ชมพูพฤกษ ๘๐ ชวนะ ดวย); ชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล อรหันต กไ็ มท าํ กรรม เปน กิรยิ าชวนะ) ประกอบดว ยมหาชนบท คอื แวน แควน จึงถือวาอยูในชวงท่ีสําคัญ, โดยท่ัวไป ใหญ หรือมหาอาณาจกั ร ๑๖ เรยี ง และอยา งมากทส่ี ุด ปถุ ชุ นในกามภูมิ มี ชวนจติ เกดิ ขน้ึ ๗ ขณะ แลว เกดิ ตทารมณ ครา วๆ จากตะวนั ออก (แถบบงั คลาเทศ) (ตทาลมั พณะ หรอื ตทาลมั พนะ กเ็ รยี ก) เปน วิปากจิตข้ึนมา ๒ ขณะ แลว กเ็ กิด ขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ (แถบ เปนภวงั คจติ เรยี กกันวา ตกภวังค เปน อันส้ินสุดวิถีจิต คือส้ินสุดการรับ เหนอื ของอฟั กานสิ ถาน) คอื องั คะ มคธ อารมณไปวิถหี นงึ่ , ท่ีวา มานี้ เปนกรณที ี่ รับอารมณที่มีกําลังแรงหรือเดนชัดมาก กาสี โกศล วชั ชี มลั ละ เจตี วงั สะ กรุ ุ (ถาเปนอารมณใหญมากทางปญจทวาร คือทางตา หู จมกู ลิน้ กาย เรยี กวา ปญ จาละ มจั ฉะ สรุ เสนะ อสั สกะ อวนั ตี อติมหันตารมณ ถา เปน อารมณเดน ชดั ทางมโนทวาร เรียกวา วภิ ตู ารมณ) แต คนั ธาระ และกมั โพชะ (ตามหลกั ฐานในพระ ถาอารมณท่ีรับน้ันมีกําลังไมมากนัก ไตรปฎ ก เชน อง.ฺ ตกิ .๒๐/๕๑๐/๒๗๓); ดู อนิ เดยี หรอื ไมเดน ชดั (คอื เปน มหันตารมณทางชมพูพฤกษ ตนหวา ปญจทวาร หรือเปนอวิภูตารมณทางชยเสนะ พระราชบดิ าของพระเจา สหี หนุ มโนทวาร) พอชวนจติ ขณะท่ี ๗ ดบั ไป ครองนครกบลิ พสั ดุ ก็เกิดเปนภวังคจิตตอ เลย (เรียกวาตกชราธรรม มคี วามแกเ ปน ธรรมดา, มคี วาม ภวังค) ไมมตี ทารมณเกิดข้ึน, ย่ิงกวานนั้ แกเ ปน ของแนน อน; ธรรมคอื ความแก ในทางปญ จทวาร ถา อารมณท กี่ ระทบ มีชราภาพ ความแก, ความชาํ รดุ ทรดุ โทรม กําลังนอย (เปน ปริตตารมณ) หรอื ออนชลาพชุ ะ, ชลามพุชะ สตั วเ กิดในครรภ กาํ ลังอยางยิง่ (เปนอตปิ ริตตารมณ) วถิ ี ไดแกมนษุ ย และสตั วเดยี รัจฉานทอ่ี อก จิตจะเกิดข้ึนนอยขณะ แลวเกิดเปน ภวังคจิต (ตกภวงั ค) โดยไมมีชวนจติ ลกู เปน ตวั (ขอ ๑ ในโยนิ ๔) เกดิ ขนึ้ เลย, ทวี่ า มานนั้ เปน การพดู ทว่ั ไปชลาลยั “ทอ่ี ยขู องนํา้ ”, แมนาํ้ , ทะเล ยงั มีขอ พเิ ศษหลายอยา ง เชน ในกามภมู ิชโลทกวารี นาํ้ นี้แหละ ในกรณีท่ีอารมณออนกําลังชวนะ “การแลนไป”, “การไปเรว็ ”, “การ สวางวาบ”, ความเร็ว, ความไว; จิต ขณะ ท่ีแลนไปในวิถี ทําหนาที่รับรูเสพ อารมณ ทางทวารท้ังหลาย (ทางตา หู จมูก ล้นิ กาย หรอื ใจ) เปน วิถจี ิตในชวง หรอื ข้นั ตอนท่ีทํากรรม (เปนกุศลชวนะ หรืออกศุ ลชวนะ แตถาเปนจติ ของพระ
ชะตา ๘๑ ชาดกชวนจติ เกิดแค ๖ ขณะก็มี ในเวลาจะ ชักสื่อ นําถอยคําหรือขาวสารของชายส้นิ ชีวติ ชวนจติ เกิดเพยี ง ๕ ขณะ ใน และหญิง จากฝายหนึ่งไปบอกอกี ฝา ยเวลาเปนลม สลบ งวงจัด เมาสุรา หน่ึง หรือจากทั้งสองฝายใหรูถึงกันเปน ตน หรือกรณมี ปี สาทวัตถุออ นกาํ ลัง เพ่ือใหเขาสําเร็จความประสงคในทางยงิ่ อยา งทารกในครรภห รอื เพง่ิ เกดิ ชวน- เมถนุ (สังฆาทเิ สส สกิ ขาบทท่ี ๕)จติ เกดิ ขนึ้ เพยี ง ๔-๕ ขณะ สว นในภมู ิที่ ชั่งเกียจ ตราช่ังที่ไมซ่ือตรง ทําไวเอาสูงข้นึ ไป เชน ในการบรรลฌุ านแตละ เปรยี บผอู นื่ข้ันครั้งแรก ในการทํากิจแหงอภิญญา ชังเฆยยกะ แผนผาท่เี ยบ็ ทาบเติมลงไปในการสําเรจ็ กิจแหง มรรค และในเวลา บนจวี รตรงทถี่ กู แขง , นวี้ า ตามคาํ อธิบายออกจากนิโรธสมาบัติ ชวนจิตเกิดขึ้น ในอรรถกถา แตพ ระมติของสมเดจ็ พระขณะเดียว (แตในเวลาเขา นโิ รธสมาบัติ มหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสชวนจิตเกิดข้ึน ๒ ขณะ) สําหรับผู ในวนิ ยั มขุ เลม ๒ วา ในจวี รหา ขณั ฑๆชํานาญในฌาน ชวนจิต (อัปปนาชวนะ) ถดั ออกมาจากขณั ฑก ลางทง้ั ๒ ขา ง ชอ่ืจะเกิดดับตอเนื่องไปตลอดเวลาที่อยูใน ชงั เฆยยกะ เพราะอฑั ฒมณฑลของ ๒ฌานน้ัน อาจจะตลอดทั้งวัน ไมมี ขณั ฑน นั้ อยทู แี่ ขง ในเวลาหม ; ดู จวี รกําหนดจํานวนขณะ (เปนอัปปนาวิถี ชังเฆยยกะ ดู จีวรตลอดเวลาท่ีฌานจิตยังสืบตอติดเน่ือง ชัชวาล รุง เรือง, สวาง, โพลงขนึ้กันไป) จนกวาจะเกิดเปนภวังคจิตขึ้น ชยั มงคล มงคลคอื ความชนะ, ความชนะมา สนั ตตขิ องฌานจิตก็ขาดตอน เรยี ก ทเ่ี ปน มงคลวาตกภวังค คือออกจากฌาน; คําวา ชาคริยานุโยค การประกอบความเพยี ร“ชวนะ” นี้ ใชห มายถึงจติ ซึ่งทําหนาท่ีรบั เครือ่ งตื่นอยู คือ ความเพียรพยายามอารมณใ นวถิ ี กไ็ ด หมายถงึ การทาํ หนา ท่ี ปฏบิ ตั ธิ รรม ไมเหน็ แกนอน ตนื่ ตัวอยูของจติ ในการรับอารมณนน้ั กไ็ ด ถา เปนนติ ย ชาํ ระจติ ไมใหมนี วิ รณ (ขอ ๓ตองการความหมายใหจําเพาะชัดลงไป ในอปณ ณกปฏิปทา)ก็เตมิ คาํ กาํ กบั ลงไปวา “ชวนจติ ” หรือ ชาดก “เครอ่ื งเลา เรอ่ื งราวทพ่ี ระพทุ ธเจา“ชวนกจิ ” ตามลาํ ดบั ; ดู วิถจี ิต ไดท รงเกดิ มาแลว ”, ชอื่ คมั ภรี ใ นพระไตร-ชะตา เวลาท่ีถือกําเนิดของคนและส่ิงที่ ปฎก อันเลาเร่ืองพระชาติในอดีตของสาํ คญั พระพทุ ธเจา เมอ่ื ยงั เปน พระโพธสิ ตั วซ ง่ึ
ชาตปฐพี ๘๒ ชําระ กาํ ลงั ทรงบาํ เพญ็ บารมี มจี าํ นวนทงั้ หมด ดนิ เหนยี วมาก ดนิ นปี้ ระสงคเ อาทย่ี งั ไม ตามตัวเลขถวนท่ีกลาวในอรรถกถาท้ัง ไดเ ผาไฟ กองดนิ รว นกด็ ี กองดนิ เหนยี ว หลายวา ๕๕๐ ชาดก (นบั ตรงเลขวา ๕๔๗ กด็ ี มฝี นตกรดเกนิ ๔ เดอื นมาแลว นบั ชาดก แตค นไทยมกั พดู ตดั เลขแคห ลกั เขา ในปฐพแี ท รอ ยวา พระเจา ๕๐๐ ชาต)ิ ทง้ั หมดนจี้ ดั ชาตสระ [ชา-ตะ-สะ] สระเกดิ เอง, ทน่ี าํ้ ขงั เปน พระไตรปฎ ก ๒ เลม (ฉบบั อกั ษรไทย อันเปนเองตามธรรมชาติ เชน บึง, คอื เลม ๒๗ และ ๒๘), อยา งไรกต็ าม หนอง, ทะเลสาบ ฯลฯ เนื่องจากชาดกทั้งหมดในพระไตรปฎก ชาติ การเกดิ , ชนดิ , พวก, เหลา , ปวงชน เปนคาถาลวนๆ (เวนชาดกหนึ่งท่ีเปน แหง ประเทศเดยี วกัน ความรอ ยแกว คอื กณุ าลชาดก) และโดย ชาติปกุ กสุ ะ พวกปกุ กุสะ เปนคนชน้ั ต่าํ มากเปนเพียงคํากลาวโตตอบกันของ พวกหนึ่งในระบบวรรณะของศาสนา บุคคลในเรื่อง พรอมทั้งพระดํารัสของ พราหมณ มีอาชีพคอยเก็บกวาดขยะ พระพุทธเจาที่ตรัสสรุปหรือแสดงคติ ดอกไมต ามสถานทบ่ี ูชา ธรรม อนั เรยี กวา อภสิ มั พทุ ธคาถาเทา นน้ั ชาติสงสาร ความทองเทีย่ วไปดวยความ ไมไดเลาเรอ่ื งโดยละเอยี ด ผอู า นเขา ใจ เกิด, การเวียนตายเวยี นเกิด ไดย าก จงึ มอี รรถกถาขนึ้ มาชว ยอธบิ าย ชาติสทุ ทะ พวกสทุ ทะ, คนพวกวรรณะ เรยี กวา “ชาตกฏั ฐกถา” (เรยี กใหง า ยวา ศทู ร เปน คนชัน้ ต่ําในชมพทู วีป; ดู ศูทร อรรถกถาชาดก) ซง่ึ ขยายความออกไป ชานมุ ณฑล เขา, ตอนเขา มาก จดั เปน เลม หนงั สอื ฉบบั บาลอี กั ษร ชาวปาจนี คาํ เรยี กภิกษชุ าววัชชบี ุตรอกี ไทยรวม ๑๐ เลม เรอื่ งชาดกทเ่ี รยี นและ ชอื่ หนึ่ง หมายถึงอยดู า นทศิ ตะวนั ออก, เลา กนั ทวั่ ไป กค็ อื เลา ตามชาตกฏั ฐกถาน้ี ชาวเมืองตะวันออก แตนักศึกษาพึงรูจักแยกระหวางสว นทมี่ ี ชําระ ในคาํ วา “ชาํ ระพระไตรปฎก” คอื ในพระไตรปฎก กับสวนท่ีเปนอรรถ- รักษาพระไตรปฎกใหบริสุทธิ์ หมดจด กถา; ดู ไตรปฎก, อภสิ มั พุทธคาถา จากความผิดพลาดคลาดเคลื่อน โดยชาตปฐพี [ชา-ตะ-ปะ-ถะ-พี] ดนิ เกดิ เอง, กาํ จัดสงิ่ ปะปนแปลกปลอมหรอื ทาํ ใหเ ขา ปฐพแี ท คอื มดี นิ รว นลว น มดี นิ เหนยี ว ใจสบั สนออกไป และทาํ ใหมองเห็นของ ลวน หรือมีของอื่น เชนหินกรวด เดิมแทชัดเจนตรงตามที่รวบรวมไว กระเบอ้ื ง แร และทรายนอ ย มดี นิ รว น แตตน, เปนงานสวนสําคัญของการ
ชิวหา ๘๓ ชวี ก สงั คายนา; ดู สังคายนา (หญงิ งามเมอื ง) ช่อื วาสาลวดี แตไ มร จู กัชิวหา ลนิ้ มารดาบดิ าของตน เพราะเมอื่ นางสาลวดีชิวหาวิญญาณ ความรูท เี่ กดิ ขึ้นเพราะรส มีครรภ เกรงคาตัวจะตก จงึ เก็บตัวอยู กระทบลิ้น, รสกระทบลิ้นเกิดความรู คร้ันคลอดแลวก็ใหคนรับใชเอาทารกไป ท้งิ ทีก่ องขยะ แตพ อดีเมอ่ื ถึงเวลาเชาตรู ขึ้น, การรรู ส (ขอ ๔ ในวิญญาณ ๖) เจา ชายอภัย โอรสองคหน่งึ ของพระเจาชิวหาสัมผัส อาการท่ีล้ิน รส และชวิ หา- พิมพิสาร จะไปเขาเฝา เสด็จผานไป วิญญาณประจวบกนั เห็นการมุ ลอ มทารกอยู เม่ือทรงทราบวาชิวหาสัมผสั สชาเวทนา เวทนาทเี่ กดิ ขน้ึ เปนทารกและยังมีชีวิตอยู จึงไดโปรด เพราะชิวหาสมั ผัส, ความรูสกึ ท่ีเกดิ ขน้ึ ใหน ําไปใหน างนมเลี้ยงไวใ นวงั ในขณะ ทที่ รงทราบวาเปน ทารก เจา ชายอภัยได เพราะการที่ ลิ้น รส และชิวหา- ตรัสถามวา เด็กยังมชี วี ิตอยู (หรือยังเปน อย)ู หรอื ไม และทรงไดรบั คําตอบวา ยงั วิญญาณประจวบกัน มีชวี ิตอยู (ชวี ติ = ยงั เปนอยู หรือยงั มีชี นกั บวช, หญิงถอื บวช, อุบาสกิ าทน่ี งุ ชวี ิตอย)ู ทารกน้ันจึงไดช ื่อวา ชวี ก (ผู ขาวหม ขาวโกนผมโกนคิ้ว ถอื ศีล ยังเปน) และเพราะเหตุท่ีเปนผูอันเจาชีตน พระสงฆท ่ีคุน เคยใกลช ิดกับครอบ ชายเลย้ี งจงึ ไดม สี รอ ยนามวา โกมารภจั จ ครวั หรอื ตระกูล ซงึ่ เขาเคารพนับถือเปน (ผอู ันพระราชกมุ ารเลย้ี ง) อาจารยเ ปน ทป่ี รกึ ษา เรยี กอยา งคาํ บาลวี า ครนั้ ชวี กเจรญิ วยั ขนึ้ พอจะทราบวา กลุ ปุ กะ, กลุ ปู กะ หรอื กลุ ปุ ก; ดู กลุ ปุ กะ ตนเปนเด็กกาํ พรา ก็คิดแสวงหาศิลป-ชีเปลือย นักบวชจาํ พวกหน่ึง ถือเพศ วทิ ยาไวเ ลยี้ งตวั จงึ ไดเ ดนิ ทางไปศกึ ษา เปลือยกาย วชิ าแพทยก บั อาจารยแ พทยท ศิ าปาโมกขชีพ ชีวติ , ความเปน อยู ทเี่ มอื งตกั สลิ า ศกึ ษาอยู ๗ ป อยากชีวก ชื่อหมอใหญผูเชี่ยวชาญในการ ทราบวา เมอื่ ใดจะเรยี นจบ อาจารยใ หถ อื รักษาและมีช่ือเสียงมากในครั้งพุทธกาล เสยี มไปตรวจดทู วั่ บรเิ วณ ๑ โยชนร อบ เมอื งตกั สลิ า เพอ่ื หาสง่ิ ทไ่ี มใ ชต วั ยา ชวี ก เปนแพทยประจําพระองคของพระเจา หาไมพ บ กลบั มาบอกอาจารย อาจารยว า สําเร็จการศึกษามีวิชาพอเลี้ยงชีพแลว พิมพสิ าร และพระเจาพิมพิสารไดถวาย ใหเปนแพทยประจําพระองคของพระ พุทธเจาดว ย, ช่ือเตม็ วาชวี กโกมารภจั จ ห ม อ ชี ว ก เ กิ ด ท่ี เ มื อ ง ร า ช ค ฤ ห แควนมคธ เปนบุตรของนางคณิกา
ชวี ก ๘๔ ชวี กและมอบเสบยี งเดนิ ทางใหเ ลก็ นอ ย ชวี ก เนื้องอกในลําไสของบุตรเศรษฐีเมืองเดินทางกลับยังพระนครราชคฤห เมื่อ พาราณสี รักษาโรคผอมเหลอื งแดพ ระเสบียงหมดในระหวางทาง ไดแวะหา เจาจัณฑปชโชตแหงกรุงอุชเชนี และเสบียงทเ่ี มอื งสาเกต โดยไปอาสารกั ษา ถวายการรกั ษาแดพระพุทธเจา ในคราวที่ภรรยาเศรษฐีเมืองน้ันซ่ึงเปนโรคปวด พระบาทหอพระโลหิตเนื่องจากเศษหินศรี ษะมา ๗ ป ไมม ใี ครรกั ษาหาย ภรรยา จากกอนศิลาที่พระเทวทัตกล้ิงลงมาจากเศรษฐีหายโรคแลว ใหรางวัลมากมาย ภเู ขาเพอื่ หมายปลงพระชนมช พีหมอชวี กไดเ งนิ มา ๑๖,๐๐๐ กษาปณพรอมดวยทาสทาสีและรถมา เดินทาง หมอชีวกไดบรรลุธรรมเปนพระกลบั ถงึ พระนครราชคฤห นาํ เงนิ และของ โสดาบนั และดว ยศรทั ธาในพระพทุ ธเจารางวัลทั้งหมดไปถวายเจาชายอภัยเปน ปรารถนาจะไปเฝาวันละ ๒–๓ คร้ังคาปฏิการคุณท่ีไดทรงเล้ียงตนมา เจา เห็นวาพระเวฬุวันไกลเกินไป จึงสรางชายอภัยโปรดใหหมอชีวกเก็บรางวัลนั้น วัดถวายในอัมพวันคือสวนมะมวงของไวเปนของตนเอง ไมทรงรับเอา และ ตน เรยี กกนั วา ชวี กมั พวนั (อมั พวันโปรดใหหมอชีวกสรางบานอยูในวังของ ของหมอชวี ก) เมอื่ พระเจา อชาตศตั รเู รมิ่พระองค ตอ มาไมน าน เจา ชายอภยั นาํ นอมพระทัยมาทางศาสนา หมอชีวกก็หมอชีวกไปรักษาโรคริดสีดวงงอกแด เปนผูแนะนําใหเสดจ็ ไปเฝาพระพทุ ธเจาพระเจาพิมพสิ าร จอมชนแหง มคธทรงหายประชวรแลว จะพระราชทานเครอ่ื ง ดวยเหตุท่ีหมอชีวกเปนแพทยประดบั ของสตรชี าววงั ๕๐๐ นางใหเ ปน ประจําคณะสงฆและเปนผูมีศรัทธาเอารางวลั หมอชวี กไมร บั ขอใหท รงถอื วา ใจใสเ ก้ือกูลพระสงฆม าก จึงเปนเหตใุ หเปน หนา ทขี่ องตนเทา นน้ั พระเจา พมิ พ-ิ มีคนมาบวชเพ่ืออาศัยวัดเปนท่ีรักษาตัวสารจงึ โปรดใหห มอชวี กเปน แพทยป ระจาํ จํานวนมาก จนหมอชีวกตองทูลเสนอพระองค ประจาํ ฝายในท้ังหมด และ พระพุทธเจาใหทรงบัญญัติขอหามมิใหประจําพระภิกษุสงฆอันมีพระพุทธเจา รบั บวชคนเจบ็ ปว ยดว ยโรคบางชนดิ นอกเปนประมุข หมอชีวกไดรักษาโรคราย จากนั้น หมอชีวกไดกราบทูลเสนอใหสาํ คญั หลายครงั้ เชน ผา ตดั รกั ษาโรคใน ทรงอนุญาตทจ่ี งกรมและเรือนไฟ เพือ่สมองของเศรษฐีเมืองราชคฤห ผาตัด เปนท่ีบริหารกายชวยรักษาสุขภาพของ ภิกษทุ ัง้ หลาย หมอชวี กไดร ับพระดํารัส ยกยองเปนเอตทัคคะในบรรดาอุบาสก
ชีวกโกมารภัจจ ๘๕ ชมุ นมุ เทวดา ผเู ล่อื มใสในบุคคล พระสงฆสวดพระปริตร, เรียกเต็มวาชีวกโกมารภัจจ “ผูทพี่ ระราชกมุ ารเลยี้ ง “บทขัดชุมนมุ เทวดา” หมายถึงบทสวด ชื่อชีวก”; ดู ชวี ก ท่ีโบราณาจารยประพนั ธข ึน้ สาํ หรบั ใหชีวิต ความเปนอยู บคุ คลหนงึ่ (ธรรมเนยี มบดั นี้ ใหภ กิ ษรุ ปูชีวติ สมสีสี ผูส้นิ กเิ ลสพรอ มกบั สนิ้ ชวี ิต, ทนี่ งั่ อนั ดบั ๓) สวดนาํ (เรยี กวา “ขดั นาํ ”) ผูไ ดบ รรลธุ รรมวิเศษแลว ก็ดับจติ พอดี กอนท่ีพระสงฆจะเร่ิมสวดพระปริตร มีชวี ิตกั ษยั การสน้ิ ชีวติ , ตาย ขอความเปนคําเชิญชวนเทวดาทั่วทั้งชวี ติ นิ ทรีย อนิ ทรียคือชีวิต, สภาวะที่ หมดใหมาฟงธรรมอันมีในบาลีภาษิต เปนใหญในการตามรักษาสหชาตธรรม แหงพระปรติ รทจี่ ะสวดตอไปน้นั ดงั คํา ลงทา ยวา “ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า” (ธรรมที่เกิดรวมดวย) ดุจน้ําหลอเลี้ยง (ทา นผเู จรญิ ทง้ั หลาย นเี้ ปน เวลาทจ่ี ะฟง ธรรม) ดังนี:้ ดอกบัว เปน ตน มี ๒ ฝา ยคอื ๑. ก) สาํ หรบั เจด็ ตาํ นาน ชีวิตินทรียทเ่ี ปน ชีวติ รปู เปนอปุ าทายรปู “สรชฺชํ สเสนํ สพนฺธุ นรินทฺ ,ํ ปรติ ฺตานภุ าโว สทา รกขฺ ตูติ. อยา งหน่ึง (ขอท่ี ๑๓) เปน เจาการในการ ผริตฺวาน เมตฺตํ สเมตตฺ า ภทนตฺ า, อวกิ ขฺ ติ ตฺ จติ ตฺ า ปรติ ตฺ ํ ภณนตฺ .ุ รักษาหลอเล้ียงเหลากรรมชรูป (รูปที่ สคเฺ ค กาเม จ รูเป คิรสิ ิขรตเฏ จนฺตลกิ เฺ ข วิมาเน, เกิดแตก รรม) บางทเี รียก รปู ชวี ติ ินทรีย ทีเป รฏเ จ คาเม ตรุวนคหเน เคหวตฺถมุ หฺ ิ เขตเฺ ต, ๒. ชีวิตินทรียที่เปนเจตสิกเปนสัพพ- ภมุ ฺมา จายนฺตุ เทวา ชลถลวิสเม ยกขฺ คนธฺ พพฺ นาคา, ติฏ นตฺ า สนตฺ ิเก ยํ มุนิวรวจนํ สาธโว เม สณุ นตฺ ุ. จิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกทเ่ี กดิ กบั ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า, ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า, จติ ทกุ ดวง) อยา งหนงึ่ (ขอ ที่ ๖) เปนเจา ธมมฺ สฺสวนกาโล อยมภฺ ทนฺตา.” มีธรรมเนียมวา ถาเปนพระราชพิธี การในการรักษาหลอเลี้ยงนามธรรมคือ และสวดมนตใ นพระราชฐาน ใหข น้ึ ตน บทขดั ตง้ั แต “สรชฺชํ สเสนํ …” ถา เปน จิตและเจตสิกทั้งหลาย บางทีเรียก งานพธิ อี นื่ ใหเ รม่ิ ท่ี “ผรติ วฺ าน เมตฺตํ… อรปู ชวี ติ นิ ทรยี หรอื นามชวี ิตนิ ทรยี ชโี ว ผูเ ปน, ดวงชีพ ตรงกับ อาตมัน หรือ อตั ตา ของลทั ธพิ ราหมณชุณหปกข, ชุณหปกษ “ฝายขาว, ฝา ย สวา ง” หมายถงึ ขา งขน้ึ ; ศกุ ลปก ษ ก็ เรยี ก; ตรงขา มกบั กณั หปก ษหรอื กาฬปก ษชมุ นุมเทวดา กลา วคาํ เชญิ ชวนเทวดาให มาชุมนุมกันเพ่ือฟงธรรม ในโอกาสที่
ชงู วง ๘๖ เชื่อดายไปข) สาํ หรบั สบิ สองตาํ นาน (มเี พม่ิ ๑ คาถา) มาปใู หเ ตม็ พน้ื ท่ี (เรอื่ งมาใน วนิ ย.๗/๒๕๖/๑๐๙) “สรชชฺ ํ สเสนํ สพนฺธุ นรินฺทํ, ตามเร่ืองวา เมื่อหมูเกวียนขนเงินมา ปริตฺตานภุ าโว สทา รกฺขตูต.ิ เท่ียวแรก เงินเหรียญปูยังไมเต็มพ้ืนท่ี ผริตวฺ าน เมตฺตํ สเมตตฺ า ภทนตฺ า, ขาดอยูตรงท่ีใกลซุมประตูหนอยเดียว อวิกขฺ ติ ตฺ จติ ฺตา ปรติ ฺตํ ภณนตฺ .ุ ขณะท่ีอนาถบิณฑิกคหบดีส่ังคนใหไปสมนตฺ า จกกฺ วาเฬสุ อตรฺ าคจฺฉนตฺ ุ เทวตา ขนเงินมาอีก เจา เชตเกิดความซาบซงึ้ ในสทธฺ มมฺ ํ มนุ ริ าชสสฺ สุณนฺตุ สคคฺ โมกฺขทํ. ศรัทธาของทานอนาถบิณฑิก จึงขอมีสคเฺ ค กาเม จ รเู ป คริ สิ ิขรตเฏ จนฺตลกิ เฺ ข วิมาเน, สว นรว มในการสรา งวัดดวย โดยขอใหทีเป รฏเ จ คาเม ตรุวนคหเน เคหวตฺถุมฺหิ เขตเฺ ต, ทีต่ รงนัน้ เปน สวนท่ตี นถวาย ซึ่งอนาถ-ภุมมฺ า จายนฺตุ เทวา ชลถลวสิ เม ยกฺขคนฺธพฺพนาคา, บิณฑกิ คหบดกี ย็ นิ ยอม เจาเชตจงึ สรา ง ติฏ นตฺ า สนตฺ เิ ก ยํ มุนวิ รวจนํ สาธโว เม สณุ นตฺ ุ. ซมุ ประตูวดั ขน้ึ ตรงทน่ี นั้ , เชตวนั อนาถ- ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนฺตา, บิณฑิการามนี้ เปนวัดที่พระพุทธเจา ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมฺภทนตฺ า, ประทบั จาํ พรรษามากทส่ี ดุ รวมทงั้ หมด ธมมฺ สสฺ วนกาโล อยมภฺ ทนตฺ า.” ถงึ ๑๙ พรรษา คอื (อาจจะครง้ั แรกใน พรรษาที่ ๓) พรรษาท่ี ๑๔ และในชวง ดู ปริตร, ปรติ ต พรรษาที่ ๒๑–๔๔ ซึ่งประทับสลับไปมาชงู วง ในประโยควา “เราจกั ไมชงู วงเขาไปสูตระกลู ” ถอื ตัว ระหวางวัดพระเชตวัน กบั วัดบุพพารามเชฏฐ-, เชษฐ- พ่ี ของวิสาขามหาอุบาสิกา, ดว ยเหตนุ ้ี การเชฏฐา, เชษฐา พี่ชาย ทรงแสดงธรรม และทรงบัญญตั วิ ินัย จึงเชฏฐภคนิ ี พ่ีสาวคนโต เกดิ ขน้ึ ทว่ี ดั พระเชตวนั นม้ี าก โดยเฉพาะเชฏฐมาส เดอื น ๗ สิกขาบทของภิกษุณี ทรงบัญญัติท่ีวัดเชตวัน “สวนเจา เชต” ชอ่ื วดั สําคัญซง่ึ พระเชตวันแทบทัง้ นนั้ ; ดู อนาถบิณฑกิ ,อนาถบิณฑิกเศรษฐีสรางถวายแดพระ คนั ธกุฎี,มหาคนั ธกฎุ ีพุทธเจา อุทศิ สงฆจ ากจาตรุ ทิศ ทเี่ มือง เชาวน ความนึกคดิ ทแี่ ลนไป, ความเรว็สาวัตถี เมอื งหลวงของแควน โกศล (คง ของปญ ญาหรอื ความคิด, ไหวพรบิจะสรา งในพรรษาที่ ๓ แหง พทุ ธกิจ) โดย เชื่อดายไป เชอ่ื เร่อื ยไป, เชือ่ ดะไปโดยไมซ้ือท่ีดินอุทยานของเจาเชต (เชตราช- นึกถงึ เหตุผลกมุ าร) ดวยวิธเี อาเกวยี นขนเงนิ เหรยี ญ
ซดั ไปประหาร ๘๗ ญตั ติ ซซัดไปประหาร ฆาหรือทํารายโดยยิง ดว ยศิลา เปนตน ดว ยศรหรือดวยปน พงุ ดวยหอก ขวา ง ฌฌาน การเพงอารมณจนใจแนวแนเปน ฌาน, ปญ จกัชฌาน อปั ปนาสมาธ,ิ ภาวะจติ สงบประณตี ซง่ึ มี ฌานจตกุ กนยั ฌานแบบทจ่ี ดั เปน หมวด สมาธเิ ปน องคธ รรมหลกั ; ฌาน ๔ คอื ๑. ๔ คือเปน ฌาน ๔, บางทีเรียกวาแบบ ปฐมฌาน มอี งค ๕ (วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ พระสตู ร คือตามสุตตันตเทศนา, มัก เอกคั คตา) ๒. ทตุ ยิ ฌาน มอี งค ๓ (ปต ิ เรียกวา “จตุกกัชฌาน”; ดู ฌาน ๔ สขุ เอกคั คตา) ๓. ตตยิ ฌาน มอี งค ๒ ฌานปญจกนัย ฌานแบบที่จัดเปน (สขุ เอกคั คตา) ๔. จตตุ ถฌาน มอี งค ๒ หมวด ๕ คอื เปน ฌาน ๕, บางทเี รยี กวา (อเุ บกขา เอกคั คตา); ฌาน ๕ กเ็ หมอื น แบบอภธิ รรม, มกั เรียกวา “ปญ จกชั - อยา ง ฌาน ๔ นนั่ เอง แตต ามแบบ ฌาน”; ดู ฌาน ๕ อภธิ รรม ทา นซอยละเอยี ดออกไป โดย ฌานาทสิ งั กเิ ลสาทญิ าณ ปรชี ากาํ หนดรู เพม่ิ ขอ ๒ แทรกเขา มา คอื ๑. ปฐมฌาน ความเศรา หมอง ความผอ งแผว และการ มอี งค ๕ (วติ ก วจิ าร ปต ิ สขุ เอกคั คตา) ออกแหง ฌาน วโิ มกข สมาธิ สมาบตั ิ ๒. ทตุ ยิ ฌาน มอี งค ๔ (วจิ าร ปต ิ สขุ ตามความเปน จรงิ (ขอ ๗ ในทศพลญาณ) เอกคั คตา) ขอ ๓, ๔, ๕ ตรงกบั ขอ ๒, ฌาปนกิจ กิจเผาศพ, การเผาศพ ๓, ๔ ในฌาน ๔ ตามลาํ ดบั ; ดู จตุกกชั - ญญัตติ คําเผดียงสงฆ, การประกาศให สงฆทราบเพอื่ ทํากจิ รวมกัน, วาจานัด
ญัตติกรรม ๘๘ ญาณ ๑๖ญตั ตกิ รรม กรรมอนั กระทาํ ดว ยตงั้ ญตั ติ ญาณ ญาณในสว นอดตี ๒. อนาคตงั ส-ไมตองสวดอนุสาวนา คือประกาศให ญาณ ญาณในสว นอนาคต ๓. ปจจุป-สงฆทราบ เพอื่ ทาํ กจิ รว มกนั เรยี กวา ปนนงั สญาณ ญาณในสว นปจ จุบัน; อีกเผดยี งสงฆอ ยา งเดยี ว ไมต อ งขอมติ เชน หมวดหนงึ่ ไดแ ก ๑. สัจจญาณ หย่งั รู อริยสัจจแ ตล ะอยา ง ๒. กิจจญาณ หยง่ัอโุ บสถ และ ปวารณา เปน ตนญัตติจตุตถกรรม กรรมมีญัตติเปนทส่ี ี่ รูกจิ ในอรยิ สัจจ ๓. กตญาณ หย่งั รูกจิไดแ กส งั ฆกรรมทส่ี าํ คญั มกี ารอปุ สมบท อันไดทําแลวในอริยสัจจ; อีกหมวดเปนตน ซึ่งเมือ่ ตงั้ ญัตติแลว ตอ งสวด หนึง่ ไดแ ก วชิ ชา ๓อนสุ าวนา คาํ ประกาศขอมติ ถงึ ๓ หน ญาณ ๑๖ ญาณท่ีเกิดแกผูบําเพ็ญเพื่อสงฆคือที่ชุมนุมน้ันจะไดมีเวลา วิปสสนาโดยลําดับ ต้ังแตตน จนถึงจดุ พจิ ารณาหลายเทย่ี ว วา จะอนมุ ตั หิ รอื ไม หมายคือมรรคผลนิพพาน ๑๖ อยาง,ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา การ ญาณ ๑๖ น้ี มใิ ชเปนหมวดธรรมทีม่ าอุปสมบทดว ยญตั ตจิ ตตุ ถกรรม ไดแ ก ครบชุดในพระบาลเี ดมิ โดยตรง แตพ ระวิธีอุปสมบทที่พระสงฆเปนผูกระทํา อาจารยปางกอนไดประมวลจากคัมภีรอยางที่ใชอยูในปจจุบัน โดยภิกษุ ปฏิสมั ภทิ ามัคค และวสิ ุทธิมคั ค แลวประชุมครบองคกําหนด ในเขตชุมนุม สอนสบื กนั มา บางทีเรยี กใหเ ปนชอื่ ชุดซง่ึ เรียกวาสีมา กลาววาจาประกาศเรอ่ื ง เลยี นคาํ บาลวี า “โสฬสญาณ” หรอื เรยี กความท่ีจะรับคนน้ันเขาหมู และไดรับ ก่งึ ไทยวา “ญาณโสฬส”, ทงั้ น้ี ทา นตง้ัความยินยอมของภิกษุท้ังปวงผูเขา วปิ ส สนาญาณ ๙ เปน หลักอยูตรงกลางประชุมเปนสงฆนั้น; พระราธะเปน แลวเติมญาณขั้นตนๆ ท่ียังไมจัดเปน บุคคลแรกท่ีไดร ับอุปสมบทอยางนี้ วิปสสนาญาณ เพิ่มเขากอนขางหนาญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม กรรมมญี ตั ตเิ ปน ทส่ี อง และเติมญาณข้ันสูงท่ีเลยวิปสสนาญาณหรอื กรรมมวี าจาครบ ๒ ทงั้ ญตั ต,ิ กรรม ไปแลว เขามาตอทายดวย ใหเห็นอนั ทาํ ดว ยตงั้ ญตั ตแิ ลว สวดอนสุ าวนาหน กระบวนการปฏิบัติตลอดแตตนจนจบเดยี ว เชน การสมมตสิ มี า การสงั คายนา จึงเปนความปรารถนาดีท่ีเก้ือกูลแกการและการมอบใหผ ากฐิน เปน ตน ศกึ ษาไมน อ ย, ญาณ ๑๖ นน้ั ดงั นี้ (ในญาณ ความร,ู ปรชี าหยงั่ ร,ู ปรชี ากาํ หนดร;ู ทนี่ ้ี จัดแยกใหเ หน็ เปน ๓ ชวง เพ่ือญาณ ๓ หมวดหนงึ่ ไดแ ก ๑. อตตี งั ส- ความสะดวกในการศึกษา) คือ
ญาณ ๑๖ ๘๙ ญาณ ๑๖ก) กอนวิปสสนาญาณ: ๑. นามรูป- เวกขณญาณ ญาณท่ีพิจารณาทบทวนปรจิ เฉทญาณ ญาณกาํ หนดแยกนามรปู อนงึ่ คมั ภรี อ ภธิ มั มตั ถสงั คหะ ถอื ตา ง(นามรูปปริคคหญาณ หรอื สงั ขารปรจิ - จากทก่ี ลา วมานบ้ี า ง โดยจดั ญาณท่ี ๓เฉทญาณ กเ็ รยี ก) ๒. (นามรปู )ปจ จยั -ปรคิ คหญาณ ญาณกําหนดจบั ปจจัยแหง (สมั มสนญาณ) เปน วปิ สสนาญาณดวยนามรูป (บางทเี รยี ก กงั ขาวติ รณญาณ จงึ เปน วปิ ส สนาญาณ ๑๐ อกี ทงั้ เรยี กชอื่หรอื ธมั มฏั ฐ ติ ญิ าณ) ๓. สัมมสนญาณ ญาณหลายขอ ใหส้นั ลง เปน ๔.อทุ ยัพ-ญาณพิจารณานามรปู โดยไตรลกั ษณข) วปิ สสนาญาณ ๙: ๔. อทุ ยพั พยา- พยญาณ ๕.ภังคญาณ ๖.ภยญาณ ๗.นปุ ส สนาญาณ ญาณตามเห็นความเกดิและความดับแหงนามรูป ๕. ภังคานุ- อาทีนวญาณ ๘.นิพพทิ าญาณ ๑๐.ปฏิ-ปสสนาญาณ ญาณตามเห็นจําเพาะความดับเดนขึ้นมา ๖. ภยตูปฏฐาน- สังขาญาณ ๑๒.อนุโลมญาณ (นอกน้ันญาณ ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเปน ของนากลัว ๗. อาทนี วานปุ ส สนา- เหมอื นกัน) ทัง้ นี้ พงึ ทราบเพือ่ ไมส บั สนญาณ ญาณคาํ นงึ เหน็ โทษ ๘. นพิ พทิ าน-ุปส สนาญาณ ญาณคํานึงเห็นดวยความ มขี อพงึ ทราบพเิ ศษวา เม่ือผูป ฏิบตั ิหนา ย ๙. มุญจิตกุ ัมยตาญาณ ญาณหยั่งรอู นั ใหใ ครจะพนไปเสยี ๑๐. ปฏสิ งั ขาน-ุ กาวหนามาจนเกิดวิปสสนาญาณขอแรกปส สนาญาณ ญาณอนั พจิ ารณาทบทวน คืออุทยัพพยานุปสสนาญาณ ชื่อวาไดเพื่อจะหาทาง ๑๑. สงั ขารุเปกขาญาณ ตรณุ วปิ สสนา (วิปสสนาออ นๆ) และ ในตอนน้ี วิปสสนปู กเิ ลสจะเกดิ ขึ้น ชวนญาณอันเปนไปโดยความเปนกลางตอสงั ขาร ๑๒. สัจจานุโลมกิ ญาณ ญาณ ใหสําคัญผดิ วาถึงจุดหมาย แตเ ม่อื รเู ทาเปน ไปโดยควรแกการหยงั่ รูอ รยิ สัจจ ทนั กาํ หนดแยกไดวาอะไรเปนทางอะไรค) เหนอื วปิ ส สนาญาณ: ๑๓.โคตรภญู าณ มใิ ชทาง กจ็ ะผานพน ไปได อทุ ยัพพย-ญาณครอบโคตร คอื หวั ตอ ทข่ี า มพน ภาวะปถุ ชุ น ๑๔. มัคคญาณ ญาณในอรยิ มรรค ญาณน้ันก็จะพัฒนาเปนมัคคามัคค-๑๕. ผลญาณ ญาณในอริยผล ๑๖. ปจจ- ญาณ เขาถึงวิสุทธิคือความบริสุทธิ์ที่ สาํ คัญข้นั หน่ึง เรยี กวา มคั คามคั คญาณ- ทสั สนวสิ ทุ ธิ (วสิ ทุ ธขิ อ ที่ ๕), อทุ ยพั พย- ญาณทก่ี า วมาถงึ ตอนน้ี คอื เปน วปิ ส สนา- ญาณท่ีเดินถูกทาง ผานพนวิปสสนูป- กิเลสมาไดแลว ไดชื่อวาเปนพลว- วปิ ส สนา (วิปสสนาทม่ี กี ําลัง หรอื แข็ง กลา ) ซง่ึ จะเดนิ หนา พฒั นาเปน วปิ ส สนา- ญาณท่ีสูงข้นึ ตอๆ ไป
ญาณจรติ ๙๐ ญาติ บางทีทานกลาวถึงตรุณวิปสสนา ญาณทศั นะ ไดแ กญ าณในอรยิ มรรค ๔;และพลววปิ ส สนา โดยแยกเปนชวงซ่ึง ดู วสิ ทุ ธิกําหนดดวยญาณตางๆ คือ ระบุวา ญาณวิปปยุต ปราศจากญาณ, ไม(ชว งของ) ญาณ ๔ คอื สงั ขารปรจิ เฉท- ประกอบดวยปญญา, ปราศจากปรีชาญาณ กังขาวติ รณญาณ สมั มสนญาณ หย่งั ร,ู ขาดความรูและมัคคามัคคญาณ เปนตรุณ- ญาณสังวร สํารวมดว ยญาณ (ขอ ๓ ในวิปส สนา และ (ชวงของ) ญาณ ๔ คอื สงั วร ๕)ภยตปู ฏ ฐ านญาณ อาทนี วญาณ มญุ จติ -ุ ญาตปริญญา กําหนดรูข้ันรูจัก คือกัมยตาญาณ และสังขารุเปกขาญาณ กําหนดรูส่ิงน้ันๆ ตามลักษณะท่ีเปนเปนพลววปิ ส สนา สภาวะของมันเอง พอใหแยกออกจากในญาณ ๑๖ น้ี ขอ ๑๔ และ ๑๕ สง่ิ อน่ื ๆ ได เชน รูว า นค้ี ือเวทนา(มคั คญาณ และผลญาณ) เทา นน้ั เปน เวทนามีลักษณะเสวยอารมณ ดังนี้ โลกตุ ตรญาณ อกี ๑๔ อยา งนอกนนั้ เปน เปนตน (ขอ ๑ ในปรญิ ญา ๓) โลกยี ญาณ; ดูวปิ ส สนาญาณ๙, วสิ ทุ ธิ๗ ญาตัตถจริยา พระพุทธจริยาเพ่ือญาณจรติ คนทีม่ ีพนื้ นสิ ยั หนักในความรู ประโยชนแกพระญาติ, ทรงประพฤติมกั ใชค วามคดิ พงึ สงเสรมิ ดว ย แนะนํา ประโยชนแ กพ ระประยรู ญาติ เชน ทรงใหใชค วามคิดในทางท่ชี อบ (เปน อีกชือ่ อนุญาตใหพระญาติที่เปนเดียรถียเขาหน่ึงของพทุ ธิจริต) มาอปุ สมบทในพระพุทธศาสนา ไมตองญาณทัศนะ, ญาณทสั สนะ การเหน็ อยตู ิตถิยปรวิ าส ๔ เดือนกอน เหมือนกลาวคือการหย่งั ร,ู การเหน็ ทีเ่ ปน ญาณ เดยี รถยี อ นื่ และเสดจ็ ไปหา มพระญาตทิ ่ีหรอื เหน็ ดว ยญาณ อยา งตาํ่ สดุ หมายถงึ ววิ าทกนั ดว ยเรอ่ื งนาํ้ เปน ตน ; ดู พทุ ธจรยิ าวิปสสนาญาณ นอกนั้นในท่ีหลายแหง ญาติ พีน่ อ งทีย่ ังนบั รกู นั ได, ผูรว มสายหมายถงึ ทพิ พจกั ขุญาณ บา ง มรรค โลหิตกันทางบิดาหรือมารดา, ในฎีกาญาณ บาง และในบางกรณี หมายถึง วินัย ทานนบั ๗ ช้ัน ทั้งขา งบนและขา งผลญาณ บา ง ปจจเวกขณญาณ บา ง ลา ง แตตามปกติจะไมพ บมากหลายชั้นสพั พญั ตุ ญาณ บาง กม็ ี ทัง้ นี้สดุ แต อยางนน้ั ปจ จุบนั ทานใหนับญาติ ๗ ชั้นขอความแวดลอ มในที่นน้ั ๆ หรือ ๗ ชัว่ คน คอื นับทางมารดากด็ ีญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแหง ทางบดิ าก็ดี ชนั้ ตนเองเปน ๑ ขา งบน ๓
ญาติพลี ๙๑ ฐานานุกรม(ถงึ ทวด) ขา งลาง ๓ (ถงึ เหลน), เขย ธรรม, ความยุตธิ รรม, สง่ิ ทสี่ มเหตุผล,และสะใภ ไมนับเปนญาติ ทางที่ถกู , วิธีการทถ่ี ูกตอ ง, ขอ ปฏิบัติที่ญาติพลี สงเคราะหญาติ, ชวยเหลือ ถูกตอ ง หมายถึง อรยิ อัฏฐังคิกมรรค,เก้อื กลู ญาติ, การจัดสรรสละรายไดหรือ ภาวะอันจะลุถึงไดดวยขอปฏิบัติท่ีถูกทรัพยสวนหน่ึงเปนทุนสําหรับการชวย ตอง ไดแ ก นพิ พานเหลือเก้ือกูลญาติพี่นอง, การใชรายได ายปฏิปนโฺ น (พระสงฆ) เปน ผปู ฏบิ ัติหรือทรัพยสวนหน่ึงเพ่ือเอื้อเฟอเกื้อกูล ถูกทาง หรอื ปฏิบตั ิเปนธรรม คือปฏิบัติกนั ในดานการสงเคราะหญ าติ (ขอ ๑ ใน ปฏิปทาที่จะใหเกิดความรู หรือปฏิบัติพลี ๕ อยางแหง โภคอาทิยะ ๕) เพอ่ื ไดความรธู รรม ปฏบิ ตั ิเพ่ือออกจากญาติสาโลหิต พี่นองรวมสายโลหิต ทกุ ข อกี นยั หน่งึ วา ปฏิบัตมิ ุง ธรรมเปน(ญาติ = พ่ีนองที่ยังนับรูกันได, ใหญ ถือความถูกตองเปน ประมาณ (ขอสาโลหิต = ผรู วมสายเลอื ดคอื ญาติที่ ๓ ในสังฆคณุ ๙) ไญยธรรม ธรรมอนั ควรร,ู สงิ่ ที่ควรรูสืบสกลุ มาโดยตรง)ญายะ, ญายธรรม ความถูกตองชอบ ควรเขา ใจ; เญยธรรม กเ็ ขยี น ฎฎกี า 1. ปกรณท พ่ี ระอาจารยทง้ั หลายใน อรรถกถา; ดู อรรถกถา 2. หนงั สอื ภายหลัง แตงแกหรืออธิบายเพิ่มเติม นมิ นตพ ระสงฆ 3. ใบบอกบุญเร่ียไร ฐฐานะ 1. เหตุ, อยาง, ประการ, ทตี่ งั้ , (ขอ ๑ ในทสพลญาณ ๑๐) ตําแหนง, โอกาส, ความเปนไปได ฐานานุกรม ลําดับตําแหนงยศท่ีพระฐานาฐานญาณ ปรีชากาํ หนดรฐู านะ คอื ภิกษุผูไดรับพระราชทานสมณศักด์ิแลว สง่ิ ที่เปนไปได เชนทาํ ดไี ดด ี ทาํ ชั่วไดช ัว่ มีอํานาจตั้งใหแกพระภิกษุชั้นผูนอย เปน ตน และอฐานะ คอื สง่ิ ที่เปนไปไม ตามทาํ เนียบ เชน พระปลดั พระสมุห ไดเชน ทําดไี ดชว่ั ทาํ ชว่ั ไดดี เปนตน พระใบฎกี า เปนตน
ฐานานรุ ปู ๙๒ ดาวนกั ษตั รฐานานรุ ูป สมควรแกต ําแหนง , สมควร แกเหตทุ ่ีจะเปน ได ดดน เยบ็ ผา ใหติดกนั เปน ตะเข็บโดยฝเข็ม สรางสะพาน ขุดบอนํ้า ปลูกสวนปาดนตรี ลาํ ดบั เสยี งอันไพเราะ สรางศาลาทพ่ี กั คนเดินทาง ใหแ กช ุมชนดวงตาเหน็ ธรรม แปลจากคาํ วา ธรรมจกั ษุ และทําทาน ชวนชาวบานตั้งอยูในศีลหมายถึงความรูเห็นตามเปนจริงดวย และทําความดีท้ังหลาย เฉพาะอยา งยิ่งปญญาวา ส่ิงใดส่ิงหนึ่งมีความเกิดข้ึน ตัวมฆมาณพเองยังรกั ษาขอ ปฏบิ ตั พิ เิ ศษเปนธรรมดา สิ่งน้ันทั้งหมดมีความดับ ทเ่ี รยี กวา วตั รบท๗ อกี ดว ย ครน้ั ตายไปเปน ธรรมดา; ดู ธรรมจกั ษุ ทงั้ ๓๓ คน กไ็ ดเ กดิ ในสวรรคที่เรียกชอื่ดับไมมีเช้ือเหลือ ดับหมด คือดับทง้ั วาดาวดงึ สน ี้ โดยมฆมาณพไดเปนทาวกิเลสทง้ั ขันธ (= อนุปาทิเสสนพิ าน) สักกะ คือพระอินทร ดังทพี่ ระอนิ ทรน น้ัดาบส ผบู าํ เพ็ญตบะ, ผูเ ผากเิ ลส มพี ระนามหนึ่งวา “มฆวา” (ในภาษาไทยดาวเคราะห ดู ดาวพระเคราะห เขียน มฆวนั มัฆวา หรือมัฆวาน); ดูดาวดึงส สวรรคชั้นท่ี ๒ แหง สวรรค ๖ ชัน้ วตั รบท ๗มีจอมเทพผูปกครองช่ือทาวสักกะ ซ่ึง ดาวนักษตั ร ดาว, ดาวฤกษ, มี ๒๗ หมูโดยท่วั ไปเรียกกนั วาพระอนิ ทร, อรรถ- คอื ๑. อศั วินี (ดาวมา) มี ๗ ดวง ๒.กถาอธบิ ายความหมายของ “ดาวดงึ ส” วา ภรณี (ดาวกอ นเสา) มี ๓ ดวง ๓.คอื “แดนทค่ี น ๓๓ คนผทู าํ บญุ รว มกัน กฤตกิ า (ดาวลกู ไก) มี ๘ ดวง ๔.ไดอุบัต”ิ (จาํ นวน ๓๓ บาลีวา เตตฺตึส, โรหิณี (ดาวคางหมู) มี ๗ ดวง ๕.เขียนตามรูปสันสกฤต เปน ตรยั ตรงึ ศ มฤคศริ ะ (ดาวหวั เน้ือ) มี ๓ ดวง ๖.หรอื เพย้ี นเปน ไตรตรงึ ษ ซงึ่ ในภาษา อารทรา (ดาวตาสําเภา) มี ๑ ดวง ๗.ไทยกใ็ ชเ ปน คาํ เรยี กดาวดงึ สน ดี้ ว ย) ดงั ปนุ ัพสุ (ดาวสาํ เภาทอง) มี ๓ ดวง ๘.มีตํานานวา ครง้ั หนงึ่ ที่มจลคาม ใน บษุ ยะ (ดาวสมอสําเภา) มี ๕ ดวง ๙.มคธรัฐ มีนักบําเพ็ญประโยชนคณะ อาศเลษา (ดาวเรือน) มี ๕ ดวง ๑๐.หนึง่ จํานวน ๓๓ คน นาํ โดยมฆมาณพ มฆา (ดาวงผู ู) มี ๕ ดวง ๑๑. บรุ พ-ไดรว มกันทาํ บุญตางๆ เชน ทําถนน ผลคณุ ี (ดาวงเู มยี ) มี ๒ ดวง ๑๒. อตุ ร-
ดาวพระเคราะห ๙๓ ดริ ัจฉานวิชาผลคณุ ี (ดาวเพดาน) มี ๒ ดวง ๑๓. ดาวฤกษ ดู ดาวนักษัตรหสั ตะ (ดาวศอกคู) มี ๕ ดวง ๑๔. ดาํ ริ คดิ , ตริตรองจิตรา (ดาวตาจระเข) มี ๑ ดวง ๑๕. ดํารชิ อบ ดาํ ริออกจากกาม ดํารใิ นอนั ไมสวาติ (ดาวชางพัง) มี ๕ ดวง ๑๖. พยาบาท ดําริในอันไมเบยี ดเบยี น; ดูวิศาขา (ดาวคันฉัตร) มี ๕ ดวง ๑๗. สัมมาสังกัปปะอนุราธา (ดาวประจาํ ฉตั ร) มี ๔ ดวง ดําฤษณา ความอยาก, ความด้ินรน,๑๘. เชษฐา (ดาวชางใหญ) มี ๑๔ ดวง ความปรารถนา, ความเสนหา (แผลงมา๑๙. มลู า (ดาวชา งนอ ย) มี ๙ ดวง ๒๐. จากคาํ สนั สกฤตวา ตฤษณา ตรงกับคําบรุ พาษาฒ (ดาวสัปคบั ชา ง) มี ๓ ดวง ท่ีมาจากบาลวี า ตัณหา)๒๑. อุตราษาฒ (ดาวแตรงอน) มี ๕ ดิถี วนั ตามจันทรคติ ใชว า ค่ําหนึง่ สองดวง ๒๒. ศรวณะ (ดาวหลกั ชยั ) มี ๓ คํ่า เปนตนดวง ๒๓. ธนิษฐา (ดาวไซ) มี ๔ ดวง ดิถเี พญ็ ดถิ ีมีพระจันทรเ ตม็ ดวง, วนั ขึน้๒๔. ศตภิษชั (ดาวพิมพทอง) มี ๔ ดวง ๑๕ คํา่๒๕. บุรพภัทรบท (ดาวหัวเน้อื ทราย) มี ดิรัจฉาน สัตวมีรางกายเจริญโดยขวาง,๒ ดวง ๒๖. อตุ รภทั รบท (ดาวไมเทา ) สัตวเวนจากมนษุ ย; เดยี รจั ฉาน กใ็ ชมี ๒ ดวง ๒๗. เรวดี (ดาวปลา ดริ ัจฉานกถา ดู ติรัจฉานกถา ดิรัจฉานวิชา ความรูท่ีขวางตอทางพระตะเพียน) มี ๑๖ ดวงดาวพระเคราะห ในทางโหราศาสตร นพิ พาน เชน รใู นการทาํ เสนห รเู วทมนตรหมายถงึ ดาวทงั้ ๙ ทเ่ี รยี กวา นพเคราะห ทจี่ ะทาํ ใหค นถงึ วบิ ตั ิ เปน หมอผี หมอดูคอื อาทติ ย จันทร องั คาร พธุ เสาร หมองู หมอยา ทาํ พธิ บี วงสรวง บนบานพฤหัสบดี ราหู ศุกร เกตุ; แตในทาง แกบ น เปน ตน เมอื่ เรยี นหรอื ใชป ฏบิ ตั ิดาราศาสตรเรียก ดาวเคราะห หมายถึง ตนเองกห็ ลงเพลนิ หมกมนุ และสว นมากดาวทไ่ี มมแี สงสวา งในตัวเอง ตอ งไดรบั ทําใหผูคนลุมหลงงมงาย ไมเปนอันแสงสวางจากดวงอาทิตยแ ละเปนบรวิ าร ปฏิบัติกิจหนาท่ีหรือประกอบการตามโคจรรอบดวงอาทิตยม ี ๙ ดวง คือ พุธ เหตผุ ล โดยเฉพาะตวั พระภกิ ษกุ จ็ ะขวางศกุ ร โลก อังคาร พฤหัสดี เสาร มฤตยู ก้ันขัดถวงตนเองใหไมม กี าํ ลงั และเวลาที่(ยเู รนสั ) เกตหุ รือพระสมทุ ร (เนปจูน) จะบาํ เพ็ญสมณธรรม, การงดเวนจากพระยม (พลโู ต) การเลี้ยงชีพดวยดิรัจฉานวิชา เปนศีล
ดกึ ดาํ บรรพ ๙๔ เดน ของพระภิกษุตามหลักมหาศีล (ที.สี.๙/ ราชสหี ก ิน, พยัคฆวิฆาส-เดนเสอื โครง กนิ , โกกวิฆาส-เดนสนุ ขั ปา กนิ เปนตน ) ๑๙–๒๕/๑๑–๑๕), ศีลนี้สําเร็จดวยการ จะใหอนุปสัมบันตมยางทอดแกงแลว ฉนั กไ็ ด ไมเปนอาบตั ิ (วนิ ย.๑/๑๓๗/๑๐๙), ปฏบิ ตั ติ ามสกิ ขาบทในพระวนิ ยั ปฎ กขอ ที่ มสี กิ ขาบทหา มภกิ ษณุ ี มใิ หเ ท หรอื สงั่ ให เทอจุ จาระ ปส สาวะ หยากเยือ่ หรือของ กาํ หนดแกภ กิ ษทุ ง้ั หลาย มใิ หเ รยี น มใิ ห เปน เดน ออกไปนอกฝาหรอื นอกกาํ แพง (วินย.๓/๑๗๕/๑๐๖, และ ๓/๑๗๘/๑๐๘ มิใหเ ท สอนดริ จั ฉานวชิ า (วนิ ย.๗/๑๘๓-๔/๗๑) และ ของเหลานี้ลงไปบนพชื พันธขุ องสดเขยี ว ท่ีชาวบานปลูกไว, ทั้งนี้ ภิกษุก็ตอง แกภ กิ ษณุ ที ง้ั หลายเชน เดยี วกนั (วนิ ย.๓/ ปฏบิ ตั ติ ามดว ยเชน กัน), มีสกิ ขาบทหา ม ๓๒๒/๑๗๗;๓๒๕/๑๗๘); ดูจฬู มชั ฌมิ มหาศลี ภกิ ษมุ ใิ หเอาเศษอาหาร กา ง หรือนํ้าเดนดึกดําบรรพ ครงั้ เกากอ น, ครัง้ โบราณ ใสบาตรออกไปท้ิง แตใหใชกระโถนดษุ ณภี าพ ความเปน ผนู ิง่ (วินย.๗/๕๔/๒๒; และตาม วินย.๒/๘๕๖/๕๕๗ดสุ ติ สวรรคช น้ั ที่ ๔ แหง สวรรค ๖ ชน้ั มี ซ่งึ มใิ หภ ิกษุเทนาํ้ ลา งบาตร ทย่ี งั มีเมลด็ ทา วสนั ดสุ ติ เทวราชปกครอง สวรรคช นั้ นี้ ขาวลงในละแวกบาน หนังสือวินัยมุข เลม ๒ วา “ของเปนเดนกเ็ หมอื นกัน”) เปน ทสี่ ถติ ของพระโพธสิ ตั วก อ นจตุ ลิ งมา ๒. ตรงกบั คําบาลวี า “อตริ ติ ฺต” ซึง่ มี รากศัพทเดียวกับอติเรก หรืออดิเรก สมู นษุ ยโลกและตรสั รใู นพระชาตสิ ดุ ทา ย แปลวา สวนเกิน เหลอื เฟอ เกินใช หรอืดูกร, ดูกอ น คําเอย เรียกใหเ ตรียมตัวฟง เกินตองการ หมายถงึ ของเหลอื ซง่ึ เกนิ ความท่ีจะพดู ตอ ไป, “แนะ ” หรือ “ดูรา” จากทต่ี อ งการ เชน ในคาํ “คลิ านาติรติ ตฺ ” ทแ่ี ปลวา “เดนภกิ ษไุ ข” ก็คือ ของเกนิ ฉัน กใ็ ชบาง หรือเกินความตองการของพระอาพาธเดน ของเศษของเหลอื ทไี่ มตองการ, ของ ท้งั นี้ พึงเขาใจตามความในพระบาลี ดัง เหลอื อนั เกนิ จากทีต่ อ งการ; “เดน” ตาม เร่ืองวา ภิกษุทั้งหลายนําบิณฑบาตอัน ประณตี ไปถวายพวกภกิ ษุอาพาธ ภกิ ษุ ทีเ่ ขา ใจกันในภาษาไทยปจ จบุ นั มีความ อาพาธฉนั ไมไดด ังใจประสงค ภกิ ษุท้งั หมายไมสูตรงกับที่ใชในทางพระวินัย อยางนอย ในภาษาไทย มักใชแ ตในแง ท่ีพวงมากับความรูสึกเชิงวาตํ่าทราม หรอื นารังเกยี จ, “เดน” ที่ใชก ันมาในทาง พระวนิ ยั พึงแยกวา เปน คาํ แปลของคาํ บาลี ๒ อยา ง คอื ๑. ตรงกบั คาํ บาลวี า “วิฆาส” หรือ “อจุ ฉิฏ” หมายถึงของ เศษของเหลอื จากท่ีกินท่ีใช เชน ภิกษุ พบเนื้อเดนที่สัตวกิน (สีหวิฆาส-เดน
เดาะ ๙๕ ไดร ับสมมติ หลายจึงท้งิ บิณฑบาตเหลานัน้ เสยี พระ เดาะ (ในคําวา “การเดาะกฐนิ ”) เสยี หาย ผูมีพระภาคทรงสดับเสียงนกการอง คอื กฐินใชไ มได หมดประโยชน หมด เซง็ แซ จงึ รับสง่ั ถามพระอานนท เมอ่ื อานิสงส ออกมาจากคาํ วา อพุ ฺภาโร, ทรงทราบความตามท่ีพระอานนทกราบ อทุ ฺธาโร แปลวา “ยกขึน้ หรือร้อื ” เขา ทูลแลว ไดทรงอนุญาตใหฉนั อาหารอนั กบั ศพั ท กฐิน แปลวา “ร้อื ไมสะดึง” คือ เปนเดน (อติริตต) ของภิกษุอาพาธ หมดโอกาสไดประโยชนจ ากกฐนิ และของภิกษุซ่ึงมิใชผูอาพาธได แต เดียงสา รูความควรและไมค วร, รคู วาม (สาํ หรบั อยา งหลงั ) พงึ ทาํ ใหเ ปน เดน โดย เปนไปบริบูรณแลว , เขาใจความ บอกวา “ทั้งหมดนนั่ พอแลว” และทรง เดียรฉาน, เดียรัจฉาน สัตวอ่ืนจาก บัญญัติสิกขาบทวา (วินย.๒/๕๐๐/๓๒๘) มนษุ ย, สตั วผ มู รี า งกายเจรญิ ขวางออกไป “ภิกษุใดฉันเสร็จแลว หามภัตแลว คอื ไมเ จรญิ ตง้ั ขน้ึ ไปเหมอื นคนหรอื ตน ไม เคี้ยวกด็ ี ฉันก็ดี ซ่ึงของเค้ยี วกด็ ี ซึง่ ของ เดียรถีย นักบวชภายนอกพระพุทธ- ฉันกด็ ี อันมิใชเ ดน เปนปาจติ ตยี ” , ทีว่ า ศาสนา เดน หรอื เกินฉนั ก็คอื ๒ อยา ง ไดแ ก เดือน ดวงจันทร, สวนของป คือปหนึง่ มี เดนของภกิ ษอุ าพาธ และเดนของภกิ ษุ ๑๒ เดือนบาง ๑๓ เดอื นบาง (อยาง ไมอ าพาธ ดงั กลา วแลว แตเ ดนชนดิ หลงั จันทรคต)ิ ; การทน่ี ับเวลาเปน เดือนและ คืออติริตตของภิกษุซ่ึงมิใชผูอาพาธนั้น เรียกเวลาที่นับนั้นวาเดือนก็เพราะ จะตองทาํ ใหถ กู ตอ งใน ๗ ประการ คือ กาํ หนดเอาขางข้ึนขางแรมของเดือน คอื ไดทําใหเปนกัปปยะแลว, ภิกษุรับ ดวงจันทรเปนหลักมาตั้งแตเดิม ดูช่ือ ประเคนแลว, ยกขน้ึ สง ให, ทาํ ในหัตถ- เดือนท่ี มาตรา บาส, เธอฉันแลวจึงทาํ , เธอฉันเสรจ็ โดยชอบ ในประโยควา “เปนผูต รัสรูเอง หา มภตั แลว ยงั มไิ ดล กุ จากอาสนะ กท็ าํ , โดยชอบ” ความตรสั รนู ้นั ชอบ ถกู ตอ ง และเธอกลา ววา “ทงั้ หมดนน่ั พอแลว ”, ครบถวนสมบูรณ ไมว ิปรติ ใหส าํ เร็จ บางทที านตัดเปน ๕ ขอ คือ ทาํ ใหเ ปน ประโยชนแ กพ ระองคเองและผูอ ืน่ กัปปยะแลว, ภิกษุรับประเคนแลว, ไดรับสมมติ ไดรับมติเห็นชอบรวมกัน (เธอฉนั เสรจ็ หา มภตั แลว ยังไมลกุ จาก ของที่ประชุมสงฆต้ังใหเปนเจาหนาท่ี อาสนะ) ยกข้นึ สงให, ทําในหัตถบาส, หรือทํากิจท่ีสงฆมอบหมาย อยางใด และกลาววา “ทงั้ หมดนนั่ พอแลว ” อยา งหน่งึ
ตจะ ๙๖ ตถาคตตตจะ หนงั หรือตรัสถึงพระองคเอง แปลไดความตจปญจกกมั มฏั ฐาน กรรมฐานมหี นงั หมาย ๘ อยา ง คอื ๑. พระผูเสดจ็ มา เปนที่คํารบหา กรรมฐานอันบัณฑิต แลว อยา งน้นั คอื เสดจ็ มาทรงบาํ เพ็ญ กาํ หนดดวยอาการมหี นังเปนท่ี ๕ เปน พุทธจริยา เพื่อประโยชนแกชาวโลก อารมณ คือ กรรมฐานท่ีทานสอนให เปนตน เหมือนอยางพระพุทธเจาพระ องคกอ นๆ อยา งไรกอ็ ยางนั้น ๒. พระผู พจิ ารณาสว นของรางกาย ๕ อยางคือ เสด็จไปแลวอยางน้ัน คือทรงทําลาย ผม ขน เล็บ ฟน หนัง โดยความเปน อวิชชาสละปวงกิเลสเสด็จไปเหมือน ของปฏิกูล หรือโดยความเปนสภาวะ อยา งพระพุทธเจาพระองคกอ นๆ อยา ง ไรก็อยางน้ัน ๓. พระผูเสด็จมาถึงตถ- อยางหนงึ่ ๆ ตามทม่ี ันเปนของมัน ไมเ อา ลกั ษณะ คือ ทรงมพี ระญาณหย่ังรเู ขา ใจเขาไปผูกพันแลวคิดวาดภาพใฝฝน ถึงลักษณะที่แทจริงของสิ่งท้ังหลายหรือ ของธรรมทุกอยาง ๔. พระผตู รัสรตู ถ- ตามอํานาจกิเลส พจนานุกรมเขียน ธรรมตามท่ีมนั เปน คือ ตรสั รอู รยิ สัจจ ตจปญจกกรรมฐาน เรียกอีกอยางวา มลู กัมมฏั ฐาน (กรรมฐานเบอ้ื งตน ) ๔ หรือปฏิจจสมุปบาทอันเปนธรรมที่ตตยิ ฌาน ฌานที่ ๓ มอี งค ๒ ละปต เิ สีย จริงแทแนน อน ๕. พระผทู รงเหน็ อยาง ได คงอยูแตส ขุ กบั เอกัคคตา น้ัน คือ ทรงรูเทาทันสรรพอารมณท่ีตถตา ความเปน อยา งน้นั , ความเปนเชน นนั้ , ภาวะทสี่ ิง่ ท้ังหลายท้งั ปวงเปนของ ปรากฏแกหมูสัตวท งั้ เทพและมนษุ ย ซึ่ง มันอยางน้ันเอง คือเปนไปตามเหตุ สัตวโลกตลอดถึงเทพถึงพรหมได ปจจัย (มิใชเปนไปตามความออนวอน ประสบและพากันแสวงหา ทรงเขาใจ สภาพทแ่ี ทจรงิ ๖. พระผูตรัสอยางนนั้ ปรารถนา หรอื การดลบนั ดาลของใครๆ) เปน ชอ่ื หนงึ่ ทใ่ี ชเ รยี กกฎ ปฏจิ จสมปุ บาท (หรือมีพระวาจาท่ีแทจริง) คือ พระ หรือ อทิ ัปปจจยตาตถาคต พระนามอยางหน่ึงของพระ ดํารัสท้ังปวงนับแตตรัสรูจนเสด็จดับ พทุ ธเจา เปน คาํ ทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงเรยี ก ขันธปรินิพพาน ลวนเปนสิ่งแทจริงถูก
ตถาคตโพธสิ ัทธา ๙๗ ตระกูลอนั มง่ั คง่ัตอง ไมเ ปน อยา งอน่ื ๗. พระผทู าํ อยาง ความวา พนจากกิเลสดวยอาศยั ธรรมนั้น คอื ตรัสอยางใด ทาํ อยา งนนั้ ทาํ ตรงขา มที่เปนคูป รับกัน เชน เกดิ เมตตาอยางใด ตรัสอยา งนน้ั ๘. พระผเู ปนเจา หายโกรธ เกิดสังเวช หายกําหนัด(อภภิ ู) คือ ทรงเปนผใู หญย ่ิงเหนือกวา เปนตน เปนการหลุดพนชว่ั คราว และสรรพสัตวตลอดถึงพระพรหมท่ีสูงสุด เปน โลกยี วมิ ุตต;ิ ดู วมิ ุตติเปน ผูเห็นถองแท ทรงอํานาจ เปนราชา ตทารมณ, ตทารมั มณะ ดู วถิ จี ติที่พระราชาทรงบูชา เปนเทพแหงเทพ ตทาลัมพณะ, ตทาลมั พนะ ดู วถิ จี ติเปนอินทรเหนือพระอินทร เปนพรหม ตน โพธ์ิ ดู โพธิเหนือประดาพรหม ไมมีใครจะอาจวัด ตบะ 1. ความเพียรเคร่ืองเผาผลาญหรือจะทัดเทยี มพระองคดว ยศลี สมาธิ กิเลส, การบาํ เพ็ญเพียรเพ่ือกาํ จดั กเิ ลส ปญ ญา วิมุตติ และวิมุตตญิ าณทัสสนะ 2. พิธีขมกิเลสโดยการทรมานตัวของตถาคตโพธิสัทธา ความเชื่อปญญา นักบวชบางพวกในสมัยพุทธกาล ตรสั รูของพระตถาคต (ผูกเปน ศพั ทขนึ้ ตปสุ สะ พอ คา ทมี่ าจากอกุ กลชนบทคกู บัจากความบาลีวา “สททฺ หติ ตถาคตสสฺ ภลั ลกิ ะ พบพระพทุ ธเจา ขณะประทบั อยูโพธึ”); ดู สทั ธา ณ ภายใตตนไมราชายตนะภายหลังตทังคนิพพาน “นิพพานดว ยองคนนั้ ”, ตรัสรูใหมๆ ไดถ วายเสบยี งเดินทาง คือนพิ พานดว ยองคธ รรมจาํ เพาะ เชน มอง ขาวสตั ตุผง ขา วสตั ตุกอน แลวแสดงเหน็ ขนั ธ ๕ โดยไตรลกั ษณแ ลว หายทกุ ข ตนเปนอบุ าสก ถงึ พระพุทธเจา กบั พระรอ น ใจสงบสบายมคี วามสขุ อยตู ลอดชวั่ ธรรมเปนสรณะ นับเปนปฐมอุบาสกผูคราวนน้ั ๆ, นพิ พานเฉพาะกรณี ถึงสรณะ ๒ ท่เี รียกวา เทฺววาจกิตทังคปหาน “การละดวยองคน ั้น”, การ ตโปทาราม สวนซงึ่ อยใู กลบ อ น้ําพุรอ นละกิเลสดวยองคธรรมท่ีจําเพาะกันนั้น ชื่อตโปทา ใกลพ ระนครราชคฤห เปนคือละกิเลสดวยองคธรรมจําเพาะท่ีเปน สถานท่ีแหงหนึ่งท่ีพระพุทธเจาเคยทําคปู รับกัน แปลงายๆ วา “การละกเิ ลส นมิ ติ ตโ อภาสแกพ ระอานนทดวยธรรมทีเ่ ปน คปู รบั ” เชน ละโกรธ ตระกูลอันมั่งค่ัง จะต้ังอยูนานไมไดดว ยเมตตา (แปลกนั มาวา “การละกิเลส เพราะเหตุ ๔ อยา ง คอื ๑. ไมแ สวงหาไดช่ัวคราว”) พสั ดุท่หี ายแลว ๒. ไมบรู ณะพัสดทุ ีค่ รํ่าตทงั ควิมุตติ “พนดวยองคน น้ั ๆ” หมาย ครา ๓. ไมรจู กั ประมาณในการบรโิ ภค
ตระบัด ๙๘ ตกั สลิ าสมบตั ิ ๔. ตง้ั สตรีหรอื บุรษุ ทุศลี ใหเปน ตอน ศษิ ยก ว็ า ตามวาซํ้าๆ จนจาํ ได แลวแมบา นพอเรือน อาจารยอธิบายใหเขาใจ หรืออาจารยตระบัด ยืมของเขาไปแลว เอาเสีย เชน กาํ หนดใหน าํ ไปทอ ง แลว มาวา ใหอ าจารยขอยืมของไปใชแลวไมสงคืน กูหน้ีไป ฟง เมอ่ื ศษิ ยจ าํ ไดแ ละเขา ใจแมน ยาํ แลวแลว ไมสง ตน ทนุ และดอกเบี้ย อาจารยก็สอนหรือใหรับสวนท่ีกําหนดตระหนี่ เหนยี ว, เหนียวแนน , ไมอยาก ใหมไ ปทองเพม่ิ ตอไปทกุ ๆ วัน วันละใหงา ยๆ, ขเ้ี หนยี ว (มัจฉริยะ) มากหรือนอยแลวแตความสามารถของตรัยตรึงศ “สามสิบสาม”, สวรรคช้ัน ศิษย นี่เรียกวา ตอ หนังสอื และมักตอดาวดงึ ส; ดู ดาวดงึ ส ในเวลาคํ่า จงึ เรียกวา ตอหนังสอื คํ่าตรสั รู รแู จง หมายถงึ รอู ริยสัจจ ๔ คอื ตะเบ็งมาน เปนช่ือวิธีหมผาของหญิงทกุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค อยางหน่งึ คอื เอาผาโอบหลงั สอดรักแรตรีทศ ดู ไตรทศ สองขา งออกมาขางหนา ชกั ชายไขวกันตรที พิ ดู ไตรทพิ ขน้ึ พาดบา ปกลงไปเหนบ็ ไวท่ผี าโอบหลังตรณุ วิปส สนา วปิ ส สนาอยา งออน; ดู ตะโพน เครอื่ งดนตรชี นดิ หนงึ่ มหี นงั สองญาณ ๑๖, วิปสสนูปกิเลส หนา ตรงกลางปอง รมิ ๒ ขางสอบลงตรุษ นักษตั รฤกษเ มอ่ื เวลาสิน้ ป ตกั กะ เปรียง; ดู เบญจโครสตอ ง ถกู , ถงึ , ประสบ (ในคาํ วา “ตอ ง ตกั บาตรเทโว ดู เทโวโรหณะอาบตั ิ” คอื ถึงความละเมดิ หรอื มีความ ตักสิลา ช่ือนครหลวงแหง แควน คนั ธาระผิดสถานนน้ั ๆ คลายในคําวา ตองหา ซึง่ เปน แควน หน่ึงในบรรดา ๑๖ แควนตองขัง ตองโทษ ตองคด)ี แหงชมพูทวีป ตักสิลามีมาแตดึกดํา-ตอตาม พูดเก่ียงราคาในเร่ืองซื้อขาย, บรรพกอนพุทธกาล เคยรุงเรืองดวยพูดเกี่ยงผลประโยชนในการทําความตก ศลิ ปวิทยาตางๆ เปน สถานทม่ี ชี ือ่ เสยี งที่ ลงกนั สุดในการศึกษายุคโบราณ เรียกกันวาตอหนังสือค่ํา เรียนหนังสือโดยวิธีท่ี เปนเมืองมหาวิทยาลัย สันนิษฐานวาอาจารยบอกปากเปลาใหโดยตรงเปน บดั น้ีคือบรเิ วณซากโบราณสถาน ในเขตรายตัว ซึง่ เนนการจําเปนฐาน อนั สบื มา แควนปญจาบ ของประเทศปากีสถานแตย ุคท่ียังไมไ ดใ ชห นังสือ โดยอาจารย อยหู า งออกไปประมาณ ๒๗ กม. ทางสอนใหวาทีละคําหรือทีละวรรคทีละ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของราวัลปนดิ
ต่งั ๙๙ ตั่ง(Rawalpindi) เมืองหลวงเกา และหาง ใจกต็ กลงราคากนั นาํ ไปเปน ภรรยา หญงิจากอิสลามะบาด (Islamabad) เมอื ง ทส่ี ามตี ายจะตอ งเผาตวั ตายไปกบั สามีหลวงปจจุบัน ไปทางทิศตะวันตก นับแตสมัยพระเจาอโศกมหาราชประมาณ ๒๓ กม. เปน ตน มา ตกั สิลาไดเ ปนนครท่รี ุงเรืองตักสิลาเปนราชธานีท่ีม่ังค่ังรุงเรือง ดวยพระพุทธศาสนา ซึ่งเจริญขึ้นมาสบื ตอกันมาหลายศตวรรษ ตั้งแตก อน เคียงขางศาสนาฮินดู เปนแหลงสําคัญพทุ ธกาล จนถงึ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ มี แหงหน่ึงของการศึกษาพระพุทธศาสนาเร่ืองราวเลาไวในชาดกเปนอันมาก ซึ่ง ดังมีซากสถูปเจดยี วัดวาอาราม และแสดงใหเห็นวา ตักสิลาเปนศูนยกลาง ประติมากรรมแบบศิลปะคันธาระการศึกษา มสี าํ นักอาจารยท ศิ าปาโมกข จาํ นวนมากปรากฏเปนหลกั ฐานส่ังสอนศลิ ปวิทยาตา งๆ แกศ ษิ ยซ งึ่ เดิน ตอ มาราว พ.ศ. ๙๔๓ หลวงจนีทางมาเลาเรียนจากทุกถิ่นในชมพูทวีป ฟาเหียนไดมาสืบพระพุทธศาสนา ในแตในยุคกอนพุทธกาลชนวรรณะสูงเทา อนิ เดีย ยงั ไดม านมสั การพระสถปู เจดยี นน้ั จงึ มสี ทิ ธเิ ขา เรยี นได บคุ คลสาํ คญั และ ท่ีเมอื งตกั สลิ า แสดงวา เมืองตักสลิ ายงัมีช่ือเสียงหลายทานในสมัยพุทธกาล คงบริบูรณดีอยู แตตอมาราว พ.ศ.สําเร็จการศึกษาจากนครตักสิลา เชน ๑๐๕๐ ชนชาตฮิ นั่ ยกมาตีอินเดยี และไดพระเจาปเสนทิโกศล เจามหาลิจฉวี ทําลายพระพทุ ธศาสนา ทําใหเ มืองตกั -พนั ธลุ เสนาดี หมอชวี กโกมารภจั และ สิลาพินาศสาปสูญไป คร้ันถึง พ.ศ.องคลุ มิ าล เปน ตน ตอ มาภายหลงั พทุ ธกาล ๑๑๘๖ หลวงจนี เหยี้ นจงั (พระถงั ซมั จง๋ั )ตักสิลาไดถูกพระเจาอเล็กซานเดอร มาสบื พระพุทธศาสนาในอินเดีย กลาวมหาราชกษัตรยิ ก รีกยึดครอง มีหนังสอื วา เมอื งตกั สลิ าตกอยใู นสภาพเสอื่ มโทรมที่คนชาติกรีกกลาวถึงขนบธรรมเนียม เปน เพยี งเมอื งหนง่ึ ทข่ี นึ้ กบั แควนกัศมีระประเพณีของเมืองตักสิลา เชนวา โบสถว หิ าร สถานศกึ ษา และปชู นยี สถานประชาชนชาวตักสลิ า ถาเปน คนยากจน ถูกทาํ ลายหมด จากนั้นมาก็ไมปรากฏไมสามารถจะปลูกฝงธิดาใหมีเหยา เรอื น เร่อื งเมอื งตกั สิลาอีก; เขยี นเต็มตามบาลีตามประเพณไี ด ก็นําธดิ าไปขายที่ตลาด เปน ตกั กสลิ า เขียนอยา งสนั สกฤตเปนโดยเปาสังขตีกลองเปนอาณัติสัญญาณ ตกั ษศลิ าองั กฤษเขยี นTaxila;ดูคนั ธาระประชาชนกพ็ ากนั มาลอ มดู ถา ผใู ดชอบ ตั่ง มา ๔ เหลี่ยมรี นง่ั ได ๒ คนก็มี
ตัชชนียกรรม ๑๐๐ ตมั พปณ ณิตัชชนียกรรม กรรมอันสงฆพึงทําแก อรดี กับ ราคา) ภิกษุอันจะพึงขู, สังฆกรรมประเภท ตัณหาจรติ ดู จรติ , จริยา นิคหกรรมอยางหน่ึง ซึ่งสงฆทําการ ตัตรมัชฌัตตตา ความเปนกลางในตําหนิโทษภิกษุผูกอความทะเลาะวิวาท อารมณน้นั ๆ, ภาวะที่จิตและเจตสิกตัง้กอ อธิกรณข น้ึ ในสงฆ เปน ผูมอี าบตั มิ าก อยูในความเปนกลาง บางทีเรียกและคลุกคลีกับคฤหัสถในทางที่ไมสม อเุ บกขา (ขอ ๗ ในโสภณเจตสิก ๒๕)ควร ตนั ติ 1. แบบแผน เชน ตนั ตธิ รรมตัง้ ใจชอบ ดู สัมมาสมาธิ (ธรรมท่ีเปนแบบแผน) ตันติประเพณีตณหฺ กฺขโย ความสิ้นไปแหงตณั หา เปน (แนวทางท่ียึดถือปฏิบัติสืบกันมาเปนไวพจนอยางหนึ่งแหง วิราคะ และ แบบแผน) เชน ภกิ ษุทัง้ หลายควรสืบนิพพาน ตอตันติประเพณีแหงการเลาเรียนพระตณั หา๑ ความทะยานอยาก, ความรา นรน, ธรรมวินัย และเท่ียวจาริกไป แสดงความปรารถนา, ความอยากเสพ อยาก ธรรม โดยดํารงอริ ยิ าบถอันนาเล่ือมใสได อยากเอาเพอ่ื ตวั , ความแสห า, มี ๓ 2. เสน , สาย เชน สายพิณคอื ๑. กามตณั หา ความทะยานอยากใน ตนั ตภิ าษา ภาษาทม่ี แี บบแผน คอื มหี ลกักาม อยากไดอารมณอันนาใคร ๒. ภาษา มไี วยากรณ เปน ระเบยี บ เปนภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ มาตรฐาน; เมอื่ พระพทุ ธโฆสาจารยแ ปลอยากเปน นน่ั เปน นี่ ๓. วภิ วตณั หา ความ อรรถกถาจากภาษาสิงหล ทา นกลา ววาทะยานอยากในวภิ พ อยากไมเ ปน นน่ั ไม ยกขนึ้ สตู นั ตภิ าษา คาํ วา “ตนั ตภิ าษา” ในเปนน่ี อยากพรากพนดับสูญไปเสีย; ทนี่ ี้ หมายถงึ ภาษาบาลี (บาล:ี ตนตฺ ภิ าสา)ตณั หา ๑๐๘ ตามนยั อยา งงา ย = ตณั หา ตัมพปณณิ “(เกาะ) คนฝามอื แดง” เปน ๓ อารมณ ๖ ๒ (ภายใน+ภายนอก) ช่ือหนึ่งของลังกาทวีป คือประเทศศรี- กาล ๓; ดูปปญ จะ,มานะ; เทยี บฉนั ทะ2. ลงั กาในปจ จุบัน และคงเปน ชอ่ื ทีเ่ กาแกตณั หา๒ ธดิ ามารนางหนงึ่ ใน ๓ นาง ท่ี มาก ปรากฏในรายชื่อดินแดนตางๆ ในอาสาพระยามารผเู ปน บดิ า เขา ไปประโลม คมั ภรี ม หานทิ เทส แหง พระสตุ ตนั ตปฎ กพระพุทธเจา ดว ยอาการตางๆ ในสมยั ที่ ซง่ึ มชี วาดวย และถัดจากสุวรรณภมู ิ ก็พระองคประทับอยูที่ตนอชปาลนิโครธ มีตัมพปณณิ (ชว คจฉฺ ติ … สุวณณฺ ภมู ึภายหลงั ตรัสรใู หมๆ (อกี ๒ นาง คอื คจฺฉติ ตมฺพปณฺณึ คจฺฉต,ิ ขุ.ม.๒๙/๒๕๔/
ตสั สปาปยสกิ ากรรม ๑๐๑ ตณิ ชาติ๑๘๘, ๘๑๐/๕๐๔) ช่อื เหลาน้ีจะตรงกบั ดนิ ตัสสปาปยสกิ ากรรม กรรมอันสงฆพงึแดนท่ีเขา ใจกัน หรอื เปนชอ่ื พอง หรือ ทาํ เพราะความท่ีภกิ ษุน้ันเปน ผเู ลวทราม,ตง้ั ตามกนั ไมอาจวนิ จิ ฉัยใหเ ด็ดขาดได, กรรมน้ีสงฆทําแกภิกษุผูเปนจําเลยในเหตุที่ลังกาทวีปไดนามวาตัมพปณณินั้น อนุวาทาธิกรณ ใหการกลับไปกลับมามเี ร่อื งตามตาํ นานวา เจาชายวิชยั ซึ่งเปน เด๋ียวปฏิเสธ เด๋ียวสารภาพ พดู ถลากโอรสองคใหญของพระเจาสีหพาหุและ ไถล พดู กลบเกลื่อนขอ ทถ่ี กู ซัก พดู มุสาพระนางสีหสีวลีในชมพูทวีป ถูกพระ ซ่ึงหนา สงฆทาํ กรรมน้ีแกเธอเปนการลงราชบิดาลงโทษเนรเทศ ไดเดนิ ทางจาก โทษตามความผิดแมวาเธอจะไมรับชมพูทวีป และมาถึงเกาะนใ้ี นวนั พุทธ- หรอื เพือ่ เพมิ่ โทษจากอาบตั ทิ ี่ตอ งปรนิ ิพพาน ราชบรพิ ารซ่งึ เหน็ดเหนือ่ ย ตามพปณ ณิ ดู ตัมพปณณิจากการเดินทาง เม่อื ขน้ึ ฝง แลว ก็ลงนง่ั ตาลุ เพดานปากพกั เอามือยันพน้ื ดิน เมื่อยกมือขึน้ มา ตาลชุ ะ อักษรเกดิ ที่เพดาน คอื อิ อี และมือก็เปอนแดงดวยดินท่ีนั่นซึ่งมีสีแดง จ ฉ ช ฌ กบั ทง้ั ยกลายเปน คนมือแดง (ตมพฺ [แดง] + ตํารับ, ตาํ หรับ ตาํ ราที่กาํ หนดไวเปนปณณฺ ี [มีฝา มอื ] = ตมฺพปณณฺ ี [มีฝา มือ เฉพาะแตล ะเรอ่ื งละรายแดง]) กจ็ ึงเรยี กถน่ิ นน้ั วา ตมั พปณณิ ตกิ ะ หมวด ๓แลว ณ ถ่นิ น้นั เจาชายวิชัยไดรบั ความ ตจิ วี รวปิ ปวาส การอยปู ราศจากไตรจวี รชวยเหลือจากยักษิณีที่รักพระองค รบ ติจีวรอวิปปวาส การไมอยูปราศจากชนะพวกยกั ษแหง เมอื งลังกาปรุ ะ จึงได ไตรจวี ร; ดู ติจีวราวิปปวาสต้ังเมืองตัมพปณณินครข้ึน เปนปฐม- ตจิ วี ราวปิ ปวาส การไมอ ยปู ราศจากไตร-กษตั รยิ ต น วงศข องชาวสหี ล หรอื สงิ หฬ จวี ร คอื ภิกษุอยใู นแดนท่สี มมตเิ ปนจากน้ัน ช่ือตัมพปณณิก็ขยายออกไป ตจิ วี ราวปิ ปวาสแลว อยหู า งจากไตรจวี รกลายเปน ชอ่ื ของทงั้ เกาะหรอื ทงั้ ประเทศ, ก็ไมเ ปน อันอยูปราศ ไมต องอาบัติดว ยตามเรอ่ื งทเี่ ลา มา จะเหน็ ชอ่ื ทใ่ี ชเ รยี กดิน นิสสัคคิยปาจติ ตียสกิ ขาบทท่ี ๑แดนน้คี รบ ทั้งลังกา ตมั พปณ ณิ และ ตจิ วี ราวปิ ปวาสสมี า แดนไมอ ยปู ราศจากสหี ลหรอื สงิ หฬ, ตามพปณณิ ก็เรียก ไตรจวี ร สมมตแิ ลว ภกิ ษุอยหู างจาก(จะเติม ‘ทวีป’ เปนตัมพปณณิทวีป ไตรจวี รในสมี านน้ั ก็ไมเปน อันปราศหรอื ตามพปณ ณิทวีป ก็ได) ติณชาติ หญา
ติณวตั ถารกวธิ ี ๑๐๒ ติรัจฉานกถาตณิ วตั ถารกวธิ ี วธิ แี หง ตณิ วตั ถารกวนิ ยั เดือน หรือจนกวาสงฆพอใจ จึงจะตณิ วตั ถารกวนิ ยั ระเบยี บดงั กลบไวด ว ย อปุ สมบทได ทัง้ นี้ เพือ่ ปรบั ตัวปรับวถิ ีหญา ไดแ กกิรยิ าทใี่ หประนีประนอมกนั ชีวิตใหพรอมที่จะเขาอยูในระบบอยางทง้ั สองฝาย ไมตอ งชําระสะสางหาความ ใหม และเปนการทดสอบตนเองดวย; ดูเดิม เปนวิธีระงับอาปต ตาธกิ รณ ทใี่ ชใ น ปรวิ าสเมื่อจะระงับลหุกาบัติที่เกี่ยวกับภิกษุ ตติ ถิยปกกนั ตกะ ผไู ปเขารีตเดียรถยี ท ้ังจํานวนมาก ตางก็ประพฤติไมสมควร เปนภกิ ษุ อุปสมบทอีกไมไ ด (เปน วัตถุ-และซดั ทอดกนั เปน เรอื่ งนงุ นงั ซบั ซอน วบิ ตั )ิชวนใหทะเลาะวิวาท กลา วซัดลาํ เลกิ กัน ติรัจฉานกถา ถอยคําอันขวางตอทางไปไมม ที ีส่ ดุ จะระงับดว ยวธิ อี ่นื กจ็ ะเปน นิพพาน, เรื่องราวที่ภิกษุไมควรนํามาเรื่องลุกลามไป เพราะถาจะสบื สวนสอบ เปน ขอถกเถยี งสนทนา โดยไมเก่ียวกับสวนปรบั ใหก ันและกันแสดงอาบัติ กม็ ี การพิจารณาสั่งสอนแนะนําทางธรรมแตจะทําใหอธิกรณรุนแรงย่ิงข้ึน จึง อันทําใหคิดฟุงเฟอและพากันหลงเพลินระงับเสียดวยติณวัตถารกวิธี คือแบบ เสียเวลา เสียกิจหนาท่ีทีพ่ ึงปฏิบตั ิตามกลบไวดวยหญา ตัดตอนยกเลิกเสีย ธรรม เชน ราชกถา สนทนาเรอื่ งพระ ไมส ะสางความหลังกันอกี ราชา วา ราชาพระองคน้ันโปรดของอยา งตติ ถกร เจาลทั ธิ หมายถึงคณาจารย ๖ นนั้ พระองคน โี้ ปรดของอยา งน้ี โจรกถา คน คอื ๑.ปรู ณกสั สป๒.มกั ขลโิ คสาล ๓. สนทนาเร่ืองโจร วา โจรหมูนั้นปลน ทน่ี ่นั อชติ เกสกมั พล ๔. ปกทุ ธกจั จายนะ ๕. สญั ชยั เวลัฏฐบตุ ร ๖. นคิ รนถนาฏบตุ ร ไดเ ทา น้นั ๆ ปลน ท่นี ่ไี ดเทานๆ้ี เปนตน; มกั เรียกวา ครทู งั้ ๖ติตถิยะ เดียรถีย, นักบวชภายนอกพระ ทรงแสดงไวในทหี่ ลายแหง ไดแก ราช- กถา โจรกถา มหามัตตกถา (เร่ืองมหา อาํ มาตย) เสนากถา (เร่อื งกองทัพ) ภย-พทุ ธศาสนา กถา ยทุ ธกถา อนั นกถา (เรอ่ื งขา ว) ปาน-ติตถิยปริวาส วิธีอยูกรรมสําหรับ กถา (เร่อื งนํา้ ) วตั ถกถา (เร่อื งผา) ยาน-เดียรถียที่ขอบวชในพระพุทธศาสนา กถา สยนกถา (เรือ่ งที่นอน) มาลากถากลาวคอื นกั บวชในลทั ธศิ าสนาอื่น หาก คนั ธกถา าติกถา คามกถา (เรือ่ งปรารถนาจะบวชเปนภิกษุในพระพุทธ- บาน) นิคมกถา (เรอ่ื งนคิ ม คอื เมืองศาสนา จะตองประพฤติปรวิ าสกอน ๔ ยอย) นครกถา ชนปทกถา อติ ถีกถา
ตริ ัจฉานโยนิ ๑๐๓ ตีรณปริญญา(เร่ืองสตร)ี สรู กถา (เรอื่ งคนกลา หาญ) เมื่อตรัสสอนภิกษุทั้งหลายวาไมควรวสิ ิขากถา (เรื่องตรอก) กมุ ภฏั านกถา สนทนาติรัจฉานกถาเหลานี้แลว ก็ได(เรอ่ื งทานา้ํ ) ปพุ พเปตกถา (เรื่องคนท่ี ทรงแสดงกถาวตั ถุ ๑๐ วา เปนเรอื่ งท่ีลวงลบั ) นานัตตกถา (เรอื่ งปลกี ยอ ย ควรสนทนากนั สําหรับภิกษุทง้ั หลาย; ดูหลากหลาย) โลกกั ขายกิ า (คาํ เลา ขาน กถาวัตถุ ๑๐เร่ืองโลก เชนวาโลกนใี้ ครสรา ง) สมทุ - ติรจั ฉานโยนิ กําเนิดดิรัจฉาน (ขอ ๒ทกั ขายกิ า (คาํ เลาขานเร่อื งทะเล เชน ท่ี ในทุคติ ๓, ขอ ๒ ในอบาย ๔); ดู คติวาขุดขึ้นมาโดยเทพเจาชื่อสาคร) อิติ- ติรจั ฉานวิชา ดู ดิรจั ฉานวชิ าภวาภวกถา (เรื่องท่ีถกเถียงกันวุนวาย ติสรณคมนูปสัมปทา อุปสมบทดวยไปวาเปนอยางนั้น-ไมเปนอยางน้ี หรือ ไตรสรณคมน คือบวชภิกษุดวยการวาเปนอยางนี้-ไมเปนอยางนั้น สุดโตง (กลา วคาํ )ถงึ สรณะ ๓ เปนวิธอี ปุ สมบทกนั ไป เชน วา เท่ียงแท-วาขาดสญู วา ได- ท่ีพระพุทธเจาทรงอนุญาตใหพระสาวกวาเสีย วาใหปรนเปรอตามใจอยาก-วา บวชกุลบุตรในครั้งตนพทุ ธกาล ตอมาใหกดบีบเครียดเครง ), ทัง้ หมดนนี้ ับได เมอ่ื ทรงอนญุ าตการอปุ สมบทดว ยญตั ต-ิ๒๗ อยา ง แตคมั ภรี นทิ เทสระบุจาํ นวน จตตุ ถกรรมแลว กท็ รงอนญุ าตการบวชไวดว ยวา ๓๒ อยาง (เชน ข.ุ ม.๒๙/๗๓๓/ ดวยไตรสรณคมนน้ี ใหเปนวิธีบวช๔๔๕) อรรถกถา (เชน ม.อ.๓/๒๐๒/๑๖๕) บอก สามเณรสบื มา ดู อุปสมั ปทาวธิ นี ับวา ขอสดุ ทาย คอื อติ ิภวาภวกถา ติสสเถระ ช่ือพระเถระองคห นึง่ ในเกาะแยกเปน ๖ ขอ ยอย จงึ เปน ๓๒ (แตใน ลงั กา เคยอปุ การะพระเจา วฏั ฏคามนิ อี ภยัมหานิทเทส ฉบบั อกั ษรไทย มีปรุ ิสกถา คราวเสียราชสมบัติแกทมิฬ ภายหลังตอจากอติ ถกี ถา รวมเปน ๒๘ เมื่อแยก ทรงกูราชสมบัติคืนไดแลว ไดสรา งวัดยอยอยางนี้ ก็เกินไป กลายเปน ๓๓) อภัยคีรีวหิ ารถวายย่ิงกวาน้ัน ในคัมภีรช้ันฎีกาบางแหง ติสสเมตเตยยมาณพ ศิษยคนหนึ่งใน(วนิ ย.ฏ.ี ๓/๒๖๗/๓๗๙) อธบิ ายวา อีกนัย จาํ นวน ๑๖ คน ของพราหมณพาวรีท่ีหน่ึง คําวา “อิต”ิ มีความหมายวารวม ไปทูลถามปญหากะพระศาสดาที่ท้ังเรื่องอื่นๆ ทํานองน้ีดวย เชนรวม ปาสาณเจดยี เรอ่ื ง ปา เขา แมนา้ํ และเกาะ เขา ไป ก็ ตีรณปรญิ ญา กาํ หนดรขู ้ันพจิ ารณา คอืเปน ๓๖ อยา ง; ใน องฺ.ทสก.๒๔/๖๙/๑๓๘ กําหนดรูสังขารดวยการพิจารณาเห็น
ตจุ ฉากาศ ๑๐๔ ตลุ า ไตรลักษณ วาส่ิงนั้นๆ มีลักษณะไม ภาคเจาไดตรัสวา ภิกษทุ ง้ั หลาย ลาภ สักการะและชื่อเสียง เปนของทารุณ เทย่ี ง เปนทุกข เปนอนัตตา (ขอ ๒ ใน เผ็ดรอน หยาบรา ย เปนอนั ตรายตอ การ บรรลุโยคเกษมธรรม อันยอดเย่ียม; ปรญิ ญา ๓) ภกิ ษทุ งั้ หลาย อุบาสิกาผมู ศี รทั ธา เมือ่ตุจฉากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ จะวิงวอนบุตรนอ ยคนเดียว ซึ่งเปน ทร่ี ักตุมพสตปู พระสถูปบรรจุทะนานทองที่ ท่ชี ื่นใจ โดยชอบ พึงวิงวอนอยา งนี้วา ใชตวงแบงพระบรมสารีริกธาตุ โทณ- ‘ขอพอจงเปนเชนจิตตคฤหบดี และ หัตถกะอาฬวกะเถิด’ ภกิ ษทุ ้ังหลาย ผูท่ี พราหมณเปน ผูสรา ง เปนตุลา เปนประมาณ ในบรรดาตลุ า ตราชู, ประมาณ, เกณฑวัด, มาตร- อบุ าสกสาวกของเรา กค็ อื จติ ตคฤหบดี ฐาน, ตัวแบบ, แบบอยาง; สาวกหรอื และหัตถกะอาฬวกะ, ‘ถาพอออกบวช ก็ขอจงเปนเชนพระสารีบตุ ร และพระ สาวิกา ท่ีพระพุทธเจาตรัสยกยองวา โมคคลั ลานะเถดิ ’ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผทู เ่ี ปน ตลุ า เปน ประมาณ ในบรรดาภกิ ษสุ าวก เปนตราชู หรือเปนแบบอยางในพุทธ ของเรา ก็คอื สารีบตุ รและโมคคัลลานะ, ‘ขอพอจงอยาเปนอยางพระที่ยังศึกษา บริษัทนั้นๆ อันสาวกและสาวิกาท้ัง ซึ่งยังมิไดบรรลุอรหัตตผล ก็ถูกลาภ สักการะและช่ือเสยี งตามรังควาน’ ภกิ ษุ หลาย ควรใฝปรารถนาจะดําเนินตาม ท้ังหลาย ถาลาภสักการะและชื่อเสียง หรอื จะเปนใหไ ดใหเหมอื น คอื ๑. ตุลา ตามรังควานภิกษุที่ยังศึกษา ซึ่งยังไม สาํ หรบั ภกิ ษสุ าวกทั้งหลาย ไดแ ก พระ บรรลุอรหัตตผล ก็จะเปนอันตรายแก เธอ, ลาภสกั การะและชื่อเสยี ง เปนเรื่อง สารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ รายกาจ อยางนี้ เธอทั้งหลายพึง ๒. ตุลา สําหรบั ภกิ ษุณสี าวิกาท้งั หลาย สําเหนยี กไว ดังนแ้ี ล” ไดแก พระเขมา และพระอบุ ลวรรณา ๓. ตุลา สําหรับอบุ าสกสาวกทั้งหลาย ตอจากนั้นก็มีอีกพระสูตรหน่ึง ไดแ ก จติ ตคฤหบดี และหตั ถกะอาฬวกะ ตรัสไวทํานองเดียวกันวา (สํ.นิ.๑๖/๕๗๑- ๔. ตลุ า สําหรับอบุ าสิกาสาวกิ าทง้ั หลาย ๒/๒๗๗) “… อุบาสกิ าผูมศี รัทธา เม่อื จะ ไดแ ก ขชุ ชตุ ตราอปุ าสกิ า และเวฬกุ ณั ฏกี นนั ทมารดา นอกจากพุทธพจนท่ีแสดงหลักท่ัว ไปแลว (อง.ทุก.๒๐/๓๗๕–๘/๑๑๐-๑; อง.จตกุ ก. ๒๑/๑๗๖/๒๒๑) บางแหงตรัสสอนวิธี ปฏบิ ัตปิ ระกอบไวด ว ย ดังพุทธโอวาทที่ วา (สํ.น.ิ ๑๖/๕๖๙-๕๗๐/๒๗๖) “พระผูมพี ระ
ตลุ า ๑๐๕ ตลุ าวิงวอนธดิ านอ ยคนเดยี ว ซึง่ เปน ท่รี ัก ที่ สัญชัยปริพาชกแลว นําปริพาชก ๒๕๐ช่นื ใจ โดยชอบ พึงวิงวอนอยางนีว้ า ‘ขอแมจงเปนเชนขุชชุตตราอุบาสิกา และ คนมาเฝาพระพทุ ธเจา ท่พี ระเวฬุวนั ครัง้เวฬุกัณฏกีนันทมารดาเถิด’ ภิกษุท้ังหลาย ผทู เ่ี ปนตุลา เปน ประมาณ ใน นั้น พระพุทธเจาทอดพระเนตรเห็นทั้งบรรดาอุบาสิกาสาวิกาของเรา ก็คือขชุ ชตุ ตราอบุ าสกิ า และเวฬกุ ณั ฏกนี นั ท- สองทานนั้นกําลังเขามาแตไกล ก็ไดมารดา, ‘ถา แมอ อกบวช กข็ อจงเปน เชนพระเขมาภิกขุนี และพระอุบลวรรณา ตรัสแกภ ิกษุท้งั หลายวา (วนิ ย.๔/๗๑/๗๗)เถดิ ’ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผทู เี่ ปน ตลุ า เปนประมาณ ในบรรดาภิกษุณีสาวิกาของ “ภิกษุทง้ั หลาย สหายสองคนที่มานั่น คอืเรา กค็ ือ เขมาภกิ ขุนี และอุบลวรรณา,‘ขอแมจงอยาเปนอยางพระท่ียังศึกษา โกลติ ะ และอุปตสิ สะ จกั เปน คสู าวกซ่ึงยังมิไดบรรลุอรหัตตผล ก็ถูกลาภสักการะและช่ือเสียงตามรังควาน’… ของเรา เปนคูที่ดีเลิศ ยอดเยีย่ ม (สาวก-ลาภสักการะและชือ่ เสยี ง เปน เรือ่ งรายกาจ อยางน้ี เธอทั้งหลายพงึ สําเหนยี ก ยุค ภวิสสฺ ติ อคฺค ภทฺทยุคํ)”, คาํ เรียกไว ดังนี้แล” ทานผูเ ปน ตลุ า วา เปน “อัคร-” ในพระ ไตรปฎก ครบทั้ง ๔ คู มแี ตในพทุ ธ- พระสาวกและพระสาวิกา ที่พระพทุ ธเจาตรัสยกยองวาเปน “ตลุ า” น้ี ใน วงส โดยเฉพาะโคตมพทุ ธวงส (ขุ.พทุ ธ.ท่ีทั่วไป มกั เรยี กกนั วา พระอคั รสาวก ๓๓/๒๐๖/๕๔๕) กลา วคือ ๑. อัครสาวกและพระอคั รสาวกิ า เปน ตน แตพ ระ ไดแก พระสารีบุตร และพระมหาโมค-พุทธเจาเองไมทรงใชคําเรียกวา “อัคร คลั ลานะ ๒. อคั รสาวกิ า ไดแ ก พระเขมาสาวก” เปนตน น้ัน โดยตรง แมวาคาํ วา และพระอบุ ลวรรณา ๓. อคั รอปุ ฏ ฐ าก-“อัครสาวก” นั้นจะสบื เนือ่ งมาจากพระ อบุ าสก ไดแ ก จติ ตะ (คอื จติ ตคฤหบด)ีดํารัสคร้ังแรกที่ตรัสถึงพระเถระท้ังสอง และหตั ถาฬวกะ (คอื หตั ถกะอาฬวกะ)ทานน้นั คือ เมอื่ พระสารบี ุตรและพระ ๔. อัครอปุ ฏ ฐกิ าอุบาสิกา ไดแ ก (เวฬ-ุมหาโมคคัลลานะ ออกจากสํานักของ กณั ฏก)ี นนั ทมารดา และอตุ ตรา (คอื ขชุ ชตุ ตรา), อคั รอปุ ฏ ฐากอุบาสกนัน้ ใน อปทานแหง หน่ึง (ข.ุ อป.๓๓/๗๙/๑๑๗) และ ในอรรถกถาธรรมบทแหง หนึ่ง เรียกส้นั ๆ วา อัครอุบาสก และอัครอุปฏฐิกา อุบาสกิ า เรียกสนั้ ๆ วา อคั รอุบาสกิ า (แตในท่ีน้ัน อรรถกถาธรรมบทฉบับ อักษรไทยบางฉบับ, ธ.อ.๓/๗ เรียกเปน อคั รสาวก และอคั รสาวกิ า เหมอื นอยา ง
ตลุ าการ ๑๐๖ ต,ู กลา วตูในภิกษุและภิกษณุ บี ริษัท ทั้งนี้ นา จะเปน พุทธเจาอยางเยี่ยมยอด ไดแกพระความผิดพลาดในการตรวจชําระ) อานนท (“อัครอปุ ฏ ฐาก” เปนคําทีใ่ ชแ กพระสาวกสาวกิ าที่เปน “อัคร” น้ัน พระอานนท ต้ังแตในพระไตรปฎก,แทบทุกทานเปนเอตทัคคะในดานใด ที . ม.๑๐/๕๕/๖๐; พระอานนทเปนดา นหน่งึ ดวย คือ พระสารีบุตร เปนเอตทัคคะทางมีปญญามาก พระมหา เอตทัคคะถึง ๕ ดา น คอื ดา นพหูสตู มีโมคคัลลานะ เปนเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ พระเขมา เปนเอตทัคคะทางมี สติ มคี ติ มธี ติ ิ และเปน อปุ ฏฐาก) และปญญามาก พระอบุ ลวรรณา เปน อัครอุปฏฐายิกา คืออุบาสิกาผูดูแลเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ จติ ตคฤหบดี อุปถัมภบํารุงพระพุทธเจาอยางเย่ียม ยอด ไดแก วิสาขามหาอบุ าสกิ า (นาง วสิ าขาซึง่ เปน โสดาบัน เปนเอตทัคคะผูซงึ่ เปนอนาคามี เปนเอตทัคคะในดาน ยอดแหงทายิกา คูกับอนาถบิณฑิก-เปนธรรมกถึก หตั ถกะอาฬวกะ ซงึ่ เศรษฐี ซึ่งก็เปนโสดาบัน และเปนเปนอนาคามี เปนเอตทัคคะทาง เอตทัคคะผูยอดแหงทายก, แตพบในสงเคราะหบริษัทคือชุมชน ดวยสังคห- อรรถกถาแหงหนง่ึ , อ.ุ อ.๑๘/๑๒๗, จัดเจาวตั ถสุ ่ี ขชุ ชุตตรา ซึ่งเปน โสดาบัน ผไู ด หญิงสุปปวาสา โกลิยราชธิดา ซ่ึงเปนบรรลุปฏิสมั ภิทา (ไดเสขปฏิสัมภิทา คือ เอตทคั คะผูยอดแหงประณีตทายกิ า วาปฏสิ มั ภทิ าของพระเสขะ) เปน เอตทคั คะ เปน อคั รอุปฏ ฐายกิ า)ในดา นเปน พหสู ตู เวน แตเวฬกุ ัณฏกี ตลุ าการ “ผทู าํ ตลุ า”, “ผสู รา งดลุ ”, “ผมู ีนันทมารดา (เปนอนาคามินี) ที่นา อาการเหมอื นตราช”ู คอื ผดู าํ รงรกั ษาแปลกวาไมปรากฏในรายนามเอตทคั คะ หรอื ทาํ ใหเ กดิ ความสมาํ่ เสมอเทย่ี งธรรม,ซง่ึ มชี อื่ นนั ทมารดาดวย แตเ ปน อตุ ตรา ผวู นิ จิ ฉยั อรรถคด,ี ผตู ดั สนิ คดีนันทมารดา ท่ีเปนเอตทัคคะในทาง ต,ู กลาวตู กลาวอา งหรอื ทึกทักเอาของผูชํานาญฌาน (และทาํ ใหยังสงสัยกันวา อน่ื วา เปน ของตวั , กลา วอา งผดิ ตวั ผดิ สงิ่“นนั ทมารดา” สองทา นน้ี แทจ รงิ แลว จะ ผดิ เร่ือง, ในคําวา “กลา วตูพ ระพุทธเจา ”เปน บคุ คลเดยี วกนั หรอื ไม) หรอื “ตูพทุ ธพจน” หมายความวา อางนอกจากน้ี ยังมีตําแหนง “อคั ร” ที่ ผิดๆ ถกู ๆ, กลาวสิ่งทีต่ รัสวา มิไดตรัสยอมรับและเรียกขานกันทั่วไปอีก ๒ กลาวสิง่ ทีม่ ไิ ดต รัสวา ไดตรัสไว, พดู ใหอยา ง คือ อคั รอปุ ฏ ฐาก ผูเฝา รับใชพระ เคล่ือนคลาดหรือไขวเขวไปจากพุทธ-
ตกู รรมสทิ ธ์ิ ๑๐๗ ไตรทศดาํ รสั , พดู ใสโ ทษ, กลา วขม ข,ี่ พดู กด เชน กลาววาจาถึงสรณะครบท้ังสามอยางคือ คดั คา นใหเ หน็ วาไมจ รงิ หรือไมส ําคัญ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ บดิ าตูก รรมสทิ ธิ์ กลา วอางเอากรรมสทิ ธ์ขิ อง พระยสเปนคนแรก ที่ประกาศตนเปนผอู นื่ วา เปน ของตัว อุบาสกถึงพระรตั นตรัยตลอดชวี ิต; เทียบเตจีวรกิ ังคะ องคแ หงภิกษุผถู อื ไตรจวี ร เทวฺ วาจกิเปนวัตร คือถือเพียงผาสามผืนไดแก เตยี ง ภกิ ษทุ ําเตยี งหรอื ตงั่ พึงทําใหมเี ทาจวี ร สบง สังฆาฏอิ ยา งละผนื เทา นนั้ ไม เพียง ๘ นิ้วพระสคุ ต เวนไวแ ตแ มแครใชจวี รนอกจากผาสามผืนนน้ั (ขอ ๒ เบื้องตํ่า และตองไมห มุ นนุ ถา ฝาฝนในธุดงค ๑๓) ตองปาจิตตีย ตองตัดใหไดประมาณเตโชธาตุ ธาตไุ ฟ, สภาวะทม่ี ลี กั ษณะรอ น, หรือร้ือเสียกอน จึงแสดงอาบัติตกความรอ น; ในรา งกาย ไดแ กไ ฟทยี่ งั กาย (ปาจิตตยี รตนวรรคที่ ๙ สกิ ขาบทที่ ๕ใหอ บอุน ไฟท่ียังกายใหทรดุ โทรม ไฟท่ี และ ๖)ยังกายใหกระวนกระวาย และไฟท่ีเผา โตเทยยมาณพ ศิษยคนหน่ึงในจาํ นวนอาหารใหยอ ย, อยางน้ีเปนการกลา วถึง ๑๖ คน ของพราหมณพ าวรีทไ่ี ปทูลถามเตโชธาตุในลักษณะท่ีคนสามัญท่ัวไปจะ ปญ หากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย)เขาใจได และท่จี ะใหส ําเร็จประโยชนใ น ไตรจวี ร จีวรสาม, ผา สามผนื ทีพ่ ระวินยัการเจริญกรรมฐาน แตในทางพระ อนญุ าตใหภิกษมุ ไี วใ ชป ระจาํ ตัวคือ ๑.อภิธรรม เตโชธาตุเปน สภาวะพืน้ ฐานที่ สงั ฆาฏิ ผาทาบ ๒. อุตราสงค ผาหมมีอยูในรูปธรรมทุกอยาง แมแตในนํ้า เรียกสามัญในภาษาไทยวาจีวร ๓.เปนภาวะทีท่ าํ ใหเ รารูสึกรอน อุน เย็น อันตรวาสก ผานงุ เรียกสามญั วาสบงเปนตน ; ดู ธาต,ุ รปู ๒๘ ไตรดายุค ดู กปัเตรตายคุ , ไตรดายุค ดู กัป ไตรตรึงษ “สามสิบสาม”, สวรรคชั้นเตรสกัณฑ “กัณฑสิบสาม” ตอนท่ีวา ดาวดึงส; ดู ดาวดึงสดวยสิกขาบท ๑๓ หมายถึง หมวด ไตรทวาร ทวารสาม, ทางทาํ กรรม ๓ ทางความในพระวินยั ปฎ ก สว นท่วี าดวยบท คอื กายทวาร วจที วาร และ มโนทวารบัญญัติเกี่ยวกับอาบัติสังฆาทิเสสซึ่งมี ไตรทศ “สบิ ๓ ครงั้ ” คอื ๓๐ ตรงกบั คาํ๑๓ สกิ ขาบท บาลวี า “ตทิ ส” ซง่ึ ในพระไตรปฎ กพบใชเตวาจกิ “มวี าจาครบสาม” หมายถงึ ผู เฉพาะในคาํ รอ ยกรอง คอื คาถา เปน ตวั
ไตรทพิ ,ไตรทพิ ย ๑๐๘ ไตรทิพ,ไตรทพิ ย เลขถว นตดั เศษ ของ ๓๓ (บาล:ี เตตตฺ สึ ) มารดา มเหสขี องพระเจา สทุ โธทนะ ทรง ซ่ึงเปนจํานวนของคนคณะหน่ึงมีมฆ- บริหารพระองคผูเปนพระโพธิสัตวมา มาณพเปน หวั หนา ในตาํ นานทว่ี า พวกเขา ดว ยพระครรภ ครนั้ ทาํ ลายขนั ธแ ลว ทรง ทาํ บญุ รว มกนั เชน ทาํ ถนน สรา งสะพาน บนั เทงิ อยใู นไตรทพิ ย” ไตรทพิ ย (ตทิ วิ ) ขดุ บอ นา้ํ ปลกู สวนปา สรา งศาลาทพี่ กั คน ในทนี่ ้ี หมายถงึ สวรรคช นั้ ดสุ ติ , เมอ่ื ครงั้ เดนิ ทาง ใหแ กช มุ ชน และทาํ ทาน ชวน ทพี่ ระพทุ ธเจาประทับน่ังสงบอยู ณ ไพร- ชาวบา นตง้ั อยใู นศลี เปน ตน เมอื่ ตายแลว สณฑแหง หน่ึงในแควน โกศล พราหมณ ไดเ กดิ ในสวรรคทเี่ รยี กช่ือวา ดาวดึงส สาํ คญั คนหน่ึง พรอมดวยศิษยจ ํานวน อนั เปน สวรรคช น้ั ที่ ๒ ใน ๖ ชน้ั ดงั ทใี่ น มาก ไดเ ขา ไปกลาวขอความแดพ ระองค อ ร ร ถ ก ถ า อ ธิ บ า ย ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง เปน คาถา มคี วามตอนหน่งึ วา (ส.ํ ส.๑๕/ “ดาวดงึ ส” วา คอื “แดนทค่ี น ๓๓ คนผู ๗๑๐/๒๖๕) “ทานมาอยูในปาเปลี่ยวเพียง ทาํ บญุ รว มกนั ไดอ บุ ตั ”ิ , คาํ วา “ตทิ ส” ที่ ผูเดียวอยางเอิบอิ่มใจ ตัวขาพเจานี้มุง พบในพระไตรปฎกหมายถึงสวรรคช้ัน หวงั ไตรทิพยอ ันสูงสุด จึงเขมนหมายถึง ดาวดงึ สเ ปน พน้ื แมว า คมั ภรี ช นั้ ตอ มาบาง การท่ีจะไดเขารวมอยูกับพระพรหมเจา แหงจะอธิบายวา หมายถงึ เทวดาท่ัวไป ผเู ปน อธบิ ดีแหง โลก เหตไุ ฉนทานจึงพอ บา งกม็ ,ี ตรที ศ กว็ า ; เทยี บ ไตรทพิ ใจปาวงั เวงท่ปี ราศจากผูคน ณ ที่น้ี ทานไตรทพิ , ไตรทพิ ย “แดนทพิ ยท ง้ั สาม” กําลังบําเพ็ญตบะเพ่ือจะถึงองคพระ หรอื “สามแดนเทพ”, ตรงกบั คาํ บาลวี า พรหมเปนเจากระน้ันหรือ?” ไตรทพิ ย “ตทิ วิ ” ซงึ่ ในพระไตรปฎ กพบใชเ ฉพาะใน (ติทิว) ในที่นี้ หมายถึงพรหมโลก, คาํ รอ ยกรอง คอื คาถา หมายถงึ เทวโลก อุบาสิกาทานหนึ่งซึ่งไดเกิดเปนเทพบุตร ในความหมายอยา งกวา ง ทร่ี วมทง้ั พรหม กลา วคาถาไวต อนหนง่ึ มคี วามวา (ท.ี ม.๑๐/ โลก (คอื กามาวจรเทวโลก รปู าวจรเทว- ๒๕๓/๓๐๖) “ขาพเจาไดเปนอุบาสิกาของ โลก และอรปู าวจรเทวโลก) มกั ใชอ ยา ง พระผทู รงจกั ษุ มนี ามปรากฏวา โคปก า .. ไมเ จาะจง คอื หมายถงึ แดนเทพแหง ใด ขา ฯ มจี ติ เลอ่ื มใส ไดบ าํ รงุ สงฆ .. (บดั น)้ี แหงหน่ึง อันมักรูไดดวยขอความแวด ขา ฯ ไดเ ขา ถงึ ไตรทพิ ย เปน บตุ รของทา ว ลอ มในทนี่ น้ั วา หมายถงึ แหง ใด เชน ใน สกั กะ มอี านภุ าพยงิ่ ใหญ มคี วามรงุ เรอื ง คาถาของพระกาฬุทายีเถระ (ขุ.เถร.๒๖/ มาก ณ ทน่ี ี้ พวกเทวดารจู กั ขา ฯ วา โคปก- ๓๗๐/๓๔๘) วา “พระนางเจา มายา พทุ ธ- เทพบตุ ร” ไตรทพิ ย (ตทิ วิ ) ในทน่ี ี้ หมาย
ไตรปฎก ๑๐๙ ไตรปฎ ก ถงึ สวรรคช นั้ ดาวดงึ ส; คมั ภรี ช น้ั หลงั แหง เปนเลมหนังสือดวยอักษรไทยคร้ังแรก หนงึ่ (อนฎุ กี าแหง ปญ จปกรณ) กลา วถงึ ในรัชกาลท่ี ๕ เร่ิมเม่อื พ.ศ.๒๔๓๑ ไตรทิพยที่หมายถึงสวรรคชั้นดาวดึงส เสร็จและฉลองพรอมกับงานรัชดาภิเษก ดงั อธบิ ายวา “ตทิ วิ ” คอื โลกชน้ั ที่ ๓ โดย ใน พ.ศ.๒๔๓๖ แตยังมีเพียง ๓๙ เลม (ขาดคมั ภีรปฏ ฐาน) ตอมา พ.ศ.๒๔๖๘ เทยี บกนั ในสคุ ตภิ มู ิ นบั เปน ๑. มนษุ ย ๒. ในรชั กาลที่ ๗ ไดโ ปรดเกลาฯ ใหจ ดั พิมพใหมเ ปนฉบบั ท่ีสมบูรณ เพ่ืออทุ ิศ จาตมุ หาราชกิ า ๓. ดาวดึงส, อภิธานัป- ถวายพระราชกุศลแดร ัชกาลที่ ๖ เรียก วา สฺยามรฏสฺส เตปฏ กํ (พระไตรปฎก ปทีปกา ซ่ึงเปนคัมภีรช้ันหลังมากสัก ฉบับสยามรัฐ) มีจํานวนจบละ ๔๕ เลม หนอ ย (แตง ในพมา ในยคุ ทต่ี รงกบั สมยั พระไตรปฎกมีสาระสําคัญและการ จดั แบงหมวดหมูโดยยอ ดงั นี้ สโุ ขทยั ) อธบิ ายวา “ชอื่ วา ‘ตทิ วิ ’ (ไตรทพิ ) ๑. พระวนิ ยั ปฎ ก ประมวลพทุ ธพจน เพราะเปน ทเ่ี พลดิ เพลนิ ของเทพทง้ั ๓ คอื หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยว กับความประพฤติ ความเปนอยู ขนบ พระหริ (พระวษิ ณุหรอื นารายณ) พระหระ ธรรมเนียมและการดําเนินกิจการตางๆ ของภกิ ษุสงฆแ ละภกิ ษุณีสงฆ แบง เปน (พระศวิ ะ หรอื อศิ วร) และพระพรหม” (ที่ ๕ คัมภีร (เรียกยอหรอื หัวใจวา อา ปา ม จุ ป) คอื ๑. อาทกิ มั มกิ ะ หรอื จรงิ หร-ิ หระ เพง่ิ ปรากฏเปน สาํ คญั ขน้ึ มา ปาราชิก วาดวยสิกขาบทที่เก่ียวกับ อาบัติหนักของฝายภิกษุสงฆ ตั้งแต ในศาสนาฮินดู หลังพุทธกาลหลาย ปาราชิกถึงอนยิ ต ๒. ปาจติ ตีย วา ดว ย ศตวรรษ), ตรที ิพ กว็ า ; เทียบ ไตรทศ สิกขาบทท่ีเก่ียวกับอาบัติเบา ต้ังแตไตรปฎ ก “ปฎกสาม”; ปฎก แปลตาม นิสสัคคิยปาจติ ตียถึงเสขิยะ รวมตลอด ศัพทอ ยางพ้นื ๆ วา กระจาดหรอื ตะกรา ทั้งภิกขุนีวิภังคท้ังหมด ๓. มหาวรรค วาดวยสิกขาบทนอกปาฏิโมกขตอนตน อันเปนภาชนะสําหรับใสรวมของตางๆ ๑๐ ขนั ธกะ หรอื ๑๐ ตอน ๔. จลุ วรรค วาดวยสิกขาบทนอกปาฏิโมกขตอน เขา ไว นํามาใชใ นความหมายวา เปนท่ี รวบรวมคําสอนในพระพุทธศาสนาท่ีจัด เปนหมวดหมแู ลว โดยนยั น้ี ไตรปฎก จึงแปลวา “คัมภีรท่ีบรรจุพุทธพจน (และเรื่องราวช้ันเดิมของพระพุทธ- ศาสนา) ๓ ชดุ ” หรอื “ประมวลแหง คัมภีรท่ีรวบรวมพระธรรมวินัย ๓ หมวด” กลา วคอื วนิ ยั ปฎก สุตตันต- ปฎก และ อภิธรรมปฎ ก พระไตรปฎกบาลีไดรับการตีพิมพ
ไตรปฎ ก ๑๑๐ ไตรปฎกปลาย ๑๒ ขันธกะ ๕. ปรวิ าร คมั ภรี ยอ หรอื หัวใจวา ที ม สํ อํ ข)ุ คือ ๑.ประกอบหรือคูมือ บรรจุคําถามคําตอบ ทฆี นกิ าย ชมุ นมุ พระสูตรทมี่ ีขนาดยาว ๓๔ สตู ร ๒. มชั ฌมิ นกิ าย ชมุ นุมพระสําหรับซอ มความรพู ระวินัย สตู รที่มีความยาวปานกลาง ๑๕๒ สตู ร ๓. สังยุตตนิกาย ชุมนุมพระสูตรท่ีจัด พระวินัยปฎกนี้ แบงอีกแบบหนึ่ง รวมเขาเปน กลมุ ๆ เรียกวาสงั ยตุ ตห นง่ึ ๆ ตามเรอื่ งท่เี นอ่ื งกัน หรือตามหัวขอ หรอืเปน ๕ คมั ภรี เหมือนกัน (จดั ๒ ขอ ในแบบตนนัน้ ใหม) คือ ๑. มหาวิภงั ค หรอื บุคคลท่เี กยี่ วขอ งรวม ๕๖ สังยุตต มีภิกขวุ ิภงั ค วา ดวยสกิ ขาบทในปาฏิโมกข ๗,๗๖๒ สตู ร ๔. อังคตุ ตรนกิ าย ชมุ นมุ(ศลี ๒๒๗ ขอ ) ฝายภิกษุสงฆ ๒. พระสตู รทจี่ ดั รวมเขา เปนหมวดๆ เรยี กภกิ ขนุ วี ภิ งั ค วา ดว ยสกิ ขาบทในปาฏโิ มกข วานิบาตหน่ึงๆ ตามลําดบั จาํ นวนหวั ขอ(ศีล ๓๑๑ ขอ ) ฝายภิกษุณีสงฆ ๓. ธรรม รวม ๑๑ นบิ าต หรือ ๑๑ หมวดมหาวรรค ๔. จลุ วรรค ๕. ปรวิ าร ธรรม มี ๙,๕๕๗ สตู ร ๕. ขทุ ทกนิกาย ชุมนุมพระสูตรคาถาภาษิต คําอธิบาย บางทีทานจดั ใหยนยอ เขาอกี แบงพระวินัยปฎกเปน ๓ หมวด คอื ๑. และเร่ืองราวเบ็ดเตล็ดที่จัดเขาในส่ีวิภังค วาดวยสิกขาบทในปาฏิโมกขท้ังฝา ยภกิ ษุสงฆแ ละฝายภกิ ษุณสี งฆ (คอื นกิ ายแรกไมได มี ๑๕ คัมภีรรวมขอ ๑ และ ๒ ขางตน ทั้งสองแบบ ๓. พระอภิธรรมปฎก ประมวลเขาดวยกัน) ๒. ขันธกะ วาดวยสิกขาบทนอกปาฏโิ มกข ทง้ั ๒๒ ขนั ธกะ พุทธพจนห มวดพระอภิธรรม คือ หลกัหรอื ๒๒ บทตอน (คือรวมขอ ๓ และ ธรรมและคําอธิบายท่เี ปนหลกั วิชาลว นๆ๔ เขาดวยกัน) ๓. ปริวาร คัมภีรประกอบ (คอื ขอ ๕ ขา งบน) ไมเ กี่ยวดว ยบคุ คลหรือเหตกุ ารณ แบง ๒. พระสุตตันตปฎก ประมวล เปน ๗ คัมภีร (เรียกยอหรือหัวใจวา สํ วิ ธา ปุ ก ย ป) คือ ๑. สังคณี หรือพทุ ธพจนห มวดพระสตู ร คอื พระธรรม- ธัมมสังคณี รวมขอธรรมเขาเปนหมวด หมแู ลว อธิบายทลี ะประเภทๆ ๒. วภิ งั คเทศนา คาํ บรรยายธรรมตางๆ ที่ตรัส ยกหมวดธรรมสําคัญๆ ข้ึนตั้งเปนหัวยักเยื้องใหเหมาะกับบุคคลและโอกาส เรื่องแลวแยกแยะออกอธิบายชี้แจง วินิจฉัยโดยละเอียด ๓. ธาตุกถาตลอดจนบทประพันธ เร่ืองเลา และ สงเคราะหขอธรรมตางๆ เขาในขันธเร่ืองราวทั้งหลายท่ีเปนชั้นเดิมในพระพทุ ธศาสนา แบง เปน ๕ นิกาย (เรียก
ไตรปฎ ก ๑๑๑ ไตรปฎกอายตนะ ธาตุ ๔. ปุคคลบัญญัติ อุโบสถ จาํ พรรษา และปวารณาบัญญัติความหมายของบุคคลประเภท เลม ๕ มหาวรรค ภาค ๒ มี ๖ ขนั ธกะ วาดวยเรอ่ื งเคร่อื งหนงั เภสัช กฐิน จวี รตางๆ ตามคุณธรรมท่ีมีอยูในบุคคลน้ันๆ ๕. กถาวัตถุ แถลงและวินิจฉัย นิคหกรรม และการทะเลาะวิวาทและทัศนะของนิกายตางๆ สมัยสังคายนาครัง้ ท่ี ๓ ๖. ยมก ยกหวั ขอ ธรรมขน้ึ สามัคคีวินิจฉยั ดว ยวธิ ีถามตอบ โดยตง้ั คาํ ถาม เลม ๖ จลุ วรรค ภาค ๑ มี ๔ ขนั ธกะ วายอ นกนั เปน คๆู ๗. ปฏ ฐาน หรอื มหา- ดวยเรือ่ งนคิ หกรรม วุฏฐานวธิ ี และการปกรณ อธบิ ายปจจยั ๒๔ แสดงความสัมพันธเน่ืองอาศัยกันแหงธรรมทั้ง ระงบั อธกิ รณ เลม ๗ จลุ วรรค ภาค ๒ มี ๘ ขันธกะหลายโดยพสิ ดาร วาดวยขอบัญญัติปลีกยอย เร่ือง พระไตรปฎกบาลีที่พิมพดวยอักษร เสนาสนะ สังฆเภท วตั รตา งๆ การงดไทย ทา นจัดแบง เปน ๔๕ เลม แสดง สวดปาฏิโมกข เร่ืองภิกษุณี เร่ืองพอใหเห็นรปู เคาดงั น้ี สังคายนาครง้ั ที่ ๑ และคร้งั ที่ ๒ก. พระวินยั ปฎ ก ๘ เลม เลม ๘ ปริวาร คมู ือถามตอบซอมความเลม ๑ มหาวิภังค ภาค ๑ วาดวย รูพระวินัยปาราชิก สังฆาทิเสส และอนิยต- ข. พระสตุ ตันตปฎ ก ๒๕ เลม ๑. ทฆี นิกาย ๓ เลมสิกขาบท (สิกขาบทในปาฏิโมกขฝาย เลม ๙ สลี ขันธวรรค มพี ระสูตรขนาด ยาว ๑๓ สูตร หลายสูตรกลาวถงึ จลุ ศีลภกิ ษุสงฆ ๑๙ ขอ แรก)เลม ๒ มหาวภิ งั ค ภาค ๒ วาดว ย มชั ฌิมศีล มหาศลีสิกขาบทเก่ียวกับอาบัติเบาของภิกษุ เลม ๑๐ มหาวรรค มีพระสูตรยาว ๑๐ สตู ร สว นมากชอื่ เร่ิมดว ย มหา เชน(เปน อันครบสกิ ขาบท ๒๒๗ หรอื ศีล มหาปรนิ พิ พานสตู ร มหาสตปิ ฏ ฐานสตู ร๒๒๗) เปน ตนเลม ๓ ภกิ ขุนวี ิภังค วาดวยสิกขาบท เลม ๑๑ ปาฏกิ วรรค มีพระสูตรยาว๓๑๑ ของภิกษณุ ี ๑๑ สตู ร เรมิ่ ดวยปาฏกิ สตู ร หลายสตู รเลม ๔ มหาวรรค ภาค ๑ มี ๔ ขันธกะวาดวยการอุปสมบท (เร่ิมเร่ืองต้ังแต มชี อื่ เสยี ง เชน จกั กวตั ตสิ ตู ร อคั คญั ญ-ตรัสรูและประดิษฐานพระศาสนา) สูตร สงิ คาลกสูตร และสังคตี สิ ูตร
ไตรปฎก ๑๑๒ ไตรปฎก๒. มชั ฌิมนกิ าย ๓ เลม ปกขิยธรรม ๓๗ แตเรียงลําดับเปนเลม ๑๒ มลู ปณณาสก บน้ั ตน มีพระสตู รขนาดกลาง ๕๐ สูตร มรรค โพชฌงค สตปิ ฏฐาน อนิ ทรียเลม ๑๓ มัชฌิมปณณาสก บ้ันกลาง มีพระสูตรขนาดกลาง ๕๐ สูตร สัมมปั ปธาน พละ อทิ ธิบาท รวมท้งัเลม ๑๔ อุปรปิ ณณาสก บน้ั ปลาย มีพระสูตรขนาดกลาง ๕๒ สูตร เรอ่ื งที่เกีย่ วของ เชน นวิ รณ สังโยชน๓. สงั ยตุ ตนิกาย ๕ เลมเลม ๑๕ สคาถวรรค รวมคาถาภาษติ ที่ อริยสัจจ ฌาน ตลอดถึงองคคุณของตรัสและกลาวตอบบุคคลตางๆ เชน พระโสดาบันและอานิสงสของการบรรลุเทวดา มาร ภกิ ษณุ ี พราหมณ พระเจา โสดาปตติผล จดั เปน ๑๒ สังยุตต (พึงโกศล เปนตน จัดเปนกลุมเรื่องตาม สังเกตวาคัมภีรน้ีเร่ิมตนดวยการย้ําบุคคลและสถานท่ี มี ๑๑ สังยุตตเลม ๑๖ นิทานวรรค คร่งึ เลมวาดวย ความสําคัญของความมีกัลยาณมิตรเหตุปจจัย คือหลักปฏิจจสมุปบาท เปน จดุ เร่ิมตนเขาสูมรรค)นอกน้ันมีเรื่องธาตุ การบรรลุธรรม ๔. องั คุตตรนิกาย ๕ เลม เลม ๒๐ เอก–ทุก–ตกิ นบิ าต วาดวยสงั สารวัฏ ลาภสกั การะ เปน ตน จัดเปน ธรรมหมวด ๑, ๒, ๓ รวมทั้งเรื่อง๑๐ สังยตุ ต เอตทัคคะเลม ๑๗ ขันธวารวรรค วา ดว ยเร่ือง เลม ๒๑ จตกุ กนบิ าต วา ดว ยธรรมหมวด ๔ขันธ ๕ ในแงม ุมตา งๆ มเี รอื่ งเบ็ดเตล็ด เลม ๒๒ ปญ จก–ฉกั กนิบาต วา ดวย ธรรมหมวด ๕, ๖รวมทั้งเรอื่ งสมาธิและทิฏฐิตา งๆ ปะปน เลม ๒๓ สัตตก–อัฏฐก–นวกนบิ าต วา ดวยธรรมหมวด ๗, ๘, ๙อยูบ าง จดั เปน ๑๓ สงั ยุตต เลม ๒๔ ทสก–เอกาทสกนิบาต วา ดว ยเลม ๑๘ สฬายตนวรรค เกอื บคร่งึ เลม ธรรมหมวด ๑๐, ๑๑วา ดวยอายตนะ ๖ ตามแนวไตรลักษณ ในอังคุตตรนิกายมีขอธรรมหลากเร่ืองอื่นมีเบญจศีล ขอปฏิบัติใหถึง หลายลักษณะ ตั้งแตทิฏฐธัมมิกัตถะอสังขตะ อนั ตคาหิกทฏิ ฐิ เปนตน จัด ถงึ ปรมตั ถะ ทงั้ สาํ หรบั บรรพชติ และเปน ๑๐ สงั ยุตตเลม ๑๙ มหาวารวรรค วาดว ยโพธิ- สาํ หรบั คฤหัสถ กระจายกันอยโู ดยเรยี ง ตามจํานวน ๕. ขทุ ทกนิกาย ๙ เลม เลม ๒๕ รวมคมั ภรี ยอ ย ๕ คอื ขทุ ทก-
ไตรปฎ ก ๑๑๓ ไตรปฎกปาฐะ (บทสวดยอยๆ โดยเฉพาะ เลม ๒๘ ชาดก ภาค ๒ รวมคาถาอยา งมงคลสูตร รตนสูตร กรณยี เมตตสตู ร) ในภาค ๑ นน้ั เพมิ่ อีก แตเปน เร่ืองอยา งธรรมบท (เฉพาะตัวคาถาท้ัง ๔๒๓) ยาว ต้ังแตเรื่องมี ๕๐ คาถา (ปญ ญาส-อทุ าน (พุทธอุทาน ๘๐) อิตวิ ุตตกะ นบิ าต) ถงึ เรอ่ื งมีคาถามากมาย (มหา-(พระสูตรท่ีไมขึ้นตนดวย เอวมเฺ ม สตุ ํ นิบาต) จบลงดวยมหาเวสสันดรชาดกแตเ ชื่อมความเขาสคู าถาดว ยคาํ วา อติ ิ ซ่ึงมี ๑,๐๐๐ คาถา รวมอีก ๒๒ เรือ่ งวุจฺจติ รวม ๑๑๒ สตู ร) และ สุตต- บรรจบทง้ั ๒ ภาค เปน ๕๔๗ ชาดกนบิ าต (ชมุ นมุ พระสตู รชดุ พิเศษ ซ่ึงเปน เลม ๒๙ มหานิทเทส ภาษิตของพระคาถาลวนหรือมีความนําเปนรอยแกว สารีบตุ รอธิบายขยายความพระสตู ร ๑๖ สตู ร ในอัฏฐกวรรคแหง สุตตนิบาตรวม ๗๑ สูตร) เลม ๓๐ จูฬนทิ เทส ภาษิตของพระ สารีบตุ รอธิบายขยายความพระสตู ร ๑๖เลม ๒๖ มคี ัมภรี ยอ ยที่เปน คาถาลว น สตู รในปารายนวรรคและขคั ควสิ าณสตู ร๔ คือ วมิ านวตั ถุ (เรื่องผูเ กิดในสวรรค ในอรุ ควรรค แหงสุตตนบิ าตอยูวิมาน เลาการทําความดีของตนใน เลม ๓๑ ปฏิสมั ภิทามรรค ภาษติ ของ พระสารีบุตรอธิบายขอธรรมที่ลึกซ้ึงอดีต ที่ทําใหไดไปเกิดเชนนั้น ๘๕ ตา งๆ เชนเรอ่ื ง ญาณ ทฏิ ฐิ อานาปานเร่ือง) เปตวตั ถุ (เร่อื งเปรตเลา กรรมช่ัว อินทรีย วิโมกข เปน ตน อยา งพิสดารในอดีตของตน ๕๑ เรือ่ ง) เถรคาถา เปนทางแหงปญญาแตกฉาน(คาถาของพระอรหันตเถระ ๒๖๔ รปู ท่ี เลม ๓๒ อปทาน ภาค ๑ คาถาประพนั ธ แสดงประวตั ิโดยเฉพาะในอดตี ชาติ เริ่มกลาวแสดงความรูสึกสงบประณีตใน ดวยพุทธอปทาน (ประวัตขิ องพระพทุ ธ-การบรรลุธรรม เปนตน) เถรีคาถา เจา) ปจ เจกพุทธอปทาน (เรื่องราวของ(คาถาของพระอรหันตเถรี ๗๓ รปู ท่ี พระปจเจกพุทธเจา) ตอดวยเถร- อปทาน (อัตตประวัตแิ หง พระอรหนั ต-กลาวแสดงความรูสึกเชนนนั้ ) เถระ) เรียงลําดับเร่ิมแตพระสารีบุตรเลม ๒๗ ชาดก ภาค ๑ รวมคาถาแสดง ตามดวยพระมหาโมคคัลลานะ พระคติธรรมท่ีพระพุทธเจาตรัสเม่ือครั้งเปน มหากสั สปะ พระอนรุ ทุ ธะ พระปณุ ณ-พระโพธิสัตวในอดีตชาติ และมีคาถาภาษิตของผอู น่ื ปนอยบู าง ภาคแรก ตงั้แตเ ร่ืองท่มี คี าถาเดียว (เอกนิบาต) ถงึเร่อื งมี ๔๐ คาถา (จัตตาฬสี นิบาต) รวม๕๒๕ เร่อื ง
ไตรปฎ ก ๑๑๔ ไตรปฎกมันตานีบตุ ร พระอุบาลี พระอัญญา- ค. พระอภิธรรมปฎก ๑๒ เลมโกณฑัญญะ พระปณโฑลภารทวาชะ เลม ๓๔ ธรรมสงั คณี ตนเลม แสดงพระขทริ วนยิ เรวตะ พระอานนท ตอ เรอื่ ย มาตกิ า (แมบท) อนั ไดแ กบทสรุปแหงไปจนจบภาค ๑ รวมพระอรหนั ตเถระ ธรรมทัง้ หลายทจ่ี ัดเปนชดุ ๆ มีทั้งชุด ๓๔๑๐ รูป เชนจัดทุกสิ่งทุกอยางประดามีเปนกุศล-เลม ๓๓ อปทาน ภาค ๒ คาถาประพนั ธ ธรรม อกุศลธรรม อัพยากฤตธรรม ชุดแสดงอตั ตประวตั พิ ระอรหนั ตเถระตอ อกี หนึ่ง เปนอดีตธรรม อนาคตธรรมจนถงึ รปู ที่ ๕๕๐ ตอ นนั้ เปน เถรอี ปทาน ปจ จุบนั ธรรม ชุดหนึง่ ฯลฯ และชดุ ๒แสดงเรอ่ื งราวของพระอรหันตเถรี ๔๐ เชนจัดทุกสิ่งทุกอยางเปนสังขตธรรมเร่อื ง เร่ิมดว ยพระเถรีทีไ่ มคุนนาม ๑๖ อสงั ขตธรรม ชดุ หนึ่ง รูปธรรม อรูป-รูป ตอ ดว ยพระเถรีที่สาํ คัญเรียงลาํ ดับ ธรรม ชุดหนึง่ โลกยี ธรรม โลกตุ ตร-คือพระมหาปชาบดีโคตมี พระเขมา ธรรม ชุดหนึ่งเปนตน รวมท้งั หมดมีพระอุบลวรรณา พระปฏาจารา พระ ๑๖๔ ชดุ หรอื ๑๖๔ มาตกิ า จากนนั้กณุ ฑลเกสี พระกสี าโคตมี พระธรรม- ขยายความมาติกาท่ี ๑ เปนตัวอยางทนิ นา พระสกลุ า พระนันทา พระโสณา แสดงใหเห็นกุศลธรรม อกุศลธรรมพระภัททกาปลานี พระยโสธรา และ และอัพยากฤตธรรม ท่กี ระจายออกไปทานอืน่ ๆ ตอ ไปจนจบ ครั้นจบอปทาน โดย จิต เจตสิก รปู และนิพพาน ทา ยแลว ทายเลม ๓๓ นี้ มคี มั ภีร พทุ ธวงส เลมมอี กี ๒ บท แสดงคาํ อธบิ ายยอหรือเปนคาถาประพันธแสดงเรื่องของพระ คําจํากัดความขอธรรมทั้งหลายในพุทธเจาในอดีต ๒๔ พระองคที่พระ มาติกาที่กลาวถึงขางตนจนครบ ๑๖๔พุทธเจาพระองคปจจุบันเคยไดทรงเฝา มาตกิ า ไดคาํ จาํ กดั ความขอธรรมใน ๒และไดรับพยากรณ จนถึงประวัติของ บท เปน ๒ แบบ (แตบททายจํากัดพระองคเ อง รวมเปนพระพุทธเจา ๒๕ ความไวเพยี ง ๑๒๒ มาตกิ า)พระองค จบแลวมีคัมภีรสั้นๆ ช่ือ เลม ๓๕ วภิ ังค ยกหลกั ธรรมสาํ คัญๆจริยาปฎก เปน ทายสุด แสดงพทุ ธจรยิ า ขึ้นมาแจกแจงแยกแยะอธิบายกระจายในอดตี ชาติ ๓๕ เร่อื งที่มีแลวในชาดก ออกใหเห็นทุกแงจนชัดเจนจบไปเปนแตเ ลา ดว ยคาถาประพนั ธใ หม ชตี้ วั อยา ง เร่อื งๆ รวมอธบิ ายทัง้ หมด ๑๘ เรื่องคอืการบําเพญ็ บารมีบางขอ ขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อรยิ สจั จ
ไตรปฎ ก ๑๑๕ ไตรปฎก๔ อินทรยี ๒๒ ปฏิจจสมุปบาท สติปฏ- เลม ๓๘ ยมก ภาค ๑ คมั ภรี อ ธิบายหลกั ธรรมสําคัญใหเห็นความหมายและฐาน ๔ สัมมปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔ ขอบเขตอยางชดั เจน และทดสอบความ รูอยา งลกึ ซ้ึง ดว ยวธิ ตี ั้งคําถามยอนกันโพชฌงค ๗ มรรคมอี งค ๘ ฌาน อปั - เปนคูๆ (ยมก แปลวา “คู”) เชน ถามวา ธรรมท้ังปวงที่เปนกุศล เปนกุศลมูลปมัญญา ศลี ๕ ปฏิสัมภิทา ๔ ญาณ หรือวาธรรมทั้งปวงทเี่ ปนกุศลมูล เปน กุศล, รปู (ทั้งหมด) เปน รูปขันธ หรอื วาประเภทตางๆ และเบ็ดเตล็ดวาดวย รปู ขันธ (ทงั้ หมด) เปนรูป, ทุกข (ท้งั หมด) เปนทุกขสัจจ หรอื วาทุกขสจั จอกุศลธรรมตางๆ อธิบายเรื่องใด ก็ (ทัง้ หมด) เปนทุกข หลกั ธรรมท่นี ํามาเรียกวา วิภังคข องเรอ่ื งนั้นๆ เชน อธิบาย อธบิ ายในเลม น้ีมี ๗ คือ มลู (เชน ในขนั ธ ๕ กเ็ รียก ขันธวภิ ังค เปนตน รวม กุศลมูล) ขนั ธ อายตนะ ธาตุ สจั จะมี ๑๘ วิภงั ค สงั ขาร อนุสยั ถามตอบอธบิ ายเรอื่ งใดเลม ๓๖ ธาตกุ ถา นาํ ขอธรรมในมาตกิ า กเ็ รยี กวา ยมกของเรอื่ งนน้ั ๆ เชน มลู ยมกทั้งหลายและขอธรรมอ่นื ๆ อีก ๑๒๕ ขนั ธยมก เปนตน เลมนีจ้ งึ มี ๗ ยมก เลม ๓๙ ยมก ภาค ๒ ถามตอบอธบิ ายอยา ง มาจัดเขาในขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ หลักธรรมเพมิ่ เตมิ จากภาค ๑ อกี ๓ เรอ่ื ง คือ จติ ตยมก ธรรมยมก (กศุ ล–และธาตุ ๑๘ วา ขอใดไดหรอื ไมไดใน อกุศล–อัพยากตธรรม) อินทรียยมกอยา งไหนๆ และปคุ คลบญั ญตั ิ บัญญัติ บรรจบเปน ๑๐ ยมก)ความหมายของชือ่ ท่ีใชเ รยี กบุคคลตางๆ เลม ๔๐ ปฏฐาน ภาค ๑ คมั ภีรป ฏ ฐานตามคณุ ธรรม เชน วา โสดาบนั ไดแก อธบิ ายปจจัย ๒๔ โดยพิสดาร แสดงบคุ คลผลู ะสงั โยชน ๓ ไดแลว ดงั นี้ ความสัมพันธอิงอาศัยเปนปจจัยแกกัน แหงธรรมทั้งหลายในแงดานตางๆเปนตน ธรรมที่นํามาอธิบายก็คือขอธรรมที่มีในเลม ๓๗ กถาวตั ถุ คมั ภรี ท พี่ ระโมคคลั ล-ี มาติกาคือแมบทหรือบทสรุปธรรมซึ่งบุตรติสสเถระ ประธานการสังคายนา กลาวไวแ ลว ในคมั ภีรสงั คณีนนั่ เอง แตครง้ั ที่ ๓ เรยี บเรยี งขน้ึ เพอื่ แกค วามเหน็ผดิ ของนกิ ายตา งๆ ในพระพทุ ธศาสนาคร้ังน้ัน ซึ่งไดแตกแยกกันออกไปแลวถึง ๑๘ นิกาย เชน ความเห็นวา พระอรหันตเส่ือมจากอรหัตตผลได เปนพระอรหันตพรอมกับการเกิดได ทุกอยา งเกดิ จากกรรม เปน ตน ประพนั ธเ ปนคําปุจฉาวิสัชนา มที ้ังหมด ๒๑๙ กถา
ไตรปฎ ก ๑๑๖ ไตรปฎกอธิบายเฉพาะ ๑๒๒ มาติกาแรกทเี่ รียก เรยี กวา อนโุ ลมปฏฐาน)วา อภิธรรมมาตกิ า ปฏ ฐานเลมแรกน้ี เลม ๔๑ ปฏ ฐาน ภาค ๒ อนุโลมตกิ -อธบิ ายความหมายของปจ จยั ๒๔ เปน ปฏ ฐาน ตอ คอื อธิบายความเปนปจจยัการปูพื้นความเขา ใจเบ้อื งตนกอ น จาก แกกันแหงธรรมทงั้ หลายในแมบทชดุ ๓นัน้ จงึ เขาสูเนอื้ หาของเลม คอื อนโุ ลม- ตอ จากเลม ๔๐ เชน อดีตธรรมเปนติกปฏฐาน อธิบายความเปนปจจัยแก ปจจัยแกปจจุบันธรรม โดยอารัมมณ-กันแหงธรรมท้ังหลายในแมบทชุด ๓ ปจจัย (พิจารณารูปเสียงเปนตนท่ีดับ(ตกิ มาติกา) โดยปจ จยั ๒๔ นนั้ เชนวา เปน อดตี ไปแลว วา เปนของไมเ ทยี่ ง เปนกุศลธรรมเปนปจจัยแกกุศลธรรมโดย ทุกข เปนอนัตตา เกิดความโทมนัสข้ึนอุปนสิ สยปจ จัย (เพราะศรัทธา จึงให ฯลฯ) เปนตนทาน จงึ สมาทานศลี จงึ บาํ เพ็ญฌาน จึง เลม ๔๒ ปฏ ฐาน ภาค ๓ อนุโลมทกุ -เจรญิ วปิ ส สนา ฯลฯ) กศุ ลธรรมเปน ปจ จยั ปฏฐาน อธิบายความเปนปจ จยั แกก นัแกอกศุ ลธรรมโดยอุปนิสสยปจจัย (คิด แหงธรรมทั้งหลาย ในแมบทชุด ๒ถงึ ทานท่ีตนไดให ศลี ท่ีไดร กั ษาแลว ดี (ทุกมาติกา) เชน โลกยี ธรรมเปนปจจยัใจ ยึดเปน อารมณแนน หนาจนเกิดราคะ แกโลกียธรรม โดยอารัมมณปจจัยทิฏฐ,ิ มีศรทั ธา มีศลี มปี ญญา แลว เกิด (รปู ายตนะ เปน ปจ จัยแกจักขุวิญญาณมานะวา ฉันดกี วา เกง กวา หรอื เกิด ฯลฯ) ดังนี้ เปนตนทิฏฐิวา ตองทําอยางเรานเ้ี ทา นัน้ จงึ ถูก เลม ๔๓ ปฏ ฐาน ภาค ๔ อนโุ ลมทกุ -ตอ ง ฯลฯ) อกศุ ลธรรมเปนปจจัยแก ปฏฐาน ตอกุศลธรรมโดยอุปนิสสยปจจัย (เพราะ เลม ๔๔ ปฏ ฐาน ภาค ๕ ยงั เปน อนโุ ลม-ความอยากบางอยางหรือเพราะมานะ ปฏ ฐาน แตอ ธบิ ายความเปน ปจ จยั แกก นัหรอื ทฏิ ฐิ จงึ ใหท าน จงึ รกั ษาศีล จงึ ทาํ ให แหง ธรรมทงั้ หลายในแมบ ทตา งๆ ขา มชดุฌานเกิด ฯลฯ) กุศลธรรมเปน ปจ จยั แก กันไปมา ประกอบดว ย อนโุ ลมทกุ ติก-อกศุ ลธรรม โดยอารมั มณปจจัย (คิดถงึ ปฏ ฐาน ธรรมในแมบ ทชดุ ๒ (ทกุ มาตกิ า)ฌานท่ีตนเคยไดแตเสื่อมไปเสียแลว กบั ธรรมในแมบ ทชดุ ๓ (ตกิ มาตกิ า) เชนเกดิ ความโทมนัส ฯลฯ) อยางนีเ้ ปน ตน อธบิ าย “กศุ ลธรรมท่เี ปน โลกุตตรธรรม(เลมน้ีอธิบายแตในเชิงอนุโลมคือตาม เปนปจจัยแกกุศลธรรมที่เปนโลกีย-นัยปกติไมอธิบายตามนัยปฏิเสธ จึง ธรรม โดยอธิปติปจ จยั ” เปน อยา งไร
ไตรปฎก ๑๑๗ ไตรปฎกเปนตน อนุโลมติกทกุ ปฏ ฐาน ธรรมใน อธิบายโดยใชธ รรมในแมบทชุด ๓ แลวแมบทชุด ๓ (ติกมาตกิ า) กับธรรมใน ตอดวยชดุ ๒ แลวขา มชุดระหวา งชุด ๒แมบ ทชดุ ๒ (ทกุ มาตกิ า) อนโุ ลมตกิ ตกิ - กบั ชดุ ๓ ชดุ ๓ กบั ชุด ๒ ชุด ๓ กับปฏ ฐาน ธรรมในแมบ ทชดุ ๓ (ตกิ มาตกิ า) ชุด ๓ ชุด ๒ กบั ชุด ๒ จนครบทง้ั หมดกบั ธรรมในแมบ ทชดุ ๓ (ตกิ มาตกิ า) เหมอื นกนั ดงั นนั้ แตล ะแบบจงึ แยกซอย ละเอยี ดออกไปเปน ตกิ - ทกุ - ทุกติก-โยงระหวางตางชุดกนั เชน อธบิ ายวา ติกทุก- ติกติก- ทุกทุก- ตามลําดับ (เขียนใหเต็มเปน ปจจนียติกปฏฐานกุศลธรรมที่เปนอดีตธรรมเปนปจจัยแก ปจ จนยี ทกุ ปฏ ฐาน ปจ จนยี ทกุ ตกิ ปฏ ฐาน ฯลฯ ดังน้ีเรื่อยไป จนถึงทายสุดคืออกุศลธรรมท่ีเปนปจจุบันธรรม เปน ปจ จนยี านุโลมทกุ ทกุ ปฏ ฐาน)อยางไร เปนตน อนุโลมทุกทกุ ปฏฐานธรรมในแมบ ทชดุ ๒(ทกุ มาตกิ า)กบั ธรรม คัมภีรปฏฐานน้ี ทานอธิบายคอน ขางละเอยี ดเฉพาะเลมตน ๆ เทานัน้ เลมในแมบ ทชดุ ๒ (ทกุ มาตกิ า) โยงระหวา ง หลังๆ ทานแสดงไวแตหัวขอหรือแนว และทิ้งไวใหผูเขาใจแนวน้ันแลวเอาไปตางชุดกัน เชน ชุดโลกียะ โลกุตตระ แจกแจงโดยพสิ ดารเอง โดยเฉพาะเลม สุดทายคือภาค ๖ แสดงไวยน ยอทีส่ ุดกับชุดสงั ขตะ อสังขตะ เปนตน แมก ระนัน้ ก็ยังเปนหนังสือถงึ ๖ เลมเลม ๔๕ ปฏ ฐาน ภาค ๖ เปน ปจจนีย- หรือ ๓,๓๒๐ หนากระดาษพิมพ ถาปฏฐาน คืออธิบายความเปนปจจัยแก อธิบายโดยพิสดารทั้งหมดจะเปนเลม หนังสืออีกจํานวนมากมายหลายเทาตัวกันแหงธรรมท้ังหลายอยางเลมกอนๆ ทานจึงเรียกปฏฐานอกี ชอื่ หนึ่งวา มหา- ปกรณ แปลวา “ตาํ ราใหญ” ใหญท ง้ันน่ั เอง แตอธบิ ายแงปฏิเสธ แยกเปน โดยขนาดและโดยความสาํ คญัปจจนียปฏฐาน คือ ปฏิเสธ+ปฏิเสธเชน วา ธรรมท่ีไมใชก ุศล อาศยั ธรรมที่ พระอรรถกถาจารยกลาววา พระ ไตรปฎกมีเน้อื ความท้ังหมด ๘๔,๐๐๐ไมใชกุศลเกิดข้ึนโดยเหตุปจจัย เปน พระธรรมขนั ธ แบงเปน พระวินยั ปฎ กอยางไร อนุโลมปจจนียปฏฐาน คือ ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ พระสตุ ตนั ต-อนโุ ลม+ปฏเิ สธ เชน วา อาศยั โลกยิ ธรรมธรรมที่ไมใชโลกุตตรธรรมเกิดข้ึนโดยเหตปุ จจยั เปนอยางไร ปจ จนียานุโลม-ปฏฐาน คอื ปฏิเสธ+อนุโลม เชน วาอาศัยธรรมท่ีไมใชกุศล ธรรมท่ีเปนอกศุ ล เกิดข้ึนโดยเหตุปจจัย เปนอยางไร และในท้งั ๓ แบบน้ี แตล ะแบบ จะ
ไตรเพท ๑๑๘ ไตรวัฏฏ ปฎ ก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ และพระ อยูม ิได ๓. อนัตตตา ความเปน ของมใิ ช อภิธรรมปฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ ตวั ตน (คนไทยนยิ มพดู สน้ั ๆ วา อนิจจงัไตรเพท พระเวท ๓ อยา ง ซึง่ เปนคมั ภรี ทกุ ขัง อนตั ตา และแปลงายๆ วา “ไมศักดส์ิ ิทธส์ิ งู สดุ ของศาสนาพราหมณ ได เท่ียง เปนทกุ ข เปนอนตั ตา”)แก ๑. ฤคเวท ประมวลบทสวดสรรเสรญิเทพเจา ๒. ยชรุ เวท ประกอบดวยบท ลกั ษณะเหลานม้ี ี ๓ อยา ง จึงเรียกสวดออนวอนในพิธีบูชายัญตางๆ ๓. วา ไตรลกั ษณ, ลกั ษณะท้ัง ๓ เหลา นี้สามเวท ประมวลบทเพลงขบั สาํ หรบั สวด มีแกธรรมท่ีเปนสังขตะคือสังขารท้ังปวงหรือรอ งเปนทํานองในพธิ ีบูชายญั ตอ มาเพมิ่ อถรรพเวท หรอื อาถรรพณเวท อนั เปนสามัญเสมอเหมือนกัน จึงเรียกวา สามัญลักษณะ (ไมสามัญแกธรรมที่ เปนอสังขตะคือวิสังขาร ซ่ึงมีเฉพาะวาดวยคาถาทางไสยศาสตรเขามาอีก ลักษณะที่สามคืออนัตตตาอยางเดียว เปน ๔ ไมมีลักษณะสองอยางตน); ลักษณะไตรภพ ภพ ๓ คอื กามภพ รปู ภพ และ อรูปภพ; ดู ภพ เหลา นเ้ี ปน ของแนน อน เปน กฎธรรมชาติไตรภมู ิ ภูมิ ๓ หมายถงึ โลกยี ภมู ทิ ง้ั ๓ มอี ยตู ามธรรมดา จงึ เรยี กวา ธรรมนยิ าม คอื กามภูมิ รปู ภมู ิ และอรปู ภูมิ (เรยี ก พงึ ทราบวา พระบาลใี นพระไตรปฎ ก เรียกวา ธรรมนิยาม (ธมฺมนิยามตา) เต็มวา กามาวจรภมู ิ รูปาวจรภูมิ และ สว น ไตรลักษณ และ สามัญลกั ษณะอรปู าวจรภมู )ิ ไมน บั ภมู ทิ ี่ ๔ คอื โลกตุ ตร- เปนคาํ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในยุคอรรถกถาภมู ิ อนั พน เหนอื ไตรภมู นิ นั้ ; ดู ภมู ิ ไตรลิงค สามเพศ หมายถงึ คําศัพทท่ีไตรมาส สามเดอื น เปนไดท้ังสามเพศในทางไวยากรณไตรรัตน แกวสามประการ หมายถึง กลา วคอื ปงุ ลงิ ค เพศชาย อิตถีลิงค เพศหญิง นปุงสกลิงค มิใชเพศชายพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆไตรลักษณ ลักษณะสาม อาการทเ่ี ปน และหญิง; คาํ บาลีท่ีเปนไตรลงิ ค เชนเคร่ืองกําหนดหมายใหรูถึงความจริง นิพพฺ โุ ต นิพฺพตุ า นพิ พฺ ุตํ เปน ปุงลงิ คของสภาวธรรมท้ังหลาย ท่ีเปนอยาง อิตถีลงิ ค และนปงุ สกลิงค ตามลาํ ดับนนั้ ๆ ๓ ประการ ไดแก ๑. อนิจจตา ไตรวฏั ฏ วฏั ฏะ ๓, วงวน ๓ หรอื วงจร ๓ความเปนของไมเที่ยง ๒. ทุกขตา สวนของปฏจิ จสมุปบาทซง่ึ หมุนเวียนสืบความเปนทุกขหรือความเปนของคงทน ทอดตอ ๆ กนั ไป ทาํ ใหม กี ารเวยี นวา ย
ไตรสรณะ ๑๑๙ ไตรสรณคมนตายเกดิ หรอื วงจรแหง ทกุ ข ไดแ ก กเิ ลส ถึงรัตนะท้งั สาม คือ พระพทุ ธเจา พระกรรม และ วบิ าก (เรยี กเตม็ วา ๑. กเิ ลส- ธรรม พระสงฆ เปน ที่พ่ึงท่ีระลกึวัฏฏ ประกอบดวยอวิชชา ตัณหา คําถึงไตรสรณะดังน้ี: “พุทฺธํ สรณํอปุ าทาน ๒. กรรมวฏั ฏ ประกอบดว ย คจฺฉามิ” (ขาพเจาถึงพระพุทธเจาเปนสงั ขาร ภพ ๓. วปิ ากวฏั ฏ ประกอบดว ย สรณะ), “ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉาม”ิ (ขา พเจาวญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ ถึงพระธรรมเปนสรณะ), “สงฺฆํ สรณํเวทนา ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ คจฉฺ าม”ิ (ขา พเจา ถงึ พระสงฆเ ปน สรณะ);ทกุ ข โทมนสั อปุ ายาส) คอื กเิ ลสเปน เหตุ “ทตุ ยิ มปฺ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉาม”ิ (ขา พเจาใหท าํ กรรม เมอื่ ทาํ กรรมกไ็ ดร บั วบิ ากคอื ถึงพระพุทธเจาเปนสรณะแมครงั้ ท่ี ๒),ผลของกรรมนั้น อันเปนปจจัยใหเกิด “ทตุ ยิ มปฺ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ, ทุตยิ มปฺ กิเลสแลวทํากรรมหมุนเวียนตอไปอีก สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม”ิ ; “ตตยิ มปฺ พทุ ธฺ ํสรณํเชน เกิดกิเลสอยากไดข องเขา จงึ ทาํ คจฺฉามิ” (ขาพเจาถึงพระพทุ ธเจา เปนกรรมดว ยการไปลกั ของเขามา ประสบ สรณะแมค รงั้ ท่ี ๓), “ตตยิ มปฺ ธมมฺ ํ สรณํวิบากคือไดข องนนั้ มาเสพเสวย เกิดสขุ คจฉฺ าม,ิ ตตยิ มปฺ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ าม”ิเวทนา ทําใหมีกิเลสเหิมใจอยากไดรุน การถึงพระรัตนตรัยเปนสรณะ ทําแรงและมากย่ิงข้ึนจึงย่ิงทาํ กรรมมากขึ้น ใหเรามีเครื่องนําทางในการดําเนินชีวิตหรอื ในทางตรงขา ม ถกู ขดั ขวาง ไดร บั มีหลักยึดเหน่ียวจิตใจ มีแหลงท่ีสาดทกุ ขเวทนาเปน วบิ าก ทาํ ใหเ กดิ กเิ ลสคอื สองใหแสงสวางแหงปญญา ทาํ ใหเกิดโทสะแคน เคอื ง แลว พยายามทาํ กรรมคอื ความมนั่ ใจ อบอนุ ใจ ปลอดภยั หายประทษุ รา ยเขา ฯลฯ เมอื่ เปน อยเู ปน ไป หวาดกลวั หายขนุ มวั เศรา หมอง มจี ติ ใจอยางนี้ วงจรจะหมุนเวียนตอไปไมมีที่ เบิกบานผองใส เกิดความเขม แข็งทีจ่ ะสนิ้ สดุ เปน อาการหมนุ วน หรอื วงกลม ทําความดีงามทําประโยชนใหสําเร็จ อนั หมนุ วน ทเี่ รยี กวา ภวจกั ร สงั สาร- เปน การไดก ลั ยาณมิตรสงู สดุ ที่จะช้ีนํา จกั ร หรอื สงั สารวฏั , ไตรวฏั กเ็ ขยี น; ดู ใหห ยดุ ยั้งถอนตนจากบาป ใหก าวไปใน ปฏิจจสมุปบาท กุศล พน จากอบาย บรรลุภมู ิทีส่ ูงขนึ้ ไปไตรสรณะ ท่ีพึ่งสาม คือ พระพุทธเจา จนถึงความสุขแทที่เปนอิสระไรทุกขทั้งพระธรรม พระสงฆ ปวง ท้ังนี้ จะตองมีศรทั ธาถูกตอง ท่ีไตรสรณคมน การถงึ สรณะสาม, การ ประกอบดว ยปญญา นับถือโดยมีความ
ไตรสิกขา ๑๒๐ เถยยสังวาส รคู วามเขา ใจชดั เจนและมน่ั ใจ มใิ หส รณ- ๓ อยา ง คอื อธสิ ีลสกิ ขา อธจิ ติ ตสกิ ขา อธปิ ญญาสกิ ขา เรียกงา ยๆ สนั้ ๆ วา คมนนั้นเศราหมองดวยความไมรูหรือ ศลี สมาธิ ปญญา; ดู สกิ ขา ๓ เขา ใจผิดเพ้ยี นหลงงมงายหรือไมใ สใจไตรสกิ ขา สกิ ขาสาม, ขอ ปฏบิ ตั ทิ ตี่ อ งศกึ ษา ถถวนทศมาส ครบสบิ เดือน (ในการต้งั เครอ่ื งนุงหม ไมใชผาทีช่ าวบานถวาย; ดูครรภ) ปงสุกลู กิ งั คะถวายพระเพลงิ ใหไฟ คือ เผา ถุลลโกฏฐิตนิคม นิคมแหงหนึ่งอยูในถวายอดเิ รก ดู อดเิ รก 2. แควน กุรุถอน (ในคาํ วา “รูจกั ถอนไตรจวี ร”) ยก ถลุ ลจั จยั “ความลวงละเมดิ ท่ีหยาบ”, ชอื่เลกิ ของเดมิ ออกมาจากศพั ท ปจ จทุ ธรณ อาบัติหยาบอยางหน่ึงเปนความผิดขั้นถมั ภะ หัวดอ้ื (ขอ ๑๑ ในอปุ กิเลส ๑๖) รองลงมาจากอาบัติสังฆาทิเสส เชนถาวรวตั ถุ สิ่งของที่มัน่ คง ไดแกข องที่ ภิกษุชักส่ือใหชายหญิงเปนผัวเมียกันสรา งดวยอฐิ ปนู หรอื โลหะ เชน โบสถ ตองอาบัติสังฆาทิเสส ภิกษุชักสื่อเจดยี วิหาร เปนตน บณั เฑาะก (กะเทย) ตอ งอาบตั ถิ ลุ ลจั จยัถนี ะ ความหดห,ู ความทอ แทใจ ภิกษุนุงหมหนังเสืออยา งเดียรถยี ตองถีนมิทธะ ความหดหูและเซ่ืองซึม, อาบตั ถิ ุลลัจจยั ; ดู อาบตั ิความทีจ่ ิตหดหแู ละเคลบิ เคล้ิม, ความ ถณู คาม ตาํ บลทก่ี นั้ อาณาเขตมชั ฌมิ ชนบทงวงเหงาซมึ เซา (ขอ ๓ ในนวิ รณ ๕) ดานทศิ ตะวนั ตก เขียน ถนู คาม กม็ ีถงึ ท่สี ุดเพท เรียนจบไตรเพท ถูปารหบุคคล บุคคลผูควรแกสถูปคือถือ (ในคาํ วา การใหถ ือเสนาสนะ) รบั บุคคลที่ควรนํากระดูกบรรจุสถูปไวบูชา แจก, รบั มอบ, ถือสิทธิ์ครอบครอง มี ๔ คือ ๑. พระพุทธเจา ๒. ปจเจก-ถอื บวช ถอื การเวนตา งๆ ตามขอกําหนด พุทธเจา ๓. พระอรหันตสาวก ๔. พระทางศาสนา เจาจกั รพรรดิถอื บงั สุกุล ใชผาเฉพาะทีไ่ ดจากกองฝุน เถยยสงั วาส ลกั เพศ, มใิ ชภ กิ ษุ แตป ลอมกองหยากเยอื่ คือผา ทเ่ี ขาท้ิงแลวมาทาํ เพศเปน ภกิ ษุ (พจนานุกรมเขียน เถย-
เถระ ๑๒๑ ทรมาน สงั วาส, เขยี นอยา งบาลเี ปน เถยยสงั วาสก) ของพระพุทธเจา วางเปนแบบแผนไวเ มอื่เถระ พระผูใหญ ตามพระวนิ ัยกําหนดวา ๓ เดอื นหลงั พทุ ธปรนิ พิ พาน ไดแ กพ ระ มพี รรษาต้ังแต ๑๐ ข้นึ ไป; เทยี บ นวกะ, พุทธศาสนาอยางท่ีนับถือแพรหลายใน มชั ฌิมะ ประเทศไทย พมา ลงั กา ลาว และกมั พชู า,เถรภมู ิ ข้นั หรอื ชั้นแหงพระเถระ, ระดับ บางทีเรียกวา พุทธศาสนาแบบดั้งเดิมอายุ คณุ ธรรม ความรู ท่นี ับวา เปนพระ และเพราะเหตุท่ีแพรหลายอยูในดินผใู หญ คือมีพรรษาต้งั แต ๑๐ ขนึ้ ไป แดนแถบใต จงึ เรยี กวา ทักษณิ นกิ ายและรปู าฏิโมกข เปนตน เทียบ นวกภมู ,ิ (นกิ ายฝายใต); ดู หนี ยาน, เทียบ มหายานมชั ฌิมภูมิ เถรานุเถระ “เถระและอนุเถระ”, พระเถรวาท “วาทะของพระเถระ” (หมายถงึ เถระผใู หญผูนอ ยพระเถระผูรักษาธรรมวินัยนับแตปฐม- เถรี พระเถระผหู ญิงสงั คายนา), พระพทุ ธศาสนาทสี่ บื มาแต ไถ ถงุ ยาวๆ สําหรับใสเ งนิ หรอื ส่งิ ของยคุ แรกสดุ ซงึ่ ถอื ตามหลกั ธรรมวินยั ที่ ไถยจติ จติ คิดจะลัก, จติ คดิ ขโมย, จิตพระอรหนั ตเถระ ๕๐๐ รปู ไดป ระชุม ประกอบดว ยความเปนขโมยทําสังคายนาคร้ังแรกรวบรวมคําส่ังสอน ททธิ นมสม , นมเปรยี้ ว; ดู เบญจโครส ทมฬิ ชอื่ ชนเผาหนึ่งในเกาะลงั กา เคยชิงทนต ฟน ราชสมบตั ิพระเจาวฏั ฏคามินอี ภัยไดทมะ การฝก , การฝกฝนปรับปรุงตน, ทรกรรม การทําใหลาํ บากการรจู กั ขมจติ ขม ใจ บังคับควบคุมตน ทรง ใช, ถอื ครอง, เกบ็ ไว, มีไวเปนสทิ ธ,์ิเองได ไมพดู ไมทาํ เพยี งตามทอ่ี ยาก แต ครอบครอง, ครอง, นุงหม เชนในพูดและทําตามเหตุผลท่ีพิจารณาเห็น ประโยควา “พงึ ทรงอตเิ รกบาตรไว ๑๐ดว ยปญ ญาวา ดงี ามสมควรเปน ประโยชน วันเปนอยางยิ่ง” และในประโยควารูจกั ปรับตัวปรบั ใจ และแกไ ขปรบั ปรงุ “ภิกษุทรงอติเรกจีวรได ๑๐ วันเปนตนดวยปญญาไตรตรองใหงอกงามดยี ง่ิ อยางยิ่ง”ข้นึ อยเู สมอ (ขอ ๒ ในฆราวาสธรรม ๔) ทรมาน ขม, ปราบ, ฝก, ทําใหเส่อื ม
ทรยศ ๑๒๒ ทสกะพยศ, ทําใหเสอ่ื มการถือตัว, ทําใหก ลับ ทางใจ 2. ทางทํากรรม ๑. กายทวาร ทางกาย ๒. วจที วาร ทางวาจา ๓. มโน-ใจ บัดนม้ี กั หมายถงึ ทําใหล ําบากทรยศ คดิ รายตอ มติ รหรือผูม ีบุญคณุ ทวาร ทางใจทวดึงสกรรมกรณ วิธีลงโทษ ๓๒ ทวารบาล คนเฝา ประตูอยาง ซึ่งใชในสมยั โบราณ เชน โบย ทวารเบา ชอ งปส สาวะดว ยแส โบยดว ยหวาย ตีดว ยกระบอง ทวารรูป ดทู ่ี รปู ๒๘ตดั มือ ตดั เทา ตัดหู ตดั จมูก ตดั ศีรษะ ทวารหนัก ชองอจุ จาระ ทวิช ชือ่ หน่ึงสําหรบั เรียกพราหมณ ในเอาขวานผา อก เปนตนทวดึงสาการ ดู ทวตั ติงสาการ ภาษาไทยเปน ทชิ าจารย หรอื ทวชิ าจารยทวตั ตงิ สกรรมกรณ ดู ทวดงึ สกรรมกรณ ก็มี แปลวา “เกิดสองหน” หมายถึง เกดิทวัตติงสาการ อาการ ๓๒, สวน โดยกําเนิดครั้งหน่ึง เกิดโดยไดรับประกอบท่ีมีลักษณะตางๆ กัน ๓๒ ครอบเปนพราหมณคร้ังหนึ่ง เปรียบอยาง ในรางกาย คอื ผม ขน เลบ็ ฟน เหมอื นนกซึ่งเกดิ สองหนเหมอื นกัน คือหนงั เนือ้ เอน็ กระดูก เยือ่ ในกระดกู เกิดจากทองแมออกเปน ไขห นหนง่ึ เกดิมาม หวั ใจ ตับ พงั ผดื ไต ปอด ไส จากไขเปนตัวอีกหนหนึ่ง นกจึงมีช่ือใหญ ไสน อย อาหารใหม อาหารเกา เรียกวา ทวิช หรือ ทิช ซง่ึ แปลวา “เกดิ(อุจจาระ) มันสมอง ดี เสลด หนอง สองหน” อกี ช่ือหนึง่ ดว ยเลือด เหง่ือ มนั ขน น้าํ ตา มนั เหลว นา้ํ ทวบิ ท สตั วส องเทา มี กา ไก นก เปน ตนลาย นาํ้ มูก ไขขอ มูตร (ปสสาวะ); ใน ทศพร ดู พร ๑๐ขุททกปาฐะ (ฉบบั สยามรัฐ) เรยี งลาํ ดับ ทศพลญาณ ดู ทสพลญาณมนั สมองไวเ ปน ขอ สดุ ทา ย; ทวตั ดงึ สาการ ทศพิธราชธรรม ดู ราชธรรมหรอื ทวดงึ สาการ กเ็ ขยี น ทศมาส สบิ เดือนทวาบรยคุ , ทวาปรยคุ ดู กปั ทศวรรค สงฆม พี วกสิบ คือ สงฆพวกที่ทวาร ประต,ู ทาง, ชองตามรา งกาย 1. กําหนดจาํ นวน ๑๐ รูปเปน อยา งนอยจึงทางรับรอู ารมณ มี ๖ คือ ๑. จักขทุ วาร จะครบองค ทาํ สังฆกรรมประเภทนนั้ ๆทางตา ๒. โสตทวาร ทางหู ๓. ฆาน- ได เชน การอุปสมบทในมธั ยมประเทศทวาร ทางจมกู ๔. ชวิ หาทวาร ทางล้ิน ตองใชส งฆท ศวรรค๕. กายทวาร ทางกาย ๖. มโนทวาร ทสกะ หมวด ๑๐
ทสพลญาณ ๑๒๓ ทกั ขิณา,ทักษณิ าทสพลญาณ พระญาณเปนกําลังของ ชวยใหสัตวท้ังหลายเจริญดวยสมบัติดัง ปรารถนา, สิง่ ที่ใหโ ดยเชอ่ื กรรมและผล พระพทุ ธเจา ๑๐ ประการ เรียกตาม แหงกรรม (หรือโดยเชื่อปรโลก); บาลวี า ตถาคตพลญาณ (ญาณเปนกาํ ลงั “ทักขิณา” เดิมเปนคําที่ใชในศาสนา ของพระตถาคต) ๑๐ คอื ๑. ฐานาฐาน- พราหมณ (เขยี นอยา งสนั สกฤต เปน ญาณ ๒. กรรมวิปากญาณ ๓. สพั พัตถ- “ทกั ษณิ า”) หมายถึง ของท่ีมอบใหแก คามินีปฏิปทาญาณ ๔. นานาธาตุญาณ พราหมณ เปนคาตอบแทนในการ ๕. นานาธมิ ตุ ตกิ ญาณ ๖. อินทริยปโร- ประกอบพิธีบชู ายญั เมอื่ นํามาใชใ นพระ ปรยิ ตั ตญาณ ๗. ฌานาทสิ งั กเิ ลสาทญิ าณ พุทธศาสนา นิยมหมายถงึ ปจจยั ๔ ที่ ๘. ปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ ๙. จตุ ปู ปาต- ถวายแกพระภิกษุสงฆ หรือใหแก ญาณ ๑๐. อาสวกั ขยญาณ; นิยมเขยี น ทกั ขไิ ณยบคุ คล ซ่งึ ในความหมายอยา ง ทศพลญาณ; ดู ญาณ ช่อื นนั้ ๆ สูง ไดแ กพระอริยสงฆ และในความทองอาบ ของอาบดวยทอง, ของชบุ ทอง, หมายท่กี วา งออกไป ไดแก ทา นผมู ศี ลี ผูทรงคุณทรงธรรม แมเปนคฤหัสถ ของแชทองคําใหจับผวิ เชน บิดามารดา ตลอดจนในความหมายทอด ในประโยควา “ทอดกรรมสทิ ธข์ิ อง อยางกวางที่สดุ ของทใ่ี หเพ่อื ชว ยเหลอื เก้ือกลู แมแ ตใหแ กส ัตวดิรัจฉาน ก็เปน ตนเสีย” ทิง้ , ปลอย, ละ ทกั ขณิ า (ดงั ทตี่ รสั ในทกั ขณิ าวภิ งั คสตู ร, ม.อ.ุ ๑๔/ทอดกฐนิ ดู กฐนิ , กฐนิ ทาน ๗๑๐/๔๕๘) แตม ผี ลมากนอ ยตา งกนั ตามทอดธุระ ไมเอาใจใส, ไมส นใจ, ไมเ อา หลกั ทักขิณาวิสทุ ธ์ิ ๔ และตรสั ไวอ กี แหง หนง่ึ วา (ทานสตู ร, อง.ฉกกฺ .๒๒/๓๐๘/๓๗๕) ธรุ ะ ทกั ขณิ าทพี่ รอมดว ยองค ๖ คอื ทายกทอดผา ปา เอาผา ถวายโดยทิง้ ไวเ พ่อื ให มอี งค ๓ (กอ นให ก็ดีใจ, กําลงั ใหอ ยู ก็ พระชักเอาเอง; ดู ผา ปา ทาํ จิตใหผ ดุ ผองเลื่อมใส, ครัน้ ใหแลว ก็ทักขณิ , ทกั ษิณ ขวา, ทศิ ใต ชืน่ ชมปล้ืมใจ) และปฏคิ าหกมอี งค ๓ทักขิณทิส “ทิศเบื้องขวา” หมายถึง (เปนผูปราศจากราคะหรือปฏิบัติเพ่ือ บําราศราคะ, เปน ผปู ราศจากโทสะหรอื อาจารย (ตามความหมายในทิศ ๖); ดู ปฏิบัติเพือ่ บาํ ราศโทสะ, เปนผูปราศจาก ทศิ หกทกั ขณิ า, ทกั ษณิ า ทานท่ถี วายเพ่ือผล อันดีงาม, ของทําบุญ, สิ่งท่ีสละให, ป จ จั ย ส่ี ท่ี เ ม่ื อ ถ ว า ย จ ะ เ ป น เ ห ตุ ใ ห ประโยชนส ขุ เจรญิ เพิ่มพูน, ของถวายที่
ทักขิณานปุ ทาน ๑๒๔ ทักขิไณยบคุ คล โมหะหรือปฏิบัติเพ่ือบําราศโมหะ) ม;ี ตรงขา มกับ อุตตราวัฏฏ ทกั ขณิ านน้ั เปน บญุ ยง่ิ ใหญ มผี ลมากยาก ทักขิณาวิสุทธิ์ ความบริสุทธิ์แหง จะประมาณได; ดูเจตนา, ทักขิณาวิสุทธิ์ ทกั ขิณา, ขอทเ่ี ปนเหตุใหท ักขิณา คือส่งิทกั ขิณานปุ ทาน ทําบุญอทุ ศิ ผลใหแ กผู ท่ใี หทถี่ วาย เปน ของบรสิ ุทธิ์และจึงเกิด ตาย มีผลมาก มี ๔ คอื (ม.อ.ุ ๑๔/๗๑๔/๔๖๑) ๑.ทักขิณาบถ “หนใต” (เขียนอยาง ทกั ขิณา บริสุทธ์ิฝา ยทายก (มีศลี มี สันสกฤต=ทักษิณาบถ), ดนิ แดนแถบ กัลยาณธรรม) ไมบริสุทธ์ิฝา ยปฏคิ าหก ใตของชมพูทวีป, อนิ เดยี ภาคใต คูกบั (ทุศลี มปี าปธรรม) ๒. ทกั ขิณา บรสิ ุทธิ์ อตุ ราบถ (ดนิ แดนแถบเหนือของชมพู ฝา ยปฏคิ าหก ไมบรสิ ุทธ์ิฝา ยทายก ๓. ทวีป หรืออนิ เดียภาคเหนอื ), ในอรรถ- ทักขิณา ไมบริสุทธิ์ท้ังฝายทายก ไม กถา มีคําอธิบายซึ่งใหถือแมน้ําคงคา บรสิ ุทธท์ิ ้งั ฝายปฏิคาหก ๓. ทกั ขณิ า เปนเสนแบง คอื ดนิ แดนแถบฝงเหนอื บริสุทธ์ิทั้งฝายทายก บริสุทธ์ิท้ังฝาย ของแมน า้ํ คงคา เปนอตุ ราบถ สว นดิน ปฏคิ าหก; ดู ทกั ขณิ า แดนแถบฝงใตของแมนํ้าคงคา เปน ทักขิเณยยบุคคล บุคคลผูควรรับ ทักขิณาบถ และกลาววา อตุ ราบถเปน ทกั ษิณา ปฏิรูปเทส แตท ักขณิ าบถไมเ ปน ปฏิรูป ทกฺขิเณยฺโย (พระสงฆ) เปนผูค วรแก เทส, คาํ อธบิ ายนนั้ คงถอื ตามสภาพความ ทักขณิ า คอื มีคณุ ความดีสมควรแกข อง เจรญิ สมัยโบราณ แตท่ีรูกันท่ัวไปตอ ถึง ทาํ บญุ มอี าหาร ผา นุงหม เปนตน ชวย ยคุ ปจ จบุ นั ถอื แมน า้ํ นมั มทาเปน เสน แบง เอื้ออํานวยใหของท่ีเขาถวายมีผลมาก คือ ดนิ แดนแถบเหนอื แมน ํา้ นมั มทาขึน้ (ขอ ๗ ในสังฆคณุ ๙) มา เปน อุตราบถ สว นดนิ แดนแถบใต ทกั ขโิ ณทก นา้ํ ทีห่ ลง่ั ในเวลาทําทาน แมน าํ้ นมั มทาลงไป เปน ทกั ขณิ าบถ ดงั ที่ ทกั ขไิ ณย ผูควรแกทักขิณา, ผูค วรรับ เรยี กในบดั นวี้ า Deccan อนั เพยี้ นจาก ของทําบญุ ที่ทายกถวาย, ทานผเู ก้ือกูล Dekkhan หรอื Dekhan ซงึ่ มาจาก แกทักขณิ า โดยทําใหสง่ิ ทีถ่ วายเปนของ Dakkhina นนั่ เอง; เทยี บอตุ ราบถ,ดูอวนั ตี บริสุทธิ์ และจงึ เปนเหตใุ หเกดิ มีผลมาก;ทกั ขณิ าวัฏฏ เวยี นขวา, วนไปทางขวา ดู ทักขณิ า คือ วนเล้ียวทางขวาอยางเข็มนาฬิกา ทักขิไณยบุคคล บุคคลผูควรรับ เขยี น ทักษิณาวฏั หรือ ทักษิณาวรรต ก็ ทกั ษณิ า; ดู ทักขิไณย
ทักษณิ นกิ าย ๑๒๕ ทัศทักษณิ นิกาย นกิ ายพุทธศาสนาฝายใตท่ี มารดา พวกอตุ รนิกายตั้งช่อื ใหวา หนี ยาน ใช ทันต ฟน บาลีมคธ บดั น้ี นิยมเรียกวา เถรวาท ทนั ตชะ อกั ษรเกิดทฟ่ี น คอื ต ถ ท ธ นทกั ษณิ า ทานเพอื่ ผลอนั เจรญิ , ของทาํ บญุ กบั ท้ัง ล และ สทักษิณานุประทาน ทําบุญอุทิศผลให ทพั พมัลลบตุ ร พระเถระมหาสาวกองคแกผตู าย หน่ึงในอสีติมหาสาวก เปนพระราช-ทักษิณาบถ ดู ทกั ขณิ าบถ โอรสของพระเจามลั ลราช เมือ่ พระชนมทักษิโณทก นา้ํ ที่หล่ังในเวลาทําทาน, นํ้า ๗ พรรษา มีความเล่อื มใสในพระพทุ ธ-กรวด, คือเอาน้ําหล่ังเปนเครื่องหมาย ศาสนา ไดบรรพชาเปน สามเณร เวลาของการใหแ ทนสิง่ ของท่ใี ห เชน ทีด่ นิ ปลงผม พอมดี โกนตัดกลมุ ผมครั้งที่ ๑ศาลา กุฎี บุญกุศล เปนตน ซึง่ ใหญโต ไดบรรลุโสดาปตตผิ ล ครง้ั ที่ ๒ ไดเกนิ กวาทีจ่ ะยกไหว หรอื ไมม ีรูปทีจ่ ะยก บรรลสุ กทาคามิผล คร้งั ที่ ๓ ไดบรรลุ ขึ้นได อนาคามิผล พอปลงผมเสรจ็ ก็ไดบ รรลุทณั ฑกรรม การลงอาชญา, การลงโทษ; พระอรหตั ทา นรบั ภาระเปน เจา หนา ทที่ าํในท่ีน้ี หมายถึงการลงโทษสามเณร การสงฆในตําแหนงเสนาสนปญญาปกะคลายกบั การปรับอาบัตภิ ิกษุ ไดแก กัก (ผูดูแลจัดสถานที่พักอาศัยของพระ)บริเวณ หา มไมใหเ ขา หา มไมใหอ อก และภัตตุเทศก ไดรับยกยองวาเปนจากอาราม หรือการใชตักน้ํา ขนฟน ขน เอตทัคคะในบรรดาเสนาสนปญ ญาปกะทราย เปนตน ทัพสัมภาระ เครื่องเคราและสวนทัณฑกรรมนาสนา ใหฉ ิบหายดว ยการ ประกอบทัง้ หลาย, สง่ิ และเครอ่ื งอันเปนลงโทษ หมายถึงการไลออกจากสํานัก สวนประกอบท่ีจะคุมกันเขาเปนเรือนเชน ท่ีทาํ แกก ณั ฑกสามเณร ผกู ลาวตู เรอื รถ หรอื เกวียน เปน ตน ; เขยี นเต็มพระธรรมเทศนาวา ธรรมท่ีตรัสวา เปน วา ทพั พสัมภาระอันตราย ไมสามารถทําอันตรายแกผู ทัศ สิบ, จาํ นวน ๑๐ (สนั สกฤต: ทศ;เสพไดจ ริง บาล:ี ทส); ในขอ ความวา “บารมี ๓๐ ทศั ”ทณั ฑปาณิ กษตั รยิ โ กลิยวงศ เปน พระ หรอื “บารมสี ามสบิ ทศั ” มกั ใหถ อื วา “ทศั ”ราชบุตรของพระเจาอัญชนะ เปนพระ แปลวา ครบ หรอื ถว น แตอาจเปน ไดว าเชฏฐาของพระนางสิริมหามายาพุทธ- “ทัศ” ก็คือสบิ นัน่ แหละ แตสันนิษฐาน
ทศั นยี ๑๒๖ ทาน วา “บารมสี ามสบิ ทศั ” เปนคําพดู ซอน ประโยชนแ กผ อู นื่ ; สงิ่ ทใี่ ห, ทรพั ยส นิ สง่ิ ของทม่ี อบใหห รอื แจกออกไป; ทาน ๒ คอื โดยซอ นความหมายวา สามสิบนี้ มิใช ๑. อามสิ ทาน ใหส งิ่ ของ ๒. ธรรมทาน ใหธ รรม; ทาน ๒ อกี หมวดหนงึ่ คอื ๑. แคว านบั รายหนว ยเปน ๓๐ แตน ับเปน สงั ฆทาน ใหแ กส งฆ หรอื ใหเ พอ่ื สว นรวม ๒. ปาฏบิ คุ ลกิ ทาน ใหเ จาะจงแกบ คุ คลผู ชดุ ได ๓ ทศั (คอื จาํ นวนสบิ ๓ ชดุ ใดผหู นง่ึ โดยเฉพาะ (ขอ ๑ ในทศพธิ ราช- หรอื ๓ “สิบ”); ดู สมดึงส- ธรรม, ขอ ๑ ในบารมี ๑๐, ขอ ๑ ในบญุ -ทัศนีย งาม, นาดู กริ ยิ าวตั ถุ ๓ และ ๑๐, ขอ ๑ ในสงั คห-ทัสสนะ การเหน็ , การเห็นดวยปญญา, วตั ถุ ๔, ขอ ๑ ในสปั ปรุ สิ บญั ญตั ิ ๓) ความเหน็ , สงิ่ ที่เห็นทัสสนานุตตริยะ การเห็นที่ยอดเย่ียม ทานมิใชถูกตองดีงามหรือเปนบุญ (ขอ ๑ ในอนุตตริยะ ๓ หมายถงึ เสมอไป ทานบางอยางถือไมไดวาเปน ทาน และเปน บาปดว ย ในพระไตรปฎก ปญญาอันเห็นธรรม ตลอดถึงเห็น (วินย.๘/๙๗๙/๓๒๖) กลาวถงึ ทานทช่ี าวโลก ถือกันวาเปน บญุ แตที่แทหาเปนบุญไม นพิ พาน; ขอ ๑ ในอนุตตริยะ ๖ หมาย (ทานท่เี ปน บาป) ๕ อยาง คอื ๑. มัชช- ทาน (ใหน้ําเมา) ๒. สมัชชทาน (ให ถึง เห็นพระตถาคต ตถาคตสาวก และ มหรสพ) ๓. อติ ถีทาน (ใหส ตร)ี ๔. อุสภทาน (ทานอธิบายวาปลอยใหโค ส่ิงอนั บาํ รุงจติ ใจใหเจริญ) อสุ ภะเขา ไปในฝงู โค) ๕. จิตรกรรมทานทฬั หีกรรม การทาํ ใหม่นั เชน การให (ใหภาพย่วั ยกุ ิเลส เชน ภาพสตรีและ อปุ สมบทซํ้า บุรษุ เสพเมถุน), ในคัมภีรม ิลนิ ทปญ หาทาฐธาต,ุ ทาฒธาตุ พระธาตุคือเขี้ยว, (มลิ นิ ท.๓๕๒) กลา วถึงทานทีไ่ มนบั วา เปน พระเขี้ยวแกวของพระพุทธเจามีท้ังหมด ทาน อนั นําไปสอู บาย ๑๐ อยา ง ไดแก ๕ อยางทก่ี ลาวแลว และเพิ่มอีก ๕ คือ ๖. ๔ องค ตาํ นานวา พระเขย้ี วแกวบนขวา สัตถทาน (ใหศ สั ตรา) ๗. วสิ ทาน (ให ยาพษิ ) ๗. สงั ขลิกทาน (ใหโซต รวน) ๘. ประดิษฐานอยูในพระจุฬามณีเจดียใน กกุ กฏุ สกู รทาน(ใหไ กใ หส กุ ร) ๙.ตลุ ากฏู - ดาวดึงสเทวโลก, องคล างขวาไปอยู ณ แควนกาลิงคะ แลว ตอ ไปยงั ลังกาทวีป, องคบ นซายไปอยู ณ แควนคนั ธาระ, องคลางซายไปอยูในนาคพิภพ; ดู สารีรกิ ธาตุทาน การให, ยกมอบแกผ อู นื่ , ใหข องที่ ควรให แกค นทคี่ วรให เพอื่ ประโยชนแ ก เขา, สละใหปนสิ่งของของตนเพื่อ
ทานกถา ๑๒๗ ทา นผูมอี ายุ มานกูฏทาน (ใหเคร่ืองชั่งตวงวัดโกง); แตแกผ อู น่ื จดั ใหของทดี่ ีๆ ไมต กอยใู ต สาํ หรบั สมชั ชทาน พึง ดู สาธุกีฬาทานกถา เรอ่ื งทาน, พรรณนาทาน คอื อํานาจสิ่งของ แตเ ปน นายเปน ใหญทําให การใหว าคอื อะไร มีคณุ อยางไร เปน ตน ส่ิงของอยูใตอํานาจของตน บุคคลน้ัน เรยี กวา ทานบดี (รายละเอียด พงึ ดู ที.อ.๑/(ขอ ๑ ในอนบุ พุ พิกถา ๕) ๒๖๗; สุตตฺ .อ.๒/๒๓๗; ส.ํ ฏ.ี ๑/๑๖๖; องฺ.ฏ.ี ๓/๒๐)ทานบดี “เจาแหงทาน”, ผเู ปน ใหญใ น ทานบน ถอยคําหรือสัญญาวาจะไมทําทาน, พงึ ทราบคําอธบิ าย ๒ แง คอื ใน ผิดตามเง่ือนไขทไี่ ดใ หไว; ทณั ฑบ น ก็แงท ่ี ๑ ความแตกตางระหวาง ทายก เรยี กกบั ทานบดี, “ทายก” คือผใู ห เปนคํา ทานบารมี คณุ ความดีท่บี ําเพ็ญอยา งยิ่งกลางๆ แมจ ะใหข องของผูอืน่ ตามคาํ ส่งั ยวดคอื ทาน, บารมีขอ ทาน; การใหการของเขา โดยไมม อี ํานาจหรอื มีความเปน สละอยางยิ่งยวดท่ีเปนบารมีข้ันปกติใหญใ นของนน้ั ก็เปน ทายก (จึงไมแนวา เรียกวา ทานบารมี ไดแกพาหิรภณั ฑ-จะปราศจากความหวงแหนหรือมีใจสละ บรจิ าค คอื สละใหของนอกกาย, การจริงแทห รือไม) สวน “ทานบด”ี คอื ผใู ห ใหการสละที่ยิ่งยวดข้ึนไปอีก ซ่ึงเปนที่เปนเจาของหรือมีอาํ นาจในของท่ีจะให บารมขี ั้นจวนสูงสุด เรยี กวา ทานอุป-จงึ เปน ใหญในทานน้ัน (ตามปกตติ อ งไม บารมี ไดแ กอ งั คบรจิ าค คอื สละใหหวงหรือมีใจสละจรงิ จึงใหได) ในแงท ่ี อวยั วะในตวั เชน บรจิ าคดวงตา, การ๑ น้ี จงึ พูดจําแนกวา บางคนเปน ท้งั ใหการสละอันย่งิ ยวดทีส่ ุด ซึ่งเปน บารมีทายกและเปนทานบดี บางคนเปนทายก ข้นั สงู สุด เรยี กวา ทานปรมตั ถบารมีแตไ มเปน ทานบดี; ในแงท ่ี ๒ ความ ไดแกชีวิตบริจาค คือสละชวี ติ ; การแตกตางระหวา ง ทานทาส ทานสหาย สละใหพาหริ ภณั ฑหรอื พาหริ วตั ถุ เปนและทานบด,ี บุคคลใด ตนเองบรโิ ภค พาหริ ทาน คอื ใหสิ่งภายนอก สวนการของดีๆ แตแ กผูอื่นใหข องไมด ี ทาํ ตวั สละใหอวัยวะเลือดเน้ือชีวิตตลอดจนเปนทาสของส่ิงของ บุคคลน้ันเรียกวา ยอมตัวเปนทาสรับใชเพื่อใหเปนทานทาส, บคุ คลใด ตนเองบรโิ ภคของ ประโยชนแกผูอื่น เปนอัชฌัตติกทานอยา งใด ก็ใหแ กผ อู ืน่ อยางน้นั บคุ คลนนั้ คอื ใหของภายใน (ขอ ๑ ในบารมี ๑๐)เรียกวา ทานสหาย, บุคคลใด ตนเอง ทานผมู อี ายุ เปนคาํ สาํ หรับพระผูใหญใชบริโภคหรือใชของตามที่พอมีพอเปนไป เรียกพระผูนอย คือ พระที่มีพรรษา
ทานมัย ๑๒๘ ทิฏฐธมั มกิ ตั ถะออนกวา (บาลีวา อาวโุ ส) บริจาคบํารุงวัดและการกอสรางในวัดทานมัย บญุ ที่สาํ เรจ็ ดว ยการบริจาคทาน เปน สําคัญ(ขอ ๑ ในบญุ กริ ิยาวัตถุ ๓ และ ๑๐) ทํารายดวยวิชา ไดแก รา ยมนตรอ าคมทายก (ชาย) ผูให; ดู ทานบดี ตางๆ ใชภูตใชผีเพอ่ื ทาํ ผูอืน่ ใหเจ็บตายทายาท ผสู ืบสกุล, ผคู วรรับมรดก จัดเปนดิรัจฉานวชิ า เทียบตัวอยา งท่ีจะทายกิ า (หญงิ ) ผูให; ดู ทานบดี เหน็ ในบัดนี้ เชน ฆา ดวยกําลงั ไฟฟา ซ่งึทารก เดก็ ทย่ี ังไมเ ดยี งสา ประกอบขึ้นดวยอํานาจความรูทารุณ หยาบชา, รายกาจ, รุนแรง, ดุ ทาํ ศรทั ธาไทยใหต กไป ดู ศรทั ธาไทย ทําโอกาส ใหโอกาส; ดู โอกาสรา ย, โหดรายทารณุ กรรม การทาํ โดยความโหดรา ย ทิฆมั พร ทอ งฟาทาส บา วทว่ั ไป, คนรับใช ทฏิ ฐธรรม, ทฏิ ฐธัมม สิง่ ทม่ี องเหน็ ,ทํากรรมเปนวรรค สงฆทําสังฆกรรม สภาวะหรอื เร่อื งซ่งึ เห็นได คอื ปจจุบัน, โดยแยกเปน พวกๆ ไมสามคั คีกัน ชวี ติ นี,้ ชาตนิ ้ี, ทันเห็น, จําพวกวัตถ,ุทํากัปปะ ทําเครื่องหมายดวยของ ๓ ดานรูปกาย อยา ง คือ คราม ตม และดาํ คลํ้า อยาง ทฏิ ฐธมั มเวทนยี กรรม กรรมอนั ใหผลใดอยางหนึ่งในเอกเทศ คือสวนหนึ่ง ในปจจุบัน, กรรมทั้งที่เปนกุศลและแหงจีวร เรยี กสามัญวา พินทุ อกุศล ซง่ึ ใหผ ลทันตาเหน็ (ขอ ๑ ในทําการเมือง ทํางานของแวนแควน, กรรม ๑๒) ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชนในปจจุบัน,ทํางานของหลวงทําการวัด ทํางานของวัด, ทํางานของ ประโยชนสุขสามัญท่ีมองเห็นกันในชาติ พระในอาราม น้ี ทค่ี นท่ัวไปปรารถนา มีทรพั ย ยศทํากาละ ตายทําคนื แกไข เกยี รติ ไมตรี เปนตน อนั จะสาํ เรจ็ ดวยทําบุญ ทําความดี, ทําส่ิงท่ีดีงาม, ธรรม ๔ ประการ คอื ๑. อฏุ ฐานสมั ปทา ถึงพรอมดวยความหมั่น ๒. อารักข- ประกอบกรรมดี ดังที่ทานแสดงใน สัมปทา ถึงพรอมดวยการรักษา ๓. บุญกริ ิยาวัตถุ ๓ หรอื บุญกิรยิ าวตั ถุ ๑๐ กัลยาณมิตตตา ความมีเพ่ือนเปนคนดี ๔. สมชีวติ า การเลีย้ งชวี ิตตามสมควร แตท ี่พดู กันทวั่ ไป มกั เพงท่กี ารเลย้ี งพระตักบาตร ถวายจตุปจจัยแกพระสงฆ แกกําลังทรัพยท่ีหาได; มักเรียกคลอง
ทิฏฐานุคติ ๑๒๙ ทฏิ ฐิวิบตั ิ ปากวา ทฏิ ฐธัมมกิ ัตถประโยชน ทิฏฐิ คอื ความเห็นผิด มี ๒ ไดแกทฏิ ฐานคุ ติ การดําเนินตามส่ิงท่ีไดเห็น, ๑. สัสสตทฏิ ฐิ ความเห็นวา เทย่ี ง ๒. การทาํ ตามอยา ง, การเอาอยาง ในทางดี อจุ เฉททิฏฐิ ความเหน็ วา ขาดสญู ; อีก หรอื รา ย กไ็ ด มกั ใชในขอความวา “จะ หมวดหนง่ึ มี ๓ คอื ๑. อกริ ยิ ทิฏฐิ ถึงทิฏฐานุคติของผูนั้น”; แตในภาษา ความเหน็ วา ไมเ ปน อนั ทาํ ๒.อเหตกุ ทฏิ ฐิ ไทย นยิ มนาํ มาใชด านดี หมายถงึ ทาง ความเห็นวาไมมีเหตุ ๓. นัตถิกทิฏฐิดําเนินตามท่ีไดมองเห็น, แบบอยาง, ความเห็นวาไมมี คือถืออะไรเปนหลัก ตวั อยาง เชน พระผใู หญปฏบิ ัตติ นชอบ ไมได เชน มารดาบดิ าไมม ี เปนตน พระผูนอ ยจะไดถอื เอาเปนทิฏฐานุคติ ทิฏฐจิ รติ ดู จรติ , จรยิ าทฏิ ฐาวกิ มั ม การทําความเหน็ ใหแจง ได ทฏิ ฐบิ าป ความเห็นลามก แกแสดงความเห็นแยง คือภิกษุผูเขา ทฏิ ฐปิ ปต ตะ ผถู งึ ทฏิ ฐิ คอื บรรลสุ มั มา-ประชุมในสงฆบางรูปไมเห็นรวมดวยคํา ทฏิ ฐ,ิ พระอริยบคุ คลต้งั แตโสดาบนั ขน้ึวินิจฉัยอันสงฆรับรองแลวก็ใหแสดง ไป จนถงึ ผตู ั้งอยใู นอรหัตตมรรค ทเ่ี ปนความเห็นแยง ได ผูมีปญญินทรียแรงกลา ไมไดสัมผัสทฏิ ฐิ ความเหน็ , ความเขาใจ, ความเชื่อ วโิ มกข ๘ (เมื่อบรรลุอรหัตตผล กลายถอื , ท้งั นี้ มกั มีคําขยายนําหนา เชน เปนปญญาวิมตุ ); ดู อรยิ บคุ คล ๗สัมมาทิฏฐิ (ความเหน็ ชอบ) มิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐมิ านะ ทิฏฐิ และมานะ (พึงทราบ(ความเห็นผดิ ) แตถา ทฏิ ฐิ มาคําเดยี ว ความหมายของแตละคํา ซึ่งแสดงไวโดด มกั มนี ัยไมดี หมายถึง ความยดึ ตางหากกัน); แตตามที่ใชกันในภาษาถือตามความเห็น, ความถอื ม่นั ทีจ่ ะให ไทย ซึง่ นยิ มเขียนเปน “ทฐิ มิ านะ” มีเปนไปตามความเช่ือถือหรือความเห็น ความหมายแบบปนๆ คลมุ ๆ ทิฏฐิ ในท่ีของตน, การถือยุติเอาความเห็นเปน น้ีหมายถึงความเห็นดื้อดึง ถึงผิดก็ไมความจรงิ , ความเหน็ ผิด, ความยดึ ตดิ ยอมแกไข และ มานะ คือความถอื ตวัทฤษฎ;ี ในภาษาไทยมักหมายถึงความ รวม ๒ คาํ เปนทฏิ ฐมิ านะ หมายถึง ถอืดงึ ด้ือถือรนั้ ในความเหน็ (พจนานกุ รม รนั้ อวดดี หรือดงึ ดอื้ ถือตวัเขียน ทฐิ ิ); (ขอ ๔ ในสังโยชน ๑๐ ตาม ทฏิ ฐวิ บิ ตั ิ วบิ ตั แิ หง ทฏิ ฐ,ิ ความผดิ พลาดนยั พระอภิธรรม, ขอ ๓ ในอนุสัย ๗, แหงความคิดเห็น, ความเห็นคลาดขอ ๓ ในปปญ จะ ๓) เคลอ่ื นผดิ ธรรมวินยั ทาํ ใหประพฤติตน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: