนมรณสฺส สตฺตสฺส วีถิจิตฺตาวสาเน ภวงฺคกฺขเย วา จวนวเสน ปจฺจุปฺปนฺนภวปริโยสานภูตํ จุติจิตฺตํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌติ, ตสมฺ ึ นริ ุทธฺ าวสาเน ตสสฺ านนฺตรเมว ตถาคหติ ํ อารมมฺ ณมารพฺภ สวตถฺ ุกํ อวตฺถุเมว วา ยถารหํ อวิชฺชานุสยปริกฺขิตฺเตน ตณฺหานุสยมูลเกน สงขฺ าเรน ชนยิ มานํ สมปฺ ยตุ เฺ ตหิ ปรคิ คฺ ยหฺ มานํ สหชาตานมธฏิ านภาเวน ปุพฺพงฺคมภูตํ ภวนฺตรปฏิสนฺธานวเสน ปฏิสนฺธิสงฺขาตํ มานสํ อุปฺปชฺช- มานเมว ปตฏิ าติ ภวนตฺ เร. (สงคฺ ห ๕/๙๑/๓๔) “ในเวลาสิ้นสุดแหงวิถีจิตหรือในเวลาส้ินสุดภวังคของบุคคล ผใู กลเ สยี ชวี ติ นนั้ จตุ จิ ติ ซง่ึ เปน จติ ดวงสดุ ทา ยของปจ จบุ นั ภพ เมอื่ เกดิ ขนึ้ แลว ยอมดับไปดวยอํานาจของการจุติ เมื่อจิตนั้นสิ้นสุดดับไปแลว ลําดับตอจากจุติจิตนั้น จิตท่ีเรียกวา ปฏิสนธิจิต จะรับอารมณตามท่ี ๔๓๗
àªÔ§ÍÃö มรณาสันนวิถีจิต (วิถีจิตในเวลาใกลเสียชีวิต) รับอารมณไว ท้ังท่ีมี [หทยั ]วตั ถหุ รอื ทไ่ี มม [ี หทยั ]วตั ถุ อนั กศุ ลกรรมและอกศุ ลกรรมทปี่ รงุ แตง ท่ีแวดลอมดวยอวิชชานุสัยซึ่งมีตัณหานุสัยเปนรากเหงากอใหเกิดขึ้น ตามสมควร อันสัมปยุตธรรมเขาประสม เปนประธานโดยความเปน ที่ต้ัง แหงธรรม[คือรูปธรรมกับนามธรรม]ท่ีเกิดรวมกัน เม่ือเกิดขึ้นอยูยอม ดาํ รงอยใู นภพตอ ไปดวยอํานาจแหง การสืบตอ ภพอื่น” อวิชฺชานุสยมูลเกน ตณฺหานุสยปริกฺขิตฺเตนาติ ปน วุตฺเต สุฏุตรํ ยุชชฺ ติ. อวิชชฺ า หิ ตณฺหายป มลู ภูตา โหติ ตาย ปฏจิ ฺฉาทิตาทีนเว เอว อารมฺมเณ ตณฺหาปวตฺติสมภฺ วโต. ตณหฺ า จ ปน สหการิการณภาเวน ตํ ตํ สงฺขารํ นิโยเชนฺตี ปวตตฺ ตตี ิ สงขฺ ารสสฺ ปริวารภูตา พลวอาสนฺน- สหายภูตา โหตีต.ิ (ปรมตถฺ .ฏีกา ๕/๙๑/๒๔๖) “ถาหากพระอนุรุทธาจารยกลาว[สลับกัน]วา อวิชฺชานุสย- มลู เกน ตณหฺ านสุ ยปรกิ ขฺ ติ เฺ ตน (มอี วชิ ชานสุ ยั เปน รากเหงา แวดลอ มดว ย ตณั หานสุ ยั ) จะชดั เจนกวา เพราะอวชิ ชาเปน รากเหงา ยง่ิ กวา ตณั หา เนอ่ื ง ดวยตัณหาเกิดขึ้นในอารมณท่ีถูกอวิชชาปดบังโทษไว สวนตัณหาทําให สั่งสมสังขารน้ันๆ โดยความเปนเหตุเกิดรวมกัน ตัณหาจึงเกิดรวมกับ สงั ขารอยา งมีกาํ ลัง” ๒ ม.มู. ๑๒/๒๔๑/๒๐๓ ธาเรยฺย มตถฺ เก สทา ๓ สํ.ข. ๑๗/๒๒/๒๑-๒ ภาเรหิ ภริโต ตถา. ๔ โย โกจิ มนโุ ช ภารํ ภาเรน ทุกฺขิโต อสสฺ (ข.ุ อป. ๓๒/๓๕๒/๔๓) ๔๓๘
àªÔ§ÍÃö “ผูใดผูหน่ึงพึงทูนของหนักไวบนศีรษะตลอดเวลา เขาลําบาก เพราะของหนกั ตองแบกของหนักไว” ๕ ส.ํ ข. ๑๗/๒๒/๒๒ ๖ ข.ุ อป. ๓๒/๓๕๓/๔๓ ๗ สํ.ข. ๑๗/๓๐/๒๖ ๘ ส.ํ ข. ๑๗/๒๒/๒๑ ๙ มชั ฌิมนิกาย อปุ ริปณ ณาสก เทวทหสตู ร (ม.อ.ุ ๑๔/๑/๑) ๑๐ นามรูปปริจฺเฉเทน ตาว สกกฺ ายทฏิ ยิ า. (วิสทุ ธฺ .ิ ๒/๘๔๙/๓๘๐) “ลาํ ดบั แรก การขจดั สกั กายทฏิ ฐมิ ไี ดด ว ยนามรปู ปรจิ เฉทญาณ” ยํ ปเนตํ โลกิยํ, ตตฺถ ทุกฺขาณํ ปริยุฏานาภิภววเสน ปวตฺตมานํ สกฺกายทฏิ ึ นวิ ตฺเตต.ิ สมุทยาณํ อุจเฺ ฉททฏิ .ึ นโิ รธาณํ สสสฺ ตทิฏ .ึ มคฺคาณํ อกริ ยิ ทฏิ .ึ (วิสทุ ฺธ.ิ ๒/๕๖๓/๑๕๙) “อนึง่ ในสัจจญาณที่เปนโลกิยะนัน้ ทกุ ขญาณ (ความรูใ นทกุ ข) ยอมกําจัดสักกายทิฏฐิที่เปนไปเน่ืองดวยการฟูขึ้น[ในใจ]และครอบงํา สมุทยญาณ (ความรูในสมุทัย) ยอมกําจัดอุจเฉททิฏฐิ นิโรธญาณ (ความรใู นนโิ รธ) ยอ มกาํ จดั สสั สตทฏิ ฐิ มรรคญาณ (ความรใู นมรรค) ยอ ม กาํ จดั อกริ ยิ ทิฏฐิ” ตตฺถ ยํ นามรูปปริจฺเฉทโต ปฏาย สกฺกายทิฏาทีนํ วเสน นานากเิ ลสวิทฺธสํ นํ วตุ ตฺ ํ, อยํ โลกกิ าย ปฺ าภาวนาย อานสิ โํ ส. ยํ อริย- มคฺคกฺขเณ สํโยชนาทีนํ วเสน นานากิเลสวิทฺธํสนํ วุตฺตํ, อยํ โลกุตฺ- ตราย ปฺ าภาวนาย อานสิ โํ สติ เวทติ พโฺ พ. (วิสุทฺธิ. ๒/๘๕๕/๓๘๓) ๔๓๙
àªÔ§ÍÃö “ในเรื่องน้ัน พึงทราบการทําลายกิเลสตางๆ โดยเน่ืองดวย สักกายทฏิ ฐิเปนตน ตงั้ แตน ามรปู ปรจิ เฉทญาณ เปน อานิสงสของปญญา ภาวนาฝายโลกิยะ สวนการทําลายกิเลสตางๆ โดยเน่ืองดวยสังโยชน เปนตน ในขณะ[บรรลุ]อริยมรรคท่ีไดกลาวมาแลว เปนอานิสงสของ ปญ ญาภาวนาฝายโลกตุ ตระ” ๑๑ วฏฏขาณุ นาเมส สตฺโต ปวโี คปโก, เยภุยฺเยน เอวรูปสสฺ ภวโต วฏุ านํ นตถฺ .ิ (ท.ี ส.ี อ. ๑/๑๗๐-๗๒/๑๕๑) “บุคคลนีช้ อ่ื วาตอในวัฏฏะ เปน ผูเ ฝา แผน ดนิ การออกจากภพ ของคนเชน น้มี กั ไมม ีเปน สว นใหญ” ๑๒ เย วา ปน ตสฺมึ สมเย อฺเญป อตฺถิ ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา อรูปโน ธมฺมา เปตฺวา เวทนากฺขนฺธํ เปตฺวา สฺากฺขนฺธํ เปตฺวา วิ ฺ าณกฺขนธฺ ,ํ อยํ ตสมฺ ึ สมเย สงฺขารกฺขนฺโธ โหต.ิ (อภิ.สง.ฺ ๓๔/๖๒/๓๒) “หรอื แมน ามธรรมอน่ื ทอี่ งิ อาศยั กนั เกดิ ขนึ้ ในสมยั นน้ั เวน เวทนา ขันธ สัญญาขันธ และวญิ ญาณขันธ นี้ชื่อวาสงั ขารขนั ธที่เกิดขึ้นในสมัย นัน้ ” ๑๓ ขุ.ชา. ๒๗/๑๙๐/๗๑ นาภินนฺทามิ ชีวติ ํ ๑๔ นาภินนทฺ ามิ มรณํ นิพพฺ สิ ํ ภตโก ยถา. กาลจฺ ปฏิกงฺขามิ (ขุ.เถร. ๒๖/๖๐๖/๓๕๔) “ฉันไมไดยินดีความตาย ไมเพลิดเพลินความเปนอยู และรอ เวลาอยู เหมือนลกู จางรอรับคา จา ง” ๑๕ ม.มู.อ. ๑/๑๕๘/๓๗๑ ๔๔๐
àªÔ§ÍÃö ๑๖ กามราเคน ฑยหฺ ามิ จิตฺตํ เม ปรฑิ ยหฺ ติ สาธุ นิพพฺ าปนํ พฺรูหิ อนกุ มฺปาย โคตม. (ส.ํ ส. ๑๕/๒๑๒/๒๒๗) “กระผมถกู กามราคะแผดเผา จติ ของกระผมเรา รอ น ทา นผเู ปน โคตมโคตร ดงั กระผมจะขอโอกาส ขอทา นโปรดอนเุ คราะหช ว ยบอกเหตุ ทดี่ บั ราคะใหดว ย” ๑๗ ส.ํ ส. ๑๕/๒๑๒/๒๒๗ ๑๘ อง.ฺ ปฺจก. ๒๒/๖๙/๗๗ ๑๙ วิสทุ ธฺ .ิ ๒/๔๗๙/๑๑๐ ๒๐ วิสทุ ธฺ .ิ ๒/๔๘๕/๑๑๒ ๒๑ วสิ ทุ ฺธิ. ๒/๔๖๗/๑๐๖ ๒๒ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๘๓/๔๙ ๒๓ นมกกฺ าร ๑ ๒๔ ส.ํ ข. ๑๗/๒๒/๒๒ ๒๕ วสิ ุทธฺ ิ.มหาฏกี า ๒/๕๓๐/๒๑๒ ๒๖ ปจฺจเยหิ สงคฺ มฺม กรยี นตฺ ตี ิ สงฺขารา. (ข.ุ ป.อ. ๑/๑/๖๗) “สงั ขาร คอื ธรรมท่ถี กู ปจ จยั ประชุมปรงุ แตง ” ๒๗ สํ.ข. ๑๗/๒๒/๒๑ ๒๘ อภ.ิ ก.อ. ๓/๒๓๗/๑๖๐ ๒๙ อภิ.ก.อ. ๓/๒๓๗/๑๖๐ ๓๐ ส.ํ ส. ๑๕/๑๗๑/๑๖๒ ๓๑ ส.ํ ส. ๑๕/๑๗๑/๑๖๓ ๔๔๑
àªÔ§ÍÃö ๓๒ สํ.ส. ๑๕/๑๗๑/๑๖๓ ๓๓ สํ.ส. ๑๕/๑๗๑/๑๖๓ ๓๔ คาถาน้เี ปนบทประพนั ธข องโบราณาจารยพ มาซึง่ แตง รอ ยแกว ในคัมภรี ว ิสทุ ธมิ รรคเปน รอ ยกรอง มีขอ ความในคมั ภีรวิสทุ ธิมรรควา สเจ ปน กติปาหํ เภสชชฺ ํ กโรนตฺ สสฺ ป น วูปสมมฺ ติ. นาหํ ทาโส, น ภฏโก. ตํเยว หิ โปเสนฺโต อนมตคเฺ ค สสํ ารวฏเ ฏ ทกุ ขฺ ํ ปตโฺ ตติ อตตฺ - ภาวํ ครหติ วฺ า สมณธมฺโม กาตพฺโพติ. (วิสุทฺธ.ิ ๑/๔๑/๑๐๒) “อนึ่ง เม่ือภิกษุฉันยาสองสามวันแลวโรคไมระงับไป เธอพึง ตําหนิรางกายวา ‘เราไมใชทาสหรือคนงาน[ของเจา] เราไดรับทุกขใน สงั สารวฏั อนั ไมป รากฏเบอื้ งตน เพราะเลย้ี งดเู จา โดยแท’ แลว เจรญิ สมณ- ธรรม” ๓๕ ส.ํ ข. ๑๗/๒๒/๒๑ ๓๖ ข.ุ ธ. ๒๕/๒๕๑/๖๐ ๓๗ ขุ.ธ. ๒๕/๑๕๓/๔๔ ๓๘ ขุ.ธ. ๒๕/๑๕๔/๔๔ ๓๙ สํ.ข. ๑๗/๒๒/๒๒ ๔๐ สํ.ข. ๑๗/๒๒/๒๒ ๔๑ สํ.ม. ๑๙/๑๑๒๑/๓๙๘ ๔๒ ส.ํ ข. ๑๗/๒๒/๒๒ ๔๓ ข.ุ ธ. ๒๕/๒๐๓/๕๒ ๔๔ สํ.ข. ๑๗/๒๒/๒๒ ๔๔๒
àªÔ§ÍÃö เชิงอรรถ : อาสวี โิ สปมสูตร ๑ ส.ํ สฬา. ๑๘/๒๓๘/๑๖๒ ๒ จตฺตาโร อาสีวสิ า อุคฺคเตชา โฆรวิสา”ติ โข ภกิ ขฺ เว จตนุ ฺเนตํ มหาภตู านํ อธิวจนํ ปวธี าตุยา อาโปธาตยุ า เตโชธาตุยา วาโยธาตยุ า. (สํ.สฬา. ๑๘/๒๓๘/๑๖๓) “คําวา อสรพิษซงึ่ มีเดชมาก มีพษิ กลา ๔ จําพวก นัน้ เปน ชื่อ ของมหาภูตรปู ๔ คือ ปฐวีธาตุ (ธาตุดนิ ) อาโปธาตุ (ธาตนุ ้าํ ) เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) และวาโยธาตุ (ธาตุลม)” ทฏโ กฏ มุเขน วา ๓ ปตถฺ ทโฺ ธ ภวติ กาโย ปถวีธาตปุ ปฺ โกเปน โหติ กฏมุเขว โส. (วิสุทธฺ ิ. ๑/๓๕๒/๔๐๗) “รา งกายถกู งปู ากไมก ดั ยอ มแขง็ กระดา ง ฉนั ใด เพราะปฐวธี าตุ กําเรบิ รางกายนนั้ ก็เปนดังอยูในปากงปู ากไม ฉันนั้น” ปูติโย ภวติ กาโย ทฏโ ปูติมุเขน วา อาโปธาตุปฺปโกเปน โหติ ปูติมเุ ขว โส. (วิสทุ ธฺ .ิ ๑/๓๕๒/๔๐๗) “รา งกายถูกงปู ากเนากดั ยอมเนาเปอ ย ฉันใด เพราะอาโปธาตุ กําเรบิ รา งกายนน้ั กเ็ ปนดังอยใู นปากงปู ากเนา ฉันน้นั ” ๔๔๓
àªÔ§ÍÃö สนฺตตโฺ ต ภวติ กาโย ทฏโ อคคฺ ิมเุ ขน วา เตโชธาตปุ ฺปโกเปน โหติ อคฺคมิ เุ ขว โส. (วสิ ทุ ฺธ.ิ ๑/๓๕๒/๔๐๗) “รา งกายถูกงูปากไฟกดั ยอ มรอ นกลมุ ฉนั ใด เพราะเตโชธาตุ กําเริบ รา งกายน้ันก็เปนดงั อยูในปากงปู ากไฟ ฉันนัน้ ” สฉฺ นิ โฺ น ภวติ กาโย ทฏโ สตฺถมเุ ขน วา วาโยธาตปุ ปฺ โกเปน โหติ สตถฺ มเุ ขว โส. (วสิ ุทฺธิ. ๑/๓๕๒/๔๐๗) “รางกายถูกงูปากมีดกัด ยอมขาดไป ฉันใด เพราะวาโยธาตุ กาํ เรบิ รางกายนนั้ กเ็ ปน ดังอยูในปากงูปากมดี ฉันนั้น” ๔ กตมา จาวุโส อชฺฌตฺติกา เตโชธาตุ ? ยํ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ เตโช เตโชคตํ อปุ าทนิ ฺนํ เสยยฺ ถทิ ํ ? เยน จ สนฺตปปฺ ติ, เยน จ ชีรยี ต,ิ เยน จ ปริฑยฺหติ, เยน จ อสิตปตขายิตสายิตํ สมฺมา ปริณามํ คจฺฉติ. ยํ วา ปนฺ มฺป กิฺ จิ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ เตโช เตโชคตํ อุปาทินฺนํ; อยํ วุจจฺ ตาวโุ ส อชฌฺ ตตฺ กิ า เตโชธาตุ. (ม.ม.ู ๑๒/๓๐๔/๒๖๖) “เตโชธาตุภายใน เปนอยางไร คือ เตโชธาตุท่ีเกิดภายในตน อาศัยตนเกิดข้ึน เรารอน มีความเรารอน ถูกตัณหาและทิฏฐิเขาไป ยดึ มน่ั [วา เปน เราและของเรา] ไดแ ก เตโชธาตทุ ที่ าํ ใหร า งกายอบอนุ ทาํ ให รา งกายทรดุ โทรม ทาํ ใหร า งกายเรา รอ น ทาํ ใหย อ ยสงิ่ ทก่ี นิ ดมื่ เคย้ี ว และ ลม้ิ รส หรือเตโชธาตอุ ยา งใดอยา งหนึง่ อื่นท่ีเกดิ ภายในตน อาศัยตนเกิด ขนึ้ เรารอ น มีความเรา รอน ถกู ตณั หาและทฏิ ฐิเขา ไปยดึ ม่ัน[วาเปนเรา และของเรา] เตโชธาตนุ ้ีช่อื วา เตโชธาตภุ ายใน” ๔๔๔
àªÔ§ÍÃö ๕ ปุน จปรํ ภกิ ฺขเว ภิกฺขุ อมิ เมว กายํ ยถาติ ํ ยถาปณหิ ิตํ ธาตุโส ปจจฺ เวกฺขติ อตฺถิ อิมสฺมึ กาเย ปวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตูติ. (ที.ม. ๑๐/๓๗๘/๒๕๒) “อีกประการหนึ่ง ภิกษุยอมพิจารณาเห็นกายน้ีตามที่ต้ังไว ดํารงอยโู ดยความเปน ธาตุวา ธาตดุ ิน ธาตนุ ้ํา ธาตไุ ฟ และธาตลุ ม มอี ยู ในกายนี้” เสยฺยถาป ภิกฺขเว ทกฺโข โคฆาตโก วา โคฆาตกนฺเตวาสีวา คาวึ วธิตฺวา จาตุมหาปเถ วิลโส ปฏิวิภชิตฺวา นิสินฺโน อสฺส, เอวเมว โข ภกิ ฺขเว ภิกขฺ ุ อมิ เมว กายํ ยถาติ ํ ยถาปณหิ ิตํ ธาตุโส ปจฺจเวกฺขติ อตฺถิ อิมสฺมึ กาเย ปวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตูติ. (ที.ม. ๑๐/๓๗๘/๒๕๒) “อุปมาเหมือนคนฆาโคหรือลูกมือของคนฆาโคผูฉลาดฆาโค แลวชําแหละออกเปนกองๆ นั่งอยูที่หนทางใหญส่ีแพรง ฉันใด ภิกษุก็ ฉนั นัน้ ยอมพิจารณาเห็นกายนตี้ ามท่ตี ัง้ ไวดาํ รงอยูโดยความเปนธาตวุ า ธาตดุ นิ ธาตุนํ้า ธาตไุ ฟ และธาตุลม มีอยใู นกายนี้” ยถา โกจิ โคฆาตโก วา ตสฺเสว วา ภตฺตเวตนภโต อนเฺ ตวาสิโก คาวึ วธิตวฺ า วนิ ิวชิ ฺฌิตฺวา จตสฺโส ทสิ า คตานํ มหาปถานํ เวมชฺฌฏาน- สงฺขาเต จตุมหาปเถ โกฏาสํ โกฏาสํ กตฺวา นิสินฺโน อสฺส, เอวเมว ภิกฺขุ จตุนฺนํ อิริยาปถานํ เยน เกนจิ อากาเรน ิตตฺตา ยถาิตํ ยถาติ ตฺตา จ ยถาปณิหิตํ กายํ “อตฺถิ อิมสฺมึ กาเย ปถวีธาตุ ฯเปฯ วาโยธาตูติ เอวํ ปจฺจเวกฺขติ. กึ วุตฺตํ โหติ:- ยถา โคฆาตกสฺส คาวึ โปเสนฺตสฺสาป อาฆาตนํ อาหรนฺตสฺสาป อาหริตฺวา ตตฺถ พนฺธิตฺวา ๔๔๕
àªÔ§ÍÃö เปนตฺ สสฺ ป วเธนฺตสสฺ าป วธติ ํ มตํ ปสสฺ นตฺ สฺสาป ตาวเทว คาวตี ิ สฺา น อนตฺ รธายติ, ยาว นํ ปทาเลตวฺ า พิลโส น วภิ ชต.ิ วภิ ชิตฺวา นิสนิ ฺนสฺส ปนสฺส คาวีติ สฺ า อนฺตรธายติ มสํ สฺา ปวตฺตติ. นาสสฺ เอวํ โหติ “อหํ คาวึ วกิ กฺ ณิ ามิ. อิเม คาวึ หรนตฺ ีติ. อถ ขฺวสฺส “อหํ มสํ ํ วิกฺกิณามิ. อิเม มํสํ หรนฺติจฺเจว โหติ, เอวเมว อิมสฺสาป ภิกฺขุโน ปุพฺเพ พาล- ปุถชุ ชฺ นกาเล คิหภิ ูตสฺสาป ปพพฺ ชติ สฺสาป ตาวเทว สตฺโตติ วา ปุคคฺ โลติ วา สฺา น อนฺตรธายติ ยาว อิมเมว กายํ ยถาติ ํ ยถาปณิหิตํ ฆนวินพิ โฺ ภคํ กตวฺ า ธาตโุ ส น ปจจฺ เวกฺขติ. ธาตโุ ส ปจฺจเวกขฺ โต ปนสฺส สตฺตสฺา อนฺตรธายติ ธาตุวเสเนว จิตฺตํ สนฺติฏติ. เตนาห ภควา “‘อมิ เมว กายํ ยถาติ ํ ยถาปณิหติ ํ ธาตโุ ส ปจฺจเวกขฺ ติ อตฺถิ อิมสมฺ ึ กาเย ปถวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตูติ. เสยฺยถาป ภิกฺขเว ทกฺโข โคฆาตโก วาฯเปฯ วาโยธาตูติ. โคฆาตโก วิย หิ โยคี. คาวีติ สฺา วิย สตฺตสฺา. จตุมหาปโถ วิย จตุอิริยาปโถ. พิลโส วิภชิตฺวา นิสนิ ฺนภาโว วยิ ธาตโุ ส ปจฺจเวกขฺ ณนฺติ อยเมตถฺ ปาฬวณณฺ นา. กมมฺ ฏ- านกถา ปน วสิ ทุ ฺธมิ คเฺ ค วิตฺถาริตา. (ท.ี ม.อ. ๒/๓๗๘/๓๘๔-๘๕) คนฆาโคหรือลูกมือท่ีเปนลูกจางของเขา คร้ันฆาโคแลวก็ ชําแหละแยกเปนสวนๆ น่ังขายอยูท่ีทาง ๔ แพรงกลาวคือที่ทามกลาง ถนนใหญท แี่ ยกไป ๔ ทศิ ฉนั ใด ภกิ ษกุ ฉ็ นั นนั้ ยอ มพจิ ารณาเหน็ กายตาม ทีต่ ้งั ไว เพราะตั้งอยโู ดยอาการอยา งใดอยา งหน่ึงในอริ ิยาบถทั้ง ๔ และ ตามท่ดี ํารงอยู เพราะเปน ไปตามที่ตัง้ ไวอยา งน้วี า ‘ธาตุดิน ... ธาตุลม มี อยใู นกายน้”ี ๔๔๖
àªÔ§ÍÃö “ความหมายคือ คนฆาโคเมื่อกําลังเลี้ยงโคก็ดี จูงไปที่ฆาก็ดี ครั้นนํามาแลวผูกใหยืนอยูในท่ีน้ันก็ดี กําลังฆาก็ดี กําลังดูแมโคท่ีถูกฆา ตายไปก็ดี ความหมายรูวาโคยังไมจางหายไปทันที ตราบท่ีเขายังไม ชําแหละโคนนั้ แยกออกเปนสว นๆ แตค รั้นนัง่ ชําแหละแลว ความหมายรู วาแมโคจึงจางหายไป ความหมายรูวาเนื้อเขามาแทน เขาไมคิดอยางน้ี วา ‘เราขายโค ชนเหลา นีน้ าํ โคไป’ แตเขาคดิ เพียงเทา นวี้ า ‘เราขายเน้ือ ชนเหลานี้นาํ เนือ้ ไป’ ฉนั ใด ในเวลาที่ภิกษุน้ียังเปนปุถุชนคนเขลาในกาลกอนก็ฉันน้ัน คือ เมอื่ บคุ คลเปน คฤหสั ถก ด็ ี เปน บรรพชติ กด็ ี ความหมายรวู า สตั วห รอื บคุ คล ยังไมจางหายไปทันที ตราบที่เขายังไมไดแยกกายน้ีตามท่ีต้ังไวดํารง อยูใหออกจากความเปนกลุมกอนแลวพิจารณาโดยความเปนธาตุ แต เมอ่ื เขาพจิ ารณาโดยความเปน ธาตอุ ยู ความหมายรวู า สตั วจ งึ จางหายไป จติ ตั้งมั่นอยูโดยความเปน ธาตุ ดงั พระพทุ ธดาํ รสั วา ‘ภกิ ษยุ อ มพจิ ารณาเหน็ กายนตี้ ามทต่ี ง้ั ไวด าํ รงอยโู ดยความเปน ธาตุวา ธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตไุ ฟ และธาตลุ ม มอี ยูในกายน้ี อุปมาเหมือน คนฆา โคหรือลกู มอื ของคนฆาโคผฉู ลาด ... ธาตดุ ิน ธาตนุ ้ํา ธาตไุ ฟ และ ธาตุลม มีอยใู นกายน’้ี กลา วโดยละเอยี ดวา ภกิ ษผุ บู าํ เพญ็ เพยี รเหมอื นคนฆา โค ความ หมายรูวาสัตวเหมือนความหมายรูวาโค อิริยาบถทั้ง ๔ เหมือนทาง ๔ แพรง การพจิ ารณาเหน็ โดยความเปน ธาตุ เหมอื นคนฆาโคผูนั่งชาํ แหละ เนอ้ื ออกเปน สว นๆ ทก่ี ลา วมานเี้ ปน คาํ อธบิ ายพระบาลใี นเรอ่ื งน้ี สว นเรอื่ ง กรรมฐานไดอธิบายไวแลว ในคมั ภรี ว สิ ทุ ธมิ รรค” ๔๔๗
àªÔ§ÍÃö ๖ วิสุทธฺ ิ. ๑/๓๕๐/๔๐๕ ๗ สภาควสิ ภาคโตติ เอวํ อวนิ ิพภฺ ตุ ตฺ าสุ จาป เอตาสุ ปุรมิ า เทฺว ครุกตตฺ า สภาคา. ตถา ปจฉฺ มิ า ลหกุ ตฺตา. ปรุ ิมา ปน ปจฺฉมิ าหิ ปจฉฺ ิมา จ ปุริมาหิ วิสภาคาติ เอวํ สภาควิสภาคโต มนสิกาตพฺพา. (วิสุทฺธิ. ๑/๓๕๔/๔๐๘) “คําวา สภาควสิ ภาคโต (โดยเขา กันไดแ ละไมไ ด) หมายความ วา ในบรรดาธาตเุ หลา นที้ แี่ มจ ะไมแ ยกจากกนั อยา งนนั้ ธาตุ ๒ อยา งแรก เขากันไดเพราะมีสภาวะหนักเหมือนกัน ธาตุ ๒ อยางหลังเขากันได เหมอื นกัน เพราะมสี ภาวะเบา แตธ าตุอยางแรกกับธาตอุ ยา งหลัง และ ธาตอุ ยา งหลังกบั ธาตุอยา งแรก เขา กันไมได ผเู พียรปฏบิ ตั คิ วรใสใจโดย เขา กันไดแ ละไมไ ดอ ยางน้”ี ๘ วาโยธาตุยา อนคุ ตา เตโชธาตุ อุทฺธรณสฺส ปจจฺ โย. อทุ ธฺ รณ- คตกิ า หิ เตโชธาตตู ิ. เตโชธาตุยา อนุคตา วาโยธาตุ อตหิ รณวีตหิ รณานํ ปจฺจโย. ติริยคติกาย หิ วาโยธาตุยา อติหรณวีติหรเณสุ สาติสโย พฺยาปาโรติ. ปถวีธาตุยา อนุคตา อาโปธาตุ โวสฺสชฺชนสฺส ปจฺจโย. ครตุ รสภาวา หิ อาโปธาตตู .ิ (ท.ี ส.ี ฏกี า ๑/๒๑๔/๓๐๑-๒, ม.ม.ู ฏกี า ๑/๑๐๙/๔๔๖) “ธาตุไฟท่ีมีธาตุลมไปตาม ยอมเปนปจจัยแกการยก เพราะ ธาตุไฟมสี ภาวะพงุ ข้นึ สูง ธาตุลมอันมีธาตุไฟไปตาม ยอมเปนปจจัยแกการยางและกาว ไปขางหนา เพราะความขวนขวายยิ่งในการยางเทาและดันเทายอมมี แกธ าตุลมทีม่ สี ภาวะไปทางขวาง ๔๔๘
àªÔ§ÍÃö ธาตนุ าํ้ อนั มธี าตดุ นิ ไปตาม ยอ มเปน ปจ จยั แกก ารเหยยี บ เพราะ ธาตนุ ้าํ มีสภาวะหนักกวา [ธาตดุ นิ ]” ๙ วิสุทธฺ ิ. ๑/๓๕๐/๔๐๕ ๑๐ วิสุทฺธิ. ๑/๓๕๐/๔๐๕ ๑๑ ปฺจ วธกา ปจฺจตฺถิกา”ติ โข ภิกฺขเว ปฺจนฺเนตํ อุปาทาน- กขฺ นฺธานํ อธิวจน.ํ เสยฺยถิท.ํ รปู ปุ าทานกฺขนธฺ สฺส เวทนุปาทานกฺขนฺธสสฺ สฺุปาทานกฺขนฺธสฺส สงฺขารุปาทานกฺขนฺธสฺส วิฺาณุปาทานกฺ- ขนธฺ สฺส. (ส.ํ สฬา. ๑๘/๒๓๘/๑๖๓) “คําวา นกั ฆาซงึ่ เปน ศัตรู ๕ จาํ พวก น้ัน เปนชือ่ ของอุปาทาน ขนั ธ ๕ ไดแ ก รูปปุ าทานขนั ธ (อุปาทานขันธค อื รูป) เวทนปุ าทานขนั ธ (อุปาทานขันธคือเวทนา) สัญุปาทานขันธ (อุปาทานขันธคือสัญญา) สังขารุปาทานขันธ (อุปาทานขันธคือสังขาร) วิญญาณุปาทานขันธ (อปุ าทานขนั ธค ือวญิ ญาณ)” ๑๒ สฺชานาตีติ สฺา. ปุน ชานนตฺถํ สฺญาณํ กโรตีติ อตฺโถ. อยหฺ ิ ปุพเฺ พ คหิตสฺญาเณน สฺชานนกาเลป ปนุ ชานนตฺถํ สฺาณํ กโรตเิ ยวาต.ิ สา หิ เอวํ ปนุ ปปฺ นุ ํ สญฺ าณํ กตวฺ า อปุ ปฺ ชชฺ มานา ถริ สฺ า- ภาวํ ปตวฺ า ยาวตายกุ ํป ภวนฺตรํ ปตวฺ าป สตฺตานํ อปปฺ มฏุ ภาวํ สาเธต.ิ มจิ ฉฺ าภนิ เิ วสสญฺ าภาวํ ปตฺวา จ อเิ ม สตฺเต สพพฺ ฺ พุ ทุ เฺ ธหปิ โพเธตุํ อสกกฺ เุ ณยเฺ ย กโรตีต.ิ (ปรมตถฺ .ฏกี า ๑/๗๑/๘๒) “สญั ญา (ความหมายร)ู คือ สภาวะหมายร[ู อารมณ] หมายถึง กระทาํ ความหมายรูเพอ่ื ใหร ูอีก[ในโอกาสตอไป] โดยแทจ ริงแลว สภาว- ธรรมนเี้ ปน การกระทาํ ความหมายรเู พอื่ ใหร อู กี ในเวลาทจ่ี าํ ไดต ามทไี่ ดร บั ๔๔๙
àªÔ§ÍÃö รูมากอน อธิบายไดวา สัญญาเมื่อเกิดขึ้นมีการย้ําความหมายรูบอยๆ อยา งนี้ ยอ มถึงความเปน สัญญาทีฝ่ งตดิ แนน ไปตลอดชีพบา ง ตดิ ตามไป ถึงภพอ่ืนบาง ยอมใหผลเปนความไมลืมแกเหลาสัตว เม่ือบรรลุถึง ความเปนสัญญาที่ยึดม่ันผิด ยอมมีผลใหเหลาสัตวน้ีกลายเปนผูท่ีแม พระสพั พญั ูก็ไมอาจโปรดใหรแู จงได” ๑๓ สํ.ส. ๑๕/๑๗๐/๑๖๒ ๑๔ ฉฏโ อนฺตรจโร วธโก อุกฺขิตฺตาสิโก”ติ โข ภิกฺขเว นนฺที- ราคสฺเสตํ อธวิ จน.ํ (ส.ํ สฬา. ๑๘/๒๓๘/๑๖๓) “คําวา นักฆาผูเปนสายลับจําพวกท่ี ๖ ซ่ึงเง้ือดาบติดตามไป นน้ั เปน ช่ือของนันทรี าคะ (ความยินดีพอใจ)” ๑๕ ปุน จปรํ ภิกฺขเว พาลํ ปสมารูฬฺหํ วา มฺจสมารูฬฺหํ วา ฉมายํ วา เสมานํ ยานิสฺส ปุพฺเพ ปาปกานิ กมฺมานิ กตานิ กาเยน ทุจฺจริตานิ วาจาย ทุจฺจริตานิ มนสา ทุจฺจริตานิ, ตานิสฺส ตมฺหิ สมเย โอลมฺพนฺติ อชฺโฌลมฺพนฺติ อภิปฺปลมฺพนฺติ. เสยฺยถาป ภิกฺขเว มหตํ ปพฺพตกูฏานํ ฉายา สายณฺหสมยํ ปวิยา โอลมฺพนฺติ อชฺโฌลมฺพนฺติ อภปิ ปฺ ลมพฺ นตฺ ิ, เอวเมว โข ภกิ ขฺ เว พาลํ ปสมารูฬหฺ ํ วา มจฺ สมารูฬหฺ ํ วา ฉมายํ วา เสมานํ ยานสิ สฺ ปุพฺเพ ปาปกานิ กมฺมานิ กตานิ กาเยน ทุจฺจริตานิ วาจาย ทุจฺจริตานิ มนสา ทุจฺจริตานิ, ตานิสฺส ตมฺหิ สมเย โอลมพฺ นตฺ ิ อชฺโฌลมพฺ นตฺ ิ อภปิ ปฺ ลมพฺ นฺติ. (ม.อ.ุ ๑๔/๒๔๘/๒๑๕) “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อกี ประการหนง่ึ ในสมยั นน้ั บาปกรรมทคี่ นพาล ทาํ ไวใ นกาลกอ น คอื ทจุ รติ ทางกาย วาจา และใจ ยอ มหนว งเหนย่ี วบดบงั ครอบงาํ คนพาลผูอ ยูบนต่ัง บนเตยี ง หรือนอนบนพ้ืน อุปมาเหมือนเงา ๔๕๐
àªÔ§ÍÃö ของยอดภูเขาใหญ ยอ มปดก้นั บดบงั ครอบคลมุ แผนดินใหญใ นเวลาเยน็ ฉันใด ในสมัยนั้น บาปกรรมท่ีคนพาลทําไวในกาลกอน คือ ทุจริตทาง กาย วาจา และใจ ยอ มหนว งเหนยี่ วบดบงั ครอบงาํ คนพาลผอู ยบู นตง่ั บน เตียง หรือนอนบนพื้น ฉนั น้นั ” ๑๖ สฺุโ คาโมติ โข ภิกฺขเว ฉนฺเนตํ อชฺฌตฺติกานํ อายตนานํ อธวิ จนํ. (ส.ํ สฬา. ๑๘/๒๓๘/๑๖๓) “คาํ วา หมูบา นราง นัน้ เปนชื่อของอายตนะภายใน ๖” ๑๗ อิทจฺ อนมตคเฺ ค สํสาเร ปวตตฺ ํ อตวี อายตํ สสํ ารทกุ ฺขํ ยาว น นวิ ตฺตต,ิ ตาว นยนฺเตว ปวตฺตยนตฺ ีติ วุตฺตํ โหติ. (อภิ.วิ.อ. ๒/๑๕๔/๕๐) “อนึ่ง สภาวธรรมเหลา นั้นนาํ มาให คือ กอ ใหเกิดสังสารทกุ ขน ้ี อนั ยาวนานย่ิงซึ่งดาํ เนินไปในสังสารวัฏอนั ไมปรากฏเบือ้ งตน ตราบเทา ท่ีสังสารทุกขยังไมหยดุ ย้งั ลง [ฉะนนั้ จงึ ชอ่ื วา อายตนะ]” ๑๘ โจรา คามฆาตกาติ โข ภิกฺขเว ฉนฺเนตํ พาหิรานํ อายตนานํ อธิวจนํ. (ส.ํ สฬา. ๑๘/๒๓๘/๑๖๔) “คาํ วา พวกโจรผูฆา ชาวบาน นน้ั เปน ชอ่ื ของอายตนะภายนอก ๖” ๑๙ มหาอุทกณฺณโวติ โข ภิกฺขเว จตุนฺเนตํ โอฆานํ อธิวจนํ. กาโมฆสสฺ ภโวฆสฺส ทฏิ โ ฆสฺส อวชิ โฺ ชฆสฺส. (สํ.สฬา. ๑๘/๒๓๘/๑๖๔) “คาํ วา หว งน้ําใหญ นั้นเปน ชอื่ ของโอฆะ (หวงน้ํา) ท้ัง ๔ คอื กาโมฆะ (โอฆะคอื กาม) ภโวฆะ (โอฆะคอื ภพ) ทฏิ โฐฆะ (โอฆะคอื ทิฏฐิ) และอวิชโชฆะ (โอฆะคอื อวิชชา)” ๔๕๑
àªÔ§ÍÃö ๒๐ นามรปู ปรจิ เฺ ฉเทน ตาว สกกฺ ายทฏิ ยิ า. (วสิ ทุ ธฺ .ิ ๒/๘๔๙/๓๘๐) “ลาํ ดบั แรก การขจดั สกั กายทฏิ ฐมิ ไี ดด ว ยนามรปู ปรจิ เฉทญาณ” ยํ ปเนตํ โลกิยํ, ตตฺถ ทุกฺขาณํ ปริยุฏานาภิภววเสน ปวตตฺ มานํ สกฺกายทฏิ ึ นวิ ตฺเตต.ิ สมทุ ยาณํ อจุ เฺ ฉททิฏ.ึ นโิ รธาณํ สสสฺ ตทฏิ .ึ มคฺคญาณํ อกริ ิยทฏิ .ึ (วิสุทฺธิ. ๒/๕๖๓/๑๕๙) “อนึ่ง ในสัจจญาณทเ่ี ปนโลกยิ ะนน้ั ทุกขญาณ (ความรใู นทกุ ข) ยอมกําจัดสักกายทิฏฐิท่ีเปนไปเน่ืองดวยการฟูข้ึน[ในใจ]และครอบงํา สมุทยญาณ (ความรูในสมุทัย) ยอมกําจัดอุจเฉททิฏฐิ นิโรธญาณ (ความรใู นนโิ รธ) ยอ มกาํ จดั สสั สตทฏิ ฐิ มรรคญาณ (ความรใู นมรรค) ยอ ม กาํ จดั อกริ ิยทิฏฐ”ิ ตตฺถ ยํ นามรูปปริจฺเฉทโต ปฏาย สกฺกายทิฏาทีนํ วเสน นานากิเลสวิทฺธํสนํ วุตฺตํ, อยํ โลกิกาย ปฺญาภาวนาย อานิสํโส. ยํ อริยมคคฺ กขฺ เณ สโํ ยชนาทนี ํ วเสน นานากเิ ลสวิทฺธํสนํ วตุ ตฺ ํ, อยํ โลกุตฺ- ตราย ปฺ าภาวนาย อานิสํโสติ เวทติ พฺโพ. (วสิ ุทธฺ .ิ ๒/๘๕๕/๓๘๓) “ในเร่ืองนั้น พึงทราบการทําลายกิเลสตางๆ โดยเนื่องดวย สกั กายทิฏฐเิ ปน ตนต้ังแตนามรปู ปริจเฉทญาณ เปนอานสิ งสของปญญา ภาวนาฝายโลกิยะ สวนการทําลายกิเลสตางๆ โดยเนื่องดวยสังโยชน เปนตน ในขณะ[บรรลุ]อริยมรรคที่ไดกลาวมาแลว เปนอานิสงสของ ปญญาภาวนาฝายโลกตุ ตระ” ๒๑ หตฺถโต หิ ตฏฏ เก วา สรเก วา กิสมฺ ิ จฺ เิ ทว วา ปตติ ฺวา ภินเฺ น อโห อนิจจฺ นตฺ ิ วทนตฺ ิ. เอวํ อนจิ จฺ ํ ปากฏํ นาม. อตฺตภาวสมฺ ึ ปน คณฺฑ- ปฬกาทีสุ วา อุฏติ าสุ ขาณุกณฺฏกาทีหิ วา วิทฺธาสุ อโห ทุกฺขนฺติ ๔๕๒
àªÔ§ÍÃö วทนฺต.ิ เอวํ ทกุ ขฺ ํ ปากฏํ นาม. อนตฺตลกฺขณํ อปากฏํ อนธฺ การํ อวภิ ตู ํ ทุปฺปฏิวชิ ฺฌํ ทุททฺ ีปนํ ทุปปฺ ฺาปนํ อนิจฺจทุกฺขลกขฺ ณานิ อปุ ปฺ าทา วา ตถาคตานํ อนุปปฺ าทา วา ปฺายนตฺ ิ. อนตฺตลกฺขณํ วินา พทุ ธฺ ุปปฺ าทา น ปฺ ายต,ิ พทุ ฺธปุ ปฺ าเทเยว ปฺ ายติ. (อภ.ิ ว.ิ อ. ๒/๑๕๔/๕๕) “กลา วโดยละเอียดวา เม่ือจาน ถว ย หรือสิ่งของอะไรๆ กต็ าม ตกจากมือแตก คนทัง้ หลายมกั พดู กนั วา ‘โถ! มนั ไมเทย่ี ง’ ความไมเทย่ี ง ช่ือวาปรากฏแลวอยางน้ี อน่ึง เม่ือฝและตอมเปนตนเกิดขึ้นในรางกาย หรือถกู ตอและหนามเปน ตน ทิม่ ตํา กม็ กั พูดกนั วา ‘โอ! เปน ทุกข’ ทกุ ข ช่ือวาปรากฏแลวอยางน้ี แตอนัตตลักษณะยังมืดมน ไมปรากฏแจมชัด เขาใจไดยาก แสดงไดย าก ประกาศใหเ ขาใจไดย าก อนิจจลักษณะและ ทุกขลักษณะยอมปรากฏแมพระตถาคตจะอุบัติหรือยังไมอุบัติก็ตาม แตอ นตั ตลกั ษณะไมป รากฏนอกเวลาอบุ ตั ขิ น้ึ ของพระพทุ ธเจา จะปรากฏ เฉพาะในเวลาพระพุทธเจาทรงอุบตั ขิ น้ึ เทา นน้ั ” ๒๒ ทกุ ขฺ ฏเ นาติ ภยฏเ น, ปฏปิ ฬ นฏเ น วา. (ข.ุ ป.อ. ๒/๑๘๑/๑๔๐) “คําวา ทุกฺขฏเน แปลวา โดยสภาพนากลัว หรือโดยสภาพ ถกู บีบคั้น” อภณิ หฺ ปฏิปฬนากาโร ทกุ ขฺ ลกขฺ ณ.ํ (วสิ ุทฺธิ. ๒/๗๔๐/๓๑๓) “ลักษณะคือการบบี คัน้ อยเู สมอ เปน ลกั ษณะของทุกข” ทุกขในไตรลักษณ แปลตามศัพทวา “สภาพนากลัว” หรือ “สภาพถกู บบี คนั้ ” ประกอบรูปศพั ทมาจาก ทุกขฺ ธาตุ (ภยปฏิปฬเน = นากลัว, บีบค้ัน) + อ ปจจัยในอปาทานสาธนะหรือกรรมสาธนะ มี รูปวเิ คราะหว า ทุกขฺ ติ ภายติ เอตสมฺ าติ ทกุ ขฺ ํ (ทกุ ข คอื สภาพนากลัว) ๔๕๓
àªÔ§ÍÃö หรือ ทุกฺขยี ติ ปฏปิ ฬย ตีติ ทุกฺขํ (ทุกข คอื สภาพถูกบบี คน้ั ) ๒๓ ขุ.อติ ิ. ๒๕/๘๘/๓๐๔ ๒๔ ข.ุ อิติ. ๒๕/๘๘/๓๐๔ ๒๕ สติ รูปาทเิ ภเท กาเย ทฏิ ิ วิชฺชมานา วา กาเย ทิฏตี ิ สกกฺ าย- ทฏิ .ิ (ท.ี ปา.อ. ๓/๓๐๕/๑๘๒) “สักกายทฏิ ฐิ คอื ความเห็นผิดในหมขู ันธท่จี าํ แนกเปน รูปขนั ธ เปนตน อันมอี ยจู ริง หรอื ความเห็นผดิ ที่มีอยใู นหมูขันธ” สติ กาเย ทิฏ ิ สนตฺ ี วา กาเย ทฏิ ิ สกฺกายทฏิ .ิ กาโยติ เจตถฺ ขนฺธปฺจก.ํ (ขุ.ป.อ. ๒/๑๒๖/๕๒) “สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดในหมูขันธอันมีอยูจริง หรือ ความเห็นผิดที่มีอยใู นหมูข นั ธ อนง่ึ หมขู ันธใ นที่นค้ี อื ขันธ ๕” สกฺกายทิฏตี ิ วิชฺชมานฏเน สติ ขนฺธปฺจกสงฺขาเต กาเย; สยํ วา สตี ตสมฺ ึ กาเย ทฏิ ตี ิ สกฺกายทฏิ .ิ (อภิ.สงฺ.อ. ๑/๑๐๐๖/๔๐๖) “คาํ วา สกกฺ ายทฏิ ิ (สกั กายทฏิ ฐ)ิ มรี ปู วเิ คราะหว า สกั กายทฏิ ฐิ คือ ความเห็นผิดในหมูขันธท่ีเรียกวาขันธ ๕ อันมีอยูจริง เพราะเปน สภาวะปรากฏอยู หรอื ความเห็นผดิ ทมี่ ีอยูในหมขู นั ธน น้ั ” ๒๖ ฉ อชฌฺ าสยา โพธิสตฺตานํ โพธิปริปากาย สํวตฺตนฺติ. อโลภชฺฌา- สยา จ โพธิสตฺตา โลเภ โทสทสฺสาวิโน. อโทสชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา โทเส โทสทสฺสาวโิ น. อโมหชฌฺ าสยา จ โพธสิ ตตฺ า โมเห โทสทสฺสาวโิ น. เนกฺขมฺมชฺฌาสยา จ โพธิสตฺตา ฆราวาเส โทสทสฺสาวโิ น. ปวเิ วกชฺฌาสยา จ โพธสิ ตฺตา สงคฺ ณกิ าย โทสทสสฺ าวิโน. นสิ สฺ รณชฺฌาสยา จ โพธสิ ตตฺ า สพฺพภวคตีสุ โทสทสฺสาวโิ น. (วิสทุ ฺธ.ิ ๑/๔๙/๑๒๕) ๔๕๔
àªÔ§ÍÃö “อธั ยาศยั ๖ ประการยอ มทาํ ใหโ พธญิ าณของพระโพธิสตั วแก กลา คอื พระโพธิสตั ว :- ๑. มีอัธยาศัยไมโ ลภ และเห็นโทษของความโลภ ๒. มีอัธยาศัยไมโกรธ และเห็นโทษของความโกรธ ๓. มีอธั ยาศัยไมห ลง และเหน็ โทษของความหลง ๔. มอี ธั ยาศยั นอ มไปในการออกบวช และเหน็ โทษของการครอง เรอื น ๕. มีอัธยาศัยนอมไปในความสงัด (ตทังควิเวก วิกขัมภนวิเวก กายวเิ วก และจติ ตวิเวก) และเห็นโทษของการคลุกคลกี ับหมคู ณะ ๖. มีอธั ยาศัยนอ มไปในการออกจากวัฏฏะ (นิพพาน) และเหน็ โทษของภพและคตทิ ง้ั ปวง ๒๗ โอรมิ ํ ตีรํ สาสงฺกํ สปฺปฏภิ ยนตฺ ิ โข ภิกขฺ เว สกกฺ ายสฺเสตํ อธิวจนํ. ปาริมํ ตรี ํ เขมํ อปฺปฏิภยนฺติ โข ภิกขฺ เว นพิ ฺพานสเฺ สตํ อธิวจน.ํ (ส.ํ สฬา. ๑๘/๒๓๘/๑๖๔) “คําวา ฝงนี้นาระแวง มีภัย น้ันเปนช่ือของสักกายะ (กองรูป นามที่มจี ริง) “คาํ วา ฝง โนนปลอดภยั ไมม ภี ยั นัน้ เปนชือ่ ของพระนิพพาน” ๒๘ อปาเณ ปาณินํ ธมฺโม สมฺมา อาธยี เต กวฺ จิ นิรูเป รปู ยตุ ตฺ สฺส นริ เส สรสสฺส จ. อทฺรเว ทรฺ วยตุ ฺตสสฺ อกตฺตรปิ กตตฺ ตุ า กนิ สสฺ า’สรเี รป รูป เตสํ กมา สิยา. (สุโพธา. ๓/๑๕๑-๕๒) ๔๕๕
àªÔ§ÍÃö “ ๑. ในทบี่ างแหง สภาพของสงิ่ ทีม่ ชี วี ติ ถกู ยกขน้ึ ไวอ ยา งเหมาะ สมในสง่ิ ท่ไี มมีชวี ติ ๒. ในท่ีบางแหง สภาพของส่ิงที่ประกอบดวยรูป ถูกยกขึ้นไว อยางเหมาะสมในสิ่งที่ปราศจากรูป ๓. ในที่บางแหง สภาพของสิ่งที่มีรส ถูกยกข้ึนไวอยางเหมาะ สมในส่งิ ท่ีปราศจากรส ๔. ในทบ่ี างแหง สภาพของสง่ิ ทปี่ ระกอบดว ยความเหลว ถกู ยก ขึ้นไวอยางเหมาะสมในสง่ิ ที่ไมเหลว ๕. ในทบี่ างแหง สภาพของกตั ตา (ผทู าํ กริ ยิ า) ถกู ยกขนึ้ ไวอ ยา ง เหมาะสมในสิ่งท่มี ใิ ชก ตั ตา (ไมอ าจทาํ กริ ยิ าได) ๖. ในที่บางแหง สภาพของส่ิงที่แข็ง ถูกยกขึ้นไวอยางเหมาะ สมในสิ่งทไ่ี มม ีสรรี ะ อุทาหรณของสมาธิคณุ เหลา นัน้ พึงมีตามลําดับ” ๒๙ ตสฺส หตเฺ ถหิ จ ปาเทหิ จ วายาโมติ โข ภิกขฺ เว วีรยิ ารมฺภสเฺ สตํ อธิวจน.ํ (ส.ํ สฬา. ๑๘/๒๓๘/๑๖๔) “คําวา ใชมือและเทาพยายามไป นั้นเปนชื่อของวีริยารัมภะ (การปรารภความเพียร)” ๓๐ ติณโฺ ณ ปารงคฺ โต ถเล ติฏ ติ พรฺ าหฺมโณติ โข ภกิ ขฺ เว อรหโต เอตํ อธวิ จนํ. (ส.ํ สฬา. ๑๘/๒๓๘/๑๖๔) “ภิกษุท้ังหลาย คาํ วา เปนผูลอยบาปขามถงึ ฝง ดํารงอยบู นบก นนั้ เปน ชอ่ื ของพระอรหันต” ๔๕๖
àªÔ§ÍÃö ๓๑ กุลฺลนฺติ โข ภิกฺขเว อริยสฺเสตํ อฏงฺคิกสฺส มคฺคสฺส อธิวจนํ. เสยฺยถีท,ํ สมมฺ าทิฏิ เปฯ สมฺมาสมาธ.ิ (สํ.สฬา. ๑๘/๒๓๘/๑๖๔) “คําวา แพ นัน้ เปน ชอ่ื ของอรยิ มรรคมอี งค ๘ คอื สมั มาทฏิ ฐิ (ความเหน็ ชอบ) ... สมั มาสมาธิ (ความตง้ั ม่ันชอบ)” ๓๒ กตมา จ ภิกฺขเว สมฺมาทิฏ?ิ ยํ โข ภิกฺขเว ทุกฺเข าณํ, ทกุ ขฺ สมทุ เย าณ,ํ ทกุ ขฺ นโิ รเธ าณ,ํ ทกุ ขฺ นโิ รธคามนิ ยิ า ปฏปิ ทาย าณ,ํ อยํ วจุ จฺ ติ ภกิ ขฺ เว สมมฺ าทิฏ .ิ (ท.ี ม. ๑๐/๔๐๒/๒๖๖) “สมั มาทฏิ ฐิ เปน อยา งไร คอื ความรใู นทกุ ข เหตเุ กดิ ทกุ ข ความ ดับทุกข และทางดําเนนิ ไปสคู วามดบั ทุกข นเ้ี รียกวา สมั มาทฏิ ฐิ (ความ เหน็ ชอบ)” ๓๓ กตโม จ ภกิ ฺขเว สมมฺ าสงกฺ ปฺโป? เนกฺขมมฺ สงฺกปฺโป อพฺยาปาท- สงฺกปฺโป อวิหึสาสงฺกปฺโป, อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สมฺมาสงฺกปฺโป. (ที.ม. ๑๐/๔๐๒/๒๖๖) “สัมมาสังกัปปะ เปนอยางไร คือ ความตรึกในการออกจาก กาม, การไมโกรธเคือง และการไมเบียดเบียน นเี้ รยี กวา สัมมาสงั กัปปะ (ความตรึกชอบ)” ๔๕๗
àªÔ§ÍÃö เชิงอรรถ : วิมตุ ตายตนสูตร ๑ องฺ.ปฺจก. ๒๒/๒๖/๑๙ ๒ ว.ิ ม. ๔/๑๖/๑๕ ๓ ว.ิ ม. ๔/๖๐/๕๒ ๔ ขุ.ธ.อ. ๒/๑๗๔/๑๓๒ ๕ สํ.ข. ๑๗/๘๙/๑๐๕ ๖ วิสทุ ฺธ.ิ ๒/๑๘๐/๒๖๓ ๗ สา ตโต ปฏ าย ทวฺ ตตฺ ึสากาเร สชฺฌายํ กตฺวา อตฺตนิ ขยวยํ ปฏเปตฺวา เตหิ ภิกขฺ ูหิ ปเุ รตรเมว ตโย มคเฺ ค ตีณิ จ ผลานิ ปาปุณ.ิ มคฺเคเนว จสฺสา จตสโฺ ส ปฏสิ มภฺ ทิ า โลกยิ อภิ ฺ า จ อาคมึส.ุ (ขุ.ธ.อ. ๑/๓๕/๒๑๙) “ตอแตนั้นมาอุบาสิกานั้นทําการสาธยายอาการ ๓๒ เจริญ ความสน้ิ ไปเสื่อมไปในตน ไดบ รรลุมรรค ๓ ผล ๓ กอนภิกษเุ หลา นั้น ปฏ-ิ สมั ภิทา ๔ และโลกิยอภิญญา ไดมาถึงเธอดวย[การบรรล]ุ มรรคน่นั เอง” ๘ อง.ฺ เอกก.อ. ๑/๒๑๒/๒๔๑ ๙ ข.ุ เถร. ๒๖/๒๖๗-๗๐/๓๑๒, ขุ.เถร.อ. ๒/๒๖๗-๗๐/๓ ๑๐ ขุ.ข.ุ อ. ๑๐/๒๒๖, ข.ุ ธ.อ. ๑/๔๐/๒๓๘ ๑๑ ม.อ.ุ ๑๔/๙๓/๗๗ ๔๕๘
àªÔ§ÍÃö ๑๒ อง.ฺ ปฺจก. ๒๒/๒๖/๑๙ ๑๓ ม.มู.อ. ๑/๕๒/๑๓๖ ๑๔ ท.ี ส.ี อ. ๑/๔๐๕/๓๐๐ ๑๕ องฺ.ปฺจก. ๒๒/๒๖/๑๙ ๑๖ องฺ.ปจฺ ก.อ. ๒๒/๒๖/๘ ๑๗ วิ.ม. ๔/๒๖/๒๑ ๑๘ ท.ี ม. ๑๐/๓๘๕/๒๕๙ ๑๙ ขุ.ธ. ๒๕/๓๗๓/๘๒ ๒๐ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๗๔/๘๒ ๒๑ อง.ฺ ฉกฺก. ๒๒/๒๕/๓๐๑-๒ ๒๒ ข.ุ ธ.อ. ๒/๑๗๔/๑๓๒ ๒๓ ข.ุ ธ.อ. ๒/๒๘๒/๓๐๘ ๒๔ ว.ิ ม.อ. ๓/๑๙/๑๘ ๒๕ องฺ.ปฺจก.อ. ๓/๒๖/๘ ๒๖ สารตฺถ.ฏกี า ๒/๔๓/๕๓ ๒๗ วิสุทธฺ .ิ มหาฏกี า ๑/๙๙/๒๓๓ ๒๘ อง.ฺ ปฺจก. ๒๒/๒๖/๑๙ ๒๙ ที.ม. ๑๐/๓๗๓/๒๔๘ ๓๐ ท.ี ม. ๑๐/๓๗๓/๒๔๘ ๓๑ ม.อ.ุ ๑๔/๔๓๑/๓๗๖, ม.อุ.อ. ๔/๔๓๑/๒๕๓ ๓๒ ม.อ.ุ ๑๔/๔๓๑/๓๗๖, ม.อ.ุ อ. ๔/๔๓๑/๒๕๓ ๓๓ มลิ ินทฺ . ๑๐๒ ๔๕๙
ดัชนคี นคํา ก กฏั ฐมขุ ะ ๒๗๐,๓๐๓ กรรมนมิ ติ ๓๒๒ กรรมอารมณ ๓๒๑ กามคณุ ๕ ๒๐๕ กามสญั ญา ๒๓๒ กามปุ าทาน ๒๖๐ กาโมฆะ ๓๒๙ กายานปุ ส สนา ๑๓๙ ขนั ธ คตนิ มิ ติ ข จรณะ จติ ตานปุ ส สนา ๒๕๙,๒๘๔,๒๘๕,๓๑๒,๓๑๘,๓๓๗ เจโตปรยิ ญาณ ค ๓๒๒ จ ๑๕๗ ๑๔๐ ๑๔๕ ๔๖๐
´Ñª¹Õ¤Œ¹¤íÒ ฉฬง คเุ ปกขา ฉ,ช,ฌ ๕๒ ชาครยิ านโุ ยค ต ๑๕๘ ชรี ณเตโช ท ๓๐๕ ฌาน ๖๐ ตตั รตตั ราภนิ นั ทนิ ี ธ ๒๙๓ ทณั ฑภยั ๓๔๕ ทคิ มั พร ๔๖๑ ๕๘ ทฏิ ฐปาทาน ๒๖๑ ทพิ ยจกั ษญุ าณ ๑๓๒,๑๓๖ ทพิ โสตญาณ ๑๕๖ ทฏิ โฐฆะ ๓๓๑ ทกุ ข ๒๘๙,๓๓๓ ทกุ ขานปุ ส สนา ๑๔๒ ทคุ ตภิ ยั ๓๔๕ โทสมลู จติ ๓๓๗ ธมั มานปุ ส สนา ๑๔๐ ธาตุ ๔ ๒๗๐ ธรรมจกั ษุ ๑๑๙
´Ñª¹Õ¤Œ¹¤íÒ นตั ถกิ ทฏิ ฐิ น ๑๐๙ นนั ทรี าคะ ๓๒๐ นนั ทรี าคสหคตา ๒๙๓ นามรปู ปรจิ เฉทญาณ ๑๔๐,๒๖๔ นพิ พทิ าญาณ ๒๖ นสิ สรณชั ฌาสยะ ๓๔๑ เนกขมั มชั ฌาสยะ ๓๔๐ ๑๘๐ ปฏสิ นธจิ ติ ป ๓๔๑ ปวเิ วกชั ฌาสยะ ๓๔๕ ปรานวุ าทภยั ๑๘๐ ปสาทรปู ๑๔๑ ปจ จยปรคิ คหญาณ ๑๑๘,๑๑๙ ปญ ญาจกั ษุ ๑๕๗ ปาตโิ มกขสงั วรศลี ๑๓๒ ปพุ เพนวิ าสนสุ ตญิ าณ ๒๗๐,๓๐๓ ปตู มิ ขุ ะ ๒๙๑ โปโนภวกิ า ๑๖๐ ๒๓ พาหสุ จั จะ ผ, พ, ภ พทุ ธะ ๔๖๒
´Ñª¹Õ¤Œ¹¤íÒ พทุ ธจกั ษุ ๑๒๐,๑๒๔,๑๒๖ ภวตณั หา ๒๙๕ ภโวฆะ ๓๓๐ ภงั คญาณ ๓๓๒ ภารสตู ร ๒๕๓ โภชเนมตั ตญั ตุ า ๑๕๗ โมฆบรุ ษุ มรรคสจั ม, ย ยถาภตู ญาณ รปู ขนั ธ ๑๙๘ โลภมลู จติ ๓๗๑ วฏั ฏะ ๓ ๑๒๔ วปิ ส สนาฌาน วปิ ส สนาญาณ ร วภิ วตณั หา วญิ ญาณ ๒๖๘ วญิ ญาณขนั ธ ๓๓๗ เวทนานปุ ส สนา เวภตู กิ ว ๑๘๙ ๘๐,๘๑ ๑๓๘,๑๔๒,๑๔๓,๑๔๔ ๒๙๕ ๒๖๗,๒๘๒,๓๑๘ ๒๘๒,๓๑๘ ๑๔๐ ๙๒ ๔๖๓
´Ñª¹Õ¤Œ¹¤íÒ สมณธรรม ส ๑๔๖ สปจ จยปรคิ คหญาณ ๑๔๑ สมถฌาน ๔๖๔ ๘๐ สมนั ตจกั ษุ ๑๑๙ สมาทานวริ ตั ิ ๖๒,๖๘,๗๕ สมจุ เฉทวริ ตั ิ ๖๒,๖๗,๗๑,๗๕ สมจุ เฉทปหาน ๗๒ สมจุ เฉทปฏปิ ส สทั ธิ ๗๓ สฬายตนวรรค ๓๐๑ สกั กายทฏิ ฐิ ๓๓๒,๓๓๗ สงั ขตธรรม ๓๑๙ สงั ขารเุ ปกขาญาณ ๕๒,๘๓ สงั ขาร ๒๘๐ สงั ขารขนั ธ ๒๖๗,๒๘๐,๓๑๗ สงั สารวฏั ๒๑๗ สงั เสทชสตั ว ๑๘๐ สตั ถมขุ ะ ๒๗๐,๓๐๓ สนั ตาปนเตโช ๓๐๕ สมั ปต ตวริ ตั ิ ๖๒,๖๘,๗๕ สมั มาสมั พทุ ธะ ๒๒ สมั มสนญาณ ๘๒ สญั ญา ๒๗๕
´Ñª¹Õ¤Œ¹¤íÒ สญั ญาวปิ ลาส อ ๒๗๖ สลี พั พตปรามาส ๒๒๒ สลี พั พตปุ าทาน ๔๖๕ ๒๖๑ สคุ ต ๑๐๖ โสดาบนั ๗๑,๗๒,๗๕,๑๖๕ อกริ ยิ ทฏิ ฐิ ๑๐๙ อภยั ทาน ๓๔๖ อนตั ตา ๓๓๕ อนจิ จานปุ ส สนาญาณ ๑๔๒ อวชิ โชฆะ ๓๓๖ อคั คมิ ขุ ะ ๒๗๐,๓๐๓ อตั ตกลิ มถานโุ ยค ๑๙๒,๑๙๕ อตั ตวาทปุ าทาน ๒๖๓ อตั ตานวุ าทภยั ๓๔๕ อนปุ พุ พกิ ถา ๓๖๑ อนสุ ยั ๑๒๔,๒๑๑ อรหงั ๑๘,๒๑ อธคิ มสตุ ะ ๑๖๐ อาคมสตุ ะ ๑๖๐ อายตนะ ๓๒๔ อรยิ สจั ๔ ๑๖๗
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 507
Pages: