Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 2

การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 2

Published by Wipaphorn Tipparach, 2021-03-19 07:03:18

Description: วิภาพร ทิพราช 5911011030001
สาขาศิลปศึกษา

Search

Read the Text Version

บทท่ี 1 บทนา ความสาคัญและความเป็นมาของปัญหา ปัจจบุ นั การสร฾างงานทศั นศลิ ปโ฼ ดยการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ให฾มีความสมบูรณ์น้ัน ผ฾ูสร฾าง ลว฾ นตอ฾ งมที กั ษะในการวาดภาพระบายสี เพ่ือให฾ผลงานออกมาสวยงาม สมบูรณ์แบบ ซ่ึงต฾องอาศัยการ เรียนรู฾อย฽ูเสมอ เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือไม฽ให฾บกพร฽อง การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์จาเป็นต฾องทราบ ลาดับขั้นตอน โดยเร่ิมต฾นจากการเรียนร฾ู หรือสัมผัสกับธรรมชาติและสภาพแวดล฾อม นามาสู฽การสร฾าง ประสบการณ์หรือความชานาญแลว฾ จึงเกิดความคดิ และลงมอื ปฏบิ ตั ิ การพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ต฾องอาศัยท้ังความหลงใหลและความท฽ุมเท ฝกึ ฝนกับการเรยี นร฾อู ยูส฽ ม่าเสมอ โดยต฾องอาศัยบทบาทของครูและบทบาทของนักเรียนร฽วมกัน ซึ่งการ จดั การเรียนรู฾ท่ีเน฾นผ฾ูเรียนเป็นสาคัญนั้น ครูผ฾ูสอนเป็นผู฾ถ฽ายทอดความร฾ูให฾กับผู฾เรียนโดยยึดผ฾ูเรียนเป็น ศูนย์กลาง เพ่ือเน฾นให฾ผ฾ูเรียนมีองค์ความรู฾และพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ให฾มี ประสทิ ธิภาพ การวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์เป็นส่งิ ท่สี าคญั อยา฽ งหนึ่งในด฾านศิลปะ ซึ่งเป็นส่ิงท่ีจะนาไปส฽ูงาน ศลิ ปะด฾านอน่ื ซ่งึ จากการจัดการเรยี นการสอนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 น้ันพบว฽า นักเรียนยัง ขาดทักษะพ้ืนฐานการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ในการสร฾างสรรค์ผลงานศิลปะ มากกว฽าการวาดภาพ ระบายสีไม฾ และการวาดภาพระบายสีประเภทอื่น ซึ่งในการวาดภาพสีโปสเตอร์จะต฾องใช฾ความร฾ู ความ เข฾าใจวิธีการวาดภาพระบายสีอย฽างถูกต฾องตามกระบวนการตามขั้นตอน และจาเป็นต฾องฝึกฝนทักษะ อยา฽ งสม่าเสมอ นอกจากน้ีสอื่ การเรยี นร฾ูและกิจกรรมการจดั การเรียนรู฾เป็นสิ่งท่ีช฽วยให฾การเรียนร฾ูอย฽างมี ประสิทธิภาพ เพราะจะช฽วยให฾ผู฾เรียนเข฾าใจง฽ายขึ้น และสามารถแสดงทักษะการวาดภาพระบาย สโี ปสเตอร์ได฾ด฾วยตนเอง จากสภาพดังกล฽าวผู฾วิจัยต฾องการพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให฾ดีข้ึน จึงได฾ศึกษาเอกสารต฽างๆ พบว฽าการจัดกิจกรรมการเรียนร฾ู รูปแบบ CIPPA เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีเน฾นผ฾ูเรียนเป็นสาคัญและมีลาดับขั้นตอน ซ่ึงมีทั้งหมด 7 ข้นั เป็นการกระตุ฾นให฾ผ฾ูเรียนร฾ูจักคิดทบทวนความร฾ูเดิม แสวงหาความรู฾ด฾วยตนเองอีกท้ังให฾ผ฾ูเรียนมี สว฽ นรว฽ มในการแลกเปล่ียนความรู฾ภายในกล฽ุมและในช้ันเรียน จากนั้นครูผู฾สอนเป็นผู฾จัดระเบียบความรู฾ จดั เตรยี มสื่อการสอนและเปน็ ผ฾สู าธติ ข้นั ตอนการปฏบิ ตั ใิ ห฾แกน฽ กั เรียน เพือ่ ใหผ฾ ฾เู รียนฝึกปฏิบัติแบบย฽อยๆ ได฾ตามขั้นตอน ก฽อนเชื่อมโยงต฽อกันให฾กว฾างขวางข้ึนตามลาดับและสามารถนาความร฾ูเ หล฽าน้ันไป ประยุกต์ใช฾ จะช฽วยให฾ผู฾เรยี นประสบความสาเร็จได฾ดีและรวดเรว็ ข้นึ ด฾วยเหตุผลดังกล฽าวข฾างต฾น ผ฾ูวิจัยรายวิชาทัศนศิลป฼ จึงเล็งเห็นความสาคัญที่จะนาการจัด กิจกรรมการเรยี นร฾แู บบซิปปา (CIPPA) มาประยกุ ต์ใช฾กับแผนการเรียนรู฾ประกอบชุดฝึกทักษะ การวาด ภาพระบายสโี ปสเตอร์ ของนักเรยี นระดับช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรียนวัดมะลิ ให฾ผ฾ูเรียนมีทักษะการ วาดภาพระบายสีโปสเตอร์ท่ีดีขึ้นจากเดิม ซ่ึงเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน฾นผ฾ูเรียนเป็น

ศูนย์กลางและเน฾นให฾ผู฾เรียนร฾ูจักคิดทบทวน ลงมือปฏิบัติ ซ่ึงจะช฽วยให฾ทักษะการวา ดภาพระบายสี โปสเตอร์ ของนักเรยี นระดบั ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 สงู ข้นึ และมีประสทิ ธภิ าพตอ฽ ไป วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย 1. เพอื่ พัฒนาทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 โดยการ จดั กิจกรรมการเรียนรแู฾ บบซปิ ปา 2. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปที ่ี 4 โดยการจัดกิจกรรมการเรยี นร฾ูแบบซปิ ปา ระหวา฽ งกอ฽ นเรยี นและหลงั เรยี น ขอบเขตของการวิจยั ขอบเขตด้านประชากร ประชากรทีใ่ ชใ฾ นการวิจัยครั้งน้ี เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรยี นวัดมะลิ จานวนนักเรยี น 15 คน ตวั แปรทีศ่ ึกษา ตัวแปรตน฾ ไดแ฾ ก฽ การจัดกิจกรรมการเรียนร฾แู บบซปิ ปา ตัวแปรตาม ได฾แก฽ ทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปที ี่ 4 โรงเรียนวัดมะลิ ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการทดลอง ดาเนินการในการทดลองในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 ใช฾เวลาในการทดลองสัปดาห์ละ 1 ชว่ั โมง เป็นระยะเวลา 8 ช่ัวโมง สมมตฐิ านการวจิ ยั นักเรยี นระดบั ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดมะลิ ที่เรียนโดยใช฾การจัดกิจกรรมการเรียนรู฾ แบบซปิ ปา มีทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์หลังเรยี นทสี่ ูงขึน้ กว฽ากอ฽ นเรยี น นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู฾แบบ CIPPA การจัดการเรียนการสอนท่ีเน฾นผู฾เรียนเป็นสาคัญ เป็นรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ท่ีม฽ุงเน฾นให฾นักเรียนศึกษาค฾นคว฾า รวบรวมข฾อมูลด฾วย ตนเองการมีส฽วนร฽วมในการสร฾างความร฾ู การมีปฏิสัมพันธ์กับผ฾ูอ่ืน และการแลกเปล่ียนความร฾ู การได฾ เคลื่อนไหวทางกาย การเรยี นรู฾กระบวนการตา฽ งๆ และการนาความรู฾ไปประยกุ ต์ใช฾ มีขน้ั ตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นร฾แู บบ CIPPA ดังน้ี

ข้ันท่ี 1 การทบทวนความรู฾เดิม - ขนั้ นี้เป็นการดงึ ความรเู฾ ดิมของผเู฾ รียนในเรื่องทจี่ ะเรียน เพือ่ ชว฽ ยให฾ผ฾ูเรียนมีความพร฾อมในการ เชอ่ื มโยงความร฾ใู หม฽กับความรเ฾ู ดิมของตน ซ่ึงผู฾สอนอาจใช฾วิธีการต฽างๆ ได฾อย฽างหลากหลาย เช฽น ผ฾ูสอน อาจใชก฾ ารสนทนาซกั ถามให฾ผเู฾ รยี นเล฽าประสบการณ์เดิม หรือให฾ผู฾เรียนแสดงโครงความร฾ูเดิม (Graphic Organizer) ของตน ขั้นท่ี 2 การแสวงหาความร฾ูใหม฽ - ข้ันนี้เป็นการแสวงหาข฾อมูลความร฾ูใหม฽ของผ฾ูเรียนจากแหล฽งข฾อมูล หรือแหล฽งความร฾ูต฽างๆ ซึ่งผ฾ูสอนอาจจดั เตรียมมาให฾ผ฾ูเรยี นหรือใหค฾ าแนะนาเก่ียวกับแหล฽งข฾อมูลต฽างๆ เพ่ือให฾ผ฾ูเรียนไปแสวงหา ก็ได฾ในขัน้ นีผ้ ฾ูสอนควรแนะนาแหล฽งความร฾ตู า฽ งๆ ให฾แกผ฽ เ฾ู รียนตลอดทงั้ จัดเตรยี มเอกสารสื่อตา฽ งๆ ข้นั ที่ 3 การศึกษาทาความเขา฾ ใจความร฾ใู หม฽ และเชอ่ื มโยงความรใู฾ หม฽กบั ความรเู฾ ดมิ - ขั้นน้ีเป็นขั้นท่ีผ฾ูเรียนศึกษาและทาความเข฾าใจกับข฾อมูล/ความรู฾ที่หามาได฾ ผู฾เรียนสร฾าง ความหมายของข฾อมูล/ประสบการณ์ใหม฽ๆ โดยใช฾กระบวนต฽างๆ ด฾วยตนเอง เช฽น ใช฾กระบวนการคิด กระบวนการกล฽ุมในการอภิปราย และสรุปความเข฾าใจเกี่ยวกับข฾อมูลน้ันๆ ซ่ึงจาเป็นต฾องอาศัยการ เชอ่ื มโยงกบั ความรเ฾ู ดมิ ในข้นั น้ี ผ฾สู อนควรใชก฾ ระบวนการต฽างๆ ในการจัดกิจกรรม เช฽น กระบวนการคิด กระบวนการ กลม฽ุ กระบวนการแสวงหาความรู฾ กระบวนการแก฾ปัญหา กระบวนการสร฾างลักษณะนิสัย กระบวนการ ทกั ษะทางสงั คม ฯลฯ เพ่อื ให฾ผู฾เรยี นสรา฾ งความร฾ูขึ้นมาด฾วยตนเอง ขั้นที่ 4 การแลกเปล่ยี นความรูค฾ วามเขา฾ ใจกบั กล฽มุ - ข้นั นี้เปน็ ขนั้ ท่ผี เ฾ู รียนอาศยั กลมุ฽ เป็นเคร่ืองมือในการตรวจสอบความรวมทั้งขยายความร฾ูความ เขา฾ ใจของตนให฾กว฾างข้ึน ซงึ่ จะชว฽ ยให฾ผู฾เรียนได฾แบ฽งปันความร฾ูความเข฾าใจของตนเองแก฽ผ฾ูอ่ืน และได฾รับ ประโยชน์จากความร฾ู ความเขา฾ ใจของผอ฾ู นื่ ไปพรอ฾ มๆ กนั ขนั้ ที่ 5 การสรปุ และจดั ระเบยี บความร฾ู - ขั้นนี้เป็นข้ันของการสรุปความร฾ูท่ีได฾รับทั้งหมด ท้ังความร฾ูเดิมและความรู฾ใหม฽ และจัดส่ิงที่ เรยี นให฾เป็นระบบระเบียบ เพื่อให฾ผ฾ูเรียนจดจาสิ่งทเ่ี รยี นร฾ูได฾ง฽าย ผ฾ูสอนควรให฾ผ฾ูเรียนสรุปประเด็นสาคัญ ประกอบดว฾ ยมโนทศั นห์ ลัก และมโนทัศน์ย฽อยของความรู฾ทั้งหมด แล฾วนามาเรียบเรียงให฾ได฾สาระสาคัญ ครบถ฾วน ผ฾ูสอนอาจใหผ฾ ูเ฾ รยี นจดเป็นโครงสร฾างความรู฾ จะชว฽ ยให฾จดจาขอ฾ มูลได฾ง฽าย ขน้ั ท่ี 6 การปฏบิ ัติและการแสดงผลงาน - ข้นั นี้จะชว฽ ยใหผ฾ ฾ูเรียนได฾มีโอกาสแสดงผลงานการสร฾างความรู฾ของตนให฾ผ฾ูอ่ืนรับรู฾ เป็นการช฽วย ให฾ผเ฾ู รียนได฾ตอกย้าหรือตรวจสอบความเข฾าใจของตน และช฽วยส฽งเสริมให฾ผ฾ูเรียนใช฾ความคิดสร฾างสรรค์ แต฽หากตอ฾ งมกี ารปฏบิ ัตติ ามขอ฾ มลู ทไ่ี ด฾ ขน้ั นีจ้ ะเป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานท่ีได฾ปฏิบัติด฾วย ใน ข้ันน้ีผ฾ูเรียนสามารถแสดงผลงานด฾วยวิธีการต฽างๆ เช฽น การจัดนิทรรศการ การอภิปราย การแสดง บทบาทสมมติ เรยี งความ วาดภาพ ฯลฯ และอาจจัดใหม฾ กี ารประเมนิ ผลงานโดยมเี กณฑท์ ี่เหมาะสม

ขั้นท่ี 7 การประยกุ ตใ์ ช฾ความร฾ู - ข้ันน้ีเป็นขั้นของการส฽งเสริมให฾ผ฾ูเรียนได฾ฝึกฝนการนาความรู฾ความเข฾าใจของตนไปใช฾ใน สถานการณ์ต฽างๆ ที่หลากหลาย เพ่ิมความชานาญ ความเข฾าใจ ความสามารถในการแก฾ปัญหาและ ความจาในเร่ืองน้ันๆ เป็นการให฾โอกาสผู฾เรียนใช฾ความรู฾ให฾เป็นประโยชน์ เป็นการส฽งเสริมความคิด สรา฾ งสรรค์ ข้ันตอนต้ังแต฽ขั้นท่ี 1 - 6 เป็นกระบวนการของการสร฾างความรู฾ (construc-tion of knowledge) ซ่ึงครูสามารถจัดกิจกรรมให฾ผู฾เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปล่ียนเรียนรู฾กัน (interaction) และฝกึ ฝนทกั ษะกระบวนการต฽างๆ (process learning) อยา฽ งต฽อเนอ่ื ง เน่ืองจากขั้นตอน แต฽ละข้ันตอนช฽วยให฾ผู฾เรียนได฾ทากิจกรรมหลากหลายท่ีมีลักษณะให฾ผู฾เรียนได฾มีการเคล่ือนไหวทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ และทางสังคม อย฽างเหมาะสม 6 ทีคุณสมบัติตามหลักการ CIPPA ส฽วนขั้นตอนที่ 7 เป็นข้ันตอนท่ีช฽วยให฾ผู฾เรียนนาความร฾ูไปใช฾ (application) จึงทาให฾เป็นรูปแบบน้ี มีคณุ สมบัติครบตามหลัก CIPPA 2. พัฒนาทักษะ คือ การฝนประสบการณค์ วามรูเ฾ ดมิ ใหม฾ ปี ระสทิ ธิภาพเพ่มิ ขึน้ โดยการฝึกฝนลง มือปฏบิ ัติ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2552 อธิบายว฽า ทักษะ หมายถึง ความชานาญมา จากคาภาษาอังกฤษวา฽ skill นอกจากน้ี คณะกรรมการจัดทาพจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ร฽วมสมัยยัง ไดข฾ ยายความของคาวา฽ ทกั ษะ (skill) มากขึ้นวา฽ หมายถึง ความชานาญหรือความสามารถในการกระทา หรอื การปฏบิ ตั ิอยา฽ งใดอยา฽ งหนึ่งซ่ึงอาจเป็นทักษะด฾านร฽างกาย สติปัญญา หรือสังคม ท่ีเกิดขึ้นจากการ ฝึกฝนหรอื การกระทาบ฽อยๆ 3. การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ คือ เป็นการระบายสีโปสเตอร์ขั้นพื้นฐาน มีวิธีระบายสีให฾ ผสมกลมกลืนกัน แบ฽งออกเปน็ 2 วิธี ได฾แก฽ ระบายสจี ากสีแกไ฽ ปหาสีอ฽อน และการระบายสีจากสีอ฽อนไป หาสแี ก฽ 3.1 การระบายสีจากสแี ก฽ไปหาสอี ฽อน เป็นการระบายสโี ดยคานึงถึงเงาเข฾มของภาพก฽อนแล฾ว คอ฽ ยลดนา้ หนักใหอ฾ ฽อนจางลงด฾วยการผสมสีขาว หรือ สีใกล฾เคียงในวงจรสีท่ีมีน้าหนักอ฽อนลงตามลาดับ มาผสมเพิ่มเขา฾ ไปทลี ะน฾อยในลักษณะการไล฽นา้ หนกั สี เพอื่ ใหภ฾ าพสว฽างกลมกลนื กนั 3.2 การระบายสีจากสอี อ฽ นไปหาสแี ก฽ เป็นการระบายสีโดยคานงึ ถึงส฽วนสวา฽ งหรอื สว฽ นที่ได฾รับ แสงก฽อน แล฾วจึงค฽อยๆ เพ่ิมน้าหนักให฾เข฾มขึ้นทีล ะน฾อยด฾วยการผสมสีดา หรือ สีตรงข฾าม หรือสีใกล฾เคียงกันในวงจรสีที่มีน้าหนักเข฾มข้ึนตามลาดับในลักษณะการไล฽น้าหนักสี เพ่ือให฾เกิดการ ประสานกลมกลืนกัน 4. สีโปสเตอร์ สีโปสเตอร์ มีคุณสมบัติเป็นสีทึบแสง มีเน้ือสีละเอียดระบายให฾เรียบได฾ง฽ายและ น฽ุมนวลกว฽าสีชนิดอ่ืน การระบายสีสามารถระบายทับซ฾อนกันได฾หลายคร้ังเม่ือต฾องการระบายสีใหม฽ ถ฾าต฾องการระบายเป็นสีเข฾มให฾ใช฾สีแท฾ๆ ผสมกับสีดาแล฾วระบายลงบนพื้นกระดาษ ถ฾าต฾องการระบาย สีอ฽อน ควรใชส฾ ขี าวเปน็ สว฽ นผสมกจ็ ะได฾สที ่ีมีค฽าอ฽อนและนมุ฽ นวลยงิ่ ขึ้น

กรอบแนวคิด การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซปิ ปา ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ขน้ั ท่ี 1 การทบทวนความร฾เู ดมิ ข้ันที่ 2 การแสวงหาความรใ฾ู หม฽ การจัดกิจกรรมการ ทักษะการวาดภาพ ขัน้ ท่ี 3 การศกึ ษาทาความเขา฾ ใจความรใ฾ู หม฽ เรยี นรู฾แบบซิปปา ระบายสีโปสเตอร์ ขน้ั ที่ 4 การแลกเปลย่ี นความรู฾ สาหรบั นักเรียน ขั้นท่ี 5 การสรปุ และจดั ระเบียบความร฾ู ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ขัน้ ที่ 6 การปฏิบัติและการแสดงผลงาน โรงเรียนวดั มะลิ ข้ันที่ 7 การประยุกตใ์ ช฾ความรู฾ ภาพที่ 1 : กรอบแนวคิด ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธ์ิด฾านทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์สูงข้ึน จากการจัดกจิ กรรมการจดั กิจกรรมการเรียนรูแ฾ บบซปิ ปา 2. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ หลงั เรยี นสงู ขน้ึ กวา฽ กอ฽ นเรยี น

บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ียวขอ้ ง การวิจัยเร่ืองการพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนร฾ู แบบซิปปา สาหรบั นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดมะลิ ผู฾ศึกษาค฾นคว฾าได฾ศึกษาเอกสารและ งานวิจยั ท่เี กีย่ วขอ฾ งเรยี งตามลาดบั ขั้นดงั น้ี 1. หลักสูตรการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พธุ ศกั ราช 2551 2. สาระและมาตรฐานการเรยี นร฾กู ลุม฽ สาระการเรยี นร฾ูศลิ ปะ 3. แผนการเรียนรู฾ 4. คุณสมบัติของสีโปสเตอร์ 5. การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ 6. การจดั การเรียนรูแ฾ บบซิปปา (CIPPA) 7. เอกสารและงานวิจยั ที่เกย่ี วขอ฾ ง 1. หลกั สูตรการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุธศักราช 2551 มาตรฐานการเรียนรู฾และตัวช้ีวัดที่กาหนดไว฾ในเอกสารนี้ ช฽วยทาให฾หน฽วยงานท่ีเก่ียวข฾อง ในทุกระดับเห็นผลคาดหวังท่ีต฾องการในการพัฒนาการเรียนรู฾ของผ฾ูเรียนท่ีชัดเจนตลอดแนว ซึ่งจะ สามารถช฽วยให฾หน฽วยงานท่ีเกี่ยวข฾องในระดับท฾องถิ่นและสถานศึกษาร฽วมกันพัฒนาหลักสูตรได฾อย฽าง มั่นใจ ทาให฾การจัดทาหลักสูตรในระดับสถานศึกษามีคุณภาพและมีความเป็นเอกภาพย่ิ งขึ้น อีกท้ัง ยังช฽วยให฾เกิดความชัดเจนเร่ืองการวัดและประเมินผลการเรียนรู฾ และช฽วยแก฾ปัญหาการเทียบโอน ระหวา฽ งสถานศึกษา ดังนั้นในการพัฒนาหลักสูตรในทุกระดับต้ังแต฽ระดับชาติจนกระท่ังถึงสถานศึกษา จะต฾องสะท฾อนคณุ ภาพตามมาตรฐานการเรียนรแ฾ู ละตัวชี้วัดที่กาหนดไว฾ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน รวมทั้งเป็นกรอบทิศทางในการจัดการศึกษาทุกรูปแบบ และครอบคลุมผู฾เรียน ทกุ กล฽ุมเปูาหมายในระดับการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน การจัดหลกั สตู รการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐานจะประสบความสาเร็จตามเปูาหมายที่คาดหวังได฾ ทุกฝุาย ท่ีเก่ียวข฾องท้ังระดับชาติ ชุมชน ครอบครัว และบุคคลต฾องร฽วมรับผิดชอบ โดยร฽วมกันทางานอย฽างเป็น ระบบ และต฽อเนื่อง ในการวางแผน ดาเนินการ ส฽งเสริมสนับสนุน ตรวจสอบ ตลอดจนปรับปรุงแก฾ไข เพือ่ พัฒนาเยาวชนของชาตไิ ปสูค฽ ุณภาพตามมาตรฐานการเรยี นรทู฾ ่ีกาหนดไว฾ วิสยั ทศั น์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน ม฽ุงพัฒนาผู฾เรียนทุกคน ซ่ึงเป็นกาลังของชาติให฾เป็น มนุษย์ที่มีความสมดุลท้ังด฾านร฽างกาย ความรู฾ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็น พลโลก ยดึ ม่นั ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความร฾ู

และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จาเป็นต฽อการศึกษาต฽อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ฽งเน฾นผู฾เรียนเป็นสาคัญบนพื้นฐานความเชื่อว฽าทุกคนสามารถเรียนร฾ูและพัฒนาตนเองได฾เต็มตาม ศักยภาพ หลักการ หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน มีหลกั การท่ีสาคัญ ดงั น้ี 1. เปน็ หลักสตู รการศึกษาเพอ่ื ความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนร฾ู เป็นเปูาหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให฾มีความรู฾ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพ้ืนฐาน ของความเปน็ ไทยควบคกู฽ ับความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได฾รับการศึกษาอย฽างเสมอภาค และมคี ณุ ภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอานาจ ให฾สังคมมีส฽วนร฽วมในการจัดการศึกษา ให฾สอดคลอ฾ งกบั สภาพและความตอ฾ งการของทอ฾ งถิ่น 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร฾างยืดหยุ฽นท้ังด฾านสาระการเรียนร฾ู เวลาและการจัด การเรียนรู฾ 5. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาที่เน฾นผู฾เรียนเป็นสาคญั 6. เป็นหลักสตู รการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุม ทกุ กลุม฽ เปาู หมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรียนรู฾ และประสบการณ์ จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานม฽ุงพัฒนาผู฾เรียนให฾เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต฽อและประกอบอาชีพจึงกาหนดเป็นจุดหมายเพ่ือให฾เกิดกับผู฾เรียนเมื่อจบ การศึกษาข้นั พื้นฐาน ดงั น้ี 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค฽านิยมท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณค฽าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตน ตามหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาที่ตนนบั ถอื ยึดหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 2. มีความร฾ู ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก฾ปัญหา การใช฾เทคโนโลยี และมี ทักษะชีวิต 3. มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจติ ที่ดี มีสุขนสิ ัย และรกั การออกกาลงั กาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดม่ันในวิถีชีวิตและการ ปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข

สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียนและคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ในการพัฒนาผ฾ูเรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานม฽ุงเน฾นพัฒนาผู฾เรียนให฾มี คณุ ภาพตามมาตรฐานทีก่ าหนด ซ่ึงจะช฽วยใหผ฾ เู฾ รยี นเกดิ สมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดงั น้ี สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน ม฽งุ ให฾ผู฾เรยี นเกิดสมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดงั นี้ 1. ความสามารถในการสื่อสารเป็นความสามารถในการรับและส฽งสาร มีวัฒนธรรมในการใช฾ ภาษาถ฽ายทอดความคิด ความรู฾ความเข฾าใจ ความรู฾สึก และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปล่ียนข฾อมูล ข฽าวสารและประสบการณอ์ นั จะเป็นประโยชน์ต฽อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมท้ังการเจรจาต฽อรอง เพ่ือขจัดและลดปัญหาความขัดแย฾งต฽าง ๆ การเลือกรับหรือไม฽รับข฾อมูลข฽าวสารด฾วยหลักเหตุผลและ ความถกู ตอ฾ ง ตลอดจนการเลือกใช฾วิธีการส่ือสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบที่มีต฽อตนเอง และสงั คม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อยา฽ งสรา฾ งสรรค์ การคิดอยา฽ งมวี จิ ารณญาณ และการคดิ เป็นระบบ เพ่ือนาไปส฽ูการสร฾างองค์ความร฾ูหรือ สารสนเทศเพือ่ การตัดสนิ ใจเก่ยี วกับตนเองและสังคมไดอ฾ ยา฽ งเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก฾ปัญหา เป็นความสามารถในการแก฾ปัญหาและอุปสรรคต฽างๆ ท่ีเผชิญได฾อย฽างถูกต฾องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข฾อมูลสารสนเทศ เข฾าใจ ความสัมพนั ธแ์ ละการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต฽างๆ ในสังคม แสวงหาความร฾ู ประยุกต์ความร฾ูมาใช฾ ในการปูองกันและแก฾ไขปัญหา และมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบท่ีเกิดขึ้น ตนเอง สังคมและส่งิ แวดลอ฾ ม 4. ความสามารถในการใช฾ทักษะชีวิตเป็นความสามารถในการนากระบวนการต฽างๆ ไปใช฾ใน การดาเนินชวี ติ ประจาวนั การเรยี นร฾ูดว฾ ยตนเอง การเรียนร฾อู ย฽างตอ฽ เนอื่ ง การทางาน และการอย฽ูร฽วมกัน ในสงั คมดว฾ ยการสรา฾ งเสรมิ ความสมั พนั ธ์อันดีระหว฽างบคุ คล การจดั การปญั หาและความขัดแย฾งต฽างๆ อย฽าง เหมาะสม การปรับตัวให฾ทันกับการเปล่ียนแปลงของสังคมและสภาพแวดล฾อม และการรู฾จักหลีกเลี่ยง พฤติกรรมไม฽พึงประสงค์ทส่ี ฽งผลกระทบตอ฽ ตนเองและผู฾อืน่ 5. ความสามารถในการใช฾เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช฾ เทคโนโลยีด฾านต฽างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด฾านการเรียนรู฾ การส่ือสาร การทางาน การแกป฾ ญั หาอย฽างสรา฾ งสรรค์ ถูกต฾อง เหมาะสม และมคี ณุ ธรรม

คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุง฽ พฒั นาผูเ฾ รยี นใหม฾ ีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให฾ สามารถอยู฽ร฽วมกับผ฾อู ื่นในสงั คมไดอ฾ ยา฽ งมีความสขุ ในฐานะเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2. ซือ่ สัตยส์ ุจริต 3. มีวินยั 4. ใฝเุ รียนร฾ู 5. อยอู฽ ย฽างพอเพียง 6. ม฽ุงมั่นในการทางาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให฾สอดคล฾องตาม บริบทและจุดเน฾นของตนเอง มาตรฐานการเรยี นรู฾ การพัฒนาผ฾ูเรียนให฾เกิดความสมดุล ต฾องคานึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน จึงกาหนดใหผ฾ ู฾เรียนเรียนรู฾ 8 กลมุ฽ สาระการเรียนรู฾ ดังน้ี 1. ภาษาไทย 2. คณติ ศาสตร์ 3. วทิ ยาศาสตร์ 4. สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5. สุขศึกษาและพลศกึ ษา 6. ศลิ ปะ 7. การงานอาชพี และเทคโนโลยี 8. ภาษาตา฽ งประเทศ ในแตล฽ ะกล฽มุ สาระการเรียนรู฾ไดก฾ าหนดมาตรฐานการเรยี นร฾ูเป็นเปูาหมายสาคัญของการพัฒนา คุณภาพผ฾ูเรียน มาตรฐานการเรียนร฾ูระบุส่ิงท่ีผ฾ูเรียนพึงรู฾ ปฏิบัติได฾ มีคุณธรรมจริยธรรม และค฽านิยม ท่ีพึงประสงค์เม่ือจบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน นอกจากน้ันมาตรฐานการเรียนร฾ูยังเป็นกลไกสาคัญ ในการ ขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู฾จะสะท฾อนให฾ทราบว฽าต฾องการอะไร จะสอนอย฽างไร และประเมินอย฽างไร รวมทั้งเป็นเคร่ืองมือในการตรวจสอบเพ่ือการประกันคุณภาพ การศึกษาโดยใช฾ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภ ายนอกซึ่งรวมถึงการ ทดสอบระดับเขตพ้ืนท่ีการศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพ ดังกล฽าวเป็นสิ่งสาคัญที่ช฽วยสะท฾อนภาพการจัดการศึกษาว฽าสามารถพัฒนาผ฾ูเรียนให฾มีคุณภาพตามที่ มาตรฐานการเรยี นร฾กู าหนดเพียงใด

ตัวชี้วดั ตัวช้ีวัดระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรู฾และปฏิบัติได฾ รวมท้ังคุณลักษณะของผ฾ูเรียนในแต฽ละระดับชั้น ซึ่งสะท฾อนถึงมาตรฐานการเรียนร฾ู มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นาไปใช฾ ในการกาหนดเนื้อหา จัดทาหน฽วยการเรียนร฾ู จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สาคัญสาหรับการวัด ประเมินผลเพื่อตรวจสอบคณุ ภาพผูเ฾ รยี น 1. ตัวช้ีวัดช้ันปี เป็นเปูาหมายในการพัฒนาผ฾ูเรียนแต฽ละช้ันปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ (ประถมศึกษาปีที่ 1 – มธั ยมศึกษาปที ่ี 3) 2. ตัวช้ีวัดช฽วงช้ัน เป็นเปูาหมายในการพัฒนาผู฾เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 - 6) 2. สาระและมาตรฐานการเรยี นรกู้ ลุ่มสาระการเรยี นรูศ้ ิลปะ  สาระที่ 1 ทัศนศิลป฼ มาตรฐาน ศ 1.1 : สร฾างสรรค์งานทัศนศิลป฼ตามจินตนาการและความคิดสร฾างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค฽างานทัศนศิลป฼ ถ฽ายทอดความร฾ูสึกความคิดต฽องานศิลปะอย฽างอิสระ ช่ืนชม และ ประยุกต์ใช฾ในชวี ติ ประจาวัน มาตรฐาน ศ 1.2 : เข฾าใจความสัมพันธ์ระหว฽างทัศนศิลป฼ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเห็น คณุ คา฽ งานทศั นศิลปท฼ เี่ ปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาทอ฾ งถน่ิ ภมู ิปญั ญาไทยและสากล  สาระที่ 2 ดนตรี มาตรฐาน ศ 2.1: เข฾าใจและแสดงออกทางดนตรีอย฽างสร฾างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ คุณค฽า ดนตรี ถ฽ายทอดความร฾ูสกึ ความคดิ ต฽อดนตรีอยา฽ งอสิ ระ ชน่ื ชม และประยกุ ตใ์ ช฾ ในชีวติ ประจาวัน มาตรฐาน ศ 2.2 : เข฾าใจความสมั พนั ธร์ ะหว฽างดนตรี ประวตั ิศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค฽า ของดนตรีทเ่ี ปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาทอ฾ งถน่ิ ภูมปิ ญั ญาไทยและสากล  สาระที่ 3 นาฏศลิ ป฼ มาตรฐาน ศ 3.1 : เข฾าใจและแสดงออกทางนาฏศิลป฼อย฽างสร฾างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค฽า ดนตรี ถ฽ายทอดความรู฾สึก ความคิดต฽อดนตรีอย฽างอิสระ ช่ืนชม และประยุกต์ใช฾ใน ชีวติ ประจาวัน มาตรฐาน ศ 3.2 : เข฾าใจความสัมพันธ์ระหว฽างนาฏศิลป฼ ประวัติศาสตร์ และ วฒั นธรรมเห็นคุณคา฽ ของ ดนตรที เ่ี ปน็ มรดกทางวัฒนธรรม ภมู ิปญั ญาทอ฾ งถิน่ ภูมิปญั ญาไทยและสากล 3. แผนการเรียนรู้ สงบ ลักษณะ (2536 : 3) ที่กล฽าวว฽าแผนการสอนหมายถึงการวางแผนจัดกิจกรรมการเรียน การสอนล฽วงหน฾าที่คล฾ายกับการบันท่ีการสอนในสมัยท่ีฝึกกันในสถานฝึกหัดครูโดยมีวัตถุประสงค์

ใหค฾ รผู ส฾ู อนไดอ฾ อกแบบและเตรียมการสอนล฽วงหน฾าให฾เห็นรายละเอยี ดของกจิ กรรมการเรียนการสอนแต฽ ละหัวข฾อย฽อยของเนื้อหาวิชาหรือสาหรับการสอนแต฽ละครั้งและแสดงลักษณะ กระบวนการสอนที่ สร฾างสรรคแ์ ลว฾ ให฾ตรงกบั สภาพแวดลอ฾ มปัญหาความต฾องการและปัจจัยอานวยความสบายของโรงเรียน ครูนักเรียนผู฾ปกครองและชุมชน ปราณี บุญช฽ม (2537 : 25) กล฽าวว฽าแผนการสอนคือแผนการหรือ โครงการทจ่ี ดั ไว฾เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อการปฏิบัติการสอนในวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นการเตรียมการสอน อย฽างมีระบบและเป็นเครื่องมือที่ช฽วยให฾ครูพัฒนาการเรียนการสอนไปส฽ูจุดประสงค์การเรียนร฾ูและ จดุ หมายของหลกั สูตรอยา฽ งมีประสิทธิภาพ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปาง (2553 : 15-17) กล฽าวว฽า นักการ ศกึ ษาได฾ให฾ความหมายของแผนการจดั การเรียนรู฾ไว฾มากมายหลายทัศนะ ดงั นี้ 1. แผนทีจ่ ดั ทาขึน้ เพื่อจัดประสบการณต์ ฽างๆ ให฾กับผ฾ูเรียน ซึ่งจะเป็นตัวบ฽งชี้ว฽าผู฾เรียนได฾เรียนรู฾ อะไร เพอื่ อะไร และอยา฽ งไร 2. ประสบการณ์ท่ีผ฾ูเรียนได฾รับนั้นมีผลทาให฾เกิดพัฒนาการท้ังในด฾านร฽างกาย สังคม ปัญญา และจติ ใจ 3. แผนการจัดการเรียนร฾ูหมายรวมถึงชุดของสิ่งที่ใช฾ในการเรียนการสอน (Set of Materials) จดุ ประสงค์ทีน่ าไปปฏบิ ัติ (Performance Objective) และรวมถึงกจิ กรรมทัง้ ในและนอกหอ฾ งเรียน 4. แผนหรอื แนวทางการจดั การเรียนการสอนตามหลกั สตู รกาหนด 5. แผนหรือโครงการที่จัดทาข้ึนเพื่อพัฒนาผู฾เรียนให฾มีความร฾ูความสามารถ และคุณลักษณะที่ สอดคลอ฾ งกบั ความมุ฽งหมายของการศกึ ษาตามท่ีกาหนดไว฾ การจดั การเรียนการสอนท เน฾นผู฾เรียนเป็นสาคัญจะต฾องมีหลักเกณฑ์ในการเลือกเนื้อหา สาระ หรือความรูต฾ ฽างๆ ซึ่งการเลอื กเนอ้ื หาสาระจะพิจารณาจากประเภทของเนื้อหาสาระ ซึ่งมีหลายระดับดงั นี้ ประเภทของเน้อื หาสาระ 1. ข฾อเท็จจริงและความร฾สู ามัญ (Factual Information and Verbal Knowledge) ซึ่งมีอยู฽ใน หลักสูตรทุกระดบั 2. ความคิดรวบยอดและหลักการ ั (Concept and Principle) เป็นความรู฾ที่ยาก และซับซ฾อน มากกวา฽ ข฾อเทจ็ จริงธรรมดาผเ฾ู รียนจาเป็นตอ฾ งได฾รบั ขอ฾ มลู ที่มากเพียงพอจึงจะเกิดการเรียนได฾ 3. การแก฾ปัญหาและความคิดสร฾างสรรค์ (Problem Solving and Creativity) เป็นเรื่อง กระบวน การคิด ฝึกให฾เกิดความสามารถของสติปัญญาในการแก฾ปัญหาและให฾โอกาสผู฾เรียนได฾ แสดงออกถึงความคิดสรา฾ งสรรคอ์ ย฽างมีเสรีภาพและเหมาะสม 4. เจตคติและค฽านิยม (Attitude and Values) เป็นเน้ือหาสาระที่มีการปลูกฝัง อบรมส่ังสอน ให฾ผูเ฾ รียนมเี จตคติและคา฽ นยิ มทด่ี ี 5. ทักษะทางกาย (Skill) การฝึกฝนเรื่องความชานาญและความคล฽องแคล฽วว฽องไว ในการใช฾ สว฽ นตา฽ งๆ ของกล฾ามเนื้อเพ่ือใหเ฾ กิดทักษะทางกาย

สรุปว฽า ขอ฾ มูลพื้นฐานดา฾ นเน้อื หาสาระมคี วามสาคญั ในการนาผเู฾ รยี นไปส฽ูจดุ หมายปลายทางตาม แผนการจัดการเรียนร฾ูที่วางไว฾นอกจากนี้ในการจัดทาแผนการจัดการเรียนร฾ูครูยังต฾องคานึงถึง องคป์ ระกอบของแผนการจดการเรียนร฾ซู ึ่งทมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต์ (2550 : 11-16) ได฾สรุปไว฾ดงั น้ี องค์ประกอบสาคญั ของแผนการจดั การเรยี นร้มู ี 3 ประการ ไดแ้ ก่ 1. วตั ถปุ ระสงค์การเรียนรู฾หรือจุดประสงค์การเรียนรู฾ (Objective) ควรเขียนเป็นวัตถุประสงค์ เชงิ พฤติกรรม (Behavioral Objective) โดยเนน฾ ให฾ผเู฾ รียนได฾พฒั นาในเร่ืองตอ฽ ไปน้ี 1.1 ความรู฾ (Knowledge : K) 1.2 ทักษะกระบวนการ (Process : P) ทักษะกระบวนการคิดและการปฏิบัติรวมทั้ง การแสดงออก 1.3 เจตคติ (Attitude : A) คอื ความสนใจ พอใจ รวมทงั้ ลกั ษณะนิสัย 2. ประสบการณ์เรยี นรู฾ (Learning Experiences) ในสว฽ นนีป้ ระกอบดว฾ ย ๒ ส฽วน ได฾แก฽ 2.1 เนื้อหาสาระ (Content) ทต่ี ฾องการให฾ผเู฾ รยี นได฾รับ 2.2 กระบวนการจัดการเรียนร฾ู (Process of Learning) เป็นข้ันตอนการจัดการ เรียนรู฾ตั้งแต฽ขั้นนา ขนั้ กจิ กรรม ขั้นสรุป 3. การประเมนิ ผล (Evaluation) เป็นการตีคา฽ ผลการเรียนรู฾ของผู฾เรียนซง่ึ ต฾องใชข฾ ฾อมูลทั้งเชงิ ปรมิ าณ และเชงิ คณุ ภาพจากการประเมินผลการเรยี นรตู฾ ามสภาพจรงิ (Authentic Assessment) หรือการ ประเมนิ ผลการเรยี นรู฾ที่เน฾นผเ฾ู รียนเป็นศนู ย์กลางองค์ประกอบท้ัง 3 ขา฾ งตน฾ ปรากฏในแผนภาพต฽อไปน้ี รูปที่ 1 : แผนภาพองค์ประกอบของแผนการจดั การเรียนรู฾ (พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์, 2550 : 12) 4. คณุ สมบัตขิ องสีโปสเตอร์ อุดร ไชยคา (2546 : 23) กล฽าวว฽า สีโปสเตอร์ (Poster Colors) คืออะไร สีโปสเตอร์คือ สสี ังเคราะหจ์ ากธรรมชาตแิ ละสารเคมตี ามความเหมาะสมของแตล฽ ะตัวสี เพอื่ ใหไ฾ ด฾ผงสีออกมาแล฾วนามา

ผสมกับกาวและผงแปูงสังเคราะห์ตามสูตรเคมีของแต฽ละบริษัทท่ีผลิตออกมา ซึ่งส฽วนผสมและเคมี บางอยา฽ งก็ข้ึนอยู฽กบั บริษัทผู฾ผลติ เปน็ ผกู฾ าหนดเอง ซึ่งส฽วนใหญ฽จะเป็นลบั ทางการค฾า โดยบางตัวอาจผสม สารปรอทหรอื ตะกั่ว เพอื่ ประชาสมั พนั ธภ์ าพของสใี นการยึดเกาะพนื้ ผวิ (ปรอท และตะกั่ว) เปน็ สารมวล หนัก (โลหะ) เวลาสีแห฾งแล฾วจะยึดเกาะพื้นผิวได฾ดี เนื่องจากสีโปสเตอร์เป็นเช้ือน้า น้าอาจไปลดทอน ประสทิ ธภิ าพการยดึ เกาะของกาว ดงั นนั้ จงึ มกี ารเตมิ สารเหล฽านี้เข฾าไปด฾วย วิธีการผลิตและการผสมเน้ือ แปงู ลงไป จงึ ทาใหส฾ โี ปสเตอรม์ คี ุณสมบตั ิ “ทบึ แสง” และอาจเป็นเชือ้ ราไดห฾ ากรกั ษาไมถ฽ ูกวธิ ี ชัยวัฒน์ การร่ืนศรี (2546 : 24) กล฽าวว฽า สีโปสเตอร์ (Poster Colors) เป็นสีที่มีลักษณะ ทึบแสง นิยมบรรจุอย฽ูในขวดแก฾วหรือขวดพลาสติก ใช฾น้าเป็นตัวทาละลาย ข฾อดีของสีโปสเตอร์ก็คือ ระบายสีได฾เรียบ ไม฽เป็นคล่ืนบนกระดาษ แต฽ไม฽ติดแน฽นทนนานนัก สีโปสเตอร์เหมาะสาหรับนักศึกษา ทวั่ ไป นาไปใช฾งานเพราะมรี าคาไม฽แพง และขั้นตอนการระบายสีไมซ฽ บั ซ฾อน ปรีดา ปัญญาจันทร์ และ สุดไผท เมืองไทย (2557 : 29) กล฽าวว฽า สีโปสเตอร์เป็นสีในตระกูล ทึบแสง ข฾อดีของสีโปสเตอร์ คือ สีสันจัดจ฾า ใช฾งานง฽าย ปกติเป็นเทคนิคสาหรับนักเรียน นักศึกษาหรือ มอื สมัครเล฽น แต฽ไม฽ผิดกติกาแต฽อย฽างใดหากมืออาชีพจะนามาใช฾ ข฾อเสียของสีโปสเตอร์คืออายุของภาพ จะสน้ั เพราะเนือ้ สไี ม฽ทนทานเท฽าสีน้ามนั หรือสอี ะครลิ กิ ภาพสีโปสเตอรม์ ักปรากฏในงานทต่ี ฾องการความ ตื่นเต฾น ความจัดจ฾า สนุกสนาน ส฽วนใหญ฽มักใช฾สองลักษณะคือ แบบกราฟิก คือการระบายเรียบ โดยลูกเล฽นจะอยู฽ที่การไล฽ค฽าระดับอ฽อนแก฽ของสีและรูปทรง อีกแบบคือการระบายแบบ Painting เหมอื นสนี า้ มนั - (- : ออนไลน์) สีโปสเตอร์ (POSTER COLOUR) เป็นสีน้าชนิดหน่ึงเนื่องจากมีน้าเป็น ส฽วนผสม นิยมบรรจุในขวดมีเน้ือสีค฽อนข฾างหยาบ และมีคุณลักษณะทึบแสง เพราะเติมแปูงหรือเน้ือ สีขาวลงไปเรียกว฽าสีแปูง (GOUACHE) การระบายสีโปสเตอร์สามารถระบายทับซ฾อนกันได฾หลายคร้ัง และเกลีย่ สีใหผ฾ สมกลมกลืนกนั ได฾ ถา฾ ต฾องการให฾น้าหนักสีอ฽อนจางลงผสมดว฾ ยสีขาว หากต฾องการน้าหนัก สเี ข฾มคลา้ ใชส฾ ดี าหรสื ตี รงข฾ามผสม ข้อควรรู้เกยี่ วกบั สโี ปสเตอร์ Yuijung (2012 : ออนไลน)์ ได฾กลา฽ วข฾อควรรเ฾ู กีย่ วกับสีโปสเตอร์ ดังน้ี 1. เม่อื ซ้ือสีโปสเตอรม์ าใหม฽ ใหเ฾ ปดิ ขวดใชไ฾ ม฾กวนสีในขวดใหท฾ ว่ั จนสเี ป็นเน้อื เดยี วกนั 2. พ฽ูกันสาหรับสีโปสเตอร์ ใช฾ได฾ทั้งชนิดปลายกลมและปลายแบน ควรมีขนที่อ฽อนน฽ุม พ฽ูกันแบบเบอร์เลก็ เชน฽ เบอร์ 4,5,6 ใช฾เกลย่ี ไลใ฽ ห฾สีกลนื ได฾ดีในการวาดแบบมีแสงเงา 3. จานสีที่ใช฾ควรเป็นจานสีท่ีมีหลุมกลมลึก ไม฽ควรใช฾จานสีท่ีเป็นช฽องส่ีเหลี่ยม เพราะเวลาที่กวนสีจะทาให฾สีไม฽เข฾ากันดี เวลาระบายจะทาให฾สีด฽าง จานสีที่มีสีขาวจะช฽วยให฾ผสมสี ไม฽ผิดเพี้ยน

4. การผสมสีโปสเตอร์ควรผสมน้าให฾พอเหมาะ คือ ไม฽ข฾นหรือเหลวเกินไป แล฾วต฾องมี การกวนสีให฾มากๆ ไม฽ว฽าจะใช฾สีใดควรมีสีขาวผสมอยู฽ด฾วย ท่ีกล฽าวมาคือวิธีที่จะทาให฾ระบายสีได฾เรียบ สวยงาม 5. ถ฾าตอ฾ งการระบายสีโปสเตอร์ให฾เกิดแสงเงามีวิธีระบาย คือลงสีอ฽อนก฽อนไปหาสีแก฽ หรือลงสีเข฾มแล฾วไล฽หาสีอ฽อน แต฽วิธีท่ีแนะนาคือให฾สังเกตหาสีกลาง ระบายสีกลางน้ันก฽อนแล฾วจึงไล฽เงา สเี ขม฾ สว฽ นแสงลงดว฾ ยสีออ฽ นเกลี่ยให฾กลนื กนั 6. การใช฾ฟองนา้ แทนพกู฽ นั ใช฾ปลายน้ิวบบี ฟองน้า (สาหรบั ลา฾ งจาน) ใหแ฾ น฽นเล็กจะตาม ต฾องการเช็ดให฾หมาด แล฾วนาไปแตะซ้าๆ กัน บนภาพตามแสงเงาจะได฾ภาพสวยงามไม฽แพ฾พู฽กันกลม (AIR BRUSH) 7. ในงานที่ไม฽พิถีพิถันมากนัก หรือเพื่อความประหยัด ใช฾สีโปสเตอร์ผสมน้าแล฾วไป กรองดว฾ ยผา฾ สกรีนหรอื ผ฾าอ่ืน นาไปใชก฾ ับพก฽ู ันกลมได฾ 8. ถ฾าไมส฽ ามารถเขียนสีโปสเตอร์ให฾มีกรอบที่คมชัดได฾ ก็ใช฾เคร่ืองทุนแรงช฽วย เช฽นใส฽สี ในปากกาตีเส฾นปรับขนาดเส฾นตามต฾องการ หรือใช฾กระดาษกาวสาหรับกันสี หาซ้ือได฾จากร฾านเคร่ือง ก฽อสร฾างนามากันส฽วนที่ไม฽ต฾องการ หรือ กันสีด฾วยแผ฽นฟิล์มที่ใช฾สาหรับงานพู฽กันกลมก็ได฾แต฽ราคาแพง หนอ฽ ย ทางทีด่ ีนกั เรยี นนักศกึ ษาควรฝกึ ใชฝ฾ มี อื จะดีท่ีสดุ 9. สีโปสเตอร์ผสมกบั ปนู พลาสเตอร์ แล฾วใชเ฾ กรยี งเพนท์บนวัสดุต฽างๆ เมื่อแข็งตัวจะได฾ งานท่นี นู สวยงามไมแ฽ พส฾ ีนา้ มัน เปน็ ทีร่ ะลึกได฾ 10. ถา฾ จะประหยัด ใช฾สีโปสเตอร์ระบายหรือตกแต฽งวัสดุต฽างๆ เช฽น กระเบ้ืองไม฾ ฯลฯ กส็ ามารถทาได฾ เสรจ็ แลว฾ ใชแ฾ ลคเกอรส์ เปยพ์ น฽ ทบั เสียเพอ่ี ความทนทาน 11. สโี ปสเตอร์น้ันทบึ แสง การเขียนภาพแล฾วใช฾สีโปสเตอร์สีขาว ระบายตกแต฽งส฽วนท่ี เป็นแสงจดั หรอื ส฽วนทีเ่ ป็นแสงสะท฾อนได฾อย฽างดี แต฽อย฽าใช฾ในงานสีน้าแนวจิตรกรรม ส฽วนงานออกแบบ ไมว฽ ฽าเป็นสีอะไรก็ทับได฾ 5. การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ข้ันตอนการวาดภาพสีโปสเตอร์ อุดร ไชยคา (2546 : 104) กล฽าวว฽า การลงสีโปสเตอร์แบบบางๆ เน฾นคุณสมบัติแบบเดียวกับ สีน้าไม฽ผสมขาวมากนัก ค฽อยๆ เก็บรายละเอียดอย฽างประณีตไปเรื่อยๆ เป็นเทคนิคท่ีใช฾ฝีมือและความ ประณีตชานาญส฽วนตวั และคุณสมบัติการลงแบบสีน้าของสีโปสเตอร์ อุดร ไชยคา ได฾สาธิตเทคนิคการเขียนต฾นไท฾ในปุาดิบช้ืน โดย อุดร ไชยคา (2546 : 114-117) อธบิ ายภาพสาธิตเทคนิคการเขียนต฾นไท฾ในปุาดิบชื้น เป็นการเขียนภาพโดยเทคนิคที่ลวงตาเหมือนการ เขียนมากแต฽แท฾จริงแลว฾ เป็นเทคนคิ ซะสว฽ นใหญ฽

ข้ันตอนการวาด 1. รา฽ งภาพโดยวางแสงเงาใหถ฾ ูกต฾อง กนั ส฽วนของแสงและเงาไว฾ 2. ใชน฾ ้าสะอาดลบู ลงไปด฾วยพูก฽ นั ในบริเวณของต฾นไมร฾ ะยะไกล ก฽อนลงสีในขั้นแรก ลงสีตามมา ด฾วนสีเขียวก฽อนเว฾นบริเวณสว฽างสุดไว฾ แทรกสีส฾มและสีน้าตาลเข฾ม Burnt sienna ทาเป็นต฾นไม฾ ระยะไกล นาสีขาวมาแตง฽ แต฾มในบรเิ วณท่แี สงสว฽างลอดผ฽าน 3. ลงสบี ริเวณลาตวั ตน฾ ไมด฾ ฾วยสีพ้ืนและกันแสงเงานา้ หนักเขม฾ แบบคร฽าวๆ ไว฾ 4. ลงสเี ขียวแบบเคลือบบางๆ (ผสมนา้ มาก) จากนั้นจึงใช฾สนี ้าเงินมาค฽อยๆ ปูายแต฾มลงไปอย฽าง ระมัดระวัง ด฾วยพ฽ูกันขนเสียที่แข็งกระด฾าง ไม฽สามารถนามาใช฾ระบายหรือเกลี่ยได฾อีก สร฾างน้าหนักท่ี แตกตา฽ งของกล฽มุ ต฾นไมร฾ ะยะดว฾ ยสีดาบางๆ 5. ผสมนา้ หนักเขียวเข฾ม ใช฾เทคนิคพู฽กันขนเสียหรือใช฾การไม฽ได฾มาลงให฾ท่ัวภาพ ไม฽ควรไปทับสี เดิมจนหมด เหลือไว฾เป็นช฽องหรือรอยเล็กๆ เพ่ือความกลมกลืน เก็บรายละเอียดของพ้ืนผิวไม฾ใน ซอกหลบื 6. เก็บรายละเอยี ดของใบไมเ฾ ล็กๆ ทปี่ กคลุมดว฾ ยพ฽ูกนั เบอร์เลก็ เก็บรายละเอียดของพ้ืนผิวไม฾ใน ซอกหลบื อกี ทีเพ่ือสรา฾ งความกลมกลนื ย่งิ ข้นึ 7. ลงสขี าวของก่ิงไม฾ระยะหน฾าและเร่มิ วางสกี ลางของใบไมเ฾ ล็กๆ ทขี่ ึ้นรออบต฾นไม฾ 8. เก็บรายละเอียดแสงเงาให฾ถกู ต฾องและสมบูรณใ์ นส฽วนตา฽ งๆ ให฾เรยี บรอ฾ ย จงุ ชาวไร฽ (2020 : ออนไลน์) ไดก฾ ล฽าวขน้ั ตอนการวาดภาพสีโปสเตอร์ 4 ขั้นตอนงา฽ ยๆ ดังนี้ ขั้นตอนท่ี 1 : การร฽างภาพ ในการวาดภาพบนกระดาษแข็ง อย฽างกระดาษชาร์ทท่ีมี ขนาดใหญน฽ ัน้ การรา฽ งถอื วา฽ เป็นขั้นตอนท่ีสาคัญมากเพราะเราต฾องร฽างอย฽างละเอียดจะร฽างแบบคร฽าวๆ ไม฽ได฾ เพราะการใช฾สีโปสเตอร์ บนกระดาษนั้นมันมีความลื่น และสีแห฾งเร็ว เม่ือเรากดแปรงพ฽ูกันลงไป ระบาย หากไม฽ไดร฾ ฽างอยา฽ งละเอยี ดแลว฾ อาจทาใหร฾ ะบายสีพลาดได฾ ฉะน้ันจึงจาเปน็ ที่จะต฾อง วางหรือจัด องค์ประกอบภาพใหด฾ แี ละรา฽ งภาพใหช฾ ดั เจน

รูปท่ี 5 : ขน้ั ตอนท่ี 1 : การรา฽ งภาพ ขน้ั ตอนที่ 2 : การวางสี ในขัน้ ตอนนี้ตอ฾ งใชแ฾ ปรงหรือพูก฽ นั ที่เหมาะสม กบั ลายเส฾นที่เรา รา฽ งไว฾ การวางสีนั้นต฾องผสมสีไว฾ก฽อน เพราะสีโปสเตอร์เป็นสีทึบไม฽โปรงแสงเหมือนกับสีน้า ทาให฾เวลา ระบายจะทบั กับเสน฾ ท่ีเรารา฽ งไว฾ ขน้ั ตอนนี้ตอ฾ งอาศยั ความประณีต ใจเย็น ค฽อยๆ ระบายตามแบบที่ร฽าง และที่สาคัญ ควรวางสีโทนของภาพที่เราต฾องการก฽อน ว฽าจะให฾ออกมาเป็นโทนไหน เพ่ือง฽ายต฽อการลง แสงและเงา รปู ที่ 6 : ขนั้ ตอนท่ี 2 : การวางสี ข้ันตอนที่ 3 : การลงแสงเงา มาถึงคร่ึงทางแล฾ว ข้ันตอนนี้ต฽อเน่ืองมาจากการวางสี หลังจากวางสีครบท้ังภาพแล฾ว เป็นการลงแสงและเงาของภาพหากทาขั้นตอนก฽อนหน฾าน้ีได฾สมบูรณ์

ข้นั ตอนนีก้ ถ็ อื ว฽าไมย฽ ากอะไร สาหรบั แสงเงาท่ีเราจะระบายน้ันก็เช฽นกัน ควรจะผสมสีไว฾ก฽อน แล฾วนาสีที่ ไดม฾ าระบายและเกลยี่ ตามจดุ ที่เป็นแสงและเงา สาหรับส฽วนที่เป็นเงานั้นควรใช฾สีเข฾มที่เกิดจากการผสม ระหว฽างสีอ่ืนๆ ไม฽ควรใช฾สีดาสีเดียว เพราะจะทาให฾ภาพน้ันดูไม฽เป็นธรรมชาติ ส฽วนท่ีเป็นแสงก็เช฽นกัน ควรใชส฾ ีสวา฽ งจากการไลค฽ า฽ สอี อ฽ นๆ โดยไม฽ควรใชแ฾ ค฽สีขาวสเี ดยี วเพ่ือความกลมกลนื ของตวั งาน รูปที่ 7 : ขนั้ ตอนท่ี 3 : การลงแสงเงา ข้นั ตอนท่ี 4 : การเก็บรายละเอียด โดยทั่วไปของการสร฾างงานศิลปะไม฽ว฽าจะเป็นวาด หรือ งานป้นั ขนั้ ตอนท่ีจะทาให฾งานนัน้ ออกมาสวยงามและสมบูรณ์ กค็ ือการเกบ็ รายละเอยี ดของงาน ใน สว฽ นการวาดภาพสีโปสเตอร์น้ี การเก็บรายละเอียดคอ฽ นขา฾ งยาก เพราะสีแห฾งเร็วไม฽สามารถเกล่ียได฾มาก นัก หากวางสีและแสงเงาก฽อนหน฾าน้ีไม฽ดีอาจทาให฾เก็บรายละเอียด เรื่องความกลมกลืนของสียากข้ึน สาหรบั รายละเอียดโดยทว่ั ไปของภาพ อาจต฾องใชพ฾ ูก฽ ันแตล฽ ะขนาด ท่ีแต฽งต฽างกัน เพื่อความละเอียดของ งาน การเน฾นสี แสงและเงา ควรใช฾สที ผ่ี สมเช฽นกัน สดุ ทา฾ ยรายละเอยี ดทคี่ วรคานึงถึงคือ ส฽วนไหนควรตัด หรือส฽วนไหนควรเพ่ิม เพราะตอนที่เราร฽างกับตอนท่ีระบายสีนั้นมุมมองอาจจะเห็นได฾ต฽างกัน ฉะนั้นใน ข้นั ตอนนคี้ วรเก็บรายละเอียด ทั้งองค์ประกอบ ส฽วนขาด ส฽วนเกิน ของภาพและบรรยากาศโดยรวม ที่ เราต฾องการใหภ฾ าพออกมา

รปู ที่ 8 : ขั้นตอนท่ี 4 : การเก็บรายละเอียด จะเหน็ ได฾ว฽าการวาดภาพระบายสโี ปสเตอรข์ นั้ ตอนการสรา฾ งสรรค์จะเหมือนๆ กัน แต฽ความยาก ง฽ายของการสร฾างสรรค์ขึ้นอยู฽กับศิลปินหรือผู฾วาดอยากถ฽ายทอดออกมาในรูปแบบใด อาจถ฽ายทอด ออกมาในรปู แบบภาพเหมือน หรอื ภาพที่จิตนาการขึ้นมาเอง ซ่ึงการระบายสีนั้นมีเทคนิคท่ีหลากหลาย เม่ือระบายต฾องดคู วามเหมาะสมของงานว฽าเทคนิคท่ีนามาใช฾เหมาะสมกับงานหรือไม฽ ซ่ึงอาจมีแตกต฽าง กันบา฾ งเล็กนอ฾ ย เพอื่ ใหผ฾ ลงานออกมามีความสมบรู ณแ์ ละไปในทศิ ทางเดยี วกนั 6. การจัดการเรยี นรูแ้ บบซิปปา (CIPPA) การจัดกิจกรรมการเรียนร฾ูแบบซิปปา (CIPPA MODEL) เป็นกิจกรรมท่ีช฽วยให฾ผู฾เรียนได฾มีส฽วน รว฽ มทง้ั รา฽ งกาย สตปิ ญั ญา สงั คม และอารมณ์ ยึดกล฽มุ เปน็ แหล฽งเรยี นรู฾ ทิศนา แขมมณี (2545 : 14) กลา฽ ววา฽ การเรยี นการสอนแบบซิปปา เป็นรูปแบบของการจัดการ เรียนการสอนท่ีเนน฾ ผเู฾ รียนเปน็ ศนู ยก์ ลาง รูปแบบหน่ึงที่ได฾รับความสนใจและมีนักการศึกษาให฾คาจากัด ความของการจัดการเรยี นการสอนแบบซิปปา ซึ่งมคี วามหมายตามตัวอักษร คือ C หมายถึง Construct คือการให฾ผ฾ูเรียนสร฾างความรู฾ด฾วยตนเอง โดยกระบวนการ แสวงหาขอ฾ มูล ทาความเข฾าใจ คิดวิเคราะห์ ตีความ แปลความ สร฾างความหมาย สังเคราะห์ข฾อมูลและ สรปุ ขอ฾ ความ I หมายถึง Interaction คือ การให฾ผู฾เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต฽อกัน เรียนรู฾จากกัน แลกเปลย่ี นขอ฾ มูลความคดิ และประสบการณ์แกก฽ ันและกัน P หมายถึง Participation คอื การให฾ผ฾เู รยี นมบี ทบาท มสี ว฽ นร฽วมในการเรียนรมู฾ ากท่สี ดุ P หมายถึง Process หรือ Product คือการให฾ผ฾ูเรียนได฾เรียนร฾ูกระบวนการควบค฽ูไป กับผลงาน ขอ฾ ความทีส่ รุปได฾

A หมายถึง Application คือการให฾ผู฾เรียนนาความรู฾ที่ได฾ไปใช฾ให฾เป็นประโยชน์ ในชวี ติ ประจาวัน กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบซปิ ปา (CIPPA MODEL) ซิปปา (CIPPA) เป็นหลักการซึ่งสามารถนาไปใช฾เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู฾ต฽างๆ ใหแ฾ กผ฽ ฾ูเรียน การจัดกระบวนการเรยี นการสอนตามหลกั “CIPPA” สามารถใช฾วิธีการและกระบวนการที่ หลากหลาย ซึ่งอาจจัดเปน็ แบบแผนไดห฾ ลายรปู แบบ ทิศนา แขมมณี (2548 : 281 - 282) ไดเ฾ สนอกระบวนการจดั การเรียนการสอนตามรปู แบบของ ซิปปา ซ่ึงประกอบด฾วยขัน้ ตอนการดาเนนิ การ 7 ข้ันตอน ดังนี้ ขัน้ ที่ 1 การทบทวนความร฾ูเดมิ ขั้นนเ้ี ปน็ การดงึ ความรูข฾ องผูเ฾ รยี นในเรื่องที่จะเรียน เพื่อช฽วยให฾ผ฾ูเรียนมีความพร฾อมใน การเช่อื มโยงความรู฾ใหมก฽ ับความรเ฾ู ดมิ ของตน ซง่ึ ผ฾ูสอนอาจใช฾วธิ กี ารตา฽ งๆ ไดอ฾ ยา฽ งหลากหลาย ขน้ั ท่ี 2 การแสวงหาความรใ฾ู หม฽ ข้ันน้ีเป็นการแสวงหาข฾อมูลความร฾ูใหม฽ที่ผู฾เรียนยังไม฽มีจากแหล฽งข฾อมูลหรือแหล฽ง ความรตู฾ า฽ งๆ ซง่ึ ครูอาจเตรียมมาให฾ผู฾เรียนหรือให฾คาแนะนาเก่ียวกับแหล฽งข฾อมูลต฽างๆ เพ่ือให฾ผู฾เรียนไป แสวงหาก็ได฾ ขั้นที่ 3 การศึกษาทาความเข฾าใจข฾อมูล/ความร฾ูใหม฽ และเช่ือมโยงความร฾ูใหม฽ กับความร฾ูเดิมข้ันน้ีเป็นขั้นที่ผ฾ูเรียนจะต฾องศึกษาและทาความเข฾าใจกับข฾อมูล/ความรู฾ที่หามาได฾ผู฾เรียน จะต฾องสร฾างความหมายของข฾อมูล/ประสบการณ์ใหม฽ๆ โดยใช฾กระบวนการต฽างๆ ด฾วยตนเอง เช฽น ใช฾กระบวนการคดิ และกระบวนการกลมุ฽ ในการอภปิ รายและสรุปความเข฾าใจเกยี่ วกบั ข฾อมูลนั้นๆ ซึ่งอาจ จาเปน็ ตอ฾ งอาศยั การเชื่อมโยงกับความรูเ฾ ดมิ ขั้นท่ี 4 การแลกเปล่ยี นความรูค฾ วามเขา฾ ใจกับกลุ฽ม ข้ันน้ีเป็นข้ันท่ีผ฾ูเรียนอาศัยกล฽ุมเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความร฾ูความเข฾าใจของ ตน รวมท้ังขยายความร฾ูความเข฾าใจของตนแก฽ผ฾ูอื่น และได฾รับประโยชน์จากความร฾ูความเข฾าใจ ของผอู฾ ่ืนไป พรอ฾ มๆ กัน ขน้ั ท่ี 5 การสรุปและจัดระเบียบความร฾ู ขั้นนเ้ี ปน็ ขน้ั การสรปุ ความร฾ูท่ีได฾รับท้ังหมด ท้ังความรู฾เดิมและความร฾ูใหม฽ และจัดสิ่งท่ี เรยี นให฾มีระบบระเบยี บ เพือ่ ช฽วยใหผ฾ ฾เู รียนจดจาส่งิ ทเี่ รียนรูไ฾ ด฾ง฽าย ขน้ั ท่ี 6 การปฏบิ ตั ิ และ/หรือการแสดงผลงาน หากข฾อความรู฾ได฾เรียนรู฾มาไม฽มีการปฏิบัติ ข้ันนี้เป็นข้ันที่ช฽วยให฾ผู฾เรียนได฾มีโอกาส แสดงผลงานการสร฾างความรู฾ของตนให฾ผ฾ูอื่นรับร฾ู เป็นการช฽วยให฾ผู฾เรียนได฾ตอกย้าหรือตรวจสอบความ เขา฾ ใจของตนและชว฽ ยส฽งเสรมิ ใหผ฾ ู฾เรยี นใชค฾ วามคดิ สร฾างสรรค์ แตห฽ ากตอ฾ งมีการปฏบิ ัติตามข฾อความรู฾ท่ีได฾ ขนั้ น้จี ะเปน็ ขัน้ ปฏบิ ัตแิ ละมกี ารแสดงผลงานท่ไี ด฾ปฏิบตั ดิ ฾วย

ข้นั ที่ 7 การประยุกตใ์ ชค฾ วามรู฾ ขัน้ นี้เป็นข้ันของการส฽งเสรมิ ใหผ฾ ฾ูเรียนได฾ฝกึ ฝนการนาความรค฾ู วามเข฾าใจของตนไปใช฾ใน สถานการณ์ต฽างๆ ท่ีหลากหลายเพ่ือเพิ่มความชานาญ ความเข฾าใจ ความสามารถในการแก฾ปัญหาและ ความจาในเร่อื งนนั้ ๆ Jeerawut Kokyai (2014 : ออนไลน์) กล฽าวว฽า ขั้นตอนตั้งแต฽ข้ันท่ี 1-6 เป็นกระบวนการของ การสร฾างความร฾ู (construction of knowledge) ซึ่งครูสามารถจัดกิจกรรมให฾ผู฾เรียนมีโอกาส ปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู฾กัน (interaction) และฝึกฝนทักษะกระบวนการต฽างๆ (process learning) อย฽างต฽อเนื่อง เนื่องจากขั้นตอนแต฽ละข้ันตอนช฽วยให฾ผู฾เรียนได฾ทากิจกรรมหลากหลายที่มี ลักษณะให฾ผูเ฾ รยี นไดม฾ กี ารเคล่อื นไหวทางกาย ทางสตปิ ัญญา ทางอารมณ์ และทางสังคม อย฽างเหมาะสม 6 ทีคุณสมบัติตามหลักการ CIPP ส฽วนข้ันตอนที่ 7 เป็นขั้นตอนที่ช฽วยให฾ผ฾ูเรียนนาความรู฾ไปใช฾ (application) จึงทาให฾เป็นรปู แบบนีม้ คี ณุ สมบัตคิ รบตามหลัก CIPPA ผลท่ีผู้เรียนจะไดร้ ับจากการเรยี นตามรูปแบบ ผู฾เรยี นจะเกดิ ความเข฾าใจในส่ิงท่ีเรียน สามารถอธิบาย ชแ้ี จง ตอบคาถามได฾ดี นอกจากน้ันยังได฾ พัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ การคิดสร฾างสรรค์ การทางานเป็นกล฽ุม การสื่อสาร รวมทั้งเกิดความ ใฝรุ ฾ูด฾วย CIPPA Model นอกจากจะเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแล฾ว ยังสามารถนาไปใช฾เป็น ตัวชี้วัด หรือเป็นเครื่องตรวจสอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได฾ว฽า กิจกรรมนั้นเน฾นผู฾เรียนเป็น ศนู ย์กลางหรือไม฽ โดยนาเอากิจกรรมในแผนการสอนมาตรวจสอบตามหลัก CIPPA การจัดการเรียนการ สอนแบบ CIPPA การจัดการเรียนการสอนแบบเน฾นผ฾ูเรียนเป็นศูนย์กลางน้ันก็คือ การจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนท่เี ปดิ โอกาสให฾ผูเ฾ รยี นมีส฽วนรว฽ มในกจิ กรรมนั้น ท้งั ทางรา฽ งกาย สตปิ ัญญา สงั คมและอารมณ์ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพ่ือให฾ผ฾ูเรียนมีส฽วนร฽วมนั้น มิใช฽หมายความแต฽เพียงว฽าให฾ ผูเ฾ รยี นไดท฾ ากจิ กรรมอะไรๆ กไ็ ด฾ที่ผเู฾ รียนชอบ กจิ กรรมทีค่ รูจดั ใหผ฾ เ฾ู รยี นจะตอ฾ งเป็นกิจกรรมที่นาไปส฽ูการ เรยี นรต฾ู ามจดุ ประสงค์ที่ตั้งไว฾ และเป็นกิจกรรมที่ช฽วยให฾ผู฾เรียนมีส฽วนร฽วมทั้งทางด฾านร฽างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ จงึ จะสามารถทาใหผ฾ ูเ฾ รยี นเกิดการเรียนรู฾ได฾ดี ดังน้ันครูท่ีจะสอนผู฾เรียนโดยยึดผู฾เรียน เป็นศูนยก์ ลาง จึงจาเปน็ ท่ีจะต฾องออกแบบกจิ กรรมการเรยี นการสอนใหม฾ ีลักษณะดงั นี้ 1. เป็นกิจกรรมท่ีช฽วยให฾ผู฾เรียนได฾มีส฽วนร฽วมทางด฾านกาย (Physical Participation) คือ เป็น กิจกรรมท่ีช฽วยให฾ผู฾เรียนได฾มีโอกาสเคล่ือนไหวร฽างกาย เพ่ือช฽วยให฾ประสาทการรับรู฾ของผ฾ูเรียนตื่นตัว พรอ฾ มทีจ่ ะรบั ขอ฾ มลู และการเรียนร฾ูต฽างๆ ท่จี ะเกิดขึน้ การรับร฾ูเป็นปัจจัยสาคัญในการเรียนร฾ู หากผู฾เรียน ไม฽มีความพร฾อมในการรับรู฾ แม฾จะมีการให฾ความร฾ูที่ดีๆ ผู฾เรียนก็ไม฽สามารถรับได฾ ซ่ึงจะเห็นได฾จาก เหตุการณ์ทพ่ี บได฾เสมอๆ คือ หากผูเ฾ รยี นต฾องนง่ั นานๆ ไมช฽ า฾ ผ฾ูเรียนอาจหลับไป หรือคิดไปเร่ืองอ่ืนๆ ได฾

การเคล่อื นไหวทางกาย มีส฽วนช฽วยให฾ประสาทรับรู฾ตื่นตัว พร฾อมท่ีจะรับและเรียนรู฾ส่ิงต฽างๆ ได฾ดี ดังน้ัน กิจกรรมทจ่ี ดั ใหผ฾ ฾เู รยี น จึงควรเป็นกิจกรรมท่ีช฽วยให฾ผ฾ูเรียนได฾เคลื่อนไหวในลักษณะใดลักษณะหน่ึงเป็น ระยะๆ ตามความเหมาะสมกับวัยและระดบั ความสนใจของผเู฾ รยี น 2. เป็นกจิ กรรมที่ช฽วยใหผ฾ ฾ูเรียนมีส฽วนร฽วมทางสติปัญญา (Intellectual Participation) คือเป็น กิจกรรมท่ีช฽วยให฾ผ฾ูเรียนเกิดความเคลื่อนไหวทางสติปัญญาหรือพูดง฽ายๆ ว฽า เป็นกิจกรรมท่ีท฾าทาย ความคิดของผ฾ูเรียน ซึ่งจะช฽วยให฾ผู฾เรียนเกิดความจดจ฽อในการคิด สนุกท่ีจะคิด ดังนั้น กิจกรรมจะมี ลักษณะดังกล฽าวได฾ ก็จะต฾องมีเรื่องให฾ผู฾เรียนคิด โดยเร่ืองน้ันจะต฾องไม฽ง฽ายและไม฽ยากเกินไปสาหรับ ผ฾ูเรียน เพราะถ฾าง฽ายเกินไป ผ฾ูเรียนก็ไม฽จาเป็นต฾องใช฾ความคิด แต฽ถ฾ายากเกินไป ผ฾ูเรียนก็จะเกิดความ ท฾อถอยทีจ่ ะคิด ดงั นนั้ ครจู งึ ต฾องหาประเด็นท่ีเหมาะสมกับวัยและความสามารถของผ฾ูเรียน เพ่ือกระต฾ุน ให฾ผเู฾ รยี นใช฾ความคดิ หรือลงมือทาส่ิงใดส่งิ หนึง่ 3. เป็นกจิ กรรมทช่ี ฽วยใหผ฾ ู฾เรียนมสี ฽วนร฽วมทางสังคม (Social Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ ชว฽ ยใหผ฾ เู฾ รียนมีปฏสิ มั พนั ธ์ทางสังคมกับบุคคลหรือสิ่งแวดล฾อมรอบตัว เน่ืองจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่ อาศัยรวมกันอย฽ูเป็นหมู฽คณะ มนุษย์โดยทั่วไปจะต฾องเรียนร฾ูที่จะปรับตัวเข฾ากับบริบทต฽างๆ การเปิด โอกาสให฾ผ฾เู รียนมีปฏสิ มั พนั ธก์ บั ผอ฾ู ื่น จะชว฽ ยใหผ฾ ฾ูเรยี นเกิดการเรยี นรู฾ทางสังคม ซึ่งจะส฽งผลถึงการเรียนร฾ู ทางด฾านอ่ืนๆ ด฾วย ดังน้ัน กิจกรรมการเรียนร฾ูท่ีดี จึงควรเป็นกิจกรรมท่ีส฽งเสริมให฾ผู฾เรียนได฾เรียนรู฾จาก สิ่งแวดลอ฾ มรอบตัวดว฾ ย 4. เป็นกิจกรรมท่ีช฽วยให฾ผู฾เรียนมีส฽วนร฽วมทางอารมณ์ (Emotional Participation) คือ กิจกรรมที่ส฽งผลต฽ออารมณ์ความร฾ูสึกของผู฾เรียน ซึ่งจะช฽วยให฾การเรียนรู฾นั้นเกิดความหมายต฽อตนเอง กิจกรรมท่ีส฽งผลต฽อความร฾ูสึกของผู฾เรียนนั้น มักจะเป็นกิจกรรมท่ีเกี่ยวข฾องกับชีวิต ประสบการณ์ และ ความเปน็ จรงิ ของผูเ฾ รยี น จะต฾องเปน็ ส่ิงท่เี ก่ียวขอ฾ งกับตวั ผ฾เู รียนโดยตรงหรือใกล฾ตวั ผ฾ูเรียน สรปุ ไดว฾ ฽า การจดั การเรยี นการสอนตาม CIPPA Model สามารถส฽งเสรมิ ให฾ผเ฾ู รยี นมี สว฽ นร฽วมใน กจิ กรรมการเรียนร฾ูทัง้ ทางดา฾ นกาย สติปัญญา และสังคม ส฽วนการมีส฽วนร฽วมทางด฾านอารมณ์น้ัน ความ จริงแล฾วมีเกิดข้ึนควบค฽ไู ปกบั ทุกด฾าน ไม฽วา฽ จะเป็นทางด฾านกาย สติปัญญา และสังคม ซึ่งหากครูสามารถ จดั กิจกรรมการเรียนร฾ูให฾ผเู฾ รียนไดต฾ ามหลกั ดงั กล฽าวแลว฾ การจัด การเรียนการสอนของครูก็จะมีลักษณะ ท่ีผู฾เรียนเป็นศูนย์กลางอย฽างแท฾จริง วิธีการท่ีจะจัดการเรียนการสอนให฾สอดคล฾องกับ CIPPA Model สามารถทาได฾โดยครูอาจเร่มิ ตน฾ จากแผนการสอนทม่ี ีอยแ฽ู ล฾ว และนาแผนดังกล฽าวมาพจิ ารณาตาม CIPPA Model หากกิจกรรมตามแผนการสอนขาดลกั ษณะใดไป กพ็ ยายามคิดหากิจกรรมท่ีจะช฽วยเพ่ิมลักษณะ ดังกลา฽ วลงไป หากแผนเดมิ มีอย฽บู ฾างแล฾ว ก็ควรพยายามเพิ่มให฾มากขน้ึ เพื่อกิจกรรมจะได฾มีประสิทธิภาพ มากขน้ึ เมื่อทาเช฽นนีไ้ ด฾จนเรม่ิ ชานาญแล฾ว ต฽อไปครูก็จะสามารถวางแผนตาม CIPPA Model ได฾ไม฽ยาก นกั

7. เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กีย่ วข้อง มนญั ญา, เรอื งสุขสดุ (2557) ได฾ทาการได฾ทาการศกึ ษา ผลการใช฾บทเรยี นคอมพิวเตอร์ช฽วยสอน เร่ือง การใช฾โปรแกรมเพ฾นท์ด฾วยรูปแบบการเรียนร฾ูแบบซิปปา (CIPPA Model) สาหรับนักเรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว฽า 1. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช฽วยสอน เรื่อง การใช฾ โปรแกรมเพ฾นท์ด฾วยรูปแบบการ เรียนร฾ูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท฽ากับ 82.63/81.00 ซ่ึงผ฽านเกณฑ์ 80/80 2. ผลสัมฤทธ์ิของนักเรียนหลัง เรียนด฾วยบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ว฽ ยสอน เรือ่ ง การใช฾โปรแกรม เพ฾นท์ ดว฾ ยรูปแบบการเรียนรู฾แบบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 สูงกว฽าก฽อนเรียนอย฽างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 3. ดัชนี ประสทิ ธผิ ลของการเรียนด฾วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช฽วยสอน เรื่อง การใช฾โปรแกรมเพ฾นท์ ด฾วยรูปแบบ การเรียนร฾ูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 มีค฽าเท฽ากับ 0.5202 แสดงว฽าผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนเพิ่มขึ้นร฾อยละ 52.02 4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต฽อการเรียนด฾วย บทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ฽วยสอน เรอื่ ง การใช฾ โปรแกรมเพ฾นท์ ด฾วยรูปแบบการเรียนรู฾แบบซิปปา สาหรับ นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยรวมอย฽ใู นระดับมากสดุ วัฒนาพร รังคะราช (2558) ได฾ทาการได฾ทาการศึกษา รูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ท่ีใช฾สื่อประสม (Multimedia) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและการคิด วิเคราะห์ เร่ืองความคล฾ายวิชาคณิตศาสตร์ 5 สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพ กระบวนการ (E1) 87.70 และประสิทธิภาพผลลัพธ์ (E2) 85.22 เป็นไปตามสมมติฐานและเป็นไปตาม เกณฑท์ ตี่ งั้ ไว฾ และมีค฽าดชั นีประสทิ ธิผลเท฽ากับ 0.7972 ซงึ่ เปน็ ไปตามสมมติฐานและเป็นไปเกณฑ์ที่ต้ังไว฾ เช฽นเดียวกัน เนื่องจากรูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ท่ีใช฾สื่อประสม (Multimedia) เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการคิดวิเคราะห์ เร่ืองความคล฾าย วิชา คณิตศาสตร์ 5 สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได฾ผ฽านกระบวนการออกแบบและพัฒนาตาม ข้ันตอน โดยเฉพาะข้ันตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามรูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ที่มี ข้ันตอนชัดเจน สามารถนาไป ปฏิบัติได฾ ผู฾เรียนมีการแลกเปล่ียนเรียนร฾ูระหว฽างกลุ฽มและภายในกล฽ุม กอปรทงั้ ในขัน้ ตอนการทบทวนความรเ฾ู ดมิ และขน้ั ตอน การแสวงหาความร฾ูใหม฽ นักเรียนได฾ใช฾สื่อประสม สามารถทบทวนและศึกษาเน้ือหาท่ีได฾รับมอบหมายก่ีคร้ังก็ได฾ ทาให฾นักเรียน เกิดการเรียนร฾ู และยัง สามารถแลกเปล่ียนความร฾ูกับนักเรียนภายในกล฽ุมด฾วย ทาให฾นักเรียนสามารถทาคะแนนกิจกรรมทั้ง รายบคุ คลและรายกลุ฽มไดด฾ ี จงึ ส฽งผลให฾ค฽าประสิทธิภาพกระบวนการสูงเป็นไปตามเกณฑ์ นอกจากนี้ใน ข้ันตอนการสรปุ จัดระเบยี บความร฾ู ขน้ั แสดงผลงานและข้นั การประยุกต์ใช฾ยังเป็นข้ันตอนสาคัญท่ีทาให฾ นักเรียนเช่ือมโยงความร฾ูเดิม กับความร฾ูใหม฽ ให฾เป็นเน้ือเดียวกัน ทาให฾ผ฾ูเรียนสร฾างความรู฾เป็นของ นกั เรยี นเอง ส฽งผลให฾นกั เรียนสามารถทาแบบทดสอบหลังเรียนได฾คะแนนสูง ทาให฾ประสิทธิภาพผลลัพธ์ สงู เปน็ ไปตามเกณฑท์ กี่ าหนด อมร นารี และ ดร.สถาพร ขันโต (2554) ได฾ทาการได฾ทาการศึกษา การแสวงหาความรู฾ที่เกิด จากการจดั ประสบการณ์โดยใช฾ซปิ ปาโมเดล สา หรับเด็กปฐมวัยปีที่ 2 พบว฽า เด็กมีการแสวงหาความร฾ู

ร฾อยละ 81.82 อย฽ใู นระดับคุณภาพดีซ่ึงสูงกว฽าเกณฑ์การผ฽านท่ีกาหนดไว฾ แสดงว฽าการจัดประสบการณ์ โดยใช฾โมเดลซิปปา สามารถ ส฽งเสริมการแสวงหาความร฾ูของปฐมวัยได฾เป็นอย฽างดี เน่ืองจากการจัด กจิ กรรมการเรียนรตู฾ ามหลักโมเดลซปิ ปานน้ั เปน็ การจดั กจิ กรรมการเรยี นร฾ูท่ีเปิดโอกาสให฾ผู฾ เรียนมีส฽วน ร฽วมท้ัง 4 ด฾าน คือ ด฾านร฽างกาย อารมณ์- จิตใจ สังคม และด฾านสติปัญญา สามารถช฽วยให฾ผ฾ูเรียน เกดิ การเรยี นรด฾ู ว฾ ยตนเองผา฽ นกระบวนการคดิ กล่ันกรอง โดยผ฾ูเรียนเอง หรือผ฾ูเรียนเกิดความเข฾าใจและ จา ในสิ่งที่ ตนเองเรยี นได฾เปน็ อยา฽ งดีและนา ความรท฾ู ไ่ี ดป฾ ระยุกต์ใช฾ (Application)ทา ให฾ผู฾เรยี นถ฽ายโอน การเรยี นรู฾ (Transfer of Learning)

บทที่ 3 วธิ ดี าเนินการวิจยั ในการวิจัยเร่ือง การพัฒนาทักษะการเขียนภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการ เรียนรแู฾ บบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนวัดมะลิ ผ฾ูวิจัยข฾อเสนอวิธีดาเนินการ วจิ ัยเรียงลาดับหวั ขอ฾ ต฽อไปนี้ 1. การกาหนดประชากรและกลุ฽มตัวอย฽าง 2. เครื่องมอื ทีใ่ ช฾ในการวิจัย 3. การสรา฾ งเคร่ืองมอื ท่ีใช฾ในการวจิ ัย 4. การเก็บรวบรวมข฾อมูล 5. การจดั กระทาและการวิเคราะหข์ อ฾ มูล 1. การกาหนดประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง ประชากร - ประชากรทีใ่ ช฾ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นกั เรียนระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นวัดมะลิ กลมุ่ ตัวอยา่ ง - กล฽ุมตัวอย฽างท่ีใช฾ในการวิจัยคร้ังน้ี คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 กรุงเทพมหานคร จานวน 15 คน เครอื่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการวิจัย ในการวิจยั คร้งั น้ี เครื่องมอื ทีใ่ ชใ฾ นการวิจยั มดี งั นี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู฾ การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู฾ แบบซิปปา สาหรับนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โดยแผนการเรยี นรูม฾ ีจานวน 8 แผน แผนละ 1 ช่ัวโมง รวมเป็น 8 ช่วั โมง 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทดสอบก฽อนเรียนและหลังเรียน การวาดภาพ ระบายสโี ปสเตอร์ โดยการจดั กิจกรรมการเรยี นรแ฾ู บบซิปปา สาหรับนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 3. แบบประเมินการพัฒนาทักษะการเขียนภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการ เรียนรูแ฾ บบซิปปา 2. การสร้างเคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั 1. กาหนดแผนการจัดการเรยี นร฾ู การพฒั นาทกั ษะการเขยี นภาพระบายสโี ปสเตอร์ โดยการจัด กิจกรรมการเรยี นรู฾แบบซิปปา สาหรับนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โดยแผนการเรียนร฾จู านวน 8 แผน แผนละ 1 ชัว่ โมง รวมเปน็ 8 ชวั่ โมง ซึ่งผ฾ูวจิ ัยได฾ดาเนินการสร฾างดงั น้ี

1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กล฽ุมสาระการเรียนร฾ู ศลิ ปศกึ ษา ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 คม฽ู ือการจัดการเรียนรู฾ แบบเรียน เนื้อหา ตวั ช้ีวัด 1.2 ศึกษารายละเอียดเน้ือหาการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ เพ่ือนาไปสร฾างแผนการ สอนการจดั การเรียนรูใ฾ หถ฾ ูกต฾อง 1.3 สร฾างแผนกการจดั การเรยี นรู฾ จานวน 8 แผน ดังตารางตอ฽ ไปน้ี ตารางท่ี 1 แผนการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะการเขียนภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัด กจิ กรรมการเรยี นร้แู บบซปิ ปา แผนท่ี ชือ่ แผนการจัดการเรียนรู้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ จานวน 1-2 วงจรสี (ชัว่ โมง) 1. เพื่อให฾นักเรียนสามรถบอกข้ันตอน 3 การไลค฽ ฽าน้าหนกั สผี สมดา การผสมสีได฾ (K) 2 2. เพื่อให฾นักเรียนสามารถผสมสีจาก แม฽สี 3 สี ให฾เกิดเป็นสีใหม฽ตามวงจรสีได฾ 1 (P) 3. ด฾านคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A) 1) วินัย (เข฾าชั้นเรียน, มีความ รบั ผิดชอบตอ฽ งานทไ่ี ดร฾ บั มอบหมาย) 2) มุ฽งม่ันในการทางาน (เอาใจใส฽ต฽อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น฾ า ท่ี ท่ี ไ ด฾ รั บ ม อ บ ห ม า ย , พยายามแก฾ปัญหาและอุปสรรคในการ ทางานใหส฾ าเร็จ) 1. เพ่ือใหน฾ ักเรียนสามารถบอกค฽า นา้ หนักสผี สมดาได฾ (K) 2. เพือ่ ใหน฾ กั เรียนสามารถไล฽ค฽าน้าหนักสี ผสมดาได฾ (P) 3. ด฾านคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A) 1) วินัย (เข฾าชั้นเรียน, มีความ รบั ผิดชอบต฽องานท่ไี ด฾รบั มอบหมาย) 2) มุ฽งม่ันในการทางาน (เอาใจใส฽ต฽อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น฾ า ท่ี ท่ี ไ ด฾ รั บ ม อ บ ห ม า ย ,

พยายามแก฾ปัญหาและอุปสรรคในการ ทางานใหส฾ าเรจ็ 4 การไลค฽ า฽ นา้ หนักสผี สมขาว 1. เพื่อให฾นักเรียนสามารถบอกค฽า 1 1 นา้ หนักสีผสมขาวได฾ 1 (K) 2. เพอ่ื ใหน฾ กั เรยี นสามารถไล฽ค฽าน้าหนักสี ผสมขาวได฾ (P) 3. ด฾านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A) 1) วินัย (เข฾าชั้นเรียน, มีความ รับผดิ ชอบตอ฽ งานทไ่ี ด฾รับมอบหมาย) 2) มุ฽งมั่นในการทางาน (เอาใจใส฽ต฽อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น฾ า ที่ ที่ ไ ด฾ รั บ ม อ บ ห ม า ย , พยายามแก฾ปัญหาและอุปสรรคในการ ทางานใหส฾ าเรจ็ ) 5 การเกลีย่ สโี ปสเตอร์โทนเดียวกันให฾มี 1. เพื่อใหน฾ กั เรียนสามารถบอกการเกลี่ย ความกลมกลนื กนั สี โ ป ส เ ต อ ร์ โ ท น เ ดี ย ว กั น ใ ห฾ มี ค ว า ม กลมกลนื กนั ได฾ (K) 2. เพื่อให฾นักเรียนสามารถเกลี่ยสี โปสเตอรโ์ ทนเดียวกนั ให฾มคี วามกลมกลืน กนั ได฾ (P) 3. ดา฾ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A) 1) วินัย (เข฾าช้ันเรียน, มีความ รบั ผดิ ชอบตอ฽ งานทไ่ี ดร฾ บั มอบหมาย) 2) มุ฽งมั่นในการทางาน (เอาใจใส฽ต฽อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น฾ า ท่ี ท่ี ไ ด฾ รั บ ม อ บ ห ม า ย , พยายามแก฾ปัญหาและอุปสรรคในการ ทางานใหส฾ าเรจ็ ) 6 การเกล่ยี สโี ปสเตอรส์ ีที่แตกต฽างกันมี 1. เพอ่ื ใหน฾ ักเรียนสามารถบอกการเกลี่ย ความกลมกลนื กัน สีโ ปสเตอ ร์สีที่แตก ต฽าง กั น มีคว าม กลมกลนื กนั ได฾ (K) 2. เพ่ือให฾นักเรียนสามารถเกลี่ยสี โปสเตอร์สที ่แี ตกต฽างกันมีความกลมกลืน กันได฾ (P)

7-8 วาดภาพระบายสีโปสเตอร์ 3. ดา฾ นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A) 2 1) วินัย (เข฾าชั้นเรียน, มีความ รับผดิ ชอบต฽องานท่ีไดร฾ ับมอบหมาย) 2) ม฽ุงม่ันในการทางาน (เอาใจใส฽ต฽อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น฾ า ที่ ที่ ไ ด฾ รั บ ม อ บ ห ม า ย , พยายามแก฾ปัญหาและอุปสรรคในการ ทางานใหส฾ าเรจ็ ) 1. เพ่ือให฾นักเรียนสามารถอธิบาย ขั้ น ต อ น ก า ร ว า ด ภ า พ ร ะ บ า ย สี ด฾ ว ย สี โปสเตอร์ได฾ (K) 2. เพือ่ ให฾นักเรยี นสามารถสรา฾ งสรรค์การ ว า ด ภ า พ ร ะ บ า ย สี โ ป ส เ ต อ ร์ ไ ด฾ (P) 3. ด฾านคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) 1) วินัย (เข฾าชั้นเรียน, มีความ รบั ผดิ ชอบตอ฽ งานทไ่ี ดร฾ ับมอบหมาย) 2) ม฽ุงม่ันในการทางาน (เอาใจใส฽ต฽อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น฾ า ที่ ท่ี ไ ด฾ รั บ ม อ บ ห ม า ย , พยายามแก฾ปัญหาและอุปสรรคในการ ทางานใหส฾ าเร็จ) 1.4 ศกึ ษาวธิ ีการสรา฾ งเคร่อื งมือในการประเมนิ ทักษะ จากเอกสาร ตารา และงานวิจัย ทเี่ กยี่ วข฾อง 1.5 กาหนดเกณฑ์การให฾คะแนน เน้ือหาที่จะวัด และเลือกรูปแบบเครื่องมือที่จะวัด แต฽ละข฾อมีเกณฑ์ในการให฾คะแนน (คะแนนเตม็ 10 คะแนน) ดงั น้ี 8-10 คะแนน หมายถงึ ดมี าก 5-7 คะแนน หมายถงึ ดี 3-4 คะแนน หมายถงึ พอใช฾ 1-2 คะแนน หมายถงึ ปรบั ปรงุ 0 คะแนน หมายถงึ ไม฽ผ฽านเกณฑ์ 1.6 นาแบบประเมินความเหมาะสมสอดคล฾องของชุดกิจกรรมการเรียนร฾ู การพัฒนา ทักษะการเขียนภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนร฾ูแบบซิปปา เสนอผ฾ูเช่ียวชาญ จานวน 3 ท฽าน ตรวจสอบความเหมาะสมสอดคล฾อง ให฾เหมาะสมกับระดับพัฒนาการด฾านทักษะ การ

วาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ โดยการจดั กิจกรรมการเรยี นรู฾แบบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 มีความเหมาะสมสอดคล฾องสอดคล฾องกับวัตถุประสงค์การเรียนร฾ู เพื่อนาไปใช฾ในการประเมิน พัฒนาการดา฾ นทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ซ่ึงใชว฾ ธิ กี ารตรวจสอบดัชนีความสอดคล฾อง (Index of item – Objective Congruence หรอื IOC) โดยมเี กณฑใ์ นการพจิ ารณาคือ +1 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมสอดคลอ฾ ง 0 หมายถึง ไม฽แนใ฽ จวา฽ มคี วามเหมาะสมสอดคลอ฾ ง - 1 หมายถงึ ไมม฽ ีความเหมาะสมสอดคล฾อง เม่ือนาแบบประเมินความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหาตรวจสอบจากผ฾ูเช่ียวชาญคานวณหา ความสอดคลอ฾ งค฽า (IOC) คา฽ เฉลี่ยมากกวา฽ 0.5 ข้ึนไปหมายความวา฽ ผา฽ นเกณฑ์ 2. การสร฾างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก฽อนเรียน (Pre-test) และ หลังเรียน (Post – test) เรอ่ื ง กาสรวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ มขี ้ันตอนการสร฾าง ดงั นี้ 2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ขอบข฽ายเนื้อหา และ ตัวช้ีวัดกล฽ุมสาระการเรียนรู฾ศิลปศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตลอดจนการศึกษาวิธีการสร฾าง แบบทดสอบชนดิ เลอื กตอบ เพือ่ เปน็ แนวทางในการสรา฾ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน 2.2 วิเคราะห์โครงสร฾างเนื้อหา มาตรฐานการเรียนร฾ู ตัวช้ีวัด สาระการเรียนร฾ูและ วัตถุประสงค์ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 มาตรฐานและตัวช้ีวัดกล฽ุม สาระการเรียนร฾ูศลิ ปะ การวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ จากหนังสอื ตาราและเอกสารที่เกี่ยวขอ฾ ง 2.3 สร฾างแบบทดสอบก฽อนเรียนและหลังเรียนเป็นชุดกิจกรรมเดียวกันกับที่จะให฾ นักเรียนปฏิบตั ิในคาบ เร่อื ง การวาดภาพสโี ปสเตอร์ โดยเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบแบบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข฾อ ซึ่งต฾องการไดข฾ ฾อสอบท่มี ีคณุ ภาพตามเกณฑ์จานวน 20 ข฾อ โดยให฾ครอบคลุ฽มเน้ือหาและ ตัวชวี้ ัด ซึ่งมีการกาหนดค฽าของคะแนน ดังนี้ ตอบถกู ใหค฾ ะแนน 1 คะแนน ตอบผดิ ให฾คะแนน 0 คะแนน 2.4 นาแบบทดสอบที่สร฾างขึ้นเรียบร฾อยแล฾วไปให฾อาจารย์ที่ปรึกษาและผู฾เช่ียวชาญ จานวน 3 ท฽าน ตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ความชัดเจนของด฾านเนื้อหา ความชัดเจนของภาษา มีความสอดคล฾องสอดคล฾องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู฾ ซึ่งใช฾วิธีการตรวจสอบ ดัชนีความสอดคล฾อง (Index of item – Objective Congruence หรือ IOC) โดยมีเกณฑ์ในการ พจิ ารณาคือ

+1 หมายถึง มีความเหมาะสมสอดคล฾อง 0 หมายถงึ ไมแ฽ นใ฽ จว฽ามคี วามเหมาะสมสอดคลอ฾ ง - 1 หมายถึง ไมม฽ ีความเหมาะสมสอดคลอ฾ ง เมอื่ นาคะแนนท่ไี ดจ฾ ากผเ฾ู ช่ียวชาญมาคานวณหาค฽าความสอดคล฾อง (IOC) ค฽าเฉล่ียมากกว฽า 0.5 ขน้ึ ไปหมายความว฽าผ฽านเกณฑ์ 3. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู วิจยั คร้ังนผี้ ฾ูวิจัยได฾ดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมข฾อมูลด฾วยตนเองในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 เป็นเวลา 8 ช่ัวโมง ก฽อนดาเนินการได฾เตรียมนักเรียนกลุ฽มตัวอย฽างก฽อนการเก็บข฾อมูล 1 วัน เพ่ือชี้แจง และให฾คาแนะนาเกีย่ วกบั กิจกรรมการเรียนการสอน โดยกลุ฽มตัวอย฽างในการเก็บข฾อมูลเป็นนักเรียนชั้น ประถมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรียนวดั มะลิ จานวน 15 คน ซ่ึงดาเนินการ ดงั น้ี 1. ให฾นักเรียนกลุ฽มตัวอย฽างทาแบบทดสอบก฽อนเรียน (Pre-test) วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรือ่ ง การวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ โดยเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบแบบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข฾อ กอ฽ นการทดลอง 2. ดาเนินการสอนกล฽ุมนักเรียนตัวอย฽างตามแผนการจัดการเรียนร฾ูและทาแบบฝึกปฏิบัติ ระหวา฽ งเรียน โดยการจัดกิจกรรมการเรยี นร฾ูแบบซิปปา จานวน 8 แผน ทาการสอนในช่ัวโมงเรียนปกติ 8 ชั่วโมงและนอกเวลาเรียน 3. ให฾นักเรียนกล฽ุมตัวอย฽างทาแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบแบบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข฾อ หลังการทดลอง 4. ประเมินผลงานนักเรียนจากการทาแบบฝึกปฏิบัติระหว฽างเรียน ตามเกณฑ์การประเมิน ผลงานรบู ิค (Rubric Score) 5. นาผลเกณฑ์การประเมินจากการทาแบบฝึกปฏิบัติระหว฽างเรียน โดยการจัดกิจกรรมการ เรียนร฾ู แบบซิปปา วเิ คราะห์ทางสถิตหิ าค฽าเฉลี่ย ( ̅) และสว฽ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) 6. นาคะแนนท่ไี ด฾จากการทาแบบทดสอบหลงั เรียนก฽อนเรียน (Pre-test) และหลังเรียน (Post- test) หลังการทดลองมาวิเคราะห์ทางสถิติ เพ่ือเปรียบเทียบความแตกต฽างของคะแนนโดยใช฾สถิติ ทดสอบที t-test แบบ dependence

4. การวิเคราะหข์ อ้ มลู ผู฾วจิ ยั วเิ คราะห์ขอ฾ มลู โดยใช฾โปรแกรมสาเร็จรูปผูว฾ ิจัยไดว฾ ิเคราะห์ SPSS ช฽วยการวิเคราะห์ข฾อมูล มรี ายละเอียดดงั ตอ฽ ไปน้ี 1. ค่าเฉลยี่ (Arithmetic Mean) ̅∑ เมือ่ ̅ แทน คา฽ เฉลยี่ ∑ แทน ผลรวมของข฾อมลู ทงั้ หมด แทน จานวนขอ฾ มลู ทง้ั หมด n 2. สตู รการหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) √ ∑ (∑ ) ( ) เมอ่ื S.D. แทน ความเบ่ยี งเบนมาตรฐาน N แทน จานวนนกั เรียนในกลม฽ุ ตวั อย฽าง X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด ∑ แทน ผลรวมของคะแนนแต฽ละตวั ยกกาลังสอง ( ∑ ) แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกาลังสอง 3. การหาค่า T-test Dependence เป็นการเปรียบเทียบคะแนนทักษะปฏบิ ตั ิก฽อนเรียนและ หลังเรียน การพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู฾แบบซิปปา สาหรบั นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนวดั มะลิ ∑ √∑ (∑ )

เม่อื t แทน ค฽าสถิตทิ ี่จะใชเ฾ ปรียบเทียบกับค฽าวิกฤต D แทน ค฽าผลตา฽ งระหวา฽ งคูค฽ ะแนน ∑ แทน ผลรวมของคะแนนความแตกตา฽ งระหวา฽ ง คะแนนท้ัง 2 กล฽มุ n แทน จานวนนักเรียนทง้ั หมด 5. สูตรค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC เป็นการหาความเท่ียงตรง (Validity) ของวัตถุประสงค์ กับเน้ือหาการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนร฾ูแบบซิปปา สาหรับนักเรียน ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรียนวดั มะลิ ∑ เมื่อ IOC แทน ค฽าดัชนคี วามสอดคลอ฾ งของวตั ถุประสงค์ ∑ กบั เน้อื หา N แทน ผลรวมคะแนนความคิดเหน็ ของ ผเ฾ู ช่ียวชาญ แทน จานวนผ฾เู ช่ยี วชาญ

บทที่ 4 ผลการวิจยั การวจิ ยั พัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนร฾ูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนวดั มะลิ ครงั้ นีผ้ ู฾วิจัยสมมุติฐานไว฾ ดังน้ี นักเรียนระดับช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนวีชัดมะลิ ที่เรียนโดยใช฾การจัดกิจกรรมการเรียนร฾ูแบบซิปปา มีทักษะการ เขยี นภาพระบายสีโปสเตอรห์ ลังเรยี นทส่ี ูงขน้ึ กว฽ากอ฽ นเรียน สัญลกั ษณ์ท่ใี ช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู ในการวเิ คราะห์ขอ฾ มลู ทไ่ี ดจ฾ ากการทดลองและการแปลความหมายของการวเิ คราะหข์ ฾อมูล เพื่อให฾เกิดความเข฾าใจตรงกัน ผ฾ูวจิ ัยได฾สัญลักษณ์ในการวเิ คราะหข์ ฾อมูล ดงั น้ี ̅ แทน คา฽ เฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของข฾อมูลทั้งหมด n แทน จานวนข฾อมลู ทั้งหมด S.D. แทน ความเบีย่ งเบนมาตรฐาน X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ∑ D แทน ผลรวมของคะแนนแต฽ละตวั ยกกาลังสอง ( ∑ ) แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมดยกกาลังสอง t แทน ค฽าสถิตทิ จ่ี ะใช฾เปรียบเทยี บกบั ค฽าวกิ ฤต D แทน คา฽ ผลตา฽ งระหว฽างคค฽ู ะแนน ∑ แทน ผลรวมของคะแนนความแตกตา฽ งระหวา฽ ง คะแนนทัง้ 2 กลมุ฽ การนาเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ในการศึกษาคน฾ ควา฾ ครง้ั น้ี ผว฾ู ิจยั ได฾เสนอผลการวิเคราะห์ข฾อมูลเป็นตาราง ดังน้ี ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบก฽อนเรียน (Pre-test) และแบบทดสอบ หลังเรียน (Post-test) วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยเป็นแบบ ปรนัยชนดิ เลอื กตอบแบบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ขอ฾ หลังการทดลอง ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลงานก฽อนเรียนและหลังเรียน การวาดภาพระบาย สีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู฾แบบซิปปา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนวดั มะลิ

ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และแบบทดสอบ หลังเรียน (Post-test) วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยเป็น แบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบแบบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ข้อ หลังการทดลอง จากการทาแบบทดสอบก฽อนเรียน (Pre-test) และแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) วัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เรอ่ื ง การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ผลวิเคราะห์ข฾อมูล ดังตารางท่ี 1 ตารางท่ี 1 : เปรียบเทยี บคะแนนระหว฽างผลทดสอบก฽อนเรียนและหลังเรียน การวาดภาพระบาย สีโปสเตอร์ โดยการจดั กจิ กรรมการเรยี นร฾ูแบบซปิ ปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษา ปีที่ 4 โรงเรยี นวดั มะลิ การเรยี น N คะแนนเตม็ ( ̅) S.D. t กอ฽ นเรยี น 15 20 9.33 2.74 4.78 หลังเรยี น 15 20 13 1.81 จากตารางท่ี 1 เม่ือเปรียบค฽าข฾อมูลท้ัง 2 ชุด พบว฽าคะแนนก฽อนเรียนมีค฽าเฉล่ีย 9.33 ส฽วน เบ่ียงเบนมาตรฐาน 2.74 และหลงั เรียนมีค฽าเฉลี่ย 13 สว฽ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน 1.81 และผลการทดสอบ ระหว฽างกอ฽ นเรยี นและหลังเรยี น พบว฽า คะแนนเฉลี่ยการทดสอบหลงั สงู กว฽าก฽อนเรียน แสดงว฽าการเรียน โดยการจัดกิจกรรมการเรียนร฾ูแบบซิปปาของนักเรียนหลังเรียนสูงกว฽าก฽อนเรียนอย฽างมีนัยสาคัญทาง สถิติทรี่ ะดบั 0.05 ซง่ึ เป็นไปตามสมมติฐาน ตารางที่ 2 : ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลงานก฽อนเรียนและหลังเรียน การวาดภาพระบาย สโี ปสเตอร์ โดยการจดั กิจกรรมการเรียนรแ฾ู บบซปิ ปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษา ปที ่ี 4 โรงเรียนวดั มะลิ วาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ DD เลขที่ N = 15 คะแนนกอ฽ นเรยี น คะแนนหลังเรียน 17 8 11 25 7 24 36 10 4 16 48 9 11 58 10 2 4

67 9 24 76 9 39 86 10 4 16 96 8 24 10 7 10 3 9 11 5 8 39 12 9 10 1 1 13 7 10 3 9 14 7 8 11 15 8 10 2 4 รวม 102 136 34 92 เฉลีย่ 6.8 9.06 - - S.D. 1.14 1.03 - - ค฽า t จากตาราง เม่อื df = 14, α = 0.05 เท฽ากับ 1.761 ค฽า t ท่ีคานวณได฾ (8.5) มีค฽ามากกว฽า t จากตาราง (1.761) แสดงว฽าหลังการทากิจกรรมการ วาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ โดยการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู฾แบบซิปปา นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สูงกว฽าก฽อนเรียนอย฽างมีนัยยะสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นาเสนอผลการวิเคราะห์ข฾อมูลได฾ ดังตารางท่ี 3 ตารางท่ี 3 : ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู฾แบบซิปปา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรยี นวดั มะลิ การทดลอง N คะแนนเต็ม ̅ D ∑ ∑ D t กอ฽ นเรยี น 15 10 6.8 2.26 34 92 8.5* หลังเรยี น 15 10 9.06 *มนี ยั สาคัญทางสถติ ริ ะดับ 0.05 จากตารางที่ 3 พบว฽าหลังจากเรียนการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการ เรยี นร฾ูแบบซิปปา นา้ หนักเฉลยี่ ̅ ลดลง เท฽ากับ 9.06 มีคะแนนเฉลย่ี D เท฽ากับ 2.26 มีค฽า t เท฽ากับ 8.5 สงู กว฽าก฽อนการเรียนอย฽างมีนัยสาคัญทางสถิติระดับ 0.05 แสดงว฽าการเรียนจากกิจกรรมการวาดภาพ

ระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนร฾ูแบบซิปปา ทาให฾นักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนวัดมะลิ มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสงู ขน้ึ จรงิ ดงั นนั้ การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจดั กจิ กรรมการเรียนรู฾แบบซิปปา เป็นกิจกรรมท่ี สามารถพัฒนาทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน วัดมะลิได฾ เพราะทาให฾นักเรียนเกิดการเรียนรู฾ในทุกๆ ด฾าน ท้ังการทางานแบบกล฽ุม การช฽วยเหลือกัน ภายในกลม฽ุ รวมถึงขนั้ ตอนการสร฾างสรรค์ผลงานให฾ออกมาสัมฤทธิ์ผล อีกท้ังสามารถนาความร฾ูท่ีได฾ ไป ประยุกตใ์ ชใ฾ นชวี ิตประจาวนั หรอื สรา฾ งสรรคผ์ ลงานในรปู แบบใหมๆ฽ ไดต฾ ามความตอ฾ งการ

บทท่ี 5 สรปุ ผลการวจิ ยั อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเพ่ือการเรียนร฾ูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรยี นวดั มะลิ ซึ่งมีการลาดบั ขน้ั ตอนของการวิจัยและผลการวจิ ัยได฾ดงั ต฽อไปน้ี วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย 1. เพ่ือพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยการ จดั กิจกรรมการเรยี นรแู฾ บบซิปปา 2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ของนักเรียน ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4 โดยการจดั กจิ กรรมการเรียนรแู฾ บบซปิ ปา ระหว฽างกอ฽ นเรยี นและหลงั เรียน สมมตฐิ านการวจิ ัย นกั เรียนระดับชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนวัดมะลิ ท่ีเรียนโดยใช฾การจัดกิจกรรมการเรียนรู฾ แบบซปิ ปา มที ักษะการวาดภาพระบายสโี ปสเตอรห์ ลังเรยี นทส่ี ูงขน้ึ กวา฽ กอ฽ นเรียน ขอบเขตของการวจิ ัย ขอบเขตด้านประชากร ประชากรทีใ่ ช฾ในการวิจัยครั้งน้ี เป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรยี นวัดมะลิ จานวนนักเรยี น 15 คน ตวั แปรทศ่ี กึ ษา ตวั แปรตน฾ ไดแ฾ ก฽ การจัดกิจกรรมการเรยี นรแ฾ู บบซปิ ปา ตัวแปรตาม ได฾แก฽ ทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปี ท่ี 4 โรงเรยี นวัดมะลิ เครอื่ งมือท่ใี ชใ้ นการวิจยั 1. แผนจัดการเรียนร฾ู พฒั นาทกั ษะการวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ สาหรบั นักเรยี น ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 2. แบบฝกึ ทกั ษะระหวา฽ งเรยี น การวาดภาพสโี ปสเตอร์ 3. แบบทดสอบก฽อนเรียน (Pre-test) และ หลงั เรียน (Post – test) 4. แบบประเมินทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์

ข้ันตอนการดาเนนิ งานวจิ ยั ข้ันตอนที่ 1 ศึกษาข้อมลู เบ้อื งตน้ เก่ยี วกบั การวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ 1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนึ้ พ้นื ฐาน พทุ ธสักราช 2551 ทาการเลือกตัวช้ีวัดเพ่ือ ใชใ฾ นการออกแบบกจิ กรรมการจัดการเรยี นการสอน 2. ผูว฾ จิ ยั ได฾ศกึ ษาเร่อื ง การวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ และเอกสารงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วข฾อง 3. ข฾อมูลเก่ียวกับข้ันตอนการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ให฾เหมาะสมแก฽นักเรียนระดับช้ัน ประถมศึกษาปที ่ี 4 เพ่อื นาขอ฾ มลู มาใชเ฾ ป็นแนวทางในการส่อื สาหรบั การสอน 4. กาหนดแผนการจดั การเรียนรู฾ การพัฒนาทักษะการเขียนภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการ จดั กิจกรรมการเรียนรู฾แบบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โดยแผนการเรียนรู฾จานวน 8 แผนแผนละ 1 ชวั่ โมง รวมเปน็ 8 ชว่ั โมง 5. ผูว฾ ิจัยนาแผนการจัดการเรียนการสอนเร่ือง การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ที่สร฾างขึ้นไป ให฾ผู฾เชี่ยวชายตรวจสอบเน้ือหาและความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนร฾ู และนาข฾อมูล มาแก฾ไขปรบั ปรงุ แกไ฾ ขให฾ถูกตอ฾ งในลาดบั ต฽อไป ขั้นตอนท่ี 2 ออกแบบและจดั ทาเคร่ืองมอื ในการจดั ทาวิจัย 1. นาตัวชี้วดั ท่ไี ด฾มาใช฾ในการสรา฾ งเครอื่ งมอื การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ 2. สร฾างแบบทดสอบกอ฽ นเรยี น (Pre-test) และ หลงั เรยี น (Post – test) 3. สร฾างแบบฝกึ ระหว฽างเรียน การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ 4. การวัดการประเมินผลใช฾เกณฑร์ บู คิ สกอร์ (Rubric Score) 5. นาเครื่องมือไปให฾ผ฾ูเช่ียวชาญจานวน 3 ท฽านตรวจสอบความถูกต฾อง ความเหมาะสม สอดคล฾องและความเที่ยงตรง ของผ฾เู ช่ียวชาญ และนาขอ฾ มูลทไ่ี ดไ฾ ปปรับปรุงแก฾ไขกจิ กรรมตามคาแนะนา ของผเู฾ ชยี่ วชาญ สรปุ ไดว฾ า฽ เคร่อื งมอื มคี วามสอดคล฾องกบั วัตถุประสงค์ สามารถจดั กิจกรรมการวาดภาพ ระบายสโี ปสเตอร์ ข้ันตอนที่ 3 ทดลองใช้กิจกรรมการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการ เรยี นรู้แบบซิปปา กับกล่มุ ทดลอง 1. ผู฾วิจยั นาแผนการจัดการเรียนการสอนไปใชจ฾ ริงกบั กล฽ุมตัวอย฽างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวดั มะลิ จานวน 15 คน ภาคเรยี นที่ 2 การศึกษา 2563 2. ผวู฾ ิจัยให฾กลม฽ุ ทดลองทาแบบแบบก฽อนเรียน (Pre-test) ก฽อนเร่มิ ดาเนินกจิ กรรม 3. นกั เรยี นทากิจกรรมการวาดภาพระบายโปสเตอร์ โดยใช฾แบบฝกึ ทกั ษะระหวา฽ งเรียน 4. ผูว฾ จิ ัยให฾กลมุ฽ ทดลองทาหลังเรยี น (Post – test) เพือ่ วดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน

การวเิ คราะหข์ ้อมูล 1. หาค฽าสถิติพ้ืนฐานทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ 1.1 การหาคา฽ เฉลย่ี ของคะแนน 1.2 หาค฽าความเบยี่ งเบนมาตรฐาน 1.3 คา฽ ร฾อยละ 2. วิเคราะห์หาค฽าคะแนนความแตกต฽างระหว฽างคะแนนทดสอบก฽อนเรียนและหลังเรียน การวิเคราะหข์ ฾อมลู ใช฾คา฽ เฉลี่ย ( )̅ ส฽วนคา฽ เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนกอ฽ นและหลงั เรยี นใชค฾ ฽า t-test for dependent 3. วิเคราะห์พฒั นาการดา฾ นทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษา ปีที่ 4 โดยใช฾สถติ คิ ฽าเฉลีย่ คา฽ เฉลยี่ ( )̅ ส฽วนคา฽ เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) สรุปผล การวจิ ัยการศกึ ษาด฾านทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนร฾ูแบบ ซิปปา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีท่ี 4 โรงเรียนวัดมะลิ ภายหลังการทดลองพบข฾อสรุปท่ี เป็นไปตามสมติฐาน คอื 1. คะแนนการทาแบบทดสอบการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ก฽อนเรียนมีค฽าเฉล่ีย ̅ คิดเป็น 9.33 และการทาแบบทดสอบหลังเรยี นด฾านทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์มคี า฽ เฉล่ีย ̅ คิดเป็น 13 โดยคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนด฾านทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ มีค฽าเฉล่ียเพ่ิมข้ึนหลังจาก การทากจิ กรรมมคี ะแนนความกา฾ วหน฾าเฉลย่ี (D) เทา฽ กบั 0.93 มคี ฽า t เทา฽ กับ 4.78 สูงกว฽าก฽อนเรียนโดย มนี ัยยะสาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ 0.05 2. ทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู฾แบบซิปปา สาหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 4 โรงเรียนวัดมะลิ ก฽อนได฾รับการจัดการเรียนการสอนการวาดภาพ ระบายสีโปสเตอรม์ ีค฽าเฉลีย่ ̅ คดิ เป็น 6.8 โดยคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนด฾านทักษะวาดภาพระบาย สีโปสเตอร์มีค฽าเฉล่ียเพ่ิมข้ึนหลังจากการทากิจกรรม 9.06 มีคะแนนความก฾าวหน฾าเฉล่ีย (D) เท฽ากับ 2.26 มคี า฽ t เท฽ากบั 8.5 สงู กว฽าก฽อนเรียนโดยมนี ยั สาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดับ 0.05 แสดงว฽านักเรียนมีทักษะ การวาดภาพระบายสโี ปสเตอรส์ ูงขน้ึ อย฽างมนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั 0.05 อภิปรายผล การวิจัยคร้ังน้ีมีความม฽ุงหมายเพ่ือพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัด กิจกรรมการเรียนร฾ูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาช้ันปีที่ 4 โรงเรียนวัดมะลิ จาก ผลการวจิ ยั ท่สี รปุ ขา฾ งต฾น สามารถอภิปรายผลไดด฾ ังน้ี

จากการวิจัยพบวา฽ นกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาชนั้ ปที ่ี 4 โรงเรียนวดั มะลมิ ีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์หลังเรียนสูงขึ้นกว฽าก฽อนเรียนอย฽างมีนัยสาคัญและมีทักษะการวาดภาพ ระบายสีโปสเตอร์ท่ีสูงข้ึนอย฽างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงว฽าการจัดกิจกรรมการเรียนรู฾ รปู แบบซปิ ปาทาให฾นักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีท่ี 4 มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีสูงข้ึนจริงเป็นไปตาม สมตฐิ านทีต่ ้งั ไว฾ ซึ่งสอดคล฾องกบั (ธวัชชัย ยอดราช 2555 : 75) ไดก฾ ลา฽ วไวว฾ า฽ นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาช้ัน ปีท่ี 2 ท่ีเรียนการวาดภาพระบายสีน้าโดยใช฾การเรียนการสอบแบบ CIPPA MODEL โดยเปรียบเทียบ จากคะแนนความสามารถในการวาดภาพสนี ้าแบบตา฽ งๆ พบว฽า การวาดภาพดอกไม฾ ก฽อน การสอนมคี ะแนนเฉลยี่ 25.60 คะแนน และหลงั การสอนมคี ะแนนเฉล่ีย 31.18 มีคะแนนเพ่ิมขนึ้ ร฾อยละ 11.16 ซ่ึงเป็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นอย฽างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 การวาดภาพ ทิวทัศน์ทะเลก฽อนการสอนมีคะแนนเฉลี่ย 22.70 คะแนน และหลังการสอนมีคะแนนเฉลี่ย 28.88 มี คะแนนเพมิ่ ขนึ้ รอ฾ ยละ 12.36 ซง่ึ เป็นสมั ฤทธิท์ างการเรยี นทสี่ ูงขน้ึ อย฽างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 และการวาดภาพความคิดสร฾างสรรค์ ก฽อนการสอนมีคะแนนเฉล่ีย 24.40 คะแนน และหลังการสอนมี คะแนนเฉลี่ย 29.14 มีคะแนนเพ่ิมขึ้น ร฾อยละ 9.48 ซึ่งเป็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีสูงขึ้นอย฽างมี นยั สาคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.05 ซง่ึ เปน็ ไปตามสมติฐานที่ตงั้ ไว฾ ดังน้ัน การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู฾แบบซิปปา สาหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาช้ันปีที่ 4 โรงเรียนวัดมะลิ เป็นกิจกรรมท่ียึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง อีกทั้งให฾ นักเรียนช฽วยเหลือกันภายในกล฽ุม และให฾นักเรียนได฾ลงมือปฏิบัติในการสร฾างผลงานตามกระบวนการ อย฽างถูกต฾องตามข้ันตอน ด฾วยตนเองตั้งแต฽กระบวนการคิด จนไปถึงกระบวนการวาดภาพระบายสี โปสเตอร์ โดยนาความความร฾ูท่ีได฾มาสร฾างสรรค์งาน ทาผู฾เรียนได฾พัฒนาทักษะการวาดภาพวาดภาพ ระบายสีโปสเตอร์ และเพลดิ เพลินกับกิจกรรมและมีพัฒนาการด฾านทกั ษะการวาดภาพวาดภาพระบายสี โปสเตอรแ์ ละด฾านอน่ื ๆ เพ่ิมขนึ้ ปญั หาและอุปสรรคท่พี บในการวิจยั 1. การดาเนินการวิจัยในช฽วงสถานการณ์ Covid – 19 อาจล฽าช฾าหรือคลาดเคลื่อน อีกท้ังต฾อง หาแนวทางการแก฾ไขเฉพาะหนา฾ เช฽น เก็บข฾อมลู สัปดาหล์ ะสองครง้ั เพื่อให฾ทนั ตามเวลาท่กี าหนด 2. เน่ืองจาก Covid – 19 ทาให฾การปรึกษาหาเพ่ือทาการวิจัย ไม฽สะดวก และส฽งผลให฾การ ดาเนินวจิ ยั คอ฽ นข฾างลา฽ ช฾า ข้อเสนอแนะ 1. ผู฾สอนตอ฾ งคอยสนบั สนุนเด็กในการทากิจกรรม และเพอื่ ไมใ฽ ห฾ผูเ฾ รียนเกดิ ความเบ่ือหน฽าย และ ดูแลเด็กอย฽าท่ัวถงึ 2. ผูส฾ อนสามารถนาการสอนแบบซิปปาไปประยกุ ตใ์ ช฾กับกิจกรรมอื่นๆ ได฾ความต฾องการ 3. การสอนแบบซปิ ปาสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช฾กับรายวิชาอน่ื ได฾

บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). การจดั สาระการเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรยี นร้ศู ิลปะ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ องคก์ ารรบั สง฽ สินคา฾ และพสั ดุภณั ฑ์ กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับส฽งสนิ คา฾ และพสั ดภุ ณั ฑ์ จุง ชาวไร฽. (2020). 4 ข้ันตอนง่ายมาก วาดภาพสีโปสเตอร์. สืบค฾นเมื่อ 5 มกราคม 2564, เข฾าถึงได฾จาก : https://cities.trueid.net/bangkok/4-ข้ันตอนง฽ายมาก-วาดภาพสีโปสเตอร์- trueidintrend_69687 ชัยวฒั น์ การรนื่ ศร.ี (2546). ศลิ ปะเบ้ืองต้น วาดเส้น ระบายสี ใบหน้าสร้างสรรค์, กรุงเทพฯ : บริษัท สานกั พมิ พ์ปาเจรา จากัด ทิศนา แขมมณี, สร฾อนสน สกลรักษ์. (2540). แบบแผนและเคร่ืองมือการวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : สานักพิมพจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ธวัชชัย ยอดราช. (2555). การศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวาดภาพระบายสีน้า ระหวา่ ง การเรียนการสอน ก่อนและหลังและศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนชั้น มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล 5 เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี โดยใช้การเรียนการสอน แบบ CIPPA MODEL. มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ ปรีดา ปัญญาจันทร์ และ สุดไผท เมืองไทย (2557). การเขียนภาพประกอบหนังสือสาหรับเด็ก. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์ บริษทั อมรินทรพ์ ร้นิ ติ้งแอนด์พับลิซซง่ิ จากัด (มหาชน) พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต์ และ พเยาว์ ยินดสี ุข. (2539). ทักษะ 5C เพ่ือการพัฒนาหน่วยการเรียนรู้และการ จดั เรยี นการสอนแบบบรู ณาการ. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พแ์ ห฽งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2546). การเรียนการสอนท่ีมีการวิจัยเป็นฐาน. พิมพ์ครั้งท่ี 2 กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์แห฽งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย มนัญญา, เรืองสขุ สุด. (2557). ผลการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง การใช้โปรแกรมเพ้นท์ ด้วยรูปแบบการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA Model) สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบุรีรัมย์ ยงยุทธ สินสวาท, อารีย์ ปรีดีกุล และ วิราพร พงศ์อาจารย์. (2559). การพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา ในรายวชิ าทศั นศลิ ป์ (ศ14101). มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พบิ ูลสงคราม, กรุงเทพฯ วัฒนาพร รงั คะราช (2558). การพัฒนารปู แบบการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ทใ่ี ช้ สื่อประสม (Multimedia) เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและการคิดวิเคราะห์ เร่ือง ความคลา้ ยวชิ าคณิตศาสตร์ 5 สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3. สืบค฾นเม่ือ 11 มกราคม

2564, เข฾าถึงได฾จาก : https://rerujournal.reru.ac.th/wp-content/uploads/2018/03/OK- 21-วัฒนาพร-รังคะราช.pdf สิงขร ภักดี. (2559). การสอนวาดภาพทิวทัศน์. มหาวิทยาลัยราชอุดรธานี, สืบค฾นเมื่อ 10 ธันวาคม 2563, เข฾าถึงได฾จาก : http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/170DXt9XK0 6S17i77K7t. pdf?fbclid=IwAR2YO_CJjIkr8PmVyJlQH0MW279i7lMbm BkDZ7NFrJm- oANDackV5_OHWEU สรุ ยทุ ร พันธเ์ ผือก. (2554). ฝกึ ระบายสโี ปสเตอร์, กรงุ เทพฯ : บริษทั แอ฿ปปูา พร้นิ ดิ้ง กรุ฿ป จากดั อมร นารี และ ดร.สถาพร ขันโต (2554). ผลการจัดประสบการณ์ โดยใช้โมเดลซิปปาสาหรับเด็ก ปฐมวัยปที ่ี 2 โรงเรียนบา้ นง้อง สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาขอนแก่น เขต 4 . มหาวิทยาลัย ขอนแกน฽ อิษณาพร ค฾ุมตะบุตร. (2551). ผลการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ท่ีเน้นผุ้เรียนเป็นสาคัญ กลุ่มสาระ การเรียนศิลปะ (สาระทัศนศิลป์) เรื่อง สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นชมุ ชนบ้านหัวขวั . สบื ค฾นเมื่อ 15 ธันวาคม 2563, เข฾าถึงได฾จาก : http://www.banhuakhua.ac.th/banhuakhua/file_editor/ isana.pdf?fbclid=IwAR2wyTfCJg07lkj1m3JcKSUb2fPrAivUnbBe0rh-wrm_tlPHVfi QmfiD27E อุดร ไชยคา. (2546). การเขียนภาพประกอบด้วยสีดปสเตอร์, กรุงเทพฯ : บริษัท สานักพิมพ์ วาดศิลป฼ จากดั Jeerawut Kokyai. (2014). รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา (CIPPA Model) หรือรูปแบบการประสานหน้าแนวคิด โดย ทิศนา แขมมณี. สืบค฾นเมื่อ 10 มกราคม 2564, เข฾าถึงได฾จาก : https://sites.google.com/site/krutubtib/withi-elea- thaksa-kar-sxn/rup-baeb-kar-reiyn-kar-sxn-doy-yud-phu-reiyn-pen-sunyklang- model-sip-pa-cippa-model-hrux-rup-baeb-kar-prasan-hna-naewkhid-doy-this-na- khaem-mni Yuijung. (2012). เทคนิคการใช้สีโปสเตอร์. สืบค฾นเมื่อ 5 มกราคม 2564, เข฾าถึงได฾จาก : https://yoijung.wordpress.com/2012/02/08/เทคนคิ การใชส฾ ีโปสเตอร์/ ________(-). เทคนิคการใช้สีโปสเตอร์. สืบค฾นเม่ือ 2 มกราคม 2564, เข฾าถึงได฾จาก : https://www.hitgalleria.com/เทคนคิ การใชส฾ โี ปสเตอร์/

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก รายนามผตู้ รวจสอบวจิ ัยและเครื่องมอื ในการวจิ ัย

ภาคผนวก ก รายนามผตู้ รวจสอบวิจัยและเครอ่ื งมอื ในการวจิ ัย 1. ผศ.วฒุ นิ นั ท์ รัตสุข ผ฾ูช฽วยศาสตราจารย์ประจาสาขาศิลปศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และ 2. อาจารยฆ์ นา วรี ะเดชา สังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ิต 3. นายพันศกั ด์ิ เส็งสุวรรณ ผู฾ช฽วยศาสตราจารย์ประจาสาขาศิลปศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และ สงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสวนดุสติ ครปู ระจารายวชิ าทศั นศิลป฼ โรงเรียนวดั มะลิ

ภาคผนวก ข คุณภาพเคร่อื งมือ แบบประเมนิ ความสอดคลอ้ งของชดุ กิจกรรมการวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์

แบบประเมนิ ความเหมาะสมสอดคลอ้ งของแผนการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาทกั ษะการเขยี นภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจดั กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบซิปปา สาหรับนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 คาช้ีแจง : ขอให฾ท฽านผู฾เช่ียวชาญได฾กรุณาแสดงความคิดเห็นของท฽านที่มีต฽อแผนการจัดการเรียนรู฾ โปรดพิจารณาว฽าชุดกิจกรรมการเรียนร฾ูการพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัด กิจกรรมการเรยี นรู฾แบบซิปปา สาหรบั นกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 มคี วามเหมาะสมตามองคป์ ระกอบ ดา฾ นต฽างๆ ทีก่ าหนดหรือไม฽ ขอใหท฾ ฽านผเู฾ ชยี่ วชาญกรุณาแสดงความคิดเห็น โดยเขยี นเครื่องหมาย  ลง ในชอ฽ ง “ระดับความคดิ เห็น” ตามความคดิ เห็นของท฽าน ดงั นี้ +1 หมายถงึ มีความเหมาะสมสอดคล฾อง 0 หมายถงึ ไมแ฽ น฽ใจว฽ามีความเหมาะสมสอดคลอ฾ ง - 1 หมายถงึ ไม฽มีความเหมาะสมสอดคลอ฾ ง ความคดิ เหน็ รายการประเมนิ ผู฾เชี่ยวชาญ ข฾อเสนอแนะ +1 0 - 1 1. ดา้ นแผนการจัดการเรียนรู้ 1.1 มาตรฐานการเรียนรู฾ ตัวช้ีวัด และสาระการเรียนรู฾ ตร ง ต าม หลั ก สู ตร แก น ก ลา ง ก าร ศึก ษา ข้ัน พื้ น ฐา น พุทธศักราช 2551 1.2 สาระการเรยี นรู฾ และจุดประสงคก์ ารเรยี นรู฾สอดคล฾อง กบั ตวั ช้ีวัด 1.3 กิจกรรมการเรียนร฾ูเหมาะสมกับจุดประสงค์และสาระ การเรยี นรู฾ 1.4 กิจกรรมครอบคลมุ สาระการเรียนรู฾ 1.5 ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสมต฽อการเรียนใน เนือ้ หาแตล฽ ะชุดกิจกรรม 2. ดา้ นสื่อการเรียนรู้ 2.1 สอดคล฾องกับจดุ ประสงค์การเรียนรู฾ 2.2 สอดคล฾องกับกจิ กรรมการเรยี นรู฾ 2.3 กิจกรรมช฽วยกระต฾ุนให฾ผ฾ูเรียนเกิดการคิดอย฽าง

มีวจิ ารณญาณ 2.4 ช฽วยให฾ผู฾เรียนสามารถพัฒนาด฾านความรู฾ ด฾านทักษะ กระบวนการคดิ อย฽างมวี ิจารณญาณ 2.5 ช฽วยให฾ผู฾เรียนร฾ูวิธีการใช฾ส่ือและแหล฽งข฾อมูลต฽างๆ เพอื่ การศกึ ษาคน฾ คว฾าเพมิ่ เตมิ 3. ด้านแบบฝกึ ระหวา่ งเรยี น 3.1 แบบฝึกมคี วามสอดคล฾องกบั โครงสรา฾ งของหลักสตู ร 3.2 แบบฝกึ มีความตรงตามเนือ้ หาในสาระการเรยี นรู฾ 3.3 จานวนข฾อและเวลาในการทาแบบฝึกมีความ เหมาะสม 3.4 คาชแี้ จงและคาสงั่ ในแบบฝกึ มีความชัดเจน เขา฾ ใจงา฽ ย 3.5ความเหมาะสมต฽อกระบวนการพัฒนาผู฾เรยี น 3.6 แบบฝึกสามารถเร฾าความสนใจและส฽งเสริมความ สามารถในการลงมอื ปฏิบัติ 4. ด้านเกณฑก์ ารประเมิน 4.1 วิธีการตรวจใหค฾ ะแนนแบบฝกึ มีความถูกตอ฾ ง 4.2 วัดได฾ครอบคลุมจุดประสงคก์ ารเรียนรู฾ 4.3 เครื่องมือท่ีใช฾วัดและประเมินครอบคลุมจุดประสงค์ การเรียนรู฾ 4.4 เกณฑ์ที่ใช฾วัดและประเมินผลครอบคลุมจุดประสงค์ การเรยี นร฾ู 4.5 วัดและประเมินผลเน฾นผลเน฾นการประเมินตาม ภาพจรงิ ข฾อเสนอแนะ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… (ลงชอ่ื )................................................................ผ฾ปู ระเมิน (.......................................................) ตาแหนง฽ …………………………………………………………………..

แบบประเมนิ ความเหมาะสมสอดคลอ้ งที่มีต่อแบบทดสอบกอ่ นเรียน การพัฒนาทักษะการเขียนภาพระบายสโี ปสเตอร์ โดยการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบซปิ ปา สาหรบั นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 คาชี้แจง : โปรดพิจารณาว฽าข฾อสอบแต฽ละข฾อมีความสอดคล฾อง (IOC) กับการเรียนรู฾การพัฒนาทักษะ การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู฾แบบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 4 ขอให฾ท฽านผ฾ูเช่ียวชาญกรุณาแสดงความคิดเห็น โดยเขียนเครื่องหมาย  ลงในชอ฽ ง “ระดบั ความคดิ เหน็ ” ตามความคดิ เหน็ ของทา฽ น ดงั นี้ +1 หมายถึง มคี วามเหมาะสมสอดคลอ฾ ง 0 หมายถึง ไม฽แน฽ใจวา฽ มคี วามเหมาะสมสอดคล฾อง - 1 หมายถึง ไม฽มคี วามเหมาะสมสอดคลอ฾ ง ข฾อ รายการประเมิน ความคิดเหน็ ผู฾เชยี่ วชาญ ข฾อเสนอแนะ +1 0 - 1 1 สโี ปสเตอรม์ คี ณุ ลกั ษณะอย฽างไร ก. ทึบแสง ข. โปรง฽ แสง ค. ทบึ แสงและโปร฽งแสง ง. ผดิ ทุกข฾อ (เฉลย ก) 2 สีแท฾ (Hue) หมายความว฽าอยา฽ งไร ก. สที ถี่ ูกผสมกบั สีดา ข. สีทีถ่ กู ผสมกบั สขี าว ค. สีท่ยี ังไม฽ถกู ผสมกบั สดี าและสีขาว ง. สที ถี่ กู ผสมกับสดี าและสขี าว (เฉลย ค) 3 คส฽ู ใี ดมคี วามกลมกลนื มากท่สี ดุ ก. แดงกับเขียว ข. สม฾ กับนา้ เงนิ ค. สม฾ กับเหลือง ง. มว฽ งกบั เขียว (เฉลย ค)

4 ขน้ั ตอนแรกของการวาดภาพสโี ปสเตอร์ คอื อะไร ก. การรา฽ งภาพโดยรวม ข. กาหนดสี ค. จัดเตรียมวสั ดุและอปุ กรณ์ ง. ผิดทกุ ข฾อ (เฉลย ก) 5 หากต฾องการวาดภาพสีโปสเตอร์ให฾มีกรอบที่คมชัด ควรทาอยา฽ งไร ก. ตดิ เทปใส ข. ตกี รอบดว฾ ยดินสอ ค. ตีกรอบด฾วยปากกา ง. ติดกระดาษกาวสาหรบั กนั สี (เฉลย ง) 6 หากผสมน้าลงในสีโปสเตอร์มากเกินไป จะส฽งผล อยา฽ งไร ก. สีออ฽ นหรือจางเกินไป ข. สีสดใสขนึ้ ค. สีเข฾มข้ึน ง. สรี ะบายงา฽ ย (เฉลย ก) 7 “สีโปสเตอร์” ในคาศัพท์ภาษาองั กฤษคือข฾อใด ก. Watercolor ข. Poster color ค. Oil pastel ง. Draw (เฉลย ข) 8 หากต฾องการให฾สีให฾อ฽อนลง ควรใช฾สีใดเป็นส฽วน ประสม ก. สีเหลือง ข. สีเขียว ค. สสี ม฾ ง. สีขาว (เฉลย ง)

9 จากภาพเปน็ ค฽าน้าหนกั สีที่ผสมด฾วยสใี ด ก. สีดา ข. สีเหลอื ง ค. สชี มพู ง. สขี าว (เฉลย ง) 10 จากภาพเป็นคา฽ น้าหนักสีท่ผี สมดว฾ ยสีใด ก. สเี ขยี ว ข. สดี า ค. สีน้าตาลง ง. สีขาว (เฉลย ข) 11 ขอ฾ ใดกลา฽ วผดิ ก. คณุ ลกั ษณะของสโี ปสเตอร์คอื ทบึ แสง ข. สีโปสเตอร์ใช฾แปูงเปน็ สว฽ นผสม ค. ภาพเขยี นสโี ปสเตอรม์ ีความทนทานกว฽า สปี ระเภทอนื่ ง. ผดิ ทกุ ข฾อ (เฉลย ค) 12 ภาพสีโปสเตอร์ท่ีแห฾งแล฾วหากโดนน้าจะส฽งผล อยา฽ งไร ก. ภาพเข฾มขน้ึ ข. ภาพสวยขน้ึ ค. ภาพเสยี หาย ง. ไม฽สง฽ ผลใดๆ (เฉลย ค) 13 13. ภาพใดตอ฽ ไปน้คี ือภาพเขยี นสีโปสเตอร์ ก.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook