อปั ปมาทคารวตา ๕๓๐ อัพโภกาสกิ งั คะทถี่ กู ; อกี หมวดหนง่ึ วา ๑. ระวงั ใจไมใ ห หม,ู เปน ขน้ั ตอนสดุ ทา ยแหง วฏุ ฐานวธิ ี คอืกําหนัด ในอารมณเปนที่ตั้งแหงความ ระเบียบปฏิบัติในการออกจากครุกาบัติกาํ หนัด ๒. ระวงั ใจไมใ หขัดเคือง ใน ขั้นสังฆาทิเสส ไดแกการที่สงฆสวดอารมณเปนที่ตั้งแหงความขัดเคือง ๓. ระงับอาบัติ รับภิกษุผูตองอาบัติระวังใจไมใหหลง ในอารมณเปนที่ต้ัง สังฆาทเิ สส และไดท ําโทษตนเองตามวธิ ีแหงความหลง ๔. ระวังใจไมใ หมวั เมา ที่กําหนดเสร็จแลว ใหกลับคืนเปนผู ในอารมณเ ปน ท่ตี ง้ั แหงความมัวเมา บริสุทธ วธิ ปี ฏบิ ัติ คอื ถาตองอาบตั ิอปั ปมาทคารวตา ดู คารวะ สังฆาทิเสสแลวไมไดปด ไว พึงประพฤติอปั ปมาทธรรม ธรรมคอื ความไมป ระมาท มานัตส้ิน ๖ ราตรีแลวขออัพภานกะอปั ยศ ปราศจากยศ, เสียช่ือเสียง, เสื่อม สงฆวีสติวรรค สงฆสวดอัพภานแลวเสีย, นา ขายหนา ช่ือวาเปนผูบริสุทธ์ิจากอาบัติ, แตถาอัปปจฉกถา ถอยคําท่ีชักนําใหมีความ ภิกษุตองปกปดอาบัติไวลวงวันเทาใดปรารถนานอ ย หรอื มกั นอ ย (ขอ ๑ ใน ตองประพฤตวิ ตั รเรยี กวา อยูปริวาสชดกถาวัตถุ ๑๐) ใชครบจํานวนวันเทาน้ันกอน จึงอัปปยารมณ อารมณท ีไ่ มน ารกั ไมน า ประพฤติมานตั เพม่ิ อีก ๖ ราตรี แลว จงึชอบใจ ไมน า ปรารถนา เชน รูปทไ่ี ม ของอัพภานกะสงฆว สี ติวรรค เม่อื สงฆสวยไมงามเปนตน อพั ภานแลว อาบตั ิสังฆาทเิ สสทีต่ องชือ่อพฺพุฬฺหสลฺโล “มีลูกศรอันถอนแลว” วา เปน อันระงับหมายถงึ หมดกเิ ลสทท่ี มิ แทง, เปน คณุ บท อัพภานารหะ ภกิ ษุผคู วรแกอพั ภาน ไดของพระอรหนั ต แกภกิ ษผุ ปู ระพฤติมานตั ส้ิน ๖ ราตรีอัพโพหาริก “กลาวไมไ ดวา มี”, มีแตไม ครบกําหนดแลว เปน ผูควรแกอพั ภานปรากฏ จงึ ไมไ ดโ วหารวา มี, มีเหมือนไม คือควรที่สงฆวีสติวรรคจะสวดอัพภานมี เชน สรุ าท่ีเขาใสในอาหารบางอยาง (เรียกเขาหม)ู ไดตอไปเพื่อฆาคาวหรือชูรส และเจตนาท่ีมีใน อพั ภานารหภกิ ษุ ดู อัพภานารหะ อัพโภกาสิกังคะ องคแหงผูถืออยูในท่ีเวลาหลบั เปน ตนอัพภันดร มาตราวดั เทา กับ ๒๘ ศอก แจงเปนวัตร คอื อยูเฉพาะกลางแจง ไมหรอื ๗ วา อยใู นที่มุงบงั หรอื แมแ ตโคนไม (หา มอพั ภาน “การเรียกเขา” การรบั กลบั เขา ถอื ในฤดูฝน) ขอ ๑๐ ในธุดงค ๑๓)
อัพยากตะ,อพั ยากฤต ๕๓๑ อากรอัพยากตะ, อัพยากฤต “ซ่ึงทานไม เปนน่ี, การถอื เราถือเขา พยากรณ”, มิไดบอกวาเปนกุศลหรือ อัสสกะ ช่ือแควนหนึ่งในบรรดา ๑๖อกุศล (ไมจ ัดเปน กุศลหรอื อกุศล) คอื แควนใหญแหงชมพูทวีป ตั้งอยูลุมนํา้ เปนกลางๆ ไมดไี มช ่ัว ไมใ ชกุศลไมใช โคธาวรี ทิศตะวันตกเฉียงเหนือแหง อกศุ ล ไดแก วบิ าก กริ ยิ า รูป และ แควน อวนั ตี นครหลวงชื่อ โปตลิ (บาง นิพพาน ทเี รียก โปตนะ)อมั พปาลวี นั สวนทหี่ ญงิ แพศยาชอ่ื อมั พ- อัสสชิ 1. พระมหาสาวกองคหน่ึงเปนปาลี ถวายเปน สงั ฆาราม ไมนานกอ นวนั พระเถระรูปหน่ึงในคณะปญจวคั คยี เ ปน พุทธปรนิ พิ พาน อยูในเขตเมอื งเวสาลี พระอรหันตรุนแรกและเปนอาจารยของอมั พวนั สวนมะมว ง มหี ลายแหง เพอื่ กนั พระสารีบุตร 2. ช่ือภกิ ษุรปู หนงึ่ ในภกิ ษุสบั สน ทา นมกั ใสชื่อเจา ของสวนนําหนา ๖ รปู ซง่ึ ประพฤตเิ หลวไหล ทเ่ี รยี กวาดว ย เชน สวนมะมว งของหมอชวี ก ในเขต พระฉพั พคั คีย คกู บั พระปนุ พั พสกุ ะเมืองราชคฤห ซ่ึงถวายเปนสังฆาราม อสั สพาชี มาเรียกวา ชีวกมั พวนั เปน ตน อัสสยุชมาส, ปฐมกัตติกมาส เดือนอัยกะ, อยั กา ป,ู ตา ๑๑; ปุพพกตั ติกา หรือ บพุ กัตติกา ก็อัยการ เจาพนักงานท่ศี าลฝายอาณาจักร เรยี กจดั ไวเ ปน เจา หนาท่ีฟอ งรอ ง, ทนายแผน อัสสัตถพฤกษ ตน ไมอ ัสสัตถะ, ตน พระดนิ , ทนายหลวง ศรีมหาโพธิ์ ท่ีริมฝงแมนํ้าเนรัญชราอยั ก,ี อัยยิกา ยา , ยาย ตาํ บลอุรุเวลาเสนานคิ ม อนั เปน สถานที่อศั วเมธ พิธเี อามา บูชายญั คอื ปลอ ยมา ท่ีพระมหาบุรุษ ไดตรัสรูพระอนุตตร-อุปการใหผานดินแดนตางๆ เปนการ สมั มาสมั โพธิญาณ; ดู โพธิ์ประกาศอํานาจจนมาน้ันกลับ แลวเอา อัสสาทะ ความยนิ ดี, ความพึงพอใจ, รสมาน้ันฆาบูชายัญ เปนพิธีประกาศ อรอย เชน รสอรอยของกาม, สวนด,ีอานุภาพของราชาธิราชในอินเดียครั้ง สว นท่นี าชน่ื ชมโบราณ อสั สาสะ ลมหายใจเขาอัสดงค ตกไป คือ พระอาทิตยตก, อัสสุ นาํ้ ตาพจนานกุ รม เขียน อัสดง อากร หมู, กอง, บอ เกดิ , ทเ่ี กดิ เชนอัสมมิ านะ การถอื วานีฉ่ ัน น่กี ู กูเปนนน่ั ทรพั ยากร ที่เกิดทรัพย ศิลปากร บอ
อากัปกริ ิยา ๕๓๒ อากาศ เกดิ ศลิ ปะ, คาธรรมเนยี มที่รัฐบาลเรยี ก ประเภทตามความหมายนยั ตา งๆ เปน อากาศ ๓ คือ ปริจเฉทากาศ กสิณคุ ฆา- เก็บ จากส่ิงทเี่ กดิ จากธรรมชาติ หรือสิ่ง ฏิมากาศ และอัชฏากาศ (ปญจ.อ.๑๑๓๒/ ๒๒๐) แตในคมั ภรี ช้นั หลัง บางแหง (เชน ทที่ าํ ขน้ึ เพ่อื การคาอากัปกิริยา การแตงตวั ดี และมีทา ทาง ปาจติ ยฺ าทโิ ยชนา และอนทุ ปี นปี า, มแี ตฉ บบั อกั ษร เรยี บรอ ยงดงาม; กิรยิ าทา ทางอาการ ภาวะที่ปรากฏหรือแสดงออก, พมา ยังไมพบตีพิมพในประเทศไทย) แยก ความเปน ไป, สภาพ, ทา ทาง, ทวงที, ละเอยี ดออกไปอกี เปน อากาศ ๔ คือ ๑. ปริจเฉทากาศ ชองวางทกี่ าํ หนดแยกรูป ทํานอง, กิริยาท่ีทําหรือท่ีแสดง, ทง้ั หลาย หรอื ชอ งวา งระหวา งกลาป คอื รปู ในความหมายทีเ่ ปนปรจิ เฉทรปู (รปู ลักษณะของการกระทําหรือความเปน ปรจิ เฉทากาศ กเ็ รยี ก) ๒.ปรจิ ฉนิ นากาศ ชองวางท่ีถูกกําหนดแยก คือชองวาง ไป; สว นปลกี ยอย, สวนประกอบที่แยก ระหวา งวตั ถทุ ง้ั หลาย เชน ชอ งประตู รฝู า ชอ งหนา ตา ง ชอ งหู รจู มกู (ที่ใชเ ปน ยอยกระจายออกไป (อวยั วะหลัก เรยี ก อากาศกสิณ คือขอ น)้ี ๓. กสิณคุ ฆาฏ-ิ มากาศ ชองวางท่ีเกิดจากการเพิกกสิณ วา “องค” อวัยวะยอย เรียกวา นมิ ิต คอื ชองวางหรืออากาศอนั อนนั ตท ่ี “อาการ”) เชน ในคําวา ทวตั ติงสาการ เปน อารมณข องอากาสานัญจายตนฌานอาการ ๓๒ ดู ทวตั ติงสาการ ๔. อชั ฏากาศ ชอ งวา งเวิง้ วาง คอื ทอ งฟาอาการท่ีพระพุทธเจาทรงสั่งสอน มี (บางทีเรียกวา ตจุ ฉากาศ คอื ชองวา งท่ี ๓ อยา งคือ ๑. ทรงรูยิ่งเหน็ จริงเองแลว วางเปลา ) แลว บอกวา ขอ ท่ี ๒ คอื ปรจิ ฉินนากาศ จดั รวมเขา ไดก บั ขอ ที่ ๑ จงึ ทรงส่ังสอนผูอ น่ื เพ่อื ใหร ยู ง่ิ เห็นจริง คือรูปปริจเฉทากาศ นกี่ ห็ มายความวา ทา นแยกขอ ที่ ๑ ของอรรถกถา ออกเปน ตามในธรรมทคี่ วรรคู วรเหน็ ๒. ทรงส่ัง ๒ ขอ, เหตทุ คี่ ัมภีรชั้นหลงั แยกอยา งนี้ เพราะตองการแยกอากาศท่ีเปนสภาว- สอนมีเหตุผลซ่ึงผูฟงอาจตรองตามให ธรรม คือทเ่ี ปน ปรจิ เฉทรูป ออกไวตาง หากใหชัด ดงั จะเหน็ วา อกี ขอ หนง่ึ คอื เหน็ จริงได ไมเ ล่อื นลอย ๓. ทรงส่งั สอนเปนอัศจรรย ทําใหผูฟงยอมรับ และนําไปปฏิบัติตาม ไดรับผลจริง บงั เกดิ ประโยชนสมควรแกก ารปฏบิ ตั ิอาการทีภ่ ิกษุจะตอ งอาบตั ิ ๖ ดู อาบัติอากาศ ทว่ี า งเปลา, ชองวา ง, ทอ งฟา ; ใน ความหมายเดิม ไมเรียกแกสทีใ่ ชหายใจ วาอากาศ แตเรียกแกสน้ันวาเปนวาโย หรอื วาโยธาตุ; ในอรรถกถา ทา นแยก
อากาศธาตุ ๕๓๓ อาจริยมัตตปริจฉินนากาศ อยางชองหู รูกุญแจ อากลู วนุ วาย, ไมเ รยี บรอ ย, สบั สน, คง่ั คา งหรือชองท่ีกําหนดเปนอารมณกสิณ ก็ อาคม ปรยิ ตั ทิ เี่ รยี น, การเลา เรยี นพทุ ธ-เน่ืองกันอยูกับอัชฏากาศนั่นเอง (เปน พจน; ในภาษาไทยมีความหมายเพีย้ นเพยี งบญั ญตั ิ มใิ ชส ภาวะ) แตใ นอรรถ- ไปเปนเวทมนตรกถาและคัมภีรทั่วไปท่ีไมแยกละเอียด อาคันตุกะ ผมู าหา, ผูมาจากทอี่ น่ื , ผจู รอยา งนนั้ เรยี กอากาศทก่ี าํ หนดเปน กสณิ มา, แขก; (ในคาํ วา “ถาปรารถนาจะใหคืออากาศกสิณ วาเปนปริจเฉทากาศ- อาคันตุกะไดรับแจกดวย”) ภิกษุผูจํากสณิ บาง ปรจิ ฉนิ นากาศกสณิ บาง ไม พรรษาท่ีวดั อื่นจรมา, ถาภิกษผุ ูม ีหนาท่ีถือตายตัว, จะเห็นวา อากาศในขอ ๒ เปนจีวรภาชกะ (ผูแจกจีวร) ปรารถนาเปนกสิณสําหรับผูเจริญรูปฌาน และ จะใหอาคันตุกะมีสวนไดรับแจกจีวรเมอ่ื เพิกกสิณนิมิตของขอ ๒ นเ้ี สีย ก็ ดวย ตอ งอปโลกน คอื บอกเลา ขอเปน อากาศในขอ ที่ ๓; “อัชฏากาศ” นี้ อนุมัติตอภิกษุเจาถิ่นคือผูจําพรรษาในเขยี นตามหนงั สอื เกา จะเขยี น อชฏากาศ วดั นน้ั (ซึ่งเรียกวา วัสสกิ ะ หรือ วัสสา-ก็ได; ดู รูป ๒๘ วาสกิ ะ แปลวา “ภกิ ษผุ ูอยจู าํ พรรษา”)อากาศธาตุ สภาวะท่ีวาง, ความเปนที่วาง อาคันตุกภัต อาหารที่เขาถวายเฉพาะเปลา, ชองวางในรางกาย ท่ีใชเปน ภกิ ษุอาคนั ตุกะ คือผูจรมาจากตา งถนิ่อารมณกรรมฐาน เชน ชองหู ชองจมูก อาคันตุกวัตร ธรรมเนียมที่ภิกษุควรชอ งปาก ชองอวยั วะตา งๆ; ในคัมภีร ปฏบิ ตั ติ อ อาคนั ตกุ ะ คอื ภกิ ษผุ จู รมา เชน อภิธรรม จัดเปนอุปาทายรปู อยา งหนงึ่ ขวนขวายตอ นรบั แสดงความนบั ถอื จดั เรยี กวา ปรจิ เฉทรูป; ดู ธาต,ุ รูป ๒๘ หรอื บอกใหน าํ้ ใหอ าสนะ ถา อาคนั ตกุ ะจะอากาสานัญจายตนะ ฌานกําหนด มาพกั มาอยู พงึ แสดงเสนาสนะ บอกที่อากาศคือชองวางหาท่ีสุดมิไดเปน ทางและกตกิ าสงฆ เปน ตนอารมณ, ภพของผูเขาถึงอากาสานัญ- อาคาริยวินัย วินัยของผูค รองเรอื น; ดู วินยั ๒จายตนฌาน (ขอ ๑ ในอรปู ๔)อากญิ จญั ญายตนะ ฌานกําหนดภาวะที่ อาจริยมตั ต ภกิ ษผุ ูม ีพรรษาพอท่ีจะเปนไมม อี ะไรเลยเปนอารมณ, ภพของผูเขา อาจารยใหนิสสัยแกภกิ ษุอ่ืนได, พระปนูถงึ อากิญจัญญายตนฌาน (ขอ ๓ ใน อาจารย คอื มีพรรษา ๑๐ ขนึ้ ไป หรอือรปู ๔) แกก วา ราว ๖ พรรษา; อาจรยิ มตั กเ็ ขยี น
อาจรยิ วัตร ๕๓๔ อาณาอาจริยวัตร กิจอันท่ีอันเตวาสิกควร ปฏิบตั ิเสมอๆ ประพฤติปฏิบัติตออาจารย (เชนเดียว อาชญา อํานาจ, โทษ กับ อุปชฌายวัตร ที่สัทธิวิหาริกพึง อาชีวะ อาชพี , การเล้ยี งชีพ, ความเพยี รปฏิบตั ิตออุปชฌาย) พยายามในการแสวงหาปจจัยยังชีพ,อาจริยวาท วาทะของพระอาจารย, มติ การทาํ มาหากินของพระอาจารย; บางที ใชเปน คาํ เรียก อาชีวก นกั บวชชเี ปลือยพวกหนึ่งในคร้งัพุทธศาสนานิกายฝายเหนือ คือ พุทธกาล เปนสาวกของมกั ขลโิ คสาลมหายาน อาชวี ปารสิ ุทธิ ความบรสิ ทุ ธแ์ิ หง อาชวี ะอาจาระ ความประพฤติดี, มรรยาทดี คอื เลยี้ งชวี ติ โดยทางทชี่ อบ ไมป ระกอบงาม, จรรยา อเนสนา เชน ไมหลอกลวงเขาเลยี้ งชวี ติอาจารย ผูสง่ั สอนวชิ าความร,ู ผูฝ ก หัด (ขอ ๓ ในปารสิ ุทธศิ ีล ๔), ทเี่ ปน ขอ ๓อบรมมรรยาท, อาจารย ๔ คอื ๑. ในปารสิ ทุ ธศิ ลี ๔ นนั้ เรยี กเตม็ วา อาชวี -บัพพาชาจารย หรือ บรรพชาจารย ปารสิ ทุ ธศิ ลี แปลวา ศลี คอื ความบริสทุ ธิ์อาจารยใ นบรรพชา ๒. อปุ สมั ปทาจารย แหง อาชีวะอาจารยในอุปสมบท ๓. นิสสยาจารย อาชีววิบัติ เสียอาชีวะ, ความเสียหายอาจารย ผใู หน สิ สยั ๔. อทุ เทศาจารย แหงการเลี้ยงชพี คือ ประกอบมจิ ฉา-หรือ ธรรมาจารย อาจารยผ ูสอนธรรม อาชวี ะมหี ลอกลวงเขาเลย้ี งชพี เปนตนอาจารวิบัติ เสียอาจาระ, เสียจรรยา, (ขอ ๔ ในวบิ ตั ิ ๔)มรรยาทเสียหาย, ประพฤติยอหยอน อาญา อํานาจ, โทษรุมราม มักตองอาบัติเล็กนอยต้ังแต อาญาสิทธ์ิ อํานาจเด็ดขาด คอื สทิ ธิท่แี มถลุ ลจั จยั ลงมาถงึ ทุพภาสิต (ขอ ๒ ใน ทัพไดรับพระราชทานจากพระเจาแผนวิบัติ ๔) ดนิ ในเวลาไปสงครามเปนตนอาจณิ เคยประพฤติมา, เปนนิสยั , ทํา อาฏานาฏยิ ปรติ ร ดู ปรติ ร อาฏานาฏยิ สตู ร ดู ปรติ รเสมอๆ, ทาํ จนชนิอาจิณณจริยา ความประพฤติเนืองๆ, อาณตั ิ ขอ บงั คบั , คาํ สงั่ กฎ; เครอื่ งหมายความประพฤติประจํา, ความประพฤตทิ ่ี อาณตั ิสัญญา ขอ บงั คับท่ไี ดนดั หมายกัน เคยชนิ ไว, เครอื่ งหมายที่ตกลงกนั ไวอาจิณณวัตร การปฏิบัติประจํา, การ อาณา อํานาจปกครอง
อาณาเขต ๕๓๕ อาทติ ตปริยายสูตรอาณาเขต เขตแดนในอํานาจปกครอง, ท่ี บัดน้ี นิยมใชพูดอยางใหเกียรตแิ กค นดินในทบ่ี ังคบั ทวั่ ไป)อาณาจักร เขตแดนท่ีอยูในอํานาจปก อาถรรพณ เวทมนตรท่ีใชเพ่ือใหดีหรือครองของรฐั บาลหนึ่ง, อาํ นาจปกครอง รา ย, วชิ าเสกเปา ปองกนั , การทาํ พิธปี องทางบานเมือง ใชคูกับพุทธจักร ซ่ึง กันอันตรายตางๆ ตามพิธีพราหมณหมายถึงขอบเขตการปกครองของพระ เชน พิธฝี ง เสาหิน หรอื ฝง บัตรพลีสงฆในพระพทุ ธศาสนา เรยี กวา ฝงอาถรรพณ (สบื เนอ่ื งมาจากอาณาประชาราษฎร ราษฎรชาวเมอื งที่ พระเวทคัมภรี ท ่ี ๔ คอื อถรรพเวท หรือ อาถรรพณเวท) อาถรรพ ก็ใชอยูในอาํ นาจปกครองอาณาประโยชน ผลประโยชนท่ีตนมี อาทร ความเอ้ือเฟอ , ความเอาใจใส อาทิ เปน ตน ; ทีแรก, ขอตนอํานาจปกครองสว นตัวอาณาปวัติ ความเปนไปแหงอาณา, อาทกิ มั ม ดู อาทกิ มั มกิ ะ 2ขอบเขตทอ่ี าํ นาจปกครองแผไ ป; เปน ไป อาทกิ มั มกิ ะ 1. “ผทู าํ กรรมทแี รก” หมายในอาํ นาจปกครอง, อยใู นอาํ นาจปกครอง ถึง ภิกษุผูเปนตนบัญญัติในสิกขาบทอาณาปาฏโิ มกข ดู ปาฏิโมกข นน้ั ๆ 2. ชอ่ื คมั ภรี ใ นพระวนิ ยั ปฎ ก เปนอาณาสงฆ อํานาจของสงฆ, อํานาจ คมั ภรี แ รก เมอ่ื แยกพระวนิ ยั ปฎ กเปน ๕ปกครองของสงฆ คือสงฆป ระชมุ กนั ใช คมั ภรี ใชค าํ ยอ วา อา; อาทกิ มั ม กเ็ รยี กอํานาจโดยชอบธรรม ระงับอธิกรณท่ี อาทิตตปริยายสูตร ชื่อพระสูตรที่พระ เกดิ ขน้ึ พุทธเจาทรงแสดงแกภิกษุประมาณอาดรู เดือดรอน, กระวนกระวาย, ทน ๑,๐๐๐ รปู มีอุรเุ วลกสั สป เปนตน ซึง่ทกุ ขเวทนาทั้งกายและใจ เคยเปนชฎิลบูชาไฟมากอน วาดวยอาตมภาพ ฉัน, ขาพเจา (ใชแ กพระภิกษุ อายตนะท้งั ๖ ที่รอนตดิ ไฟลุกท่วั ดวยสามเณรใชเรียกตัวเอง เมื่อพูดกับ ไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ตลอดคฤหสั ถผ ใู หญ ตลอดถงึ พระเจา แผน ดนิ ) จนรอนดวยทุกข มีชาติ ชรามรณะอาตมนั ตัวตน, คําสันสกฤต ตรงกบั เปนตน ทําใหภิกษุเหลานั้นบรรลุบาลคี อื อตั ตา อรหัตตผล (มาในคมั ภีรมหาวรรค แหงอาตมา ฉัน, ขาพเจา (สําหรบั พระภิกษุ พระวนิ ยั ปฎ ก และสงั ยตุ ตนกิ าย สฬาย-สามเณรใชพูดกับผูมีบรรดาศักดิ์ แต ตนวรรค พระสตุ ตนั ตปฎ ก)
อาทติ ยโคตร ๕๓๖ อานนทอาทติ ยโคตร ตระกลู พระอาทิตย, เผา ไหม (ขอ ๔ ในวิปสสนาญาณ ๙) พนั ธุพระอาทิตย, ตระกูลที่สืบเชอื้ สาย อาเทสนาปาฏหิ ารยิ ปาฏหิ าริย คอื การนางอทิติผูเปนชายาของพระกัศยป ทายใจ, รอบรูกระบวนของจิตตอาน ประชาบดี, ทา นวา สกุลของพระพทุ ธเจา ความคิดและอุปนิสัยของผูอ่ืนไดเปน ก็เปนอาทิตยโคตร (โคตมโคตร กับ อัศจรรย (ขอ ๒ ในปาฏิหารยิ ๓) อาทติ ยโคตร มคี วามหมายอยา งเดยี วกนั ) อาธรรม, อาธรรม ดู อธรรมอาทติ ยวงศ วงศพ ระอาทติ ย; ดู อาทติ ย- อานนท พระมหาสาวกองคหนึ่ง เปน โคตร เจาชายในศากยวงศ เปนโอรสของเจาอาทิพรหมจรรย หลักเบ้ืองตนของ อมิโตทนะ (น้ีวาตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วนิ ย.ฏี.พรหมจรรย, หลกั การพ้ืนฐานของชวี ติ ท่ี ๓/๓๔๙ เปน ตน แตท ่เี รยี นกนั มามกั วาเปนประเสริฐ; เทยี บ อภิสมาจาร โอรสของเจา สกุ โกทนะ) ซง่ึ เปน พระเจาอาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา หลกั การศกึ ษา อาของเจาชายสิทธัตถะ เมื่อพระอบรมในฝายบทบัญญัติหรือขอปฏิบัติ โพธิสัตวออกผนวชและตอมาไดตรัสรูเบื้องตนของพรหมจรรย สําหรับปอง แลว ถงึ พรรษาที่ ๒ แหงพทุ ธกิจ พระกนั ความประพฤติเสยี หาย, ขอ ศกึ ษาที่ พุทธเจาไดเสด็จมาโปรดพระประยูร-เปนเบ้อื งตนแหงพรหมจรรย หมายถึง ญาติท่ีพระนครกบิลพัสดุ (เชน อง.อ.๑/ สิกขาบท ๒๒๗ ท่มี าในพระปาฏโิ มกข; ๑๗๑) เม่ือพระพุทธเจาเสด็จออกจาก เทยี บ อภิสมาจารกิ าสกิ ขา เมอื งกบลิ พัสดแุ ลว ไดท รงแวะประทบัอาทีนพ, อาทนี วะ โทษ, สวนเสีย, ขอ ที่อนุปยอัมพวัน ในอนุปย นคิ ม แหง บกพรอ ง, ผลราย; ตรงขา มกบั อานิสงส แควนมลั ละ ครงั้ น้ัน พระเจา สุทโธทนะอาทนี วญาณ ดู อาทนี วานปุ ส สนาญาณ ไดทรงประชมุ เจาศากยะทั้งหลาย และอาทีนวสัญญา การกําหนดหมายโทษ ทรงขอใหบรรดาเจาศากยะมอบเจาชายแหงรางกายซึ่งมีอาพาธคือโรคตางๆ ออกบวชตามเสด็จพระพุทธเจาครอบ เปน อันมาก (ขอ ๔ ในสัญญา ๑๐) ครัวละหน่ึงองค ไดมีเจาชายศากยะอาทนี วานุปส สนาญาณ ญาณอันคาํ นงึ ออกบวชจํานวนมาก รวมท้ังเจาชายเหน็ โทษ, ปรีชาคํานงึ เห็นโทษของสงั ขาร อานนทดวย เจาชายอานนทไดเดินทางวามีขอบกพรองระคนดวยทุกข เชน ไปเขาเฝาพระพุทธเจาและทรงบวชใหท่ีเห็นสังขารปรากฏเหมือนเรือนถูกไฟ อนปุ ย อัมพวนั (วนิ ย.๗/๓๔๑/๑๕๙) พรอ ม
อานนั ตริกสมาธิ ๕๓๗ อานันทเจดยี กบั เจา ชายอนื่ ๕ องค (ภัททยิ ะ อนรุ ุทธะ ขอพร ๘ ประการ ทานไดร ับยกยองภคุ กิมพิละ เทวทัต) รวมเปน ๗ กบั เปนเอตทัคคะหลายดาน คือ เปนท้ังกัลบกช่ือวา อบุ าลี พระอานนทม พี ระ พหสู ตู เปนผมู สี ติ มีคติ มธี ติ ิ และเปนอปุ ช ฌายช ือ่ วาพระเพลัฏฐสีสะ (เชน วินย. อุปฏฐากท่ียอดเยี่ยม ทานบรรลุพระ๕/๓๔/๔๓; ในระยะตน พทุ ธกาล พระภกิ ษทุ บี่ วชแลว อรหัตหลังจากพระพุทธเจาปรินิพพานยงั ไมม อี ปุ ช ฌาย จงึ ไดต รสั ใหถ อื อปุ ช ฌาย คอื พระผู แลว ๓ เดอื น เปน กาํ ลงั สาํ คญั ในคราวทาํ หนา ทด่ี แู ลฝก อบรมพระใหมใ นการศกึ ษาเบอื้ งตน ทาํ ปฐมสงั คายนา คือ เปนผวู สิ ัชนาพระตามพระพทุ ธานญุ าตใน วนิ ย.๔/๘๐/๘๒ ตอ มาจงึ ธรรม (ซ่ึงตอมาแบงเปนพระสูตรและทรงบญั ญตั ใิ น วนิ ย.๔/๑๓๓/๑๘๐ ใหอ ปุ สมบทผทู มี่ ี พระอภธิ รรม) พระอานนทด าํ รงชีวติ สืบอปุ ช ฌายพ รอ มไวแ ลว ) ทานบรรลโุ สดาปตต-ิ มาจนอายุได ๑๒๐ ป จึงปรนิ ิพพานในผลเมื่อไดฟงธรรมกถาของพระปุณณ- อากาศ เหนือแมน า้ํ โรหิณี ซ่ึงเปน เสนกั้นมนั ตาณบี ุตร (ส.ํ ข.๑๗/๑๙๓/๑๒๘) เม่อื พระ แดนระหวางแควนของพระญาติทั้งสองพทุ ธบดิ า คอื พระเจา สทุ โธทนะ ประชวร ฝาย คือ ศากยะ และโกลิยะ; ดู พร๘ทรงฟงธรรมไดบรรลุอรหัตตผลและดับ อานันตริกสมาธิ สมาธิอันไมมีระหวางขนั ธปรนิ พิ พาน ในพรรษาท่ี ๕ แหง คอื ไมมอี ะไรคัน่ หมายความวา ใหเ กิดพทุ ธกิจแลว พระนางมหาปชาบดี ไดไป ผลตามมาทันที ไดแก มรรคสมาธิ ซงึ่เฝาพระพุทธเจา และทูลขอใหสตรีได เมอ่ื เกดิ ขึ้นแลว กจ็ ะเกิดมรรคญาณ คอืบรรพชา แตยังไมส ําเรจ็ (วนิ ย.๗/๕๑๓/ ปญ ญาท่กี ําจัดอาสวะ ตามติดตอ มาใน๓๒๐) จนกระท่ังตอมาไดอาศัยพระ ทันท,ี อานันตรกิ สมาธินี้ พระพทุ ธเจาอานนทชว ยทลู ขอ พระนางและสากยิ านี ตรัสวาเปนสมาธิเยี่ยมยอด ไมมีสมาธิท้ังหลายจึงไดบวช เปนจุดเริ่มกําเนิด ใดเทียมเทา (ข.ุ ขุ.๒๕/๗/๕) เพราะทํากิเลสภกิ ษณุ สี งฆ พระอานนทไ ดเ ปน อปุ ฏ ฐาก ใหสน้ิ ไปได ประเสรฐิ กวา รูปาวจรสมาธิรบั ใชพ ระพทุ ธเจา ตามโอกาสเชน เดยี วกบั และแมแตอรูปาวจรสมาธิของพระพระเถระรูปอ่ืนมากทาน จนกระท่ังใน พรหม หรือทจ่ี ะทาํ ใหไ ดเกิดเปนพรหมพรรษาที่ ๒๐ แหง พทุ ธกจิ ทา นไดร บั อานันทเจดีย เจดียสถานแหง หน่ึงอยูในเลือกใหเปนพระอปุ ฏ ฐากประจาํ พระองค เขตโภคนคร ระหวา งทางจากเมอื งเวสาลี(นพิ ทั ธปุ ฏ ฐาก) ของพระพทุ ธเจา (เชน ท.ี อ. สูเมืองปาวา เปนท่ีพระพุทธเจาตรัส๒/๑๔) ซ่ึงทานตกลงรบั หนาท่ดี วยการทูล มหาปเทส ๔ ฝา ยพระสตู ร
อานาปานสติ ๕๓๘ อาบัติอานาปานสติ สติกําหนดลมหายใจเขา อานิสงส หมายถึงผลพวงพลอยหรืองอก ออก (ขอ ๙ ในอนุสติ ๑๐, ขอ ๑๐ ใน เงยในดานดีอยา งเดยี ว ถา เปน ผลพลอย ดานราย ก็อยูในคําวานิสสันท), อนึ่ง สญั ญา ๑๐ เปนตน), หนังสอื เกา มกั วิบาก ใชเฉพาะกับผลของกรรมเทาน้ัน เขียน อานาปานัสสติ แตอานิสงส หมายถงึ คุณ ขอ ดี หรอื ผลอานาปานสตกิ มั มัฏฐาน กรรมฐานท่ใี ช สตกิ ําหนดลมหายใจเขา ออก ไดพิเศษในเรื่องราวท่ัวไปดวย เชนอานาปานสั สติ สตกิ ําหนดลมหายใจเขา ออก; ดู อานาปานสติ อานิสงสของการบรโิ ภคอาหาร อานิสงสอานิสงส ผลดีหรือผลที่นาปรารถนานา ของธรรมขอน้ันๆ จีวรท่ีเปนอานิสงส พอใจ อันสืบเน่ืองหรือพลอยได จาก ของกฐิน, โดยท่ัวไป อานิสงสมีความ หมายตรงขามกับ อาทีนพ ซ่ึงแปลวากรรมด,ี ผลงอกเงยแหง บญุ กศุ ล, คณุ , โทษ ขอเสีย ขอ ดอ ย จุดออ น หรอื ผลขอดี, ผลที่เปนกําไร, ผลไดพิเศษ; รา ย เชนในคาํ วา กามาทนี พ (โทษของ“อานสิ งส” มคี วามหมายตางจาก “ผล” กาม) และเนกขัมมานิสงส (คณุ หรอื ผลท่เี รยี กชื่ออยา งอืน่ โดยขอบเขตทีก่ วาง ดีในเนกขัมมะ); ดู ผล, เทียบ นิสสันท,หรอื แคบกวา กนั หรอื โดยตรงโดยออ ม วบิ าก, ตรงขา มกบั อาทนี พเชน ทํากรรมดีโดยคิดตอคนอื่นดวย อานภุ าพ อาํ นาจ, ฤทธเ์ิ ดช, ความยง่ิ ใหญเมตตาแลว เกดิ ผลดี คอื มจี ิตใจแชม ช่นื อาเนญชาภสิ งั ขาร ดู อเนญชาภสิ งั ขารสบาย ผอนคลาย เลอื ดลมเดนิ ดี มีสุข อาบตั ิ การตอ ง, การลวงละเมดิ , โทษที่ภาพ ตลอดถึงวาถาตายดวยจิตอยาง เกิดแตการละเมดิ สิกขาบท; อาบตั ิ ๗น้นั กไ็ ปเกิดดี น้เี ปนวิบาก พรอมกัน คอื ปาราชกิ สงั ฆาทเิ สส ถลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี นั้นกม็ ีผลพว งอ่ืนๆ เชน หนาตาผองใส ปาฏเิ ทสนยี ะ ทกุ กฏ ทพุ ภาสติ ; อาบตั ิ ๗เปนทร่ี ักใครช อบใจของคนอน่ื อยางน้ี กองนี้จัดรวมเปนประเภทไดหลายอยางเปนอานิสงส แตถาทํากรรมไมดีโดย โดยมากจัดเปน ๒ เชน ๑. ครุกาบัติคิดตอคนอ่ืนดวยโทสะแลวเกิดผลราย อาบัติหนัก (ปาราชิกและสังฆาทิเสส) ๒. ลหกุ าบตั ิ อาบตั เิ บา (อาบัติ ๕ อยา งตอตนเองทีต่ รงขามกบั ขา งตน จนถึงไป ที่เหลอื ); คูตอไปนีก้ ็เหมอื นกัน คือ ๑.เกิดในทุคติ ก็เปนวบิ าก และในฝา ยรา ย ทฏุ ลุ ลาบตั ิ อาบตั ชิ วั่ หยาบ ๒. อทฏุ ลุ -นี้ไมม ีอานิสงส (วบิ าก เปนผลโดยตรง ลาบัติ อาบตั ไิ มช ัว่ หยาบ; ๑. อเทสนา-และเปนไดท้ังขางดีและขางราย สวน
อาบัตชิ ว่ั หยาบ ๕๓๙ อาพาธคามินี อาบัติที่ไมพนไดดวยการแสดง แควนอังคุตตราปะ๒. เทสนาคามินี อาบัตทิ ี่พน ไดดวยการ อาปต ตาธิกรณ อธกิ รณคืออาบตั ิ หมายแสดงคือเปด เผยความผิดของตน; คตู อ ความวา การตองอาบัตแิ ละการถูกปรบัไปนี้จัดตางออกไปอีกแบบหน่ึงตรงกัน อาบัติ เปนอธิกรณโดยฐานเปนเรื่องท่ีทงั้ หมด คอื ๑. อเตกจิ ฉา เยยี วยาแกไ ข จะตองจัดทํา คือระงับดวยการแกไขไมได (ปาราชกิ ) ๒. สเตกจิ ฉา เยยี วยา ปลดเปลือ้ งออกจากอาบัติน้นั เสยี มีการแกไขได (อาบตั ิ ๖ อยางที่เหลือ); ๑. ปลงอาบัติ หรือการอยูกรรมเปนตนอนวเสส ไมม สี วนเหลือ ๒. สาวเสส ตามวธิ ีทท่ี า นบญั ญัติไวยังมีสวนเหลือ; ๑. อัปปฏิกัมม หรือ อาปจุ ฉา บอกกลา ว, ถามเชงิ ขออนญุ าตอปฏกิ รรม ทําคนื ไมได คอื แกไขไมไ ด เปน การแสดงความเออ้ื เฟอ , แจง ใหท ราบ๒. สัปปฏกิ มั ม หรอื สปฏิกรรม ยงั ทาํ เชน ภิกษุผูออนพรรษาจะแสดงธรรมคนื ได คือแกไขได ตอ งอาปจุ ฉาภกิ ษผุ มู พี รรษามากกวา กอ นอาการท่ภี ิกษุจะตองอาบตั ิ มี ๖ อยา ง อาโปธาตุ ธาตุน้าํ , สภาวะทมี่ ลี กั ษณะเอบิคือ อลชชฺ ติ า ตอ งดวยไมละอาย ๑ อาบ ดดู ซมึ เกาะกมุ ; ในรา งกายทใ่ี ชเปนอฺ าณตา ตองดวยไมรูวาสิ่งน้ีจะเปน อารมณกรรมฐาน ไดแก ดี เสลด หนองอาบัติ ๑ กกุ กฺ จุ จฺ ปกตตา ตองดว ยสงสัย เลอื ด เหงอ่ื มนั ขน นา้ํ ตา เปลวมนั นา้ํแลวขนื ทาํ ลง ๑ อกปปฺ เ ย กปปฺ ย สฺิตา ลาย นาํ้ มูก ไขขอ มูตร, ขอความนี้ เปนตอ งดวยสาํ คญั วาควรในของทไ่ี มค วร ๑ การกลาวถึงอาโปธาตุในลักษณะที่คนกปปฺ เ ย อกปปฺ ย สฺติ า ตองดวยสําคัญ สามญั ทวั่ ไปจะเขา ใจได และพอใหส าํ เรจ็วา ไมควรในของที่ควร ๑ สตสิ มโฺ มสา ประโยชนใ นการเจรญิ กรรมฐาน แตใ นตองดว ยลืมสติ ๑ ทางอภิธรรม อาโปธาตุเปนสภาวะที่อาบัติชั่วหยาบ ในประโยควา “บอก สมั ผสั ดว ยกายไมไ ด มใี นรปู ธรรมทว่ั ไปอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแกอนุปสัมบัน” แมแ ตใ นกระดาษ กอ นหนิ เหล็ก และอาบตั ปิ าราชกิ และอาบตั สิ ังฆาทเิ สส; ดู แผนพลาสตกิ ; ดู ธาต,ุ รูป ๒๘ทุฏุลลาบตั ิ อาพาธ ความเจ็บปว ย, โรค (ในภาษาอาบัติท่ีเปนโทษล่าํ อาบัติปาราชกิ และ ไทย ใชแกภ กิ ษสุ ามเณร แตใ นภาษาสงั ฆาทิเสส บาลี ใชไ ดท่วั ไป); อาพาธตา งๆ มีมากอาปณะ ช่ือนคิ ม ซง่ึ เปน เมอื งหลวงของ มาย เรียกตามช่ืออวัยวะที่เปนบาง
อาภัพ ๕๔๐ อายตนะเรียกตามอาการบาง บางทีแยกตาม อาวโุ ส (เขยี นตามรปู บาลี เปน อาม ภนเฺต,สมฏุ ฐานวา ปตฺตสมุฏ านา อาพาธา, อาม อาวุโส)เสมหฺ สมฏุ านา อาพาธา, วาตสมฏุ านา อามยั ความปว ยไข, โรค, ความไมสบาย;อาพาธา, สนฺนิปาติกา อาพาธา, อตุ -ุ ตรงขา มกับ อนามยั คอื ความสบาย, ไมม ีปริณามชา อาพาธา, วิสมปริหารชา โรคภัยไขเ จ็บอาพาธา, โอปกฺกมิกา อาพาธา, กมฺม- อามสิ เครอ่ื งลอใจ, เหยือ่ , ส่งิ ของ อามสิ ทายาท ทายาทแหงอามสิ , ผรู บัวปิ ากชา อาพาธาอาภพั ไมส มควร, ไมส ามารถ, ไมอ าจ มรดกอามิส, ผูรับเอาสมบัติทางวัตถุเปน ไปได, เปน ไปไมไ ด (จากคาํ บาลวี า เชน ปจ จัย ๔ จากพระพทุ ธเจา มาเสพอภพฺพ เชน ผูกระทํามาตุฆาต ไม เสวย ดว ยอาศยั ผลแหง พทุ ธกจิ ทไ่ี ดท รงสามารถบรรลมุ รรคผล, พระโสดาบนั ไม บาํ เพญ็ ไว; โดยตรง หมายถงึ รับเอาอาจเปน ไปไดทีจ่ ะทาํ มาตุฆาต เปน ตน); ปจจยั ๔ มาบรโิ ภค โดยออ ม หมายถงึไทยใชเฉพาะในความวา ไมอ าจจะไดจ ะ ทํากุศลที่นําไปสูวัฏฏะ เชนใหทานถงึ สงิ่ นนั้ ๆ, ไมม ที างจะไดส ง่ิ ทมี่ งุ หมาย บําเพ็ญฌานสมาบัติ ดวยมุงหมาย(คลา ยคาํ วา อบั วาสนา หรอื ไมม วี าสนา; ดู มนษุ ยสมบตั แิ ละเทวสมบัต;ิ พระพุทธ-อภพั บคุ คล เจาตรัสสอนภิกษุท้ังหลายใหเปนธรรม-อาภสั สระ ผมู ีรศั มแี ผซ าน, เปลง ปลั่ง, ทายาท มิใหเปนอามิสทายาท; เทียบช่ือพรหมโลกชั้นท่ี ๖; ดู พรหมโลก ธรรมทายาท(พจนานุกรมเขียน อาภสั ระ) อามสิ บชู า การบชู าดวยอามิส คือ ดว ยอาภา แสง, รศั ม,ี ความสวา ง สงิ่ ของมดี อกไม ของหอม อาหาร และอามะ คาํ รบั ในภาษาบาลี ตรงกบั ถกู แลว , วตั ถุอ่ืนๆ (ขอ ๑ ในบชู า ๒)ใช, ครับ, คะ, จะ, เออ ถา ผถู ูกกลา วรบั อามิสปฏิสันถาร การตอนรับดวยส่ิงเปนผูนอยกวาหรือมีพรรษานอยกวา ของ เชน อาหาร นํ้าบรโิ ภค เปน ตนหรือเปนคฤหัสถพูดกับพระสงฆกลาว (ขอ ๑ ใน ปฏิสนั ถาร ๒)ตอวา ภันเต เปน อามะ ภนั เต ถาผู อามิสสมโภค คบหากันในทางอามสิ ไดกลาวรับเปนผูใหญกวาหรือมีพรรษา แก ใหหรือรบั อามิสมากกวา หรือเปนพระสงฆพูดกับ อายโกศล ดู โกศล ๓คฤหัสถ กลา วตอ วา อาวุโส เปน อามะ อายตนะ ทต่ี ิดตอ, เครอื่ งติดตอ, แดน
อายตนะภายนอก ๕๔๑ อายุสังขาราธิฏฐานตอความร,ู เครื่องรูแ ละส่งิ ที่รู เชนตา ของชวี ติเปน เครอื่ งรู รปู เปน สงิ่ ทรี่ ,ู หเู ปน เครอื่ งรู อายกุ ษยั , อายขุ ยั การสน้ิ อาย,ุ ความตายเสยี งเปน ส่ิงทรี่ ู เปน ตน, จดั เปน ๒ อายกุ ปั , อายกุ ปั ป กาลกาํ หนดแหง อาย,ุประเภท คือ อายตนะภายใน ๖ กําหนดอายุ, ชวงเวลาแตเกิดถึงตายอายตนะภายนอก ๖ ตามปกติหรือที่ควรจะเปน ของสัตวอายตนะภายนอก เครื่องตอภายนอก, ประเภทนน้ั ๆ ในยคุ สมยั นนั้ ๆ; ดู กปัสงิ่ ทถ่ี กู รมู ี ๖ คอื ๑. รปู รปู ๒. สทั ทะ อายุวัฒนะ ความเจริญอายุ, ยืดอายุ,เสยี ง ๓. คันธะ กล่นิ ๔. รส รส ๕. อายยุ นืโผฏฐัพพะ สิ่งตองกาย ๖. ธัมมะ อายสุ งั ขาร เครอื่ งปรงุ แตง อาย,ุ ปจ จยัธรรมารมณ คือ อารมณที่เกิดกับใจ ตา งๆ ทห่ี ลอ เลยี้ งชวี ติ ของสตั วแ ละพชื ใหหรือสง่ิ ทใี่ จรู; อารมณ ๖ ก็เรียก ดาํ รงอยแู ละสบื ตอ ไปได, มกั พบในคาํ วาอายตนะภายใน เครื่องตอภายใน, “ปลงอายสุ งั ขาร” และ “ปลงพระชนมาย-ุเครอ่ื งรบั รู มี ๖ คอื ๑. จกั ขุ ตา ๒. โสต สงั ขาร”; ดู อาย,ุ อายสุ งั ขารโวสสชั ชนะหู ๓. ฆานะ จมกู ๔. ชวิ หา ลน้ิ ๕. กาย อายุสังขารโวสสชั ชนะ “การสลดั ลงซง่ึกาย ๖. มโน ใจ; อนิ ทรยี ๖ กเ็ รยี ก ปจ จยั เครอ่ื งปรงุ แตง อาย”ุ , การปลงอาย-ุอายาจนะ การขอรอง, การวงิ วอน, การ สังขาร, การสละวางการปรุงแตงอายุ, เช้อื เชญิ การเลิกความคิดท่ีจะดาํ รงชีวติ อยตู อ ไป,อายุ สภาวธรรมท่ีทาํ ใหชีวิตดาํ รงอยูหรือ ความตกลงปลงใจกาํ หนดการสนิ้ สดุ อาย;ุเปน ไป, พลงั ทห่ี ลอ เลยี้ งดาํ รงรกั ษาชวี ติ , ในพุทธประวัติ ที่วาพระพุทธเจาทรงพลังชีวิต, ความสามารถของชีวิตท่ีจะ “ปลงอายสุ งั ขาร” หรอื “ปลงพระชนมาย-ุดาํ รงอยแู ละดาํ เนนิ ตอ ไป, ตามปกตทิ า น สงั ขาร” คอื ทรงพจิ ารณาเหน็ วา บรษิ ทั ๔อธบิ ายวา อายุ กค็ อื ชวี ติ นิ ทรยี นนั่ เอง; มีคุณสมบัติพรอม และพรหมจริยะคือชวงเวลาท่ีชีวิตของมนุษยสัตวประเภท พระศาสนานี้ เจรญิ แพรห ลายไพบูลยด ีนนั้ ๆ หรอื ของบคุ คลนนั้ ๆ จะดาํ รงอยไู ด, แลว จึงตกลงพระทัยวา (อกี ๓ เดอื นชว งเวลาท่ชี วี ติ จะเปนอยูได หรอื ไดเ ปน แตนั้นไป) จะปรินิพพาน, อายุสังขาร-อยู; ในภาษาไทย อายุ มคี วามหมาย โอสสัชชนะ หรอื อายสุ งั ขาโรสสชั ชนะ ก็เพีย้ นไปในทางท่ไี มนาพอใจ เชน กลาย วา ; ดู อาย,ุ อายสุ งั ขารเปนความผานลวงไปหรือความลดถอย อายสุ งั ขาราธฏิ ฐาน การตงั้ พระทยั วา จะ
อารมณ ๕๔๒ อารกั ขกัมมฏั ฐานดาํ รงไวซ ง่ึ อายสุ งั ขาร, การทพ่ี ระพทุ ธเจา ในภาษาไทยใชใ นความหมายตางกนั )ตั้งพระทยั กาํ หนดแนว า จะดาํ รงพระชนม อารยชน ชนท่เี จรญิ ดวยขนบธรรมเนียมอยกู อ น จนกวา พทุ ธบรษิ ทั ทงั้ ๔ คอื อันดีงาม, คนมีอารยธรรมภิกษุ ภกิ ษณุ ี อุบาสก อุบาสกิ า จะเปน ผู อารยชาติ ชาตทิ เ่ี จรญิ ดว ยขนบธรรมเนยี มทีไ่ ดเรียนรูเชี่ยวชาญ แกลว กลา เปน อันดงี ามพหสู ตู ทรงธรรม ปฏิบตั ิชอบ สามารถช้ี อารยธรรม ธรรมอันดงี าม, ธรรมของแจงแสดงธรรม กําราบปรัปวาทที่เกิด อารยชน, ความเจรญิ ดว ยขนบธรรมเนยี มขน้ึ ใหสงบไดโ ดยชอบธรรม ในระหวาง อันดีงาม; ในทางธรรม หมายถึง กศุ ล-น้ีแมหากมีโรคาพาธเกิดข้ึน ก็จะทรง กรรมบถ ๑๐ระงับขบั ไลเ สยี ดว ยอิทธิบาทภาวนา จะ อารยอัษฎางคิกมรรค ทางมีองค ๘ยังไมป รนิ พิ พาน จนกวาพรหมจรยิ ะคือ ประการ อนั ประเสรฐิ ; ดู มรรคพระศาสนานี้ จะเจริญม่ันคง เปน อารกั ขกมั มฏั ฐาน กรรมฐานเปน เครอื่ งประโยชนแกพหูชน เปนปกแผนแนน รักษาตน, กรรมฐานเปนเครื่องรักษาผูหนา แพรห ลายไพบลู ย; คําน้ี ทา นปรุง ปฏิบัติใหส งบระงบั และใหต ง้ั อยใู นความ ข้ึนใชในหนังสือปฐมสมโพธิ เพื่อส่ือ ไมประมาท ทา นจดั เปน ชดุ ขน้ึ ภายหลงั ความหมายทกี่ ลา วแลว ; เทยี บ อายสุ งั ขาร- โวสสชั ชนะ ดงั มกี ลา วถงึ ในอรรถกถา (วนิ ย.อ.๓/๓๗๔)อารมณ เครื่องยดึ หนวงของจติ , สิง่ ที่จติ และฎกี าพระวนิ ยั (วนิ ย.ฏ.ี ๒/๖๗/๑๗๙) มี ๔ ขอ เรยี กวา จตรุ ารกั ขา (เรยี กใหส นั้ วายึดหนว ง, สง่ิ ทีถ่ ูกรหู รอื ถกู รับรู ไดแ ก จตรุ ารกั ข หรอื จตรุ ารกั ษ) คอื พทุ ธานสุ ติอายตนะภายนอก ๖ คือ รปู เสียง กล่ิน เมตตา อสภุ ะ และมรณสต,ิ ตอ มาในรส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ; ใน ลงั กาทวปี พระธรรมสริ เิ ถระ ไดเ ขยี นภาษาไทย ความหมายเลือนไปเปน อธบิ ายไวใ นคมั ภรี ข ทุ ทสกิ ขา และในพมาความรูสึก หรือความเปนไปแหงจิตใจ ทเ่ี มอื งรา งกงุ ไดม พี ระเถระชอ่ื อคั รธรรมในขณะหรอื ชวงเวลาหนง่ึ ๆ เชน วา อยา ถึงกับแตงคัมภีรขึ้นอธิบายเร่ืองนี้โดยทาํ ตามอารมณ วันน้อี ารมณดี อารมณ เฉพาะ เรียกวา จตุรารักขทีปนี; ในเสยี เปนตน หนงั สอื นวโกวาท มคี าํ อธบิ ายซง่ึ เปน พระอารยะ คนเจรญิ , คนมีอารยธรรม; พวก ราชนิพนธของพระบาทสมเด็จพระจอมชนชาติ อรยิ กะ (ตรงกบั บาลวี า อรยิ ะ แต เกลา เจา อยหู วั วา “อารกั ขกมั มฏั ฐาน ๔
อารกั ขสัมปทา ๕๔๓ อารัญญกวตั ร ๑. พุทธานสุ สติ ระลกึ ถงึ คณุ พระพุทธ ขนั ธกะ จดั เปน หวั ขอ ไดด งั นี้ ก. ๑. ภกิ ษุ เจาทมี่ ใี นพระองค และทรงเกอื้ กลู แกผู ผอู ยปู า พงึ ลกุ ขนึ้ แตเ ชา ตรู เอาถงุ บาตร อนื่ ๒. เมตตา แผไ มตรจี ติ คิดจะให สวมบาตรแลวคลองบา ไว พาดจีวรบน สัตวทั้งปวงเปนสุขท่ัวหนา ๓. อสุภะ ไหล สวมรองเทา เกบ็ งาํ เครอื่ งไมเ ครอ่ื ง พิจารณารางกายตนและผูอื่นใหเห็นเปน ดิน ปดประตูหนาตางแลวลงจาก ไมงาม ๔. มรณสั สติ นึกถึงความตาย เสนาสนะ (ทพี่ กั อาศยั ) ไป ๒. ทราบวา อนั จะมแี กตน. กมั มฏั ฐาน ๔ อยา งนี้ “บัดน้ีจักเขาหมูบาน” พึงถอดรองเทา เคาะตาํ่ ๆ แลว ใสถ งุ คลอ งบา ไว นงุ ใหเ ปน ควรเจรญิ เปน นติ ย” ปรมิ ณฑล คาดประคดเอว หม สงั ฆาฏิอารักขสัมปทา ถึงพรอมดวยการรกั ษา ซอ นเปน สองชนั้ กลดั ลกู ดมุ ชาํ ระบาตร คือรักษาทรัพยท่ีแสวงหามาไดดวย แลวถือเขาหมูบานโดยเรียบรอยไมรีบ รอ น ไปในละแวกบา นพงึ ปกปด กายดว ย ความหมั่น ไมใ หเ ปน อันตรายและรักษา ดี สาํ รวมดว ยดี ไมเ ดนิ กระโหยง เมอ่ื จะ เขา สนู เิ วศน พงึ กาํ หนดวา เราจกั เขา ทาง การงานไมใ หเสอ่ื มเสียไป, รจู ักเก็บออม นี้ จกั ออกทางนี้ ไมพ งึ รบี รอ นเขา ไป ไม พึงรีบรอนออกมา พงึ ยนื ไมไ กลเกนิ ไป ถนอมรักษาปดชองร่ัวไหลและคุมครอง ไมใกลเกนิ ไป ไมนานเกนิ ไป ไมก ลบั ออกเรว็ เกนิ ไป เมอ่ื ยนื อยู พงึ กาํ หนดวา ปอ งกนั ภยนั ตราย (ขอ ๒ ในทฏิ ฐธมั ม-ิ เขาประสงคจะถวายภกิ ษาหรอื ไม ฯลฯ เมอ่ื เขาถวายภกิ ษา พงึ แหวกสงั ฆาฏดิ ว ย กตั ถสังวัตตนิกธรรม ๔) มอื ซา ย นอ มบาตรเขา ไปดว ยมอื ขวา ใชอารักขา การขอความคุมครองจากเจา มอื ทง้ั สองขา งประคองบาตรรบั ภกิ ษา ไม หนา ท่ีฝา ยบานเมอื ง เมือ่ มผี ปู องรา ยขม พงึ มองดหู นา สตรผี ถู วาย พงึ กาํ หนดวา เขาประสงคจะถวายแกงหรือไม ฯลฯ เหง หรือถูกลักขโมยสิ่งของ เปนตน เม่ือเขาถวายภิกษาแลว พึงคลุมบาตร เรียกวา ขออารักขา ถอื เปน การปฏิบัติ ดว ยสังฆาฏิแลว กลับโดยเรยี บรอ ยไมร บี ชอบตามธรรมเนียมของภิกษุแทนการ รอ น เดนิ ไปในละแวกบา น พงึ ปกปด กาย ดว ยดี สาํ รวมดว ยดี ไมเ ดนิ กระโหยง ๓. ฟองรองกลาวหาอยางที่ชาวบานทํากัน เพราะสมณะไมพอใจจะเปนถอยความ กบั ใครๆอารักษ, อารกั ขา การปอ งกัน, การคมุ ครอง, การดแู ลรักษาอารญั ญกวตั ร ขอ ปฏบิ ตั สิ าํ หรบั ภกิ ษผุ อู ยู ปา, ธรรมเนียมที่ภิกษุผูอยูปาพึงถือ ปฏิบัติ ตามพุทธบัญญัติท่ีมาในวัตต-
อารัญญิกังคะ ๕๔๔ อารามออกจากบา นแลว (หลงั จากฉนั และลา ง หรอื นาํ ไปสวดเปน ทาํ นอง จะไดไ มข ดับาตรแลว ) เอาบาตรใสถ งุ คลอ งบา พบั อาราธนาพระปริตร กลาวคําเชิญหรือจวี ร วางบนศรี ษะ สวมรองเทา เดนิ ไป ข. ขอรอ งใหพระสวดพระปรติ ร วาดงั น้:ีภกิ ษผุ อู ยปู า พงึ จดั เตรยี มนาํ้ ดมื่ ไว พงึ จดั “วปิ ตตฺ ิปฏิพาหายเตรยี มนาํ้ ใชไ ว พงึ ตดิ ไฟเตรยี มไว พงึ จดั สพฺพสมปฺ ตตฺ ิสทิ ธฺ ยิ าเตรยี มไมส ไี ฟไว พงึ จดั เตรยี มไมเ ทา ไว สพพฺ ทกุ ฺขวินาสายค. พงึ เรยี นทางนกั ษตั รไว (ดดู าวเปน ) ปริตฺตํ พรฺ ูถมงฺคลํ”ทงั้ หมดหรอื บางสว น พงึ เปน ผฉู ลาดในทศิ (วา ๓ คร้ัง แตคร้ังท่ี ๒ เปล่ยี น ทุกขฺอารัญญิกังคะ องคแหงผูถืออยูปาเปน เปน ภย; คร้งั ที่ ๓ เปลย่ี นเปน โรค)วตั ร คอื ไมอ ยใู นเสนาสนะใกลบ า น แต อาราธนาศีล กลาวคําเชิญหรือขอรองอยปู า หา งจากบา นอยา งนอ ย ๒๕ เสน พระใหใ หศ ลี , สาํ หรบั ศลี ๕ วา ดงั น:้ี “มยํ ภนเฺ ต, (วสิ ุ วิสุ รกฺขณตถฺ าย), ตสิ รเณน(ขอ ๘ ในธดุ งค ๑๓)อารมั ภกถา คาํ ปรารภ, คาํ เรมิ่ ตน , คาํ นาํ สห, ปจฺ สลี านิ ยาจาม; ทุติยมฺป มยํอาราธนา การเชอ้ื เชิญ, นมิ นต, ขอรอ ง, ภนฺเต, (วสิ ุ วสิ ุ รกฺขณตฺถาย), ตสิ รเณนออนวอน (มกั ใชสาํ หรบั พระสงฆและส่ิง สห, ปจฺ สีลานิ ยาจาม; ตติยมฺป มยํ ภนฺเต, (วสิ ุ วิสุ รกฺขณตฺถาย), ตสิ รเณนศกั ด์ิสทิ ธ์ิ)อาราธนาธรรม กลา วคาํ เชญิ หรอื ขอรอ ง สห, ปจฺ สลี านิ ยาจาม;” (คําในวงเล็บพระใหแ สดงธรรม (ใหเ ทศน) วา ดงั น:ี้ จะไมใชก ไ็ ด)“พฺรหมฺ า จ โลกาธปิ ตี สหมฺปติ คําอาราธนาศีล ๘ ก็เหมือนกันกตฺอชฺ ลี อนธฺ ิวรํ อยาจถ เปลยี่ นแต ปจฺ เปน อฏสนตฺ ธี สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา อาราธนาศีลอุโบสถ กลาวคําเชิญพระเทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปมํ ปช”ํ ใหใ หอ โุ บสถศลี วา พรอ มกนั ทกุ คน ดงั น:ี้พงึ สังเกตวา กตฺอชฺ ลี อนฺธวิ รํ คาํ “มยํ ภนเฺ ต, ตสิ รเณน สห, อฏ งคฺ สมน-ฺปกตเิ ปน กตชฺ ลี (กตอชฺ ล)ี อนธิวรํ นาคต,ํ อโุ ปสถํ ยาจาม” (วา ๓ จบ)(ในพระไตรปฎ ก ๓๓/๑๘๐/๔๐๓ กใ็ ช อาราม วดั , ท่ีเปน ทมี่ ายินดี, สวนเปนที่รปู ปกตติ ามไวยากรณอ ยา งนนั้ ) แตท มี่ ี รื่นรมย; ความยินดี, ความรื่นรมย,รปู แปลกไปอยา งนี้ เนอ่ื งจากทา นทาํ ตาม ความเพลิดเพลิน; ในทางพระวินัยฉนั ทลกั ษณ ทบี่ งั คบั คร-ุ ลหุ เมอื่ จะอา น เกย่ี วกบั ของสงฆ หมายถงึ ของปลกู สรา ง
อารามวตั ถุ ๕๔๕ อาวโุ สในอารามตลอดจนตน ไม; ดู คนั ธกุฎี กําหนดหมายวากลางวันไวในใจ ใหอารามวตั ถุ ท่ีดินวดั , ท่ดี นิ พน้ื วัด เหมือนกันท้ังในเวลากลางวันและกลางอารามกิ คนทาํ งานวัด, คนวัด คืน เปนวิธีแกง วงอยางหน่งึอารามกิ เปสกะ ภกิ ษผุ ูไ ดร ับสมมติ คอื อาวรณ เครื่องกน้ั , เครอื่ งกําบัง; ไทยมกัแตง ตงั้ จากสงฆ ใหมีหนา ทีเ่ ปนผใู ชค น ใชในความหมายวา หว งใย, อาลยั , คดิทํางานวัด, เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา กังวลถึงเจาอธิการแหง อาราม อาวชั นาการ ความราํ พงึ , การราํ ลกึ , นกึ ถงึอาลกมันทา ราชธานีซึ่งเปนทิพยนคร อาวาส ท่ีอยู, โดยปรกตหิ มายถึงทอ่ี ยูของพวกเทวดาชั้นจาตมุ หาราชกิ า ของพระสงฆ คือ วดัอาลปนะ คํารองเรียก อาวาสปลโิ พธ ความกังวลในอาวาส คืออาลยสมุคฺฆาโต ความถอนขึ้นดว ยดซี ่ึง ภิกษุยังอยใู นอาวาสนัน้ หรือหลีกไปแตอาลัย, การถอนอาลยั คอื ตัณหาไดเ ดด็ ยังผกู ใจอยวู าจะกลบั มา (เปนเหตอุ ยา งขาด (เปน ไวพจนแหงวริ าคะ) หนึ่งที่ทําใหกฐินยังไมเดาะ); ในการอาลัย 1. ท่ีอย,ู ทอ่ี าศัย, แหลง 2. ความ เจริญกรรมฐาน หมายถึงความหวงใยมใี จผูกพนั , ความเยอ่ื ใย, ความตดิ ใจ กังวลเก่ียวกับที่อยูอาศัย เชนหวงงานปรารถนา, ความพัวพัน มักหมายถงึ กอสรางในวัด มีส่ิงของท่ีสะสมเอาไวตัณหา; ในภาษาไทยใชในความหมายวา มาก เปน ตน เมอ่ื จะเจรญิ กรรมฐาน พงึหว งใย หวนคิดถงึ ตดั ปลิโพธนีใ้ หได; ดู ปลิโพธอาโลก แสงสวาง อาวาสมจั ฉรยิ ะ ตระหนท่ี อี่ ยู ไดแ กห วงอาโลกกสิณ กสิณคือแสงสวาง, การ แหน ไมพ อใจใหใ ครๆ เขา มาอยแู ทรกเจริญสมถกรรมฐานตั้งใจเพงแสงสวาง แซง หรอื กดี กนั ผอู นื่ ทมี่ ใิ ชพ วกของตนไม เปนอารมณ (ขอ ๙ ใน กสิณ ๑๐) ใหเ ขา อยู (ขอ ๑ ในมจั ฉรยิ ะ ๕)อาโลกเลณสถาน ชื่อถํ้าแหงหน่ึงใน อาวาหะ การแตงงาน, การสมรส, การพามลยชนบท เกาะลังกา เปนท่ีทํา หญงิ มาบา นตวัสังคายนาคร้ังท่ี ๕ จารึกพระไตรปฎ ก อาวาหววิ าหมังคลาภเิ ษก พิธรี ดนํา้ เพือ่ลงในใบลาน เปนมงคลในการแตงงาน, งานมงคลอาโลกสัญญา ความสาํ คัญในแสงสวา ง, สมรส (ใชแ กเ จา )กําหนดหมายแสงสวาง คอื ต้งั ความ อาวโุ ส “ผูม ีอายุ” เปนคําเรยี ก หรอื ทกั
อาศรม ๕๔๖ อาสภวิ าจาทาย ที่ภิกษุผูแกพรรษาใชรองเรียก พราหมณไดความคิดจากพระพุทธ-ภกิ ษผุ อู อนพรรษากวา (ภกิ ษผุ ูใหญร อง ศาสนาไปปรับปรุงจัดวางระบบของตนเรียกภิกษุผูนอย) หรือภิกษุรองเรียก ข้นึ เชน สนั ยาสี ตรงกับภกิ ษุ แตหาคฤหสั ถ คูก ับคํา ภนฺเต ซง่ึ ภิกษุผอู อ น เหมือนกนั จริงไม)กวาใชรองเรียกภิกษุผูแกหวาหรือ อาสนะ ทีน่ ัง่ , ท่ีสาํ หรับนงั่คฤหัสถรองเรียกภิกษุ; ในภาษาไทย อาสภวิ าจา วาจาอาจหาญ, วาจาย่งิ ยงมกั ใชเพ้ียนไปในทางตรงขาม หมายถงึ องอาจ ที่เปลงออกมาอยางหนักแนนเกา กวา หรือแกก วาในวงงาน กิจการ แกลว กลา และจะแจง ชดั เจน อนั ประกาศหรอื ความเปน สมาชกิ ความจรงิ หรอื ความสาํ เรจ็ ทแี่ นแท ซ่ึงอาศรม ทอ่ี ยูของนักพรต; ตามลทั ธขิ อง ไมมีใครอาจคัดคานได, อาสภิวาจาท่ีพราหมณ ในยคุ ทกี่ ลายเปน ฮนิ ดแู ลว ได อา งองิ บอ ยทสี่ ดุ ในคมั ภรี ท งั้ หลาย ไดแ กวางระเบียบเกี่ยวกับการดําเนินชีวิตของ พระดาํ รัสของพระโพธิสัตว ที่ประกาศชาวฮินดูวรรณะสูง โดยเฉพาะวรรณะ พระองควาเปน เอกในโลก ตามเรื่องวาพราหมณ โดยแบง เปน ขนั้ หรอื ชว งระยะ พระมหาบุรุษเม่ือประสูติจากพระครรภ๔ ขนั้ หรอื ๔ ชว ง เรยี กวา อาศรม ๔ ของพระมารดา ยา งพระบาทไป ๗ กา วกําหนดวาชาวฮินดูวรรณะพราหมณทุก แลวทรงหยุดประทับยืนตรัสอาสภิวาจาคนจะตอ งครองชวี ติ ใหค รบทงั้ ๔ อาศรม วา “อคฺโคหมสมฺ ิ โลกสฺส” ดังนีเ้ ปน ตนตามลาํ ดบั (แตใ นทางปฏบิ ตั ิ นอ ยคนนกั แปลวา “เราเปนอัครบุคคลของโลกไดป ฏบิ ตั เิ ชน นนั้ โดยเฉพาะปจ จบุ นั ไมไ ด ฯลฯ”, พระสารีบุตรก็เคยเปลงอาสภิ-ถอื กนั แลว ) คอื ๑. พรหมจารี เปน นกั วาจา ประกาศความเล่ือมใสในพระผมู ีเรยี นศกึ ษาพระเวท ถอื พรหมจรรย ๒. พระภาคเจา วา สมณะหรือพราหมณอนื่คฤหสั ถ เปน ผคู รองเรอื น มภี รรยาและมี ใดที่จะย่ิงไปกวาพระผูมีพระภาคในบตุ ร ๓. วานปรสั ถ ออกอยปู า เมอ่ื เหน็ สัมโพธิญาณน้ัน มิไดมีแลว จักไมมีบตุ รของบตุ ร ๔. สนั ยาสี (เขยี นเตม็ เปน และทั้งไมมอี ยูใ นบดั น้ี, คาํ วาอาสภวิ าจาสนั นยาส)ี เปน ผสู ละโลก มผี า นงุ ผนื เดยี ว บางครัง้ มาดวยกนั กบั คําวา สหี นาท (การถือภาชนะขออาหารและหมอน้ําเปน บันลอื อยา งราชสีห) คือ ถอยคาํ ทีแ่ สดงสมบัติ จาริกภิกขาจารเรื่อยไปไมยุง ความแกลวกลาม่ันใจ เปนอาสภิวาจาเกี่ยวกับชาวโลก (ปราชญบางทานวา กิริยาท่ีประกาศความจริงความมั่นใจ
อาสวะ ๕๔๗ อาหารออกไปแกที่ประชุมหรือแกชนท้ังหลาย อาสันทิ เปน เตียงหรือเกา อีน้ อน)เปนสหี นาท; ดู สหี นาท อาสันนกรรม กรรมจวนเจียน, กรรมอาสวะ 1. ความเสียหาย, ความเดอื ด ใกลตาย หมายถึงกรรมท่ีเปนกุศลก็ดีรอน, โทษ, ทกุ ข 2. น้าํ ดองอนั เปน เมรัย อกุศลกด็ ี ทที่ ําเม่ือจวนตายยังจบั ใจอยูเชน ปปุ ผฺ าสโว นา้ํ ดองดอกไม, ผลาสโว ใหมๆ ถา ไมม คี รกุ กรรม และพหลุ กรรมน้ําดองผลไม 3. กิเลสที่หมักหมมหรอื ยอมใหผ ลกอ นกรรมอ่ืนๆ เหมอื นโคท่ีดองอยูในสันดาน ไหลซึมซานไปยอม ยัดเยียดกันอยูในคอกเม่ือคนเลี้ยงเปดจิตตเ ม่ือประสบอารมณต า งๆ, อาสวะ ๓ คอกออก ตัวใดอยใู กลประตู ตัวนน้ัคอื ๑. กามาสวะ อาสวะคอื กาม ๒. ยอ มออกกอ น แมจะเปน โคแก (ขอ ๑๑ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ ๓. อวชิ ชาสวะ ในกรรม ๑๒)อาสวะคอื อวชิ ชา; อกี หมวดหนงึ่ อาสวะ ๔ อาสา ความหวงั , ความตองการ; ไทยวาคือ ๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม ๒. รับทาํ โดยเต็มใจ, สมัคร, แสดงตวั ขอภวาสวะ อาสวะคอื ภพ ๓. ทิฏฐาสวะ รบั ทําการนั้นๆอาสวะคือทิฏฐิ ๔. อวิชชาสวะ อาสวะ อาสาฬหะ เดือน ๘ ทางจนั ทรคติ อาสาฬหบูชา “การบูชาในเดือน ๘“คอื อวชิ ชาอาสวักขยญาณ ความรูเปนเหตุสิ้น หมายถงึ การบชู าในวนั เพญ็ เดอื น ๘ เพอ่ือาสวะ, ญาณหยั่งรใู นธรรมเปนทีส่ ้นิ ไป ราํ ลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเปนการพิเศษแหงอาสวะทง้ั หลาย, ความตรสั รู (เปน เนือ่ งในวนั ทพี่ ระพทุ ธเจา ทรงแสดงปฐม-ความรูท่ีพระพุทธเจาไดในยามสุดทาย เทศนา คอื ธมั มจกั กัปปวัตนสตู ร ทาํ ใหแหง ราตรี วันตรสั ร)ู (ขอ ๓ ในญาณ ๓ เกิดมีปฐมสาวก คือ พระอัญญาโกณ-หรือวิชชา ๓, ขอ ๖ ในอภิญญา ๖, ขอ ฑัญญะ และเกิดสังฆรัตนะคํารบพระ ๘ ในวิชชา ๘, ขอ ๑๐ ในทศพลญาณ) รตั นตรัยอาสญั ไมมสี ญั ญา, หมดสัญญา; เปน คาํ อาสาฬหปรุ ณมี วันเพ็ญเดือน ๘, วนัใชใ นภาษาไทย หมายความวา ความ กลางเดอื น ๘, วันข้ึน ๑๕ คํ่า เดือน ๘ตาย, ตาย อาสาฬหมาส ดู อาสาฬหะอาสตั ย ไมม สี ตั ย, ไมซ อ่ื ตรง, กลบั กลอก อาหัจจบาท เตียงที่เขาทําเอาเทาเสียบอาสนั ทิ มานง่ั ส่ีเหล่ียมจตั รุ ัส นง่ั ไดค น เขา ไปในแมแ คร ไมไดต รึงสลกัเดยี ว (ศพั ทเ ดิมเรยี ก อาสนั ทกิ , สว น อาหาร ปจ จัยอันนํามาซ่งึ ผล, เครอ่ื งคา้ํ
อาหารปรเิ ยฏฐิทกุ ข ๕๔๘ อิทธบิ าท จุนชวี ติ , เคร่ืองหลอเลยี้ งชวี ิตมี ๔ คือ กิริยา, ทา นผนู ี้ไดส มาบตั ถิ ึงชัน้ อากิญ- ๑. กวฬงิ การาหาร อาหารคอื คาํ ขา ว ๒. จญั ญายตนฌาน; เรยี กเต็มวา อาฬาร- ผัสสาหาร อาหารคอื ผสั สะ ๓. มโน- ดาบส กาลามโคตร สญั เจตนาหาร อาหารคอื มโนสญั เจตนา อาํ มาตย ดู อมาตย ๔. วิญญาณาหาร อาหารคอื วิญญาณ อิจฉา ความปรารถนา, ความอยากได;อาหารปริเยฏฐิทุกข ทุกขเก่ียวกับการ ไทยมกั ใชในความหมายวารษิ ยา แสวงหาอาหาร, ทุกขในการหากนิ ได อฏิ ฐารมณ “อารมณท น่ี า ปรารถนา” สงิ่ ที่แก อาชีวทุกข คอื ทกุ ขเ นื่องดว ยการ คนอยากไดอ ยากพบ แสดงในแงก ามคณุเล้ยี งชีวติ ๕ ไดแ ก รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ที่อาหารรูป ดทู ี่ รปู ๒๘ นา รกั ใคร นา ชอบใจ แสดงในแงโ ลก-อาหาเรปฏิกูลสัญญา กําหนดหมาย ธรรม ไดแ ก ลาภ ยศ สรรเสรญิ และความเปนปฏิกูลในอาหาร, ความสําคญั ความสขุ ; ตรงขา มกบั อนฏิ ฐารมณหมายในอาหารวาเปนของปฏิกูล อติ ถภี าวะ ความเปน หญงิ , สภาวะทท่ี าํ ใหพิจารณาใหเหน็ วา เปน ของนา เกลยี ดโดย ปรากฏลกั ษณะอาการตา งๆ อนั แสดงถงึอาการตา งๆ เชน ปฏกิ ลู โดยบรโิ ภค, โดย ความเปน เพศหญงิ เปน ภาวรปู อยา งหนงึ่ ;ประเทศทอี่ ยขู องอาหาร, โดยสง่ั สมอยนู าน คกู บั ปรุ สิ ภาวะ; ดู อปุ าทายรปูเปน ตน (ขอ ๓๕ ในกรรมฐาน ๔๐) อิทธาภิสังขาร การปรุงแตงฤทธิ์ขึ้นอาหุดี การเซน สรวง ทนั ใด, การบันดาลดว ยฤทธ์ิอาหเุ นยฺโย (พระสงฆ) เปน ผคู วรแกของ อิทธิ ความสาํ เร็จ, ความรุงเรืองงอกงาม;คํานบั คือ มคี ณุ ความดีสมควรแกก ารที่ อํานาจที่จะทาํ อะไรไดอ ยา งวิเศษประชาชนจะนําของถวายมาแสดงความ อทิ ธิ ๒ ดู ฤทธ์ิ ๒นับถือเชิดชูบูชา ถึงจะตองเดินทางมา อิทธิบาท คุณเคร่ืองใหถึงความสําเร็จ, แมจ ากทีไ่ กล (ขอ ๕ ในสงั ฆคณุ ๙) คุณเคร่ืองสาํ เร็จสมประสงค, ทางแหงอาฬกะ ชื่อแควนหน่ึง ตั้งอยูท่ีลุมนํ้า ความสาํ เร็จ มี ๔ คอื ๑. ฉันทะ ความ พอใจรักใครส ่งิ น้นั ๒. วิรยิ ะ ความ โคธาวรี ตรงขา มกบั แควนอสั สกะ พยายามทาํ ส่ิงนั้น ๓. จิตตะ ความเอาใจอาฬารดาบส อาจารยผูสอนสมาบัติที่ ฝก ใฝใ นสงิ่ นนั้ ๔. วมิ งั สา ความพจิ ารณา พระมหาบุรุษเสด็จไปศึกษาอยูดวยคราวหนึ่ง กอนที่จะทรงบําเพ็ญทุกร- ใครครวญหาเหตุผลในสิ่งน้ัน; จํางายๆ
อทิ ธิบาทภาวนา ๕๔๙ อินทรยี วา มีใจรกั พากเพยี รทํา เอาจิตฝก ใฝ ประมาณ ๑,๐๙๕ ลานคน) ครัง้ โบราณ ใชป ญ ญาสอบสวน; ดู โพธปิ ก ขยิ ธรรม เรยี ก ชมพทู วปี เปน ประเทศทีเ่ กิดพระอิทธิบาทภาวนา การเจริญอิทธิบาท, พุทธศาสนา, พุทธคยา สถานที่ตรัสรู การฝก ฝนปฏิบัติใหอ ทิ ธบิ าทเกดิ มขี ้ึน ของพระพทุ ธเจา อยหู างจากกรงุ เทพฯอิทธิปาฏิหาริย ปาฏิหาริยคือฤทธิ์, ประมาณ ๒,๐๐๐ กโิ ลเมตร; ดูชมพทู วปี แสดงฤทธ์ิไดเ ปน อัศจรรย เชน ลอ งหน อนิ ทปต ถ ช่อื นครหลวงของแควน กรุ ุ ตงั้ดําดนิ เหาะได เปน ตน (ขอ ๑ ใน อยู ณ บรเิ วณเมืองเดลี นครหลวงของปาฏหิ าริย ๓) อินเดยี ปจจุบนั (แควน กรุ อุ ยแู ถบลมุ นาํ้อิทธวิ ิธา, อิทธิวิธิ แสดงฤทธ์ไิ ดตางๆ ยมนุ าตอนบน ราวมณฑลปญ จาบลงมา)เชน นิรมิตกายคนเดียวเปนหลายคน อนิ ทร ผเู ปนใหญ, จอมเทพ, ช่ือเทวราชหลายคนเปนคนเดียว ลอ งหน ดาํ ดนิ ผูเปนใหญในสวรรคชั้นดาวดึงส และมีเดินน้ํา เปน ตน (ขอ ๑ ในอภิญญา ๖, อาํ นาจบงั คบั บญั ชาเหนอื เทพชนั้ จาตมุ หา-ขอ ๓ ในวชิ ชา ๘) ราชกิ า; เรยี กตามนยิ มในบาลวี า ทา วอิทัปปจจยตา “ภาวะท่ีมีอันน้ีๆ เปน สกั กะ; ดู ดาวดึงส, วตั รบท ๗, จาตุมหา-ปจ จัย”, ความเปนไปตามความสัมพันธ ราชกิ าแหงเหตปุ จ จัย, กระบวนธรรมแหงเหตุ อินทริยปโรปริยัตตญาณ ปรีชาหย่ังรูปจ จยั , กฎที่วา “เมอ่ื สิ่งนี้มี สิง่ น้ีจึงมี, ความหยอนและยิ่งแหงอินทรียของสัตวเพราะสง่ิ น้เี กิดขนึ้ สิง่ นี้จงึ เกดิ ขน้ึ ; เปน ท้ังหลาย คือรูวา สัตวพวกไหนมีอีกช่ือหนึ่งของหลัก ปฏิจจสมุปบาท อนิ ทรยี (คือศรทั ธาเปนตน) ออน พวกหรอื ปจจยาการ ไหนมีอนิ ทรยี แ กก ลา พวกไหนมจี รติ มีอนิ เดยี ช่ือประเทศ ต้งั อยูทางทศิ ตะวัน อธั ยาศัย เปนตน อยางไรๆ พวกไหนตกเฉียงเหนอื ของประเทศไทย ถดั จาก สอนยาก พวกไหนสอนงาย ดังนี้ประเทศพมาออกไป มีเมืองหลวงชื่อ เปนตน (ขอ ๖ ในทศพลญาณ)นวิ เดลี (New Delhi) อยหู า งจากกรงุ เทพ อินทรีย ความเปนใหญ, สภาพทีเ่ ปน ใหญประมาณ ๓,๑๐๐ กิโลเมตร อนิ เดยี มี ในกจิ ของตน, ธรรมที่เปน เจา การในการเนื้อท่ีท้ังหมด ๓,๒๘๗,๕๙๐ ตาราง ทําหนา ที่อยางหน่งึ ๆ เชน ตาเปน ใหญกโิ ลเมตร มพี ลเมืองใน พ.ศ. ๒๕๒๔ หรือเปนเจาการในการเห็น หูเปนใหญประมาณ ๖๓๘ ลานคน (พ.ศ. ๒๕๔๙ ในการไดยิน วิริยะเปนเจาการในการ
อนิ ทรีย ๕๕๐ อนิ ทรียครอบงําเสียซง่ึ ความเกยี จคราน เปนตน ๓. ฆานินทรีย (อินทรีย คือ ฆานปสาท) อนิ ทรีย ๕ ธรรมทเ่ี ปนใหญในกิจ ๔. ชิวหินทรีย (อินทรีย คือ ชิวหาปสาท)ของตน โดยเปนเจา การในการทําหนาที่ ๕. กายินทรีย (อนิ ทรีย คอื กายปสาท) ๖. มนินทรยี (อนิ ทรยี คือ ใจ) หมวด๒:และเปนหัวหนานําสัมปยุตตธรรมใน ๗. อิตถนิ ทรยี (อินทรยี คือ อิตถภี าวะ)การครอบงํากําจัดธรรมที่เปนปฏิปกษ ๘. ปรุ สิ นิ ทรยี (อนิ ทรยี คอื ปุริสภาวะ)มี ๕ อยาง ไดแ ก ศรทั ธา วิริยะ สติสมาธิ ปญ ญา (ขอธรรมตรงกบั พละ ๙. ชีวิตินทรยี (อินทรยี คือ ชีวิต)๕), ธรรม ๕ อยา งชุดเดียวกันนี้ เรยี ก หมวด ๓: ๑๐. สขุ นิ ทรีย (อนิ ทรีย คอืช่ือตา งกนั ไป ๒ อยาง ตามหนาที่ทีท่ ํา สุขเวทนา) ๑๑. ทุกขินทรยี (อินทรีย คอืคือ เรียกชือ่ วา พละ โดยความหมายวาเปน กาํ ลงั ใหเ กดิ ความเขม แขง็ มน่ั คง ซึ่ง ทุกขเวทนา) ๑๒. โสมนัสสินทรียธรรมท่ีตรงขามแตละอยางจะเขาครอบ (อินทรยี คอื โสมนัสสเวทนา) ๑๓.งาํ ไมได เรยี กช่อื วา อินทรยี โดยความหมายวาเปนเจาการในการครอบงําเสีย โทมนสั สินทรีย (อินทรยี คอื โทมนสั ส-ซ่ึงธรรมทต่ี รงขามแตล ะอยา ง คือความ เวทนา) ๑๔. อุเปกขนิ ทรีย (อินทรยี คอื อเุ บกขาเวทนา) หมวด๔: ๑๕.สทั ธนิ ทรยี ไรศรัทธา ความเกียจคราน ความ (อนิ ทรยี คอื ศรทั ธา) ๑๖. วิริยินทรยี ประมาท ความฟุงซาน และความหลง (อนิ ทรยี คือ วริ ยิ ะ) ๑๗. สตนิ ทรียงมงาย ตามลําดับ; ดู โพธปิ ก ขยิ ธรรม (อนิ ทรยี คอื สติ) ๑๘. สมาธินทรีย อนิ ทรยี ๖ สภาวะท่ีเปนใหญหรอื (อินทรยี คอื สมาธิ) ๑๙. ปญ ญนิ ทรยี เปนเจาการในการรับรูดา นนนั้ ๆ ไดแก (อนิ ทรีย คอื ปญญา) หมวด ๕: ๒๐.อายตนะภายใน ๖ คอื จักขุ-ตา โสตะ-หู อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย (อินทรียฆานะ-จมกู ชิวหา-ลิน้ กาย-กาย มโน-ใจ แหงผูปฏิบัติดวยมุงวาเราจักรูสัจจธรรม อินทรยี ๒๒ สภาวะทเี่ ปน ใหญใน ที่ยงั มิไดร ู ไดแ ก โสตาปตติมคั คญาณ)การทาํ กจิ ของตน คือ ทําใหธรรมอื่นๆ ๒๑. อัญญินทรยี (อินทรยี คือ อญั ญาที่เกย่ี วของ เปน ไปตามตน ในกิจนนั้ ๆในขณะท่เี ปน ไปอยูน ้ัน มีดงั น้ี หมวด ๑: หรือปญญาอันรูท ั่วถงึ ไดแก ญาณ ๖๑. จกั ขุนทรยี (อนิ ทรยี คอื จักขุปสาท) ในทามกลาง คอื โสตาปต ติผลญาณ ถงึ๒. โสตนิ ทรยี (อินทรยี คอื โสตปสาท) อรหตั ตมคั คญาณ) ๒๒. อญั ญาตาวนิ ทรยี (อินทรียแ หงทา นผรู ทู วั่ ถงึ แลว กลา วคือ ปญ ญาของพระอรหนั ต ไดแ ก อรหัตต-
อินทรียรปู ๕๕๑ อุกกลชนบทผลญาณ อิสรภาพ ความเปนอิสระอนิ ทรียรูป ดูที่ รปู ๒๘ อสิ ราธบิ ดี ผูเ ปนเจาใหญเ หนือกวาผเู ปนอินทรียสังวร สํารวมอินทรีย ๖ คือ ตา ใหญท ัว่ ไป, ราชา, พระเจา แผนดินหู จมกู ลิน้ กาย ใจ ไมใ หยินดียนิ ราย อิสรยิ ยศ ยศคอื ความเปน ใหญ, ความในเวลาเหน็ รูป ฟงเสียง ดมกลิ่น ลิม้ รส เปน ใหญโ ดยตาํ แหนง ฐานนั ดร เปน ตน ;ถกู ตอ งโผฏฐพั พะ รธู รรมารมณดวยใจ, ดู ยศระวังไมใหกิเลสครอบงําใจในเวลารับรู อสิ สา ความริษยา, ความรสู กึ ไมพอใจอารมณท างอินทรยี ท ง้ั ๖ (ขอ ๑ ใน เมื่อเห็นเขาไดดี, เห็นเขาไดดีทนอยไู มอปณ ณกปฏปิ ทา ๓, ขอ ๒ ในปารสิ ทุ ธ-ิ ได, ไมอ ยากใหใครดีกวา ตน, ความคดิศลี ๔, ขอ ๒ ในองคแ หง ภิกษใุ หม ๕), ตดั รอนผูทด่ี กี วา ตน; ความหึงหวง (ขอทเี่ ปน ขอ ๒ ในปาริสุทธศิ ีล ๔ นนั้ เรยี ก ๓ ในมละ ๙, ขอ ๘ ในสังโยชน ๑๐เตม็ วา อนิ ทรยี สงั วรศลี แปลวา ศีลคอื ตามนัยพระอภิธรรม, ขอ ๗ ในความสาํ รวมอินทรีย อุปกิเลส ๑๖)อริ ยิ าบถ “ทางแหง การเคลื่อนไหว”, ทา อิส,ิ อิสี ผูแสวงหาคุณความดี, ผูถือบวช,ทางทร่ี างกายจะเปนไป, ทา ท่เี คลอื่ นไหว ฤษีตง้ั วางรา งกายอยา งใดอยา งหนง่ึ , อริ ยิ าบถ อสิ ิคิลิบรรพต ภูเขาชื่ออิสคิ ลิ ิ เปนภูเขาหลกั มี ๔ คอื ยนื เดนิ นงั่ นอน, อริ ยิ าบถ ลูกหนึ่งในหาลกู ทเี่ รียกเบญจคีรี ลอมยอย เรียกวา จุณณิยอิริยาบถ หรือ รอบพระนครราชคฤหจุณณิกอริ ยิ าบถ ไดแ ก ทาที่แปรเปล่ียน อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั ปา เปน ทใี่ หอ ภยั แก ยกั ยา ยไประหวา งอริ ยิ าบถทงั้ ๔ นนั้ เนอ้ื ชอ่ื อสิ ปิ ตนะ อยใู กลเ มอื งพาราณสีอริ พุ เพท คําบาลเี รียกคัมภรี หนง่ึ ในไตร- เปนสถานที่ท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงเพท ตรงกับที่เรียกอยางสันสกฤตวา ปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรฤคเวท; ดู ไตรเพท โปรดพระปญ จวคั คยี บดั นเี้ รยี ก สารนาถอิศวร พระเปนเจาของศาสนาพราหมณ อุกกลชนบท ชอ่ื ชนบทที่พอคา ๒ คนตามปกติหมายถึงพระศิวะ ซ่ึงเปน เทพ- คอื ตปุสสะ กบั ภัลลกิ ะ เดนิ ทางจากมาเจาแหง การทาํ ลาย แลว ไดพ บพระพทุ ธเจา ขณะทปี่ ระทบั อยูอสิ ระ ผูเ ปนใหญ, เปนใหญ, เปน ใหญใ น ภายใตตนราชายตนะ ภายหลังตรัสรูตวั เอง, เปนไทแกต ัว ไมข นึ้ แกใ คร ใหมๆ
อกุ โกฏนะ ๕๕๒ อุตตรทสิอกุ โกฏนะ การรอื้ ฟน , การฟน เรอื่ ง, ฟน คดี เห็นวาคนและสัตวจุติจากอัตภาพน้ีแลวอุกขฺ ติ ฺตโก “ผอู นั สงฆยกแลว” หมายถงึ ขาดสญู ; ตรงขามกับ สสั สตทิฏฐิ (ขอ ๒ภิกษุผูถูกสงฆทําอุกเขปนียกรรมตัด ในทฏิ ฐิ ๒)สิทธิแหงภิกษุช่ัวคราว (จนกวาสงฆจะ อุชเชนี ชื่อนครหลวงของแควนอวันตี บดั นเ้ี รยี กวา อุชเชน (Ujjain); ดู อวนั ตียอมระงับกรรมน้ัน)อกุ เขปนยี กรรม กรรมอนั สงฆพงึ ทาํ แก อุชปุ ฏิปนฺโน (พระสงฆ) เปน ผูปฏิบัติภิกษุอนั จะพงึ ยกเสยี หมายถงึ วิธกี ารลง ตรง คือ ไมลวงโลก ไมม มี ายาสาไถยโทษท่ีสงฆกระทําแกภิกษุผูตองอาบัติ ไมอําพราง หรือดําเนินทางตรง คือแลว ไมย อมรับวาเปน อาบัตหิ รอื ไมย อม มัชฌิมาปฏิปทา (ขอ ๒ ในสงั ฆคุณ ๙)ทําคืนอาบัติ หรือมีความเห็นช่ัวราย อุฏฐานสัญญามนสิการ ทําในพระทัย(ทิฏฐิบาป) ไมยอมสละซ่ึงเปนทางเสยี ถงึ ความสาํ คญั ในอันท่จี ะลุกขึ้น, ตง้ั ใจสีลสามัญญตา หรือทิฏฐิสามัญญตา วา จะลุกขน้ึ อีกโดยยกเธอเสียจากการสมโภคกับสงฆ อุฏฐานสัมปทา ถึงพรอมดวยความคอื ไมใหฉ ันรว ม ไมใ หอ ยรู วม ไมใหม ี หม่ัน คือ ขยันหม่ันเพียรในการสิทธิเสมอกับภิกษุท้ังหลาย พูดงายๆ ประกอบอาชีพท่สี ุจริต ในการศึกษาเลาวา ถกู ตัดสิทธิแหงภิกษุชั่งคราว เรียน และในการทําธุระหนาที่การงานอุคคหนมิ ิต นิมติ ตดิ ตา หมายถงึ นมิ ติ รูจักใชปญญาสอดสอง หาวิธีจัดการ(อารมณกรรมฐาน) ที่นึกกําหนดจน ดําเนนิ การใหไ ดผลดี (ขอ ๑ ในทิฏฐ-แมนใจ หรือที่เพง ดูจนติดตาติดใจ แม ธมั มิกตั ถสังวัตตนกิ ธรรม ๔)หลับตากเ็ ห็น (ขอ ๒ ในนิมติ ๓) อุณหะ รอน, อุนอุคฆฏิตัญู ผูอาจรูไดฉับพลันแตพอ อุณหสิ กรอบหนา , มงกุฎทานยกหัวขอข้ึนแสดง คือมีปญญา อดุ รทวาร ประตูดา นเหนอืเฉียบแหลม พดู ใหฟ ง เพยี งหวั ขอ กเ็ ขา อดุ รทศิ ทศิ เบอื้ งซา ย, ทศิ เหนอื ; ดูอตุ ตรทสิ อุตกฤษฎ อยา งสูง, สูงสุด (พจนานุกรมใจ (ขอ ๑ ในบุคคล ๔)อุจจารธาตุ ในคาํ วา “โรคอุจจารธาตุ” เขียน อกุ ฤษฏ)หมายถงึ โรคทอ งเสยี ทองเดิน หรอื ทอง อุตตระ ดู โสณะรว ง อุตตรทสิ ”ทศิ เบอ้ื งซา ย” หมายถงึ มิตร;อจุ เฉททฏิ ฐิ ความเหน็ วาขาดสญู เชน ดู ทศิ หก
อตุ ตรนิกาย ๕๕๓ อุทกุกเขปอตุ ตรนิกาย ดู อตุ รนกิ าย มหายาน ใชภาษาสันสกฤตอุตตรนิคม ช่ือนคิ มหนึง่ ในโกลิยชนบท อุตราบถ “หนเหนอื ”, ดนิ แดนแถบเหนืออุตตรา อบุ าสกิ าสาํ คัญ มชี ื่อซ้าํ กนั ๒ ทา น ของชมพูทวปี ; คาํ อธิบาย ดู ทักขณิ าบถเรียกแยกกันดวยคําเติมขางหนา หรือ อุตราวัฏ ดู อตุ ตราวฏั ฏเตมิ ขางหลัง ไดแก ขุชชุตตรา (อุตตรา อตุ สาหะ ความบากบ่ัน, ความพยายาม,ผคู อ ม) กบั อตุ ตรานันทมารดา (อตุ ตรา ความขยัน, ความอดทนมารดาของนันทะ); ดู ขชุ ชุตตรา, นันท- อุตุ 1. ฤดู, ดินฟา อากาศ, สภาพแวดมารดา 2. ลอ ม, เตโชธาตุ, อุณหภูมิ, ภาวะรอนอตุ ตรานนั ทมารดา ดู นนั ทมารดา 2. เยน็ , ไออนุ 2. ระด,ูอตุ ตราวฏั ฏ เวยี นซาย, เวียนรอบโดย อุตกุ าล ช่วั ฤดูกาล, ชว่ั คราวหนั ขา งซา ย คือ เวียนเลีย้ วทางซา ยยอน อุตุชรูป ดูท่ี รูป ๒๘เขม็ นาฬกิ า (พจนานกุ รมเขยี น อตุ ราวฏั ); อุตปุ รณิ ามชา อาพาธา ความเจ็บไขเ กดิตรงขา มกบั ทกั ขณิ าวฏั ฏ แตฤดแู ปรปรวน, เจ็บปว ยเพราะดนิ ฟาอตุ ตราสงค ผาหม, เปน ผาผืนหนงึ่ ใน อากาศผันแปร; ดู อาพาธจํานวน ๓ ผืน ของไตรจีวร ไดแ ก ผนื ท่ี อทุ ก น้าํเรียกกันสามัญวา จีวร (พจนานุกรม อทุ กสาฏิกา ผาอาบ, เปน จีวรเปน อยางเขยี น อตุ ราสงค) หนึ่งในจวี ร ๕ อยา งของภิกษุณี; ดู สงั -อุตตริมนุสสธรรม ธรรมยวดยิ่งของ กัจฉกิ ะ ดวยมนุษย, ธรรมของมนุษยผูยอดย่ิง, อุทกกุ เขป เขตสามคั คีชวั่ วกั น้ําสาดแหงธรรมลํ้ามนุษย ไดแก ฌาน วิโมกข คนมอี ายแุ ละกาํ ลงั ปานกลาง หมายถงึ เขตสมาบตั ิ มรรคผล, บางทเี รยี กใหงา ยวา ชุมนุมทาํ สังฆกรรมทีก่ าํ หนดลงในแมน้ําธรรมวิเศษ บา ง คณุ วเิ ศษ หรือ คุณ หรอื ทะเล ชาตสระ (ท่ีขังน้ําเกิดเองตามพิเศษ บาง (พจนานกุ รมเขียน อตุ ริ- ธรรมชาติ เชน บงึ หนอง ทะเลสาบ)มนุสสธรรม) โดยพระภิกษุประชุมกันบนเรือ หรืออตุ รนกิ าย “นิกายฝา ยเหนือ” หมายถึง บนแพ ซงึ่ ผูกกับหลักในนา้ํ หรอื ทอดพระพุทธศาสนาอยางที่นับถือกันแพร สมออยูหางจากตลิ่งกวาชั่ววิดน้ําสาดหลายในประเทศฝายเหนือ มี จีน (หา มผกู โยงเรอื หรอื แพนน้ั กบั หลกั หรอืเกาหลี ญป่ี นุ เปน ตน ที่เรยี กตวั เองวา ตน ไมริมตลงิ่ และหามทาํ ในเรอื หรอื แพ
อทุ ทกดาบส ๕๕๔ อุทยพั พยญาณท่กี ําลงั ลอยหรอื เดนิ ); อทุ กุกเขปนี้ จัด รบั คํายกยอ งชมเชยจากพระพุทธเจาเปนอพทั ธสมี าอยา งหนึง่ อทุ เทสกิ เจดยี เจดยี ส รา งอทุ ศิ พระพทุ ธ-อุททกดาบส อาจารยผูสอนสมาบัติที่ เจา, เจดียท่ีสรางเปนเคร่ืองเตือนจิตตพระมหาบุรุษเสด็จไปศึกษาอยูดวย ใหระลึกถึงพระพุทธเจา ไดแก พระคราวหน่ึง กอนที่จะทรงบําเพ็ญทุกร- พทุ ธรปู (ขอ ๔ ในเจดยี ๔)กิริยา, ทานผูน้ีไดสมาบัติถึงข้ันเนว- อุทธรณ การยกขึน้ , การรือ้ ฟน, การขอสัญญานาสัญญายตนะ; เรียกเต็มวา รอ งใหร ือ้ ฟน ขึน้ , ขอใหพิจารณาใหมอทุ ทกดาบส รามบุตร อทุ ธโลมิ เครอ่ื งลาดท่มี ีขนตง้ัอุทเทศาจารย อาจารยผูบอกธรรม, อทุ ธงั โสโตอกนิฏฐคามี พระอนาคามีผูอาจารยส อนธรรม (ขอ ๔ ในอาจารย จะปรนิ พิ พาน ตอ เมอ่ื เลื่อนข้นึ ไปเกิดใน๔); คกู บั ธรรมันเตวาสิก ชน้ั สงู ข้นึ ไปจนถงึ ชัน้ อกนฏิ ฐะ (ขอ ๕อุทเทส ดู อุเทศ ในอนาคามี ๕)อุทเทสภัต อาหารอุทิศสงฆหรือภัตท่ี อุทธจั จะ ความฟุงซา น, จติ ตสาย, ใจทายกถวายตามทส่ี งฆแ สดงให หมายถงึ วอกแวก (พจนานกุ รมเขยี น อทุ ธจั );ของท่ีเขาถวายสงฆแตไมพอแจกทั่วกัน (ขอ ๙ ในสงั โยชน ๑๐ ตามนยั พระทานใหแ จกไปตามลําดับ เรม่ิ ตง้ั แตพระ อภธิ รรม); ดู เยวาปนกธรรมสงั ฆเถระลงมา ของหมดแคลําดับไหน อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุงซานและกาํ หนดไว เม่อื ของมมี าอีกจงึ แจกตอไป รําคาญ, ความฟุงซานและความเดือด ตง้ั แตลําดับทีค่ า งอยู อยางนีเ้ รื่อยไปจน รอ นใจ (ขอ ๔ ในนิวรณ ๕) ทั่วกนั แลวจึงเวยี นขนึ้ ตนใหมอีก; เทยี บ อุทธมั ภาคิยสังโยชน สงั โยชนเ บื้องสงู สงั ฆภตั ไดแก กิเลสผูกใจสัตวอยางละเอียดมีอทุ เทสวิภงั คสูตร ช่ือสตู รท่ี ๓๘ แหง ๕ คอื รปู ราคะ อรปู ราคะ มานะ อทุ ธจั จะ มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก พระสตุ ตนั ต- อวชิ ชา พระอรหนั ตจ งึ ละได; ดู สงั โยชน ปฎก พระพุทธเจาทรงแสดงเร่ือง อทุ ยมาณพ ศิษยคนหนง่ึ ในจํานวน ๑๖วญิ ญาณไวโดยยอ ภกิ ษุทงั้ หลายอยาก คนของพราหมณพาวรี ที่ไปทูลถามฟง โดยพสิ ดาร จงึ ขอใหพ ระมหากจั จายนะ ปญหากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดียอธบิ ายความ พระมหากจั จายนะแสดง อุทยัพพยญาณ ปรีชาหย่ังรูความเกิดไดเนอื้ ความถกู ตองชัดเจนดมี าก จนได และความดบั แหง สงั ขาร; ดู อทุ ยพั พยา-
อุทยัพพยานุปสสนาญาณ ๕๕๕ อเุ ทศนปุ ส สนาญาณ หมญู าต”ิ , “พระเถระเดนิ ทางไกลจากเมอื งอุทยพั พยานุปส สนาญาณ ปรชี าคํานงึ สาวตั ถอี ทุ ศิ หมบู า นนน้ั ”, “นายวาณชิ ลงเห็นความเกิดและความดับแหงสังขาร, เรือออกมหาสมุทรอุทิศสุวรรณภูมิ”);ญาณที่มองเหน็ นามรปู เกิดดับ (ขอ ๑ ในภาษาไทย มักใชในความหมายท่ีในวิปส สนาญาณ ๙) สัมพันธกับประเพณีการทําบุญเพ่ือผูอุทยาน “สถานท่ซี ง่ึ ชนทงั้ หลายแหงนชม ลวงลบั หมายถงึ ตัง้ ใจทาํ การกศุ ลนัน้[ดอกไม และผลไม เปน ตน ]เดนิ ไป”, สวน โดยมุงใหเกิดผลแกผ ูตายที่ตนนกึ ถึงหลวงที่เปนสาธารณะ, สวนสาธารณะท่ี อุทิสสมังสะ เน้ือสัตวท่ีเขาฆาเจาะจงทางการบา นเมอื งจดั ดแู ล (บาล:ี อยุ ยฺ าน, เพ่อื ถวายภิกษุ ทานมิใหภิกษุฉนั , หากสนั สกฤต: อุทยฺ าน) ภกิ ษุฉนั ท้ังไดเ หน็ ไดยนิ หรอื สงสัยวาอุทร ทอ ง เขาฆาเพื่อถวายตน ตองอาบัติทุกกฏ;อทุ รยิ ะ อาหารใหม, อาหารที่รับประทาน ตรงขามกบั ปวตั ตมงั สะเขา ไปแลวอยูในทอ ง ในลาํ ไส กําลงั ผาน อเุ ทน พระเจา แผนดนิ แควนวังสะ ครงั้ กระบวนการยอย แตยังไมกลายเปน พทุ ธกาล ครองราชสมบตั อิ ยทู ก่ี รงุ โกสมั พี อุจจาระ อเุ ทนเจดยี เจดยี สถานแหง หน่ึง อยูทางอทุ ัย การขน้ึ , การโผลข น้ึ , พระอาทิตย ทิศตะวันออกของเมืองเวสาลี นคร แรกข้นึ หลวงของแควนวัชชี เปนสถานที่แหงอทุ าน วาจาท่เี ปลง ขน้ึ โดยความเบกิ บาน หน่ึงท่ีพระพุทธเจาเคยทรงทํานิมิตตใจ มกั เปนขอความยาว ๑ หรือ ๒ คาถา; โอภาสแกพ ระอานนทในภาษาไทย หมายถงึ เสยี งหรอื คาํ ทเี่ ปลง อเุ ทศ การยกขึน้ แสดง, การยกขน้ึ ชีแ้ จง,ออกมาเวลาดใี จ แปลกใจ หรอื ตกใจ ขอทย่ี กขนึ้ แสดง, หวั ขอ , การเรียนการ เปน ตน สอน, การสวดปาฏโิ มกข, ปาฏโิ มกขท ยี่ กอุทาหรณ ตัวอยา ง, การอา งองิ , การยก ขน้ึ สวด, หมวดหนง่ึ ๆ แหง ปาฏโิ มกขท จ่ี ดัขน้ึ ใหเ ห็น ไวส าํ หรบั สวด, ในคาํ วา “สงฆม อี เุ ทศเดยี วอุทศิ เฉพาะ, เจาะจง, เพง เลง็ ถงึ , ทําเพอ่ื , กนั ” หมายความวา รว มฟง สวดปาฏโิ มกขหมายใจตอ , มงุ ใหแ ก, มุงไปยัง, มงุ ไปท่ี ดว ยกนั ; อเุ ทศในปาฏโิ มกขจ ดั โดยยอ มี(ดงั ตวั อยา งในประโยคตา งๆ วา “เขาออก ๕ คอื ๑. นทิ านทุ เทส ๒. ปาราชกิ ทุ เทสบวชอทุ ศิ พระพทุ ธเจา ”, “เธอใหท านอุทศิ ๓. สงั ฆาทเิ สสทุ เทส ๔. อนยิ ตทุ เทส ๕.
อุบล ๕๕๖ อุบาสกวติ ถารทุ เทส, อทุ เทสท่ี ๕ นนั้ รวมเอา กลวิธ,ี ไทยใชหมายถึง เลห เ หล่ียมดว ยนสิ สคั คยิ ทุ เทส ปาจติ ตยิ ทุ เทส ปาฏเิ ทส- อบุ าลี พระมหาสาวกองคห นึง่ เดิมเปนนยี ทุ เทส เสขยิ ทุ เทส และสมถทุ เทส เขา กัลบกของเจาศากยะ ไดออกบวชที่ไวด ว ยกนั ถา แยกออกนบั โดยพสิ ดารก็ อนุปยอัมพวัน พรอมกับพระอานนทจะเปน ๙ อทุ เทส การรจู กั อเุ ทศหรอื และพระอนรุ ทุ ธะ เปน ตน มอี ปุ ชฌายอุทเทสเหลาน้ีเปนประโยชนสําหรับการ ชื่อพระกัปปตก ครั้นบวชแลว เรียนตัดตอนสวดปาฏิโมกขยอไดในคราวจาํ กรรมฐาน จะไปอยูปา พระพุทธเจา ไมเปน ; ดู ปาฏโิ มกขย อ ทรงอนุญาต ทานเลาเรียนและเจริญอบุ ล บัว, ดอกบัว วปิ ส สนาไมช าก็สาํ เร็จพระอรหัต เปน ผูอุบลวรรณา พระมหาสาวิกาองคหน่ึง มีความรูความเขาใจเชี่ยวชาญในพระเปน ธดิ าเศรษฐใี นพระนครสาวตั ถี ไดช อ่ื วินยั มาก จนพระพทุ ธเจาทรงยกยอ งวาวา อบุ ลวรรณา เพราะมผี วิ พรรณดงั ดอก เปนเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผูทรงพระนิลุบล (อบุ ลเขียว) มคี วามงามมาก จงึ วินัย (วินัยธร) พระอุบาลีเปนกําลังเปนที่ปรารถนาของพระราชาในชมพู- สําคัญในคราวทําปฐมสังคายนา คือทวีปหลายพระองค ตา งสง คนมาตดิ ตอ เปนผูวสิ ัชนาพระวินยัทานเศรษฐเี กดิ ความลําบากใจ จึงคดิ จะ อุบาสก ชายผนู ง่ั ใกลพระรัตนตรัย, คนใหธ ิดาบวชพอเปนอบุ าย แตนางเองพอ ใกลชิดพระศาสนา, คฤหัสถผูชายท่ีใจในบรรพชาอยูแลวจึงบวชเปนภิกษุณี แสดงตนเปนคนนับถือพระพุทธศาสนาดวยศรัทธาอยางจริงจัง คราวหน่ึงอยู โดยประกาศถงึ พระรตั นตรยั เปน สรณะเวรจดุ ประทปี ในพระอโุ บสถ นางเพงดู ปฐมอบุ าสกผูถึงสรณะ ๒ ไดแกเปลวประทีปถือเอาเปนนิมิตเจริญฌาน ตปุสสะและภัลลิกะ ปฐมอุบาสกผูถึงมีเตโชกสิณเปนอารมณไดบรรลุพระ ไตรสรณะ คือบดิ าของพระยสะอรหตั ไดรับยกยอ งวาเปนเอตทัคคะใน อุบาสกผูเปนอริยสาวก ไดรับยกทางแสดงฤทธิ์ไดตางๆ และเปนอัคร- ยอ งเปนเอตทคั คะ รวม ๑๐ ตาํ แหนงสาวิกาฝายซา ย เชน ตปสุ สะและภัลลิกะ สองวาณิช เปนอุบัติ เกิดข้นึ , กาํ เนิด, เหตุใหเ กดิ เอตทัคคะ ในบรรดาอุบาสกสาวกผูถงึอบุ าทว ดู อปุ ทวะ สรณะเปนปฐม สุทัตตะอนาถปณฑิก-อบุ าย วธิ สี าํ หรบั ประกอบ, หนทาง, วธิ กี าร, คหบดี เปน เอตทัคคะ ในบรรดาอุบาสก
อบุ าสกธรรม ๕๕๗ อุโบสถสาวกผูเ ปน ทายก เอยี งดว ยชอบหรอื ชงั , ความวางใจเฉยไดอุบาสกท่ีพระพุทธเจาตรัสยกยอง ไมยินดียินราย เมอ่ื ใชปญ ญาพิจารณาวา เปน “ตลุ า” คือเปนตราชู หรือเปน เห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแกเหตุแบบอยางสําหรับอบุ าสกทัง้ หลาย เปน และรวู าพึงปฏิบัติตอ ไปตามธรรม หรอือคั รอบุ าสก ๒ ทาน ไดแก จิตต- ตามควรแกเหตุน้ัน, ความรูจักวางใจ คฤหบดี และเจา ชายหตั ถกะอาฬวกะ; ดู เฉยดู เมื่อเห็นเขารับผิดชอบตนเองได ตลุ า, เอตทคั คะ หรือในเมื่อเขาควรตองไดรับผลอันสมอบุ าสกธรรม ดู สมบัติของอบุ าสก ควรแกความรับผิดชอบของเขาเอง,อุบาสิกา หญิงผูน่ังใกลพระรัตนตรัย, ความวางทีเฉยคอยดูอยูในเมื่อคนนั้นๆคนใกลชิดพระศาสนาท่ีเปนหญิง, สิ่งน้ันๆ ดํารงอยหู รอื ดําเนนิ ไปตามควรคฤหัสถผูหญิงที่แสดงตนเปนคนนับถือ ของเขาตามควรของมนั ไมเขา ขางไมต กพระพุทธศาสนา โดยประกาศถึงพระ เปน ฝกฝาย ไมส อดแส ไมจ ูจี้สาระแนรตั นตรยั เปน สรณะ ไมกาวกา ยแทรกแซง (ขอ ๔ ในพรหม-ปฐมอบุ าสิกา ไดแก มารดา (นาง วหิ าร ๔, ขอ ๗ ในโพชฌงค ๗, ขอสุชาดา) และภรรยาเกาของพระยสะ ๑๐ ในบารมี ๑๐, ขอ ๙ ในวิปส สน-ู อุบาสกิ าผูเปนอรยิ สาวกิ า ไดรับยก ปกเิ ลส ๑๐) 2. ความรูสกึ เฉยๆ ไมส ุขยองเปนเอตทัคคะ รวม ๑๐ ตําแหนง ไมทุกข เรียกเต็มวา อเุ บกขาเวทนา (=เชน นางสุชาดา เปน เอตทคั คะในบรรดา อทุกขมสขุ ); (ขอ ๓ ในเวทนา ๓)อุบาสิกาสาวิกาผูถ ึงสรณะเปนปฐม นาง อโุ บสถ 1. การสวดปาฏโิ มกขข องพระวิสาขา เปน เอตทคั คะในบรรดาอบุ าสิกา สงฆทุกก่ึงเดือน เปนเครื่องซักซอมสาวกิ าผูเปนทายิกา ตรวจสอบความบริสุทธิ์ทางวินัยของอุบาสิกาท่ีพระพุทธเจาตรัสยกยอง ภิกษุท้ังหลาย และท้ังเปนเคร่ืองแสดงวาเปน “ตลุ า” คอื เปนตราชู หรือเปน ความพรอ มเพรยี งของสงฆด ว ย, อโุ บสถแบบอยางสําหรบั อบุ าสิกาท้งั หลาย เปน เปนสังฆกรรมที่ตองทําเปนประจําอัครอุบาสิกา ๒ ทาน ไดแ ก ขุชชุตตรา สมาํ่ เสมอและมกี าํ หนดเวลาทแ่ี นน อน มีและเวฬุกัณฏกีนันทมารดา; ดู ตุลา, ชอื่ เรยี กยอ ยออกไปหลายอยา ง การทําเอตทัคคะ อุโบสถจะมีการสวดปาฏิโมกขไดตอเม่ืออุเบกขา 1. ความวางใจเปนกลาง ไมเอน มีภกิ ษุครบองคสงฆจ ตุวรรค คอื ๔ รปู
อโุ บสถ ๕๕๘ อโุ บสถขึ้นไป ถา สงฆค รบองคกําหนดเชนน้ีทํา น้ี เรียกวา ปุคคลอุโบสถ หรืออโุ บสถ เรียกวา สังฆอุโบสถ (มีราย อธษิ ฐานอุโบสถ; อโุ บสถทีท่ าํ ในวันแรมละเอียดวิธีปฏิบัติตามพุทธบัญญัติใน ๑๔ คา่ํ เรยี กวา จาตทุ สกิ - ทาํ ในวนั ข้นึ หรือแรม ๑๕ คาํ่ เรยี กวา ปณณรสกิ -อุโปสถขันธกะ, วินย.๔/๑๔๗/๒๐๑); ทาํ ในวนั สามัคคี เรยี กวาสามัคคอี ุโบสถ 2. อุโบสถ คือ การอยูจ ํารักษาองค ๘ ท่ีในกรณที ีม่ ภี ิกษุอยใู นวัดเพยี ง ๒ หรือ โดยทั่วไปเรียกกันวา ศลี ๘ ของอุบาสก อุบาสิกา นั้น จําแนกไดเปน ๓ ประเภท๓ รปู เปน เพยี งคณะ ทานใหบ อกความ คือ ๑. ปกติอุโบสถ อุโบสถท่ีรกั ษาตาม ปกติช่ัววนั หน่งึ กบั คนื หน่งึ ปจ จบุ ันนยิ มบริสุทธ์ิแกกันและกันแทนการสวดปาฏิ-โมกข เรยี กอโุ บสถนว้ี า คณอโุ บสถ หรอื รกั ษากนั เฉพาะในวันขึ้นและแรม ๘ คํ่าปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถ กลา วคอื ถา มี ๓ รปูพึงใหรูปท่ีสามารถต้ังญัตตวิ า “สุณนตฺ ุ วนั จันทรเพญ็ คอื ขน้ึ ๑๕ ค่าํ และวันเม อายสฺมนฺตา, อชฺชโุ ปสโถ ปณฺณรโส, จันทรด ับ คือ แรม ๑๕ คํา่ หรือ ๑๔ยทายสมฺ นฺตาน ปตฺตกลฺล, มย อฺ- ค่ํา (ปกติอโุ บสถอยา งเตม็ มี ๘ วนั คอืมฺํ ปาริสุทฺธิอุโปสถ กเรยฺยาม.” วัน ๕ ค่าํ ๘ คาํ่ ๑๔ คํ่า และ ๑๕ คํ่า(ปณฺณรโส คือ ๑๕ คํา่ ถา ๑๔ ค่าํ ของทุกปกษ ถาเดือนขาดรักษาในวัน แรม ๑๓ คา่ํ เพมิ่ ดว ย) ๒. ปฏชิ าคร-เปลย่ี นเปน จาตุททฺ โส) จากนัน้ ทง้ั สาม อุโบสถ อุโบสถของผูตื่นอยู (คือผู กระตือรือรนขวนขวายในกุศล ไมหลับรูปพึงบอกความบริสุทธิ์ของตนไปตามลาํ ดบั พรรษา (พระเถระวา “ปรสิ ทุ โฺ ธ อห ใหลดว ยความประมาท) ไดแ ก อุโบสถอาวโุ ส, ปรสิ ทุ โฺ ธติ ม ธาเรถ” วา ๓ ครงั้ ;รปู อนื่ เปล่ียน อาวโุ ส เปน ภนเฺ ต), ถา มี ทร่ี กั ษาครั้งหน่งึ ๆ ถงึ ๓ วัน คือ รักษา๒ รูป ไมต อ งตัง้ ญัตติ เพียงบอกความ ในวันอุโบสถตามปกติ พรอ มทง้ั วันกอ นบริสุทธิ์ของตนแกกัน (พระเถระวา และวนั หลงั ของวนั นนั้ ซง่ึ เรยี กวา วนั รบั“ปริสุทฺโธ อห อาวุโส, ปริสุทฺโธติ ม และวันสงดว ย เชน อโุ บสถท่ีรกั ษาในธาเรห”ิ วา ๓ คร้งั ; รูปทอ่ี อนพรรษา วัน ๕ คํ่า มวี ัน ๗ คาํ่ เปน วันรบั วัน ๙เปลี่ยน อาวโุ ส เปน ภนเฺ ต และเปลยี่ นธาเรหิ เปน ธาเรถ); ถา มีภกิ ษุอยูในวดั ค่าํ เปนวันสง (เดอื นหนงึ่ ๆ จะมวี ันรับรปู เดียว ทานใหท ําเพยี งอธษิ ฐาน คอื ต้งั และวนั สง รวม ๑๑ วนั , วนั ทม่ี ิใชวนัใจกาํ หนดจิตวา วนั นเ้ี ปน อโุ บสถของเรา(“อชฺช เม อโุ ปสโถ”) อโุ บสถทที่ ําอยา ง อุโบสถ ในเดือนขาดมี ๑๐ วนั เดอื น
อโุ บสถกรรม ๕๕๙ อุปกเิ ลสเต็ม ๑๑ วนั ) ๓. ปาฏิหารยิ อโุ บสถ เดอื นขาด), สําหรบั คฤหสั ถ คอื วนั พระอโุ บสถทีพ่ งึ นําไปซา้ํ อกี ๆ หรอื ยอนกลบั ไดแ ก วันขึ้นและแรม ๘ คาํ่ วันจนั ทรไปนําเอามาทํา คือรักษาใหเปนไปตรง เพญ็ และวนั จนั ทรด บั 4. สถานทสี่ งฆท าํตามกําหนดดังที่เคยทํามาเปนประจําใน สงั ฆกรรม เรยี กตามศพั ทว า อโุ ปสถาคารแตละป หมายความวา ในแตล ะปม ีชวง หรอื อุโปสถัคคะ (โรงอโุ บสถ), ไทยมกัเวลาท่ีกาํ หนดไวเฉพาะที่จะรกั ษาอโุ บสถ ตดั เรยี กวา โบสถประเภทน้ี อยา งสามัญ ไดแ ก อโุ บสถที่ อุโบสถกรรม การทําอุโบสถ; ดู อโุ บสถรกั ษาเปนประจําตลอด ๓ เดือน ใน อุโบสถศีล ศีลทีร่ ักษาเปน อโุ บสถ หรือพรรษา (อยางเตม็ ไดแ กรักษาตลอด ๔ ศลี ท่ีรกั ษาในวนั อโุ บสถ ไดแ ก ศลี ๘ ที่เดอื น แหง ฤดูฝน คือ แรม ๑ คํา่ เดือน อุบาสกอุบาสิกาสมาทานรักษาเปนการ๘ ถงึ ขึ้น ๑๕ คํา่ เดอื น ๑๒, ถา ไม จาํ ศลี ในวนั พระ คือขึน้ และแรม ๘ ค่ําสามารถรักษาตลอด ๔ เดือน หรอื ๓ ๑๕ คาํ่ (แรม ๑๔ คาํ่ ในเดอื นขาด)เดอื น จะรักษาเพียง ๑ เดอื น ระหวา ง อุปกะ ช่ืออาชีวกผูหนึ่งซ่ึงพบกับพระวันปวารณาท้ังสอง คอื แรม ๑ คํา่ พุทธเจาในระหวา งทาง ขณะทีพ่ ระองคเดอื น ๑๑ ถงึ ข้นึ ๑๕ คํ่า เดอื น ๑๒ ก็ เสดจ็ จากพระศรมี หาโพธไิ์ ปยงั ปา อสิ ปิ ตน-ได, อยางตาํ่ สดุ พงึ รกั ษาก่งึ เดือนตอ จาก มฤคทายวัน เพื่อโปรดพระปญจวัคคยี วันปวารณาแรกไป คอื แรม ๑ คํา่ อุปการะ ความเกอื้ หนุน, ความอดุ หนนุ ,เดือน ๑๑ ถึง แรม ๑๔ คาํ่ เดือน ๑๑); การชวยเหลอือยางไรก็ตาม มติในสวนรายละเอียด อปุ กิเลส โทษเครอ่ื งเศราหมอง, สงิ่ ที่ทาํเกี่ยวกับอุโบสถ ๒ ประเภทหลังนี้ จติ ตใ จใหเศราหมองขนุ มวั รับคุณธรรมคัมภีรตางๆ ยังแสดงไวแตกตางไมลง ไดยาก มี ๑๖ อยา ง คอื ๑. อภิชฌา-กนั บาง ทานวา พอใจอยางใด กพ็ งึ ถอื วิสมโลภะ ละโมบ จอ งจะเอาไมเลอื กเอาอยา งนน้ั เพราะแทจริงแลว จะรกั ษา ควรไมควร ๒. โทสะ คิดประทษุ รา ยอุโบสถในวันใดๆ ก็ใชได เปน ประโยชน ๓. โกธะ โกรธ ๔. อุปนาหะ ผกู โกรธทั้งน้ัน แตถารักษาไดในวันตามนิยมก็ ไว ๕. มักขะ ลบหลคู ุณทา น ๖. ปลาสะยอมควร 3. วนั อโุ บสถสําหรับพระสงฆ ตเี สมอ ๗. อิสสา รษิ ยา ๘. มัจฉริยะคือ วันจนั ทรเ พญ็ (ขนึ้ ๑๕ คาํ่ ) และวนั ตระหน่ี ๙. มายา เจาเลห ๑๐. สาเถยยะจนั ทรด บั (แรม ๑๕ คาํ่ หรอื ๑๔ คาํ่ เมอื่ โออ วด ๑๑. ถมั ภะ หวั ดอ้ื ๑๒. สารมั ภะ
อปุ กิเลสแหงวิปสสนา ๕๖๐ อุปธิแขง ดี ๑๓. มานะ ถือตวั ๑๔. อตมิ านะ บุรุษวัยกลางคนมีกาํ ลังดนี ัน้ แหละ ยืนดหู มนิ่ ทา น ๑๕.มทะ มวั เมา ๑๖. ปมาทะ อยทู เี่ ขตบา นนนั้ โยนกอ นดนิ ไปเตม็ กาํ ลงั กอ นดนิ ตกเปน เขตอปุ จารบา น; สมี าท่ีเลนิ เลอ หรอื ละเลยอุปกิเลสแหงวิปสสนา ดู วิปสสนูป- สมมตเิ ปน ตจิ วี ราวปิ ปวาสนน้ั จะตอ งเวนกเิ ลส บานและอุปจารบานดังกลาวน้ีเสียจึงจะอุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน ไดแก สมมตขิ น้ึ คอื ใชเ ปน ตจิ วี ราวปิ ปวาสสมี ากรรมทเ่ี ปน กุศลก็ดี ทเี่ ปนอกศุ ลก็ดี ซึ่ง ได; ดู ตจิ วี ราวปิ ปวาสสมี า ดว ยมีกําลังแรง เขาตัดรอนการใหผลของ อุปจารภาวนา ภาวนาขน้ั จวนเจียน คือชนกกรรม หรอื อปุ ตถัมภกกรรม ทต่ี รง เจริญกรรมฐานถึงขั้นเกิดอุปจารสมาธิขา มกบั ตนเสีย แลว ใหผลแทนท่ี (ขอ ๘ (ขอ ๒ ในภาวนา ๓)ในกรรม ๑๒) อุปจารสมาธิ สมาธิจวนจะแนวแน,อปุ จาร เฉยี ด, จวนเจยี น, ทใ่ี กลช ดิ , สมาธิที่ยังไมดิ่งถึงท่ีสุด เปนข้ันทําใหระยะใกลเ คยี ง, ชาน, บรเิ วณรอบๆ; ดงั กเิ ลสมีนิวรณเปนตนระงับ กอ นจะเปนตวั อยา งคาํ ทวี่ า อปุ จารเรอื น อปุ จารบา น อัปปนา คือถึงฌาน (ขอ ๑ ในสมาธิ ๒,แสดงตามท่ที า นอธิบายในอรรถกถาพระ ขอ ๒ ในสมาธิ ๓)วนิ ยั ดงั น้ี อปุ จารแหงสงฆ บรเิ วณรอบๆ เขตสงฆ อาคารที่ปลูกขึ้นรวมในแคระยะน้ํา ชุมนุมกันตกที่ชายคาเปนเรือน, บริเวณรอบๆ อุปฐาก ดู อปุ ฏ ฐากเรือนซึ่งกําหนดเอาที่แมบานยืนอยูที่ อปุ ตสิ สะ ดู สารีบตุ รประตูเรือนสาดน้ําลางภาชนะออกไป อุปติสสปริพาชก คําเรยี กพระสารีบตุ รหรือแมบานยืนอยูภายในเรือน โยน เมื่อบวชเปนปริพาชกอยูในสํานักกระดงหรือไมกวาดออกไปภายนอก ของสญชัยตกที่ใด ระยะรอบๆ กําหนดนั้นเปน อุปถัมภ การค้ําจุน, เครื่องค้ําจุน,อุปจารเรือน อุดหนนุ , ชวยเหลือ, หลอ เล้ยี งบรุ ษุ วยั กลางคนมกี าํ ลงั ดี ยนื อยทู ี่ อุปธิ ส่ิงนุงนงั , สภาวะกลัว้ กิเลส, ส่ิงทีย่ งัเขตอปุ จารเรอื น ขวา งกอ นดนิ ไป กอ น ระคนดว ยกิเลส 1. รางกาย 2. สภาวะดนิ ทข่ี วา งนน้ั ตกลงทใี่ ด ทนี่ น้ั จากรอบๆ อันเปนท่ีตั้งท่ีทรงไวแหงทุกข ไดแกบรเิ วณอปุ จารเรอื น เปน กาํ หนด เขตบา น, กาม กเิ ลส เบญจขันธ และอภสิ งั ขาร
อปุ นาหะ ๕๖๑ อุปมา๓ขออปุ นาหะ ผกู โกรธไว, ผกู ใจเจ็บ (ขอ ๔ ทจี่ ะไปเกดิ คือ ในภพถัดไป (ขอ ๒ ในในอปุ กเิ ลส ๑๖) กรรม ๑๒)อุปนิสัย ความประพฤตทิ ีเ่ คยชินเปนพน้ื อปุ ปตติเทพ “เทวดาโดยกําเนิด” ไดแ กมาในสันดาน, ความดีท่ีเปนทนุ หรือเปน พวกเทวดาในกามาพจรสวรรคและ พ้ืนอยูในจิตต, ธรรมที่เปนเครื่อง พรหมทั้งหลาย (ขอ ๒ ในเทพ ๓) อุดหนุน อุปปฬกกรรม “กรรมบีบคั้น” ไดแกอุปนิสินนกถา “ถอยคําของผูเขาไปนั่ง กรรมทเี่ ปน กศุ ลกด็ ี อกศุ ลกด็ ี ซง่ึ บบี คน้ัใกล”, การน่ังคุยสนทนาอยางกันเอง การใหผ ลแหง ชนกกรรมและอปุ ต ถมั ภก-หรอื ไมเ ปน แบบแผนพธิ ี เพอ่ื ตอบคําซัก กรรม ท่ตี รงขามกบั ตน ใหแปรเปลย่ี น ถาม แนะนําช้ีแจง ใหคาํ ปรึกษา เปนตน ไป เชน ถาเปนกรรมดกี ็บีบคั้นใหอ อ นอปุ บารมี บารมขี ัน้ รอง, บารมขี น้ั จวนสงู ลง ไมใหไดร ับผลเตม็ ท่ี ถาเปนกรรมช่วัสุด คือ บารมที บ่ี ําเพญ็ ย่งิ กวา บารมีตาม กเ็ กยี ดกนั ใหท เุ ลา (ขอ ๗ ในกรรม ๑๒)ปกติ แตยังไมถึงสุดที่จะเปนปรมัตถ- อุปมา ขอความทน่ี าํ มาเปรยี บเทียบ, การ บารมี เชน สละทรพั ยภ ายนอกเปน ทาน อางเอามาเปรยี บเทยี บ, ขอเปรยี บเทียบ บารมี สละอวัยวะเปนทานอุปบารมี อุปมา ๓ ขอ ขอ เปรยี บเทยี บ ๓ ประการ สละชวี ติ เปน ทานปรมตั ถบารมี; ดู บารมี ที่ปรากฏแกพระโพธิสัตว เมื่อจะทรงอปุ ปถกิรยิ า การทํานอกรตี นอกรอยของ บําเพ็ญเพียรที่ตําบลอุรุเวลาเสนานิคมสมณะ, ความประพฤตินอกแบบแผน คือของภกิ ษสุ ามเณร ทานจดั รวมไวเปน ๓ ๑. ไมส ดชมุ ดว ยยาง ท้ังต้งั อยูในประเภท คอื ๑. อนาจาร ประพฤติไมดี นา้ํ จะเอามาสีใหเ กดิ ไฟ กม็ ีแตจ ะเหน่อื ยไมง าม และเลน ไมเหมาะสมตางๆ ๒. เปลา ฉนั ใด สมณพราหมณ ท่ีมกี ายยงัปาปสมาจาร ความประพฤติเลวทราม ไมหลีกออกจากกาม ยังมีความพอใจคือ คบหากบั คฤหัสถใ นทางทไี่ มส มควร หลงใหลกระหายกาม ละไมไ ด ถึงจะไดทาํ ตนเปนกลุ ทสู ก ๓. อเนสนา หาเลยี้ ง เสวยทุกขเวทนาท่ีเผด็ รอนแรงกลา อนัชีพในทางท่ีไมสมควร เชน เปน หมอ เกิดจากความเพยี รกต็ าม ไมไดเ สวยก็เสกเปาใหห วย เปนตน ตาม กไ็ มค วรทจี่ ะตรัสรู ฉนั นัน้อปุ ปลวัณณา ดู อบุ ลวรรณา ๒. ไมส ดชุม ดวยยาง ต้งั อยูบ นบกอปุ ปชชเวทนยี กรรม กรรมใหผ ลในภพ ไกลจากนํา้ จะเอามาสีใหเ กิดไฟ กม็ ีแต
อปุ ไมย ๕๖๒ อุปสรรคจะเหนื่อยเปลา ฉนั ใด สมณพราหมณท ่ี อุปวาณะ พระมหาสาวกองคห นง่ึ เกิดในมีกายหลีกออกแลวจากกาม แตยังมี ตระกลู พราหมณผูมัง่ คง่ั ในนครสาวตั ถีความพอใจหลงใหลกระหายกาม ละไม ไดเห็นพระพุทธองคในพิธีถวายวัดพระได ถงึ จะไดเสวยทุกขเวทนาทเ่ี ผ็ดรอน เชตวนั เกดิ ความเลือ่ มใส จึงไดมาบวชแรงกลา อันเกิดจากความเพียรก็ตาม ในพระศาสนาและไดบรรลุอรหัตตผลไมไดเสวยก็ตาม ก็ไมควรท่ีจะตรัสรู ทานเคยเปนอุปฏฐากของพระพุทธองคฉนั น้นั แมในวันปรินิพพานพระอุปวาณะก็๓. ไมแหง เกราะ ทงั้ ต้ังอยบู นบก ถวายงานพดั อยเู ฉพาะพระพักตร เร่อื งไกลจากน้ํา จะเอามาสใี หเ กดิ ไฟยอมทาํ ราวเก่ียวกับทานปรากฏในพระไตรปฎกไฟใหป รากฏได ฉนั ใด สมณพราหมณ ๔–๕ แหง เชน เรอื่ งท่ที านสนทนากับที่มีกายหลีกออกแลวจากกาม ไมมี พระสารีบุตรเกี่ยวกับโพชฌงค ๗ความพอใจหลงใหลกระหายกาม ละ ประการ เปนตนกามไดแลว ถงึ จะไดเสวยทกุ ขเวทนาท่ี อุปสมะ ความสงบใจจากส่ิงที่เปนขาศึกเผ็ดรอนแรงกลา อันเกิดจากความเพยี ร แกค วามสงบ, การทาํ ใจใหส งบ, สภาวะก็ตาม ไมไดเ สวยกต็ าม กค็ วรท่จี ะตรัส อนั เปน ท่ีสงบ คือ นพิ พาน (ขอ ๔ ในรู ฉนั น้นั อธิษฐานธรรม ๔)เมื่อไดทรงพระดํารดิ ังน้ีแลว พระ อุปสมบท การใหกุลบุตรบวชเปนภิกษุโพธิสัตว จึงไดทรงเร่ิมบําเพ็ญทุกร- หรอื ใหก ลุ ธดิ าบวชเปน ภกิ ษณุ ,ี การบวชกิริยา ดังเรื่องที่มาในพระสูตรเปนอัน เปน ภิกษุ หรือภกิ ษุณ;ี ดู อุปสัมปทามาก มโี พธริ าชกุมารสูตร เปนตน แต อุปสมาธิฏฐาน ที่ม่ันคือความสงบ,มักเขา ใจกันผิดไปวา อุปมา ๓ ขอนี้ ธรรมที่ควรตั้งไวในใจใหเปนฐานที่ม่ันปรากฏแกพระโพธิสัตวหลังจากทรงเลิก คอื สนั ต,ิ ผมู คี วามระงบั กเิ ลสไดใ จสงบละการบําเพญ็ ทุกรกิรยิ า เปน ฐานทมี่ น่ั (ขอ ๔ ในอธิฏฐาน ๔); ดูอุปไมย ขอความที่ควรจะนําสิ่งอ่ืนมา อธษิ ฐานธรรมเปรียบเทียบ, ส่ิงท่ีควรจะหาสิ่งอื่นมา อุปสมานุสติ ระลึกถึงคุณพระนิพพานเปรยี บเทยี บ, ส่งิ ทถี่ ูกเปรียบเทียบ ซึ่งเปนที่ระงับกิเลสและกองทุกข (ขออุปริมทิส “ทศิ เบ้ืองบน” หมายถงึ สมณ- ๑๐ ในอนุสติ ๑๐)พราหมณ; ดู ทิศหก อปุ สรรค ความขัดของ, สง่ิ ท่เี ขาไปขัด
อปุ สมั บัน ๕๖๓ อปุ เสนวงั คนั ตบตุ รขอ ง, เครอ่ื งกีดกนั้ , สิง่ ขดั ขวาง ปญหาพยากรณปู สมั ปทา การอปุ สมบทอุปสัมบัน ผูไดรับอุปสมบทเปนภิกษุ ดวยการตอบปญหาของพระพุทธองคหรือภิกษุณแี ลว, ผูอ ปุ สมบทแลว ไดแ ก เปนวิธีท่ีทรงอนุญาตแกโสปากสามเณรภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ;ี เทยี บ อนุปสมั บัน ๕. ครธุ รรมปฏิคคหณูปสมั ปทา (หรอือุปสัมปทา การบวช, การบวชเปนภิกษุ อฏั ฐครุธรรมปฏคิ คหณปู สมั ปทา) การหรอื ภกิ ษณุ ;ี วธิ อี ปุ สมบททง้ั หมด ๘ อยา ง อุปสมบทดวยการรับครุธรรม ๘แตเ ฉพาะทีใ่ ชเปนหลักมี ๓ อยาง คอื ประการ เปนวิธีท่ีทรงอนุญาตแกพระ๑. เอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทา การอปุ สมบท นางมหาปชาบดีโคตมี ๖. ทูเตนะ อุปสมั ปทา การอปุ สมบทดว ยทตู เปนดวยพระวาจาวา “จงเปนภิกษุมาเถิด”เปนวิธีทีพ่ ระพุทธเจาทรงบวชใหเ อง ๒. วิธีท่ีทรงอนุญาตแกนางคณิกา (หญิงตสิ รณคมนปู สัมปทา หรอื สรณคมนูป- โสเภณี) ช่ือ อัฑฒกาสี ๗. อฏั ฐวาจิกาสมั ปทา การอปุ สมบทดว ยถงึ ไตรสรณะ อปุ สมั ปทา การอุปสมบทมวี าจา ๘ คอืเปนวิธีท่ีทรงอนุญาตใหพระสาวกทําใน ทําดว ยญัตตจิ ตตุ ถกรรม ๒ ครั้งจากยุคตนพุทธกาล เมื่อคณะสงฆยังไม สงฆทั้งสองฝายคือจากภิกษุณีสงฆครั้งใหญน กั เมอื่ ทรงอนญุ าตวิธีที่ ๓ แลว หน่ึง จากภิกษุสงฆครั้งหน่ึง ไดแกก ารวธิ ีท่ี ๒ นก้ี เ็ ปลี่ยนใชสําหรับบรรพชา อุปสมบทของภิกษุณี ๘. ญัตติจตุตถ-สามเณร ๓. ญตั ตจิ ตตุ ถกมั มอปุ สมั ปทา กัมมอปุ สัมปทา (ขอ ๓. เดมิ )การอุปสมบทดวยญัตติจตุตถกรรม อปุ สมั ปทาเปกขะ บคุ คลผเู พง อปุ สมบทเปนวิธีท่ีทรงอนญุ าตใหสงฆท าํ ในเมื่อ คือผูม งุ จะบวชเปน ภิกษุ, ผขู อบวชนาคคณะสงฆเปนหมใู หญข ึน้ แลว และเปน อปุ สัมปทาเปกขา หญิงผูเพงอุปสัมปทาวิธีที่ใชสืบมาจนทุกวันนี้; วิธีอุปสมบท คอื ผขู อบวชเปนภกิ ษุณีอกี ๕ อยา งทเ่ี หลอื เปน วธิ ที ท่ี รงประทาน อุปสวี มาณพ ศิษยค นหน่งึ ในจาํ นวน ๑๖เปนการพิเศษจําเพาะบุคคลบาง ขาด คนของพราหมณพาวรี ที่ไปทูลถามตอนหมดไปแลว บาง ไดแ ก (จัดเรยี ง ปญ หากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดียลาํ ดับใหม เอา ขอ ๓. เปนขอ ๘. ทาย อุปเสนวงั คนั ตบุตร พระมหาสาวกองคสุด) ๓. โอวาทปฏคิ คหณปู สมั ปทา การ หนึ่ง เปนบุตรพราหมณชื่อ วังคันตะอุปสมบทดวยการรับโอวาท เปนวิธีที่ มารดาช่อื นางสารี เปนนอ งชายของพระทรงอนุญาตแกพระมหากัสสปะ ๔. สารบี ตุ ร เกดิ ทหี่ มบู า นนาลกะ เตบิ โตขน้ึ
อปุ หัจจปรินิพพายี ๕๖๔ อุปฏ ฐานศาลาเรยี นไตรเพทจบแลว ตอ มาไดฟ งธรรม ปนู อุปช ฌายมีความเลื่อมใส จึงบวชในพระพุทธ- อปุ ช ฌายวัตร ธรรมเนียมหรือขอปฏบิ ัติศาสนา หลงั จากบวชได ๒ พรรษา จึง ท่ีสัทธิวิหาริก พึงกระทําตออุปชฌายสําเร็จพระอรหัต ทานออกบวชจาก ของตน, หนาท่ีตออุปชฌายโ ดยยอคือตระกูลใหญ มีคนรูจักมากและท้ังเปน เอาใจใสป รนนิบตั ิรับใช คอยศกึ ษาเลานกั เทศกท ี่สามารถ จึงมกี ุลบุตรเลือ่ มใส เรยี นจากทา น ขวนขวาย ปอ งกัน หรอืมาขอบวชดวยจํานวนมาก ตัวทานเอง ระงับความเสอ่ื มเสยี เชน ความคิดจะเปนผูถือธุดงค และสอนใหสัทธิวหิ าริก สึก ความเหน็ ผิด เปน ตน รักษานา้ํ ใจถอื ธุดงคด ว ย ปรากฏวาทงั้ ตวั ทา นและ ของทา น มคี วามเคารพ จะไปไหนบอก บริษัทของทานเปนที่เล่ือมใสของคนทั่ว ลาไมเท่ียวตามอําเภอใจและเอาใจใส ไปหมด จึงไดรับยกยองวาเปน พยาบาลเม่ือทานอาพาธ; เทียบ สัทธิ- เอตทัคคะในทางทําใหเกิดความเลือ่ มใส วหิ ารกิ วัตร ทั่วทุกดาน (คือไมเฉพาะตนเองนา อปุ ช ฌายาจารย อปุ ช ฌายแ ละอาจารย เลื่อมใส แมคณะศิษยก็นาเลื่อมใสไป อุปฏฐาก ผูบ ํารุง, ผูรบั ใช, ผูดแู ลความ หมด); อปุ เสนะวังคนั ตบุตร ก็เขยี น เปนอยู, ผูอุปถัมภบํารุงพระภิกษุอุปหัจจปรินิพพายี พระอนาคามีผูจะ สามเณร; ในพุทธกาล พระเถระมากปรนิ พิ พานตอ เม่ืออายพุ นกึ่งแลว คือจะ หลายรูปไดเปลี่ยนกันทําหนาท่ีเปนพระปรนิ พิ พาน เม่ือใกลจ ะสิน้ อายุ (ขอ ๒ อุปฏฐากของพระพุทธเจา จนกระทั่งใน อนาคามี ๕) พรรษาท่ี ๒๐ พระอานนทจ ึงไดร ับหนาอปุ ชฌาย, อปุ ชฌายะ “ผูเ พง โทษนอ ย ที่เปนพระอุปฏฐากประจําพระองคใหญ” หมายถึงผูรับรองกุลบุตรเขารับ (อรรถกถาใชค ําเรียกวา “นพิ ทั ธุปฏ ฐาก”)การอุปสมบทในทามกลางภิกษุสงฆ, สบื มา ๒๕ พรรษา จนสิน้ พุทธกาล;เปนทั้งผูนําเขาหมู และเปนผูปกครอง อปุ ฐากกเ็ ขยี น; ดูนพิ ทั ธปุ ฏ ฐาก,อานนทคอยดูแลผิดและชอบ ทําหนาท่ฝี กสอน อุปฏฐานศาลา หอฉัน, หอประชุม,อบรมใหก ารศกึ ษาตอไป; อุปช ฌายใ น อาคารสําคัญในวัด ท่ีกลาวถึงบอยในฝายภิกษณุ ี เรียกวา ปวตั ตนิ ี พระไตรปฎก โดยพ้ืนเดมิ เปน ศาลาโรงอุปชฌายมัตต ภิกษุผูพอจะเปน ฉนั หรือหอฉัน (โภชนศาลา) และขยายอปุ ช ฌายไ ด คือมีพรรษาครบ ๑๐, พระ มาใชเปนศาลาโรงประชุมหรือหอประชมุ
อปุ ฏ ฐายกิ า ๕๖๕ อปุ ต ถมั ภกกรรม(สันนบิ าตศาลา) ซ่ึงภิกษุทัง้ หลายมาเฝา อาคารอีกช่ือหนึ่งรองลงไป ท่ีภิกษุท้ังพระพุทธเจา ฟงพระองคแสดงธรรม หลายมักไปนั่งประชุมสนทนาธรรมกันและถกเถยี งสนทนาธรรมกัน ตลอดจน ซ่ึงบางคร้ังพระพุทธเจาก็เสด็จไปทรงไถวนิ จิ ฉยั ขอวินยั ตางๆ เปน สวนประกอบ ถามและทรงช้ีแจงอธิบาย ไดแกสําคัญในวิถีชีวิตของพระสงฆในยุค “มณั ฑลมาฬ” (โรงกลม) ซง่ึ เปน ศาลาท่ีพทุ ธกาล และเปน ทเ่ี กดิ ขน้ึ ของพทุ ธพจน นงั่ พกั หรอื เรยี กอยา งชาวบา นวา ศาลาที่เปน อนั มากในพระธรรมวนิ ยั , อปุ ฏ ฐาน- นงั่ เลน (นสิ ที นศาลา, อรรถกถาบางแหงศาลาเกิดมีขึ้นต้ังแตระยะแรกของ วาเปนอุปฏฐานศาลาเชน กัน) พระสตู รพุทธกาล สืบเน่ืองจากพุทธานุญาตให สําคัญบางสูตรก็เกิดขึ้นที่ศาลานั่งพักพระสงฆม เี สนาสนะเปน ทอี่ ยอู าศยั คอื แบบน้ี; ในช้ันอรรถกถา นิยมเรียกที่ในชวงปท่ี ๒-๓ แหงพุทธกิจ ขณะ ประชมุ ฟง พระธรรมเทศนาของพระพทุ ธประทับอยูท่ีพระเวฬุวัน เมืองราชคฤห เจา วา “ธรรมสภา” ดงั นน้ั อปุ ฏ ฐานศาลาคาํ รองขอของเศรษฐีแหงเมอื งราชคฤหท ่ี ของพระไตรปฎ ก จงึ มกั ปรากฏในอรรถ-มีศรัทธาจะสรางวิหารคือกุฎีท่ีพักอาศัย กถา ในชอื่ วา ธรรมสภา ดงั ทอ่ี รรถกถาถวายแกภ กิ ษทุ ง้ั หลาย ไดเ ปน เหตใุ หท รง บางแหง ไขความวา “คาํ วา ‘ในอปุ ฏ ฐาน-อนญุ าตเสนาสนะแกภ กิ ษทุ งั้ หลาย (วนิ ย. ศาลา’ หมายความวา ‘ในธรรมสภา๗/๒๐๐/๘๖) ตอ จากนนั้ กม็ พี ทุ ธบญั ญตั ิ มณฑป’” (อ.ุ อ.๑๒/๑๐๖); ดู ธรรมสภาเกย่ี วกบั สง่ิ กอ สรา งตา งๆ ในวดั รวมทง้ั อปุ ฏ ฐายกิ า อปุ ฏ ฐากทีเ่ ปน หญิงพุทธานุญาตหอฉันคืออุปฏฐานศาลานี้ อปุ ต ตเิ หตุ เหตทุ เี กดิ ขนึ้ , เหตกุ ารณท เ่ี กดิ(วินย.๗/๒๓๕/๙๘) แลว ในเวลาใกลเ คยี งตอ เชน ควรเทศนาใหเ หมาะแกอ ปุ ต ติเหตุจากนนั้ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐกี ไ็ ดส รา งวดั คอื แสดงธรรมใหเ ขา กบั เรอ่ื งทีเ่ กิดขนึ้ ;พระเชตวันขึ้นที่เมืองสาวัตถี ในคํา บัดนเี้ ขียน อบุ ัติเหตุ และใชใ นความบรรยายการสรา งวดั พระเชตวนั นน้ั บอก หมายทต่ี างออกไปดว ยวา ไดส รา งอปุ ฏ ฐานศาลา โดยใชค าํ อปุ ต ถมั ภกกรรม กรรมสนบั สนนุ ไดแ กพหพู จน (อปุ ฏ านสาลาโย, วนิ ย.๗/๒๓๕/ กรรมทั้งที่เปนกุศลและอกุศลที่เขาชวย๙๘) ซง่ึ แสดงวา ทพี่ ระเชตวนั นน้ั มอี ปุ ฏ - สนับสนุนซ้ําเติมตอจากชนกกรรมฐานศาลาหลายหลงั , นอกจากอปุ ฏ ฐาน- เหมือนแมนมเล้ียงทารกท่ีเกิดจากผูอื่นศาลาแลว ตามเรื่องในพระไตรปฎก ถากรรมดีก็สนบั สนนุ ใหดีข้นึ ถากรรม
อุปทวะ ๕๖๖ อุปาลวิ งศช่วั กซ็ าํ้ เตมิ ใหเ ลวลงไปอกี (ขอ ๖ ใน อยา งนัน้ อยา งน้ี หรือจะตอ งเปน ไปเชนกรรม ๑๒) นัน้ เชน น้ีอุปท วะ อบุ าทว, ส่งิ เลวรายทก่ี อความ อุปาทานขันธ ขันธอันเปนท่ีต้ังแหงเดือดรอนหรือกีดกั้นขัดขวางไมใหเปน อุปาทาน, ขันธท ี่ประกอบดวยอปุ าทานอยูเปนไปดวยดี, บางทีพูดควบกับ ไดแก เบญจขนั ธ คือ รูป, เวทนา,อนั ตราย เปน อปุ ทวนั ตราย (อุปทวะ สญั ญา, สงั ขาร, วิญญาณ ท่ีประกอบและอันตราย) ดวยอาสวะอุปสสยะของภิกษุณี สวนท่ีอยูของ อปุ าทายรปู รปู อาศัย, รูปทเ่ี กดิ สบื เน่อื งภกิ ษุณี ต้งั อยใู นอาวาสที่มีภิกษอุ ยดู ว ย จากมหาภูตรปู , อาการของมหาภตู รูป มีแตอ ยูเอกเทศ ไมปะปนกบั ภกิ ษ;ุ เรยี ก ๒๔ อยาง; ดู รปู ๒๘ตามศัพทวา ภิกขุนูปสสยะ (สํานัก อุปาทิ 1. สภาพท่ถี กู กรรมกเิ ลสถอื ครอง, ภิกษณุ )ี สภาพทถี่ กู อปุ าทานยดึ ไวม นั่ , เบญจขนั ธอปุ าทาน ความถอื มน่ั , ความยดึ ตดิ ถอื คา ง 2. กิเลสเปนเหตุถือมั่น, ความยดึ ตดิ ถอืถอื คาไว (ปจ จบุ นั มกั แปลกนั วา ความยดึ มน่ั , อปุ าทานมนั่ ) ไมป ลอ ยไมว างตามควรแกเ หตผุ ล อุปาทินนกสังขาร สังขารที่กรรมครอบเนอื่ งจากตดิ ใครช อบใจหรอื ใฝปรารถนา ครอง พูดเขาใจกันอยางงายๆ วาอยา งแรง; ความถอื ม่นั ดว ยอํานาจกิเลส สงั ขารทม่ี ใี จครอง เชน คน สัตว เทวดามี ๔ คอื ๑. กามปุ าทาน ความถอื มน่ั ใน (ขอ ๑ ในสังขาร ๒)กาม ๒. ทิฏุปาทาน ความถือมั่นใน อปุ าทินนรูป,อปุ าทินนกรูป ดูที่รปู ๒๘ทิฏฐิ ๓. สีลัพพตุปาทาน ความถือมนั่ อปุ ายโกศล ดู โกศล ๓ในศีลและพรต ๔. อัตตวาทุปาทาน อปุ ายาส ความคบั แคน ใจ, ความสนิ้ หวงัความถือม่ันวาทะวา ตน; ตามสาํ นวนทาง อุปาลิปญจกะ ช่ือตอนหนึ่งในคัมภีรธรรม ไมใ ชค าํ วา “ถอื มน่ั ” หรอื “ยดึ มน่ั ” ปริวาร พระวนิ ยั ปฎ กกบั ความมนั่ แนว ในทางทดี่ งี าม แตใ ชค าํ วา อปุ าลิวงศ ชอื่ นกิ ายพระสงฆลงั กาที่บวช“ตง้ั มน่ั ” เชน ตงั้ มน่ั ในศลี ตง้ั มน่ั ในธรรม จากพระสงฆส ยาม (พระอบุ าลเี ปน หวั หนาต้งั มนั่ ในสจั จะ; ในภาษาไทย มักใช นาํ คณะสงฆไทยไปอุปสมบทกุลบุตรใน“อปุ าทาน” ในความหมายทแ่ี คบลงมาวา ประเทศลงั กา เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๙๖ ในแผนยึดติดอยูกับความนึกคิดเอาเองวาเปน ดนิ พระเจา อยหู วั บรมโกษฐ สมยั อยธุ ยา
อปุ าสกัตตเทสนา ๕๖๗ตอนปลาย) เปดใชงาน ณ ที่น้ี พระสารีบุตรไดอุปาสกัตตเทสนา การแสดงความเปน แสดงสังคีติสูตร อันเปนตนแบบของอุบาสก คอื ประกาศตนเปน อบุ าสกโดย การสงั คายนาถงึ พระรัตนตรัยเปน สรณะ อุภโตพยัญชนก คนมที งั้ ๒ เพศอุปาหนา ดู รองเทา อุภโตภาควิมุต “ผูหลุดพน ทั้งสองสว น”อโุ ปสถขันธกะ ชอ่ื ขันธกะท่ี ๒ แหง คอื พระอรหันตผ ูบาํ เพ็ญสมถะมาเปนคมั ภีรม หาวรรค พระวนิ ยั ปฎก วา ดว ย อยา งมากจนไดส มาบตั ิ ๘ แลว จึงใชการทําอโุ บสถ คือ สวดปาฏโิ มกขและ สมถะนั้นเปนฐานบําเพ็ญวิปสสนาตอไปเรือ่ งสมี า จนบรรลุอรหตั ผล; หลดุ พน ท้ังสองสวนอุโปสถิกะ, อุโปสถิกภัต อาหารที่เขา (และสองวาระ) คอื หลดุ พนจากรูปกายถวายในวันอุโบสถ คอื วันพระ ในเดือน ดวยอรปู สมาบตั ิ (เปน วิกขมั ภนะ) หนหนึ่งสวี่ นั , เปน ของจําพวกสงั ฆภัตหรือ หนึ่งแลว จึงหลุดพนจากนามกายดวยอุทเทสภัตนั่นเอง แตมีกาํ หนดวันเฉพาะ อริยมรรค (เปนสมุจเฉท) อีกหนหน่ึง;คือ ถวายเน่อื งในวนั อโุ บสถ เทยี บ ปญ ญาวิมตุอุพพาหิกา กิรยิ าทีถ่ อนนาํ ไป, การเลือก อภุ โตสชุ าต เกดิ ดแี ลว ทง้ั สองฝา ย คอื ทง้ัแยกออกไป, หมายถงึ วธิ รี ะงบั ววิ าทาธกิ รณ ฝา ยมารดาทง้ั ฝา ยบดิ า หมายความวา มีในกรณีที่ที่ประชุมสงฆมีความไม สกลุ สงู เปน เชอื้ สายวรรณะนนั้ ตอ เนอ่ื งสะดวก ดวยเหตุอยางใดอยางหน่ึง กันมาโดยตลอด ท้ังฝายบิดาและฝายสงฆจึงเลือกภิกษุบางรูปในที่ประชุมน้ัน มารดา, เปน คณุ สมบตั ทิ พ่ี วกพราหมณต้ังเปนคณะ แลวมอบเร่ืองใหน าํ เอาไป และกษตั รยิ บ างวงศถ อื เปน สาํ คญั มากวินิจฉัย (เปน ทํานองตัง้ คณะกรรมการ อภุ ยตั ถะ ประโยชนท งั้ สองฝา ย, ประโยชน พิเศษ) รวมกัน, สิ่งที่เก้ือกูลแกสวนรวมเปนอุพภตกสัณฐาคาร ทองพระโรงชื่อ คุณแกชีวิตทั้งของตนและของผูอ่ืนอุพภตก เปนทองพระโรง หรือหอ ชวยใหเปนอยูกันดวยดีพากันประสบประชุมท่ีสรางข้ึนใหมของมัลลกษัตริย ทฏิ ฐธัมมิกตั ถะ สมั ปรายิกตั ถะ และปรแหงเมืองปาวา มัลลกษัตริยทูล มตั ถะ ยง่ิ ข้นึ ไป; ดู อัตถะอาราธนาพระพุทธเจาไปประทับพรอม อมุ มตั ตกสมมติ การทสี่ งฆส วดประกาศดวยภกิ ษสุ งฆ เพื่อเปน สริ ิมงคลกอนจะ ความตกลงใหถ อื ภกิ ษเุ ปน ผวู กิ ลจรติ ; ดทู ี่
อุยยานบาล, อทุ ยานบาล ๕๖๘ เอกเทศ ปกาสนียกรรม, อสมั มขุ ากรณีย มคธ ตงั้ อยู ณ ลุมแมน ้ําเนรญั ชรา เปนอยุ ยานบาล, อทุ ยานบาล คนเฝา อทุ ยาน, ภมู ิสถานท่สี งบนาร่นื รมย พระมหาบุรุษ เจา หนา ทด่ี แู ลรกั ษาอทุ ยาน; ดู อุทยาน ทรงเลอื กเปน ทบี่ าํ เพญ็ เพยี ร ไดป ระทบั อยูอุรุเวลกัสสป พระมหาสาวกองคหน่ึง ณ ทน่ี นี้ านถงึ ๖ ป ทรงบาํ เพญ็ ทกุ รกริ ยิ าเคยเปนนักบวชประเภทชฎิล นับถือ และเปลยี่ นมาทรงดาํ เนนิ ในมชั ฌมิ าปฏปิ ทาลัทธิบูชาไฟ ถือตัววาเปนพระอรหันต จนไดตรัสรูอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณสรางอาศรมสั่งสอนลัทธิของตนอยูใกล ภายใตร ม พระศรมี หาโพธิ์ ณ รมิ ฝง แมน า้ํฝงแมนํา้ เนรัญชรา ตําบลอรุ ุเวลา เพราะ เนรญั ชรา ในตาํ บลน้ีเหตุที่เปนชาวกัสสปโคตรและอยู ณ อุสสาวนันติกา กัปปยภูมิท่ีทําดวยการตําบลอรุ เุ วลา จงึ ไดชอ่ื วา อุรเุ วลกัสสป ประกาศ ไดแ ก กฎุ ที ภ่ี กิ ษทุ งั้ หลายตกลงทา นผนู เ้ี ปน คณาจารยใ หญท ช่ี าวราชคฤห กนั แตต น วา จะทาํ เปน กปั ปย กฎุ ี ในเวลานับถอื มาก มนี อ งสองคน คนหนงึ่ ชอ่ื ท่ที าํ พอชวยกนั ยกเสาหรอื ตงั้ ฝาทแี รกนทีกัสสป อกี คนหน่ึงชือ่ คยากสั สป ก็รองประกาศใหรูกันวา “กปฺปยกุฏึลวนเปนหัวหนาชฎิลต้ังอาศรมอยูถัด กโรม” ๓ หน (แปลวา “เราท้ังหลายทาํกนั ไปบนฝง แมน ํา้ เนรญั ชรา ไมห า งไกล กัปปย กฎุ ”ี ); ดู กัปปยภมู ิจากอาศรมของพี่ชายใหญ ตอมาพระ อสุ รี ธชะ ภเู ขาทกี่ นั้ อาณาเขตของมชั ฌมิ -พุทธเจาไดเสด็จมาทรงทรมานอุรุเวล- ชนบทดา นเหนือกัสสปดว ยอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ต า งๆ จนทา น อูเน คเณ จรณํ การประพฤติ (วัตร) ในชฎิลใหญคลายพยศ ยอมมอบตัวเปน คณะอนั พรอ ง คือ ประพฤตใิ นถนิ่ เชนพทุ ธสาวก ขอบรรพชา ทาํ ใหช ฎลิ ผนู อ ง อาวาส ทม่ี ปี กตตั ตภกิ ษไุ มค รบองคส งฆทั้งสองพรอมดวยบริวารออกบวชตาม คือไมถ ึง ๔ รูป แตท่นี ยิ มปฏิบัติกนั มาดว ยทง้ั หมด ครนั้ บวชแลว ไดฟ ง เทศนา ไมต าํ่ กวา ๕ รปู ; เปน เหตอุ ยา งหนึง่ ของอาทิตตปริยายสตู ร จากพระพทุ ธเจา ก็ รัตตเิ ฉทแหงมานตั ; ดู รัตติเฉทไดสําเร็จพระอรหัตท้ังสามพ่ีนองพรอม อรู ุ ขาออ น, โคนขาดว ยบรวิ ารทงั้ หมดหนงึ่ พนั องค พระอรุ -ุ เอกฉันท มีความพอใจอยางเดียวกัน, เวลกัสสปไดรับยกยองเปนเอตทคั คะใน เห็นเปน อยา งเดียวกนั หมด ทางมบี รษิ ทั ใหญ คือ มบี ริวารมาก เอกเทศ ภาคหนึ่ง, สว นหน่งึ , เปนสวนอรุ เุ วลา ชอ่ื ตาํ บลใหญแ หง หนง่ึ ในแควน หน่ึงตา งหาก
เอกพีชี ๕๖๙ เอกเสสนัยเอกพีชี ผมู ีพชื คอื อัตภาพอนั เดียว หมาย หรอื เหลอื ไวศ พั ทเ ดยี ว เชน ก) เปน ทร่ี ู ถึง พระโสดาบันซง่ึ จะเกิดอีกครัง้ เดียวก็ กนั ดวี า คพู ระอคั รสาวกคอื ใคร ดงั นนั้ ใน จะบรรลุพระอรหัตตผลในภพท่ีเกิดขึ้น คาํ สมาสบาลี เมอ่ื ระบนุ ามพระอคั รสาวก (ขอ ๑ ในโสดาบนั ๓, บางแหง ทานจัด องคเ ดยี วแตเ ปน พหพู จนว า สารปิ ตุ ตฺ า กลบั เปนขอ ๓) “พระสารบี ตุ รทงั้ หลาย” กเ็ ปน อนั รวมอกีเอกภณั ฑะ ทรัพยส งิ่ เดียวซงึ่ มรี าคาเพียง องคหน่ึงท่ีไมไดระบุดวย จึงหมายถึง พอที่จะเปน วัตถแุ หง ปาราชกิ พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเอกภตั ติกะ ผูฉนั ภตั เดียว คือ ฉนั วันละ ข) ตามสาํ นวนวธิ อี ธิบายธรรม เชน ใน มอื้ เดยี ว เฉพาะมอื้ เชา กอ นเทยี่ งวนั ; เทยี บ หลกั ปฏจิ จสมปุ บาท คาํ วา นามรปู เปน เอกาสนกิ ะ;ดู ฉนั มอ้ื เดยี ว เอกเสส หมายถงึ นามหรอื รปู หรอื ทง้ัเอกวจนะ คาํ กลา วถึงสงิ่ ของสิง่ เดยี ว นามและรปู คาํ วา สฬายตนะ กเ็ ปนเอกโวการ, เอกโวการภพ ดู โวการ เอกเสส หมายถงึ อายตนะท่ี ๖ กไ็ ดเอกสทิ ธิ สทิ ธพิ ิเศษ, สิทธโิ ดยเฉพาะ อายตนะทง้ั ๖ กไ็ ด ดงั นนั้ เมอื่ พดู วาเอกเสสนยั อาการกาํ หนดดว ยเหลอื ศพั ท นามรูปเปนปจจัยใหเกดิ สฬายตนะ ถา เดยี ว, เปน วธิ กี ารอยา งหนง่ึ ในไวยากรณ พดู ถงึ อรปู ภพ กรณกี บ็ งั คบั ใหต อ งแปล บาลี กลา วคอื บคุ คล วตั ถุ หรอื ภาวะ ความวา นามเปน ปจ จยั ใหเ กดิ อายตนะท่ี บางอยาง เปนของควบคกู นั มาดวยกัน ๖ (คอื มโน) ค) ในสาํ นวนนยิ มทางภาษา เสมอ เมอื่ เหน็ อยา งหนงึ่ กเ็ ปน อนั รถู งึ อกี อยา งในภาษาบาลี คาํ พดู บางคาํ มคี วาม อยา งหนง่ึ ดว ย หรอื เปน ของชดุ เดยี วกนั หมายกวา ง หมายถงึ สงิ่ ของหรอื สภาวะ จาํ พวกเดยี วกัน เมอ่ื เรยี กชอ่ื อยา งหนงึ่ สองสามอยางที่ถือไดวาเปนชุดเดียวกัน จะหมายถึงอยางหนึ่งอยางใดในชุดหรือ เชน สคุ ติ หมายถงึ โลกสวรรคก ไ็ ด โลก ในจาํ พวกนนั้ กไ็ ด ในกรณเี ชน น้ี บางที มนษุ ยก ไ็ ด (สวรรคก บั มนษุ ยอ ยใู นชดุ ที่ ทา นกลา วถึงหรอื ออกช่ือไวอยางใดอยา ง เปนสุคติดวยกัน) เม่ืออยางหน่ึงในชุด หนงึ่ แตเ พยี งอนั เดยี ว ใหผ อู า นหรอื ผฟู ง นน้ั มคี าํ เฉพาะระบชุ ดั แลว คาํ ทมี่ คี วาม หมายรอู กี อยางหน่ึงดว ย หรอื ใหเขาใจ หมายกวา ง กย็ อ มหมายถงึ อกี อยา งหนงึ่ เอาเอง จากขอ ความแวดลอ มวา ในทนี่ น้ั ในชดุ นน้ั ทย่ี งั ไมถ กู ระบุ เชน ในคาํ วา หมายถึงอยางไหนขอใดในชุดหรือใน “สคุ ติ (และ) โลกสวรรค” สวรรคก เ็ ปน จาํ พวกนนั้ จงึ เรยี กวา เหลอื ไวอ ยา งเดยี ว สคุ ติ แตม คี าํ เฉพาะระบไุ วแ ลว ดงั นนั้
เอกอุ ๕๗๐ เอตทัคคะ คาํ วา สคุ ติ ในกรณนี ้ี จงึ หมายถงึ โลก ภกิ ขฺ เว มม สาวกานํ ภกิ ขฺ นู ํ รตตฺ ฺ นู ํ มนุษย ซึ่งเปนสุคติอยางเดียวท่ีเหลือ ยททิ ํอฺ าโกณฑฺ โฺ ”(ภกิ ษทุ งั้ หลาย บรรดาภิกษุสาวกของเราผูรัตตัญู นอกจากสวรรคเอกอุ เลิศ, สูงสดุ (ตัดมาจากคาํ วา เอก- อญั ญาโกณฑญั ญะน่ี เปน ผยู อดเย่ยี ม), อดุ ม) (อง.ฺ เอก.๒๐/๗๘/๑๗) วา “เอตทคคฺ ํ ภกิ ขฺ เวเอกัคคตา ความมีอารมณเปนอันเดียว วฑุ ฒฺ นี ํ ยททิ ํ ปฺ าวฑุ ฒฺ ”ิ (ภิกษทุ ัง้ คือ ความมีจิตตแนวแนอยูในอารมณ หลาย บรรดาความเจริญทั้งหลาย อันเดียว ไดแกสมาธิ (พจนานุกรม ความเจรญิ เพ่ิมพนู ปญญาน่ี เปนเยย่ี ม) เขียน เอกคั ตา); ดู ฌาน (องฺ.นวก.๒๓/๒๐๙/๓๗๗) วา “เอตทคฺคํเอกันตโลมิ เครื่องลาดที่มีขนตกไปขาง ภกิ ขฺ เว ทานานํ ยททิ ํ ธมมฺ ทาน”ํ (ภิกษุ เดยี วกนั ทง้ั หลาย ในบรรดาทานทงั้ หลาย ธรรมเอกายนมรรค ทางอันเอก คอื ขอปฏิบตั ิ อันประเสริฐที่จะนําผูปฏิบัติไปสูความ ทานนเ้ี ปนเลศิ ); ตามปกติ มกั หมายถึง บริสุทธิห์ มดจด หมดความทุกข และ พระสาวกที่ไดรับยกยองจากพระพุทธ บรรลนุ ิพพาน ไดแก สติปฏ ฐาน ๔; เจาวาเปนผูยอดเย่ียมในทางใดทางหน่ึง อยางกวางขวาง เชน ในมหานิทเทส เชน เปนเอตทัคคะในทางธรรมกถึก หมายถึง โพธปิ กขิยธรรม ดวย หมายความวาเปนผูยอดเยี่ยมในทางเอกาสนิกะ ผูฉันท่นี ่งั เดยี ว คือ ฉนั วนั ละ มอื้ เดยี วครงั้ เดยี ว ลกุ จากทแี่ ลว ไมฉ นั อกี แสดงธรรม เปน ตน ในวนั นนั้ ; เทยี บ เอกภตั ตกิ ะ;ดู ฉนั มอ้ื เดยี วเอกาสนิกังคะ องคแหงผูถือนั่งฉันท่ี พระสาวกท่ีพระพุทธเจาตรัสวาเปน อาสนะเดยี วเปน วตั ร คือ ฉนั วันละมื้อ เอตทัคคะ ในบริษทั ๔ ปรากฏในพระ เดียว ลุกจากท่ีแลวไมฉันอีกในวันน้ัน ไตรปฎ ก (อง.ฺ เอก.๒๐/๑๔๖/๓๑–๑๕๒/๓๓) ดงั น้ี (ขอ ๕ ในธุดงค ๑๓) ๑. ภกิ ษบุ รษิ ทัเอตทคั คะ “นั่นเปน ยอด”, “นเ่ี ปน เลิศ”, บคุ คลหรอื สงิ่ ทย่ี อดเยยี่ ม ดีเดน หรือ พระอญั ญาโกณฑัญญะ เปนเอตทัคคะ เปน เลศิ ในทางใดทางหนงึ่ เชน ในพุทธ ในบรรดาภกิ ษสุ าวกผรู ตั ตญั ,ู พระสาร-ี พจน (องฺ.เอก.๒๐/๑๔๖/๓๑) วา “เอตทคคฺ ํ บตุ ร …ใน~ผมู ปี ญ ญามาก, พระมหา- โมคคลั ลานะ …ใน~ผมู ฤี ทธ,์ิ พระมหา- กสั สป …ใน~ผถู อื ธดุ งค, พระอนรุ ทุ ธะ …ใน~ผูม ีทพิ ยจักษ,ุ พระภทั ทยิ ะกาฬ-ิ โคธาบุตร …ใน~ผูมีตระกูลสูง, พระ
เอตทัคคะ ๕๗๑ เอตทัคคะลกุณฏกภัททิยะ ใน~ผูมีเสียงไพเราะ, มลั ลบตุ ร …ใน~ผจู ดั แจกเสนาสนะ, พระพระปณโฑลภารทั วาชะ …ใน~ผบู ันลือ ปล นิ ทวจั ฉะ …ใน~ผเู ปน ทร่ี กั ใครช อบใจสหี นาท, พระปณุ ณมนั ตานบี ตุ ร …ใน~ผู ของเหลา เทพยดา, พระพาหยิ ทารจุ รี ยิ ะเปน ธรรมกถกึ , พระมหากจั จานะ …ใน~ …ใน~ผตู รสั รเู รว็ พลนั , พระกมุ ารกสั สปะผจู าํ แนกความยอ ใหพ สิ ดาร, พระจลุ ล- …ใน~ผูแสดงธรรมวิจิตร, พระมหา-ปน ถกะ …ใน~ผนู ฤมติ มโนมยกาย (กาย โกฏฐิตะ …ใน~ผูบ รรลุปฏสิ มั ภทิ า, พระอนั สาํ เรจ็ ดว ยใจ), พระจลุ ลปน ถกะ …ใน อานนท …ใน~ผเู ปน พหสู ตู , พระอานนท~ผูฉลาดทางเจโตววิ ฏั ฏ (การคล่ีขยาย …ใน~ผมู สี ต,ิ พระอานนท …ใน~ผมู คี ต,ิทางจิต คือในดานสมาบัติ หรือเร่ือง พระอานนท …ใน~ผมู คี วามเพยี ร, พระสมาธ)ิ , พระมหาปน ถกะ …ใน~ผฉู ลาด อานนท …ใน~ผเู ปน อปุ ฏ ฐาก, พระอรุ -ุทางปญญาวิวัฏฏ (การคลี่ขยายทาง เวลกัสสปะ …ใน~ผมู บี รษิ ทั มาก, พระปญ ญา คอื ในดา นวปิ ส สนา; บาลเี ปน กาฬุทายี …ใน~ผูทาํ สกุลใหเลื่อมใส,สญั ญาววิ ฏั ฏ กม็ ี คอื ชาํ นาญในเรอื่ งอรปู - พระพกั กลุ ะ …ใน~ผมู อี าพาธนอ ย, พระฌาน), พระสภุ ตู ิ …ใน~ผมู ปี กตอิ ยไู ม โสภิตะ …ใน~ผรู ะลึกบุพเพนวิ าส, พระขอ งเกยี่ วกบั กเิ ลส (อรณวหิ าร)ี , พระสภุ ตู ิ อุบาลี …ใน~ผูทรงวินัย, พระนนั ทกะ…ใน~ผเู ปน ทกั ขไิ ณย, พระเรวตขทริ วนยิ ะ …ใน~ผโู อวาทภกิ ษณุ ,ี พระนนั ทะ …ใน~…ใน~ผถู อื อยปู า (อารญั ญกะ), พระกงั ขา- ผสู าํ รวมระวงั อนิ ทรยี , พระมหากปั ปน ะเรวตะ …ใน~ผบู าํ เพญ็ ฌาน, พระโสณ- …ใน~ผโู อวาทภกิ ษ,ุ พระสาคตะ …ใน~ผูโกฬวิ สิ ะ …ใน~ผปู รารภความเพยี ร, พระ ชาํ นาญเตโชธาตสุ มาบตั ,ิ พระราธะ …ในโสณกุฏิกัณณะ …ใน~ผูกลาวกัลยาณ- ~ผสู อ่ื ปฏภิ าณ, พระโมฆราช …ใน~ผูพจน, พระสีวลี …ใน~ผมู ีลาภ, พระ ทรงจวี รเศรา หมองวักกลิ …ใน~ผูมีศรัทธาสนิทแนว(ศรทั ธาธมิ ตุ ), พระราหลุ …ใน~ผใู ครต อ ๒. ภกิ ษณุ บี รษิ ทัการศกึ ษา, พระรฐั ปาละ …ใน~ผอู อก พระมหาปชาบดโี คตมี เปน เอตทคั คะบวชดว ยศรทั ธา, พระกณุ ฑธานะ …ใน~ ในบรรดาภกิ ษณุ สี าวกิ าผรู ตั ตญั ,ู พระผจู บั สลากเปน ปฐม, พระวงั คสี ะ …ใน~ผู เขมา …ใน~ผูมีปญ ญามาก, พระอุบล-มปี ฏภิ าณ, พระอปุ เสนะวงั คนั ตบตุ ร … วรรณา …ใน~ผูม ีฤทธ,์ิ พระปฏาจาราใน~ผทู นี่ า เลอื่ มใสรอบดา น, พระทพั พ- …ใน~ผทู รงวนิ ยั , พระธมั มทนิ นา …ใน~ ผเู ปน ธรรมกถกึ , พระนนั ทา …ใน~ผู
เอตทคั คฐาน ๕๗๒ เอหภิ กิ ขุอุปสัมปทาบาํ เพญ็ ฌาน, พระโสณา …ใน~ผปู รารภ วสิ าขามคิ ารมารดา …ใน~ผเู ปน ทายกิ า,ความเพียร, พระสกุลา …ใน~ผูมี ขชุ ชตุ ตรา …ใน~ผเู ปน พหสู ตู , สามาวดีทพิ ยจกั ษ,ุ พระภทั ทากณุ ฑลเกสา … …ใน~ผูม ปี กติอยดู วยเมตตา, อุตตราใน~ผตู รสั รเู รว็ พลนั , พระภทั ทากปล านี นันทมารดา …ใน~ผูบําเพ็ญฌาน,(ภทั ทกาปล านี กว็ า ) …ใน~ผรู ะลกึ บพุ เพ- สุปปวาสาโกลิยธดิ า …ใน~ผถู วายของนวิ าส, พระภทั ทากจั จานา …ใน~ผบู รรลุ ประณีต, สุปปย าอบุ าสกิ า …ใน~ผูเปนมหาอภญิ ญา, พระกสี าโคตมี …ใน~ผู คลิ านปุ ฏ ฐาก, กาตยิ านี …ใน~ผมู ปี สาทะทรงจวี รเศรา หมอง, พระสคิ าลมารดา … ไมห วนั่ ไหว, นกลุ มารดาคหปตานี …ในใน~ผมู ศี รทั ธาสนทิ แนว (ศรทั ธาธมิ ตุ ) ~ผูสนิทคุนเคย, กาฬีอุบาสิกา ชาว ๓. อบุ าสกบรษิ ทั กุรรฆรนคร …ใน~ผูม ีปสาทะดวยสดับตปสุ สะและภลั ลกิ ะ สองวาณชิ เปน คาํ กลาวขาน; เทยี บ อสตี มิ หาสาวกเอตทัคคะ ในบรรดาอุบาสกสาวกผูถ ึง เอตทัคคฐาน ตําแหนงเอตทัคคะ,สรณะเปน ปฐม, สุทัตตะอนาถปณฑิก- ตําแหนง ท่ีไ ดรับยกยองจากพระคหบดี …ใน~ผเู ปนทายก, จิตตะคหบดี พุทธเจา วา เปนเลิศในคุณนนั้ ๆชาวเมืองมัจฉิกาสณฑ …ใน~ผูเปน เอหปิ สสฺ โิ ก (พระธรรม) ควรเรียกใหม าดูธรรมกถกึ , หัตถกะอาฬวกะ …ใน~ผู คือ เชิญชวนใหมาชม เหมือนของดีสงเคราะหบริษัทดวยสังคหวัตถุ ๔, วิเศษท่ีควรปา วรองใหม าดู หรอื ทาทายมหานามะเจา ศากยะ …ใน~ผูถวายของ ตอการพิสูจน เพราะเปน ของจรงิ และดีประณีต, อุคคะคหบดี ชาวเมืองเวสาลี จรงิ (ขอ ๔ ในธรรมคุณ ๖)…ใน~ผูถวายของท่ี[ตัวผูถวายเอง]ชอบ เอหิภิกขุ เปนคําเรียกภิกษุท่ีไดรับใจ, อุคคตะคหบดี …ใน~ผูเปนสังฆ- อุปสมบทจากพระพุทธเจาโดยตรงดวยอปุ ฏ ฐาก, สรู ะอมั พฏั ฐะ …ใน~ผมู ปี สาทะ วิธีบวชท่ีเรียกวา เอหิภิกขุอุปสัมปทา;ไมหวน่ั ไหว, ชวี กโกมารภจั จ …ใน~ผู พระอัญญาโกณฑัญญะ เปนเอหิภิกขุเลื่อมใส[เลือกตัว]บุคคล, นกุล-บิดา องคแ รกคหบดี …ใน~ผูสนิทคนุ เคย เอหิภกิ ขอุ ปุ สัมปทา วธิ อี ุปสมบทท่ีพระ ๔. อบุ าสกิ าบรษิ ทั พุทธเจาประทานดวยพระองคเองดวยสชุ าดาเสนานธี ดิ า เปน เอตทคั คะ ใน การเปลง พระวาจาวา “ทา นจงเปนภิกษุบรรดาอบุ าสกิ าสาวกิ าผถู งึ สรณะเปน ปฐม, มาเถดิ ธรรมอันเรากลาวดีแลว ทานจง
เอหิภิกษุ ๕๗๓ โอธานสโมธานประพฤติพรหมจรรยเพื่อทําท่ีสุดทุกข องค ๕ อีกหมวดหนง่ึ วา เปน อลัชชีเปนโดยชอบเถดิ ” วิธนี ้ี ทรงประทานแกพระ พาล มิใชป กตตั ตะ กลาวดว ยปรารถนาอญั ญาโกณฑัญญะ เปน บคุ คลแรก; ดู จะกาํ จดั มใิ ชเปน ผูมีความปรารถนาในอปุ สัมปทา อนั ใหอ อกจากอาบัติเอหภิ กิ ษุ ดู เอหิภิกขุ โอกาสโลก โลกอันกําหนดดวยโอกาส,โอกกันตกิ าปติ ปต เิ ปน ระลอก, ความอม่ิ โลกอันมีในอวกาศ, โลกซึ่งเปนโอกาสใจเปนพักๆ เม่ือเกิดข้ึนทาํ ใหรูสึกซูซา แกสตั วท้งั หลายท่จี ะอยอู าศัย, โลกคือเหมอื นคลน่ื กระทบฝง (ขอ ๓ ในปต ิ ๕) แผนดินอันเปนที่อยูอาศัยของสัตวทั้งโอกกากราช กษัตริยผูเปนตนสกุลของ หลาย, จกั รวาล (ขอ ๓ ในโลก ๓) โอฆะ หว งน้ําคือสงสาร, หว งนํา้ คือการศากยวงศโอกาส ชอง, ที่วาง, ทาง, เวลาที่เหมาะ, เวียนวายตายเกิด; กิเลสอันเปนดุจจังหวะ; ในวิธีระงับอนุวาทาธิกรณมี กระแสนํ้าหลากทวมใจสัตว มี ๔ คอืระเบียบวา กอ นจะกลาวคําโจทนาคือคาํ กาม ภพ ทฏิ ฐิ อวชิ ชาฟองขึน้ ตอหนา สงฆ โจทกพึงขอโอกาส โอฏฐชะ อักษรเกดิ ทีร่ มิ ฝปาก คอื อุ อูตอจําเลย คําขอโอกาสวา “กโรตุ เม และ ป ผ พ ภ มอายสฺมา โอกาสํ, อหนฺตํ วตฺตุกาโม” โอตตัปปะ ความกลวั บาป, ความเกรงแปลวา “ขอทานจงทาํ โอกาสแกข า พเจา กลัวตอทจุ รติ , ความเกรงกลวั ความชวั่ขาพเจา ใครจ ะกลา วกะทา น” ถา โจทโดย เหมือนกลัวอสรพิษ ไมอยากเขาใกลไมขอโอกาส ตองอาบตั ิทุกกฏ คาํ ให พยายามหลกี ใหห า งไกล (ขอ ๒ ในธรรมโอกาส ทานไมไดแสดงไว อาจใชวา คมุ ครองโลก ๒, ขอ ๔ ในอรยิ ทรพั ย ๗,“กโรมิ อายสมฺ โต โอกาส”ํ แปลวา ขอ ๓ ในสทั ธรรม ๗)“ขาพเจาทาํ โอกาสแกทา น”; ภกิ ษุพรอ ม โอธานสโมธาน ชื่อปริวาสประเภทดว ยองค ๕ แมจะขอใหท าํ โอกาสก็ไม สโมธานปรวิ าสอยา งหนงึ่ ใชส าํ หรบั อาบตั ิควรทาํ (คือไมควรใหโ อกาส) กลา วคือ สังฆาทิเสสท่ตี องหลายคราวแตม ีจาํ นวนเปนผูมีความประพฤติทางกายไม วนั ทป่ี ด ไวเ ทา กนั เชน ตอ งอาบตั ิ ๒ คราวบริสุทธิ์ มีความประพฤติทางวาจาไม ปด ไวค ราวละ ๕ วนั ใหข อปรวิ าสรวมบริสุทธิ์ มอี าชวี ะไมบ ริสุทธิ์ เปน ผูเขลา อาบตั แิ ละราตรเี ขา ดว ยกนั เพอ่ื อยเู พยี ง ๕ถูกซักเขา ไมอาจใหคําตอบขอท่ีซัก, วนั เทา นน้ั , (แตต ามนยั อรรถกถาทา นแก
โอธิโสผรณา ๕๗๔ โอวาทปาฏิโมกข วา สาํ หรบั อนั ตราบตั มิ วี นั ปด ทป่ี ระมวล กระทาํ โอภาส ณ ทตี่ า งๆ หลายแหง ซึง่ เขา กบั อาบตั เิ ดมิ ); ดู สโมธานปรวิ าส ถาพระอานนทเขาใจ กจ็ ะทลู ขอใหท รงโอธโิ สผรณา “แผโ ดยมีขอบเขต”, เมตตา ดํารงพระชนมอ ยตู ลอด[อายุ]กัป ท่ีต้ังใจแผไ ปตอ สตั วทงั้ หลายอยางจาํ กัด โอมสวาท [โอ-มะ-สะ-วาด] พดู เสยี ดแทงขอบเขต เชนวา ขอใหชนชาวเขา จงมี ใหเจ็บใจหรือใหไดความอัปยศ ไดแกความสขุ , ขอใหเ หลา พอ คา จงมคี วามสขุ , การพดู แดกหรอื ประชดกต็ าม ดา กต็ ามขอใหเ ตาปลา จงมคี วามสขุ , บางทเี รยี ก กระทบถงึ อกั โกสวตั ถุ ๑๐ ประการ มี “โอทสิ สกผรณา” (แผไ ปเจาะจง); เทียบ ชาตกิ าํ เนดิ ชอ่ื ตระกลู เปน ตน ภกิ ษุ อโนธโิ สผรณา, ทสิ าผรณา; ดู แผเ มตตา, ก ล า ว โ อ ม ส ว า ท แ ก ภิ ก ษุ ต อ ง อ า บั ติ วกิ พุ พนา, สมี าสมั เภท ปาจิตตีย แกอนุปสัมบันตองอาบัติ ทกุ กฏตามสกิ ขาบทที่ ๒ แหง มสุ าวาทโอปนยิโก (พระธรรม) ควรนอมเขา มา ไวในใจ หรือนอมใจเขาไปใหถึงดวย วรรคปาจติ ตยิ กณั ฑ การปฏิบัติใหเกิดขึ้นในใจ หรือใหใจ โอรส “ผูเ กดิ แตอ ก”, ลกู ชาย บรรลถุ งึ อยา งนนั้ (ขอ ๕ ในธรรมคณุ ๖) โอรัมภาคิยสังโยชน สังโยชนเบื้องต่ํา,โอปปาตกิ ะ สตั วเกิดผดุ ขึน้ คือ เกดิ ผุด กิเลสผกู ใจสัตวอยางหยาบ มี ๕ อยา งข้ึนมาและโตเต็มตัวในทันใด ตายก็ไม คอื สักกายทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลพั พต-ตองมีเช้ือหรือซากปรากฏ เชนเทวดา ปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ; ดู สังโยชนและสตั วน รก เปน ตน (ขอ ๔ ในโยนิ ๔); โอวาท คาํ กลาวสอน, คาํ แนะนาํ , คําบาลวี า รวมทง้ั มนษุ ยบางพวก ตกั เตอื น; โอวาทของพระพทุ ธเจา ๓ คอืโอปกกฺ มกิ า อาพาธา ความเจบ็ ไขเ กดิ ๑. เวนจากทุจริต คือประพฤติช่วั ดวยจากความพยายามหรือจากคนทําให, กายวาจาใจ (=ไมทําความช่ัวท้ังปวง) เจ็บปวยเพราะการกระทําของคนคือตน ๒. ประกอบสุจรติ คอื ประพฤตชิ อบ เองเพยี รเกนิ กาํ ลงั หรอื ถกู เขากระทาํ เชน ดว ยกายวาจาใจ (=ทําแตความดี) ๓. ถูกจองจํา ใสข ือ่ คา เปน ตน ; ดูอาพาธ ทําใจของตนใหหมดจดจากเคร่ืองเศราโอภาส 1. แสงสวาง, แสงสุกใส ผุดผอง หมอง มีโลภ โกรธ หลง เปนตน (=ทาํ (ขอ ๑ ในวิปสสนปู กิเลส ๑๐) 2. การ จติ ตของตนใหส ะอาดบรสิ ุทธ)์ิ โอวาท พูดหรือแสดงออกที่เปนเชิงเปดชองทาง ๓ น้ี รวมอยใู น โอวาทปาฏโิ มกข หรือใหโอกาส เชนท่ีพระพุทธเจาทรง โอวาทปาฏโิ มกข [โอ-วา-ทะ-ปา-ต-ิ โมก]
โอวาทปาติโมกข ๕๗๕ โอสารณาหลักคําสอนสําคัญของพระพุทธศาสนา ไมช ่อื วา เปนบรรพชติ , ผูเบียดเบียนคนหรือคําสอนอันเปนหัวใจของพระพุทธ อนื่ ไมช ื่อวาเปนสมณะศาสนา ไดแก พระพุทธพจน ๓ คาถากึ่ง การไมกลาวรา ย ๑ การไมทํารายทพี่ ระพทุ ธเจา ตรสั แกพ ระอรหนั ต ๑,๒๕๐ ๑ ความสาํ รวมในปาฏโิ มกข ๑ ความรปู ผไู ปประชมุ กนั โดยมไิ ดน ดั หมาย ณ เปน ผรู จู ักประมาณในอาหาร ๑ ทนี่ ัง่พระเวฬุวนาราม ในวนั เพญ็ เดอื น ๓ ท่ี นอนอนั สงัด ๑ ความเพียรในอธจิ ิตต ๑เราเรียกกันวาวันมาฆบูชา (อรรถกถา นเ้ี ปน คาํ สอนของพระพุทธเจา ทัง้ หลายกลา ววา พระพทุ ธเจา ทรงแสดงโอวาท- ท่เี ขา ใจกันโดยทว่ั ไป และจํากันไดปาฏโิ มกขน ้ี แกท ่ีประชมุ สงฆ เปน เวลา มาก กค็ อื ความในคาถาแรกทวี่ า ไมท าํ๒๐ พรรษากอนท่จี ะโปรดใหส วดปาฏ-ิ ชั่ว ทาํ แตค วามดี ทาํ จิตตใ จใหผ อ งใสโมกขอยา งปจ จบุ ันนแี้ ทนตอ มา), คาถา โอวาทปาติโมกข ดู โอวาทปาฏิโมกข โอวาทวรรค ตอนที่วาดว ยเรอื่ งใหโ อวาทโอวาทปาฏโิ มกข มีดังน้ีสพฺพปาปสฺสอกรณํ กสุ ลสฺสปู สมปฺ ทา แกน างภิกษุณี เปนตน , เปนช่ือวรรคท่ีสจติ ฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทธฺ าน สาสนํ ฯ ๓ แหงปาจิตติยกัณฑ ในมหาวิภังคขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกขฺ า พระวนิ ัยปฎกนิพพฺ านํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา โอวาทานุสาสนี คาํ กลาวสอนและพราํ่น หิ ปพพฺ ชิโต ปรูปฆาตี สอน, คําตักเตือนและแนะนําพรํา่ สอนสมโณ โหติ ปรํ วเิ หยนฺโต ฯ โอษฐ ปาก, รมิ ฝปากอนูปวาโท อนูปฆาโต ปาตโิ มกเฺ ข จ สํวโร โอสารณา การเรยี กเขา หม,ู เปน ชอ่ื สงั ฆ-มตตฺ ฺตุ าจ ภตตฺ สมฺ ึ ปนฺตจฺ สยนาสนํ กรรมจาํ พวกหนึง่ มีทั้งที่เปนอปโลกน-อธิจติ ฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทธฺ าน สาสนํ ฯ กรรม (เชน การรับสามเณรผกู ลาวตูแปล: การไมท าํ ความช่ัวทัง้ ปวง ๑ พระผูมีพระภาคเจาซ่ึงถูกนาสนะไปแลวการบําเพ็ญแตค วามดี ๑ การทําจิตต และเธอกลับตัวได) เปนญัตติกรรมของตนใหผ อ งใส ๑ นี้เปนคําสอนของ (เชน เรยี กอุปสมั ปทาเปกขะทสี่ อนซอมพระพุทธเจา ท้งั หลาย อนั ตรายิกธรรมแลวเขาไปในสงฆ) เปนขนั ติ คอื ความอดกล้ัน เปน ตบะ ญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม (เชน หงายบาตรแกอยางยง่ิ , พระพุทธเจาทงั้ หลายกลาววา คฤหสั ถท ก่ี ลบั ตวั ประพฤตดิ )ี เปน ญตั ต-ินพิ พาน เปน บรมธรรม, ผูทํารา ยคนอ่นื จตตุ ถกรรม (เชน ระงับนคิ หกรรมทีไ่ ด
โอฬาริกรปู ๕๗๖ โอฬาริกรูป ทาํ แกภ กิ ษ)ุ ; คูกับ นิสสารณาโอฬาริกรูป ดทู ี่ รูป ๒๘
แถลงการจัดทาํ หนงั สือ ประกาศพระคณุ ขอบคุณ และอนโุ มทนา หนังสือนเ้ี กิดขึ้นในเวลาเรงดวน แตสาํ เรจ็ ไดดวยความรวมแรงรวมใจของผรู ว มสาํ นักและดวยการใชวธิ ลี ดัคือ ขอใหพ ระเปรยี ญ ๔ รูป แหง สาํ นกั วัดพระพิเรนทร นาํ คาํ ศัพทท ้งั หลายในหนงั สอื ศัพทห ลกั สตู รภาษาไทยสําหรบั นกั ธรรมชน้ั ตรี ชน้ั โท และ ชนั้ เอก รวม ๓ เลม ไปเรยี งลําดับอักษรมา แลว ผูจัดทาํ ปรุงแตงขยายออกเปนพจนานุกรมพุทธศาสน เลมน้ี หนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ๓ เลม นนั้ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดจ ดั พมิ พข น้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๓ ในคราวทค่ี ณะสงฆเ พม่ิ วชิ าภาษาไทยเขา ในหลกั สตู รนกั ธรรมทงั้ สามชนั้ หนงั สอื แตล ะเลม แบง ออกเปน ๓ ภาค ตามวชิ าเรยี นของนกั ธรรม คอื พทุ ธประวตั ิ (อนพุ ทุ ธประวตั ิ และพทุ ธานพุ ทธประวตั )ิ ธรรม และวนิ ยั รวม ๓ เลม เปน ๙ ภาคมศี พั ทจ าํ นวนมาก แตค งจะเปน เพราะการจดั ทาํ และตพี มิ พเ รง รบี เกนิ ไป หนงั สอื จงึ ยงั ไมเ ขา รปู เทา ทค่ี วร ประจวบกบั ทางคณะสงฆไ ดย กเลกิ วชิ าภาษาไทยเสยี อกี หนงั สอื ชดุ นจ้ี งึ ทง้ั ถกู ทอดทงิ้ และถกู หลงลมื เหตทุ ผ่ี จู ดั ทาํ มานกึ ถงึ หนงั สอื น้ี ก็เพราะระหวา งน้ี กาํ ลงั เขยี น สารานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั กลาง คา งอยู จงึ มคี วามเกยี่ วขอ งกบั หนงั สอื จาํ พวกประมวลศพั ทแ ละพจนานกุ รมอยบู อ ยๆ เมอื่ ปรารภกนั วา จะพมิ พห นงั สอื เปน ทรี่ ะลกึ ในงานพระราชทานเพลงิ ศพทา นพระครปู ลดัสมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ต เจา อาวาสวดั พระพเิ รนทร เวลาผา นลว งไปกย็ งั ไมไ ดห นงั สอื ทจี่ ะพมิ พ ผจู ดั ทาํ นร้ี ตู วั วา อยใู นฐานะทจ่ี ะตอ งเปน เจา การในดา นการพมิ พ จงึ ไดพ ยายามมาแตต น ทจี่ ะหลกี เลยี่ งการพมิ พห นงั สอื ทตี่ นเขยี นหรอื มสี ว นรว มเขยี นครนั้ เหน็ จวนตวั เขา คดิ วา หากนาํ หนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ๓ เลม ๙ ภาคนม้ี าปรบั ปรงุ ตกแตง เพยี งเลก็ นอ ย กจ็ ะไดห นงั สอื ทม่ี ปี ระโยชนพ อสมควร และขนาดเลม หนงั สอื กจ็ ะพอเหมาะแกง าน เมอ่ื นาํ มาหารอื กนั กไ็ ดร บั ความเหน็ ชอบจงึ เรมิ่ ดาํ เนนิ การ เมอ่ื แรกตกลงใจนนั้ คดิ เพยี งวา นาํ ศพั ทท ง้ั หมดมาเรยี งลาํ ดบั ใหมเ ขา เปน ชดุ เดยี วกนั เทา นน้ั กค็ งเปนอนั เพยี งพอ จากนน้ั โหมตรวจเกลาอกี เพยี ง ๔–๕ วนั กค็ งเสรจ็ สนิ้ ทงั้ ตนเองกจ็ ะหลกี เลย่ี งจากความเปน ผเู ขยี นไดด ว ยแตเ มอื่ ทาํ จรงิ กลายเปน ใชเ วลาปรงุ แตง เพมิ่ เตมิ อยา งหนกั ถงึ คอ นเดอื นจงึ เสรจ็ จาํ ตอ งทาํ ตน ฉบบั ไป ทยอยตพี มิ พไ ปขนาดหนงั สอื กข็ ยายจากทกี่ ะไวเ ดมิ ไปอกี มาก ศพั ทจ าํ นวนมากมายในศพั ทห ลกั สตู ร ทซ่ี าํ้ กนั และทเ่ี ปน คาํ สามญั ในภาษาไทย ไดต ดั ทงิ้ เสยี มากมาย คาํ ทเ่ี หน็ ควรเพม่ิ กเ็ ตมิ เขา มาใหมเ ทา ทท่ี าํ ไดท นั คาํ ทมี่ อี ยแู ลว ซง่ึ เหน็ วา มขี อ ควรรอู กี กเ็ สรมิและขยายออกไป กลายเปน หนงั สอื ใหมข นึ้ อกี เลม หนง่ึ มลี กั ษณะแปลกออกไปจากของเดมิ หลกี เลย่ี งความเปน ผเู ขยี นหรอื รว มเขยี นไมพ น อยา งไรกต็ าม เนอื้ หาในศพั ทห ลกั สตู รนนั้ กย็ งั คงเปน สว นประกอบเกอื บครง่ึ ตอ ครงึ่ ในหนงั สอื เลม นี้เนอ้ื หาทมี่ าจากหนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รเหลา นนั้ แยกตามแหลง ไดเ ปน ๓ พวกใหญ คอื พวกหนงึ่ เปน ความหมายและคาํอธบิ ายทคี่ ดั จากหนงั สอื แบบเรยี นนกั ธรรม มี นวโกวาท และ วนิ ยั มขุ เปน ตน ซงึ่ สว นใหญเ ปน พระนพิ นธข อง สมเดจ็พระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส พวกทสี่ องไดแ กค าํ ไทยสามญั หรอื คาํ เกย่ี วกบั ภาษาและวรรณคดี ซง่ึ คดั คาํจาํ กดั ความหรอื ความหมายมาจาก พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓ พวกทสี่ ามคอื นอกจากนน้ั เปน คาํอธบิ ายของทา นผรู วบรวมและเรยี บเรยี งหนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รเหลา นนั้ เอง สว นครงึ่ หนง่ึ ทเี่ พมิ่ ใหม คดั หรอื ปรบั ปรงุ จากพจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ของพระราชวรมนุ ี (ประยทุ ธ ปยตุ โฺ ต) คอื ผจู ดั ทาํ นเ้ี องบา ง ปรงุ ขน้ึ ใหมส าํ หรบั คราวน้ี ซง่ึ บางสว นอาจพอ งกบั ใน สารานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั กลาง อนั เปน วทิ ยาทานทจ่ี ะพมิ พอ อกตอ ไปบา ง ไดจ ากแหลง อน่ื ๆ รวมทง้ั แบบเรยี นนกั ธรรมทกี่ ลา วมาแลว บา ง หนงั สอื นเี้ รยี ก พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ใหต า งจาก พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ทไี่ ดจ ดั ทาํ และตพี มิ พไ ปกอ นแลวเพราะ พจนานกุ รมพุทธศาสตร แสดงเฉพาะขอ ทเี่ ปน หลกั หรอื หลกั การของพระพทุ ธศาสนา อนั ไดแกคําสอนทีเ่ ปนสาระสําคญั สว นหนังสอื เลมนร้ี วมเอาสง่ิ ทั้งหลายทเ่ี รยี กกนั โดยนามวาพระพุทธศาสนาเขามาอยางทั่วไป มีท้งั คําสอนประวตั ิ กจิ การ พิธีกรรม และแมส งิ่ ทีไ่ มเ ก่ยี วกบั พระพุทธศาสนาโดยตรง อยางไรก็ตาม แม พจนานุกรมพทุ ธศาสนนีจ้ ะมขี อบขายกวา งขวางกวา พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร แตก ็หยอนกวาในแงค วามลกึ และความละเอียด เพราะเขยี น
๕๗๘แคพ อรู ตลอดจนมลี กั ษณะทางวิชาการนอ ยกวา เชน ไมไดแ สดงท่ีมา เปน ตน การทปี่ ลอยใหล กั ษณะเหลา นข้ี าดอยูนอกจากเพราะเวลาเรง รดั และขนาดหนงั สอื บงั คบั แลว ยงั เปน เพราะเหน็ วา เปน ลกั ษณะทพ่ี งึ มใี น สารานกุ รมพทุ ธศาสนฉบบั กลาง หรอื แม ฉบบั เล็ก ที่ทําอยกู อ นแลว แตยงั ไมเ สรจ็ อยางไรกด็ ี ดว ยเน้อื หาเทา ท่ีมีอยนู ้ี หวงั วา พจนานกุ รมพุทธศาสน คงจักสําเร็จประโยชนพ อสมควร โดยเฉพาะแกครแู ละนกั เรียนนกั ธรรม สมตามช่อื ทีไ่ ดต งั้ ไว การท่หี นังสือน้สี ําเร็จได นอกจากอาศัยคมั ภรี ภาษาบาลีท่ใี ชปรึกษาคนควา เปน หลกั ตนเดิมแลว ยงั ไดอ าศยัอุปการะแหงแบบเรยี น ตํารา และความชว ยเหลอื รวมงานของผเู ก่ียวขอ งหลายทา น ดงั ไดก ลา วแลว ณ โอกาสนี้ จึงขออนุสรพระคุณแหง สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ซ่งึ ไดท รงพระนพิ นธแบบเรยี นนกั ธรรมไว อนั อํานวยความหมายและคําอธบิ ายแหง ศพั ทต างๆ ที่เกย่ี วกับพระธรรมวินยั จาํ นวนมาก มีทั้งที่ทรงวางไวเปนแบบ และทรงแนะไวเปน แนว ขออนุโมทนาตอ คณะกรรมการชําระปทานุกรม ซ่งึ ทาํ ใหเกดิ มี พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.๒๔๙๓ ทอ่ี ํานวยความหมายแหง คําศพั ทท ม่ี ใี ชใ นภาษาไทย ขออนโุ มทนาขอบคณุ คณะผจู ดั ทาํ หนงั สอื ศพั ทห ลกั สตู รภาษาไทย ของมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั คอือาจารยแปลก สนธริ กั ษ ปธ. ๙ อาจารยสวัสดิ์ พนิ ิจจนั ทร ปธ. ๙ อาจารยส ริ ิ เพ็ชรไชย ปธ. ๙ และพระมหาจาํ ลองภรู ิปฺโ (สารพัดนกึ ) พธ.บ., M.A. ผเู ก็บรวบรวมศพั ทและแสดงความหมายของศัพทไวไ ดเ ปนจาํ นวนมาก พระเปรยี ญ ๔ รปู คอื พระมหาอนิ ศร จนิ ตฺ าปโฺ พระมหาแถม กติ ตฺ ภิ ทโฺ ท พระมหาเฉลมิ าณจารี และพระมหาอัมพร ธีรปโฺ เปนผเู หมาะสมทจ่ี ะรว มงานนี้ เพราะเคยเปนนักเรยี นรุนพิเศษแหงสาํ นักวดั พระพเิ รนทรซง่ึ ไดม าเลา เรยี นตงั้ แตย งั เปน สามเณร และไดอ ยใู นความดแู ลรบั ผดิ ชอบอยา งใกลช ดิ ของพระครปู ลดั สมยั กติ ตฺ ทิ ตโฺ ตในฐานะท่ที า นเปน อาจารยใ หญแหง สํานักเรียน ทั้งส่ีรปู นี้ นอกจากเปน ผูจดั เรยี งลาํ ดับศัพทในเบ้ืองตน แลว ยงั ไดชวยตรวจปรูฟ และขวนขวายในดานธุรการอ่ืนๆ โดยตลอดจนหนังสือเสร็จ ช่ือวาเปนผูรวมจัดทําหนังสือพจนานุกรมพทุ ธศาสน น้ี คณะวดั พระพเิ รนทร ทงั้ ฝา ยพระสงฆแ ละศษิ ย ไดช ว ยสนบั สนนุ ดว ยการบรจิ าครว มเปน ทนุ คา ตพี มิ พบ า ง กระทาํไวยาวจั การอยา งอนื่ บา ง โดยเฉพาะในเวลาทาํ งานเรง ดว นทตี่ อ งอทุ ศิ เวลาและกาํ ลงั ใหแ กง านอยา งเตม็ ทเี่ ชน นี้ ทางฝา ยพระสงฆ พระภกิ ษถุ วลั ย สมจติ โฺ ต และทางฝา ยศษิ ย นายสมาน คงประพนั ธ ไดช ว ยเออ้ื อาํ นวยใหเ กดิ สปั ปายะเปน อยา งมาก แมท า นอนื่ ๆ ทมี่ กี ศุ ลเจตนาสนบั สนนุ อยหู า งๆ มพี ระภกิ ษฉุ าย ปฺ าทโี ป เปน ตน กข็ ออนโุ มทนาไว ณ ทนี่ ดี้ ว ย ขออนโุ มทนาตอ ทางโรงพมิ พรุงเรืองธรรม ท่ตี งั้ ใจตีพมิ พหนงั สอื เลมน้ี โดยฐานมีความสมั พันธกบั วัดพระพเิ รนทรมาเปน เวลานาน และมีความรูจ กั คุน เคยกับทานพระครูปลดั สมยั โดยสวนตวั จึงสามารถตีพิมพใหเ สร็จทนัการ แมจ ะมีเวลาทํางานจาํ กดั อยา งยิ่ง ทง้ั น้ี ขออนโุ มทนาตลอดไปถงึ ผทู ํางานทง้ั หลาย มีชางเรียง เปนตน ท่ีมีนาํ้ ใจชว ยแทรกขอความท่ีขอเพมิ่ เตมิ เขา บอ ยๆ ในระหวา งปรฟู โดยเรยี บรอย ทั้งที่เปน เร่ืองยงุ ยากสาํ หรับงานที่เรง ทางฝา ยการเงินแจง วา ทนุ ทม่ี ผี ูบริจาคชวยคา ตพี มิ พห นงั สอื ยังมไี มถ งึ ๑๐,๐๐๐.๐๐ บาท (หนง่ึ หมนื่ บาท)“ทนุ พิมพพทุ ธศาสนปกรณ” ไดทราบจงึ มอบทุนชว ยคา ตีพิมพเปน เงนิ ๒๐,๐๐๐ บาท (สองหมื่นบาท) ทนุ พมิ พพุทธศาสนปกรณน้นั เกิดจากเงนิ ทพี่ ทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยในสหรฐั อเมรกิ า (สวนมาก คอื เมืองนิวยอรค ชิคาโก ฟล าเดลเฟย และบางเมอื งในนวิ เจอรซี) บริจาคเพือ่ เปน คาเดนิ ทางและคา ใชจายสว นตัวของผูจ ดั ทําหนงั สือนใ้ี นโอกาสตางๆ และผจู ดั ทาํ ไดย กตง้ั อุทิศเปน ทุนพมิ พห นังสอื ทางพระศาสนาซงึ่ คิดวาจะเปนประโยชนมากกวา การนําทุนนั้นมาชวยคาพิมพหนังสือเลมน้ี แมเปนเรื่องฉุกเฉินนอกเหนือจากโครงการ แตก็ยังอยูในวัตถุประสงค จงึ ขออุทิศกุศล ขออาํ นาจบญุ ราศอี ันเกิดจากการจัดทาํ และจดั พิมพหนังสอื นี้ จงเปนพลวปจ จัย อาํ นวยใหทา นพระครปู ลดั สมัย กติ ฺตทิ ตฺโต ประสบสุขสมบตั ิในสมั ปรายภพ ตามควรแกค ติวิสยั ทกุ ประการฯ ผูจ ัดทาํ
ความเปน มาของ พจนานุกรมพทุ ธศาสตร เม่อื พ.ศ. ๒๕๐๖ พระมหาประยทุ ธ ปยตุ ฺโต ไดจัดทาํ พจนานกุ รมศพั ทพ ระพทุ ธศาสนา ไทย–บาล–ีองั กฤษ เลมเลก็ ๆ เลม หนึง่ เสรจ็ สิ้น (เปน ฉบับที่มงุ คาํ แปลภาษาอังกฤษ ไมมีคาํ อธิบาย ตอมาไดเริ่มขยายใหพ สิ ดารใน พ.ศ. ๒๕๑๓ แตพ ิมพถงึ อกั ษร ฐ เทาน้ันกช็ ะงกั ) และในเดือนกนั ยายน ปเดยี วกันนั้น กไ็ ดเรม่ิ งานจดั ทําพจนานุกรมพระพุทธศาสนา ท่ีมีคาํ อธิบาย ๒ ภาษา คือ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พรอ มทัง้ หมวดธรรม แตเมื่อทาํจบเพียงอักษร บ ก็ตองหยุดคางไว เพราะไดรับการแตงต้ังโดยไมรูตัวใหเปนผูชวยเลขาธิการมหาจฬุ าลงกรณ-ราชวิทยาลยั แลว หันไปทุมเทกาํ ลังและอทุ ิศเวลาใหก บั งานดานการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ จนถงึ พ.ศ. ๒๕๑๕จงึ ไดหวนมาพยายามรอ้ื ฟน งานพจนานุกรมข้ึนอกี คราวนนั้ พระมหาสมบรู ณ สมปฺ ณุ โฺ ณ (ตอ มาเปน พระวสิ ทุ ธสิ มโพธิ ดาํ รงตาํ แหนง รองเลขาธกิ ารมหาจฬุ าลงกรณ-ราชวทิ ยาลยั ) มองเห็นวา งานมีเคา ท่ีจะพสิ ดารและจะกินเวลายาวนานมาก จึงไดอาราธนาพระมหาประยทุ ธ (เวลานนั้เปนพระศรีวิสุทธิโมลี และตอมาเลื่อนเปนพระราชวรมุน)ี ขอใหท าํ พจนานุกรมขนาดยอมข้นึ มาใชก นั ไปพลางกอ นพระศรวี สิ ทุ ธโิ มลี ตกลงทาํ งานแทรกนน้ั จนเสรจ็ ใหช อื่ วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร มลี กั ษณะเนน เฉพาะการรวบรวมหลกั ธรรม โดยจดั เปน หมวดๆ เรยี งตามลาํ ดบั เลขจาํ นวน และในแตล ะหมวดเรยี งตามลาํ ดบั อกั ษร แลว ไดม อบงานและมอบทนุ สว นหนง่ึ ใหม หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั จดั พมิ พเ ผยแพร จาํ หนา ยเกบ็ ผลประโยชนบ าํ รงุ การศกึ ษาของพระภกิ ษุสามเณร เรมิ่ พมิ พต ง้ั แต พ.ศ. ๒๕๑๕ จนถงึ พ.ศ. ๒๕๑๘ จงึ เสรจ็ ตอ มา พ.ศ. ๒๕๒๒ กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ขออนุญาตพิมพแ จกเปน ธรรมทาน ๘,๐๐๐ เลมนอกจากนน้ั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดจ ดั จาํ หนา ยเพม่ิ ขนึ้ และผเู รยี บเรยี งเองจดั แจกเปน ธรรมทานเพ่ิมเติมบางเปน รายยอย หนงั สอื หมดสิน้ ขาดคราวในเวลาไมน าน สว นงานจัดทํา พจนานุกรมพทุ ธศาสนา ฉบบั เดิม ยงั คงคา งอยูสืบมาจนถงึ พ.ศ. ๒๕๒๑ ผจู ัดทาํ จึงมีโอกาสรื้อฟน ขึน้ อกี คราวนี้เขียนเริม่ ตน ใหมทงั้ หมด เนน คําอธิบายภาษาไทย สวนภาษาองั กฤษมีเพยี งคําแปลศพั ทหรือความหมายสน้ั ๆ งานขยายจนมลี กั ษณะเปนสารานกุ รม เขียนไปไดถงึ อกั ษร ข มีเนือ้ ความประมาณ ๑๑๐ หนากระดาษพมิ พด ีดพับสาม (ไมน บั คาํ อธบิ ายศพั ทจ าํ พวกประวัติ อกี ๗๐ หนา ) ก็หยุดชะงัก เพราะในป พ.ศ. ๒๕๒๑นนั้ เอง มเี หตุใหต องหันไปเรงรดั งานปรบั ปรงุ และขยายความหนังสอื พุทธธรรม ซง่ึ กินเวลายดื เยือ้ มาจนถึงพิมพเ สรจ็รวมประมาณสามป งานพจนานุกรมจึงคางอยูเพยี งนั้นและจึงยังไมไดจดั พมิ พ อีกดา นหน่ึง เม่ือวดั พระพเิ รนทรจ ดั งานรับพระราชทานเพลิงศพ พระครปู ลัดสมยั กิตตฺ ทิ ตโฺ ต เจาอาวาสวดั พระพเิ รนทร ใน พ.ศ. ๒๕๒๒ พระราชวรมนุ ี ไดจ ดั ทําพจนานกุ รม ประเภทงานแทรกและเรง ดวนขน้ึ อกี เลมหนึง่เปน ประมวลศพั ทใ นหนงั สอื เรยี นนักธรรมทกุ ช้นั และเพม่ิ ศัพทท คี่ วรทราบในระดับเดียวกันเขา อกี จาํ นวนหนึง่ ตง้ั ชอ่ืวา พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบับครู นกั เรียน นกั ธรรม มีเน้ือหา ๓๗๓ หนา เทา ๆ กนั กบั พจนานุกรมพทุ ธศาสตร(๓๗๔ หนา) เสมือนเขาชุดเปนคูกัน เลมพิมพกอนเปนท่ีประมวลธรรมซ่ึงเปนหลกั การหรอื สาระสาํ คญั ของพระพทุ ธศาสนา สว นเลม พมิ พห ลงั เปน ทป่ี ระมวลศพั ทท วั่ ไปเกยี่ วกบั พระพทุ ธศาสนา อธิบายพอใชประโยชนอ ยา งพืน้ ๆ ไมกวางขวางลึกซงึ้ ใน พ.ศ. ๒๕๒๕ มที า นผศู รทั ธาเหน็ วา พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ขาดคราว จงึ ขอพมิ พแ จกเปน ธรรมทานมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดท ราบ กข็ อรว มสมทบพมิ พด ว ย เพอื่ ไดท าํ หนา ทส่ี ง เสรมิ วชิ าการทางพระพทุ ธศาสนา กบั ทงั้จะไดเ กบ็ ผลกาํ ไรบาํ รงุ การศกึ ษาในสถาบนั และไดข ยายขอบเขตออกไปโดยขอพมิ พ พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ครูนกั เรยี น นักธรรม ดวย แตผเู รยี บเรยี งประสงคจ ะปรบั ปรงุ แกไ ขเพ่มิ เติมหนังสอื ทัง้ สองเลม น้ันกอน อกี ท้งั ยงั มงี านอนื่ ยุง อยูด วย ยงั เรม่ิ งานปรับปรุงทันทไี มได จึงตอ งร้ังรอจนเวลาลวงมาชานาน คร้นั ไดโ อกาสก็ปรับปรงุ เพมิ่ เติม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: