ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà รูปในสมยั ของพระพทุ ธเจา ๗ พระองค รวมท้ังพระพทุ ธเจา พระองคน้ี วันหน่ึง พระพุทธองคทรงประสงคจะทําใหทานสังเวชใจวาตนยังมิได บรรลุฌานหรือมรรคผล จึงเรียกทานวา ตุจฺฉโปฏลิ (พระโปฏฐิละผู วางเปลาจากแกนสาร) พอทานไดยินดังนั้นจึงสลดใจ แลวออกจากวัด เดนิ ทางไป ๑๒๐ โยชนเพ่ือปฏบิ ัตธิ รรม ทานไดพ บวดั ปา มภี กิ ษุ ๓๐ รปู ซึ่งเปนพระอรหันตท ง้ั หมด จงึ เขา ไปพาํ นกั และขอกรรมฐาน ภิกษุเหลา นั้นทราบวาทานยังมีมานะเกี่ยวกับปริยัติอยู จึงลดมานะของทานดวย การใหทานไปขอกรรมฐานกับสามเณรนอยอายุ ๗ ขวบ เมื่อทานขอ กรรมฐานแลวไดลดมานะของตนลง พระพุทธองคจึงเปลงโอภาสแลว แสดงธรรมแกทาน ทาํ ใหทา นไดบรรลธุ รรมเปนพระอรหนั ต บางคนอา งเร่ืองนแ้ี ลวตาํ หนกิ ารศึกษาปรยิ ตั ิวาไมสาํ คญั เพราะ ขนาดภกิ ษผุ ทู รงพระไตรปฎ กกย็ งั ถกู พระพทุ ธเจา ตาํ หนวิ า เปน ผวู า งเปลา จากแกน สาร ถาการศึกษาปรยิ ัตไิ มส าํ คญั จริงอยา งนน้ั เหตุใดพระพทุ ธ- องคจ งึ อนญุ าตใหท า นศกึ ษาเลา เรยี นจนกระทง่ั ทรงจาํ พระไตรปฎ ก และ สอนธรรมแกภิกษุ ๕๐๐ รูปเปนเวลานาน พระพุทธองคควรจะหาม ไมใหทานศึกษาปริยัติตั้งแตตน ดังน้ัน จึงสรุปไดวา ทานพระโปฏฐิละ คงจะปฏิบัติธรรมไปพรอมกับการสอนพระไตรปฎก แตบารมีของทาน ยังไมแกกลา พระพุทธองคทรงรอคอยเวลาที่เหมาะสมจนกระท่ังบารมี ของทานแกกลาแลว จึงตรัสเรียกทานเชนน้ันเพื่อใหทานสังเวชใจแลว มงุ มน่ั ปฏบิ ตั ธิ รรมอยา งเตม็ ที่ ทีจ่ รงิ แลว สง่ิ ทขี่ ดั ขวางไมใ หท า นบรรลธุ รรม ก็คือมานะที่ถือตนวาเราเกงกวาคนอื่นในดานปริยัติ พอทานถอนมานะ ไดแ ลว พระพทุ ธองคจ ึงทรงแสดงธรรมทาํ ใหท า นบรรลุธรรมได ๓๖๖
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà เร่ืองทานพระโปฏฐิละน้ีเปนตัวอยางของผูที่ไดปฏิบัติธรรมเปน เวลานาน แตยังไมอาจบรรลุธรรมไดเพราะมานะเปนเครื่องขัดขวาง นอกจากนัน้ ในปญ จวัคคยี ๕ รูป ทา นพระอญั ญาโกณฑัญญะเพยี งรูป เดยี วสามารถบรรลุธรรมในขณะฟงได สว นปญ จวัคคียทเ่ี หลือ ๔ รปู ได บรรลุธรรมดว ยการปฏิบตั ิ กลาวคอื ทา นวัปปะไดด วงตาเหน็ ธรรมในวนั แรม ๑ ค่ํา เดือน ๘ ทานภัททยิ ะไดใ นวนั แรม ๒ ค่ํา ทา นมหานามะได ในวันแรม ๓ คา่ํ และทา นอัสสชไิ ดใ นวันแรม ๔ คํา่ โดยพระผูมีพระภาค ประทบั อยใู นพระวหิ าร มไิ ดเ สดจ็ ออกบณิ ฑบาตเพอื่ คอยแนะนาํ ภกิ ษทุ งั้ ๔ หากมปี ญหาเกิดข้นึ ในขณะปฏิบัติ และในวนั แรม ๕ คํา่ เดือนอาสาฬหะ พระผูมีพระภาคไดทรงแสดงอนตั ตลักขณสตู รแกภ ิกษปุ ญจวคั คยี ๒ ๔ สรุปความในพระสูตรน้ีวา การบรรลุธรรมมีไดดวยเหตุ ๕ ประการ คอื การฟง ธรรม การสอนธรรม การสาธยายธรรม การพจิ ารณา ธรรม และการปฏบิ ตั ธิ รรม ประการสดุ ทา ยคอื การปฏบิ ตั ธิ รรมนกี้ ค็ อื การ เจรญิ นมิ ติ ทก่ี อ ใหเ กดิ สมาธิ หมายความวา ผทู เ่ี จรญิ วปิ ส สนาภาวนาตอ ง รับรรู ูปนามปจ จบุ นั ที่เรยี กวา สังขารนิมิต เพื่อกอใหเกดิ วิปสสนาขณกิ - สมาธิในขณะบรรลุวิปสสนาญาณและอัปปนาสมาธิในขณะบรรลุมรรค สว นผทู เ่ี จรญิ สมถภาวนาตอ งรบั รอู ารมณบ ญั ญตั เิ พอ่ื กอ ใหเ กดิ บรกิ รรม- สมาธิ อปุ จารสมาธิ และอปั ปนาสมาธติ ามลาํ ดบั อยางไรก็ตาม ในคัมภีรอรรถกถาของวิมุตตายตนสูตรกลาววา นมิ ติ ทก่ี อ ใหเ กดิ สมาธใิ นเรอ่ื งนี้ คอื อารมณ ๓๘ อยา งของสมถกรรมฐาน ดังขอ ความวา ๓๖๗
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà สมาธินิมิตฺตนฺติ อฏตึสาย อารมฺมเณสุ อฺตโร สมาธิเยว สมาธินมิ ติ ตฺ ํ.๒๕ “คําวา สมาธินิมิตฺตํ (นิมิตของสมาธิ) หมายความวา นิมติ ของสมาธิ ชอ่ื วา สมาธอิ ยา งหนงึ่ ในอารมณ ๓๘” อารมณ ๓๘ ก็คอื กรรมฐาน ๓๘ ในกรรมฐาน ๔๐ คอื กสิณ ๘ อสภุ ะ ๑๐ อนสุ สติ ๑๐ พรหมวหิ าร ๔ อรปู ฌาน ๔ อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา ๑ จตุธาตุววัตถาน ๑ โดยรวมอาโลกกสณิ (กสณิ แสง) เขา ในโอทาตกสิณ (กสณิ สขี าว) และรวมอากาสกสณิ (กสณิ ชอ งวา ง) เขา ในอนนั ตากาสกสณิ (กสิณอากาศหาขอบเขตมิได) อันเปนอารมณของอากาสานัญจายตน- ฌาน ดังขอ ความวา กสณิ า ทส อสุภา ทสานุสสฺ ตโิ ย จตตฺ าโร พฺรหฺมวิหารา จตฺตาโร อารุปฺปา จตุธาตุววตฺถานํ อาหาเร ปฏิกูลสฺาติ อิเมสุ จตฺตาลีสกมฺมฏาเนสุ ปาฬยํ อนาคตตฺตา อาโลกา- กาสกสณิ ทวฺ ยํ เปตฺวา อวเสสานิ คเหตวฺ า วตุ ฺตํ.๒๖ “ในกรรมฐาน ๔๐ เหลานี้ คอื กสณิ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวหิ าร ๔ อรูปฌาน ๔ จตธุ าตวุ วัตถาน ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ ทานกลาวไวโดยถือเอากรรมฐาน ที่เหลือยกเวนอาโลกกสิณและอากาสกสิณ เพราะไมปรากฏ ในพระบาล”ี ๓๖๘
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà กิ จฺ าป ปาฬยํ ปถวกี สณิ าทีนิ รูปฌานารมฺมณานิ อฏเ ว กสิณานิ สรูปโต อาคตานิ, โอทาตกสิเณ ปน อาโลกกสิณํ, อากาสกสิเณ จ ปรจิ ฺฉนิ ฺนากาสกสณิ ํ อนฺโตคธํ กตฺวา เทสนา กตาติ อธิปฺปาเยนาห “อิติ กสิณานิ ทสพโล, ทส ยานิ อโวจาติ.๒๗ “ทา นกลา ววา อติ ิ กสณิ านิ ทสพโล, ทส ยานิ อโวจ (พระ ทศพลผูทรงเห็นธรรมทั้งปวงตรัสกสิณ ๑๐) เปนตนโดยมุง หมายวา แมกสิณ ๘ อยางมปี ฐวีกสณิ เปน ตน อนั อารมณข อง รูปฌานปรากฏโดยตรงในพระบาลี แตพระพุทธองคทรงทํา เทศนาโดยรวมอาโลกกสิณเขาในโอทาตกสิณ และรวมปริจ- ฉินนากาสกสิณ (กสิณชองวางท่ีถูกกําหนด) เขาในอากาส- กสิณ” ตามคําอธิบายในคมั ภีรอรรถกถาขา งตน การเจรญิ นิมิตทีก่ อ ให เกิดสมาธิระบุถึงการปฏิบัติสมถภาวนา แมพระพุทธองคจะมิไดระบุถึง การเจริญสตปิ ฏ ฐานไวโ ดยตรงในหวั ขอ ๕ อยางของพระสูตรนี้ ก็จดั วา ไดตรสั ไวโ ดยออมดว ยขอความขึน้ ตน ของพระสตู รนวี้ า ๓๖๙
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà ปฺจิมานิ ภิกฺขเว วิมุตฺตายตนานิ, ยตฺถ ภิกฺขุโน อปฺ- ปมตฺตสฺส อาตาปโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโต อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อปริกฺขีณา วา อาสวา ปริกฺขยํ คจฺฉนฺติ, อนนุปฺปตฺตํ วา อนตุ ฺตรํ โยคกเฺ ขมํ อนุปาปณุ าต.ิ ๒๘ “ภิกษุทั้งหลาย เหตุแหงวิมุตติ ๕ ประการนี้ ซ่ึงเปน เหตุใหจิตของภิกษุผูไมประมาท มีความเพียร มีจิตมุงมั่นอยู ที่ยังไมหลดุ พน ยอมหลุดพน อาสวะทีย่ ังไมสิน้ ไป ยอมถึง ความสิ้นไป หรือเธอยอมบรรลุธรรมอันปลอดจากเครื่องผูก อันยอดเย่ียมท่ยี งั ไมไดบรรล”ุ จะเห็นไดว า คําวา อปฺปมตตฺ สสฺ อาตาปโน ปหติ ตตฺ สฺส วหิ รโต (ผูไมประมาท มคี วามเพียร มจี ติ มงุ มั่นอย)ู หมายความถงึ การเจรญิ สต-ิ ปฏฐาน ดังนั้น จึงสรุปความไดวา พระพุทธองคตรัสถึงการเจริญ สตปิ ฏ ฐานดว ยพระดาํ รสั ขา งตน ทงั้ นเี้ พราะสตปิ ฏ ฐานเปน ทางสายเดยี ว แหง การบรรลุธรรมอยางแทจ รงิ เน่ืองจากการเจริญสตทิ ร่ี ะลึกรูรปู นาม ในปจจุบันขณะทําใหผูปฏิบัติหย่ังเห็นรูปนามไตรลักษณตามความเปน จรงิ ผูที่มไิ ดเ จรญิ สติปฏฐานยอมรับรสู มมตุ บิ ญั ญัติเทานั้น ไมอ าจหยง่ั รู รูปนามดังกลาวจนกระทั่งนําไปสูการดับของรูปนามคือพระนิพพานได ดังขอ ความวา ๓๗๐
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสก- ปรเิ ทวานํ สมติกฺกมาย ทุกขฺ โทมนสสฺ านํ อตถฺ งคฺ มาย ายสสฺ อธคิ มาย นิพพฺ านสสฺ สจฺฉกิ ริ ยิ าย, ยทิทํ จตฺตาโร สตปิ ฏานา.๒๙ “ภิกษุท้ังหลาย หนทางน้ีเปนทางสายเดียวท่ีทําให เหลา สตั วบ รสิ ทุ ธ์ิ ลว งพน ความโศกและความคราํ่ ครวญได ดบั ความทุกขและโทมนัสได บรรลุอริยมรรค และเห็นแจง พระนพิ พานได หนทางนค้ี ือสตปิ ฏ ฐาน ๔ ประการ” มขี อสงสัยวา อรยิ มรรคมีองค ๘ ในอริยสัจ ๔ ช่อื วา มรรคสจั คือ ทางแหงความหลุดพน แตการตรัสวาสติปฏฐาน ๔ เปนเพียงสาย เดยี วจะถอื วา ขดั แยง กบั มรรคสจั หรอื ไม ศาสนาพทุ ธนกิ ายมหายานกลา ว วา ขัดแยงกนั แลว แปล เอกายโน วา “ทางสูอารมณเดียว” คือ ทางทก่ี อ ใหเ กิดสมาธินั่นเอง ความเขาใจเชนน้ถี อื วา ไมถกู ตอ ง เพราะถาพิจารณา ขอ ความจากพระสตู รจาํ นวนมากแลว จะพบวา พระสตู รทกี่ ลา วถงึ อรยิ สจั ๔ อยา งครบถว น มจี าํ นวนนอ ย แตพ ระสตู รทต่ี รสั ถงึ อรยิ สจั ๔ เพยี งบาง ขอ หรอื อรยิ มรรคมีองค ๘ เพยี งบางขอ มจี ํานวนมากกวา ท้ังน้เี พราะ พระสตู รเปน ขอ ความทตี่ รสั ตามอธั ยาศยั ของผฟู ง วา ควรรบั ฟง หลกั ธรรม ขอไหนจึงจะเขาใจและไดรับประโยชน อยางไรก็ตาม แมพระพุทธองค จะตรสั อรยิ สจั เพยี งขอ เดยี ว กห็ มายรวมเอาอรยิ สจั ขอ อนื่ ไดโ ดยออ ม หรอื แมจะตรัสอริยมรรคเพียงขอเดียวในอริยมรรคมีองค ๘ ก็หมายรวมถึง ขอทเี่ หลือโดยออมอีกดวย ๓๗๑
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà แมในประโยคตนของมหาสติปฏฐานสูตรจะกลาวถึงสติเพียง อยา งเดยี ว แตในขอ ความตอมาไดกลา วถงึ อรยิ มรรคมีองค ๘ ขอ อ่นื อีก ดวย คอื กลาวถงึ วิริยะดว ยคําวา อาตาป (มีความเพียรเผากิเลส) กลา ว ถงึ ปญ ญาดวยคําวา สมฺปชาโน (รจู รงิ ) และกลา วถงึ สติดว ยคําวา สติมา (มสี ต)ิ ดังขอความวา อธิ ภกิ ขฺ เว ภิกขฺ ุ กาเย กายานปุ สฺสี วิหรติ อาตาป สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ, เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ อาตาป สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ, จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ อาตาป สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌา- โทมนสสฺ ,ํ ธมเฺ มสุ ธมฺมานุปสสฺ ี วิหรติ อาตาป สมปฺ ชาโน สตมิ า วเิ นยฺย โลเก อภชิ ฺฌาโทมนสสฺ ํ.๓๐ “ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ :- ๑. ตามรูกองรูปวาเปนกองรูปอยู เพียรเผากิเลส รูจริง มีสติ กาํ จดั อภชิ ฌาและโทมนัสในโลก (อปุ าทานขนั ธ) ได ๒. ตามรูเวทนาวาเปนเวทนาอยู เพียรเผากิเลส รูจริง มีสติ กําจดั อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกได ๓. ตามรูจิตวาเปนจิตอยู เพียรเผากิเลส รูจริง มีสติ กําจัด อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกได ๔. ตามรสู ภาวธรรมวา เปนสภาวธรรมอยู เพยี รเผากเิ ลส รจู ริง มีสติ กําจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได” ๓๗๒
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà สรปุ ความวา ในมหาสตปิ ฏ ฐานสตู รไดก ลา วถงึ วริ ยิ ะ ปญ ญา และ สติรวม ๓ ประการ จดั วา กลา วถงึ อริยมรรค ๓ คือ อาตาป = สมั มา- วายามะ, สมปฺ ชาโน = สัมมาทิฏฐ,ิ สติมา = สัมมาสติ สว นสัมมาสมาธิ ถือวากลา วไวโดยออม เพราะสมาธเิ ปนผลของสัมมาสตแิ ละเปนเหตกุ อ ใหเ กดิ สมั มาทฏิ ฐิ แมส มั มาสงั กปั ปะกม็ กี ลา วไวโ ดยออ มเพราะเปน เครอื่ ง อปุ ถมั ภสมั มาทิฏฐิดวยการนอ มจิตสูร ปู นามปจจุบนั ใหท นั ปจจุบนั ขณะ การถือเอาขอความท่ีมิไดกลาวไวโดยตรงน้ีสอดคลองกับเนตติ- ปกรณ คอื คมั ภรี แ สดงบรรทดั ฐานในการตคี วามพระธรรมวนิ ยั ซง่ึ ภาษติ ไวโ ดยทา นพระมหากัจจายนะผเู ลศิ ในการขยายความยอ ใหพ ิสดาร ตาม หลกั เนตตปิ กรณเ รยี กวธิ นี วี้ า ลกั ขณหาระ คอื แนวทางในการแสดงธรรม อน่ื ทมี่ ไิ ดก ลา วไวโ ดยตรงซง่ึ มลี กั ษณะเสมอกนั โดย การดาํ เนนิ ไปรว มกนั (สหจารติ า) การมหี นา ทเ่ี สมอกนั (สหกจิ จตา) การมเี หตเุ สมอกนั ( สมาน- เหตุตา) การมีผลเสมอกัน (สมานผลตา) หรือการมีอารมณเสมอกัน (สมานารมั มณตา) ในทนี่ ถ้ี อื วา รวมเอาสมั มาสมาธดิ ว ยสมั มาสติ และรวม เอาสมั มาสังกปั ปะดว ยสมั มาทฏิ ฐิ เพราะองคมรรคเหลานี้มีหนาท่ีเสมอ กันคือการกําจดั กเิ ลสน่นั เอง แมสมั มาวาจาเปนตน ๓ ประการกถ็ กู รวม ไวในที่น้ี เพราะมีหนา ท่กี าํ จดั กเิ ลสเสมอกันตามทกี่ ลา วมาน้ี อรยิ มรรค ๕ คอื สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวายามะ สมั มา- สติ และสมั มาสมาธิ ช่อื วา การกมรรค คอื องคมรรคท่ีทําหนาทปี่ ฏบิ ตั ิ ยอ มเกิดขนึ้ ทกุ ขณะในเวลาเจรญิ วิปสสนากรรมฐาน๓๑ สวนองคมรรค ๓ คอื สัมมาวาจา สัมมากมั มันตะ และสัมมาอาชีวะ ชื่อวา ปุพพภาคมรรค ๓๗๓
ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà คือ องคมรรคท่ีเปนสวนเบ้ืองตนของการปฏิบัติ๓๒ เพราะผูปฏิบัติตอง สมาทานศีลกอนจึงจะเจริญภาวนาตอไป องคมรรคท้ัง ๓ อยางที่เปน โลกิยะตองเกิดทีละขณะ เพราะมีอารมณเปนปจจุบันเทาน้ัน จะเกิด พรอมกนั ไมไ ด แตเ มอ่ื ไดบ รรลุธรรมเปน พระโสดาบนั กจ็ ะเกิดองคมรรค ทง้ั ๓ เหลาน้ีพรอ มกนั ในขณะเกิดมรรคจติ ดว ยเหตุทก่ี ลาวมาน้ีจงึ ถอื วา พระพทุ ธองคต รสั วิริยะ ปญญา และสติไวโ ดยตรงในมหาสติปฏ ฐานสตู ร อกี ทง้ั ตรัสอริยมรรคอีก ๕ อยา งทเ่ี หลอื ไวโ ดยออม ขอสรุปบทความเร่อื งนด้ี วยขอความในคัมภรี ม ลิ ินทปญ หา๓๓วา ปริยายภาสติ ํ อตถฺ ิ อตฺถํ สนธฺ าย ภาสติ ํ สภาวภาสิตํ อตถฺ ิ ธมฺมราชสฺส สาสเน. “ ในศาสนาของพระธรรมราชา มพี ระดาํ รสั ทตี่ รสั ไวโดยปรยิ าย บาง โดยเจาะจงบา ง โดยสภาวะบาง” เตสํ อตถฺ ํ อนฺ าย เมณฺฑกํ ชนิ เทสิตํ อนาคตมหฺ ิ อทธฺ าเน วิคฺคโห ตตฺถ เหสฺสติ. “อนชุ นในอนาคตกาลไมเ ขา ใจความหมายทพ่ี ระชนิ เจา ทรงแสดง ไว จกั มีการขัดแยง กนั ในพระดาํ รัสเหลา น้นั ” พระคันธสาราภิวงศ ๓๗๔
เชิงอรรถ : เหมวตสูตร ๑ เทวฺ เม ภิกฺขเว ธมมฺ า ปพพฺ ชิเตน น เสวติ พพฺ า. (สํ.ม. ๑๙/๑๐๘๑/ ๓๖๖, วิ.ม. ๔/๑๓/๑๓) ๒ อฏ ารส พรฺ หมฺ โกฏโิ ย อปรมิ าณา จ เทวตาโย. (มลิ นิ ทฺ . ๓๕๖-๕๗) ๓ ยทา ภควา อฺ าสิ ยสํ กุลปุตฺตํ กลฺลจติ ตฺ ํ มุทุจติ ฺตํ วนิ วี รณจิตฺตํ อุทคฺคจิตฺตํ ปสนฺนจิตฺตํ, อถ ยา พุทฺธานํ สามุกฺกํสิกา ธมฺมเทสนา, ตํ ปกาเสสิ ทุกขฺ ํ สมุทยํ นิโรธํ มคฺคํ. เสยฺยถาป นาม สุทฺธํ วตถฺ ํ อปคตกาฬกํ สมฺมเทว รชนํ ปฏคิ ฺคณฺเหยฺย, เอวเมว ยสสฺส กลุ ปตุ ฺตสสฺ ตสมฺ ึเยวาสเน วิรชํ วีตมลํ ธมมฺ จกฺขุ อทุ ปาทิ “ยงฺกิ ฺ จิ สมทุ ยธมมฺ ํ, สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺมนฺต.ิ (ว.ิ ม. ๔/๒๖/๒๑) “เม่ือทรงทราบวา ยสกุลบุตรมีจิตควร[แกภาวนา] ออนโยน ปราศจากนวิ รณ เบกิ บาน ผอ งใส จงึ ทรงประกาศสามกุ กงั สกิ ธรรมเทศนา ของพระพทุ ธเจา ทัง้ หลาย คือ ทกุ ข สมทุ ัย นิโรธ มรรค ธรรมจักษอุ ัน ปราศจากธุลีปราศจากมลทินไดเกิดแกยสกุลบุตร ณ อาสนะน้ันวา ‘สิ่งใดสงิ่ หนง่ึ มีความเกิดขึ้นเปนธรรมดา ส่งิ ทง้ั ปวงน้ันมคี วามดบั ไปเปน ธรรมดา’ เปรียบเหมือนผาขาวสะอาดปราศจากมลทิน ควรรับนํ้ายอม ไดเปน อยางดี” ๓๗๕
àªÔ§ÍÃö ๔ โส หิ ธมฺมํ สุณนฺโต เหมวตํ อนุสฺสริตฺวา “อาคโต นุ โข เม สหายโก โนติ ปรสิ ํ โอโลเกตฺวา ตํ อปสสฺ นฺโต “วฺ จิโต เม สหาโย, โย เอวํ วิจิตฺรปฏิภานํ ภควโต ธมมฺ เทสนํ น สุณาตตี ิ วิกฺขติ ฺตจิตโฺ ต อโหส.ิ (ข.ุ ส.ุ อ. ๑/๑๕๓/๒๒๗) “เทพสาตาคิระนั้นฟงธรรมอยูไดหวนระลึกถึงเทพเหมวตะ แลดูบริษัทวา สหายของเรามาแลว หรือไม เมือ่ ไมเ ห็นเขาจงึ มีจติ ฟงุ ซาน วา สหายของเราผไู มไ ดฟ ง ธรรมเทศนาของพระผมู พี ระภาคอนั มปี ฏภิ าณ วจิ ติ รอยางน้ี คงถูกกามคณุ ลวงใหล ุมหลง” ๖ ทตุ ยิ าจรโิ ย มชฌฺ มิ เทเส สาตปพพฺ เต สาตาคโิ รติ นาเมน. (ข.ุ ส.ุ อ. ๑/๑๕๓/๒๒๖) “คนที่สองเกิดเปนเทพยักษช่ือสาตาคิระ ณ สาตบรรพตใน มชั ฌิมประเทศ (ภาคกลางของประเทศอินเดีย)” ๗ เอตทคฺคํ ภิกฺขเว มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ กลฺยาณวากฺกรณานํ ยทิทํ โสโณ กฏุ ิกณโฺ ณ. (อง.ฺ เอกก. ๒๐/๒๐๖/๒๔) “โสณกุฏิกัณณะเลิศกวาภิกษุสาวกท้ังหลายของเรา ผูกลาว ถอยคําไพเราะ” ๘ เตน โข ปน สมเยน อาสาฬฺหีนกฺขตฺตํ โฆสิตํ อโหสิ. อถ สมนตฺ โต อลงฺกตปฏิยตฺเต เทวนคเร สิรึ ปจจฺ นโุ ภนฺตี วิย ราชคเห กาฬ นาม กุรรฆริกา อุปาสิกา ปาสาทมารยุ หฺ สีหปฺ ชรํ วิวรติ วฺ า คพฺภปรสิ สฺ มํ วิโนเทนฺตี สวาตปฺปเทเส อุตุคฺคหณตฺถํ ติ า เตสํ ยกฺขเสนาปตีนํ ตํ พุทฺธคุณปฏิสํยุตฺตํ กถํ อาทิมชฺฌปริโยสานโต อสฺโสสิ. สุตฺวา จ “เอวํ ววิ ิธคุณสมนนฺ าคตา พุทธฺ าติ พทุ ธฺ ารมฺมณํ ปตึ อุปฺปาเทตฺวา ตาย นวี รณานิ ๓๗๖
àªÔ§ÍÃö วิกฺขมฺเภตฺวา ตตฺเถว ติ า โสตาปตฺติผเล ปติฏาสิ. ตโต เอว ภควตา “เอตทคฺคํ ภกิ ฺขเว มม สาวิกานํ อปุ าสิกานํ อนสุ สฺ วปปฺ สนนฺ านํ ยทิทํ กาฬ อุปาสิกา กุรรฆรกิ าติ เอตทคเฺ ค ปต า. (ขุ.ส.ุ อ. ๑/๑๖๘/๒๓๘) “ในสมยั นนั้ นักษตั รประจําเดอื นอาสาฬหะไดถ ูกประกาศแลว คร้ังนั้น อุบาสิกาผูมาจากเมืองกุรรฆระชื่อกาฬ ขึ้นสูปราสาทในกรุง ราชคฤหท่ีประดับตกแตงรอบเมือง ดุจเสวยสิริในสวรรค เปดหนาตาง บรรเทาการแพครรภยืนอยูในสถานที่รับลมเพื่อตากอากาศ ไดฟง คําสนทนาท่ีประกอบดวยพระพุทธคุณน้ันของเสนาบดียักษเหลาน้ัน ตั้งแตเ บ้ืองตน ทามกลาง และท่ีสดุ ครนั้ ฟงแลว ไดเกดิ ปติมีพระพุทธคณุ เปน อารมณว า พระพทุ ธเจา ทง้ั หลายทรงถงึ พรอ มดว ยคณุ ธรรมนานปั การ อยา งนี้ ขมนิวรณด วยปติน้นั ดํารงอยูในโสดาปต ตผิ ลเม่ือยืนอยูในสถาน ที่น้นั ” ๙ เอตทคฺคํ ภิกขฺ เว มม สาวกิ านํ อปุ าสกิ านํ อนุสสฺ วปฺปสนฺนานํ, ยททิ ํ กาลี อุปาสกิ า กุรุรฆรกิ า. (องฺ.เอกก. ๑/๒๖๗/๒๗) ๑๐ ขุ.สุ. ๒๕/๑๕๓/๓๖๓ ๑๑ ขุ.สุ. ๒๕/๑๕๓/๓๖๓ ๑๒ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๑๕๔/๓๖๓ ๑๓ ข.ุ ป. ๓๑/๑๑๗/๑๓๐ ๑๔ ขุ.ป. ๓๑/๑๑๗/๑๒๙ ๑๕ ข.ุ ป. ๓๑/๑๑๗/๑๒๙ ๑๖ ขุ.ป. ๓๑/๑๑๗/๑๒๙ ๑๗ ข.ุ ป. ๓๑/๑๑๗/๑๒๙ ๓๗๗
àªÔ§ÍÃö ๑๘ ข.ุ ป. ๓๑/๑๑๗/๑๒๙ ๑๙ ตสสฺ ตฺโถ:- มหาราช ปพุ เฺ พ พาราณสยิ ํ ทุทีโป นาม ราชา ทานํ ทตวฺ า มรณจกเฺ กน ฉนิ โฺ น กามาวจเรเยว นพิ พฺ ตตฺ .ิ ตถา สาคราทโย อฏ าติ เอเต จ อฺ เ จ พหู ราชาโน เจว ขตฺติยา พฺราหฺมณา จ ปุถุยฺ ํ ยชติ ฺวาน อเนกปปฺ การํ ทานํ ทตฺวา กามาวจรภมู สิ งฺขาตํ เปตตตฺ ํ นาต-ิ วตฺตึสูติ อตโฺ ถ. กามาวจรเทวตา หิ รปู าทิโน กเิ ลสวตฺถุสฺส การณา ปรํ ปจจฺ าสีสนโต กปณตาย เปตาติ วจุ จฺ นตฺ .ิ วุตตฺ มฺป เจตํ:- เย อทุติยา น รมนตฺ ิ เอกิกา วิเวกชํ เย น ลภนฺติ ปต ึ กิ ฺ จาป เต อนิ ทฺ สมานโภคา เต เว ปราธีนสุขา วรากาต.ิ (ขุ.ชา.อ. ๙/๔๓๒/๑๕๖-๕๗) “คาถานัน้ มเี นือ้ ความวา ดกู อนมหาราช พระราชาพระนามวา ทุทีปราช ในพระนครพาราณสีในกาลกอน ทรงบริจาคทาน สวรรคต แลวไปบังเกดิ ในกามาวจรสวรรคน ่นั แล พระราชาอีก ๘ พระองคเหลา นี้ มีพระเจาสาครราชเปนตนก็เหมือนกัน พระราชามหากษัตริยและ พราหมณอ ่ืนมากมายบูชายัญเปน อนั มาก บรจิ าคทานนานาประการ ก็ ไมพนไปจากเปรตภูมิคือกามาวจรภูมิไปได โดยแทจริงแลว เทวดาช้ัน กามาวจรไดช ื่อวา เปรต เพราะเปนผยู ากไรเ นอ่ื งดว ยปรารถนาวตั ถุท่ีกอ ใหเ กิดกิเลสย่งิ ๆ ข้ึนไป ดงั ขอ ความวา ‘ชนเหลาใดไมรนื่ รมยเมื่ออยูคนเดียวไมมีเพ่ือน ไมไ ดร ับปตอิ นั เกดิ จากวเิ วก พวกเขาถงึ จะมสี มบตั เิ สมอกบั ทพิ ยสมบตั ขิ องพระอนิ ทร ก็ ยงั ไดช ื่อวา ผยู ากไร เพราะอยูเปน สุขเนอ่ื งดวยผูอ ่นื ’ ” ๓๗๘
àªÔ§ÍÃö ๒๐ ตเทวํ ปวตฺตมานํ ตณหฺ าอวชิ ฺชานํ อปฺปหนี ตตฺ า อวชิ ฺชาปฏิจฉฺ า- ทติ าทนี เว ตสฺมึ วิสเย ตณหฺ า นาเมต,ิ สหชาตสงขฺ ารา ขิปนฺติ. (อภ.ิ ว.ิ อ. ๒/๒๒๗/๑๗๖) “วญิ ญาณนน้ั ทเี่ ปน ไปอยอู ยา งนี้ จงึ ถกู ตณั หานอ มไป ถกู สงั ขาร ท่ีเกิดรวมกันกันซัดไปในอารมณน้ันท่ีถูกอวิชชาปกปดโทษไว เพราะยัง ละตณั หาและอวิชชาไมไ ด” ปจฺจาสนฺนมรณสฺส สตฺตสฺส วีถิจิตฺตาวสาเน ภวงฺคกฺขเย วา จวนวเสน ปจฺจุปฺปนฺนภวปริโยสานภูตํ จุติจิตฺตํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌติ, ตสมฺ ึ นิรทุ ธฺ าวสาเน ตสสฺ านนฺตรเมว ตถาคหติ ํ อารมมฺ ณมารพภฺ สวตฺถุกํ อวตฺถุเมว วา ยถารหํ อวิชฺชานุสยปริกฺขิตฺเตน ตณฺหานุสยมูลเกน สงขฺ าเรน ชนยิ มานํ สมปฺ ยตุ เฺ ตหิ ปรคิ คฺ ยหฺ มานํ สหชาตานมธฏิ านภาเวน ปุพฺพงฺคมภูตํ ภวนฺตรปฏิสนฺธานวเสน ปฏิสนฺธิสงฺขาตํ มานสํ อุปฺปชฺช- มานเมว ปติฏ าติ ภวนฺตเร. (สงคฺ ห ๕/๙๑/๓๔) “ในเวลาส้ินสุดแหงวิถีจิตหรือในเวลาส้ินสุดภวังคของบุคคลผู ใกลเ สยี ชีวติ น้ัน จตุ จิ ิตซงึ่ เปนจิตดวงสุดทายของปจ จุบนั ภพ เมอ่ื เกดิ ข้นึ แลวยอมดบั ไปดว ยอาํ นาจของการจุติ เมอ่ื จติ น้นั ส้ินสดุ ดับไปแลว ลําดับ ตอจากจุติจิตน้ัน จิตท่ีเรียกวา ปฏิสนธิจิต จะรับอารมณตามท่ีมรณา- สนั นวิถีจิต (วถิ ีจติ ในเวลาใกลเสียชีวติ ) รับอารมณไว ท้ังทีม่ [ี หทยั ]วัตถุ หรอื ทไ่ี มม [ี หทยั ]วตั ถุ อนั กศุ ลกรรมและอกศุ ลกรรมทปี่ รงุ แตง ทแ่ี วดลอ ม ดวยอวิชชานุสัยซ่ึงมีตัณหานุสัยเปนรากเหงากอใหเกิดขึ้นตามสมควร อันสัมปยุตตธรรมเขาประสม เปนประธานโดยความเปนท่ีต้ังแหงธรรม [คอื รปู ธรรมกบั นามธรรม]ทเ่ี กดิ รว มกนั เมอ่ื เกดิ ขนึ้ อยยู อ มดาํ รงอยใู นภพ ๓๗๙
àªÔ§ÍÃö ตอไปดวยอาํ นาจแหงการสบื ตอภพอนื่ ” อวชิ ชฺ านสุ ยมลู เกน ตณหฺ านสุ ยปรกิ ขฺ ติ เฺ ตนาติ ปน วตุ เฺ ต สฏุ ุตรํ ยชุ ฺชต.ิ อวิชฺชา หิ ตณหฺ ายป มลู ภตู า โหติ ตาย ปฏจิ ฉฺ าทติ าทนี เว เอว อารมฺมเณ ตณฺหาปวตตฺ ิสมภฺ วโต. ตณฺหา จ ปน สหการิการณภาเวน ตํ ตํ สงขฺ ารํ นโิ ยเชนฺตี ปวตตฺ ตตี ิ สงฺขารสฺส ปริวารภูตา พลวอาสนฺนสหาย- ภูตา โหตตี .ิ (ปรมตถฺ .ฏีกา ๕/๙๑/๒๔๖) “ถาหากพระอนุรุทธาจารยกลาว[สลับกัน]วา อวิชฺชานุสย- มลู เกน ตณหฺ านสุ ยปรกิ ขฺ ติ เฺ ตน (มอี วชิ ชานสุ ยั เปน รากเหงา แวดลอ มดว ย ตณั หานสุ ยั ) จะชดั เจนกวา เพราะอวชิ ชาเปน รากเหงา ยงิ่ กวา ตณั หา เนอ่ื ง ดวยตัณหาเกิดขึ้นในอารมณท่ีถูกอวิชชาปดบังโทษไว สวนตัณหาทําให สั่งสมสังขารนั้นๆ โดยความเปนเหตุเกิดรวมกัน ตัณหาจึงเกิดรวมกับ สงั ขารอยางมีกาํ ลัง” ๒๑ ม.ม. ๑๓/๓๐๖/๒๘๑ ๒๒ ที.สี. ๑๐/๑๕๑-๕๖/๔๗-๙ ๒๓ ฉบบั ฉฏั ฐสงั คตี แิ ละฉบบั ไทยมรี ปู วา นคิ ณโฺ นาฏปตุ โฺ ต จงึ แปล ตามศัพทวา นิครนถนาฏบุตร แตในฉบับสิงหลพบรูปวา นิคณฺโ นฏ- ปุตฺโต รูปวา นฏปุตฺโต (บุตรนักฟอน) ถูกหลักภาษามากกวา เพราะ รปู วา นาฏ (นกั ฟอ น) ไมมใี ชในพระไตรปฎก มแี ตรูปวา นฏ ซงึ่ มาจาก นฏ ธาตุ (อวสนทฺ เน = โนม ตัว, ฟอน) + อ ปจ จัยในกัตตุสาธนะ ดงั คัมภรี อภิธานัปปทีปก า (คาถา ๑๐๑) กลาววา นฏฏโก นาฏโก นโฏ (นักฟอน ราํ : นฏฏ ก, นาฏก, นฏ) ๓๘๐
àªÔ§ÍÃö ๒๔ ทสิ วฺ าน ตณฺหํ อรติ ฺ จ ราคํ นาโหสิ ฉนโฺ ท อป เมถนุ สมฺ ึ กเิ มวทิ ํ มตุ ตฺ กรีสปุณฺณํ ปาทาป นํ สมฺผุสิตุ น อิจฺเฉ. (ข.ุ ส.ุ ๒๕/๘๔๒/๔๙๖) “เรามิไดมีแมความพอใจในเมถุน เพราะเห็นนางตัณหา นาง อรดี และนางราคา ไฉนเลาจักพอใจเพราะเห็นธิดาของทานซึ่งเต็มไป ดวยมูตรและคูถ เราไมปรารถนาจะใชเทากระทบเธอ” ๒๕ สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค มารธีตสุ ูตร (ส.ํ ส. ๑๕/๑๖๑/๑๔๙) ๒๖ ตสฺสา ทนตฺ ฏ กิ ํ ทิสวฺ า ปพุ พฺ สฺ ํ อนุสสฺ ริ ตตเฺ ถว โส โิ ต เถโร อรหตตฺ ํ อปาปณุ ิ. (วิสทุ ธฺ .ิ ๑/๑๕/๒๒) “พระเถระนน้ั เหน็ กระดกู ฟน ของหลอ นแลว ระลกึ ถงึ สญั ญา[คอื กองกระดูก]ทีเ่ คยไดมากอน จึงไดบรรลอุ รหัตตผลขณะยืนอยใู นท่นี ้นั ” ๒๗ เทวทตเฺ ต จ วธเก โจเร องฺคุลมิ าลเก ราหุเล ธนปาเล จ สพเฺ พสํ สมโก มนุ ิ. (ข.ุ อป. ๓๒/๕๘๕/๖๘) “พระมนุ ที รงมพี ระทยั สมาํ่ เสมอในบคุ คลทงั้ ปวง คอื พระเทวทตั นายขมงั ธนู โจรองคุลมิ าล พระราหุล และชา งธนบาล (ชา งนาฬาคิรี)” วธเก เทวทตฺตมหฺ ิ โจเร องฺคุลิมาลเก ธนปาเล ราหุเล จ สพฺพตฺถ สมมานโส. (ข.ุ ธ.อ. ๑/๑๗/๑๑๒) ๓๘๑
àªÔ§ÍÃö “พระพุทธองคทรงมีพระทัยสมํ่าเสมอในบุคคลทั้งปวง คือ นายขมงั ธนู พระเทวทัต โจรองคุลิมาล ชา งธนบาล และพระราหลุ ” ๒๘ อหํ อมิ ํ จีวรํ ปณุ ฺณํ นาม ทาสึ ปารปุ ตฺวา อามกสุสาเน ฉฑฑฺ ติ ํ ตํ สุสานํ ปวิสิตฺวา ตุมฺพมตฺเตหิ ปาณเกหิ สมฺปริกิณฺณํ เต ปาณเก วิธนุ ิตวฺ า มหาอรยิ วเํ ส ตวฺ า อคคฺ เหส.ึ (ส.ํ น.ิ อ. ๒/๑๕๔/๒๒๒) “เราเขา ไปสปู า ชา นนั้ แลว หยบิ เอาผา คลมุ รา งนางทาสชี อ่ื ปณุ ณา ท่ีถูกท้ิงไวในปาชาผีดิบ อันเต็มไปดวยหนอนราวหน่ึงกระเชอ (๑๖ กอบมอื ) สะบดั หนอนเหลานัน้ ออกไปแลวดาํ รงอยใู นมหาอริยวงศ” ๒๙ ข.ุ ชา.อ. ๕/๑๔๒/๒๐๖ ๓๐ พฺราหฺมโณป สตฺถารํ ทิสฺวา “โภติ นาสิโตมฺหิ ตยา ราชปุตฺตํ อาคนฺตฺวา ทฺวาเร ติ ํ มยฺหํ อนาจิกฺขนฺติยา. ภาริยํ เต กมฺมํ กตนฺติ วตฺวา อฑฒฺ ภุตตฺ ํ โภชนปาตึ อาทาย สตถฺ ุ สนตฺ กิ ํ คนตฺ ฺวา “โภ โคตม อหํ ปฺ จสุ าเนสุ อคคฺ ํ ทตฺวาว ภฺุ ชามิ. อิโต จ เม มชเฺ ฌ ภนิ ฺทติ ฺวา เอโกว ภตตฺ โกฏ าโส ภตุ โฺ ต. เอโก โกฏาโส อวสฏิ โ. ปฏคิ ฺคณหฺ ิสสฺ สิ เม อิทํ ภตตฺ นตฺ ิ. สตถฺ า “น เม ตว อุจฉฺ ฏิ ภตฺเตน อตฺโถติ อวตวฺ า “พฺราหฺมณ อคฺคมปฺ มยฺหเมว อนุจฉฺ วิกํ มชเฺ ฌ ภินฺทิตฺวา อฑฺฒภุตตฺ ภตตฺ มปฺ จรมิ ก- ภตตฺ ปณ ฺโฑป มยหฺ เมว อนจุ ฉฺ วโิ ก. มยฺ หิ พฺราหฺมณ ปรทตฺตูปชีวิเปต- สทสิ าติ วตวฺ า อิมํ คาถมาห. (ขุ.ธ.อ. ๒/๓๗๖/๔๓๘) “แมพ ราหมณเ ห็นพระศาสดาแลว จงึ พดู วา นางผูเจริญ หลอน ไมบ อกพระราชบตุ รผเู สดจ็ มาประทบั ยนื อยทู ปี่ ระตแู กเ รา ใหเ ราฉบิ หาย เสียแลว หลอนทํากรรมหนัก แลวถือเอาภาชนะใสอาหารที่ตนบริโภค แลวครึ่งหน่ึงไปยังสํานักพระศาสดาแลวกราบทูลวา ขาแตพระโคดม ๓๘๒
àªÔ§ÍÃö ผูเจริญ ขาพระองคถวายทานอันเลิศในฐานะท้ัง ๕ แลวจึงบริโภค แต ขาพระองคบริโภคภัตสวนหนึ่งโดยแบงครึ่งจากสวนน้ี ภัตสวนหนึ่งยัง เหลอื อยู ขอพระองคไ ดโ ปรดรบั ภตั สว นนข้ี องขาพระองคเ ถดิ พระศาสดาไมต รสั วา เราไมต อ งการภตั อนั เปน เดนของทา น ตรสั วา พราหมณ สว นอนั เลิศก็ดี ภตั ทที่ านแบง ครึง่ บรโิ ภคแลว ก็ดี สมควร แกเราท้ังนั้น แมกอนภัตที่เปนเดนก็สมควรแกเราเหมือนกัน พราหมณ ทจ่ี รงิ พวกเราเปน เชน กบั เปรตทอี่ าศยั อาหารอนั ผอู นื่ ใหเ ลย้ี งชพี แลว ตรสั พระคาถาดงั ตอ ไปนี้” ๓๑ เสนาสนมหฺ า โอรุยหฺ นครํ ปณ ฺฑาย ปาวสิ ึ ภุ ฺ ชนตฺ ํ ปรุ ิสํ กฏุ ึ สกฺกจฺจนฺตํ อปุ ฏห.ึ โส เม ปกเฺ กน หตเฺ ถน อาโลป อุปนามยิ อาโลป ปกขฺ ิปนตฺ สฺส องคฺ ุลี เจตถฺ ฉชิ ชฺ ถ. กุฏฏ มลู ฺ จ นสิ ฺสาย อาโลป ตํ อภฺุ ชิสํ ภุ ฺ ชมาเน วา ภตุ ฺเต วา เชคจุ ฉฺ ํ เม น วิชชฺ ต.ิ (ขุ.เถร. ๒๖/๑๐๕๗-๕๙ /๔๐๐) “เราลงจากเสนาสนะแลวไดเขาไปบิณฑบาตในนคร ไดเขาไป ยนื อยูใกลๆ บุรุษโรคเร้ือนซ่ึงกาํ ลังบริโภคอาหารน้นั ดวยความเอ้ือเฟอ บรุ ษุ โรคเรอื้ นนนั้ ใชม อื ขา งทเ่ี นา เฟะนอ มคาํ ขา วเขา มาถวายเรา และเมอื่ เขาใสค าํ ขา วลง นว้ิ มอื ของเขากข็ าดตกลงในบาตรของเรา เรานงั่ พิงฝาเรือนฉันคําขาวน้ันอยู ขณะฉันหรือฉันเสร็จแลว เราไมมีความ รงั เกยี จเลย” ๓๘๓
àªÔ§ÍÃö ๓๒ กถฺ จ ภกิ ฺขเว ภกิ ขฺ ุ ฉฬงคฺ สมนนฺ าคโต โหต?ิ อธิ ภิกขฺ เว ภกิ ขฺ ุ จกฺขนุ า รปู ทสิ ฺวา เนว สมุ โน โหติ น ทุมฺมโน, อุเปกฺขโก วิหรติ สโต สมปฺ ชาโน. (อง.ฺ ฉกกฺ . ๒๒/๑/๒๗๐) “ภกิ ษุทั้งหลาย ภิกษถุ ึงพรอ มดวยอเุ บกขาท่มี ีองค ๖ อยา งไร ภิกษใุ นพระศาสนาน้ีเห็นรปู ดวยจักษุแลว เปน ผไู มดีใจ ไมเ สียใจ วางใจ เปน กลาง มสี ติสมั ปชญั ญะ” ๓๓ ที.ปา. ๑๑/๓๐๕/๑๙๓, ที.ปา.อ. ๓/๓๐๕/๑๘๐, ขุ.ป.อ. ๒/๗/๓๐๖ ๓๔ ที.ปา. ๑๑/๓๐๕/๑๙๓, ที.ปา.อ. ๓/๓๐๕/๑๘๐, ขุ.ป.อ. ๒/๗/๓๐๖ ๓๕ ขุ.สุ. ๒๕/๑๕๖/๓๖๓ ๓๖ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๑๕๗/๓๖๓ ๓๗ ตํ โข ปนิทํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจํ ภาวิตนฺติ เม ภกิ ขฺ เว ปพุ เฺ พ อนนุสสฺ เุ ตสุ ธมฺเมสุ จกขฺ ุ อุทปาทิ, าณํ อุทปาทิ, ปฺ า อุทปาทิ, วชิ ชฺ า อทุ ปาท,ิ อาโลโก อทุ ปาทิ. (ส.ํ ม. ๑๙/๑๐๘๑/๓๖๘) “ภิกษุท้ังหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปญญา วิชชา และ แสงสวางไดเกิดแลวแกตถาคตในธรรมท่ีไมเคยสดับมากอนวา เราได อบรมอรยิ สัจคอื มรรคนัน้ แลว ” ๓๘ กโรโต โข มหาราช การยโต, ฉินทฺ โต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจา- ปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กลิ มโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตาปยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธึ ฉินฺทโต, นิลฺโลป หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปนฺเถ ติฏโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต, ๓๘๔
àªÔ§ÍÃö กโรโต น กริยติ ปาป. ขุรปริยนฺเตน เจป จกฺเกน โย อิมิสฺสา ปวิยา ปาเณ เอกํ มสํ ขลํ เอกํ มสํ ปฺุ ชํ กเรยฺย, นตถฺ ิ ตโตนิทานํ ปาป. นตฺถิ ปาปสฺส อาคโม. ทกขฺ ิณฺ เจป คงคฺ าย ตรี ํ คจฺเฉยยฺ หนนฺโต ฆาเตนฺโต ฉินฺทนฺโต เฉทาเปนฺโต ปจนฺโต ปาจาเปนฺโต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาป. นตฺถิ ปาปสฺส อาคโม. อุตฺตรฺ เจป คงฺคาย ตีรํ คจฺเฉยฺย ททนฺโต ทาเปนโฺ ต ยชนโฺ ต ยชาเปนโฺ ต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปฺุ ํ . นตฺถิ ปฺุ สสฺ อาคโม. ทาเนน ทเมน สยํ เมน สจฺจวชเฺ ชน นตฺถิ ปุ ฺ ํ . นตฺถิ ปุ ฺ สฺส อาคโม. (ท.ี ส.ี ๙/๑๖๖/๕๒-๓) “มหาบพิตร เม่ือบุคคลทําเอง ใชใหทํา ตัดเอง ใชใหตัด เบียดเบยี นเอง ใชใหเบียดเบยี น เศราโศกเอง ทาํ ใหเศรา โศก ลาํ บากเอง ทาํ ใหลาํ บาก ดนิ้ รนเอง ทําใหด ้นิ รน ฆาสัตว ลกั ทรพั ย ตดั ชองยองเบา ปลน ทําโจรกรรมในบานหลังเดียว ดักซุมที่ทางเปลี่ยว เปนชู พูดเท็จ ผทู าํ [เชน นนั้ ]ไมจ ดั วา ทาํ บาป แมห ากบคุ คลใชค มมดี โกนสงั หารเหลา สตั ว ในแผนดินนีใ้ หเปน กลมุ เนือ้ กองเนื้อเดียวกัน เขายอมไมมีบาปที่เกิดจาก กรรมนน้ั ไมมบี าปมาถงึ เขา แมห ากบคุ คลทอ่ี ยทู างทศิ ใตแ มน า้ํ คงคา ฆา เอง ใชใ หฆ า ตดั เอง ใชใ หต ดั เบยี ดเบยี นเอง ใชใ หเ บยี ดเบยี น เขายอ มไมม บี าปทเ่ี กดิ จากกรรม นั้น ไมมีบาปมาถึงเขา แมหากบุคคลท่ีอยูทางทิศเหนือของแมน้ําคงคา ใหเอง ใชใ หผ ูอ นื่ ให บชู าเอง ใชใหบ ูชา เขายอ มไมม ีบุญท่เี กดิ จากกรรม นนั้ ไมมบี ุญมาถงึ เขา ไมม ีบุญที่เกิดจากการใหท าน ฝก อนิ ทรีย สาํ รวม และพูดคําสัตย ไมม บี ุญมาถึงเขา” ๓๘๕
àªÔ§ÍÃö ๓๙ นตฺถิ มหาราช เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สํกิเลสาย. อเหตู อปจฺจยา สตตฺ า สํกิลสิ ฺสนฺติ. นตถฺ ิ เหตุ, นตถฺ ิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสทุ ฺธิยา. อเหตู อปจฺจยา สตฺตา วสิ ุชฺฌนตฺ .ิ นตฺถิ อตตฺ กาเร. นตฺถิ ปรกาเร. นตถฺ ิ ปุรสิ กาเร. นตฺถิ พลํ. นตถฺ ิ วรี ยิ ํ. นตถฺ ิ ปรุ ิสถาโม. นตฺถิ ปุรสิ ปรกฺกโม. สพฺเพ สตฺตา สพฺเพ ปาณา สพฺเพ ภูตา สพฺเพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นยิ ติสงฺคตภิ าวปริณตา ฉสฺเววาภิชาตีสุ สขุ ทกุ ฺขํ ปฏิสเํ วเทนฺติ. จทุ ทฺ ส โข ปนมิ านิ มหาราช โยนปิ มขุ สตสหสสฺ านิ สฏ ิ จ สตานิ ฉ จ สตานิ ปฺ จ จ กมมฺ โุ น สตานิ ปฺ จ จ กมมฺ านิ ตีณิ จ กมฺมานิ กมเฺ ม จ อฑฺฒกมฺเม จ ทฺวฏปิ ฏิปทา ทฺวฏนฺตรกปฺปา ฉฬาภิชาติโย อฏ ปุริสภูมิโย เอกูนปฺ าส อาชีวกสเต เอกูนปฺ าส ปริพพฺ าชกสเต เอกนู ปฺ าส นาคาวาสสเต วีเส อินฺทฺริยสเต ตึเส นิรยสเต ฉตฺตึส รโชธาตุโย สตฺต สฺ ีคพฺภา สตฺต อสฺ ีคพฺภา สตฺต นิคณฺคิ พฺภา สตฺต เทวา สตฺต มานุสา สตฺต ปสาจา สตฺต สรา สตฺต ปวุฏา สตฺต ปวุฏาสตานิ สตฺต ปปาตา สตฺต ปปาตสตานิ สตฺต สุปนา สตฺต สุปนสตานิ จุลฺลาสีติ มหากปปฺ โ น สตสหสฺสานิ, ยานิ พาเล จ ปณฑฺ เิ ต จ สนฺธาวติ ฺวา สํสริตฺวา ทกุ ขฺ สฺสนตฺ ํ กรสิ ฺสนฺติ. ตตถฺ นตฺถิ “อมิ นิ าหํ สีเลน วา วเตน วา ตเปน วา พรฺ หมฺ จรเิ ยน วา อปรปิ กกฺ ํ วา กมมฺ ํ ปรปิ าเจสฺสาม,ิ ปริปกฺกํ วา กมฺมํ ผุสฺส ผสุ สฺ พฺยนฺตึกริสฺสามีติ เหวํ นตถฺ .ิ โทณมเิ ต สขุ ทกุ เฺ ข, ปริยนตฺ กเต สสํ าเร, นตถฺ ิ หายนวฑฒฺ เน, นตถฺ ิ อุกกฺ ํสาวกเํ ส. เสยยฺ ถาป นาม สตุ ฺตคเุ ฬ ขิตฺเต นิพเฺ พยิ มานเมว ปเลต,ิ เอวเมว พาเล จ ปณฺฑเิ ต จ สนฺธาวิตฺวา สสํ รติ วฺ า ทุกขฺ สฺสนตฺ ํ กริสฺสนฺต.ิ (ที.ส.ี ๙/๑๖๘/๕๓) ๓๘๖
àªÔ§ÍÃö “มหาบพิตร ความเศราหมองของสัตวท้ังหลายไมมีเหตุ สนับสนุน สัตวท้ังหลายเศราหมองเอง ความบริสุทธิ์ของสัตวทั้งหลาย ไมมีเหตุสนบั สนนุ สัตวท งั้ หลายบริสุทธเิ์ อง ไมม กี ารกระทําของตน ผูอน่ื และมนษุ ย ไมมีกาํ ลงั ความเพียร ความสามารถ และความพยายามของ มนุษย สัตวผูติดของ สัตวผูมีปราณ สัตวผูเกิดแลว สัตวผูมีชีวิต ท้ังปวงลวนไมม ีอํานาจ กาํ ลัง และความเพียร ผนั แปรไปตามโชคชะตา สถานภาพ และลกั ษณะเฉพาะตน ยอ มเสวยสุขและทกุ ขในกําเนดิ ๖” (กําเนดิ ๖ คือ กณั หาภิชาติ คอื กาํ เนิดดํา ไดแ ก คนฆา แกะ ฆานก ฆา เนอ้ื ฆาสกุ ร ฆา ปลา นายพราน โจร เพชฌฆาต ผูคมุ นักโทษ หรือคนทํากรรมชั่วอ่ืนๆ, นีลาภิชาติ คือ กําเนิดเขียว ไดแก นักบวช, โลหติ าภชิ าติ คือ กาํ เนิดแดง ไดแก เดยี รถยี ผูนุงผาผนื เดยี ว, หลิททา- ภชิ าติ คอื กาํ เนดิ เหลอื ง ไดแ ก สาวกทน่ี งุ หม ผา ขาวของนกั บวชชเี ปลอื ย, สกุ กาภชิ าติ คือ กําเนดิ ขาว ไดแก อาชีวกชายและหญิง และปรมสุกกา- ภิชาติ คือ กําเนิดขาวสะอาด ไดแก นันทวัจฉะ กิสสังกิจฉะ และ มักขลโิ คสาล) อนง่ึ กําเนิดทเ่ี ปน ประธาน ๑,๔๐๖,๖๐๐ กรรม ๕๐๐ กรรม ๕ กรรม ๓ กรรม[เตม็ ] ๑ กรรมกึง่ ๑ ปฏิปทา ๖๒ อนั ตรกปั ๖๒ กําเนิด ๖ วยั ของบรุ ษุ ๘ การเลย้ี งชีพ ๔,๙๐๐ ปรพิ าชก ๔,๙๐๐ ทอ่ี ยขู องนาค ๔,๙๐๐ อินทรีย ๒,๐๐๐ นรก ๓๐๐ [ท่ีตั้งของ]ธาตุธลุ ี ๓๖ ปฏิสนธทิ ี่มี สญั ญา ๗ ปฏสิ นธิที่ไมม ีสัญญา ๗ ปฏสิ นธทิ ม่ี ีปม ๗ เทวดา ๗ มนุษย ๗ ปศาจ ๗ สระ ๗ ปมใหญ ๗ ปมเลก็ ๗๐๐ เหวใหญ ๗ เหวเล็ก ๗๐๐ สุบินใหญ ๗ สุบนิ นอย ๗๐๐ มหากัป ๘,๔๐๐,๐๐๐ เหลา น้ที ่ีคนเขลา ๓๘๗
àªÔ§ÍÃö และคนฉลาดเทย่ี วเวยี นวายไปแลวจกั ทาํ ทสี่ ุดทกุ ขไ ดเอง ไมมีการปรุงแตงวา เราจักอบรมกรรมท่ียังไมใหผลใหสงผล หรอื ไดร ับกรรมทีใ่ หผ ลแลว จกั ทาํ ใหห มดสิ้นไปดวยศีล พรต ตบะ หรอื พรหมจรรยน ี้ สขุ ทกุ ขเ หมอื นถกู ตวงแลว ดว ยทะนาน สงั สารวฏั ถกู กาํ หนด ไวแ ลว ไมม เี สอื่ มลงหรอื เจรญิ ขน้ึ มากขน้ึ หรอื ลดลง คนเขลาและคนฉลาด เทยี่ วเวยี นวา ยไปแลว จกั ทาํ ทส่ี ดุ ทกุ ขไ ดเ อง เหมอื นกลมุ ดา ยทถี่ กู ขวา งไป ยอมคลี่หมดไปเอง” ๔๐ นตถฺ ิ มหาราช ทนิ ฺน.ํ นตฺถิ ยิฏ. นตฺถิ หุตํ. นตฺถิ สกุ ตทกุ ฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วปิ าโก. นตฺถิ อยํ โลโก. นตถฺ ิ ปโร โลโก. นตถฺ ิ มาตา. นตฺถิ ปต า. นตถฺ ิ สตฺตา โอปปาตกิ า. นตฺถิ โลเก สมณพรฺ าหฺมณา สมมฺ คฺคตา สมมฺ าปฏิปนนฺ า, เย อิมฺ จ โลกํ ปรฺจ โลกํ สยํ อภิฺา สจฺฉกิ ตฺวา ปเวเทนตฺ ิ. จาตุมฺมหาภูติโก อยํ ปรุ ิโส ยทา กาลํ กโรต,ิ ปวี ปวิกายํ อนุเปติ อนปุ คจฉฺ ต.ิ อาโป อาโปกายํ อนุเปติ อนปุ คจฉฺ ติ. เตโช เตโชกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ. วาโย วาโยกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ. อากาสํ อินฺทรฺ ยิ านิ สงฺกมนตฺ ิ. อาสนฺทิปจฺ มา ปุรสิ า มตํ อาทาย คจฉฺ นฺติ. ยาว อาฬาหนา ปทานิ ปฺายนฺติ. กาโปตกานิ อฏนี ิ ภวนฺติ. ภสฺสนฺตา อาหุติโย. ทตฺตุปฺตฺตมิทํ ทานํ, เตสํ ตุจฺฉํ มุสา วิลาโป. เย เกจิ อตฺถิกวาทํ วทนฺติ, พาเล จ ปณฺฑิเต จ กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชนฺติ วินสฺสนฺต,ิ น โหนฺติ ปรํ มรณา. (ท.ี สี. ๙/๑๗๑/๕๕) “มหาบพติ ร การใหท าน การบชู ายัญ และการเซนสรวง ไมม ี ผล ไมมีผลวบิ ากแหงกรรมท่ีทาํ ดที ําช่วั ไมมโี ลกนี้และโลกหนา [การทาํ ดีหรือชั่วใน]บิดาและมารดาไมมีผล ไมมีสัตวท่ีตายแลวเกิดใหม สมณ- ๓๘๘
àªÔ§ÍÃö พราหมณผ บู รรลอุ รยิ มรรคอนั ดงี ามปฏบิ ตั ชิ อบ ผรู แู จง โลกนแี้ ละโลกหนา ดวยปญ ญาของตนแลว สอนผอู น่ื ใหร ูแจง กไ็ มมใี นโลก เหลา สตั วนเี้ ปน ที่ประชมุ แหง มหาภตู รูป ๔ เมอื่ สิน้ ชวี ติ ธาตุดนิ ไปตามธาตดุ นิ ธาตนุ า้ํ ไปตามธาตนุ า้ํ ธาตไุ ฟไปตามธาตไุ ฟ ธาตลุ มไปตาม ธาตุลม [นาม]อนิ ทรยี ยอ มผันแปรไปเปน อากาศธาตุ มนุษยม ีเตยี งนอน เปน ท่ี ๕ นาํ ศพไป รา งกายปรากฏอยแู คป า ชา กลายเปน กระดกู ขาวโพลน ดจุ สนี กพริ าบ การเซน สรวงสนิ้ สดุ ลงแคเ ถา ถา น คนเขลาบญั ญตั ทิ านนไี้ ว บางคนกลาววาการใหทานเปนตนมีผล คําของพวกเขาวางเปลา เท็จ ไรส าระ เมือ่ ส้นิ ชวี ติ ท้งั คนเขลาและคนฉลาดยอ มขาดสูญไมเกิดอกี ” ๔๑ สตฺตเิ ม มหาราช กายา อกฏา อกฏวิธา อนมิ ฺมติ า อนิมมฺ าตา วฺฌา กฏู ฏ า เอสิกฏายฏิ ติ า, เต น อิชฺ นฺต,ิ น วปิ รณิ าเมนฺต,ิ น อฺมฺํ พฺยาพาเธนฺติ, นาลํ อฺมฺสฺส สุขาย วา ทุกฺขาย วา สขุ ทกุ ขฺ าย วา. กตเม สตตฺ ? ปวิกาโย อาโปกาโย เตโชกาโย วาโยกาโย สุเข ทุกฺเข ชีเว สตฺตเม. อิเม สตฺต กายา อกฏา อกฏวิธา อนิมฺมิตา อนมิ มฺ าตา วฌฺ า กฏู ฏา เอสกิ ฏายฏิ ติ า, เต น อิ ชฺ นตฺ ิ, น วปิ ริณา- เมนฺติ, น อฺมฺํ พฺยาพาเธนฺติ, นาลํ อฺมฺสฺส สุขาย วา ทกุ ขฺ าย วา สุขทกุ ขฺ าย วา. ตตถฺ นตฺถิ หนฺตา วา ฆาเตตา วา โสตา วา สาเวตา วา วิฺาตา วา วิฺาเปตา วา. โยป ติณฺเหน สตฺเถน สีสํ ฉนิ ทฺ ต,ิ น โกจิ กิจฺ ิ ชีวิตา โวโรเปติ. สตตฺ นฺนํ ตเฺ วว กายานํ อนฺตเรน สตฺถํ ววิ รมนุปตติ. (ท.ี ส.ี ๙/๑๗๔/๕๖-๗) “มหาบพิตร กองทง้ั ๗ เหลานี้ไมม ีผสู รา ง บันดาล เนรมติ และ ทําใหเนรมิต เปนส่ิงย่ังยืน ม่ันคงดุจยอดภูเขาและเสาระเนียดท่ีตั้งมั่น ๓๘๙
àªÔ§ÍÃö ไมหว่ันไหว ผันแปร และกระทบกระทั่งกัน ไมกอใหเกิดสุขหรือทุกข หรอื ทงั้ สขุ และทกุ ขแ กก นั และกนั กองทง้ั ๗ เหลา นนั้ มอี ะไรบา ง คอื กอง ธาตดุ ิน กองธาตุน้ํา กองธาตไุ ฟ กองธาตุลม กองสุข กองทกุ ข และกอง ชีวะ กองทง้ั ๗ เหลานี้ ไมมีผูส ราง บนั ดาล เนรมติ และทาํ ใหเ นรมิต เปนส่ิงย่ังยืน มั่นคงดุจยอดภูเขาและเสาระเนียดท่ีต้ังมั่น ไมหว่ันไหว ผันแปร และกระทบกระทัง่ กนั ไมกอใหเกิดสุขหรือทุกข หรอื ทั้งสขุ และ ทุกขแ กก นั และกนั ในกองท้งั ๗ เหลาน้นั ไมม ผี ูฆ า ผใู ชใหฆา ผูฟง ผใู ชให ฟง ผรู ู และผบู อกใหร ู ใครกต็ ามแมจ ะเอาศัสตราคมตดั ศรี ษะใคร กไ็ ม ชอื่ วา ปลงชวี ติ ใครได เพราะเปน เพยี งศสั ตราแทรกผา นไประหวา งกองทงั้ ๗ เทาน้ันเอง” ๔๒ ความเห็นของนคิ รนถน าฏบุตร มดี ังนค้ี ือ อธิ มหาราช นคิ ณโฺ จาตยุ ามสวํ รสวํ โุ ต โหต.ิ กถจฺ โข มหาราช นคิ ณโฺ จาตยุ ามสวํ รสํวุโต โหต.ิ อธิ มหาราช นิคณฺโ สพพฺ วาริวารโิ ต จ โหติ สพฺพวาริยุตฺโต จ สพพฺ วาริธุโต จ สพฺพวารผิ โุ ฏ จ. เอวํ โข มหาราช นิคณฺโ จาตุยามสํวรสวํ ุโต โหติ. ยโต โข มหาราช นิคณฺโ เอวํ จาต-ุ ยามสํวรสวํ โุ ต โหต,ิ อยํ วุจจฺ ติ มหาราช นคิ ณฺโ คตตโฺ ต จ ยตตฺโต จ ติ ตโฺ ต จ. (ท.ี สี. ๙/๑๗๗/๕๗-๘) “มหาบพติ ร นคิ รนถใ นโลกนสี้ าํ รวมดวยการสังวร ๔ อยาง คอื ๑. เวนนํ้าเย็นทุกอยาง ๒. เวนบาปทุกอยาง ๓. ลางบาปทุกอยาง ๔. บรรลุ[ความหลุดพน]ดวยการเวนบาปทุกอยาง นิครนถสํารวมดวยการ สงั วร ๔ อยางน้ี จึงเรยี กวา ผมู ใี จสงู สง สาํ รวม และตั้งมน่ั ” ๓๙๐
àªÔ§ÍÃö ความเหน็ ของสญั ชัยเพลฏั ฐบุตร มีดงั นีค้ อื อตฺถิ ปโร โลโกติ อติ ิ เจ มํ ปุจฉฺ สิ, อตถฺ ิ ปโร โลโกติ อติ ิ เจ เม อสสฺ , อตถฺ ิ ปโร โลโกติ อิติ เต นํ พยฺ ากเรยฺย.ํ เอวนตฺ ิป เม โน, ตถาตปิ เม โน, อฺถาตปิ เม โน, โนติป เม โน, โน โนติป เม โน. นตถฺ ิ ปโร โลโก ฯเปฯ อตถฺ ิ จ นตฺถิ จ ปโร โลโก ฯเปฯ เนว อตถฺ ิ น นตถฺ ิ ปโร โลโก ฯเปฯ อตฺถิ สตตฺ า โอปปาติกา ฯเปฯ นตถฺ ิ สตตฺ า โอปปาตกิ า ฯเปฯ อตฺถิ จ นตฺถิ จ สตฺตา โอปปาติกา ฯเปฯ เนว อตฺถิ น นตฺถิ สตฺตา โอปปาตกิ า ฯเปฯ อตฺถิ สุกตทกุ กฺ ฏานํ กมมฺ านํ ผลํ วิปาโก ฯเปฯ นตถฺ ิ สกุ ตทุกฺกฏานํ กมมฺ านํ ผลํ วิปาโก ฯเปฯ อตฺถิ จ นตฺถิ จ สุกตทุกกฺ ฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก ฯเปฯ เนว อตฺถิ น นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก ฯเปฯ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา ฯเปฯ น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา ฯเปฯ โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา ฯเปฯ เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ อิติ เจ มํ ปุจฉฺ ส,ิ เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ อติ ิ เจ เม อสฺส, เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ อิติ เต นํ พฺยากเรยฺย,ํ เอวนตฺ ปิ เม โน, ตถาติป เม โน, อฺถาติป เม โน, โนติป เม โน, โน โนตปิ เม โน. (ที.ส.ี ๙/๑๘๐/๕๘-๙) “ถา มหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพวา โลกหนา มจี ริงหรอื หาก อาตมภาพมคี วามเหน็ วา มจี รงิ กจ็ ะทลู ตอบวา มจี รงิ แตอ าตมภาพมคี วาม เห็นวา อยา งนก้ี ม็ ิใช อยา งน้ันก็มิใช อยา งอื่นก็มใิ ช จะวา ไมใ ชก ม็ ใิ ช จะ วา มใิ ชไ มใชก ม็ ิใช ถา มหาบพติ รตรสั ถามอาตมภาพวา โลกหนา ไมม หี รอื ฯลฯ โลก หนา มีและไมมหี รือ ฯลฯ โลกหนาจะวามกี ็มิใช จะวาไมม กี ็มิใชห รอื ฯลฯ ๓๙๑
àªÔ§ÍÃö สัตวทตี่ ายแลวเกดิ ใหมม ีจรงิ หรอื ฯลฯ สัตวท ต่ี ายแลวเกดิ ใหม ไมม หี รอื ฯลฯ สตั วท ตี่ ายแลว เกดิ ใหมม แี ละไมม หี รอื ฯลฯ สตั วท ตี่ ายแลว เกิดใหมจ ะวามกี ็มิใช จะวา ไมมีก็มใิ ชหรือ ฯลฯ ผลวบิ ากแหง กรรมดกี รรมชวั่ มจี รงิ หรอื ฯลฯ ผลวบิ ากแหง กรรม ดกี รรมชว่ั ไมม หี รอื ฯลฯ ผลวบิ ากแหง กรรมดกี รรมชวั่ มแี ละไมม หี รอื ฯลฯ ผลวบิ ากแหงกรรมดีกรรมชวั่ จะวา มีก็มใิ ช จะวาไมมีกม็ ิใชห รอื ฯลฯ หลังจากตายแลวสัตวเกิดอีกหรือ ฯลฯ หลังจากตายแลวสัตว ไมเ กดิ อกี หรอื ฯลฯ หลงั จากตายแลว สตั วเ กดิ อกี และไมเ กดิ อกี หรอื ฯลฯ หลงั จากตายแลวสัตวจะวาเกิดอีกก็มิใช จะวาไมเกดิ อีกก็มิใชห รอื หาก อาตมภาพมีความเห็นวา หลังจากตายแลว สัตวจะวาเกดิ อกี กม็ ิใช จะวา ไมเกดิ อกี กม็ ิใช กจ็ ะทลู ตอบวา หลงั จากตายแลว สตั วจะวา เกิดอีกกม็ ใิ ช จะวาไมเ กิดอีกกม็ ิใช แตอาตมภาพมคี วามเหน็ วา อยางน้กี ็มใิ ช อยางน้นั กม็ ใิ ช อยา งอนื่ กม็ ใิ ช จะวาไมใ ชก ็มิใช จะวามิใชไมใ ช ก็มิใช” ๔๓ กตโม จ โส อานนทฺ ธมมฺ าทาโส ธมมฺ ปริยาโย, เยน สมนนฺ าคโต อริยสาวโก อากงฺขมาโน อตฺตนา ว อตฺตานํ พฺยากเรยฺย ขีณนิรโยมฺหิ ขณี ตริ จฉฺ านโยนิ ขีณเปตฺตวิ ิสโย ขีณาปายทุคคฺ ติวนิ ิปาโต, โสตาปนฺโน- หมสฺมิ อวนิ ิปาตธมฺโม นยิ โต สมฺโพธิปรายโณติ. อิธานนฺท อรยิ สาวโก :- ๑. พุทฺเธ อเวจฺจปปฺ สาเทน สมนฺนาคโต โหติ อิตปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมพฺ ทุ โฺ ธ วิชชฺ าจรณสมปฺ นโฺ น สคุ โต โลกวิทู อนุตฺตโร ปรุ ิส- ทมมฺ สารถิ สตถฺ า เทวมนุสสฺ านํ พุทโฺ ธ ภควาติ. ๒. ธมฺเม อเวจจฺ ปปฺ สาเทน สมนฺนาคโต โหติ สฺวากฺขาโต ภค- ๓๙๒
àªÔ§ÍÃö วตา ธมโฺ ม สนฺทฏิ โิ ก อกาลิโก เอหิปสสฺ ิโก โอปเนยยฺ โิ ก ปจจฺ ตฺตํ เวท-ิ ตพฺโพ วิ ฺหู ตี .ิ ๓. สเํ ฆ อเวจจฺ ปฺปสาเทน สมนนฺ าคโต โหติ สปุ ฏิปนฺโน ภควโต สาวกสํโฆ. อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสํโฆ. ายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสโํ ฆ. สามีจิปฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสํโฆ. ยทิทํ จตฺตาริ ปรุ สิ ยคุ านิ อฏ ปุริสปุคฺคลา. เอส ภควโต สาวกสํโฆ. อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโย ทกฺขเิ ณยฺโย อฺชลิกรณโี ย อนตุ ฺตรํ ปุ ฺ กเฺ ขตตฺ ํ โลกสสฺ าต.ิ ๔. อริยกนฺเตหิ สีเลหิ สมนฺนาคโต โหติ อขณฺเฑหิ อจฺฉิทฺเทหิ อสพเลหิ อกมฺมาเสหิ ภุชิสฺเสหิ วิฺูปสตฺเถหิ อปรามฏเหิ สมาธิ- สํวตฺตนิเกห.ิ อยํ โข โส อานนทฺ ธมฺมาทาโส ธมมฺ ปริยาโย, เยน สมนฺนาคโต อริยสาวโก อากงฺขมาโน อตฺตนาว อตฺตานํ พฺยากเรยฺย ขีณนิรโยมฺหิ ขีณติรจฺฉานโยนิ ขณี เปตตฺ ิวสิ โย ขณี าปายทคุ ฺคตวิ ินิปาโต, โสตาปนฺโน- หมสฺมิ อวินปิ าตธมฺโม นิยโต สมโฺ พธิปรายโนต.ิ (ที.ม. ๒/๑๕๙/๘๕-๖) “หลักธรรมที่ช่ือวาแวนธรรม เปนเคร่ืองมือใหอริยสาวกมีไว พยากรณตนไดดวยตนเองในเวลาประสงควา ‘เราจะไมไปเกิดในนรก กาํ เนดิ สัตวด ริ จั ฉาน เปรตวิสัย และนรกอนั ปราศจากสขุ เปน ทต่ี ัง้ แหง ทกุ ข เปนท่ีพินาศตกไป เราเปนพระโสดาบนั ไมตกต่าํ ในอบาย แนนอน ตอ มรรค มีมรรคญาณขั้นสูง ๓ เปนเบอื้ งหนา’ คอื พระอริยสาวกในธรรมวินัยน้ี :- ๑. เล่ือมใสแนวแนใ นพระพทุ ธเจาวา แมเ พราะเหตนุ ี้ พระผมู -ี พระภาคพระองคน้ันเปนผูไกลจากกิเลส ตรัสรูชอบดวยพระองคเอง ๓๙๓
àªÔ§ÍÃö ถึงพรอมดวยความรูและความประพฤติ เปนผูเสด็จไปดีแลว ทรงรูแจง โลก ทรงเปนสารถีผฝู ก บุคคลท่ีควรฝก ไมมีใครยิ่งกวา ทรงเปน ศาสดา ของเทวดาและมนษุ ยท งั้ หลาย ทรงเปนผรู ูแจง ทรงเปนผูอธบิ ายธรรม ๒. เลอ่ื มใสแนว แนใ นพระธรรมวา พระธรรมอนั พระผมู พี ระภาค ตรสั ไวด แี ลว เปน ธรรมทเี่ หน็ ไดด ว ยตนเอง ไมข น้ึ กบั กาล เปน ธรรมทค่ี วร มาดู ควรนอมมาปฏิบัติ เปนธรรมทีว่ ิญชู นพึงรูไดเฉพาะตน ๓. เล่ือมใสแนวแนในพระสงฆวา พระอริยสงฆสาวกของ พระผมู พี ระภาค เปน ผูปฏบิ ัตดิ ี พระอรยิ สงฆสาวกของพระผูมพี ระภาค เปนผูปฏิบัติตรง พระอริยสงฆสาวกของพระผูมีพระภาค เปนผูปฏิบัติ เพ่อื พระนิพพาน พระอริยสงฆสาวกของพระผูมพี ระภาค เปนผูป ฏิบตั ทิ ี่ ควรนบั ถอื ทา นเหลา นนั้ คอื บรุ ษุ ๔ คู กลา วคอื พระอรยิ บคุ คล ๘ จาํ พวก น้แี หละพระอรยิ สงฆส าวกของพระผูมพี ระภาค ผคู วรรบั สกั การะ ผูควร แกของตอนรบั ผคู วรรบั ทักษณิ าทาน ผูควรอัญชลกี รรม เปน นาบุญอนั ประเสรฐิ ของโลก ๔. มศี ลี ทพี่ ระอรยิ ะชอบใจ ไมข าด ไมท ะลุ ไมด า ง ไมพ รอ ย เปน ไท ทา นผรู ูสรรเสริญ ไมถูกตณั หาและทฏิ ฐิครอบงาํ เปนไปเพือ่ สมาธิ อานนท นคี้ อื หลกั ธรรมทชี่ อ่ื วา แวน ธรรม เปน เครอื่ งมอื ใหอ รยิ - สาวกมีไวพยากรณตนไดด วยตนเองในเวลาประสงควา ‘เราจะไมไปเกิด ในนรก กาํ เนดิ สัตวด ริ ัจฉาน เปรตวสิ ัย และนรกอนั ปราศจากสุข เปน ท่ี ตั้งแหงทุกข เปนที่พินาศตกไป เราเปนพระโสดาบัน ไมตกตํ่าในอบาย แนนอนตอมรรค มีมรรคญาณขั้นสงู ๓ เปน เบอื้ งหนา’ ” ๓๙๔
àªÔ§ÍÃö ๔๔ ตํ โข ปนทิ ํ ทุกฺขสมทุ โย อรยิ สจจฺ ํ ปหีนนตฺ ิ เม ภกิ ขฺ เว ปพุ เฺ พ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ จกฺขุ อุทปาทิ, าณํ อุทปาทิ, ปฺา อุทปาทิ, วิชชฺ า อทุ ปาทิ, อาโลโก อทุ ปาท.ิ (สํ.ม. ๑๙/๑๐๘๑/๓๖๗) “ภิกษุทั้งหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปญญา วิชชา และ แสงสวางไดเกิดแลวแกตถาคตในธรรมที่ไมเคยสดับมากอนวา เราละ อริยสัจคือทกุ ขสมทุ ยั น้นั แลว ” ๔๕ อารา ปมาทมหฺ าติ ปจฺ สุ กามคเุ ณสุ จติ ตฺ โวสสฺ คคฺ โต ทรู ภี าเวน อพรฺ หฺมจริยวริ ตึ ปุจฺฉติ. (ขุ.ส.ุ อ. ๑/๑๕๖/๒๓๒) “คาํ วา อารา ปมาทมหฺ า (ทรงหา งไกลจากความหลงเพลนิ ) ถาม ถึงการงดเวนอพรหมจรรยโดยเปนผูหางไกลจากการปลอยจิตไปสูกาม- คุณ ๕” ๔๖ คําวา ฌาน มีความหมาย ๒ ประการ คอื ๑. สภาวะกําจัด คือ สมถะกําจัดนิวรณดวยการขมไว สวน วปิ สสนากาํ จดั สตั ตสญั ญาเปน ตน = ปจจฺ นีกธมฺเม ฌาเปตีติ ฌานํ (ฌป ธาตุ <ทาเห = เผา> + ยุ ปจจยั ในกัตตสุ าธนะ ลบ ป อักษร) ๒. สภาวะเพง คอื สมถะเพง อารมณม กี สณิ เปน ตน สว นวปิ ส สนา เพงไตรลักษณ = อารมมฺ ณํ อุปนชิ ฺฌายตตี ิ ฌานํ (เฌ ธาตุ <จินฺตายํ = คิด> + ยุ ปจจัยในกัตตสุ าธนะ) ฌานแบง ออกเปน ๒ ประเภท คือ ๑. อารัมมณูปนิชฌาน ฌานเพงอารมณมีกสิณเปนตน ไดแก อปุ จารสมาธิ และสมาบตั ิ ๘ ฌานประเภทนเี้ รียกสนั้ ๆ วา สมถฌาน ๓๙๕
àªÔ§ÍÃö ๒. ลักขณูปนิชฌาน ฌานเพงไตรลักษณ ไดแก วปิ ส สนาฌาน ทเี่ พง ไตรลกั ษณ หรอื มรรคผลทเ่ี พง ลกั ษณะทไ่ี มผ นั แปรของนพิ พาน ฌาน ประเภทน้เี รียกส้ันๆ วา วิปส สนาฌาน ดังขอ ความวา ปจฺจนีกธมฺเม ฌาเปตีติ ฌานํ. อิมินา โยคโิ น ฌายนตฺ ตี ปิ ฌาน,ํ ปจฺจนีกธมฺเม ฑหนฺติ, โคจรํ วา จินฺเตนฺตีติ อตฺโถ. สยํ วา ตํ ฌายติ อุปนิชฺฌายตีติ ฌานํ, เตเนว อุปนิชฺฌายนลกฺขณนฺติ วุจฺจติ. ตเทตํ อารมฺมณูปนิชฺฌานํ ลกฺขณูปนิชฺฌานนฺติ ทุวิธํ โหติ. ตตฺถ อารมฺมณูป- นชิ ฌฺ านนตฺ ิ สห อุปจาเรน อฏ สมาปตฺตโิ ย วุจฺจนฺต.ิ กสมฺ า? กสิณาท-ิ อารมฺมณูปนิชฺฌายนโต. ลกฺขณูปนิชฺฌานนฺติ วิปสฺสนามคฺคผลานิ วุจจฺ นตฺ ิ.กสมฺ า? ลกขฺ ณูปนิชฌฺ ายนโต. เอตฺถ หิ วิปสฺสนา อนิจฺจลกขฺ ณา- ทีนิ อุปนิชฺฌายติ. วิปสฺสนาย อุปนิชฺฌายนกิจฺจํ ปน มคฺเคน สิชฺฌตีติ มคโฺ ค ลกขฺ ณปู นชิ ฌฺ านนตฺ ิ วจุ จฺ ต.ิ ผลํ ปน นโิ รธสสฺ ตถลกขฺ ณํ อปุ นชิ ฌฺ าย- ตตี ิ ลกฺขณูปนิชฌฺ านนฺติ วุจจฺ ต.ิ (วิ.มหา.อ. ๑/๑๑/๑๔๑) “คําวา ฌาน คือ สภาวะเผาธรรมอันเปนขาศึก (นิวรณ) อีก อยา งหน่ึง ฌาน คือ สภาวะทําใหผ ูเ พยี รปฏบิ ตั ิเพง หมายความวา เผา ธรรมอันเปนขาศึก หรือเพง อารมณ อีกอยา งหนง่ึ ฌาน คอื สภาวะเพง อารมณนัน้ เอง ฉะนั้นจงึ กลาววา ฌานมลี กั ษณะเพง[อารมณ] ฌานมี ๒ ประเภท คือ ๑. อารมั มณปู นชิ ฌาน คือ สมาบตั ิ ๘ และอุปจารสมาธิ เพราะ เพงอารมณมกี สิณเปนตน ๒. ลักขณูปนิชฌาน คือ วิปสสนา มรรค และผล เพราะเพง ๓๙๖
àªÔ§ÍÃö ไตรลกั ษณกลา วคอื วปิ ส สนาเพง ไตรลกั ษณม อี นจิ จลกั ษณะเปน ตน มรรค ก็อาจกลาววาเพงลักษณะ เพราะหนาท่ีเพง[ไตรลักษณ]ของวิปสสนา สําเร็จดวยมรรค ผลก็อาจกลาววาเพงลักษณะ เพราะเพงลักษณะที่ไม ผนั แปรของนพิ พาน” ฌานนฺติ ปจฺจนีกฌาปนโต อารมฺมณลกฺขณูปนิชฺฌานโต จ จิตฺตวิเวโก วุจฺจติ. ตตฺถ อฏสมาปตฺติโย นีวรณาทิปจฺจนีกฌาปนโต อารมฺมณูปนิชฺฌานโต จ ฌานนฺติ วุจฺจติ. วิปสฺสนามคฺคผลานิ สตฺต- สฺ าทปิ จจฺ นกี ฌาปนโต ลกขฺ ณปู นชิ ฌฺ านโตเยว เจตถฺ ผลาน.ิ (ข.ุ ส.ุ อ. ๑/ ๖๙/๑๒๒) “ความสงดั ทางใจเรยี กวา ฌาน (สภาวะกาํ จัดหรือเพง) เพราะ กาํ จดั ปฏปิ ก ษแ ละเพง อารมณห รอื ไตรลกั ษณ ในเรอื่ งนนั้ สมาบตั ิ ๘ เรยี ก วา ฌาน เพราะกาํ จดั ปฏปิ ก ษคือนิวรณ และเพง อารมณ สว นวปิ ส สนา มรรค และผลเรียกวา ฌาน เพราะกําจัดปฏิปกษมีสัตตสัญญาเปนตน และเพงลกั ษณะ[ทีม่ จี รงิ ไมผ ันแปร]” ๔๗ ที.ม. ๑๐/๓๗๕/๒๔๙ ๔๘ เอตถฺ หิ วปิ สสฺ นา อนิจฺจลกขฺ ณาทีนิ อปุ นิชฌฺ ายติ. วิปสฺสนาย อุปนิชฺฌายนกิจฺจํ ปน มคฺเคน สิชฺฌตีติ มคฺโค ลกฺขณูปนิชฺฌานนฺติ วจุ จฺ ติ. ผลํ ปน นโิ รธสสฺ ตถลกฺขณํ อปุ นิชฺฌายตตี ิ ลกขฺ ณูปนิชฌฺ านนฺติ วุจฺจติ. (วิ.มหา.อ. ๑/๑๑/๑๔๑) “กลาวโดยละเอียดวา ในเร่ืองนี้ วิปสสนาเพงไตรลักษณมี อนจิ จลักษณะเปนตน มรรคก็อาจกลา ววา เพงลกั ษณะ เพราะหนาทีเ่ พง [ไตรลักษณ] ของวิปส สนาสาํ เร็จดว ยมรรค ผลก็อาจกลาววาเพง ลกั ษณะ ๓๙๗
àªÔ§ÍÃö เพราะเพง ลกั ษณะทไ่ี มผนั แปรของนิพพาน” ๔๙ สพเฺ พ ธมมฺ า พุทฺธสฺส ภควโต อาวชฺชนปฏิพทฺธา อากงขฺ ปฏิ- พทธฺ า มนสิการปฺปฏิพทฺธา จติ ตฺ ปุ ฺปาทปฏพิ ทธฺ า. (ขุ.ป. ๓๑/๕/๔๐๘) “ธรรมทั้งปวงเนื่องดวยการนกึ ความหวงั มนสิการ และจิตตุป- บาทของพระผมู พี ระภาคผูตรสั รู” อาวชฺชนปฺปฏิพทฺธาติ มโนทฺวาราวชฺชนายตฺตา อาวชฺชิตา- นนฺตรเมว ชานาตีติ อตฺโถ. (ขุ.ป.อ. ๒/๕/๒๙๙) “คําวา อาวชฺชนปฺปฏิพทฺธา (เนอื่ งดวยการนกึ ) หมายความวา เนอ่ื งดว ยมโนทวาราวัชชนจติ คือ รูตอ จากการนึกนนั่ เอง” อาวชฺชนปฏิพทฺธเมวาติ อาวชฺชนมตฺตาธีนํ, อาวชฺชิตมตฺเต เอว ยถิจฉฺ ติ สสฺ ปฏิวิชฌฺ นกนฺติ อตฺโถ. (ที.ม.ฏีกา ๒/๑/๕) “คําวา อาวชฺชนปฏิพทฺธเมว (เนื่องดวยการนึกน่ันเอง) หมายความวา เนื่องดวยการนึกเทานั้น คือ เมื่อเพียงแตนึกพิจารณา ก็แทงตลอดไดตามตอ งการ” ๕๐ สมาบัติ ๒๔ แสนโกฏิเหลาน้ีเปนที่ดําเนินไปของมหา- วชิรญาณ คือ ญาณท่ีเปรยี บด่ังสายฟา อนั ยิ่งใหญ ดังขอความวา จตุวีสติโกฏิสตสหสฺสสมาปตฺติสฺจาริมหาวชิรญาณํ นิสฺสาย ทสพลสฺส คเุ ณ อนุสสฺ ริตุ อารภ.ิ (ที.ปา.อ. ๓/๑๔๑/๖๑) “เขาเริ่มปรารภระลึกถึงคุณของพระทศพลเก่ียวกับมหา- วชิรญาณที่ดาํ เนินไปในสมาบัติ ๒๔ แสนโกฏิ)” จตวุ ีสติ ฯเปฯ วชริ าณนตฺ ิ เอตฺถ เกจิ ตาว อาหุ ภควา เทวสิกํ ทฺวาทสโกฏิสตสหสฺสกฺขตฺตุ มหากรุณาสมาปตฺตึ สมาปชฺชติ, ทฺวาทส- ๓๙๘
àªÔ§ÍÃö โกฏิสตสหสฺสกขฺ ตฺตุเมว จ อรหตฺตผลสมาปตฺตึ สมาปชชฺ ติ. ตาสํ ปเุ รจรํ สหวจรจฺ าณํ ปฏปิ กเฺ ขหิ อเภชชฺ ตํ มหตตฺ จฺ อปุ าทาย มหาวชริ าณํ นาม. (ที.ปา.ฏกี า ๓/๑๔๑/๗๐) “ในคาํ นว้ี า จตุวีสติฯเปฯ วชิราณํ (มหาวชริ ญาณท่ดี ําเนินไป ในสมาบัติ ๒๔ แสนโกฏ)ิ บางอาจารยกลา ววา พระผมู พี ระภาคทรงเขา มหากรุณาสมาบัติ ๑๒ แสนโกฏิขณะ และเขาอรหัตตผลสมาบัติ ๑๒ แสนโกฏิขณะ ญาณท่ีเกิดกอนและดําเนินไปรวมกับสมาบัติเหลาน้ัน ชอ่ื วา มหาวชริ ญาณ เพราะไมถกู ปฏิปกษท ําลายและยิง่ ใหญ” ๕๑ ม.ม. ๑๓/๒๓๕/๒๑๑ ๕๒ ที.ม. ๑๐/๑๘๕/๑๐๗ ๕๓ อปฺปมาเทน สมฺปาเทถาติ สติอวิปฺปวาเสน สพฺพกิจฺจานิ สมฺปาเทยฺยาถ. อิติ ภควา ปรินิพฺพานมฺเจ นิปนฺโน ปฺจจตฺตาลีส วสฺสานิ ทนิ นฺ ํ โอวาทํ สพฺพํ เอกสฺมึ อปฺปมาทปเทเยว ปกขฺ ิปต วฺ า อทาส.ิ (ที.ม.อ. ๒/๒๑๘/๒๐๑) “คําวา อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถ (จงทําหนาท่ใี หส ําเรจ็ ดวยความ ไมป ระมาทเถดิ ) หมายความวา เธอทงั้ หลายพงึ ทาํ หนา ทท่ี ง้ั ปวงใหส าํ เรจ็ ดวยความไมอยูปราศจากสติเถิด พระผูมีพระภาคทรงบรรทมเหนือ พระแทนปรินิพพาน ไดประทานสรุปโอวาทท่ีประทานมาตลอด ๔๕ พรรษาลงในคําวา ความไมประมาทเพียงคาํ เดยี วดวยประการฉะน”้ี ๕๔ ขุ.สุ. ๒๕/๑๕๘/๓๖๓ ๕๕ คาํ วา เวภตู กิ มีความหมาย ๒ ประการ คือ ๓๙๙
àªÔ§ÍÃö ๑. คําแสดงความพินาศใหปรากฏ = วิภูตึ กาสตีติ เวภูติกํ (วิภตู ิ บทหนา + กาส ธาตุ <ปกาเส = แสดงใหปรากฏ> + กวฺ ิ ปจ จยั ใน กตั ตุสาธนะ) ๒. คํากระทาํ ความพินาศ = วิภตู ึ กโรตีติ เวภูตกิ ํ (วิภตู ิ บทหนา + กร ธาตุ <กรเณ = กระทํา> + กวฺ ิ ปจ จยั ในกัตตสุ าธนะ) ดงั ขอความวา วิภูตีติ วินาโส. วิภูตึ กาสติ กโรติ วาติ วิภูติกํ. วิภูติกเมว เวภูติกํ เวภูติยนฺติป วุจฺจติ เปสฺุสฺเสตํ อธิวจนํ. ตฺหิ สตฺตานํ อฺ มฺ โต เภทเนน วินาสํ กโรติ. (ข.ุ สุ.อ. ๑/๑๕๘/๒๓๓) “คําวา วิภูติ แปลวา ความพินาศ คาํ วา วภิ ตู กิ ะ คอื คาํ แสดงความพนิ าศใหป รากฏ หรอื คาํ กระทาํ ความพนิ าศ คําแสดงความพินาศใหปรากฏ หรือคํากระทําความพินาศ นนั่ แหละ เรียกวา เวภตู กิ ะ และเวภูติยะ [โดยแปลง อิ ใน วิ เปน เอ] คํานี้เปนช่ือของคําสอเสียด เพราะคําน้ันทําใหเหลาสัตวพินาศดวยการ ทําใหแตกแยกกนั ” ๕๖ อุบายท่ีเปนเหตุชนะศัตรูของพระราชาในสมัยกอน มี ๔ ประการ คือ ๑. เภทะ การยุยงใหแตกแยก คือ พูดยุยงฝายศัตรูที่สามัคคี กันใหแตกแยกเพ่ือบั่นทอนกําลัง เหมือนพระเจาอชาตศัตรูสงวัสสการ พราหมณไปทําลายความสามัคคีของเจาวัชชีแลวจึงบุกยึดเมืองวัชชีใน ภายหลัง ๔๐๐
àªÔ§ÍÃö ๒. ทัณฑะ การสูรบ คอื ตอ ตา นการรนุ รานของฝา ยศัตรู หรอื ปฏิบัตกิ ารรุกรานฝา ยศตั รู ๓. สามะ การเกล้ยี กลอ ม คือ พูดจาหวา นลอมใหศ ัตรูยอมแพ หรอื มาเปน พันธมิตรโดยไมต องสูรบ ๔. ทานะ การตดิ สนิ บน คอื ใชท รพั ยต ดิ สนิ บนศตั รใู หก ลายเปน มิตรหรอื เพื่อซ้ือขา วของฝายศัตรู ดงั ขอ ความวา เภโท ทณฺโฑ สามทานา- นฺยุปายา จตุโร อเิ ม. (อภธิ าน. ๑/๓๔๘) “อบุ ายทเ่ี ปน เหตชุ นะศตั รู มี ๔ ประการ คอื เภทะ (การพดู ยยุ ง ใหแตกแยก) ทัณฑะ (การสรู บ) สามะ (การเกล้ียกลอม) และทานะ (การ ติดสนิ บน)” ๕๗ ขุ.ส.ุ ๒๕/๑๕๙/๓๖๓ ๕๘ โพธิสตฺตสสฺ หิ เอกจฺเจสุ าเนสุ ปาณาติปาโตป อทนิ ฺนา- ทานมฺป กาเมสุมิจฺฉาจาโรป สุราเมรยมชฺชปานมฺป โหติเยว, อตฺถ- เภทกวิสวํ าทนํ ปุรกขฺ ตวฺ า มุสาวาโท นาม น โหติ (ขุ.ชา. ๕/๔๑/๓๑๖) “ทจ่ี รงิ แลว พระโพธสิ ตั วม กี ารฆา สตั ว ลกั ทรพั ย ประพฤตผิ ดิ ใน กาม และดื่มสรุ าเมรยั บา งในทบี่ างแหง แตพ ระองคไ มต รัสมุสาวาทโดย มงุ หลอกลวงทําลายประโยชน” ๕๙ ขุ.ธ. ๒๕/๑๗๖/๔๘ ๖๐ ตํ โข ปนิทํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจํ ภาวิตนฺติ เม ภิกฺขเว ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ จกฺขุ อุทปาทิ, าณํ อุทปาทิ, ๔๐๑
àªÔ§ÍÃö ปฺ า อทุ ปาทิ, วชิ ฺชา อุทปาทิ, อาโลโก อุทปาทิ. (สํ.ม. ๑๙/๑๐๘๑/๓๖๘) “ภิกษุท้ังหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปญญา วิชชา และ แสงสวางไดเกิดแลวแกตถาคตในธรรมท่ีไมเคยสดับมากอนวา เราได อบรมอริยสจั คือมรรคนนั้ แลว” ๖๑ มา โข ตุเมหฺ ภกิ ขฺ เว วจฺฉสสฺ ภกิ ฺขโุ น อุชฺฌายิตถฺ . น ภกิ ขฺ เว วจฺโฉ โทสนตฺ โร ภิกฺขู วสลวาเทน สมุทาจรต.ิ วจฺฉสสฺ ภิกขฺ เว ภกิ ฺขุโน ปฺจ ชาติสตานิ อพฺโภกิณฺณานิ พฺราหฺมณกุเล ปจฺจาชาตนิ. โส ตสฺส วสลวาโท ทีฆรตฺตํ สมุทาจิณฺโณ. เตนายํ วจฺโฉ ภิกฺขู วสลวาเทน สมุทาจรต.ิ (ข.ุ อ.ุ ๒๕/๒๖/๑๓๐) “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เธอทง้ั หลายอยา ถอื โทษพระวจั ฉะเลย วจั ฉะหา ไดม งุ รา ยเรยี กภกิ ษทุ งั้ หลายดว ยคาํ วา คนถอ ยไม พระวจั ฉะเกดิ ในตระกลู พราหมณตดิ ตอกนั ไมมีชว งคน่ั ถึง ๕๐๐ ชาติ เธอคุนเคยกบั การเรยี กวา คนถอยน้ันมานานแลว ดวยเหตนุ น้ั เธอจึงเรียกภกิ ษทุ ้งั หลายดว ยคําวา คนถอย” สวาสนนฺติ เอตฺถ ขีณาสวสฺสป อขีณาสวสทิสกายวจีปโยค- เหตุภูตา สนฺตาเน กเิ ลสภาวนา วาสนา นาม อายสมฺ โต ปล นิ ทฺ วจฉฺ สฺส วสลโวหาโร วยิ . (เนตฺต.ิ ฏีกา ๑๐๕/๑๖๓) “ในคําวา สวาสนํ นี้ การอบรมแหง กิเลสในกระแสจิตซง่ึ ทาํ ให เกิดความเพียรทางกายและวาจาอันเสมอกับบุคคลผูยังมิไดส้ินอาสวะ ช่อื วา วาสนา เหมือนการเรียกวา คนถอ ย ของพระปล นิ ทวจั ฉะ” กา ปนายํ วาสนา นาม? ยํ กิเลสรหิตสฺสาป สนฺตาเน อปฺปหนี - กิเลสานํ สมาจารสทิสสมาจารเหตุภูตํ อนาทิกาลภาวิเตหิ กิเลเสหิ ๔๐๒
àªÔ§ÍÃö อาหิตํ สามตถฺ ยิ มตตฺ ํ. ตถารปู า อธมิ ตุ ฺตตี ิ วทนตฺ ิ. (อุทาน.อ. ๒๖/๒๐๕) ถามวา : ข้นึ ชื่อวา วาสนานีค้ อื อะไร ตอบวา : อาจารยทง้ั หลายกลา ววา วาสนาเปน ความคุนเคยท่ี เปนเพียงความสามารถเชนน้ันท่ีถูกต้ังไวดวยกิเลสซ่ึงถูกอบรมมาตลอด กาลไมป รากฏเบอื้ งตน อนั ทาํ ใหป ระพฤตเิ หมอื นความประพฤตขิ องผยู งั ละกเิ ลสไมไ ด [ซงึ่ เกดิ ขนึ้ ]ในกระแสจติ แมข องทา นผปู ราศจากกเิ ลสแลว ” กา ปนายํ วาสนา นาม? ปหีนกิเลสสฺสป อปฺปหีนกิเลสสฺส ปโยคสทิสปโยคเหตุภูโต กิเลสนิสฺสิโต สามตฺถิยวิเสโส อายสฺมโต ปล นิ ทฺ วจฉฺ สสฺ วสลสมุทาจารนมิ ติ ฺตํ วิย. (สารตฺถ.ฏีกา ๑/๑/๒๗๐) ถามวา : ข้ึนช่อื วา วาสนานค้ี อื อะไร ตอบวา : ความสามารถพิเศษที่อาศัยกิเลสซ่ึงเปนเหตุใหเกิด ความพยายาม[ทางกายหรือวาจา]อันเหมือนกับความพยายามของผูยัง กาํ จดั กิเลสไมไ ด [ซงึ่ เกดิ ข้ึน]แมเกิดผูกาํ จดั กเิ ลสไดแลว ” ๖๒ นนุ อเฺ สมฺป ขีณาสวานํ เต ปหีนา เอวาติ อนุโยคํ มนสิ- กตวฺ า วตุ ตฺ ํ “สวาสนานนตฺ .ิ น หิ เปตฺวา ภควนตฺ ํ อเฺ สห วาสนาย กิเลเส ปหาตุ สกฺโกนตฺ ิ. เอเตน อฺเหิ อสาธารณํ ภควโต อรหตตฺ นตฺ ิ ทสฺสติ ํ โหต.ิ (สารตถฺ .ฏกี า ๑/๑/๒๗๐) “ทานกลาววา สวาสนานํ (พรอ มทั้งความเคยชิน) โดยคํานงึ ถึง คําถามวา ‘แมพระขีณาสพอ่ืนก็กําจัดกิเลสเหลานั้นไดมิใชหรือ’ ท่ีจริง พระขีณาสพอื่นยกเวนพระผูมีพระภาคยอมไมอาจกําจัดกิเลสพรอมทั้ง ความเคยชินได คําวา สวาสนานํ นั้นแสดงวาอรหัตตผลของพระผูมี- พระภาคแตกตางจากพระขีณาสพอ่ืน” ๔๐๓
àªÔ§ÍÃö สา หิ กสุ ลาป อตถฺ ิ อกุสลาป อพยฺ ากตาป, ตถา ปหาตพพฺ าป อตถฺ ิ อปฺปหาตพพฺ าป. ตตถฺ ยา กุสลาพยฺ ากตา, น สา ปหาตพฺพา. ยา ปน อกุสลา, สา สุขุมตรตาย ภควโตเยว อริยมคฺเคน ปหาตพฺพา, นาเฺ ญส.ํ เอวํ สนฺเต อรยิ านมฺป อปายปู ปตฺติ สิยาติ? น สิยา สพเฺ พสเมว อรยิ านํ อปายูปปตฺตเิ หตุกาย วาสนาย ปหีนตตฺ า. ทุวธิ า หิ อกสุ ลา วาสนา กายวจีปโยคเหตภุ ตู า จ อปายปู ปตตฺ -ิ เหตุภูตา จ. ตตฺถ ปุริมา ภควโตเยว อริยมคฺเคน ปหาตพฺพา, อิตรา สพฺเพสมปฺ อรยิ มคฺเคนาติ. ตสมฺ า ยํ วุตฺตํ พุทธฺ าว สวาสเน กิเลเส ปชหติ ํุ สกฺโกนฺติ, นาฺเญติ, ตํ กายวจีปโยคเหตุภูตํ วาสนํ สนฺธาย วุตฺตํ, เนตรนตฺ ิ นฏิ เมตฺถาวคนตฺ พฺพ.ํ (อภธิ าน.ฏีกา ๗๗๒) “กลาวโดยละเอยี ดวา ความเคยชินนนั้ เปน กศุ ลบา ง อกศุ ลบา ง อัพยากฤตบา ง เชนเดียวกันนี้ เปน ส่งิ ทค่ี วรกําจดั บา ง ไมค วรกาํ จดั บาง ในเร่ืองน้ัน ความเคยชินท่ีเปนกุศลและอัพยากฤต ไมควรถูก กําจัด สว นท่ีเปนอกศุ ลควรถกู กาํ จดั ดว ยอรยิ มรรคของพระผูมีพระภาค เพราะเปน สภาพละเอียดย่งิ ไมถ ูกพระขณี าสพอนื่ กาํ จัด ถามวา : เม่ือเปนเชนน้ัน พระอรยิ ะไปเกดิ ในอบายไดหรอื ตอบวา : ไมได เพราะพระอริยะทั้งหมดกําจัดความเคยชินท่ี ทําใหไปเกดิ ในอบายได โดยแทจ รงิ แลว ความเคยชนิ ทเ่ี ปน อกศุ ลมี ๒ ประการ คอื ความ เคยชินที่เปนเหตุใหเกิดความพยายามทางกายและวาจา และความ เคยชินที่เปนเหตุใหไปเกิดในอบาย ในความเคยชินเหลานั้น อยางแรก ควรถกู กาํ จดั ดว ยมรรคญาณอนั ประเสรฐิ ของพระผมู พี ระภาค อยา งหลงั ๔๐๔
àªÔ§ÍÃö อื่นควรถกู กาํ จัดดวยอริยมรรคของพระอรยิ ะท้งั หมด ฉะน้ัน คํากลาววา ‘พระพทุ ธเจา เทา นนั้ กาํ จดั กเิ ลสพรอ มทง้ั ความเคยชนิ ได มใิ ชพ ระขณี าสพ อน่ื ’ จงึ กลา วไวโ ดยหมายถงึ ความเคยชนิ ทเี่ ปน เหตใุ หเ กดิ ความพยายาม ทางกายและวาจา มใิ ชห มายถงึ ความเคยชนิ อนื่ จากน้ี ผมู ปี ญ ญาพงึ เขา ใจ คาํ สรปุ ความในเร่ืองนั้นอยา งนี้” ๖๓ ขุ.ชา. ๒๗/๗๗/๑๙, ขุ.ชา.อ. ๒/๗๗/๑๒๘ ๖๔ นตฺถิ มหาราช ทินฺนํ. นตฺถิ ยิฏ. นตฺถิ หุตํ. นตฺถิ สุกต- ทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก. นตฺถิ อยํ โลโก. นตฺถิ ปโร โลโก. นตถฺ ิ มาตา. นตถฺ ิ ปต า. นตฺถิ สตตฺ า โอปปาติกา. นตถฺ ิ โลเก สมณพรฺ าหฺมณา สมฺมคคฺ ตา สมฺมาปฏปิ นนฺ า, เย อิมฺจ โลกํ ปรฺจ โลกํ สยํ อภิ ฺา สจฺฉกิ ตวฺ า ปเวเทนฺติ. จาตมุ ฺมหาภูตโิ ก อยํ ปุรโิ ส ยทา กาลํ กโรติ, ปวี ปวกิ ายํ อนุเปติ อนปุ คจฺฉติ. อาโป อาโปกายํ อนเุ ปติ อนุปคจฺฉต.ิ เตโช เตโชกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ. วาโย วาโยกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ. อากาสํ อินฺทฺริยานิ สงฺกมนฺติ. อาสนฺทิปฺจมา ปุริสา มตํ อาทาย คจฉฺ นฺต.ิ ยาว อาฬาหนา ปทานิ ปฺายนตฺ ิ. กาโปตกานิ อฏ นี ิ ภวนตฺ .ิ ภสสฺ นฺตา อาหุตโิ ย. ทตตฺ ุปฺตฺตมิทํ ทาน,ํ เตสํ ตจุ ฉฺ ํ มสุ า วลิ าโป. เย เกจิ อตถฺ ิกวาทํ วทนตฺ ิ, พาเล จ ปณฺฑเิ ต จ กายสสฺ เภทา อุจฺฉิชฺชนฺติ วนิ สฺสนฺต,ิ น โหนตฺ ิ ปรํ มรณา. (ที.ส.ี ๙/๑๗๑/๕๕) “มหาบพติ ร การใหท าน การบชู ายญั และการเซน สรวง ไมมี ผล ไมมผี ลวบิ ากแหงกรรมทท่ี ําดีทําชวั่ ไมมโี ลกน้ีและโลกหนา [การทํา ดีหรือช่ัวใน]บิดาและมารดาไมมีผล ไมมีสัตวที่ตายแลวเกิดใหม สมณ- พราหมณผ บู รรลอุ รยิ มรรคอนั ดงี ามปฏบิ ตั ชิ อบ ผรู แู จง โลกนแ้ี ละโลกหนา ๔๐๕
àªÔ§ÍÃö ดวยปญ ญาของตนแลวสอนผอู ่ืนใหรแู จงก็ไมม ใี นโลก เหลา สัตวนีเ้ ปน ทป่ี ระชมุ แหงมหาภตู รูป ๔ เม่อื สน้ิ ชีวิต ธาตดุ ิน ไปตามธาตดุ นิ ธาตนุ า้ํ ไปตามธาตนุ า้ํ ธาตไุ ฟไปตามธาตไุ ฟ ธาตลุ มไปตาม ธาตลุ ม [นาม]อนิ ทรยี ยอมผนั แปรไปเปนอากาศธาตุ มนุษยมีเตียงนอน เปน ท่ี ๕ นาํ ศพไป รา งกายปรากฏอยแู คป า ชา กลายเปน กระดกู ขาวโพลน ดจุ สนี กพริ าบ การเซน สรวงสน้ิ สดุ ลงแคเ ถา ถา น คนเขลาบญั ญตั ทิ านนไ้ี ว บางคนกลาววาการใหทานเปนตนมีผล คําของพวกเขาวางเปลา เท็จ ไรส าระ เม่อื สน้ิ ชวี ติ ท้งั คนเขลาและคนฉลาดยอ มขาดสูญไมเกดิ อีก” ๖๕ ยํ ตถาคโต วาจํ ชานาติ อภูตํ อตจฉฺ ํ อนตถฺ สฺหติ ,ํ สา จ ปเรสํ อปฺปย า อมนาปา, น ตํ ตถาคโต วาจํ ภาสติ. ยมฺป ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฺฉํ อนตถฺ สหฺ ิตํ, สา จ ปเรสํ อปปฺ ย า อมนาปา, ตมฺป ตถาคโต วาจํ น ภาสติ. ยฺจ โข ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฺฉํ อตถฺ สหฺ ติ ,ํ สา จ ปเรสํ อปปฺ ยา อมนาปา, ตตรฺ กาลฺ ู ตถาคโต โหติ ตสฺสา วาจาย เวยฺยากรณาย. ยํ ตถาคโต วาจํ ชานาติ อภูตํ อตจฺฉํ อนตฺถสหฺ ิต,ํ สา จ ปเรสํ ปย า มนาปา, น ตํ ตถาคโต วาจํ ภาสติ. ยมปฺ ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภตู ํ ตจฺฉํ อนตฺถสหฺ ติ ํ, สา จ ปเรสํ ปย า มนาปา, ตมปฺ ตถาคโต วาจํ น ภาสติ. ยจฺ โข ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฉฺ ํ อตฺถสฺหิตํ, สา จ ปเรสํ ปยา มนาปา, ตตฺร กาลฺู ตถาคโต โหติ ตสสฺ า วาจาย เวยยฺ ากรณาย. (ม.ม. ๑๓/๘๖/๖๔) “ ๑. ตถาคตรวู าจาใดวา ไมจ ริงแท ไรประโยชน ไมเ ปน ทรี่ ักชอบ ของคนอ่ืน ยอมไมต รสั วาจานัน้ ๒. ตถาคตรูวาจาใดวาจริงแท ไรประโยชน ไมเปนที่รักชอบ ๔๐๖
àªÔ§ÍÃö ของคนอื่น ยอ มไมต รสั วาจานน้ั ๓. ตถาคตรวู าจาใดวา จรงิ แท มปี ระโยชน ไมเ ปน ทร่ี กั ชอบของ คนอ่ืน ยอมรูจ กั กาลอันควรเพื่อตรัสวาจาน้นั ๔. ตถาคตรวู าจาใดวา ไมจ รงิ แท ไรป ระโยชน เปน ทร่ี กั ชอบของ คนอื่น ยอ มไมต รสั วาจาน้นั ๕. ตถาคตรูวาจาใดวาจริงแท ไรประโยชน เปนท่ีรักชอบของ คนอน่ื ยอ มไมตรัสวาจานนั้ ๖. ตถาคตรวู าจาใดวา จรงิ แท มปี ระโยชน เปน ทรี่ กั ชอบของคน อนื่ ยอมรูจ กั กาลอนั ควรเพื่อตรสั วาจาน้ัน” ๖๖ ขุ.ส.ุ ๒๕/๑๖๐/๓๖๓ ๖๗ ขุ.สุ. ๒๕/๑๖๑/๓๖๓ ๖๘ อุปฺปชฺชติ กามวิตกฺโกติ โพธิสตฺตสฺส ฉพฺพสฺสานิ ปธานํ ปทหโต รชฺชสขุ ํ วา อารพฺภ ปาสาเท วา นาฏกานิ วา โอโรเธ วา กิ จฺ -ิ เทว วา สมฺปตฺตึ อารพฺภ กามวิตกฺโก นาม น อุปฺปนฺนปุพฺโพ. (ม.มู.อ. ๑/๒๐๗/๔๐๗) “คาํ วา อปุ ฺปชฺชติ กามวิตกฺโก (กามวติ กเกดิ ขน้ึ ) หมายความวา เมอื่ พระโพธิสัตวท รงพากเพียรอยู ๖ ป ขึ้นช่ือวากามวิตกปรารภความ สุขในการครองราชย ปรารภปราสาท นางฟอนรํา นางสนม หรอื ปรารภ สมบัตอิ ยางใดอยางหนึง่ ไมเคยเกิดข้นึ ” สตตฺ วสฺสานิ ภควนฺตํ อนุพนธฺ ึ ปทาปทํ โอตารํ นาธคิ จฺฉสิ สฺ ํ สมพฺ ทุ ธฺ สสฺ สตมี โต. (ขุ.ส.ุ ๒๕/๔๔๙/๔๑๕) ๔๐๗
àªÔ§ÍÃö “หมอ มฉันตามสะกดรอยพระผูมพี ระภาคนานถงึ ๗ ปก ย็ งั หา โอกาส[กลาวโทษ]พระสัมพุทธเจาผทู รงสิรมิ ิไดเ ลย” มาโร อทุ านสทเฺ ทน อาคนตฺ วฺ า “อยํ พทุ ฺโธ อหนฺติ ปฏชิ านาติ. หนฺท นํ อนุพนฺธามิ อาภิสมาจาริกํ ปสสฺ ติ ุ. สจสฺส กิ จฺ ิ กาเยน วา วาจาย วา ขลิตํ ภวิสสฺ ติ, วิเหเสสฺ ามิ นนฺติ ปพุ ฺเพ โพธสิ ตตฺ ภูมยิ ํ ฉพพฺ สสฺ านิ อนุพนฺธติ วฺ า พทุ ธฺ ตตฺ ํ ปตฺตํ เอกํ วสสฺ ํ อนุพนฺธ.ิ ตโต ภควโต กิจฺ ิ ขลติ ํ อปสฺสนฺโต สตฺต วสฺสานีติ อิมา นิพฺเพชนียคาถาโย อภาสิ. (ขุ.สุ.อ. ๒/๔๔๙/๒๑๔) “มารกลับมาดวยเสียงเปลงอุทานแลวดําริวา ‘สิทธัตถะน้ี ปฏิญาณวา เราเปนพระพทุ ธเจา แลว เอาเถิด เราจะตดิ ตามพระองคเ พ่อื เฝาดูความประพฤติ หากพระองคจ ักมีความผิดพลาดทางกายหรอื วาจา เราจกั กลา วโทษ’ ไดต ดิ ตามตลอด ๖ ปใ นคราวเปน พระโพธสิ ตั วค รงั้ กอ น แลว ติดตามพระองคผ เู ปน พระพทุ ธเจาแลว อกี ๑ ป ถงึ กระน้นั มารก็ไม เหน็ ความผดิ พลาดอะไรๆ ของพระผมู พี ระภาค จงึ กลา วคาถาเหลา นดี้ ว ย ความทอ ใจวา สตฺต วสฺสานิ (ตลอด ๗ ป) เปนตน ” ๖๙ ตํ โข ปนิทํ ทุกขฺ สมทุ โย อริยสจฺจํ ปหนี นตฺ ิ เม ภกิ ขฺ เว ปพุ เฺ พ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ จกฺขุ อุทปาทิ, าณํ อุทปาทิ, ปฺา อุทปาทิ, วิชฺชา อุทปาทิ, อาโลโก อทุ ปาทิ. (ส.ํ ม. ๑๙/๑๐๘๑/๓๖๗) “ภิกษุท้ังหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปญญา วิชชา และ แสงสวางไดเกิดแลวแกตถาคตในธรรมที่ไมเคยสดับมากอนวา เราละ อรยิ สจั คอื ทกุ ขสมุทยั นั้นแลว ” ๔๐๘
àªÔ§ÍÃö ๗๐ รเู ป โข ภิกฺขเว สติ รปู อปุ าทาย รูป อภนิ ิวสิ ฺส มิจฺฉาทฏิ ิ อปุ ปฺ ชชฺ ติ. เวทนาย สติ ฯเปฯ สฺาย สติ ฯเปฯ สงฺขาเรสุ สติ ฯเปฯ วิฺาเณ สติ วิฺาณํ อุปาทาย วิฺาณํ อภินิวิสฺส มิจฺฉาทิฏิ อปุ ฺปชฺชติ. ตํ กึ มฺ ถ ภิกขฺ เว. รูป นิจจฺ ํ วา อนิจจฺ ํ วาต?ิ อนิจจฺ ํ ภนเฺ ต. ยํ ปนานิจจฺ ํ ฯเปฯ อปนุ ตํ อนปุ าทาย มจิ ฺฉาทฏิ ิ อุปฺปชเฺ ชยยฺ าต?ิ โน เหตํ ภนฺเต. เวทนา ฯเปฯ สฺา ฯเปฯ สงขฺ ารา ฯเปฯ วิฺ าณํ นิจฺจํ วา อนิจจฺ ํ วาต?ิ อนิจจฺ ํ ภนเฺ ต. ยํ ปนานจิ จฺ ,ํ ทกุ ขฺ ํ วา ตํ สุขํ วาต?ิ ทกุ ฺขํ ภนเฺ ต. ยํ ปนานจิ จฺ ํ ทุกฺขํ วปิ ริณามธมมฺ ํ, อปนุ ตํ อนปุ าทาย มิจฺฉาทฏิ ิ อุปปฺ ชเฺ ชยยฺ าติ? โน เหตํ ภนฺเต. (ส.ํ ข. ๑๗/๑๕๔/๑๔๘) “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เมอ่ื มรี ปู มจิ ฉาทฏิ ฐจิ งึ เกดิ ขนึ้ เพราะยดึ มน่ั อาศยั รปู เมื่อมเี วทนา ... สญั ญา ... สงั ขาร ... วิญญาณ มิจฉาทิฏฐิจงึ เกดิ ขึ้น เพราะยดึ มัน่ อาศยั วญิ ญาณ เธอทง้ั หลายจะเขา ใจความขอ นน้ั วา อยา งไร รปู เทยี่ งหรอื ไมเ ทยี่ ง ไมเ ท่ียง พระพุทธเจา ขา ส่ิงใดไมเท่ียง ... มิจฉาทิฏฐิจะเกิดขึ้นไดเพราะไมยึดม่ันส่ิงน้ัน หรือ เกิดข้นึ ไมไ ด พระพทุ ธเจาขา เวทนา ... สัญญา ... สงั ขาร ... วญิ ญาณเทยี่ งหรอื ไมเ ที่ยง ไมเท่ยี ง พระพุทธเจา ขา ส่งิ ใดไมเทยี่ ง สิง่ นนั้ เปนทกุ ขห รือเปน สขุ เปนทุกข พระพทุ ธเจาขา ๔๐๙
àªÔ§ÍÃö ส่ิงใดไมเ ท่ยี ง เปน ทุกข มคี วามแปรผันเปน ธรรมดา มจิ ฉาทิฏฐิ จะเกิดขึ้นไดเพราะไมย ดึ มั่นส่ิงนน้ั หรอื เกดิ ขนึ้ ไมได พระพุทธเจา ขา” ๗๑ วสฺสสหสสฺ ายุเกสุ ภกิ ฺขเว มนสุ ฺเสสุ มิจฉฺ าทิฏิเวปลุ ลฺ มคมาสิ. มิจฺฉาทิฏ ยิ า เวปลุ ฺลํ คตาย เตสํ สตตฺ านํ อายปุ ปริหาย,ิ วณฺโณป ปรหิ าย.ิ เตสํ อายุนาป ปริหายมานานํ วณฺเณนป ปริหายมานานํ วสฺสสหสฺสา- ยกุ านํ มนุสฺสานํ ปฺ จวสฺสสตายกุ า ปตุ ตฺ า อเหส.ุ (ที.ปา. ๑๔/๑๐๐/๖๐) “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เมอื่ มนษุ ยม อี ายขุ ยั ๑,๐๐๐ ป มจิ ฉาทฏิ ฐกิ แ็ พร หลาย เมือ่ มจิ ฉาทฏิ ฐแิ พรห ลาย คนเหลา นัน้ มีอายุและวรรณะเสื่อมถอย ลง เมอ่ื พวกเขามอี ายแุ ละวรรณะเสอ่ื มถอยลง บตุ รของมนษุ ยท มี่ อี ายขุ ยั ๑,๐๐๐ ปก็มอี ายุขยั ถอยลงเหลอื ๕๐๐ ป” ๗๒ ทสวสสฺ ายเุ กสุ ภิกขฺ เว มนสุ ฺเสสุ ทส กุสลกมมฺ ปถา สพเฺ พน สพฺพํ อนฺตรธายิสฺสนฺติ. ทส อกุสลกมฺมปถา อติพฺยาทิปฺปสฺสนฺติ. ทส- วสฺสายุเกสุ ภิกฺขเว มนุสฺเสสุ กุสลนฺติป น ภวิสฺสติ, กุโต ปน กุสลสฺส การโก. (ท.ี ปา. ๑๔/๑๐๓/๖๑) “เมือ่ มนุษยมีอายุขัย ๑๐ ป กศุ ลกรรมบถ ๑๐ จกั อันตรธานไป หมดสน้ิ อกุศลกรรมบถ ๑๐ จกั เจริญรุง เรืองเหลือเกิน เม่อื มนุษยมีอายุ ขยั ๑๐ ป แมแตช ่อื วา กศุ ลก็จักไมมี คนท่ที าํ กศุ ลจักมไี ดอยางไร” ๗๓ จกฺขมุ าติ ภควา ปกตทิ ิพพฺ ปฺ าสมนฺตพทุ ธฺ จกขฺ ูหิ ปจฺ หิ จกขฺ ูหิ จกฺขุมา. (ข.ุ สุ.อ. ๑/๓๑-๒/๔๐) “คาํ วา จกขฺ มุ า(ผทู รงพระจกั ษ)ุ หมายความวา พระผมู พี ระภาค ทรงมพี ระจกั ษุ[ประกอบ]ดว ยจกั ษุ ๕ คอื (๑) จักษปุ กติ (๒) จกั ษทุ ิพย ๔๑๐
àªÔ§ÍÃö (๓) ปญญาจกั ษุ (๔) สมนั ตจกั ษุ (๕) พทุ ธจักษ”ุ จกฺขุมตาติ มํสจกฺขุ ทิพฺพจกฺขุ ปฺาจกฺขุ พุทฺธจกฺขุ สมนฺต- จกขฺ ตู ิ อเิ มหิ ปฺจหิ จกฺขูหิ จกขฺ มุ ตา. (ขุ.เถร.อ. ๒/๔๒๒/๑๑๖) “คําวา จกฺขมุ ตา (ผทู รงพระจกั ษ)ุ หมายความวา พระพทุ ธเจา ทรงพระจกั ษุดว ยจักษุ ๕ ประการนี้ คือ (๑) มงั สจักษุ (๒) ทิพยจักษุ (๓) ปญญาจักษุ (๔) พทุ ธจกั ษุ (๕) สมันตจักษุ” ๗๔ ธมฺมจกฺขุนฺติ อิธ โสตาปตฺติมคฺโค อธิปฺเปโต. (องฺ.นวก.อ. ๓/๑๒/๒๓๗) “ในคําวา ธมมฺ จกขฺ ุํ (ดวงตาเหน็ ธรรม) นี้ หมายเอาโสตาปตติ- มรรค” ๗๕ กตถฺ จิ ธมมฺ จกขฺ มุ หฺ ิ “วริ ชํ วตี มลํ ธมมฺ จกขฺ ุํ อทุ ปาทตี ิ หิ เอตถฺ อรยิ มคฺคตตฺ ยปฺญา. (ที.ส.ี อ. ๑/๓๑๓/๑๖๕) “ในบางท่ี ปญ ญาในโลกตุ ตรมรรคอนั ประเสรฐิ ๓ ขน้ั เปน ธรรม จักษุในพระบาลีนีว้ า วริ ชํ วตี มลํ ธมมฺ จกขฺ ํุ อทุ ปาทิ (ดวงตาเห็นธรรมอนั ปราศจากธลุ มี ลทนิ )” ๗๖ ธมมฺ จกขฺ ุนฺติ อมิ สมฺ ึ สุตฺเต จตฺตาโร จ มคฺคา จตฺตาริ จ ผลานิ ธมมฺ จกฺขุนฺติ เวทติ พฺพานิ. ตตฺถ หิ กาจิ เทวตา โสตาปนฺนา อเหสุํ, กาจิ สกทาคามี, อนาคามี, ขีณาสวา. ตาสฺจ ปน เทวตานํ เอตฺตกาติ คณนวเสน ปริจเฺ ฉโท นตฺถิ. (สํ.ม.อ. ๓/๑๒๑/๔๓) “ในคาํ วา ธมมฺ จกขฺ ุํ (ดวงตาเหน็ ธรรม) มรรค ๔ และผล ๔ พึง ทราบวา เปน ธรรมจกั ษใุ นพระสตู รน้ี เพราะในทแี่ สดงพระสตู รนน้ั มเี ทวดา บางตนเปนพระโสดาบันบาง พระสกทาคามีบาง พระอนาคามีบาง ๔๑๑
àªÔ§ÍÃö พระอรหนั ตบ า ง และไมม กี าํ หนดจาํ นวนวา เทวดาเหลา นน้ั มเี พยี งเทา น”ี้ ๗๗ ธมฺมจกขฺ นุ ฺติ อฺ ตฺถ ตโย มคฺคา ตีณิ จ ผลานิ ธมมฺ จกฺขุ นาม โหนตฺ ิ, อธิ ปมมคโฺ คว. (ส.ํ ม.อ. ๓/๑๐๘๑/๓๘๐) “ในคาํ วา ธมมฺ จกขฺ ํุ (ดวงตาเหน็ ธรรม) มรรค ๓ และผล ๓ ชือ่ วาดวงตาเห็นธรรม ในพระสูตรอ่ืน แตในธัมมจักกัปปวัตนสูตรนี้ปฐม- มรรคน่นั แหละช่ือวาดวงตาเหน็ ธรรม” ธมมฺ จกฺขุนตฺ ิ พฺรหฺมายุสตุ เฺ ต เหฏ มิ า ตโย มคคฺ า วตุ ฺตา, จูฬ- ราหุโลวาเท อาสวกขฺ โย, อิธ ปน โสตาปตตฺ มิ คโฺ ค อธิปเฺ ปโต. (สารตฺถ.ฏีกา ๓/๑๖/๒๒๐) “มรรค ๓ ข้ันต่ําเรียกวาดวงตาเห็นธรรมในพรัหมายุสูตร การสิ้นอาสวะ (อรหตั ตมรรค) เรยี กวา ดวงตาเหน็ ธรรมในจูฬราหุโลวาท สูตร แตใ นธมั มจักกัปปวตั นสูตรนห้ี มายเอาโสตาปตตมิ รรค” ธมฺมจกฺขุนฺติ อิธ จตุสจฺจธมฺเมสุ จกฺขุกิจฺจกรณโต โสตาปตฺติ- มคฺโค อธิปฺเปโต. (วิมติ.ฏีกา ๒/๑๖/๑๑๘) “โสตาปต ตมิ รรคถกู ระบวุ า เปน ดวงตาเหน็ ธรรม เพราะทาํ หนา ท่ี ของดวงตาในสัจธรรม ๔” ๗๘ ยโต จ โข เม ภิกขฺ เว อิเมสุ จตูสุ อริยสจฺเจสุ เอวํ ตปิ รวิ ฏฏํ ทฺวาทสาการํ ยถาภูตํ ญาณทสสฺ นํ สุวิสุทฺธํ อโหสิ. อถาหํ ภกิ ฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนตุ ฺตรํ สมฺมาสมโฺ พธึ อภสิ มฺพุทฺโธติ ปจจฺ ญฺ าส.ึ (ว.ิ ม. ๔/๑๖/๑๕, สํ.ม. ๑๙/๑๐๘๑/๓๖๘) ๔๑๒
àªÔ§ÍÃö ๗๙ ตสฺมาติห เต พาหิย เอวํ สิกฺขิตพฺพํ “ทิฏเ ทิฏมตฺตํ ภวิสฺสติ, สุเต สุตมตฺตํ ภวิสฺสติ, มุเต มุตมตฺตํ ภวิสฺสติ, วิฺาเต วิฺาตมตตฺ ํ ภวิสสฺ ตีติ. เอวหฺ ิ เต พาหยิ สิกขฺ ติ พพฺ ํ. ยโต โข เต พาหยิ ทฏิ เ ทฏิ มตฺตํ ภวิสฺสติ, สเุ ต สุตมตฺตํ ภวิสสฺ ติ, มเุ ต มตุ มตฺตํ ภวิสสฺ ติ, วิ ฺาเต วิฺ าตมตตฺ ํ ภวิสสฺ ต,ิ ตโต ตฺวํ พาหิย น เตน. ยโต ตวฺ ํ พาหยิ น เตน, ตโต ตวฺ ํ พาหยิ น ตตฺถ. ยโต ตวฺ ํ พาหิย น ตตถฺ , ตโต ตวฺ ํ พาหิย เนวธิ น หรุ ํ น อุภยมนฺตเรน. เอเสวนโฺ ต ทุกขฺ สฺสาติ. (ข.ุ อุ. ๒๕/๑๐/๑๐๒-๓) “พาหยิ ะ เพราะเหตนุ ้ัน เมื่อเหน็ จงเพียงแตเห็น เมื่อไดย ินจง เพียงแตไ ดย ิน เม่อื รูจ งเพยี งแตร ู เมอื่ คดิ จงเพียงแตค ิด พาหยิ ะ เธอพึง รกั ษาอยา งนี้แล เมอื่ ใด เธอเมื่อเหน็ จงเพยี งแตเห็น เมอื่ ไดย ินจงเพยี ง แตไ ดย นิ เมอื่ รจู งเพยี งแตร ู เมอ่ื คดิ จงเพยี งแตค ดิ เมอ่ื นนั้ เธอยอ มไมเ ปน ไปรว มกนั เมอ่ื ใด เธอไมเปนไปรว มกันในสภาวะเหน็ เปน ตน เม่ือนัน้ เธอ กจ็ ะไมย ดึ ตดิ ในสภาวะเหน็ เปน ตน นน้ั เมอื่ ใด เธอไมย ดึ ตดิ ในสภาวะเหน็ เปน ตน นน้ั เมอื่ นนั้ เธอจกั ไมม ใี นโลกน้ี ไมม ใี นโลกอน่ื ไมม ใี นระหวา งโลก ทั้งสอง ความไมม นี ้เี ปน ทส่ี ุดแหงทกุ ข” ๘๐ กตโม จ สตตฺ านํ อาสโย? สสสฺ โต โลโกติ วา, อสสสฺ โต โลโกติ วา, อนฺตวา โลโกติ วา, อนนตฺ วา โลโกติ วา, ตํ ชีวํ ตํ สรีรนฺติ วา, อฺ ํ ชวี ํ อฺ ํ สรรี นฺติ วา, โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ วา, น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ วา, โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ วา, เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ วา อิติ ภวทฏิ สนนฺ ิสสฺ ิตา วา สตฺตา โหนตฺ ิ วภิ วทฏิ สนนฺ ิสฺสติ า วา, เอเต วา ปน อโุ ภ อนเฺ ต อนุปคมฺม อิทปปฺ จฺจย- ตาปฏิจฺจสมุปฺปนฺเนสุ ธมฺเมสุ อนุโลมิกา ขนฺติ ปฏิลทฺธา โหติ ยถาภูตํ ๔๑๓
àªÔ§ÍÃö วา าณํ. อยํ สตฺตานํ อาสโย. (อภ.ิ วิ. ๓๕/๘๑๕/๔๑๕) “ความนอมใจชอบของสตั วท้ังหลาย คอื อะไร คือความเห็นวา โลกเที่ยง โลกไมเ ท่ียง โลกมีทีส่ ดุ โลกไมม ที ีส่ ดุ ชีวะกับสรรี ะเปนอยาง เดียวกนั ชีวะกบั สรีระเปนคนละอยางกัน สัตวเกิดอีกหลังจากตายแลว สัตวไมเ กดิ อีกหลงั จากตายแลว สัตวเกิดอีกก็ใช จะวา ไมเ กิดอกี กใ็ ชห ลัง จากตายแลว สัตวเกิดอีกก็มิใช จะวาไมเกิดอีกก็มิใชหลังจากตายแลว เหลา สตั วอ าศยั ภวทฏิ ฐิ (สสั สตทฏิ ฐ)ิ หรอื วภิ วทฏิ ฐิ (อจุ เฉททฏิ ฐ)ิ ดงั กลา ว มานี้ อีกอยางหน่ึง คือเหลาสัตวผูไมเขาถึงที่สุดท้ังสองนี้ ไดบรรลุอนุ- โลมกิ ขนั ติ (ปญ ญาหยัง่ เหน็ คลอ ยตามโลกุตตรธรรม, วิปสสนาญาณ) ใน สภาวธรรมทเี่ ปน ปจ จยั ของกนั และกนั และเกดิ ขนึ้ อาศยั กนั หรอื ไดบ รรลุ ยถาภูตญาณ (ปญ ญารเู ห็นตามความเปนจรงิ ) นชี้ ่อื วาความนอมใจชอบ ของเหลา สตั ว” อนโุ ลมกิ า ขนตฺ ตี ิ วปิ สสฺ นาาณ.ํ ยถาภตู ํ วา าณนตฺ ิ มคคฺ าณ.ํ อทิ ํ วุตตฺ ํ โหต-ิ ยา ปฏจิ จฺ สมุปฺปาเท เจว ปฏจิ จฺ สมุปปฺ นนฺ ธมฺเมสุ จ เอเต อุโภ สสฺสตุจฺเฉทอนฺเต อนุปคนฺตฺวา วิปสฺสนา ปฏิลทฺธา ยฺจ ตโต อุตตฺ รมิ คคฺ าณํ, อยํ สตฺตานํ อาสโย อยํ วฏฏ สนนฺ สิ สฺ ิตานจฺ ววิ ฏฏ - สนนฺ สิ ฺสติ านฺจ สพเฺ พสมปฺ สตตฺ านํ อาสโย อิทํ วสนฏ านนฺติ. (อภ.ิ ว.ิ อ. ๒/๘๑๕/๔๙๔) “คําวา อนุโลมิกา ขนฺติ (ปญญาหยั่งเห็นคลอยตามโลกุตตร- ธรรม) คอื วิปส สนา คําวา ยถาภูตํ วา ญาณํ (หรือไดบรรลุยถาภูตญาณ) คือ มรรค ญาณ ความหมายคอื วิปสสนาท่ีผูเ พยี รปฏิบตั ิไดบรรลโุ ดยไมเขาถงึ ทส่ี ดุ ๔๑๔
àªÔ§ÍÃö ท้ังสองเหลานี้คือสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิในปฏิจจสมุปบาทและ สภาวธรรมทเ่ี กดิ ขนึ้ อาศยั กนั พรอ มทงั้ มรรคญาณทยี่ ง่ิ กวา วปิ ส สนา ญาณ ทงั้ สองนช้ี อ่ื วา ความนอ มใจชอบ คอื เรอื นของสตั วท งั้ ปวงผทู อี่ าศยั วฏั ฏะ หรอื วิวฏั ฏ” ๘๑ คําวา อนุสย มคี วามหมาย ๔ ประการ คือ ๑. กิเลสท่ีเกิดขึ้นเม่ือไดรับเหตุปจจัยอันเหมาะสม = อนุ- เสนฺตตี ิ อนุสยา (อนุ อปุ สรรคมอี รรถวา เหมาะสม + สิ ธาตุ มอี รรถวา เกิดขึ้น) ๒. กเิ ลสทเ่ี กดิ ขนึ้ เสมอ = อนุ อนุ เสนตฺ ตี ิ อนสุ ยา (อนุ อปุ สรรค มีอรรถวา เสมอ + สิ ธาตุ มอี รรถวา เกดิ ขึ้น) ๓. กิเลสท่ีคลอยตามนอนเนื่องอยู = อนุรูปา หุตฺวา เสนฺตีติ อนสุ ยา (อนุ อปุ สรรคมอี รรถวา คลอ ยตาม + สิ ธาตุ มอี รรถวา นอนเนอ่ื ง) ๔. กิเลสที่นอนเนื่องเสมอ = อนุ อนุ เสนฺตีติ อนุสยา (อนุ อุปสรรคมอี รรถวา เสมอ + สิ ธาตมุ ีอรรถวา นอนเนอ่ื ง) ๘๒ พทุ ธฺ จกขฺ นุ าติ อนิ ทฺ รฺ ยิ ปโรปรยิ ตตฺ าเณน จ อาสยานสุ ยาเณน จ. อเิ มสหฺ ิ ทวฺ นิ ฺนํ าณานํ “พทุ ฺธจกฺขตู ิ นามํ (ว.ิ ม.อ. ๓/๙/๑๕, ที.ม.อ. ๒/๖๙/๖๔) “คาํ วา พทุ ธฺ จกขฺ นุ า (ดว ยพทุ ธจกั ษ)ุ คอื ดว ยอนิ ทรยิ ปโรปรยิ ตั - ตญาณและอาสยานุสยญาณ” ๘๓ ข.ุ ธ. ๒๕/๒๘๕/๖๖, ข.ุ ธ.อ. ๒/๒๘๕/๓๑๓-๑๕ ๘๔ ขุ.ธ.อ. ๒/๓๘๙-๙๐/๔๗๕ ๘๕ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๑๖๒/๓๖๓ ๔๑๕
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 507
Pages: