Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ✍️ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ โดย อ.ป.

✍️ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ โดย อ.ป.

Description: ✍️ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ โดย อ.ป.

Search

Read the Text Version

พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ โดย อ.ป. ธรรมทานมลู นธิ ิ จดั พิมพ์ดว้ ยดอกผลทนุ พระยาลดั พลธี รรมประคัล เปน็ หนงั สอื อันดบั ท่หี นึ่ง ในหนงั สอื ชุด “ลดั พลีธรรมประคัลอนุสรณ์” เป็นการพมิ พค์ รง้ั ที่ ๘ ของหนงั สอื เล่มนี้ จํานวน ๑,๐๐๐ เล่ม (ลิขสิทธิ์ไมส่ งวนสาํ หรบั การพมิ พแ์ จกเป็นธรรมทาน, สงวนเฉพาะการพมิ พจ์ ําหนา่ ย) พิมพ์ท่ี ห้างหุน้ สว่ นจํากัด การพิมพ์พระนคร ๙๒ - ๙๔ ถนนบญุ ศริ ิ นครหลวง ฯ โทร. ๒๑๒๓๓๗, ๒๒๑๖๗๔ นายบญุ ธรรม สนุ ทรวาที ผพู้ มิ พแ์ ละโฆษณา ๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๕

คณะธรรมทานไชยา จัดพมิ พ์ พิมพ์คร้ังทแี่ รก ๑ พฤษภาคม ๒๔๗๙ พิมพ์ครง้ั ท่ีสอง ๑ มกราคม ๒๔๙๕ พมิ พ์ครง้ั ทสี่ าม ๑๔ มกราคม ๒๔๙๘ พมิ พ์ครัง้ ทีส่ ่ี ๒๗ ตลุ าคม ๒๕๐๓ พิมพค์ รง้ั ท่หี ้า ๑๐ ตลุ าคม ๒๕๐๘ พมิ พค์ รั้งทห่ี ก ๒๓ มกราคม ๒๕๑๓ พิมพค์ ร้ังท่เี จด็ ๓ ธนั วาคม ๒๕๑๓ พิมพค์ รงั้ ทแ่ี ปด ๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๑๕







การรอ้ ยกรองหนงั สอื เลม่ นี้ อทุ ศิ เปน็ ถามพลี แด่พระผู้มพี ระภาคเจา้ และ เพ่อื เป็นรอยพระพุทธบาท แดเ่ พอื่ นสตั วผ์ เู้ ดนิ ค้นหาพระองค์ (๓)

ใจความสาคัญ เป็นพระประวตั ิตรสั เล่า ไมม่ คี าเรียบเรียงของผแู้ ตง่ คละปน เพราะเปน็ ท่ีรวบรวมเฉพาะพระพุทธภาษติ ทต่ี รสั ถึงประวตั ิของ พระองคเ์ อง, จากคัมภรี พ์ ระไตรปฏิ กลว้ น เลอื กเก็บเอามา รอ้ ยกรองให้เปน็ หมวดหมู่ ติดตอ่ กนั เป็นลาดับ, ม่งุ แสดง หลักธรรมทแ่ี นบอยใู่ นพระชนมช์ ีพของพระองค์ แทนการมงุ่ ทางตานานประวตั ิ หรอื นิยายประวัติ เพื่อให้เป็นหนงั สอื ส่งเสริมปฏบิ ัตธิ รรมเลม่ หน่ึง เป็นสว่ นใหญ่ รวมทั้งเปน็ แก่น แหง่ เรื่องพุทธประวัติด้วย, เปน็ ส่วนพเิ ศษ. -ผูร้ วบรวม- มีปทานุกรมคาสาคญั , , ลาดับหมวดธรรม อยทู่ ้ายเล่ม (๔)

พทุ ธประวตั ิ จากพระโอษฐ์

อักษรยอ่ (เพ่ือความสะดวกแก่ผูท้ ่ยี งั ไม่เข้าใจในเรอ่ื งอกั ษรยอ่ ทใ่ี ช้หมายเลขแทนคมั ภรี ์ ซึ่งมีอยู่โดยมาก ) -------------------------------- มหาวิ.ว.ิ มหาวภิ ังค์ วนิ ยั ปิฏก. ฉก.ฺ อ.ํ ฉกั กนิบาต องั คุตตรนิกาย ภกิ ขุนี.ว.ิ ภิกขนุ วี ภิ งั ค์ ” สต.ฺ อ.ํ สตั ตกนิบาต ” มหา.วิ มหาวัคค์ ” อฏ.ฺ อํ อัฏฐกนบิ าต” จุลล.ว.ิ จุลลวัคค์ ” นว.อํ นวกนบิ าต ” ปริวาร.วิ ปรวิ ารวัคค์ ” ทส.อ.ํ ทสกนบิ าต ” สีล.ที. สีลกั ขันธวัคค์ ทีฆนิกาย เอกาทส.อ.ํ เอกาทสกนบิ าต ” มหา.ท.ี มหาวัคค์ ” ข.ุ ข.ุ ขทุ ทกปาฐ ขุททกนิกาย ปา.ที. ปาฏกิ วคั ค์ ” ธ.ข.ุ ธัมมบท ” มู.ม. มูลป๎ณณาสก์ มชั ฌมิ นกิ าย อุ.ขุ. อุทาน ” ม.ม. มชั ฌิมปณ๎ ณาสก์ ” อิติ.ขุ. อิติวตุ ตก ” อปุ ร.ิ ม. อุปรปิ ๎ณณสก์ ” สตุ ตฺ .ข.ุ สตุ ตนบิ าต ” สคาถ.สํ สคาถวคั ค์ สงั ยุตตนิกาย วิมาน.ข.ุ วมิ านวตั ถุ ” นิทาน.ส.ํ นทิ านวคั ค์ ” เปต.ข.ุ เปตวตั ถุ ” ขนฺธ.ส.ํ ขนั ธวารวัคค์ ” เถร.ขุ. เถรคาถา ” สฬ.ส.ํ สฬายตนวัคค์ ” เถรี.ขุ. เถรคี าถา ” มหาวาร.ส.ํ มหาวัคค์ ” ชา.ข.ุ ชาดก ” เอก.อํ เอกนบิ าต อังคุตตรนกิ าย นิท.ขุ. นิทเทส ” ทุก.อ.ํ ทกุ นบิ าต ” ปฏสิ ม.ฺ ข.ุ ปฏิสมั ภิทา ” ติก.อํ. ตกิ นบิ าต ” อปทาน.ข.ุ อปทาน ” จตกุ .อ.ํ จตกุ กนบิ าต ” พทุ ธว.ข.ุ พุทธวงค์ ” ปญจ.อ.ํ ปญ๎ จกนบิ าต. ” จรยิ า.ขุ. จรยิ าปฏิ ก ” __________________________________________________________________________ ตวั อยา่ งคาย่อ : ๑๔/๑๗๑/๒๔๕ ให้อ่านวา่ ไตรปฏิ ก เล่ม ๑๔ หนา้ ๑๗๑ ข้อที่ ๒๔๕ ไตรปฎิ ก = ไตรปฎิ กฉบบั บาลสี ยามรัฐ ฉบบั อนสุ รณ์รัชกาลที่ ๗ ชดุ พิมพค์ รัง้ แรก (พ.ม.) = เรื่องเพิม่ ใหม่ เมอ่ื พิมพ์คร้ังทสี่ อง (พ.ม.อ.) = เรือ่ งเพิ่มใหม่ เม่ือพิมพค์ รั้งที่สาม (พ.ม.ส) = เร่อื งเพม่ิ ใหม่ครั้งสุดท้าย เม่ือพมิ พค์ รง้ั ทเี่ ก้า พ.ุ โอ. = พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ ขมุ .โอ. = ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ ปฏิจจ.โอ = ปฏจิ จสมุปบาทจากพระโอษฐ์ อรยิ สัจ.โอ. = อรยิ สัจจากพระโอษฐ์ ท. = ทั้งหลาย

คานา (ในการพิมพค์ รง้ั ที่ ๙/๒๕๒๓) --------------------------- ในการพมิ พ์ครงั้ ท่ี ๙ แห่งหนังสือเรื่องน้ี มีการเปลย่ี นแปลงทคี่ วรแถลงให้ทราบบาง ประการ คอื ได้มีการเพมิ่ จํานวนเรื่องทีเ่ คยเวน้ เสยี ในการพมิ พ์คร้ังกอ่ นๆ ท่ีเหน็ กันในครง้ั นน้ั ว่า ไมส่ ู้สําคัญ จะเวน้ เสยี กไ็ ด้ และเปน็ เรื่องท่คี ้นพบใหม่หลังจากทตี่ ัง้ ตาสาํ รวจกนั จริงๆจังอกี คร้ัง หน่ึง, เข้ามาในการพิมพค์ รง้ั นด้ี ้วย จึงทาํ ใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลง คือ :- มเี รอ่ื งเพ่ิมขึ้นจากท่เี คยมเี พียง ๒๔๘ เรอื่ ง กลายเปน็ มี ๓๘๘ เรอื่ ง; มหี น้าหนงั สือ ซึ่งเคยมเี พยี ง ๓๙๖ หนา้ กลายเป็นมี ๖๑๔ หนา้ ,(ไมน่ ับปทานกุ รม ฯลฯ) มคี าํ ปทานุกรม ซึ่งเคยมีเพยี ง ๒๑๙๙ คํา กลายเปน็ มี ๓๒๙๑ คาํ ; มหี มวดธรรมท้ายเลม่ ซ่ึงเคยมเี พียง ๑๕๗ หมวด กลายเป็นมี ๓๗๒ หมวด; รู้สึกวา่ การปรบั ปรุงเพิ่มเตมิ คร้งั น้ี เป็นการกระทาํ ครง้ั สุดท้ายเปน็ แน่นอน จงึ ได้ใสอ่ กั ษรย่อ เครอ่ื งสงั เกตไวท้ า้ ยเรอื่ งน้นั ๆ ในสารบัญว่า (พ.ม.ส.) ซึ่งหมายความว่า “เพิ่มใหม่คร้งั สดุ ทา้ ย” และยังรสู้ กึ วา่ จะตอ้ งขออภยั ตอ่ ทา่ นผอู้ ่าน โดยทเี่ ขียนไวใ้ นคํานําคร้ังท่ี ๓ ว่าคร้นั นัน้ เปน็ การ เพม่ิ ครง้ั สดุ ท้าย และยตุ ิการเพ่มิ ทาํ หนังสือเรอ่ื งนี้แต่เพียงนน้ั , บดั นย้ี งั มีการเพม่ิ ใหม่อกี และจะ เป็นคร้งั สดุ ท้ายจริงๆ, สําหรับเร่ืองทีเ่ พมิ่ เขา้ มาใหม่คร้ังน้ี โดยเพ่มิ เครื่องหมาย (พ.ม.ส.) ไวท้ ้ายชอื่ ทกุ ๆเรอ่ื ง น้นั เป็นเรอ่ื งที่ไม่ซํ้ากับเรื่องที่มอี ยู่ก่อน และมคี ่าควรแกก่ ารศกึ ษาจรงิ ๆ ควรจะไดศ้ ึกษา สอบสวนดอู ยา่ งทั่วถงึ โดยเฉพาะสําหรับผทู้ เี่ คยอา่ นแต่ฉบบั พมิ พ์คร้งั ก่อนๆ, ในทสี่ ุดนี้ ข้าพเจ้าขอขอบคณุ อดีต ธมมฺ วิจติ ฺโต ภิกฺขุ ท่ีไดช้ ่วยเป็นอย่างมาก ในการ สํารวจอย่างละเอียดเพื่อใหไ้ ด้มาซึง่ เรอื่ งในชดุ ท่เี พ่มิ ใหมน่ ี้ ตลอดถงึ การสอบทาน ตรวจปรูฟ๊ ควบคุมการจัดหนา้ ทําปทานกุ รมหมวดธรรมทา้ ยเลม่ อยา่ งเหนด็ เหน่ือยแทนขา้ พเจ้าผู้ยา่ งเขา้ ในวัยชรา,และขอบคณุ ตปญฺโŸ ภกิ ฺขุ ท่ไี ดช้ ว่ ยเหลือในการคัดลอก การเขยี นบัตรทําปทานุกรม การจัดลําดับอกั ษร และอ่ืนๆทเี่ น่ืองด้วยเรื่องนน้ั , ขอท่านท่ีไดร้ ับประโยชนจ์ ากหนังสอื เลม่ นี้ จง ไดร้ บั ทราบถึงความเสยี สละเร่ียวแรงของท่านทัง้ สองนี้ โดยทั่วกันดว้ ย อ.ป. ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๒๓ (๗)

คานา (เมื่อพิมพ์ครั้งที่ ๑ ) ____________ พระประวัติตรัสเล่า หรือพุทธประวัติจากพระพุทธโอษฐ์นี้ เลือกเก็บจาก บาลีพระไตรปิฎก รวบรวมเอามาเฉพาะตอนท่ีพระองค์ตรัสเล่าถึงประวัติของ พระองคเ์ อง พระประวัติของพระองค์ทุกๆ ตอน ท้ังที่ทรงเล่าเอง และเป็นคํา ของพระ สังคีติกาจารย์ผู้ร้อยกรองบาลีพระไตรปิฎก ย่อมมีอยู่เป็นแห่งๆ ตอนๆ ไม่ ติดต่อกันไปจนตลอดเรื่องเป็นการลําบากแก่ผู้ศึกษา. สมเด็จพระมหาสมณะ เจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เคยทรงพบเหตุแห่งความไม่สะดวกข้อน้ี ดังท่ีตรัส ไว้ ในตอนคาํ ปรารภ ท่หี นา้ หนงั สอื พุทธประวัตเิ ลม่ ๑ ของพระองค์วา่ :- “…น่าเสียดายว่า เร่ืองพุทธประวัติน้ัน ไม่ปรากฏในบาลีที่ขึ้นสู่สังคีติจน ตลอดเรื่องสักแห่งเดียว มีมาในบาลีประเทศนั้นๆ เพียงเป็นท่อนๆ เช่นเรื่อง ประสูติมาในมหาปทานสูตรแห่งทีฆนิกายมหาวรรค เร่ืองครั้งยังทรงพระเยาว์มา ในติกนิบาตอังคุตตรนิกาย เรื่องต้ังแต่ปรารภเหตุท่ีเสด็จออกบรรพชา จนภิกษุ ป๎ญจวัคคีย์สาํ เรจ็ พระอรหตั ตผล มาในปาสราสิสูตรแห่งมัชฌิมนิกายมูลป๎ณณาสก์ เรื่องเสด็จออกบรรรพชาแล้ว บําเพ็ญทุกกรกริยาจนได้ตรัสรู้ มาในมหาสัจจกสูตร แห่งมัชฌิมนิกายมูลป๎ณณาสก์ เรื่องต้ังแต่ตรัสรู้แล้วจนถึงอัครสาวกบรรพชา มา ในมหาวรรคแห่งวินัยการทรงบําเพ็ญพุทธกิจน้ันๆ มาในพระสูตรต่างๆ หลาย สถาน, ตอนใกล้จะปรินิพพานจนถึงปรินิพพานแล้ว มัลลกษัตริย์ในกุสินาราทําการ ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้วแบ่งพระสารีริกธาตุไว้บ้าง แจกไปในนครอ่ืน บ้าง มาในมหาปรินิพพานสูตร แห่งทีฆนิกาย มหาวรรค.เป็นอย่างนี้ เข้าใจว่าพระ คันถรจนาจารยม์ งุ่ จะกลา่ วเทศนาบางอย่าง จึงชักเร่ืองมากล่าวพอเป็นเหตุปรารภ เทศนา ท่เี รยี กว่า “อัตถุปปต๎ ต”ิ .อีกอย่างหนึง่ ได้เรอื่ งมา (๘)

พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์-คานา (๙) เพียงใด ก็รจนาไวเ้ พียงนัน้ เป็นคราวๆ เพราะเหตุน้ีในปกรณ์เดียวควรจะเรียงเรื่อง ไวใ้ นสตู รเดียวกัน กย็ ังเรียงกระจายกนั ไว…้ ” แต่ในหนงั สือพทุ ธประวตั ทิ ่พี ระมหาสมณะเจ้าพระองคน์ ี้ ทรงเรียบเรียงนั้น ทรงเก็บความในบาลีมาคละปนกันไป ทั้งท่ีตรัสเล่าโดยพระโอษฐ์เองและท่ีเป็นคํา ของสังคีติกาจารย์ บางแห่งก็รวมทั้งอรรถกถา ทั้งไม่ได้ทรงหมายเหตุไว้ให้ชัดว่า ตอนไหนเป็นคําตรัสเล่า ตอนไหนเป็นคําของรจนา เพราะทรงแต่งให้เป็นหนังสือ เล่มใหม่ขึ้นตา่ งหาก พรอ้ มทงั้ มีอธิบายและความเหน็ สันนษิ ฐาน. ส่วนเร่ืองจากพระ โอษฐ์ ท่ขี ้าพเจ้ารวบรวมมาน้ี เลือกเก็บและแปลออกเฉพาะตอนท่ีพระศาสดาตรัส เล่าเร่ืองของพระองค์เอง จากบาลีอย่างเดียวไม่มีคําของพระสังคีติกาจารย์หรือ คนั ถรจนาจารย์ปนอยู่เลย เพ่ือไม่ให้คละกันด้วยหวังว่าจะเป็นการสะดวกแก่ผู้ที่จะ ศึกษา และสันนิษฐานคัมภรี พ์ ุทธประวตั ิสบื ไป,แม้เมื่อไปอ่านคัมภีร์พุทธประวัติอ่ืนๆ ที่ท่านรวบรวมข้ึนใหม่ เช่น ปฐมสมโพธิเป็นต้นก็ดี ตลอดจนพุทธประวัติ ตา่ งประเทศก็ดี จะเข้าใจไดง้ ่ายว่า อะไรเปน็ แก่นและอะไรเปน็ เกร็ดของเรือ่ ง. เพราะฉะน้ัน เรื่องพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ก็หมายความว่าเรื่องท่ีทรง เล่าเอง มีน้ําหนักย่ิงกว่าบาลีธรรมดาทั่วไป เพื่อให้ได้หลักแห่งพุทธประวัติแท้ๆ สําหรับศกึ ษาในข้นั แรกเสยี กอ่ น. ในลาํ ดบั ต่อไปจึงจะได้ศกึ ษาส่วนท่ีเปน็ คาํ ของพระ สังคีติกาจารย์ ตลอดมาจนถึงอรรถกถา และเรื่องเล่ากันปรัมปราอันเกี่ยวด้วย พุทธประวัติทุกอย่าง. เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะรู้เร่ืองพุทธประวัติได้อย่างทั่วถึง เป็น หลักฐานม่นั คง, และรู้วา่ ไหนเปน็ แกน่ ไหนเปน็ กะพี้ไหนเป็นเปลือกเพียงไรด้วย, ซ่ึง ถ้ามีโอกาสก็ควรจะได้ศึกษากันให้ครบทุกชนิด

(๑๐) พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - คานา จากท่ีเป็นหลักฐานทส่ี ุด ไปหาทม่ี หี ลักฐานเบาบาง. ในบัดน้ี ขอเชิญทา่ นผู้อ่านศึกษา แก่นแทข้ องพทุ ธประวตั ิ คือบาลจี ากพระพทุ ธโอษฐ์เป็นข้ันแรก. ขออุทิศกุศลเกิดแต่การเผยแผ่ธรรมอันนี้ เป็นปฏิบัติบูชาแด่พระผู้มีพระ ภาคเจา้ ใจอภิลักขิตสมยั ตรงกับวนั ประสตู ิ - ตรัสรู้ - นิพพานนด้ี ว้ ย. อ.ป. เปรยี ญ และ น.ธ. เอก ไชยา ๑ พฤษภาคม ๒๔๗๗

คานา (เมื่อพิมพค์ รัง้ ท่ี ๒) ___________ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการสมควรอย่างย่ิง ท่ีจะกล่าวไว้เสียในคราวน้ี ถึง มูลเหตุที่จะเกิดหนังสือเล่มน้ีข้ึน. ในช้ันแรกที่สุด เนื่องจากข้าพเจ้ามีความสนใจใน การค้นหาร่องรอยแห่งการศึกษาค้นคว้า การปฏิบัติ และการเป็นอยู่ประจําวัน ตลอดจนถึงวิธีการอบรมสั่งสอน และการแก้ป๎ญหาเฉพาะหน้าต่าง ๆ ของสมเด็จ พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยประสงค์จะนําเอาหลักเกณฑ์เหล่านั้นมามาใช้ในการที่จะ ทําความเข้าใจในพระองค์ และทาตามรอยพระยุคลบาท หรือที่เรียกตาม ความหมายอันกว้างขวางอย่างหนึ่งว่า การตามรอยพระอรหันต์, ข้าพเจ้าจึง พยายามเลือกเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ความมุ่งหมายอันน้ีเสมอ มาจากท่ีทุกแห่ง. ครน้ั ไดม้ กี ารพยายามลองเกบ็ เร่ืองราวจากพระไตรปิฎก โดยตรง กไ็ ดพ้ บเร่ืองราวอันมีค่ามากในทางที่จะแสดงแนวการปฏิบัติและยังแถมอยู่ในพระ พุทธภาษิตโดยตรงดว้ ย, ข้าพเจ้าจึงไดต้ ั้งใจใหม่ คือในช้นั นจ้ี ะเลอื กเก็บเอาเฉพาะท่ี เป็นพระพุทธภาษิตล้วน ๆ ก่อนพวกหน่ึง เว้นคําพระสังคีติกาจารย์เสีย. ในที่สุดก็ ไดเ้ รือ่ งราวต่างๆ ทีอ่ ย่ใู นรปู ตรัสเองพอแกค่ วามต้องการจรงิ ๆ . สําหรับผู้ท่ีอยู่นอกวัด ไม่คุ้นกับพระไตรปิฏกนั้น ควรจะทราบเสียก่อนว่า พระไตรปฏิ กน้ัน พระสังคีติกาจารย์ผู้ร้อยกรอง ท่านเรียงเป็นคําสอนของท่านเอง เล่าเรื่องราวต่าง ๆ อันเก่ียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าเมื่อประทับอยู่ท่ีนั่น ได้มี เหตุการณ์เกิดขึ้นอยา่ งนัน้ ๆ และได้ตรัสถอ้ ยคํา อยา่ งนน้ั ๆ เปน็ เร่อื งๆไปเป็นส่วน ใหญ่. ท่ีกลา่ วถงึ พระสาวกหรือคนสําคญั บางคนโดยเฉพาะน้ัน มีเป็นส่วนน้อย และ นอกจากน้ันก็มีข้อความพวกที่เป็นคําอธิบายศัพท์ลึกซ้ึงต่าง ๆ คือพวกคัมภีร์นิเทศ ในบรรดาสูตรต่าง ๆ ทพี่ ระสังคีตกิ าจารย์เล่าเรือ่ งพระผมู้ ี (๑๑)

(๑๒) พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - คานา พระภาคเจ้าโดยตรงนั้น ก็มีน้อยสูตรที่ได้เล่าถึงเร่ืองที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัส เลา่ ถงึ พระประวัติ หรือการกระทําของพระองค์เอง โดยพระองค์เอง และยังแถม เป็นการมีท่ีกระจัดกระจายอยู่ท่ัวไป แห่งละเล็กละน้อย ท่ีนั้นบ้าง ท่ีน้ีบ้างเลย กลายเป็นของที่ยังเร้นลับ. ฉะน้ันเม่ือใครอยากทราบว่า ถ้อยคําเฉพาะท่ีพระองค์ ไดต้ รัสเล่าถึงเรื่องราวของพระองคเ์ อง มีอยู่อยา่ งไรและเท่าไรแล้วผู้น้ันจะต้องทํา การสํารวจพระไตรปิฎก ผ่านไปทีละหน้าทุก ๆ หน้า ด้วยความระมัดระวัง และ เลือกเก็บเอาออกมารวบรวมไว้ จนกว่าการสํารวจจะทั่วตลอดพระไตรปิฎก แล้ว จึงเอาเรื่องทั้งหมดนั้นมาพิจารณาดูว่า เรื่องอะไรเกิดก่อนเกิดหลัง หรือคาบเกี่ยว กันอย่างไร อีกต่อหนึ่ง จึงจะได้เร่ืองราวเหล่านั้นตามความประสงค์. ความ ยากลาํ บากอยตู่ รงทเี่ ร่ืองราวเหลา่ นีม้ ไิ ดร้ วมอยทู่ ต่ี อนใดตอนหน่ึงของพระไตรปิฎก ดว้ ยกนั ทงั้ หมด แตไ่ ปมแี ทรกอยู่ทีน่ ัน้ บ้างทีน่ ้ีบ้างและบางแห่งก็มีนิดหน่อยและเร้น ลับ ต้องตั้งอกต้ังใจเลือกเก็บกันจริงๆ :เรื่องจึงต้องใช้เวลาแรมปีในการเลือกเก็บ มาร้อยกรองใหต้ ดิ ต่อกนั . ในชั้นแรกทีเดียว ข้าพเจ้ามิได้มีความตั้งใจจะรวบรวมพระประวัติตรัสเอง เหล่านี้ เพราะไม่ไดน้ ึกคดิ วา่ จะมีอยโู่ ดยคิดเสียว่า พระประวัติต่าง ๆ นั้นมีเท่าท่ีมีผู้ นํามาร้อยกรองและศึกษากันอยู่แล้วเท่านั้น,และอีกอย่างหนึ่งในขณะน้ันข้าพเจ้า มุ่งมายแต่จะค้นหาร่องรอยของการปฏิบัติธรรมท่ียังเร้นลับ เป็นป๎ญหาอยู่อย่าง เดียว,การค้นเรื่องจากพระไตรปิฎก จึงมุ่งเลือกเก็บเฉพาะเรื่องท่ีแสดงร่องรอย ของการปฏิบัติธรรมเร่ือยมา. เรื่องได้เป็นไปเอง ในการที่ได้พบเร่ืองการปฏิบัติ ธรรมทีป่ ระสงค์จะพบ จากบางตอนของคําตรัสเล่าถึงการปฏิบัติของพระองค์เอง ในระยะต่าง ๆ ท้ังในระยะท่ีทรงทําความเพียรเพื่อตรัสรู้และตรัสรู้แล้วทําการสั่ง สอนคนนานาชนิด. เร่ืองท่ีตรัสเล่าถึงพระองค์เองในขณะท่ีทรงทาความเพียร เพอ่ื ตรสั รู้นัน้ เผอญิ มมี ากมาย เกินกวา่ ที่ข้าพเจ้าเคยนึกฝ๎น

พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ – คานา (๑๓) และได้เกิดเป็นเร่ืองที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่บุคคลที่ประสงค์ จะ “ตามรอย พระยุคลบาท” หรือ ตามรอยพระอรหันต์; และได้ทาให้เกิดความอิ่มใจแก่ ข้าพเจ้าเป็นล้นพ้นจนหายเหนื่อย. และข้าพเจ้ากล้ายืนยันเฉพาะในส่วนน้ีว่ายังไม่ เคยมีใครที่ได้แต่งหนังสือพุทธประวัติเล่มใด ได้นําเอาเรื่องราวตอนท่ีเป็นการ ค้นคว้าทดลองก่อนการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า มาแสดงไว้อย่างครบถ้วน เหมือนที่ข้าพเจ้านํามาแสดงไว้ในหนังสือเล่มน้ีเลย. ทั้งน้ีได้แก่ข้อความตั้งแต่หน้า ๔๙ ถึงหน้า ๑๐๔ แห่งหนังสือเล่มน้ี, และเป็นข้อความที่ตรัสเองล้วนโดยไม่มีคํา ของพระสังคีติกาจารย์ และอรรถกาเข้ารวมอยู่ด้วย เหมือนหนังสือพุทธประวัติ ท้ังหลาย ท่ีมีอยู่แต่ก่อนๆ โดยเฉพาะเรื่องราวภายใต้หัว ข้อว่า “การทรงกาหนด สมาธิ นิมิตก่อนตรัสรู้”, “การทรงพยายามในญาณทัสนะเป็นขั้น ๆ ก่อนการ ตรัสรู้”, “การทรงทาลายความขลาดก่อนตรัสรู้”ฯลฯ เหล่าน้ี ปรากฏว่า เป็นที่ สบใจและอนโุ มทนาแก่เพื่อนักปฏิบัติด้วยกันเป็นอย่างสูง ถึงกับใช้เป็นคู่มือ. ถึงแม้ เรื่องราวท่ีกล่าวถึงเหตุการณ์หลังจากการตรัสรู้แล้ว เช่น การทรมานเจ้าลัทธิต่าง ๆ ในการส่ังสอน หรืออุบายวิธีแห่งการสั่งสอน ก็ล้วนแต่เป็นเร่ืองแสดงรอยแห่ง การปฏิบัติธรรมอยู่ไม่น้อย อย่างเดียวกัน.และยังมีเร่ืองประเภทท่ีแสดงให้เรา ทราบถึง “ชวี ิตประจําวนั ” ของพระองค์ จนถึงกับทาํ ให้เรารู้สึกว่า เราได้อยู่ใกล้ชิด กับพระองค์ ชนิดที่ได้เห็นการเคลื่อนไหวเป็นประจําวันของพระองค์ด้วยการที่ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยข้อธรรมะ มากกว่าเร่ืองราวที่เป็นประวัตินั้น ก็เป็นเพราะ มูลเหตุที่มีการค้นเพ่ือหาร่องรอยแห่งการปฏิบัติธรรมในพระชีวประวัติดังกล่าว แล้ว น่ันเอง แลอีกประการหนึง่ ซึง่ ข้าพเจา้ เพ่ิงจะตัดสินใจลงไปในภายหลังเม่ือได้ พบความจรงิ อนั น้ีแล้ว ก็คือ การตัง้ ใจว่าจะให้

(๑๔) พุทธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - คานา หนงั สือเลม่ น้ีเปน็ “พทุ ธประวตั แิ ห่งการปฏิบัตธิ รรม” หรือ “พทุ ธประวตั ิที่ม่งุ แสดงไปในทางธรรม” นั้นเอง. การร้อยกรองหนังสือพุทธประวัติ เมื่อสังเกตดูเป็นอย่างดีแล้วปรากฏว่า มที างทจ่ี ะรอ้ ยกรองหนังสือพทุ ธประวตั ไิ ดถ้ ึง ๓ แนวดว้ ยกันเป็นอย่างน้อย. แนวท่ี หนึ่ง เป็นหนังสือมุ่งโดยตรง ในการท่ีจะชักชวนคนให้เล่ือมใสและโดยเฉพาะคน ส่วนใหญ่ที่ไม่ใชน่ ักศึกษา ได้แก่คนชาวบา้ นท่วั ๆ ไป ซ่ึงตอ้ งหนักไปในทางปาฏิหาริย์ เช่นหนังสือปฐมสมโพธิและลลิตวิศตระเป็นตัวอย่างจัดเป็นหนังสือสรรเสริญ พระคุณหรือ Gospel ไปพวกหน่ึง ซ่ึงนับว่าเป็นผลดีเลิศไปทางหนึ่ง คือยึดเหนี่ยว นํ้า ใ จ คน ใ ห้ ติดแ น่ น ใ น ศา สน า ข อ ง ตน ไ ด้นั้ น เ อ ง .แ ต่เนื่ อ ง จ า ก มุ่ ง ห นั ก ไ ป ใ น ท า ง ปาฏิหารยิ เ์ กนิ ไปนนั่ เอง ทําให้เกิดความเบอ่ื หน่ายข้ึนแกพ่ วกนกั ศึกษาหรือนักปฏิบัติ ธรรมโดยตรง การมีหนังสือพุทธประวัติแต่ประเภทน้ีประเภทเดียวจึงไม่เป็นการ เพียงพอ ทําให้ต้องมีประเภทอื่นด้วย.แนวท่ีสอง มุ่งแสดงไปในทางตํานานหรือ ประวัตศิ าสตร์ ซ่ึงมุง่ แสดงแตเ่ ร่ืองราวท่ใี หค้ นทัง้ หลายเหน็ ว่าเป็นความจริง และมี หลกั ฐานตามกฎเกณฑแ์ หง่ วิชาประวตั ิศาสตรห์ รือวิทยาศาสตร์ อันเป็นท่ีสบใจของ นักศึกษาแห่งสมัยป๎จจุบันนี้ซ่ึงมีหนังสือพุทธประวัติ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณ วโรสหรือหนังสือ Life of Buddha ของ ดร. E.J. Thomas เป็นตัวอย่าง แต่อย่างไรก็ตามทั้งสองแนวน้ียังไม่เป็นท่ีสบใจของคนอีกพวกหนึ่ง คือพวกนักปฏิบัติธรรมที่ใคร่จะทราบว่าพระองค์ทรงมีชีวิตแห่งการปฏิบัติธรรม เป็นมาต้ังแต่ออกผนวช จนถึงตรัสรู้ประกาศพระศาสนาและกระท่ังถึงวาระ สุดท้ายคือการปรินิพพาน เป็นอย่างไรโดยไม่มีความสนใจในเร่ืองการปาฏิหาริย์ หรือข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหตุน้ีจึงเป็นความจําเป็นตามธรรมชาติ ที่ จะต้องมีหนงั สือพทุ ธประวัตแิ นวอื่นจาก

พุทธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ – คานา (๑๕) สองแนวนี้ต่อไปอีก อันได้แก่ แนวท่ีสาม. แนวที่สาม มุ่งแสดงแต่ในทางธรรมล้วน ๆ คือแสดงข้อธรรมะให้ปรากฏชัดอยู่ทุก ๆ อากัปกิริยาของพระองค์เพ่ือเป็น หลักการแก่ผู้หวงั จะดาํ เนนิ ตาม เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า หนังสือพวกท่ีมุ่งแสดงทาง ปาฏหิ าริย์ก็แสดงหรือเลือกแสดงให้ละเอียดแต่ตอนท่ีจะจูงใจคนได้ด้วยปาฏิหาริย์ แสดงคร่าว ๆ หรือกระโดดข้ามไปในตอนท่ีจะแสดงเป็นธรรม-บรรยาย และไม่ แสดงส่วนทีเ่ ป็นแง่คิดทางตํานานหรือประวัติศาสตร์เลย. และหนังสือพวกที่แสดง ทางตาํ นานหรอื ประวัตศิ าสตรน์ ั้นเล่า ก็วินิจฉัยแตใ่ นแงท่ ี่จะเป็นไปได้ในทางตํานาน หรือประวัติศาสตร์ ไม่แสดงทางปาฏิหารยิ ์หรอื ทางธรรมบรรยายเลย.อันนเ้ี ป็นการ ชี้ชัดถึงความต่างออกไปของหนังสือพุทธประวัติ ประเภทท่ีมุ่งแสดงในทางธรรม หรือชี้ร่องรอยแห่งการปฏิบัติธรรมโดยตรง ซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาอย่างย่ิงในระยะ ท่ีทําการค้นคว้า และได้ตัดสินใจทําทันทีในเม่ือได้พบว่ามีอยู่มากพอที่จะทําข้ึนเป็น หนังสือพุทธประวัติสักเล่มหนึ่ง และก็ได้ปรากฏข้ึนจริง ๆ ดังท่ีท่านได้เห็นอยู่ใน บดั นี้.ข้าพเจา้ ยังไม่อาจยนื ยนั วา่ หนงั สอื เล่มนเ้ี ป็นหนงั สอื ทีค่ วรจะถือได้ว่าเป็นพุทธ ประวัติท่ีมุ่งแสดงในทางธรรมโดยสมบูรณ์ เพราะเหตุว่าข้าพเจ้าทําได้เพียงใน วงจํากัด คือเท่าท่ีมีอยู่ในรูปแห่งคาตรัสเล่าและเท่าท่ีจะเลือกเก็บเอามาจาก พระไตรปิฎกโดยเฉพาะเท่านั้น เพราะหลักการในการทํา หนังสือเล่มน้ีมีความ จํากัดไว้เพียงเท่านี้.ถ้าจะให้สมบูรณ์ ก็ต้องไม่จํากัดว่าเท่าท่ีตรัสไว้จากพระโอษฐ์ แต่ต้องรวบรวมเอาชั้นท่ีเป็นคําสังคีติกาจารย์ท่ัวไป และอรรถกถาและฎีกาท่ัวไป เข้ามาด้วย ซึ่งจะมีเร่ืองราวมากกว่าหนังสือเล่มที่ท่านถืออยู่นี้หลายเท่านัก, แต่ อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าพอจะยืนยันได้ว่า ส่วนที่เป็นคําตรัสเล่าไว้ด้วยพระองค์เอง นัน้ ขา้ พเจา้ ได้พยายามรวบรวมมาจนหมดส้ิน, และพอใจที่จะยืนยันว่า ด้วยความ มุง่ หมายที่จะใหเ้ ป็นหนังสือทม่ี ุง่ แสดงไปในทางธรรม ดังทกี่ ลา่ วแล้ว.

(๑๖) พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ – คานา แม้ว่าในหนังสือเล่มนี้ มีเร่ืองราวบางตอนไปในทํา นองปาฏิหาริย์ติดเจืออยู่บ้าง เช่นตอนอันว่าด้วยการอยู่ในชั้นดุสิต การจุติลงสู่ครรภ์ และการประสูติเป็นต้นน้ัน ท่านย่อมเห็นได้อยู่เองแล้ว ว่าเป็นจํานวนเพียง ๗-๘ หน้าในหนังสือ ๓๕๗ หน้า และยิ่งกว่านั้นท่านยังจะเห็นได้สืบไปอีกว่า ข้อความท่ีเป็นปาฏิหาริย์ตอนน้ี ถ้าใคร พิจารณาดูให้ดีแล้วจะเห็นว่า เป็นส่ิงท่ีเราไม่จําเป็นจะต้องถือเอาตามตัวหนังสือ เหล่านั้น เพราะเป็นส่ิงท่ีอธิบายให้เห็นเป็นธรรมาธิษฐานได้โดยง่าย; เช่นการที่พอ ประสูติออกมาก็ดาเนินได้ ๗ ก้าว ไปทางทิศเหนือเปล่งคายืนยันได้ว่าเป็นผู้ชนะ โลกทั้งปวง และไม่มีการเกิดอีก; นี้เราเห็นได้ว่าผู้กล่าวมุ่งจะกล่าวถึงการท่ี พระองค์เกิดข้ึนเป็นพระพุทธเจ้า ซ่ึงเป็นการเกิดทางใจต่างหาก หาใช่การเกิดทาง เนื้อหนังไม่, จํานวน ก้าว ๗ ก้าวน้ัน พระอรรถกถาจารย์ให้คําอธิบายว่า เป็นการ แสดงถึงข้อปฏิบัติ ๗ ขั้นที่ทําคนให้ตรัสรู้ (เช่นโพชฌงค์ ๗)ก็มี, หรือนักวินิจฉัย บางท่าน ว่าหมายถึงชนบทใหญ่ ๗ ชนบท ที่พระองค์ทรงจาริกไปทําการประกาศ คําสง่ั สอนของพระองค์ก็มี, ท่ีว่าเดินไปทางทิศเหนือย่อมหมายถึงการกล้ามุ่งหน้า เข้าไปประกาศตามกลุ่มศาสดาต่าง ๆ ที่มีคนนับถืออยู่ก่อนแล้วในสมัยนั้น, ที่ว่า เป็นผชู้ นะโลกท้ังหมด นี้เป็นการยืนยันถึงข้อที่คาสอนน้ี เป็นคาสอนสุดท้ายของ โลก ท่ีใคร ๆ ไมอ่ าจขุดค้นคาสอนอนั ใดมาสอนโลกให้สูงย่ิงขึ้นกว่าน้ีได้อีกต่อไป, และที่ว่าพระองค์ไม่มีการเกิดอีก น้ันย่อมหมายถึงข้อที่พระองค์ได้ทรงพบความ จริงข้อที่ว่า ท่ีแท้ไม่มีคนเกิดคนตาย เพราะไม่มีคน, มีแต่สังขารที่เกิดดับอยู่ตาม ธรรมดาเท่าน้ัน. (สําหรับผู้ที่สนใจและวินิจฉัยเรื่องปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ทํานองน้ี ข้าพเจ้าขอแนะให้อ่านหนังสือพุทธประวัติเล่มหนึ่งของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. สําหรับข้าพเจ้าเองเห็นว่าปาฏิหาริย์นั้น เป็นส่ิงที่ จําเปน็ จะต้องวนิ จิ ฉยั เพราะทา่ นผู้ร้อยกรองท่านมุ่งหมายจะจูงใจคนด้วยอุบายวิธี เชน่ น้ัน ทา่ นจงึ ไดด้ ดั แปลง หรอื รอ้ ยกรองขึน้ เชน่ นน้ั ผทู้ ี่ตอ้ งการจะปฏบิ ตั ธิ รรม

พทุ ธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ – คานา (๑๗) ไม่ต้องเอาใจใส่ก็ได้ โดยข้ามไปเอาใจใส่ในเรื่องการปฏิบัติธรรมเสียทีเดียว. เรื่อง ปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ก็เพื่อจูงคนเข้ามาหาการปฏิบัติธรรมน่ีเอง ก็เมื่อเราเข้าถึง ตัวการปฏิบัติธรรมเสียทีเดียวแล้ว จะมีป๎ญหาอะไรด้วยเรื่องอันเกี่ยวกับ ปาฏิหาริย์. ขืนไปวินิจฉัย ก็มีแต่จะเสียเวลาจนหมดอายุแล้วมิหนํายังจะมีทาง วินจิ ฉัยผิดมากกวา่ ถูก เพราะเป็นเร่ืองทท่ี ่านมีความมุ่งหมายอีกอย่างหนึ่งดังกล่าว แล้ว. ฉะน้ัน หนังสือพุทธประวัติเล่มใด มุ่งแสดงไปในทางปาฏิหาริย์ ก็ขอให้ได้ทํา หนา้ ที่ของหนงั สอื เลม่ นนั้ ให้ยง่ิ ๆ ขึ้นไปกแ็ ล้วกัน). แต่ยังมขี ้อพเิ ศษอยู่ข้อหน่ึง สําหรับข้อความที่เป็นทํานองปาฏิหาริย์ ๗ - ๘ หน้าที่พลัดเข้ามาอยู่ในหนังสือเล่มที่ข้าพเจ้ารวบรวมข้ึนมาน้ี ซ่ึงท่านผู้อ่านควรจะ สงั เกตไวด้ ้วย. ความแปลกอยูท่ ว่ี ่า ข้อความอันว่าดว้ ยเรอ่ื งการอยู่ในสวรรค์การจุติ และการประสูติ อย่างมีปาฏิหาริย์นี้ มีรวมอยู่ในบาลีอัจฉริยภูตธัมมสูตรมัชฌิม นิกาย, แต่เป็นถ้อยคําของพระอานนท์กล่าว ท่านกล่าวว่าได้ฟ๎งข้อความเช่นน้ีมา จากพระพุทธโอษฐ์เอง แล้วนํามาเล่าอีกต่อหน่ึง, ไม่เหมือนกับเรื่องราวตอนอื่น ๆ จากนี้ ซ่ึงเป็นถ้อยคําท่ีพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย ระบุลงไปว่า พระผู้มีพระภาค เจ้าไดต้ รสั เล่าเองโดยตรง. ทาํ ไมพระสงั คีตกิ าจารย์ท้ังหลายจึงร้อยกรองให้เรื่องที่ มีปาฏิหาริย์รุนแรงเช่นน้ัน อยู่ในถ้อยคําของพระอานนท์เสียช้ันหนึ่งก่อน (ซ่ึงตาม ธรรมดาเราก็ทราบกันอยู่แล้วว่าในจํานวนพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายน้ัน ก็มีพระ อานนท์รวมอยู่ด้วยองค์หน่ึง) แทนท่ีจะกล่าวให้เป็นคําท่ีพระองค์ตรัสโดยตรง เหมือนสูตรอื่น ๆ , หรือยิ่งขึ้นไปกว่าน้ัน เม่ือท่านลองอ่านบาลีอัจฉริยภูตธัมมสูตร ตอนนี้ดู ท่านจะสงสัยต่อไปว่า ทําไมเร่ืองจึงต้องถูกจัดให้เป็นว่าให้พระอานนท์มา กราบทูลเร่ืองที่ท่านได้ฟ๎งมาจากพระองค์ต่อหน้าภิกษุท้ังหลาย และต่อพระพักตร์ พระผู้มพี ระภาคเจ้าด้วยพรอ้ มกนั อกี คร้งั หนงึ่ . ปญ๎ หาข้อนี้ ไดเ้ กิดแก่ข้าพเจา้ แลว้

(๑๘) พุทธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ – คานา ในเม่อื ไดพ้ บเรอื่ งราวตอนน้ี และจะนํามารวมไว้ในหนังสือเล่มนี้. เม่ือข้าพเจ้ายังคิด ไม่ตกและเห็นว่าเป็นเรื่องไม่มากมาย ก็ตัดสินใจในการที่จะรวบรวมเอามาแต่ก็ได้ บันทึกไว้ให้ท่านผู้อ่านได้ต้ังข้อสังเกตไว้เป็นพิเศษ เฉพาะตอนน้ีแล้วดังปรากฏอยู่ เชิงอรรถแห่งเรื่องนั้นเอง. และให้สังเกตไว้ด้วยว่า เรื่องตอนน้ีจัดเป็นเรื่องจาก พระโอษฐ์โดยอ้อม ดังท่ีถ้อยคําในตัวเร่ืองตอนน้ัน ก็บ่งให้เห็นชัดอยู่แล้ว. รวม ความว่าในหนังสือเล่มนี้ซ่ึงมี ๓๕๗ หน้า ๑ มีเรื่องจากพระพุทธโอษฐ์โดยอ้อมเสีย ๗ หนา้ เศษทนี ก้ี ม็ าถงึ เรื่องบางเรือ่ ง ทค่ี วรผนวกเขา้ ไว้ในพุทธประวัตจิ ากพระโอษฐ์ คือเรื่องต่างๆ ท่ีคนภายนอกศาสนาเป็นผู้กล่าว. ข้าพเจ้าถือว่าเรื่องท่ีคนนอกหรือ คนที่เป็นปฏิป๎กษ์ต่อกัน กล่าวน้ัน เป็นเร่ืองท่ีมีความจริงอันจะพึงเชื่อถือได้ไม่น้อย กว่าท่ีพระองค์ตรัสเอง. ข้อน้ีโดยเหตุท่ีว่า คนภายนอกท่ีเป็นปฏิป๎กษ์ต่อกัน ย่อม ลําเอียงเพื่อละโอกาสแต่ในทางที่จะสรรเสริญ ย่อมไม่ลําเอียงในทางที่จะตําหนิ. เม่ือมคี วามจาํ เป็นทีจ่ ะกล่าวออกมา ย่อมไม่ลําเอียงไปในทางท่ีจะยกยอให้เลิศลอย มแี ตจ่ ะเพง่ ตาํ หนิ เมือ่ หาชอ่ งตาํ หนิไม่ได้ ก็ได้แต่กล่าวตามตรง. เราพอท่ีจะถือเป็น หลักได้ว่า เสียงสรรเสริญลับหลังของศัตรูนั้น มีความจริงอย่างน้อย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์. ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงถือว่าเสียงจากคนนอกที่กล่าวถึงพระองค์นั้นมี นา้ํ หนกั พอที่จะเชอ่ื ถือได้เท่ากบั ทีพระองค์ตรัสเอง จึงได้นํามารวมไว้ในหนังสือเล่ม นี้ แต่เพราะมิใช่เป็นเรื่องออกจากพระโอษฐ์ จึงจัดไว้ในฐานะเป็นเร่ืองผนวกของ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ดังที่กล่าวแล้ว. ทั้งหมดมีอยู่ ๒๗ หน้าด้วยกัน.เฉพาะ ตอนน้ี มีเร่ืองท่ีแสดงถึงพุทธอิริยาบถต่าง ๆ อย่างน่าสนใจที่สุด และบางเรื่องจะ หาไมไ่ ดจ้ ากผ้อู ื่น, จงึ ขอใหน้ กั ศกึ ษาทาํ การศึกษาดว้ ยความสนใจเปน็ พิเศษ. ------------------------------------------------------------------------------------ ๑. ในการพิมพค์ ร้ังทีส่ าม หนังสอื เพ่มิ ขน้ึ เปน็ ๓๙๖ หนา้

พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ-์ คานา (๑๙) รวมความว่า หนังสือเล่มนี้ เกิดข้ึนเพราะมุ่งหมายจะรวบรวม หลัก แห่งการปฏิบัติ อันจะพึงหาได้จากตัวอย่างท่ีแสดงอยู่ท่ีพระวรกาย ของพระพุทธองค์, และถือเอาเฉพาะที่พระพุทธภาษิตตรัสเล่าถึงพระองค์เอง เท่าที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏก, มีเร่ืองปาฏิหาริย์แทรกอยู่เพียง ๗ ส่วน ใน เรือ่ งราว ๓๕๗ สว่ น, มีเรื่องราวทเ่ี ป็นคํากล่าวของคนนอก ซ่ึงมีน้ําหนักควรเชื่อถือ ไดไ้ มน่ ้อยไปกว่าที่พระองค์ตรัสเองรวมอยู่ด้วย ๒๗ ส่วน ใน ๓๕๗ ส่วนนน้ั . หนังสือเร่ืองนี้ พิมพ์คร้ังแรก เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๙ มีเร่ืองรวมทั้งหมด ๑๕๑ เร่ือง, ในการพิมพ์ครั้งนี้ ได้เพ่ิมใหม่อีก ๘๕ เรื่อง รวมทั้งหมดเป็น ๒๓๖ เรื่อง, เรื่องที่นํามาเพ่ิมเติมเข้ามาใหม่ในการพิมพ์คร้ังหลังน้ี เป็นเรื่องที่เพิ่งค้นพบ หลังจากการพมิ พค์ รัง้ แรกเมือ่ พ.ศ. ๒๔๗๙ บ้าง, เป็นเร่อื งปลกี ย่อยซึ่งในการพิมพ์ คร้ังแรกเห็นว่ายังไม่จําเป็นจะต้องนํามาใส่ไว้ แต่ในครั้งน้ีนํามาใส่ไว้ท้ังหมด เพ่ือ ความสมบูรณ์ของเรื่องบ้าง, รวมทั้งเร่ืองซึ่งเป็นพุทธประวัติจากพระโอษฐ์โดย ออ้ ม คอื บาลีอจั ฉริยภูตธัมมสตู รทีก่ ล่าวข้างต้นนน้ั ด้วย. เร่ืองใดเพ่ิมเขา้ ใหมใ่ นการ พมิ พค์ ราวน้ี ไดท้ าเครอ่ื งหมาย (พ.ม.) ไว้ทีส่ ารบาญทา้ ยช่อื เรอ่ื งนน้ั ๆ แลว้ ในการพมิ พค์ ร้ังน้ี ได้ทําปทานุกรมทา้ ยเร่ืองอย่างละเอียดท่ัวถึงยิ่งกว่าครั้ง ก่อน จึงมีท้ังหมดด้วยกันถึง ๑,๘๘๘ คํา มีลักษณะแยกเป็นพวก ๆ ในตัว คือคําท่ี เป็นชื่อของบุคคลและสถานที่ น้ีพวกหนึ่ง. คําท่ีเป็นชื่อของเหตุการณ์ตอนที่สําคัญ ๆ ในพระชนมชีพ พวกหน่ึง, ศัพท์ธรรมะตามปรกติพวกหนึ่ง, ศัพท์ธรรมะพิเศษ โดยเฉพาะคือคําบัญญัติของการปฏิบัติธรรมทางจิต ส่วนมากเกี่ยวกับสมาธิ และ วิป๎สสนา อกี พวกหนึ่ง ซึง่ เป็นทสี่ บใจของนกั ปฏิบัตธิ รรมท้งั หลาย.

พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ – คานา (๒๐) จากข้อสังเกตท่ีได้จากการพิมพ์คร้ังท่ีหน่ึงนั่นเอง ทําให้ข้าพเจ้าได้ทราบ ความสาํ คัญของลาํ ดบั คํา หรือปทานุกรมท้ายเล่ม ว่ามีอยู่มากเพียงไร ในการพิมพ์ ครั้งน้ีจึงได้จัดให้ช่วยกันทําอย่างละเอียด เท่าท่ีจะทําได้ ซึ่งหวังว่านักศึกษา จะได้ พยายามใช้ปทานุกรมท้ายเล่มน้ีให้เป็นประโยชน์มาก เท่ากับความยากลําบากของ ผทู้ ํา. ในการพมิ พ์ครัง้ แรก มเี พยี ง ๖๕๓ คาํ สาํ หรบั หมวดธรรม ที่เป็นพวก ๆ ได้เพ่ิมขึ้นจากท่ีเคยมีในการพิมพ์ครั้งแรก เพียง ๖๙ หมวด เป็น ๑๕๗ หมวด, ทั้งน้ีเนื่องจากการเพิ่มเน้ือเรื่องมากขึ้น และ สาํ รวจเกบ็ เอามาอยา่ งท่ัวถึงย่งิ กว่าในการพิมพค์ ราวก่อนด้วย สารบาญเรื่อง ได้จัดตามลําดับภาค และเรื่องในภาค ท่ีจัดเปลี่ยนแปลง และเพ่ิมเติมเข้ามาใหม่ เพื่อความสมบูรณ์ และสะดวกแก่การศึกษา. ในการพิมพ์ คราวน้ี ได้เพิ่มภาคนําขึ้นอีกภาคหน่ึง เป็นภาคพิเศษ, และในตัวเรื่องก็ได้เพิ่มภาค ขึ้นอีกภาคหน่ึง จากท่ีเคยมีเพียง ๕ ภาค เป็นมีขึ้น ๖ ภาค, โดยท่ีจัดเรื่องอัน เกี่ยวกับการปรินิพพานแยกออกไปเป็นอีกภาคหนึ่ง เพราะรวบรวมเรื่องมาได้มาก ขึ้น. และในภาคต่าง ๆ ก็ได้โยกย้ายเรื่องบางเรื่อง ให้ไปอยู่ในภาคซึ่งควรจะ รวมอยู่, และเร่ืองภาคผนวกอันว่าด้วยเร่ืองตามเสียงคนภายนอกนั้น ก็ได้ยกเอา มาไว้ก่อนหน้าภาคอันว่าด้วยปรินิพพาน. ผู้ศึกษาจะต้องทําความเข้าใจเสียใหม่กัน ความสบั สน. ในการจัดทําต้นฉบับพทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ ฉบบั แกไ้ ขเพ่ิมเติมนี้ข้าพเจ้า รู้สึกว่า เป็นการสมควรที่จะต้องกล่าวถึงความเหน็ดเหนื่อย ของเพ่ือนสหธรรมิก ๒-๓ รูปท่ีอาศัยอยู่ด้วยกัน ในการช่วยคัดลอกต้นฉบับ, การทําปทานุกรมท้ายเล่ม, การจัดลําดับหมวดธรรมและอื่น ๆ ไว้ในท่ีน้ีด้วย. ขอให้กําลังศรัทธาปสาทะ และ ความเสียสละเหนด็ เหนอื่ ยร่วมแรงกนั ในคราวนี้, จงเปน็

(๒๑) พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ – คานา อปุ นิสยั แห่งความเปน็ “สหายธรรมทาน” อนั ยิ่งขน้ึ ไปในอนาคตกาลนานไกลและ อปุ นิสยั แห่งความเสยี สละเพอ่ื งานเผยแพรพ่ ระศาสนา ยิ่งขน้ึ ในอนาคตอนั ใกลน้ ้ี ดว้ ย. ในท่ีสุดนี้ ข้าพเจา้ ขออทุ ิศสว่ นกศุ ลอนั เกดิ แต่ความตรากตราํ ในงานชน้ิ น้ี เป็นถามพลีบชู าพระคุณแหง่ สมเด็จพระผูม้ ีพระภาคเจ้า ดังที่เคยตง้ั เปน็ ปณิธานไว้ แล้วแต่หนหลงั ทุกประการ. อ.ป. เปรียญ และ น.ธ. เอก. ไชยา ๑ ธันวาคม ๒๔๔๙

คานา (เมอื่ พิมพค์ รงั้ ท่ี ๓) _________________ ในการพมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓ นี้ ไม่มีอะไรท่ีจะต้องบอกกล่าวเป็นพิเศษนอกจากการ เพ่ิมเรื่องเข้ามาใหม่อีก ๑๒ เรื่อง เท่าท่ีเพิ่งค้นพบในระยะสุดท้าย.ด้วยเหตุน้ี ปทานุกรมและหมวดธรรมท้ายเล่ม จึงเพ่ิมขึ้นตามส่วน ตามหน้าหนังสือท่ีเพ่ิมขึ้น จาก ๓๕๗ หนา้ เป็น ๓๙๖ หนา้ โดยไมน่ ับรวมปทานกุ รมและอ่ืน ๆ ข้าพเจ้ามีความสนใจที่จะกล่าวว่า พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ เท่าที่จะเลือก เก็บข้ึนมาได้ จากพระไตรปิฏกฝุายเถรวาทเราน้ัน มีความสมบูรณ์เพียงเท่าน้ี, เป็น อันยุติการทําหนังสือพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ซึ่งทํามาเร่ือย ๆเท่าท่ีเวลาว่างจะ อาํ นวยให้ เปน็ เวลานานถึง ๒๒ ปี กนั เสียที. คําปรารภความสําคัญอย่างอ่ืน ๆ ปรากฏชัดแจ้งอยู่แล้วในคํานําแห่งการ พมิ พ์ครง้ั ทีห่ นึ่ง และคร้งั ที่สอง, ขอให้นาํ มาใช้ในโอกาสนี้ด้วยโดยครบถ้วน.ข้าพเจ้า ขอโอกาสปิดฉากแห่งการทําหนังสือพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ลง ด้วยการขอร้อง ต่อผู้ศึกษาท้ังหลาย ให้ช่วยกันทําการค้นหารอยพระพุทธบาท สําหรับสัตว์ผู้ ปรารถนาจะเดินตามรอยพระพุทธองค์ โดยวิธีที่ได้กล่าวมาแล้วในที่น้ัน ๆ ให้เต็ม ตามความปรารถนาของตน ๆ สืบไป โดยเฉพาะในสมัยท่ีเราสมมติกันว่า เป็นยุค กงึ่ พทุ ธกาลน้เี ป็นพเิ ศษ. อ.ป. ๑ เมษายน ๒๔๙๘ (๒๒)

คานา (เม่ือพมิ พ์ครั้งท่ี ๖) _________ การพมิ พห์ นังสือพุทธประวัติจากพระโอษฐ์เป็นคร้ังท่ีหกนี้ ได้เปลี่ยนไปเป็น การพิมพ์ด้วย “ทุนพระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์” เป็นเรื่องอันดับที่หน่ึงของ หนังสือชุด “ลัดพลีธรรมประคัลภ์อนุสรณ์” มีรายละเอียดดังกล่าวไว้ใน คําปรารภตอนตน้ ของหนงั สอื นแ้ี ลว้ . ในการพิมพ์ครั้งนี้ มิได้มีการแก้ไขเพ่ิมเติมแต่ประการใด เพียงแต่มีการ ตรวจสอบการพิมพ์ผิดพลาดตกหล่น ของตัวเลขท่ีบอกหน้าแห่งที่มาในพระ ไตรปิฏก อย่างท่ัวถึงอีกครั้งหนึ่ง เท่าน้ัน. ดังนั้น ถ้าท่านผู้ใดสังเกตเห็นความ เปลย่ี นแปลงอันน้ี อย่าได้เข้าใจเป็นอย่างอื่น ขอให้ถือเอาการแก้ไขใหม่ในครั้งน้ีว่า เปน็ การถกู ตอ้ ง. กองตาราคณะธรรมทาน, ไชยา ๒๓ มกราคม ๒๕๑๓ (๒๓)

ลาดับเรอื่ ง ในพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ _____________________ หนา้ คําปรารภ.................................................................................................................................(๓) คํานําเมื่อพิมพ์ครง้ั ท่ี เกา้ ...................................................................................................(๖) คํานําเม่อื พมิ พค์ รั้งที่ หนง่ึ .................................................................................................(๗) คํานาํ เมอ่ื พิมพ์ครง้ั ที่ สอง .................................................................................................(๑๐) คํานาํ เม่อื พมิ พค์ รง้ั ท่ี สาม..................................................................................................(๒๑) คํานาํ เมอื่ พิมพค์ ร้ังที่ หก....................................................................................................(๒๒) อกั ษรยอ่ ชอื่ คัมภีร์ ................................................................................................................(๒๓) วิธใี ช้หนังสือเลม่ นี้ ................................................................................................................๑ ภาคนา ข้อความใหเ้ กดิ ความสนใจในพทุ ธประวตั ิ (๑๒ เร่อื ง) โลกธาตหุ น่งึ ๆ มพี ระพุทธเจ้าเพียงองคเ์ ดยี ว.................................(พ.ม.) ๗ การปรากฏของพระตถาคตมไี ดย้ ากในโลก.......................................(พ.ม.อ.) ๘ โลกทก่ี ําลงั มวั เมา ก็ยังสนใจในธรรมของพระตถาคต..................(พ.ม.) ๘ การมีธรรมของพระตถาคตอยู่ในโลก คือความสขุ ของโลก .......(พ.ม.) ๙ พระตถาคตเกดิ ขึน้ เพ่ือความสุขของโลก ...........................................(พ.ม.) ๑๐ พระตถาคตเกิดขึ้นในโลก เพื่อแสดงแบบแหง่ การครองชีวติ - -อนั ประเสริฐแกโ่ ลก.......................(พ.ม.) ๑๑ พระตถาคตเกิดข้ึน แสดงธรรมเพือ่ ความรํางบั , ดับ, รู้...............(พ.ม.) ๑๒ ธรรมชาติ ๓ อย่าง ทําให้พระองคเ์ กิดขนึ้ เปน็ ประทปี ของโลก..(พ.ม.ส.) ๑๒ ผเู้ ชื่อฟ๎งพระตถาคต จะได้รบั ประโยชนส์ ขุ สน้ิ กาลนาน................(พ.ม.) ๑๓ (๒๔)

ลาดับเร่ือง (๒๕) หนา้ ทรงขนานนามพระองค์เองวา่ \"พทุ ธะ\" ๑๓ ๑๕ เรอื่ งย่อ ๆ ที่ควรทราบกอ่ น ๑๖ เร่อื งสนั้ ๆ ท่คี วรทราบกอ่ น (อีกหมวดหน่งึ ) (พ.ม.อ.) ๒๑ ๒๒ ภาค ๑ ๒๓ ๒๓ เร่ิมแต่การเกิดแห่งสากยวงศ์ จนถงึ ออกผนวช (๒๑ เรอ่ื ง) ๒๓ ๒๔ การเกิดแห่งวงศ์สากยะ ๒๔ ๒๔ พวกสากยะอยู่ใต้อาํ นาจพระเจ้าโกศล ๒๕ ๒๖ แดนสากยะขน้ึ อยู่ในแควน้ โกศล ๒๖ ๒๖ การอยใู่ นหมู่เทพชนั้ ดุสติ (พ.ม.) ๒๗ ๒๗ การเกดิ ในดุสิต ๒๗ ๒๗ การดาํ รงอยูใ่ นดสุ ิต ๒๘ การดํารงอยู่ตลอดอายใุ นดุสติ การจตุ ิจากดสุ ิตลงสู่ครรภ์ (พ.ม.) เกิดแสงสว่างเน่ืองดว้ ยการจตุ จิ ากดสุ ิต (พ.ม.) แผน่ ดนิ ไหวเน่ืองดว้ ยการจตุ ิ (พ.ม.) การลงสคู่ รรภ์ (พ.ม.) การอยใู่ นครรภ์ (พ.ม.) มารดามีศีล มารดาไม่มจี ติ ในทางกามารมณ์ มารดามลี าภ มารดาไม่มีโรค, เหน็ โพธสิ ตั ว์ มารดาอ้มุ ครรภเ์ ตม็ สิบเดือน

(๒๖) พุทธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ลาดับเรอ่ื ง การประสูติ (พ.ม.) หนา้ ๒๘ ยนื คลอด ๒๘ ๒๘ เทวดารับกอ่ น ๒๘ ๒๘ เทพบุตรท้ังส่ีรับมาถวาย ๒๙ ๒๙ ไม่เปื้อนมลทนิ ครรภ์ ๓๐ ๓๐ ทอ่ ธารจากอากาศ ๓๑ ๓๓ การเปล่งอาสภิวาจา ๔๐ ๔๐ เกดิ แสงสว่างเน่อื งดว้ ยการประสูติ (พ.ม.) ๔๒ ๔๔ แผ่นดนิ ไหวเน่อื งดว้ ยการประสูติ (พ.ม.) ๔๔ ๔๗ ประกอบด้วยมหาปรุ ิสลกั ขณะ ๓๒ ๔๗ บุรพกรรมของการได้มหาปรุ ิสลกั ขณะ ๕๑ ๕๓ ประสูตไิ ด้ ๗ วัน พระชนนีทิวงคต ทรงได้รบั การบําเรอในราชสาํ นกั กามสขุ กับ ความหน่าย ทรงหลงกาม และ หลดุ จากกาม ความรู้สึกทถ่ี ึงกับทาํ ใหอ้ อกผนวช (พ.ม.) การออกผนวช ออกผนวชเมอื่ พระชนม์ ๒๙ ภาค ๒ เรม่ิ แต่ออกผนวชแลว้ จนถงึ ได้ตรสั รู้ (๓๕ เรอ่ื ง) เสด็จไปสาํ นักอาฬารดาบส เสดจ็ ไปสํานักอุทกดาบส

ลาดับเร่อื ง (๒๗) หน้า เสดจ็ ไปอุรเุ วลาเสนานคิ ม ๕๕ ทรงประพฤตอิ ตั ตกิลมถานุโยค ๕๖ อุปมาปรากฏแจม่ แจ้ง ๖๑ ทกุ รกริ ยิ า ๖๓ ทรงแนพ่ ระทัยวา่ ไมอ่ าจตรสั รูเ้ พราะการทาํ ทุกรกริ ิยา (พ.ม.ส.) ๖๗ ทรงกลับพระทยั ฉันอาหารหยาบ ๖๘ ภกิ ษุปญ๎ จวคั คียห์ ลกี ๖๙ ทรงตรติ รกึ เพือ่ ตรัสรู้ ก่อนตรสั รู้ ๖๙ ทรงเทย่ี วแสวงเพอ่ื ความตรสั รู้ กอ่ นตรสั รู้ ๗๐ ทรงคอยควบคุมวิตก กอ่ นตรัสรู้ ๗๑ ทรงกาํ หนดสมาธนิ ิมติ กอ่ นตรัสรู้ ๗๕ ทรงคอยกนั้ จติ จากกามคุณในอดีต ก่อนตรสั รู้ ๘๐ ทรงคิดคน้ วธิ ีแหง่ อทิ ธบิ าท กอ่ นตรสั รู้ ๘๑ ทรงคดิ ค้นเร่อื งเบญจขนั ธ์ ฯลฯ ก่อนตรสั รู้ ๘๒ ทรงคดิ ค้นเร่ืองเวทนาโดยละเอยี ด กอ่ นตรสั รู้ (พ.ม.ส.) ๘๓ ทรงแสวงเน่ืองด้วยเบญจขนั ธ์ ฯลฯ กอ่ นตรสั รู้ ๘๕ ทรงค้นลูกโซแ่ ห่งทกุ ข์ ก่อนตรัสรู้ ๘๖ ทรงคน้ ลกู โซ่แห่งทกุ ข์ (อกี นยั หนึ่ง) กอ่ นตรสั รู้ (พ.ม.ส.) ๘๙ ทรงพยายามในอธิเทวญาณทัสสนะเปน็ ขั้นๆ ก่อนตรสั รู้ ๙๓ ทรงทาํ ลายความขลาด กอ่ นตรสั รู้ ๙๕ ธรรมที่ทรงอบรมอย่างมาก ก่อนตรสั รู้ ๙๗ วหิ ารธรรมท่ที รงอยมู่ ากที่สดุ กอ่ นตรสั รู้ (พ.ม.) ๙๘

(๒๘) พทุ ธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ลาดับเรือ่ ง หนา้ ทรงพยายามในเนกขมั มจติ และ- -อนปุ ุพพวิหารสมาบัติ ก่อนตรสั รู้ (พ.ม.อ.) ๑๐๓ ทรงอธษิ ฐานความเพียร ก่อนตรัสรู้ ๑๑๒ ความฝ๎นครั้งสาํ คญั กอ่ นตรสั รู้ ๑๑๓ อาการแห่งการตรสั รู้ ๑๑๕ ส่ิงที่ตรัสรู้ ๑๑๗ การตรัสรู้ คือการทบั รอยแห่งพระพทุ ธเจา้ ในอดีต (พ.ม.ส.) ๑๒๑ การตรัสรู้ คือการทรงรแู้ จ้งผัสสายตนะโดยอาการหา้ (พ.ม.ส.) ๑๒๒ เกิดแสงสว่างเนื่องด้วยการตรัสรู้ ๑๒๓ แผ่นดินไหวเนือ่ งด้วยการตรสั รู้ (พ.ม.) ๑๒๔ การร้สู ึกพระองค์ว่าได้ตรสั รู้แลว้ ๑๒๔ วหิ ารธรรมท่ที รงอยู่ เมอื่ ตรัสรูแ้ ลว้ ใหม่ ๆ (พ.ม.ส.) ๑๒๕ ภาค ๓ เร่มิ แต่ได้ตรสั รแู้ ลว้ จนถงึ โปรดปญ๎ จวคั คยี ์ (๗๙ เรื่อง) ทรงเป็นลูกไกต่ ัวพที่ ่สี ุด ๑๓๓ ๑๓๔ ทรงเป็นผ้ขู ่มอนิ ทรยี ไ์ ด้ ๑๓๕ ๑๓๗ ทรงมีตถาคตพลญาณ สบิ ๑๓๗ ๑๔๐ ทรงมตี ถาคตพล ห้า (พ.ม.ส.) ๑๔๑ ทรงทราบอินทรียอ์ นั ยงิ่ หยอ่ นของสตั ว์ (พ.ม.ส.) ทรงมีและทรงแสดงยถาภตู ญาณที่ทําใหแ้ จง้ อธิมุตตบิ ท ท. (พ.ม.ส.) ทรงมีเวสารชั ชญาณ สี่

ลาดบั เร่ือง (๒๙) หนา้ ทรงประกาศพรหมจักรทา่ มกลางบริษัท (พ.ม.ส.) ๑๔๒ ทรงมีวธิ ี \"รกุ \" ข้าศึกให้แพ้ภัยตัว (พ.ม.) ๑๔๔ ทรงมีธรรมสหี นาทท่ที าํ เทวโลกให้สัน่ สะเทอื น ๑๔๖ ทรงเปรยี บการกระทาํ ของพระองค์ ด้วยการกระทําของสหี ะ (พ.ม.ส.) ๑๔๗ ทรงมีธรรมสหี นาทอยา่ งองอาจ ๑๔๘ สิ่งที่ใคร ๆ ไมอ่ าจท้วงตงิ ได้ ๑๕๐ ไมม่ คี วามลบั ท่ีตอ้ งให้ใครช่วยปกปิด (พ.ม.) ๑๕๑ ทรงแสดงสิ่งที่นา่ อศั จรรยอ์ นั แท้จริงของพระองค์ (พ.ม.ส.) ๑๕๒ ทรงเปน็ อจั ฉริยมนษุ ย์ในโลก (พ.ม.) ๑๕๓ ทรงต่างจากมนุษย์ธรรมดา ๑๕๓ ทรงบงั คบั ใจได้เด็ดขาด ๑๕๕ ไม่ทรงติดแม้ในนิพพาน (พ.ม.) ๑๕๕ ทรงมีความคงทต่ี ่อวสิ ัยโลก ไมม่ ีใครย่งิ กว่า (พ.ม.) ๑๕๖ ทรงอยเู่ หนือการครอบงําของเวทนา มาตั้งแตอ่ อกผนวชจนตรสั รู้(พ.ม.ส.) ๑๕๗ ทรงยนื ยันในคุณธรรมของพระองคเ์ องได้ ๑๖๒ ทรงยืนยนั ใหท้ ดสอบความเป็นสมั มาสัมพุทธะของพระองค์ (พ.ม.ส.) ๑๖๓ ทรงยืนยันว่าไมไ่ ดบ้ รสิ ุทธิเ์ พราะตบะอื่น นอกจากอรยิ มรรค (พ.ม.ส.) ๑๖๗ ทรงยนื ยนั พรหมจรรย์ของพระองค์ว่าบริสทุ ธเ์ิ ตม็ ที่ (พ.ม.) ๑๖๘ ทรงยืนยนั วา่ ตรสั เฉพาะเรื่องท่ีทรงแจม่ แจ้งแทงตลอดแลว้ เท่านัน้ (พ.ม.ส.) ๑๗๒ สิ่งทไ่ี มต่ อ้ งทรงรกั ษาอีกต่อไป ๑๗๓ ทรงฉลาดในเรอื่ งซง่ึ พน้ วิสยั โลก (พ.ม.) ๑๗๔

(๓๐) พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ลาดับเรื่อง หน้า ทรงทราบ ทรงเปดิ เผย แต่ไมท่ รงติด ซ่ึงโลกธรรม (พ.ม.ส.) ๑๗๔ ทรงทราบทฏิ ฐิวัตถุ ท่ลี ึกซ้งึ หกสบิ สอง ๑๗๕ ทรงทราบส่วนสุดและมัชฌิมา ๑๘๐ ทรงรับรองสขุ ัลลิกานุโยคทเ่ี ป็นไปเพอ่ื นพิ พาน ของพวกสมณ- -ศากยปตุ ติยะ (พ.ม.ส.) ๑๘๒ ทรงทราบพราหมณสจั จ์ (พ.ม.) ๑๘๓ ทรงเหน็ นรกและสวรรค์ ท่ผี ัสสายตนะหก (พ.ม.ส.) ๑๘๕ ทรงทราบพรหมโลก ๑๘๖ ทรงทราบคติห้า และนพิ พาน ๑๘๘ ทรงแสดงฤทธ์ิได้ เพราะอิทธิบาทสี่ ๑๘๙ ทรงมีญาณในอิทธิบาทสี่ โดยปริวัฏฏ์ ๓ อาการ ๑๒ (พ.ม.ส.) ๑๙๑ ทรงมอี ิทธบิ าทเพอื่ อยไู่ ดถ้ งึ กปั (พ.ม.) ๑๙๓ ทรงเปลง่ เสียงคราวเดียว ไดย้ ินตลอดทกุ โลกธาตุ (พ.ม.) ๑๙๓ ทรงมปี าฏหิ าริย์ชนิดท่คี นเขลามองไมเ่ ห็นวา่ เป็นปาฏิหาริย์ (พ.ม.ส.) ๑๙๔ ทรงมีปาฏิหารยิ ์ สาม ๑๙๗ เหตุท่ที าํ ใหท้ รงพระนามว่า \"ตถาคต\" ส่ี ๑๙๘ เหตุท่ที ําใหท้ รงพระนามว่า \"ตถาคต\" เพราะทรงเปน็ กาลวาที ภตู วาที (พ.ม.ส.) ๒๐๐ ไวพจนแ์ หง่ คาํ ว่า \"ตถาคต) (พ.ม.ส.) ๒๐๑ ทรงปฏญิ ญาเป็นอภสิ มั พุทธะ เมื่อทรงชาํ นาญใน- -อนปุ พุ พวหิ ารสมาบัติ (พ.ม.อ.) ๒๐๒ ทรงปฏญิ ญาเป็นอภิสมั พุทธะ เมอื่ ทรงทราบปญ๎ จปุ าทานขนั ธ์- -โดยปริวัฏฏส์ ี่ (พ.ม.ส.) ๒๐๓

ลาดบั เรือ่ ง (๓๑) หน้า ทรงปฏิญญาเปน็ อภสิ มั พุทธะ เมื่อทรงทราบอรยิ สัจจ์หมดจดส้นิ เชงิ ๒๐๔ ๒๐๕ เหตทุ ี่ทาํ ใหไ้ ดพ้ ระนามวา่ \"อรหนั ตสัมมาสมั พทุ ธะ\" (พ.ม.ส.) เหตทุ ท่ี าํ ใหไ้ ดพ้ ระนามว่า \"อรหนั ตสัมมาสัมพุทธะ\" (อีกนยั หนึ่ง) ๒๐๖ (พ.ม.ส.) ๒๐๗ ๒๐๘ เหตทุ ท่ี ําใหไ้ ด้พระนามวา่ \"อรหนั ตสมั มาสมั พุทธะ\" (อีกนัยหน่ึง) ๒๐๙ ๒๑๐ (พ.ม.ส.) ๒๑๑ ๒๑๒ เหตุท่ีทาํ ใหไ้ ดพ้ ระนามว่า \"อนตุ ตรปรุ ิสทัมมสารถ\"ิ (พ.ม.ส.) ๒๑๔ เหตุที่ทาํ ให้ไดพ้ ระนามว่า \"โยคักเขม\"ี (พ.ม.ส.) ๒๑๕ ๒๑๕ ทรงเป็นศาสดาประเภทตรสั รเู้ อง (พ.ม.ส.) ๒๑๖ ไม่ทรงเปน็ สพั พญั ํทู ุกอริ ิยาบถ ๒๑๖ ทรงยนื ยนั ความเปน็ มหาบรุ ุษ (พ.ม.) ๒๑๗ ทรงอยใู่ นฐานะทใี่ ครๆ ยอมรบั ว่าเลิศกวา่ สรรพสตั ว์ (พ.ม.ส.) ๒๑๙ ๒๒๐ ไมม่ ใี ครเปรียบเสมอ (พ.ม.) ๒๒๑ ๒๒๒ ไม่ทรงอภิวาทผใู้ ด (พ.ม.) ๒๒๓ ทรงเป็นธรรมราชา ๒๒๔ ทรงเป็นธรรมราชาทีเ่ คารพธรรม ๒๒๕ ทรงคดิ หาทพ่ี งึ่ สําหรับพระองค์เอง ทรงถกู พวกพราหมณ์ตัดพ้อ มารทูลใหน้ พิ พาน ทรงทอ้ พระทัยในการแสดงธรรม พรหมอาราธนา ทรงเห็นสตั ว์ดุจดอกบัว ๓ เหลา่ ทรงแสดงธรรมเพราะเห็นความจําเปน็ ของสตั ว์บางพวก (พ.ม.) ทรงเหน็ ล่ทู างทจ่ี ะช่วยเหลือปวงสตั ว์

(๓๒) พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ลาดบั เรือ่ ง ทรงระลกึ หาผรู้ บั ปฐมเทศนา (พ.ม.) หนา้ เสดจ็ พาราณสี-พบอุปกาชีวก ๒๒๖ การแสดงปฐมเทศนา (พ.ม.) ๒๒๗ ทรงประกาศธรรมจักรทอ่ี ิสปิ ตนมฤคทายวัน (พ.ม.) ๒๒๙ แผน่ ดินไหวเนอ่ื งด้วยการแสดงธรรมจกั ร ๒๓๓ เกิดแสงสว่างเนื่องด้วยการแสดงธรรมจักร (พ.ม.) ๒๓๔ จักรของพระองค์ไม่มีใครตา้ นทานได้ (พ.ม.ส.) ๒๓๔ ทรงหมุนแตจ่ ักรที่มีธรรมราชา เปน็ เจา้ ของ ๒๓๕ การปรากฏของพระองค์- ๒๓๖ -คอื การปรากฏแห่งดวงตาอนั ใหญ่หลวงของโลก ๒๓๗ โลกยงั ไมม่ ีแสงสวา่ ง จนกว่าพระองค์จะเกดิ ข้ึน ๒๓๘ ภาค ๔ เริม่ แตโ่ ปรดปญ๎ จวัคคีย์แล้ว จนถึง จวนจะปรนิ พิ พาน (๑๗๐ เรอื่ ง) ก. เกีย่ วกบั การประกาศพระศาสนา ๔๘ เรอ่ื ง คือ:- การประกาศพระศาสนา ๒๔๓ ๒๔๔ หลกั ทที่ รงใช้ในการตรัส ๒๔๕ ๒๔๖ ทรงมีหลกั เกณฑ์ในการกล่าวผิดจากหลักเกณฑ์ของคนทั่วไป (พ.ม.ส.) ๒๔๖ อาการที่ทรงแสดงธรรม สมาธินมิ ิตในขณะท่ที รงแสดงธรรม (พ.ม.ส.)

ลาดบั เร่ือง (๓๓) หน้า ทรงแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่แล่นดงิ่ ไปสดุ โตง่ : เก่ยี วกับ- -\"กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค\" หรือ \"อัตตกลิ มถานุโยค\" (พ.ม.ส.) ๒๔๗ เก่ยี วกับ \"มี\" หรอื \"ไม่มี\" (พ.ม.ส.) ๒๔๘ เกีย่ วกบั \"ผู้นั้น\" หรอื \"ผูอ้ นื่ \" (พ.ม.ส.) ๒๔๘ เกี่ยวกับ \"ทาํ เอง\" หรอื \"ผูอ้ น่ื ทาํ \" (พ.ม.ส.) ๒๔๙ เก่ยี วกับ \"ทาํ เอง\" หรอื \"ผู้อ่นื ทาํ \" (อกี นัยหนง่ึ ) (พ.ม.ส.) ๒๕๐ เกี่ยวกับ \"อย่างใดอย่างหนง่ึ \" หรือ \"อยา่ งอนื่ \" (พ.ม.ส.) ๒๕๑ เก่ียวกับ \"เหมือนกนั \" หรือ \"ตา่ งกัน\" (พ.ม.ส.) ๒๕๒ ไมท่ รงบัญญตั อิ ะไรเป็นอะไร โดยส่วนเดยี ว (พ.ม.ส.) ๒๕๓ ทรงแสดงท้ังเอกงั สกิ ธรรมและอเนกงั สกิ ธรรม (พ.ม.ส.) ๒๕๕ ทรงแสดงธรรมด้วยความระมัดระวังอย่างยง่ิ (พ.ม.) ๒๕๖ ทรงแสดงธรรมเพอ่ื ปล่อยวางธรรม มิใชเ่ พ่ือยึดถอื (พ.ม.ส.) ๒๕๗ อาการทท่ี รงบญั ญัติวินัย (พ.ม.) ๒๕๘ เหตผุ ลท่ีทําใหท้ รงบญั ญัติระบบวนิ ัย (พ.ม.ส.) ๒๕๙ หัวใจพระธรรมในคาํ \"บริภาส\" ของพระองค์ (พ.ม.) ๒๖๑ ทรงแสดงหลักพระศาสนา ไมม่ วี ิญญาณท่เี วยี นวา่ ยตายเกิด (พ.ม.ส.) ๒๖๓ ทรงแสดงหลักกรรมชนดิ ท่ีเป็น \"พุทธศาสนาแท้\" (พ.ม.ส.) ๒๖๕ ทรงเป็นยาม เฝูาตลงิ่ ให้ปวงสตั ว์ (พ.ม.อ.) ๒๖๗ ทรงปลอ่ ยปวงสัตว์ เหมอื นการปล่อยฝงู เนื้อ (พ.ม.ส.) ๒๖๘ ทรงจัดพระองคเ์ องในฐานะเป็นผูฉ้ ลาดในเรื่องหนทาง (พ.ม.ส.) ๒๗๐ ทรงสอนเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าทง้ั ปวง ๒๗๑ ทรงเปน็ ศาสดาทไ่ี ม่มีใครทว้ งตงิ ได้ (พ.ม.ส.) ๒๗๒

(๓๔) พทุ ธประวตั ิจากพระโอษฐ์ - ลาดบั เรอื่ ง ทรงสามารถในการสอน หนา้ ๒๗๓ ทรงแสดงสติปฏ๎ ฐานส่ี เพอ่ื ขจดั ทฏิ ฐินิสสยั ทงั้ สองประเภท (พ.ม.ส.) ๒๗๔ ทรงสามารถสอนให้วญิ ํชู นรูไ้ ด้เองเหน็ ได้เอง (พ.ม.ส.) ๒๗๕ ๒๗๖ ทรงสามารถยงิ่ ในการสอน ๒๗๘ ทรงประกาศพรหมจรรย์ ในลกั ษณะทีเ่ ทวดามนุษย์ประกาศตามได้ ๒๗๙ ๒๘๑ (พ.ม.ส.) ๒๘๑ ทรงประกาศพรหมจรรย์ น่าดื่มเหมอื นมณั ฑะ (พ.ม.ส.) ทรงแสดงหนทางทีผ่ ้ปู ฏิบตั ิตามแลว้ จะเหน็ ไดเ้ องวา่ ถูกตอ้ ง (พ.ม.ส.) ๒๘๔ ๒๘๕ ทรงแสดงสว๎ ากขาตธรรม ทีม่ ผี ล ๖ อันดบั (มสี วรรค์- ๒๘๕ ๒๘๖ -เปน็ อยา่ งต่ําสุด) (พ.ม.ส.) ๒๘๗ ส่งิ ทตี่ รัสรูแ้ ลว้ แต่ไม่ทรงนํามาสอนมมี ากกวา่ ที่ทรงสอนมากนกั ๒๘๘ ๒๙๑ (พ.ม.) ๒๙๗ ๒๙๙ คาํ ของพระองค์ตรงเป็นอันเดยี วกนั หมด (พ.ม.อ.) ทรงมีการกลา่ วทไ่ี มข่ ัดแยง้ กบั บณั ฑิตชนในโลก (พ.ม.ส.) ๓๐๑ ทรงสอนเฉพาะแต่เรอ่ื งทุกข์กับความดับสนิทของทุกข์ (พ.ม.) ๓๐๒ คําสอนที่ทรงสงั่ สอนมากที่สดุ (พ.ม.ส.) ๓๐๓ ทรงมีหลกั เกณฑ์การฝึกตามลาํ ดบั (พ.ม.) ทรงฝึกสาวกเปน็ ลําดับๆ เรอ่ื งทไ่ี ม่ทรงพยากรณ์ ตรสั เหตทุ ่ไี มท่ รงพยากรณอ์ นั ตคาหกิ ทฏิ ฐิ สบิ ตรัสเหตทุ ี่ไมท่ รงพยากรณอ์ ันตถาหกิ ทิฏฐิ สว่ นทเ่ี กย่ี วกับ \"ตถาคตสี\"่ (พ.ม.ส.) ตรสั เหตุทีท่ ําใหไ้ มท่ รงขอ้ งแวะด้วยทิฏฐิ สิบ (พ.ม.ส.) เร่ืองท่ที รงพยากรณ์

ลาดบั เรือ่ ง (๓๕) หนา้ ผ้ฟู ๎งพอใจคําพยากรณข์ องพระองค์ ๓๐๓ ๓๐๔ ไมไ่ ด้ทรงพยากรณเ์ พ่ือใหช้ อบใจผฟู้ ง๎ ๓๐๕ ๓๐๖ คาํ พยากรณ์นั้น ๆ ไมต่ อ้ งทรงคดิ ไว้กอ่ น (พ.ม.) ๓๐๘ ๓๑๐ ทรงฆา่ ผู้ท่ไี มร่ ับการฝกึ (พ.ม.) ๓๑๔ เหตุท่สี าวกบางคนไม่ได้บรรลุ ๓๑๕ ทรงบัญญตั ิโลกตุ ตรธรรมสําหรับคนทัว่ ไป (พ.ม.) ทรงให้ทุกคนมพี ระองค์ อยทู่ ่ีธรรมทก่ี ําลงั มีอยู่ในใจของเขา (พ.ม.ส.) สัตวโ์ ลกจะรจู้ ักพระรัตนตรยั ถึงที่สุด ก็ตอ่ เมอื่ รผู้ ลแหง่ - -ความสิ้นอาสวะของตนเองแลว้ เทา่ น้ัน (พ.ม.ส.) ข.เกี่ยวกบั คณะสาวกของพระองค์ ๓๐ เร่อื ง คือ:- ทรงมีหมคู่ ณะที่เลศิ กว่าหมู่คณะใด (พ.ม.ส.) ๓๑๙ ทรงมีคณะสงฆซ์ ง่ึ มีคุณธรรมสูงสุด (พ.ม.ส.) ๓๑๙ ในแต่ละบรษิ ัท มอี รยิ สาวกเต็มทุกขน้ั ตนตามทคี่ วรจะมี (พ.ม.ส.) ๓๒๑ ทรงบริหารสงฆ์จาํ นวนร้อย ๓๒๓ วธิ ีท่ที รงปฏบิ ตั ติ อ่ ภกิ ษุ เกยี่ วกับสิกขา (พ.ม.ส.) ๓๒๔ ทรงรับรองภกิ ษแุ ต่บางรปู ว่าเปน็ คนของพระองค์ (พ.ม.) ๓๒๕ ทรงมศี ิษยท์ ้งั ทีด่ ้อื และไม่ด้อื ๓๒๖ ทรงเรยี กรอ้ งให้กระทํากะพระองคอ์ ย่างมติ ร (พ.ม.ส.) ๓๒๖ สาวกของพระองคห์ ลดุ พน้ - -เพราะพิจารณาความเป็นอนัตตาในเบญจขันธ์ (พ.ม.) + (พ.ม.ส.) ๓๒๘ สาวกของพระองค์เสียชีพไมเ่ สียศีล (พ.ม.) ๓๓๐

(๓๖) พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ - ลาดบั เรอื่ ง หน้า ตรสั ใหส้ าวกติดตามฟ๎งแตเ่ รือ่ งเปน็ ไปเพื่อนิพพาน (พ.ม.ส.) ๓๓๐ ทรงขอให้สาวกเปน็ ธรรมทายาท อยา่ เปน็ อามิสทายาท (พ.ม.) ๓๓๑ ทรงชักชวนให้สาวกกระทําด่งั ท่เี คยทรงกระทาํ (พ.ม.ส.) ๓๓๒ ทรงขอรอ้ งอยา่ ใหว้ วิ าทกนั เพราะธรรมท่ีทรงแสดง (พ.ม.ส.) ๓๓๓ ทรงขอรอ้ งให้ทําความเพยี ร เพือ่ อนตุ ตรวิมุตติ (พ.ม.ส.) ๓๓๔ ทรงถอื ว่าภกิ ษสุ าวกทุกวรรณะ เป็นสมณสากยปุตติยะโดยเสมอกัน (พ.ม.) ๓๓๕ ทรงให้ถอื ว่า สาวกท้ังหลายเปน็ บุตรของพระองค์ (พ.ม.ส.) ๓๓๖ ทรงแสดงสาวกตัวอย่างท่ีประสบความสาํ เร็จในอินทรียภาวนา (พ.ม.ส.) ๓๓๖ ทรงมคี ณะสาวกซึ่งมีปาฏิหาริย์ (พ.ม.) ๓๓๘ ทรงเป็นพเี่ ลีย้ งให้แกส่ าวกช่ัวระยะจาํ เป็น (พ.ม.) ๓๔๐ ทรงมีพระสารีบุตรเป็นผรู้ องลาํ ดบั ๓๔๐ ทรงมพี ระสารีบตุ รเป็นผู้ประกาศธรรมจกั รเสมอดว้ ยพระองค์ (พ.ม.) ๓๔๑ ทรงยกย่องพระสารบี ุตรในฐานะธรรมโอรส (พ.ม.ส.) ๓๔๒ มหาเถระผู้มีสมาบัติ และ อภิญญาเทยี มพระองค์ ๓๔๔ พระองค์และสาวกมีการกล่าวหลกั ธรรมตรงกนั เสมอ (พ.ม.ส.) ๓๔๕ สว่ นท่ีสาวกเขม้ งวดกว่าพระองค์ ๓๔๖ ทรงลดพระองคล์ งเสมอสาวก แมใ้ นหนา้ ทขี่ องพระพทุ ธเจา้ (พ.ม.ส.) ๓๔๘ เหตทุ ี่ทําให้มผี มู้ าเปน็ สาวกของพระองค์ ๓๔๙ เหตทุ ที่ ําให้เกดิ การแสดงปาตโิ มกข์ (พ.ม.ส.) ๓๕๑ ไมท่ รงทําอโุ บสถ กับสาวกอกี ตอ่ ไป (พ.ม.) ๓๕๑

ลาดบั เร่อื ง (๓๗) หนา้ ค. เก่ยี วกับความเป็นอยู่สว่ นพระองค์เอง ๓๑ เร่อื ง คอื :- ๓๕๒ ไม่ทรงติดทายก ๓๕๓ ๓๕๕ ความรูส้ ึกของพระองค์เกี่ยวกบั ยศ (พ.ม.ส.) ๓๕๕ ๓๕๖ ทรงเสพเสนาสนะปุาเรือ่ ยไป เพอื่ ให้เป็นตัวอยา่ ง (พ.ม.) ๓๕๘ ๓๕๙ ทรงพอพระทยั ความสามัคคเี ปน็ อยา่ งยิ่ง (พ.ม.) ๓๖๐ ๓๖๑ ทรงมีความสขุ ยงิ่ กวา่ มหาราชา (พ.ม.) ๓๖๒ ๓๖๓ ทรงผาสุกย่งิ นกั เมือ่ ทรงอยใู่ นอนมิ ติ ตเจโตสมาธิ (พ.ม.ส.) ๓๖๓ ๓๖๔ วิหารธรรมทที่ รงอยู่มากตลอดพรรษา และทรงสรรเสริญ (พ.ม.ส.) ๓๖๕ ๓๖๗ ทรงมอี าหารบริสุทธ์ิ แม้เกยี่ วกับการฆา่ สตั ว์ (พ.ม.ส.) ๓๖๘ ๓๗๐ ไมท่ รงฉนั อาหารทเี่ กิดขน้ึ เพราะคําขับ (พ.ม.ส.) ๓๗๐ ๓๗๒ ทรงฉนั อาหารวนั หน่ึงหนเดียว ๓๗๒ ๓๗๕ ทรงฉันอาหารหมดบาตร กม็ ี บางคราวทรงมีปีตเิ ป็นภักษา เหมอื นพวกอาภสั สรเทพ (พ.ม.ส.) ทรงมีการประทมอยา่ งตถาคต ทรงเป็นผู้เอน็ ดูเก้ือกูลแกส่ รรพสตั วอ์ ย่างไม่เห็นแก่หน้า (พ.ม.ส.) ทรงมีลักษณะเอ็นดูสรรพสัตว์ทงั้ หลับและตนื่ (พ.ม.ส.) ทรงมลี กั ษณะสมั มาสัมพทุ ธะ ท้งั ในขณะทําและไม่ทําหนา้ ที่ (พ.ม.ส.) ตัวอย่างเพียงสว่ นน้อยของความสขุ ทรงนบั พระองคว์ ่าเป็นผูห้ น่งึ ในบรรดาผู้นอนเปน็ สขุ ทรงดับเย็นเพราะไมท่ รงยึดม่ันการรสู้ ง่ิ ท่ีสมมติกนั ว่าเลิศ (พ.ม.ส.) ทป่ี ระทับนง่ั นอนของพระองค์ วิหารธรรมทที่ รงอยมู่ ากทสี่ ุด ตลอดพระชนม์ (พ.ม.ส.)

(๓๘) พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ - ลาดับเร่อื ง ทรงอยูด่ ว้ ยสญุ ญตาวิหาร แมใ้ นขณะแหง่ ธรรมกถา (พ.ม.ส.) หน้า ทรงเปน็ สมณะสขุ มุ าลในบรรดาสมณะทั้งหลาย (พ.ม.) ๓๗๖ ทรงอยูอ่ ยา่ งมีจติ ท่ีปราศจาก \"หัวคนั นา\" (พ.ม.ส.) ๓๗๗ ทรงทํานาท่มี อี มตะเป็นผล ๓๗๙ ทรงหลีกเร้นเป็นพเิ ศษบางคราว (พ.ม.ส.) ๓๗๙ ยงั ทรงมากอย่ดู ้วยเขมวิตกและวิเวกวติ ก (พ.ม.อ.) ๓๘๑ การเสดจ็ สุทธาวาส (พ.ม.ส.) ๓๘๑ การเสดจ็ ไปทรมานพกพรหมผูก้ ระด้างด้วยลัทธิ ๓๘๓ ทรงมีฌานแนว่ แน่ช้ันพิเศษ ๓๘๔ กัลยาณมติ รของพระองคเ์ อง ๓๘๖ ๓๘๗ ง. เก่ยี วกับลัทธิอื่น ๆ ๑๖ เรอื่ ง คือ:- พอดวงอาทิตย์ขึ้น หิ่งห้อยก็อบั แสง (พ.ม.) ๓๘๘ ๓๘๙ ลัทธิของพระองค์ กบั ของผอู้ ่นื ๓๙๐ ๓๙๕ ทรงแสดงอัปปมัญญาธรรมส่ีชนดิ ทีส่ ูงกว่าเดียรถีย์อ่ืน (พ.ม.ส.) ๓๙๗ ทรงบัญญัตินิททสบคุ คลที่ไม่เนื่องดว้ ยพรรษาดั่งลัทธอิ ่ืน (พ.ม.ส.) ๓๙๘ ๓๙๙ ทรงบัญญตั ิความหมายของคาํ วา่ \"ญาณ\"- ๔๐๐ ๔๐๑ -ไมต่ รงกับความหมายท่เี ดยี รถยี ์อ่ืนบัญญัติ (พ.ม.ส.) ไมท่ รงบัญญตั ิยนื ยนั หลักลทั ธเิ ก่ยี วกับ \"อัตตา\" (พ.ม.ส.) ไมไ่ ด้ทรงตกิ ารบาํ เพญ็ ตบะไปเสยี ตะพึด ไม่ทรงตาํ หนกิ ารบชู ายญั ญไ์ ปเสยี ทงั้ หมด (พ.ม.) ความบรสิ ุทธใิ์ จของพระองค์ ในการปฏบิ ตั ิตอ่ ลัทธอิ ืน่ (พ.ม.ส.)

ลาดับเรอื่ ง (๓๙) หนา้ กฎบางกฎท่ที รงยกเวน้ ใหแ้ ก่บางคน ๔๐๓ ๔๐๔ ทางแสดงหลักแห่งกรรมตา่ งจากพวกอืน่ (พ.ม.ส.) ๔๑๑ ๔๑๓ ทรง \"เยาะ\" ลทั ธิท่ีถือว่า สขุ ทกุ ข์เพราะกรรมเก่าอย่างเดยี ว (พ.ม.) ๔๑๔ ๔๑๕ ทรง \"เยาะ\" ลทั ธิที่ถอื วา่ สุขทุกขเ์ พราะการบนั ดาลของเจา้ นาย (พ.ม.) ๔๑๘ ทรง \"เยาะ\" ลทั ธทิ ่ีถอื วา่ สุขทกุ ขไ์ ม่มอี ะไรเป็นเหตุปจ๎ จยั (พ.ม.) ทรงมวี ิธสี กดั สแกงพวกทถ่ี อื ลทั ธิวา่ มอี ตั ตา (พ.ม.ส.) ทรงระบุลัทธมิ กั ขลวิ าท ว่าเป็นลทั ธิทาํ ลายโลก (พ.ม.) จ.เก่ยี วกบั การที่มีผู้อ่ืนเขา้ ใจผิด ๒๓ เรอ่ื ง คอื :- ทรงทําผู้มงุ่ ร้ายใหแ้ พภ้ ยั ตัวเอง ๔๑๙ ๔๒๑ ไมเ่ คยทรงพรน่ั พรงึ ในท่างกลางบริษทั ๔๒๒ ๔๒๓ ทรงสมาคมได้อยา่ งสนทิ สนม ทกุ บรษิ ัท (พ.ม.อ.) ๔๒๕ ๔๒๙ ทรงท้าให้ใครปฏเิ สธธรรมะทพี่ ระองคร์ ับรอง (พ.ม.) ๔๓๑ ๔๓๑ ทรงทา้ วา่ ธรรมที่ทรงแสดงไม่มใี ครคา้ นได้ (พ.ม.) ๔๓๒ ๔๓๓ ทรงยนื ยันว่ามสี มณะอย่ใู นธรรมวินัยน้เี ท่านั้น (พ.ม.) ๔๓๔ ๔๓๕ ทรงยนื ยนั วา่ เพราะพระองค์ปรากฏ โพชฌงคจ์ ึงปรากฏ ๔๓๖ ไม่ไดท้ รงประพฤตพิ รหมจรรย์เพือ่ ให้เขานับถอื (พ.ม.) ทรงหวังให้ชว่ ยกันทําความมนั่ คงแก่พรหมจรรย์ (พ.ม.ส.) พรหมจรรย์น้มี ใิ ช่มลี าภเปน็ อานสิ งส์ (พ.ม.) ทรงบัญญตั พิ รหมจรรย์ในลกั ษณะท่บี รรพชาจกั ไม่เป็นโมฆะ (พ.ม.ส.) พรหมจรรย์น้ขี องพระองค์ บริบรู ณโ์ ดยอาการทงั้ ปวง (พ.ม.ส.) ทรงแก้ข้อที่เขาหาว่า เกยี ดกนั ทาน (พ.ม.)

(๔๐) พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - ลาดบั เรือ่ ง หนา้ ทรงแกข้ อ้ ที่เขาหาว่า เป็น \"กาฝากสังคม\" (พ.ม.ส.) ๔๓๗ ทรงแกข้ อ้ ทเ่ี ขาหาวา่ ทรงหลง ๔๓๙ ทรงแก้คําตขู่ องพวกอื่นที่ตู่ว่า เขาก็สอนเหมือนทพ่ี ระองค์สอน (พ.ม.ส.) ๔๔๐ ทรงถกู ตู่ว่าตรสั ว่าในสุภวิโมกข์มีความรู้สึกวา่ ไมง่ าม (พ.ม.ส.) ๔๔๑ ทรงถกู ต่วู า่ ไมบ่ ญั ญัติสิ่งซึงทแี่ ทไ้ ดท้ รงบัญญตั ิแลว้ (พ.ม.ส.) ๔๔๓ ทรงถูกต่เู รอ่ื งฉนั ปลาฉนั เนอ้ื ๔๔๔ ทรงรบั ว่าทรงทราบมายา แตไ่ ม่ทรงมีมายา (พ.ม.ส.) ๔๔๔ แงท่ ่เี ขากลา่ วหาพระองค์อย่างผิด ๆ ๔๔๗ ทรงหยามมารว่าไมม่ ีวันรจู้ กั ทางของพระองค์ (พ.ม.ส.) ๔๕๐ มนษุ ย์บุถชุ น ร้จู กั พระองคน์ อ้ ยเกนิ ไป ๔๕๑ ฉ. เกีย่ วกบั เหตกุ ารณพ์ เิ ศษบางเรอ่ื ง ๒๒ เรอื่ ง คือ:- การทรงแสดง ความพ้น เพราะสน้ิ ตัณหา ๔๕๙ ๔๖๐ การทรงแสดงเรือ่ งท่ีเปน็ ไปไดย้ ากเก่ียวกับพระองคเ์ อง (พ.ม.ส.) ๔๖๑ การเกิดของพระองค์ ไม่กระทบกระเทือนกฎธรรมชาต:ิ ๔๖๓ ๔๖๔ การทรงแสดงไตรลักษณ์ (พ.ม.) ๔๖๕ ๔๖๖ การทรงแสดงปฏจิ จสมุปบาท (พ.ม.ส.) ๔๖๗ ๔๖๘ ทรงแนะการบชู ายญั ในภายใน (พ.ม.ส.) การทรงแสดงเหตขุ องความเจริญ ทรงแสดงท่พี ่ึงไว้ สาํ หรับเม่อื ทรงล่วงลับไปแลว้ (พ.ม.ส.) การตรัสเร่อื ง \"ทกุ ขน์ ้ีใครทําให้\" การสนทนากบั พระอานนท์ เร่อื งกลั ยาณมิตร (พ.ม.ส.)

ลาดบั เรอื่ ง (๔๑) หน้า การสนทนากับ \"พระเหมน็ คาว\" (พ.ม.) ๔๖๙ ๔๗๐ การตอบคําถามของทณั ฑปาณสิ ักกะ (พ.ม.) ๔๗๑ ๔๗๓ การสนทนากบั นคิ รนถ์: บาปกรรมเก่าไม่อาจสนิ้ ดว้ ยทกุ รกิริยา ๔๗๕ : เวทนาทงั้ หลายมิใช่ผลแห่งกรรมในกาลก่อน (พ.ม.ส.) ๔๗๙ ๔๗๙ : การใหผ้ ลของกรรมไมอ่ าจเปล่ียนได้- ๔๘๐ ๔๘๒ -ด้วยตบะของนคิ รนถ์ (พ.ม.ส.) ๔๘๓ ๔๘๕ การสนทนากะเทวดา เรอื่ งวมิ ุตตขิ องภกิ ษุณี (พ.ม.อ.) ๔๘๖ ๔๘๗ การสนทนากะเทวดา เรอื่ งอปรหิ านยิ ธรรม (พ.ม.ส.) ๔๙๐ ๔๙๒ การสนทนาเรอ่ื ง ท่ีสุดโลก ๔๙๕ การสนทนาเรื่อง ลทั ธซิ ึ่งสมมติกนั ว่าเลศิ (พ.ม.ส.) การตรสั เรอื่ ง \"มหาภตู \" ไมห่ ย่ังลงในที่ไหน (พ.ม.อ.) การมาเฝาู ของตายนเทพบุตร การมาเฝาู ของอนาถปิณฑิกเทพบุตร การมาเฝูาของจาตมุ มหาราช การข่มลจิ ฉวีบุตร ผมู้ ัวเมาในปาฏหิ ารยิ ์ การสนทนากบั ปรพิ พาชก ช่อื มัณฑิยะและชาลิยะ (พ.ม.ส.) การสนทนาเรอ่ื ง เครื่องสนกุ ของพระอริยเจ้า (พ.ม.ส.) ผนวกพุทธประวัตฯิ ภาค ๔ ๔๙๙ เรือ่ งเบ็ดเตล็ดตามเสยี งของคนนอก (๒๔ เรื่อง) คาํ ชี้แจงสําหรบั เรอื่ งผนวกแห่งภาค ๔

(๔๒) พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ - ลาดับเร่อื ง หน้า เสียงกระฉ่อนท่ัว ๆ ไป: ทรงเปน็ สมั มาสมั พุทธะ- -ประกาศพรหมจรรย์บรสิ ทุ ธ์ิ ๕๐๐ เสยี งของผู้สรรเสรญิ ธรรมเทศนา : ทรงมธี รรมเทศนาเปน็ แสงสว่าง (พ.ม.)๕๐๑ เสียงปรพิ พาชก วจั ฉโคตร : ทรงแสดงหลกั สาํ คัญตรงกับ- -สาวกอย่างนา่ อศั จรรย์ (พ.ม.ส.) ๕๐๑ : ทรงมคี าํ สอนที่เป็นแก่นแทล้ ว้ นๆ (พ.ม.) ๕๐๒ : ทรงประดิษฐานศาสนพรหมจรรยไ์ ดบ้ ริบูรณ์ (พ.ม.ส.) ๕๐๓ เสียงคณกะโมคคัลลานพราหมณ์ : \"โอวาทของพระโคดมเปน็ ยอด\" (พ.ม.) ๕๐๔ เสยี งสัจจกะนิครนถบุตร : \"เจอะพระโคดมแล้ว ไมม่ รี อดไปได\"้ (พ.ม.) ๕๐๕ เสียงของเจ้าลิจฉวี ทมุ มุขะ : ทรงหกั ล้างปรป๎กษ์- -เหมอื นเดก็ รมุ กนั ต่อยก้ามปู (พ.ม.) ๕๐๖ เสยี งปริพพาชก คณะแมน่ ้าํ สปั ปินี : ไมม่ ีชอ่ งทางท่ี- -ใครจะขนั สพู้ ระผมู้ ีพระภาค (พ.ม.) ๕๐๗ เสียงสังคมวญิ ํชู น : ทรงปฏิบตั ิได้เลิศกว่าพวกอนื่ - -(ในหลกั ธรรมอยา่ งเดียวกัน) (พ.ม.ส.) ๕๐๗ : สาวกของพระองค์ปฏิบตั ิไดเ้ ลศิ กว่าพวกอื่น- -(ในหลักธรรมอยา่ งเดียวกัน) (พ.ม.ส.) ๕๐๙ เสยี งวัชชยิ มาหติ คหบดี : ทรงเปน็ วิภัชชวาที มใิ ชเ่ อกํสวาที (พ.ม.ส.) ๕๑๐ เสียงโปฏฐปาทปรพิ พาชก : ทรงบัญญตั ิหลักเรื่อง \"ตถา\" (พ.ม.ส.) ๕๑๑ เสยี งปิโลตกิ ะ ปริพพาชก : ทรงมคี ณุ ธรรมลึก- -จนผ้อู น่ื ได้แตเ่ พียงอนมุ านเอา (พ.ม.) ๕๑๒

ลาดับเรื่อง (๔๓) หน้า เสียงปิงคิยานพี ราหมณ์ : ทรงอยเู่ หนอื คําสรรเสริญ- ๕๑๖ -ของคนธรรมดา (พ.ม.ส.) ๕๑๙ ๕๒๐ เสยี งวัสสการพราหมณ์ : ทรงมีคณุ ธรรมสูง ๔ ประการ (พ.ม.) ๕๒๑ เสยี งอตั ถากามเทพ : ทรงทราบมทุ ธาและมุทธาธบิ าตร (พ.ม.ส.) ๕๒๒ เสยี งหัตถกเทวบุตร : ทรงอัดแออยดู่ ้วยบริษัทนานาชนดิ (พ.ม.) ๕๒๒ ๕๒๕ เสยี งเทวดาบางตน : ใครดหู มน่ิ ความอดทนของพระโคดม- ๕๒๕ ๕๒๖ -กเ็ ท่ากับคนไม่มีตา (พ.ม.ส.) ๕๓๐ ๕๓๐ เสียงท้าวสักกะจอมเทพ : ทรงพระคุณท่ชี อบใจเทวดา ๘ ประการ ๕๓๑ ๕๓๑ (พ.ม.ส.) ๕๓๑ ๕๓๒ เสียงโลหจิ จพราหมณ์ : ทรงมอี นามยั เปน็ อย่างดี ๕๓๒ ๕๓๓ : ทรงดึงผมช่วยคนจะตกเหวไว้ได้ (พ.ม.ส.) ๕๓๓ ๕๓๓ เสยี งโสณทัณฑพราหมณ์ : ทรงมคี ณุ สมบัติสูงทุกประการ ๕๓๔ เสยี งอุตตรมาณพ : ทรงประกอบดว้ ยมหาปุรสิ ลักขณะ ๓๒ : ทรงมลี ีลาศสง่า งดงาม : ทรงมมี รรยาทเปน็ สงา่ นา่ เลือ่ มใส : ไม่ทรงต่ืนเต้นพระทัยในบ้าน : ทรงฉนั ภัตตาหารในหมู่บ้าน เรยี บรอ้ ยนัก : ไม่ทรงติดในรสอาหาร : ทรงมวี ตั รในบาตร : การเสดจ็ กลบั จากฉันในหมู่บ้าน : ทรงนุ่งหม่ กะทดั รดั : ทรงมงุ่ แตค่ วามเกอื้ กลู สตั ว์ : ทรงแสดงธรรมด้วยพระสาํ เนียงมีองค์ ๘

(๔๔) พุทธประวตั จิ ากพระโอษฐ์ - ลาดับเรื่อง หนา้ เสยี งอุบาลีคหบดีบุรพนคิ รนถ์ : ทรงประกอบดว้ ย- -พระพุทธคณุ ๑๐๐ ประการ (พ.ม.ส.) ๕๓๕ เสยี งพระเจา้ ปเสนทิโกศล : ทรงมคี ณะสงฆ์ท่ปี ระพฤติพรหมจรรยต์ ลอดชวี ิต ๕๔๐ : ทรงมคี ณะสงฆ์ที่พร้อมเพรยี ง ๕๔๑ : ทรงมีคณะสงฆท์ ชี่ ุม่ ช่ืนผอ่ งใส ๕๔๑ : ทรงมสี งั ฆบรษิ ัทท่เี งียบเสียง ๕๔๒ : ทรงชนะคนม่งุ ร้ายที่เขา้ เฝูา ๕๔๓ : ทรงสามารถปราบโจรท่ีมหากษัตรยิ ์ก็ปราบไม่ได้ (พ.ม.ส.) ๕๔๔ : ทรงชนะน้ําใจคนโดยทางธรรม ๕๔๖ : ทรงเสมอกบั พระเจา้ โกศลโดยวยั ๕๔๖ เสยี งคณกะโมคคลั ลานพราหมณ์ : ทรงคบแลไมท่ รงคบบุคคลเชน่ ไร (พ.ม.) ๕๔๗ เสียงแห่งมาร : ทรงตดั รอนอํานาจมารเหมอื นเด็กลดิ รอนก้ามปู (พ.ม.ส.) ๕๔๘ : ทรงเปน็ ก้อนหนิ ให้กาโง่สําคญั วา่ มนั ข้น (พ.ม.ส.) ๕๔๙ : ไม่มใี ครนําพระองคไ์ ปไดด้ ้วยราคะ ๕๔๙ : ศัตรปู ระสบผลเหมอื นเอาศีรษะชนภูเขา (พ.ม.ส.) ๕๕๐ ภาค ๕ (พ.ม.ส.) ๕๕๓ การปรินพิ พาน (๑๐ เรือ่ ง) ๕๕๔ แปดสบิ ปียังไม่ฟ๎น่ เฟอื น ๕๕๕ ทรงมีความชราทางกายภาพเหมือนคนทว่ั ไป ทรงทําหนา้ ที่พระพทุ ธเจ้าบริบรู ณแ์ ล้ว

ลาดบั เรือ่ ง (๔๕) หนา้ เรอื่ งเบด็ เตล็ดก่อนหนา้ ปรินิพพาน : การตรัสภิกษอุ ปรหิ านยิ ธรรม (พ.ม.ส.) ๕๕๖ เสดจ็ สวนอัมพลฏั ฐิกา ๕๕๗ เสด็จเมืองนาลนั ทา ๕๕๘ เสดจ็ บ้านปาฏลคิ าม ๕๕๘ เสด็จบ้านโกฏคิ าม ๕๕๙ เสดจ็ หมูบ่ ้านนาทิกะ ๕๕๙ เสด็จเมืองเวสาลี ๕๖๑ เสดจ็ บา้ นเวฬุวคาม ๕๖๑ เสด็จทิวาวิหาร ทปี่ าวาลเจดยี ์ ๕๖๒ ทรงปลงอายสุ งั ขาร ๕๖๓ ๕๖๔ แผน่ ดนิ ไหวเน่อื งดว้ ยการปลงอายุสงั ขาร ๕๖๔ เสด็จปุามหาวัน ๕๖๕ เสดจ็ บา้ นภณั ฑคาม ๕๖๖ เสด็จบ้านหตั ถคิ าม โดยลําดับ ถงึ โภคนคร ๕๖๗ เสดจ็ เมืองปาวา ๕๖๗ เสด็จเมอื งกุสนิ ารา ๕๖๙ การปรนิ ิพพาน หรือ การประทับสหี เสยยาครง้ั สดุ ท้าย : ๕๗๐ แวะปุาสาละ ใหจ้ ดั ท่ปี รนิ พิ พาน ๕๗๐ ตรสั เรอ่ื งการบชู าอย่างแท้จริง ๕๗๑ เทวดามาเนืองแน่น จงึ ทรงขบั พระอปุ วาณะ ตรัสเร่อื งการจัดทาํ เกี่ยวกบั พระสรีระ

(๔๖) พทุ ธประวัติจากพระโอษฐ์ - ลาดบั เรอื่ ง ตรสั เรือ่ งเมืองกสุ าวดี (พ.ม.) หน้า ใหไ้ ปบอกมัลลกษัตรยิ ์ (พ.ม.) ๕๗๒ โปรดสุภัททปริพพาชก ๕๗๒ ตรัสเร่ืองธรรมวินัยน้ี ไม่วา่ งจากศาสดา ๕๗๓ ตรัสวิธีการรอ้ งเรยี ก ทกั ทาย ๕๗๓ ให้เลกิ ถอนสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย ๕๗๓ ให้ลงพรหมทัณฑฉ์ นั นภิกษุ ๕๗๓ ตรัสถามความเคลือบแคลง ๕๗๔ ป๎จฉมิ วาจา ๕๗๔ แผ่นดินไหวเนือ่ งด้วยการปรินพิ พาน ๕๗๔ เราเห็นพระองค์ได้ ชวั่ เวลาท่ียงั ปรากฏพระกาย ๕๗๕ การปรนิ พิ พานของพระองค์ คอื ความทุกขร์ ้อนของมหาชน ๕๗๕ สงั เวชนยี สถาน ภายหลงั พุทธปรินพิ พาน ๕๗๖ ๕๗๗ ภาค ๖ ๕๘๑ การบาเพ็ญบารมใี นอดีตชาติ (๒๐ เร่ือง) ๕๘๒ คําชี้แจงเกยี่ วกับภาค ๖ ๕๘๒ ต้องทอ่ งเท่ียวมาแล้ว เพราะไมร่ ูอ้ รยิ สัจจ์ ๕๘๓ ตลอดวัฏฏสงสาร ไมเ่ คยทรงบงั เกิดในสทุ ธาวาส ๕๘๔ ในวฏั ฏสงสาร เคยทรงบชู ายัญญ์ และบาํ เรอไฟ มาแล้วเปน็ อยา่ งมาก ทฏิ ฐานุคติแหง่ ความดี ท่ที รงสั่งสมไว้แต่ภพกอ่ น ๆ