ISBN 978-974-496-728-2 มลิ ินทปญหา เลม ๓ (เลม จบ) มลู นิธปิ ราณี สาํ เรงิ ราชย จัดพิมพเ ผยแผ พมิ พค รัง้ ท่ี ๔ จาํ นวน ๑,๐๐๐ เลม สงวนลิขสิทธิ์
มูลนิธิปราณี สําเรงิ ราชย สาํ นักงานตั้งอยูท่ี สํานักปฏิบัติธรรมวิวัฏฏะ วัดเขา- สนามชัย ตาํ บลหนองแก อําเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ โทรศัพท ๐๓๒-๘๒๗๗๘๔. วัตถปุ ระสงคข องมลู นธิ ิ ๑. เพ่ือสงเสริมการปฏิบัติธรรมในดานวิปสสนาธุระ และ ซอมแซมบาํ รุงสํานักปฏิบัติธรรมวิวัฏฏะ. ๒. เพ่ือสงเสริมการศึกษาดานปริยัติ อันเน่ืองกับการ ปฏิบัติวิปสสนาธุระ. ๓. เพ่ือรวมมือกับมูลนิธิแนบ มหานีรานนท ในการบํารุง และเผยแผพระพุทธศาสนา. ๔. ไมดาํ เนินการเกี่ยวของกับการเมืองแตประการใด.
คํานาํ หนังสือมิลินทปญหาไดจัดพิมพออกมาใหทานผูมีใจ ศรัทธา ฝกใฝใครรูในธรรมจะไดศึกษา ณ บัดน้ีแลว. เร่ืองมิลินทปญหาน้ี อาจารยไชยวัฒน กปลกาญจน ไดสอนนักศึกษาเปนประจําท่ีสมาคมศูนยคนควาทางพระพุทธ- ศาสนา วัดสระเกศ อาจารยไชยวัฒนแ ละทานนักศึกษาทง้ั หลาย มีความเห็นวาควรจัดพิมพเปนเลมหนังสือ เพื่อเปนประโยชนแก ผูที่ไมมีโอกาสไดไปศึกษาที่วัดสระเกศ. เนื้อหาสาระจากพระคัมภีรนี้นาศึกษาเปนอยางย่ิง ทาน นักปราชญทั้งสองสนทนาโตตอบกันแตละปญหาลวนเปนเคร่ือง เรืองปญญา นารู นาสนใจ. หนังสือเลมนี้สาํ เร็จไดดวยความวิริยะอุตสาหะของ อาจารยไชยวัฒนและผูชวยเหลือหลายทาน รวมทั้งทานผูรวม บริจาคปจจัยมิใชนอย ชวยกันเสียสละทรัพย หนังสือมิลินท- ปญหาจึงสาํ เร็จเปนรูปเลมข้ึนมาได. ดว ยอานสิ งสของกุศลน้ี จงสงผลใหทา นผแู ปล ผชู ว ยเหลอื จัดทํา ทานผูบริจาคทรัพย และทานผูอานทุกทาน ไดบรรลุถึง ธรรมที่สุดแหงทุกขโดยเร็วดวยเถิด. ปราณี สําเรงิ ราชย สํานักววิ ัฏฏะ วดั เขาสนามชยั
คาํ ช้ีแจง เม่ือพระเจาอเล็กซานเดอรมหาราช เสด็จพรอมกองทัพ พิชิตแควนปญจาบของอินเดียไดแลว ก็มีกษัตริยกรีกปกครอง แควนนี้ตดิ ตอกนั มาหลายพระองค จนถึงรชั สมยั ของกษัตรยิ กรกี พระองคห นง่ึ ทรงพระนามตามภาษามคธวา มลิ นิ ท พระองคท รง เปน ผมู ีพระทยั ฝก ใฝในศาสตรทง้ั หลาย โดยเฉพาะปรชั ญาในลัทธิ ศาสนาตา ง ๆ ทรงยนิ ดใี นอนั เสดจ็ ไปพบปะสนทนากะนกั ปราชญ ท้ังหลาย ผูมีความรูในลัทธิศาสนาน้ัน ๆ ตอมาพระองคไดทรง สนทนาถามตอบกะพระเถระผูมีชื่อเสียงเล่ืองลือในพระพุทธ- ศาสนารูปหน่ึง คือทาน พระนาคเสนเถระ ในปญหาท่ีลึกซึ้ง ถอยคาํ สนทนาถามตอบกันระหวางทา นทง้ั สองนี้ ปรากฏวา เปนท่ี ชื่นชมยินดีของพวกบัณฑิตท้ังหลายเปนอันมาก ในเวลาตอมา ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ ทานพระติปฎกจุฬาภัยเถระ ผูทรง พระไตรปฎก ถึงฝงแหงปฏิเวธ มีปญญาดุจภูผา มีคําพูดท่ี อาจารยท้ังหลายพึงตระหนัก เล็งเห็นคุณคาในคําสนทนาถาม ตอบกันของทานทั้งสองนี้ วาจะเปนเหตุชวยค้ําจุนพระสัทธรรม ของพระสมั มาสัมพุทธเจา ใหตัง้ อยไู ด จึงอุตสาหะรวบรวมคาํ พูด ทั้งหมด รจนาเรียบเรียงข้ึนมาเปนปกรณทางศาสนาปกรณหนึ่ง ใหชื่อวา “มิลินทปญหา”. กุลบุตรผูใครไดที่พึ่งในพระศาสนา ทั้งหลาย ก็ไดชวยกันรักษาโดยการเรียน การทรงจํา เปนตน สืบตอกันมาจนถึงปจจุบันน้ี.
มิลินทปญหาเปนปกรณที่อาจารยท้ังหลายเล็งเห็นวา สําคัญย่ิง พระอรรถกถาจารยท้ังหลายผูแตงปกรณอ่ืน มักจะ หยิบยกคําพูดในปกรณน้ีมาอางไวในงานเขียนของทานอยูเสมอ ในคราวท่ีมีการวิจารณหมวดธรรมที่มีความลึกซ้ึงน้ัน ๆ. ในสมัย ปจ จุบนั นี้ นักคน ควาศกึ ษาปรัชญาและศาสนาของประเทศทาง ตะวันออกในประเทศทางแถบตะวันตกเห็นพองกันวา มิลินท- ปญหาน้ีเปนปกรณที่ชวยใหเขาใจปรัชญาในพุทธศาสนานิกาย เถรวาทไดเปนอยางดี. ในสมัยปจ จบุ ันนี้ ปกรณมลิ นิ ทปญหานี้ ฉบับทเ่ี ปนภาษา มคธ แมวา เปนภาษาเดยี วกนั คอื ภาษามคธนั่นแหละ กม็ กี ารแตก เปนหลายฉบบั คือฉบบั ของไทยท่ใี ชอ ักษรไทยบันทึก ของพมาที่ ใชอ ักษรพมา ของลังกาทใ่ี ชอ กั ษรลงั กา และของยุโรปท่ีใชอ ักษร โรมนั สําหรบั ฉบับของไทยทใ่ี ชศกึ ษากนั อยใู นประเทศไทยนน้ั มผี ู แปลออกมาเปนภาษาไทยหลายคร้งั หลายสํานวน เปน อยางเตม็ ความบาง อยางถอดเอาแตใ จความมาเรยี บเรยี งบาง สว นฉบับ ของตางประเทศที่ใชกันอยใู นตา งประเทศ ยังไมม ผี ูแปลออกมา เปนภาษาไทยเลย กระผมเมอ่ื ไดอา นท้งั ฉบับของไทย ทงั้ ฉบบั ของ ตางประเทศ โดยเฉพาะฉบับของพมา เปรียบเทยี บกนั รวมทั้ง คําอธบิ ายทเี่ รยี กวา อรรถกถา ในฐานะทเ่ี ปน ผบู รรยายปกรณน อี้ ยูท่ี สมาคมศูนยคนควาทางพระพุทธศาสนาวัดสระเกศ แลวก็ตกลง ใจท่ีจะไมแปลฉบับของไทย แตจะแปลฉบับของพมา ในการจะ จัดทาํ เปนหนังสือครั้งน้ีดวยเหตุผล ๕ ประการ ดังตอไปน้ี :
๑. เมื่อฉบับภาษามคธของไทยมีผูแปลเปนภาษาไทย หลายครั้ง หลายสาํ นวนดังวาน้ันแลว หากวากระผมจะใชฉบับ ของไทยเปนตนฉบับการแปลในครั้งนี้อีก แมวาสาํ นวนแปลจะ แปลกไปบา ง ก็คงไมช ว ยใหท า นผูอ านไดอ รรถรส หรอื ความรูอะไร ๆ เพ่ิมเติมข้ึนมา เพราะฉะน้ันก็ไมนาจะคิดแปลฉบับของไทยอีก. ๒. ฉบับของตางประเทศยังไมมีผูแปลออกมาเลย นาจะ เหลียวดูบาง ถึงอยางไรก็เปนปกรณทางศาสนาที่พวกเรานับถือ ดวยกัน. ๓. ถาเปรียบเทียบกับพระไตรปฎ ก พระไตรปฎกฉบับของ ไทยก็ดี ฉบบั ของพมา กด็ ี มีสว นผดิ แผกกนั นอ ยนัก เกยี่ วกบั คําพดู บางบท บางคํา หรอื การใชอ ักขระ ความหมายมไิ ดแ ตกตางกนั เลย แตปกรณมิลินทปญหามิไดเปนอยางนั้น มีสวนผิดแผก แตกตางกันมากมายหลายตอน อยางนาแปลกใจวา ตางฝาย ตางไดรับปกรณน้ีมาจากไหน รักษากันไวอยางไร บางขอความ กเ็ หมือนกบั วา พดู กันคนละเร่อื ง ซง่ึ พอจะรวบรวมขอ ทีแ่ ตกตางกัน ไดดังตอ ไปนี้ : - บางเน้ือความที่มีปรากฏอยูในฉบับของไทย กลับไมมี ปรากฏในฉบบั ของพมา เชน เน้อื ความเกยี่ วกับพระพทุ ธทาํ นาย ความเปนไปของพระเจา มิลินทและพระนาคเสน เปนตน . - เก่ียวกับช่ือของบุคคล ก็มีสวนผิดกัน เชน ชื่อของ อาํ มาตยผูหนึ่ง ในฉบับของไทยเปนอันตกายอํามาตย สวนใน ฉบับของพมาเปนอนันตกายอาํ มาตย เปนตน.
- เกย่ี วกบั ชอ่ื ของปญหา หลายปญ หาทเี ดยี วทมี่ เี นือ้ ความ บอกใหทราบวาปญหานั้นเปนปญหาเดียวกัน ท้ังฉบับของไทย ทั้งฉบับของพมา แตปรากฏวามีชื่อไมเหมือนกันเสียทีเดียว เชน ในฉบับของไทยเปนสีลปติฏฐานลักขณปญหา, สวนในฉบับของ พมาเปนสีลลักขณปญหา เปนตน. - เก่ียวกับจํานวนอุปมาในปญหานนั้ ๆ บางปญหาในฉบบั ของไทยมเี นอื้ ความทเี่ ปน อปุ มามากกวาในฉบับของพมา. - แมเ กีย่ วกบั การกาํ หนดเน้ือความในปญหาบางปญหา ก็ มีสวนผดิ กนั เชน ปญหาท่มี ีการถามถงึ ลักษณะของศรทั ธา ซง่ึ ทานพระนาคเสนไดวิสชั ชนาวา มี ๒ อยา งนน้ั ในฉบบั พมากลาว แยกลักษณะแตละอยาง เปนแตละปญหา สวนในฉบับของไทย รวมเน้อื ความเกยี่ วกับลกั ษณะทั้งสองไวเ ปน ปญหาเดียวกัน เปน เหตใุ หมีจํานวนปญ หาแตกตา งกัน. - หลายปญหาทีเดียวที่มีคาํ พูดในคําถาม หรือคําตอบ แตกตางกัน เชน ในฉบับของไทย คาํ ถามมีวา \"พระคุณเจา นาคเสน ผูใดมีญาณเกิดข้ึนแลว ผูน้ันช่ือวามีญาณเกิดขึ้นแลว ใชไหม?\", สวนในฉบับพมา มีคําถามวา \"พระคุณเจานาคเสน ผูใดมีญาณเกิดข้ึนแลว ผูน้ันชื่อวามีปญญาเกิดข้ึนแลวใชไหม?\", ฉบับของพมานาจะถูกตองกวา เพราะจบั ประเดน็ คาํ ถามไดช ดั เจน วา พระเจามิลินททรงประสงคจะทราบวาญาณกับปญญาเปน ธรรมชาติอยางเดียวกัน หรือคนละอยางกัน.
- บางปญ หา เชน ปญหาทีม่ ีการถามถึงการอุปสมบทของ พระพุทธเจา ในฉบับพมามีเพียงเน้ือความส้ัน ๆ เกี่ยวกับการ ถามตอบกนั เทานนั้ สว นในฉบบั ของไทยยังมีเน้ือความอ่นื อีก คือ ปรากฏวา เมอื่ พระเถระไดวสิ ชั ชนาแลว พระราชากไ็ มท รงยอมรับ นอกจากจะไมท รงยอมรับแลว ก็ยงั ตรัสเยยหยันพระเถระกะพวก ขาหลวงโยนกท่แี วดลอมอยนู น้ั อกี ดว ย อยางนี้เปน ตน . - เก่ียวกับการยกคําพูดในพระไตรปฎกมาอางในปญหา น้ัน ๆ ในฉบับของพมามักยกมาตรงกับที่มีจริงในพระไตรปฎก เสมอ สวนในฉบับของไทยมักยกมาไมตรง. อน่ึง คําพูดที่ยกมา น้ัน ในฉบับพมามีการระบุไวที่ทายหนานั้น ๆ วา ยกมาจาก พระไตรปฎกเลมไหน นิกายอะไร หนาอะไร ชวยใหสืบสาวถึง ตนตอไดรวดเร็ว สวนในฉบับของไทยมิไดระบุไว. - เก่ียวกับเครื่องหมายตาง ๆ ที่ใชเปนเครื่องกําหนด ประโยค หรือขอความ คือ เคร่ืองหมายมหัพภาค จุลภาค เครอื่ งหมายคาํ พูด เครือ่ งหมายคําถาม เปน ตน ในฉบบั ของพมา ระบุไวช ดั เจนดี ชวยใหผ แู ปลกําหนดประโยคแตล ะประโยคไดง า ย จับใจความในประโยคไดงาย แปลไดสะดวก ในฉบับของไทย ไมพิถีพิถันในเรื่องนี้ เปนเหตุใหผูแปลบางครั้งตองพิจารณาตัด แบงประโยคเอาเอง ซง่ึ บางทกี เ็ ปน เหตุใหสบั สนได ทาํ ใหเกดิ ความ ไมแ นใจวาถูกตอง โดยเฉพาะคําพูดในพระไตรปฎ กท่ียกมาอา งใน ปญ หานัน้ ๆ ตองระมดั ระวงั เปน พเิ ศษ วาคาํ พูดในพระไตรปฎ กท่ี ยกมาในคราวนน้ั มแี คไหน, คาํ พดู ไหนไมใชค ําพดู ในพระไตรปฎ ก
โดยการสืบสาวถงึ ตน ตอใหด เี สยี กอนจะตัดสนิ ใจแปล เพ่ือปอ งกัน ความปะปน อนั จะทาํ ใหแ ปลผิดความ. - การจัดปญหาเขาในวรรคแตละวรรค ก็ไมตรงกันเสีย ทีเดียว เชน โคตมิวัตถทานปญหา ในฉบับของพมาจัดเขาใน พุทธวรรค สวนในฉบับของไทยจัดเขาในพวกนอกวรรค เปน วิเสสปญหา เปนตน. ฯลฯ เพราะฉะน้ัน ถาหากวา ไดแปลฉบบั ของพมาแลว กน็ าจะ เปนการเปดโอกาสใหผูอานไดรับอรรถรสตาง ๆ ที่แปลกออกไป ที่ไมมีในฉบับของไทย. ๔. ฉบับของลังกาก็ดี ของประเทศทางยุโรปก็ดี มีสวน เหมือนกับของพมามากกวาของไทย ราวกะเปนฉบับเดียวกันกับ ของพมา เพราะฉะนั้น หากวาเพียงแตไดแปลฉบับของพมา เทานั้น ก็เหมือนกับวาไดแปลฉบับของลังกาเปนตน ทั้งหมดน้ัน ดวย. ๕. การแปลปกรณมิลินทปญหาซึ่งมีฐานะเทียบเทาชั้น พระบาลี เหมอื นอยา งพระไตรปฎก ใหถกู ตอ ง ไดความสมบูรณ ดีนั้น จาํ เปนตองดูคําอธิบายในอรรถกถา. ก็อรรถกถาท่ีอธิบาย ฉบับของไทยไมมี มีแตท่ีอธิบายฉบับของพมา เพราะฉะน้ันก็ จําเปนตอ งแปลฉบบั ของพมา หากวาประสงคค ําอธิบายน้ันดวย. ก็เพราะเหตทุ ี่ท้ัง ๒ ฉบบั น้ีมีขอท่ีแตกตางกันอยูมากมาย หลายประการดังกลา วนัน่ เอง การทจ่ี ะทําหมายเหตเุ ปรยี บเทียบ
ถึงขอแตกตางกันระหวาง ๒ ฉบับน้ีไวในทายหนาหนังสือหนา นั้น ๆ ใหเห็นวาพมาวาอยางนั้น สวนไทยวาอยางน้ีนั้น จึงเปน เรอ่ื งสดุ วิสยั จะกระทําได แมวานา จะทําไวเ หลอื เกนิ เพราะบางที คําพดู ในฉบับของไทยนาฟงกวา ไดเหตุผลกระชบั กวากต็ าม. ปกรณมิลินทปญหาท่ีกระผมแปลจากตนฉบับของพมาน้ี กระผมไดผ นวกคําอธิบายปญ หาเขา กบั ปญ หาแตละปญ หาไวดว ย สาํ หรบั คาํ พดู ในปกรณน ้นั กระผมแปลอยา งรกั ษาศพั ท วาไปตาม ศัพทท ม่ี ี ไมใ ชเ พยี งแตถ อดเอาแตใ จความ ทงั้ นี้ เพ่ืออนเุ คราะห นกั ศึกษาภาษาบาลี ท่ตี อ งการจะนําฉบับแปลเปน ภาษาไทยฉบับ นี้ไปเทยี บกบั ตน ฉบบั ภาษาบาลี (ของพมา น่ันแหละ) ใหส ามารถ ทาํ ไดอ ยา งสะดวก สวนพวกคําอธิบายทัง้ หลาย กระผมแปลโดย เปนการถอดเอาแตใจความมาเรียบเรียงโดยคาํ พูดของตนเปน สาํ คัญ จากอรรถกถาแหง ปกรณนแ้ี หละบาง จากทอ่ี ืน่ บาง แต ก็เทาท่ีเห็นวาจะชวยใหทานผูอานไดเกิดความเขาใจเน้ือความ ปญหานั้น ๆ แจมแจงมากขึ้นเทาน้ัน มิไดยกมาหมดส้ินเชิง ถึงกระน้ัน เมื่อไดผนวกคําอธิบายเขาไปดวยอยางน้ี การท่ีจะ จัดพิมพเปน เลม เดียวจบ จะทาํ ใหห นงั สอื มีความหนามากเกนิ ไป ไมสะดวกแกการจับถือเปดอาน ท้ังจะตองเสียคาใชจายในการ จัดพิมพสูงยิ่ง เพราะฉะนั้น ก็จาํ เปนตองแบงทาํ เปน ๓ เลม. เก่ยี วกบั คําพูดในปกรณอ ่นื ๆ มีพระไตรปฎกเปนตน ท่ไี ด ยกมาอางเปนอักษรตัวดาํ ไวในหนาน้ัน ๆ ท่ีกระผมไดกาํ กับ ตัวเลข แลวระบุถึงที่มาไวบรรทัดลางสุดน้ัน ถาเปนคาํ พูดใน
พระไตรปฎก ก็เปนพระไตรปฎกฉบับภาษาบาลีท่ีไดรับการ สังคายนาคร้ังหลังสุดในประเทศไทย เมื่อป พ.ศ. ๒๕๓๐ ถาเปนคาํ พูดในปกรณอื่น สวนมากเปนฉบับภาษาบาลีของ มหามกุฏราชวิทยาลัย นอกน้ัน ก็ไดระบุไวชัดเจนแลว. ทานทั้งหลาย ความบกพรองผิดพลาดเก่ียวกับคําแปล ก็ดี คาํ อธิบายก็ดี รายช่ือผูบริจาคก็ดี หรือแมเร่ืองอื่น ๆ ก็ดี คงมีอยูเปนแนแท กระผมและทางมูลนิธิฯ ใครกราบขออภัย ทานทั้งหลายดวย ณ โอกาสนี้ และยินดีรับคาํ ทักทวงของทาน เพื่อจะไดนาํ ไปแกไขใหถูกตองในการจัดพิมพคราวตอไป หวัง วาหนังสือเลมนี้จะมีสวนชวยใหทานเกิดความบันเทิงในธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจา เขาถึงคาํ สอนในพระศาสนาไดทาง หน่ึง ไมมากก็นอย. สุดทายน้ี กระผมและทางมลู นธิ ฯิ ขออนุโมทนาในกุศลจติ ของทุกทาน ท่มี สี ว นชวยใหก ารจัดพมิ พหนังสือเลม นี้สําเรจ็ ขอให บุญครั้งน้ีจงมีอานุภาพปกปองทานทั้งหลาย รวมทั้งทานผูอาน ใหเปนผูปลอดพนจากภัยพิบัติเสนียดจัญไรทั้งปวง ประสบแต ความสุข ความสวัสดี เจริญรุงเรืองอยูใตรมเงาพระพุทธศาสนา ตลอดไปชั่วกาลนานแสนนาน เทอญ. ดวยความปรารถนาดีอยางจริงใจ ไชยวัฒน กปลกาญจน
๓๗๗ ร.พ.ราษฎรบูรณะ ถ.ราษฎร- พัฒนา เขตราษฎรบูรณะ กทม. ๑๐๑๔๐ ๑๗ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓ กราบเรยี น ทา นอาจารยปราณี สําเรงิ ราชย เรือ่ ง ขออนญุ าตจัดพมิ พหนังสือมิลนิ ทปญหา เน่ืองจาก ดิฉันเปนศิษยอาจารยวรรณสิทธิ์ ไวทยะเสวี เรยี นพระอภิธรรม ต้งั แต พ.ศ. ๒๕๒๗ ขณะนท้ี าํ หนาทบี่ รรยาย ธรรมะท่ีวิหารลิมปภาภรณ วัดธาตทุ อง เขตวฒั นา ทุก ๒ อาทติ ย ตนเดือน เวลา ๐๘.๓๐ น. – ๑๐.๐๐ น. ขณะนี้ ดฉิ นั บรรยายเรื่อง มลิ นิ ทปญหา เลม ๑ ปญหาที่ ๑๓ สตลิ ักขณปญ หา ซง่ึ เปนท่ี สนใจของนกั ศึกษาดคี ะ (นศ. ท่วี ดั ธาตทุ อง มีประมาณ ๓๐ กวา ทาน). ดิฉันจึงกราบเรียนทานอาจารย เพ่ือขออนุญาตจัดพิมพ จํานวน ๑,๐๐๐ ชุด (๑ ชุดมีเลม ๑-๓) เพอ่ื เปน ธรรมทานในครัง้ นี้ เพราะถอยคําในหนังสือไพเราะ เขาใจงายดียิ่งขึ้นในการเรียน พระอภิธรรม กราบเรียนดวยความเคารพอยางสูง นางนิตยา ปรชี ายุทธ
คาํ อนุโมทนา เรื่องมิลินทปญหาน้ี มีเนื้อหาสาระที่นาศึกษาเปนอยาง ยิ่ง ทานนักปราชญทั้งสองสนทนาโตตอบกัน แตละปญหาลวน เปนเคร่ืองเรืองปญญา นารู นาสนใจ. ขออนโุ มทนากับ คณุ นติ ยา ปรชี ายทุ ธ และผูรว มบริจาค ทกุ ทาน ท่มี จี ิตศรทั ธาอนั ประกอบดว ยปญญา เหน็ คุณคาในการ พมิ พห นังสือเพือ่ เปนธรรมทานในครัง้ นี้ ดวยอานิสงสของกศุ ลนี้ จงสงผลใหค ุณนติ ยา ปรีชายุทธ ผูชวยเหลือจัดทาํ ทานผูบริจาคทรัพย และทานผูอานทุกทาน ไดบรรลุถึงธรรมท่ีสุดแหงทุกขโดยเร็วดวยเถิด. ปราณี สําเริงราชย สาํ นกั วิวัฏฏะ วัดเขาสนามชัย
๓๗๗ ร.พ.ราษฎรบ รู ณะ ถ.ราษฎร- พัฒนา เขตราษฎรบูรณะ กทม. ๑๐๑๔๐ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ กราบเรียน ทา นอาจารยไ ชยวฒั น กปล กาญจน เรอื่ ง ขออนญุ าตจดั พมิ พหนังสือมิลนิ ทปญหา เนื่องจาก ดิฉันเปนศิษยอาจารยวรรณสิทธิ์ ไวทยะเสวี เรยี นพระอภธิ รรม ตั้งแต พ.ศ. ๒๕๒๗ ขณะนที้ าํ หนาทบี่ รรยาย ธรรมะทีว่ ิหารลิมปภาภรณ วัดธาตุทอง เขตวัฒนา ทุก ๒ อาทติ ย ตนเดอื น เวลา ๐๘.๓๐ น. – ๑๐.๐๐ น. ขณะน้ี ดิฉนั บรรยายเรื่อง มลิ นิ ทปญ หา เลม ๑ ปญหาท่ี ๑๓ สตลิ กั ขณปญ หา ซงึ่ เปน ท่ี สนใจของนักศึกษาดคี ะ (นศ. ท่วี ดั ธาตทุ อง มปี ระมาณ ๓๐ กวา ทา น). ดิฉันจึงกราบเรียนทานอาจารย เพื่อขออนุญาตจัดพิมพ จาํ นวน ๑,๐๐๐ ชุด (๑ ชดุ มเี ลม ๑-๓) เพ่อื เปนธรรมทานในครัง้ นี้ เพราะถอยคาํ ในหนังสือไพเราะ เขาใจงายดีย่ิงขึ้นในการเรียน พระอภิธรรม กราบเรียนดว ยความเคารพอยา งสูง นางนิตยา ปรีชายทุ ธ
คาํ อนุโมทนา มิลินทปญหาเปนปกรณที่อาจารยท้ังหลายเล็งเห็นวา สําคัญยิ่ง พระอรรถกถาจารยท้ังหลายผูแตงปกรณอ่ืน มักจะ หยิบยกคําพูดในปกรณนี้มาอางไวในงานเขียนของทานอยูเสมอ ในคราวที่มีการวิจารณหมวดธรรมท่ีมีความลึกซ้ึงนั้น ๆ ขออนโุ มทนากบั คุณนติ ยา ปรีชายุทธ และผูรว มบริจาค ทุกทาน ท่มี ีจติ ศรัทธาอันประกอบดว ยปญญา เห็นคณุ คาในการ พมิ พห นงั สือเพ่อื เปน ธรรมทานในครง้ั นี้ กระผมและทางมูลนิธิฯ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ คุณนิตยา ปรีชายุทธ และผรู ว มบรจิ าคทุกทา น ขอใหบ ุญครัง้ น้ี จงมีอานุภาพปกปองทานท้ังหลาย รวมทั้งทานผูอาน ใหเปนผู ปลอดพนจากภัยพิบัติเสนียดจัญไรท้ังปวง ประสบแตความสุข ความสวัสดีชั่วกาลนาน เทอญ. ดวยความปรารถนาดอี ยางจริงใจ ไชยวฒั น กปลกาญจน
คาํ นิยม ขาพเจามีความปลื้มใจ ปติ และโสมนัส ในการท่ี จะพิมพหนังสือมิลินทปญหา เหมือนกับขาพเจามีความรูสึก ท่ีขาพเจาไดบังเกิดแลวดังน้ี ขาพเจามีบานพักในซอย รามคําแหง ๒๑ ถ.รามคาํ แหง แตถนนซอยน้ีขรุขระ เปน หลุมบอ และลูกกระโดดก็เวา ๆ แหวง ๆ ขาพเจาไดขอให ที่เขตวังทองหลางมาชวยซอมถนน คุณเจาหนาท่ีฝายโยธา บอกวา ซอยนี้เปนซอยเอกชน เม่ือวันท่ี ๗ มกราคม ๒๕๕๔ ขาพเจาไดโทรไปเรียก บริษัทคุณปาเฉลียวมาประเมินราคา ครั้งแรกประเมินมา ๙๒๐,๐๐๐ บาท ขาพเจาบอกปาขับรถมารับหนอย จะช้ีใหดู วาตรงไหนตองทําบาง (ปาอายุ ๘๒) วองไวมาก พอขับรถ มาถึงตรงท่ีจะซอม ปาก็ถือกระปอง Spray สีแดง Spray ตามรอยท่ีขาพเจาไดช้ีบอก ขาพเจาก็มีความสุขใจมากทุกครั้ง ท่ีปา Spray รอยสีแดง ขาพเจาโทรไปถามปาบอกราคามาให ลดเหลือ ๔๖๐,๐๐๐ บาท ขาพเจาบอกใหปามาซอมโดย ปูลาดยางแอสฟลต ต้ังแตวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔, ๑ กุมภาพันธ ๒๕๕๔ เสร็จเรียบรอย ขณะขับรถดูผลงาน ก็มีความเบิกบานใจและยินดียิ่งวา ตอไปน้ีทุกคนที่ขับรถยนต ข่ีจักรยานยนตรับจางท่ีขับผานไปมา และทุกคนที่ซอน รถจักรยานยนตรับจางก็จะปลอดภัยและมีความสุข ทําให ขาพเจามีความสุขอยางย่ิง ไมใชแคน้ัน ลูกชายมาจับไหล
และบอกวา แมทาํ ถูกแลว เพ่ือน ๆ ก็ชื่นชมและขอบใจแม และทุกคร้ังที่มีแขกมากด ออดหนาบาน หรือโทรใหขาพเจา ไปรับเงินชวยบริจาค ขาพเจาก็จะยินดี (โสมนัส) และมี ความสุขทุกครั้ง จนอาจารยหมอ นพ.นพดล จิรสันต จาหนา ซอง (จายเช็คลงทะเบียน) มาใหวา Road Nittaya ขาพเจาก็ไดแตย้ิมดวยความชื่นใจวา มีคนเห็นคุณคา ในการซอมถนนคร้ังน้ี และบอกไดเลยทุกคร้ังท่ีมีเพ่ือนบาน นาํ ปจจัยมาชวย ขาพเจาก็มีความสุขและชื่นใจทุกคร้ัง นับ ถึงวันน้ี รวมจํานวนเงินไดเกือบ ๙๐,๐๐๐ บาทแลว ดวย ความยินดีและโสมนัส ขาพเจาก็เก็บรวบรวมไปทอดผาปา ท่ีมูลนิธิอาจารยแนบ ในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ ๒๕๕๔ น้ี ดวย อันการทาํ กุศลครั้งน้ี สงใหขาพเจามีอารมณสดใส ช่ืนบาน และเกิดไดบอย ๆ คิดวาเหมือนกับท่ีขาพเจาจะ จัดพิมพหนังสือมิลินทปญหา ซึ่งทําเปนธรรมทาน และจะ มีความสุขทุกคร้ังที่อาน และไดสอนในธรรมะบรรยายท่ีวัด ธาตุทอง และเปดอานเอง เพราะเปนหนังสือมีคุณคา และ รูซึ้งมากยิ่งขึ้นจากการที่ไดเรียนพระอภิธรรม ขาพเจาคิดวา จะโนมนาวใหขาพเจามีปญญาท่ีจะปฏิบัติวิปสสนาภาวนาได ดียิ่งข้ึน เพราะสาํ นวนอานงาย ไพเราะ ไดเน้ือความชัดเจนย่ิง เชน พระเจามิลินทตรัสถามวา ลักษณะของวิริยะเปนอยางไร? พระนาคเสนถวายพระพรวา วิริยะมีลักษณะเหมือนไมคํ้ายัน ไมใหสติตกจากปจจุบันได และถามคําถามวา ปญญากับ
โยนิโสมนสิการ เหมือนกันหรือไม? พระนาคเสนถวายพระพร วา โยนิโสเหมือนกับมือซายท่ีกาํ กอขาว (คือใสใจในอารมณ ตรงหนาปจจุบันอารมณ สวนปญญาเหมือนเคียวท่ีตัดตรง ใตขอมือท่ีไดกาํ กอขาวไว และยังมีอีกหลายคาํ ถามท่ีอานแลว ขยายความเขาใจเดิมใหมากยิ่งข้ึนดวย จึงเหมาะกับปญญา ของผูท่ีสนใจใฝรูในพระอภิธรรมและพระไตรปฎก ไดเพิ่ม ความรูใหยิ่งข้ึนดวย สุดทายก็ขอขอบคุณทานอาจารยปราณี สําเริงราชย ทานอาจารยไชยวัฒน กปลกาญจน อาจารยวรรณสิทธ์ิ ไวทยะเสวี อาจารยสุคนธ สุนศิริ โรงพยาบาลราษฎรบูรณะ และพวกเพ่ือน ๆ สหธรรมท่ีไดรวมทาํ หนังสือเลมน้ีดวย ขอ อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย เปนเกราะปองกันและเสริมสง ใหปญญินทรียแกกลา สําหรับทุกทานท่ีปฏิบัติธรรมและ ประพฤติสุจริตทั้ง ๓ ขอใหปกปองคุมครองประเทศไทยจาก คนใจพาล ขอใหพระราชวงศทุกพระองคทรงพระเกษม- สาํ ราญ และทรงพระเจริญย่ิงยืนนาน ขอบูชาพระพุทธเจา พระธรรม พระอริยสงฆไวเหนือเศียรเกลา นางนิตยา ปรีชายุทธ ประธานกรรมการ ร.พ.ราษฎรบูรณะ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔
สารบญั กณั ฑท ่ี ๕ อนุมานปญหา หนา ๑ วรรคท่ี ๑, พทุ ธวรรค ๑ ปญ หาท่ี ๑, ทวินนังพุทธานังอนุปปชชนปญ หา ๑ ปญ หาที่ ๒, โคตมิวตั ถทานปญ หา ๘ ปญ หาที่ ๓, คิหิปพ พชติ สัมมาปฏิปต ตปิ ญหา ๑๘ ปญ หาท่ี ๔, ปฏปิ ทาโทสปญหา ปญ หาที่ ๕, หนี ายาวัตตนปญหา ๒๓ ปญ หาท่ี ๖, อรหนั ตเวทนาเวทิยนปญหา ๒๘ ปญ หาที่ ๗, อภิสมยันตรายกรปญ หา ๔๓ ปญหาที่ ๘, ทสุ สลี ปญหา ๔๘ ปญ หาที่ ๙, อุทกสัตตชีวปญ หา ๕๖ ๖๔ วรรคท่ี ๒, นิปปปญจวรรค ๗๒ ปญหาท่ี ๑, นิปปปญ จปญ หา ๗๒ ปญหาท่ี ๒, ขณี าสวภาวปญหา ๘๐ ปญหาท่ี ๓, ขีณาสวสติสมั โมสปญหา ๘๓ ปญ หาที่ ๔, โลเก นตั ถภิ าวปญหา ๘๙ ปญหาท่ี ๕, อกมั มชาทปิ ญหา ๙๑ ปญหาที่ ๖, กมั มชาทปิ ญหา ๑๐๐ ปญหาที่ ๗, ยักขปญหา ๑๐๒
ปญหาท่ี ๘, อนวเสสสกิ ขาปทปญหา ปญหาท่ี ๙, สูริยตปนปญ หา ปญ หาท่ี ๑๐, กฐินตปนปญ หา หนา ๑๐๓ วรรคที่ ๓, เวสสนั ตรวรรค ๑๐๖ ปญ หาที่ ๑, เวสสนั ตรปญ หา ๑๐๘ ปญหาที่ ๒, ทกุ กรการิกปญ หา ๑๑๐ ปญ หาที่ ๓, กุสลากสุ ลพลวตรปญ หา ๑๑๐ ปญ หาท่ี ๔, ปุพพเปตาทสิ ปญ หา ๑๓๐ ปญหาที่ ๕, สุปน ปญ หา ๑๔๓ ปญ หาที่ ๖, อกาลมรณปญ หา ๑๕๒ ปญหาที่ ๗, เจติยปาฏิหาริยปญหา ๑๖๑ ปญ หาท่ี ๘, ธมั มาภิสมยปญหา ๑๗๑ ปญหาที่ ๙, เอกันตสุขนพิ พานปญหา ๑๘๙ ปญ หาท่ี ๑๐, นพิ พานรปู สณั ฐานปญหา ๑๙๒ ปญหาท่ี ๑๑, นพิ พานสจั ฉกิ รณปญ หา ๑๙๙ ปญ หาท่ี ๑๒, นพิ พานสนั นหิ ิตปญ หา ๒๐๖ ๒๒๒ วรรคท่ี ๔, อนุมานวรรค ๒๓๐ ปญหาที่ ๑, อนุมานปญ หา ๒๓๕ ปญหาที่ ๒, ธตุ ังคปญ หา ๒๓๕ ๒๖๙
หนา ๓๐๗ กณั ฑท่ี ๖ โอปมมกถาปญ หา, มาตกิ า ๓๑๓ ๓๑๓ วรรคที่ ๑, คทั รภวรรค ๓๑๕ ปญ หาที่ ๑, คัทรภังคปญหา ๓๒๓ ปญหาท่ี ๒, กุกกุฏังคปญหา ๓๒๔ ปญหาท่ี ๓, กลนั ทกังคปญ หา ๓๒๗ ปญ หาท่ี ๔, ทปี นยิ ังคปญ หา ๓๓๑ ปญ หาท่ี ๕, ทีปกงั คปญหา ๓๓๖ ปญ หาท่ี ๖, กุมมงั คปญหา ๓๓๘ ปญ หาท่ี ๗, วงั สังคปญหา ๓๔๐ ปญหาที่ ๘, จาปงคปญ หา ๓๔๒ ปญ หาที่ ๙, วายสงั คปญ หา ๓๔๔ ปญหาที่ ๑๐, มักกฏังคปญ หา ๓๔๔ ๓๔๖ วรรคที่ ๒, สมุททวรรค ๓๔๘ ปญหาท่ี ๑, ลาพลุ ตังคปญ หา ๓๕๑ ปญหาท่ี ๒, ปทุมงั คปญหา ๓๕๓ ปญหาท่ี ๓, พีชังคปญหา ๓๕๗ ปญ หาที่ ๔, สาลกลั ยาณกิ ังคปญหา ๓๖๐ ปญ หาที่ ๕, นาวังคปญหา ปญ หาที่ ๖, นาวาลัคคนกังคปญ หา ปญหาที่ ๗, กูปงคปญหา
ปญหาที่ ๘, นยิ ามกงั คปญ หา ปญหาท่ี ๙, กมั มการังคปญหา ปญ หาท่ี ๑๐, สมทุ ทังคปญ หา หนา ๓๖๑ วรรคที่ ๓, ปถวีวรรค ๓๖๔ ปญหาท่ี ๑, ปถวอี งั คปญ หา ๓๖๖ ปญ หาท่ี ๒, อาปงคปญ หา ปญหาที่ ๓, เตชังคปญหา ๓๗๑ ปญ หาท่ี ๔, วายงุ คปญหา ๓๗๑ ปญ หาท่ี ๕, ปพ พตงั คปญ หา ๓๗๔ ปญหาท่ี ๖, อากาสงั คปญ หา ๓๘๐ ปญ หาท่ี ๗, จันทงั คปญหา ๓๘๓ ปญหาที่ ๘, สรู ยิ ังคปญหา ๓๘๖ ปญหาท่ี ๙, สักกังคปญหา ๓๙๒ ปญ หาท่ี ๑๐, จกั กวตั ตงิ คปญหา ๓๙๖ ๔๐๐ วรรคที่ ๔, อปุ จกิ าวรรค ๔๐๓ ปญ หาที่ ๑, อุปจิกังคปญ หา ๔๐๕ ปญ หาท่ี ๒, พฬิ ารงั คปญ หา ๔๑๐ ปญ หาท่ี ๓, อุนทูรงั คปญ หา ๔๑๐ ปญหาท่ี ๔, วจิ ฉิกงั คปญ หา ๔๑๑ ปญหาท่ี ๕, นกลุ ังคปญหา ๔๑๔ ๔๑๖ ๔๑๗
ปญ หาท่ี ๖, ชรสิงคาลังคปญ หา หนา ปญ หาที่ ๗, มิคงั คปญหา ๔๑๘ ปญ หาท่ี ๘, โครูปง คปญ หา ๔๒๒ ปญ หาท่ี ๙, วราหงั คปญหา ๔๒๕ ปญ หาที่ ๑๐, หตั ถงิ คปญ หา ๔๒๘ ๔๓๐ วรรคที่ ๕, สีหวรรค ๔๓๗ ปญ หาที่ ๑, สีหังคปญ หา ๔๓๗ ปญหาท่ี ๒, จกั กวากงั คปญ หา ๔๔๒ ปญหาที่ ๓, เปณาหกิ ังคปญ หา ๔๔๕ ปญหาที่ ๔, ฆรกโปตงั คปญหา ๔๔๗ ปญ หาท่ี ๕, อลุ ูกงั คปญ หา ๔๕๐ ปญหาที่ ๖, สตปตตังคปญ หา ๔๕๓ ปญหาที่ ๗, วัคคุลกิ ังคปญ หา ๔๕๕ ปญ หาที่ ๘, ชลูกังคปญ หา ๔๕๗ ปญหาที่ ๙, สปั ปงคปญหา ๔๕๙ ปญหาท่ี ๑๐, อชครังคปญหา ๔๖๓ ๔๖๖ วรรคท่ี ๖, มกั กฏกวรรค ๔๖๖ ปญ หาท่ี ๑, ปน ถมกั กฏกังคปญหา ๔๖๘ ปญ หาที่ ๒, ถนสั สติ ทารกงั คปญหา ๔๗๐ ปญ หาท่ี ๓, จิตตกธรกุมมังคปญหา
ปญหาที่ ๔, ปวนงั คปญหา ปญหาท่ี ๕, รกุ ขงั คปญ หา ปญ หาที่ ๖, เมฆังคปญหา หนา ปญ หาท่ี ๗, มณิรตนังคปญหา ๔๗๑ ปญหาที่ ๘, มาควิกังคปญหา ๔๗๕ ปญ หาท่ี ๙, พาฬิสกิ งั คปญ หา ๔๗๗ ปญหาที่ ๑๐, ตจั ฉกงั คปญหา ๔๘๐ ๔๘๓ วรรคท่ี ๗, กุมภวรรค ๔๘๖ ปญหาที่ ๑, กมุ ภงั คปญ หา ๔๘๘ ปญ หาท่ี ๒, กาฬายสังคปญ หา ๔๙๒ ปญหาท่ี ๓, ฉตั ตังคปญหา ๔๙๒ ปญหาท่ี ๔, เขตตงั คปญหา ๔๙๓ ปญหาท่ี ๕, อาคทงั คปญ หา ๔๙๖ ปญ หาที่ ๖, โภชนงั คปญหา ๔๙๘ ปญ หาที่ ๗, อิสสาสังคปญ หา ๕๐๐ ๕๐๒ คาํ นคิ มน ๕๐๔ ๕๑๑
วรรคท่ี ๑, พทุ ธวรรค ๑ กัณฑท่ี ๕ - อนมุ านปญหา วรรคท่ี ๑, พุทธวรรค ปญหาท่ี ๑, ทวนิ นงั พุทธานังอนุปปช ชนปญหา พระเจามิลินท : “พระผูมีพระภาคทรงภาสิตความขอน้ีไว วา ‘อฏ านเมตํ ภิกขฺ เว อนวกาโส, ยํ เอกิสฺสา โลกธาตยุ า เทวฺ อรหนฺโต สมฺมาสมฺพทุ ฺธา อปพุ ฺพํ อจรมิ ํ อุปฺปชเฺ ชยยฺ ุ, เนตํ านํ วิชฺชติ๑ - ดูกร ภิกษุท้ังหลาย ขอท่ีพระอรหันต- สัมมาสัมพุทธเจา ๒ พระองค จะพึงบังเกิดในโลกธาตุเดียวกัน พรอมกนั ไมกอ นไมหลงั กัน ใด, ขอนี้ไมใชฐานะ ไมใชโ อกาส, ฐานะ น้ีหามีไดไม’ ดังน้ี. พระคุณเจานาคเสน พระตถาคตแมทุก พระองคเมื่อจะทรงแสดงธรรม ก็ทรงแสดงโพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการ, เม่อื จะตรสั บอกธรรม ก็ตรัสบอกอรยิ สจั ๔, เมอื่ จะ ทรงใหศึกษา ก็ทรงใหศึกษาในสกิ ขา ๓, และเมอ่ื จะทรงอนศุ าสน (พรํ่าสอน) ก็ทรงอนุศาสนในขอปฏิบัติที่เปนไปเพ่ือความไม ประมาท. พระคุณเจานาคเสน ถาหากวาพระตถาคตแมทุก พระองคทรงมีคําเทศนาเปนอยางเดียวกัน มีคาํ บอกกลาวเปน อยางเดียวกัน มีขอท่ีพึงศึกษาเปนอยางเดียวกัน มีคาํ อนุศาสน เปนอยางเดียวกัน ไซร, เพราะเหตุไร พระตถาคต ๒ พระองค จะทรงอบุ ตั ิในขณะเดียวกันมิไดเ ลา . ในโลกนี้ เกดิ ความสวางไสว ๑. ที. ปา. ๑๑/๑๒๘, องฺ. เอกก. ๒๐/๓๗.
๒ กัณฑท ่ี ๕, อนมุ านปญหา แมเพราะพระพุทธเจาองคเดียวทรงอุบัติ. ถาหากวา พระพุทธเจา พระองคท่ี ๒ ก็มีได ไซร, โลกนี้ก็มีอันแตจะเกิดความสวางไสว มีประมาณย่ิงข้ึนไป ดวยแสงสวางแหงพระพุทธเจา ๒ พระองค, อนง่ึ พระตถาคต ๒ พระองค เวลาจะทรงตักเตือนเวไนยสตั ว ก็ จะทรงตักเตอื นไดง า ย (ไมลําบาก) เวลาจะทรงพราํ่ สอน ก็จะทรง พร่ําสอนไดงาย ขอทานจงบอกขาพเจาถึงเหตุผลในขอที่วาน้ัน โดยประการท่ีขาพเจาจะไดหายสงสัย เถิด.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร หมนื่ โลกธาตุ น้ี เปนท่ีรองรับพระพุทธเจาไดเพียงพระองคเดียว, ยอมรองรับ พระคุณของพระตถาคตเจา ไดเ พียงพระองคเ ดยี วเทา น้นั , ถา หาก วาพระพุทธเจาพระองคท่ี ๒ พึงอุบัติไซร, หมื่นโลกธาตุนี้ จะ พึงรองรับไวไมไหว, จะพึงส่ันไหว โอนเอน คลอนแคลน แหลก กระจาย, ไมอ าจถงึ ความทรงตัวอยไู ด. ขอถวายพระพร เปรียบเหมอื นวา เรือลาํ หนึง่ อาจรองรับบรุ ุษ ไดเ พียงคนเดยี ว, เมือ่ มบี ุรุษเพียงคนเดยี วขน้ึ เรือ เรือลํานน้ั จึงจะ เปนเรือท่ีแลนไปในทะเลได, ตอมา มีบุรุษคนที่ ๒ มาถึง เปนผูที่ เสมอเหมือนบุรุษคนแรกนน้ั ดวยอายุ ดวยวรรณะ ดวยวัย ดวย ขนาดความผอมความอวน ดวยอวัยวะใหญนอยทุกสวน, บุรุษ คนท่ี ๒ น้นั ก็ขน้ึ เรอื ลาํ นน้ั , ขอถวายพระพร เรอื ลาํ นน้ั อาจรองรบั บุรุษทง้ั ๒ ไดห รอื หนอ?” พระเจามลิ ินท : “มไิ ดห รอก พระคุณเจา , เรอื ลาํ นน้ั จะพึงส่ัน ไหว โอนเอน คลอนแคลน แหลกกระจาย, ไมอาจถึงความทรง
วรรคท่ี ๑, พุทธวรรค ๓ ตวั อยไู ด, ยอ มจมน้าํ ไป.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ัน หมื่นโลกธาตุน้ี เปนท่ีรองรับพระพุทธเจาไดเพียงพระองค เดียว, ยอมรองรับพระคุณของพระตถาคตเจาไดเพียงพระองค เดียวเทาน้ัน, ถาหากวาพระพุทธเจาพระองคที่ ๒ พึงอุบัติได ไซร, หม่ืนโลกธาตุนี้จะพึงรองรับไวไมไหว, จะพึงส่ันไหว โอน เอน คลอนแคลน แหลกกระจาย, ไมอาจถึงความทรงตัวอยูได. ขอถวายพระพร อีกอยางหน่งึ เปรยี บเหมอื นวา บรุ ุษผูหนง่ึ บริโภคอาหารตราบเทาที่ตองการ ยินดีพอใจเสียจนกระท่ังลน ข้ึนมาถึงคอ, เขาผูอิ่มหนําเต็มท่ี ผูเอาแตเซ่ืองซึมอยูไมขาดระยะ ผูเกิดงอตัวมิได แข็งเหมอื นทอ นไมแลว นัน้ ยงั ขืนบริโภคอาหาร จํานวนเทากันนั้นน่ันแหละอีก, ขอถวายพระพร บุรุษผูนั้นจะ พึงเปนสุขอยูหรือหนอ?” พระเจามิลินท : “หามิได พระคุณเจา, เขาบริโภคอีก คร้ังเทา นน้ั ก็อาจตายได.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัย ก็ฉันน้ันเหมือนกัน หมื่นโลกธาตุน้ี เปนท่ีรองรับพระพุทธเจา ไดเพยี งพระองคเดียว, ยอมรองรับพระคุณของพระตถาคตเจา ไดเพียงพระองคเดียวเทานั้น, ถาหากวาพระพุทธเจาพระองค ท่ี ๒ พึงอุบัติไซร, หม่ืนโลกธาตุนี้จะพึงรองรับไวไมไหว, จะพึง ส่ันไหว โอนเอน คลอนแคลน แหลกกระจาย ไมอาจถึงความ ทรงตัวอยูได”
๔ กัณฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน แผนดินยอม หว่ันไหวเพราะคุณธรรมท่ีหนักย่ิงไดเชียวหรือ?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มีเกวียนอยู ๒ เลม ซึ่ง (แตละเลม) บรรทุกรัตนะเต็มจนถึงทางดานหนา, บุคคล ขนเอารัตนะจากเกวียนเลมหน่ึง ไปเทใสเกวียนอีกเลมหนึ่ง, ขอถวายพระพร เกวียนเลมน้ันอาจรับเอารัตนะแหงเกวียน ทั้ง ๒ เลมไดหรือหนอ?” พระเจา มลิ นิ ท : “มไิ ดห รอก พระคุณเจา, ดุมเกวียนเลม น้ันจะตองแตก, แมซี่กาํ เกวียนก็จะตองหักไป, แมกงลอเกวียน จะตองลมพับ, แมเพลาเกวียนก็จะตองหัก.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร เกวียนยอมพงั ไปเพราะ รัตนะท่ีหนักย่ิงไดเชียวหรือ?” พระเจา มิลนิ ท : “ได พระคุณเจา .” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันนั้นเหมือนกัน แผนดินยอมหวั่นไหว เพราะคุณธรรม ท่ีหนักยง่ิ ได. ขอถวายพระพร อีกนัยหน่ึง เหตุผลท่ีจะวาตอไปนี้ เปนขอท่ีอาตมภาพขอรวมมา เพื่อแสดงพระพลานุภาพของ พระพุทธเจา, ขอพระองคจงสดับเหตุผลที่งดงามย่ิง แมอีก ขอหน่ึง ในบรรดาเหตุผลท้ังหลายเหลาน้ันวา เพราะเหตุใด พระสัมมาสัมพุทธเจา ๒ พระองค จึงทรงอุบัติในขณะ เดียวกันมิได. ขอถวายพระพร ถาหากวา พระสัมมา-
วรรคท่ี ๑, พุทธวรรค ๕ สัมพุทธเจา ๒ พระองคทรงอุบัติในขณะเดียวกันไดแลวไซร, บริษัทของพระพุทธเจาทั้ง ๒ พระองคนั้น ก็จะพึงเกิดการ ทะเลาะวิวาทกันวา ‘พระพุทธเจาของพวกทาน, พระพุทธ- เจาของพวกเรา’ ดังนี้ได, ก็จะพึงเกิดแตกเปน ๒ ฝาย, ขอ ถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บริษัทของอาํ มาตยท่ีมีกาํ ลัง (เทา ๆ กัน) ๒ คน พึงเกิดการทะเลาะวิวาทกันวา ‘อาํ มาตย ของพวกทาน, อํามาตยของพวกเรา’ ดังน้ี ก็จะพึงเกิดแตก เปน ๒ ฝาย ฉันใด ขอถวายพระพร ถาหากวา พระ สัมมาสัมพุทธเจา ๒ พระองค ทรงอุบัติในขณะเดียวกันได ไซร, บริษัทของพระพุทธเจาท้ัง ๒ พระองคนั้น ก็จะพึงเกิด การทะเลาะวิวาทกันวา ‘พระพุทธเจาของพวกทาน, พระ- พุทธเจาของพวกเรา’ ดังน้ี, ก็จะพึงเกิดแตกเปน ๒ ฝาย ฉันนั้น, ขอถวายพระพร น้ีก็จัดวาเปนเหตุผลอีกขอหน่ึง วา เพราะเหตุใด พระสัมมาสัมพุทธเจา ๒ พระองค จึงทรง อุบัติในขณะเดียวกันมิได. ขอถวายพระพร มหาบพิตร ขอพระองคจงสดับเหตุผล ท่ยี ิ่งขึน้ ไป แมอ ีกขอ หนึง่ , ท่ีวา เพราะเหตุใด พระสมั มาสัมพุทธเจา ๒ พระองคจึงทรงอุบัติในขณะเดียวกันมิได, ขอถวายพระพร ถาหากวาพระพุทธเจา ๒ พระองค ทรงอุบัติในขณะเดียวกัน ไดไซร, คําท่ีวา ‘พระพุทธเจาทรงเปนยอดบุคคล’ ดังนี้ ก็ยอม ไมถูกตอง, คําที่วา ‘พระพุทธเจาทรงเปนผูยิ่งใหญที่สุด’ ดังน้ี ก็ยอมไมถูกตอง, คําที่วา ‘พระพุทธเจาทรงเปนผูประเสริฐสุด’
๖ กณั ฑที่ ๕, อนุมานปญหา ดังนี้ ก็ยอมไมถูกตอง, คาํ ที่วา ‘พระพุทธเจาทรงเปนผูวิเศษสุด’ ดังน้ี ก็ยอมไมถูกตอง, คาํ ที่วา ‘พระพุทธเจาทรงเปนผูสูงสุด’ ดังน้ี ก็ยอมไมถูกตอง, คําที่วา ‘พระพุทธเจาทรงเปนผูยอดเย่ียม’ ดังน้ี ก็ยอมไมถูกตอง, คาํ ท่ีวา ‘พระพุทธเจาทรงเปนผูที่หาผู เสมอเหมือนมิได’ ดังนี้ ก็ยอมไมถูกตอง, คําที่วา ‘พระพุทธเจา ทรงเปนผูท่ีเสมอดวยบุรุษผูท่ีหาผูเสมอเหมือนมิได’ ดังนี้ ก็ยอมไมถูกตอง, คําท่ีวา ‘พระพุทธเจาทรงเปนผูท่ีใคร ๆ หาสวน เปรียบมิได’ ดังน้ี ก็ยอมไมถูกตอง, คาํ ที่วา ‘พระพุทธเจา ทรงเปนบุคคลผูหาผูอ่ืนเปรียบเทียบกันมิได’ ดังนี้ ก็ยอมไม ถูกตอง. ขอถวายพระพร เหตุผลที่วา เพราะเหตุใดพระ- สัมมาสัมพุทธเจา ๒ พระองค จึงทรงอุบัติในขณะเดียวกันมิได แมขอนี้ ก็ขอพระองคจงทรงยอมรับตามความเปนจริงเถิด. ขอถวายพระพร ก็แล ขอท่ีวา พระพุทธเจาทรงอุบัติ ไดเพียงพระองคเดียวเทาน้ัน น้ีเปนสภาวะปกติแหงพระผูมี พระภาคพุทธเจาท้ังหลาย, เพราะเหตุไรหรือ ตอบวา เพราะ พระคุณท้ังหลายของพระสัพพัญูพุทธเจาเปนของยิ่งใหญ, ขอถวายพระพร ของท่ีย่ิงใหญ แมอยางอ่ืนในทางโลก ก็ยังมีได เพียงอยางเดียวเทาน้ัน. ขอถวายพระพร แผนดินเปนของ ยิ่งใหญ, แผนดินนั้นก็มีเพียงหน่ึงเทานั้น. ทะเลก็เปนของย่ิงใหญ, ทะเลน้ันก็มีเพียงหน่ึงเทานั้น. พญาเขาสิเนรุก็เปนของย่ิงใหญ, พญาเขาสิเนรุนั้นก็มีเพียงหน่ึงเทานั้น. อากาศก็เปนของยิ่งใหญ, อากาศน้ันก็มีเพียงหน่ึงเทาน้ัน. ทาวสักกะก็ทรงเปนผูย่ิงใหญ,
วรรคท่ี ๑, พทุ ธวรรค ๗ ทาวสักกะน้ันก็มีเพียงหน่ึงเทานั้น. พญามารก็เปนผูยิ่งใหญ, พญามารนั้นก็มีเพียงหนึ่งเทาน้ัน. ทาวมหาพรหมก็ทรงเปนผู ยิ่งใหญ, ทาวมหาพรหมนั้นก็มีเพียงหนึ่งเทาน้ัน. พระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจา กท็ รงเปนผูยง่ิ ใหญ, พระตถาคตอรหันต- สัมมาสัมพุทธเจานั้นก็มีเพียงหน่ึงเทาน้ัน ในโลก. พระตถาคต ทั้งหลายเหลานั้น ทรงอุบัติในสถานท่ีใดได ก็ตาม, (เมื่อพระ ตถาคตพระองคห นึง่ ทรงอุบตั แิ ลว ) ณ สถานทน่ี น้ั ยอมหาโอกาส สาํ หรับพระตถาคตพระองคอ ่นื มไิ ด, ขอถวายพระพร เพราะฉะนนั้ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจาจึงทรงอุบัติในโลกไดเพียง พระองคเ ดียวเทานั้น.” พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบปญหา มีอุปมา มีเหตุผลดีแลว, คนที่หาปญญาละเอียดออนมิได ฟง คําตอบน้ีแลวก็ยังเกิดความพอใจได, จะปวยกลาวไปใยถึงคน ท่ีมีปญญามากเชนขาพเจาเลา. ดีจริง พระคุณเจานาคเสน ขาพเจาขอยอมรับคําตามที่ทานกลาวมาน้ี.” จบทวินนังพุทธานังอนุปปชชนปญหาที่ ๑ คําอธิบายปญหาที่ ๑ ปญ หาเก่ยี วกบั ความไมเกดิ ข้ึนพรอมกันแหง พระพทุ ธเจา ๒ พระองค ชอื่ วา ทวินนงั พุทธานงั อนปุ ปชชนปญ หา. คําวา จะพึงเกิดการทะเลาะววิ าทกันวา ‘พระพทุ ธเจา ของพวกทาน, พระพุทธเจาของพวกเรา’ เปนตน ความวา
๘ กณั ฑท ี่ ๕, อนมุ านปญหา ถาหากมีพระพุทธเจา ๒ พระองค ทรงอุบัติในโลกธาตุนี้พรอม กันคราวเดียวกันไดไซร พุทธบริษัทก็จะแตกเปน ๒ ฝาย เพราะ แตละฝายยึดถือแตละพระองคเปนพระศาสดาของตน เล็งเห็น อยูแตวาศาสดาของตนดีกวาศาสดาของอีกฝายหนึ่ง แลว ประพฤติจาบจวงลวงเกิน เปนเหตุเกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้น. คําวา พระพุทธเจาทรงเปนผูท่ีหาผูเสมอเหมือนมิได คอื พระพุทธเจาทรงเปนผทู ห่ี าผูเสมอเหมือนมิได ดว ยพระรปู กาย สมบัติท่ีมีพระรัศมีแผไปประมาณ ๑ วาจากพระวรกายเปนตน และดวยพระคุณสมบัติ มีพระญาณที่ไมสาธารณะดวยคน ท้ังหลายเปนตน. คาํ วา พระพุทธเจาทรงเปนผูเสมอดวยบุรุษผูท่ีหา ผูเสมอเหมือนมิได ความวา พระพุทธเจาทรงเปนผูที่เสมอ คือ เทาเทียมกันกับบุรุษผูที่หาผูเสมอเหมือนมิได คือพระพุทธเจา ท้ังหลายท่ีทรงอุบัติแลวในอดีต ดวยพระรูปกายสมบัติ และพระ คุณสมบัต.ิ จบคําอธบิ ายปญ หาที่ ๑ ปญ หาที่ ๒, โคตมวิ ัตถทานปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน พระผูมีพระภาค รับส่ังความขอน้ี แกพระมาตุจฉา (นา) มหาปชาบดีโคตมี ผู กาํ ลังถวายผาอาบนา้ํ ฝน วา ‘สํเฆ โคตมิ เทหิ, สํเฆ เต ทินฺเน
วรรคท่ี ๑, พทุ ธวรรค ๙ อหฺเจว ปูชิโต ภวิสฺสามิ สํโฆ จ๑ - ดูกร พระนางโคตรมี ขอพระองคจงถวายในพระสงฆเถิด, เม่ือพระองคไดถวายใน พระสงฆแลว กจ็ กั เปน อนั ไดบูชาอาตมภาพดว ย ไดบชู าพระสงฆ ดวย’, พระคุณเจานาคเสน พระตถาคตทรงเปนบุคคลท่ีไมควร ตระหนกั ไมควรเคารพ ไมท รงเปน ทกั ขิไณยบคุ คลย่งิ กวา พระสงฆ- รัตนะหรือไร, พระตถาคตจึงรับส่ังใหพระมาตุจฉาของพระองค ถวายผา อาบน้าํ ฝนท่พี ระนางทรงยอมสเี อง ปอก (ฝา ย) เอง ระบม เอง ปน เอง ทอเอง ทีก่ าํ ลงั ถวายพระองคอ ยูแกพระสงฆ, พระคุณ เจา นาคเสน ถาหากวา พระตถาคตทรงเปน ผสู งู สง กวา หรอื ยงิ่ กวา หรือวเิ ศษกวาพระสงั ฆรตั นะ, พระตถาคตกจ็ ะตรัสวา ‘เมอ่ื ได ถวายในอาตมภาพ ก็จักมีผลมาก’ ดังนี้ จะไมรับส่ังใหพระ มาตุจฉาถวายผาอาบน้ําฝนท่ีทรงยอมสีเอง ปอก (ฝาย) เอง ระบมเอง แกพระสงฆ, เพราะเหตุที่พระตถาคตไมโปรดให ปรารถนาพระองค ไมโปรดใหอิงอาศัยพระองค พระตถาคตจึง รับสั่งใหพระมาตุจฉาถวายผาอาบนํา้ ผืนน้ันแกพระสงฆเสีย.” พระนาคเสน : “พระผูมีพระภาครับสั่งความขอนี้แกพระ มาตุจฉามหาปชาบดีโคตมี ผูกาํ ลังถวายผาอาบน้าํ ฝนวา ‘ดูกร พระนางโคตมี ขอพระองคจงถวายในพระสงฆเถิด, เมื่อพระองค ไดถวายในพระสงฆแลว ก็จักเปนอันไดบูชาอาตมภาพดวย ไดบชู าพระสงฆดวย’ ดงั นจี้ รงิ . ก็คาํ นน้ั ตรสั ไวเพราะความทท่ี าน ๑. ม. อ.ุ ๑๔/๔๑๕.
๑๐ กณั ฑท ่ี ๕, อนมุ านปญหา ของผูนอมถวายเฉพาะพระองคเปนของมีวิบาก (ผลตอบแทน, อานิสงส) นอ ย ก็หาไม เพราะความทพี่ ระองคม ิใชทักขิไณยบคุ คล ก็หาไม, ขอถวายพระพร พระตถาคตทรงดาํ ริวา ในกาลอนาคต เมื่อเราลวงลับไปแลว พระสงฆจักเปนผูที่ชาวบริษัทกระทําความ ยาํ เกรง ดังน้ี แลวทรงประสงคจะยกยองคุณ (ของพระสงฆ) ท่ีมี อยูจริงนั่นแหละ เพ่ือประโยชนเก้ือกูล เพื่ออนุเคราะห (พระสงฆ เหลานั้น) จึงตรัสอยางน้ีวา ‘ดูกร พระนางโคตมี ขอพระองค ถวายในพระสงฆเถิด, เม่ือพระองคไดถวายในพระสงฆแลว ก็ จักเปนอันไดบูชาอาตมภาพดวย ไดบูชาพระสงฆดวย.’ ขอถวายพระพร เปรียบเหมอื นวา ผูเ ปน บดิ า ขณะทยี่ งั ทรง ชีพอยูน ่นั เทยี ว กก็ ลาวยกยอ งคุณของบุตรซึ่งก็มีอยูจรงิ นั่นแหละ ในพระราชสาํ นักของพระราชา ทา มกลางพวกอาํ มาตย ขา ราชการ กาํ ลังพล นายประตูเมือง นายทหารรกั ษาพระองค และชาวบริษทั ท้ังหลาย ดว ยคิดวา ‘บตุ รของเราไดร ับการแตงตั้งในทีน่ ้แี ลว ตอ ไป ในอนาคตกาล จักเปนผูที่คนท้ังหลายบูชา’ ดังน้ี ฉันใด, พระตถาคตทรงดําริวา ในกาลอนาคต เมื่อเราลวงลบั ไปแลว สงฆ จักเปนผูท่ีชาวบริษัทกระทําความยําเกรง ดังนี้แลว ทรงประสงค จะยกยอ งคณุ (ของพระสงฆ) ท่ีมีอยจู รงิ นน่ั แหละ เพ่ือเกอื้ กลู เพ่ือ อนุเคราะห (พระสงฆเหลาน้ัน) จึงตรัสอยางนี้วา ‘ดูกร พระนาง โคตมี ขอพระองคถวายในพระสงฆเถิด, เม่ือพระองคไดถวายใน พระสงฆแลว ก็จักเปนอันไดบูชาอาตมภาพดวย ไดบูชาพระสงฆ ดวย’ ดังน้ี ฉันนั้นเหมือนกัน.
วรรคท่ี ๑, พทุ ธวรรค ๑๑ ขอถวายพระพร พระสงฆหาช่ือวาเปนผูยิ่งกวา หรือวิเศษ กวาพระตถาคต เพราะเหตุสักวารับสั่งใหถวายผาอาบน้าํ ฝนให เทานั้นไม. ขอถวายพระพร เปรยี บเหมอื นวา ผเู ปนมารดาหรอื บดิ า ยอ มแตงตัวใหบุตร ถูตัวให อาบนา้ํ ให สระผมให, ขอ ถวายพระพร ก็แตวา ผูเปนบุตรชื่อวา เปนผูยิ่งกวาหรือวิเศษ กวาผูเปนมารดาและบิดา เพราะเหตุสักวาเขาแตงตัวให ถูตัว ให อาบนํ้าให สระผมให เทาน้ันหรือหนอ?” พระเจามิลนิ ท : “หามไิ ด พระคุณเจา , พระคณุ เจา สาํ หรับ มารดาและบิดา บุตรเปนผูที่ไมอาจทาํ กิจ (มีการแตงตัวเปนตน) ตามท่ตี นตอ งการได, เพราะฉะนั้น มารดาและบดิ า (พอเห็นวา เปนกาลทีส่ มควรทํากจิ น้ัน ๆ ให) จงึ ตองทาํ กจิ ทั้งหลายให คอื การ แตง ตวั ให การถตู วั ให การอาบนํา้ ให การสระผมให.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน พระสงฆหาชื่อวาเปนผูยิ่งกวา หรือวิเศษกวา พระตถาคต เพราะเหตุสักวารับส่ังใหถวายผาอาบนา้ํ ฝนให เทาน้ันไม ก็แตวา พระตถาคตเม่ือจะทรงทํากิจท่ีพระสงฆไม อาจทาํ ตามที่ตนตองการได จึงโปรดใหพระมาตุจฉาถวายผา อาบนา้ํ ฝนนั้นแกพระสงฆ. ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา บุรุษบาง คนพึงนอ มเกลา ฯ ถวายเครอ่ื งบรรณาการแกพ ระราชา, พระราชา พระราชทานเครอ่ื งบรรณาการน้ันแกคนอ่นื ซ่ึงเปน ขา ราชการบาง กาํ ลังพลบาง เสนาบดีบาง ปุโรหิตบาง. ขอถวายพระพร บุรุษผู
๑๒ กัณฑท ่ี ๕, อนมุ านปญหา (ไดรับเคร่ืองบรรณาการ) น้ัน ชื่อวาเปนผูยิ่งกวา หรือวิเศษกวา พระราชา เพราะเหตสุ กั วา ไดรับเคร่อื งบรรณาการเทาน้ันหรือหนอ?” พระเจามิลินท : “หามิไดพระคุณเจา, พระคุณเจา บุรุษ ผูนั้นเปนผูที่พระราชาทรงชุบเลี้ยง เปนผูที่อาศัยพระราชา เลี้ยงชีพ พระราชาเม่ือทรงดาํ รงอยูในอิสสริยฐานะน้ัน ก็ยอม มีอํานาจพระราชทานเครื่องบรรณาการ (แกคนอื่น) ได.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉนั นั้นเหมอื นกนั พระสงฆ หาชอ่ื วา เปน ผทู ีย่ งิ่ กวา หรือวเิ ศษกวา พระตถาคต เพราะเหตสุ กั วา รับส่งั ใหถ วายผา อาบนาํ้ ฝนใหเ ทา น้ัน ไม, ทวา พระสงฆเปนผูท่ีพระตถาคตทรงชุบเล้ียง เปนผูที่อาศัย พระตถาคตเล้ียงชีพ. พระตถาคตทรงดํารงอยูในฐานะท่ีวาน้ัน ก็ยอม (มีอาํ นาจ) รับสงั่ ใหถวายผาอาบนาํ้ ฝนแกพ ระสงฆได. ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง พระตถาคตทรงมีพระดําริ อยางนี้วา ‘สงฆเปนผูท่ีชาวโลกควรบูชาโดยสภาวะ, เราจักให ชาวโลกบูชาพระสงฆในสาํ นักของเรา’ ดังน้ี แลวก็รับส่ังใหถวาย ผาอาบนาํ้ ฝนแกสงฆ, ขอถวายพระพร พระตถาคตหาตรัส สรรเสริญการบูชาพระองคเ องเทา นน้ั ไม, ทวา บุคคลเหลาใดเปน ผู ควรบูชาในโลก, พระตถาคตจะตรัสสรรเสริญการบูชาแม ตอบุคคลเหลา นั้น. ขอถวายพระพร พระผูมพี ระภาคผูทรงเปน เทพย่งิ เหลา เทพ เม่ือจะทรงยกยองขอปฏิบัติมักนอย ในธรรมปริยายเร่ืองธรรม ทายาท (ธรรมทายาทสตู ร) ในมชั ฌิมนิกาย ซ่ึงเปนแนวทางประเสริฐ
วรรคที่ ๑, พุทธวรรค ๑๓ วา ‘อสุ เยว เม ปุรโิ ม ภิกขฺ ุ ปชุ ฺชตโร จ ปาสํสตโร จ๑ - ภกิ ษุ รูปแรกน่ันแหละจัดวาเปนผูท่ีนาบูชากวา และนาสรรเสริญกวา สําหรับเรา’ ดังนี้ ขอถวายพระพร ในภพท้ังหลาย สัตวผูเปน ทักขิไณยบุคคลไหน ๆ ที่สูงสงกวาหรือยิ่งกวา หรือวิเศษกวา พระตถาคต หามีไม, พระตถาคตน่ันแหละทรงเปนผูสูงสงกวา ย่ิงกวา วิเศษกวา. ขอถวายพระพร มาณวคามิกเทพบุตร ยืนอยูเบื้องพระ พักตรพระผูมีพระภาค ทามกลางเทวดาและมนุษยท้ังหลาย ได ภาสิตความขอนี้ไวใน สังยุตตนิกาย อันประเสริฐ วา :- ‘วิปุโล ราชคหียานํ, คิริ เสฏโ ปวุจฺจติ. เสโต หิมวตํ เสฏโ, อาทิจฺโจ อฆามินํ. สมุทฺโท อุทธีนํ เสฏโ, นกฺขตฺตานฺจ จนฺทิมา สเทวกสฺส โลกสฺส, พุทฺโธ อคฺโค ปวุจฺจติ๒, แปลวา “ภูเขาวิปุละ กลาวไดวาประเสริฐสุดแหงบรรดา ภูเขาในกรุงราชคฤห ภูเขาเสตะ (เกลาสะ) กลาวไดวาประเสริฐสุดแหงบรรดาภูเขาหิมพานต พระอาทิตย กลาวไดวา ประเสริฐสุดแหงบรรดา ดวงดาวที่โคจรไปในอากาศ, มหาสมุทร กลาว ๑. ม. มู. ๑๒/๒๑. ๒. สํ. ส. ๑๕/๙๒.
๑๔ กัณฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา ไดว า ประเสรฐิ สดุ แหง บรรดาแหลง ขงั นาํ้ ทั้งหลาย, และพระจันทรก็กลาวไดวาประเสริฐสุดแหงหมู ดาวนักษัตรท้ังหลาย ฉันใด, พระพุทธเจาก็ กลาวไดวาทรงเปนบุคคลผูเปนยอดในโลกท่ีมี พรอมพรั่งทั้งเทวดา ฉันนั้นเหมือนกัน.’ ดงั น.้ี ขอถวายพระพร ก็คาถาน้ีน้ัน เปนคาถาท่ีมาณวคามิก- เทพบุตรขับไวดี ไมใชขบั ไวไมด,ี กลาวไวดี ไมใชกลา วไวไมดแี ละ พระผูมีพระภาคก็ทรงเห็นชอบ, ขอถวายพระพร แมทานพระ สารีบุตรเถระก็ไดกลาวไวเหมือนกันมิใชหรือ วา :- ‘เอโก มโนปสาโท. สรณคมนมฺชลิปณาโม วา. อุสฺสหเต ตารยตุ, มารพลนิสูทเน พุทฺเธ’ แปลวา ‘ความเล่ือมใสแหง ใจ ก็ดี การถึงวาเปนสรณะ ก็ดี การนอมอัญชลีไป ก็ดี เพียงอยางเดียว ในพระ พุทธเจาผูทรงทาํ ลายกาํ ลังมารได ยอมสามารถ ยังสัตวใหข ามภพกันดารได’ ดงั น.้ี อน่ึง พระผูมีพระภาคผูทรงเปนเทพย่ิงเหลาเทพไดตรัส ไววา ‘เอกปุคฺคโล ภิกฺขเว โลเก อุปฺปชฺชมาโน อุปฺปชฺชติ
วรรคท่ี ๑, พุทธวรรค ๑๕ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ, กตโม เอกปุคคฺโล, ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ฯเปฯ เทวมนุสฺสานํ๑ - ดูกร ภิกษุท้ังหลาย บุคคลผูเปนเอกเมื่อเกิดขึ้นมาในโลก ยอมเกิดขึ้นมาเพื่อเก้ือกูล ชนท้ังหลายเปนอันมาก เพ่ือความสุขของชนทั้งหลายเปนอัน มาก เพื่ออนุเคราะหโลก เพ่ือประโยชน เพ่ือความเกื้อกูล เพ่ือ ความสุข แหงเทวดาและมนุษยท้ังหลาย, บุคคลผูเปนเอกคน ไหนเลา, คือพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา ฯเปฯ แหง เทวดาและมนุษยทั้งหลาย’ ดังน้ี.’ พระเจามิลินท : “ดีจริง พระคุณเจานาคเสน ขาพเจา ขอยอมรับคําตามท่ีทานเฉลยมากระน้ี น้ี” จบโคตรมิวัตถทานปญหาที่ ๒ คําอธิบายปญ หาท่ี ๒ ปญหาเกี่ยวกับการที่พระนางมหาปชาบดีโคตมีถวายผา ช่ือวา โคตมิวัตถทานปญหา. ชื่อวา จักเปนอันไดบูชาอาตมภาพดวย ไดบูชา พระสงฆดวย เพราะมีจาคเจตนา (ความตั้งใจบริจาค) ดวยจิต คิดบูชา เปนไป ๒ คราวใน ๒ บุคคล คือคราวแรกเม่ือต้ังใจจะ ถวายแกพ ระพุทธเจา, คราวที่ ๒ เมอ่ื ตง้ั ใจจะถวายแกพ ระสงฆ. ๑. อง.ฺ เอกก. ๒๐/๒๘.
๑๖ กณั ฑที่ ๕, อนมุ านปญหา คาํ วา ที่พระนางทรงยอมสีเอง เปนตน ความวา พระ นางทรงคัดเลือกชางหญิงที่มีฝมือเปนเลิศในงานศิลปะเกี่ยวกับ ผาไวเปนจํานวนหลายคน เสด็จนาํ ไปสูโรงทอพรอมท้ังเครื่อง อุปกรณมีฝายเปนตน หญิงเหลานั้นทาํ การปอกฝาย ปนฝาย เปนตน ทอเปนผืนผาพรอมท้ังยอมสีตามรับส่ัง เพ่ือเตรียม ถวายพระตถาคต. อธิบายวา ไมใชผาที่มีอยูแลวตามปกติ. คาํ วา เมื่อจะทรงทาํ กิจท่ีพระสงฆไมอาจทาํ ตามท่ี ตอ งการได คือเมอื่ จะทรงแนะนาํ ทายก (ผูถวาย) ใหถ วายปจ จยั แกพระสงฆ อันเปนกิจที่พระสงฆผูมีศีล ผูสําเหนียกในสิกขาบท ทัง้ หลายที่ทรงบญั ญัตไิ ว แมตอ งการทํา ก็ไมอาจทําเพื่อตนเองได. คําวา สงฆเปนผูท่ีควรบูชาโดยสภาวะ คือสงฆเปนผูท่ี ควรบูชา ควรนับถือ ควรยกยองโดยสภาวะคือคุณธรรมท้ังหลาย มศี ีลเปนตน ตามทม่ี ีอยจู รงิ . พระสงฆชื่อวา เปน ผูทีพ่ ระตถาคต ทรงชุบเล้ียง ก็เพราะเหตุวาปจจัย ๔ มีจีวรเปนตนแมไดจาก ทายกมิใชไดจากพระตถาคตก็ตาม ถึงกระน้ัน คนเหลาน้ันถวาย ใหด วยเห็นวา เปน สาวกของพระตถาคต. คาํ วา ในธรรมปริยายเรื่องธรรมทายาท คือในการ แสดงธรรมเรื่องเกี่ยวกับธรรมทายาท (ผูรับมรดกธรรม) ใน ธรรมทายาทสูตร. ก็ในธรรมทายาทสูตรนั้น มีเน้ือความปรากฏอยูตอนหนึ่ง วา :-
วรรคที่ ๑, พทุ ธวรรค ๑๗ ในคราวที่พระตถาคตเสวยพระกระยาหารเสร็จแลว เพียงพอเทาที่ทรงประสงคแลว แตยังมีอาหารเหลือเปนเดนอยู ซ่ึงอาจจะตองเทท้ิงไปเปนธรรมดา ถาหากวาในเวลานั้น เกิดมี ภิกษุ ๒ รูป ผูถูกความออนเพลียเพราะความหิวครอบงาํ เขามา เฝา ทรงอนุญาตใหภิกษุ ๒ รูปนั้น ฉันอาหารที่เหลือเดนน้ันได ภิกษุรูปแรกคิดวา “นี้เปนบิณฑบาตเหลือเดนท่ีจะตองเททิ้งไป เปนธรรมดา ถาหากวาเราไมฉัน พระผูมีพระภาคก็จะทรงเททิ้ง ไปในที่ไมมีของเขียว หรือทรงโปรยลงไปในนํ้าท่ีไมมีสัตว. ก็แต วา พระผูมีพระภาคตรัสไววา ‘ดูกร ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอ จงเปนธรรมทายาทเถิด, อยาเปนอามิสทายาทเลย’, แตวา บิณฑบาตนี้ ก็จัดเปนอามิสอยางหนึ่ง, ถากระไร เราจะไมฉัน บิณฑบาตนี้ จะทําตลอดคืนและวันน้ีใหลวงไป พรอมกับ ความออนเพลียเพราะความหิวนี้แหละ” คิดอยางนี้แลวก็ไมฉัน บิณฑบาตนั้น ทาํ ตลอดคืนและวันน้ันใหลวงไป โดยประการท่ีมี ความออนเพลียเพราะความหิวน้ันน่ันเอง. สวนภิกษุรูปที่ ๒ ฉัน บิณฑบาตน้ัน บรรเทาความหิว ทาํ ตลอดคืนและวันนั้นใหลวง ไป โดยประการที่ไมมีความออนเพลียเพราะความหิว. ในภิกษุ ๒ รูปนั้น พระองคจักตรัสสรรเสริญยกยองภิกษุรูปแรกน่ันเทียว วา ‘ภิกษุรูปแรกน่ันแหละ จัดวาเปนผูท่ีนาบูชากวา และ นาสรรเสริญกวา สําหรับเรา’ ดังน้ี. จบคําอธบิ ายปญ หาที่ ๒
๑๘ กณั ฑท่ี ๕, อนมุ านปญหา ปญ หาท่ี ๓, คหิ ิปพ พชติ สมั มาปฏปิ ต ติปญ หา พระเจามิลินท : “พระคุณเจานาคเสน พระผูมีพระภาค ทรงภาสิตความขอนี้ไว วา :- ‘คิหิโน วาหํ ภิกฺขเว ปพฺพชิตสฺส วา สมฺมาปฏิปตฺตึ วณฺเณมิ ฯเปฯ อาราธโก โหติ ายํ ธมฺมํ กุสลํ๑ - ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราขอกลาวถึงสัมมาปฏิบัติ ของผูเปนคฤหัสถ และของผูเปนบรรพชิต. ดูกร ภิกษุท้ังหลาย ผูเปนคฤหัสถก็ดี ผูเปนบรรพชิตก็ดี ซึ่งเปนผูปฏิบัติชอบ ยอม เปนผูทาํ ญายธรรมที่เปนกุศลใหสําเร็จได เพราะเหตุที่ไดกอ สัมมาปฏิบัติไว’ ดังนี้. พระคุณเจานาคเสน ถาหากวาพวก คฤหัสถครองผาขาว บริโภคกาม ครองที่อยูท่ีแออัดดวยบุตร และภรรยา เสวยจันทนหอมจากแควนกาสี ทัดทรงพวงดอกไม ของหอมเครื่องลูบไล ยินดีทองและเงิน ประดับตางหูและมุน มวยผมแปลก ๆ กัน ก็เปนผูปฏิบัติชอบ ทําญายธรรมที่เปน กุศลใหสําเร็จได, แมผูเปนบรรพชิตครองผากาสาวะ อาศัยกอน ขาวของผูอ่ืน ผูทาํ ใหบริบูรณโดยชอบในกองศีล ๔ ประพฤติ สมาทานสิกขาบท ๑๕๐ ประพฤติในธุดงคคุณ ๑๓ ไมมีเหลือ ก็ช่ือวาเปนผูปฏิบัติชอบ ทาํ ญายธรรมท่ีเปนกุศลใหสาํ เร็จได ไซร. พระคุณเจา (เม่ือเปนเชนนั้น) ในบุคคล ๒ จําพวกน้ัน, ผู เปนคฤหัสถก็ดี ผูเปนบรรพชิตก็ดี จะมีอะไรเปนขอที่แตกตาง กันเลา, การบาํ เพ็ญตบะก็เปนอันวาไรผล, การบวชก็เปนอันวา ๑. องฺ. ทกุ . ๒๐/๘๘.
วรรคที่ ๑, พุทธวรรค ๑๙ หาประโยชนมิได, การรักษาสิกขาบทก็เปนอันวาเปนหมัน, การสมาทานธุดงคก็เปนอันวาเหลวเปลา, ประโยชนอะไรดวย การส่ังสมแตความทุกขยากในความเปนบรรพชิตน้ันเลา, เพราะวามีความสุขสบายน่ันแหละ ก็อาจบรรลุสุขไดมิใช หรือ?” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระผูมี พระภาคทรงภาสิตความขอน้ีไว วา ‘ดูกร ภิกษุท้ังหลาย เราขอ กลาวถึงสัมมาปฏิบัติของผูเปนคฤหัสถและของผูเปนบรรพชิต. ดูกร ภิกษุท้ังหลาย ผูเปนคฤหัสถก็ดี ผูเปนบรรพชิตก็ดี ซ่ึง เปนผูปฏิบัติชอบ ยอมเปนผูทาํ ญายธรรมที่เปนกุศลใหสําเร็จ ได เพราะเหตุท่ีไดกอสัมมาปฏิบัติไว’ ดังน้ีจริง. ขอถวาย พระพร ขอที่วานี้ เปนอยางที่ตรัสมาน้ี บุคคลผูปฏิบัติชอบนั่น เทียว ช่ือวาเปนผูประเสริฐสุด. ขอถวายพระพร แมวาเปน บรรพชิต แตถาคิดวาเราบวชแลว แลวไมปฏิบัติชอบ, เม่ือ เปนเชนน้ัน เขาน้ันก็จัดวาอยูหางไกลจากสมัญญา (วา บรรพชิตน้ัน), อยูหางไกลจากความเปนผูประเสริฐ, จะปวย กลาวไปใยถึงผูเปนคฤหัสถครองผาขาวเลา. ขอถวายพระพร ท้ังคฤหัสถผูปฏิบัติชอบ ก็เปนผูทาํ ญายธรรมที่เปนกุศลให สาํ เร็จได, ทั้งบรรพชิตผูปฏิบัติชอบ ก็เปนผูทาํ ญายธรรมที่ เปนกุศลใหสาํ เร็จได. ขอถวายพระพร ก็แตวา ผูเปนบรรพชิตเทานั้น ยอมเปน อิสระ เปน ใหญแหง สามญั ญผล, ขอถวายพระพร การบวชมีคุณ
๒๐ กณั ฑท ่ี ๕, อนุมานปญหา มากมาย มคี ุณหลายอยา ง มีคณุ หาประมาณมไิ ด, บุคคลไมอ าจ ทําการนบั คณุ ของการบวชได. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุคคลไมอาจใชทรัพย ทําการนบั คาของแกว มณี (ของพระเจา จกั รพรรด)ิ ทีบ่ นั ดาลแตส ่ิง ท่ตี อ งการ วาแกวมณีมคี าเทา น้นั เทาน้ไี ด ฉันใด, ขอถวายพระพร การบวชมคี ณุ มากมาย มคี ุณหลายอยาง มีคณุ หาประมาณมิได, บุคคลไมอาจทาํ การนับคุณของการบวชได ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร บุคคลไมอาจทําการนับลูกคลื่นใน มหาสมุทรได วาในมหาสมุทรมีลูกคลื่นอยูเทานั้นเทาน้ีได ฉันใด, ขอถวายพระพร การบวชมีคุณมากมาย มีคุณหลาย อยาง มีคุณหาประมาณมิได, บุคคลไมอาจทําการนับคุณของ การบวชได ฉันนั้นเหมือนกัน. ขอถวายพระพร กิจท่ีควรทําอยางใดอยางหนึ่ง, กิจ ทั้งหมดน้ัน ยอมสําเร็จไดโดยพลันทีเดียว แกผูเปนบรรพชิต, หาสาํ เร็จไดโดยพลันแกผูเปนคฤหัสถไม. เพราะเหตุไรหรือ, ขอถวายพระพร ผูเปนบรรพชิตเปนผูมักนอย สันโดษ สงัดวิเวก ไมคลุกคลีดวยหมู ปรารภความเพียร ไมมีที่อยู ไมมีบาน มีศีล บริบูรณ มีความประพฤติขูดเกลากิเลส ฉลาดในขอปฏิบัติท่ีเปน องคคุณกําจัดกิเลส, เพราะเหตุน้ัน กิจท่ีพึงทาํ อยางใดอยางหน่ึง มีอยู, กิจท้ังหมดน้ัน ยอมสาํ เร็จไดโดยพลันทีเดียวแกผูเปน บรรพชิต. หาสําเร็จโดยพลันแกผูเปนคฤหัสถไม. ขอถวายพระ พร มหาบพิตร เปรียบเหมือนวา ลูกศรท่ีปราศจากปม ขัดเรียบดี
วรรคท่ี ๑, พุทธวรรค ๒๑ ตรงดี ไมมีสนิม เวลานายขมังธนูยิงไป ก็ยอมไปไดดวยดี ฉันใด, ขอถวายพระพร กิจท่ีพึงทาํ อยางใดอยางหนึ่ง มีอยู, กิจท้ังหมด นั้น ยอมสาํ เร็จไดโดยพลันทีเดียว แกผูเปนบรรพชิต, หาสาํ เร็จ โดยพลันแกผูเปนคฤหัสถไม ฉันน้ันเหมือนกันแล.” พระเจามิลินท : “ดีจริง พระคุณเจานาคเสน ขาพเจาขอ ยอมรับคาํ ตามที่ทานกลาวมานี้.” จบคิหิปพพชติ สมั มาปฏิปต ติปญหาท่ี ๓ คาํ อธิบายปญ หาท่ี ๓ ปญหาเกยี่ วกบั การปฏิบตั ิชอบแหงผเู ปนคฤหัสถแ ละผเู ปน บรรพชิต ชอ่ื วา คหิ ิปพ พชิตสมั มาปฏปิ ตติปญ หา. คําวา ญายธรรมที่เปนกุศล ความวา พระอริยมรรค ท้ังหลาย ทานเรียกวา “ญายธรรม” เพราะเปนธรรมที่ควรรูหรือ ควรแทงตลอด พระอริยมรรคนี้ ช่ือวา เปน กศุ ล กลา วคือวิวฏั ฏ- คามิกุศล (กศุ ลท่เี ปน เหตถุ งึ วิวฏั ฏะคอื พระนพิ พาน, หรอื ทเ่ี ปน ไป เพ่ือคลายวฏั ฏะ) เพราะเหตุนั้นจึงชอื่ วา ญายธรรมทเี่ ปน กศุ ล. คําวา เพราะเหตุท่ีไดกอสัมมาปฏิบัติไว ความวา เพราะเหตุที่ไดกอคือไดส่ังสม ไดเจริญสติปฏฐาน ๔ ซ่ึงช่ือวา สมั มาปฏิบตั ิ (ขอ ปฏิบตั ิชอบ) เพราะเปนขอ ปฏบิ ตั ชิ อบ ในสวน เบ้อื งตน ไว. คําวา ในกองศีล ๔ คือในหมวดศีล ๔ อยางที่เรียกวา “จตุปาริสุทธิศีล” (ศีลบริสุทธ์ิ ๔ อยาง) มีปาติโมกขสังวรศีล เปนตน.
๒๒ กณั ฑท ี่ ๕, อนุมานปญหา คาํ วา ประพฤติสมาทานสิกขาบท ๑๕๐ คือ ประพฤติ ดวยอํานาจความต้ังใจจะถือเอาไวดวยดี ซึ่งสิกขาบทบัญญัติ ๑๕๐ ขอ อนั มาแลว ในปาตโิ มกขอุเทส. คําวา ประพฤติในธุดงคคุณ ๑๓ คอื ประพฤตปิ ฏิบตั ใิ น คุณคือธุดงค ๑๓ อยาง มีปงสุกูลิกังคะ - องคแหงภิกษุผูทรงผา บงั สุกุลเปน ปกตเิ ปนตน. บัณฑติ พงึ ทราบความเกีย่ วกบั ธดุ งคใน ธตุ ังคปญ หาขางหนา เถิด. คําวา เพราะวามีความสุขสบายน่ันแหละ ก็อาจบรรลุ สุขไดมิใชหรือ ความวา เพราะวามีความสุขสบายดวยกามสุข ในเพศฆราวาสน่ันแหละ ก็อาจบรรลุพระนิพพานอันเปนสันติสุข โดยการท่ีสามารถสําเร็จญายธรรมนั้นได มิใชหรือ. อธิบายวา ประโยชนอะไรดวยการบวชที่มีแตความทุกขยากดวยขอวัตร ปฏิบตั ิทีเ่ หลวเปลาเหลานัน้ เลา . คําวา ยอมเปนอิสระ เปนใหญแหงสามัญญผล คือ ยอมเปนผูมีอํานาจ มีความเปนใหญแหงการปฏิบัติเพ่ืออันบรรลุ สามัญญผล (ผลแหงความเปนสมณะ) ๔ ประการ มี โสดาปตติ- ผล เปนตน . ช่ือวา กิจที่พึงทาํ ไดแกกิจมีการสมาทานศีลเปนตน, หรือกิจท่ีพึงทําในอริยสัจ ๔ มีการกาํ หนดรูทุกขเปนตน ซึ่งเปน กิจท่ีเมื่อทาํ ไดบริบูรณแลว ก็เปนเหตุใหสาํ เร็จญายธรรมท่ีเปน กุศล.
วรรคที่ ๑, พทุ ธวรรค ๒๓ คาํ วา ยอมสําเร็จไดโดยพลัน คือยอมสําเร็จไดโดย งา ยดาย. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๓ ปญ หาที่ ๔, ปฏปิ ทาโทสปญ หา พระเจา มิลนิ ท : “พระคณุ เจานาคเสน ตง้ั แตพระโพธิสัตว ไดบาํ เพ็ญทุกกรกริยาแลว, การปรารภความเพียร การทาํ ความ เพียรกาวออกไป (จากความเกียจคราน) การรบกับกิเลส การ กาํ จัดพลมาร การกําหนดอาหาร การบาํ เพ็ญทุกกรกิริยาท่ีเปน เชนน้ี ก็มิไดมีในคราวอ่ืนอีก, เมอ่ื ทรงมคี วามบากบั่นเหน็ ปานฉะน้ี ก็มิทรงไดร บั คุณวิเศษอะไร ๆ จงึ ทรงเลกิ ลมพระทยั ตรัสอยา งน้วี า ‘เราไมบรรลุอุตริมนุสสธรรมซ่ึงเปนความรคู วามเหน็ พเิ ศษของพระ อริยเจา ดวยการบําเพ็ญทุกกรกริยาที่เผ็ดรอนน้ีได, ทางไปสูการ ตรัสรทู างอ่ืนพงึ มหี รือหนอ’ ดังน,ี้ ทรงเบือ่ หนา ยคลายจากทางน้นั แลว ก็ทรงบรรลุพระสัพพัญุตญาณโดยทางอื่น, แตกลับทรง อนศุ าสนช ักชวนสาวกทง้ั หลายดว ยปฏิปทานั้นอกี วา :- ‘อารมฺภถ นิกฺขมถ ยฺุชถ พุทฺธสาสเน ธุนาถ มจฺจุโน เสนํ, นฬาคารํว กฺุชโร๑ พวกเธอจงปรารภความเพียร จงเพียรกาวออก ไป ประกอบในพระพุทธศาสนา จงกาํ จัดกอง ๑. สํ. สคาถ. ๑๕/๒๑๖.
๒๔ กณั ฑที่ ๕, อนมุ านปญหา ทัพแหงพญามัจจุเสีย ดุจชางทําลายเรือนไมออ ฉะนั้น เถิด.’ ดังน้ี. พระคุณเจานาคเสน เพราะเหตุไร พระตถาคตพระองคเอง ทรงเบ่ือหนาย ไมทรงยินดี ปฏิปทาใด, แตกลับทรงอนุศาสน ชักชวนสาวกทง้ั หลายดว ยปฏปิ ทานนั้ เลา.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ปฏิปทา ท้ังในคราวน้ัน ทั้งในคราวน้ีนั้น ก็เปนอันเดียวกันนั่นแหละ พระโพธิสัตวทรงไดบรรลุพระสัพพัญุตญาณเพราะไดปฏิบัติ ปฏิปทานั้นนั่นแหละ ขอถวายพระพร ก็แตวา พระโพธิสัตวทรง กระทําความเพียรเกินไป ทรงหามขาดอาหารโดยสิ้นเชิงจึงเกิด พระทัยออนกําลังไป เพราะมีพระทัยออนกําลังไป จึงไมทรง สามารถบรรลุพระสัพพัญุตญาณได, พระโพธิสัตวนั้นเม่ือ (ทรงหวนกลับมา) เสวยพระกพฬิงการาหารอยางเพียงพอก็ได ทรงบรรลุพระสัพพัญุตญาณตอกาลไมนานเลย ดวยปฏิปทา น้ันนั่นแหละ. ขอถวายพระพร พระตถาคตเจาทุกพระองค ลวน ทรงมีปฏิปทาเพ่ือบรรลุพระสัพพัญุตญาณเปนอยางเดียวกัน นั้นนั่นเทียว. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา สัตวท้ังหลายท้ังปวง ลวนมีอาหารเปน ส่ิงอปุ ถมั ภค้าํ จุน สตั วท ้งั หลายท้ังปวงผอู งิ อาศยั อาหารยอมเสวยสุข ฉันใด, ขอถวายพระพร พระตถาคตเจา ทุกพระองค ลวนทรงมีปฏปิ ทาเพ่อื การบรรลพุ ระสพั พญั ุตญาณ เปนอยางเดียวกันนั้นน่ันเทียว ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร
วรรคที่ ๑, พทุ ธวรรค ๒๕ เหตุท่ีทาํ ใหพระตถาคตไมทรงบรรลุพระสัพพัญุตญาณในสมัย นั้นไดน้ี ไมใชโทษของการปรารภความเพียร ไมใชโทษของการ ทําความเพียรกาวออกไป ไมใชโทษของการรบกับกิเลส, ทวา นี้เปนโทษของการหามขาดอาหาร, ปฏิปทาน้ี เปนอันตองมี ประจําตลอดกาลทุกเมื่อเทียว. ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุรุษคนหน่ึงเดินทาง ไกล วิ่งไปดวยความเร็วย่ิง, เพราะเหตุน้ัน เขาจึงบาดเจ็บบาง งอยเปล้ียเพลียไปบาง สัญจรไปบนพ้ืนแผนดินมิไดอีก. ขอ ถวายพระพร โทษของแผนดินใหญที่เปนเหตุใหบุรุษผูน้ันเปน คนบาดเจ็บมีอยูหรือ?” พระเจามิลินท : “ไมมีหรอก พระคุณเจา, แผนดินใหญ มีเปนประจําตลอดกาลทุกเมื่อพระคุณเจา, แผนดินใหญน้ันจะมี โทษไดแตไหนเลา, เหตุท่ีทาํ ใหบุรุษผูนั้นเปนคนบาดเจ็บไปน้ีคือ โทษของความพยายามนั่นเอง.” พระนาคเสน : “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เหตุท่ีทาํ ใหพระตถาคตไมทรงบรรลุพระ สัพพัญุตญาณในสมัยน้ันไดน้ี ไมใชโทษของการปรารภความ เพียร, ไมใชโทษของการทําความเพียรกาวออกไป, ไมใชโทษ ของการรบกับกิเลส, ทวา นี้เปนโทษของการหามขาดอาหารแล, ปฏิปทานี้ เปนอันตองมีประจําตลอดกาลทุกเมื่อเทียว. ขอถวายพระพร อีกอยางหน่ึง เปรียบเหมือนวา บุรุษคน หน่ึง นุงผาสาฎกเศราหมอง เขาไมใชนาํ้ ซักผาผืนน้ันใหสะอาด,
๒๖ กณั ฑท่ี ๕, อนุมานปญหา ขอท่ีเขาไมใชน้ําซักผาผืนน้ันใหสะอาดน้ี ไมใชโทษของนํา้ , นํ้า มีประจาํ อยูตลอดกาลทุกเมื่อ, ขอนี้เปนโทษของบุรุษผูนั้นเอง เทียวฉันใด ขอถวายพระพร เหตุท่ีทาํ ใหพระตถาคตไมทรง บรรลุพระสัพพัญุตญาณในสมัยนั้นไดน้ี ไมใชโทษของการ ปรารภความเพียร ไมใชโทษของการทาํ ความเพียรกาวออกไป, ไมใชโทษของการรบกับกิเลส ทวา นี้เปนโทษของการหามขาด อาหารแล, ปฏิปทานี้ เปนอันตองมีเปนประจําตลอดกาล ทุกเมื่อฉันน้ันเหมือนกัน, เพราะฉะน้ัน พระตถาคตจึงทรง อนุศาสนสาวกทั้งหลายดวยปฏิปทาน้ันเหมือนกัน. ขอถวาย พระพร ปฏิปทานั้นหาโทษมิได เปนอันตองมีประจาํ ตลอดกาล ทุกเมื่อ อยางน้ีแล.” พระเจามิลินท : “ดีจริง พระคุณเจานาคเสน ขาพเจา ขอยอมรับคาํ ตามท่ีทานกลาวมาน้ี” จบปฏิปทาโทสปญหาที่ ๔ คาํ อธบิ ายปญหาท่ี ๔ ปญ หาเกี่ยวกับโทษแหงปฏิปทา ช่ือวา ปฏิปทาโทสปญ หา. คําวา พวกเธอจงปรารภความเพียร นี้ เปนอันตรัสถึง ความเพียรเริ่มแรก ท่ีเรียกวา “อารัมภธาตุ”, สวนคําวา จงเพยี รกา วออกไป เปน อันตรัสถงึ ความเพียรที่กาวออกไปจาก ความเกียจคราน ครอบงําความเกียจครานไดแลว ที่เรียกวา “นิกกมธาตุ”.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 548
Pages: