Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เหมวตสูตร พระสูตรว่าด้วยพระพุทธเจ้าโดยละเอียด พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) _ รจนา, สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) _ ตรวจชำระ,พระคันธสารราภิวงศ์ แปลและเรียบเรียง

เหมวตสูตร พระสูตรว่าด้วยพระพุทธเจ้าโดยละเอียด พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) _ รจนา, สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) _ ตรวจชำระ,พระคันธสารราภิวงศ์ แปลและเรียบเรียง

Description: ✍️☸️✅ แบ่งปันโดย ❝ ศร-ศิษฏ์❞ เหมวตสูตร พระสูตรว่าด้วยพระพุทธเจ้าโดยละเอียด พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ) _ รจนา, สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) _ ตรวจชำระ,พระคันธสารราภิวงศ์ แปลและเรียบเรียง

Search

Read the Text Version

ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà รูปในสมยั ของพระพทุ ธเจา ๗ พระองค รวมท้ังพระพทุ ธเจา พระองคน้ี วันหน่ึง พระพุทธองคทรงประสงคจะทําใหทานสังเวชใจวาตนยังมิได บรรลุฌานหรือมรรคผล จึงเรียกทานวา ตุจฺฉโปฏลิ (พระโปฏฐิละผู วางเปลาจากแกนสาร) พอทานไดยินดังนั้นจึงสลดใจ แลวออกจากวัด เดนิ ทางไป ๑๒๐ โยชนเพ่ือปฏบิ ัตธิ รรม ทานไดพ บวดั ปา มภี กิ ษุ ๓๐ รปู ซึ่งเปนพระอรหันตท ง้ั หมด จงึ เขา ไปพาํ นกั และขอกรรมฐาน ภิกษุเหลา นั้นทราบวาทานยังมีมานะเกี่ยวกับปริยัติอยู จึงลดมานะของทานดวย การใหทานไปขอกรรมฐานกับสามเณรนอยอายุ ๗ ขวบ เมื่อทานขอ กรรมฐานแลวไดลดมานะของตนลง พระพุทธองคจึงเปลงโอภาสแลว แสดงธรรมแกทาน ทาํ ใหทา นไดบรรลธุ รรมเปนพระอรหนั ต บางคนอา งเร่ืองนแ้ี ลวตาํ หนกิ ารศึกษาปรยิ ตั ิวาไมสาํ คญั เพราะ ขนาดภกิ ษผุ ทู รงพระไตรปฎ กกย็ งั ถกู พระพทุ ธเจา ตาํ หนวิ า เปน ผวู า งเปลา จากแกน สาร ถาการศึกษาปรยิ ัตไิ มส าํ คญั จริงอยา งนน้ั เหตุใดพระพทุ ธ- องคจ งึ อนญุ าตใหท า นศกึ ษาเลา เรยี นจนกระทง่ั ทรงจาํ พระไตรปฎ ก และ สอนธรรมแกภิกษุ ๕๐๐ รูปเปนเวลานาน พระพุทธองคควรจะหาม ไมใหทานศึกษาปริยัติตั้งแตตน ดังน้ัน จึงสรุปไดวา ทานพระโปฏฐิละ คงจะปฏิบัติธรรมไปพรอมกับการสอนพระไตรปฎก แตบารมีของทาน ยังไมแกกลา พระพุทธองคทรงรอคอยเวลาที่เหมาะสมจนกระท่ังบารมี ของทานแกกลาแลว จึงตรัสเรียกทานเชนน้ันเพื่อใหทานสังเวชใจแลว มงุ มน่ั ปฏบิ ตั ธิ รรมอยา งเตม็ ที่ ทีจ่ รงิ แลว สง่ิ ทขี่ ดั ขวางไมใ หท า นบรรลธุ รรม ก็คือมานะที่ถือตนวาเราเกงกวาคนอื่นในดานปริยัติ พอทานถอนมานะ ไดแ ลว พระพทุ ธองคจ ึงทรงแสดงธรรมทาํ ใหท า นบรรลุธรรมได ๓๖๖

ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà เร่ืองทานพระโปฏฐิละน้ีเปนตัวอยางของผูที่ไดปฏิบัติธรรมเปน เวลานาน แตยังไมอาจบรรลุธรรมไดเพราะมานะเปนเครื่องขัดขวาง นอกจากนัน้ ในปญ จวัคคยี  ๕ รูป ทา นพระอญั ญาโกณฑัญญะเพยี งรูป เดยี วสามารถบรรลุธรรมในขณะฟงได สว นปญ จวัคคียทเ่ี หลือ ๔ รปู ได บรรลุธรรมดว ยการปฏิบตั ิ กลาวคอื ทา นวัปปะไดด วงตาเหน็ ธรรมในวนั แรม ๑ ค่ํา เดือน ๘ ทานภัททยิ ะไดใ นวนั แรม ๒ ค่ํา ทา นมหานามะได ในวันแรม ๓ คา่ํ และทา นอัสสชไิ ดใ นวันแรม ๔ คํา่ โดยพระผูมีพระภาค ประทบั อยใู นพระวหิ าร มไิ ดเ สดจ็ ออกบณิ ฑบาตเพอื่ คอยแนะนาํ ภกิ ษทุ งั้ ๔ หากมปี ญหาเกิดข้นึ ในขณะปฏิบัติ และในวนั แรม ๕ คํา่ เดือนอาสาฬหะ พระผูมีพระภาคไดทรงแสดงอนตั ตลักขณสตู รแกภ ิกษปุ ญจวคั คยี ๒ ๔ สรุปความในพระสูตรน้ีวา การบรรลุธรรมมีไดดวยเหตุ ๕ ประการ คอื การฟง ธรรม การสอนธรรม การสาธยายธรรม การพจิ ารณา ธรรม และการปฏบิ ตั ธิ รรม ประการสดุ ทา ยคอื การปฏบิ ตั ธิ รรมนกี้ ค็ อื การ เจรญิ นมิ ติ ทก่ี อ ใหเ กดิ สมาธิ หมายความวา ผทู เ่ี จรญิ วปิ ส สนาภาวนาตอ ง รับรรู ูปนามปจ จบุ นั ที่เรยี กวา สังขารนิมิต เพื่อกอใหเกดิ วิปสสนาขณกิ - สมาธิในขณะบรรลุวิปสสนาญาณและอัปปนาสมาธิในขณะบรรลุมรรค สว นผทู เ่ี จรญิ สมถภาวนาตอ งรบั รอู ารมณบ ญั ญตั เิ พอ่ื กอ ใหเ กดิ บรกิ รรม- สมาธิ อปุ จารสมาธิ และอปั ปนาสมาธติ ามลาํ ดบั อยางไรก็ตาม ในคัมภีรอรรถกถาของวิมุตตายตนสูตรกลาววา นมิ ติ ทก่ี อ ใหเ กดิ สมาธใิ นเรอ่ื งนี้ คอื อารมณ ๓๘ อยา งของสมถกรรมฐาน ดังขอ ความวา ๓๖๗

ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà สมาธินิมิตฺตนฺติ อฏตึสาย อารมฺมเณสุ อฺตโร สมาธิเยว สมาธินมิ ติ ตฺ ํ.๒๕ “คําวา สมาธินิมิตฺตํ (นิมิตของสมาธิ) หมายความวา นิมติ ของสมาธิ ชอ่ื วา สมาธอิ ยา งหนงึ่ ในอารมณ ๓๘” อารมณ ๓๘ ก็คอื กรรมฐาน ๓๘ ในกรรมฐาน ๔๐ คอื กสิณ ๘ อสภุ ะ ๑๐ อนสุ สติ ๑๐ พรหมวหิ าร ๔ อรปู ฌาน ๔ อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา ๑ จตุธาตุววัตถาน ๑ โดยรวมอาโลกกสณิ (กสณิ แสง) เขา ในโอทาตกสิณ (กสณิ สขี าว) และรวมอากาสกสณิ (กสณิ ชอ งวา ง) เขา ในอนนั ตากาสกสณิ (กสิณอากาศหาขอบเขตมิได) อันเปนอารมณของอากาสานัญจายตน- ฌาน ดังขอ ความวา กสณิ า ทส อสุภา ทสานุสสฺ ตโิ ย จตตฺ าโร พฺรหฺมวิหารา จตฺตาโร อารุปฺปา จตุธาตุววตฺถานํ อาหาเร ปฏิกูลสฺาติ อิเมสุ จตฺตาลีสกมฺมฏาเนสุ ปาฬยํ อนาคตตฺตา อาโลกา- กาสกสณิ ทวฺ ยํ เปตฺวา อวเสสานิ คเหตวฺ า วตุ ฺตํ.๒๖ “ในกรรมฐาน ๔๐ เหลานี้ คอื กสณิ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวหิ าร ๔ อรูปฌาน ๔ จตธุ าตวุ วัตถาน ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ ทานกลาวไวโดยถือเอากรรมฐาน ที่เหลือยกเวนอาโลกกสิณและอากาสกสิณ เพราะไมปรากฏ ในพระบาล”ี ๓๖๘

ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà กิ จฺ าป ปาฬยํ ปถวกี สณิ าทีนิ รูปฌานารมฺมณานิ อฏเ ว กสิณานิ สรูปโต อาคตานิ, โอทาตกสิเณ ปน อาโลกกสิณํ, อากาสกสิเณ จ ปรจิ ฺฉนิ ฺนากาสกสณิ ํ อนฺโตคธํ กตฺวา เทสนา กตาติ อธิปฺปาเยนาห “อิติ กสิณานิ ทสพโล, ทส ยานิ อโวจาติ.๒๗ “ทา นกลา ววา อติ ิ กสณิ านิ ทสพโล, ทส ยานิ อโวจ (พระ ทศพลผูทรงเห็นธรรมทั้งปวงตรัสกสิณ ๑๐) เปนตนโดยมุง หมายวา แมกสิณ ๘ อยางมปี ฐวีกสณิ เปน ตน อนั อารมณข อง รูปฌานปรากฏโดยตรงในพระบาลี แตพระพุทธองคทรงทํา เทศนาโดยรวมอาโลกกสิณเขาในโอทาตกสิณ และรวมปริจ- ฉินนากาสกสิณ (กสิณชองวางท่ีถูกกําหนด) เขาในอากาส- กสิณ” ตามคําอธิบายในคมั ภีรอรรถกถาขา งตน การเจรญิ นิมิตทีก่ อ ให เกิดสมาธิระบุถึงการปฏิบัติสมถภาวนา แมพระพุทธองคจะมิไดระบุถึง การเจริญสตปิ ฏ ฐานไวโ ดยตรงในหวั ขอ ๕ อยางของพระสูตรนี้ ก็จดั วา ไดตรสั ไวโ ดยออมดว ยขอความขึน้ ตน ของพระสตู รนวี้ า ๓๖๙

ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà ปฺจิมานิ ภิกฺขเว วิมุตฺตายตนานิ, ยตฺถ ภิกฺขุโน อปฺ- ปมตฺตสฺส อาตาปโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโต อวิมุตฺตํ วา จิตฺตํ วิมุจฺจติ, อปริกฺขีณา วา อาสวา ปริกฺขยํ คจฺฉนฺติ, อนนุปฺปตฺตํ วา อนตุ ฺตรํ โยคกเฺ ขมํ อนุปาปณุ าต.ิ ๒๘ “ภิกษุทั้งหลาย เหตุแหงวิมุตติ ๕ ประการนี้ ซ่ึงเปน เหตุใหจิตของภิกษุผูไมประมาท มีความเพียร มีจิตมุงมั่นอยู ที่ยังไมหลดุ พน ยอมหลุดพน อาสวะทีย่ ังไมสิน้ ไป ยอมถึง ความสิ้นไป หรือเธอยอมบรรลุธรรมอันปลอดจากเครื่องผูก อันยอดเย่ียมท่ยี งั ไมไดบรรล”ุ จะเห็นไดว า คําวา อปฺปมตตฺ สสฺ อาตาปโน ปหติ ตตฺ สฺส วหิ รโต (ผูไมประมาท มคี วามเพียร มจี ติ มงุ มั่นอย)ู หมายความถงึ การเจรญิ สต-ิ ปฏฐาน ดังนั้น จึงสรุปความไดวา พระพุทธองคตรัสถึงการเจริญ สตปิ ฏ ฐานดว ยพระดาํ รสั ขา งตน ทงั้ นเี้ พราะสตปิ ฏ ฐานเปน ทางสายเดยี ว แหง การบรรลุธรรมอยางแทจ รงิ เน่ืองจากการเจริญสตทิ ร่ี ะลึกรูรปู นาม ในปจจุบันขณะทําใหผูปฏิบัติหย่ังเห็นรูปนามไตรลักษณตามความเปน จรงิ ผูที่มไิ ดเ จรญิ สติปฏฐานยอมรับรสู มมตุ บิ ญั ญัติเทานั้น ไมอ าจหยง่ั รู รูปนามดังกลาวจนกระทั่งนําไปสูการดับของรูปนามคือพระนิพพานได ดังขอ ความวา ๓๗๐

ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสก- ปรเิ ทวานํ สมติกฺกมาย ทุกขฺ โทมนสสฺ านํ อตถฺ งคฺ มาย ายสสฺ อธคิ มาย นิพพฺ านสสฺ สจฺฉกิ ริ ยิ าย, ยทิทํ จตฺตาโร สตปิ ฏานา.๒๙ “ภิกษุท้ังหลาย หนทางน้ีเปนทางสายเดียวท่ีทําให เหลา สตั วบ รสิ ทุ ธ์ิ ลว งพน ความโศกและความคราํ่ ครวญได ดบั ความทุกขและโทมนัสได บรรลุอริยมรรค และเห็นแจง พระนพิ พานได หนทางนค้ี ือสตปิ ฏ ฐาน ๔ ประการ” มขี อสงสัยวา อรยิ มรรคมีองค ๘ ในอริยสัจ ๔ ช่อื วา มรรคสจั คือ ทางแหงความหลุดพน แตการตรัสวาสติปฏฐาน ๔ เปนเพียงสาย เดยี วจะถอื วา ขดั แยง กบั มรรคสจั หรอื ไม ศาสนาพทุ ธนกิ ายมหายานกลา ว วา ขัดแยงกนั แลว แปล เอกายโน วา “ทางสูอารมณเดียว” คือ ทางทก่ี อ ใหเ กิดสมาธินั่นเอง ความเขาใจเชนน้ถี อื วา ไมถกู ตอ ง เพราะถาพิจารณา ขอ ความจากพระสตู รจาํ นวนมากแลว จะพบวา พระสตู รทกี่ ลา วถงึ อรยิ สจั ๔ อยา งครบถว น มจี าํ นวนนอ ย แตพ ระสตู รทต่ี รสั ถงึ อรยิ สจั ๔ เพยี งบาง ขอ หรอื อรยิ มรรคมีองค ๘ เพยี งบางขอ มจี ํานวนมากกวา ท้ังน้เี พราะ พระสตู รเปน ขอ ความทตี่ รสั ตามอธั ยาศยั ของผฟู ง วา ควรรบั ฟง หลกั ธรรม ขอไหนจึงจะเขาใจและไดรับประโยชน อยางไรก็ตาม แมพระพุทธองค จะตรสั อรยิ สจั เพยี งขอ เดยี ว กห็ มายรวมเอาอรยิ สจั ขอ อนื่ ไดโ ดยออ ม หรอื แมจะตรัสอริยมรรคเพียงขอเดียวในอริยมรรคมีองค ๘ ก็หมายรวมถึง ขอทเี่ หลือโดยออมอีกดวย ๓๗๑

ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà แมในประโยคตนของมหาสติปฏฐานสูตรจะกลาวถึงสติเพียง อยา งเดยี ว แตในขอ ความตอมาไดกลา วถงึ อรยิ มรรคมีองค ๘ ขอ อ่นื อีก ดวย คอื กลาวถงึ วิริยะดว ยคําวา อาตาป (มีความเพียรเผากิเลส) กลา ว ถงึ ปญ ญาดวยคําวา สมฺปชาโน (รจู รงิ ) และกลา วถงึ สติดว ยคําวา สติมา (มสี ต)ิ ดังขอความวา อธิ ภกิ ขฺ เว ภิกขฺ ุ กาเย กายานปุ สฺสี วิหรติ อาตาป สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ, เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ อาตาป สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ, จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ อาตาป สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌา- โทมนสสฺ ,ํ ธมเฺ มสุ ธมฺมานุปสสฺ ี วิหรติ อาตาป สมปฺ ชาโน สตมิ า วเิ นยฺย โลเก อภชิ ฺฌาโทมนสสฺ ํ.๓๐ “ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ :- ๑. ตามรูกองรูปวาเปนกองรูปอยู เพียรเผากิเลส รูจริง มีสติ กาํ จดั อภชิ ฌาและโทมนัสในโลก (อปุ าทานขนั ธ) ได ๒. ตามรูเวทนาวาเปนเวทนาอยู เพียรเผากิเลส รูจริง มีสติ กําจดั อภชิ ฌาและโทมนัสในโลกได ๓. ตามรูจิตวาเปนจิตอยู เพียรเผากิเลส รูจริง มีสติ กําจัด อภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกได ๔. ตามรสู ภาวธรรมวา เปนสภาวธรรมอยู เพยี รเผากเิ ลส รจู ริง มีสติ กําจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกได” ๓๗๒

ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà สรปุ ความวา ในมหาสตปิ ฏ ฐานสตู รไดก ลา วถงึ วริ ยิ ะ ปญ ญา และ สติรวม ๓ ประการ จดั วา กลา วถงึ อริยมรรค ๓ คือ อาตาป = สมั มา- วายามะ, สมปฺ ชาโน = สัมมาทิฏฐ,ิ สติมา = สัมมาสติ สว นสัมมาสมาธิ ถือวากลา วไวโดยออม เพราะสมาธเิ ปนผลของสัมมาสตแิ ละเปนเหตกุ อ ใหเ กดิ สมั มาทฏิ ฐิ แมส มั มาสงั กปั ปะกม็ กี ลา วไวโ ดยออ มเพราะเปน เครอื่ ง อปุ ถมั ภสมั มาทิฏฐิดวยการนอ มจิตสูร ปู นามปจจุบนั ใหท นั ปจจุบนั ขณะ การถือเอาขอความท่ีมิไดกลาวไวโดยตรงน้ีสอดคลองกับเนตติ- ปกรณ คอื คมั ภรี แ สดงบรรทดั ฐานในการตคี วามพระธรรมวนิ ยั ซง่ึ ภาษติ ไวโ ดยทา นพระมหากัจจายนะผเู ลศิ ในการขยายความยอ ใหพ ิสดาร ตาม หลกั เนตตปิ กรณเ รยี กวธิ นี วี้ า ลกั ขณหาระ คอื แนวทางในการแสดงธรรม อน่ื ทมี่ ไิ ดก ลา วไวโ ดยตรงซง่ึ มลี กั ษณะเสมอกนั โดย การดาํ เนนิ ไปรว มกนั (สหจารติ า) การมหี นา ทเ่ี สมอกนั (สหกจิ จตา) การมเี หตเุ สมอกนั ( สมาน- เหตุตา) การมีผลเสมอกัน (สมานผลตา) หรือการมีอารมณเสมอกัน (สมานารมั มณตา) ในทนี่ ถ้ี อื วา รวมเอาสมั มาสมาธดิ ว ยสมั มาสติ และรวม เอาสมั มาสังกปั ปะดว ยสมั มาทฏิ ฐิ เพราะองคมรรคเหลานี้มีหนาท่ีเสมอ กันคือการกําจดั กเิ ลสน่นั เอง แมสมั มาวาจาเปนตน ๓ ประการกถ็ กู รวม ไวในที่น้ี เพราะมีหนา ท่กี าํ จดั กเิ ลสเสมอกันตามทกี่ ลา วมาน้ี อรยิ มรรค ๕ คอื สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวายามะ สมั มา- สติ และสมั มาสมาธิ ช่อื วา การกมรรค คอื องคมรรคท่ีทําหนาทปี่ ฏบิ ตั ิ ยอ มเกิดขนึ้ ทกุ ขณะในเวลาเจรญิ วิปสสนากรรมฐาน๓๑ สวนองคมรรค ๓ คอื สัมมาวาจา สัมมากมั มันตะ และสัมมาอาชีวะ ชื่อวา ปุพพภาคมรรค ๓๗๓

ÇÔÁصµÒµ¹Êٵà คือ องคมรรคท่ีเปนสวนเบ้ืองตนของการปฏิบัติ๓๒ เพราะผูปฏิบัติตอง สมาทานศีลกอนจึงจะเจริญภาวนาตอไป องคมรรคท้ัง ๓ อยางที่เปน โลกิยะตองเกิดทีละขณะ เพราะมีอารมณเปนปจจุบันเทาน้ัน จะเกิด พรอมกนั ไมไ ด แตเ มอ่ื ไดบ รรลุธรรมเปน พระโสดาบนั กจ็ ะเกิดองคมรรค ทง้ั ๓ เหลาน้ีพรอ มกนั ในขณะเกิดมรรคจติ ดว ยเหตุทก่ี ลาวมาน้ีจงึ ถอื วา พระพทุ ธองคต รสั วิริยะ ปญญา และสติไวโ ดยตรงในมหาสติปฏ ฐานสตู ร อกี ทง้ั ตรัสอริยมรรคอีก ๕ อยา งทเ่ี หลอื ไวโ ดยออม ขอสรุปบทความเร่อื งนด้ี วยขอความในคัมภรี ม ลิ ินทปญ หา๓๓วา ปริยายภาสติ ํ อตถฺ ิ อตฺถํ สนธฺ าย ภาสติ ํ สภาวภาสิตํ อตถฺ ิ ธมฺมราชสฺส สาสเน. “ ในศาสนาของพระธรรมราชา มพี ระดาํ รสั ทตี่ รสั ไวโดยปรยิ าย บาง โดยเจาะจงบา ง โดยสภาวะบาง” เตสํ อตถฺ ํ อนฺ าย เมณฺฑกํ ชนิ เทสิตํ อนาคตมหฺ ิ อทธฺ าเน วิคฺคโห ตตฺถ เหสฺสติ. “อนชุ นในอนาคตกาลไมเ ขา ใจความหมายทพ่ี ระชนิ เจา ทรงแสดง ไว จกั มีการขัดแยง กนั ในพระดาํ รัสเหลา น้นั ” พระคันธสาราภิวงศ ๓๗๔

เชิงอรรถ : เหมวตสูตร ๑ เทวฺ เม ภิกฺขเว ธมมฺ า ปพพฺ ชิเตน น เสวติ พพฺ า. (สํ.ม. ๑๙/๑๐๘๑/ ๓๖๖, วิ.ม. ๔/๑๓/๑๓) ๒ อฏ ารส พรฺ หมฺ โกฏโิ ย อปรมิ าณา จ เทวตาโย. (มลิ นิ ทฺ . ๓๕๖-๕๗) ๓ ยทา ภควา อฺ าสิ ยสํ กุลปุตฺตํ กลฺลจติ ตฺ ํ มุทุจติ ฺตํ วนิ วี รณจิตฺตํ อุทคฺคจิตฺตํ ปสนฺนจิตฺตํ, อถ ยา พุทฺธานํ สามุกฺกํสิกา ธมฺมเทสนา, ตํ ปกาเสสิ ทุกขฺ ํ สมุทยํ นิโรธํ มคฺคํ. เสยฺยถาป นาม สุทฺธํ วตถฺ ํ อปคตกาฬกํ สมฺมเทว รชนํ ปฏคิ ฺคณฺเหยฺย, เอวเมว ยสสฺส กลุ ปตุ ฺตสสฺ ตสมฺ ึเยวาสเน วิรชํ วีตมลํ ธมมฺ จกฺขุ อทุ ปาทิ “ยงฺกิ ฺ จิ สมทุ ยธมมฺ ํ, สพฺพํ ตํ นิโรธธมฺมนฺต.ิ (ว.ิ ม. ๔/๒๖/๒๑) “เม่ือทรงทราบวา ยสกุลบุตรมีจิตควร[แกภาวนา] ออนโยน ปราศจากนวิ รณ เบกิ บาน ผอ งใส จงึ ทรงประกาศสามกุ กงั สกิ ธรรมเทศนา ของพระพทุ ธเจา ทัง้ หลาย คือ ทกุ ข สมทุ ัย นิโรธ มรรค ธรรมจักษอุ ัน ปราศจากธุลีปราศจากมลทินไดเกิดแกยสกุลบุตร ณ อาสนะน้ันวา ‘สิ่งใดสงิ่ หนง่ึ มีความเกิดขึ้นเปนธรรมดา ส่งิ ทง้ั ปวงน้ันมคี วามดบั ไปเปน ธรรมดา’ เปรียบเหมือนผาขาวสะอาดปราศจากมลทิน ควรรับนํ้ายอม ไดเปน อยางดี” ๓๗๕

àªÔ§ÍÃö ๔ โส หิ ธมฺมํ สุณนฺโต เหมวตํ อนุสฺสริตฺวา “อาคโต นุ โข เม สหายโก โนติ ปรสิ ํ โอโลเกตฺวา ตํ อปสสฺ นฺโต “วฺ จิโต เม สหาโย, โย เอวํ วิจิตฺรปฏิภานํ ภควโต ธมมฺ เทสนํ น สุณาตตี ิ วิกฺขติ ฺตจิตโฺ ต อโหส.ิ (ข.ุ ส.ุ อ. ๑/๑๕๓/๒๒๗) “เทพสาตาคิระนั้นฟงธรรมอยูไดหวนระลึกถึงเทพเหมวตะ แลดูบริษัทวา สหายของเรามาแลว หรือไม เมือ่ ไมเ ห็นเขาจงึ มีจติ ฟงุ ซาน วา สหายของเราผไู มไ ดฟ ง ธรรมเทศนาของพระผมู พี ระภาคอนั มปี ฏภิ าณ วจิ ติ รอยางน้ี คงถูกกามคณุ ลวงใหล ุมหลง” ๖ ทตุ ยิ าจรโิ ย มชฌฺ มิ เทเส สาตปพพฺ เต สาตาคโิ รติ นาเมน. (ข.ุ ส.ุ อ. ๑/๑๕๓/๒๒๖) “คนที่สองเกิดเปนเทพยักษช่ือสาตาคิระ ณ สาตบรรพตใน มชั ฌิมประเทศ (ภาคกลางของประเทศอินเดีย)” ๗ เอตทคฺคํ ภิกฺขเว มม สาวกานํ ภิกฺขูนํ กลฺยาณวากฺกรณานํ ยทิทํ โสโณ กฏุ ิกณโฺ ณ. (อง.ฺ เอกก. ๒๐/๒๐๖/๒๔) “โสณกุฏิกัณณะเลิศกวาภิกษุสาวกท้ังหลายของเรา ผูกลาว ถอยคําไพเราะ” ๘ เตน โข ปน สมเยน อาสาฬฺหีนกฺขตฺตํ โฆสิตํ อโหสิ. อถ สมนตฺ โต อลงฺกตปฏิยตฺเต เทวนคเร สิรึ ปจจฺ นโุ ภนฺตี วิย ราชคเห กาฬ นาม กุรรฆริกา อุปาสิกา ปาสาทมารยุ หฺ สีหปฺ ชรํ วิวรติ วฺ า คพฺภปรสิ สฺ มํ วิโนเทนฺตี สวาตปฺปเทเส อุตุคฺคหณตฺถํ ติ า เตสํ ยกฺขเสนาปตีนํ ตํ พุทฺธคุณปฏิสํยุตฺตํ กถํ อาทิมชฺฌปริโยสานโต อสฺโสสิ. สุตฺวา จ “เอวํ ววิ ิธคุณสมนนฺ าคตา พุทธฺ าติ พทุ ธฺ ารมฺมณํ ปตึ อุปฺปาเทตฺวา ตาย นวี รณานิ ๓๗๖

àªÔ§ÍÃö วิกฺขมฺเภตฺวา ตตฺเถว ติ า โสตาปตฺติผเล ปติฏาสิ. ตโต เอว ภควตา “เอตทคฺคํ ภกิ ฺขเว มม สาวิกานํ อปุ าสิกานํ อนสุ สฺ วปปฺ สนนฺ านํ ยทิทํ กาฬ อุปาสิกา กุรรฆรกิ าติ เอตทคเฺ ค ปต า. (ขุ.ส.ุ อ. ๑/๑๖๘/๒๓๘) “ในสมยั นนั้ นักษตั รประจําเดอื นอาสาฬหะไดถ ูกประกาศแลว คร้ังนั้น อุบาสิกาผูมาจากเมืองกุรรฆระชื่อกาฬ ขึ้นสูปราสาทในกรุง ราชคฤหท่ีประดับตกแตงรอบเมือง ดุจเสวยสิริในสวรรค เปดหนาตาง บรรเทาการแพครรภยืนอยูในสถานที่รับลมเพื่อตากอากาศ ไดฟง คําสนทนาท่ีประกอบดวยพระพุทธคุณน้ันของเสนาบดียักษเหลาน้ัน ตั้งแตเ บ้ืองตน ทามกลาง และท่ีสดุ ครนั้ ฟงแลว ไดเกดิ ปติมีพระพุทธคณุ เปน อารมณว า พระพทุ ธเจา ทง้ั หลายทรงถงึ พรอ มดว ยคณุ ธรรมนานปั การ อยา งนี้ ขมนิวรณด วยปติน้นั ดํารงอยูในโสดาปต ตผิ ลเม่ือยืนอยูในสถาน ที่น้นั ” ๙ เอตทคฺคํ ภิกขฺ เว มม สาวกิ านํ อปุ าสกิ านํ อนุสสฺ วปฺปสนฺนานํ, ยททิ ํ กาลี อุปาสกิ า กุรุรฆรกิ า. (องฺ.เอกก. ๑/๒๖๗/๒๗) ๑๐ ขุ.สุ. ๒๕/๑๕๓/๓๖๓ ๑๑ ขุ.สุ. ๒๕/๑๕๓/๓๖๓ ๑๒ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๑๕๔/๓๖๓ ๑๓ ข.ุ ป. ๓๑/๑๑๗/๑๓๐ ๑๔ ขุ.ป. ๓๑/๑๑๗/๑๒๙ ๑๕ ข.ุ ป. ๓๑/๑๑๗/๑๒๙ ๑๖ ขุ.ป. ๓๑/๑๑๗/๑๒๙ ๑๗ ข.ุ ป. ๓๑/๑๑๗/๑๒๙ ๓๗๗

àªÔ§ÍÃö ๑๘ ข.ุ ป. ๓๑/๑๑๗/๑๒๙ ๑๙ ตสสฺ ตฺโถ:- มหาราช ปพุ เฺ พ พาราณสยิ ํ ทุทีโป นาม ราชา ทานํ ทตวฺ า มรณจกเฺ กน ฉนิ โฺ น กามาวจเรเยว นพิ พฺ ตตฺ .ิ ตถา สาคราทโย อฏ าติ เอเต จ อฺ เ จ พหู ราชาโน เจว ขตฺติยา พฺราหฺมณา จ ปุถุยฺ ํ ยชติ ฺวาน อเนกปปฺ การํ ทานํ ทตฺวา กามาวจรภมู สิ งฺขาตํ เปตตตฺ ํ นาต-ิ วตฺตึสูติ อตโฺ ถ. กามาวจรเทวตา หิ รปู าทิโน กเิ ลสวตฺถุสฺส การณา ปรํ ปจจฺ าสีสนโต กปณตาย เปตาติ วจุ จฺ นตฺ .ิ วุตตฺ มฺป เจตํ:- เย อทุติยา น รมนตฺ ิ เอกิกา วิเวกชํ เย น ลภนฺติ ปต ึ กิ ฺ จาป เต อนิ ทฺ สมานโภคา เต เว ปราธีนสุขา วรากาต.ิ (ขุ.ชา.อ. ๙/๔๓๒/๑๕๖-๕๗) “คาถานัน้ มเี นือ้ ความวา ดกู อนมหาราช พระราชาพระนามวา ทุทีปราช ในพระนครพาราณสีในกาลกอน ทรงบริจาคทาน สวรรคต แลวไปบังเกดิ ในกามาวจรสวรรคน ่นั แล พระราชาอีก ๘ พระองคเหลา นี้ มีพระเจาสาครราชเปนตนก็เหมือนกัน พระราชามหากษัตริยและ พราหมณอ ่ืนมากมายบูชายัญเปน อนั มาก บรจิ าคทานนานาประการ ก็ ไมพนไปจากเปรตภูมิคือกามาวจรภูมิไปได โดยแทจริงแลว เทวดาช้ัน กามาวจรไดช ื่อวา เปรต เพราะเปนผยู ากไรเ นอ่ื งดว ยปรารถนาวตั ถุท่ีกอ ใหเ กิดกิเลสย่งิ ๆ ข้ึนไป ดงั ขอ ความวา ‘ชนเหลาใดไมรนื่ รมยเมื่ออยูคนเดียวไมมีเพ่ือน ไมไ ดร ับปตอิ นั เกดิ จากวเิ วก พวกเขาถงึ จะมสี มบตั เิ สมอกบั ทพิ ยสมบตั ขิ องพระอนิ ทร ก็ ยงั ไดช ื่อวา ผยู ากไร เพราะอยูเปน สุขเนอ่ื งดวยผูอ ่นื ’ ” ๓๗๘

àªÔ§ÍÃö ๒๐ ตเทวํ ปวตฺตมานํ ตณหฺ าอวชิ ฺชานํ อปฺปหนี ตตฺ า อวชิ ฺชาปฏิจฉฺ า- ทติ าทนี เว ตสฺมึ วิสเย ตณหฺ า นาเมต,ิ สหชาตสงขฺ ารา ขิปนฺติ. (อภ.ิ ว.ิ อ. ๒/๒๒๗/๑๗๖) “วญิ ญาณนน้ั ทเี่ ปน ไปอยอู ยา งนี้ จงึ ถกู ตณั หานอ มไป ถกู สงั ขาร ท่ีเกิดรวมกันกันซัดไปในอารมณน้ันท่ีถูกอวิชชาปกปดโทษไว เพราะยัง ละตณั หาและอวิชชาไมไ ด” ปจฺจาสนฺนมรณสฺส สตฺตสฺส วีถิจิตฺตาวสาเน ภวงฺคกฺขเย วา จวนวเสน ปจฺจุปฺปนฺนภวปริโยสานภูตํ จุติจิตฺตํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌติ, ตสมฺ ึ นิรทุ ธฺ าวสาเน ตสสฺ านนฺตรเมว ตถาคหติ ํ อารมมฺ ณมารพภฺ สวตฺถุกํ อวตฺถุเมว วา ยถารหํ อวิชฺชานุสยปริกฺขิตฺเตน ตณฺหานุสยมูลเกน สงขฺ าเรน ชนยิ มานํ สมปฺ ยตุ เฺ ตหิ ปรคิ คฺ ยหฺ มานํ สหชาตานมธฏิ  านภาเวน ปุพฺพงฺคมภูตํ ภวนฺตรปฏิสนฺธานวเสน ปฏิสนฺธิสงฺขาตํ มานสํ อุปฺปชฺช- มานเมว ปติฏ าติ ภวนฺตเร. (สงคฺ ห ๕/๙๑/๓๔) “ในเวลาส้ินสุดแหงวิถีจิตหรือในเวลาส้ินสุดภวังคของบุคคลผู ใกลเ สยี ชีวติ น้ัน จตุ จิ ิตซงึ่ เปนจิตดวงสุดทายของปจ จุบนั ภพ เมอ่ื เกดิ ข้นึ แลวยอมดบั ไปดว ยอาํ นาจของการจุติ เมอ่ื จติ น้นั ส้ินสดุ ดับไปแลว ลําดับ ตอจากจุติจิตน้ัน จิตท่ีเรียกวา ปฏิสนธิจิต จะรับอารมณตามท่ีมรณา- สนั นวิถีจิต (วถิ ีจติ ในเวลาใกลเสียชีวติ ) รับอารมณไว ท้ังทีม่ [ี หทยั ]วัตถุ หรอื ทไ่ี มม [ี หทยั ]วตั ถุ อนั กศุ ลกรรมและอกศุ ลกรรมทปี่ รงุ แตง ทแ่ี วดลอ ม ดวยอวิชชานุสัยซ่ึงมีตัณหานุสัยเปนรากเหงากอใหเกิดขึ้นตามสมควร อันสัมปยุตตธรรมเขาประสม เปนประธานโดยความเปนท่ีต้ังแหงธรรม [คอื รปู ธรรมกบั นามธรรม]ทเ่ี กดิ รว มกนั เมอ่ื เกดิ ขนึ้ อยยู อ มดาํ รงอยใู นภพ ๓๗๙

àªÔ§ÍÃö ตอไปดวยอาํ นาจแหงการสบื ตอภพอนื่ ” อวชิ ชฺ านสุ ยมลู เกน ตณหฺ านสุ ยปรกิ ขฺ ติ เฺ ตนาติ ปน วตุ เฺ ต สฏุ  ุตรํ ยชุ ฺชต.ิ อวิชฺชา หิ ตณหฺ ายป มลู ภตู า โหติ ตาย ปฏจิ ฉฺ าทติ าทนี เว เอว อารมฺมเณ ตณฺหาปวตตฺ ิสมภฺ วโต. ตณฺหา จ ปน สหการิการณภาเวน ตํ ตํ สงขฺ ารํ นโิ ยเชนฺตี ปวตตฺ ตตี ิ สงฺขารสฺส ปริวารภูตา พลวอาสนฺนสหาย- ภูตา โหตตี .ิ (ปรมตถฺ .ฏีกา ๕/๙๑/๒๔๖) “ถาหากพระอนุรุทธาจารยกลาว[สลับกัน]วา อวิชฺชานุสย- มลู เกน ตณหฺ านสุ ยปรกิ ขฺ ติ เฺ ตน (มอี วชิ ชานสุ ยั เปน รากเหงา แวดลอ มดว ย ตณั หานสุ ยั ) จะชดั เจนกวา เพราะอวชิ ชาเปน รากเหงา ยงิ่ กวา ตณั หา เนอ่ื ง ดวยตัณหาเกิดขึ้นในอารมณท่ีถูกอวิชชาปดบังโทษไว สวนตัณหาทําให สั่งสมสังขารนั้นๆ โดยความเปนเหตุเกิดรวมกัน ตัณหาจึงเกิดรวมกับ สงั ขารอยางมีกาํ ลัง” ๒๑ ม.ม. ๑๓/๓๐๖/๒๘๑ ๒๒ ที.สี. ๑๐/๑๕๑-๕๖/๔๗-๙ ๒๓ ฉบบั ฉฏั ฐสงั คตี แิ ละฉบบั ไทยมรี ปู วา นคิ ณโฺ  นาฏปตุ โฺ ต จงึ แปล ตามศัพทวา นิครนถนาฏบุตร แตในฉบับสิงหลพบรูปวา นิคณฺโ นฏ- ปุตฺโต รูปวา นฏปุตฺโต (บุตรนักฟอน) ถูกหลักภาษามากกวา เพราะ รปู วา นาฏ (นกั ฟอ น) ไมมใี ชในพระไตรปฎก มแี ตรูปวา นฏ ซงึ่ มาจาก นฏ ธาตุ (อวสนทฺ เน = โนม ตัว, ฟอน) + อ ปจ จัยในกัตตุสาธนะ ดงั คัมภรี  อภิธานัปปทีปก า (คาถา ๑๐๑) กลาววา นฏฏโก นาฏโก นโฏ (นักฟอน ราํ : นฏฏ ก, นาฏก, นฏ) ๓๘๐

àªÔ§ÍÃö ๒๔ ทสิ วฺ าน ตณฺหํ อรติ ฺ จ ราคํ นาโหสิ ฉนโฺ ท อป เมถนุ สมฺ ึ กเิ มวทิ ํ มตุ ตฺ กรีสปุณฺณํ ปาทาป นํ สมฺผุสิตุ น อิจฺเฉ. (ข.ุ ส.ุ ๒๕/๘๔๒/๔๙๖) “เรามิไดมีแมความพอใจในเมถุน เพราะเห็นนางตัณหา นาง อรดี และนางราคา ไฉนเลาจักพอใจเพราะเห็นธิดาของทานซึ่งเต็มไป ดวยมูตรและคูถ เราไมปรารถนาจะใชเทากระทบเธอ” ๒๕ สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค มารธีตสุ ูตร (ส.ํ ส. ๑๕/๑๖๑/๑๔๙) ๒๖ ตสฺสา ทนตฺ ฏ กิ ํ ทิสวฺ า ปพุ พฺ สฺ ํ อนุสสฺ ริ ตตเฺ ถว โส โิ ต เถโร อรหตตฺ ํ อปาปณุ ิ. (วิสทุ ธฺ .ิ ๑/๑๕/๒๒) “พระเถระนน้ั เหน็ กระดกู ฟน ของหลอ นแลว ระลกึ ถงึ สญั ญา[คอื กองกระดูก]ทีเ่ คยไดมากอน จึงไดบรรลอุ รหัตตผลขณะยืนอยใู นท่นี ้นั ” ๒๗ เทวทตเฺ ต จ วธเก โจเร องฺคุลมิ าลเก ราหุเล ธนปาเล จ สพเฺ พสํ สมโก มนุ ิ. (ข.ุ อป. ๓๒/๕๘๕/๖๘) “พระมนุ ที รงมพี ระทยั สมาํ่ เสมอในบคุ คลทงั้ ปวง คอื พระเทวทตั นายขมงั ธนู โจรองคุลมิ าล พระราหุล และชา งธนบาล (ชา งนาฬาคิรี)” วธเก เทวทตฺตมหฺ ิ โจเร องฺคุลิมาลเก ธนปาเล ราหุเล จ สพฺพตฺถ สมมานโส. (ข.ุ ธ.อ. ๑/๑๗/๑๑๒) ๓๘๑

àªÔ§ÍÃö “พระพุทธองคทรงมีพระทัยสมํ่าเสมอในบุคคลทั้งปวง คือ นายขมงั ธนู พระเทวทัต โจรองคุลิมาล ชา งธนบาล และพระราหลุ ” ๒๘ อหํ อมิ ํ จีวรํ ปณุ ฺณํ นาม ทาสึ ปารปุ ตฺวา อามกสุสาเน ฉฑฑฺ ติ ํ ตํ สุสานํ ปวิสิตฺวา ตุมฺพมตฺเตหิ ปาณเกหิ สมฺปริกิณฺณํ เต ปาณเก วิธนุ ิตวฺ า มหาอรยิ วเํ ส ตวฺ า อคคฺ เหส.ึ (ส.ํ น.ิ อ. ๒/๑๕๔/๒๒๒) “เราเขา ไปสปู า ชา นนั้ แลว หยบิ เอาผา คลมุ รา งนางทาสชี อ่ื ปณุ ณา ท่ีถูกท้ิงไวในปาชาผีดิบ อันเต็มไปดวยหนอนราวหน่ึงกระเชอ (๑๖ กอบมอื ) สะบดั หนอนเหลานัน้ ออกไปแลวดาํ รงอยใู นมหาอริยวงศ” ๒๙ ข.ุ ชา.อ. ๕/๑๔๒/๒๐๖ ๓๐ พฺราหฺมโณป สตฺถารํ ทิสฺวา “โภติ นาสิโตมฺหิ ตยา ราชปุตฺตํ อาคนฺตฺวา ทฺวาเร ติ ํ มยฺหํ อนาจิกฺขนฺติยา. ภาริยํ เต กมฺมํ กตนฺติ วตฺวา อฑฒฺ ภุตตฺ ํ โภชนปาตึ อาทาย สตถฺ ุ สนตฺ กิ ํ คนตฺ ฺวา “โภ โคตม อหํ ปฺ จสุ าเนสุ อคคฺ ํ ทตฺวาว ภุฺ ชามิ. อิโต จ เม มชเฺ ฌ ภนิ ฺทติ ฺวา เอโกว ภตตฺ โกฏ าโส ภตุ โฺ ต. เอโก โกฏาโส อวสฏิ โ. ปฏคิ ฺคณหฺ ิสสฺ สิ เม อิทํ ภตตฺ นตฺ ิ. สตถฺ า “น เม ตว อุจฉฺ ฏิ ภตฺเตน อตฺโถติ อวตวฺ า “พฺราหฺมณ อคฺคมปฺ  มยฺหเมว อนุจฉฺ วิกํ มชเฺ ฌ ภินฺทิตฺวา อฑฺฒภุตตฺ ภตตฺ มปฺ  จรมิ ก- ภตตฺ ปณ ฺโฑป มยหฺ เมว อนจุ ฉฺ วโิ ก. มยฺ หิ พฺราหฺมณ ปรทตฺตูปชีวิเปต- สทสิ าติ วตวฺ า อิมํ คาถมาห. (ขุ.ธ.อ. ๒/๓๗๖/๔๓๘) “แมพ ราหมณเ ห็นพระศาสดาแลว จงึ พดู วา นางผูเจริญ หลอน ไมบ อกพระราชบตุ รผเู สดจ็ มาประทบั ยนื อยทู ปี่ ระตแู กเ รา ใหเ ราฉบิ หาย เสียแลว หลอนทํากรรมหนัก แลวถือเอาภาชนะใสอาหารที่ตนบริโภค แลวครึ่งหน่ึงไปยังสํานักพระศาสดาแลวกราบทูลวา ขาแตพระโคดม ๓๘๒

àªÔ§ÍÃö ผูเจริญ ขาพระองคถวายทานอันเลิศในฐานะท้ัง ๕ แลวจึงบริโภค แต ขาพระองคบริโภคภัตสวนหนึ่งโดยแบงครึ่งจากสวนน้ี ภัตสวนหนึ่งยัง เหลอื อยู ขอพระองคไ ดโ ปรดรบั ภตั สว นนข้ี องขาพระองคเ ถดิ พระศาสดาไมต รสั วา เราไมต อ งการภตั อนั เปน เดนของทา น ตรสั วา พราหมณ สว นอนั เลิศก็ดี ภตั ทที่ านแบง ครึง่ บรโิ ภคแลว ก็ดี สมควร แกเราท้ังนั้น แมกอนภัตที่เปนเดนก็สมควรแกเราเหมือนกัน พราหมณ ทจ่ี รงิ พวกเราเปน เชน กบั เปรตทอี่ าศยั อาหารอนั ผอู นื่ ใหเ ลย้ี งชพี แลว ตรสั พระคาถาดงั ตอ ไปนี้” ๓๑ เสนาสนมหฺ า โอรุยหฺ นครํ ปณ ฺฑาย ปาวสิ ึ ภุ ฺ ชนตฺ ํ ปรุ ิสํ กฏุ  ึ สกฺกจฺจนฺตํ อปุ ฏห.ึ โส เม ปกเฺ กน หตเฺ ถน อาโลป อุปนามยิ อาโลป ปกขฺ ิปนตฺ สฺส องคฺ ุลี เจตถฺ ฉชิ ชฺ ถ. กุฏฏ มลู ฺ จ นสิ ฺสาย อาโลป ตํ อภุฺ ชิสํ ภุ ฺ ชมาเน วา ภตุ ฺเต วา เชคจุ ฉฺ ํ เม น วิชชฺ ต.ิ (ขุ.เถร. ๒๖/๑๐๕๗-๕๙ /๔๐๐) “เราลงจากเสนาสนะแลวไดเขาไปบิณฑบาตในนคร ไดเขาไป ยนื อยูใกลๆ บุรุษโรคเร้ือนซ่ึงกาํ ลังบริโภคอาหารน้นั ดวยความเอ้ือเฟอ บรุ ษุ โรคเรอื้ นนนั้ ใชม อื ขา งทเ่ี นา เฟะนอ มคาํ ขา วเขา มาถวายเรา และเมอื่ เขาใสค าํ ขา วลง นว้ิ มอื ของเขากข็ าดตกลงในบาตรของเรา เรานงั่ พิงฝาเรือนฉันคําขาวน้ันอยู ขณะฉันหรือฉันเสร็จแลว เราไมมีความ รงั เกยี จเลย” ๓๘๓

àªÔ§ÍÃö ๓๒ กถฺ จ ภกิ ฺขเว ภกิ ขฺ ุ ฉฬงคฺ สมนนฺ าคโต โหต?ิ อธิ ภิกขฺ เว ภกิ ขฺ ุ จกฺขนุ า รปู  ทสิ ฺวา เนว สมุ โน โหติ น ทุมฺมโน, อุเปกฺขโก วิหรติ สโต สมปฺ ชาโน. (อง.ฺ ฉกกฺ . ๒๒/๑/๒๗๐) “ภกิ ษุทั้งหลาย ภิกษถุ ึงพรอ มดวยอเุ บกขาท่มี ีองค ๖ อยา งไร ภิกษใุ นพระศาสนาน้ีเห็นรปู ดวยจักษุแลว เปน ผไู มดีใจ ไมเ สียใจ วางใจ เปน กลาง มสี ติสมั ปชญั ญะ” ๓๓ ที.ปา. ๑๑/๓๐๕/๑๙๓, ที.ปา.อ. ๓/๓๐๕/๑๘๐, ขุ.ป.อ. ๒/๗/๓๐๖ ๓๔ ที.ปา. ๑๑/๓๐๕/๑๙๓, ที.ปา.อ. ๓/๓๐๕/๑๘๐, ขุ.ป.อ. ๒/๗/๓๐๖ ๓๕ ขุ.สุ. ๒๕/๑๕๖/๓๖๓ ๓๖ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๑๕๗/๓๖๓ ๓๗ ตํ โข ปนิทํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจํ ภาวิตนฺติ เม ภกิ ขฺ เว ปพุ เฺ พ อนนุสสฺ เุ ตสุ ธมฺเมสุ จกขฺ ุ อุทปาทิ, าณํ อุทปาทิ, ปฺ า อุทปาทิ, วชิ ชฺ า อทุ ปาท,ิ อาโลโก อทุ ปาทิ. (ส.ํ ม. ๑๙/๑๐๘๑/๓๖๘) “ภิกษุท้ังหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปญญา วิชชา และ แสงสวางไดเกิดแลวแกตถาคตในธรรมท่ีไมเคยสดับมากอนวา เราได อบรมอรยิ สัจคอื มรรคนัน้ แลว ” ๓๘ กโรโต โข มหาราช การยโต, ฉินทฺ โต เฉทาปยโต, ปจโต ปาจา- ปยโต, โสจยโต โสจาปยโต, กลิ มโต กิลมาปยโต, ผนฺทโต ผนฺทาปยโต, ปาณมติปาตาปยโต, อทินฺนํ อาทิยโต, สนฺธึ ฉินฺทโต, นิลฺโลป หรโต, เอกาคาริกํ กโรโต, ปริปนฺเถ ติฏโต, ปรทารํ คจฺฉโต, มุสา ภณโต, ๓๘๔

àªÔ§ÍÃö กโรโต น กริยติ ปาป. ขุรปริยนฺเตน เจป จกฺเกน โย อิมิสฺสา ปวิยา ปาเณ เอกํ มสํ ขลํ เอกํ มสํ ปุฺ ชํ กเรยฺย, นตถฺ ิ ตโตนิทานํ ปาป. นตฺถิ ปาปสฺส อาคโม. ทกขฺ ิณฺ เจป คงคฺ าย ตรี ํ คจฺเฉยยฺ หนนฺโต ฆาเตนฺโต ฉินฺทนฺโต เฉทาเปนฺโต ปจนฺโต ปาจาเปนฺโต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปาป. นตฺถิ ปาปสฺส อาคโม. อุตฺตรฺ เจป คงฺคาย ตีรํ คจฺเฉยฺย ททนฺโต ทาเปนโฺ ต ยชนโฺ ต ยชาเปนโฺ ต, นตฺถิ ตโตนิทานํ ปุฺ ํ . นตฺถิ ปุฺ สสฺ อาคโม. ทาเนน ทเมน สยํ เมน สจฺจวชเฺ ชน นตฺถิ ปุ ฺ ํ . นตฺถิ ปุ ฺ สฺส อาคโม. (ท.ี ส.ี ๙/๑๖๖/๕๒-๓) “มหาบพิตร เม่ือบุคคลทําเอง ใชใหทํา ตัดเอง ใชใหตัด เบียดเบยี นเอง ใชใหเบียดเบยี น เศราโศกเอง ทาํ ใหเศรา โศก ลาํ บากเอง ทาํ ใหลาํ บาก ดนิ้ รนเอง ทําใหด ้นิ รน ฆาสัตว ลกั ทรพั ย ตดั ชองยองเบา ปลน ทําโจรกรรมในบานหลังเดียว ดักซุมที่ทางเปลี่ยว เปนชู พูดเท็จ ผทู าํ [เชน นนั้ ]ไมจ ดั วา ทาํ บาป แมห ากบคุ คลใชค มมดี โกนสงั หารเหลา สตั ว ในแผนดินนีใ้ หเปน กลมุ เนือ้ กองเนื้อเดียวกัน เขายอมไมมีบาปที่เกิดจาก กรรมนน้ั ไมมบี าปมาถงึ เขา แมห ากบคุ คลทอ่ี ยทู างทศิ ใตแ มน า้ํ คงคา ฆา เอง ใชใ หฆ า ตดั เอง ใชใ หต ดั เบยี ดเบยี นเอง ใชใ หเ บยี ดเบยี น เขายอ มไมม บี าปทเ่ี กดิ จากกรรม นั้น ไมมีบาปมาถึงเขา แมหากบุคคลท่ีอยูทางทิศเหนือของแมน้ําคงคา ใหเอง ใชใ หผ ูอ นื่ ให บชู าเอง ใชใหบ ูชา เขายอ มไมม ีบุญท่เี กดิ จากกรรม นนั้ ไมมบี ุญมาถงึ เขา ไมม ีบุญที่เกิดจากการใหท าน ฝก อนิ ทรีย สาํ รวม และพูดคําสัตย ไมม บี ุญมาถึงเขา” ๓๘๕

àªÔ§ÍÃö ๓๙ นตฺถิ มหาราช เหตุ, นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตานํ สํกิเลสาย. อเหตู อปจฺจยา สตตฺ า สํกิลสิ ฺสนฺติ. นตถฺ ิ เหตุ, นตถฺ ิ ปจฺจโย สตฺตานํ วิสทุ ฺธิยา. อเหตู อปจฺจยา สตฺตา วสิ ุชฺฌนตฺ .ิ นตฺถิ อตตฺ กาเร. นตฺถิ ปรกาเร. นตถฺ ิ ปุรสิ กาเร. นตฺถิ พลํ. นตถฺ ิ วรี ยิ ํ. นตถฺ ิ ปรุ ิสถาโม. นตฺถิ ปุรสิ ปรกฺกโม. สพฺเพ สตฺตา สพฺเพ ปาณา สพฺเพ ภูตา สพฺเพ ชีวา อวสา อพลา อวีริยา นยิ ติสงฺคตภิ าวปริณตา ฉสฺเววาภิชาตีสุ สขุ ทกุ ฺขํ ปฏิสเํ วเทนฺติ. จทุ ทฺ ส โข ปนมิ านิ มหาราช โยนปิ มขุ สตสหสสฺ านิ สฏ ิ จ สตานิ ฉ จ สตานิ ปฺ จ จ กมมฺ โุ น สตานิ ปฺ จ จ กมมฺ านิ ตีณิ จ กมฺมานิ กมเฺ ม จ อฑฺฒกมฺเม จ ทฺวฏปิ ฏิปทา ทฺวฏนฺตรกปฺปา ฉฬาภิชาติโย อฏ ปุริสภูมิโย เอกูนปฺ าส อาชีวกสเต เอกูนปฺ าส ปริพพฺ าชกสเต เอกนู ปฺ าส นาคาวาสสเต วีเส อินฺทฺริยสเต ตึเส นิรยสเต ฉตฺตึส รโชธาตุโย สตฺต สฺ ีคพฺภา สตฺต อสฺ ีคพฺภา สตฺต นิคณฺคิ พฺภา สตฺต เทวา สตฺต มานุสา สตฺต ปสาจา สตฺต สรา สตฺต ปวุฏา สตฺต ปวุฏาสตานิ สตฺต ปปาตา สตฺต ปปาตสตานิ สตฺต สุปนา สตฺต สุปนสตานิ จุลฺลาสีติ มหากปปฺ โ น สตสหสฺสานิ, ยานิ พาเล จ ปณฑฺ เิ ต จ สนฺธาวติ ฺวา สํสริตฺวา ทกุ ขฺ สฺสนตฺ ํ กรสิ ฺสนฺติ. ตตถฺ นตฺถิ “อมิ นิ าหํ สีเลน วา วเตน วา ตเปน วา พรฺ หมฺ จรเิ ยน วา อปรปิ กกฺ ํ วา กมมฺ ํ ปรปิ าเจสฺสาม,ิ ปริปกฺกํ วา กมฺมํ ผุสฺส ผสุ สฺ พฺยนฺตึกริสฺสามีติ เหวํ นตถฺ .ิ โทณมเิ ต สขุ ทกุ เฺ ข, ปริยนตฺ กเต สสํ าเร, นตถฺ ิ หายนวฑฒฺ เน, นตถฺ ิ อุกกฺ ํสาวกเํ ส. เสยยฺ ถาป นาม สตุ ฺตคเุ ฬ ขิตฺเต นิพเฺ พยิ มานเมว ปเลต,ิ เอวเมว พาเล จ ปณฺฑเิ ต จ สนฺธาวิตฺวา สสํ รติ วฺ า ทุกขฺ สฺสนตฺ ํ กริสฺสนฺต.ิ (ที.ส.ี ๙/๑๖๘/๕๓) ๓๘๖

àªÔ§ÍÃö “มหาบพิตร ความเศราหมองของสัตวท้ังหลายไมมีเหตุ สนับสนุน สัตวท้ังหลายเศราหมองเอง ความบริสุทธิ์ของสัตวทั้งหลาย ไมมีเหตุสนบั สนนุ สัตวท งั้ หลายบริสุทธเิ์ อง ไมม กี ารกระทําของตน ผูอน่ื และมนษุ ย ไมมีกาํ ลงั ความเพียร ความสามารถ และความพยายามของ มนุษย สัตวผูติดของ สัตวผูมีปราณ สัตวผูเกิดแลว สัตวผูมีชีวิต ท้ังปวงลวนไมม ีอํานาจ กาํ ลัง และความเพียร ผนั แปรไปตามโชคชะตา สถานภาพ และลกั ษณะเฉพาะตน ยอ มเสวยสุขและทกุ ขในกําเนดิ ๖” (กําเนดิ ๖ คือ กณั หาภิชาติ คอื กาํ เนิดดํา ไดแ ก คนฆา แกะ ฆานก ฆา เนอ้ื ฆาสกุ ร ฆา ปลา นายพราน โจร เพชฌฆาต ผูคมุ นักโทษ หรือคนทํากรรมชั่วอ่ืนๆ, นีลาภิชาติ คือ กําเนิดเขียว ไดแก นักบวช, โลหติ าภชิ าติ คือ กาํ เนิดแดง ไดแก เดยี รถยี ผูนุงผาผนื เดยี ว, หลิททา- ภชิ าติ คอื กาํ เนดิ เหลอื ง ไดแ ก สาวกทน่ี งุ หม ผา ขาวของนกั บวชชเี ปลอื ย, สกุ กาภชิ าติ คือ กําเนดิ ขาว ไดแก อาชีวกชายและหญิง และปรมสุกกา- ภิชาติ คือ กําเนิดขาวสะอาด ไดแก นันทวัจฉะ กิสสังกิจฉะ และ มักขลโิ คสาล) อนง่ึ กําเนิดทเ่ี ปน ประธาน ๑,๔๐๖,๖๐๐ กรรม ๕๐๐ กรรม ๕ กรรม ๓ กรรม[เตม็ ] ๑ กรรมกึง่ ๑ ปฏิปทา ๖๒ อนั ตรกปั ๖๒ กําเนิด ๖ วยั ของบรุ ษุ ๘ การเลย้ี งชีพ ๔,๙๐๐ ปรพิ าชก ๔,๙๐๐ ทอ่ี ยขู องนาค ๔,๙๐๐ อินทรีย ๒,๐๐๐ นรก ๓๐๐ [ท่ีตั้งของ]ธาตุธลุ ี ๓๖ ปฏิสนธทิ ี่มี สญั ญา ๗ ปฏสิ นธิที่ไมม ีสัญญา ๗ ปฏสิ นธทิ ม่ี ีปม ๗ เทวดา ๗ มนุษย ๗ ปศาจ ๗ สระ ๗ ปมใหญ ๗ ปมเลก็ ๗๐๐ เหวใหญ ๗ เหวเล็ก ๗๐๐ สุบินใหญ ๗ สุบนิ นอย ๗๐๐ มหากัป ๘,๔๐๐,๐๐๐ เหลา น้ที ่ีคนเขลา ๓๘๗

àªÔ§ÍÃö และคนฉลาดเทย่ี วเวยี นวายไปแลวจกั ทาํ ทสี่ ุดทกุ ขไ ดเอง ไมมีการปรุงแตงวา เราจักอบรมกรรมท่ียังไมใหผลใหสงผล หรอื ไดร ับกรรมทีใ่ หผ ลแลว จกั ทาํ ใหห มดสิ้นไปดวยศีล พรต ตบะ หรอื พรหมจรรยน ี้ สขุ ทกุ ขเ หมอื นถกู ตวงแลว ดว ยทะนาน สงั สารวฏั ถกู กาํ หนด ไวแ ลว ไมม เี สอื่ มลงหรอื เจรญิ ขน้ึ มากขน้ึ หรอื ลดลง คนเขลาและคนฉลาด เทยี่ วเวยี นวา ยไปแลว จกั ทาํ ทส่ี ดุ ทกุ ขไ ดเ อง เหมอื นกลมุ ดา ยทถี่ กู ขวา งไป ยอมคลี่หมดไปเอง” ๔๐ นตถฺ ิ มหาราช ทนิ ฺน.ํ นตฺถิ ยิฏ. นตฺถิ หุตํ. นตฺถิ สกุ ตทกุ ฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วปิ าโก. นตฺถิ อยํ โลโก. นตถฺ ิ ปโร โลโก. นตถฺ ิ มาตา. นตฺถิ ปต า. นตถฺ ิ สตฺตา โอปปาตกิ า. นตฺถิ โลเก สมณพรฺ าหฺมณา สมมฺ คฺคตา สมมฺ าปฏิปนนฺ า, เย อิมฺ จ โลกํ ปรฺจ โลกํ สยํ อภิฺา สจฺฉกิ ตฺวา ปเวเทนตฺ ิ. จาตุมฺมหาภูติโก อยํ ปรุ ิโส ยทา กาลํ กโรต,ิ ปวี ปวิกายํ อนุเปติ อนปุ คจฉฺ ต.ิ อาโป อาโปกายํ อนุเปติ อนปุ คจฉฺ ติ. เตโช เตโชกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ. วาโย วาโยกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ. อากาสํ อินฺทรฺ ยิ านิ สงฺกมนตฺ ิ. อาสนฺทิปจฺ มา ปุรสิ า มตํ อาทาย คจฉฺ นฺติ. ยาว อาฬาหนา ปทานิ ปฺายนฺติ. กาโปตกานิ อฏนี ิ ภวนฺติ. ภสฺสนฺตา อาหุติโย. ทตฺตุปฺตฺตมิทํ ทานํ, เตสํ ตุจฺฉํ มุสา วิลาโป. เย เกจิ อตฺถิกวาทํ วทนฺติ, พาเล จ ปณฺฑิเต จ กายสฺส เภทา อุจฺฉิชฺชนฺติ วินสฺสนฺต,ิ น โหนฺติ ปรํ มรณา. (ท.ี สี. ๙/๑๗๑/๕๕) “มหาบพติ ร การใหท าน การบชู ายัญ และการเซนสรวง ไมม ี ผล ไมมีผลวบิ ากแหงกรรมท่ีทาํ ดที ําช่วั ไมมโี ลกนี้และโลกหนา [การทาํ ดีหรือชั่วใน]บิดาและมารดาไมมีผล ไมมีสัตวท่ีตายแลวเกิดใหม สมณ- ๓๘๘

àªÔ§ÍÃö พราหมณผ บู รรลอุ รยิ มรรคอนั ดงี ามปฏบิ ตั ชิ อบ ผรู แู จง โลกนแี้ ละโลกหนา ดวยปญ ญาของตนแลว สอนผอู น่ื ใหร ูแจง กไ็ มมใี นโลก เหลา สตั วนเี้ ปน ที่ประชมุ แหง มหาภตู รูป ๔ เมอื่ สิน้ ชวี ติ ธาตุดนิ ไปตามธาตดุ นิ ธาตนุ า้ํ ไปตามธาตนุ า้ํ ธาตไุ ฟไปตามธาตไุ ฟ ธาตลุ มไปตาม ธาตุลม [นาม]อนิ ทรยี ยอ มผันแปรไปเปน อากาศธาตุ มนุษยม ีเตยี งนอน เปน ท่ี ๕ นาํ ศพไป รา งกายปรากฏอยแู คป า ชา กลายเปน กระดกู ขาวโพลน ดจุ สนี กพริ าบ การเซน สรวงสนิ้ สดุ ลงแคเ ถา ถา น คนเขลาบญั ญตั ทิ านนไี้ ว บางคนกลาววาการใหทานเปนตนมีผล คําของพวกเขาวางเปลา เท็จ ไรส าระ เมือ่ ส้นิ ชวี ติ ท้งั คนเขลาและคนฉลาดยอ มขาดสูญไมเกิดอกี ” ๔๑ สตฺตเิ ม มหาราช กายา อกฏา อกฏวิธา อนมิ ฺมติ า อนิมมฺ าตา วฺฌา กฏู ฏ า เอสิกฏายฏิ ติ า, เต น อิชฺ นฺต,ิ น วปิ รณิ าเมนฺต,ิ น อฺมฺํ พฺยาพาเธนฺติ, นาลํ อฺมฺสฺส สุขาย วา ทุกฺขาย วา สขุ ทกุ ขฺ าย วา. กตเม สตตฺ ? ปวิกาโย อาโปกาโย เตโชกาโย วาโยกาโย สุเข ทุกฺเข ชีเว สตฺตเม. อิเม สตฺต กายา อกฏา อกฏวิธา อนิมฺมิตา อนมิ มฺ าตา วฌฺ า กฏู ฏา เอสกิ ฏายฏิ ติ า, เต น อิ ชฺ นตฺ ิ, น วปิ ริณา- เมนฺติ, น อฺมฺํ พฺยาพาเธนฺติ, นาลํ อฺมฺสฺส สุขาย วา ทกุ ขฺ าย วา สุขทกุ ขฺ าย วา. ตตถฺ นตฺถิ หนฺตา วา ฆาเตตา วา โสตา วา สาเวตา วา วิฺาตา วา วิฺาเปตา วา. โยป ติณฺเหน สตฺเถน สีสํ ฉนิ ทฺ ต,ิ น โกจิ กิจฺ ิ ชีวิตา โวโรเปติ. สตตฺ นฺนํ ตเฺ วว กายานํ อนฺตเรน สตฺถํ ววิ รมนุปตติ. (ท.ี ส.ี ๙/๑๗๔/๕๖-๗) “มหาบพิตร กองทง้ั ๗ เหลานี้ไมม ีผสู รา ง บันดาล เนรมติ และ ทําใหเนรมิต เปนส่ิงย่ังยืน ม่ันคงดุจยอดภูเขาและเสาระเนียดท่ีตั้งมั่น ๓๘๙

àªÔ§ÍÃö ไมหว่ันไหว ผันแปร และกระทบกระทั่งกัน ไมกอใหเกิดสุขหรือทุกข หรอื ทงั้ สขุ และทกุ ขแ กก นั และกนั กองทง้ั ๗ เหลา นนั้ มอี ะไรบา ง คอื กอง ธาตดุ ิน กองธาตุน้ํา กองธาตไุ ฟ กองธาตุลม กองสุข กองทกุ ข และกอง ชีวะ กองทง้ั ๗ เหลานี้ ไมมีผูส ราง บนั ดาล เนรมติ และทาํ ใหเ นรมิต เปนส่ิงย่ังยืน มั่นคงดุจยอดภูเขาและเสาระเนียดท่ีต้ังมั่น ไมหว่ันไหว ผันแปร และกระทบกระทัง่ กนั ไมกอใหเกิดสุขหรือทุกข หรอื ทั้งสขุ และ ทุกขแ กก นั และกนั ในกองท้งั ๗ เหลาน้นั ไมม ผี ูฆ า ผใู ชใหฆา ผูฟง ผใู ชให ฟง ผรู ู และผบู อกใหร ู ใครกต็ ามแมจ ะเอาศัสตราคมตดั ศรี ษะใคร กไ็ ม ชอื่ วา ปลงชวี ติ ใครได เพราะเปน เพยี งศสั ตราแทรกผา นไประหวา งกองทงั้ ๗ เทาน้ันเอง” ๔๒ ความเห็นของนคิ รนถน าฏบุตร มดี ังนค้ี ือ อธิ มหาราช นคิ ณโฺ  จาตยุ ามสวํ รสวํ โุ ต โหต.ิ กถจฺ โข มหาราช นคิ ณโฺ  จาตยุ ามสวํ รสํวุโต โหต.ิ อธิ มหาราช นิคณฺโ สพพฺ วาริวารโิ ต จ โหติ สพฺพวาริยุตฺโต จ สพพฺ วาริธุโต จ สพฺพวารผิ โุ ฏ จ. เอวํ โข มหาราช นิคณฺโ จาตุยามสํวรสวํ ุโต โหติ. ยโต โข มหาราช นิคณฺโ เอวํ จาต-ุ ยามสํวรสวํ โุ ต โหต,ิ อยํ วุจจฺ ติ มหาราช นคิ ณฺโ คตตโฺ ต จ ยตตฺโต จ ติ ตโฺ ต จ. (ท.ี สี. ๙/๑๗๗/๕๗-๘) “มหาบพติ ร นคิ รนถใ นโลกนสี้ าํ รวมดวยการสังวร ๔ อยาง คอื ๑. เวนนํ้าเย็นทุกอยาง ๒. เวนบาปทุกอยาง ๓. ลางบาปทุกอยาง ๔. บรรลุ[ความหลุดพน]ดวยการเวนบาปทุกอยาง นิครนถสํารวมดวยการ สงั วร ๔ อยางน้ี จึงเรยี กวา ผมู ใี จสงู สง สาํ รวม และตั้งมน่ั ” ๓๙๐

àªÔ§ÍÃö ความเหน็ ของสญั ชัยเพลฏั ฐบุตร มีดงั นีค้ อื อตฺถิ ปโร โลโกติ อติ ิ เจ มํ ปุจฉฺ สิ, อตถฺ ิ ปโร โลโกติ อติ ิ เจ เม อสสฺ , อตถฺ ิ ปโร โลโกติ อิติ เต นํ พยฺ ากเรยฺย.ํ เอวนตฺ ิป เม โน, ตถาตปิ  เม โน, อฺถาตปิ  เม โน, โนติป เม โน, โน โนติป เม โน. นตถฺ ิ ปโร โลโก ฯเปฯ อตถฺ ิ จ นตฺถิ จ ปโร โลโก ฯเปฯ เนว อตถฺ ิ น นตถฺ ิ ปโร โลโก ฯเปฯ อตฺถิ สตตฺ า โอปปาติกา ฯเปฯ นตถฺ ิ สตตฺ า โอปปาตกิ า ฯเปฯ อตฺถิ จ นตฺถิ จ สตฺตา โอปปาติกา ฯเปฯ เนว อตฺถิ น นตฺถิ สตฺตา โอปปาตกิ า ฯเปฯ อตฺถิ สุกตทกุ กฺ ฏานํ กมมฺ านํ ผลํ วิปาโก ฯเปฯ นตถฺ ิ สกุ ตทุกฺกฏานํ กมมฺ านํ ผลํ วิปาโก ฯเปฯ อตฺถิ จ นตฺถิ จ สุกตทุกกฺ ฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก ฯเปฯ เนว อตฺถิ น นตฺถิ สุกตทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก ฯเปฯ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา ฯเปฯ น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา ฯเปฯ โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา ฯเปฯ เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ อิติ เจ มํ ปุจฉฺ ส,ิ เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ อติ ิ เจ เม อสฺส, เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ อิติ เต นํ พฺยากเรยฺย,ํ เอวนตฺ ปิ  เม โน, ตถาติป เม โน, อฺถาติป เม โน, โนติป เม โน, โน โนตปิ  เม โน. (ที.ส.ี ๙/๑๘๐/๕๘-๙) “ถา มหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพวา โลกหนา มจี ริงหรอื หาก อาตมภาพมคี วามเหน็ วา มจี รงิ กจ็ ะทลู ตอบวา มจี รงิ แตอ าตมภาพมคี วาม เห็นวา อยา งนก้ี ม็ ิใช อยา งน้ันก็มิใช อยา งอื่นก็มใิ ช จะวา ไมใ ชก ม็ ใิ ช จะ วา มใิ ชไ มใชก ม็ ิใช ถา มหาบพติ รตรสั ถามอาตมภาพวา โลกหนา ไมม หี รอื ฯลฯ โลก หนา มีและไมมหี รือ ฯลฯ โลกหนาจะวามกี ็มิใช จะวาไมม กี ็มิใชห รอื ฯลฯ ๓๙๑

àªÔ§ÍÃö สัตวทตี่ ายแลวเกดิ ใหมม ีจรงิ หรอื ฯลฯ สัตวท ต่ี ายแลวเกดิ ใหม ไมม หี รอื ฯลฯ สตั วท ตี่ ายแลว เกดิ ใหมม แี ละไมม หี รอื ฯลฯ สตั วท ตี่ ายแลว เกิดใหมจ ะวามกี ็มิใช จะวา ไมมีก็มใิ ชหรือ ฯลฯ ผลวบิ ากแหง กรรมดกี รรมชวั่ มจี รงิ หรอื ฯลฯ ผลวบิ ากแหง กรรม ดกี รรมชว่ั ไมม หี รอื ฯลฯ ผลวบิ ากแหง กรรมดกี รรมชวั่ มแี ละไมม หี รอื ฯลฯ ผลวบิ ากแหงกรรมดีกรรมชวั่ จะวา มีก็มใิ ช จะวาไมมีกม็ ิใชห รอื ฯลฯ หลังจากตายแลวสัตวเกิดอีกหรือ ฯลฯ หลังจากตายแลวสัตว ไมเ กดิ อกี หรอื ฯลฯ หลงั จากตายแลว สตั วเ กดิ อกี และไมเ กดิ อกี หรอื ฯลฯ หลงั จากตายแลวสัตวจะวาเกิดอีกก็มิใช จะวาไมเกดิ อีกก็มิใชห รอื หาก อาตมภาพมีความเห็นวา หลังจากตายแลว สัตวจะวาเกดิ อกี กม็ ิใช จะวา ไมเกดิ อกี กม็ ิใช กจ็ ะทลู ตอบวา หลงั จากตายแลว สตั วจะวา เกิดอีกกม็ ใิ ช จะวาไมเ กิดอีกกม็ ิใช แตอาตมภาพมคี วามเหน็ วา อยางน้กี ็มใิ ช อยางน้นั กม็ ใิ ช อยา งอนื่ กม็ ใิ ช จะวาไมใ ชก ็มิใช จะวามิใชไมใ ช ก็มิใช” ๔๓ กตโม จ โส อานนทฺ ธมมฺ าทาโส ธมมฺ ปริยาโย, เยน สมนนฺ าคโต อริยสาวโก อากงฺขมาโน อตฺตนา ว อตฺตานํ พฺยากเรยฺย ขีณนิรโยมฺหิ ขณี ตริ จฉฺ านโยนิ ขีณเปตฺตวิ ิสโย ขีณาปายทุคคฺ ติวนิ ิปาโต, โสตาปนฺโน- หมสฺมิ อวนิ ิปาตธมฺโม นยิ โต สมฺโพธิปรายโณติ. อิธานนฺท อรยิ สาวโก :- ๑. พุทฺเธ อเวจฺจปปฺ สาเทน สมนฺนาคโต โหติ อิตปิ  โส ภควา อรหํ สมฺมาสมพฺ ทุ โฺ ธ วิชชฺ าจรณสมปฺ นโฺ น สคุ โต โลกวิทู อนุตฺตโร ปรุ ิส- ทมมฺ สารถิ สตถฺ า เทวมนุสสฺ านํ พุทโฺ ธ ภควาติ. ๒. ธมฺเม อเวจจฺ ปปฺ สาเทน สมนฺนาคโต โหติ สฺวากฺขาโต ภค- ๓๙๒

àªÔ§ÍÃö วตา ธมโฺ ม สนฺทฏิ โิ ก อกาลิโก เอหิปสสฺ ิโก โอปเนยยฺ โิ ก ปจจฺ ตฺตํ เวท-ิ ตพฺโพ วิ ฺหู ตี .ิ ๓. สเํ ฆ อเวจจฺ ปฺปสาเทน สมนนฺ าคโต โหติ สปุ ฏิปนฺโน ภควโต สาวกสํโฆ. อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสํโฆ. ายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสโํ ฆ. สามีจิปฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสํโฆ. ยทิทํ จตฺตาริ ปรุ สิ ยคุ านิ อฏ ปุริสปุคฺคลา. เอส ภควโต สาวกสํโฆ. อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโย ทกฺขเิ ณยฺโย อฺชลิกรณโี ย อนตุ ฺตรํ ปุ ฺ กเฺ ขตตฺ ํ โลกสสฺ าต.ิ ๔. อริยกนฺเตหิ สีเลหิ สมนฺนาคโต โหติ อขณฺเฑหิ อจฺฉิทฺเทหิ อสพเลหิ อกมฺมาเสหิ ภุชิสฺเสหิ วิฺูปสตฺเถหิ อปรามฏเหิ สมาธิ- สํวตฺตนิเกห.ิ อยํ โข โส อานนทฺ ธมฺมาทาโส ธมมฺ ปริยาโย, เยน สมนฺนาคโต อริยสาวโก อากงฺขมาโน อตฺตนาว อตฺตานํ พฺยากเรยฺย ขีณนิรโยมฺหิ ขีณติรจฺฉานโยนิ ขณี เปตตฺ ิวสิ โย ขณี าปายทคุ ฺคตวิ ินิปาโต, โสตาปนฺโน- หมสฺมิ อวินปิ าตธมฺโม นิยโต สมโฺ พธิปรายโนต.ิ (ที.ม. ๒/๑๕๙/๘๕-๖) “หลักธรรมที่ช่ือวาแวนธรรม เปนเคร่ืองมือใหอริยสาวกมีไว พยากรณตนไดดวยตนเองในเวลาประสงควา ‘เราจะไมไปเกิดในนรก กาํ เนดิ สัตวด ริ จั ฉาน เปรตวิสัย และนรกอนั ปราศจากสขุ เปน ทต่ี ัง้ แหง ทกุ ข เปนท่ีพินาศตกไป เราเปนพระโสดาบนั ไมตกต่าํ ในอบาย แนนอน ตอ มรรค มีมรรคญาณขั้นสูง ๓ เปนเบอื้ งหนา’ คอื พระอริยสาวกในธรรมวินัยน้ี :- ๑. เล่ือมใสแนวแนใ นพระพทุ ธเจาวา แมเ พราะเหตนุ ี้ พระผมู -ี พระภาคพระองคน้ันเปนผูไกลจากกิเลส ตรัสรูชอบดวยพระองคเอง ๓๙๓

àªÔ§ÍÃö ถึงพรอมดวยความรูและความประพฤติ เปนผูเสด็จไปดีแลว ทรงรูแจง โลก ทรงเปนสารถีผฝู ก บุคคลท่ีควรฝก ไมมีใครยิ่งกวา ทรงเปน ศาสดา ของเทวดาและมนษุ ยท งั้ หลาย ทรงเปนผรู ูแจง ทรงเปนผูอธบิ ายธรรม ๒. เลอ่ื มใสแนว แนใ นพระธรรมวา พระธรรมอนั พระผมู พี ระภาค ตรสั ไวด แี ลว เปน ธรรมทเี่ หน็ ไดด ว ยตนเอง ไมข น้ึ กบั กาล เปน ธรรมทค่ี วร มาดู ควรนอมมาปฏิบัติ เปนธรรมทีว่ ิญชู นพึงรูไดเฉพาะตน ๓. เล่ือมใสแนวแนในพระสงฆวา พระอริยสงฆสาวกของ พระผมู พี ระภาค เปน ผูปฏบิ ัตดิ ี พระอรยิ สงฆสาวกของพระผูมพี ระภาค เปนผูปฏิบัติตรง พระอริยสงฆสาวกของพระผูมีพระภาค เปนผูปฏิบัติ เพ่อื พระนิพพาน พระอริยสงฆสาวกของพระผูมพี ระภาค เปนผูป ฏิบตั ทิ ี่ ควรนบั ถอื ทา นเหลา นนั้ คอื บรุ ษุ ๔ คู กลา วคอื พระอรยิ บคุ คล ๘ จาํ พวก น้แี หละพระอรยิ สงฆส าวกของพระผูมพี ระภาค ผคู วรรบั สกั การะ ผูควร แกของตอนรบั ผคู วรรบั ทักษณิ าทาน ผูควรอัญชลกี รรม เปน นาบุญอนั ประเสรฐิ ของโลก ๔. มศี ลี ทพี่ ระอรยิ ะชอบใจ ไมข าด ไมท ะลุ ไมด า ง ไมพ รอ ย เปน ไท ทา นผรู ูสรรเสริญ ไมถูกตณั หาและทฏิ ฐิครอบงาํ เปนไปเพือ่ สมาธิ อานนท นคี้ อื หลกั ธรรมทชี่ อ่ื วา แวน ธรรม เปน เครอื่ งมอื ใหอ รยิ - สาวกมีไวพยากรณตนไดด วยตนเองในเวลาประสงควา ‘เราจะไมไปเกิด ในนรก กาํ เนดิ สัตวด ริ ัจฉาน เปรตวสิ ัย และนรกอนั ปราศจากสุข เปน ท่ี ตั้งแหงทุกข เปนที่พินาศตกไป เราเปนพระโสดาบัน ไมตกตํ่าในอบาย แนนอนตอมรรค มีมรรคญาณขั้นสงู ๓ เปน เบอื้ งหนา’ ” ๓๙๔

àªÔ§ÍÃö ๔๔ ตํ โข ปนทิ ํ ทุกฺขสมทุ โย อรยิ สจจฺ ํ ปหีนนตฺ ิ เม ภกิ ขฺ เว ปพุ เฺ พ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ จกฺขุ อุทปาทิ, าณํ อุทปาทิ, ปฺา อุทปาทิ, วิชชฺ า อทุ ปาทิ, อาโลโก อทุ ปาท.ิ (สํ.ม. ๑๙/๑๐๘๑/๓๖๗) “ภิกษุทั้งหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปญญา วิชชา และ แสงสวางไดเกิดแลวแกตถาคตในธรรมที่ไมเคยสดับมากอนวา เราละ อริยสัจคือทกุ ขสมทุ ยั น้นั แลว ” ๔๕ อารา ปมาทมหฺ าติ ปจฺ สุ กามคเุ ณสุ จติ ตฺ โวสสฺ คคฺ โต ทรู ภี าเวน อพรฺ หฺมจริยวริ ตึ ปุจฺฉติ. (ขุ.ส.ุ อ. ๑/๑๕๖/๒๓๒) “คาํ วา อารา ปมาทมหฺ า (ทรงหา งไกลจากความหลงเพลนิ ) ถาม ถึงการงดเวนอพรหมจรรยโดยเปนผูหางไกลจากการปลอยจิตไปสูกาม- คุณ ๕” ๔๖ คําวา ฌาน มีความหมาย ๒ ประการ คอื ๑. สภาวะกําจัด คือ สมถะกําจัดนิวรณดวยการขมไว สวน วปิ สสนากาํ จดั สตั ตสญั ญาเปน ตน = ปจจฺ นีกธมฺเม ฌาเปตีติ ฌานํ (ฌป ธาตุ <ทาเห = เผา> + ยุ ปจจยั ในกัตตสุ าธนะ ลบ ป อักษร) ๒. สภาวะเพง คอื สมถะเพง อารมณม กี สณิ เปน ตน สว นวปิ ส สนา เพงไตรลักษณ = อารมมฺ ณํ อุปนชิ ฺฌายตตี ิ ฌานํ (เฌ ธาตุ <จินฺตายํ = คิด> + ยุ ปจจัยในกัตตสุ าธนะ) ฌานแบง ออกเปน ๒ ประเภท คือ ๑. อารัมมณูปนิชฌาน ฌานเพงอารมณมีกสิณเปนตน ไดแก อปุ จารสมาธิ และสมาบตั ิ ๘ ฌานประเภทนเี้ รียกสนั้ ๆ วา สมถฌาน ๓๙๕

àªÔ§ÍÃö ๒. ลักขณูปนิชฌาน ฌานเพงไตรลักษณ ไดแก วปิ ส สนาฌาน ทเี่ พง ไตรลกั ษณ หรอื มรรคผลทเ่ี พง ลกั ษณะทไ่ี มผ นั แปรของนพิ พาน ฌาน ประเภทน้เี รียกส้ันๆ วา วิปส สนาฌาน ดังขอ ความวา ปจฺจนีกธมฺเม ฌาเปตีติ ฌานํ. อิมินา โยคโิ น ฌายนตฺ ตี ปิ  ฌาน,ํ ปจฺจนีกธมฺเม ฑหนฺติ, โคจรํ วา จินฺเตนฺตีติ อตฺโถ. สยํ วา ตํ ฌายติ อุปนิชฺฌายตีติ ฌานํ, เตเนว อุปนิชฺฌายนลกฺขณนฺติ วุจฺจติ. ตเทตํ อารมฺมณูปนิชฺฌานํ ลกฺขณูปนิชฺฌานนฺติ ทุวิธํ โหติ. ตตฺถ อารมฺมณูป- นชิ ฌฺ านนตฺ ิ สห อุปจาเรน อฏ สมาปตฺตโิ ย วุจฺจนฺต.ิ กสมฺ า? กสิณาท-ิ อารมฺมณูปนิชฺฌายนโต. ลกฺขณูปนิชฺฌานนฺติ วิปสฺสนามคฺคผลานิ วุจจฺ นตฺ ิ.กสมฺ า? ลกขฺ ณูปนิชฌฺ ายนโต. เอตฺถ หิ วิปสฺสนา อนิจฺจลกขฺ ณา- ทีนิ อุปนิชฺฌายติ. วิปสฺสนาย อุปนิชฺฌายนกิจฺจํ ปน มคฺเคน สิชฺฌตีติ มคโฺ ค ลกขฺ ณปู นชิ ฌฺ านนตฺ ิ วจุ จฺ ต.ิ ผลํ ปน นโิ รธสสฺ ตถลกขฺ ณํ อปุ นชิ ฌฺ าย- ตตี ิ ลกฺขณูปนิชฌฺ านนฺติ วุจจฺ ต.ิ (วิ.มหา.อ. ๑/๑๑/๑๔๑) “คําวา ฌาน คือ สภาวะเผาธรรมอันเปนขาศึก (นิวรณ) อีก อยา งหน่ึง ฌาน คือ สภาวะทําใหผ ูเ พยี รปฏบิ ตั ิเพง หมายความวา เผา ธรรมอันเปนขาศึก หรือเพง อารมณ อีกอยา งหนง่ึ ฌาน คอื สภาวะเพง อารมณนัน้ เอง ฉะนั้นจงึ กลาววา ฌานมลี กั ษณะเพง[อารมณ] ฌานมี ๒ ประเภท คือ ๑. อารมั มณปู นชิ ฌาน คือ สมาบตั ิ ๘ และอุปจารสมาธิ เพราะ เพงอารมณมกี สิณเปนตน ๒. ลักขณูปนิชฌาน คือ วิปสสนา มรรค และผล เพราะเพง ๓๙๖

àªÔ§ÍÃö ไตรลกั ษณกลา วคอื วปิ ส สนาเพง ไตรลกั ษณม อี นจิ จลกั ษณะเปน ตน มรรค ก็อาจกลาววาเพงลักษณะ เพราะหนาท่ีเพง[ไตรลักษณ]ของวิปสสนา สําเร็จดวยมรรค ผลก็อาจกลาววาเพงลักษณะ เพราะเพงลักษณะที่ไม ผนั แปรของนพิ พาน” ฌานนฺติ ปจฺจนีกฌาปนโต อารมฺมณลกฺขณูปนิชฺฌานโต จ จิตฺตวิเวโก วุจฺจติ. ตตฺถ อฏสมาปตฺติโย นีวรณาทิปจฺจนีกฌาปนโต อารมฺมณูปนิชฺฌานโต จ ฌานนฺติ วุจฺจติ. วิปสฺสนามคฺคผลานิ สตฺต- สฺ าทปิ จจฺ นกี ฌาปนโต ลกขฺ ณปู นชิ ฌฺ านโตเยว เจตถฺ ผลาน.ิ (ข.ุ ส.ุ อ. ๑/ ๖๙/๑๒๒) “ความสงดั ทางใจเรยี กวา ฌาน (สภาวะกาํ จัดหรือเพง) เพราะ กาํ จดั ปฏปิ ก ษแ ละเพง อารมณห รอื ไตรลกั ษณ ในเรอื่ งนนั้ สมาบตั ิ ๘ เรยี ก วา ฌาน เพราะกาํ จดั ปฏปิ ก ษคือนิวรณ และเพง อารมณ สว นวปิ ส สนา มรรค และผลเรียกวา ฌาน เพราะกําจัดปฏิปกษมีสัตตสัญญาเปนตน และเพงลกั ษณะ[ทีม่ จี รงิ ไมผ ันแปร]” ๔๗ ที.ม. ๑๐/๓๗๕/๒๔๙ ๔๘ เอตถฺ หิ วปิ สสฺ นา อนิจฺจลกขฺ ณาทีนิ อปุ นิชฌฺ ายติ. วิปสฺสนาย อุปนิชฺฌายนกิจฺจํ ปน มคฺเคน สิชฺฌตีติ มคฺโค ลกฺขณูปนิชฺฌานนฺติ วจุ จฺ ติ. ผลํ ปน นโิ รธสสฺ ตถลกฺขณํ อปุ นิชฺฌายตตี ิ ลกขฺ ณูปนิชฌฺ านนฺติ วุจฺจติ. (วิ.มหา.อ. ๑/๑๑/๑๔๑) “กลาวโดยละเอียดวา ในเร่ืองนี้ วิปสสนาเพงไตรลักษณมี อนจิ จลักษณะเปนตน มรรคก็อาจกลา ววา เพงลกั ษณะ เพราะหนาทีเ่ พง [ไตรลักษณ] ของวิปส สนาสาํ เร็จดว ยมรรค ผลก็อาจกลาววาเพง ลกั ษณะ ๓๙๗

àªÔ§ÍÃö เพราะเพง ลกั ษณะทไ่ี มผนั แปรของนิพพาน” ๔๙ สพเฺ พ ธมมฺ า พุทฺธสฺส ภควโต อาวชฺชนปฏิพทฺธา อากงขฺ ปฏิ- พทธฺ า มนสิการปฺปฏิพทฺธา จติ ตฺ ปุ ฺปาทปฏพิ ทธฺ า. (ขุ.ป. ๓๑/๕/๔๐๘) “ธรรมทั้งปวงเนื่องดวยการนกึ ความหวงั มนสิการ และจิตตุป- บาทของพระผมู พี ระภาคผูตรสั รู” อาวชฺชนปฺปฏิพทฺธาติ มโนทฺวาราวชฺชนายตฺตา อาวชฺชิตา- นนฺตรเมว ชานาตีติ อตฺโถ. (ขุ.ป.อ. ๒/๕/๒๙๙) “คําวา อาวชฺชนปฺปฏิพทฺธา (เนอื่ งดวยการนกึ ) หมายความวา เนอ่ื งดว ยมโนทวาราวัชชนจติ คือ รูตอ จากการนึกนนั่ เอง” อาวชฺชนปฏิพทฺธเมวาติ อาวชฺชนมตฺตาธีนํ, อาวชฺชิตมตฺเต เอว ยถิจฉฺ ติ สสฺ ปฏิวิชฌฺ นกนฺติ อตฺโถ. (ที.ม.ฏีกา ๒/๑/๕) “คําวา อาวชฺชนปฏิพทฺธเมว (เนื่องดวยการนึกน่ันเอง) หมายความวา เนื่องดวยการนึกเทานั้น คือ เมื่อเพียงแตนึกพิจารณา ก็แทงตลอดไดตามตอ งการ” ๕๐ สมาบัติ ๒๔ แสนโกฏิเหลาน้ีเปนที่ดําเนินไปของมหา- วชิรญาณ คือ ญาณท่ีเปรยี บด่ังสายฟา อนั ยิ่งใหญ ดังขอความวา จตุวีสติโกฏิสตสหสฺสสมาปตฺติสฺจาริมหาวชิรญาณํ นิสฺสาย ทสพลสฺส คเุ ณ อนุสสฺ ริตุ อารภ.ิ (ที.ปา.อ. ๓/๑๔๑/๖๑) “เขาเริ่มปรารภระลึกถึงคุณของพระทศพลเก่ียวกับมหา- วชิรญาณที่ดาํ เนินไปในสมาบัติ ๒๔ แสนโกฏิ)” จตวุ ีสติ ฯเปฯ วชริ าณนตฺ ิ เอตฺถ เกจิ ตาว อาหุ ภควา เทวสิกํ ทฺวาทสโกฏิสตสหสฺสกฺขตฺตุ มหากรุณาสมาปตฺตึ สมาปชฺชติ, ทฺวาทส- ๓๙๘

àªÔ§ÍÃö โกฏิสตสหสฺสกขฺ ตฺตุเมว จ อรหตฺตผลสมาปตฺตึ สมาปชชฺ ติ. ตาสํ ปเุ รจรํ สหวจรจฺ าณํ ปฏปิ กเฺ ขหิ อเภชชฺ ตํ มหตตฺ จฺ อปุ าทาย มหาวชริ าณํ นาม. (ที.ปา.ฏกี า ๓/๑๔๑/๗๐) “ในคาํ นว้ี า จตุวีสติฯเปฯ วชิราณํ (มหาวชริ ญาณท่ดี ําเนินไป ในสมาบัติ ๒๔ แสนโกฏ)ิ บางอาจารยกลา ววา พระผมู พี ระภาคทรงเขา มหากรุณาสมาบัติ ๑๒ แสนโกฏิขณะ และเขาอรหัตตผลสมาบัติ ๑๒ แสนโกฏิขณะ ญาณท่ีเกิดกอนและดําเนินไปรวมกับสมาบัติเหลาน้ัน ชอ่ื วา มหาวชริ ญาณ เพราะไมถกู ปฏิปกษท ําลายและยิง่ ใหญ” ๕๑ ม.ม. ๑๓/๒๓๕/๒๑๑ ๕๒ ที.ม. ๑๐/๑๘๕/๑๐๗ ๕๓ อปฺปมาเทน สมฺปาเทถาติ สติอวิปฺปวาเสน สพฺพกิจฺจานิ สมฺปาเทยฺยาถ. อิติ ภควา ปรินิพฺพานมฺเจ นิปนฺโน ปฺจจตฺตาลีส วสฺสานิ ทนิ นฺ ํ โอวาทํ สพฺพํ เอกสฺมึ อปฺปมาทปเทเยว ปกขฺ ิปต วฺ า อทาส.ิ (ที.ม.อ. ๒/๒๑๘/๒๐๑) “คําวา อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถ (จงทําหนาท่ใี หส ําเรจ็ ดวยความ ไมป ระมาทเถดิ ) หมายความวา เธอทงั้ หลายพงึ ทาํ หนา ทท่ี ง้ั ปวงใหส าํ เรจ็ ดวยความไมอยูปราศจากสติเถิด พระผูมีพระภาคทรงบรรทมเหนือ พระแทนปรินิพพาน ไดประทานสรุปโอวาทท่ีประทานมาตลอด ๔๕ พรรษาลงในคําวา ความไมประมาทเพียงคาํ เดยี วดวยประการฉะน”้ี ๕๔ ขุ.สุ. ๒๕/๑๕๘/๓๖๓ ๕๕ คาํ วา เวภตู กิ มีความหมาย ๒ ประการ คือ ๓๙๙

àªÔ§ÍÃö ๑. คําแสดงความพินาศใหปรากฏ = วิภูตึ กาสตีติ เวภูติกํ (วิภตู ิ บทหนา + กาส ธาตุ <ปกาเส = แสดงใหปรากฏ> + กวฺ ิ ปจ จยั ใน กตั ตุสาธนะ) ๒. คํากระทาํ ความพินาศ = วิภตู ึ กโรตีติ เวภูตกิ ํ (วิภตู ิ บทหนา + กร ธาตุ <กรเณ = กระทํา> + กวฺ ิ ปจ จยั ในกัตตสุ าธนะ) ดงั ขอความวา วิภูตีติ วินาโส. วิภูตึ กาสติ กโรติ วาติ วิภูติกํ. วิภูติกเมว เวภูติกํ เวภูติยนฺติป วุจฺจติ เปสุฺสฺเสตํ อธิวจนํ. ตฺหิ สตฺตานํ อฺ มฺ โต เภทเนน วินาสํ กโรติ. (ข.ุ สุ.อ. ๑/๑๕๘/๒๓๓) “คําวา วิภูติ แปลวา ความพินาศ คาํ วา วภิ ตู กิ ะ คอื คาํ แสดงความพนิ าศใหป รากฏ หรอื คาํ กระทาํ ความพนิ าศ คําแสดงความพินาศใหปรากฏ หรือคํากระทําความพินาศ นนั่ แหละ เรียกวา เวภตู กิ ะ และเวภูติยะ [โดยแปลง อิ ใน วิ เปน เอ] คํานี้เปนช่ือของคําสอเสียด เพราะคําน้ันทําใหเหลาสัตวพินาศดวยการ ทําใหแตกแยกกนั ” ๕๖ อุบายท่ีเปนเหตุชนะศัตรูของพระราชาในสมัยกอน มี ๔ ประการ คือ ๑. เภทะ การยุยงใหแตกแยก คือ พูดยุยงฝายศัตรูที่สามัคคี กันใหแตกแยกเพ่ือบั่นทอนกําลัง เหมือนพระเจาอชาตศัตรูสงวัสสการ พราหมณไปทําลายความสามัคคีของเจาวัชชีแลวจึงบุกยึดเมืองวัชชีใน ภายหลัง ๔๐๐

àªÔ§ÍÃö ๒. ทัณฑะ การสูรบ คอื ตอ ตา นการรนุ รานของฝา ยศัตรู หรอื ปฏิบัตกิ ารรุกรานฝา ยศตั รู ๓. สามะ การเกล้ยี กลอ ม คือ พูดจาหวา นลอมใหศ ัตรูยอมแพ หรอื มาเปน พันธมิตรโดยไมต องสูรบ ๔. ทานะ การตดิ สนิ บน คอื ใชท รพั ยต ดิ สนิ บนศตั รใู หก ลายเปน มิตรหรอื เพื่อซ้ือขา วของฝายศัตรู ดงั ขอ ความวา เภโท ทณฺโฑ สามทานา- นฺยุปายา จตุโร อเิ ม. (อภธิ าน. ๑/๓๔๘) “อบุ ายทเ่ี ปน เหตชุ นะศตั รู มี ๔ ประการ คอื เภทะ (การพดู ยยุ ง ใหแตกแยก) ทัณฑะ (การสรู บ) สามะ (การเกล้ียกลอม) และทานะ (การ ติดสนิ บน)” ๕๗ ขุ.ส.ุ ๒๕/๑๕๙/๓๖๓ ๕๘ โพธิสตฺตสสฺ หิ เอกจฺเจสุ าเนสุ ปาณาติปาโตป อทนิ ฺนา- ทานมฺป กาเมสุมิจฺฉาจาโรป สุราเมรยมชฺชปานมฺป โหติเยว, อตฺถ- เภทกวิสวํ าทนํ ปุรกขฺ ตวฺ า มุสาวาโท นาม น โหติ (ขุ.ชา. ๕/๔๑/๓๑๖) “ทจ่ี รงิ แลว พระโพธสิ ตั วม กี ารฆา สตั ว ลกั ทรพั ย ประพฤตผิ ดิ ใน กาม และดื่มสรุ าเมรยั บา งในทบี่ างแหง แตพ ระองคไ มต รัสมุสาวาทโดย มงุ หลอกลวงทําลายประโยชน” ๕๙ ขุ.ธ. ๒๕/๑๗๖/๔๘ ๖๐ ตํ โข ปนิทํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจํ ภาวิตนฺติ เม ภิกฺขเว ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ จกฺขุ อุทปาทิ, าณํ อุทปาทิ, ๔๐๑

àªÔ§ÍÃö ปฺ า อทุ ปาทิ, วชิ ฺชา อุทปาทิ, อาโลโก อุทปาทิ. (สํ.ม. ๑๙/๑๐๘๑/๓๖๘) “ภิกษุท้ังหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปญญา วิชชา และ แสงสวางไดเกิดแลวแกตถาคตในธรรมท่ีไมเคยสดับมากอนวา เราได อบรมอริยสจั คือมรรคนนั้ แลว” ๖๑ มา โข ตุเมหฺ ภกิ ขฺ เว วจฺฉสสฺ ภกิ ฺขโุ น อุชฺฌายิตถฺ . น ภกิ ขฺ เว วจฺโฉ โทสนตฺ โร ภิกฺขู วสลวาเทน สมุทาจรต.ิ วจฺฉสสฺ ภิกขฺ เว ภกิ ฺขุโน ปฺจ ชาติสตานิ อพฺโภกิณฺณานิ พฺราหฺมณกุเล ปจฺจาชาตนิ. โส ตสฺส วสลวาโท ทีฆรตฺตํ สมุทาจิณฺโณ. เตนายํ วจฺโฉ ภิกฺขู วสลวาเทน สมุทาจรต.ิ (ข.ุ อ.ุ ๒๕/๒๖/๑๓๐) “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เธอทง้ั หลายอยา ถอื โทษพระวจั ฉะเลย วจั ฉะหา ไดม งุ รา ยเรยี กภกิ ษทุ งั้ หลายดว ยคาํ วา คนถอ ยไม พระวจั ฉะเกดิ ในตระกลู พราหมณตดิ ตอกนั ไมมีชว งคน่ั ถึง ๕๐๐ ชาติ เธอคุนเคยกบั การเรยี กวา คนถอยน้ันมานานแลว ดวยเหตนุ น้ั เธอจึงเรียกภกิ ษทุ ้งั หลายดว ยคําวา คนถอย” สวาสนนฺติ เอตฺถ ขีณาสวสฺสป อขีณาสวสทิสกายวจีปโยค- เหตุภูตา สนฺตาเน กเิ ลสภาวนา วาสนา นาม อายสมฺ โต ปล นิ ทฺ วจฉฺ สฺส วสลโวหาโร วยิ . (เนตฺต.ิ ฏีกา ๑๐๕/๑๖๓) “ในคําวา สวาสนํ นี้ การอบรมแหง กิเลสในกระแสจิตซง่ึ ทาํ ให เกิดความเพียรทางกายและวาจาอันเสมอกับบุคคลผูยังมิไดส้ินอาสวะ ช่อื วา วาสนา เหมือนการเรียกวา คนถอ ย ของพระปล นิ ทวจั ฉะ” กา ปนายํ วาสนา นาม? ยํ กิเลสรหิตสฺสาป สนฺตาเน อปฺปหนี - กิเลสานํ สมาจารสทิสสมาจารเหตุภูตํ อนาทิกาลภาวิเตหิ กิเลเสหิ ๔๐๒

àªÔ§ÍÃö อาหิตํ สามตถฺ ยิ มตตฺ ํ. ตถารปู า อธมิ ตุ ฺตตี ิ วทนตฺ ิ. (อุทาน.อ. ๒๖/๒๐๕) ถามวา : ข้นึ ชื่อวา วาสนานีค้ อื อะไร ตอบวา : อาจารยทง้ั หลายกลา ววา วาสนาเปน ความคุนเคยท่ี เปนเพียงความสามารถเชนน้ันท่ีถูกต้ังไวดวยกิเลสซ่ึงถูกอบรมมาตลอด กาลไมป รากฏเบอื้ งตน อนั ทาํ ใหป ระพฤตเิ หมอื นความประพฤตขิ องผยู งั ละกเิ ลสไมไ ด [ซงึ่ เกดิ ขนึ้ ]ในกระแสจติ แมข องทา นผปู ราศจากกเิ ลสแลว ” กา ปนายํ วาสนา นาม? ปหีนกิเลสสฺสป อปฺปหีนกิเลสสฺส ปโยคสทิสปโยคเหตุภูโต กิเลสนิสฺสิโต สามตฺถิยวิเสโส อายสฺมโต ปล นิ ทฺ วจฉฺ สสฺ วสลสมุทาจารนมิ ติ ฺตํ วิย. (สารตฺถ.ฏีกา ๑/๑/๒๗๐) ถามวา : ข้ึนช่อื วา วาสนานค้ี อื อะไร ตอบวา : ความสามารถพิเศษที่อาศัยกิเลสซ่ึงเปนเหตุใหเกิด ความพยายาม[ทางกายหรือวาจา]อันเหมือนกับความพยายามของผูยัง กาํ จดั กิเลสไมไ ด [ซงึ่ เกดิ ข้ึน]แมเกิดผูกาํ จดั กเิ ลสไดแลว ” ๖๒ นนุ อเฺ สมฺป ขีณาสวานํ เต ปหีนา เอวาติ อนุโยคํ มนสิ- กตวฺ า วตุ ตฺ ํ “สวาสนานนตฺ .ิ น หิ เปตฺวา ภควนตฺ ํ อเฺ  สห วาสนาย กิเลเส ปหาตุ สกฺโกนตฺ ิ. เอเตน อฺเหิ อสาธารณํ ภควโต อรหตตฺ นตฺ ิ ทสฺสติ ํ โหต.ิ (สารตถฺ .ฏกี า ๑/๑/๒๗๐) “ทานกลาววา สวาสนานํ (พรอ มทั้งความเคยชิน) โดยคํานงึ ถึง คําถามวา ‘แมพระขีณาสพอ่ืนก็กําจัดกิเลสเหลานั้นไดมิใชหรือ’ ท่ีจริง พระขีณาสพอื่นยกเวนพระผูมีพระภาคยอมไมอาจกําจัดกิเลสพรอมทั้ง ความเคยชินได คําวา สวาสนานํ นั้นแสดงวาอรหัตตผลของพระผูมี- พระภาคแตกตางจากพระขีณาสพอ่ืน” ๔๐๓

àªÔ§ÍÃö สา หิ กสุ ลาป อตถฺ ิ อกุสลาป อพยฺ ากตาป, ตถา ปหาตพพฺ าป อตถฺ ิ อปฺปหาตพพฺ าป. ตตถฺ ยา กุสลาพยฺ ากตา, น สา ปหาตพฺพา. ยา ปน อกุสลา, สา สุขุมตรตาย ภควโตเยว อริยมคฺเคน ปหาตพฺพา, นาเฺ ญส.ํ เอวํ สนฺเต อรยิ านมฺป อปายปู ปตฺติ สิยาติ? น สิยา สพเฺ พสเมว อรยิ านํ อปายูปปตฺตเิ หตุกาย วาสนาย ปหีนตตฺ า. ทุวธิ า หิ อกสุ ลา วาสนา กายวจีปโยคเหตภุ ตู า จ อปายปู ปตตฺ -ิ เหตุภูตา จ. ตตฺถ ปุริมา ภควโตเยว อริยมคฺเคน ปหาตพฺพา, อิตรา สพฺเพสมปฺ  อรยิ มคฺเคนาติ. ตสมฺ า ยํ วุตฺตํ พุทธฺ าว สวาสเน กิเลเส ปชหติ ํุ สกฺโกนฺติ, นาฺเญติ, ตํ กายวจีปโยคเหตุภูตํ วาสนํ สนฺธาย วุตฺตํ, เนตรนตฺ ิ นฏิ เมตฺถาวคนตฺ พฺพ.ํ (อภธิ าน.ฏีกา ๗๗๒) “กลาวโดยละเอยี ดวา ความเคยชินนนั้ เปน กศุ ลบา ง อกศุ ลบา ง อัพยากฤตบา ง เชนเดียวกันนี้ เปน ส่งิ ทค่ี วรกําจดั บา ง ไมค วรกาํ จดั บาง ในเร่ืองน้ัน ความเคยชินท่ีเปนกุศลและอัพยากฤต ไมควรถูก กําจัด สว นท่ีเปนอกศุ ลควรถกู กาํ จดั ดว ยอรยิ มรรคของพระผูมีพระภาค เพราะเปน สภาพละเอียดย่งิ ไมถ ูกพระขณี าสพอนื่ กาํ จัด ถามวา : เม่ือเปนเชนน้ัน พระอรยิ ะไปเกดิ ในอบายไดหรอื ตอบวา : ไมได เพราะพระอริยะทั้งหมดกําจัดความเคยชินท่ี ทําใหไปเกดิ ในอบายได โดยแทจ รงิ แลว ความเคยชนิ ทเ่ี ปน อกศุ ลมี ๒ ประการ คอื ความ เคยชินที่เปนเหตุใหเกิดความพยายามทางกายและวาจา และความ เคยชินที่เปนเหตุใหไปเกิดในอบาย ในความเคยชินเหลานั้น อยางแรก ควรถกู กาํ จดั ดว ยมรรคญาณอนั ประเสรฐิ ของพระผมู พี ระภาค อยา งหลงั ๔๐๔

àªÔ§ÍÃö อื่นควรถกู กาํ จัดดวยอริยมรรคของพระอรยิ ะท้งั หมด ฉะน้ัน คํากลาววา ‘พระพทุ ธเจา เทา นนั้ กาํ จดั กเิ ลสพรอ มทง้ั ความเคยชนิ ได มใิ ชพ ระขณี าสพ อน่ื ’ จงึ กลา วไวโ ดยหมายถงึ ความเคยชนิ ทเี่ ปน เหตใุ หเ กดิ ความพยายาม ทางกายและวาจา มใิ ชห มายถงึ ความเคยชนิ อนื่ จากน้ี ผมู ปี ญ ญาพงึ เขา ใจ คาํ สรปุ ความในเร่ืองนั้นอยา งนี้” ๖๓ ขุ.ชา. ๒๗/๗๗/๑๙, ขุ.ชา.อ. ๒/๗๗/๑๒๘ ๖๔ นตฺถิ มหาราช ทินฺนํ. นตฺถิ ยิฏ. นตฺถิ หุตํ. นตฺถิ สุกต- ทุกฺกฏานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก. นตฺถิ อยํ โลโก. นตฺถิ ปโร โลโก. นตถฺ ิ มาตา. นตถฺ ิ ปต า. นตฺถิ สตตฺ า โอปปาติกา. นตถฺ ิ โลเก สมณพรฺ าหฺมณา สมฺมคคฺ ตา สมฺมาปฏปิ นนฺ า, เย อิมฺจ โลกํ ปรฺจ โลกํ สยํ อภิ ฺา สจฺฉกิ ตวฺ า ปเวเทนฺติ. จาตมุ ฺมหาภูตโิ ก อยํ ปุรโิ ส ยทา กาลํ กโรติ, ปวี ปวกิ ายํ อนุเปติ อนปุ คจฺฉติ. อาโป อาโปกายํ อนเุ ปติ อนุปคจฺฉต.ิ เตโช เตโชกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ. วาโย วาโยกายํ อนุเปติ อนุปคจฺฉติ. อากาสํ อินฺทฺริยานิ สงฺกมนฺติ. อาสนฺทิปฺจมา ปุริสา มตํ อาทาย คจฉฺ นฺต.ิ ยาว อาฬาหนา ปทานิ ปฺายนตฺ ิ. กาโปตกานิ อฏ นี ิ ภวนตฺ .ิ ภสสฺ นฺตา อาหุตโิ ย. ทตตฺ ุปฺตฺตมิทํ ทาน,ํ เตสํ ตจุ ฉฺ ํ มสุ า วลิ าโป. เย เกจิ อตถฺ ิกวาทํ วทนตฺ ิ, พาเล จ ปณฺฑเิ ต จ กายสสฺ เภทา อุจฺฉิชฺชนฺติ วนิ สฺสนฺต,ิ น โหนตฺ ิ ปรํ มรณา. (ที.ส.ี ๙/๑๗๑/๕๕) “มหาบพติ ร การใหท าน การบชู ายญั และการเซน สรวง ไมมี ผล ไมมผี ลวบิ ากแหงกรรมทท่ี ําดีทําชวั่ ไมมโี ลกน้ีและโลกหนา [การทํา ดีหรือช่ัวใน]บิดาและมารดาไมมีผล ไมมีสัตวที่ตายแลวเกิดใหม สมณ- พราหมณผ บู รรลอุ รยิ มรรคอนั ดงี ามปฏบิ ตั ชิ อบ ผรู แู จง โลกนแ้ี ละโลกหนา ๔๐๕

àªÔ§ÍÃö ดวยปญ ญาของตนแลวสอนผอู ่ืนใหรแู จงก็ไมม ใี นโลก เหลา สัตวนีเ้ ปน ทป่ี ระชมุ แหงมหาภตู รูป ๔ เม่อื สน้ิ ชีวิต ธาตดุ ิน ไปตามธาตดุ นิ ธาตนุ า้ํ ไปตามธาตนุ า้ํ ธาตไุ ฟไปตามธาตไุ ฟ ธาตลุ มไปตาม ธาตลุ ม [นาม]อนิ ทรยี ยอมผนั แปรไปเปนอากาศธาตุ มนุษยมีเตียงนอน เปน ท่ี ๕ นาํ ศพไป รา งกายปรากฏอยแู คป า ชา กลายเปน กระดกู ขาวโพลน ดจุ สนี กพริ าบ การเซน สรวงสน้ิ สดุ ลงแคเ ถา ถา น คนเขลาบญั ญตั ทิ านนไ้ี ว บางคนกลาววาการใหทานเปนตนมีผล คําของพวกเขาวางเปลา เท็จ ไรส าระ เม่อื สน้ิ ชวี ติ ท้งั คนเขลาและคนฉลาดยอ มขาดสูญไมเกดิ อีก” ๖๕ ยํ ตถาคโต วาจํ ชานาติ อภูตํ อตจฉฺ ํ อนตถฺ สฺหติ ,ํ สา จ ปเรสํ อปฺปย า อมนาปา, น ตํ ตถาคโต วาจํ ภาสติ. ยมฺป ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฺฉํ อนตถฺ สหฺ ิตํ, สา จ ปเรสํ อปปฺ ย า อมนาปา, ตมฺป ตถาคโต วาจํ น ภาสติ. ยฺจ โข ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฺฉํ อตถฺ สหฺ ติ ,ํ สา จ ปเรสํ อปปฺ ยา อมนาปา, ตตรฺ กาลฺ ู ตถาคโต โหติ ตสฺสา วาจาย เวยฺยากรณาย. ยํ ตถาคโต วาจํ ชานาติ อภูตํ อตจฺฉํ อนตฺถสหฺ ิต,ํ สา จ ปเรสํ ปย า มนาปา, น ตํ ตถาคโต วาจํ ภาสติ. ยมปฺ  ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภตู ํ ตจฺฉํ อนตฺถสหฺ ติ ํ, สา จ ปเรสํ ปย า มนาปา, ตมปฺ  ตถาคโต วาจํ น ภาสติ. ยจฺ โข ตถาคโต วาจํ ชานาติ ภูตํ ตจฉฺ ํ อตฺถสฺหิตํ, สา จ ปเรสํ ปยา มนาปา, ตตฺร กาลฺู ตถาคโต โหติ ตสสฺ า วาจาย เวยยฺ ากรณาย. (ม.ม. ๑๓/๘๖/๖๔) “ ๑. ตถาคตรวู าจาใดวา ไมจ ริงแท ไรประโยชน ไมเ ปน ทรี่ ักชอบ ของคนอ่ืน ยอมไมต รสั วาจานัน้ ๒. ตถาคตรูวาจาใดวาจริงแท ไรประโยชน ไมเปนที่รักชอบ ๔๐๖

àªÔ§ÍÃö ของคนอื่น ยอ มไมต รสั วาจานน้ั ๓. ตถาคตรวู าจาใดวา จรงิ แท มปี ระโยชน ไมเ ปน ทร่ี กั ชอบของ คนอ่ืน ยอมรูจ กั กาลอันควรเพื่อตรัสวาจาน้นั ๔. ตถาคตรวู าจาใดวา ไมจ รงิ แท ไรป ระโยชน เปน ทร่ี กั ชอบของ คนอื่น ยอ มไมต รสั วาจาน้นั ๕. ตถาคตรูวาจาใดวาจริงแท ไรประโยชน เปนท่ีรักชอบของ คนอน่ื ยอ มไมตรัสวาจานนั้ ๖. ตถาคตรวู าจาใดวา จรงิ แท มปี ระโยชน เปน ทรี่ กั ชอบของคน อนื่ ยอมรูจ กั กาลอนั ควรเพื่อตรสั วาจาน้ัน” ๖๖ ขุ.ส.ุ ๒๕/๑๖๐/๓๖๓ ๖๗ ขุ.สุ. ๒๕/๑๖๑/๓๖๓ ๖๘ อุปฺปชฺชติ กามวิตกฺโกติ โพธิสตฺตสฺส ฉพฺพสฺสานิ ปธานํ ปทหโต รชฺชสขุ ํ วา อารพฺภ ปาสาเท วา นาฏกานิ วา โอโรเธ วา กิ จฺ -ิ เทว วา สมฺปตฺตึ อารพฺภ กามวิตกฺโก นาม น อุปฺปนฺนปุพฺโพ. (ม.มู.อ. ๑/๒๐๗/๔๐๗) “คาํ วา อปุ ฺปชฺชติ กามวิตกฺโก (กามวติ กเกดิ ขน้ึ ) หมายความวา เมอื่ พระโพธิสัตวท รงพากเพียรอยู ๖ ป ขึ้นช่ือวากามวิตกปรารภความ สุขในการครองราชย ปรารภปราสาท นางฟอนรํา นางสนม หรอื ปรารภ สมบัตอิ ยางใดอยางหนึง่ ไมเคยเกิดข้นึ ” สตตฺ วสฺสานิ ภควนฺตํ อนุพนธฺ ึ ปทาปทํ โอตารํ นาธคิ จฺฉสิ สฺ ํ สมพฺ ทุ ธฺ สสฺ สตมี โต. (ขุ.ส.ุ ๒๕/๔๔๙/๔๑๕) ๔๐๗

àªÔ§ÍÃö “หมอ มฉันตามสะกดรอยพระผูมพี ระภาคนานถงึ ๗ ปก ย็ งั หา โอกาส[กลาวโทษ]พระสัมพุทธเจาผทู รงสิรมิ ิไดเ ลย” มาโร อทุ านสทเฺ ทน อาคนตฺ วฺ า “อยํ พทุ ฺโธ อหนฺติ ปฏชิ านาติ. หนฺท นํ อนุพนฺธามิ อาภิสมาจาริกํ ปสสฺ ติ ุ. สจสฺส กิ จฺ ิ กาเยน วา วาจาย วา ขลิตํ ภวิสสฺ ติ, วิเหเสสฺ ามิ นนฺติ ปพุ ฺเพ โพธสิ ตตฺ ภูมยิ ํ ฉพพฺ สสฺ านิ อนุพนฺธติ วฺ า พทุ ธฺ ตตฺ ํ ปตฺตํ เอกํ วสสฺ ํ อนุพนฺธ.ิ ตโต ภควโต กิจฺ ิ ขลติ ํ อปสฺสนฺโต สตฺต วสฺสานีติ อิมา นิพฺเพชนียคาถาโย อภาสิ. (ขุ.สุ.อ. ๒/๔๔๙/๒๑๔) “มารกลับมาดวยเสียงเปลงอุทานแลวดําริวา ‘สิทธัตถะน้ี ปฏิญาณวา เราเปนพระพทุ ธเจา แลว เอาเถิด เราจะตดิ ตามพระองคเ พ่อื เฝาดูความประพฤติ หากพระองคจ ักมีความผิดพลาดทางกายหรอื วาจา เราจกั กลา วโทษ’ ไดต ดิ ตามตลอด ๖ ปใ นคราวเปน พระโพธสิ ตั วค รงั้ กอ น แลว ติดตามพระองคผ เู ปน พระพทุ ธเจาแลว อกี ๑ ป ถงึ กระน้นั มารก็ไม เหน็ ความผดิ พลาดอะไรๆ ของพระผมู พี ระภาค จงึ กลา วคาถาเหลา นดี้ ว ย ความทอ ใจวา สตฺต วสฺสานิ (ตลอด ๗ ป) เปนตน ” ๖๙ ตํ โข ปนิทํ ทุกขฺ สมทุ โย อริยสจฺจํ ปหนี นตฺ ิ เม ภกิ ขฺ เว ปพุ เฺ พ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ จกฺขุ อุทปาทิ, าณํ อุทปาทิ, ปฺา อุทปาทิ, วิชฺชา อุทปาทิ, อาโลโก อทุ ปาทิ. (ส.ํ ม. ๑๙/๑๐๘๑/๓๖๗) “ภิกษุท้ังหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปญญา วิชชา และ แสงสวางไดเกิดแลวแกตถาคตในธรรมที่ไมเคยสดับมากอนวา เราละ อรยิ สจั คอื ทกุ ขสมุทยั นั้นแลว ” ๔๐๘

àªÔ§ÍÃö ๗๐ รเู ป โข ภิกฺขเว สติ รปู  อปุ าทาย รูป อภนิ ิวสิ ฺส มิจฺฉาทฏิ ิ อปุ ปฺ ชชฺ ติ. เวทนาย สติ ฯเปฯ สฺาย สติ ฯเปฯ สงฺขาเรสุ สติ ฯเปฯ วิฺาเณ สติ วิฺาณํ อุปาทาย วิฺาณํ อภินิวิสฺส มิจฺฉาทิฏิ อปุ ฺปชฺชติ. ตํ กึ มฺ ถ ภิกขฺ เว. รูป นิจจฺ ํ วา อนิจจฺ ํ วาต?ิ อนิจจฺ ํ ภนเฺ ต. ยํ ปนานิจจฺ ํ ฯเปฯ อปนุ ตํ อนปุ าทาย มจิ ฺฉาทฏิ ิ อุปฺปชเฺ ชยยฺ าต?ิ โน เหตํ ภนฺเต. เวทนา ฯเปฯ สฺา ฯเปฯ สงขฺ ารา ฯเปฯ วิฺ าณํ นิจฺจํ วา อนิจจฺ ํ วาต?ิ อนิจจฺ ํ ภนเฺ ต. ยํ ปนานจิ จฺ ,ํ ทกุ ขฺ ํ วา ตํ สุขํ วาต?ิ ทกุ ฺขํ ภนเฺ ต. ยํ ปนานจิ จฺ ํ ทุกฺขํ วปิ ริณามธมมฺ ํ, อปนุ ตํ อนปุ าทาย มิจฺฉาทฏิ  ิ อุปปฺ ชเฺ ชยยฺ าติ? โน เหตํ ภนฺเต. (ส.ํ ข. ๑๗/๑๕๔/๑๔๘) “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เมอ่ื มรี ปู มจิ ฉาทฏิ ฐจิ งึ เกดิ ขนึ้ เพราะยดึ มน่ั อาศยั รปู เมื่อมเี วทนา ... สญั ญา ... สงั ขาร ... วิญญาณ มิจฉาทิฏฐิจงึ เกดิ ขึ้น เพราะยดึ มัน่ อาศยั วญิ ญาณ เธอทง้ั หลายจะเขา ใจความขอ นน้ั วา อยา งไร รปู เทยี่ งหรอื ไมเ ทยี่ ง ไมเ ท่ียง พระพุทธเจา ขา ส่ิงใดไมเท่ียง ... มิจฉาทิฏฐิจะเกิดขึ้นไดเพราะไมยึดม่ันส่ิงน้ัน หรือ เกิดข้นึ ไมไ ด พระพทุ ธเจาขา เวทนา ... สัญญา ... สงั ขาร ... วญิ ญาณเทยี่ งหรอื ไมเ ที่ยง ไมเท่ยี ง พระพุทธเจา ขา ส่งิ ใดไมเทยี่ ง สิง่ นนั้ เปนทกุ ขห รือเปน สขุ เปนทุกข พระพทุ ธเจาขา ๔๐๙

àªÔ§ÍÃö ส่ิงใดไมเ ท่ยี ง เปน ทุกข มคี วามแปรผันเปน ธรรมดา มจิ ฉาทิฏฐิ จะเกิดขึ้นไดเพราะไมย ดึ มั่นส่ิงนน้ั หรอื เกดิ ขนึ้ ไมได พระพุทธเจา ขา” ๗๑ วสฺสสหสสฺ ายุเกสุ ภกิ ฺขเว มนสุ ฺเสสุ มิจฉฺ าทิฏิเวปลุ ลฺ มคมาสิ. มิจฺฉาทิฏ ยิ า เวปลุ ฺลํ คตาย เตสํ สตตฺ านํ อายปุ  ปริหาย,ิ วณฺโณป ปรหิ าย.ิ เตสํ อายุนาป ปริหายมานานํ วณฺเณนป ปริหายมานานํ วสฺสสหสฺสา- ยกุ านํ มนุสฺสานํ ปฺ จวสฺสสตายกุ า ปตุ ตฺ า อเหส.ุ (ที.ปา. ๑๔/๑๐๐/๖๐) “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เมอื่ มนษุ ยม อี ายขุ ยั ๑,๐๐๐ ป มจิ ฉาทฏิ ฐกิ แ็ พร หลาย เมือ่ มจิ ฉาทฏิ ฐแิ พรห ลาย คนเหลา นัน้ มีอายุและวรรณะเสื่อมถอย ลง เมอ่ื พวกเขามอี ายแุ ละวรรณะเสอ่ื มถอยลง บตุ รของมนษุ ยท มี่ อี ายขุ ยั ๑,๐๐๐ ปก็มอี ายุขยั ถอยลงเหลอื ๕๐๐ ป” ๗๒ ทสวสสฺ ายเุ กสุ ภิกขฺ เว มนสุ ฺเสสุ ทส กุสลกมมฺ ปถา สพเฺ พน สพฺพํ อนฺตรธายิสฺสนฺติ. ทส อกุสลกมฺมปถา อติพฺยาทิปฺปสฺสนฺติ. ทส- วสฺสายุเกสุ ภิกฺขเว มนุสฺเสสุ กุสลนฺติป น ภวิสฺสติ, กุโต ปน กุสลสฺส การโก. (ท.ี ปา. ๑๔/๑๐๓/๖๑) “เมือ่ มนุษยมีอายุขัย ๑๐ ป กศุ ลกรรมบถ ๑๐ จกั อันตรธานไป หมดสน้ิ อกุศลกรรมบถ ๑๐ จกั เจริญรุง เรืองเหลือเกิน เม่อื มนุษยมีอายุ ขยั ๑๐ ป แมแตช ่อื วา กศุ ลก็จักไมมี คนท่ที าํ กศุ ลจักมไี ดอยางไร” ๗๓ จกฺขมุ าติ ภควา ปกตทิ ิพพฺ ปฺ าสมนฺตพทุ ธฺ จกขฺ ูหิ ปจฺ หิ จกขฺ ูหิ จกฺขุมา. (ข.ุ สุ.อ. ๑/๓๑-๒/๔๐) “คาํ วา จกขฺ มุ า(ผทู รงพระจกั ษ)ุ หมายความวา พระผมู พี ระภาค ทรงมพี ระจกั ษุ[ประกอบ]ดว ยจกั ษุ ๕ คอื (๑) จักษปุ กติ (๒) จกั ษทุ ิพย ๔๑๐

àªÔ§ÍÃö (๓) ปญญาจกั ษุ (๔) สมนั ตจกั ษุ (๕) พทุ ธจักษ”ุ จกฺขุมตาติ มํสจกฺขุ ทิพฺพจกฺขุ ปฺาจกฺขุ พุทฺธจกฺขุ สมนฺต- จกขฺ ตู ิ อเิ มหิ ปฺจหิ จกฺขูหิ จกขฺ มุ ตา. (ขุ.เถร.อ. ๒/๔๒๒/๑๑๖) “คําวา จกฺขมุ ตา (ผทู รงพระจกั ษ)ุ หมายความวา พระพทุ ธเจา ทรงพระจกั ษุดว ยจักษุ ๕ ประการนี้ คือ (๑) มงั สจักษุ (๒) ทิพยจักษุ (๓) ปญญาจักษุ (๔) พทุ ธจกั ษุ (๕) สมันตจักษุ” ๗๔ ธมฺมจกฺขุนฺติ อิธ โสตาปตฺติมคฺโค อธิปฺเปโต. (องฺ.นวก.อ. ๓/๑๒/๒๓๗) “ในคําวา ธมมฺ จกขฺ ุํ (ดวงตาเหน็ ธรรม) นี้ หมายเอาโสตาปตติ- มรรค” ๗๕ กตถฺ จิ ธมมฺ จกขฺ มุ หฺ ิ “วริ ชํ วตี มลํ ธมมฺ จกขฺ ุํ อทุ ปาทตี ิ หิ เอตถฺ อรยิ มคฺคตตฺ ยปฺญา. (ที.ส.ี อ. ๑/๓๑๓/๑๖๕) “ในบางท่ี ปญ ญาในโลกตุ ตรมรรคอนั ประเสรฐิ ๓ ขน้ั เปน ธรรม จักษุในพระบาลีนีว้ า วริ ชํ วตี มลํ ธมมฺ จกขฺ ํุ อทุ ปาทิ (ดวงตาเห็นธรรมอนั ปราศจากธลุ มี ลทนิ )” ๗๖ ธมมฺ จกขฺ ุนฺติ อมิ สมฺ ึ สุตฺเต จตฺตาโร จ มคฺคา จตฺตาริ จ ผลานิ ธมมฺ จกฺขุนฺติ เวทติ พฺพานิ. ตตฺถ หิ กาจิ เทวตา โสตาปนฺนา อเหสุํ, กาจิ สกทาคามี, อนาคามี, ขีณาสวา. ตาสฺจ ปน เทวตานํ เอตฺตกาติ คณนวเสน ปริจเฺ ฉโท นตฺถิ. (สํ.ม.อ. ๓/๑๒๑/๔๓) “ในคาํ วา ธมมฺ จกขฺ ุํ (ดวงตาเหน็ ธรรม) มรรค ๔ และผล ๔ พึง ทราบวา เปน ธรรมจกั ษใุ นพระสตู รน้ี เพราะในทแี่ สดงพระสตู รนน้ั มเี ทวดา บางตนเปนพระโสดาบันบาง พระสกทาคามีบาง พระอนาคามีบาง ๔๑๑

àªÔ§ÍÃö พระอรหนั ตบ า ง และไมม กี าํ หนดจาํ นวนวา เทวดาเหลา นน้ั มเี พยี งเทา น”ี้ ๗๗ ธมฺมจกขฺ นุ ฺติ อฺ ตฺถ ตโย มคฺคา ตีณิ จ ผลานิ ธมมฺ จกฺขุ นาม โหนตฺ ิ, อธิ ปมมคโฺ คว. (ส.ํ ม.อ. ๓/๑๐๘๑/๓๘๐) “ในคาํ วา ธมมฺ จกขฺ ํุ (ดวงตาเหน็ ธรรม) มรรค ๓ และผล ๓ ชือ่ วาดวงตาเห็นธรรม ในพระสูตรอ่ืน แตในธัมมจักกัปปวัตนสูตรนี้ปฐม- มรรคน่นั แหละช่ือวาดวงตาเหน็ ธรรม” ธมมฺ จกฺขุนตฺ ิ พฺรหฺมายุสตุ เฺ ต เหฏ มิ า ตโย มคคฺ า วตุ ฺตา, จูฬ- ราหุโลวาเท อาสวกขฺ โย, อิธ ปน โสตาปตตฺ มิ คโฺ ค อธิปเฺ ปโต. (สารตฺถ.ฏีกา ๓/๑๖/๒๒๐) “มรรค ๓ ข้ันต่ําเรียกวาดวงตาเห็นธรรมในพรัหมายุสูตร การสิ้นอาสวะ (อรหตั ตมรรค) เรยี กวา ดวงตาเหน็ ธรรมในจูฬราหุโลวาท สูตร แตใ นธมั มจักกัปปวตั นสูตรนห้ี มายเอาโสตาปตตมิ รรค” ธมฺมจกฺขุนฺติ อิธ จตุสจฺจธมฺเมสุ จกฺขุกิจฺจกรณโต โสตาปตฺติ- มคฺโค อธิปฺเปโต. (วิมติ.ฏีกา ๒/๑๖/๑๑๘) “โสตาปต ตมิ รรคถกู ระบวุ า เปน ดวงตาเหน็ ธรรม เพราะทาํ หนา ท่ี ของดวงตาในสัจธรรม ๔” ๗๘ ยโต จ โข เม ภิกขฺ เว อิเมสุ จตูสุ อริยสจฺเจสุ เอวํ ตปิ รวิ ฏฏํ ทฺวาทสาการํ ยถาภูตํ ญาณทสสฺ นํ สุวิสุทฺธํ อโหสิ. อถาหํ ภกิ ฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย อนตุ ฺตรํ สมฺมาสมโฺ พธึ อภสิ มฺพุทฺโธติ ปจจฺ ญฺ าส.ึ (ว.ิ ม. ๔/๑๖/๑๕, สํ.ม. ๑๙/๑๐๘๑/๓๖๘) ๔๑๒

àªÔ§ÍÃö ๗๙ ตสฺมาติห เต พาหิย เอวํ สิกฺขิตพฺพํ “ทิฏเ ทิฏมตฺตํ ภวิสฺสติ, สุเต สุตมตฺตํ ภวิสฺสติ, มุเต มุตมตฺตํ ภวิสฺสติ, วิฺาเต วิฺาตมตตฺ ํ ภวิสสฺ ตีติ. เอวหฺ ิ เต พาหยิ สิกขฺ ติ พพฺ ํ. ยโต โข เต พาหยิ ทฏิ เ ทฏิ มตฺตํ ภวิสฺสติ, สเุ ต สุตมตฺตํ ภวิสสฺ ติ, มเุ ต มตุ มตฺตํ ภวิสสฺ ติ, วิ ฺาเต วิฺ าตมตตฺ ํ ภวิสสฺ ต,ิ ตโต ตฺวํ พาหิย น เตน. ยโต ตวฺ ํ พาหยิ น เตน, ตโต ตวฺ ํ พาหยิ น ตตฺถ. ยโต ตวฺ ํ พาหิย น ตตถฺ , ตโต ตวฺ ํ พาหิย เนวธิ น หรุ ํ น อุภยมนฺตเรน. เอเสวนโฺ ต ทุกขฺ สฺสาติ. (ข.ุ อุ. ๒๕/๑๐/๑๐๒-๓) “พาหยิ ะ เพราะเหตนุ ้ัน เมื่อเหน็ จงเพียงแตเห็น เมื่อไดย ินจง เพียงแตไ ดย ิน เม่อื รูจ งเพยี งแตร ู เมอื่ คดิ จงเพียงแตค ิด พาหยิ ะ เธอพึง รกั ษาอยา งนี้แล เมอื่ ใด เธอเมื่อเหน็ จงเพยี งแตเห็น เมอื่ ไดย ินจงเพยี ง แตไ ดย นิ เมอื่ รจู งเพยี งแตร ู เมอ่ื คดิ จงเพยี งแตค ดิ เมอ่ื นนั้ เธอยอ มไมเ ปน ไปรว มกนั เมอ่ื ใด เธอไมเปนไปรว มกันในสภาวะเหน็ เปน ตน เม่ือนัน้ เธอ กจ็ ะไมย ดึ ตดิ ในสภาวะเหน็ เปน ตน นน้ั เมอื่ ใด เธอไมย ดึ ตดิ ในสภาวะเหน็ เปน ตน นน้ั เมอื่ นนั้ เธอจกั ไมม ใี นโลกน้ี ไมม ใี นโลกอน่ื ไมม ใี นระหวา งโลก ทั้งสอง ความไมม นี ้เี ปน ทส่ี ุดแหงทกุ ข” ๘๐ กตโม จ สตตฺ านํ อาสโย? สสสฺ โต โลโกติ วา, อสสสฺ โต โลโกติ วา, อนฺตวา โลโกติ วา, อนนตฺ วา โลโกติ วา, ตํ ชีวํ ตํ สรีรนฺติ วา, อฺ ํ ชวี ํ อฺ ํ สรรี นฺติ วา, โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ วา, น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ วา, โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ วา, เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรํ มรณาติ วา อิติ ภวทฏิ  สนนฺ ิสสฺ ิตา วา สตฺตา โหนตฺ ิ วภิ วทฏิ สนนฺ ิสฺสติ า วา, เอเต วา ปน อโุ ภ อนเฺ ต อนุปคมฺม อิทปปฺ จฺจย- ตาปฏิจฺจสมุปฺปนฺเนสุ ธมฺเมสุ อนุโลมิกา ขนฺติ ปฏิลทฺธา โหติ ยถาภูตํ ๔๑๓

àªÔ§ÍÃö วา าณํ. อยํ สตฺตานํ อาสโย. (อภ.ิ วิ. ๓๕/๘๑๕/๔๑๕) “ความนอมใจชอบของสตั วท้ังหลาย คอื อะไร คือความเห็นวา โลกเที่ยง โลกไมเ ท่ียง โลกมีทีส่ ดุ โลกไมม ที ีส่ ดุ ชีวะกับสรรี ะเปนอยาง เดียวกนั ชีวะกบั สรีระเปนคนละอยางกัน สัตวเกิดอีกหลังจากตายแลว สัตวไมเ กดิ อีกหลงั จากตายแลว สัตวเกิดอีกก็ใช จะวา ไมเ กิดอกี กใ็ ชห ลัง จากตายแลว สัตวเกิดอีกก็มิใช จะวาไมเกิดอีกก็มิใชหลังจากตายแลว เหลา สตั วอ าศยั ภวทฏิ ฐิ (สสั สตทฏิ ฐ)ิ หรอื วภิ วทฏิ ฐิ (อจุ เฉททฏิ ฐ)ิ ดงั กลา ว มานี้ อีกอยางหน่ึง คือเหลาสัตวผูไมเขาถึงที่สุดท้ังสองนี้ ไดบรรลุอนุ- โลมกิ ขนั ติ (ปญ ญาหยัง่ เหน็ คลอ ยตามโลกุตตรธรรม, วิปสสนาญาณ) ใน สภาวธรรมทเี่ ปน ปจ จยั ของกนั และกนั และเกดิ ขนึ้ อาศยั กนั หรอื ไดบ รรลุ ยถาภูตญาณ (ปญ ญารเู ห็นตามความเปนจรงิ ) นชี้ ่อื วาความนอมใจชอบ ของเหลา สตั ว” อนโุ ลมกิ า ขนตฺ ตี ิ วปิ สสฺ นาาณ.ํ ยถาภตู ํ วา าณนตฺ ิ มคคฺ าณ.ํ อทิ ํ วุตตฺ ํ โหต-ิ ยา ปฏจิ จฺ สมุปฺปาเท เจว ปฏจิ จฺ สมุปปฺ นนฺ ธมฺเมสุ จ เอเต อุโภ สสฺสตุจฺเฉทอนฺเต อนุปคนฺตฺวา วิปสฺสนา ปฏิลทฺธา ยฺจ ตโต อุตตฺ รมิ คคฺ าณํ, อยํ สตฺตานํ อาสโย อยํ วฏฏ สนนฺ สิ สฺ ิตานจฺ ววิ ฏฏ - สนนฺ สิ ฺสติ านฺจ สพเฺ พสมปฺ  สตตฺ านํ อาสโย อิทํ วสนฏ านนฺติ. (อภ.ิ ว.ิ อ. ๒/๘๑๕/๔๙๔) “คําวา อนุโลมิกา ขนฺติ (ปญญาหยั่งเห็นคลอยตามโลกุตตร- ธรรม) คอื วิปส สนา คําวา ยถาภูตํ วา ญาณํ (หรือไดบรรลุยถาภูตญาณ) คือ มรรค ญาณ ความหมายคอื วิปสสนาท่ีผูเ พยี รปฏิบตั ิไดบรรลโุ ดยไมเขาถงึ ทส่ี ดุ ๔๑๔

àªÔ§ÍÃö ท้ังสองเหลานี้คือสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิในปฏิจจสมุปบาทและ สภาวธรรมทเ่ี กดิ ขนึ้ อาศยั กนั พรอ มทงั้ มรรคญาณทยี่ ง่ิ กวา วปิ ส สนา ญาณ ทงั้ สองนช้ี อ่ื วา ความนอ มใจชอบ คอื เรอื นของสตั วท งั้ ปวงผทู อี่ าศยั วฏั ฏะ หรอื วิวฏั ฏ” ๘๑ คําวา อนุสย มคี วามหมาย ๔ ประการ คือ ๑. กิเลสท่ีเกิดขึ้นเม่ือไดรับเหตุปจจัยอันเหมาะสม = อนุ- เสนฺตตี ิ อนุสยา (อนุ อปุ สรรคมอี รรถวา เหมาะสม + สิ ธาตุ มอี รรถวา เกิดขึ้น) ๒. กเิ ลสทเ่ี กดิ ขนึ้ เสมอ = อนุ อนุ เสนตฺ ตี ิ อนสุ ยา (อนุ อปุ สรรค มีอรรถวา เสมอ + สิ ธาตุ มอี รรถวา เกดิ ขึ้น) ๓. กิเลสท่ีคลอยตามนอนเนื่องอยู = อนุรูปา หุตฺวา เสนฺตีติ อนสุ ยา (อนุ อปุ สรรคมอี รรถวา คลอ ยตาม + สิ ธาตุ มอี รรถวา นอนเนอ่ื ง) ๔. กิเลสที่นอนเนื่องเสมอ = อนุ อนุ เสนฺตีติ อนุสยา (อนุ อุปสรรคมอี รรถวา เสมอ + สิ ธาตมุ ีอรรถวา นอนเนอ่ื ง) ๘๒ พทุ ธฺ จกขฺ นุ าติ อนิ ทฺ รฺ ยิ ปโรปรยิ ตตฺ าเณน จ อาสยานสุ ยาเณน จ. อเิ มสหฺ ิ ทวฺ นิ ฺนํ าณานํ “พทุ ฺธจกฺขตู ิ นามํ (ว.ิ ม.อ. ๓/๙/๑๕, ที.ม.อ. ๒/๖๙/๖๔) “คาํ วา พทุ ธฺ จกขฺ นุ า (ดว ยพทุ ธจกั ษ)ุ คอื ดว ยอนิ ทรยิ ปโรปรยิ ตั - ตญาณและอาสยานุสยญาณ” ๘๓ ข.ุ ธ. ๒๕/๒๘๕/๖๖, ข.ุ ธ.อ. ๒/๒๘๕/๓๑๓-๑๕ ๘๔ ขุ.ธ.อ. ๒/๓๘๙-๙๐/๔๗๕ ๘๕ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๑๖๒/๓๖๓ ๔๑๕