บทท่ี 1 บทนา ความสาคัญและความเป็นมาของปัญหา ปัจจบุ นั การสรางงานทศั นศลิ ปโ ดยการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ใหมีความสมบูรณ์น้ัน ผูสราง ลว นตอ งมที กั ษะในการวาดภาพระบายสี เพ่ือใหผลงานออกมาสวยงาม สมบูรณ์แบบ ซ่ึงตองอาศัยการ เรียนรูอยูเสมอ เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือไมใหบกพรอง การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์จาเป็นตองทราบ ลาดับขั้นตอน โดยเร่ิมตนจากการเรียนรู หรือสัมผัสกับธรรมชาติและสภาพแวดลอม นามาสูการสราง ประสบการณ์หรือความชานาญแลว จึงเกิดความคดิ และลงมอื ปฏบิ ตั ิ การพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ตองอาศัยท้ังความหลงใหลและความทุมเท ฝกึ ฝนกับการเรยี นรอู ยูส ม่าเสมอ โดยตองอาศัยบทบาทของครูและบทบาทของนักเรียนรวมกัน ซึ่งการ จดั การเรียนรูท่ีเนนผูเรียนเป็นสาคัญนั้น ครูผูสอนเป็นผูถายทอดความรูใหกับผูเรียนโดยยึดผูเรียนเป็น ศูนย์กลาง เพ่ือเนนใหผูเรียนมีองค์ความรูและพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ใหมี ประสทิ ธิภาพ การวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์เป็นส่งิ ท่สี าคญั อยา งหนึ่งในดานศิลปะ ซึ่งเป็นส่ิงท่ีจะนาไปสูงาน ศลิ ปะดานอน่ื ซ่งึ จากการจัดการเรยี นการสอนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 น้ันพบวา นักเรียนยัง ขาดทักษะพ้ืนฐานการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ในการสรางสรรค์ผลงานศิลปะ มากกวาการวาดภาพ ระบายสีไม และการวาดภาพระบายสีประเภทอื่น ซึ่งในการวาดภาพสีโปสเตอร์จะตองใชความรู ความ เขาใจวิธีการวาดภาพระบายสีอยางถูกตองตามกระบวนการตามขั้นตอน และจาเป็นตองฝึกฝนทักษะ อยา งสม่าเสมอ นอกจากน้ีสอื่ การเรยี นรูและกิจกรรมการจดั การเรียนรูเป็นสิ่งท่ีชวยใหการเรียนรูอยางมี ประสิทธิภาพ เพราะจะชวยใหผูเรียนเขาใจงายขึ้น และสามารถแสดงทักษะการวาดภาพระบาย สโี ปสเตอร์ไดดวยตนเอง จากสภาพดังกลาวผูวิจัยตองการพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ใหดีข้ึน จึงไดศึกษาเอกสารตางๆ พบวาการจัดกิจกรรมการเรียนรู รูปแบบ CIPPA เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีเนนผูเรียนเป็นสาคัญและมีลาดับขั้นตอน ซ่ึงมีทั้งหมด 7 ข้นั เป็นการกระตุนใหผูเรียนรูจักคิดทบทวนความรูเดิม แสวงหาความรูดวยตนเองอีกท้ังใหผูเรียนมี สว นรว มในการแลกเปล่ียนความรูภายในกลุมและในช้ันเรียน จากนั้นครูผูสอนเป็นผูจัดระเบียบความรู จดั เตรยี มสื่อการสอนและเปน็ ผสู าธติ ข้นั ตอนการปฏบิ ตั ใิ หแกน กั เรียน เพือ่ ใหผ เู รียนฝึกปฏิบัติแบบยอยๆ ไดตามขั้นตอน กอนเชื่อมโยงตอกันใหกวางขวางข้ึนตามลาดับและสามารถนาความรูเ หลาน้ันไป ประยุกต์ใช จะชวยใหผูเรยี นประสบความสาเร็จไดดีและรวดเรว็ ข้นึ ดวยเหตุผลดังกลาวขางตน ผูวิจัยรายวิชาทัศนศิลป จึงเล็งเห็นความสาคัญที่จะนาการจัด กิจกรรมการเรยี นรแู บบซิปปา (CIPPA) มาประยกุ ต์ใชกับแผนการเรียนรูประกอบชุดฝึกทักษะ การวาด ภาพระบายสโี ปสเตอร์ ของนักเรยี นระดับช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรียนวัดมะลิ ใหผูเรียนมีทักษะการ วาดภาพระบายสีโปสเตอร์ท่ีดีขึ้นจากเดิม ซ่ึงเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เนนผูเรียนเป็น
ศูนย์กลางและเนนใหผูเรียนรูจักคิดทบทวน ลงมือปฏิบัติ ซ่ึงจะชวยใหทักษะการวา ดภาพระบายสี โปสเตอร์ ของนักเรยี นระดบั ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 สงู ข้นึ และมีประสทิ ธภิ าพตอ ไป วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย 1. เพอื่ พัฒนาทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 โดยการ จดั กิจกรรมการเรียนรแู บบซปิ ปา 2. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปที ่ี 4 โดยการจัดกิจกรรมการเรยี นรูแบบซปิ ปา ระหวา งกอ นเรยี นและหลงั เรยี น ขอบเขตของการวิจยั ขอบเขตด้านประชากร ประชากรทีใ่ ชใ นการวิจัยครั้งน้ี เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรยี นวัดมะลิ จานวนนักเรยี น 15 คน ตวั แปรทีศ่ ึกษา ตัวแปรตน ไดแ ก การจัดกิจกรรมการเรียนรแู บบซปิ ปา ตัวแปรตาม ไดแก ทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปที ี่ 4 โรงเรียนวัดมะลิ ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการทดลอง ดาเนินการในการทดลองในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 ใชเวลาในการทดลองสัปดาห์ละ 1 ชว่ั โมง เป็นระยะเวลา 8 ช่ัวโมง สมมตฐิ านการวจิ ยั นักเรยี นระดบั ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดมะลิ ที่เรียนโดยใชการจัดกิจกรรมการเรียนรู แบบซปิ ปา มีทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์หลังเรยี นทสี่ ูงขึน้ กวากอ นเรยี น นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ CIPPA การจัดการเรียนการสอนท่ีเนนผูเรียนเป็นสาคัญ เป็นรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ท่ีมุงเนนใหนักเรียนศึกษาคนควา รวบรวมขอมูลดวย ตนเองการมีสวนรวมในการสรางความรู การมีปฏิสัมพันธ์กับผูอ่ืน และการแลกเปล่ียนความรู การได เคลื่อนไหวทางกาย การเรยี นรูกระบวนการตา งๆ และการนาความรูไปประยกุ ต์ใช มีขน้ั ตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรแู บบ CIPPA ดังน้ี
ข้ันท่ี 1 การทบทวนความรูเดิม - ขนั้ นี้เป็นการดงึ ความรเู ดิมของผเู รียนในเรื่องทจี่ ะเรียน เพือ่ ชว ยใหผูเรียนมีความพรอมในการ เชอ่ื มโยงความรใู หมกับความรเู ดิมของตน ซ่ึงผูสอนอาจใชวิธีการตางๆ ไดอยางหลากหลาย เชน ผูสอน อาจใชก ารสนทนาซกั ถามใหผเู รยี นเลาประสบการณ์เดิม หรือใหผูเรียนแสดงโครงความรูเดิม (Graphic Organizer) ของตน ขั้นท่ี 2 การแสวงหาความรูใหม - ข้ันนี้เป็นการแสวงหาขอมูลความรูใหมของผูเรียนจากแหลงขอมูล หรือแหลงความรูตางๆ ซึ่งผูสอนอาจจดั เตรียมมาใหผูเรยี นหรือใหค าแนะนาเก่ียวกับแหลงขอมูลตางๆ เพ่ือใหผูเรียนไปแสวงหา ก็ไดในขัน้ นีผ้ ูสอนควรแนะนาแหลงความรตู า งๆ ใหแกผ เู รียนตลอดทงั้ จัดเตรยี มเอกสารสื่อตา งๆ ข้นั ที่ 3 การศึกษาทาความเขา ใจความรใู หม และเชอ่ื มโยงความรใู หมกบั ความรเู ดมิ - ขั้นน้ีเป็นขั้นท่ีผูเรียนศึกษาและทาความเขาใจกับขอมูล/ความรูที่หามาได ผูเรียนสราง ความหมายของขอมูล/ประสบการณ์ใหมๆ โดยใชกระบวนตางๆ ดวยตนเอง เชน ใชกระบวนการคิด กระบวนการกลุมในการอภิปราย และสรุปความเขาใจเกี่ยวกับขอมูลน้ันๆ ซ่ึงจาเป็นตองอาศัยการ เชอ่ื มโยงกบั ความรเู ดมิ ในข้นั น้ี ผสู อนควรใชก ระบวนการตางๆ ในการจัดกิจกรรม เชน กระบวนการคิด กระบวนการ กลมุ กระบวนการแสวงหาความรู กระบวนการแกปัญหา กระบวนการสรางลักษณะนิสัย กระบวนการ ทกั ษะทางสงั คม ฯลฯ เพ่อื ใหผูเรยี นสรา งความรูขึ้นมาดวยตนเอง ขั้นที่ 4 การแลกเปล่ยี นความรูค วามเขา ใจกบั กลมุ - ข้นั นี้เปน็ ขนั้ ท่ผี เู รียนอาศยั กลมุ เป็นเคร่ืองมือในการตรวจสอบความรวมทั้งขยายความรูความ เขา ใจของตนใหกวางข้ึน ซงึ่ จะชว ยใหผูเรียนไดแบงปันความรูความเขาใจของตนเองแกผูอ่ืน และไดรับ ประโยชน์จากความรู ความเขา ใจของผอู นื่ ไปพรอ มๆ กนั ขนั้ ที่ 5 การสรปุ และจดั ระเบยี บความรู - ขั้นนี้เป็นข้ันของการสรุปความรูท่ีไดรับทั้งหมด ท้ังความรูเดิมและความรูใหม และจัดส่ิงที่ เรยี นใหเป็นระบบระเบียบ เพื่อใหผูเรียนจดจาสิ่งทเ่ี รยี นรูไดงาย ผูสอนควรใหผูเรียนสรุปประเด็นสาคัญ ประกอบดว ยมโนทศั นห์ ลัก และมโนทัศน์ยอยของความรูทั้งหมด แลวนามาเรียบเรียงใหไดสาระสาคัญ ครบถวน ผูสอนอาจใหผ ูเ รยี นจดเป็นโครงสรางความรู จะชว ยใหจดจาขอ มูลไดงาย ขน้ั ท่ี 6 การปฏบิ ัติและการแสดงผลงาน - ข้นั นี้จะชว ยใหผ ูเรียนไดมีโอกาสแสดงผลงานการสรางความรูของตนใหผูอ่ืนรับรู เป็นการชวย ใหผเู รียนไดตอกย้าหรือตรวจสอบความเขาใจของตน และชวยสงเสริมใหผูเรียนใชความคิดสรางสรรค์ แตหากตอ งมกี ารปฏบิ ัตติ ามขอ มลู ทไ่ี ด ขน้ั นีจ้ ะเป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานท่ีไดปฏิบัติดวย ใน ข้ันน้ีผูเรียนสามารถแสดงผลงานดวยวิธีการตางๆ เชน การจัดนิทรรศการ การอภิปราย การแสดง บทบาทสมมติ เรยี งความ วาดภาพ ฯลฯ และอาจจัดใหม กี ารประเมนิ ผลงานโดยมเี กณฑท์ ี่เหมาะสม
ขั้นท่ี 7 การประยกุ ตใ์ ชความรู - ข้ันน้ีเป็นขั้นของการสงเสริมใหผูเรียนไดฝึกฝนการนาความรูความเขาใจของตนไปใชใน สถานการณ์ตางๆ ที่หลากหลาย เพ่ิมความชานาญ ความเขาใจ ความสามารถในการแกปัญหาและ ความจาในเร่ืองน้ันๆ เป็นการใหโอกาสผูเรียนใชความรูใหเป็นประโยชน์ เป็นการสงเสริมความคิด สรา งสรรค์ ข้ันตอนต้ังแตขั้นท่ี 1 - 6 เป็นกระบวนการของการสรางความรู (construc-tion of knowledge) ซ่ึงครูสามารถจัดกิจกรรมใหผูเรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปล่ียนเรียนรูกัน (interaction) และฝกึ ฝนทกั ษะกระบวนการตางๆ (process learning) อยา งตอเนอ่ื ง เน่ืองจากขั้นตอน แตละข้ันตอนชวยใหผูเรียนไดทากิจกรรมหลากหลายท่ีมีลักษณะใหผูเรียนไดมีการเคล่ือนไหวทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ และทางสังคม อยางเหมาะสม 6 ทีคุณสมบัติตามหลักการ CIPPA สวนขั้นตอนที่ 7 เป็นข้ันตอนท่ีชวยใหผูเรียนนาความรูไปใช (application) จึงทาใหเป็นรูปแบบน้ี มีคณุ สมบัติครบตามหลัก CIPPA 2. พัฒนาทักษะ คือ การฝนประสบการณค์ วามรูเ ดมิ ใหม ปี ระสทิ ธิภาพเพ่มิ ขึน้ โดยการฝึกฝนลง มือปฏบิ ัติ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2552 อธิบายวา ทักษะ หมายถึง ความชานาญมา จากคาภาษาอังกฤษวา skill นอกจากน้ี คณะกรรมการจัดทาพจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์รวมสมัยยัง ไดข ยายความของคาวา ทกั ษะ (skill) มากขึ้นวา หมายถึง ความชานาญหรือความสามารถในการกระทา หรอื การปฏบิ ตั ิอยา งใดอยา งหนึ่งซ่ึงอาจเป็นทักษะดานรางกาย สติปัญญา หรือสังคม ท่ีเกิดขึ้นจากการ ฝึกฝนหรอื การกระทาบอยๆ 3. การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ คือ เป็นการระบายสีโปสเตอร์ขั้นพื้นฐาน มีวิธีระบายสีให ผสมกลมกลืนกัน แบงออกเปน็ 2 วิธี ไดแก ระบายสจี ากสีแกไ ปหาสีออน และการระบายสีจากสีออนไป หาสแี ก 3.1 การระบายสีจากสแี กไปหาสอี อน เป็นการระบายสโี ดยคานึงถึงเงาเขมของภาพกอนแลว คอ ยลดนา้ หนักใหอ อนจางลงดวยการผสมสีขาว หรือ สีใกลเคียงในวงจรสีท่ีมีน้าหนักออนลงตามลาดับ มาผสมเพิ่มเขา ไปทลี ะนอยในลักษณะการไลนา้ หนกั สี เพอื่ ใหภ าพสวางกลมกลนื กนั 3.2 การระบายสีจากสอี อ นไปหาสแี ก เป็นการระบายสีโดยคานงึ ถึงสวนสวา งหรอื สว นที่ไดรับ แสงกอน แลวจึงคอยๆ เพ่ิมน้าหนักใหเขมขึ้นทีล ะนอยดวยการผสมสีดา หรือ สีตรงขาม หรือสีใกลเคียงกันในวงจรสีที่มีน้าหนักเขมข้ึนตามลาดับในลักษณะการไลน้าหนักสี เพ่ือใหเกิดการ ประสานกลมกลืนกัน 4. สีโปสเตอร์ สีโปสเตอร์ มีคุณสมบัติเป็นสีทึบแสง มีเน้ือสีละเอียดระบายใหเรียบไดงายและ นุมนวลกวาสีชนิดอ่ืน การระบายสีสามารถระบายทับซอนกันไดหลายคร้ังเม่ือตองการระบายสีใหม ถาตองการระบายเป็นสีเขมใหใชสีแทๆ ผสมกับสีดาแลวระบายลงบนพื้นกระดาษ ถาตองการระบาย สีออน ควรใชส ขี าวเปน็ สว นผสมกจ็ ะไดสที ่ีมีคาออนและนมุ นวลยงิ่ ขึ้น
กรอบแนวคิด การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซปิ ปา ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ขน้ั ท่ี 1 การทบทวนความรเู ดมิ ข้ันที่ 2 การแสวงหาความรใู หม การจัดกิจกรรมการ ทักษะการวาดภาพ ขัน้ ท่ี 3 การศกึ ษาทาความเขา ใจความรใู หม เรยี นรูแบบซิปปา ระบายสีโปสเตอร์ ขน้ั ที่ 4 การแลกเปลย่ี นความรู สาหรบั นักเรียน ขั้นท่ี 5 การสรปุ และจดั ระเบียบความรู ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ขัน้ ที่ 6 การปฏิบัติและการแสดงผลงาน โรงเรียนวดั มะลิ ข้ันที่ 7 การประยุกตใ์ ชความรู ภาพที่ 1 : กรอบแนวคิด ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธ์ิดานทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์สูงข้ึน จากการจัดกจิ กรรมการจดั กิจกรรมการเรียนรูแ บบซปิ ปา 2. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ หลงั เรยี นสงู ขน้ึ กวา กอ นเรยี น
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ียวขอ้ ง การวิจัยเร่ืองการพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู แบบซิปปา สาหรบั นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดมะลิ ผูศึกษาคนควาไดศึกษาเอกสารและ งานวิจยั ท่เี กีย่ วขอ งเรยี งตามลาดบั ขั้นดงั น้ี 1. หลักสูตรการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พธุ ศกั ราช 2551 2. สาระและมาตรฐานการเรยี นรกู ลุม สาระการเรยี นรูศลิ ปะ 3. แผนการเรียนรู 4. คุณสมบัติของสีโปสเตอร์ 5. การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ 6. การจดั การเรียนรูแ บบซิปปา (CIPPA) 7. เอกสารและงานวิจยั ที่เกย่ี วขอ ง 1. หลกั สูตรการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุธศักราช 2551 มาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัดที่กาหนดไวในเอกสารนี้ ชวยทาใหหนวยงานท่ีเก่ียวของ ในทุกระดับเห็นผลคาดหวังท่ีตองการในการพัฒนาการเรียนรูของผูเรียนท่ีชัดเจนตลอดแนว ซึ่งจะ สามารถชวยใหหนวยงานท่ีเกี่ยวของในระดับทองถิ่นและสถานศึกษารวมกันพัฒนาหลักสูตรไดอยาง มั่นใจ ทาใหการจัดทาหลักสูตรในระดับสถานศึกษามีคุณภาพและมีความเป็นเอกภาพย่ิ งขึ้น อีกท้ัง ยังชวยใหเกิดความชัดเจนเร่ืองการวัดและประเมินผลการเรียนรู และชวยแกปัญหาการเทียบโอน ระหวา งสถานศึกษา ดังนั้นในการพัฒนาหลักสูตรในทุกระดับต้ังแตระดับชาติจนกระท่ังถึงสถานศึกษา จะตองสะทอนคณุ ภาพตามมาตรฐานการเรียนรแู ละตัวชี้วัดที่กาหนดไวในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน รวมทั้งเป็นกรอบทิศทางในการจัดการศึกษาทุกรูปแบบ และครอบคลุมผูเรียน ทกุ กลุมเปูาหมายในระดับการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน การจัดหลกั สตู รการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐานจะประสบความสาเร็จตามเปูาหมายที่คาดหวังได ทุกฝุาย ท่ีเก่ียวของท้ังระดับชาติ ชุมชน ครอบครัว และบุคคลตองรวมรับผิดชอบ โดยรวมกันทางานอยางเป็น ระบบ และตอเนื่อง ในการวางแผน ดาเนินการ สงเสริมสนับสนุน ตรวจสอบ ตลอดจนปรับปรุงแกไข เพือ่ พัฒนาเยาวชนของชาตไิ ปสูค ุณภาพตามมาตรฐานการเรยี นรทู ่ีกาหนดไว วิสยั ทศั น์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุงพัฒนาผูเรียนทุกคน ซ่ึงเป็นกาลังของชาติใหเป็น มนุษย์ที่มีความสมดุลท้ังดานรางกาย ความรู คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็น พลโลก ยดึ ม่นั ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู
และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จาเป็นตอการศึกษาตอการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุงเนนผูเรียนเป็นสาคัญบนพื้นฐานความเชื่อวาทุกคนสามารถเรียนรูและพัฒนาตนเองไดเต็มตาม ศักยภาพ หลักการ หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน มีหลกั การท่ีสาคัญ ดงั น้ี 1. เปน็ หลักสตู รการศึกษาเพอ่ื ความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู เป็นเปูาหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนใหมีความรู ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพ้ืนฐาน ของความเปน็ ไทยควบคกู ับความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสไดรับการศึกษาอยางเสมอภาค และมคี ณุ ภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอานาจ ใหสังคมมีสวนรวมในการจัดการศึกษา ใหสอดคลอ งกบั สภาพและความตอ งการของทอ งถิ่น 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสรางยืดหยุนท้ังดานสาระการเรียนรู เวลาและการจัด การเรียนรู 5. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาที่เนนผูเรียนเป็นสาคญั 6. เป็นหลักสตู รการศึกษาสาหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุม ทกุ กลุม เปาู หมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรียนรู และประสบการณ์ จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานมุงพัฒนาผูเรียนใหเป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาตอและประกอบอาชีพจึงกาหนดเป็นจุดหมายเพ่ือใหเกิดกับผูเรียนเมื่อจบ การศึกษาข้นั พื้นฐาน ดงั น้ี 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และคานิยมท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณคาของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตน ตามหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาที่ตนนบั ถอื ยึดหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 2. มีความรู ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแกปัญหา การใชเทคโนโลยี และมี ทักษะชีวิต 3. มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจติ ที่ดี มีสุขนสิ ัย และรกั การออกกาลงั กาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดม่ันในวิถีชีวิตและการ ปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข
สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียนและคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ในการพัฒนาผูเรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานมุงเนนพัฒนาผูเรียนใหมี คณุ ภาพตามมาตรฐานทีก่ าหนด ซ่ึงจะชวยใหผ เู รยี นเกดิ สมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดงั น้ี สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน มงุ ใหผูเรยี นเกิดสมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดงั นี้ 1. ความสามารถในการสื่อสารเป็นความสามารถในการรับและสงสาร มีวัฒนธรรมในการใช ภาษาถายทอดความคิด ความรูความเขาใจ ความรูสึก และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปล่ียนขอมูล ขาวสารและประสบการณอ์ นั จะเป็นประโยชน์ตอการพัฒนาตนเองและสังคม รวมท้ังการเจรจาตอรอง เพ่ือขจัดและลดปัญหาความขัดแยงตาง ๆ การเลือกรับหรือไมรับขอมูลขาวสารดวยหลักเหตุผลและ ความถกู ตอ ง ตลอดจนการเลือกใชวิธีการส่ือสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบที่มีตอตนเอง และสงั คม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อยา งสรา งสรรค์ การคิดอยา งมวี จิ ารณญาณ และการคดิ เป็นระบบ เพ่ือนาไปสูการสรางองค์ความรูหรือ สารสนเทศเพือ่ การตัดสนิ ใจเก่ยี วกับตนเองและสังคมไดอ ยา งเหมาะสม 3. ความสามารถในการแกปัญหา เป็นความสามารถในการแกปัญหาและอุปสรรคตางๆ ท่ีเผชิญไดอยางถูกตองเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและขอมูลสารสนเทศ เขาใจ ความสัมพนั ธแ์ ละการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ตางๆ ในสังคม แสวงหาความรู ประยุกต์ความรูมาใช ในการปูองกันและแกไขปัญหา และมีการตัดสินใจท่ีมีประสิทธิภาพโดยคานึงถึงผลกระทบท่ีเกิดขึ้น ตนเอง สังคมและส่งิ แวดลอ ม 4. ความสามารถในการใชทักษะชีวิตเป็นความสามารถในการนากระบวนการตางๆ ไปใชใน การดาเนินชวี ติ ประจาวนั การเรยี นรูดว ยตนเอง การเรียนรอู ยางตอ เนอื่ ง การทางาน และการอยูรวมกัน ในสงั คมดว ยการสรา งเสรมิ ความสมั พนั ธ์อันดีระหวางบคุ คล การจดั การปญั หาและความขัดแยงตางๆ อยาง เหมาะสม การปรับตัวใหทันกับการเปล่ียนแปลงของสังคมและสภาพแวดลอม และการรูจักหลีกเลี่ยง พฤติกรรมไมพึงประสงค์ทส่ี งผลกระทบตอ ตนเองและผูอืน่ 5. ความสามารถในการใชเทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช เทคโนโลยีดานตางๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในดานการเรียนรู การส่ือสาร การทางาน การแกป ญั หาอยางสรา งสรรค์ ถูกตอง เหมาะสม และมคี ณุ ธรรม
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุง พฒั นาผูเ รยี นใหม ีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให สามารถอยูรวมกับผอู ื่นในสงั คมไดอ ยา งมีความสขุ ในฐานะเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2. ซือ่ สัตยส์ ุจริต 3. มีวินยั 4. ใฝเุ รียนรู 5. อยอู ยางพอเพียง 6. มุงมั่นในการทางาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมใหสอดคลองตาม บริบทและจุดเนนของตนเอง มาตรฐานการเรยี นรู การพัฒนาผูเรียนใหเกิดความสมดุล ตองคานึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน จึงกาหนดใหผ ูเรียนเรียนรู 8 กลมุ สาระการเรียนรู ดังน้ี 1. ภาษาไทย 2. คณติ ศาสตร์ 3. วทิ ยาศาสตร์ 4. สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5. สุขศึกษาและพลศกึ ษา 6. ศลิ ปะ 7. การงานอาชพี และเทคโนโลยี 8. ภาษาตา งประเทศ ในแตล ะกลมุ สาระการเรียนรูไดก าหนดมาตรฐานการเรยี นรูเป็นเปูาหมายสาคัญของการพัฒนา คุณภาพผูเรียน มาตรฐานการเรียนรูระบุส่ิงท่ีผูเรียนพึงรู ปฏิบัติได มีคุณธรรมจริยธรรม และคานิยม ท่ีพึงประสงค์เม่ือจบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน นอกจากน้ันมาตรฐานการเรียนรูยังเป็นกลไกสาคัญ ในการ ขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรูจะสะทอนใหทราบวาตองการอะไร จะสอนอยางไร และประเมินอยางไร รวมทั้งเป็นเคร่ืองมือในการตรวจสอบเพ่ือการประกันคุณภาพ การศึกษาโดยใชระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภ ายนอกซึ่งรวมถึงการ ทดสอบระดับเขตพ้ืนท่ีการศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพ ดังกลาวเป็นสิ่งสาคัญที่ชวยสะทอนภาพการจัดการศึกษาวาสามารถพัฒนาผูเรียนใหมีคุณภาพตามที่ มาตรฐานการเรยี นรกู าหนดเพียงใด
ตัวชี้วดั ตัวช้ีวัดระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรูและปฏิบัติได รวมท้ังคุณลักษณะของผูเรียนในแตละระดับชั้น ซึ่งสะทอนถึงมาตรฐานการเรียนรู มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นาไปใช ในการกาหนดเนื้อหา จัดทาหนวยการเรียนรู จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สาคัญสาหรับการวัด ประเมินผลเพื่อตรวจสอบคณุ ภาพผูเ รยี น 1. ตัวช้ีวัดช้ันปี เป็นเปูาหมายในการพัฒนาผูเรียนแตละช้ันปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ (ประถมศึกษาปีที่ 1 – มธั ยมศึกษาปที ่ี 3) 2. ตัวช้ีวัดชวงช้ัน เป็นเปูาหมายในการพัฒนาผูเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 - 6) 2. สาระและมาตรฐานการเรยี นรกู้ ลุ่มสาระการเรยี นรูศ้ ิลปะ สาระที่ 1 ทัศนศิลป มาตรฐาน ศ 1.1 : สรางสรรค์งานทัศนศิลปตามจินตนาการและความคิดสรางสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณคางานทัศนศิลป ถายทอดความรูสึกความคิดตองานศิลปะอยางอิสระ ช่ืนชม และ ประยุกต์ใชในชวี ติ ประจาวัน มาตรฐาน ศ 1.2 : เขาใจความสัมพันธ์ระหวางทัศนศิลป ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเห็น คณุ คา งานทศั นศิลปท เี่ ปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาทอ งถน่ิ ภมู ิปญั ญาไทยและสากล สาระที่ 2 ดนตรี มาตรฐาน ศ 2.1: เขาใจและแสดงออกทางดนตรีอยางสรางสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ คุณคา ดนตรี ถายทอดความรูสกึ ความคดิ ตอดนตรีอยา งอสิ ระ ชน่ื ชม และประยกุ ตใ์ ช ในชีวติ ประจาวัน มาตรฐาน ศ 2.2 : เขาใจความสมั พนั ธร์ ะหวางดนตรี ประวตั ิศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณคา ของดนตรีทเ่ี ปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาทอ งถน่ิ ภูมปิ ญั ญาไทยและสากล สาระที่ 3 นาฏศลิ ป มาตรฐาน ศ 3.1 : เขาใจและแสดงออกทางนาฏศิลปอยางสรางสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณคา ดนตรี ถายทอดความรูสึก ความคิดตอดนตรีอยางอิสระ ช่ืนชม และประยุกต์ใชใน ชีวติ ประจาวัน มาตรฐาน ศ 3.2 : เขาใจความสัมพันธ์ระหวางนาฏศิลป ประวัติศาสตร์ และ วฒั นธรรมเห็นคุณคา ของ ดนตรที เ่ี ปน็ มรดกทางวัฒนธรรม ภมู ิปญั ญาทอ งถิน่ ภูมิปญั ญาไทยและสากล 3. แผนการเรียนรู้ สงบ ลักษณะ (2536 : 3) ที่กลาววาแผนการสอนหมายถึงการวางแผนจัดกิจกรรมการเรียน การสอนลวงหนาที่คลายกับการบันท่ีการสอนในสมัยท่ีฝึกกันในสถานฝึกหัดครูโดยมีวัตถุประสงค์
ใหค รผู สู อนไดอ อกแบบและเตรียมการสอนลวงหนาใหเห็นรายละเอยี ดของกจิ กรรมการเรียนการสอนแต ละหัวขอยอยของเนื้อหาวิชาหรือสาหรับการสอนแตละครั้งและแสดงลักษณะ กระบวนการสอนที่ สรางสรรคแ์ ลว ใหตรงกบั สภาพแวดลอ มปัญหาความตองการและปัจจัยอานวยความสบายของโรงเรียน ครูนักเรียนผูปกครองและชุมชน ปราณี บุญชม (2537 : 25) กลาววาแผนการสอนคือแผนการหรือ โครงการทจ่ี ดั ไวเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อการปฏิบัติการสอนในวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นการเตรียมการสอน อยางมีระบบและเป็นเครื่องมือที่ชวยใหครูพัฒนาการเรียนการสอนไปสูจุดประสงค์การเรียนรูและ จดุ หมายของหลกั สูตรอยา งมีประสิทธิภาพ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปาง (2553 : 15-17) กลาววา นักการ ศกึ ษาไดใหความหมายของแผนการจดั การเรียนรูไวมากมายหลายทัศนะ ดงั นี้ 1. แผนทีจ่ ดั ทาขึน้ เพื่อจัดประสบการณต์ างๆ ใหกับผูเรียน ซึ่งจะเป็นตัวบงชี้วาผูเรียนไดเรียนรู อะไร เพอื่ อะไร และอยา งไร 2. ประสบการณ์ท่ีผูเรียนไดรับนั้นมีผลทาใหเกิดพัฒนาการท้ังในดานรางกาย สังคม ปัญญา และจติ ใจ 3. แผนการจัดการเรียนรูหมายรวมถึงชุดของสิ่งที่ใชในการเรียนการสอน (Set of Materials) จดุ ประสงค์ทีน่ าไปปฏบิ ัติ (Performance Objective) และรวมถึงกจิ กรรมทัง้ ในและนอกหอ งเรียน 4. แผนหรอื แนวทางการจดั การเรียนการสอนตามหลกั สตู รกาหนด 5. แผนหรือโครงการที่จัดทาข้ึนเพื่อพัฒนาผูเรียนใหมีความรูความสามารถ และคุณลักษณะที่ สอดคลอ งกบั ความมุงหมายของการศกึ ษาตามท่ีกาหนดไว การจดั การเรียนการสอนท เนนผูเรียนเป็นสาคัญจะตองมีหลักเกณฑ์ในการเลือกเนื้อหา สาระ หรือความรูต างๆ ซึ่งการเลอื กเนอ้ื หาสาระจะพิจารณาจากประเภทของเนื้อหาสาระ ซึ่งมีหลายระดับดงั นี้ ประเภทของเน้อื หาสาระ 1. ขอเท็จจริงและความรสู ามัญ (Factual Information and Verbal Knowledge) ซึ่งมีอยูใน หลักสูตรทุกระดบั 2. ความคิดรวบยอดและหลักการ ั (Concept and Principle) เป็นความรูที่ยาก และซับซอน มากกวา ขอเทจ็ จริงธรรมดาผเู รียนจาเป็นตอ งไดรบั ขอ มลู ที่มากเพียงพอจึงจะเกิดการเรียนได 3. การแกปัญหาและความคิดสรางสรรค์ (Problem Solving and Creativity) เป็นเรื่อง กระบวน การคิด ฝึกใหเกิดความสามารถของสติปัญญาในการแกปัญหาและใหโอกาสผูเรียนได แสดงออกถึงความคิดสรา งสรรคอ์ ยางมีเสรีภาพและเหมาะสม 4. เจตคติและคานิยม (Attitude and Values) เป็นเน้ือหาสาระที่มีการปลูกฝัง อบรมส่ังสอน ใหผูเ รียนมเี จตคติและคา นยิ มทด่ี ี 5. ทักษะทางกาย (Skill) การฝึกฝนเรื่องความชานาญและความคลองแคลววองไว ในการใช สว นตา งๆ ของกลามเนื้อเพ่ือใหเ กิดทักษะทางกาย
สรุปวา ขอ มูลพื้นฐานดา นเน้อื หาสาระมคี วามสาคญั ในการนาผเู รยี นไปสูจดุ หมายปลายทางตาม แผนการจัดการเรียนรูที่วางไวนอกจากนี้ในการจัดทาแผนการจัดการเรียนรูครูยังตองคานึงถึง องคป์ ระกอบของแผนการจดการเรียนรซู ึ่งทมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต์ (2550 : 11-16) ไดสรุปไวดงั น้ี องค์ประกอบสาคญั ของแผนการจดั การเรยี นร้มู ี 3 ประการ ไดแ้ ก่ 1. วตั ถปุ ระสงค์การเรียนรูหรือจุดประสงค์การเรียนรู (Objective) ควรเขียนเป็นวัตถุประสงค์ เชงิ พฤติกรรม (Behavioral Objective) โดยเนน ใหผเู รียนไดพฒั นาในเร่ืองตอ ไปน้ี 1.1 ความรู (Knowledge : K) 1.2 ทักษะกระบวนการ (Process : P) ทักษะกระบวนการคิดและการปฏิบัติรวมทั้ง การแสดงออก 1.3 เจตคติ (Attitude : A) คอื ความสนใจ พอใจ รวมทงั้ ลกั ษณะนิสัย 2. ประสบการณ์เรยี นรู (Learning Experiences) ในสว นนีป้ ระกอบดว ย ๒ สวน ไดแก 2.1 เนื้อหาสาระ (Content) ทต่ี องการใหผเู รยี นไดรับ 2.2 กระบวนการจัดการเรียนรู (Process of Learning) เป็นข้ันตอนการจัดการ เรียนรูตั้งแตขั้นนา ขนั้ กจิ กรรม ขั้นสรุป 3. การประเมนิ ผล (Evaluation) เป็นการตีคา ผลการเรียนรูของผูเรียนซง่ึ ตองใชข อมูลทั้งเชงิ ปรมิ าณ และเชงิ คณุ ภาพจากการประเมินผลการเรยี นรตู ามสภาพจรงิ (Authentic Assessment) หรือการ ประเมนิ ผลการเรยี นรูที่เนนผเู รียนเป็นศนู ย์กลางองค์ประกอบท้ัง 3 ขา งตน ปรากฏในแผนภาพตอไปน้ี รูปที่ 1 : แผนภาพองค์ประกอบของแผนการจดั การเรียนรู (พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์, 2550 : 12) 4. คณุ สมบัตขิ องสีโปสเตอร์ อุดร ไชยคา (2546 : 23) กลาววา สีโปสเตอร์ (Poster Colors) คืออะไร สีโปสเตอร์คือ สสี ังเคราะหจ์ ากธรรมชาตแิ ละสารเคมตี ามความเหมาะสมของแตล ะตัวสี เพอื่ ใหไ ดผงสีออกมาแลวนามา
ผสมกับกาวและผงแปูงสังเคราะห์ตามสูตรเคมีของแตละบริษัทท่ีผลิตออกมา ซึ่งสวนผสมและเคมี บางอยา งก็ข้ึนอยูกบั บริษัทผูผลติ เปน็ ผกู าหนดเอง ซึ่งสวนใหญจะเป็นลบั ทางการคา โดยบางตัวอาจผสม สารปรอทหรอื ตะกั่ว เพอื่ ประชาสมั พนั ธภ์ าพของสใี นการยึดเกาะพนื้ ผวิ (ปรอท และตะกั่ว) เปน็ สารมวล หนัก (โลหะ) เวลาสีแหงแลวจะยึดเกาะพื้นผิวไดดี เนื่องจากสีโปสเตอร์เป็นเช้ือน้า น้าอาจไปลดทอน ประสทิ ธภิ าพการยดึ เกาะของกาว ดงั นนั้ จงึ มกี ารเตมิ สารเหลานี้เขาไปดวย วิธีการผลิตและการผสมเน้ือ แปงู ลงไป จงึ ทาใหส โี ปสเตอรม์ คี ุณสมบตั ิ “ทบึ แสง” และอาจเป็นเชือ้ ราไดห ากรกั ษาไมถ ูกวธิ ี ชัยวัฒน์ การร่ืนศรี (2546 : 24) กลาววา สีโปสเตอร์ (Poster Colors) เป็นสีที่มีลักษณะ ทึบแสง นิยมบรรจุอยูในขวดแกวหรือขวดพลาสติก ใชน้าเป็นตัวทาละลาย ขอดีของสีโปสเตอร์ก็คือ ระบายสีไดเรียบ ไมเป็นคล่ืนบนกระดาษ แตไมติดแนนทนนานนัก สีโปสเตอร์เหมาะสาหรับนักศึกษา ทวั่ ไป นาไปใชงานเพราะมรี าคาไมแพง และขั้นตอนการระบายสีไมซ บั ซอน ปรีดา ปัญญาจันทร์ และ สุดไผท เมืองไทย (2557 : 29) กลาววา สีโปสเตอร์เป็นสีในตระกูล ทึบแสง ขอดีของสีโปสเตอร์ คือ สีสันจัดจา ใชงานงาย ปกติเป็นเทคนิคสาหรับนักเรียน นักศึกษาหรือ มอื สมัครเลน แตไมผิดกติกาแตอยางใดหากมืออาชีพจะนามาใช ขอเสียของสีโปสเตอร์คืออายุของภาพ จะสน้ั เพราะเนือ้ สไี มทนทานเทาสีน้ามนั หรือสอี ะครลิ กิ ภาพสีโปสเตอรม์ ักปรากฏในงานทต่ี องการความ ตื่นเตน ความจัดจา สนุกสนาน สวนใหญมักใชสองลักษณะคือ แบบกราฟิก คือการระบายเรียบ โดยลูกเลนจะอยูที่การไลคาระดับออนแกของสีและรูปทรง อีกแบบคือการระบายแบบ Painting เหมอื นสนี า้ มนั - (- : ออนไลน์) สีโปสเตอร์ (POSTER COLOUR) เป็นสีน้าชนิดหน่ึงเนื่องจากมีน้าเป็น สวนผสม นิยมบรรจุในขวดมีเน้ือสีคอนขางหยาบ และมีคุณลักษณะทึบแสง เพราะเติมแปูงหรือเน้ือ สีขาวลงไปเรียกวาสีแปูง (GOUACHE) การระบายสีโปสเตอร์สามารถระบายทับซอนกันไดหลายคร้ัง และเกลีย่ สีใหผ สมกลมกลืนกนั ได ถา ตองการใหน้าหนักสีออนจางลงผสมดว ยสีขาว หากตองการน้าหนัก สเี ขมคลา้ ใชส ดี าหรสื ตี รงขามผสม ข้อควรรู้เกยี่ วกบั สโี ปสเตอร์ Yuijung (2012 : ออนไลน)์ ไดกลา วขอควรรเู กีย่ วกับสีโปสเตอร์ ดังน้ี 1. เม่อื ซ้ือสีโปสเตอรม์ าใหม ใหเ ปดิ ขวดใชไ มกวนสีในขวดใหท ว่ั จนสเี ป็นเน้อื เดยี วกนั 2. พูกันสาหรับสีโปสเตอร์ ใชไดทั้งชนิดปลายกลมและปลายแบน ควรมีขนที่ออนนุม พูกันแบบเบอร์เลก็ เชน เบอร์ 4,5,6 ใชเกลย่ี ไลใ หสีกลนื ไดดีในการวาดแบบมีแสงเงา 3. จานสีที่ใชควรเป็นจานสีท่ีมีหลุมกลมลึก ไมควรใชจานสีท่ีเป็นชองส่ีเหลี่ยม เพราะเวลาที่กวนสีจะทาใหสีไมเขากันดี เวลาระบายจะทาใหสีดาง จานสีที่มีสีขาวจะชวยใหผสมสี ไมผิดเพี้ยน
4. การผสมสีโปสเตอร์ควรผสมน้าใหพอเหมาะ คือ ไมขนหรือเหลวเกินไป แลวตองมี การกวนสีใหมากๆ ไมวาจะใชสีใดควรมีสีขาวผสมอยูดวย ท่ีกลาวมาคือวิธีที่จะทาใหระบายสีไดเรียบ สวยงาม 5. ถาตอ งการระบายสีโปสเตอร์ใหเกิดแสงเงามีวิธีระบาย คือลงสีออนกอนไปหาสีแก หรือลงสีเขมแลวไลหาสีออน แตวิธีท่ีแนะนาคือใหสังเกตหาสีกลาง ระบายสีกลางน้ันกอนแลวจึงไลเงา สเี ขม สว นแสงลงดว ยสีออ นเกลี่ยใหกลนื กนั 6. การใชฟองนา้ แทนพกู นั ใชปลายน้ิวบบี ฟองน้า (สาหรบั ลา งจาน) ใหแ นนเล็กจะตาม ตองการเช็ดใหหมาด แลวนาไปแตะซ้าๆ กัน บนภาพตามแสงเงาจะไดภาพสวยงามไมแพพูกันกลม (AIR BRUSH) 7. ในงานที่ไมพิถีพิถันมากนัก หรือเพื่อความประหยัด ใชสีโปสเตอร์ผสมน้าแลวไป กรองดว ยผา สกรีนหรอื ผาอ่ืน นาไปใชก ับพกู ันกลมได 8. ถาไมส ามารถเขียนสีโปสเตอร์ใหมีกรอบที่คมชัดได ก็ใชเคร่ืองทุนแรงชวย เชนใสสี ในปากกาตีเสนปรับขนาดเสนตามตองการ หรือใชกระดาษกาวสาหรับกันสี หาซ้ือไดจากรานเคร่ือง กอสรางนามากันสวนที่ไมตองการ หรือ กันสีดวยแผนฟิล์มที่ใชสาหรับงานพูกันกลมก็ไดแตราคาแพง หนอ ย ทางทีด่ ีนกั เรยี นนักศกึ ษาควรฝกึ ใชฝ มี อื จะดีท่ีสดุ 9. สีโปสเตอร์ผสมกบั ปนู พลาสเตอร์ แลวใชเ กรยี งเพนท์บนวัสดุตางๆ เมื่อแข็งตัวจะได งานท่นี นู สวยงามไมแ พส ีนา้ มัน เปน็ ทีร่ ะลึกได 10. ถา จะประหยัด ใชสีโปสเตอร์ระบายหรือตกแตงวัสดุตางๆ เชน กระเบ้ืองไม ฯลฯ กส็ ามารถทาได เสรจ็ แลว ใชแ ลคเกอรส์ เปยพ์ น ทบั เสียเพอ่ี ความทนทาน 11. สโี ปสเตอร์น้ันทบึ แสง การเขียนภาพแลวใชสีโปสเตอร์สีขาว ระบายตกแตงสวนท่ี เป็นแสงจดั หรอื สวนทีเ่ ป็นแสงสะทอนไดอยางดี แตอยาใชในงานสีน้าแนวจิตรกรรม สวนงานออกแบบ ไมว าเป็นสีอะไรก็ทับได 5. การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ข้ันตอนการวาดภาพสีโปสเตอร์ อุดร ไชยคา (2546 : 104) กลาววา การลงสีโปสเตอร์แบบบางๆ เนนคุณสมบัติแบบเดียวกับ สีน้าไมผสมขาวมากนัก คอยๆ เก็บรายละเอียดอยางประณีตไปเรื่อยๆ เป็นเทคนิคท่ีใชฝีมือและความ ประณีตชานาญสวนตวั และคุณสมบัติการลงแบบสีน้าของสีโปสเตอร์ อุดร ไชยคา ไดสาธิตเทคนิคการเขียนตนไทในปุาดิบช้ืน โดย อุดร ไชยคา (2546 : 114-117) อธบิ ายภาพสาธิตเทคนิคการเขียนตนไทในปุาดิบชื้น เป็นการเขียนภาพโดยเทคนิคที่ลวงตาเหมือนการ เขียนมากแตแทจริงแลว เป็นเทคนคิ ซะสว นใหญ
ข้ันตอนการวาด 1. รา งภาพโดยวางแสงเงาใหถ ูกตอง กนั สวนของแสงและเงาไว 2. ใชน ้าสะอาดลบู ลงไปดวยพูก นั ในบริเวณของตนไมร ะยะไกล กอนลงสีในขั้นแรก ลงสีตามมา ดวนสีเขียวกอนเวนบริเวณสวางสุดไว แทรกสีสมและสีน้าตาลเขม Burnt sienna ทาเป็นตนไม ระยะไกล นาสีขาวมาแตง แตมในบรเิ วณท่แี สงสวางลอดผาน 3. ลงสบี ริเวณลาตวั ตน ไมด วยสีพ้ืนและกันแสงเงานา้ หนักเขม แบบคราวๆ ไว 4. ลงสเี ขียวแบบเคลือบบางๆ (ผสมนา้ มาก) จากนั้นจึงใชสนี ้าเงินมาคอยๆ ปูายแตมลงไปอยาง ระมัดระวัง ดวยพูกันขนเสียที่แข็งกระดาง ไมสามารถนามาใชระบายหรือเกลี่ยไดอีก สรางน้าหนักท่ี แตกตา งของกลมุ ตนไมร ะยะดว ยสีดาบางๆ 5. ผสมนา้ หนักเขียวเขม ใชเทคนิคพูกันขนเสียหรือใชการไมไดมาลงใหท่ัวภาพ ไมควรไปทับสี เดิมจนหมด เหลือไวเป็นชองหรือรอยเล็กๆ เพ่ือความกลมกลืน เก็บรายละเอียดของพ้ืนผิวไมใน ซอกหลบื 6. เก็บรายละเอยี ดของใบไมเ ล็กๆ ทปี่ กคลุมดว ยพูกนั เบอร์เลก็ เก็บรายละเอียดของพ้ืนผิวไมใน ซอกหลบื อกี ทีเพ่ือสรา งความกลมกลนื ย่งิ ข้นึ 7. ลงสขี าวของก่ิงไมระยะหนาและเร่มิ วางสกี ลางของใบไมเ ล็กๆ ทขี่ ึ้นรออบตนไม 8. เก็บรายละเอียดแสงเงาใหถกู ตองและสมบูรณใ์ นสวนตา งๆ ใหเรยี บรอ ย จงุ ชาวไร (2020 : ออนไลน์) ไดก ลาวขน้ั ตอนการวาดภาพสีโปสเตอร์ 4 ขั้นตอนงา ยๆ ดังนี้ ขั้นตอนท่ี 1 : การรางภาพ ในการวาดภาพบนกระดาษแข็ง อยางกระดาษชาร์ทท่ีมี ขนาดใหญน ัน้ การรา งถอื วา เป็นขั้นตอนท่ีสาคัญมากเพราะเราตองรางอยางละเอียดจะรางแบบคราวๆ ไมได เพราะการใชสีโปสเตอร์ บนกระดาษนั้นมันมีความลื่น และสีแหงเร็ว เม่ือเรากดแปรงพูกันลงไป ระบาย หากไมไดร างอยา งละเอยี ดแลว อาจทาใหร ะบายสีพลาดได ฉะน้ันจึงจาเปน็ ที่จะตอง วางหรือจัด องค์ประกอบภาพใหด แี ละรา งภาพใหช ดั เจน
รูปท่ี 5 : ขน้ั ตอนท่ี 1 : การรา งภาพ ขน้ั ตอนที่ 2 : การวางสี ในขัน้ ตอนนี้ตอ งใชแ ปรงหรือพูก นั ที่เหมาะสม กบั ลายเสนที่เรา รา งไว การวางสีนั้นตองผสมสีไวกอน เพราะสีโปสเตอร์เป็นสีทึบไมโปรงแสงเหมือนกับสีน้า ทาใหเวลา ระบายจะทบั กับเสน ท่ีเรารา งไว ขน้ั ตอนนี้ตอ งอาศยั ความประณีต ใจเย็น คอยๆ ระบายตามแบบที่ราง และที่สาคัญ ควรวางสีโทนของภาพที่เราตองการกอน วาจะใหออกมาเป็นโทนไหน เพ่ืองายตอการลง แสงและเงา รปู ที่ 6 : ขนั้ ตอนท่ี 2 : การวางสี ข้ันตอนที่ 3 : การลงแสงเงา มาถึงคร่ึงทางแลว ข้ันตอนนี้ตอเน่ืองมาจากการวางสี หลังจากวางสีครบท้ังภาพแลว เป็นการลงแสงและเงาของภาพหากทาขั้นตอนกอนหนาน้ีไดสมบูรณ์
ข้นั ตอนนีก้ ถ็ อื วาไมย ากอะไร สาหรบั แสงเงาท่ีเราจะระบายน้ันก็เชนกัน ควรจะผสมสีไวกอน แลวนาสีที่ ไดม าระบายและเกลยี่ ตามจดุ ที่เป็นแสงและเงา สาหรับสวนที่เป็นเงานั้นควรใชสีเขมที่เกิดจากการผสม ระหวางสีอ่ืนๆ ไมควรใชสีดาสีเดียว เพราะจะทาใหภาพน้ันดูไมเป็นธรรมชาติ สวนท่ีเป็นแสงก็เชนกัน ควรใชส ีสวา งจากการไลค า สอี อ นๆ โดยไมควรใชแ คสีขาวสเี ดยี วเพ่ือความกลมกลนื ของตวั งาน รูปที่ 7 : ขนั้ ตอนท่ี 3 : การลงแสงเงา ข้นั ตอนท่ี 4 : การเก็บรายละเอียด โดยทั่วไปของการสรางงานศิลปะไมวาจะเป็นวาด หรือ งานป้นั ขนั้ ตอนท่ีจะทาใหงานนัน้ ออกมาสวยงามและสมบูรณ์ กค็ ือการเกบ็ รายละเอยี ดของงาน ใน สว นการวาดภาพสีโปสเตอร์น้ี การเก็บรายละเอียดคอ นขา งยาก เพราะสีแหงเร็วไมสามารถเกล่ียไดมาก นัก หากวางสีและแสงเงากอนหนาน้ีไมดีอาจทาใหเก็บรายละเอียด เรื่องความกลมกลืนของสียากข้ึน สาหรบั รายละเอียดโดยทว่ั ไปของภาพ อาจตองใชพ ูก ันแตล ะขนาด ท่ีแตงตางกัน เพื่อความละเอียดของ งาน การเนนสี แสงและเงา ควรใชสที ผ่ี สมเชนกัน สดุ ทา ยรายละเอยี ดทคี่ วรคานึงถึงคือ สวนไหนควรตัด หรือสวนไหนควรเพ่ิม เพราะตอนที่เรารางกับตอนท่ีระบายสีนั้นมุมมองอาจจะเห็นไดตางกัน ฉะนั้นใน ข้นั ตอนนคี้ วรเก็บรายละเอียด ทั้งองค์ประกอบ สวนขาด สวนเกิน ของภาพและบรรยากาศโดยรวม ที่ เราตองการใหภ าพออกมา
รปู ที่ 8 : ขั้นตอนท่ี 4 : การเก็บรายละเอียด จะเหน็ ไดวาการวาดภาพระบายสโี ปสเตอรข์ นั้ ตอนการสรา งสรรค์จะเหมือนๆ กัน แตความยาก งายของการสรางสรรค์ขึ้นอยูกับศิลปินหรือผูวาดอยากถายทอดออกมาในรูปแบบใด อาจถายทอด ออกมาในรปู แบบภาพเหมือน หรอื ภาพที่จิตนาการขึ้นมาเอง ซ่ึงการระบายสีนั้นมีเทคนิคท่ีหลากหลาย เม่ือระบายตองดคู วามเหมาะสมของงานวาเทคนิคท่ีนามาใชเหมาะสมกับงานหรือไม ซ่ึงอาจมีแตกตาง กันบา งเล็กนอ ย เพอื่ ใหผ ลงานออกมามีความสมบรู ณแ์ ละไปในทศิ ทางเดยี วกนั 6. การจัดการเรยี นรูแ้ บบซิปปา (CIPPA) การจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา (CIPPA MODEL) เป็นกิจกรรมท่ีชวยใหผูเรียนไดมีสวน รว มทง้ั รา งกาย สตปิ ญั ญา สงั คม และอารมณ์ ยึดกลมุ เปน็ แหลงเรยี นรู ทิศนา แขมมณี (2545 : 14) กลา ววา การเรยี นการสอนแบบซิปปา เป็นรูปแบบของการจัดการ เรียนการสอนท่ีเนน ผเู รียนเปน็ ศนู ยก์ ลาง รูปแบบหน่ึงที่ไดรับความสนใจและมีนักการศึกษาใหคาจากัด ความของการจัดการเรยี นการสอนแบบซิปปา ซึ่งมคี วามหมายตามตัวอักษร คือ C หมายถึง Construct คือการใหผูเรียนสรางความรูดวยตนเอง โดยกระบวนการ แสวงหาขอ มูล ทาความเขาใจ คิดวิเคราะห์ ตีความ แปลความ สรางความหมาย สังเคราะห์ขอมูลและ สรปุ ขอ ความ I หมายถึง Interaction คือ การใหผูเรียนมีปฏิสัมพันธ์ตอกัน เรียนรูจากกัน แลกเปลย่ี นขอ มูลความคดิ และประสบการณ์แกก ันและกัน P หมายถึง Participation คอื การใหผเู รยี นมบี ทบาท มสี ว นรวมในการเรียนรมู ากท่สี ดุ P หมายถึง Process หรือ Product คือการใหผูเรียนไดเรียนรูกระบวนการควบคูไป กับผลงาน ขอ ความทีส่ รุปได
A หมายถึง Application คือการใหผูเรียนนาความรูที่ไดไปใชใหเป็นประโยชน์ ในชวี ติ ประจาวัน กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบซปิ ปา (CIPPA MODEL) ซิปปา (CIPPA) เป็นหลักการซึ่งสามารถนาไปใชเป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรูตางๆ ใหแ กผ ูเรียน การจัดกระบวนการเรยี นการสอนตามหลกั “CIPPA” สามารถใชวิธีการและกระบวนการที่ หลากหลาย ซึ่งอาจจัดเปน็ แบบแผนไดห ลายรปู แบบ ทิศนา แขมมณี (2548 : 281 - 282) ไดเ สนอกระบวนการจดั การเรียนการสอนตามรปู แบบของ ซิปปา ซ่ึงประกอบดวยขัน้ ตอนการดาเนนิ การ 7 ข้ันตอน ดังนี้ ขัน้ ที่ 1 การทบทวนความรูเดมิ ขั้นนเ้ี ปน็ การดงึ ความรูข องผูเ รยี นในเรื่องที่จะเรียน เพื่อชวยใหผูเรียนมีความพรอมใน การเช่อื มโยงความรูใหมก ับความรเู ดมิ ของตน ซง่ึ ผูสอนอาจใชวธิ กี ารตา งๆ ไดอ ยา งหลากหลาย ขน้ั ท่ี 2 การแสวงหาความรใู หม ข้ันน้ีเป็นการแสวงหาขอมูลความรูใหมที่ผูเรียนยังไมมีจากแหลงขอมูลหรือแหลง ความรตู า งๆ ซง่ึ ครูอาจเตรียมมาใหผูเรียนหรือใหคาแนะนาเก่ียวกับแหลงขอมูลตางๆ เพ่ือใหผูเรียนไป แสวงหาก็ได ขั้นที่ 3 การศึกษาทาความเขาใจขอมูล/ความรูใหม และเช่ือมโยงความรูใหม กับความรูเดิมข้ันน้ีเป็นขั้นที่ผูเรียนจะตองศึกษาและทาความเขาใจกับขอมูล/ความรูที่หามาไดผูเรียน จะตองสรางความหมายของขอมูล/ประสบการณ์ใหมๆ โดยใชกระบวนการตางๆ ดวยตนเอง เชน ใชกระบวนการคดิ และกระบวนการกลมุ ในการอภปิ รายและสรุปความเขาใจเกยี่ วกบั ขอมูลนั้นๆ ซึ่งอาจ จาเปน็ ตอ งอาศยั การเชื่อมโยงกับความรูเ ดมิ ขั้นท่ี 4 การแลกเปล่ยี นความรูค วามเขา ใจกับกลุม ข้ันน้ีเป็นข้ันท่ีผูเรียนอาศัยกลุมเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรูความเขาใจของ ตน รวมท้ังขยายความรูความเขาใจของตนแกผูอื่น และไดรับประโยชน์จากความรูความเขาใจ ของผอู ่ืนไป พรอ มๆ กัน ขน้ั ท่ี 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู ขั้นนเ้ี ปน็ ขน้ั การสรปุ ความรูท่ีไดรับท้ังหมด ท้ังความรูเดิมและความรูใหม และจัดสิ่งท่ี เรยี นใหมีระบบระเบยี บ เพือ่ ชวยใหผ เู รียนจดจาส่งิ ทเี่ รียนรูไ ดงาย ขน้ั ท่ี 6 การปฏบิ ตั ิ และ/หรือการแสดงผลงาน หากขอความรูไดเรียนรูมาไมมีการปฏิบัติ ข้ันนี้เป็นข้ันที่ชวยใหผูเรียนไดมีโอกาส แสดงผลงานการสรางความรูของตนใหผูอื่นรับรู เป็นการชวยใหผูเรียนไดตอกย้าหรือตรวจสอบความ เขา ใจของตนและชว ยสงเสรมิ ใหผ ูเรยี นใชค วามคดิ สรางสรรค์ แตห ากตอ งมีการปฏบิ ัติตามขอความรูท่ีได ขนั้ น้จี ะเปน็ ขัน้ ปฏบิ ัตแิ ละมกี ารแสดงผลงานท่ไี ดปฏิบตั ดิ วย
ข้นั ที่ 7 การประยุกตใ์ ชค วามรู ขัน้ นี้เป็นข้ันของการสงเสรมิ ใหผ ูเรียนไดฝกึ ฝนการนาความรคู วามเขาใจของตนไปใชใน สถานการณ์ตางๆ ท่ีหลากหลายเพ่ือเพิ่มความชานาญ ความเขาใจ ความสามารถในการแกปัญหาและ ความจาในเร่อื งนนั้ ๆ Jeerawut Kokyai (2014 : ออนไลน์) กลาววา ขั้นตอนตั้งแตข้ันท่ี 1-6 เป็นกระบวนการของ การสรางความรู (construction of knowledge) ซึ่งครูสามารถจัดกิจกรรมใหผูเรียนมีโอกาส ปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรูกัน (interaction) และฝึกฝนทักษะกระบวนการตางๆ (process learning) อยางตอเนื่อง เนื่องจากขั้นตอนแตละข้ันตอนชวยใหผูเรียนไดทากิจกรรมหลากหลายที่มี ลักษณะใหผูเ รยี นไดม กี ารเคล่อื นไหวทางกาย ทางสตปิ ัญญา ทางอารมณ์ และทางสังคม อยางเหมาะสม 6 ทีคุณสมบัติตามหลักการ CIPP สวนข้ันตอนที่ 7 เป็นขั้นตอนที่ชวยใหผูเรียนนาความรูไปใช (application) จึงทาใหเป็นรปู แบบนีม้ คี ณุ สมบัตคิ รบตามหลัก CIPPA ผลท่ีผู้เรียนจะไดร้ ับจากการเรยี นตามรูปแบบ ผูเรยี นจะเกดิ ความเขาใจในส่ิงท่ีเรียน สามารถอธิบาย ชแ้ี จง ตอบคาถามไดดี นอกจากน้ันยังได พัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ การคิดสรางสรรค์ การทางานเป็นกลุม การสื่อสาร รวมทั้งเกิดความ ใฝรุ ูดวย CIPPA Model นอกจากจะเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแลว ยังสามารถนาไปใชเป็น ตัวชี้วัด หรือเป็นเครื่องตรวจสอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไดวา กิจกรรมนั้นเนนผูเรียนเป็น ศนู ย์กลางหรือไม โดยนาเอากิจกรรมในแผนการสอนมาตรวจสอบตามหลัก CIPPA การจัดการเรียนการ สอนแบบ CIPPA การจัดการเรียนการสอนแบบเนนผูเรียนเป็นศูนย์กลางน้ันก็คือ การจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนท่เี ปดิ โอกาสใหผูเ รยี นมีสวนรว มในกจิ กรรมนั้น ท้งั ทางรา งกาย สตปิ ัญญา สงั คมและอารมณ์ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพ่ือใหผูเรียนมีสวนรวมนั้น มิใชหมายความแตเพียงวาให ผูเ รยี นไดท ากจิ กรรมอะไรๆ กไ็ ดที่ผเู รียนชอบ กจิ กรรมทีค่ รูจดั ใหผ เู รยี นจะตอ งเป็นกิจกรรมที่นาไปสูการ เรยี นรตู ามจดุ ประสงค์ที่ตั้งไว และเป็นกิจกรรมที่ชวยใหผูเรียนมีสวนรวมทั้งทางดานรางกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ จงึ จะสามารถทาใหผ ูเ รยี นเกิดการเรียนรูไดดี ดังน้ันครูท่ีจะสอนผูเรียนโดยยึดผูเรียน เป็นศูนยก์ ลาง จึงจาเปน็ ท่ีจะตองออกแบบกจิ กรรมการเรยี นการสอนใหม ีลักษณะดงั นี้ 1. เป็นกิจกรรมท่ีชวยใหผูเรียนไดมีสวนรวมทางดานกาย (Physical Participation) คือ เป็น กิจกรรมท่ีชวยใหผูเรียนไดมีโอกาสเคล่ือนไหวรางกาย เพ่ือชวยใหประสาทการรับรูของผูเรียนตื่นตัว พรอ มทีจ่ ะรบั ขอ มลู และการเรียนรูตางๆ ท่จี ะเกิดขึน้ การรับรูเป็นปัจจัยสาคัญในการเรียนรู หากผูเรียน ไมมีความพรอมในการรับรู แมจะมีการใหความรูที่ดีๆ ผูเรียนก็ไมสามารถรับได ซ่ึงจะเห็นไดจาก เหตุการณ์ทพ่ี บไดเสมอๆ คือ หากผูเ รยี นตองนง่ั นานๆ ไมช า ผูเรียนอาจหลับไป หรือคิดไปเร่ืองอ่ืนๆ ได
การเคล่อื นไหวทางกาย มีสวนชวยใหประสาทรับรูตื่นตัว พรอมท่ีจะรับและเรียนรูส่ิงตางๆ ไดดี ดังน้ัน กิจกรรมทจ่ี ดั ใหผ เู รยี น จึงควรเป็นกิจกรรมท่ีชวยใหผูเรียนไดเคลื่อนไหวในลักษณะใดลักษณะหน่ึงเป็น ระยะๆ ตามความเหมาะสมกับวัยและระดบั ความสนใจของผเู รยี น 2. เป็นกจิ กรรมที่ชวยใหผ ูเรียนมีสวนรวมทางสติปัญญา (Intellectual Participation) คือเป็น กิจกรรมท่ีชวยใหผูเรียนเกิดความเคลื่อนไหวทางสติปัญญาหรือพูดงายๆ วา เป็นกิจกรรมท่ีทาทาย ความคิดของผูเรียน ซึ่งจะชวยใหผูเรียนเกิดความจดจอในการคิด สนุกท่ีจะคิด ดังนั้น กิจกรรมจะมี ลักษณะดังกลาวได ก็จะตองมีเรื่องใหผูเรียนคิด โดยเร่ืองน้ันจะตองไมงายและไมยากเกินไปสาหรับ ผูเรียน เพราะถางายเกินไป ผูเรียนก็ไมจาเป็นตองใชความคิด แตถายากเกินไป ผูเรียนก็จะเกิดความ ทอถอยทีจ่ ะคิด ดงั นนั้ ครจู งึ ตองหาประเด็นท่ีเหมาะสมกับวัยและความสามารถของผูเรียน เพ่ือกระตุน ใหผเู รยี นใชความคดิ หรือลงมือทาส่ิงใดส่งิ หนึง่ 3. เป็นกจิ กรรมทช่ี วยใหผ ูเรียนมสี วนรวมทางสังคม (Social Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ ชว ยใหผ เู รียนมีปฏสิ มั พนั ธ์ทางสังคมกับบุคคลหรือสิ่งแวดลอมรอบตัว เน่ืองจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่ อาศัยรวมกันอยูเป็นหมูคณะ มนุษย์โดยทั่วไปจะตองเรียนรูที่จะปรับตัวเขากับบริบทตางๆ การเปิด โอกาสใหผเู รียนมีปฏสิ มั พนั ธก์ บั ผอู ื่น จะชว ยใหผ ูเรยี นเกิดการเรยี นรูทางสังคม ซึ่งจะสงผลถึงการเรียนรู ทางดานอ่ืนๆ ดวย ดังน้ัน กิจกรรมการเรียนรูท่ีดี จึงควรเป็นกิจกรรมท่ีสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูจาก สิ่งแวดลอ มรอบตัวดว ย 4. เป็นกิจกรรมท่ีชวยใหผูเรียนมีสวนรวมทางอารมณ์ (Emotional Participation) คือ กิจกรรมที่สงผลตออารมณ์ความรูสึกของผูเรียน ซึ่งจะชวยใหการเรียนรูนั้นเกิดความหมายตอตนเอง กิจกรรมท่ีสงผลตอความรูสึกของผูเรียนนั้น มักจะเป็นกิจกรรมท่ีเกี่ยวของกับชีวิต ประสบการณ์ และ ความเปน็ จรงิ ของผูเ รยี น จะตองเปน็ ส่ิงท่เี ก่ียวขอ งกับตวั ผเู รียนโดยตรงหรือใกลตวั ผูเรียน สรปุ ไดว า การจดั การเรยี นการสอนตาม CIPPA Model สามารถสงเสรมิ ใหผเู รยี นมี สว นรวมใน กจิ กรรมการเรียนรูทัง้ ทางดา นกาย สติปัญญา และสังคม สวนการมีสวนรวมทางดานอารมณ์น้ัน ความ จริงแลวมีเกิดข้ึนควบคไู ปกบั ทุกดาน ไมวา จะเป็นทางดานกาย สติปัญญา และสังคม ซึ่งหากครูสามารถ จดั กิจกรรมการเรียนรูใหผเู รียนไดต ามหลกั ดงั กลาวแลว การจัด การเรียนการสอนของครูก็จะมีลักษณะ ท่ีผูเรียนเป็นศูนย์กลางอยางแทจริง วิธีการท่ีจะจัดการเรียนการสอนใหสอดคลองกับ CIPPA Model สามารถทาไดโดยครูอาจเร่มิ ตน จากแผนการสอนทม่ี ีอยแู ลว และนาแผนดังกลาวมาพจิ ารณาตาม CIPPA Model หากกิจกรรมตามแผนการสอนขาดลกั ษณะใดไป กพ็ ยายามคิดหากิจกรรมท่ีจะชวยเพ่ิมลักษณะ ดังกลา วลงไป หากแผนเดมิ มีอยบู างแลว ก็ควรพยายามเพิ่มใหมากขน้ึ เพื่อกิจกรรมจะไดมีประสิทธิภาพ มากขน้ึ เมื่อทาเชนนีไ้ ดจนเรม่ิ ชานาญแลว ตอไปครูก็จะสามารถวางแผนตาม CIPPA Model ไดไมยาก นกั
7. เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กีย่ วข้อง มนญั ญา, เรอื งสุขสดุ (2557) ไดทาการไดทาการศกึ ษา ผลการใชบทเรยี นคอมพิวเตอร์ชวยสอน เร่ือง การใชโปรแกรมเพนท์ดวยรูปแบบการเรียนรูแบบซิปปา (CIPPA Model) สาหรับนักเรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบวา 1. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ชวยสอน เรื่อง การใช โปรแกรมเพนท์ดวยรูปแบบการ เรียนรูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เทากับ 82.63/81.00 ซ่ึงผานเกณฑ์ 80/80 2. ผลสัมฤทธ์ิของนักเรียนหลัง เรียนดวยบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ว ยสอน เรือ่ ง การใชโปรแกรม เพนท์ ดว ยรูปแบบการเรียนรูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 สูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 3. ดัชนี ประสทิ ธผิ ลของการเรียนดวยบทเรียนคอมพิวเตอร์ชวยสอน เรื่อง การใชโปรแกรมเพนท์ ดวยรูปแบบ การเรียนรูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 มีคาเทากับ 0.5202 แสดงวาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนเพิ่มขึ้นรอยละ 52.02 4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอการเรียนดวย บทเรียนคอมพวิ เตอรช์ วยสอน เรอื่ ง การใช โปรแกรมเพนท์ ดวยรูปแบบการเรียนรูแบบซิปปา สาหรับ นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยรวมอยใู นระดับมากสดุ วัฒนาพร รังคะราช (2558) ไดทาการไดทาการศึกษา รูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ท่ีใชสื่อประสม (Multimedia) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและการคิด วิเคราะห์ เร่ืองความคลายวิชาคณิตศาสตร์ 5 สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพ กระบวนการ (E1) 87.70 และประสิทธิภาพผลลัพธ์ (E2) 85.22 เป็นไปตามสมมติฐานและเป็นไปตาม เกณฑท์ ตี่ งั้ ไว และมีคาดชั นีประสทิ ธิผลเทากับ 0.7972 ซงึ่ เปน็ ไปตามสมมติฐานและเป็นไปเกณฑ์ที่ต้ังไว เชนเดียวกัน เนื่องจากรูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ท่ีใชสื่อประสม (Multimedia) เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการคิดวิเคราะห์ เร่ืองความคลาย วิชา คณิตศาสตร์ 5 สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ไดผานกระบวนการออกแบบและพัฒนาตาม ข้ันตอน โดยเฉพาะข้ันตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามรูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ที่มี ข้ันตอนชัดเจน สามารถนาไป ปฏิบัติได ผูเรียนมีการแลกเปล่ียนเรียนรูระหวางกลุมและภายในกลุม กอปรทงั้ ในขัน้ ตอนการทบทวนความรเู ดมิ และขน้ั ตอน การแสวงหาความรูใหม นักเรียนไดใชสื่อประสม สามารถทบทวนและศึกษาเน้ือหาท่ีไดรับมอบหมายก่ีคร้ังก็ได ทาใหนักเรียน เกิดการเรียนรู และยัง สามารถแลกเปล่ียนความรูกับนักเรียนภายในกลุมดวย ทาใหนักเรียนสามารถทาคะแนนกิจกรรมทั้ง รายบคุ คลและรายกลุมไดด ี จงึ สงผลใหคาประสิทธิภาพกระบวนการสูงเป็นไปตามเกณฑ์ นอกจากนี้ใน ข้ันตอนการสรปุ จัดระเบยี บความรู ขน้ั แสดงผลงานและข้นั การประยุกต์ใชยังเป็นข้ันตอนสาคัญท่ีทาให นักเรียนเช่ือมโยงความรูเดิม กับความรูใหม ใหเป็นเน้ือเดียวกัน ทาใหผูเรียนสรางความรูเป็นของ นกั เรยี นเอง สงผลใหนกั เรียนสามารถทาแบบทดสอบหลังเรียนไดคะแนนสูง ทาใหประสิทธิภาพผลลัพธ์ สงู เปน็ ไปตามเกณฑท์ กี่ าหนด อมร นารี และ ดร.สถาพร ขันโต (2554) ไดทาการไดทาการศึกษา การแสวงหาความรูที่เกิด จากการจดั ประสบการณ์โดยใชซปิ ปาโมเดล สา หรับเด็กปฐมวัยปีที่ 2 พบวา เด็กมีการแสวงหาความรู
รอยละ 81.82 อยใู นระดับคุณภาพดีซ่ึงสูงกวาเกณฑ์การผานท่ีกาหนดไว แสดงวาการจัดประสบการณ์ โดยใชโมเดลซิปปา สามารถ สงเสริมการแสวงหาความรูของปฐมวัยไดเป็นอยางดี เน่ืองจากการจัด กจิ กรรมการเรียนรตู ามหลักโมเดลซปิ ปานน้ั เปน็ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรูท่ีเปิดโอกาสใหผู เรียนมีสวน รวมท้ัง 4 ดาน คือ ดานรางกาย อารมณ์- จิตใจ สังคม และดานสติปัญญา สามารถชวยใหผูเรียน เกดิ การเรยี นรดู ว ยตนเองผา นกระบวนการคดิ กล่ันกรอง โดยผูเรียนเอง หรือผูเรียนเกิดความเขาใจและ จา ในสิ่งที่ ตนเองเรยี นไดเปน็ อยา งดีและนา ความรทู ไ่ี ดป ระยุกต์ใช (Application)ทา ใหผูเรยี นถายโอน การเรยี นรู (Transfer of Learning)
บทที่ 3 วธิ ดี าเนินการวิจยั ในการวิจัยเร่ือง การพัฒนาทักษะการเขียนภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการ เรียนรแู บบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนวัดมะลิ ผูวิจัยขอเสนอวิธีดาเนินการ วจิ ัยเรียงลาดับหวั ขอ ตอไปนี้ 1. การกาหนดประชากรและกลุมตัวอยาง 2. เครื่องมอื ทีใ่ ชในการวิจัย 3. การสรา งเคร่ืองมอื ท่ีใชในการวจิ ัย 4. การเก็บรวบรวมขอมูล 5. การจดั กระทาและการวิเคราะหข์ อ มูล 1. การกาหนดประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง ประชากร - ประชากรทีใ่ ชในการวิจัยครั้งนี้ คือ นกั เรียนระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นวัดมะลิ กลมุ่ ตัวอยา่ ง - กลุมตัวอยางท่ีใชในการวิจัยคร้ังน้ี คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 กรุงเทพมหานคร จานวน 15 คน เครอื่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการวิจัย ในการวิจยั คร้งั น้ี เครื่องมอื ทีใ่ ชใ นการวิจยั มดี งั นี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู แบบซิปปา สาหรับนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โดยแผนการเรยี นรูม ีจานวน 8 แผน แผนละ 1 ช่ัวโมง รวมเป็น 8 ช่วั โมง 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทดสอบกอนเรียนและหลังเรียน การวาดภาพ ระบายสโี ปสเตอร์ โดยการจดั กิจกรรมการเรยี นรแู บบซิปปา สาหรับนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 3. แบบประเมินการพัฒนาทักษะการเขียนภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการ เรียนรูแ บบซิปปา 2. การสร้างเคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั 1. กาหนดแผนการจัดการเรยี นรู การพฒั นาทกั ษะการเขยี นภาพระบายสโี ปสเตอร์ โดยการจัด กิจกรรมการเรยี นรูแบบซิปปา สาหรับนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 4 โดยแผนการเรียนรจู านวน 8 แผน แผนละ 1 ชัว่ โมง รวมเปน็ 8 ชวั่ โมง ซึ่งผูวจิ ัยไดดาเนินการสรางดงั น้ี
1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุมสาระการเรียนรู ศลิ ปศกึ ษา ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 คมู ือการจัดการเรียนรู แบบเรียน เนื้อหา ตวั ช้ีวัด 1.2 ศึกษารายละเอียดเน้ือหาการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ เพ่ือนาไปสรางแผนการ สอนการจดั การเรียนรูใ หถ ูกตอง 1.3 สรางแผนกการจดั การเรยี นรู จานวน 8 แผน ดังตารางตอ ไปน้ี ตารางท่ี 1 แผนการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะการเขียนภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัด กจิ กรรมการเรยี นร้แู บบซปิ ปา แผนท่ี ชือ่ แผนการจัดการเรียนรู้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ จานวน 1-2 วงจรสี (ชัว่ โมง) 1. เพื่อใหนักเรียนสามรถบอกข้ันตอน 3 การไลค าน้าหนกั สผี สมดา การผสมสีได (K) 2 2. เพื่อใหนักเรียนสามารถผสมสีจาก แมสี 3 สี ใหเกิดเป็นสีใหมตามวงจรสีได 1 (P) 3. ดานคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A) 1) วินัย (เขาชั้นเรียน, มีความ รบั ผิดชอบตอ งานทไ่ี ดร บั มอบหมาย) 2) มุงม่ันในการทางาน (เอาใจใสตอ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น า ท่ี ท่ี ไ ด รั บ ม อ บ ห ม า ย , พยายามแกปัญหาและอุปสรรคในการ ทางานใหส าเร็จ) 1. เพ่ือใหน ักเรียนสามารถบอกคา นา้ หนักสผี สมดาได (K) 2. เพือ่ ใหน กั เรียนสามารถไลคาน้าหนักสี ผสมดาได (P) 3. ดานคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A) 1) วินัย (เขาชั้นเรียน, มีความ รบั ผิดชอบตองานท่ไี ดรบั มอบหมาย) 2) มุงม่ันในการทางาน (เอาใจใสตอ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น า ท่ี ท่ี ไ ด รั บ ม อ บ ห ม า ย ,
พยายามแกปัญหาและอุปสรรคในการ ทางานใหส าเรจ็ 4 การไลค า นา้ หนักสผี สมขาว 1. เพื่อใหนักเรียนสามารถบอกคา 1 1 นา้ หนักสีผสมขาวได 1 (K) 2. เพอ่ื ใหน กั เรยี นสามารถไลคาน้าหนักสี ผสมขาวได (P) 3. ดานคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A) 1) วินัย (เขาชั้นเรียน, มีความ รับผดิ ชอบตอ งานทไ่ี ดรับมอบหมาย) 2) มุงมั่นในการทางาน (เอาใจใสตอ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น า ที่ ที่ ไ ด รั บ ม อ บ ห ม า ย , พยายามแกปัญหาและอุปสรรคในการ ทางานใหส าเรจ็ ) 5 การเกลีย่ สโี ปสเตอร์โทนเดียวกันใหมี 1. เพื่อใหน กั เรียนสามารถบอกการเกลี่ย ความกลมกลนื กนั สี โ ป ส เ ต อ ร์ โ ท น เ ดี ย ว กั น ใ ห มี ค ว า ม กลมกลนื กนั ได (K) 2. เพื่อใหนักเรียนสามารถเกลี่ยสี โปสเตอรโ์ ทนเดียวกนั ใหมคี วามกลมกลืน กนั ได (P) 3. ดา นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A) 1) วินัย (เขาช้ันเรียน, มีความ รบั ผดิ ชอบตอ งานทไ่ี ดร บั มอบหมาย) 2) มุงมั่นในการทางาน (เอาใจใสตอ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น า ท่ี ท่ี ไ ด รั บ ม อ บ ห ม า ย , พยายามแกปัญหาและอุปสรรคในการ ทางานใหส าเรจ็ ) 6 การเกล่ยี สโี ปสเตอรส์ ีที่แตกตางกันมี 1. เพอ่ื ใหน ักเรียนสามารถบอกการเกลี่ย ความกลมกลนื กัน สีโ ปสเตอ ร์สีที่แตก ตาง กั น มีคว าม กลมกลนื กนั ได (K) 2. เพ่ือใหนักเรียนสามารถเกลี่ยสี โปสเตอร์สที ่แี ตกตางกันมีความกลมกลืน กันได (P)
7-8 วาดภาพระบายสีโปสเตอร์ 3. ดา นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A) 2 1) วินัย (เขาชั้นเรียน, มีความ รับผดิ ชอบตองานท่ีไดร ับมอบหมาย) 2) มุงม่ันในการทางาน (เอาใจใสตอ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น า ที่ ที่ ไ ด รั บ ม อ บ ห ม า ย , พยายามแกปัญหาและอุปสรรคในการ ทางานใหส าเรจ็ ) 1. เพ่ือใหนักเรียนสามารถอธิบาย ขั้ น ต อ น ก า ร ว า ด ภ า พ ร ะ บ า ย สี ด ว ย สี โปสเตอร์ได (K) 2. เพือ่ ใหนักเรยี นสามารถสรา งสรรค์การ ว า ด ภ า พ ร ะ บ า ย สี โ ป ส เ ต อ ร์ ไ ด (P) 3. ดานคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) 1) วินัย (เขาชั้นเรียน, มีความ รบั ผดิ ชอบตอ งานทไ่ี ดร ับมอบหมาย) 2) มุงม่ันในการทางาน (เอาใจใสตอ ก า ร ป ฏิ บั ติ ห น า ที่ ท่ี ไ ด รั บ ม อ บ ห ม า ย , พยายามแกปัญหาและอุปสรรคในการ ทางานใหส าเร็จ) 1.4 ศกึ ษาวธิ ีการสรา งเคร่อื งมือในการประเมนิ ทักษะ จากเอกสาร ตารา และงานวิจัย ทเี่ กยี่ วของ 1.5 กาหนดเกณฑ์การใหคะแนน เน้ือหาที่จะวัด และเลือกรูปแบบเครื่องมือที่จะวัด แตละขอมีเกณฑ์ในการใหคะแนน (คะแนนเตม็ 10 คะแนน) ดงั น้ี 8-10 คะแนน หมายถงึ ดมี าก 5-7 คะแนน หมายถงึ ดี 3-4 คะแนน หมายถงึ พอใช 1-2 คะแนน หมายถงึ ปรบั ปรงุ 0 คะแนน หมายถงึ ไมผานเกณฑ์ 1.6 นาแบบประเมินความเหมาะสมสอดคลองของชุดกิจกรรมการเรียนรู การพัฒนา ทักษะการเขียนภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา เสนอผูเช่ียวชาญ จานวน 3 ทาน ตรวจสอบความเหมาะสมสอดคลอง ใหเหมาะสมกับระดับพัฒนาการดานทักษะ การ
วาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ โดยการจดั กิจกรรมการเรยี นรูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 4 มีความเหมาะสมสอดคลองสอดคลองกับวัตถุประสงค์การเรียนรู เพื่อนาไปใชในการประเมิน พัฒนาการดา นทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ซ่ึงใชว ธิ กี ารตรวจสอบดัชนีความสอดคลอง (Index of item – Objective Congruence หรอื IOC) โดยมเี กณฑใ์ นการพจิ ารณาคือ +1 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมสอดคลอ ง 0 หมายถึง ไมแนใ จวา มคี วามเหมาะสมสอดคลอ ง - 1 หมายถงึ ไมม ีความเหมาะสมสอดคลอง เม่ือนาแบบประเมินความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหาตรวจสอบจากผูเช่ียวชาญคานวณหา ความสอดคลอ งคา (IOC) คา เฉลี่ยมากกวา 0.5 ข้ึนไปหมายความวา ผา นเกณฑ์ 2. การสรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกอนเรียน (Pre-test) และ หลังเรียน (Post – test) เรอ่ื ง กาสรวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ มขี ้ันตอนการสราง ดงั นี้ 2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ขอบขายเนื้อหา และ ตัวช้ีวัดกลุมสาระการเรียนรูศิลปศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตลอดจนการศึกษาวิธีการสราง แบบทดสอบชนดิ เลอื กตอบ เพือ่ เปน็ แนวทางในการสรา งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน 2.2 วิเคราะห์โครงสรางเนื้อหา มาตรฐานการเรียนรู ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรูและ วัตถุประสงค์ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 มาตรฐานและตัวช้ีวัดกลุม สาระการเรียนรูศลิ ปะ การวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ จากหนังสอื ตาราและเอกสารที่เกี่ยวขอ ง 2.3 สรางแบบทดสอบกอนเรียนและหลังเรียนเป็นชุดกิจกรรมเดียวกันกับที่จะให นักเรียนปฏิบตั ิในคาบ เร่อื ง การวาดภาพสโี ปสเตอร์ โดยเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบแบบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ขอ ซึ่งตองการไดข อสอบท่มี ีคณุ ภาพตามเกณฑ์จานวน 20 ขอ โดยใหครอบคลุมเน้ือหาและ ตัวชวี้ ัด ซึ่งมีการกาหนดคาของคะแนน ดังนี้ ตอบถกู ใหค ะแนน 1 คะแนน ตอบผดิ ใหคะแนน 0 คะแนน 2.4 นาแบบทดสอบที่สรางขึ้นเรียบรอยแลวไปใหอาจารย์ที่ปรึกษาและผูเช่ียวชาญ จานวน 3 ทาน ตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ความชัดเจนของดานเนื้อหา ความชัดเจนของภาษา มีความสอดคลองสอดคลองกับวัตถุประสงค์การเรียนรู ซึ่งใชวิธีการตรวจสอบ ดัชนีความสอดคลอง (Index of item – Objective Congruence หรือ IOC) โดยมีเกณฑ์ในการ พจิ ารณาคือ
+1 หมายถึง มีความเหมาะสมสอดคลอง 0 หมายถงึ ไมแ นใ จวามคี วามเหมาะสมสอดคลอ ง - 1 หมายถึง ไมม ีความเหมาะสมสอดคลอ ง เมอื่ นาคะแนนท่ไี ดจ ากผเู ช่ียวชาญมาคานวณหาคาความสอดคลอง (IOC) คาเฉล่ียมากกวา 0.5 ขน้ึ ไปหมายความวาผานเกณฑ์ 3. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู วิจยั คร้ังนผี้ ูวิจัยไดดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมขอมูลดวยตนเองในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 เป็นเวลา 8 ช่ัวโมง กอนดาเนินการไดเตรียมนักเรียนกลุมตัวอยางกอนการเก็บขอมูล 1 วัน เพ่ือชี้แจง และใหคาแนะนาเกีย่ วกบั กิจกรรมการเรียนการสอน โดยกลุมตัวอยางในการเก็บขอมูลเป็นนักเรียนชั้น ประถมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรียนวดั มะลิ จานวน 15 คน ซ่ึงดาเนินการ ดงั น้ี 1. ใหนักเรียนกลุมตัวอยางทาแบบทดสอบกอนเรียน (Pre-test) วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรือ่ ง การวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ โดยเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบแบบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ขอ กอ นการทดลอง 2. ดาเนินการสอนกลุมนักเรียนตัวอยางตามแผนการจัดการเรียนรูและทาแบบฝึกปฏิบัติ ระหวา งเรียน โดยการจัดกิจกรรมการเรยี นรูแบบซิปปา จานวน 8 แผน ทาการสอนในช่ัวโมงเรียนปกติ 8 ชั่วโมงและนอกเวลาเรียน 3. ใหนักเรียนกลุมตัวอยางทาแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบแบบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ขอ หลังการทดลอง 4. ประเมินผลงานนักเรียนจากการทาแบบฝึกปฏิบัติระหวางเรียน ตามเกณฑ์การประเมิน ผลงานรบู ิค (Rubric Score) 5. นาผลเกณฑ์การประเมินจากการทาแบบฝึกปฏิบัติระหวางเรียน โดยการจัดกิจกรรมการ เรียนรู แบบซิปปา วเิ คราะห์ทางสถิตหิ าคาเฉลี่ย ( ̅) และสว นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) 6. นาคะแนนท่ไี ดจากการทาแบบทดสอบหลงั เรียนกอนเรียน (Pre-test) และหลังเรียน (Post- test) หลังการทดลองมาวิเคราะห์ทางสถิติ เพ่ือเปรียบเทียบความแตกตางของคะแนนโดยใชสถิติ ทดสอบที t-test แบบ dependence
4. การวิเคราะหข์ อ้ มลู ผูวจิ ยั วเิ คราะห์ขอ มลู โดยใชโปรแกรมสาเร็จรูปผูว ิจัยไดว ิเคราะห์ SPSS ชวยการวิเคราะห์ขอมูล มรี ายละเอียดดงั ตอ ไปน้ี 1. ค่าเฉลยี่ (Arithmetic Mean) ̅∑ เมือ่ ̅ แทน คา เฉลยี่ ∑ แทน ผลรวมของขอมลู ทงั้ หมด แทน จานวนขอ มลู ทง้ั หมด n 2. สตู รการหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) √ ∑ (∑ ) ( ) เมอ่ื S.D. แทน ความเบ่ยี งเบนมาตรฐาน N แทน จานวนนกั เรียนในกลมุ ตวั อยาง X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด ∑ แทน ผลรวมของคะแนนแตละตวั ยกกาลังสอง ( ∑ ) แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกาลังสอง 3. การหาค่า T-test Dependence เป็นการเปรียบเทียบคะแนนทักษะปฏบิ ตั ิกอนเรียนและ หลังเรียน การพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา สาหรบั นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนวดั มะลิ ∑ √∑ (∑ )
เม่อื t แทน คาสถิตทิ ี่จะใชเ ปรียบเทียบกับคาวิกฤต D แทน คาผลตา งระหวา งคูค ะแนน ∑ แทน ผลรวมของคะแนนความแตกตา งระหวา ง คะแนนท้ัง 2 กลมุ n แทน จานวนนักเรียนทง้ั หมด 5. สูตรค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC เป็นการหาความเท่ียงตรง (Validity) ของวัตถุประสงค์ กับเน้ือหาการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา สาหรับนักเรียน ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรียนวดั มะลิ ∑ เมื่อ IOC แทน คาดัชนคี วามสอดคลอ งของวตั ถุประสงค์ ∑ กบั เน้อื หา N แทน ผลรวมคะแนนความคิดเหน็ ของ ผเู ช่ียวชาญ แทน จานวนผเู ช่ยี วชาญ
บทที่ 4 ผลการวิจยั การวจิ ยั พัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 โรงเรียนวดั มะลิ ครงั้ นีผ้ ูวิจัยสมมุติฐานไว ดังน้ี นักเรียนระดับช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนวีชัดมะลิ ที่เรียนโดยใชการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา มีทักษะการ เขยี นภาพระบายสีโปสเตอรห์ ลังเรยี นทส่ี ูงขน้ึ กวากอ นเรียน สัญลกั ษณ์ท่ใี ช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู ในการวเิ คราะห์ขอ มลู ทไ่ี ดจ ากการทดลองและการแปลความหมายของการวเิ คราะหข์ อมูล เพื่อใหเกิดความเขาใจตรงกัน ผูวจิ ัยไดสัญลักษณ์ในการวเิ คราะหข์ อมูล ดงั น้ี ̅ แทน คา เฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของขอมูลทั้งหมด n แทน จานวนขอมลู ทั้งหมด S.D. แทน ความเบีย่ งเบนมาตรฐาน X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ∑ D แทน ผลรวมของคะแนนแตละตวั ยกกาลังสอง ( ∑ ) แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมดยกกาลังสอง t แทน คาสถิตทิ จ่ี ะใชเปรียบเทยี บกบั คาวกิ ฤต D แทน คา ผลตา งระหวางคคู ะแนน ∑ แทน ผลรวมของคะแนนความแตกตา งระหวา ง คะแนนทัง้ 2 กลมุ การนาเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ในการศึกษาคน ควา ครง้ั น้ี ผวู ิจยั ไดเสนอผลการวิเคราะห์ขอมูลเป็นตาราง ดังน้ี ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบกอนเรียน (Pre-test) และแบบทดสอบ หลังเรียน (Post-test) วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยเป็นแบบ ปรนัยชนดิ เลอื กตอบแบบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ขอ หลังการทดลอง ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลงานกอนเรียนและหลังเรียน การวาดภาพระบาย สีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนวดั มะลิ
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และแบบทดสอบ หลังเรียน (Post-test) วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยเป็น แบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบแบบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ข้อ หลังการทดลอง จากการทาแบบทดสอบกอนเรียน (Pre-test) และแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) วัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เรอ่ื ง การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ผลวิเคราะห์ขอมูล ดังตารางท่ี 1 ตารางท่ี 1 : เปรียบเทยี บคะแนนระหวางผลทดสอบกอนเรียนและหลังเรียน การวาดภาพระบาย สีโปสเตอร์ โดยการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูแบบซปิ ปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษา ปีที่ 4 โรงเรยี นวดั มะลิ การเรยี น N คะแนนเตม็ ( ̅) S.D. t กอ นเรยี น 15 20 9.33 2.74 4.78 หลังเรยี น 15 20 13 1.81 จากตารางท่ี 1 เม่ือเปรียบคาขอมูลท้ัง 2 ชุด พบวาคะแนนกอนเรียนมีคาเฉล่ีย 9.33 สวน เบ่ียงเบนมาตรฐาน 2.74 และหลงั เรียนมีคาเฉลี่ย 13 สว นเบีย่ งเบนมาตรฐาน 1.81 และผลการทดสอบ ระหวางกอ นเรยี นและหลังเรยี น พบวา คะแนนเฉลี่ยการทดสอบหลงั สงู กวากอนเรียน แสดงวาการเรียน โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปาของนักเรียนหลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสาคัญทาง สถิติทรี่ ะดบั 0.05 ซง่ึ เป็นไปตามสมมติฐาน ตารางที่ 2 : ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลงานกอนเรียนและหลังเรียน การวาดภาพระบาย สโี ปสเตอร์ โดยการจดั กิจกรรมการเรียนรแู บบซปิ ปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษา ปที ่ี 4 โรงเรียนวดั มะลิ วาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ DD เลขที่ N = 15 คะแนนกอ นเรยี น คะแนนหลังเรียน 17 8 11 25 7 24 36 10 4 16 48 9 11 58 10 2 4
67 9 24 76 9 39 86 10 4 16 96 8 24 10 7 10 3 9 11 5 8 39 12 9 10 1 1 13 7 10 3 9 14 7 8 11 15 8 10 2 4 รวม 102 136 34 92 เฉลีย่ 6.8 9.06 - - S.D. 1.14 1.03 - - คา t จากตาราง เม่อื df = 14, α = 0.05 เทากับ 1.761 คา t ท่ีคานวณได (8.5) มีคามากกวา t จากตาราง (1.761) แสดงวาหลังการทากิจกรรมการ วาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ โดยการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูแบบซิปปา นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สูงกวากอนเรียนอยางมีนัยยะสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นาเสนอผลการวิเคราะห์ขอมูลได ดังตารางท่ี 3 ตารางท่ี 3 : ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรยี นวดั มะลิ การทดลอง N คะแนนเต็ม ̅ D ∑ ∑ D t กอ นเรยี น 15 10 6.8 2.26 34 92 8.5* หลังเรยี น 15 10 9.06 *มนี ยั สาคัญทางสถติ ริ ะดับ 0.05 จากตารางที่ 3 พบวาหลังจากเรียนการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการ เรยี นรูแบบซิปปา นา้ หนักเฉลยี่ ̅ ลดลง เทากับ 9.06 มีคะแนนเฉลย่ี D เทากับ 2.26 มีคา t เทากับ 8.5 สงู กวากอนการเรียนอยางมีนัยสาคัญทางสถิติระดับ 0.05 แสดงวาการเรียนจากกิจกรรมการวาดภาพ
ระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา ทาใหนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนวัดมะลิ มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสงู ขน้ึ จรงิ ดงั นนั้ การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจดั กจิ กรรมการเรียนรูแบบซิปปา เป็นกิจกรรมท่ี สามารถพัฒนาทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน วัดมะลิได เพราะทาใหนักเรียนเกิดการเรียนรูในทุกๆ ดาน ท้ังการทางานแบบกลุม การชวยเหลือกัน ภายในกลมุ รวมถึงขนั้ ตอนการสรางสรรค์ผลงานใหออกมาสัมฤทธิ์ผล อีกท้ังสามารถนาความรูท่ีได ไป ประยุกตใ์ ชใ นชวี ิตประจาวนั หรอื สรา งสรรคผ์ ลงานในรปู แบบใหมๆ ไดต ามความตอ งการ
บทท่ี 5 สรปุ ผลการวจิ ยั อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเพ่ือการเรียนรูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรยี นวดั มะลิ ซึ่งมีการลาดบั ขน้ั ตอนของการวิจัยและผลการวจิ ัยไดดงั ตอไปน้ี วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย 1. เพ่ือพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยการ จดั กิจกรรมการเรยี นรแู บบซิปปา 2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ของนักเรียน ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4 โดยการจดั กจิ กรรมการเรียนรแู บบซปิ ปา ระหวางกอ นเรยี นและหลงั เรียน สมมตฐิ านการวจิ ัย นกั เรียนระดับชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนวัดมะลิ ท่ีเรียนโดยใชการจัดกิจกรรมการเรียนรู แบบซปิ ปา มที ักษะการวาดภาพระบายสโี ปสเตอรห์ ลังเรยี นทส่ี ูงขน้ึ กวา กอ นเรียน ขอบเขตของการวจิ ัย ขอบเขตด้านประชากร ประชากรทีใ่ ชในการวิจัยครั้งน้ี เป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรยี นวัดมะลิ จานวนนักเรยี น 15 คน ตวั แปรทศ่ี กึ ษา ตวั แปรตน ไดแ ก การจัดกิจกรรมการเรยี นรแู บบซปิ ปา ตัวแปรตาม ไดแก ทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปี ท่ี 4 โรงเรยี นวัดมะลิ เครอื่ งมือท่ใี ชใ้ นการวิจยั 1. แผนจัดการเรียนรู พฒั นาทกั ษะการวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ สาหรบั นักเรยี น ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 2. แบบฝกึ ทกั ษะระหวา งเรยี น การวาดภาพสโี ปสเตอร์ 3. แบบทดสอบกอนเรียน (Pre-test) และ หลงั เรียน (Post – test) 4. แบบประเมินทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์
ข้ันตอนการดาเนนิ งานวจิ ยั ข้ันตอนที่ 1 ศึกษาข้อมลู เบ้อื งตน้ เก่ยี วกบั การวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ 1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนึ้ พ้นื ฐาน พทุ ธสักราช 2551 ทาการเลือกตัวช้ีวัดเพ่ือ ใชใ นการออกแบบกจิ กรรมการจัดการเรยี นการสอน 2. ผูว จิ ยั ไดศกึ ษาเร่อื ง การวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์ และเอกสารงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วของ 3. ขอมูลเก่ียวกับข้ันตอนการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ใหเหมาะสมแกนักเรียนระดับช้ัน ประถมศึกษาปที ่ี 4 เพ่อื นาขอ มลู มาใชเ ป็นแนวทางในการส่อื สาหรบั การสอน 4. กาหนดแผนการจดั การเรียนรู การพัฒนาทักษะการเขียนภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการ จดั กิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โดยแผนการเรียนรูจานวน 8 แผนแผนละ 1 ชวั่ โมง รวมเปน็ 8 ชว่ั โมง 5. ผูว ิจัยนาแผนการจัดการเรียนการสอนเร่ือง การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ที่สรางขึ้นไป ใหผูเชี่ยวชายตรวจสอบเน้ือหาและความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู และนาขอมูล มาแกไขปรบั ปรงุ แกไ ขใหถูกตอ งในลาดบั ตอไป ขั้นตอนท่ี 2 ออกแบบและจดั ทาเคร่ืองมอื ในการจดั ทาวิจัย 1. นาตัวชี้วดั ท่ไี ดมาใชในการสรา งเครอื่ งมอื การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ 2. สรางแบบทดสอบกอ นเรยี น (Pre-test) และ หลงั เรยี น (Post – test) 3. สรางแบบฝกึ ระหวางเรียน การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ 4. การวัดการประเมินผลใชเกณฑร์ บู คิ สกอร์ (Rubric Score) 5. นาเครื่องมือไปใหผูเช่ียวชาญจานวน 3 ทานตรวจสอบความถูกตอง ความเหมาะสม สอดคลองและความเที่ยงตรง ของผเู ช่ียวชาญ และนาขอ มูลทไ่ี ดไ ปปรับปรุงแกไขกจิ กรรมตามคาแนะนา ของผเู ชยี่ วชาญ สรปุ ไดว า เคร่อื งมอื มคี วามสอดคลองกบั วัตถุประสงค์ สามารถจดั กิจกรรมการวาดภาพ ระบายสโี ปสเตอร์ ข้ันตอนที่ 3 ทดลองใช้กิจกรรมการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการ เรยี นรู้แบบซิปปา กับกล่มุ ทดลอง 1. ผูวิจยั นาแผนการจัดการเรียนการสอนไปใชจ ริงกบั กลุมตัวอยางนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวดั มะลิ จานวน 15 คน ภาคเรยี นที่ 2 การศึกษา 2563 2. ผวู ิจัยใหกลมุ ทดลองทาแบบแบบกอนเรียน (Pre-test) กอนเร่มิ ดาเนินกจิ กรรม 3. นกั เรยี นทากิจกรรมการวาดภาพระบายโปสเตอร์ โดยใชแบบฝกึ ทกั ษะระหวา งเรียน 4. ผูว จิ ัยใหกลมุ ทดลองทาหลังเรยี น (Post – test) เพือ่ วดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
การวเิ คราะหข์ ้อมูล 1. หาคาสถิติพ้ืนฐานทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ 1.1 การหาคา เฉลย่ี ของคะแนน 1.2 หาคาความเบยี่ งเบนมาตรฐาน 1.3 คา รอยละ 2. วิเคราะห์หาคาคะแนนความแตกตางระหวางคะแนนทดสอบกอนเรียนและหลังเรียน การวิเคราะหข์ อมลู ใชคา เฉลี่ย ( )̅ สวนคา เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนกอ นและหลงั เรยี นใชค า t-test for dependent 3. วิเคราะห์พฒั นาการดา นทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษา ปีที่ 4 โดยใชสถติ คิ าเฉลีย่ คา เฉลยี่ ( )̅ สวนคา เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) สรุปผล การวจิ ัยการศกึ ษาดานทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ ซิปปา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีท่ี 4 โรงเรียนวัดมะลิ ภายหลังการทดลองพบขอสรุปท่ี เป็นไปตามสมติฐาน คอื 1. คะแนนการทาแบบทดสอบการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์กอนเรียนมีคาเฉล่ีย ̅ คิดเป็น 9.33 และการทาแบบทดสอบหลังเรยี นดานทกั ษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์มคี า เฉล่ีย ̅ คิดเป็น 13 โดยคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนดานทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ มีคาเฉล่ียเพ่ิมข้ึนหลังจาก การทากจิ กรรมมคี ะแนนความกา วหนาเฉลย่ี (D) เทา กบั 0.93 มคี า t เทา กับ 4.78 สูงกวากอนเรียนโดย มนี ัยยะสาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ 0.05 2. ทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา สาหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 4 โรงเรียนวัดมะลิ กอนไดรับการจัดการเรียนการสอนการวาดภาพ ระบายสีโปสเตอรม์ ีคาเฉลีย่ ̅ คดิ เป็น 6.8 โดยคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนดานทักษะวาดภาพระบาย สีโปสเตอร์มีคาเฉล่ียเพ่ิมข้ึนหลังจากการทากิจกรรม 9.06 มีคะแนนความกาวหนาเฉล่ีย (D) เทากับ 2.26 มคี า t เทากบั 8.5 สงู กวากอนเรียนโดยมนี ยั สาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดับ 0.05 แสดงวานักเรียนมีทักษะ การวาดภาพระบายสโี ปสเตอรส์ ูงขน้ึ อยางมนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั 0.05 อภิปรายผล การวิจัยคร้ังน้ีมีความมุงหมายเพ่ือพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัด กิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาช้ันปีที่ 4 โรงเรียนวัดมะลิ จาก ผลการวจิ ยั ท่สี รปุ ขา งตน สามารถอภิปรายผลไดด ังน้ี
จากการวิจัยพบวา นกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาชนั้ ปที ่ี 4 โรงเรียนวดั มะลมิ ีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์หลังเรียนสูงขึ้นกวากอนเรียนอยางมีนัยสาคัญและมีทักษะการวาดภาพ ระบายสีโปสเตอร์ท่ีสูงข้ึนอยางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงวาการจัดกิจกรรมการเรียนรู รปู แบบซปิ ปาทาใหนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีท่ี 4 มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีสูงข้ึนจริงเป็นไปตาม สมตฐิ านทีต่ ้งั ไว ซึ่งสอดคลองกบั (ธวัชชัย ยอดราช 2555 : 75) ไดก ลา วไวว า นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาช้ัน ปีท่ี 2 ท่ีเรียนการวาดภาพระบายสีน้าโดยใชการเรียนการสอบแบบ CIPPA MODEL โดยเปรียบเทียบ จากคะแนนความสามารถในการวาดภาพสนี ้าแบบตา งๆ พบวา การวาดภาพดอกไม กอน การสอนมคี ะแนนเฉลยี่ 25.60 คะแนน และหลงั การสอนมคี ะแนนเฉล่ีย 31.18 มีคะแนนเพ่ิมขนึ้ รอยละ 11.16 ซ่ึงเป็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นอยางมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 การวาดภาพ ทิวทัศน์ทะเลกอนการสอนมีคะแนนเฉลี่ย 22.70 คะแนน และหลังการสอนมีคะแนนเฉลี่ย 28.88 มี คะแนนเพมิ่ ขนึ้ รอ ยละ 12.36 ซง่ึ เป็นสมั ฤทธิท์ างการเรยี นทสี่ ูงขน้ึ อยางมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 และการวาดภาพความคิดสรางสรรค์ กอนการสอนมีคะแนนเฉล่ีย 24.40 คะแนน และหลังการสอนมี คะแนนเฉลี่ย 29.14 มีคะแนนเพ่ิมขึ้น รอยละ 9.48 ซึ่งเป็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีสูงขึ้นอยางมี นยั สาคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.05 ซง่ึ เปน็ ไปตามสมติฐานที่ตงั้ ไว ดังน้ัน การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา สาหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาช้ันปีที่ 4 โรงเรียนวัดมะลิ เป็นกิจกรรมท่ียึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง อีกทั้งให นักเรียนชวยเหลือกันภายในกลุม และใหนักเรียนไดลงมือปฏิบัติในการสรางผลงานตามกระบวนการ อยางถูกตองตามข้ันตอน ดวยตนเองตั้งแตกระบวนการคิด จนไปถึงกระบวนการวาดภาพระบายสี โปสเตอร์ โดยนาความความรูท่ีไดมาสรางสรรค์งาน ทาผูเรียนไดพัฒนาทักษะการวาดภาพวาดภาพ ระบายสีโปสเตอร์ และเพลดิ เพลินกับกิจกรรมและมีพัฒนาการดานทกั ษะการวาดภาพวาดภาพระบายสี โปสเตอรแ์ ละดานอน่ื ๆ เพ่ิมขนึ้ ปญั หาและอุปสรรคท่พี บในการวิจยั 1. การดาเนินการวิจัยในชวงสถานการณ์ Covid – 19 อาจลาชาหรือคลาดเคลื่อน อีกท้ังตอง หาแนวทางการแกไขเฉพาะหนา เชน เก็บขอมลู สัปดาหล์ ะสองครง้ั เพื่อใหทนั ตามเวลาท่กี าหนด 2. เน่ืองจาก Covid – 19 ทาใหการปรึกษาหาเพ่ือทาการวิจัย ไมสะดวก และสงผลใหการ ดาเนินวจิ ยั คอ นขางลา ชา ข้อเสนอแนะ 1. ผูสอนตอ งคอยสนบั สนุนเด็กในการทากิจกรรม และเพอื่ ไมใ หผูเ รียนเกดิ ความเบ่ือหนาย และ ดูแลเด็กอยาท่ัวถงึ 2. ผูส อนสามารถนาการสอนแบบซิปปาไปประยกุ ตใ์ ชกับกิจกรรมอื่นๆ ไดความตองการ 3. การสอนแบบซปิ ปาสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชกับรายวิชาอน่ื ได
บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). การจดั สาระการเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรยี นร้ศู ิลปะ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ องคก์ ารรบั สง สินคา และพสั ดุภณั ฑ์ กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การรับสงสนิ คา และพสั ดภุ ณั ฑ์ จุง ชาวไร. (2020). 4 ข้ันตอนง่ายมาก วาดภาพสีโปสเตอร์. สืบคนเมื่อ 5 มกราคม 2564, เขาถึงไดจาก : https://cities.trueid.net/bangkok/4-ข้ันตอนงายมาก-วาดภาพสีโปสเตอร์- trueidintrend_69687 ชัยวฒั น์ การรนื่ ศร.ี (2546). ศลิ ปะเบ้ืองต้น วาดเส้น ระบายสี ใบหน้าสร้างสรรค์, กรุงเทพฯ : บริษัท สานกั พมิ พ์ปาเจรา จากัด ทิศนา แขมมณี, สรอนสน สกลรักษ์. (2540). แบบแผนและเคร่ืองมือการวิจัยทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : สานักพิมพจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย ธวัชชัย ยอดราช. (2555). การศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวาดภาพระบายสีน้า ระหวา่ ง การเรียนการสอน ก่อนและหลังและศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนชั้น มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล 5 เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี โดยใช้การเรียนการสอน แบบ CIPPA MODEL. มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ, กรุงเทพฯ ปรีดา ปัญญาจันทร์ และ สุดไผท เมืองไทย (2557). การเขียนภาพประกอบหนังสือสาหรับเด็ก. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์ บริษทั อมรินทรพ์ ร้นิ ติ้งแอนด์พับลิซซง่ิ จากัด (มหาชน) พมิ พนั ธ์ เดชะคุปต์ และ พเยาว์ ยินดสี ุข. (2539). ทักษะ 5C เพ่ือการพัฒนาหน่วยการเรียนรู้และการ จดั เรยี นการสอนแบบบรู ณาการ. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พแ์ หงจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2546). การเรียนการสอนท่ีมีการวิจัยเป็นฐาน. พิมพ์ครั้งท่ี 2 กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์แหงจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย มนัญญา, เรืองสขุ สุด. (2557). ผลการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง การใช้โปรแกรมเพ้นท์ ด้วยรูปแบบการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA Model) สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบุรีรัมย์ ยงยุทธ สินสวาท, อารีย์ ปรีดีกุล และ วิราพร พงศ์อาจารย์. (2559). การพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา ในรายวชิ าทศั นศลิ ป์ (ศ14101). มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พบิ ูลสงคราม, กรุงเทพฯ วัฒนาพร รงั คะราช (2558). การพัฒนารปู แบบการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ทใ่ี ช้ สื่อประสม (Multimedia) เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและการคิดวิเคราะห์ เร่ือง ความคลา้ ยวชิ าคณิตศาสตร์ 5 สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3. สืบคนเม่ือ 11 มกราคม
2564, เขาถึงไดจาก : https://rerujournal.reru.ac.th/wp-content/uploads/2018/03/OK- 21-วัฒนาพร-รังคะราช.pdf สิงขร ภักดี. (2559). การสอนวาดภาพทิวทัศน์. มหาวิทยาลัยราชอุดรธานี, สืบคนเมื่อ 10 ธันวาคม 2563, เขาถึงไดจาก : http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/170DXt9XK0 6S17i77K7t. pdf?fbclid=IwAR2YO_CJjIkr8PmVyJlQH0MW279i7lMbm BkDZ7NFrJm- oANDackV5_OHWEU สรุ ยทุ ร พันธเ์ ผือก. (2554). ฝกึ ระบายสโี ปสเตอร์, กรงุ เทพฯ : บริษทั แอ฿ปปูา พร้นิ ดิ้ง กรุ฿ป จากดั อมร นารี และ ดร.สถาพร ขันโต (2554). ผลการจัดประสบการณ์ โดยใช้โมเดลซิปปาสาหรับเด็ก ปฐมวัยปที ่ี 2 โรงเรียนบา้ นง้อง สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาขอนแก่น เขต 4 . มหาวิทยาลัย ขอนแกน อิษณาพร คุมตะบุตร. (2551). ผลการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ท่ีเน้นผุ้เรียนเป็นสาคัญ กลุ่มสาระ การเรียนศิลปะ (สาระทัศนศิลป์) เรื่อง สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ โดยใช้รูปแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นชมุ ชนบ้านหัวขวั . สบื คนเมื่อ 15 ธันวาคม 2563, เขาถึงไดจาก : http://www.banhuakhua.ac.th/banhuakhua/file_editor/ isana.pdf?fbclid=IwAR2wyTfCJg07lkj1m3JcKSUb2fPrAivUnbBe0rh-wrm_tlPHVfi QmfiD27E อุดร ไชยคา. (2546). การเขียนภาพประกอบด้วยสีดปสเตอร์, กรุงเทพฯ : บริษัท สานักพิมพ์ วาดศิลป จากดั Jeerawut Kokyai. (2014). รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา (CIPPA Model) หรือรูปแบบการประสานหน้าแนวคิด โดย ทิศนา แขมมณี. สืบคนเมื่อ 10 มกราคม 2564, เขาถึงไดจาก : https://sites.google.com/site/krutubtib/withi-elea- thaksa-kar-sxn/rup-baeb-kar-reiyn-kar-sxn-doy-yud-phu-reiyn-pen-sunyklang- model-sip-pa-cippa-model-hrux-rup-baeb-kar-prasan-hna-naewkhid-doy-this-na- khaem-mni Yuijung. (2012). เทคนิคการใช้สีโปสเตอร์. สืบคนเมื่อ 5 มกราคม 2564, เขาถึงไดจาก : https://yoijung.wordpress.com/2012/02/08/เทคนคิ การใชส ีโปสเตอร์/ ________(-). เทคนิคการใช้สีโปสเตอร์. สืบคนเม่ือ 2 มกราคม 2564, เขาถึงไดจาก : https://www.hitgalleria.com/เทคนคิ การใชส โี ปสเตอร์/
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก รายนามผตู้ รวจสอบวจิ ัยและเครื่องมอื ในการวจิ ัย
ภาคผนวก ก รายนามผตู้ รวจสอบวิจัยและเครอ่ื งมอื ในการวจิ ัย 1. ผศ.วฒุ นิ นั ท์ รัตสุข ผูชวยศาสตราจารย์ประจาสาขาศิลปศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และ 2. อาจารยฆ์ นา วรี ะเดชา สังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สวนดสุ ิต 3. นายพันศกั ด์ิ เส็งสุวรรณ ผูชวยศาสตราจารย์ประจาสาขาศิลปศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และ สงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสวนดุสติ ครปู ระจารายวชิ าทศั นศิลป โรงเรียนวดั มะลิ
ภาคผนวก ข คุณภาพเคร่อื งมือ แบบประเมนิ ความสอดคลอ้ งของชดุ กิจกรรมการวาดภาพระบายสโี ปสเตอร์
แบบประเมนิ ความเหมาะสมสอดคลอ้ งของแผนการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาทกั ษะการเขยี นภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจดั กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบซิปปา สาหรับนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 คาช้ีแจง : ขอใหทานผูเช่ียวชาญไดกรุณาแสดงความคิดเห็นของทานที่มีตอแผนการจัดการเรียนรู โปรดพิจารณาวาชุดกิจกรรมการเรียนรูการพัฒนาทักษะการวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัด กิจกรรมการเรยี นรูแบบซิปปา สาหรบั นกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 มคี วามเหมาะสมตามองคป์ ระกอบ ดา นตางๆ ทีก่ าหนดหรือไม ขอใหท านผเู ชยี่ วชาญกรุณาแสดงความคิดเห็น โดยเขยี นเครื่องหมาย ลง ในชอ ง “ระดับความคดิ เห็น” ตามความคดิ เห็นของทาน ดงั นี้ +1 หมายถงึ มีความเหมาะสมสอดคลอง 0 หมายถงึ ไมแ นใจวามีความเหมาะสมสอดคลอ ง - 1 หมายถงึ ไมมีความเหมาะสมสอดคลอ ง ความคดิ เหน็ รายการประเมนิ ผูเชี่ยวชาญ ขอเสนอแนะ +1 0 - 1 1. ดา้ นแผนการจัดการเรียนรู้ 1.1 มาตรฐานการเรียนรู ตัวช้ีวัด และสาระการเรียนรู ตร ง ต าม หลั ก สู ตร แก น ก ลา ง ก าร ศึก ษา ข้ัน พื้ น ฐา น พุทธศักราช 2551 1.2 สาระการเรยี นรู และจุดประสงคก์ ารเรยี นรูสอดคลอง กบั ตวั ช้ีวัด 1.3 กิจกรรมการเรียนรูเหมาะสมกับจุดประสงค์และสาระ การเรยี นรู 1.4 กิจกรรมครอบคลมุ สาระการเรียนรู 1.5 ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมเหมาะสมตอการเรียนใน เนือ้ หาแตล ะชุดกิจกรรม 2. ดา้ นสื่อการเรียนรู้ 2.1 สอดคลองกับจดุ ประสงค์การเรียนรู 2.2 สอดคลองกับกจิ กรรมการเรยี นรู 2.3 กิจกรรมชวยกระตุนใหผูเรียนเกิดการคิดอยาง
มีวจิ ารณญาณ 2.4 ชวยใหผูเรียนสามารถพัฒนาดานความรู ดานทักษะ กระบวนการคดิ อยางมวี ิจารณญาณ 2.5 ชวยใหผูเรียนรูวิธีการใชส่ือและแหลงขอมูลตางๆ เพอื่ การศกึ ษาคน ควาเพมิ่ เตมิ 3. ด้านแบบฝกึ ระหวา่ งเรยี น 3.1 แบบฝึกมคี วามสอดคลองกบั โครงสรา งของหลักสตู ร 3.2 แบบฝกึ มีความตรงตามเนือ้ หาในสาระการเรยี นรู 3.3 จานวนขอและเวลาในการทาแบบฝึกมีความ เหมาะสม 3.4 คาชแี้ จงและคาสงั่ ในแบบฝกึ มีความชัดเจน เขา ใจงา ย 3.5ความเหมาะสมตอกระบวนการพัฒนาผูเรยี น 3.6 แบบฝึกสามารถเราความสนใจและสงเสริมความ สามารถในการลงมอื ปฏิบัติ 4. ด้านเกณฑก์ ารประเมิน 4.1 วิธีการตรวจใหค ะแนนแบบฝกึ มีความถูกตอ ง 4.2 วัดไดครอบคลุมจุดประสงคก์ ารเรียนรู 4.3 เครื่องมือท่ีใชวัดและประเมินครอบคลุมจุดประสงค์ การเรียนรู 4.4 เกณฑ์ที่ใชวัดและประเมินผลครอบคลุมจุดประสงค์ การเรยี นรู 4.5 วัดและประเมินผลเนนผลเนนการประเมินตาม ภาพจรงิ ขอเสนอแนะ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… (ลงชอ่ื )................................................................ผปู ระเมิน (.......................................................) ตาแหนง …………………………………………………………………..
แบบประเมนิ ความเหมาะสมสอดคลอ้ งที่มีต่อแบบทดสอบกอ่ นเรียน การพัฒนาทักษะการเขียนภาพระบายสโี ปสเตอร์ โดยการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบซปิ ปา สาหรบั นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 คาชี้แจง : โปรดพิจารณาวาขอสอบแตละขอมีความสอดคลอง (IOC) กับการเรียนรูการพัฒนาทักษะ การวาดภาพระบายสีโปสเตอร์ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบซิปปา สาหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 4 ขอใหทานผูเช่ียวชาญกรุณาแสดงความคิดเห็น โดยเขียนเครื่องหมาย ลงในชอ ง “ระดบั ความคดิ เหน็ ” ตามความคดิ เหน็ ของทา น ดงั นี้ +1 หมายถึง มคี วามเหมาะสมสอดคลอ ง 0 หมายถึง ไมแนใจวา มคี วามเหมาะสมสอดคลอง - 1 หมายถึง ไมมคี วามเหมาะสมสอดคลอ ง ขอ รายการประเมิน ความคิดเหน็ ผูเชยี่ วชาญ ขอเสนอแนะ +1 0 - 1 1 สโี ปสเตอรม์ คี ณุ ลกั ษณะอยางไร ก. ทึบแสง ข. โปรง แสง ค. ทบึ แสงและโปรงแสง ง. ผดิ ทุกขอ (เฉลย ก) 2 สีแท (Hue) หมายความวาอยา งไร ก. สที ถี่ ูกผสมกบั สีดา ข. สีทีถ่ กู ผสมกบั สขี าว ค. สีท่ยี ังไมถกู ผสมกบั สดี าและสีขาว ง. สที ถี่ กู ผสมกับสดี าและสขี าว (เฉลย ค) 3 คสู ใี ดมคี วามกลมกลนื มากท่สี ดุ ก. แดงกับเขียว ข. สม กับนา้ เงนิ ค. สม กับเหลือง ง. มว งกบั เขียว (เฉลย ค)
4 ขน้ั ตอนแรกของการวาดภาพสโี ปสเตอร์ คอื อะไร ก. การรา งภาพโดยรวม ข. กาหนดสี ค. จัดเตรียมวสั ดุและอปุ กรณ์ ง. ผิดทกุ ขอ (เฉลย ก) 5 หากตองการวาดภาพสีโปสเตอร์ใหมีกรอบที่คมชัด ควรทาอยา งไร ก. ตดิ เทปใส ข. ตกี รอบดว ยดินสอ ค. ตีกรอบดวยปากกา ง. ติดกระดาษกาวสาหรบั กนั สี (เฉลย ง) 6 หากผสมน้าลงในสีโปสเตอร์มากเกินไป จะสงผล อยา งไร ก. สีออ นหรือจางเกินไป ข. สีสดใสขนึ้ ค. สีเขมข้ึน ง. สรี ะบายงา ย (เฉลย ก) 7 “สีโปสเตอร์” ในคาศัพท์ภาษาองั กฤษคือขอใด ก. Watercolor ข. Poster color ค. Oil pastel ง. Draw (เฉลย ข) 8 หากตองการใหสีใหออนลง ควรใชสีใดเป็นสวน ประสม ก. สีเหลือง ข. สีเขียว ค. สสี ม ง. สีขาว (เฉลย ง)
9 จากภาพเปน็ คาน้าหนกั สีที่ผสมดวยสใี ด ก. สีดา ข. สีเหลอื ง ค. สชี มพู ง. สขี าว (เฉลย ง) 10 จากภาพเป็นคา น้าหนักสีท่ผี สมดว ยสีใด ก. สเี ขยี ว ข. สดี า ค. สีน้าตาลง ง. สีขาว (เฉลย ข) 11 ขอ ใดกลา วผดิ ก. คณุ ลกั ษณะของสโี ปสเตอร์คอื ทบึ แสง ข. สีโปสเตอร์ใชแปูงเปน็ สว นผสม ค. ภาพเขยี นสโี ปสเตอรม์ ีความทนทานกวา สปี ระเภทอนื่ ง. ผดิ ทกุ ขอ (เฉลย ค) 12 ภาพสีโปสเตอร์ท่ีแหงแลวหากโดนน้าจะสงผล อยา งไร ก. ภาพเขมขน้ึ ข. ภาพสวยขน้ึ ค. ภาพเสยี หาย ง. ไมสง ผลใดๆ (เฉลย ค) 13 13. ภาพใดตอ ไปน้คี ือภาพเขยี นสีโปสเตอร์ ก.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 563
Pages: