àËÁǵÊٵà พระพุทธองคทรงลงทา ยคาํ ตอบของพระองคด วยขอ ความวา เอตํ โลกสฺส นิยยฺ านํ อกขฺ าตํ โว ยถาตถํ เอตํ โว อหมกขฺ ามิ เอวํ ทกุ ขฺ า ปมุจฺจต.ิ ๑๔๕ “วธิ ปี ฏบิ ตั นิ [ี้ คอื วปิ ส สนาและมรรคญาณ]ทาํ ใหส ตั วโ ลกหลดุ พน เราไดบอกพวกเธอตามความเปนจริง เราบอกวิธีปฏิบัติน้ีแกพวกเธอ สตั วโลกยอมพนไปจากทกุ ขด วยวธิ ีดังกลาว” คาํ ตอบทงั้ ๒ คาถาของพระพทุ ธองคแ สดงปฏปิ ทาทท่ี าํ ใหบ รรลุ อรหตั ตผลอยา งบรบิ รู ณ แตเ ทพเหมวตะและเทพสาตาคริ ะรวมทง้ั บรวิ าร ของตนไดเ จรญิ วปิ ส สนาและพฒั นาวปิ ส สนาญาณขนั้ ตา งๆ สามารถเหน็ ประจกั ษพ ระนพิ พานดว ยโสดาปต ตมิ รรค จงึ บรรลธุ รรมเปน พระโสดาบนั เพราะไดบ ําเพญ็ บารมพี อทจ่ี ะเปน พระโสดาบันเทา น้นั ๒๑๖
àËÁǵÊٵà คําถามท่ี ๓ ของเทพเหมวตะ เทพเหมวตะไดบ รรลธุ รรมเปน พระโสดาบนั หลงั จากไดฟ ง คาํ ตอบ ของคาํ ถามที่ ๒ ของพระพทุ ธเจา จึงทลู ถามคําถามท่ี ๓ ดงั ตอไปนี้ โกสูธ ตรติ โอฆํ โกธ ตรติ อณฺณวํ อปปฺ ติฏเ อนาลมฺเพ โก คมภฺ ีเร น สที ติ.๑๔๖ “ในโลกนใ้ี ครขามกระแสกเิ ลสได ใครขามมหรรณพแหง สงสาร ได ใครไมจมลงในมหรรณพแหงสงสารที่ลุมลึก ปราศจากพื้นยันและ เครอื่ งยึดเหนย่ี ว” ทุกคนอาจเคยเห็นกระแสน้ําในลําธารหรือแมน้ํา สิ่งที่อยูใน กระแสนาํ้ มกั ถกู นาํ้ พดั พาไป คนทว่ี า ยนาํ้ เกง จงึ จะวา ยขา มกระแสนาํ้ เชย่ี ว กรากได ในกรณเี ดยี วกนั กเิ ลสกเ็ หมอื นกระแสนา้ํ อนั เชยี่ วกรากในสงั สาร- วฏั ใครจะขามกระแสกเิ ลสนั้นไปได สังสารวัฏคือหวงโซอันไมรูจบของภพทั้งหลาย เปนกระแสรูป นามทีเ่ กิดขึน้ อยา งตอ เน่อื งไมข าดชว งภพแลวภพเลา พระพุทธองคทรง เปรียบสังสารวัฏน้ีเหมือนกับมหรรณพอันกวางใหญ ซึ่งไรกนนํ้าอยาง ชัดเจน และไมมีส่ิงใดอยูเหนือผิวนํ้าท่ีจะเกาะยึดไดอีกดวย จึงนับเปน เร่อื งยากทใี่ ครจะสามารถวายขามไปได ๒๑๗
àËÁǵÊٵà คาํ ตอบที่ ๓ ของพระพุทธเจา (ก) สพฺพทา สีลสมฺปนโฺ น ปฺ วา สสุ มาหโิ ต อชฺฌตฺตจนิ ฺตี สติมา โอฆํ ตรติ ทตุ ฺตร.ํ ๑๔๗ “ผูมีปญญา[ท้ังฝายโลกิยะและโลกุตตระ] สมบูรณดวยศีลเปน นติ ย มจี ติ ตงั้ มนั่ ดแี ลว เพง กาํ หนดธรรมภายใน มสี ตทิ กุ เมอื่ ยอ มขา มพน กระแสกเิ ลสทข่ี า มไดยาก” กระแสนาํ้ ในโลกเรยี กวา โอฆะ แมก ระแสกเิ ลสกเ็ รยี กวา โอฆะ เชน กนั เพราะทว มทบั สตั วโ ลก คนวา ยนา้ํ เกง จงึ วา ยขา มกระแสนาํ้ ทเี่ ชย่ี ว กรากได คนที่วายนํ้าไมเกงยอมถูกกระแสนํ้าพัดพาไป ในกรณีเดียวกัน คนท่ีเจริญศีล สมาธิ และปญญาจึงจะขามพนไปจากกระแสกิเลสได กระแสกิเลสนั้นแบงออกเปน ๔ ประเภท คือ กาโมฆะ (กระแสกาม) ภโวฆะ (กระแสภพ) ทิฏโฐฆะ (กระแสทิฏฐิ) และอวิชโชฆะ (กระแส อวิชชา) ๒๑๘
àËÁǵÊٵà กระแสกาม ความยินดีพอใจหรือตัณหาที่อยากไดกามคุณท่ีนาช่ืนชมยินดี ชอ่ื วา กระแสกาม (กาโมฆะ) คนทย่ี นิ ดพี อใจกามคณุ เหลา นน้ั ยอ มถกู พดั พาไปในกระแสกาม คนทั่วไปมักพอใจบุคคลหรือวัตถุส่ิงของท่ีนายินดี อันจาํ แนกเปน รปู เสยี ง กลิน่ รส สมั ผสั สตรี บรุ ุษ หรือส่งิ ของตา งๆ เขา ตองพยายามเพื่อครอบครองสิ่งเหลาน้ัน คร้ันไดรับมาแลวก็ยังตองใช ความพยายามเพมิ่ ขน้ึ อกี เพอื่ ทจ่ี ะทะนถุ นอมและรกั ษาความเปน เจา ของ ส่ิงของดังกลาวไว บางคนตองทําบาปถึงกระทั่งปลนฆาหรือลักขโมย เพื่อใหอยูดมี ีสขุ ในปจจุบนั การทาํ บาปดว ยความยินดีพอใจกามคณุ เชน น้ียอมสงผลใหเขาไปเกิดในอบายภูมิ จัดวาถูกกระแสกามพัดพาไปสู อบายภูมินั่นเอง เขาตองจมลงในหวงนํ้าแหงอบายภูมิไดรับทุกขแสน สาหัส บางคนทําบุญกุศลคือทานและศีลเปนตนเพ่ือใหเสวยสุขใน มนษุ ยโลกหรอื เทวโลก เขายอ มไปเกิดเปน มนษุ ยหรอื เทวดาดว ยผลบญุ ของตน นับวาอยูดีมีสุขชั่วขณะเพราะไดเสวยสุขของมนุษยและเทวดา เขาจัดวา ถูกกระแสกามพัดพาไปสมู นุษยโ ลกหรือเทวโลก อยา งไรกต็ าม เขาตองพบกับทุกขท่ีตองแกชรา เจ็บปวย เศราโศก หรือพลัดพราก เปน ตน ในภพน้นั ๆ นับวาเขาจมลงในหว งนํ้าแหง สังสารวัฏ ๒๑๙
àËÁǵÊٵà กระแสภพ ความยินดพี อใจภพ ช่ือวา กระแสภพ (กาโมฆะ) เชน บางคน ตองการไปเกิดในรูปภมู หิ รอื อรปู ภมู ิ จึงเจริญรปู ฌานหรอื อรูปฌานเพ่ือ ใหไปเกิดในภพดังกลาว ฌานกุศลของเขายอมสงใหเขาไปเกิดในรูปภูมิ หรืออรูปภูมิเหลานั้นตามตองการ เขามีอายุขัยยาวนานอาจจะนับเปน กปั ทีเดยี ว อยา งไรกด็ ี เขาก็ไมอาจคงอยูช่วั กาลนิรันดร ครนั้ หมดบุญก็ ตองตายอยูดี บางคนอาจจะไปเกิดในมนุษยโลกหรือเทวโลก แตก็ยัง ตกทุกขเข็ญอยูดี นับวาเขาถูกกระแสภพพัดพาไปเกิดในภูมิดังกลาว และอยสู ขุ สบายเพยี งระยะสัน้ ๆ เทา นั้น ยงั คงไมห ลดุ พน จากหวงโซของ สังสารวัฏ ๒๒๐
àËÁǵÊٵà กระแสทฏิ ฐิ ความเห็นผิดที่เปนมิจฉาทิฏฐิ ชื่อวา กระแสทิฏฐิ (ทิฏโฐฆะ) ความเหน็ ผดิ นมี้ หี ลายชนดิ บางอยา งเปน ของกลมุ เชอ้ื ชาติ บา งกเ็ ปน ของ ทอ งถนิ่ ความเหน็ ผดิ อาจแบง ออกไดเ ปน ๒ ประเภทโดยยอ คอื ประเภท แรกเหน็ ผดิ วา สรรพสตั วด าํ รงคงอยตู ลอดกาลไมแ ปรผนั เรยี กวา สสั สต- ทิฏฐิ อีกประเภทหนึ่งเห็นผิดวาสรรพสัตวดับสูญไปหมดหลังความตาย เรยี กวา อุจเฉททิฏฐิ พวกทย่ี ดึ ถือความเชื่อประเภทหลงั ยอมไมน าํ พาท่ี จะหลีกเลี่ยงการทําความชั่ว หรือไมรูสึกวาตองกระทําความดีอีกดวย พวกเขาสามารถทําอะไรกไ็ ดต ามใจชอบ ตราบใดทหี่ ลบหลกี การลงโทษ ทางกฏหมายได พวกเขาเชื่อวาจะไมถูกบังคับใหตองชดใชสําหรับการ กระทําที่ไดทําไปในชวงชีวิตของเขา เพราะภพใหมไมมีสําหรับพวกเขา อีกแลว คนพวกน้ีมักไปเกิดในอบายภูมิดวยผลบาปที่ทําไวในชวงชีวิต และเปนการยากท่ีจะมาเกิดเปนมนุษยไดอีก น้ีคือลักษณะที่ถูกกระแส ทฏิ ฐพิ ัดพาไปแลว ไดรับทุกขใ นสงั สารวัฏตอไป ทกุ วนั นม้ี บี างคนพยายามเปลย่ี นแปลงคาํ สอนของพระพทุ ธเจา แบบกลบั ตาลปต ร แลวสอนใหสาวกไมตองกระทําดีแตอยางใด ไมต อ ง ปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน มิฉะนั้นพวกเขาจะตกท่ีน่ังลําบากไดรับทุกข ยากตา งๆ นานา สาวกของพวกเขาจะทาํ เฉพาะความชวั่ เทา นน้ั พวกเขา สว นมากจึงมแี นวโนม ดําเนินไปสอู บายภูมิ ๒๒๑
àËÁǵÊٵà พวกท่ีเชื่อเร่ืองวิญญาณไมดับสูญคงอยูตลอดไปอาจทําความดี บางอยา งตามความเชอื่ ของตนเพอื่ ใหอ ยดู มี สี ขุ ในภพหนา แตก ารฆา สตั ว บชู ายญั จดั เปน ความชว่ั ตามคาํ สอนของพระพทุ ธเจา พวกเขาทาํ บาปเชน นั้นแลวยอมไปสูอบายภูมิไดรับทุกขภัยตอไป ขอน้ีเหมือนการกินยาผิด ที่จะทาํ ใหโ รครุนแรงมากขนึ้ ไปอีก นค้ี อื ลกั ษณะท่ถี กู กระแสทฏิ ฐิพัดพา ไปไดรบั ทกุ ขในอบาย บางคนเชอื่ วา พวกเขาสามารถทาํ อะไรกไ็ ด ไมว า จะเปน ความ ช่วั ใดๆ หรือไมทําความดีเลยกไ็ ด เพราะไดร ับยกเวนการลงโทษจาก พระเจาตราบที่พวกเขายังมีศรัทธาในพระเจาอยู พวกเขาตองไปเกิด ในอบายภูมิตามผลแหงบาปของตน น้ีคือการถูกกระแสทิฏฐิพัดพาไปสู อบายภูมเิ ชนกนั มคี นมากมายนบั ถอื ดวงอาทติ ย ดวงจนั ทร ภเู ขา ภตู ผปี ศ าจ หรอื พระเจา เปน ตน บางคนเช่ือวาพวกเขาอาจหลดุ พน จากทุกขไดดว ยการ ทรมานรางกายใหลาํ บากมีการอดอาหาร เปลือยกาย ตากแดด หรอื แช นํา้ เปนตน และบางคนเชือ่ วาพวกเขาจะเปน อสิ ระจากทุกขไดด วยการ ปลอ ยใหจติ ลองลอยไปเรื่อยๆ อยา งไรสาระ ความเช่ือท้ังหมดนท้ี ี่คดิ วา ตนอาจพน ทกุ ขไดร ับสุขดว ยการปฏบิ ัติที่ไมใชศีล สมาธิ และปญญาชือ่ วา สลี ัพพตปรามาส คอื การยดึ ม่ันศีลพรตทน่ี อกจากอริยมรรคมีองค ๘ วาเปนทางหลุดพน คนที่เห็นผิดเชนน้ันตองเวียนตายเวียนเกิดตาม กรรมไมร จู บ ถกู กระแสทฏิ ฐพิ ดั พาไปในวนเวยี นแหง ภพ นบั วา นา สะพรงึ กลวั อยางแทจรงิ ๒๒๒
àËÁǵÊٵà สรปุ ความวา ความเหน็ ผดิ ทค่ี ดิ วา ไมจ าํ เปน ตอ งปฏบิ ตั สิ มถะและ วิปสสนา แมจะปฏิบัติเชนน้ันก็ไมอาจหลุดพนได จัดเปนมิจฉาทิฏฐิท่ี ทําใหต องวนเวียนอยใู นสังสารวัฏไมอาจหลุดพน ไปได กระแสอวชิ ชา ตอจากนั้นคือกระแสอวิชชาท่ีเรียกวา อวิชโชฆะ ซ่ึงหมายถึง ความไมร อู ริยสจั ๔ ตามความเปน จรงิ แตเปน ความรูผดิ จากความจริง คนสวนใหญมักเขาใจผิดวาความทุกขเปนความสุข จึงสําคัญวารูปที่ ตองการเหน็ เสยี งทีอ่ ยากฟง กลิ่นทอ่ี ยากดม อาหารท่อี ยากกนิ สมั ผัสที่ อยากกระทบ และความคิดท่ีอยากคิด ท้ังหมดน้ันดีงามเปนสุข ความ เขา ใจเชน นน้ั คอื โมหะหรอื อวชิ ชา สว นความชอบเชน นน้ั คอื ตณั หา ตณั หา ทาํ ใหย ึดตดิ ผูกพันทจ่ี ัดเปนอุปาทาน สงผลใหด นิ้ รนแสวงหาใหไ ดว ตั ถทุ ่ี อยากได ซึ่งเปนการกระทําทั้งดแี ละเลวหรอื กศุ ลและอกุศล ทําใหม ภี พ ตอเน่ืองซ้าํ แลวซ้าํ เลา ดว ยกรรมดังกลาว ภพทั้ง ๓๑ ภมู ิเปนผลมาจากอวชิ ชานี้ กระแสแหงอวชิ ชาไหล ลงสูนรกช้ันต่ําท่ีสุด และไหลกลับข้ึนสูภูมิช้ันสูงสุด (ภวัคคภูมิ) คือ เนวสญั ญานาสญั ญายตนภมู ิ ในภรู ทิ ตั ตชาดกและจมั เปยยชาดกพบเรอื่ ง ที่พระโพธิสัตวทําบุญแลวไปเกิดพญานาคดวยความเขาใจผิดวาสมบัติ ของพญานาคย่ิงใหญ น้ีคือการถูกกระแสอวิชชาพัดพาไป นับไดวา นาหวาดกลัวยิ่งนกั ๒๒๓
àËÁǵÊٵà นับเปนเร่ืองไมงายที่จะพนไปจากกระแสกิเลสทั้ง ๔ ประการ เหลาน้ี กลาวคือ บุคคลน้นั ตองมคี วามสามารถท่ีวา ยออกมาจากกระแส นนั้ ๆ ดงั นน้ั เทพเหมวตะจึงทูลถามคุณสมบตั ใิ นการวายขามจากกระแส กเิ ลสเหลา นั้น พระบรมศาสดาทรงแสดงคุณสมบัติของผูที่จะวายขามกระแส กิเลสไว ๓ ประการ ดงั ตอไปน้ี คณุ สมบตั ิที่ ๑ ในการวา ยขามกระแสกเิ ลส คุณสมบัติประการแรกในการวายขามกระแสกิเลส คือ บุคคล นั้นตองเพียบพรอมดวยศีลบริสุทธ์ิอยูเสมอ (สพฺพทา สีลสมฺปนฺโน) นี้ ถอื วา เปน คณุ สมบตั ทิ จ่ี าํ เปน จรงิ ๆ ฉะนนั้ พระพทุ ธเจา จงึ กาํ หนดใหค ณุ - สมบัตินี้เปนประการแรก บุคคลผูเชื่อถือคําสอนของพระพุทธเจาอยาง ม่ันคงตองเช่ือม่ันวา ผูเพียบพรอมดวยศีลบริสุทธ์ิอยูเสมอจะสามารถ เอาชนะกระแสกิเลสอันใหญห ลวงแลว บรรลุพระนพิ พานได อาจมีคําถามวา บางคนไมตองรักษาศีลใหหมดจดกอนก็บรรลุ พระนพิ พานได ดงั เชนสันตตอิ าํ มาตยท ไ่ี ดบรรลุธรรมในขณะท่ีกลน่ิ ของ สุรายังไมทันหมดไปจากปาก๑๔๘ คําตอบของเร่ืองน้ีคือ บุคคลเชนนี้มี บารมขี น้ั สูงสุดพรอมสรรพแ ลว จงึ บรรลธุ รรมไดงา ย เร่ืองเชน วา นั้นเปน เพียงตัวอยางสองสามกรณีเทาน้นั อาจกลา วไดว า มเี พียงหน่งึ ในแสนคน แมใ นสมยั พทุ ธกาลกม็ นี อ ยมาก พวกเขาเปน ขอ ยกเวน พระพทุ ธองคท รง ทราบอปุ นสิ ยั ของเขาแลว แสดงธรรมในเวลาทส่ี มควร จงึ ทาํ ใหเ ขาบรรลุ ธรรมไดง าย ๒๒๔
àËÁǵÊٵà จะเหน็ วา ทานอัญญาโกณฑญั ญะเพยี งรูปเดยี วไดบ รรลธุ รรมใน ขณะฟงธรรมจักร๑๔๙ สวนปญ จวคั คียอ ีก ๔ รูปตองเพียรปฏิบัตธิ รรมจงึ ไดบ รรลุธรรมทีละรูปถัดจากน้นั ไป ๑ วัน ๒ วนั ๓ วัน และ ๔ วนั ตาม ลาํ ดับ พระพุทธองคท รงทราบวาปญจวัคคีย ๔ รปู ที่เหลอื ไมอ าจบรรลุ ธรรมดวยการฟงธรรมเทา นนั้ จึงแนะนาํ ใหด าํ เนนิ การปฏบิ ตั ดิ ว ยตนเอง จนกระท่ังไดบ รรลุธรรม๑๕๐ ดวยเหตุน้ี ผูท่ีไมอาจบรรลุธรรมไดดวยการฟงอยางเดียว ตอง ดาํ เนนิ การปฏบิ ตั เิ ปน เวลาหลายป หลายเดอื น หลายวนั หรอื หลายชวั่ โมง พวกเขาจําเปนตองมีศีลบริสุทธิ์เสียกอนเพ่ือไมใหเกิดความเดือดรอนใจ เก่ยี วกบั ความประพฤติของตน ดงั นน้ั พระพทุ ธองคจึงทรงกําหนดศีลวา เปน คณุ สมบตั ขิ อ แรกในเรอื่ งนี้ แมใ นคมั ภรี ว สิ ทุ ธมิ รรคกเ็ รม่ิ ตน ดว ยเรอื่ ง ศีลทเี่ รยี กวา สลี นทิ เทส ตามพระพทุ ธดํารสั ท่นี าํ มาอางไวใ นอารมั ภบท ของคมั ภรี น นั้ วา สเี ล ปตฏิ าย (ดาํ รงอยใู นศีลแลว )๑๕๑ ในขอความวา “สมบรู ณดวยศีลเปนนิตย” คําวา เปนนติ ย หมายถึง การมีศีลบริบูรณตลอดทิวาราตรีตั้งแตกอนมาปฏิบัติธรรมจนถึงเวลา ปฏบิ ตั ธิ รรมอยู ผทู สี่ มบรู ณด ว ยศลี เชน นพ้ี จิ ารณาศลี ของตนแลว ยอ มเกดิ ปต โิ สมนัสแลวพฒั นาสมาธติ อ มา ในกรณีตรงกนั ขาม ผทู มี่ ศี ีลไมบริสทุ ธ์ิ มกั เกดิ ความเดอื ดรอ นใจในความประพฤตขิ องตน ทาํ ใหจ ติ ซดั สา ยไมอ าจ ต้งั ม่นั เปน สมาธิได เมอื่ สมาธิไมเกดิ ข้ึน วปิ สสนาญาณที่เรียกวา ยถาภตู - ญาณ (ญาณเห็นประจักษตามความเปนจริง)๑๕๒ ก็เกิดข้ึนไมได มิตอง กลาวถงึ มรรคผลนพิ พานแตอ ยา งใด ดงั นนั้ คฤหัสถผ ูเพยี รปฏบิ ัตธิ รรม ๒๒๕
àËÁǵÊٵà ตอ งรกั ษาศีล ๕ เปนอยางต่ํา สวนภิกษุตอ งรักษาปาติโมกขสงั วรศลี จงึ จะนบั วาเพยี บพรอมคุณสมบัตปิ ระการแรกในการวายขามกระแสกเิ ลส คุณสมบตั ทิ ี่ ๒ ในการวายขามกระแสกิเลส คณุ สมบตั ิประการท่ี ๒ นนั้ เกย่ี วกบั สติและสมาธิ หมายความวา หลงั จากการมศี ลี บรสิ ทุ ธแิ์ ลว บคุ คลนนั้ ตอ งพยายามปฏบิ ตั เิ พอ่ื ใหบ รรลุ ฌาน (ในคาถากลา วถงึ ผูมีปญญากอ นการมจี ติ ตัง้ มั่นดว ยคําวา ปฺ วา สสุ มาหโิ ต เพอ่ื รกั ษาฉนั ทลกั ษณ) เขาตอ งปฏบิ ตั ใิ หไ ดบ รรลสุ มาบตั ทิ ง้ั ๘ หรอื สมาบตั อิ ยา งใดอยา งหนงึ่ วธิ เี จรญิ สมาธใิ นลกั ษณะนเี้ ปน ธรรมเนยี ม ปฏบิ ตั ิของสาวกระดับสูง หากบุคคลใดไมอาจกา วหนาสอู ปั ปนาฌานได เขาตอ งปฏบิ ตั เิ พ่ือใหไ ดอปุ จารสมาธิ หรือขณิกวิปส สนาสมาธเิ ปน อยา ง ตาํ่ ผทู ถ่ี งึ พรอ มดว ยสมาธริ ะดบั นจ้ี ะมใี จหมดจดจากนวิ รณเ ปน จติ ตวสิ ทุ ธิ และสามารถพฒั นาวปิ ส สนาญาณตอ ไปจนกระทงั่ บรรลมุ รรคผลนพิ พาน แตผ ยู งั มไิ ดบ รรลขุ ณกิ วปิ ส สนาสมาธยิ อ มมใี จไมห มดจดจากนวิ รณ จงึ ไม อาจพัฒนาวิปสสนาญาณที่แทจริงได๑๕๓ ฉะน้ันพระพุทธองคจึงตรัสวา สติมา (มสี ติทกุ เม่ือ) และ สุสมาหโิ ต (มีจติ ต้งั ม่นั ดแี ลว) เพื่อเนน ความ สาํ คญั ของสตแิ ละสมาธิในเรือ่ งนี้ ๒๒๖
àËÁǵÊٵà คณุ สมบัตทิ ี่ ๓ ในการวา ยขา มกระแสกเิ ลส คณุ สมบัตปิ ระการที่ ๓ คือ ปญ ญา ทรงแสดงไวด วยขอความวา อชฌฺ ตฺตจินตฺ ี (เพงกาํ หนดธรรมภายใน) ธรรมภายในดงั กลาวคอื รูปนาม ทเี่ กดิ ดบั ภายในตนของผเู จรญิ วปิ ส สนา บคุ คลตอ งกาํ หนดรรู ปู นามเหลา น้นั จึงจะเกิดปญญาเหน็ ประจักษอ ยา งแทจริง เพยี งการคาดเดารูปนาม ที่เกิดข้ึนในบคุ คลอืน่ ไมสามารถทําใหเห็นประจักษได แมเ ราอาจคดิ วา บคุ คลหนง่ึ เปนสุข แตความจริงเขาเศรา โศกอยกู ็ได ในลักษณะเดียวกนั เราอาจจะคดิ วา บคุ คลหนง่ึ กาํ ลงั ทาํ ดี แตเ ขาอาจทาํ ชวั่ อยกู ไ็ ด การกาํ หนด รูท่ีกลาวถึงในเรื่องน้ีก็คือการเพงจิตจดจอใหทันปจจุบันดวยสติและ ปญญา ไมใชการนึกคิดดวยจินตนาการ เพราะคาํ วา ฌายติ และ ฌาน (เพงกําหนด) มีความหมายเหมือนคาํ วา จินเฺ ตติ และ จนิ ฺตา จะเหน็ ไดว า พระพุทธองคตรัสวา ฌายถ มา ปมาทตฺถ๑๕๔ (จงเพงกําหนด อยา ประมาท) และในคมั ภีรว สิ ทุ ธมิ รรคกก็ ลาววา สลฺลกขฺ ณาติ วปิ สฺสนา๑๕๕ (คําวา สลฺลกฺขณา <การกําหนด> เปน วิปสสนา) ๒๒๗
àËÁǵÊٵà อยา เขา ใจผดิ เรือ่ ง เอโก ธมฺโม (ธรรมอยา งหนง่ึ ) ผูท่ีไดบรรลุฌานแลวตองกําหนดองคฌานหรือสภาวะที่ปรากฏ ชัดเจนทางทวาร ๖ มีการเหน็ การไดย ิน เปนตนซง่ึ เรียกวา ปกิณณก- สงั ขาร (สงั ขารทว่ั ไป) สวนผูท ไ่ี มไดบ รรลุฌานไมอาจกําหนดรูองคฌ าน ได จงึ ตอ งกาํ หนดรปู กณิ ณกสงั ขารภายในรา งกายของตนเทา นน้ั ปจ จบุ นั มบี างคนพดู วา “การกาํ หนดรรู ปู นามทปี่ รากฏชดั เจนทางทวาร ๖ ทาํ ให สมาธเิ สอ่ื มไป ไมจ ดั เปน เอโก ธมโฺ ม คอื ธรรมอยา งหนง่ึ อนั ไดแ กอ ารมณ เพียงอยา งเดียว” บคุ คลที่พูดเชน นัน้ ไมเขา ใจวิธปี ฏบิ ตั ิวปิ ส สนาโดยแท ตามความเปนจริง วิปสสนามิไดหมายความถึงการกําหนดรู อารมณหนึ่งเทาน้ัน แตเปนการกําหนดรูสภาวธรรมทางกายและใจ ทุกอยางในทุกขณะท่ีเห็น ไดยิน สัมผัส หรือนึกคิด ผูที่มิไดกําหนดรู เชนน้ียอมยึดม่ันส่ิงเหลานั้นวาเที่ยง เปนสุข เปนอัตตา และเพราะ อุปาทานจึงเกิดกรรมและรูปนามรวมทั้งทุกขอื่นๆ ในภพตอไป แตการ เจรญิ วปิ ส สนาเปน การกาํ หนดรเู ทา ทนั ปจ จบุ นั รปู นามเพอ่ื ไมใ หเ กดิ ความ ยึดม่นั และกรรมตลอดจนทกุ ขใ นภพใหม ฉะนั้นผูปฏิบตั จิ ึงควรกําหนดรู รูปนามท่ีปรากฏชัดเจนทางทวาร ๖ ใหเห็นประจักษไตรลักษณอยาง แทจ รงิ ดังพระพุทธดาํ รสั วา สพฺพํ อภิฺเยยฺ ๑ํ ๕๖ (พงึ กําหนดรูร ปู นาม ทกุ อยาง) ๒๒๘
àËÁǵÊٵà ในพระบาลีและอรรถกถาฎีกาไมมีการกลาววาตองกําหนดรู อารมณเดยี วเทา นนั้ ตามคําวา เอโก ธมโฺ ม อยา งไรก็ตาม มกี ารอางถึงใน ทฆี นิกาย ทสุตตรสูตร๑๕๗ แตค วามหมายนน้ั คอื การเจริญสติทเี่ ปนไปใน กาย (กายคตาสต)ิ ไมใ ชก ลา วถงึ การรบั รอู ารมณเ ดยี วตามทเี่ ขา ใจผดิ นนั้ และในพระสตู รนนั้ ไดก ลา วถงึ ธรรมทค่ี วรเจรญิ ตง้ั แตธ รรม ๑ อยา งเรอื่ ย ไปจนถึงธรรม ๑๐ อยา ง ดังนั้นจึงไมค วรพดู เรื่อง เอโก ธมฺโม โดยไมร ู ความหมายทถ่ี กู ตอง ผทู ก่ี าํ หนดรรู ปู นามปจ จบุ นั ภายในตนเชน นี้ เมอื่ สมาธแิ กก ลา ขน้ึ ยอมสามารถจําแนกรูรูปนามทั้งสองอยางออกจากกัน อีกท้ังสามารถ กาํ หนดเหตแุ ละผลของรปู นามไดช ดั เจน ตอ มาจะรเู หน็ ลกั ษณะทไ่ี มเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข และไมใ ชต วั ตนของรปู นาม ตอ จากนน้ั เมอื่ วปิ ส สนาญาณพฒั นา ขึ้นจนถึงระดับแกก ลา มรรคญาณ ๔ ยอ มเกดิ ขึน้ ตามลาํ ดบั พระพทุ ธ- องคจ งึ ตรสั วา “ผมู ปี ญ ญาทงั้ ฝา ยโลกยิ ะและโลกตุ ตระ เพง กาํ หนดธรรม ภายใน ยอ มขามพน กระแสกิเลสทขี่ า มไดยาก” ใจความสาํ คญั ของเรอ่ื งนี้ คอื ผปู ฏบิ ตั ติ อ งรกั ษาศลี อยา งหมดจด กอ น แลว เจรญิ สติระลึกรูร ูปนามปจจบุ นั จนกระทัง่ เกดิ สมาธิทท่ี ําใหจ ติ ตัง้ มนั่ และปญ ญาทีเ่ หน็ ประจักษไ ตรลักษณอ ยา งแทจริง ในท่ีสดุ มรรค- ญาณที่รูแจงพระนิพพานยอมเกิดข้ึน เขาจึงสามารถขามพนไปจาก กระแสกิเลสได ลกั ษณะของการวา ยขา มกระแสกเิ ลส คอื ผทู ร่ี แู จง พระนพิ พาน ดวยโสดาปตติมรรคยอมวายขามกระแสทิฏฐิได พระโสดาบันจึงไมมี ๒๒๙
àËÁǵÊٵà ความยดึ มน่ั ในตวั ตน ไมว า จะเปน ความเหน็ วา อาตมนั เทย่ี ง (สสั สตทฏิ ฐ)ิ หรือความเห็นวาอาตมันขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) หรือความเห็นวาความ ประพฤติอยางอื่นท่ีนอกเหนือจากศีล สมาธิ และปญญาเปนทางพนไป จากสังสารวัฏ (สีลัพพตปรามาส) ความเห็นผิดท้ังหมดน้ีถูกกําจัดได โดยเด็ดขาด พระโสดาบนั จึงมีศรัทธามัน่ คงในพระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆอ ยา งแทจ รงิ และไมส งสยั เกย่ี วกบั การปฏบิ ตั เิ พอ่ื เจรญิ ไตรสกิ ขา ทานเช่ือมั่นความประพฤติของตนอยางไมคลอนแคลน สวนผูท่ีมิใช พระโสดาบันยังลังเลใจ และยึดติดกับความเชื่อของตนเอง จึงเท่ียว แสวงหาครบู าอาจารย และมากไปกวา นน้ั ยงั เขา สแู นวทางของความเหน็ ผดิ หรอื นบั ถอื ศาสดาจอมปลอม ฉะนน้ั เขาจงึ ไดร บั ทกุ ขม หนั ตต ลอดระยะ ทางอันยาวไกลในสังสารวฏั ในดา นพระโสดาบัน ทา นไมเบยี่ งเบนไปจากทางทีถ่ กู ตอง และ จะปลอดภัยจากทกุ ข ในอบาย อยา งมากทส่ี ดุ กเ็ กดิ อีกเพียง ๗ ชาติ จึง เปน ท่แี นช ดั วา ถา บคุ คลใดสามารถวายขา มกระแสทฏิ ฐิไปได เขาก็จะได รบั ประโยชนมหาศาล หลังจากไดบรรลุธรรมเปนพระโสดาบันแลว ผูที่ดําเนินการ ปฏบิ ตั ิตอไปดว ยการกาํ หนดรรู ูปนามภายในเพ่ือใหบรรลมุ รรคผลระดับ สูงข้ึนไปอีก ยอมรูแจงพระนิพพานดวยสกทาคามิมรรคญาณในเวลาที่ วปิ สสนาญาณแกก ลา นบั วาเขาไดข า มพนกระแสกามอยางหยาบได แต ยังเหลอื กระแสกามอยางละเอยี ดท่ีตอ งขามพน ตอไป ๒๓๐
àËÁǵÊٵà บุคคลนั้นตองพยายามปฏิบัติวิปสสนาตอไป เมื่อถึงเวลาท่ีได บรรลุอนาคามิมรรคญาณ เขาจึงจะสามารถขจัดกระแสกามโดยสิ้นเชิง ไมมีความอยากท่ีเกี่ยวกบั กามคณุ ๕ โดยไมค ดิ อยากบรโิ ภคอาหารโนน นี่ หรืออยากสูบบหุ ร่ีเค้ยี วหมากพลู เขาปราศจากความอยากในกามคณุ ดงั กลา ว ทาํ ใหร สู กึ เปน สขุ และไมม ที กุ ขใ จใดๆ เพราะปราศจากโทสะอกี ดวย นอกจากน้ัน ทุกขท่ีเน่ืองดวยกามภูมิก็ไมมีแกเขา เพราะจะไมไป เกิดในกามภูมิอีก แตเขายังมีกระแสภพท่ีตองวายขามตอไป เพราะยัง พอใจยึดมั่นรูปภพหรืออรูปภพอยู ผูปฏิบัติที่บรรลุถึงอนาคามิมรรคญาณแลวตองปฏิบัติตอไปอีก จนกระทง่ั เหน็ ประจกั ษพ ระนพิ พานดว ยอรหตั ตมรรคญาน ถงึ ตอนนเ้ี ขา สามารถวายขามกระแสภพและกระแสอวิชชาไปได นั่นคือเขาไมมีภพ ใหมอ กี แลว จดั วา เขาวา ยขา มกระแสกเิ ลส ๔ ประการไดส าํ เรจ็ แลว บรรลุ ถึงฝงแหง ความหลุดพน ๒๓๑
àËÁǵÊٵà คาํ ตอบที่ ๓ ของพระพุทธเจา (ข) วริ โต กามสฺาย สพฺพสโฺ ชนาติโค นนทฺ ีภวปริกขฺ โี ณ โส คมฺภีเร น สีทติ.๑๕๘ “ผนู นั้ เวน ขาดจากกามสญั ญาไดแ ลว เปน ผลู ะสงั โยชนไ ดท กุ อยา ง หมดส้ินความเพลิดเพลินและภพแลว ยอมไมจมลงในมหรรณพแหง สงสารอันลุมลกึ ” ตามคาํ ตอบท่ี ๓ ตอนแรกของพระพุทธเจาที่วา ผูทีเ่ พยี รปฏิบัติ วปิ ส สนาจนกระทงั่ ไดบ รรลมุ รรคญาณขนั้ สงู สดุ แลว เปน พระอรหนั ต ยอ ม เวน ขาดจากกามสญั ญาคอื ความหมายรใู นกาม เพราะไดก าํ จดั กามสญั ญา ดงั กลาวตามลําดับมรรคญาณทั้ง ๔ และทานละสังโยชนคือเคร่ืองผกู มี ภวราคะ (ความพอใจในภพ) เปน ตน ดว ยเหตุนนั้ ทา นจงึ หมดส้นิ ความ เพลิดเพลนิ ในภพ ๓ คือ กามภพ รูปภพ และอรปู ภพ สง ผลใหทานไมมี ภพใหมที่จะตองไปเกิดอีก ทานจึงไมจมลงในมหรรณพแหงสงสารอัน ลุม ลึกไมมพี นื้ สําหรับทรงกายและทีย่ ึดเกาะชวยใหลอยได ไมเพียงแตพระอรหันตเทาน้ัน แมพระอนาคามีเปนตนก็พนไป จากมหรรณพแหงสงสารไดบางสวน กลาวคือ พระอนาคามีพนไปจาก กามภพได พระสกทาคามีพนไปจากภพที่เกินกวา ๒ ภพในกามภูมิ ๒๓๒
àËÁǵÊٵà พระโสดาบันพนไปจากภพที่เกินกวา ๗ ภพในกามภูมิ และพนไปจาก อบายภูมิโดยเด็ดขาด ไมจมลงในอบายภูมิแนนอน แตปุถุชนท้ังหลาย ยังไมมีเคร่ืองประกันใดท่ีจะชวยไมใหตกลงสูนรกแมพวกเขาจะกระทํา ความดมี ามากกต็ าม สงั สารวฏั จงึ เปน ทอ งทะเลอนั นา สะพรงึ กลวั สาํ หรบั ปถุ ชุ นอยางแทจรงิ ดังน้นั ขณะนีจ้ ึงเปน เวลาทค่ี วรจะปฏิบตั ใิ หห ลุดพน จากมหรรณพแหงสังสารวัฏ อยา งนอ ยทสี่ ดุ กค็ วรปฏบิ ตั ใิ หพ น ไปจากมหรรณพแหง อบายภมู ิ ๔ แตถาสามารถทําไดก็ควรปฏิบัติใหเปนพระอรหันตผูพนไปจากภพ ทั้ง ๓๑ ภูมิ เม่ือไดบ รรลุธรรมเปนพระอรหันตแ ลว กามราคะยอมหมด สนิ้ ไป สงั โยชนอ น่ื ๆ จากกามราคะมภี วราคะเปน ตน และความเพลดิ เพลนิ ในภพและอารมณน้นั ๆ ทเี่ รยี กวา นันทีราคะ กห็ มดสนิ้ ไปเชน เดยี วกัน พระอรหนั ตจ งึ ไมม ภี พใหมท จ่ี ะไปเกดิ อกี จดั วา ไมจ มลงในมหรรณพแหง สังสารวฏั อยา งแทจ ริง ถงึ ตอนนกี้ ารแสดงธรรมของพระผมู พี ระภาคไดจ บบรบิ รู ณแ ลว แตข อ ความทย่ี งั เหลอื อยเู ปน คาํ กลา วยกยอ งพระสมั มาสมั พทุ ธเจา เทา นน้ั เทพเหมวตะไดฟงธรรมแลวบรรลุคุณวิเศษในพระศาสนา จึงเกิดปติ โสมนัสกลาวสรรเสริญพระพุทธองคตามกําลังสติปญญาของตน ดัง ขอความวา ๒๓๓
àËÁǵÊٵà คมภฺ ีรปฺ ํ นิปุณตฺถทสฺสึ อกิ จฺ นํ กามภเว อสตตฺ ํ ตํ ปสฺสถ สพพฺ ธิ วิปปฺ มุตฺตํ ทิเพฺย ปเถ กมฺมานํ มเหสึ.๑๕๙ “ทานทั้งหลายโปรดมาเขาเฝาพระผูมีพระภาคพระองคนั้น ผูท รงปญญาลกึ ซง้ึ แสดงเนื้อความอันลุม ลึก ไมม คี วามกงั วล ไมของใน กาม ๒ (กเิ ลสกามและวัตถุกาม) และภพ ๓ ทรงหลุดพน ไดเด็ดขาดใน ขันธท้ังปวง เสด็จดําเนนิ อยใู นปฏปิ ทาอนั เปนทพิ ย (สมาบตั ิ ๘ หรือผล- สมาบัต)ิ ” อโนมนามํ นปิ ณุ ตฺถทสฺสึ ปฺ าททํ กามาลเย อสตฺตํ ตํ ปสฺสถ สพพฺ วิทุ สเุ มธํ อริเย ปเถ กมมฺ านํ มเหส.ึ ๑๖๐ “ทานท้ังหลายจงมาดูพระผูมีพระภาคพระองคน้ัน มีพระนาม เนื่องดวยคุณธรรมอันสูงสง แสดงเน้ือความอันลุมลึก ประทานปญญา [ท้ังฝายโลกิยะและโลกุตตระ] ไมติดของในกามคุณ รูแจงธรรมท้ังปวง ทรงปญ ญา เสด็จดาํ เนินอยูในปฏิปทาของพระอริยะท้งั หลาย” สทุ ิฏ ํ วต โน อชฺช สปุ ฺปภาตํ สหุ ุฏ ติ ํ ยํ อททฺ สาม สมฺพุทฺธํ โอฆติณฺณมนาสว.ํ ๑๖๑ “วันนี้เราท้ังหลายเห็นดีแลว เปนยามรุงดี ยามต่ืนดี เพราะ ไดเขาเฝาพระสัมมาสัมพุทธเจา ผูขามพนกระแสกิเลสและสงสาร ผูปราศจากอาสวะ” ๒๓๔
àËÁǵÊٵà อิเม ทสสตา ยกขฺ า อทิ ธฺ มิ นฺโต ยสสฺสิโน สพฺเพ ตํ สรณํ ยนฺติ ตวฺ ํ โน สตฺถา อนุตฺตโร.๑๖๒ “เทพยักษ ๑,๐๐๐ ตนทัง้ หมดที่มฤี ทธ์ิเดชบริวารในท่นี ี้ ขอถงึ พระองคเปนสรณะ พระองคทรงเปนพระศาสดาผูยอดเยี่ยมของ ขาพระองคทงั้ หลาย” เทพยักษทั้งสองน้ันมีบริวารตนละ ๕๐๐ จึงกลาวถึงเทพยักษ ๑,๐๐๐ ตนในเร่ืองน้ี เทพยักษท้ังหมดน้ันไดฟงเพียงคาถา ๓ บทจาก พระพุทธองค กไ็ ดบรรลุธรรมเปน พระโสดาบนั จะขอกลาวถึงอดตี ชาติ ของเทพยกั ษเ หลานัน้ ตอ ไป ๒๓๕
àËÁǵÊٵà ประวัติในอดีตของเทพเหมวตะและคณะ เมอ่ื พระพทุ ธเจา กสั สปะเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานแลว พระบรม- สารีริกธาตขุ องพระองคไดบ รรจไุ วใ นมหาเจดียทองคําองคใ หญ ในขณะ นั้นมีกุลบุตรสองคนออกบวชเปนภิกษุเพื่อพนจากภัยในวัฏฏะ จัดเปน ผบู วชดว ยศรัทธา (สัทธาบรรพชิต) สว นบางคนออกบวชดว ยความกลวั ภัยจากกษัตริย โจร หรือความเปนอยู เรียกวาผูบวชดวยความกลัว (ภยบรรพชิต) ประเภทแรกเปนสาวกที่แทจริงของพระพุทธเจา สวน ประเภทท่ีสองเปนผูที่มีจิตใจไมต้ังม่ัน อาจจะกระทําใหพระศาสนา ออนแอและเสยี หายไดหากไมไ ดรับคาํ แนะนาํ สั่งสอนทีเ่ หมาะสม หนา ท่ี ตางๆ ของภกิ ษุแบงเปนประเภทหลกั ได ๒ ประการ คือ คนั ถธรุ ะ และ วปิ ส สนาธรุ ะ คนั ถธรุ ะเปน การศกึ ษาเลา เรยี นและสอนผอู น่ื เพอื่ เผยแพร หลักธรรม พระพุทธศาสนาสามารถคงอยูไดนานจนถึงปจจุบันดวยการ สบื ทอดคนั ถธรุ ะตอ ๆ กนั มานน่ั เอง สว นวปิ ส สนาธรุ ะเปน การปฏบิ ตั ติ าม ระเบียบวินัยของภิกษุตลอดจนการเจริญสมถะและวิปสสนาเพื่อบรรลุ มรรคผล ในสมัยพระพุทธเจาโคตมะนี้มีภิกษุเปนจํานวนมากเร่ิมดวย วปิ ส สนาธรุ ะ กลา วคือ ปญ จวคั คยี ๕ รปู แรก ทา นพระยสะบตุ รเศรษฐี และสหายอกี ๕๔ รปู รวมเปน ๕๕ รูป ทง้ั หมดอปุ สมบทเปนภกิ ษแุ ลว เจริญวิปสสนาธุระจนไดบรรลุธรรมเปนพระอรหันต หลังจากนั้นทาน ๒๓๖
àËÁǵÊٵà พระภทั ทวคั คยี ๓๐ รปู ฤษี ๑ พนั ทม่ี ที า นพระอรุ เุ วลากสั สปะเปน หวั หนา ทานพระสารีบุตรและทานพระมหาโมคคัลลานะพรอมดวยปริพาชก ๒๕๐ คน ท้งั หมดไดปฏบิ ตั ธิ รรมจนบรรลุเปน พระอรหนั ต ตอมามีภิกษุ มากมายเปนพระอรหันตดวยวิปสสนาธุระ ในบรรดาภิกษุทั้งหมดนั้น เร่อื งการปฏบิ ตั ิธรรมของทา นพระโสณะพิเศษกวา ภกิ ษรุ ูปอ่ืน ทานพระโสณะเปนบุตรเศรษฐีผูเปนสุขุมาลชาติ ทานไมเคย เหยียบพื้นดิน ฝาเทาของทานหอหุมดวยขนออนๆ ทานออกบวชดวย ศรทั ธาตอ งการจะหลดุ พน จากวฏั ฏสงสาร จงึ พากเพยี รปฏบิ ตั ธิ รรมอยา ง แรงกลา ทานพากเพียรเดินจงกรมจนกระทั่งเทาแตกมีเลือดไหลทวม ทางเดนิ จงกรม แตก ็ยงั ไมเลกิ ปฏบิ ตั ิ อยา งไรก็ดี ทานไมอาจบรรลคุ วาม สาํ เรจ็ ตามเปาหมายไดจ งึ รสู ึกหมดหวังทอแท และคดิ ลาสิกขาออกจาก คณะสงฆเพราะคิดวาตนไมมีบารมีสามารถท่ีจะบรรลุธรรมได ตอมา พระพุทธเจาเสด็จมาหาทานแลวแนะนําวาใหปฏิบัติตามทางสายกลาง โดยผอ นวริ ยิ ะลง ทา นปฏบิ ตั ติ ามคาํ แนะนาํ นน้ั ในไมช า กบ็ รรลธุ รรมเปน พระอรหันต ในสมัยพระพุทธกาลมีผูบรรลุพระอรหันตมากมายนับไมถวน หรอื ไมก ็เปนพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี พระอรยิ - บคุ คลทงั้ หมดนเ้ี ปน ผบู รรลคุ วามประสงคข องพระพทุ ธเจา ดว ยการปฏบิ ตั ิ วิปสสนา ทาํ ใหพ ระศาสนางดงามสวา งไสว ภิกษุผเู ปน อดีตเทพเหมวตะ และสาตาคริ ะดาํ รวิ า วปิ ส สนาธรุ ะประเสรฐิ กวา คนั ถธรุ ะ แตพ วกเราอายุ ยังนอย พออายุมากขึ้นคอยปฏิบัติวิปสสนาธุระก็ได ตอนน้ีพวกเราจะ ๒๓๗
àËÁǵÊٵà ปฏิบัติคันถธุระกอน ดังน้ัน พวกทา นจงึ ศึกษาเลา เรยี นปรยิ ัติอยางขยนั ขันแข็งจนเปนผูเช่ียวชาญพระไตรปฎกในกาลไมนาน เพราะมีปญญา เฉียบแหลม ทานท้ังสองไดสอนปริยัติแกภิกษุอ่ืนอีกสองกลุม กลุมละ ๕๐๐ รูป มชี ่อื เสยี งเปนพระวินัยธรปกครองคณะสงฆ การตดั สนิ ใจของภกิ ษทุ ง้ั สองรปู นนั้ วา จะศกึ ษาพระธรรมในขณะ ยังหนุม และปฏิบัติธรรมในตอนแกชรา คลายกับเปนการตัดสินใจท่ีมี เหตุผล แตใครจะประกันไดว าบุคคลใดจะไมเ สียชีวิตเมอื่ ยงั หนุม อยู ถา เขาเสียชีวิตในขณะยังหนุมอยู ก็จะทําใหขาดโอกาสในการปฏิบัติธรรม สวนใหญภิกษุท่ีรอจนแกแลวคอยปฏิบัติธรรม มักเสียชีวิตไปโดยมิได ปฏิบัติธรรมใดๆ ความประสงคของพระพุทธเจาน้ันคือเพ่ือใหทุกคนได เรมิ่ ปฏบิ ตั ิธรรมเสยี ตั้งแตอ ายุยังนอย ดังขอความวา โย หเว ทหโร ภิกฺขุ ยฺุชติ พทุ ธฺ สาสเน โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพภฺ า มตุ ฺโตว จนทฺ มิ า.๑๖๓ “ภิกษุหนุมผูหมั่นปฏิบัติธรรมในพระศาสนา ยอมสองโลกนี้ (ขนั ธ ๕ ของตน) ใหสวางไสวดุจพระจันทรพ น จากเมฆ” บางคราวทองฟามเี มฆทบึ ทาํ ใหแสงจันทรไมอาจสองสวางโลก ได ตอเมอ่ื ทองฟาปราศจากเมฆ แสงจนั ทรจ ึงสอ งสวา งสงิ่ ตา งๆ บนโลก ใหป รากฏชัดเจนได ผทู ีป่ ฏิบตั ธิ รรมตง้ั แตย งั หนมุ กส็ ามารถสองโลกของ ตนคอื ขนั ธ ๕ ใหส วา งไสวได กลา วคอื ผทู ่เี ร่ิมปฏบิ ัตดิ วยการกําหนดรู สภาวะพอง ยบุ น่งั คู เหยียด เปนตน ยอ มจะเห็นประจกั ษร ูปขนั ธท ีไ่ ม เคยรเู หน็ มากอ น หมายความวา กอนจะมาปฏบิ ัติธรรม เขาเขาใจผดิ วา ๒๓๘
àËÁǵÊٵà สภาวะพองยุบเปนตนเปนตัวเรา แตเมื่อเจริญสติกําหนดรูจนกระท่ัง สมาธิแกกลาแลวยอมเขาใจชัดเจนโดยแยกแยะออกเปนทีละสวนวา สภาวะพองเปน สว นหนงึ่ สภาวะยบุ เปน สว นหนงึ่ สภาวะนงั่ เปน สว นหนง่ึ สภาวะคูเปนสวนหน่ึง สภาวะเหยียดเปนสวนหนึ่ง นี้คือการหย่ังเห็น รูปขันธเ ปน ลาํ ดับแรก ในขณะกําหนดรูสภาวะพองยุบเปนตนอยู อาจมีความรูสึกชา เมอ่ื ย เจบ็ หรอื คนั ปรากฏขนึ้ ในรา งกาย ผปู ฏบิ ตั ติ อ งกาํ หนดรคู วามรสู กึ น้อี กี ดวย หรอื ถามคี วามรูสึกเปน ทุกขท างใจ เชน หงดุ หงิด ไมสบายใจ ก็ตองกําหนดรูอีกเชนกัน นอกจากนั้น ถามีความรูสึกเปนสุขทางกาย หรอื ทางใจปรากฏชดั เจน ผปู ฏบิ ตั กิ ต็ อ งกาํ หนดรคู วามรสู กึ ดงั กลา ว กอ น จะเจริญสติกําหนดรูเทาทัน เรามักเขาใจผิดวาความรูสึกเปนทุกขหรือ สุขทางกายหรือทางใจ เปนตัวเราท่ีรูสึกเชนนั้น แตการกําหนดรูดวย การเจริญสติน้ีจะทําใหผูปฏิบัติหยั่งเห็นความจริงของสภาวธรรมวา ความรูส กึ เปน ทกุ ขห รอื สุขดงั กลาวเปน เพยี งความรสู กึ ที่ดหี รอื ไมด ี ไมม ี ตวั เราผกู ําลงั เสวยอารมณเชนนัน้ อยู นี้คือการหยั่งเห็นเวทนาขนั ธ ในลักษณะเดียวกัน การกําหนดรูสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพ่ือไมใหหลงลืม เปน การหยงั่ เหน็ สญั ญาขนั ธ การกาํ หนดรฉู นั ทะทตี่ อ งการจะทาํ พดู หรอื คิด หรือความตง้ั ใจจะทาํ สิง่ ตางๆ เปน การหยัง่ เหน็ สงั ขารขนั ธ สว นการ กาํ หนดรจู ิตทีค่ ดิ นึกเปน ตน เปน การหยงั่ เหน็ วิญญาณขันธ ที่กลา วมาน้ี เปนการหย่ังเห็นขันธ ๕ โดยยอ ตอมาวิปสสนาญาณพัฒนาข้ึนจนถึง ระดบั แกก ลา แลว ผปู ฏบิ ตั ยิ อ มรเู หน็ วา รปู นามทถี่ กู กาํ หนดรอู ยไู ดเ กดิ ขนึ้ ๒๓๙
àËÁǵÊٵà แลวดบั ไปทนั ทอี ยา งรวดเรว็ นี้คอื การหยั่งเหน็ ความไมเ ที่ยงของรูปนาม แลวตอมาจะหยั่งเห็นไตรลักษณของรูปนามได ผูที่เกิดปญญาเห็น ประจกั ษเ ชนน้ียอ มสองขันธ ๕ ของตนใหสวา งไสว อาจจะมีคําถามวา ผูสูงอายุก็อาจเกิดวิปสสนาญาณที่เห็น ประจักษไดมิใชหรือ แนนอนวาวิปสสนาญาณเกิดข้ึนไดจริง แตความ เขาใจแจมแจงอาจจะไมเหมือนคนหนุมสาว เพราะอายุทําใหสุขภาพ และปญญาเฉ่ือยชาลง คนอายุ ๓๐ปอาจจะบรรลุเปาหมายของเขาได ภายในเวลา ๑ เดือน สวนคนอายุ ๖๐ หรือ ๗๐ ปอาจจะบรรลไุ ดใ น เวลา ๒ หรือ ๓ เดอื น ความแตกตางอยทู ่สี ขุ ภาพกายและจติ รวมท้ัง พละกําลังและความคิดกังวลดวย พลังสมองของคนอายุนอยน้ันมัก เฉียบแหลม สว นคนทอ่ี ายุมากน้ันลดลงเรือ่ ยๆ ฉะนั้น พระพทุ ธองคจึง ทรงสนับสนุนใหปฏบิ ตั วิ ิปสสนาต้งั แตอายุยงั นอย ในกรณีของภิกษุ พระหนุมท่ีบวชใหมควรเริ่มปฏิบัติธรรมจะดี ที่สุด เพราะพระบวชใหมอายุนอย ศรัทธาเขมแข็ง และมีศีลที่หมดจด จากขอ กังขา แมจ ะเปนท่ยี อมรบั กันวา การศึกษาปรยิ ัตสิ าํ คญั มากก็ตาม แตพระหนุมท่ีบวชใหมก็ควรปฏิบัติกรรมฐานอยางนอย ๓ เดือน นี้คือ ความคิดเห็นของผูบรรยาย ภิกษุจํานวนมากคิดวาจะปฏิบัติธรรมตอน แก แตก ็ไมม โี อกาสจนกระทง่ั มรณภาพไปกอน อาจเปน ไปไดท ่ีภกิ ษุสอง รปู ซง่ึ จะเกดิ เปน เทพเหมวตะและเทพสาตาคริ ะไดเ สยี ชวี ติ กอ น ดเู หมอื น วาทา นทั้งสองไมม โี อกาสไดปฏบิ ตั ิธรรมแตอ ยา งใด ๒๔๐
àËÁǵÊٵà พระเถระทั้งสองไดรับการยกยองนับถืออยางสูงจากศิษยของ ทา นทงั้ ภกิ ษแุ ละฆราวาส ในสมยั นน้ั พระพทุ ธศาสนาเจรญิ รงุ เรอื งเหมอื น สมัยท่ีพระพุทธเจายังดํารงพระชนมอยู ในขณะนั้นมีพระหนุมสองรูป พาํ นักอยใู นวดั แหง หน่ึง รปู หน่งึ เปนผูปฏิบัตติ นตามวินยั อยา งเครงครดั อกี รปู หนงึ่ นนั้ มกั ฝา ฝน วนิ ยั เมอื่ ภกิ ษดุ ชี ข้ี อ บกพรอ งของอกี รปู หนง่ึ ภกิ ษุ ทไี่ มเ ครง ครดั วนิ ยั กไ็ มย อมรบั ความผดิ ของตน ภกิ ษรุ ปู แรกจงึ บอกใหร ูป ที่สองรอจนกวาวนั ปวารณามาถงึ เพราะทานจะโจททวงขอ ผดิ พลาดใน วันน้นั กบั พระวินัยธร ภิกษุทั้งหมดตองเขารวมพิธีปวารณาหลังจากออกพรรษาแลว ทุกรูปตางปวารณากันเพ่ืออนุญาตใหช้ีขอบกพรองได พิธีน้ีมีข้ึนเปน ประจําในวันเพ็ญเดือน ๑๑ ขณะออกพรรษา ภิกษุท่ีถูกกลาวโทษจะ แสดงความขอบคณุ ภกิ ษทุ ช่ี ขี้ อ บกพรอ งให และใหส ญั ญาทจ่ี ะระมดั ระวงั ใหมากข้ึนในอนาคต พิธีการน้ีจัดขึ้นเพื่อใหพระพุทธศาสนาสะอาด หมดจดและคงอยอู ยา งบรบิ รู ณ พระพทุ ธเจา ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทเพอื่ ให ทาํ ปวารณาในวนั ดังกลา ว โดยทวั่ ไปภกิ ษทุ ถ่ี กู ชโี้ ทษควรจะแสดงความขอบคณุ ภกิ ษผุ ชู โ้ี ทษ เพราะการชโ้ี ทษนเ้ี ปน การเปด โอกาสใหผ ทู ถี่ กู ชโ้ี ทษไดแ กไ ขตนเอง อาบตั ิ หรือการกระทําผิดของภิกษุนั้นถือวารายแรงกวาความผิดของฆราวาส หากภกิ ษุมรณภาพโดยไมรวู า ตนเองมอี าบัติ กไ็ มมีโอกาสปรบั ปรงุ แกไ ข ทานอาจไปเกิดในอบายภูมิดวยอาบัติของตน หากภิกษุรูอาบัติของตน แลวแกไขดวยการปลงอาบัติ ศีลก็อาจบริสุทธิ์ได และถาในเวลาน้ันได ๒๔๑
àËÁǵÊٵà ปฏิบัติธรรมก็อาจพัฒนาสมาธิและปญญาระดับสูงได หรือถามรณภาพ ไปในขณะน้ันก็อาจจะไปสูสุคติภูมิได ฉะน้ัน พระพุทธเจาจึงตรัสวา ผชู ใี้ หเ หน็ ขอ บกพรอ งของคนอน่ื ดว ยเจตนาดี จะเปน ทเ่ี คารพนบั ถอื ของ คนดีทัง้ หลาย แตเขามักถูกเกลียดชงั จากคนทราม๑๖๔ ภิกษุทรามทําตัวเปนปฏิปกษตอภิกษุดีอยางเดนชัด ภิกษุดีจึง กลาววาจะรายงานเร่ืองนี้ไปยังพระวินัยธร ภิกษุทรามเกรงกลัววาตน จะเสื่อมเสียช่ือเสียง จึงเขาหาพระวินัยธรทั้งสองรูปนั้นแลวถวายจีวร บาตร และวตั ถสุ งิ่ ของอกี มากมาย พรอ มกบั ถอื นสิ สยั (ขอเปน ทพ่ี งึ่ ) จาก พระวนิ ยั ธรทง้ั สอง อกี ทงั้ ไดป รนนบิ ตั วิ ตั รนอ ยใหญจ นเกดิ ความสนทิ สนม วนั หนงึ่ ภกิ ษทุ รามนนั้ บอกพระวนิ ยั ธรวา ตนไดม ปี ากเสยี งกบั เพอ่ื นในวดั เกี่ยวกับความประพฤติไมดีของตน แลวขอรองใหพระอาวุโสระงับการ พิจารณาตดั สินไวเมอื่ เร่ืองของตนเขาทป่ี ระชมุ สงฆ พระวนิ ัยธรกลาววา พวกทานมอิ าจระงับคดีใดๆ ได แตภ ิกษุทรามกย็ ังยืนกรานขอรองตอไป พระวินัยธรไดรับสิ่งของและการรับใชตางๆ ทําใหรูสึกเกรงใจไมอาจ ปฏเิ สธคําขอรองได ดังนน้ั จงึ ใหสัญญาวา จะเกบ็ เรือ่ งเมอ่ื มาถึง แนนอน วา นค้ี อื การลาํ เอยี งดว ยความรกั สนทิ สนม (ฉนั ทาคต)ิ และคอรปั ชน่ั เมอ่ื เรอ่ื งแนชัดแลว ภกิ ษุทรามจึงกลบั ไปวดั เดิม และปฏบิ ัตติ อ เพ่ือนของตน อยา งหยง่ิ ยโสโอหงั ภกิ ษดุ จี งึ สงสยั แลว ไปถามศษิ ยข องพระวนิ ยั ธรเงยี บๆ ถงึ ความลา ชา ในการตดั สนิ คดที เ่ี ขารอ งเรยี นไป ศษิ ยข องพระวนิ ยั ธรทไี่ ด เขา พบน้นั กลบั ปด ปากเงียบไมพดู ไมจ า ๒๔๒
àËÁǵÊٵà ภิกษุทรามย่ิงหนาดานมากขึ้น เขาไดถามภิกษุดีถึงคดีน้ันแลว ทา ทายอยา งหยิง่ ผยองวา ถึงตอนนี้เธอแพค ดกี ับฉันแลว เธอไมค วรกลับ เขา วดั อกี จะไปไหนกไ็ ป ไมต อ งมาอยกู บั ฉนั อกี ภกิ ษดุ จี งึ เดนิ ทางไปถาม พระวนิ ยั ธรเกย่ี วกบั คดนี ดี้ ว ยตนเองแลว ราํ่ ไหพ ดู ดว ยเสยี งอนั ดงั วา ทา น ท้ังสองรูปไมเห็นแกหนาพระศาสนา กลับเห็นแกหนาของพระท่ีมา อปุ ฏฐากรบั ใชต น หลังจากพระพทุ ธเจา กัสสปะเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพาน แลว ชาวพุทธตางพึ่งพาทานทั้งสองรูปเหมือนพระพุทธเจาอีกพระองค หน่ึง แตทานท้ังสองมิไดตัดสินคดีอยางยุติธรรม กระผมจะกําหนดวา ในวันนี้ศาสนาของพระพุทธเจากัสสปะไดเสื่อมสูญไปเสียแลว หลังจาก ราํ่ ไหแ ลว ภกิ ษนุ นั้ กก็ ลบั ไป ตามมมุ มองของความถกู ตอ ง การปฏบิ ตั แิ บบ ไมยุติธรรมเชนน้นี ับวาเปนสงิ่ ท่ีนาสลดใจอยางยิง่ ถอ ยคาํ ดงั กลา วเปน เหมอื นหนามทมิ่ ตาํ ใจของพระวนิ ยั ธรทง้ั สอง รูปไปตลอดชีวติ ทา นทงั้ สองไดสตกิ ลบั มาแลวรูสกึ เสียใจ อันทจ่ี รงิ ทา น เหลานี้เปนผูมีจิตใจดีงามโดยปกติ แตกระทําผิดดวยความเกรงใจภิกษุ ทราม พวกทา นดาํ รวิ า ศาสนาของพระพทุ ธเจา เปน คาํ สอนทสี่ ถาปนาขน้ึ ดวยการบําเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป แตพวกเรามิไดเห็นแกห นา ของพระศาสนา เพยี งเหน็ แกห นา ของภกิ ษทุ ม่ี าถวายสง่ิ ของและปรนนบิ ตั ิ รบั ใช แลว ทาํ ใหพ ระศาสนามวั หมอง คดิ ดงั นแ้ี ลว พวกทา นรสู กึ เดอื ดเนอื้ รอ นใจจนกระท่ังถึงเวลามรณภาพ ในเวลานั้นทานท้ังสองรูปไดออกบวชรักษาศีลอยางเครงครัด และสอนปริยัติเปนเวลาราว ๒ หม่ืนป ในคัมภีรอรรถกถามิไดเอยถึง ๒๔๓
àËÁǵÊٵà เรอ่ื งการปฏบิ ตั ิธรรมของทา นเหลานนั้ จึงอาจจะเคยปฏิบัตธิ รรมมาบาง แตพ วกทานไมอ าจพัฒนาสมาธิใหเ กิดข้นึ ในใจได เพราะความรอนใจใน ความผิดพลาดของตน ที่จริงแลวความรอนใจดังกลาวนั้นอาจถูกกําจัด ไดดวยการกําหนดรูเทาทันปจจุบัน คนที่ไมอาจกําจัดความรอนใจหรือ ความคิดฟุงซานไดนับวาตกเปนทาสของมัน เพราะท้ังสองอยางน้ันจะ ปดก้ันความกาวหนาในการปฏิบัติ โดยทําใหสมาธิและปญญาไมอาจ เกดิ ขึ้นได เหมือนทาสที่ตอ งทาํ ตามความตองการของนาย ไมเปนอิสระ แกตนเอง พระวินัยธรท้ังสองรูปควรจะไดไปเกิดในเทวโลกช้ันสูงดวยบุญ กศุ ลทตี่ นบาํ เพญ็ ไว ๒ หมนื่ ป แตก ลบั ไปเกดิ เปน เทพยกั ษท เ่ี รยี กวา ยกั ษ เสนาบดี อยูในจํานวนยักษเสนาบดี ๒๘ ตนผูเปนบริวารของทาวกุเวร ตนหนง่ึ อยทู ่ภี ูเขาหิมาลยั อกี ตนหนึ่งอยูทภ่ี ูเขาสาตะทางทิศใตของเมอื ง ราชคฤหแ ถบภาคกลางของอนิ เดยี สนั นษิ ฐานวา นา จะอยแู ถบภเู ขาอทุ ยั - คิรีและทนั ตคิรีทอี่ ยูบริเวณริมฝง ทะเล แมเ ทพยักษท ้ังสองจะมตี าํ แหนง ยกั ษเ สนาบดีกน็ า จะมรี ปู รา งไมง ดงามเหมอื นเทวดาชน้ั สงู คงจะมรี ปู รา ง คอ นขา งหยาบกระดา ง แมภ กิ ษกุ ลมุ ละ ๕๐๐ รปู ทเ่ี ปน ศษิ ยข องพวกทา น กไ็ ปเกดิ เปนเทพยักษบ ริวารของทา นเหลา น้นั ๑๖๕ วันหน่ึงเทพยักษท้ังสองตนมาพบกันในการประชุมเทวสภา จึง ถามกนั และกนั แลว จาํ กนั ได ทาํ ใหร สู กึ เศรา ใจตอ ชะตากรรมของตนแลว กลา ววา พวกเราปฏบิ ตั สิ มณธรรมตลอด ๒ หมน่ื ป แตต อ งมาตกอบั เพราะ ศิษยท ่ีเปน ภิกษทุ ราม ทง้ั สองรูสึกเสยี ใจทพี่ บวา ศษิ ยคฤหสั ถบ างคนได ๒๔๔
àËÁǵÊٵà ไปสภู พภมู ทิ สี่ งู กวา ตน สว นเขาทง้ั สองตอ งรบั สถานะทตี่ า่ํ กวา ทง้ั สองตน จึงใหสัญญาตอกันวา หากคนใดคนหนึ่งมีขาวดีเกี่ยวกับการอุบัติของ พระพทุ ธเจา พระองคต อ ไป เขาจะแจงใหอีกคนหน่ึงทราบทันที หลงั จากศาสนาของพระพุทธเจา กัสสปะอันตรธานแลว อายุขยั ของมนุษยก็คอยๆ ลดนอยลงจาก ๒ หมื่นปไปตามลําดับจนกระทั่งถึง อายขุ ยั ๑๐ ป ในขณะนนั้ มสี งครามทโี่ หดเหย้ี มจนคนฆา กนั ตายเพอ่ื เปน อาหารยังชีพ คนที่รอดชีวิตไดรูสึกสลดใจจึงบําเพ็ญกุศลมีการเจริญ เมตตาและรักษาศีลเปนตน ทําใหอายุขัยของมนุษยเพิ่มขึ้นจนถึง ๑ อสงไขย ตอ จากนน้ั อายขุ ยั ของมนษุ ยก ล็ ดลงมาอกี เพราะความประพฤติ เสือ่ มทรามลง พอถงึ ปทมี่ นุษยม ีอายขุ ัย ๑๐๐ ป เมื่อป ๒๕๕๒ ที่ผา นมา ในวนั เพ็ญเดือน ๖ พระพทุ ธเจา โคตมะเสดจ็ อุบตั ขิ ึน้ ในโลก หลังจากนนั้ ถดั มา ๒ เดอื น ในวนั เพ็ญเดือน ๘ ทรงแสดงธัมมจักกัปปวตั นสูตรเปน ลาํ ดับแรก ทา นอญั ญาโกณฑญั ญะฟง พระธรรมเทศนานแ้ี ลว ไดบ รรลธุ รรม เปน พระโสดาบนั พรหม ๑๘ โกฏแิ ละเทวดานบั ไมถ ว นไดบ รรลธุ รรมดว ย ปฐมเทศนานี้เชนกัน ในขณะนั้นเทพสาตาคิระคิดถึงเทพเหมวตะสหาย ของตน มัวแตคิดวาเหตุใดจึงไมพบสหาย ทําใหจิตซัดสายไมสงบ จึง ไมอาจบรรลุธรรมดวยการฟงธรรมได ตอมาเทพสาตาคิระไดพาเทพ เหมวตะมาฟง ธรรมคือเหมวตสูตรน้ีจากพระพทุ ธเจาเปนครง้ั ที่ ๒ จึงได บรรลุธรรมเปนพระโสดาบันพรอ มกับสหายและบริวารท้งั ๑ พนั ตน ๒๔๕
àËÁǵÊٵà เทพเหมวตะไดบรรลุธรรมเปนพระโสดาบันแลว ไดบังเกิดปติ โสมนัสและศรัทธาปสาทะเหลือประมาณ จึงไดกราบทูลขอความน้ีแด พระพทุ ธเจาดว ยปต ิโสมนสั ของตนวา เต มยํ วิจริสฺสาม คามา คามํ นคา นคํ นมสสฺ มานา สมพฺ ทุ ฺธํ ธมฺมสฺส จ สธุ มมฺ ตํ.๑๖๖ “ขาพระองคเหลานี้ขอนอบนอมพระสัมมาสัมพุทธเจาและ พระธรรมทพี่ ระองคต รสั ไวด แี ลว เทยี่ วประกาศคณุ ของพระพทุ ธเจา และ พระธรรมไปทกุ หนทุกแหง ตามหมูบ า นหรือตามขนุ เขาลาํ เนาไพร” เหมวตะรสู กึ ดใี จและเกดิ ศรทั ธาอยา งแรงกลา เพราะไดบ รรลคุ ณุ - วิเศษแลว ทา นจึงกราบทูลวาจะเทย่ี วประกาศคณุ ของพระพุทธเจาและ พระธรรมไปทกุ หนทกุ แหง ตามหมบู า นหรอื ตามขนุ เขาลาํ เนาไพร เขา ใจ วา ในขณะนนั้ พระสงฆย งั ไมป รากฏชดั เจน จงึ กลา วถงึ คณุ ของพระพทุ ธเจา และพระธรรมเทา นนั้ อนั ทจ่ี รงิ ขอ นเี้ ปน ธรรมดาวา ผทู เ่ี ขา ใจพระพทุ ธเจา และพระธรรมท่ีแทจริงยอมตองการประกาศใหผูอื่นทราบเรื่องน้ีเชน เดียวกนั ทต่ี นไดทราบมากอ น ๒๔๖
àËÁǵÊٵà คําลงทาย ดว ยอานภุ าพแหง บญุ กศุ ลทเ่ี กดิ จากการสดบั ตรบั ฟง เหมวตสตู รน้ี โดยเคารพ ขอใหผูปฏิบัติธรรมทุกทานสามารถกําจัดความเพลิดเพลิน ยินดที อี่ าจเกดิ ขน้ึ ในอารมณ ๖ ดว ยการเจริญสติกําหนดรแู ละหยั่งเห็น ประจกั ษอ ารมณ ๖ ทมี่ าปรากฏทางทวาร ๖ เพอื่ ไมใ หจ มลงในมหรรณพ แหง สงสารอนั ลมุ ลกึ เพราะขา มพน กระแสกเิ ลสได และบรรลนุ พิ พานสขุ อนั ดบั ทุกขท ้งั ส้ินไดตามลาํ ดบั วปิ สสนาญาณและมรรคญาณตอ ไป จบเหมวตสตู ร ๒๔๗
ÀÒ¤¼¹Ç¡ ๒๔๙
ÀÒÃÊٵà ภารสตู ร สตั วโลกทุกจําพวกประกอบดวยขันธ ๕ คอื รปู เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ขันธท้ัง ๕ ไดประชุมกันข้ึนเปนส่ิงที่มีชีวิตก็คือ ตัวเราน่นั เอง อยางไรก็ตาม ชาวโลกมไิ ดคดิ วาขันธเหลาน้เี ปนของหนกั แตอยา งใด เพราะเมอ่ื ถงึ เวลากิน เราก็ไดกิน ถึงเวลานอน เราก็ไดนอน ถึงเวลาเพลิดเพลินสนุกสนาน เราก็เพลิดเพลินสนุกสนาน จึงไมคิดวา ขนั ธ ๕ เหลา น้นั เปน ของหนัก แมเ ราจะตองแบกขันธอ ยูเชนนี้ กไ็ มค ดิ วา เปนของหนกั เพราะ ถูกอวิชชาหอหุมและถูกตัณหาเหนี่ยวรั้งไว๑ อวิชชาและตัณหาทั้งสอง อยา งนที้ ําใหห ลงผิดวาขันธ ๕ นาเพลดิ เพลนิ ยินดี ชาวโลกจึงไมค ดิ วา แบกของหนกั ไว และไมตองการวางลง อวิชชาเหมือนความมืดทีป่ ดบังของทม่ี ีอยใู นหอง แมในหองจะ มีวัตถสุ ิ่งของตา ง ๆ เรากม็ องไมเ หน็ เพราะถกู อวชิ ชาคอื ความมืดปด บัง ไว นอกจากนัน้ เราก็ยงั มีตัณหาคอื มีความเพลิดเพลนิ ยนิ ดตี อสิ่งทีไ่ ดรบั อยูตลอดเวลา หากเราไดรับส่ิงท่ีดีอยางหนึ่ง ก็ตองการใหส่ิงน้ันคงอยู ตลอดไป รวมถึงอยากไดสิ่งอื่นท่ีดีกวา เม่ืออวิชชาและตัณหาไดหอหุม ๒๕๑
ÀÒÃÊٵà และเหนยี่ วรงั้ เหลา สตั วไ วเ ชน น้ีคนทว่ั ไปจงึ ไมร สู กึ วา ขนั ธ ๕ เปน ของหนกั ดังพระพทุ ธดํารัสวา เอตํ มม,ํ เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตตฺ า.๒ “สิ่งนขี้ องเรา สง่ิ นี้เปนเรา ส่งิ นี้เปนอตั ตาของเรา” ทุกขณะที่รับรูอารมณทางทวาร ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ชาวโลกมกั รสู กึ วา สง่ิ นขี้ องเรา กลา วคอื สภาวะเหน็ นเ้ี ปน การเหน็ ของเรา ดวงตาหรือจักขุทวารก็เปนของเรา หรือส่ิงที่เห็นน้ันเปนบุคคล อน่ื ทไี่ มใ ชต วั เรากจ็ รงิ แตถ า สง่ิ นน้ั เปน สงิ่ ทเี่ ราครอบครองอยู เราพอใจวา สง่ิ นเี้ ปนของเรา ดงั นนั้ ไมวา จะเปนสภาวะเหน็ ดวงตา หรือสงิ่ ทพี่ บเหน็ คือรปู ารมณ เราเขา ใจสง่ิ เหลา นี้วาเปนของเราอยตู ลอดเวลา นอกจากนัน้ เรายังเขา ใจวาส่ิงนีเ้ ปนตัวเรา กลา วคอื ตัวเราเปน องครวมของรางกายทั้งหมด และเมื่อเปนเชนน้ัน เราจึงเขาใจวาส่ิงน้ี เปนอัตตาหรือเปนตัวตนของเราอีกดวย เมื่อเราเขาใจวาเปนตัวตน จึง แสวงหาสิ่งท่ียังไมไดและพยายามคุมครองสิ่งท่ีมีอยูแลวใหคงอยูกับเรา ตลอดไป น้ีคือลักษณะของอวิชชาและตัณหาที่ปดบังโทษของขันธ ๕ ทาํ ใหไมร ูเหน็ ความจริงวา ขนั ธเ ปน ของหนัก ๒๕๒
ÀÒÃÊٵà ขนั ธ ๕ เปนของหนัก ในสงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค๓ พระพทุ ธองคต รสั พระสตู รหนงึ่ เกีย่ วกบั การปฏิบัติธรรม ชอื่ วา ภารสูตร แปลวา “พระสูตรวา ดวยของ หนัก” หมายความวา คนท่ีใชศีรษะทูนของหนักไว ไมวาจะเปนของใด กต็ าม เขาตอ งไดร บั ความทกุ ขย ากลาํ บากจากการแบกของหนกั ๔ อยา งไร กต็ าม เขามไิ ดแ บกมนั ไวต ลอดเวลา เพยี งแบกไวช ว่ั ขณะทท่ี าํ งานเทา นน้ั แตชาวโลกตอ งแบกขันธ ๕ ไวตลอดเวลา เพราะเรามีรปู เวทนา สัญญา สงั ขาร และวญิ ญาณ ซ่ึงตอ งดูแลรักษาตลอดเวลา คนที่แบกของหนักนั้นอาจแบกไวเปนเวลาไมนาน แตคนที่เดิน ทางอยูในวัฏฏสงสารนี้จําตองแบกของหนักตั้งแตเวลาท่ีเราอยูในครรภ มารดา กลาวคือ มารดาก็ตองบริโภคอาหารหรือเคล่ือนไหวรางกายให เหมาะสมกับลูกนอยท่ีอยูในครรภ เม่ือเราคลอดมาแลวยังดูแลตัวเอง ไมได บดิ ามารดาตอ งดแู ลดวยการปอ นขา ว ปอนนํ้า และเปลีย่ นผา ออม เปน ตน ทา นดแู ลตวั เราจนกระทง่ั เตบิ ใหญส ามารถดแู ลตวั เองได นบั จาก น้ันมาเราตองดูแลขันธเหลาน้ีดวยตัวเอง นอกจากน้ัน บางคนอาจตอง ดแู ลขนั ธของคนอ่ืนอีก เชน คนที่มีสามี ภรรยา หรอื บตุ รธดิ า ก็ยังตอง ดูแลขนั ธข องบุคคลเหลา น้ันอกี ดวย ๒๕๓
ÀÒÃÊٵà ปุถุชนแบกของหนักคือขันธ ๕ โดยไมรูตัว แตพระอรหันต ผูกําจัดอวิชชาและตัณหาโดยเด็ดขาดยอมเขาใจวาเปนของหนัก จะเห็นไดวา พอต่ืนข้ึนเราตองทําความสะอาดรางกาย ตองลางหนา แปรงฟน ขบั ถาย อาบนํา้ บรโิ ภคอาหาร ดงั นี้เปน ตน นอกจากนั้น เราตองเปล่ียนอิริยาบถอยูเสมอเพื่อใหหายเมื่อย เมอื่ ยนื นานกเ็ มอ่ื ยตอ งเปลย่ี นมานง่ั พอนงั่ เมอ่ื ยแลว กล็ กุ ขน้ึ เดนิ พอเดนิ นานไปก็ตองมานั่งและในท่ีสุดก็ตองนอนพักผอน ท้ังนี้เพ่ือดูแลรักษา รา งกายใหค งอยตู อ ไปจนถงึ เวลาสน้ิ อายขุ ยั พระอรหนั ตม กั ดาํ รวิ า รา งกาย ของตนเหมือนคราบงู งูท่ีใกลจะลอกคราบมักรูสึกอึดอัดตอคราบเกา ของตน จงึ ตองลอกหนงั เกาออกเพ่อื ใหเกดิ หนังใหม ดว ยเหตดุ งั กลา ว พระพุทธองคจ ึงตรสั ไวในภารสูตรนีว้ า ภารา หเว ปจฺ กขฺ นฺธา๕ (ขันธ ๕ เปน ของหนกั โดยแท) ขอ ความนีส้ อดคลอง กบั คํากลาวของทานพระสารีบตุ รวา ฑยฺหมาโน ตหี คคฺ ีหิ ภเวสุ สสํ รึ อหํ ภริโต ภวภาเรน คริ ึ อุจฺจาริโต ยถา.๖ “เราถูกไฟ ๓ กองเผาอยู ทองเที่ยวไปในภพ แบกของหนักคือ ภพเหมอื นแบกภูเขาไว” ๒๕๔
ÀÒÃÊٵà ความเห็นของทานพระสารีบุตรและพระอรหันตท้ังหลาย คือ การท่ีทานตองแบกของหนักคือขันธ ๕ น้ีเปรียบไดกับการแบกภูเขา ทงั้ ลกู ถงึ อยากจะวางลงกว็ างไมไ ด ตราบใดทย่ี งั มชี วี ติ อยู กต็ อ งแบกหาม ของหนกั อันไดแ กขันธ ๕ นอี้ ยตู ลอดเวลาจนกวา จะสิ้นชวี ิต นอกจากนัน้ ขนั ธ ๕ เหลา น้ดี ําเนินไปในสังสารวฏั อนั ยาวนาน และสังสารวัฏเปรียบไดกับทางกันดาร โดยท่ัวไปทางกันดารเปนทาง ขรขุ ระเดนิ ลาํ บาก มีอันตรายมากมาย และมีส่งิ ที่ชว ยชีวิตนอยมาก ผทู ่ี เดนิ ทางกนั ดารตอ งพบอนั ตรายตางๆ เชน โจรผูร า ย สตั วด ริ ัจฉาน หรอื อมนุษยมยี ักษ เปนตน ถาโชคดีก็เดินทางผา นพน ทางกันดารได ถาโชค ไมด ีก็ตองเผชญิ กบั อปุ สรรคอนั ตรายนานาประการ แตผทู ี่เดินทางอยใู น ทางกนั ดารแหง สงั สารวฏั ไมอ าจอยดู มี สี ขุ ไมอ าจอยรู อดปลอดภยั พน ไป จากทางกนั ดารได ทางกันดารดงั กลาว คือ ก. ชรา ความแก หมายความวา หลงั จากทเ่ี ราไดร บั ขนั ธ ๕ แลว เดินทางอยูในทางกันดารแหงภพ เราตองพบกับความแกอยูตลอดเวลา ไมอาจหลีกเลี่ยงไปได ไมวาเราจะวางแกหรือไมวางแก ก็ตองแกอยู ทุกวัน จะบอกวาตอนน้ีงานยุงมากเหลือเกิน ฉันยังไมวางแก ก็ตองแก ไมวาจะชอบหรอื ไมชอบมันก็ตอ งแก จะเหน็ ไดว า เด็กแกข น้ึ ทกุ วัน สว น ผใู หญแ กลง เด็กท่ีเกิดมา ๑ วันกถ็ อื วา แก ๑ วัน เม่ือมีอายุ ๑ ขวบ ก็แกไป ๑ ป นน่ั กค็ อื เวลาของเขาลดนอ ยลง เชอื กคอื ชราดงึ ชาวโลกไปสคู วามแก อยูตลอดเวลา ชราน้ันหาไดงายสําหรับคนหนุมสาว ความตายหาได งายสําหรับคนมีชีวิตอยู เมื่อชราปรากฏชัดเจนขึ้น หนังของเราก็จะ ๒๕๕
ÀÒÃÊٵà เห่ียวยน ฟนหกั ดวงตาฝาฟาง หตู งึ ผมขาว หลังโกง เปน ตน ลกั ษณะ เหลา นี้เปน ลักษณะของชราในขณะทีม่ ันปรากฏชัดเจน ข. พยาธิ ความเจบ็ ปว ย จะเหน็ ไดว า บางครง้ั เราปวดหวั ตวั รอ น ปวดฟน ตองไปหาหมอรักษา แตหลังจากน้ันไมมีใครประกันไดวาเรา จะไมเจ็บปว ยอีก ความเจบ็ ปว ยนเี้ ปนการแปรปรวนของธาตใุ นรางกาย ซงึ่ ปรากฏในเวลาทีธ่ าตุแปรปรวน ค. มรณะ ความตาย ความตายน้เี ปน สิง่ ท่ีเราท้งั หลายกลัวมาก ท่ีสุด เพราะมันทําใหเราตองพลัดพรากจากญาติมิตร พ่ีนอง และ ครอบครัวซึ่งเปนที่รัก ทําใหเราตองละท้ิงวัตถุส่ิงของทรัพยสมบัติตางๆ และสิ่งที่สําคัญคือ เราเกิดความวิตกกังวลวาชาติหนาจะตองไปเกิดใน ภพภูมิที่ตํ่าทราม ขอ นี้เปนสงิ่ ทที่ กุ คนหว งกงั วลมากกวาอยางอ่ืน ๒๕๖
ÀÒÃÊٵà ขันธ ๕ เปน ทกุ ข ดวยเหตุน้ัน ในทางกันดารแหงภพน้ีมีอันตรายคือความแก ความเจบ็ ปว ย และความตายปรากฏอยตู ลอดเวลา เราไมอ ยากแกกต็ อ ง แก ไมอยากเจ็บปวยก็ตองเจ็บปวย ไมอยากตายก็ตองตาย ไมมีใคร หลีกเลี่ยงจากทางกนั ดารแหง ภพไปได ตราบใดท่เี รายังมขี นั ธ ๕ เหลานี้ อยู ทุกขด งั กลา วยอมเกิดขนึ้ อยูเสมอ ดังพระพทุ ธดาํ รัสวา โย ภกิ ฺขเว รปู สฺส อุปฺปาโท ติ ิ อภินพิ พฺ ตฺติ ปาตภุ าโว, ทกุ ขฺ สเฺ สโส อุปปฺ าโท โรคานํ ติ ิ ชรามรณสสฺ ปาตภุ าโว.๗ “ภกิ ษทุ ัง้ หลาย การเกดิ ขึน้ ตั้งอยู บงั เกิด ปรากฏของ รูปน้ี เปนการเกดิ ขึ้นแหง ทกุ ข การต้งั อยูแหง โรค การปรากฏ ของชรามรณะ” ขอน้ีหมายความวา ทุกขณะที่เรามีรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวญิ ญาณ นบั วา เปน ชว งประสบกบั ทกุ ขอ ยตู ลอดเวลา จะเหน็ วา เมอื่ มดี วงตา เราใชดวงตาในการเหน็ ขณะทดี่ วงตามองเหน็ สงิ่ ตางๆ อาจพบ กบั สิ่งทีไ่ มอ ยากเหน็ บาง หรือในขณะใชห ฟู งเสยี ง กอ็ าจไดย นิ เสยี งทไี่ ม ตองการฟง จมูก ลิ้น หรือสัมผัสทางกายกเ็ หมือนกนั แมเ ราจะตอ งการ ไดร บั เฉพาะสง่ิ ทนี่ า ชอบใจ กอ็ าจไดกลนิ่ ลมิ้ รส หรอื กระทบสัมผสั ส่ิงท่ี ตนไมตอ งการ นอกจากนั้น ดวงตาไมไ ดค งทนถาวรอยูต ลอดไป เมอ่ื อายุ ๒๕๗
ÀÒÃÊٵà มากขน้ึ กฝ็ า ฟางขมกุ ขมวั เกดิ โรคตาบา ง เหลา นถ้ี อื วา การเกดิ ขน้ึ ของขนั ธ ๕ เปน ความเกดิ ขนึ้ แหงทกุ ขน่ันเอง ดว ยเหตนุ ้ี พระพทุ ธองคจ งึ ตรสั อปุ าทานขนั ธ ๕ วา เปน ของหนกั ไวในภารสูตรน้วี า กตโม จ ภกิ ขฺ เว ภาโร ? “ปจฺ ปุ าทานกฺขนฺธาตสิ สฺ วจนียํ. กตเม ปจ ? รปู ปุ าทานกฺขนโฺ ธ เวทนปุ าทานกขฺ นโฺ ธ สฺุปาทานกฺขนฺโธ สงฺขารุปาทานกฺขนฺโธ วิฺาณุ- ปาทานกขฺ นฺโธ. อยํ วจุ ฺจติ ภิกขฺ เว ภาโร. ๘ “อะไรเปนของหนัก ควรตอบวาคืออุปาทานขันธ (กองรปู นามอนั เปน ทต่ี ง้ั แหง ความยดึ มนั่ ) ๕ ประการ อปุ าทาน ขันธ ๕ ประการมอี ะไรบาง คือ ๑. รปู ปุ าทานขันธ (อุปาทานขันธคือรูป) ๒. เวทนปุ าทานขนั ธ (อปุ าทานขันธคอื เวทนา) ๓. สญั ปุ าทานขันธ (อปุ าทานขันธคอื สัญญา) ๔. สงั ขารุปาทานขนั ธ (อุปาทานขันธคอื สงั ขาร) ๕. วญิ ญาณปุ าทานขันธ (อุปาทานขันธคือวิญญาณ) อปุ าทานขันธ ๕ น้เี รียกวา ของหนกั ” ๒๕๘
ÀÒÃÊٵà ความหมายของขันธ คําวา ขันธ ในภาษาบาลีแปลวา “กอง” เน่ืองจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ มิไดมีเพียงอยางเดียว กลาวคือ รูปนั้น จาํ แนกออกเปน ๑๑ อยา ง คือ รปู อดีตบา ง อนาคตบาง ปจจุบันบาง รปู ภายในบาง ภายนอกบาง รูปหยาบบาง รูปละเอียดบาง รูปดีบาง รูป ทรามบาง รูปไกลบาง รูปใกลบาง ตามกาลเวลา บุคคล และสถานที่ หมายความวา รูปอดีต อนาคต และปจจุบัน เปนการจําแนกตามกาล เวลา รปู ทเ่ี ปนภายในและภายนอก จําแนกตามสถานทวี่ าเกิดกบั ตวั เรา หรือเกิดกับผูอื่น สวนรูปหยาบ ละเอียด รูปดี รูปทราม รูปใกล หรือ รูปไกล จําแนกตามบุคคล ดวยเหตนุ ้ี จงึ เรียกวา รปู ขนั ธ คอื กองรูป และ กองรปู นไ้ี ดช อื่ วา อปุ าทานขนั ธโ ดยมคี าํ วา อปุ าทาน นาํ หนา เพอ่ื แสดงวา กองรปู ดงั กลา วเปน อารมณข องความยดึ มนั่ นน่ั เอง แมเ วทนาขนั ธเ ปน ตน กม็ ีความหมายเดยี วกันน้ี ความยึดม่นั นม้ี ีไดดวยตัณหาและทฏิ ฐิ กลาวคอื ทกุ ขณะที่รับรู อารมณทางทวาร ๖ ตัณหาทยี่ นิ ดีพอใจขนั ธ ๕ ยอมเกดิ ข้ึน และทฏิ ฐิ ที่เห็นผิดวาเปนตัวตนยอมเกิดข้ึนเชนกัน นอกจากนั้นอวิชชาก็เกิดรวม กบั ตณั หาในทกุ ขณะ โดยอวชิ ชาทาํ หนา ทปี่ ด บงั โทษของตณั หาและทฏิ ฐิ จงึ ทําใหไมเหน็ โทษของกิเลสเหลา น้ี ๒๕๙
ÀÒÃÊٵà อุปาทาน ๔ พระพุทธองคไดทรงจาํ แนกอปุ าทานออกเปน ๔ ประการ ดงั น้ี ประการแรกคือกามุปาทาน ความเพลิดเพลินยินดีในกามคุณ หมายความวา ความเพลดิ เพลนิ ยนิ ดใี นตวั เองและบคุ คลอน่ื ไมว า จะเปน ตัวเรา ของเรา รวมท้ังบคุ คลอ่ืนซ่ึงเราพึงพอใจ กน็ บั วา เปน กามปุ าทาน ทั้งส้นิ ในขณะเกดิ กามุปาทาน เรามักพงึ พอใจยึดติดผกู พนั สงิ่ เหลาน้นั ตองการไดรับอารมณตางๆ ที่ตนชอบใจ คือรูปสวย เสียงเพราะ กล่ิน หอม รสอรอ ย และสมั ผสั ถกู ใจ เราพงึ พอใจกามคณุ ๕ เหลา นตี้ ลอดเวลา จะเห็นไดวา เมื่อเห็นรูปทางดวงตา เราอยากเห็นรูปที่สวยงามท่ีอยาก จะเห็น เมอื่ ไดยนิ เสียง เราก็อยากไดยนิ เสยี งไพเราะท่ถี ูกใจ ไมช อบเห็น รูปที่ไมพอใจ ไมชอบพบกับคนที่เราไมชอบ ไมชอบไดยินเสียงท่ีเปน คํานินทาตาํ หนิ แมการไดรับกลนิ่ รส และสัมผสั กเ็ ชน เดียวกนั เรารสู ึก พอใจส่ิงเหลาน้ันอยูเสมอ เมื่อเปนเชนนั้นก็ถือวาเราพึงพอใจกามคุณ ท้ัง ๕ ซ่งึ ยังไมไ ดร บั หรือเมอ่ื เราไดรบั แลว กต็ องการใหสิ่งเหลา นั้นคงอยู ตลอดไป และอยากไดร บั เพมิ่ มากกวา เดมิ นค้ี อื ลกั ษณะของ กามปุ าทาน เปนความอยากไดส่ิงท่ียังไมไดรับและหวงแหนสิ่งที่ยังมีอยูพรอมกับ ปรารถนาเพ่ิมมากกวาเดิม นอกจากน้ันแลว แมความพอใจรูปฌานกับ ๒๖๐
ÀÒÃÊٵà อรูปฌาน หรือรูปภพกับอรูปภพ อันเปนความตองการจะไปเกิดเปน พรหมทมี่ รี ูปหรอื ไมม รี ปู ก็นบั เขา ในกามปุ าทานน้เี ชนกนั อุปาทานท่ี ๒ คือทิฏุปาทาน ความเห็นผิด ความเห็นผิดนี้มี จาํ แนกไวเ ปน หลายประการ โดยเฉพาะอยางยงิ่ ความเหน็ ผดิ ทีเ่ ขาใจผดิ วา กรรมและผลของกรรมไมม ี นรกสวรรคไ มม ี ชาตนิ ช้ี าตหิ นา ไมม ี ถอื วา เปนความเหน็ ผดิ ที่ใหญหลวงมีโทษมาก นอกจากนั้น บางคนอาจเขา ใจ วา การเห็นรูปที่สวยงามเปนมงคล การไดยินเสียงที่ไพเราะเปนมงคล เปนตนเหลา นี้ ก็ถือวาเปน ความเหน็ ผดิ เชนเดยี วกนั อุปาทานที่ ๓ คือสีลัพพตุปาทาน ความยึดม่ันในศีลพรต นอกจากอรยิ มรรคมอี งค ๘ วา เปน ทางหลดุ พน หมายความวา ในยคุ ราว ๕,๐๐๐ ปกอนซึ่งเปนชวงท่ีศาสนาพราหมณเจริญรุงเรืองท่ีประเทศ อินเดีย ชาวอินเดียสวนใหญนับถือศาสนาพราหมณโดยบูชาพระพรหม เปนหลัก มีการบูชาไฟ สาธยายคาถาเพื่อนอบนอมพระพรหม และ บชู ายัญเพอ่ื นอบนอ มเทพเจาตา งๆ หลงั จากนนั้ เมอ่ื ประมาณ ๒,๕๐๐ ปก อ นทพี่ ระพทุ ธเจา จะตรสั รู ไดมชี าวอนิ เดยี บางกลมุ คิดวา การบูชาไฟหรือการบวงสรวงเทพเจา เปน เรื่องไรสาระ เพราะไมอาจพบเห็นตัวตนของเทพเจาเหลานั้น และให ความสําคัญตอการพัฒนาจิตดวยการเจริญฌาน เมื่อเปนเชนน้ันจึงเกิด การปฏิบตั แิ นวหนึ่งคอื การเจริญฌานน่นั เอง จะเห็นไดวา อาฬารดาบสและอุทกดาบสเปนผูนําจิตวิญญาณ ในสมัยนั้น ทานเหลานั้นปฏิเสธการบูชาเทพเจาและเนนถึงความเพียร ๒๖๑
ÀÒÃÊٵà ในปจจุบันดวยการเจริญฌานโดยทําใหจิตมีสมาธิหยุดนิ่งอยูในอารมณ เดยี วเปน เวลานาน และดาบสทง้ั สองกเ็ ขา ใจวา อรปู ฌานทต่ี นไดบ รรลคุ อื นิพพาน นอกจากวิธพี ฒั นาจิตดวยการเจรญิ ฌาน ยงั มีอีกความเห็นหนง่ึ ซง่ึ แตกตางออกไปตามความเห็นของนคิ รนถน าฏบตุ ร เจา ลัทธินัน้ เขา ใจ วามนุษยไดทําบาปมาหลายภพหลายชาติ จึงตองเวียนตายเวียนเกิดมา ชา นานดว ยกรรมเกา ท่เี คยทาํ ไว ถา เขาชดใชกรรมเกาใหหมดสน้ิ ไป การ เวยี นตายเวยี นเกดิ ยอ มไมเ กดิ ขนึ้ เมอื่ เปน เชน นจ้ี งึ ไดม วี ธิ ปี ฏบิ ตั ทิ เี่ รยี กวา ทกุ รจรยิ า คอื การทรมานตวั เองใหล าํ บากดว ยการอดอาหาร ยนื ขาเดยี ว นอนบนหนาม เปลอื ยกาย เปน ตน วธิ ปี ฏบิ ตั อิ ยา งหนงึ่ เรยี กวา ปญ จาตปะ คือ การเผาตวั เองดว ยความรอ น ๕ อยางโดยกอ กองไฟกองใหญ ๔ กอง ไวรอบตัวแลวยืนในเวลาเที่ยงเพื่อใหแสงอาทิตยเหนือศีรษะแผดเผา ท้ังนี้เพื่อทรมานรางกายของตนเพ่ือชดใชกรรมเกา ในเรอ่ื งนพี้ ระพทุ ธองคไ ดเ คยเสดจ็ เขา ไปหานคิ รนถเ หลา นน้ั แลว ตรัสถามนิครนถเหลาน้ันวา “พวกทานไดปฏิบัติพรตเหลานี้แลวรูหรือ ไมวา กรรมเกาของทานหมดสน้ิ ไปมากนอ ยเพยี งใด” นิครนถเหลา นั้นก็ ตอบวา “หามิได พระพุทธเจาขา ขาพระองคไมอาจรูวากรรมเกาน้ัน หมดสิน้ ไปมากเพยี งใด” พระพทุ ธองคไ ดต รสั ถามอกี วา “พวกทา นรหู รอื ไมว า ตนไดเ คยทาํ กรรมชั่วมากนอยเพียงใดจึงตองมาไดรับกรรมเชนน้ี” นิครนถเหลาน้ัน ทลู ตอบวา “หามไิ ด พระพทุ ธเจา ขา ขา พระองคไ มร วู า ภพกอ นไดท าํ กรรม ๒๖๒
ÀÒÃÊٵà ชว่ั มามากนอ ยเพยี งใด” ในขณะนน้ั พระพทุ ธองคต รสั สรปุ วา “พวกทา น ไมรูวาตนทํากรรมช่ัวมากนอยเพียงใด อีกท้ังไมรูวากรรมเกาลดนอยไป มากนอยเพยี งใดดวยวิธีปฏิบัตเิ ชนน้ี ดงั นัน้ การทรมานรางกายตนตาม วธิ ีนจ้ี ึงหาประโยชนมิได”๙ วธิ กี ารปฏบิ ตั ทิ เี่ รยี กวา อตั ตกลิ มถานโุ ยคนก้ี ค็ อื สลี พั พตตปุ าทาน น่ันเอง เปนการยึดม่ันศีลพรตนอกจากอริยมรรคมีองค ๘ วาเปนทาง หลดุ พน นอกจากการทรมานตนดว ยวธิ ดี งั กลา ว ในสมยั พทุ ธกาลยงั มวี ธิ ี ปฏิบตั ิแปลกๆ จาํ นวนมาก เชน การปฏิบัติแบบสุนขั เรียกวา กุกกุรวตั ร คือ เดนิ ๔ ขา เปลอื ยกาย เหาหอนเหมือนสุนขั และกนิ อาหารเหมอื น สุนัข บางวิธีเรียกวาโควัตร คือ วิธีท่ีเหมือนวัวโดยกินหญาเหมือนวัว ทําเหมือนวัวทุกอยาง และมีวิธีปฏิบัติเหมือนแพะ แกะ และคางคาว อีกดวย บุคคลเหลานั้นเขาใจวาการปฏิบัติเชนน้ีเปนหนทางบรรลุธรรม เปน พระอรหนั ต ความเขาใจเชนนีจ้ ัดเปน สลี ัพพตปุ าทาน อปุ าทานที่ ๔ คอื อตั ตวาทปุ าทาน ความยดึ มน่ั ในตวั ตน นัน่ ก็ คอื ตามความเชอ่ื ในศาสนาพราหมณม กั ยดึ มนั่ วา คนทว่ั ไปมวี ญิ ญาณหรอื อาตมนั สงิ อยใู นรา งกาย หรอื แอบแฝงอยใู นรา งกาย เมอ่ื สตั วโ ลกเสยี ชวี ติ แลว อาตมันหรือวิญญาณน้ีก็จะลองลอยเคล่ือนยายจากรางกายนี้ออก ไปสูรางกายอืน่ โดยรางกายเดิมพินาศไปได แตอาตมนั ไมพ ินาศขาดสูญ ความเห็นเชน นจ้ี ึงเรยี กอัตตวาทุปาทาน ตามความเห็นทางศาสนาพราหมณ อาตมันของคนทั่วไปเรียก วา ชีวาตมนั คืออาตมนั ท่มี ชี ีวิตอยู หมายความวา แมรา งกายพนิ าศแลว ๒๖๓
ÀÒÃÊٵà อาตมันก็ยังมีชีวิตเร่ือยตอไปไมสิ้นสุด ตอเม่ือผานการบูชายัญหรือวา บวงสรวงเทพเจาหรือบูชาไฟเปนตน เมื่อเสียชีวิตแลวชีวาตมันน้ีจะ ไปรวมเปน หน่งึ กบั อาตมันของพรหมซงึ่ เรยี กวา ปรมาตมัน คือ อาตมนั ที่ ยง่ิ ใหญ เมอ่ื เปน เชน นน้ั การเวียนตายเวียนเกิดจึงส้ินสดุ ลงได ความเช่อื เชนนี้เปน การยึดมนั่ ในตัวตนคือวิญญาณหรืออาตมนั น่นั เอง ชาวพทุ ธทว่ั ไปมกั เขา ใจเรอ่ื งรปู นามวา รปู นามนเ้ี ปน ปรมตั ถ คอื มีอยูจริงไมเปล่ียนแปลงตามกาลเวลา บุคคล หรือสถานที่ ความเขาใจ ของคนที่เรียนรูพระอภิธรรม จิตมี ๘๙ ดวง เจตสิกมี ๕๒ ดวง รูปมี ๒๘ อยาง ถือวาเปนความเขาใจตามสัญญาท่ีจําไดหมายรู ไมใชความ เขา ใจอยางถองแทจากประสบการณข องตน ผทู ป่ี ฏบิ ตั ธิ รรมจนกระทงั่ รเู หน็ รปู นามจากประสบการณข องตน มักรูสึกวา ในขณะเดินจงกรม ขาของเราหายไป มีเพียงอะไรบางอยาง เคล่ือนไปเคลื่อนมาโดยไมรูสึกวาเปนขาเคล่ือนท่ีอยู ความรูสึกน้ีถือวา เปนการกําจัดสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดวาเปนตัวตน ในคัมภีรอรรถ- กถา๑๐กลาววา นามรูปปริจเฉทญาณ คือ ปญญากําหนดแยกรูปนาม ยอมกําจัดสักกายทิฏฐิไดช่ัวขณะ เหมือนเปนหนวยกิตท่ีเราสะสมไวใน รปู นามนนั่ เอง เมอ่ื เรากาํ จดั สกั กายทฏิ ฐชิ ว่ั ขณะเชน นี้ ยอ มไมร สู กึ วา เปน ตวั ตน เรา ของเรา บรุ ษุ หรอื สตรี หนวยกติ แหงการปฏบิ ัตวิ ิปส สนา เปรยี บไดก บั เมลด็ พนั ธทุ จี่ ะผลดิ อกออกผลเปน มรรคผลนพิ พานตอ ไป ในที่สุดก็จะบรรลุถึงภาวะของพระโสดาบันที่กําจัดสักกายทิฏฐิไดโดย เด็ดขาด ๒๖๔
ÀÒÃÊٵà บุคคลผูไมรูเห็นรูปนามจากประสบการณของตน ในพระสูตร ตา งๆ เรียกวา อนั ธปถุ ชุ น คอื ปถุ ชุ นคนบอด หมายถึง ปุถุชนทเ่ี หมอื น คนตาบอด สว นปถุ ชุ นท่ีรเู หน็ รูปนามตามความเปน จริงช่ือวา กัลยาณ- ปถุ ุชน คอื ปถุ ชุ นคนดี การเจริญวิปสสนาน้ีสงผลใหผูปฏิบัติหย่ังเห็นรูปนามตามความ เปน จรงิ สามารถพฒั นาปญ ญาตามลาํ ดบั โสฬสญาณ อนั ธปถุ ชุ นเปรยี บ ไดก บั ตอไมทีแ่ หง ตายอยใู นไรนา๑๑ ไมส ามารถทีจ่ ะเจริญเตบิ โตผลดิ อก ออกผลเปนมรรคผลนพิ พานในโอกาสตอ ไป ๒๖๕
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 507
Pages: