Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เหมวตสูตร พระสูตรว่าด้วยพระพุทธเจ้าโดยละเอียด พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) _ รจนา, สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) _ ตรวจชำระ,พระคันธสารราภิวงศ์ แปลและเรียบเรียง

เหมวตสูตร พระสูตรว่าด้วยพระพุทธเจ้าโดยละเอียด พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) _ รจนา, สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) _ ตรวจชำระ,พระคันธสารราภิวงศ์ แปลและเรียบเรียง

Description: ✍️☸️✅ แบ่งปันโดย ❝ ศร-ศิษฏ์❞ เหมวตสูตร พระสูตรว่าด้วยพระพุทธเจ้าโดยละเอียด พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) _ รจนา, สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) _ ตรวจชำระ,พระคันธสารราภิวงศ์ แปลและเรียบเรียง

Search

Read the Text Version

àËÁǵÊٵà พระพุทธองคทรงลงทา ยคาํ ตอบของพระองคด วยขอ ความวา เอตํ โลกสฺส นิยยฺ านํ อกขฺ าตํ โว ยถาตถํ เอตํ โว อหมกขฺ ามิ เอวํ ทกุ ขฺ า ปมุจฺจต.ิ ๑๔๕ “วธิ ปี ฏบิ ตั นิ [ี้ คอื วปิ ส สนาและมรรคญาณ]ทาํ ใหส ตั วโ ลกหลดุ พน เราไดบอกพวกเธอตามความเปนจริง เราบอกวิธีปฏิบัติน้ีแกพวกเธอ สตั วโลกยอมพนไปจากทกุ ขด วยวธิ ีดังกลาว” คาํ ตอบทงั้ ๒ คาถาของพระพทุ ธองคแ สดงปฏปิ ทาทท่ี าํ ใหบ รรลุ อรหตั ตผลอยา งบรบิ รู ณ แตเ ทพเหมวตะและเทพสาตาคริ ะรวมทง้ั บรวิ าร ของตนไดเ จรญิ วปิ ส สนาและพฒั นาวปิ ส สนาญาณขนั้ ตา งๆ สามารถเหน็ ประจกั ษพ ระนพิ พานดว ยโสดาปต ตมิ รรค จงึ บรรลธุ รรมเปน พระโสดาบนั เพราะไดบ ําเพญ็ บารมพี อทจ่ี ะเปน พระโสดาบันเทา น้นั ๒๑๖

àËÁǵÊٵà คําถามท่ี ๓ ของเทพเหมวตะ เทพเหมวตะไดบ รรลธุ รรมเปน พระโสดาบนั หลงั จากไดฟ ง คาํ ตอบ ของคาํ ถามที่ ๒ ของพระพทุ ธเจา จึงทลู ถามคําถามท่ี ๓ ดงั ตอไปนี้ โกสูธ ตรติ โอฆํ โกธ ตรติ อณฺณวํ อปปฺ ติฏเ อนาลมฺเพ โก คมภฺ ีเร น สที ติ.๑๔๖ “ในโลกนใ้ี ครขามกระแสกเิ ลสได ใครขามมหรรณพแหง สงสาร ได ใครไมจมลงในมหรรณพแหงสงสารที่ลุมลึก ปราศจากพื้นยันและ เครอื่ งยึดเหนย่ี ว” ทุกคนอาจเคยเห็นกระแสน้ําในลําธารหรือแมน้ํา สิ่งที่อยูใน กระแสนาํ้ มกั ถกู นาํ้ พดั พาไป คนทว่ี า ยนาํ้ เกง จงึ จะวา ยขา มกระแสนาํ้ เชย่ี ว กรากได ในกรณเี ดยี วกนั กเิ ลสกเ็ หมอื นกระแสนา้ํ อนั เชยี่ วกรากในสงั สาร- วฏั ใครจะขามกระแสกเิ ลสนั้นไปได สังสารวัฏคือหวงโซอันไมรูจบของภพทั้งหลาย เปนกระแสรูป นามทีเ่ กิดขึน้ อยา งตอ เน่อื งไมข าดชว งภพแลวภพเลา พระพุทธองคทรง เปรียบสังสารวัฏน้ีเหมือนกับมหรรณพอันกวางใหญ ซึ่งไรกนนํ้าอยาง ชัดเจน และไมมีส่ิงใดอยูเหนือผิวนํ้าท่ีจะเกาะยึดไดอีกดวย จึงนับเปน เร่อื งยากทใี่ ครจะสามารถวายขามไปได ๒๑๗

àËÁǵÊٵà คาํ ตอบที่ ๓ ของพระพุทธเจา (ก) สพฺพทา สีลสมฺปนโฺ น ปฺ วา สสุ มาหโิ ต อชฺฌตฺตจนิ ฺตี สติมา โอฆํ ตรติ ทตุ ฺตร.ํ ๑๔๗ “ผูมีปญญา[ท้ังฝายโลกิยะและโลกุตตระ] สมบูรณดวยศีลเปน นติ ย มจี ติ ตงั้ มนั่ ดแี ลว เพง กาํ หนดธรรมภายใน มสี ตทิ กุ เมอื่ ยอ มขา มพน กระแสกเิ ลสทข่ี า มไดยาก” กระแสนาํ้ ในโลกเรยี กวา โอฆะ แมก ระแสกเิ ลสกเ็ รยี กวา โอฆะ เชน กนั เพราะทว มทบั สตั วโ ลก คนวา ยนา้ํ เกง จงึ วา ยขา มกระแสนาํ้ ทเี่ ชย่ี ว กรากได คนที่วายนํ้าไมเกงยอมถูกกระแสนํ้าพัดพาไป ในกรณีเดียวกัน คนท่ีเจริญศีล สมาธิ และปญญาจึงจะขามพนไปจากกระแสกิเลสได กระแสกิเลสนั้นแบงออกเปน ๔ ประเภท คือ กาโมฆะ (กระแสกาม) ภโวฆะ (กระแสภพ) ทิฏโฐฆะ (กระแสทิฏฐิ) และอวิชโชฆะ (กระแส อวิชชา) ๒๑๘

àËÁǵÊٵà กระแสกาม ความยินดีพอใจหรือตัณหาที่อยากไดกามคุณท่ีนาช่ืนชมยินดี ชอ่ื วา กระแสกาม (กาโมฆะ) คนทย่ี นิ ดพี อใจกามคณุ เหลา นน้ั ยอ มถกู พดั พาไปในกระแสกาม คนทั่วไปมักพอใจบุคคลหรือวัตถุส่ิงของท่ีนายินดี อันจาํ แนกเปน รปู เสยี ง กลิน่ รส สมั ผสั สตรี บรุ ุษ หรือส่งิ ของตา งๆ เขา ตองพยายามเพื่อครอบครองสิ่งเหลาน้ัน คร้ันไดรับมาแลวก็ยังตองใช ความพยายามเพมิ่ ขน้ึ อกี เพอื่ ทจ่ี ะทะนถุ นอมและรกั ษาความเปน เจา ของ ส่ิงของดังกลาวไว บางคนตองทําบาปถึงกระทั่งปลนฆาหรือลักขโมย เพื่อใหอยูดมี ีสขุ ในปจจุบนั การทาํ บาปดว ยความยินดีพอใจกามคณุ เชน น้ียอมสงผลใหเขาไปเกิดในอบายภูมิ จัดวาถูกกระแสกามพัดพาไปสู อบายภูมินั่นเอง เขาตองจมลงในหวงนํ้าแหงอบายภูมิไดรับทุกขแสน สาหัส บางคนทําบุญกุศลคือทานและศีลเปนตนเพ่ือใหเสวยสุขใน มนษุ ยโลกหรอื เทวโลก เขายอ มไปเกิดเปน มนษุ ยหรอื เทวดาดว ยผลบญุ ของตน นับวาอยูดีมีสุขชั่วขณะเพราะไดเสวยสุขของมนุษยและเทวดา เขาจัดวา ถูกกระแสกามพัดพาไปสมู นุษยโ ลกหรือเทวโลก อยา งไรกต็ าม เขาตองพบกับทุกขท่ีตองแกชรา เจ็บปวย เศราโศก หรือพลัดพราก เปน ตน ในภพน้นั ๆ นับวาเขาจมลงในหว งนํ้าแหง สังสารวัฏ ๒๑๙

àËÁǵÊٵà กระแสภพ ความยินดพี อใจภพ ช่ือวา กระแสภพ (กาโมฆะ) เชน บางคน ตองการไปเกิดในรูปภมู หิ รอื อรปู ภมู ิ จึงเจริญรปู ฌานหรอื อรูปฌานเพ่ือ ใหไปเกิดในภพดังกลาว ฌานกุศลของเขายอมสงใหเขาไปเกิดในรูปภูมิ หรืออรูปภูมิเหลานั้นตามตองการ เขามีอายุขัยยาวนานอาจจะนับเปน กปั ทีเดยี ว อยา งไรกด็ ี เขาก็ไมอาจคงอยูช่วั กาลนิรันดร ครนั้ หมดบุญก็ ตองตายอยูดี บางคนอาจจะไปเกิดในมนุษยโลกหรือเทวโลก แตก็ยัง ตกทุกขเข็ญอยูดี นับวาเขาถูกกระแสภพพัดพาไปเกิดในภูมิดังกลาว และอยสู ขุ สบายเพยี งระยะสัน้ ๆ เทา นั้น ยงั คงไมห ลดุ พน จากหวงโซของ สังสารวัฏ ๒๒๐

àËÁǵÊٵà กระแสทฏิ ฐิ ความเห็นผิดที่เปนมิจฉาทิฏฐิ ชื่อวา กระแสทิฏฐิ (ทิฏโฐฆะ) ความเหน็ ผดิ นมี้ หี ลายชนดิ บางอยา งเปน ของกลมุ เชอ้ื ชาติ บา งกเ็ ปน ของ ทอ งถนิ่ ความเหน็ ผดิ อาจแบง ออกไดเ ปน ๒ ประเภทโดยยอ คอื ประเภท แรกเหน็ ผดิ วา สรรพสตั วด าํ รงคงอยตู ลอดกาลไมแ ปรผนั เรยี กวา สสั สต- ทิฏฐิ อีกประเภทหนึ่งเห็นผิดวาสรรพสัตวดับสูญไปหมดหลังความตาย เรยี กวา อุจเฉททิฏฐิ พวกทย่ี ดึ ถือความเชื่อประเภทหลงั ยอมไมน าํ พาท่ี จะหลีกเลี่ยงการทําความชั่ว หรือไมรูสึกวาตองกระทําความดีอีกดวย พวกเขาสามารถทําอะไรกไ็ ดต ามใจชอบ ตราบใดทหี่ ลบหลกี การลงโทษ ทางกฏหมายได พวกเขาเชื่อวาจะไมถูกบังคับใหตองชดใชสําหรับการ กระทําที่ไดทําไปในชวงชีวิตของเขา เพราะภพใหมไมมีสําหรับพวกเขา อีกแลว คนพวกน้ีมักไปเกิดในอบายภูมิดวยผลบาปที่ทําไวในชวงชีวิต และเปนการยากท่ีจะมาเกิดเปนมนุษยไดอีก น้ีคือลักษณะที่ถูกกระแส ทฏิ ฐพิ ัดพาไปแลว ไดรับทุกขใ นสงั สารวัฏตอไป ทกุ วนั นม้ี บี างคนพยายามเปลย่ี นแปลงคาํ สอนของพระพทุ ธเจา แบบกลบั ตาลปต ร แลวสอนใหสาวกไมตองกระทําดีแตอยางใด ไมต อ ง ปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน มิฉะนั้นพวกเขาจะตกท่ีน่ังลําบากไดรับทุกข ยากตา งๆ นานา สาวกของพวกเขาจะทาํ เฉพาะความชวั่ เทา นน้ั พวกเขา สว นมากจึงมแี นวโนม ดําเนินไปสอู บายภูมิ ๒๒๑

àËÁǵÊٵà พวกท่ีเชื่อเร่ืองวิญญาณไมดับสูญคงอยูตลอดไปอาจทําความดี บางอยา งตามความเชอื่ ของตนเพอื่ ใหอ ยดู มี สี ขุ ในภพหนา แตก ารฆา สตั ว บชู ายญั จดั เปน ความชว่ั ตามคาํ สอนของพระพทุ ธเจา พวกเขาทาํ บาปเชน นั้นแลวยอมไปสูอบายภูมิไดรับทุกขภัยตอไป ขอน้ีเหมือนการกินยาผิด ที่จะทาํ ใหโ รครุนแรงมากขนึ้ ไปอีก นค้ี อื ลกั ษณะท่ถี กู กระแสทฏิ ฐิพัดพา ไปไดรบั ทกุ ขในอบาย บางคนเชอื่ วา พวกเขาสามารถทาํ อะไรกไ็ ด ไมว า จะเปน ความ ช่วั ใดๆ หรือไมทําความดีเลยกไ็ ด เพราะไดร ับยกเวนการลงโทษจาก พระเจาตราบที่พวกเขายังมีศรัทธาในพระเจาอยู พวกเขาตองไปเกิด ในอบายภูมิตามผลแหงบาปของตน น้ีคือการถูกกระแสทิฏฐิพัดพาไปสู อบายภูมเิ ชนกนั มคี นมากมายนบั ถอื ดวงอาทติ ย ดวงจนั ทร ภเู ขา ภตู ผปี ศ าจ หรอื พระเจา เปน ตน บางคนเช่ือวาพวกเขาอาจหลดุ พน จากทุกขไดดว ยการ ทรมานรางกายใหลาํ บากมีการอดอาหาร เปลือยกาย ตากแดด หรอื แช นํา้ เปนตน และบางคนเชือ่ วาพวกเขาจะเปน อสิ ระจากทุกขไดด วยการ ปลอ ยใหจติ ลองลอยไปเรื่อยๆ อยา งไรสาระ ความเช่ือท้ังหมดนท้ี ี่คดิ วา ตนอาจพน ทกุ ขไดร ับสุขดว ยการปฏบิ ัติที่ไมใชศีล สมาธิ และปญญาชือ่ วา สลี ัพพตปรามาส คอื การยดึ ม่ันศีลพรตทน่ี อกจากอริยมรรคมีองค ๘ วาเปนทางหลุดพน คนที่เห็นผิดเชนน้ันตองเวียนตายเวียนเกิดตาม กรรมไมร จู บ ถกู กระแสทฏิ ฐพิ ดั พาไปในวนเวยี นแหง ภพ นบั วา นา สะพรงึ กลวั อยางแทจรงิ ๒๒๒

àËÁǵÊٵà สรปุ ความวา ความเหน็ ผดิ ทค่ี ดิ วา ไมจ าํ เปน ตอ งปฏบิ ตั สิ มถะและ วิปสสนา แมจะปฏิบัติเชนน้ันก็ไมอาจหลุดพนได จัดเปนมิจฉาทิฏฐิท่ี ทําใหต องวนเวียนอยใู นสังสารวัฏไมอาจหลุดพน ไปได กระแสอวชิ ชา ตอจากนั้นคือกระแสอวิชชาท่ีเรียกวา อวิชโชฆะ ซ่ึงหมายถึง ความไมร อู ริยสจั ๔ ตามความเปน จรงิ แตเปน ความรูผดิ จากความจริง คนสวนใหญมักเขาใจผิดวาความทุกขเปนความสุข จึงสําคัญวารูปที่ ตองการเหน็ เสยี งทีอ่ ยากฟง กลิ่นทอ่ี ยากดม อาหารท่อี ยากกนิ สมั ผัสที่ อยากกระทบ และความคิดท่ีอยากคิด ท้ังหมดน้ันดีงามเปนสุข ความ เขา ใจเชน นน้ั คอื โมหะหรอื อวชิ ชา สว นความชอบเชน นน้ั คอื ตณั หา ตณั หา ทาํ ใหย ึดตดิ ผูกพันทจ่ี ัดเปนอุปาทาน สงผลใหด นิ้ รนแสวงหาใหไ ดว ตั ถทุ ่ี อยากได ซึ่งเปนการกระทําทั้งดแี ละเลวหรอื กศุ ลและอกุศล ทําใหม ภี พ ตอเน่ืองซ้าํ แลวซ้าํ เลา ดว ยกรรมดังกลาว ภพทั้ง ๓๑ ภมู ิเปนผลมาจากอวชิ ชานี้ กระแสแหงอวชิ ชาไหล ลงสูนรกช้ันต่ําท่ีสุด และไหลกลับข้ึนสูภูมิช้ันสูงสุด (ภวัคคภูมิ) คือ เนวสญั ญานาสญั ญายตนภมู ิ ในภรู ทิ ตั ตชาดกและจมั เปยยชาดกพบเรอื่ ง ที่พระโพธิสัตวทําบุญแลวไปเกิดพญานาคดวยความเขาใจผิดวาสมบัติ ของพญานาคย่ิงใหญ น้ีคือการถูกกระแสอวิชชาพัดพาไป นับไดวา นาหวาดกลัวยิ่งนกั ๒๒๓

àËÁǵÊٵà นับเปนเร่ืองไมงายที่จะพนไปจากกระแสกิเลสทั้ง ๔ ประการ เหลาน้ี กลาวคือ บุคคลน้นั ตองมคี วามสามารถท่ีวา ยออกมาจากกระแส นนั้ ๆ ดงั นน้ั เทพเหมวตะจึงทูลถามคุณสมบตั ใิ นการวายขามจากกระแส กเิ ลสเหลา นั้น พระบรมศาสดาทรงแสดงคุณสมบัติของผูที่จะวายขามกระแส กิเลสไว ๓ ประการ ดงั ตอไปน้ี คณุ สมบตั ิที่ ๑ ในการวา ยขามกระแสกเิ ลส คุณสมบัติประการแรกในการวายขามกระแสกิเลส คือ บุคคล นั้นตองเพียบพรอมดวยศีลบริสุทธ์ิอยูเสมอ (สพฺพทา สีลสมฺปนฺโน) นี้ ถอื วา เปน คณุ สมบตั ทิ จ่ี าํ เปน จรงิ ๆ ฉะนนั้ พระพทุ ธเจา จงึ กาํ หนดใหค ณุ - สมบัตินี้เปนประการแรก บุคคลผูเชื่อถือคําสอนของพระพุทธเจาอยาง ม่ันคงตองเช่ือม่ันวา ผูเพียบพรอมดวยศีลบริสุทธ์ิอยูเสมอจะสามารถ เอาชนะกระแสกิเลสอันใหญห ลวงแลว บรรลุพระนพิ พานได อาจมีคําถามวา บางคนไมตองรักษาศีลใหหมดจดกอนก็บรรลุ พระนพิ พานได ดงั เชนสันตตอิ าํ มาตยท ไ่ี ดบรรลุธรรมในขณะท่ีกลน่ิ ของ สุรายังไมทันหมดไปจากปาก๑๔๘ คําตอบของเร่ืองน้ีคือ บุคคลเชนนี้มี บารมขี น้ั สูงสุดพรอมสรรพแ ลว จงึ บรรลธุ รรมไดงา ย เร่ืองเชน วา นั้นเปน เพียงตัวอยางสองสามกรณีเทาน้นั อาจกลา วไดว า มเี พียงหน่งึ ในแสนคน แมใ นสมยั พทุ ธกาลกม็ นี อ ยมาก พวกเขาเปน ขอ ยกเวน พระพทุ ธองคท รง ทราบอปุ นสิ ยั ของเขาแลว แสดงธรรมในเวลาทส่ี มควร จงึ ทาํ ใหเ ขาบรรลุ ธรรมไดง าย ๒๒๔

àËÁǵÊٵà จะเหน็ วา ทานอัญญาโกณฑญั ญะเพยี งรูปเดยี วไดบ รรลธุ รรมใน ขณะฟงธรรมจักร๑๔๙ สวนปญ จวคั คียอ ีก ๔ รูปตองเพียรปฏิบัตธิ รรมจงึ ไดบ รรลุธรรมทีละรูปถัดจากน้นั ไป ๑ วัน ๒ วนั ๓ วัน และ ๔ วนั ตาม ลาํ ดับ พระพุทธองคท รงทราบวาปญจวัคคีย ๔ รปู ที่เหลอื ไมอ าจบรรลุ ธรรมดวยการฟงธรรมเทา นนั้ จึงแนะนาํ ใหด าํ เนนิ การปฏบิ ตั ดิ ว ยตนเอง จนกระท่ังไดบ รรลุธรรม๑๕๐ ดวยเหตุน้ี ผูท่ีไมอาจบรรลุธรรมไดดวยการฟงอยางเดียว ตอง ดาํ เนนิ การปฏบิ ตั เิ ปน เวลาหลายป หลายเดอื น หลายวนั หรอื หลายชวั่ โมง พวกเขาจําเปนตองมีศีลบริสุทธิ์เสียกอนเพ่ือไมใหเกิดความเดือดรอนใจ เก่ยี วกบั ความประพฤติของตน ดงั นน้ั พระพทุ ธองคจึงทรงกําหนดศีลวา เปน คณุ สมบตั ขิ อ แรกในเรอื่ งนี้ แมใ นคมั ภรี ว สิ ทุ ธมิ รรคกเ็ รม่ิ ตน ดว ยเรอื่ ง ศีลทเี่ รยี กวา สลี นทิ เทส ตามพระพทุ ธดํารสั ท่นี าํ มาอางไวใ นอารมั ภบท ของคมั ภรี น นั้ วา สเี ล ปตฏิ าย (ดาํ รงอยใู นศีลแลว )๑๕๑ ในขอความวา “สมบรู ณดวยศีลเปนนิตย” คําวา เปนนติ ย หมายถึง การมีศีลบริบูรณตลอดทิวาราตรีตั้งแตกอนมาปฏิบัติธรรมจนถึงเวลา ปฏบิ ตั ธิ รรมอยู ผทู สี่ มบรู ณด ว ยศลี เชน นพ้ี จิ ารณาศลี ของตนแลว ยอ มเกดิ ปต โิ สมนัสแลวพฒั นาสมาธติ อ มา ในกรณีตรงกนั ขาม ผทู มี่ ศี ีลไมบริสทุ ธ์ิ มกั เกดิ ความเดอื ดรอ นใจในความประพฤตขิ องตน ทาํ ใหจ ติ ซดั สา ยไมอ าจ ต้งั ม่นั เปน สมาธิได เมอื่ สมาธิไมเกดิ ข้ึน วปิ สสนาญาณที่เรียกวา ยถาภตู - ญาณ (ญาณเห็นประจักษตามความเปนจริง)๑๕๒ ก็เกิดข้ึนไมได มิตอง กลาวถงึ มรรคผลนพิ พานแตอ ยา งใด ดงั นนั้ คฤหัสถผ ูเพยี รปฏบิ ัตธิ รรม ๒๒๕

àËÁǵÊٵà ตอ งรกั ษาศีล ๕ เปนอยางต่ํา สวนภิกษุตอ งรักษาปาติโมกขสงั วรศลี จงึ จะนบั วาเพยี บพรอมคุณสมบัตปิ ระการแรกในการวายขามกระแสกเิ ลส คุณสมบตั ทิ ี่ ๒ ในการวายขามกระแสกิเลส คณุ สมบตั ิประการท่ี ๒ นนั้ เกย่ี วกบั สติและสมาธิ หมายความวา หลงั จากการมศี ลี บรสิ ทุ ธแิ์ ลว บคุ คลนนั้ ตอ งพยายามปฏบิ ตั เิ พอ่ื ใหบ รรลุ ฌาน (ในคาถากลา วถงึ ผูมีปญญากอ นการมจี ติ ตัง้ มั่นดว ยคําวา ปฺ วา สสุ มาหโิ ต เพอ่ื รกั ษาฉนั ทลกั ษณ) เขาตอ งปฏบิ ตั ใิ หไ ดบ รรลสุ มาบตั ทิ ง้ั ๘ หรอื สมาบตั อิ ยา งใดอยา งหนงึ่ วธิ เี จรญิ สมาธใิ นลกั ษณะนเี้ ปน ธรรมเนยี ม ปฏบิ ตั ิของสาวกระดับสูง หากบุคคลใดไมอาจกา วหนาสอู ปั ปนาฌานได เขาตอ งปฏบิ ตั เิ พ่ือใหไ ดอปุ จารสมาธิ หรือขณิกวิปส สนาสมาธเิ ปน อยา ง ตาํ่ ผทู ถ่ี งึ พรอ มดว ยสมาธริ ะดบั นจ้ี ะมใี จหมดจดจากนวิ รณเ ปน จติ ตวสิ ทุ ธิ และสามารถพฒั นาวปิ ส สนาญาณตอ ไปจนกระทงั่ บรรลมุ รรคผลนพิ พาน แตผ ยู งั มไิ ดบ รรลขุ ณกิ วปิ ส สนาสมาธยิ อ มมใี จไมห มดจดจากนวิ รณ จงึ ไม อาจพัฒนาวิปสสนาญาณที่แทจริงได๑๕๓ ฉะน้ันพระพุทธองคจึงตรัสวา สติมา (มสี ติทกุ เม่ือ) และ สุสมาหโิ ต (มีจติ ต้งั ม่นั ดแี ลว) เพื่อเนน ความ สาํ คญั ของสตแิ ละสมาธิในเรือ่ งนี้ ๒๒๖

àËÁǵÊٵà คณุ สมบัตทิ ี่ ๓ ในการวา ยขา มกระแสกเิ ลส คณุ สมบัตปิ ระการที่ ๓ คือ ปญ ญา ทรงแสดงไวด วยขอความวา อชฌฺ ตฺตจินตฺ ี (เพงกาํ หนดธรรมภายใน) ธรรมภายในดงั กลาวคอื รูปนาม ทเี่ กดิ ดบั ภายในตนของผเู จรญิ วปิ ส สนา บคุ คลตอ งกาํ หนดรรู ปู นามเหลา น้นั จึงจะเกิดปญญาเหน็ ประจักษอ ยา งแทจริง เพยี งการคาดเดารูปนาม ที่เกิดข้ึนในบคุ คลอืน่ ไมสามารถทําใหเห็นประจักษได แมเ ราอาจคดิ วา บคุ คลหนง่ึ เปนสุข แตความจริงเขาเศรา โศกอยกู ็ได ในลักษณะเดียวกนั เราอาจจะคดิ วา บคุ คลหนง่ึ กาํ ลงั ทาํ ดี แตเ ขาอาจทาํ ชวั่ อยกู ไ็ ด การกาํ หนด รูท่ีกลาวถึงในเรื่องน้ีก็คือการเพงจิตจดจอใหทันปจจุบันดวยสติและ ปญญา ไมใชการนึกคิดดวยจินตนาการ เพราะคาํ วา ฌายติ และ ฌาน (เพงกําหนด) มีความหมายเหมือนคาํ วา จินเฺ ตติ และ จนิ ฺตา จะเหน็ ไดว า พระพุทธองคตรัสวา ฌายถ มา ปมาทตฺถ๑๕๔ (จงเพงกําหนด อยา ประมาท) และในคมั ภีรว สิ ทุ ธมิ รรคกก็ ลาววา สลฺลกขฺ ณาติ วปิ สฺสนา๑๕๕ (คําวา สลฺลกฺขณา <การกําหนด> เปน วิปสสนา) ๒๒๗

àËÁǵÊٵà อยา เขา ใจผดิ เรือ่ ง เอโก ธมฺโม (ธรรมอยา งหนง่ึ ) ผูท่ีไดบรรลุฌานแลวตองกําหนดองคฌานหรือสภาวะที่ปรากฏ ชัดเจนทางทวาร ๖ มีการเหน็ การไดย ิน เปนตนซง่ึ เรียกวา ปกิณณก- สงั ขาร (สงั ขารทว่ั ไป) สวนผูท ไ่ี มไดบ รรลุฌานไมอาจกําหนดรูองคฌ าน ได จงึ ตอ งกาํ หนดรปู กณิ ณกสงั ขารภายในรา งกายของตนเทา นน้ั ปจ จบุ นั มบี างคนพดู วา “การกาํ หนดรรู ปู นามทปี่ รากฏชดั เจนทางทวาร ๖ ทาํ ให สมาธเิ สอ่ื มไป ไมจ ดั เปน เอโก ธมโฺ ม คอื ธรรมอยา งหนง่ึ อนั ไดแ กอ ารมณ เพียงอยา งเดียว” บคุ คลที่พูดเชน นัน้ ไมเขา ใจวิธปี ฏบิ ตั ิวปิ ส สนาโดยแท ตามความเปนจริง วิปสสนามิไดหมายความถึงการกําหนดรู อารมณหนึ่งเทาน้ัน แตเปนการกําหนดรูสภาวธรรมทางกายและใจ ทุกอยางในทุกขณะท่ีเห็น ไดยิน สัมผัส หรือนึกคิด ผูที่มิไดกําหนดรู เชนน้ียอมยึดม่ันส่ิงเหลานั้นวาเที่ยง เปนสุข เปนอัตตา และเพราะ อุปาทานจึงเกิดกรรมและรูปนามรวมทั้งทุกขอื่นๆ ในภพตอไป แตการ เจรญิ วปิ ส สนาเปน การกาํ หนดรเู ทา ทนั ปจ จบุ นั รปู นามเพอ่ื ไมใ หเ กดิ ความ ยึดม่นั และกรรมตลอดจนทกุ ขใ นภพใหม ฉะนั้นผูปฏิบตั จิ ึงควรกําหนดรู รูปนามท่ีปรากฏชัดเจนทางทวาร ๖ ใหเห็นประจักษไตรลักษณอยาง แทจ รงิ ดังพระพุทธดาํ รสั วา สพฺพํ อภิฺเยยฺ ๑ํ ๕๖ (พงึ กําหนดรูร ปู นาม ทกุ อยาง) ๒๒๘

àËÁǵÊٵà ในพระบาลีและอรรถกถาฎีกาไมมีการกลาววาตองกําหนดรู อารมณเดยี วเทา นนั้ ตามคําวา เอโก ธมโฺ ม อยา งไรก็ตาม มกี ารอางถึงใน ทฆี นิกาย ทสุตตรสูตร๑๕๗ แตค วามหมายนน้ั คอื การเจริญสติทเี่ ปนไปใน กาย (กายคตาสต)ิ ไมใ ชก ลา วถงึ การรบั รอู ารมณเ ดยี วตามทเี่ ขา ใจผดิ นนั้ และในพระสตู รนนั้ ไดก ลา วถงึ ธรรมทค่ี วรเจรญิ ตง้ั แตธ รรม ๑ อยา งเรอื่ ย ไปจนถึงธรรม ๑๐ อยา ง ดังนั้นจึงไมค วรพดู เรื่อง เอโก ธมฺโม โดยไมร ู ความหมายทถ่ี กู ตอง ผทู ก่ี าํ หนดรรู ปู นามปจ จบุ นั ภายในตนเชน นี้ เมอื่ สมาธแิ กก ลา ขน้ึ ยอมสามารถจําแนกรูรูปนามทั้งสองอยางออกจากกัน อีกท้ังสามารถ กาํ หนดเหตแุ ละผลของรปู นามไดช ดั เจน ตอ มาจะรเู หน็ ลกั ษณะทไ่ี มเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข และไมใ ชต วั ตนของรปู นาม ตอ จากนน้ั เมอื่ วปิ ส สนาญาณพฒั นา ขึ้นจนถึงระดับแกก ลา มรรคญาณ ๔ ยอ มเกดิ ขึน้ ตามลาํ ดบั พระพทุ ธ- องคจ งึ ตรสั วา “ผมู ปี ญ ญาทงั้ ฝา ยโลกยิ ะและโลกตุ ตระ เพง กาํ หนดธรรม ภายใน ยอ มขามพน กระแสกิเลสทขี่ า มไดยาก” ใจความสาํ คญั ของเรอ่ื งนี้ คอื ผปู ฏบิ ตั ติ อ งรกั ษาศลี อยา งหมดจด กอ น แลว เจรญิ สติระลึกรูร ูปนามปจจบุ นั จนกระทัง่ เกดิ สมาธิทท่ี ําใหจ ติ ตัง้ มนั่ และปญ ญาทีเ่ หน็ ประจักษไ ตรลักษณอ ยา งแทจริง ในท่ีสดุ มรรค- ญาณที่รูแจงพระนิพพานยอมเกิดข้ึน เขาจึงสามารถขามพนไปจาก กระแสกิเลสได ลกั ษณะของการวา ยขา มกระแสกเิ ลส คอื ผทู ร่ี แู จง พระนพิ พาน ดวยโสดาปตติมรรคยอมวายขามกระแสทิฏฐิได พระโสดาบันจึงไมมี ๒๒๙

àËÁǵÊٵà ความยดึ มน่ั ในตวั ตน ไมว า จะเปน ความเหน็ วา อาตมนั เทย่ี ง (สสั สตทฏิ ฐ)ิ หรือความเห็นวาอาตมันขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) หรือความเห็นวาความ ประพฤติอยางอื่นท่ีนอกเหนือจากศีล สมาธิ และปญญาเปนทางพนไป จากสังสารวัฏ (สีลัพพตปรามาส) ความเห็นผิดท้ังหมดน้ีถูกกําจัดได โดยเด็ดขาด พระโสดาบนั จึงมีศรัทธามัน่ คงในพระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆอ ยา งแทจ รงิ และไมส งสยั เกย่ี วกบั การปฏบิ ตั เิ พอ่ื เจรญิ ไตรสกิ ขา ทานเช่ือมั่นความประพฤติของตนอยางไมคลอนแคลน สวนผูท่ีมิใช พระโสดาบันยังลังเลใจ และยึดติดกับความเชื่อของตนเอง จึงเท่ียว แสวงหาครบู าอาจารย และมากไปกวา นน้ั ยงั เขา สแู นวทางของความเหน็ ผดิ หรอื นบั ถอื ศาสดาจอมปลอม ฉะนน้ั เขาจงึ ไดร บั ทกุ ขม หนั ตต ลอดระยะ ทางอันยาวไกลในสังสารวฏั ในดา นพระโสดาบัน ทา นไมเบยี่ งเบนไปจากทางทีถ่ กู ตอง และ จะปลอดภัยจากทกุ ข ในอบาย อยา งมากทส่ี ดุ กเ็ กดิ อีกเพียง ๗ ชาติ จึง เปน ท่แี นช ดั วา ถา บคุ คลใดสามารถวายขา มกระแสทฏิ ฐิไปได เขาก็จะได รบั ประโยชนมหาศาล หลังจากไดบรรลุธรรมเปนพระโสดาบันแลว ผูที่ดําเนินการ ปฏบิ ตั ิตอไปดว ยการกาํ หนดรรู ูปนามภายในเพ่ือใหบรรลมุ รรคผลระดับ สูงข้ึนไปอีก ยอมรูแจงพระนิพพานดวยสกทาคามิมรรคญาณในเวลาที่ วปิ สสนาญาณแกก ลา นบั วาเขาไดข า มพนกระแสกามอยางหยาบได แต ยังเหลอื กระแสกามอยางละเอยี ดท่ีตอ งขามพน ตอไป ๒๓๐

àËÁǵÊٵà บุคคลนั้นตองพยายามปฏิบัติวิปสสนาตอไป เมื่อถึงเวลาท่ีได บรรลุอนาคามิมรรคญาณ เขาจึงจะสามารถขจัดกระแสกามโดยสิ้นเชิง ไมมีความอยากท่ีเกี่ยวกบั กามคณุ ๕ โดยไมค ดิ อยากบรโิ ภคอาหารโนน นี่ หรืออยากสูบบหุ ร่ีเค้ยี วหมากพลู เขาปราศจากความอยากในกามคณุ ดงั กลา ว ทาํ ใหร สู กึ เปน สขุ และไมม ที กุ ขใ จใดๆ เพราะปราศจากโทสะอกี ดวย นอกจากน้ัน ทุกขท่ีเน่ืองดวยกามภูมิก็ไมมีแกเขา เพราะจะไมไป เกิดในกามภูมิอีก แตเขายังมีกระแสภพท่ีตองวายขามตอไป เพราะยัง พอใจยึดมั่นรูปภพหรืออรูปภพอยู ผูปฏิบัติที่บรรลุถึงอนาคามิมรรคญาณแลวตองปฏิบัติตอไปอีก จนกระทง่ั เหน็ ประจกั ษพ ระนพิ พานดว ยอรหตั ตมรรคญาน ถงึ ตอนนเ้ี ขา สามารถวายขามกระแสภพและกระแสอวิชชาไปได นั่นคือเขาไมมีภพ ใหมอ กี แลว จดั วา เขาวา ยขา มกระแสกเิ ลส ๔ ประการไดส าํ เรจ็ แลว บรรลุ ถึงฝงแหง ความหลุดพน ๒๓๑

àËÁǵÊٵà คาํ ตอบที่ ๓ ของพระพุทธเจา (ข) วริ โต กามสฺาย สพฺพสโฺ ชนาติโค นนทฺ ีภวปริกขฺ โี ณ โส คมฺภีเร น สีทติ.๑๕๘ “ผนู นั้ เวน ขาดจากกามสญั ญาไดแ ลว เปน ผลู ะสงั โยชนไ ดท กุ อยา ง หมดส้ินความเพลิดเพลินและภพแลว ยอมไมจมลงในมหรรณพแหง สงสารอันลุมลกึ ” ตามคาํ ตอบท่ี ๓ ตอนแรกของพระพุทธเจาที่วา ผูทีเ่ พยี รปฏิบัติ วปิ ส สนาจนกระทงั่ ไดบ รรลมุ รรคญาณขนั้ สงู สดุ แลว เปน พระอรหนั ต ยอ ม เวน ขาดจากกามสญั ญาคอื ความหมายรใู นกาม เพราะไดก าํ จดั กามสญั ญา ดงั กลาวตามลําดับมรรคญาณทั้ง ๔ และทานละสังโยชนคือเคร่ืองผกู มี ภวราคะ (ความพอใจในภพ) เปน ตน ดว ยเหตุนนั้ ทา นจงึ หมดส้นิ ความ เพลิดเพลนิ ในภพ ๓ คือ กามภพ รูปภพ และอรปู ภพ สง ผลใหทานไมมี ภพใหมที่จะตองไปเกิดอีก ทานจึงไมจมลงในมหรรณพแหงสงสารอัน ลุม ลึกไมมพี นื้ สําหรับทรงกายและทีย่ ึดเกาะชวยใหลอยได ไมเพียงแตพระอรหันตเทาน้ัน แมพระอนาคามีเปนตนก็พนไป จากมหรรณพแหงสงสารไดบางสวน กลาวคือ พระอนาคามีพนไปจาก กามภพได พระสกทาคามีพนไปจากภพที่เกินกวา ๒ ภพในกามภูมิ ๒๓๒

àËÁǵÊٵà พระโสดาบันพนไปจากภพที่เกินกวา ๗ ภพในกามภูมิ และพนไปจาก อบายภูมิโดยเด็ดขาด ไมจมลงในอบายภูมิแนนอน แตปุถุชนท้ังหลาย ยังไมมีเคร่ืองประกันใดท่ีจะชวยไมใหตกลงสูนรกแมพวกเขาจะกระทํา ความดมี ามากกต็ าม สงั สารวฏั จงึ เปน ทอ งทะเลอนั นา สะพรงึ กลวั สาํ หรบั ปถุ ชุ นอยางแทจรงิ ดังน้นั ขณะนีจ้ ึงเปน เวลาทค่ี วรจะปฏิบตั ใิ หห ลุดพน จากมหรรณพแหงสังสารวัฏ อยา งนอ ยทสี่ ดุ กค็ วรปฏบิ ตั ใิ หพ น ไปจากมหรรณพแหง อบายภมู ิ ๔ แตถาสามารถทําไดก็ควรปฏิบัติใหเปนพระอรหันตผูพนไปจากภพ ทั้ง ๓๑ ภูมิ เม่ือไดบ รรลุธรรมเปนพระอรหันตแ ลว กามราคะยอมหมด สนิ้ ไป สงั โยชนอ น่ื ๆ จากกามราคะมภี วราคะเปน ตน และความเพลดิ เพลนิ ในภพและอารมณน้นั ๆ ทเี่ รยี กวา นันทีราคะ กห็ มดสนิ้ ไปเชน เดยี วกัน พระอรหนั ตจ งึ ไมม ภี พใหมท จ่ี ะไปเกดิ อกี จดั วา ไมจ มลงในมหรรณพแหง สังสารวฏั อยา งแทจ ริง ถงึ ตอนนกี้ ารแสดงธรรมของพระผมู พี ระภาคไดจ บบรบิ รู ณแ ลว แตข อ ความทย่ี งั เหลอื อยเู ปน คาํ กลา วยกยอ งพระสมั มาสมั พทุ ธเจา เทา นน้ั เทพเหมวตะไดฟงธรรมแลวบรรลุคุณวิเศษในพระศาสนา จึงเกิดปติ โสมนัสกลาวสรรเสริญพระพุทธองคตามกําลังสติปญญาของตน ดัง ขอความวา ๒๓๓

àËÁǵÊٵà คมภฺ ีรปฺ ํ นิปุณตฺถทสฺสึ อกิ จฺ นํ กามภเว อสตตฺ ํ ตํ ปสฺสถ สพพฺ ธิ วิปปฺ มุตฺตํ ทิเพฺย ปเถ กมฺมานํ มเหสึ.๑๕๙ “ทานทั้งหลายโปรดมาเขาเฝาพระผูมีพระภาคพระองคนั้น ผูท รงปญญาลกึ ซง้ึ แสดงเนื้อความอันลุม ลึก ไมม คี วามกงั วล ไมของใน กาม ๒ (กเิ ลสกามและวัตถุกาม) และภพ ๓ ทรงหลุดพน ไดเด็ดขาดใน ขันธท้ังปวง เสด็จดําเนนิ อยใู นปฏปิ ทาอนั เปนทพิ ย (สมาบตั ิ ๘ หรือผล- สมาบัต)ิ ” อโนมนามํ นปิ ณุ ตฺถทสฺสึ ปฺ าททํ กามาลเย อสตฺตํ ตํ ปสฺสถ สพพฺ วิทุ สเุ มธํ อริเย ปเถ กมมฺ านํ มเหส.ึ ๑๖๐ “ทานท้ังหลายจงมาดูพระผูมีพระภาคพระองคน้ัน มีพระนาม เนื่องดวยคุณธรรมอันสูงสง แสดงเน้ือความอันลุมลึก ประทานปญญา [ท้ังฝายโลกิยะและโลกุตตระ] ไมติดของในกามคุณ รูแจงธรรมท้ังปวง ทรงปญ ญา เสด็จดาํ เนินอยูในปฏิปทาของพระอริยะท้งั หลาย” สทุ ิฏ ํ วต โน อชฺช สปุ ฺปภาตํ สหุ ุฏ ติ ํ ยํ อททฺ สาม สมฺพุทฺธํ โอฆติณฺณมนาสว.ํ ๑๖๑ “วันนี้เราท้ังหลายเห็นดีแลว เปนยามรุงดี ยามต่ืนดี เพราะ ไดเขาเฝาพระสัมมาสัมพุทธเจา ผูขามพนกระแสกิเลสและสงสาร ผูปราศจากอาสวะ” ๒๓๔

àËÁǵÊٵà อิเม ทสสตา ยกขฺ า อทิ ธฺ มิ นฺโต ยสสฺสิโน สพฺเพ ตํ สรณํ ยนฺติ ตวฺ ํ โน สตฺถา อนุตฺตโร.๑๖๒ “เทพยักษ ๑,๐๐๐ ตนทัง้ หมดที่มฤี ทธ์ิเดชบริวารในท่นี ี้ ขอถงึ พระองคเปนสรณะ พระองคทรงเปนพระศาสดาผูยอดเยี่ยมของ ขาพระองคทงั้ หลาย” เทพยักษทั้งสองน้ันมีบริวารตนละ ๕๐๐ จึงกลาวถึงเทพยักษ ๑,๐๐๐ ตนในเร่ืองน้ี เทพยักษท้ังหมดน้ันไดฟงเพียงคาถา ๓ บทจาก พระพุทธองค กไ็ ดบรรลุธรรมเปน พระโสดาบนั จะขอกลาวถึงอดตี ชาติ ของเทพยกั ษเ หลานัน้ ตอ ไป ๒๓๕

àËÁǵÊٵà ประวัติในอดีตของเทพเหมวตะและคณะ เมอ่ื พระพทุ ธเจา กสั สปะเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานแลว พระบรม- สารีริกธาตขุ องพระองคไดบ รรจไุ วใ นมหาเจดียทองคําองคใ หญ ในขณะ นั้นมีกุลบุตรสองคนออกบวชเปนภิกษุเพื่อพนจากภัยในวัฏฏะ จัดเปน ผบู วชดว ยศรัทธา (สัทธาบรรพชิต) สว นบางคนออกบวชดว ยความกลวั ภัยจากกษัตริย โจร หรือความเปนอยู เรียกวาผูบวชดวยความกลัว (ภยบรรพชิต) ประเภทแรกเปนสาวกที่แทจริงของพระพุทธเจา สวน ประเภทท่ีสองเปนผูที่มีจิตใจไมต้ังม่ัน อาจจะกระทําใหพระศาสนา ออนแอและเสยี หายไดหากไมไ ดรับคาํ แนะนาํ สั่งสอนทีเ่ หมาะสม หนา ท่ี ตางๆ ของภกิ ษุแบงเปนประเภทหลกั ได ๒ ประการ คือ คนั ถธรุ ะ และ วปิ ส สนาธรุ ะ คนั ถธรุ ะเปน การศกึ ษาเลา เรยี นและสอนผอู น่ื เพอื่ เผยแพร หลักธรรม พระพุทธศาสนาสามารถคงอยูไดนานจนถึงปจจุบันดวยการ สบื ทอดคนั ถธรุ ะตอ ๆ กนั มานน่ั เอง สว นวปิ ส สนาธรุ ะเปน การปฏบิ ตั ติ าม ระเบียบวินัยของภิกษุตลอดจนการเจริญสมถะและวิปสสนาเพื่อบรรลุ มรรคผล ในสมัยพระพุทธเจาโคตมะนี้มีภิกษุเปนจํานวนมากเร่ิมดวย วปิ ส สนาธรุ ะ กลา วคือ ปญ จวคั คยี  ๕ รปู แรก ทา นพระยสะบตุ รเศรษฐี และสหายอกี ๕๔ รปู รวมเปน ๕๕ รูป ทง้ั หมดอปุ สมบทเปนภกิ ษแุ ลว เจริญวิปสสนาธุระจนไดบรรลุธรรมเปนพระอรหันต หลังจากนั้นทาน ๒๓๖

àËÁǵÊٵà พระภทั ทวคั คยี  ๓๐ รปู ฤษี ๑ พนั ทม่ี ที า นพระอรุ เุ วลากสั สปะเปน หวั หนา ทานพระสารีบุตรและทานพระมหาโมคคัลลานะพรอมดวยปริพาชก ๒๕๐ คน ท้งั หมดไดปฏบิ ตั ธิ รรมจนบรรลุเปน พระอรหนั ต ตอมามีภิกษุ มากมายเปนพระอรหันตดวยวิปสสนาธุระ ในบรรดาภิกษุทั้งหมดนั้น เร่อื งการปฏบิ ตั ิธรรมของทา นพระโสณะพิเศษกวา ภกิ ษรุ ูปอ่ืน ทานพระโสณะเปนบุตรเศรษฐีผูเปนสุขุมาลชาติ ทานไมเคย เหยียบพื้นดิน ฝาเทาของทานหอหุมดวยขนออนๆ ทานออกบวชดวย ศรทั ธาตอ งการจะหลดุ พน จากวฏั ฏสงสาร จงึ พากเพยี รปฏบิ ตั ธิ รรมอยา ง แรงกลา ทานพากเพียรเดินจงกรมจนกระทั่งเทาแตกมีเลือดไหลทวม ทางเดนิ จงกรม แตก ็ยงั ไมเลกิ ปฏบิ ตั ิ อยา งไรก็ดี ทานไมอาจบรรลคุ วาม สาํ เรจ็ ตามเปาหมายไดจ งึ รสู ึกหมดหวังทอแท และคดิ ลาสิกขาออกจาก คณะสงฆเพราะคิดวาตนไมมีบารมีสามารถท่ีจะบรรลุธรรมได ตอมา พระพุทธเจาเสด็จมาหาทานแลวแนะนําวาใหปฏิบัติตามทางสายกลาง โดยผอ นวริ ยิ ะลง ทา นปฏบิ ตั ติ ามคาํ แนะนาํ นน้ั ในไมช า กบ็ รรลธุ รรมเปน พระอรหันต ในสมัยพระพุทธกาลมีผูบรรลุพระอรหันตมากมายนับไมถวน หรอื ไมก ็เปนพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี พระอรยิ - บคุ คลทงั้ หมดนเ้ี ปน ผบู รรลคุ วามประสงคข องพระพทุ ธเจา ดว ยการปฏบิ ตั ิ วิปสสนา ทาํ ใหพ ระศาสนางดงามสวา งไสว ภิกษุผเู ปน อดีตเทพเหมวตะ และสาตาคริ ะดาํ รวิ า วปิ ส สนาธรุ ะประเสรฐิ กวา คนั ถธรุ ะ แตพ วกเราอายุ ยังนอย พออายุมากขึ้นคอยปฏิบัติวิปสสนาธุระก็ได ตอนน้ีพวกเราจะ ๒๓๗

àËÁǵÊٵà ปฏิบัติคันถธุระกอน ดังน้ัน พวกทา นจงึ ศึกษาเลา เรยี นปรยิ ัติอยางขยนั ขันแข็งจนเปนผูเช่ียวชาญพระไตรปฎกในกาลไมนาน เพราะมีปญญา เฉียบแหลม ทานท้ังสองไดสอนปริยัติแกภิกษุอ่ืนอีกสองกลุม กลุมละ ๕๐๐ รูป มชี ่อื เสยี งเปนพระวินัยธรปกครองคณะสงฆ การตดั สนิ ใจของภกิ ษทุ ง้ั สองรปู นนั้ วา จะศกึ ษาพระธรรมในขณะ ยังหนุม และปฏิบัติธรรมในตอนแกชรา คลายกับเปนการตัดสินใจท่ีมี เหตุผล แตใครจะประกันไดว าบุคคลใดจะไมเ สียชีวิตเมอื่ ยงั หนุม อยู ถา เขาเสียชีวิตในขณะยังหนุมอยู ก็จะทําใหขาดโอกาสในการปฏิบัติธรรม สวนใหญภิกษุท่ีรอจนแกแลวคอยปฏิบัติธรรม มักเสียชีวิตไปโดยมิได ปฏิบัติธรรมใดๆ ความประสงคของพระพุทธเจาน้ันคือเพ่ือใหทุกคนได เรมิ่ ปฏบิ ตั ิธรรมเสยี ตั้งแตอ ายุยังนอย ดังขอความวา โย หเว ทหโร ภิกฺขุ ยุฺชติ พทุ ธฺ สาสเน โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพภฺ า มตุ ฺโตว จนทฺ มิ า.๑๖๓ “ภิกษุหนุมผูหมั่นปฏิบัติธรรมในพระศาสนา ยอมสองโลกนี้ (ขนั ธ ๕ ของตน) ใหสวางไสวดุจพระจันทรพ น จากเมฆ” บางคราวทองฟามเี มฆทบึ ทาํ ใหแสงจันทรไมอาจสองสวางโลก ได ตอเมอ่ื ทองฟาปราศจากเมฆ แสงจนั ทรจ ึงสอ งสวา งสงิ่ ตา งๆ บนโลก ใหป รากฏชัดเจนได ผทู ีป่ ฏิบตั ธิ รรมตง้ั แตย งั หนมุ กส็ ามารถสองโลกของ ตนคอื ขนั ธ ๕ ใหส วา งไสวได กลา วคอื ผทู ่เี ร่ิมปฏบิ ัตดิ วยการกําหนดรู สภาวะพอง ยบุ น่งั คู เหยียด เปนตน ยอ มจะเห็นประจกั ษร ูปขนั ธท ีไ่ ม เคยรเู หน็ มากอ น หมายความวา กอนจะมาปฏบิ ัติธรรม เขาเขาใจผดิ วา ๒๓๘

àËÁǵÊٵà สภาวะพองยุบเปนตนเปนตัวเรา แตเมื่อเจริญสติกําหนดรูจนกระท่ัง สมาธิแกกลาแลวยอมเขาใจชัดเจนโดยแยกแยะออกเปนทีละสวนวา สภาวะพองเปน สว นหนงึ่ สภาวะยบุ เปน สว นหนงึ่ สภาวะนงั่ เปน สว นหนง่ึ สภาวะคูเปนสวนหน่ึง สภาวะเหยียดเปนสวนหนึ่ง นี้คือการหย่ังเห็น รูปขันธเ ปน ลาํ ดับแรก ในขณะกําหนดรูสภาวะพองยุบเปนตนอยู อาจมีความรูสึกชา เมอ่ื ย เจบ็ หรอื คนั ปรากฏขนึ้ ในรา งกาย ผปู ฏบิ ตั ติ อ งกาํ หนดรคู วามรสู กึ น้อี กี ดวย หรอื ถามคี วามรูสึกเปน ทุกขท างใจ เชน หงดุ หงิด ไมสบายใจ ก็ตองกําหนดรูอีกเชนกัน นอกจากนั้น ถามีความรูสึกเปนสุขทางกาย หรอื ทางใจปรากฏชดั เจน ผปู ฏบิ ตั กิ ต็ อ งกาํ หนดรคู วามรสู กึ ดงั กลา ว กอ น จะเจริญสติกําหนดรูเทาทัน เรามักเขาใจผิดวาความรูสึกเปนทุกขหรือ สุขทางกายหรือทางใจ เปนตัวเราท่ีรูสึกเชนนั้น แตการกําหนดรูดวย การเจริญสติน้ีจะทําใหผูปฏิบัติหยั่งเห็นความจริงของสภาวธรรมวา ความรูส กึ เปน ทกุ ขห รอื สุขดงั กลาวเปน เพยี งความรสู กึ ที่ดหี รอื ไมด ี ไมม ี ตวั เราผกู ําลงั เสวยอารมณเชนนัน้ อยู นี้คือการหยั่งเห็นเวทนาขนั ธ ในลักษณะเดียวกัน การกําหนดรูสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพ่ือไมใหหลงลืม เปน การหยงั่ เหน็ สญั ญาขนั ธ การกาํ หนดรฉู นั ทะทตี่ อ งการจะทาํ พดู หรอื คิด หรือความตง้ั ใจจะทาํ สิง่ ตางๆ เปน การหยัง่ เหน็ สงั ขารขนั ธ สว นการ กาํ หนดรจู ิตทีค่ ดิ นึกเปน ตน เปน การหยงั่ เหน็ วิญญาณขันธ ที่กลา วมาน้ี เปนการหย่ังเห็นขันธ ๕ โดยยอ ตอมาวิปสสนาญาณพัฒนาข้ึนจนถึง ระดบั แกก ลา แลว ผปู ฏบิ ตั ยิ อ มรเู หน็ วา รปู นามทถี่ กู กาํ หนดรอู ยไู ดเ กดิ ขนึ้ ๒๓๙

àËÁǵÊٵà แลวดบั ไปทนั ทอี ยา งรวดเรว็ นี้คอื การหยั่งเหน็ ความไมเ ที่ยงของรูปนาม แลวตอมาจะหยั่งเห็นไตรลักษณของรูปนามได ผูที่เกิดปญญาเห็น ประจกั ษเ ชนน้ียอ มสองขันธ ๕ ของตนใหสวา งไสว อาจจะมีคําถามวา ผูสูงอายุก็อาจเกิดวิปสสนาญาณที่เห็น ประจักษไดมิใชหรือ แนนอนวาวิปสสนาญาณเกิดข้ึนไดจริง แตความ เขาใจแจมแจงอาจจะไมเหมือนคนหนุมสาว เพราะอายุทําใหสุขภาพ และปญญาเฉ่ือยชาลง คนอายุ ๓๐ปอาจจะบรรลุเปาหมายของเขาได ภายในเวลา ๑ เดือน สวนคนอายุ ๖๐ หรือ ๗๐ ปอาจจะบรรลไุ ดใ น เวลา ๒ หรือ ๓ เดอื น ความแตกตางอยทู ่สี ขุ ภาพกายและจติ รวมท้ัง พละกําลังและความคิดกังวลดวย พลังสมองของคนอายุนอยน้ันมัก เฉียบแหลม สว นคนทอ่ี ายุมากน้ันลดลงเรือ่ ยๆ ฉะนั้น พระพทุ ธองคจึง ทรงสนับสนุนใหปฏบิ ตั วิ ิปสสนาต้งั แตอายุยงั นอย ในกรณีของภิกษุ พระหนุมท่ีบวชใหมควรเริ่มปฏิบัติธรรมจะดี ที่สุด เพราะพระบวชใหมอายุนอย ศรัทธาเขมแข็ง และมีศีลที่หมดจด จากขอ กังขา แมจ ะเปนท่ยี อมรบั กันวา การศึกษาปรยิ ัตสิ าํ คญั มากก็ตาม แตพระหนุมท่ีบวชใหมก็ควรปฏิบัติกรรมฐานอยางนอย ๓ เดือน นี้คือ ความคิดเห็นของผูบรรยาย ภิกษุจํานวนมากคิดวาจะปฏิบัติธรรมตอน แก แตก ็ไมม โี อกาสจนกระทง่ั มรณภาพไปกอน อาจเปน ไปไดท ่ีภกิ ษุสอง รปู ซง่ึ จะเกดิ เปน เทพเหมวตะและเทพสาตาคริ ะไดเ สยี ชวี ติ กอ น ดเู หมอื น วาทา นทั้งสองไมม โี อกาสไดปฏบิ ตั ิธรรมแตอ ยา งใด ๒๔๐

àËÁǵÊٵà พระเถระทั้งสองไดรับการยกยองนับถืออยางสูงจากศิษยของ ทา นทงั้ ภกิ ษแุ ละฆราวาส ในสมยั นน้ั พระพทุ ธศาสนาเจรญิ รงุ เรอื งเหมอื น สมัยท่ีพระพุทธเจายังดํารงพระชนมอยู ในขณะนั้นมีพระหนุมสองรูป พาํ นักอยใู นวดั แหง หน่ึง รปู หน่งึ เปนผูปฏิบัตติ นตามวินยั อยา งเครงครดั อกี รปู หนงึ่ นนั้ มกั ฝา ฝน วนิ ยั เมอื่ ภกิ ษดุ ชี ข้ี อ บกพรอ งของอกี รปู หนง่ึ ภกิ ษุ ทไี่ มเ ครง ครดั วนิ ยั กไ็ มย อมรบั ความผดิ ของตน ภกิ ษรุ ปู แรกจงึ บอกใหร ูป ที่สองรอจนกวาวนั ปวารณามาถงึ เพราะทานจะโจททวงขอ ผดิ พลาดใน วันน้นั กบั พระวินัยธร ภิกษุทั้งหมดตองเขารวมพิธีปวารณาหลังจากออกพรรษาแลว ทุกรูปตางปวารณากันเพ่ืออนุญาตใหช้ีขอบกพรองได พิธีน้ีมีข้ึนเปน ประจําในวันเพ็ญเดือน ๑๑ ขณะออกพรรษา ภิกษุท่ีถูกกลาวโทษจะ แสดงความขอบคณุ ภกิ ษทุ ช่ี ขี้ อ บกพรอ งให และใหส ญั ญาทจ่ี ะระมดั ระวงั ใหมากข้ึนในอนาคต พิธีการน้ีจัดขึ้นเพื่อใหพระพุทธศาสนาสะอาด หมดจดและคงอยอู ยา งบรบิ รู ณ พระพทุ ธเจา ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทเพอื่ ให ทาํ ปวารณาในวนั ดังกลา ว โดยทวั่ ไปภกิ ษทุ ถ่ี กู ชโี้ ทษควรจะแสดงความขอบคณุ ภกิ ษผุ ชู โ้ี ทษ เพราะการชโ้ี ทษนเ้ี ปน การเปด โอกาสใหผ ทู ถี่ กู ชโ้ี ทษไดแ กไ ขตนเอง อาบตั ิ หรือการกระทําผิดของภิกษุนั้นถือวารายแรงกวาความผิดของฆราวาส หากภกิ ษุมรณภาพโดยไมรวู า ตนเองมอี าบัติ กไ็ มมีโอกาสปรบั ปรงุ แกไ ข ทานอาจไปเกิดในอบายภูมิดวยอาบัติของตน หากภิกษุรูอาบัติของตน แลวแกไขดวยการปลงอาบัติ ศีลก็อาจบริสุทธิ์ได และถาในเวลาน้ันได ๒๔๑

àËÁǵÊٵà ปฏิบัติธรรมก็อาจพัฒนาสมาธิและปญญาระดับสูงได หรือถามรณภาพ ไปในขณะน้ันก็อาจจะไปสูสุคติภูมิได ฉะน้ัน พระพุทธเจาจึงตรัสวา ผชู ใี้ หเ หน็ ขอ บกพรอ งของคนอน่ื ดว ยเจตนาดี จะเปน ทเ่ี คารพนบั ถอื ของ คนดีทัง้ หลาย แตเขามักถูกเกลียดชงั จากคนทราม๑๖๔ ภิกษุทรามทําตัวเปนปฏิปกษตอภิกษุดีอยางเดนชัด ภิกษุดีจึง กลาววาจะรายงานเร่ืองนี้ไปยังพระวินัยธร ภิกษุทรามเกรงกลัววาตน จะเสื่อมเสียช่ือเสียง จึงเขาหาพระวินัยธรทั้งสองรูปนั้นแลวถวายจีวร บาตร และวตั ถสุ งิ่ ของอกี มากมาย พรอ มกบั ถอื นสิ สยั (ขอเปน ทพ่ี งึ่ ) จาก พระวนิ ยั ธรทง้ั สอง อกี ทงั้ ไดป รนนบิ ตั วิ ตั รนอ ยใหญจ นเกดิ ความสนทิ สนม วนั หนงึ่ ภกิ ษทุ รามนนั้ บอกพระวนิ ยั ธรวา ตนไดม ปี ากเสยี งกบั เพอ่ื นในวดั เกี่ยวกับความประพฤติไมดีของตน แลวขอรองใหพระอาวุโสระงับการ พิจารณาตดั สินไวเมอื่ เร่ืองของตนเขาทป่ี ระชมุ สงฆ พระวนิ ัยธรกลาววา พวกทานมอิ าจระงับคดีใดๆ ได แตภ ิกษุทรามกย็ ังยืนกรานขอรองตอไป พระวินัยธรไดรับสิ่งของและการรับใชตางๆ ทําใหรูสึกเกรงใจไมอาจ ปฏเิ สธคําขอรองได ดังนน้ั จงึ ใหสัญญาวา จะเกบ็ เรือ่ งเมอ่ื มาถึง แนนอน วา นค้ี อื การลาํ เอยี งดว ยความรกั สนทิ สนม (ฉนั ทาคต)ิ และคอรปั ชน่ั เมอ่ื เรอ่ื งแนชัดแลว ภกิ ษุทรามจึงกลบั ไปวดั เดิม และปฏบิ ัตติ อ เพ่ือนของตน อยา งหยง่ิ ยโสโอหงั ภกิ ษดุ จี งึ สงสยั แลว ไปถามศษิ ยข องพระวนิ ยั ธรเงยี บๆ ถงึ ความลา ชา ในการตดั สนิ คดที เ่ี ขารอ งเรยี นไป ศษิ ยข องพระวนิ ยั ธรทไี่ ด เขา พบน้นั กลบั ปด ปากเงียบไมพดู ไมจ า ๒๔๒

àËÁǵÊٵà ภิกษุทรามย่ิงหนาดานมากขึ้น เขาไดถามภิกษุดีถึงคดีน้ันแลว ทา ทายอยา งหยิง่ ผยองวา ถึงตอนนี้เธอแพค ดกี ับฉันแลว เธอไมค วรกลับ เขา วดั อกี จะไปไหนกไ็ ป ไมต อ งมาอยกู บั ฉนั อกี ภกิ ษดุ จี งึ เดนิ ทางไปถาม พระวนิ ยั ธรเกย่ี วกบั คดนี ดี้ ว ยตนเองแลว ราํ่ ไหพ ดู ดว ยเสยี งอนั ดงั วา ทา น ท้ังสองรูปไมเห็นแกหนาพระศาสนา กลับเห็นแกหนาของพระท่ีมา อปุ ฏฐากรบั ใชต น หลังจากพระพทุ ธเจา กัสสปะเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน แลว ชาวพุทธตางพึ่งพาทานทั้งสองรูปเหมือนพระพุทธเจาอีกพระองค หน่ึง แตทานท้ังสองมิไดตัดสินคดีอยางยุติธรรม กระผมจะกําหนดวา ในวันนี้ศาสนาของพระพุทธเจากัสสปะไดเสื่อมสูญไปเสียแลว หลังจาก ราํ่ ไหแ ลว ภกิ ษนุ นั้ กก็ ลบั ไป ตามมมุ มองของความถกู ตอ ง การปฏบิ ตั แิ บบ ไมยุติธรรมเชนน้นี ับวาเปนสงิ่ ท่ีนาสลดใจอยางยิง่ ถอ ยคาํ ดงั กลา วเปน เหมอื นหนามทมิ่ ตาํ ใจของพระวนิ ยั ธรทง้ั สอง รูปไปตลอดชีวติ ทา นทงั้ สองไดสตกิ ลบั มาแลวรูสกึ เสียใจ อันทจ่ี รงิ ทา น เหลานี้เปนผูมีจิตใจดีงามโดยปกติ แตกระทําผิดดวยความเกรงใจภิกษุ ทราม พวกทา นดาํ รวิ า ศาสนาของพระพทุ ธเจา เปน คาํ สอนทสี่ ถาปนาขน้ึ ดวยการบําเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป แตพวกเรามิไดเห็นแกห นา ของพระศาสนา เพยี งเหน็ แกห นา ของภกิ ษทุ ม่ี าถวายสง่ิ ของและปรนนบิ ตั ิ รบั ใช แลว ทาํ ใหพ ระศาสนามวั หมอง คดิ ดงั นแ้ี ลว พวกทา นรสู กึ เดอื ดเนอื้ รอ นใจจนกระท่ังถึงเวลามรณภาพ ในเวลานั้นทานท้ังสองรูปไดออกบวชรักษาศีลอยางเครงครัด และสอนปริยัติเปนเวลาราว ๒ หม่ืนป ในคัมภีรอรรถกถามิไดเอยถึง ๒๔๓

àËÁǵÊٵà เรอ่ื งการปฏบิ ตั ิธรรมของทา นเหลานนั้ จึงอาจจะเคยปฏิบัตธิ รรมมาบาง แตพ วกทานไมอ าจพัฒนาสมาธิใหเ กิดข้นึ ในใจได เพราะความรอนใจใน ความผิดพลาดของตน ที่จริงแลวความรอนใจดังกลาวนั้นอาจถูกกําจัด ไดดวยการกําหนดรูเทาทันปจจุบัน คนที่ไมอาจกําจัดความรอนใจหรือ ความคิดฟุงซานไดนับวาตกเปนทาสของมัน เพราะท้ังสองอยางน้ันจะ ปดก้ันความกาวหนาในการปฏิบัติ โดยทําใหสมาธิและปญญาไมอาจ เกดิ ขึ้นได เหมือนทาสที่ตอ งทาํ ตามความตองการของนาย ไมเปนอิสระ แกตนเอง พระวินัยธรท้ังสองรูปควรจะไดไปเกิดในเทวโลกช้ันสูงดวยบุญ กศุ ลทตี่ นบาํ เพญ็ ไว ๒ หมนื่ ป แตก ลบั ไปเกดิ เปน เทพยกั ษท เ่ี รยี กวา ยกั ษ เสนาบดี อยูในจํานวนยักษเสนาบดี ๒๘ ตนผูเปนบริวารของทาวกุเวร ตนหนง่ึ อยทู ่ภี ูเขาหิมาลยั อกี ตนหนึ่งอยูทภ่ี ูเขาสาตะทางทิศใตของเมอื ง ราชคฤหแ ถบภาคกลางของอนิ เดยี สนั นษิ ฐานวา นา จะอยแู ถบภเู ขาอทุ ยั - คิรีและทนั ตคิรีทอี่ ยูบริเวณริมฝง ทะเล แมเ ทพยักษท ้ังสองจะมตี าํ แหนง ยกั ษเ สนาบดีกน็ า จะมรี ปู รา งไมง ดงามเหมอื นเทวดาชน้ั สงู คงจะมรี ปู รา ง คอ นขา งหยาบกระดา ง แมภ กิ ษกุ ลมุ ละ ๕๐๐ รปู ทเ่ี ปน ศษิ ยข องพวกทา น กไ็ ปเกดิ เปนเทพยักษบ ริวารของทา นเหลา น้นั ๑๖๕ วันหน่ึงเทพยักษท้ังสองตนมาพบกันในการประชุมเทวสภา จึง ถามกนั และกนั แลว จาํ กนั ได ทาํ ใหร สู กึ เศรา ใจตอ ชะตากรรมของตนแลว กลา ววา พวกเราปฏบิ ตั สิ มณธรรมตลอด ๒ หมน่ื ป แตต อ งมาตกอบั เพราะ ศิษยท ่ีเปน ภิกษทุ ราม ทง้ั สองรูสึกเสยี ใจทพี่ บวา ศษิ ยคฤหสั ถบ างคนได ๒๔๔

àËÁǵÊٵà ไปสภู พภมู ทิ สี่ งู กวา ตน สว นเขาทง้ั สองตอ งรบั สถานะทตี่ า่ํ กวา ทง้ั สองตน จึงใหสัญญาตอกันวา หากคนใดคนหนึ่งมีขาวดีเกี่ยวกับการอุบัติของ พระพทุ ธเจา พระองคต อ ไป เขาจะแจงใหอีกคนหน่ึงทราบทันที หลงั จากศาสนาของพระพุทธเจา กัสสปะอันตรธานแลว อายุขยั ของมนุษยก็คอยๆ ลดนอยลงจาก ๒ หมื่นปไปตามลําดับจนกระทั่งถึง อายขุ ยั ๑๐ ป ในขณะนนั้ มสี งครามทโี่ หดเหย้ี มจนคนฆา กนั ตายเพอ่ื เปน อาหารยังชีพ คนที่รอดชีวิตไดรูสึกสลดใจจึงบําเพ็ญกุศลมีการเจริญ เมตตาและรักษาศีลเปนตน ทําใหอายุขัยของมนุษยเพิ่มขึ้นจนถึง ๑ อสงไขย ตอ จากนน้ั อายขุ ยั ของมนษุ ยก ล็ ดลงมาอกี เพราะความประพฤติ เสือ่ มทรามลง พอถงึ ปทมี่ นุษยม ีอายขุ ัย ๑๐๐ ป เมื่อป ๒๕๕๒ ที่ผา นมา ในวนั เพ็ญเดือน ๖ พระพทุ ธเจา โคตมะเสดจ็ อุบตั ขิ ึน้ ในโลก หลังจากนนั้ ถดั มา ๒ เดอื น ในวนั เพ็ญเดือน ๘ ทรงแสดงธัมมจักกัปปวตั นสูตรเปน ลาํ ดับแรก ทา นอญั ญาโกณฑญั ญะฟง พระธรรมเทศนานแ้ี ลว ไดบ รรลธุ รรม เปน พระโสดาบนั พรหม ๑๘ โกฏแิ ละเทวดานบั ไมถ ว นไดบ รรลธุ รรมดว ย ปฐมเทศนานี้เชนกัน ในขณะนั้นเทพสาตาคิระคิดถึงเทพเหมวตะสหาย ของตน มัวแตคิดวาเหตุใดจึงไมพบสหาย ทําใหจิตซัดสายไมสงบ จึง ไมอาจบรรลุธรรมดวยการฟงธรรมได ตอมาเทพสาตาคิระไดพาเทพ เหมวตะมาฟง ธรรมคือเหมวตสูตรน้ีจากพระพทุ ธเจาเปนครง้ั ที่ ๒ จึงได บรรลุธรรมเปนพระโสดาบันพรอ มกับสหายและบริวารท้งั ๑ พนั ตน ๒๔๕

àËÁǵÊٵà เทพเหมวตะไดบรรลุธรรมเปนพระโสดาบันแลว ไดบังเกิดปติ โสมนัสและศรัทธาปสาทะเหลือประมาณ จึงไดกราบทูลขอความน้ีแด พระพทุ ธเจาดว ยปต ิโสมนสั ของตนวา เต มยํ วิจริสฺสาม คามา คามํ นคา นคํ นมสสฺ มานา สมพฺ ทุ ฺธํ ธมฺมสฺส จ สธุ มมฺ ตํ.๑๖๖ “ขาพระองคเหลานี้ขอนอบนอมพระสัมมาสัมพุทธเจาและ พระธรรมทพี่ ระองคต รสั ไวด แี ลว เทยี่ วประกาศคณุ ของพระพทุ ธเจา และ พระธรรมไปทกุ หนทุกแหง ตามหมูบ า นหรือตามขนุ เขาลาํ เนาไพร” เหมวตะรสู กึ ดใี จและเกดิ ศรทั ธาอยา งแรงกลา เพราะไดบ รรลคุ ณุ - วิเศษแลว ทา นจึงกราบทูลวาจะเทย่ี วประกาศคณุ ของพระพุทธเจาและ พระธรรมไปทกุ หนทกุ แหง ตามหมบู า นหรอื ตามขนุ เขาลาํ เนาไพร เขา ใจ วา ในขณะนนั้ พระสงฆย งั ไมป รากฏชดั เจน จงึ กลา วถงึ คณุ ของพระพทุ ธเจา และพระธรรมเทา นนั้ อนั ทจ่ี รงิ ขอ นเี้ ปน ธรรมดาวา ผทู เ่ี ขา ใจพระพทุ ธเจา และพระธรรมท่ีแทจริงยอมตองการประกาศใหผูอื่นทราบเรื่องน้ีเชน เดียวกนั ทต่ี นไดทราบมากอ น ๒๔๖

àËÁǵÊٵà คําลงทาย ดว ยอานภุ าพแหง บญุ กศุ ลทเ่ี กดิ จากการสดบั ตรบั ฟง เหมวตสตู รน้ี โดยเคารพ ขอใหผูปฏิบัติธรรมทุกทานสามารถกําจัดความเพลิดเพลิน ยินดที อี่ าจเกดิ ขน้ึ ในอารมณ ๖ ดว ยการเจริญสติกําหนดรแู ละหยั่งเห็น ประจกั ษอ ารมณ ๖ ทมี่ าปรากฏทางทวาร ๖ เพอื่ ไมใ หจ มลงในมหรรณพ แหง สงสารอนั ลมุ ลกึ เพราะขา มพน กระแสกเิ ลสได และบรรลนุ พิ พานสขุ อนั ดบั ทุกขท ้งั ส้ินไดตามลาํ ดบั วปิ สสนาญาณและมรรคญาณตอ ไป จบเหมวตสตู ร ๒๔๗



ÀÒ¤¼¹Ç¡ ๒๔๙



ÀÒÃÊٵà ภารสตู ร สตั วโลกทุกจําพวกประกอบดวยขันธ ๕ คอื รปู เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ขันธท้ัง ๕ ไดประชุมกันข้ึนเปนส่ิงที่มีชีวิตก็คือ ตัวเราน่นั เอง อยางไรก็ตาม ชาวโลกมไิ ดคดิ วาขันธเหลาน้เี ปนของหนกั แตอยา งใด เพราะเมอ่ื ถงึ เวลากิน เราก็ไดกิน ถึงเวลานอน เราก็ไดนอน ถึงเวลาเพลิดเพลินสนุกสนาน เราก็เพลิดเพลินสนุกสนาน จึงไมคิดวา ขนั ธ ๕ เหลา น้นั เปน ของหนัก แมเ ราจะตองแบกขันธอ ยูเชนนี้ กไ็ มค ดิ วา เปนของหนกั เพราะ ถูกอวิชชาหอหุมและถูกตัณหาเหนี่ยวรั้งไว๑ อวิชชาและตัณหาทั้งสอง อยา งนที้ ําใหห ลงผิดวาขันธ ๕ นาเพลดิ เพลนิ ยินดี ชาวโลกจึงไมค ดิ วา แบกของหนกั ไว และไมตองการวางลง อวิชชาเหมือนความมืดทีป่ ดบังของทม่ี ีอยใู นหอง แมในหองจะ มีวัตถสุ ิ่งของตา ง ๆ เรากม็ องไมเ หน็ เพราะถกู อวชิ ชาคอื ความมืดปด บัง ไว นอกจากนัน้ เราก็ยงั มีตัณหาคอื มีความเพลิดเพลนิ ยนิ ดตี อสิ่งทีไ่ ดรบั อยูตลอดเวลา หากเราไดรับส่ิงท่ีดีอยางหนึ่ง ก็ตองการใหส่ิงน้ันคงอยู ตลอดไป รวมถึงอยากไดสิ่งอื่นท่ีดีกวา เม่ืออวิชชาและตัณหาไดหอหุม ๒๕๑

ÀÒÃÊٵà และเหนยี่ วรงั้ เหลา สตั วไ วเ ชน น้ีคนทว่ั ไปจงึ ไมร สู กึ วา ขนั ธ ๕ เปน ของหนกั ดังพระพทุ ธดํารัสวา เอตํ มม,ํ เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตตฺ า.๒ “สิ่งนขี้ องเรา สง่ิ นี้เปนเรา ส่งิ นี้เปนอตั ตาของเรา” ทุกขณะที่รับรูอารมณทางทวาร ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ชาวโลกมกั รสู กึ วา สง่ิ นขี้ องเรา กลา วคอื สภาวะเหน็ นเ้ี ปน การเหน็ ของเรา ดวงตาหรือจักขุทวารก็เปนของเรา หรือส่ิงที่เห็นน้ันเปนบุคคล อน่ื ทไี่ มใ ชต วั เรากจ็ รงิ แตถ า สง่ิ นน้ั เปน สงิ่ ทเี่ ราครอบครองอยู เราพอใจวา สง่ิ นเี้ ปนของเรา ดงั นนั้ ไมวา จะเปนสภาวะเหน็ ดวงตา หรือสงิ่ ทพี่ บเหน็ คือรปู ารมณ เราเขา ใจสง่ิ เหลา นี้วาเปนของเราอยตู ลอดเวลา นอกจากนัน้ เรายังเขา ใจวาส่ิงนีเ้ ปนตัวเรา กลา วคอื ตัวเราเปน องครวมของรางกายทั้งหมด และเมื่อเปนเชนน้ัน เราจึงเขาใจวาส่ิงน้ี เปนอัตตาหรือเปนตัวตนของเราอีกดวย เมื่อเราเขาใจวาเปนตัวตน จึง แสวงหาสิ่งท่ียังไมไดและพยายามคุมครองสิ่งท่ีมีอยูแลวใหคงอยูกับเรา ตลอดไป น้ีคือลักษณะของอวิชชาและตัณหาที่ปดบังโทษของขันธ ๕ ทาํ ใหไมร ูเหน็ ความจริงวา ขนั ธเ ปน ของหนัก ๒๕๒

ÀÒÃÊٵà ขนั ธ ๕ เปนของหนัก ในสงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค๓ พระพทุ ธองคต รสั พระสตู รหนงึ่ เกีย่ วกบั การปฏิบัติธรรม ชอื่ วา ภารสูตร แปลวา “พระสูตรวา ดวยของ หนัก” หมายความวา คนท่ีใชศีรษะทูนของหนักไว ไมวาจะเปนของใด กต็ าม เขาตอ งไดร บั ความทกุ ขย ากลาํ บากจากการแบกของหนกั ๔ อยา งไร กต็ าม เขามไิ ดแ บกมนั ไวต ลอดเวลา เพยี งแบกไวช ว่ั ขณะทท่ี าํ งานเทา นน้ั แตชาวโลกตอ งแบกขันธ ๕ ไวตลอดเวลา เพราะเรามีรปู เวทนา สัญญา สงั ขาร และวญิ ญาณ ซ่ึงตอ งดูแลรักษาตลอดเวลา คนที่แบกของหนักนั้นอาจแบกไวเปนเวลาไมนาน แตคนที่เดิน ทางอยูในวัฏฏสงสารนี้จําตองแบกของหนักตั้งแตเวลาท่ีเราอยูในครรภ มารดา กลาวคือ มารดาก็ตองบริโภคอาหารหรือเคล่ือนไหวรางกายให เหมาะสมกับลูกนอยท่ีอยูในครรภ เม่ือเราคลอดมาแลวยังดูแลตัวเอง ไมได บดิ ามารดาตอ งดแู ลดวยการปอ นขา ว ปอนนํ้า และเปลีย่ นผา ออม เปน ตน ทา นดแู ลตวั เราจนกระทง่ั เตบิ ใหญส ามารถดแู ลตวั เองได นบั จาก น้ันมาเราตองดูแลขันธเหลาน้ีดวยตัวเอง นอกจากน้ัน บางคนอาจตอง ดแู ลขนั ธของคนอ่ืนอีก เชน คนที่มีสามี ภรรยา หรอื บตุ รธดิ า ก็ยังตอง ดูแลขนั ธข องบุคคลเหลา น้ันอกี ดวย ๒๕๓

ÀÒÃÊٵà ปุถุชนแบกของหนักคือขันธ ๕ โดยไมรูตัว แตพระอรหันต ผูกําจัดอวิชชาและตัณหาโดยเด็ดขาดยอมเขาใจวาเปนของหนัก จะเห็นไดวา พอต่ืนข้ึนเราตองทําความสะอาดรางกาย ตองลางหนา แปรงฟน ขบั ถาย อาบนํา้ บรโิ ภคอาหาร ดงั นี้เปน ตน นอกจากนั้น เราตองเปล่ียนอิริยาบถอยูเสมอเพื่อใหหายเมื่อย เมอื่ ยนื นานกเ็ มอ่ื ยตอ งเปลย่ี นมานง่ั พอนงั่ เมอ่ื ยแลว กล็ กุ ขน้ึ เดนิ พอเดนิ นานไปก็ตองมานั่งและในท่ีสุดก็ตองนอนพักผอน ท้ังนี้เพ่ือดูแลรักษา รา งกายใหค งอยตู อ ไปจนถงึ เวลาสน้ิ อายขุ ยั พระอรหนั ตม กั ดาํ รวิ า รา งกาย ของตนเหมือนคราบงู งูท่ีใกลจะลอกคราบมักรูสึกอึดอัดตอคราบเกา ของตน จงึ ตองลอกหนงั เกาออกเพ่อื ใหเกดิ หนังใหม ดว ยเหตดุ งั กลา ว พระพุทธองคจ ึงตรสั ไวในภารสูตรนีว้ า ภารา หเว ปจฺ กขฺ นฺธา๕ (ขันธ ๕ เปน ของหนกั โดยแท) ขอ ความนีส้ อดคลอง กบั คํากลาวของทานพระสารีบตุ รวา ฑยฺหมาโน ตหี คคฺ ีหิ ภเวสุ สสํ รึ อหํ ภริโต ภวภาเรน คริ ึ อุจฺจาริโต ยถา.๖ “เราถูกไฟ ๓ กองเผาอยู ทองเที่ยวไปในภพ แบกของหนักคือ ภพเหมอื นแบกภูเขาไว” ๒๕๔

ÀÒÃÊٵà ความเห็นของทานพระสารีบุตรและพระอรหันตท้ังหลาย คือ การท่ีทานตองแบกของหนักคือขันธ ๕ น้ีเปรียบไดกับการแบกภูเขา ทงั้ ลกู ถงึ อยากจะวางลงกว็ างไมไ ด ตราบใดทย่ี งั มชี วี ติ อยู กต็ อ งแบกหาม ของหนกั อันไดแ กขันธ ๕ นอี้ ยตู ลอดเวลาจนกวา จะสิ้นชวี ิต นอกจากนัน้ ขนั ธ ๕ เหลา น้ดี ําเนินไปในสังสารวฏั อนั ยาวนาน และสังสารวัฏเปรียบไดกับทางกันดาร โดยท่ัวไปทางกันดารเปนทาง ขรขุ ระเดนิ ลาํ บาก มีอันตรายมากมาย และมีส่งิ ที่ชว ยชีวิตนอยมาก ผทู ่ี เดนิ ทางกนั ดารตอ งพบอนั ตรายตางๆ เชน โจรผูร า ย สตั วด ริ ัจฉาน หรอื อมนุษยมยี ักษ เปนตน ถาโชคดีก็เดินทางผา นพน ทางกันดารได ถาโชค ไมด ีก็ตองเผชญิ กบั อปุ สรรคอนั ตรายนานาประการ แตผทู ี่เดินทางอยใู น ทางกนั ดารแหง สงั สารวฏั ไมอ าจอยดู มี สี ขุ ไมอ าจอยรู อดปลอดภยั พน ไป จากทางกนั ดารได ทางกันดารดงั กลาว คือ ก. ชรา ความแก หมายความวา หลงั จากทเ่ี ราไดร บั ขนั ธ ๕ แลว เดินทางอยูในทางกันดารแหงภพ เราตองพบกับความแกอยูตลอดเวลา ไมอาจหลีกเลี่ยงไปได ไมวาเราจะวางแกหรือไมวางแก ก็ตองแกอยู ทุกวัน จะบอกวาตอนน้ีงานยุงมากเหลือเกิน ฉันยังไมวางแก ก็ตองแก ไมวาจะชอบหรอื ไมชอบมันก็ตอ งแก จะเหน็ ไดว า เด็กแกข น้ึ ทกุ วัน สว น ผใู หญแ กลง เด็กท่ีเกิดมา ๑ วันกถ็ อื วา แก ๑ วัน เม่ือมีอายุ ๑ ขวบ ก็แกไป ๑ ป นน่ั กค็ อื เวลาของเขาลดนอ ยลง เชอื กคอื ชราดงึ ชาวโลกไปสคู วามแก อยูตลอดเวลา ชราน้ันหาไดงายสําหรับคนหนุมสาว ความตายหาได งายสําหรับคนมีชีวิตอยู เมื่อชราปรากฏชัดเจนขึ้น หนังของเราก็จะ ๒๕๕

ÀÒÃÊٵà เห่ียวยน ฟนหกั ดวงตาฝาฟาง หตู งึ ผมขาว หลังโกง เปน ตน ลกั ษณะ เหลา นี้เปน ลักษณะของชราในขณะทีม่ ันปรากฏชัดเจน ข. พยาธิ ความเจบ็ ปว ย จะเหน็ ไดว า บางครง้ั เราปวดหวั ตวั รอ น ปวดฟน ตองไปหาหมอรักษา แตหลังจากน้ันไมมีใครประกันไดวาเรา จะไมเจ็บปว ยอีก ความเจบ็ ปว ยนเี้ ปนการแปรปรวนของธาตใุ นรางกาย ซงึ่ ปรากฏในเวลาทีธ่ าตุแปรปรวน ค. มรณะ ความตาย ความตายน้เี ปน สิง่ ท่ีเราท้งั หลายกลัวมาก ท่ีสุด เพราะมันทําใหเราตองพลัดพรากจากญาติมิตร พ่ีนอง และ ครอบครัวซึ่งเปนที่รัก ทําใหเราตองละท้ิงวัตถุส่ิงของทรัพยสมบัติตางๆ และสิ่งที่สําคัญคือ เราเกิดความวิตกกังวลวาชาติหนาจะตองไปเกิดใน ภพภูมิที่ตํ่าทราม ขอ นี้เปนสงิ่ ทที่ กุ คนหว งกงั วลมากกวาอยางอ่ืน ๒๕๖

ÀÒÃÊٵà ขันธ ๕ เปน ทกุ ข ดวยเหตุน้ัน ในทางกันดารแหงภพน้ีมีอันตรายคือความแก ความเจบ็ ปว ย และความตายปรากฏอยตู ลอดเวลา เราไมอ ยากแกกต็ อ ง แก ไมอยากเจ็บปวยก็ตองเจ็บปวย ไมอยากตายก็ตองตาย ไมมีใคร หลีกเลี่ยงจากทางกนั ดารแหง ภพไปได ตราบใดท่เี รายังมขี นั ธ ๕ เหลานี้ อยู ทุกขด งั กลา วยอมเกิดขนึ้ อยูเสมอ ดังพระพทุ ธดาํ รัสวา โย ภกิ ฺขเว รปู สฺส อุปฺปาโท ติ ิ อภินพิ พฺ ตฺติ ปาตภุ าโว, ทกุ ขฺ สเฺ สโส อุปปฺ าโท โรคานํ ติ ิ ชรามรณสสฺ ปาตภุ าโว.๗ “ภกิ ษทุ ัง้ หลาย การเกดิ ขึน้ ตั้งอยู บงั เกิด ปรากฏของ รูปน้ี เปนการเกดิ ขึ้นแหง ทกุ ข การต้งั อยูแหง โรค การปรากฏ ของชรามรณะ” ขอน้ีหมายความวา ทุกขณะที่เรามีรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวญิ ญาณ นบั วา เปน ชว งประสบกบั ทกุ ขอ ยตู ลอดเวลา จะเหน็ วา เมอื่ มดี วงตา เราใชดวงตาในการเหน็ ขณะทดี่ วงตามองเหน็ สงิ่ ตางๆ อาจพบ กบั สิ่งทีไ่ มอ ยากเหน็ บาง หรือในขณะใชห ฟู งเสยี ง กอ็ าจไดย นิ เสยี งทไี่ ม ตองการฟง จมูก ลิ้น หรือสัมผัสทางกายกเ็ หมือนกนั แมเ ราจะตอ งการ ไดร บั เฉพาะสง่ิ ทนี่ า ชอบใจ กอ็ าจไดกลนิ่ ลมิ้ รส หรอื กระทบสัมผสั ส่ิงท่ี ตนไมตอ งการ นอกจากนั้น ดวงตาไมไ ดค งทนถาวรอยูต ลอดไป เมอ่ื อายุ ๒๕๗

ÀÒÃÊٵà มากขน้ึ กฝ็ า ฟางขมกุ ขมวั เกดิ โรคตาบา ง เหลา นถ้ี อื วา การเกดิ ขน้ึ ของขนั ธ ๕ เปน ความเกดิ ขนึ้ แหงทกุ ขน่ันเอง ดว ยเหตนุ ้ี พระพทุ ธองคจ งึ ตรสั อปุ าทานขนั ธ ๕ วา เปน ของหนกั ไวในภารสูตรน้วี า กตโม จ ภกิ ขฺ เว ภาโร ? “ปจฺ ปุ าทานกฺขนฺธาตสิ สฺ วจนียํ. กตเม ปจ ? รปู ปุ าทานกฺขนโฺ ธ เวทนปุ าทานกขฺ นโฺ ธ สฺุปาทานกฺขนฺโธ สงฺขารุปาทานกฺขนฺโธ วิฺาณุ- ปาทานกขฺ นฺโธ. อยํ วจุ ฺจติ ภิกขฺ เว ภาโร. ๘ “อะไรเปนของหนัก ควรตอบวาคืออุปาทานขันธ (กองรปู นามอนั เปน ทต่ี ง้ั แหง ความยดึ มนั่ ) ๕ ประการ อปุ าทาน ขันธ ๕ ประการมอี ะไรบาง คือ ๑. รปู ปุ าทานขันธ (อุปาทานขันธคือรูป) ๒. เวทนปุ าทานขนั ธ (อปุ าทานขันธคอื เวทนา) ๓. สญั ปุ าทานขันธ (อปุ าทานขันธคอื สัญญา) ๔. สงั ขารุปาทานขนั ธ (อุปาทานขันธคอื สงั ขาร) ๕. วญิ ญาณปุ าทานขันธ (อุปาทานขันธคือวิญญาณ) อปุ าทานขันธ ๕ น้เี รียกวา ของหนกั ” ๒๕๘

ÀÒÃÊٵà ความหมายของขันธ คําวา ขันธ ในภาษาบาลีแปลวา “กอง” เน่ืองจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ มิไดมีเพียงอยางเดียว กลาวคือ รูปนั้น จาํ แนกออกเปน ๑๑ อยา ง คือ รปู อดีตบา ง อนาคตบาง ปจจุบันบาง รปู ภายในบาง ภายนอกบาง รูปหยาบบาง รูปละเอียดบาง รูปดีบาง รูป ทรามบาง รูปไกลบาง รูปใกลบาง ตามกาลเวลา บุคคล และสถานที่ หมายความวา รูปอดีต อนาคต และปจจุบัน เปนการจําแนกตามกาล เวลา รปู ทเ่ี ปนภายในและภายนอก จําแนกตามสถานทวี่ าเกิดกบั ตวั เรา หรือเกิดกับผูอื่น สวนรูปหยาบ ละเอียด รูปดี รูปทราม รูปใกล หรือ รูปไกล จําแนกตามบุคคล ดวยเหตนุ ้ี จงึ เรียกวา รปู ขนั ธ คอื กองรูป และ กองรปู นไ้ี ดช อื่ วา อปุ าทานขนั ธโ ดยมคี าํ วา อปุ าทาน นาํ หนา เพอ่ื แสดงวา กองรปู ดงั กลา วเปน อารมณข องความยดึ มนั่ นน่ั เอง แมเ วทนาขนั ธเ ปน ตน กม็ ีความหมายเดยี วกันน้ี ความยึดม่นั นม้ี ีไดดวยตัณหาและทฏิ ฐิ กลาวคอื ทกุ ขณะที่รับรู อารมณทางทวาร ๖ ตัณหาทยี่ นิ ดีพอใจขนั ธ ๕ ยอมเกดิ ข้ึน และทฏิ ฐิ ที่เห็นผิดวาเปนตัวตนยอมเกิดข้ึนเชนกัน นอกจากนั้นอวิชชาก็เกิดรวม กบั ตณั หาในทกุ ขณะ โดยอวชิ ชาทาํ หนา ทปี่ ด บงั โทษของตณั หาและทฏิ ฐิ จงึ ทําใหไมเหน็ โทษของกิเลสเหลา น้ี ๒๕๙

ÀÒÃÊٵà อุปาทาน ๔ พระพุทธองคไดทรงจาํ แนกอปุ าทานออกเปน ๔ ประการ ดงั น้ี ประการแรกคือกามุปาทาน ความเพลิดเพลินยินดีในกามคุณ หมายความวา ความเพลดิ เพลนิ ยนิ ดใี นตวั เองและบคุ คลอน่ื ไมว า จะเปน ตัวเรา ของเรา รวมท้ังบคุ คลอ่ืนซ่ึงเราพึงพอใจ กน็ บั วา เปน กามปุ าทาน ทั้งส้นิ ในขณะเกดิ กามุปาทาน เรามักพงึ พอใจยึดติดผกู พนั สงิ่ เหลาน้นั ตองการไดรับอารมณตางๆ ที่ตนชอบใจ คือรูปสวย เสียงเพราะ กล่ิน หอม รสอรอ ย และสมั ผสั ถกู ใจ เราพงึ พอใจกามคณุ ๕ เหลา นตี้ ลอดเวลา จะเห็นไดวา เมื่อเห็นรูปทางดวงตา เราอยากเห็นรูปที่สวยงามท่ีอยาก จะเห็น เมอื่ ไดยนิ เสียง เราก็อยากไดยนิ เสยี งไพเราะท่ถี ูกใจ ไมช อบเห็น รูปที่ไมพอใจ ไมชอบพบกับคนที่เราไมชอบ ไมชอบไดยินเสียงท่ีเปน คํานินทาตาํ หนิ แมการไดรับกลนิ่ รส และสัมผสั กเ็ ชน เดียวกนั เรารสู ึก พอใจส่ิงเหลาน้ันอยูเสมอ เมื่อเปนเชนนั้นก็ถือวาเราพึงพอใจกามคุณ ท้ัง ๕ ซ่งึ ยังไมไ ดร บั หรือเมอ่ื เราไดรบั แลว กต็ องการใหสิ่งเหลา นั้นคงอยู ตลอดไป และอยากไดร บั เพมิ่ มากกวา เดมิ นค้ี อื ลกั ษณะของ กามปุ าทาน เปนความอยากไดส่ิงท่ียังไมไดรับและหวงแหนสิ่งที่ยังมีอยูพรอมกับ ปรารถนาเพ่ิมมากกวาเดิม นอกจากน้ันแลว แมความพอใจรูปฌานกับ ๒๖๐

ÀÒÃÊٵà อรูปฌาน หรือรูปภพกับอรูปภพ อันเปนความตองการจะไปเกิดเปน พรหมทมี่ รี ูปหรอื ไมม รี ปู ก็นบั เขา ในกามปุ าทานน้เี ชนกนั อุปาทานท่ี ๒ คือทิฏุปาทาน ความเห็นผิด ความเห็นผิดนี้มี จาํ แนกไวเ ปน หลายประการ โดยเฉพาะอยางยงิ่ ความเหน็ ผดิ ทีเ่ ขาใจผดิ วา กรรมและผลของกรรมไมม ี นรกสวรรคไ มม ี ชาตนิ ช้ี าตหิ นา ไมม ี ถอื วา เปนความเหน็ ผดิ ที่ใหญหลวงมีโทษมาก นอกจากนั้น บางคนอาจเขา ใจ วา การเห็นรูปที่สวยงามเปนมงคล การไดยินเสียงที่ไพเราะเปนมงคล เปนตนเหลา นี้ ก็ถือวาเปน ความเหน็ ผดิ เชนเดยี วกนั อุปาทานที่ ๓ คือสีลัพพตุปาทาน ความยึดม่ันในศีลพรต นอกจากอรยิ มรรคมอี งค ๘ วา เปน ทางหลดุ พน หมายความวา ในยคุ ราว ๕,๐๐๐ ปกอนซึ่งเปนชวงท่ีศาสนาพราหมณเจริญรุงเรืองท่ีประเทศ อินเดีย ชาวอินเดียสวนใหญนับถือศาสนาพราหมณโดยบูชาพระพรหม เปนหลัก มีการบูชาไฟ สาธยายคาถาเพื่อนอบนอมพระพรหม และ บชู ายัญเพอ่ื นอบนอ มเทพเจาตา งๆ หลงั จากนนั้ เมอ่ื ประมาณ ๒,๕๐๐ ปก อ นทพี่ ระพทุ ธเจา จะตรสั รู ไดมชี าวอนิ เดยี บางกลมุ คิดวา การบูชาไฟหรือการบวงสรวงเทพเจา เปน เรื่องไรสาระ เพราะไมอาจพบเห็นตัวตนของเทพเจาเหลานั้น และให ความสําคัญตอการพัฒนาจิตดวยการเจริญฌาน เมื่อเปนเชนน้ันจึงเกิด การปฏิบตั แิ นวหนึ่งคอื การเจริญฌานน่นั เอง จะเห็นไดวา อาฬารดาบสและอุทกดาบสเปนผูนําจิตวิญญาณ ในสมัยนั้น ทานเหลานั้นปฏิเสธการบูชาเทพเจาและเนนถึงความเพียร ๒๖๑

ÀÒÃÊٵà ในปจจุบันดวยการเจริญฌานโดยทําใหจิตมีสมาธิหยุดนิ่งอยูในอารมณ เดยี วเปน เวลานาน และดาบสทง้ั สองกเ็ ขา ใจวา อรปู ฌานทต่ี นไดบ รรลคุ อื นิพพาน นอกจากวิธพี ฒั นาจิตดวยการเจรญิ ฌาน ยงั มีอีกความเห็นหนง่ึ ซง่ึ แตกตางออกไปตามความเห็นของนคิ รนถน าฏบตุ ร เจา ลัทธินัน้ เขา ใจ วามนุษยไดทําบาปมาหลายภพหลายชาติ จึงตองเวียนตายเวียนเกิดมา ชา นานดว ยกรรมเกา ท่เี คยทาํ ไว ถา เขาชดใชกรรมเกาใหหมดสน้ิ ไป การ เวยี นตายเวยี นเกดิ ยอ มไมเ กดิ ขนึ้ เมอื่ เปน เชน นจ้ี งึ ไดม วี ธิ ปี ฏบิ ตั ทิ เี่ รยี กวา ทกุ รจรยิ า คอื การทรมานตวั เองใหล าํ บากดว ยการอดอาหาร ยนื ขาเดยี ว นอนบนหนาม เปลอื ยกาย เปน ตน วธิ ปี ฏบิ ตั อิ ยา งหนงึ่ เรยี กวา ปญ จาตปะ คือ การเผาตวั เองดว ยความรอ น ๕ อยางโดยกอ กองไฟกองใหญ ๔ กอง ไวรอบตัวแลวยืนในเวลาเที่ยงเพื่อใหแสงอาทิตยเหนือศีรษะแผดเผา ท้ังนี้เพื่อทรมานรางกายของตนเพ่ือชดใชกรรมเกา ในเรอ่ื งนพี้ ระพทุ ธองคไ ดเ คยเสดจ็ เขา ไปหานคิ รนถเ หลา นน้ั แลว ตรัสถามนิครนถเหลาน้ันวา “พวกทานไดปฏิบัติพรตเหลานี้แลวรูหรือ ไมวา กรรมเกาของทานหมดสน้ิ ไปมากนอ ยเพยี งใด” นิครนถเหลา นั้นก็ ตอบวา “หามิได พระพุทธเจาขา ขาพระองคไมอาจรูวากรรมเกาน้ัน หมดสิน้ ไปมากเพยี งใด” พระพทุ ธองคไ ดต รสั ถามอกี วา “พวกทา นรหู รอื ไมว า ตนไดเ คยทาํ กรรมชั่วมากนอยเพียงใดจึงตองมาไดรับกรรมเชนน้ี” นิครนถเหลาน้ัน ทลู ตอบวา “หามไิ ด พระพทุ ธเจา ขา ขา พระองคไ มร วู า ภพกอ นไดท าํ กรรม ๒๖๒

ÀÒÃÊٵà ชว่ั มามากนอ ยเพยี งใด” ในขณะนน้ั พระพทุ ธองคต รสั สรปุ วา “พวกทา น ไมรูวาตนทํากรรมช่ัวมากนอยเพียงใด อีกท้ังไมรูวากรรมเกาลดนอยไป มากนอยเพยี งใดดวยวิธีปฏิบัตเิ ชนน้ี ดงั นัน้ การทรมานรางกายตนตาม วธิ ีนจ้ี ึงหาประโยชนมิได”๙ วธิ กี ารปฏบิ ตั ทิ เี่ รยี กวา อตั ตกลิ มถานโุ ยคนก้ี ค็ อื สลี พั พตตปุ าทาน น่ันเอง เปนการยึดม่ันศีลพรตนอกจากอริยมรรคมีองค ๘ วาเปนทาง หลดุ พน นอกจากการทรมานตนดว ยวธิ ดี งั กลา ว ในสมยั พทุ ธกาลยงั มวี ธิ ี ปฏิบตั ิแปลกๆ จาํ นวนมาก เชน การปฏิบัติแบบสุนขั เรียกวา กุกกุรวตั ร คือ เดนิ ๔ ขา เปลอื ยกาย เหาหอนเหมือนสุนขั และกนิ อาหารเหมอื น สุนัข บางวิธีเรียกวาโควัตร คือ วิธีท่ีเหมือนวัวโดยกินหญาเหมือนวัว ทําเหมือนวัวทุกอยาง และมีวิธีปฏิบัติเหมือนแพะ แกะ และคางคาว อีกดวย บุคคลเหลานั้นเขาใจวาการปฏิบัติเชนน้ีเปนหนทางบรรลุธรรม เปน พระอรหนั ต ความเขาใจเชนนีจ้ ัดเปน สลี ัพพตปุ าทาน อปุ าทานที่ ๔ คอื อตั ตวาทปุ าทาน ความยดึ มน่ั ในตวั ตน นัน่ ก็ คอื ตามความเชอ่ื ในศาสนาพราหมณม กั ยดึ มนั่ วา คนทว่ั ไปมวี ญิ ญาณหรอื อาตมนั สงิ อยใู นรา งกาย หรอื แอบแฝงอยใู นรา งกาย เมอ่ื สตั วโ ลกเสยี ชวี ติ แลว อาตมันหรือวิญญาณน้ีก็จะลองลอยเคล่ือนยายจากรางกายนี้ออก ไปสูรางกายอืน่ โดยรางกายเดิมพินาศไปได แตอาตมนั ไมพ ินาศขาดสูญ ความเห็นเชน นจ้ี ึงเรยี กอัตตวาทุปาทาน ตามความเห็นทางศาสนาพราหมณ อาตมันของคนทั่วไปเรียก วา ชีวาตมนั คืออาตมนั ท่มี ชี ีวิตอยู หมายความวา แมรา งกายพนิ าศแลว ๒๖๓

ÀÒÃÊٵà อาตมันก็ยังมีชีวิตเร่ือยตอไปไมสิ้นสุด ตอเม่ือผานการบูชายัญหรือวา บวงสรวงเทพเจาหรือบูชาไฟเปนตน เมื่อเสียชีวิตแลวชีวาตมันน้ีจะ ไปรวมเปน หน่งึ กบั อาตมันของพรหมซงึ่ เรยี กวา ปรมาตมัน คือ อาตมนั ที่ ยง่ิ ใหญ เมอ่ื เปน เชน นน้ั การเวียนตายเวียนเกิดจึงส้ินสดุ ลงได ความเช่อื เชนนี้เปน การยึดมนั่ ในตัวตนคือวิญญาณหรืออาตมนั น่นั เอง ชาวพทุ ธทว่ั ไปมกั เขา ใจเรอ่ื งรปู นามวา รปู นามนเ้ี ปน ปรมตั ถ คอื มีอยูจริงไมเปล่ียนแปลงตามกาลเวลา บุคคล หรือสถานที่ ความเขาใจ ของคนที่เรียนรูพระอภิธรรม จิตมี ๘๙ ดวง เจตสิกมี ๕๒ ดวง รูปมี ๒๘ อยาง ถือวาเปนความเขาใจตามสัญญาท่ีจําไดหมายรู ไมใชความ เขา ใจอยางถองแทจากประสบการณข องตน ผทู ป่ี ฏบิ ตั ธิ รรมจนกระทงั่ รเู หน็ รปู นามจากประสบการณข องตน มักรูสึกวา ในขณะเดินจงกรม ขาของเราหายไป มีเพียงอะไรบางอยาง เคล่ือนไปเคลื่อนมาโดยไมรูสึกวาเปนขาเคล่ือนท่ีอยู ความรูสึกน้ีถือวา เปนการกําจัดสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดวาเปนตัวตน ในคัมภีรอรรถ- กถา๑๐กลาววา นามรูปปริจเฉทญาณ คือ ปญญากําหนดแยกรูปนาม ยอมกําจัดสักกายทิฏฐิไดช่ัวขณะ เหมือนเปนหนวยกิตท่ีเราสะสมไวใน รปู นามนนั่ เอง เมอ่ื เรากาํ จดั สกั กายทฏิ ฐชิ ว่ั ขณะเชน นี้ ยอ มไมร สู กึ วา เปน ตวั ตน เรา ของเรา บรุ ษุ หรอื สตรี หนวยกติ แหงการปฏบิ ัตวิ ิปส สนา เปรยี บไดก บั เมลด็ พนั ธทุ จี่ ะผลดิ อกออกผลเปน มรรคผลนพิ พานตอ ไป ในที่สุดก็จะบรรลุถึงภาวะของพระโสดาบันที่กําจัดสักกายทิฏฐิไดโดย เด็ดขาด ๒๖๔

ÀÒÃÊٵà บุคคลผูไมรูเห็นรูปนามจากประสบการณของตน ในพระสูตร ตา งๆ เรียกวา อนั ธปถุ ชุ น คอื ปถุ ชุ นคนบอด หมายถึง ปุถุชนทเ่ี หมอื น คนตาบอด สว นปถุ ชุ นท่ีรเู หน็ รูปนามตามความเปน จริงช่ือวา กัลยาณ- ปถุ ุชน คอื ปถุ ชุ นคนดี การเจริญวิปสสนาน้ีสงผลใหผูปฏิบัติหย่ังเห็นรูปนามตามความ เปน จรงิ สามารถพฒั นาปญ ญาตามลาํ ดบั โสฬสญาณ อนั ธปถุ ชุ นเปรยี บ ไดก บั ตอไมทีแ่ หง ตายอยใู นไรนา๑๑ ไมส ามารถทีจ่ ะเจริญเตบิ โตผลดิ อก ออกผลเปนมรรคผลนพิ พานในโอกาสตอ ไป ๒๖๕