เยวาปนกธรรม ๓๓๐ โยนกอธกิ รณสมถะ โยคกิเลสทง้ั ๔ จําพวก; ดู โยคะ, เกษมเยวาปนกธรรม “ก็หรือวาธรรมแมอื่น จากโยคธรรมใด” หมายถึงธรรมจาํ พวกที่กําหนดแน โยคธรรม ธรรมคือกิเลสเคร่ืองประกอบไมไ ดว า ขอ ไหนจะเกิดขึน้ ไดแก เจตสิก ในขอ ความวา “เกษมจากโยคธรรม” คือ๑๖ เปนพวกท่ีเกิดในกศุ ลจติ ๙ คอื ๑. ความพน ภยั จากกิเลส; ดู โยคะฉนั ทะ ๒. อธิโมกข ๓. มนสิการ ๔. โยคักเขมะ ดู โยคเกษมอเุ บกขา (ตตั รมัชฌัตตตา) ๕. กรณุ า ๖. โยคาวจร ผหู ยง่ั ลงสคู วามเพยี ร, ผปู ระกอบมทุ ิตา ๗. สัมมาวาจา (วจีทุจรติ วริ ัต)ิ ๘. ความเพยี ร, ผเู จรญิ ภาวนา คอื กาํ ลงั ปฏบิ ตั ิสัมมากัมมันตะ (กายทุจริตวิรัติ) ๙. สมถกรรมฐานและวิปสสนากัมมัฏฐานสัมมาอาชีวะ (มจิ ฉาชีววริ ตั )ิ เปนพวกที่ เขยี น โยคาพจร กม็ ีเกิดในอกศุ ลจิต ๑๐ คือ ๑. ฉันทะ ๒. โยคี ฤษ,ี ผูปฏบิ ตั ติ ามลทั ธโิ ยคะ; ผูอธิโมกข ๓. มนสกิ าร ๔. มานะ ๕. ประกอบความเพียร; ดู โยคาวจรอิสสา ๖. มัจฉรยิ ะ ๗. ถนี ะ ๘. มทิ ธะ ๙. โยชน ช่ือมาตราวดั ระยะทาง เทา กบั ๔อทุ ธจั จะ ๑๐. กกุ กจุ จะ นบั เฉพาะท่ไี มซ้าํ คาวตุ หรอื ๔๐๐ เสน โยธา ทหาร, นกั รบ(คือเวน ๓ ขอ แรก) เปน ๑๖เย่ยี ง อยา ง, แบบ, เชน โยนก อาณาจกั รโบราณทางทศิ พายพั ของโยคะ 1. กิเลสเครื่องประกอบ คือ ชมพทู วีป (ปจจบุ นั อยูใ นเขตอาฟกาน-ิ ประกอบสัตวไวใ นภพ หรือผกู สัตวด ุจ สถาน และอุซเบกิสถานกับตาจิกสิ ถาน เทยี มไวก บั แอก มี ๔ คอื ๑. กาม ๒. แหงเอเชียกลาง) ช่ือวาบากเตรีย ภพ ๓. ทฏิ ฐิ ๔. อวิชชา 2. ความเพียร (Bactria; เรียก Bactriana orโยคเกษม, โยคเกษมธรรม ธรรมอัน Zariaspa กม็ )ี มเี มอื งหลวงชอื่ บากตราเปนแดนเกษมจากโยคะ” ความหมาย (Bactra ปจ จบุ นั เรยี กวา Balkh อยูในสามัญวาความปลอดโปรงโลงใจหรือสุข ภาคเหนือของอาฟกานิสถาน), เปน ดินกายสบายใจ เพราะปราศจากภัย แดนที่ชนชาติอารยันเขามาครอง แลวอันตรายหรือลวงพนสิ่งที่นาพรั่นกลัว ตกอยูใตอํานาจของจักรวรรดิเปอรเซียมาถงึ สถานทปี่ ลอดภยั ; ในความหมาย โบราณ และคงเนอื่ งจากมชี นชาตกิ รกี เผาขัน้ สูงสุด มุงเอาพระนพิ พาน อันเปน Ionians มาอยอู าศยั มาก ทางชมพทู วปีธรรมท่ีเกษมคือโปรงโลงปลอดภัยจาก จงึ เรยี กวา “โยนก” (ในคมั ภรี บ าลเี รียกวา
โยนก ๓๓๑ โยนกโยนก บาง โยนะ บา ง ยวนะ บา ง ซง่ึ มา ตั้งราชวงศโมริยะ (รูปสันสกฤตเปนจากคาํ วา “Ionian” นั่นเอง) เมารยะ) ขน้ึ ในปท ี่ ๓๒๑ กอ น ค.ศ. (พ.ศ. ๑๖๘) แลว ยกทพั มาเผชญิ กับแม เฉพาะอยา งยงิ่ เมอ่ื พระเจา อเลกซาน- ทัพใหญของอเลกซานเดอร ชื่อซีลูคัสเดอรม หาราช (Alexander the Great) (Seleucus) ที่มอี าํ นาจปกครองดนิ แดนกษัตริยกรีก ยกทัพแผอํานาจมาทาง แถบตะวนั ออกรวมทง้ั โยนกและคนั ธาระตะวันออก ลมจกั รวรรดเิ ปอรเ ซยี ลงได นนั้ (ตอ มาไดเ ปน กษตั รยิ แ หง บาบโิ ลเนียในปที่ ๓๓๑ กอ น ค.ศ. (ประมาณ ถือกันวาเปนกษัตริยแหงซีเรียโบราณ)พ.ศ.๑๕๘) แลว จะมาตชี มพทู วปี ผา น ซีลูคัสไดยอมยกคันธาระใหแกจันทร-บากเตรียซ่ึงเคยข้ึนกับเปอรเซียมา คุปต แมวาโยนกก็คงจะไดมาขึ้นตอประมาณ ๒๐๐ ป ก็ไดบ ากเตรียคือ มคธดวย ดังที่ศิลาจารึกของพระเจาแควน โยนกนัน้ ในปท ่ี ๓๒๙ กอน ค.ศ. อโศก (ครองราชยพ.ศ.๒๑๘–๒๖๐)(พ.ศ. ๑๖๐) จากนนั้ จงึ ไปตง้ั ทพั ทเี่ มอื ง กลาวถึงแวนแควนของชาวโยนกในเขตตกั ศลิ าในปท ่ี ๓๒๖ กอ น ค.ศ. เพอ่ื พระราชอํานาจ แตผูคนและวิถีชีวิตที่เตรียมเขาตีอินเดีย แตในที่สุดทรงลม นั่นกย็ ังเปน แบบกรีกสบื มาเลิกพระดาํ รินั้น และยกทัพกลับในปท่ี๓๒๕ กอ น ค.ศ. ระหวางทางเมื่อพกั ที่ เมื่อพระเจาอโศกทรงอุปถัมภการกรุงบาบิโลน ไดประชวรหนักและ สังคายนาคร้งั ที่ ๓ ใน พ.ศ.๒๓๕ แลวสวรรคตเมือ่ ปที่ ๓๒๓ กอ น ค.ศ. แม พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระไดมอบทัพกรีกที่พระเจาอเลกซานเดอรตั้งไวดู ภาระใหพระสงฆไปเผยแพรพระศาสนาแลดนิ แดนทตี่ ไี ด กป็ กครองโยนกตอ มา ในดนิ แดนตา งๆ ๙ สาย (เราเรยี กกนั วาโยนกตลอดจนคันธาระที่อยูใตลงมา พระศาสนทตู ) อรรถกถากลาววา พระ(ปจจุบันอยูในอาฟกานิสถานและปากี- มหารักขิตเถระไดมายงั โยนกรฐัสถาน) จงึ เปน ดนิ แดนกรกี และมวี ัฒน-ธรรมกรีกเตม็ ที่ หลังรัชกาลพระเจาอโศกมหาราชไม เตม็ ครง่ึ ศตวรรษ ราชวงศโ มรยิ ะกส็ ลาย ตอ มาไมนาน เม่ือพระอัยกาของพระ ลง ในชว งเวลานั้น บากเตรียหรอื โยนกเจา อโศกมหาราช คือพระเจาจันทรคปุ ต ก็ไดตั้งอาณาจักรของตนเองเปนอิสระ(เอกสารกรกี เรียก Sandrocottos หรือ (ตําราฝายตะวันตกบอกในทํานองวาSandrokottos) ขึ้นครองแควนมคธ บากเตรยี ไมไ ดม าขนึ้ ตอ มคธ ยงั ขน้ึ กบั
โยนิ ๓๓๒ โยมราชวงศข องซลี คู สั จนถงึ ปท ่ี ๒๕๐ กอ น กลายเปนสวนหน่ึงแหงดินแดนของชนค.ศ. ซ่ึงยังอยูในรัชกาลพระเจาอโศก ชาวมสุ ลมิ สบื มา ชือ่ โยนกก็เหลอื อยูแตบากเตรียจึงแยกตัว จากราชวงศของ ในประวตั ิศาสตรซลี คู ัส ออกมาตงั้ เปน อสิ ระ แตศ ลิ าจารกึ โยนิ กาํ เนิดของสัตว มี ๔ จาํ พวก คอื ๑.ของพระเจาอโศกก็บอกชัดวา มีแวน ชลาพชุ ะ เกิดในครรภ เชน คน แมวแควน โยนกในพระราชอาํ นาจ อาจเปน ได ๒. อณั ฑชะ เกิดในไข เชน นก ไก ๓.วา โยนกในสมยั นน้ั มที งั้ สว นทขี่ นึ้ ตอ สงั เสทชะเกดิ ในไคล คอื ทชี่ นื้ แฉะสกปรกมคธ และสว นทข่ี นึ้ ตอ ราชวงศกรกี ของ เชน หนอนบางอยา ง ๔. โอปปาติกะซลี คู สั แลว แข็งขอแยกออกมา) จากนน้ั เกิดผุดขน้ึ เชน เทวดา สัตวน รกบากเตรียไดมีอํานาจมากข้ึน ถึงกับ โยนโิ ส โดยแยบคาย, โดยถองแท, โดยขยายดินแดนเขามาในอินเดียภาคเหนือ วิธที ถี่ ูกตอ ง, ต้ังแตต นตลอดสาย, โดยดังท่ีโยนกไดมีช่ือเดนอยูในประวัติ ตลอดศาสตรพระพุทธศาสนาในสมัยของ โยนโิ สมนสกิ าร การทาํ ในใจโดยแยบคาย,พระเจา Menander ทพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชน กระทาํ ไวใ นใจโดยอบุ ายอนั แยบคาย, การเรียกวา พญามิลินท ซ่ึงครองราชย พิจารณาโดยแยบคาย คอื พจิ ารณาเพอื่(พ.ศ.๔๒๓-๔๕๓) ที่เมืองสาคละ เขาถึงความจริงโดยสืบคนหาเหตุผลไป(ปจ จบุ นั เรยี กวา Sialkot อยใู นแควน ตามลําดับจนถึงตนเหตุ แยกแยะองคปญ จาบ ทเ่ี ปน สว นของปากสี ถาน) ประกอบจนมองเห็นตวั สภาวะและความ หลังรัชกาลพญามลิ ินทไ มน าน บาก สมั พนั ธแ หง เหตปุ จ จยั หรอื ตรติ รองใหร ูเตรียหรือโยนกตกเปนของชนเผาศกะที่ จักส่ิงท่ีดีที่ช่ัว ยังกุศลธรรมใหเกิดขึ้นเรร อ นรกุ รานเขา มา แลว ตอ มาก็เปนสวน โดยอุบายที่ชอบ ซึ่งจะมิใหเกิดอวิชชาหนึ่งของอาณาจักรกุษาณ (ท่ีมีราชายิ่ง และตณั หา, ความรจู กั คดิ , คดิ ถกู วธิ ;ีใหญพระนามวากนิษกะ, ครองราชย เทียบ อโยนิโสมนสิการพ.ศ.๖๒๑–๖๔๔) หลังจากน้ันก็มีการรกุ โยม คําที่พระสงฆใ ชเ รยี กคฤหัสถทีเ่ ปนรานจากภายนอกมาเปนระลอก จน บิดามารดาของตน หรือท่ีเปนผูใหญกระท่ังประมาณ ค.ศ.๗๐๐ (ใกล คราวบิดามารดา บางทีใชข ยายออกไปพ.ศ.๑๓๐๐) กองทัพมุสลิมอาหรับยก เรียกผูมีศรัทธาซ่ึงอยูในฐานะเปนผูมาถึงและเขาครอบครอง โยนกก็ได อุปถมั ภบํารุงพระศาสนา โดยทว่ั ไปกม็ ;ี
โยมวัด ๓๓๓ รองเทา คําใชแทนช่ือบิดามารดาของพระสงฆ; โยมสงฆ คฤหัสถผูอปุ การพระท่วั ๆ ไป สรรพนามบุรุษท่ี ๑ สาํ หรับบิดามารดา โยมอุปฏฐาก คฤหัสถทแี่ สดงตนเปนผู พูดกะพระสงฆ (บางทผี ใู หญคราวบิดา อุปการะพระสงฆโดยเจาะจง อุปการะ มารดา หรือผูเก้อื กูลคนุ เคยกใ็ ช) รูปใด ก็เปน โยมอุปฏ ฐากของรปู น้ันโยมวัด คฤหัสถท ่อี ยปู ฏิบตั ิพระในวดั รรจนา แตง , ประพนั ธ เชน อาจารยผู รักษาตัว เชนในเวลาแดดจัดรจนาอรรถกถา คือผูแตงอรรถกถา รมณีย นาบันเทิงใจ, นา ร่นื รมย, นา สนกุรตนะ ดู รตั นะ รส อารมณท ่ีรไู ดดวยล้นิ (ขอ ๔ ในรตนปรติ ร ดู ปริตร อารมณ ๖), โดยปรยิ าย หมายถงึ ความรตนวรรค ตอนท่ีวาดวยเร่ืองรัตนะ รูสกึ ชอบใจเปน ตน เปน วรรคที่ ๙ แหง ปาจติ ตยิ กณั ฑ รองเทา ในพระวินัยกลาวถงึ รองเทา ไว ๒ ชนิดคือ ๑. ปาทกุ า แปลกนั วา “เขียงในมหาวภิ ังค พระวินัยปฎกรตนวรรคสกิ ขาบท สกิ ขาบทในรตนวรรค เทา” (รองเทาไมห รือเก๊ยี ะ) ซ่ึงรวมไปถงึรตนสตู ร ดู ปรติ ร รองเทาโลหะ รองเทา แกว หรอื รองเทารติ ความยินดี ประดับแกว ตางๆ ตลอดจนรองเทาสานรม สาํ หรับพระภกิ ษุ หา มใชร ม ทก่ี าววาว รองเทาถักหรือปกตางๆ สําหรับพระเชน รมปก ดว ยไหมสีตางๆ และรมทม่ี ี ภิกษุหามใชปาทุกาทุกอยาง ยกเวนระบายเปนเฟอง ควรใชของเรียบๆ ซง่ึ ปาทุกาไมที่ตรึงอยูกับที่สําหรับถายทรงอนุญาตใหใชไดในวัดและอุปจาระ อุจจาระหรือปสสาวะและเปนที่ชําระขึ้นแหงวัด หามกน้ั รมเขาบา น หรอื กนั้ เดนิ เหยยี บได ๒. อุปาหนา รองเทาสามัญตามถนนหนทางในละแวกบาน เวน แต สําหรับพระภิกษุทรงอนุญาตรองเทาเจบ็ ไข ถกู แดดถกู ฝนอาพาธจะกาํ เรบิ เชน หนังสามญั (ถา ชั้นเดยี ว หรือมากชั้นแตปวดศรี ษะ ตลอดจน (ตามทอ่ี รรถกถา เปนของเกาใชไดท่ัวไป ถามากชั้นเปนผอนผนั ให) กน้ั เพอ่ื กันจีวรเปย กฝนใน ของใหม ใชไดเฉพาะแตในปจจันต-เวลาฝนตก กน้ั เพือ่ ปองกนั ภยั กั้นเพอ่ื ชนบท) มสี ายรดั หรือใชค ีบดว ยนิ้ว ไม
รอยกรอง ๓๓๔ รัชกาลปกหลงั เทา ไมป กสน ไมปกแขง นอก เปนตน เสียบเขาในระหวางใบตองท่ีจากน้ัน ตวั รองเทากต็ าม หหู รอื สายรัด เจียนไว แลวตรึงใหติดกันโดยรอบก็ตาม จะตองไมม สี ที ่ีตองหา ม (คอื สี แลวรอยประสมเขากับอยางอื่นเปนพวงขาบ เหลอื ง แดง บานเย็น แสด ชมพู เชน พวงภชู ัน้ เปน ตวั อยางดํา) ไมขลิบดวยหนังสัตวท่ีตองหาม รอ ยผูก คือชอ ดอกไมแ ละกลมุ ดอกไมที่(คอื หนงั ราชสีห เสือโครง เสอื เหลอื ง เขาเอาไมเสียบกานดอกไมแลวเอาดายชะมด นาค แมว คาง นกเคา) ไมย ัด พันหรือผูกทาํ ข้ึนนนุ ไมต รงึ หรอื ประดบั ดว ยขนนกกระทา รอยวง คือดอกไมท่ีรอยสวมดอกหรือขนนกยงู ไมม หี เู ปน ชอ ดงั เขาแกะเขาแพะ รอ ยแทงกานเปนสาย แลวผกู เขา เปนวงหรอื งามแมลงปอ ง รองเทาทผ่ี ดิ ระเบยี บ นีค้ ือพวงมาลัยเหลาน้ีถาแกไขใหถูกตองแลว เชน รอ ยเสยี บ คอื ดอกไมท รี่ อ ยสวมดอก เชนสํารอกสีออก เอาหนังที่ขลิบออกเสยี สายอบุ ะ หรอื พวงมาลยั มพี วงมาลัยเปน ตน กใ็ ชไ ด รองเทา ทถ่ี กู ลกั ษณะทรง ดอกปบ และดอกกรรณิการเ ปนตน หรอือนุญาตใหใชไดในวัด สวนที่มิใชตอง ดอกไมที่ใชเสียบไม เชนพุมดอกหา มและในปา หา มสวมเขา บา น และถา พุทธชาด พุมดอกบานเย็นเปนตัวอยา งเปนอาคันตุกะเขาไปในวัดอ่ืนก็ใหถอด ระยะบานหน่งึ ในประโยควา “โดยทสี่ ดุยกเวนแตฝาเทาบางเหยียบพื้นแข็งแลว แมสิ้นระยะบานหน่ึง เปนปาจิตติยะ”เจ็บ หรอื ในฤดรู อ น พน้ื รอนเหยียบแลว ระยะทางชว่ั ไกบ นิ ถงึ แตใ นทค่ี นอยคู บั คงั่เทาพอง หรือในฤดูฝนไปในที่แฉะ ภกิ ษุ ใหกําหนดตามเครื่องกําหนดที่มีอยูโดยผูอาพาธดวยโรคกษยั สวมกนั เทาเย็นได ปกตอิ ยางใดอยางหนึ่ง (เชนชือ่ หมูบา น)รอ ยกรอง ไดแกด อกไมท่รี อ ยถกั เปนตา ระลึกชอบ ดู สมั มาสติ รกั ขติ วนั ชือ่ ปาที่พระพุทธเจาเสดจ็ หลกีเปน ผืนท่เี รียกวา ตาขายรอยคุม คือเอาดอกไมรอยเปนสายแลว ไปสําราญพระอิริยาบถเมื่อสงฆเมืองควบหรือคมุ เขาเปนพวง เชน พวงอบุ ะ โกสัมพีแตกกนั ; ดู ปารเิ ลยยกะสําหรับหอยปลายภู หรือสําหรับหอย รงั สฤษฏ สรา ง, แตงตงั้ตามลาํ พงั เชน พะวง “ภูส าย” เปนตวั รงั สี แสง, แสงสวา ง, รศั มีอยาง; รอ ยควบ ก็เรียก รัชกาล เวลาครองราชสมบัติแหงพระรอยตรึง คือเอาดอกไมเชนดอกมะลิ ราชาองคหนงึ่ ๆ
รัชทายาท ๓๓๕ รตั นตรัยรชั ทายาท ผจู ะสืบราชสมบัต,ิ ผูจะได ไมบ อก ๔. อเูน คเณ จรณํ ประพฤตใิ นครองราชสมบัตสิ ืบตอ ไป คณะอันพรอ ง; สาํ หรับปรวิ าส มี ๓ คอืรัฏฐานุบาลโนบายราชธรรม ธรรม ๑. สหวาโส อยูรว ม ๒. วิปปฺ วาโส อยูของพระราชา ซึ่งเปนวิธีปกครองบาน ปราศ ๓. อนาโรจนา ไมบ อก เมอื่ ขาดเมือง, หลักธรรมสาํ หรับพระราชาใชเ ปน ราตรีในวันใด กน็ บั วนั นนั้ เขา ในจํานวนแนวปกครองบา นเมือง วันท่ีจะตองอยูปริวาสหรือประพฤติรัฏฐปาสะ ดู รฐั บาล มานตั น้นั ไมไ ด; ดูความหมายทีค่ าํ น้ันๆรัฐชนบท ชนบทคอื แวนแควน รัตน, รัตนะ แกว , ของวเิ ศษหรือมีคารฐั บาล พระมหาสาวกองคหนงึ่ เปน บตุ ร มาก, สิง่ ประเสรฐิ , สิ่งมคี าสูงยงิ่ เชนแหงตระกูลหัวหนาในถุลลโกฏฐิตนิคม พระรัตนตรัย และรัตนะของพระเจาในแควน กรุ ุ ฟง ธรรมแลว มคี วามเลอ่ื มใส จักรพรรด;ิ ในประโยควา “ทรี่ ัตนะยงั ไมในพระพุทธศาสนามาก ลาบดิ า มารดา ออก เปนปาจิตติยะ” หมายถึงพระบวช แตไ มไดร บั อนุญาต เสียใจมาก มเหสี, พระราชินีและอดอาหารจะไดตายเสีย บิดามารดา รัตนฆรเจดีย เจดยี คือเรือนแกว อยูทางจึงตองอนุญาต ออกบวชแลวไมนานก็ ทศิ ตะวันตกของรัตนจงกรมเจดีย หรือไดสาํ เร็จพระอรหตั ไดรบั ยกยองวา เปน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตนพระศรี- เอตทัคคะในทางบวชดวยศรัทธา มหาโพธิ์ ณ ท่ีนี้พระพุทธเจาทรงรัตตญั ู “ผรู รู าตร”ี คอื ผูเกา แก ผา นคนื พิจารณาพระอภิธรรมปฎ กสน้ิ ๗ วนัวันมามาก รกู าลยืดยาว มปี ระสบการณ (สัปดาหท่ี ๔ แหง การเสวยวิมตุ ติสขุ ); ดูทันเรอื่ งเดมิ หรือรูเห็นเหตกุ ารณม าแต วมิ ุตติสุขตน เชน พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ผูเปน รัตนจงกรมเจดีย เจดยี ค อื ทจ่ี งกรมแกวปฐมสาวก ไดรับยกยองจากพระพุทธ อยูทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตนเจา วา เปน เอตทัคคะในทางรัตตัญู พระศรมี หาโพธ์ิ ระหวา งตน พระศรมี หาโพธิ์รัตติกาล เวลากลางคืน กับอนิมิสเจดีย ณ ที่น้ีพระพุทธเจารตั ตเิ ฉท การขาดราตรี หมายถงึ เหตขุ าด เสด็จจงกรมตลอด ๗ วนั (สปั ดาหที่ ๓ราตรแี หงมานัต หรอื ปริวาส; สําหรับ แหงการเสวยวมิ ุตตสิ ุข); ดู วิมุตตสิ ุขมานตั มี ๔ คือ ๑. สหวาโส อยรู วม รัตนตรัย แกว ๓ ดวง, สิ่งมีคาและ๒. วิปปฺ วาโส อยูปราศ ๓. อนาโรจนา เคารพบูชาสูงสุดของพทุ ธศาสนกิ ชน ๓
รัตนบัลลงั ก ๓๓๖ ราชธรรม อยา ง คอื พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ สวย รักงาม แกดว ยเจรญิ กายคตาสติรัตนบัลลังก บัลลังกท่ีพระพุทธเจา หรืออสุภกมั มฏั ฐาน (ขอ ๑ ในจริต ๖) ประทับน่ังตรัสรู, ที่ประทับใตตนพระ ราคา ชอื่ ลกู สาวพระยามาร อาสาพระยาศรมี หาโพธิ มารเขาไปประโลมพระพุทธเจาดวยรศั มี แสงสวา ง, แสงทเี่ ห็นกระจายออก อาการตา งๆ พรอ มดว ยนางตณั หาและเปนสายๆ, แสงสวา งท่พี วยพุงออกจาก นางอรดี ในขณะท่ีพระพทุ ธเจาประทบัจุดกลาง; เขียนอยา งบาลีเปน รังสี แต อยูท ่ตี น อชปาลนโิ ครธ หลังจากตรัสรูในภาษาไทยใชในความหมายท่ีตางกัน ราคี ผูม ีความกาํ หนดั ; มลทิน, เศราออกไปบาง หมอง, มัวหมองรสั สะ (สระ) มเี สยี งส้นั อันพึงวา โดย ราชการ กิจการงานของประเทศ หรอื ระยะสั้นก่ึงหนึ่งแหงสระท่ีมีเสียงยาว ของพระเจาแผนดิน, หนาท่ีหลั่งความ ในภาษาบาลี ไดแก อ อิ อ;ุ คูกบั ทีฆะ ยินดีแกประชาชนรากขวัญ สวนของรางกายท่ีเรียกวาไห ราชกมุ าร ลกู หลวง ปลารา ; ตาํ นานกลา ววา ในบรรดาพระ ราชคฤห นครหลวงของแควน มคธ เปนบรมสารีริกธาตุท้ังหลายนั้น พระราก นครทีม่ ีความเจรญิ รุงเรือง เตม็ ไปดว ยขวัญเบ้ืองขวาข้ึนไปประดิษฐานอยูใน คณาจารยเจาลัทธิ พระพุทธเจาทรงจฬุ ามณเี จดยี ณ ดาวดงึ สเทวโลก พระ เลือกเปนภูมิท่ีประดิษฐานพระพุทธ-รากขวญั เบอ้ื งซาย ข้นึ ไปประดษิ ฐานอยู ศาสนาเปน ปฐม พระเจา พิมพิสาร ราชาในทุสสเจดีย (เจดียที่ฆฏิการพรหม แหง แควน มคธ ครองราชสมบตั ิ ณ นครน้ีสรางขึ้นไวก อนแลว ใหเปน ท่บี รรจุพระ ราชทณั ฑ โทษหลวง, อาญาหลวงภษู าเครอื่ งทรงในฆราวาสทีพ่ ระโพธสิ ตั ว ราชเทวี พระมเหส,ี นางกษัตรยิ สละในคราวเสด็จออกบรรพชา) ณ ราชธรรม ธรรมสําหรับพระเจา แผน ดนิ ,พรหมโลก คุณสมบัติของนกั ปกครองทีด่ ี สามารถราคะ ความกําหนัด, ความติดใจหรือ ปกครองแผนดินโดยธรรมและยัง ความยอมใจติดอยู, ความติดใครใน ประโยชนสุขใหเกิดแกประชาชนจนเกิด อารมณ; ดู กามราคะ, รูปราคะ, อรปู - ความชื่นชมยนิ ดี มี ๑๐ ประการ (นยิ ม ราคะ เรยี กวา ทศพิธราชธรรม) คอื ๑. ทานราคจรติ พนื้ นสิ ยั ทหี่ นกั ในราคะ เชน รกั การใหท รพั ยส นิ สงิ่ ของ ๒. ศลี ประพฤติ
ราชธานี ๓๓๗ ราชปู ถมั ภดงี าม ๓. ปรจิ จาคะ ความเสียสละ ๔. ราชสมบตั ิ สมบัติของพระราชา, สมบตั ิอาชชวะ ความซื่อตรง ๕. มัททวะ คือความเปน พระราชาความออนโยน ๖. ตบะ ความทรงเดช ราชสังคหวัตถุ สังคหวัตถขุ องพระราชา,เผากิเลสตณั หา ไมหมกมนุ ในความสุข หลักการสงเคราะหประชาชนของนักปกสาํ ราญ ๗. อกั โกธะ ความไมกรว้ิ โกรธ ครอง มี ๔ คือ ๑. สสั สเมธะ ฉลาด๘. อวหิ ิงสา ความไมข มเหงเบียดเบียน บาํ รงุ ธญั ญาหาร ๒. ปุรสิ เมธะ ฉลาด๙. ขนั ติ ความอดทนเขม แขง็ ไมท อ ถอย บํารุงขาราชการ ๓. สัมมาปาสะ ผูก๑๐. อวโิ รธนะ ความไมค ลาดธรรม ผสานรวมใจประชา (ดวยการสงเสริมราชธานี เมืองหลวง, นครหลวง สมั มาชพี ใหค นจนตงั้ ตวั ได) ๔. วาชไปยะราชิธิดา ลูกหญงิ ของพระเจา แผนดนิ มวี าทะดดู ดมื่ ใจราชนิเวศน ท่ีอยูของพระเจาแผนดิน, ราชสาสน หนังสือทางราชการของพระพระราชวัง ราชาราชบรวิ าร ผูแวดลอมพระราชา, ผหู อ ม ราชอาสน ที่นัง่ สําหรับพระเจาแผน ดนิ ราชา “ผยู งั เหลา ชนใหอมิ่ เอมใจ” หรอื “ผูลอ มตดิ ตามพระราชาราชบุตร ลูกชายของพระเจาแผนดนิ ทาํ ใหค นอนื่ มคี วามสขุ ”, พระเจา แผน ดนิ ,ราชบุตรี ลูกหญงิ ของพระเจา แผน ดนิ ผูป กครองประเทศราชบุรุษ คนของพระเจาแผน ดิน ราชาณัติ คําสงั่ ของพระราชาราชพลี ถวายเปนหลวง หรือบาํ รงุ ราชการ ราชาธริ าช พระราชาผเู ปน ใหญกวาพระมีเสียภาษีอากร เปน ตน , การจดั สรรสละ ราชาอนื่ ๆรายไดหรือทรัพยสวนหน่ึงเปนคาใชจาย ราชาภเิ ษก พระราชพธิ ใี นการขนึ้ สบื ราช-สําหรับชวยราชการดวยการเสียภาษี สมบตั ิอากร เปน ตน , การบริจาครายไดหรอื ราชายตนะ ไมเ กต อยทู างทศิ ใตแ หงตนทรัพยสวนหนึ่งเพื่อชวยเหลือกิจการ พระศรีมหาโพธิ์ ณ ท่ีน้ีพระพุทธเจาบานเมอื ง (ขอ ๔ แหงพลี ๕ ในโภค- ประทบั นงั่ เสวยวิมุตติสขุ ๗ วัน พอ คาอาทิยะ ๕) ๒ คน คือ ตปสุ สะกบั ภัลลกิ ะ ซงึ่ มาราชภฏี ราชภฏั หญงิ , ขาราชการหญงิ จากอกุ กลชนบท ไดพ บพระพทุ ธเจา ทน่ี ;ี่ราชภฏั ผอู นั พระราชาเลย้ี ง คอื ขา ราชการ ดู วิมุตติสุขราชวโรงการ คําส่ังของพระราชา ราชูปถัมภ การที่พระราชาทรงเกื้อกูล
ราชปู โภค ๓๓๘ ราหลุอุดหนุน สวนมากเปน มอญเองดวยโดยสญั ชาติราชูปโภค เครอื่ งใชส อยของพระราชา รามัญวงศ ชือ่ นิกายพระสงฆล งั กาทบ่ี วชราโชวาท คําสัง่ สอนของพระราชา จากพระสงฆม อญราตรี กลางคืน, เวลามืดคํา่ รามายณะ เร่ืองราวของพระราม วา ดว ยราธะ พระมหาสาวกองคห น่ึง เดิมเปน เร่ืองศึกระหวางพระรามกับทศกัณฐพราหมณในเมืองราชคฤห เมื่อชราลง พระฤษวี าลมกี ิเปน ผแู ตง เปน ท่ีมาเร่อื งถูกบตุ รทอดท้งิ อยากจะบวชกไ็ มม ีภกิ ษุ รามเกียรติ์ของไทยรับบวชให เพราะเห็นวาเปน คนแกเ ฒา ราศี 1. ช่ือมาตราวัดจักรราศคี อื ๓๐ราธะเสยี ใจ รา งกายซบู ซดี พระศาสดา องศาเปน ๑ ราศี และ ๑๒ ราศเี ปน ๑ทรงทราบจึงตรสั ถามวา มีใครระลึกถงึ รอบจักรราศี (อาณาเขตโดยรอบดวงอุปการะของราธะไดบาง พระสารีบุตร อาทิตยท่ีดาวพระเคราะหเดิน); ราศีระลึกถงึ ภิกษาทพั พีหนึ่งทร่ี าธะถวาย จึง ๑๒ น้ัน คือ ราศีเมษ (แกะ), พฤษภรบั เปนอุปช ฌาย และราธะไดเปน บคุ คล (ววั ), เมถุน (คนคู), กรกฏ (ปู), สิงหแรกที่อุปสมบทดวยญัตติจตุตถกรรม- (ราชสหี ) , กนั ย (หญงิ สาว) ตลุ (คนั่ ช่ัง),วาจา ทา นบวชแลว ไมนานกไ็ ดบ รรลพุ ระ พฤศจิก (แมลงปอง), ธนู (ธนู), มกรอรหตั พระราธะเปน ผวู า งา ย ตง้ั ใจรับฟง (มังกร), กุมภ (หมอ นํ้า) มนี (ปลา ๒คาํ ส่ังสอน มีความสภุ าพออนโยน เปน ตวั ) 2. อาการท่รี ุงเรอื ง, ลักษณะทีด่ ีงามตัวอยางของภิกษุผูบวชเมอื่ แก ทงั้ พระ 3. กอง เชน บุญราศี วากองบญุพทุ ธเจา และพระสารบี ตุ รกช็ มทา น ทา น ราหลุ พระมหาสาวกองคหน่งึ เปน โอรสเคยไดใ กลช ดิ พระพทุ ธเจา เคยทําหนาที่ ของเจา ชายสิทธตั ถะ คราวพระพทุ ธเจาเปนพุทธอุปฐาก ไดรับยกยองเปน เสด็จนครกบลิ พัสดุ ราหลุ กมุ ารเขา เฝา เอตทคั คะในทางกอ ใหเ กิดปฏภิ าณ ทูลขอทายาทสมบัติตามคําแนะนําของรามคาม นครหลวงของแควน โกลยิ ะ บัด พระมารดา พระพุทธเจาจะประทานนี้อยูในเขตประเทศเนปาล เปนที่ อรยิ ทรพั ย จงึ ใหพระสารีบุตรบวชราหุลประดิษฐานสถูปบรรจุพระบรม- เปนสามเณร นับเปนสามเณรองคแรกสารีรกิ ธาตุแหงหนงึ่ ในพระพุทธศาสนา ตอ มาไดอุปสมบทรามญั นิกาย นกิ ายมอญ หมายถึงพระ เปนภิกษุไดรับยกยองวาเปนเอตทัคคะสงฆผูสืบเช้ือสายมาจากรามัญประเทศ ในทางเปน ผใู ครต อ การศกึ ษา อรรถกถา
ริบราชบาตร ๓๓๙ รปู ๒๘วาพระราหุลปรินิพพานในสวรรคชั้น รูป ๒๘ รูปธรรมทั้งหมดในรูปขันธดาวดึงสกอนพุทธปรินิพพานและกอน จําแนกออกไปตามนัยแหงอภิธรรมเปนการปรนิ ิพพานของพระสารบี ตุ ร ๒๘ อยา ง จัดเปน ๒ ประเภท คือริบราชบาตร เอาทรพั ยสนิ เปนของหลวง ก. มหาภูต ๔ รปู ใหญ, รปู ตนเดมิ คือตามกฎหมาย เพราะเจาของตองโทษ ธาตุ ๔ ไดแก ปฐวี อาโป เตโช และ แผน ดนิ วาโย ที่เรียกกันใหง ายวา ดิน นํ้า ไฟรษิ ยา ความไมอ ยากใหคนอื่นไดด,ี เห็น ลม, ภูตรปู ๔ ก็เรียก (ในคัมภรี ไ มน ยิ มเขาไดดีทนอยูไมได, เห็นผูอ่ืนไดดีไม เรียกวา มหาภูตรปู )สบายใจ, คําเดมิ ในสนั สกฤตเปน อีรษฺ า พึงทราบวา ธาตุ ๔ คอื ปฐวี อาโปบาลใี ชว า อิสสฺ า (ขอ ๓ ในมละ ๙; ขอ เตโช วาโย หรือ ดนิ นํา้ ไฟ ลม อยางที่๘ ในสังโยชน ๑๐ หมวด ๒; ขอ ๗ ใน พดู กนั ในภาษาสามญั นน้ั เปน การกลาวอปุ กิเลส ๑๖) ถึงธาตุในลักษณะท่ีคนท่ัวไปจะเขาใจรุกข, รกุ ขชาติ ตน ไม และสื่อสารกันได ตลอดจนท่ีจะใชใหรุกขมูลิกังคะ องคแหงผูถืออยูโคนไม สําเร็จประโยชน เชน ในการเจริญเปนวัตร ไมอยใู นทีม่ ุงบงั (ขอ ๙ ใน กรรมฐาน เปนตน แตใ นความหมายที่ธดุ งค ๑๓) แทจ ริง ธาตเุ หลา นี้เปน สภาวะพ้นื ฐานที่รจุ ิ ความชอบใจ มอี ยใู นรปู ธรรมทกุ อยาง เชน ปฐวีธาตุรูป 1. สิ่งท่ีตองสลายไปเพราะปจจัย ท่ีเรียกใหสะดวกวาดินนั้น มีอยูแมแตตางๆ อันขดั แยง, ส่ิงทีเ่ ปน รูปรางพรอม ในสิ่งที่เรียกกันสามัญวานํ้าวาลมทง้ั ลักษณะอาการของมนั , สว นรา งกาย อาโปธาตุท่ีเรียกใหสะดวกวาน้าํ ก็เปนจาํ แนกเปน ๒๘ คอื มหาภตู หรือ ธาตุ สภาวะท่ีสัมผัสดวยกายไมได (เราไม๔ และ อุปาทายรูป ๒๔ (= รูปขันธใน สามารถรับรูอาโปธาตุดวยประสาททัง้ ๕ขนั ธ ๕); ดู รปู ๒๘ 2. อารมณทรี่ ูไ ด แตมันเปนสุขุมรูปที่รูดวยมโน) และดวยจกั ษุ, สิ่งทป่ี รากฏแกตา (ขอ ๑ ใน อาโปน้ันก็มอี ยูใ นรูปธรรมทั่วไป แมแ ตอารมณ ๖ หรอื ในอายตนะภายนอก ๖) ในกอนหนิ แหง ในกอ นเหล็กรอน และ3. ลักษณนามใชเรยี กพระภิกษุสามเณร ในแผนพลาสติก ดังนี้เปนตน จึงมีเชน ภกิ ษุรูปหน่งึ สามเณร ๕ รปู ; ใน ประเพณีจําแนกธาตุส่ีแตละอยางน้ันภาษาพดู บางแหง นิยมใช องค เปน ๔ ประเภท ตามความหมายทใี่ ชใ น
รปู ๒๘ ๓๔๐ รูป๒๘แงและระดับตางๆ คอื เปนธาตุในความ ไหลซา น เอบิ อาบ ซาบซมึ เกาะกมุ (เรยี กหมายที่แทโดยลกั ษณะ (ลกั ขณะ) ธาตุ ปรมัตถอาโป กไ็ ด) ๒.สสมั ภารอาโปในสภาพมีสิ่งประกอบปรุงแตงที่มนุษย อาโปโดยพรอมดวยเครื่องประกอบเขาถึงเกี่ยวของตลอดจนใชงานใชการ ภายในกาย เชน ดี เสมหะ หนอง เลือดซึ่งถือเปนธาตุอยางน้ันๆ ตามลักษณะ เหงื่อ ภายนอกตวั เชน นํ้าดื่ม นํ้าชา นํ้าเดนท่ปี รากฏ (สสมั ภาร) ธาตุในความหมายท่ีใชเปนอารมณในการเจริญ ยา น้ําผลไม นาํ้ ฝน นํา้ ผ้ึง นํ้าตาล หว ยกรรมฐาน (นมิ ติ หรือ อารมณ) ธาตใุ น ละหาน แมน าํ้ คลอง บงึ ๓.อารมั มณ-ค ว า ม ห ม า ย ต า ม ท่ี ส ม ม ติ เ รี ย ก กั น อาโป อาโปโดยเปน อารมณ คือน้าํ ท่ี(สมมต)ิ ดังตอไปน้ี เปนนิมิตในกรรมฐาน (เรียก นิมิตต- อาโป หรอื กสณิ อาโป กไ็ ด) ๔.สมมต-ิ ปฐวธี าตุ ๔ อยา ง คอื ๑.ลกั ขณปฐวี อาโป อาโปโดยสมมตเิ รยี กกันไปตามท่ีปฐวโี ดยลกั ษณะ ไดแ ก ภาวะแขนแขง็ ตกลงบัญญัติ เชน ทน่ี บั ถอื นา้ํ เปน เทวดาแผไป เปนที่ต้งั อาศัยใหปรากฏตัวของ เรยี กวา แมพ ระคงคา พระพริ ณุ เปน ตนประดารูปทเี่ กดิ รวม (เรยี ก ปรมตั ถปฐวี (บญั ญัตอิ าโป ก็เรียก)บาง กักขฬปฐวี บาง ก็ม)ี ๒.สสมั ภาร- เตโชธาตุ ๔ อยา ง คอื ๑.ลกั ขณ-ปฐวี ปฐวีโดยพรอมดว ยเครอ่ื งประกอบภายในกาย เชน ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เตโช เตโชโดยลกั ษณะ ไดแ ก สภาวะท่ี รอ น ความรอ น ภาวะทแ่ี ผดเผา สภาวะที่ภายนอกตัว เชน ทอง เงิน เหลก็ กรวดศิลา ภเู ขา ๓.อารมั มณปฐวี ปฐวโี ดย ทาํ ใหย อ ยสลาย (เรยี ก ปรมตั ถเตโช กไ็ ด)เปนอารมณ คือดินเปนอารมณใน ๒.สสมั ภารเตโช เตโชโดยพรอมดวย เครอ่ื งประกอบ ภายในกาย เชน ไอรอ นกรรมฐาน โดยเฉพาะมงุ เอาปฐวกี สณิ ที่ ของรางกาย ไฟที่เผาผลาญยอยอาหารเปนปฏภิ าคนมิ ติ (เรยี ก นิมิตตปฐวี บา งกสณิ ปฐวี บา ง กม็ )ี ๔.สมมตปิ ฐวี ปฐวี ไฟที่ทํากายใหทรุดโทรม ภายนอกตัวโดยสมมติเรียกกันไปตามที่ตกลง เชน ไฟถา น ไฟฟน ไฟนาํ้ มัน ไฟปา ไฟบญั ญตั ิ เชน ทน่ี บั ถอื แผน ดนิ เปน เทวดา หญา ไฟฟา ไอแดด ๓.อารมั มณเตโช เตโชโดยเปน อารมณ คือไฟที่เปนนมิ ติวา แมพ ระธรณี (บญั ญัติปฐวี ก็เรยี ก) อาโปธาตุ ๔ อยา ง คอื ๑.ลกั ขณ- ในกรรมฐาน (เรียก นิมิตตเตโช หรือ กสณิ เตโช ก็ได) ๔.สมมตเิ ตโช เตโชอาโป อาโปโดยลกั ษณะ ไดแ ก ภาวะ โดยสมมติเรียกกันไปตามท่ีตกลง
รปู ๒๘ ๓๔๑ รูป๒๘บญั ญัติ เชน ทน่ี บั ถอื ไฟเปน เทวดา เรยี ก เขาจํานวน เพราะตรงกับปฐวี เตโชวา แมพ ระเพลงิ พระอคั นเี ทพ เปน ตน วาโย ซ่งึ เปน มหาภูตรปู ) ค. ภาวรปู ๒ ไดแ ก อติ ถีภาวะ ความเปน หญิง และ(บญั ญัตเิ ตโช กเ็ รยี ก) ปุริสภาวะ ความเปน ชาย ง. หทัยรูป คอื วาโยธาตุ ๔ อยา ง คอื ๑.ลกั ขณ- หทัยวัตถุ หัวใจ จ. ชีวิตรูป ๑ คือ ชีวิตินทรีย ภาวะทรี่ กั ษารูปใหเปนอยู ฉ.วาโย วาโยโดยลกั ษณะ ไดแก สภาวะท่ี อาหารรูป ๑ คอื กวฬงิ การาหาร อาหารสนั่ ไหว คาํ้ จนุ เครง ตงึ (เรยี ก ปรมัตถ- ท่กี ินเกดิ เปน โอชา ช. ปริจเฉทรูป ๑ คือวาโย กไ็ ด) ๒.สสมั ภารวาโย วาโยโดย อากาศธาตุ ชอ งวาง ญ. วิญญัติรูป ๒ คือพรอ มดว ยเครอ่ื งประกอบ ภายในกาย กายวญิ ญตั ิ ไหวกายใหร คู วาม วจวี ญิ ญตั ิ ไหววาจาใหร คู วาม คอื พดู ฎ. วกิ ารรปู ๕เชน ลมหายใจ ลมในทอ ง ลมในไส ลม อาการดัดแปลงตางๆ ไดแก ลหุตา ความเบา, มทุ ตุ า ความออ น, กมั มญั ญตาหาว ลมเรอ ภายนอกตวั เชน ลมพดั ลม ความควรแกง าน, (อกี ๒ คอื วญิ ญตั ริ ปู ๒ นัน่ เอง ไมน ับอีก) ฏ. ลักขณรูป ๔ ไดลมสูบยางรถ ลมเปา ไฟใหโ ชน ลมรอ น แก อุปจยะ ความเตบิ ขึน้ ได, สันตติ สบื ตอ ได, ชรตา ทรดุ โทรมได, อนจิ จตาลมหนาว ลมพายุ ลมฝน ลมเหนอื ลมใต ความสลายไมยงั่ ยนื (นบั โคจรรปู เพยี ง๓.อารมั มณวาโย วาโยโดยเปนอารมณคือลมท่ีเปนนิมิตในกรรมฐาน (เรียก ๔ วิการรูปเพยี ง ๓ จึงได ๒๔)นมิ ติ ตวาโย หรอื กสณิ วาโย ก็ได) ๔. รูป ๒๘ น้ัน นอกจากจัดเปน ๒สมมตวิ าโย วาโยโดยสมมตเิ รียกกันไปตามทตี่ กลงบญั ญตั ิ เชน ทน่ี บั ถอื ลมเปน ประเภทหลักอยางนี้แลว ทานจัดแยกเทวดา เรียกวาพระมารุต พระพาย ประเภทเปนคูๆ อกี หลายคู พึงทราบเปนตน (บัญญัติวาโย ก็เรียก); ดู ธาตุ,ปฐวธี าต,ุ อาโปธาต,ุ เตโชธาต,ุ วาโยธาตุ โดยสงั เขป ดงั นี้ข. อปุ าทายรูป ๒๔ รปู อาศัย, รปู ทเี่ กดิ คทู ี่ ๑: นปิ ผันนรูป (รปู ทส่ี ําเร็จ คอื เกดิ จากปจจัยหรือสมุฏฐาน อันไดแกสบื เนือ่ งจากมหาภตู , อาการของภตู รปู ,อุปาทารปู ๒๔ กเ็ รียก, มี ๒๔ คือ ก. กรรม จิต อุตุ อาหาร โดยตรง มสี ภาว-ประสาท หรอื ปสาทรปู ๕ ไดแ ก จกั ขุตา, โสต หู, ฆานะ จมกู , ชวิ หา ล้ิน, ลกั ษณะของมันเอง) มี ๑๘ คอื ที่มใิ ชกาย, มโน ใจ ข. โคจรรปู หรอื วสิ ยั รูป(รปู ทีเ่ ปน อารมณ) ๕ ไดแก รปู เสียง อนปิ ผนั นรปู (รปู ทีม่ ไิ ดสาํ เรจ็ จากปจจยักลนิ่ รส โผฏฐพั พะ (โผฏฐัพพะไมน ับ
รปู ๒๘ ๓๔๒ รูป๒๘หรือสมุฏฐานโดยตรง ไมมีสภาว- ๔); ทท่ี า นวาอยา งน้ี มิไดข ดั กนั ดังที่ลักษณะของมันเอง เปนเพียงอาการสําแดงของนปิ ผันนรูป) ซงึ่ มี ๑๐ คือ ปญ จกิ า ชแ้ี จงวา ทน่ี บั อปุ าทนิ นรปู เปน ๙ปรจิ เฉทรปู ๑ วิญญตั ติรปู ๒ วิการรูป๓ ลักขณรปู ๔ กเ็ พราะเอาเฉพาะเอกนั ตกมั มชรปู คอื รปูคูท่ี ๒: อนิ ทรียรปู (รปู ท่ีเปน อินทรียคอื เปนใหญใ นหนา ที)่ มี ๘ คือ ปสาท- ทเ่ี กดิ จากกรรมอยา งเดยี วแทๆ (ไมม ใี นรปู ๕ ภาวรปู ๒ ชีวิตรปู ๑ อนนิ ทรยี -รูป (รปู ท่มี ิใชเปน อนิ ทรีย) มี ๒๐ คือ ที่ อตุ ชุ รปู เปน ตน ) ซงึ่ มเี พยี ง ๙ อยา งดงั ที่เหลือจากนน้ัคทู ่ี ๓: อปุ าทนิ นรปู (รปู ทตี่ ณั หาและทฏิ ฐิ กลา วแลว (คอื อินทรียรปู ๘ และหทัย-ยึดครอง คอื รปู ซ่ึงเกดิ แตก รรม ที่เปนอกุศลและโลกียกุศล) ไดแกกัมมชรปู รปู ๑) สว นกมั มชรปู อกี ๙ อยา ง (อว-ิมี ๑๘ คอื อินทรยี รูป ๘ น้นั หทยั รปู๑ อวนิ พิ โภครูป ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑ นิพโภครปู ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑) ไมน บั เขาอนุปาทินนรปู (รปู ทีต่ ัณหาและทฏิ ฐไิ มยึดครอง มิใชกัมมชรูป) ไดแกร ปู ๑๐ ดว ย เพราะเปน อเนกนั ตกมั มชรปู คอื มิอยา งทเ่ี หลอื (คอื สัททรูป ๑ วญิ ญัตต-ิรปู ๒ วิการรปู ๓ ลกั ขณรปู ๔) ใชเปนรูปท่ีเกิดจากกรรมอยางเดียวแท สาํ หรบั คทู ่ี ๓ น้ี มขี อ ทตี่ อ งทาํ ความ (จติ ตชรปู กด็ ี อตุ ชุ รปู กด็ ี อาหารชรปู กด็ ีเขา ใจซบั ซอ นสกั หนอ ย คอื ทก่ี ลา วมานนั้เปนการอธิบายตามคัมภีรอภิธัมมัตถ- ลว นมรี ปู ๙ อยา งนเ้ี หมอื นกบั กมั มชรปูวภิ าวินี แตในโมหวิจเฉทนี ทา นกลาววาอปุ าทนิ นรปู มี ๙ เทานน้ั ไดแกอ นิ ทรยี - ทงั้ นนั้ )รปู ๘ และหทยั รปู ๑ อนุปาทินนรปู ไดแกร ปู ๑๙ อยา งทเี่ หลอื (คอื อวินิพโภค โดยนัยนี้ เมือ่ นบั อเนกนั ตกมั มชรปูรปู ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑ สทั ทรปู ๑วิญญัตติรปู ๒ วิการรปู ๓ ลักขณรูป (ยอมนบั รปู ทซี่ า้ํ กนั ) รวมเขา มาดว ย กจ็ งึ มีวิธพี ดู แสดงความหมายของรปู คทู ่ี ๓ นี้แบบปนรวมวา อุปาทินนรูป ไดแก กมั มชรูป ๑๘ คอื อนิ ทรียรปู ๘ หทยั - รปู ๑ อวนิ พิ โภครูป ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑ อนปุ าทินนรูป ไดแก จิตตชรปู ๑๕ (รูป ท่ีเกดิ แตจติ : วญิ ญตั ตริ ูป ๒ วิการรปู ๓ สัททรูป ๑ อวินพิ โภครูป ๘ ปริจเฉทรปู ๑) อุตชุ รูป ๑๓ (รปู ทีเ่ กิดแตอุตุ: วกิ าร- รปู ๓ สทั ทรูป ๑ อวนิ พิ โภครปู ๘ ปรจิ - เฉทรปู ๑) อาหารชรูป ๑๒ (รปู ทเ่ี กดิ แตอาหาร: วิการรปู ๓ อวินพิ โภครูป ๘ ปรจิ เฉทรปู ๑) คูท่ี ๔: โอฬารกิ รูป (รปู หยาบ ปรากฏ
รปู ๒๘ ๓๔๓ รูป๒๘ชดั ) มี ๑๒ คอื ปสาทรปู ๕ วิสัยรปู ๗ คทู ี่ ๑๐: อชั ฌตั ตกิ รปู (รปู ภายใน ฝา ย ของตนท่จี ะรบั รูโลก) มี ๕ คือ ปสาทรูปสุขุมรปู (รปู ละเอียด รบั รูทางประสาท ๕ พาหริ รูป (รูปภายนอก เหมือนเปนทงั้ ๕ ไมได รูไดแตทางมโนทวาร) มี พวกอนื่ ) มี ๒๓ คือ ทเ่ี หลือจากนัน้๑๖ คอื ทเ่ี หลอื จากนัน้ คทู ี่ ๑๑: โคจรคั คาหกิ รปู (รปู ทรี่ บั โคจรคูท ี่ ๕: สันติเกรปู (รูปใกล รบั รูงาย) มี คอื รบั รอู ารมณห า ) มี ๕ คอื ปสาทรปู ๕๑๒ คือ ปสาทรปู ๕ วสิ ัยรูป ๗ ทูเรรปู (แยกยอ ยเปน ๒ พวก ไดแก สมั ปต ต- โคจรคั คาหิกรูป รปู ซง่ึ รบั อารมณท ไี่ มม า(รปู ไกล รบั รยู าก) มี ๑๖ คือ ท่ีเหลอื ถงึ ตนได มี ๒ คอื จกั ขุ และโสตะ กบั อสัมปตตโคจรัคคาหิกรูป รูปซึ่งรับจากน้ัน [เหมือนคูที่ ๔] อารมณท มี่ าถงึ ตน มี ๓ คอื ฆานะ ชวิ หาคทู ่ี ๖: สัปปฏฆิ รปู (รูปท่มี ีการกระทบใหเกดิ การรับรู) มี ๑๒ คอื ปสาทรปู ๕ และกาย) อโคจรัคคาหิกรูป (รูปท่ีรับวสิ ัยรปู ๗ อปั ปฏฆิ รูป (รปู ที่ไมมีการ โคจรไมไ ด) มี ๒๓ คือ ท่เี หลือจากนัน้กระทบ ตองรดู ว ยใจ) มี ๑๖ คอื ที่ [เหมอื นคูที่ ๑๐] คทู ี่ ๑๒: อวนิ พิ โภครปู (รปู ทแี่ ยกจากกนัเหลอื จากนั้น [เหมอื นคทู ่ี ๔] ไมไ ด) มี ๘ คอื ภตู รปู ๔ วณั ณะ ๑คทู ี่ ๗: สนิทสั สนรูป (รูปที่มองเห็นได)มี ๑ คือ วัณณะ ๑ (ไดแกร ปู ารมณ) คนั ธะ ๑ รสะ ๑ โอชา (คืออาหารรปู ) ๑อนิทัสสนรูป (รูปที่มองเห็นไมได) มี [ท่ีประกอบกันเปนหนวยรวมพ้ืนฐาน๒๗ คอื ทเี่ หลอื จากนั้น ของรปู ธรรม ทเ่ี รยี กวา “สทุ ธฏั ฐกกลาป”]คทู ี่ ๘: วัตถรุ ปู (รูปเปน ทต่ี ง้ั อาศยั ของจิตและเจตสกิ ) มี ๖ คือ ปสาทรปู ๕ วนิ พิ โภครปู (รปู ทแ่ี ยกจากกนั ได) มี ๒๐หทัยรปู ๑ อวตั ถุรปู (รปู อันไมเปนทต่ี ง้ั คือ ท่เี หลอื จากนัน้อาศัยของจิตและเจตสิก) มี ๒๒ คือ ท่ี นอกจากรูปท่ีจัดประเภทเปนคูดังท่ีเหลือจากนัน้ กลา วมาน้ีแลว ในพระไตรปฎ กกลาวถงึคูที่ ๙: ทวารรปู (รปู เปน ทวาร คือเปนทางรับรูของวิญญาณหา และทางทํา รปู ชุดที่มี ๓ ประเภท ซึ่งเทียบไดก บั ท่ีกายกรรมและวจีกรรม) มี ๗ คือ แสดงขา งตน คอื (เชน ท.ี ปา.๑๑/๒๒๘/๒๒๙)ปสาทรูป ๕ วิญญัตติรปู ๒ อทวารรปู สนิทัสสนสัปปฏิฆรปู (รูปทม่ี องเหน็ และ(รูปอันมใิ ชเ ปนทวาร) มี ๒๑ คอื ที่ มีการกระทบใหเกดิ การรับรูไ ด) มี ๑ ไดเหลือจากนั้น แกรปู ารมณ คือวณั ณะ อนทิ ัสสนสปั -
รปู กลาป ๓๔๔ รปู สัญเจตนาปฏิฆรูป (รปู ทมี่ องเหน็ ไมไ ด แตมกี าร นามธรรมกระทบได) ไดแ กโอฬารกิ รูป ๑๑ ท่ี รูปนันทา พระราชบุตรีของพระเจาเหลอื อนทิ ัสสนอัปปฏิฆรปู (รปู ทมี่ อง สุทโธทนะและพระนางปชาบดีโคตมีเห็นไมไดและไมมีการกระทบใหเ กดิ การ เปนพระกนิฏฐภคินีตางพระมารดาของรบั รู ตอ งรูดวยใจ) ไดแ ก สุขมุ รูป ๑๖ พระสิทธัตถะ รูปอีกชุดหน่ึงที่กลาวถึงบอย และ รูปปรจิ เฉทากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ควรทราบ คือชดุ ที่จดั ตามสมฏุ ฐาน เปน รูปพรรณ เงินทองทท่ี ําเปนเครอ่ื งใชห รอื๔ ประเภท ไดแก กัมมชรูป ๑๘ จิตตช- เคร่ืองประดับ, ลักษณะ, รปู รา ง และสีรูป ๑๕ อตุ ชุ รูป ๑๓ และอาหารชรปู ๑๒ รปู พรหม พรหมในชน้ั รปู ภพ, พรหมท่ีพงึ ทราบตามทกี่ ลา วแลว ในคทู ี่ ๓ วา ดว ย เกิดดวยกาํ ลงั รูปฌาน มี ๑๖ ชัน้ ; ดูอปุ าทนิ นรปู และอนปุ าทนิ นรปู ขางตน พรหมโลกรปู กลาป ดู กลาป 2. รูปภพ โลกเปนท่ีอยขู องพวกพรหม; ดูรูปกัมมัฏฐาน กรรมฐานมีรปู ธรรมเปน พรหมโลกอารมณ รูปราคะ ความตดิ ใจในรูปธรรม คือ ตดิรูปกาย ประชุมแหง รปู ธรรม, กายที่เปน ใจในอารมณแหงรูปฌาน หรือในสวนรูป โดยใจความไดแกรูปขนั ธห รือ รูปธรรมอันประณตี (ขอ ๖ ในสงั โยชนรางกาย; เทยี บ นามกาย ๑๐)รูปฌาน ฌานมีรูปธรรมเปน อารมณ มี ๔ รูปรปู รูปทเี่ ปน รปู หรือรูปแท คอื รปู ท่ีคอื ๑. ปฐมฌาน ฌานท่ี ๑ มีองค ๕ เกิดจากปจจัยหรือสมุฏฐานของมันโดยคอื วิตก (ตรกึ ) วจิ าร (ตรอง) ปต ิ (อิม่ ตรง มสี ภาวลกั ษณะของมนั เอง มใิ ชเ ปนใจ) สขุ (สบายใจ) เอกคั คตา (จติ มี เพยี งอาการสําแดง ไดแก นปิ ผนั นรูปอารมณเปนหน่ึง) ๒. ทุติยฌาน ฌานที่ ๑๘; ดูท่ี รูป ๒๘๒ มอี งค ๓ คือ ปต ิ, สุข เอกัคคตา ๓. รูปวจิ าร ความตรองในรูป เกดิ ตอจากตติยฌาน ฌานท่ี ๓ มีองค ๒ คอื สุข, รูปวติ กเอกคั คตา ๔. จตตุ ถฌาน ฌานที่ ๔ มี รปู วติ ก ความตรกึ ในรูป เกดิ ตอจากรูป-องค ๒ คือ อเุ บกขา, เอกคั คตา ตัณหารูปตณั หา ความอยากในรูป รูปสญั เจตนา ความคดิ อา นในรปู เกิดรปู ธรรม สิง่ ทม่ี ีรูป, สภาวะทเี่ ปนรปู ; คกู ับ ตอจากรูปสญั ญา
รูปสัญญา ๓๔๕ ฤคเวทรูปสญั ญา ความหมายรูใ นรปู เกิดตอ เดอื นเศษ กไ็ ดสาํ เร็จพระอรหัต ไดร ับจากจกั ขสุ มั ผัสสชาเวทนา ยกยอ งเปนเอตทัคคะในทางอยปู ารปู ป ปมาณิกา ผถู ือรปู เปนประมาณ คือ โรหณิ ี 1. เจาหญงิ องคห น่ึงแหง ศากยวงศพอใจในรปู ชอบรปู รา งสวยสงางาม ผวิ เปนกนิษฐภคินี คือนองสาวของพระพรรณหมดจดผอ งใส เปน ตน อนรุ ทุ ธะ (ตามหนังสอื เรียนวา เปน พระรูปารมณ อารมณคือรูป, ส่ิงท่ีเห็นได ธิดาของเจาอมิโตทนะ แตเม่ือถือตาม ดวยตา ม.อ.๑/๓๘๔; วนิ ย.ฏ.ี ๓/๓๔๙ เปน ตน ทก่ี ลา ววารูปาวจร ซึ่งทองเท่ียวไปในรปู , อยใู น พระอนุรุทธะเปนโอรสของเจาสุกโกทนะ ระดับจติ ชัน้ รปู ฌาน, ระดับทมี่ ีรูปธรรม เจาหญิงโรหิณีก็เปนพระธิดาของเจา เปนอารมณ, เน่ืองในรปู ภพ; ดู ภพ, ภูมิ สุกโกทนะ) ไดบรรลุธรรมเปนพระรูปยสังโวหาร การแลกเปลี่ยนดวย โสดาบนั 2. ช่ือแมน าํ้ ท่เี ปนเสนแบงเขตรูปยะ, การซอื้ ขายดว ยเงนิ ตรา, ภกิ ษุ แดนระหวา งแควนศากยะ กบั แควนกระทํา ตองอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย โกลิยะ การแยงกันใชนา้ํ ในการเกษตร(โกสิยวรรคที่ ๒ สกิ ขาบทที่ ๙) เ ค ย เ ป น มู ล เ ห ตุ ใ ห เ กิ ด ก ร ณี พิ พ า ทรปู ย ะ, รปู ย ะ เงินตรา ระหวางแควนท้ังสองจนจวนเจียนจะเรวตะ ชอื่ พระเถระองคห นงึ่ ในการกสงฆ เกิดสงครามระหวา งพระญาติ ๒ ฝา ยทําสงั คายนาครั้งท่ี ๒ พระพุทธเจาเสด็จมาระงับศกึ จงึ สงบลงเรวตขทิรวนยิ ะ พระมหาสาวกองคหน่งึ ได สันนษิ ฐานกันวา เปนเหตุการณในเปนบุตรพราหมณช่ือวังคันตะมารดาช่ือ พรรษาที่ ๕ (บางทานวา ๑๔ หรือ ๑๕)นางสารี เปนนองชายคนสุดทองของ แหงการบําเพ็ญพุทธกิจ และเปนที่มาพระสารบี ุตร บวชอยูในสาํ นักของภกิ ษุ ของพระพทุ ธรูปปางหามญาต;ิ ปจ จุบันพวกอยปู า (อรญั วาส)ี บาํ เพ็ญสมณ- เรยี ก Rowai หรอื Rohwainiธรรมอยูในปาไมตะเคียนประมาณ ๓ ฤฤกษ คราวหรือเวลาซึ่งถือวาเหมาะเปน ฤคเวท ชื่อคัมภีรท่ีหน่ึงในไตรเพทชยั มงคล ประกอบดวยบทมนตรสรรเสริญเทพ
ฤดู ๓๔๖ ลกั ซอ นเจา ทง้ั หลาย; ดู ไตรเพท ๑. อามิสฤทธิ์ อามิสเปน ฤทธิ์, ความฤดู คราว, สมยั , สวนของปซ งึ่ แบง เปน ๓ สําเร็จหรือความรุงเรืองทางวัตถุ ๒.คราวขน้ึ ไป เชน ฤดฝู น ฤดูหนาว ฤดู ธรรมฤทธ์ิ ธรรมเปน ฤทธ์ิ, ความสาํ เรจ็รอ น; ดู มาตรา หรอื ความรุง เรืองทางธรรมฤทธิ์ อํานาจศักดิ์สิทธ, ความเจริญ, ฤษี ผแู สวงธรรม ไดแ กนกั บวชนอกพระความสําเร็จ, ความงอกงาม, เปนรูป ศาสนาซง่ึ อยใู นปา, ชีไพร, ผูแตง คัมภรี สันสกฤตของ อทิ ธ;ิ ฤทธิ์ หรือ อทิ ธิ พระเวทคอื ความสําเร็จ ความรุง เรอื ง มี ๒ คอื ลลกณุ ฏกภทั ทยิ ะ พระมหาสาวกองคห นง่ึ เอตทัคคะในทางมีเสยี งไพเราะ เปนบุตรในตระกูลมั่งคั่ง ชาวพระนคร ลบหลูค ณุ ทาน ดู มักขะ สาวตั ถี ไดฟง พระธรรมเทศนาของพระ ลวงสิกขาบท ละเมิดสิกขาบท, ไม ศาสดาท่ีพระเชตวันมีความเล่ือมใสจึง ประพฤติตามสิกขาบท, ฝาฝน สิกขาบท บวชในพระพุทธศาสนา ทานมีรูปราง ลหุ เสยี งเบา ไดแก รัสสสระไมม ีตัว เตี้ยคอมจนบางคนเห็นขัน วันหนึ่งมี สะกด คอื อ, อ,ิ อุ เชน น ขมต;ิ คูกบั ครุ หญิงน่ังรถผานมาพอเห็นทานแลว ลหกุ าบตั ิ อาบัตเิ บา คอื อาบัติทมี่ ีโทษ หัวเราะจนเห็นฟน ทานกําหนดฟนนั้น เลก็ นอ ย ไดแ กอ าบตั ถิ ลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี เปนอารมณกรรมฐาน ไดสําเร็จ ปาฏเิ ทสนียะ ทกุ กฏ ทพุ ภาสติ ; คูกับ ครุ- อนาคามิผล ตอมาทานไดบรรลุพระ กาบตั ิ อรหัตในสํานักพระสารีบุตร แตเพราะ ลหโุ ทษ โทษเบา; คกู ับ มหนั ตโทษ ความทม่ี ีรูปรางเลก็ เตี้ยคอม ทา นมักถูก ลหุภณั ฑ ของเบา เชน บณิ ฑบาต เภสัช เขาใจผิดเปนสามเณรบา ง ถกู พระหนมุ และของใชป ระจําตัว มีเข็ม มีดพบั มีด เณรนอยลอเลียนบาง ถูกเพ่ือนพระดู โกน เปน ตน; คกู บั ครุภัณฑ แคลนบาง แตพระพุทธเจา กลบั ตรสั ยก ลักซอ น เห็นของเขาทําตก มีไถยจิตเอา ยอ งวาถึงทานจะรางเล็ก แตม ีคณุ ธรรม ดนิ กลบเสยี หรอื เอาของมใี บไมเ ปน ตน ฤทธานุภาพมาก ทา นไดรับยกยองเปน ปดเสยี
ลกั เพศ ๓๔๗ ลิงคลักเพศ [ลัก-กะ-เพด] แตง ตัวปลอมเพศ ทีไ่ ดร บั และปฏบิ ตั ิสบื ตอกันมา เชนไมเปนภิกษุ แตนุงหมผาเหลือง ลทั ธิสมยั สมยั คอื ลทั ธิ หมายถงึ ลทั ธนิ ่ันแสดงตวั เปน ภกิ ษุ เองลักษณะ สิ่งสําหรับกําหนดรู, เครื่อง ลาภ ของท่ีได, การได; ดู โลกธรรมกําหนดรู, อาการสาํ หรับหมายร,ู เครอื่ ง ลาภมจั ฉรยิ ะ ตระหนลี่ าภ ไดแ กห วงผลแสดงส่ิงหนึ่งใหเห็นวาตางจากอีกส่ิง ประโยชน พยายามกดี กนั ผอู ืน่ ไมใ หไดหนึง่ , คณุ ภาพ, ประเภท (ขอ ๓ ในมัจฉริยะ ๕)ลกั ษณะ ๓ ไมเทยี่ ง, เปนทุกข ไมใชตัว ลาภานตุ ตรยิ ะ การไดท ย่ี อดเยี่ยม เชนตน; ดู ไตรลักษณ ไดศ รัทธาในพระพุทธเจา ไดด วงตาเหน็ลักษณพยากรณศาสตร ตําราวาดวย ธรรม (ขอ ๓ ในอนตุ ตรยิ ะ ๖) ลาสิกขา ปฏิญญาตนเปนผูอ่ืนจากภิกษุการทายลักษณะลกั ษณะตัดสินธรรมวินยั ดู หลกั ตดั สนิ ตอหนาภิกษดุ วยกัน หรอื ตอ หนาบคุ คลธรรมวินัย อน่ื ผูเขาใจความ แลว สละเพศภกิ ษเุ สยีลคั น เวลาในดวงชาตาคนเกิดและในดวง ถือเอาเพศที่ปฏิญญาน้นั , ละเพศภิกษุ ทาํ การมงคล สามเณร, สกึ ; คําลาสิกขาท่ใี ชในบดั น้ีลชั ชนิ ี หญงิ ผูมคี วามละอายตอบาป เปน อิตถีลิงค ถา เปนปุงลงิ ค เปน ลัชชี คือ ต้ัง “นโม ฯลฯ” ๓ จบแลวกลาววาลัชชีธรรม ธรรมแหง บคุ คลผูละอายตอ “สิกขฺ ํ ปจจฺ กฺขาม,ิ คิหตี ิ มํ ธาเรถ” (วา ๓ คร้ัง) แปลวา “กระผมลาสิกขา, ขอทา น บาป ท้ังหลายจงทรงจํากระผมไววาเปนลัฏฐิวัน สวนตาลหนมุ (ลัฏฐิ แปลวา คฤหสั ถ” (คหิ ตี ิ ออกเสยี งเปน [คิ-ฮ-ี ติ]) “ไมตะพด” กไ็ ด บางทา นจึงแปลวา “ปา ลําเอยี ง ดู อคติ ไมรวก”) อยูทิศตะวันตกเฉียงใตของ ลขิ ติ โก, ลิขิตกะ “ผูถกู เขยี นไว” หมายกรุงราชคฤห พระพุทธเจาเสด็จไป ถึงโจรท่ที างการมปี ระกาศบอกไว (เชน)ประทับที่นั่น พระเจาพิมพิสารไปเฝา วา “พบในที่ใด พงึ ฆา เสียในทน่ี น้ั ”, โจรพรอมดวยราชบริพารจาํ นวนมาก ทรง หรอื คนรา ยทที่ างการบา นเมอื งมปี ระกาศ สดับพระธรรมเทศนา ไดธรรมจักษุ หรอื หมายสง่ั ทาํ นองน้ี ไมพ งึ ใหบ วช ประกาศพระองคเปนอุบาสกทนี่ ่ัน ลิงค เพศ, ในบาลีไวยากรณมี ๓ อยา งลทั ธิ ความเชื่อถอื , ความรแู ละประเพณี คอื ปงุ ลงิ ค เพศชาย, อติ ถลี งิ ค เพศหญงิ
ลจิ ฉวี ๓๔๘ โลกธรรม นปงุ สกลงิ ค มิใชเพศชายมใิ ชเพศหญิง นกุ รมเขยี น เลก)ลจิ ฉวี กษตั รยิ ทป่ี กครองแควนวัชชี; ดู เลขทาส ชายฉกรรจท ี่เปน ทาสรบั ทํางาน วชั ชี ดวยลุแกโทษ บอกความผิดของตนเพื่อขอ เลขวัด จําพวกคนท่ที า นผปู กครองแควนความกรุณา จัดใหมีสังกัดข้ึนวัด สงฆอาจใชทาํ งานลมุ พนิ ีวนั ชอ่ื สวนเปน ท่ีประสตู ขิ องพระ ในวัดได และไมต อ งถูกเกณฑท าํ งานในพุทธเจา เปนสังเวชนียสถานหน่ึงในส่ี บานเมือง (พจนานกุ รมเขยี น เลกวดั )แหง ตั้งอยรู ะหวา งกรุงกบลิ พัสดุ และ เลขสม คนทย่ี นิ ยอมเปนกาํ ลงั งานของผูกรุงเทวทหะ บัดนี้เรียก Rummindei อยู มีอํานาจคนใดคนหนึ่งดวยความสมัครทป่ี าเดเรยี ในเขตประเทศเนปาล หาง ใจในสมยั โบราณจากเขตแดนประเทศอินเดียไปทาง เลฑฑุบาต [เลด-ด-ุ บาด] ระยะโยนหรือเหนอื ประมาณ ๖ กโิ ลเมตรครงึ่ พระสทิ ขวา งกอนดนิ ตกธตั ถะประสูตทิ สี่ วนน้ี เมือ่ วนั เพ็ญเดือน เลศ 1. อาการ ลกั ษณะ หรอื ขอ เทยี บเคยี ง๖ กอ นพทุ ธศก ๘๐ ป (มปี ราชญ อยางใดอยางหนึ่ง ที่พอจะยกข้ึนอางคํานวณวาตรงกบั วันศกุ ร ปจอ เวลา เพือ่ ผกู เรือ่ งใสค วาม 2. ในภาษาไทยใกลเ ที่ยง); ดู สังเวชนยี สถาน โดยท่ัวไป หมายถงึ อาการทแี่ สดงอยา งลกู ถวนิ ลูกกลมๆ ทผี่ ูกตดิ สายประคด มคี วามหมายซอ นเรน ใหร กู นั ในที มกั ใชเอว, หว งรอยสายประคด ควบคกู บั “นยั ” วา เลศนยัลูกหมู คนที่ถูกเกณฑเขารับราชการเปน เลียบเคียง พูดออมคอมหาทางใหเขากําลงั งานของเจานายสมัยโบราณ ถวายของลูขปฏิบตั ิ ประพฤติปอน, ปฏบิ ตั ิเศรา โลก แผน ดนิ เปน ทอี่ าศยั , หมสู ตั วผ อู าศยั ;หมอง คอื ใชข องเศราหมอง ไมตองการ โลก ๓ คือ ๑. สงั ขารโลก โลกคือความสวยงาม (หมายถึงของเกา เรียบๆ สงั ขาร ๒. สัตวโลก โลกคอื หมสู ตั ว ๓. โอกาสโลก โลกคือแผน ดิน; อกี นัยหน่งึสปี อนๆ แตส ะอาด)ลขู ัปปมาณกิ า ผูถือความเศราหมองเปน ๑. มนุษยโลก โลกมนุษย ๒. เทวโลกประมาณ ชอบผทู ี่ประพฤตปิ อน ครอง โลกสวรรค ท้ัง ๖ ช้ัน ๓. พรหมโลกผา เกา อยเู รยี บๆ งายๆ โลกของพระพรหมเลข คนสามัญ หรอื ชายฉกรรจ (พจนา- โลกธรรม ธรรมทมี่ ีประจําโลก, ธรรมดา
โลกธาตุ ๓๔๙ โลกิยะ,โลกียะ, โลกียของโลก, ธรรมทีค่ รอบงาํ สตั วโลกและ ใหทรงบาํ เพญ็ พุทธกจิ ไดผลดี (ขอ ๕สตั วโลกก็เปนไปตามมัน มี ๘ อยาง ในพุทธคุณ ๙)คือ มีลาภ ไมม ีลาภ มียศ ไมม ียศ โลกตั ถจรยิ า พระพทุ ธจรยิ าเพอื่ ประโยชนนินทา สรรเสรญิ สขุ ทุกข แกโ ลก, ทรงประพฤติเปน ประโยชนแ กโลกธาตุ แผนดนิ ; จกั รวาลหนึ่งๆ โลก คอื ทรงอาศยั พระมหากรุณา เสด็จโลกนาถ ผูเปน ทีพ่ งึ่ ของโลก หมายถึง ไปประกาศพระศาสนาเพ่ือประโยชนสุขพระพุทธเจา แกมหาชนในถ่ินฐานแวนแควนตางๆโลกบาล ผคู มุ ครองโลก, ผเู ลย้ี งรกั ษาโลก เปนอนั มาก และประดิษฐานพระศาสนาใหร ม เยน็ , ทา วโลกบาล ๔; ดู จาตมุ หาราช ไวเพื่อประโยชนสุขแกชุมชนภายหลังโลกบาลธรรม ธรรมคมุ ครองโลก คือ ตลอดกาลนาน; ดู พทุ ธจรยิ าปกครองควบคุมใจมนุษยไวใหอยูใน โลกาธิปเตยยะ ดู โลกาธิปไตยความดี มใิ หล ะเมดิ ศลี ธรรม และใหอ ยู โลกาธปิ ไตย ความถือโลกเปน ใหญ คือกันดวยความเรยี บรอยสงบสุข ไมเ ดอื ด ถือความนิยมหรือเสียงกลาววาของชาวรอ นสับสนวุนวาย มี ๒ คอื ๑. หิริ โลกเปนสําคัญ หวั่นไหวไปตามเสียงความละอายบาป ละอายใจตอการทํา นนิ ทาและสรรเสริญ จะทําอะไรกม็ ุง จะความชว่ั ๒. โอตตปั ปะ ความกลวั บาป เอาใจหมูช น หาความนยิ ม ทาํ ตามทเี่ ขา เกรงกลวั ตอ ความชวั่ และผลของกรรมชวั่ นิยมกัน หรือคอยแตหว่ันกลัวเสียงโลกวชั ชะ อาบัตทิ เ่ี ปนโทษทางโลก คอื กลาววา, พึงใชแตในทางดีหรือในคนสามัญท่ีมิใชภิกษุทําเขาก็เปนความ ขอบเขตทเี่ ปน ความดี คอื เคารพเสียงผดิ ความเสียหาย เชน โจรกรรม ฆา หมูชน (ขอ ๒ ในอธิปไตย ๓)มนุษย ทุบตกี ัน ดา กนั เปน ตน ; บางที โลกามิษ เหยอ่ื แหงโลก, เครอ่ื งลอ ที่ลอวาเปนขอเสียหายที่ชาวโลกเขาติเตียน ใหต ดิ อยใู นโลก, เครอื่ งลอ ใจใหต ดิ ในโลกถือวา ไมเหมาะสมกบั สมณะ เชน ด่มื ไดแก ปญจพธิ กามคุณ คือ รูป, เสียง,สุรา เปน ตน ; เทยี บ ปณณัตตวิ ชั ชะ กลนิ่ , รส, โผฏฐพั พะ อนั นาปรารถนาโลกวิทู (พระผมู พี ระภาคเจาน้นั ) ทรงรู นาใครน า พอใจ; โลกามสิ ก็เขียนแจงโลก คือทรงรูแ จง สภาวะแหง โลกคือ โลกิยะ, โลกียะ, โลกีย เกย่ี วกับโลก,สังขารท้ังหลาย ทรงทราบอัธยาศัย ทางโลก, เนื่องในโลก, เรื่องของชาวสันดานของสัตวโลกท่ีเปนไปตางๆ ทํา โลก, ยงั อยูในภพสาม, ยงั เปน กามาวจร
โลกยิ ฌาน ๓๕๐ โลภ รปู าวจร หรอื อรูปาวจร; คกู บั โลกุตตระ ถึงพระพุทธเจาโลกยิ ฌาน ฌานโลกยี , ฌานอันเปนวสิ ัย โลกุตตรธรรม ธรรมอันมิใชวิสัยของของโลก, ฌานของผูมีจิตยังไมเปน โลก, สภาวะพนโลก มี ๙ ไดแ ก มรรคโลกุตตระ, ฌานที่ปุถุชนได ๔ ผล ๔ นพิ พาน ๑; คกู ับ โลกิยธรรมโลกิยธรรม ธรรมอันเปนวิสัยของโลก, โลกุตตรปญญา ปญญาที่สัมปยุตดวย สภาวะเนอ่ื งในโลก ไดแ กขนั ธ ๕ ทย่ี ังมี โลกุตตรมรรค, ความรูท่ีพนวิสัยของ อาสวะทั้งหมด; คกู บั โลกุตตรธรรม โลก, ความรูที่ชวยคนใหพ นโลกโลกิยวิมุตติ วิมุตติท่ีเปน โลกยี คอื ความ โลกตุ ตรภูมิ ชนั้ ท่พี นจากโลก, ระดับจติพนอยางโลกๆ ไมเดด็ ขาด ไมส นิ้ เชิง ใจของพระอรยิ เจา (ขอ ๔ ในภูมิ ๔ อีกกิเลสและความทุกขยังกลับครอบงําได ๓ ภูมิ คือ กามาวจรภมู ิ รปู าวจรภูมิอีก ไดแกวิมุตติ ๒ อยา งแรก คือ อรูปาวจรภมู )ิตทังควิมุตติ และ วิกขัมภนวิมุตติ; ดู โลกุตตรวิมุตติ วิมุตติที่เปนโลกุตตระวมิ ตุ ต,ิ โลกตุ ตรวิมุตติ คือความหลุดพนที่เหนือวิสัยโลก ซ่ึงโลกยี สุข ความสุขอยา งโลกีย, ความสขุ ท่ี กิเลสและความทุกขท่ีละไดแลวไมกลับ เปน วสิ ยั ของโลก, ความสขุ ทย่ี งั ประกอบ คนื มาอีก ไมก ลบั กลาย ไดแ กวมิ ตุ ติ ๓ ดว ยอาสวะ เชน กามสขุ มนษุ ยสขุ ทพิ ย- อยา งหลงั คอื สมจุ เฉทวมิ ตุ ต,ิ ปฏปิ ส สทั ธ-ิ สขุ ตลอดจนถงึ ฌานสขุ และวปิ ส สนาสขุ วิมตุ ติ และ นสิ สรณวิมตุ ติ; ดู วมิ ตุ ติ,โลกยี ภูมิ ภมู ทิ เี่ ปน โลกยิ ะ ไดแก สามภมู ิ โลกยิ วมิ ุตติ แรก ในภมู ิ ๔, บางทเี รยี กรวมกนั วา โลกตุ ตรสุข, โลกุตรสุข ความสุขอยาง“ไตรภูม”ิ ไดแ ก กามภมู ิ รูปภูมิ และ โลกุตระ, ความสุขทเี่ หนอื กวาระดบั ของ อรูปภมู ิ สวนภูมิที่สี่ เปน โลกตุ ตรภมู ;ิ ดู ชาวโลก, ความสุขเน่ืองดวยมรรคผล ภูมิ 2. นพิ พานโลกุดร, โลกตุ ตระ, โลกุตระ พน จาก โลกุตตราริยมรรคผล อริยมรรคและโลก, เหนอื โลก, พนวิสัยของโลก, ไม อริยผลทพ่ี นวสิ ยั ของโลกเน่ืองในภพท้งั สาม (พจนานุกรม เขยี น โลณเภสัช เกลือเปนยา เชน เกลอื ทะเลโลกุตร); คูกบั โลกยิ ะ เกลือดํา เกลือสินเธาว เปนตนโลกุตตมาจารย อาจารยผูสูงสุดของ โลน กริ ยิ าวาจาหยาบคายไมสุภาพโลก, อาจารยย อดเยยี่ มของโลก หมาย โลภ ความอยากได (ขอ ๑ ในอกศุ ลมลู ๓)
โลภเจตนา ๓๕๑ วณิพกโลภเจตนา เจตนาประกอบดวยโลภ, จง โลหิตกะ ชื่อภิกษุรูปหนึ่งในพวกเหลว ไหลท้งั ๖ ท่ีเรยี กวา พระฉพั พคั คียใจคดิ อยากได, ตงั้ ใจจะเอาโลมะ, โลมา ขน โลหติ ุปบาท ทํารายพระพทุ ธเจาจนถงึ ยงัโลมชาตชิ ชู ัน ขนลุก พระโลหิตใหหอ (ขอ ๔ ในอนนั ตรยิ -โลลโทษ โทษคือความโลเล, ความมี กรรม ๕)อารมณออนไหว โอนเอนไปตามส่ิงเยา ไลเ บย้ี เรียกรองเอาคาเสยี หายเปน ลาํ ดับ ยวนอันสะดดุ ตาสะดุดใจ ไปจนถงึ คนทีส่ ดุโลหติ เลอื ด; สแี ดง ววจนะ คําพดู ; สงิ่ ที่บง จาํ นวนนามทาง วจีวิญญัติ การเคลื่อนไหวใหรูความ ไวยากรณ เชน บาลมี ี ๒ วจนะ คอื เอก- หมายดว ยวาจา ไดแ ก การพูด การ วจนะ บงนามจํานวนเพยี งหนึ่ง และ กลา วถอ ยคาํ ; เทยี บ กายวิญญัติ พหวุ จนะ บง นามจาํ นวนตงั้ แตส องขน้ึ ไป วจีสมาจาร ความประพฤตทิ างวาจา ไวยากรณป จ จบุ นั นยิ มใชว า พจน วจสี งั ขาร 1. ปจจยั ปรงุ แตงวาจา ไดแ กวจกี รรม การกระทาํ ทางวาจา, การกระทาํ วิตก (ตรกึ ) และ วจิ าร (ตรอง) ถาไมมีดว ยวาจา, ทาํ กรรมดว ยคาํ พดู , ทด่ี ี เชน ตรึกตรองกอนแลว พดู ยอมไมร เู รอ่ื ง 2.พดู จรงิ พดู คาํ สภุ าพ ทช่ี ว่ั เชน พดู เทจ็ สภาพทีป่ รุงแตง การกระทําทางวาจา ไดพดู คาํ หยาบ; ดู กศุ ลกรรมบถ, อกศุ ล- แก วจีสัญเจตนา คือความจงใจทางกรรมบถ วาจา ท่ีกอใหเ กดิ วจีกรรม; ดู สังขารวจีทวาร ทวารคือวาจา, ทางวาจา, ทาง วจีสุจริต ประพฤติชอบดวยวาจา,คาํ พูด (ขอ ๒ ในทวาร ๓) ประพฤติชอบทางวาจา มี ๔ อยางคือวจที จุ รติ ประพฤตชิ วั่ ดว ยวาจา, ประพฤติ เวนจากพูดเท็จ เวนจากพูดสอเสียดชว่ั ทางวาจามี ๔ อยางคอื ๑. มสุ าวาท เวน จากพดู คาํ หยาบ เวน จากพดู เพอ เจอ ;พดู เทจ็ ๒. ปสุณาวาจา พดู สอ เสยี ด ๓. ดู สจุ รติ ; เทยี บ วจีทุจริตผรสุ วาจา พดู คาํ หยาบ ๔. สมั ผปั ปลาปะ วณิพก คนขอทานโดยรอ งเพลงขอ คอืพดู เพอเจอ; ดู ทจุ ริต; เทียบ วจีสุจริต ขับรองพรรณนาคุณแหงการใหทานและ
วทญั ู ๓๕๒ วสวัตด,ี วสวดั ดี สรรเสรญิ ผใู หท าน ทเี่ รยี กวา เพลงขอทาน ปวารณา ใหผากฐิน และอปุ สมบทในวทัญู “ผรู ูถอยคํา” คือ ใจดี เออ้ื อารี ปจ จันตชนบท) ๓. สงฆท ศวรรค (สงฆยอมรับฟงความทุกขยากเดือดรอนและ พวก ๑๐ คอื ตองมีภกิ ษุ ๑๐ รปู ข้ึนไป ความตองการของผูอนื่ เขา ใจคาํ พูดของ ใหอ ปุ สมบทในมธั ยมชนบทได) ๔. สงฆ เขาไดดี วสี ติวรรค (สงฆพวก ๒๐ คือ ตองมีวน, วนะ, วนั ปา , ปา ไม, ดง, สวน (บาล:ี ภิกษุ ๒๐ รปู ขึ้นไป ทาํ อัพภานได) วน); วนะ คอื ปา ในความหมายทเี่ นน วรรณะ ผิว, ส,ี เพศ, ชนิด, พวก, เหลา,ความเปน ทร่ี วมอยขู องตน ไม หรอื พฤกษ- หนังสือ, คุณความดี, ความยกยองชาติ ตลอดจนสาํ่ สตั วท อี่ าศยั สว น อรญั สรรเสรญิ ; ชนช้นั ท่ีจดั แบงออกไปตามคอื ปา ในความหมายทเ่ี นน ความเปลา หลกั ศาสนาพราหมณเ รียกวา วรรณะ ๔เปลย่ี ว หา งไกล หรอื ความเปน ตา งหาก คือ กษตั รยิ พราหมณ แพศย ศทู รจากบา น หรอื จากชมุ ชน; เทียบ อรญั วรรณนา คาํ พรรณนา, คาํ ชแี้ จงความวนปรสั ถะ ดู วานปรสั ถ หมายอธิบายความ คลายกับคําวาวนาสณฑ, วนาสัณฑ ดู ไพรสณฑ อรรถกถา (อฏ กถา) บางทกี ็ใชเ สรมิ กันวโนทยาน สวนปา เชน สาลวโนทยาน หรือแทนกันบาง (เชน ท.ี อ.๓/๓๖๐/๒๖๗: คือ สวนปาไมส าละ นฏิ ติ า จ ปาฏกิ วคคฺ สสฺ วณณฺ นาต.ิ ปาฏกิ วคคฺ ฏ -วรกัป ดู กัปวรฺคานฺต พยัญชนะท่ีสดุ วรรค ไดแ ก ง กถา นฏิ ติ า.) แตคําวา อรรถกถา มกั ใช ญณนม หมายถงึ ทงั้ คมั ภรี สว น วรรณนา มกั ใชวรรค หมวด, หม,ู ตอน, พวก; กาํ หนด แกค าํ อธบิ ายเฉพาะตอนๆ (คาํ เต็มรปู ที่ จํานวนภิกษุที่ประกอบเขาเปนสงฆ มักใชแทนหรือใชแสดงความหมายของ อรรถกถา ไดแ ก อรรถสงั วรรณนา [คําหมวดหน่ึงๆ ซึง่ เมื่อครบจํานวนแลวจึง บาลีวา อตถฺ สํวณณฺ นา])จะทาํ สงั ฆกรรมอยา งนน้ั ๆ ได มี ๔ พวก ววัตถิตะ ในทางอักขรวิธีภาษาบาลีคอื ๑. สงฆจ ตรุ วรรค (สงฆพวก ๔ คือ หมายถงึ บทที่แยกกัน เชน ตณุ ฺหี อสฺสตอ งมีภกิ ษุ ๔ รูปข้ึนไป ทํากรรมไดทกุ ตรงขามกับ สัมพันธ ท่ีตางบทน้ันมาอยา งเวน ปวารณา ใหผ า กฐนิ อปุ สมบท สนธิเช่ือมเขาดว ยกนั เชน ตุณหฺ ี + อสสฺและอพั ภาน) ๒. สงฆปญจวรรค (สงฆ เปน ตณุ ฺหิสสฺ หรอื ตณุ ฺหสสฺพวก ๕ คือ ตองมีภกิ ษุ ๕ รูปขน้ึ ไปทํา วสวตั ด,ี วสวดั ดี ชอื่ พระยามาร เปน เทพ
วสนั ต ๓๕๓ วงั สะในสวรรคชั้นสูงสุดแหงระดับกามาวจร แลวก็ตรัสเตือนเธอวา “จะมีประโยชนเปน ผคู อยขดั ขวางเหนย่ี วรงั้ บุคคลไมให อะไรท่ีไดเห็นกายเปอยเนานี้ ผูใดเห็นลวงพนจากแดนกาม ซึ่งอยูในอํานาจ ธรรม ผูน้นั เหน็ เรา” ดังนี้เปน ตน และครอบงาํ ของตน; ดู มาร 2, เทวปตุ ตมาร ทรงสอนตอไปดวยอุบายวิธีจนในที่สุดวสนั ต ฤดใู บไมผ ลิ (แรม ๑ คาํ่ เดอื น ๔ พระวักกลกิ ไ็ ดส ําเรจ็ พระอรหัต และตอถงึ ขน้ึ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๖); เทยี บ วสั สานะ มาไดรับยกยองจากพระศาสดาวาเปน(ฤดฝู น), ดู มาตรา เอตทคั คะในทางศรัทธาวมิ ุต คือ หลุดวสี ความชํานาญ มี ๕ อยา ง คือ ๑. พนดว ยศรัทธาอาวัชชนวสี ความชํานาญคลองแคลว วังคันตะ ช่ือพราหมณผูเปนบิดาของในการนึก ตรวจองคฌานทตี่ นไดออก พระสารีบุตรมาแลว ๒. สมาปชชนวสี ความชาํ นาญ วงั คสี ะ พระมหาสาวกองคหนึ่ง เปน บุตรคลองแคลวในการที่เขาฌานไดรวดเร็ว พราหมณใ นพระนครสาวัตถี ไดศกึ ษาทนั ที ๓. อธฏิ ฐานวสี ความชํานาญ ไตรเพทจนมีความชํานาญเปนท่ีพอใจคลองแคลวในการที่จะรักษาไวมิให ของอาจารย จึงไดเรียนมนตรพิเศษฌานจิตตน้ันตกภวังค ๔. วุฏฐานวสี ชือ่ ฉวสีสมนตร สําหรบั พสิ จู นศ รี ษะซากความชํานาญคลองแคลวในการจะออก ศพ เอาน้ิวเคาะหัวศพก็ทราบวาผูน้ันจากฌานเมื่อใดก็ไดตามตองการ ๕. ตายแลว ไปเกิดเปนอะไร ท่ีไหน ทานมีปจ จเวกขณวสี ความชาํ นาญคลอ งแคลว ความชํานาญในมนตรนี้มาก ตอมาได ในการพิจารณาทบทวนองคฌ าน เขาเฝาพระพทุ ธเจา และไดแสดงความวักกะ ไต (เคยแปลกันวา มาม) ดู ปห กะ สามารถของตน แตเมือ่ เคาะศีรษะของผูวกั กลิ พระมหาสาวกองคห นึ่ง เปนบตุ ร ปรินิพพานแลวไมสามารถบอกคติไดพราหมณชาวพระนครสาวัตถีเรียนจบ ดว ยความอยากเรยี นมนตรเ พิม่ อกี จงึไตรเพทตามลัทธพิ ราหมณ บวชในพระ ขอบวชในพระพทุ ธศาสนา ไมนานก็ไดพุทธศาสนา ดวยความอยากเห็นพระ บรรลุพระอรหัต ไดรับยกยองวาเปนรูปพระโฉมของพระศาสดา คร้ันบวช เอตทคั คะในทางมีปฏิภาณแลวก็คอยติดตามดูพระองคตลอดเวลา วงั สะ ช่อื แควน หน่งึ ในบรรดา ๑๖ แควนจนไมเ ปนอนั เจริญภาวนา พระพทุ ธเจา ใหญแหงชมพทู วปี ตงั้ อยูในเขตมชั ฌมิ -ทรงรอเวลาใหญ าณของเธอสกุ งอม ครน้ั ชนบท ทางทิศใตของแควนโกศล ทาง
วจั กุฎี ๓๕๔ วชั ชีทศิ ตะวนั ตกของแควน กาสี และทางทศิ ๒๐ บุคคล จงึ รวมเปน ๒๑ (๒๐ บคุ คลเหนือของแควนอวันตี นครหลวงชื่อ ในขอ หลงั ไดแ ก ภิกษุณี สิกขมานาโกสัมพี บัดน้เี รียกวา Kosam อยูบนฝง สามเณร สามเณรี ภกิ ษผุ ูบอกลาสิกขาใตของแมนํ้ายมุนา ในสมัยพุทธกาล ภิกษุผูตองอันติมวัตถุ ภิกษุผูถูกสงฆวังสะเปนแควนที่รุงเรืองและมีอํานาจ ยกเสียฐานไมเห็นอาบัติ ภิกษุผูถ ูกสงฆมากแควนหน่งึ มีราชาปกครองพระนาม ยกเสียฐานไมกระทําคืนอาบัติ ภิกษุผูวา พระเจาอเุ ทน ถูกสงฆยกเสียฐานไมสละคืนทิฏฐิอันช่ัววจั กฎุ ี สว ม, ท่ถี า ยอุจจาระสาํ หรับภิกษุ บัณเฑาะก คนลักเพศ ภิกษุเขารีดสามเณร เดียรถีย สตั วด ริ ัจฉาน [รวมท้งั คนดจุวัจกุฎีวตั ร ขอ ปฏบิ ตั อิ นั ภกิ ษพุ งึ กระทาํ ดิรัจฉาน] คนฆา มารดา คนฆา บิดา คนในวัจกุฎี, ขอปฏิบัติสําหรับภิกษุผูใช ฆาพระอรหันต คนประทุษรายภิกษุณีสวม โดยยอมี ๗ ขอ คอื ใชต ามลาํ ดบั ภิกษุผูทําลายสงฆ คนผูทํารายพระผไู ปถงึ , รักษากิริยาในการจะเขา จะออก ศาสดาจนถึงหอพระโลหิต และอุภโต-ใหสุภาพเรียบรอยและไมทําเสียงดัง, พยญั ชนก), แมใ นสงั ฆกรรมทง้ั หลายอนื่รักษาบริขารคือจีวรของตน, รักษาตัว กพ็ งึ เวน วชั ชนยี บคุ คล ๒๑ น้ีเชน ไมเบงแรง ไมใชสิ่งที่จะเปน วชั ชี ชื่อแควน หน่งึ ในบรรดา ๑๖ แควนอันตราย, ไมท าํ กิจอื่นไปพลาง, ระวังไม ใหญแหงชมพูทวีป ตั้งอยูบนฝงทิศ ทาํ สกปรก, ชว ยรักษาความสะอาด ตะวนั ออกของแมน า้ํ คันธกะ อยทู างทิศวัชชนียบุคคล “บุคคลที่พึงเวน” คือ ตะวนั ออกของแควน มลั ละ ทางทศิ เหนอื บุคคล ๒๑ ประเภท ซงึ่ ไมควรรว มอยู ของแควน มคธ นครหลวงชือ่ เวสาลีในท่ีประชมุ สงฆท ส่ี วดปาฏโิ มกข แตพึง แควนวัชชีปกครองดวยระบอบสามัคคี-ใหอยูนอกหัตถบาส ทา นถอื ตามพทุ ธ- ธรรม พวกกษัตริยท่ีปกครองเรียกวาบัญญตั ขิ อวา (วนิ ย.๔/๑๗๓/๒๖๖) “ไมพ งึ กษัตริยลิจฉวี (นอกจากพวกลจิ ฉวแี ลวสวดปาฏโิ มกขในบริษัททีม่ คี ฤหสั ถ” จึง ยังมีพวกวิเทหะซ่ึงปกครองอยูที่เมืองนับคฤหัสถน้ันเปน ๑ และตามพุทธ- มถิ ลิ า แตใ นสมยั พทุ ธกาลมอี าํ นาจนอ ย)บัญญัตขิ อ วา (วนิ ย.๔/๒๐๑/๒๖๘) “ไมพงึ แควนวัชชีรุงเรืองเขมแข็งและมีอํานาจสวดปาฏโิ มกขใ นบริษัทท่มี ภี ิกษณุ ี ฯลฯ มากตอนปลายพทุ ธกาล ไดก ลายเปน คูอุภโตพยญั ชนกะ น่งั อยดู ว ย” ซ่งึ มอี ีก แขง กบั แควน มคธ แตห ลงั พุทธกาลไม
วชั ชีบตุ ร ๓๕๕ วตั ตเภทนาน ก็เสียอํานาจแกมคธเพราะอุบาย (เปนไวพจนของ วิราคะ)ทาํ ลายสามัคคี ของวสั สการพราหมณ วัฑฒกีประมาณ ประมาณของชางไม,วชั ชบี ตุ ร ชอ่ื ภกิ ษพุ วกหนง่ึ ชาวเมอื งเวสาลี เกณฑหรอื มาตราวัดของชางไมแสดงวตั ถุ ๑๐ ประการ ละเมดิ ธรรมวนิ ยั วัฑฒลิจฉวี เจา ลจิ ฉวีชื่อวาวฑั ฒะ ถูกเปน ตน เหตแุ หง การสงั คายนา ครงั้ ท่ี๒ พระเมตตยิ ะ และพระภมุ มชกะเสยี้ มสอนวชั รยาน ดู หีนยาน ใหทําการโจทพระทัพพมัลลบุตรดวยวัฏฏะ การวนเวียน, การเวียนเกดิ เวียน อาบัติปฐมปาราชิก เปนตนเหตุใหพ ระตาย, การเวยี นวายตายเกดิ , ความเวยี น พทุ ธเจา ทรงบญั ญตั กิ ารลงโทษควาํ่ บาตรเกิด หรือวนเวียน ดวยอํานาจกิเลส วัฑฒิ, วัฑฒิธรรม หลักความเจริญกรรม และวิบาก เชน กเิ ลสเกิดข้นึ แลว (ของอารยชน); ดู อรยิ วัฑฒิใหท าํ กรรม เมอื่ ทาํ กรรมแลว ยอ มไดร บั วัณณะ ดู วรรณะผลของกรรม เมอ่ื ไดร บั ผลของกรรมแลว วณั ณกสณิ ๔ กสณิ ทเ่ี พงวตั ถุมีสีตางๆกเิ ลสกเ็ กดิ อกี แลว ทาํ กรรม แลว เสวย ๔ อยาง คือ นีลํ สีเขยี ว, ปต ํ สเี หลือง,ผลกรรม หมนุ เวยี นตอ ไป; ดู ไตรวฏั ฏ โลหติ ํ สีแดง, โอทาตํ สีขาว; ดู กสณิวฏั ฏกปริตร ดู ปรติ ร วณั ณมจั ฉริยะ ตระหนีว่ รรณะ คอื หวงวฏั ฏคามณีอภยั ชอ่ื พระเจา แผนดนิ แหง ผิวพรรณ ไมพอใจใหคนอ่ืนสวยงามเกาะลังกาพระองคหน่ึง ครองราชย หรือหวงคุณวัณณะ ไมพอใจใหใครมีประมาณ พ.ศ. ๕๐๕–๕๒๗ ถกู พวกทมฬิ คุณความดีมาแขงตน (ขอ ๔ ในแยง ชงิ ราชสมบัติ เสด็จไปซอนพระองค มัจฉรยิ ะ ๕)อยใู นปา และไดร ับความชวยเหลือจาก วตั ตขนั ธกะ ชื่อขันธกะที่ ๘ แหงคมั ภรี พระเถระรปู หน่งึ ตอ มาพระองคก ูร าช- จุลวรรค วนิ ัยปฎก วาดวยวตั รประเภทสมบัติคืนมา ไดทรงสรา งอภัยคีรีวิหาร ตา งๆและอาราธนาพระเถระรูปนน้ั มาอยูครอง วตั ตปฏบิ ัติ ดู วัตรปฏิบัติกับทั้งไดทรงทํานุบํารุงพระพุทธศาสนา วัตตเภท ความแตกแหงวัตร หมายอกี เปนอนั มาก การสังคายนาคร้ังที่ ๕ ความวาละเลยวตั ร, ละเลยหนา ที่ คอืท่ีจารึกพุทธพจนลงในใบลาน ก็จัดทํา ไมทําตามขอปฏิบัติที่กําหนดไว เชนในรชั กาลน้ี ภิกษุผูกาํ ลังประพฤติมานัต หรือกําลงัวฏั ฏปจ เฉท ความเขา ไปตัดเสียซึ่งวฏั ฏะ อยูปริวาส ละเลยวัตรของตน พระ
วัตถกิ รรม ๓๕๖ วตั ถวุ ิบตั ิอรรถกถาจารยป รบั อาบัตทิ ุกกฏ อโุ บสถตา งหากกนั ได ๕. อนมุ ตกิ ัปปะวตั ถิกรรม การผูกรดั ทีท่ วารหนกั ผูกรัด เรอ่ื งอนุมัติ ถือวา ภิกษยุ ังมาไมพ รอ มหัวริดสีดวงงอกที่ทวารหนัก ทาน ทาํ สังฆกรรมไปพลาง ภิกษุท่ีมาหลงั จงึสันนิษฐานวา อาจจะหมายถึงการสวน ขออนมุ ตั กิ ไ็ ด ๖. อาจณิ ณกปั ปะ เรอื่ งท่ีทวารเบากไ็ ด เคยประพฤตมิ า ถอื วา ธรรมเนยี มใดวตั ถุ เรือ่ ง, สิ่งของ, ขอความ, ที่ดนิ ; ทต่ี ง้ั อุปชฌายอาจารยเคยประพฤติมาแลวเรือ่ ง หมายถึงบคุ คลผเู ปน ทีต่ ง้ั แหง การ ควรประพฤติตามอยางนั้น ๗. อมถิต-ทํากรรมของสงฆ เชน ในการอุปสมบท กัปปะ เร่ืองไมก วน ถอื วา นํ้านมสดแปร คนทจี่ ะบวชเปน วตั ถแุ หง การใหอ ปุ สมบท ไปแลว แตย งั ไมเ ปน ทธคิ อื นมสม ภกิ ษฉุ นัวตั ถุ ๑๐ เรอื่ งที่เปนตน เหตุ, ขอซง่ึ เปน ที่ แลว หา มอาหารแลว ดมื่ นา้ํ นมอยา งน้ัน ต้ังหรือเปนจุดเร่ิมตนเรื่อง, ขอปฏิบัติ อันเปน อนตริ ติ ตะได ๘. ชโลคงิ ปาตุง๑๐ ประการของพวกภิกษวุ ัชชบี ตุ ร ชาว ถือวา สรุ าอยางออ น ไมใ หเ มา ด่มื ไดเมืองเวสาลี ที่ผิดเพ้ียนยอหยอนทาง ๙. อทสกัง นสิ ที นงั ถือวา ผา นสิ ที นะไมพระวนิ ยั แปลกจากสงฆพ วกอนื่ เปน เหตุ มชี ายกใ็ ชไ ด ๑๐. ชาตรปู รชตงั ถือวาปรารภใหม กี ารสงั คายนาคร้งั ที่ ๒ เมอ่ื ทองและเงนิ เปน ของควร รับไดพ.ศ. ๑๐๐ มดี งั นี้ ๑. สงิ คโิ ลณกัปปะ กรณีวตั ถุ ๑๐ ประการนจ้ี ดั เปนเรอ่ื งเกลอื เขนง ถือวา เกลือทเี่ ก็บไวใ น วิวาทาธกิ รณใ หญเ ร่ืองหนึง่เขนง (คร้งั นั้นภิกษเุ ก็บเกลือไวในเขนง วตั ถุกาม พสั ดอุ ันนาใคร ไดแ กก ามคณุความหมายคือ รับประเคนไวคางคืน ๕ คือ รปู เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐัพพะแลว) เอาออกผสมอาหารฉันได ๒. อนั นา ใคร นา ปรารถนา นา ชอบใจ; ดู กามทวงั คลุ กัปปะ เรื่องสองนิว้ ถอื วา เงา วัตถุเทวดา เทวดาที่ดนิ , พระภมู ิแดดบายเลยเทย่ี งเพียง ๒ นว้ิ ฉนั วตั ถมุ งคล ดู เครอ่ื งรางอาหารได ๓. คามันตรกปั ปะ เรื่องเขา วัตถรุ ูป ดูท่ี รปู ๒๘ละแวกบาน ถอื วา ภกิ ษุฉนั แลว หาม วัตถุวบิ ัติ วิบัติโดยวตั ถุ คอื บคุ คลหรอือาหารแลว ปรารภวา จะเขาละแวกบาน วัตถุซึ่งเปนท่ีตั้งแหงสังฆกรรมน้ันๆเด๋ียวน้ัน ฉันโภชนะเปนอนติริตตะได ขาดคณุ สมบตั ิ ทาํ ใหส งั ฆกรรมเสีย ใช๔. อาวาสกปั ปะ เรอื่ งอาวาส ถอื วา ภกิ ษุ ไมไ ด เชน ในการอุปสมบทผอู ุปสมบทในหลายอาวาสท่ีมีสีมาเดียวกันแยกทาํ อายไุ มค รบ ๒๐ ป หรือมีเรือ่ งทีเ่ ปน
วตั ถุสมบตั ิ ๓๕๗ วนัความผดิ รา ยแรง เชน ฆาบิดามารดา ตามฤดู วิธเี ดนิ เปน หม)ู ; วตั รสว นมากในหรือเปนปาราชิกเม่ือบวชเปนภิกษุคราว วตั ตขนั ธกะกอน หรือไปเขา รีตเดียรถยี ท ั้งเปน ภกิ ษุ วัตรบท ๗ หลกั ปฏบิ ตั ิ หรอื ขอ ที่ถอืหรือเปนสตรี ดังนเี้ ปนตน ปฏบิ ตั ปิ ระจาํ ๗ ขอ ทที่ าํ ใหม ฆมาณพไดวัตถุสมบัติ ความถึงพรอมแหงวัตถุ, เปนทาวสักกะหรือพระอินทรคือ ๑.ความสมบูรณโดยบุคคลหรือวัตถุซ่ึง มาตาเปตภิ โร เลย้ี งมารดาบดิ า ๒. กเุ ล-เปนที่ตั้งแหงการทําสังฆกรรมน้ันๆ มี เชฏปจายี เคารพผูใหญในตระกูลคุณสมบตั ิถกู ตอ ง ทาํ ใหสังฆกรรมใชได ๓. สณหฺ วาโจ พดู คาํ สุภาพออ นหวานไมบกพรองในดานนี้ เชน ในการ ๔. อปส ณุ วาโจ หรอื เปสเุณยยฺ ปปฺ หายี ไมอุปสมบท ผูขอบวชเปน ชายมีอายุครบ พดู สอ เสยี ด พูดสมานสามคั คี ๕. ทาน-๒๐ ป ไมเ ปนมนษุ ยวิบตั ิเชน ถกู ตอน สํวภิ าครโต หรอื มจฺเฉรวนิ ย ชอบเผ่ือไมไดทําความผิดรายแรงเชนฆาบิดา แผใหป น ปราศจากความตระหน่ี ๖.มารดา ไมใ ชค นทําความเสยี หายในพระ สจฺจวาโจ มีวาจาสัตย ๗. อโกธโน หรอืพทุ ธศาสนาอยา งหนกั เชน ปาราชิก เมอื่ โกธาภิภู ไมโกรธ ระงบั ความโกรธได วตั รปฏิบัติ การปฏิบัติตามหนา ท,ี่ การบวชคราวกอน ดังนเ้ี ปน ตนวตั ถสุ มั มขุ ตา ความพรอ มหนาวัตถุ คือ ทําตามขอปฏิบัติที่พึงกระทําเปนประจํา,ยกเรอ่ื งที่เกิดนั้นขึน้ วนิ ิจฉยั ; ดู สัมมขุ า- ความประพฤติที่เปนไปตามขนบวินยั ธรรมเนียมแหงเพศ ภาวะหรือวิถีวัตร กิจพงึ กระทํา, หนา ท,่ี ธรรมเนยี ม, ดําเนนิ ชีวิตของตนความประพฤต,ิ ขอ ปฏบิ ตั ิ จาํ แนกออกเปน วนั 1. ระยะเวลาตงั้ แตพ ระอาทิตยขึ้นถงึ๑. กจิ วัตร วา ดวยกิจทค่ี วรทาํ (เชน พระอาทิตยตก ซ่ึงตามปกติถือตามอุปชฌายวตั ร สทั ธวิ หิ ารกิ วตั ร อาคนั ตกุ - กาํ หนด ๑๒ ช่ัวโมง, กลางวัน ก็เรียก;วตั ร) ๒. จรยิ าวตั ร วาดวยมารยาทอัน ระยะเวลา ๒๔ ชวั่ โมง ทโ่ี ลกหมนุ ตวั เองควรประพฤติ (เชน ไมทิ้งขยะทาง ครบรอบหนงึ่ อยา งทถี่ อื กนั มาแตเ ดมิ วาหนาตางหรือท้ิงลงนอกฝานอกกําแพง ตั้งแตพระอาทิตยข้ึนถึงพระอาทิตยข้ึนไมจ บั วตั ถอุ นามาส) ๓. วธิ ีวตั ร วาดว ย ใหมใ นวันถดั ไป หรอื อยา งท่นี ิยมถอื กันแบบอยางที่พึงกระทํา (เชน วิธีเก็บ ในปจจุบันตามคติสมัยใหมวา ต้ังแตบาตร วิธีพับจีวร วิธีเปดปดหนา ตาง เท่ียงคืนหนึ่งถึงเที่ยงคืนถัดไป; การที่
วันอโุ บสถ ๓๕๘ วาโยธาตุเรยี กวา วนั นน้ั เพราะถือเอาเวลาพระ ทบั วางยาพษิ เปนตนอาทติ ยซ งึ่ เรยี กวาตะวันขึน้ จนถงึ ตะวัน วาจา คาํ พดู , ถอ ยคาํตกเปน กาํ หนด คอื มาจากคาํ วา ตะวนั นน่ั วาจาชอบ ดู สัมมาวาจาเอง (คลายกบั ระยะเวลาเดือนหนง่ึ ที่ วาจาช่ัวหยาบ ในวินัยหมายถึงถอยคําถอื ตามการโคจรของพระจนั ทร ซึง่ มีชื่อ พาดพิงทวารหนกั ทวารเบาและเมถุน; ดูวาเดอื น) 2. ปา , ดง, สวน (บาล:ี วน) ทฏุ ลุ ลวาจาวันอโุ บสถ ดู อโุ บสถ วาชเปยะ, วาชไปยะ “วาจาดูดดม่ื ใจ”,วปั ปะ ชอ่ื พระภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ในคณะปญ จ- “นา้ํ คาํ ควรด่มื ”, ความรูจักพูด คอื รจู กัวัคคีย เปนพระอรหนั ตรุนแรก ทักทายปราศรัย ใชว าจาสุภาพนมุ นวลวปั ปมงคล พธิ ีแรกนาขวญั คือพธิ เี ร่ิมไถ ประกอบดว ยเหตผุ ล มปี ระโยชน เปนนาเพ่อื เปน สริ มิ งคลแกข า วในนา ทางแหงสามัคคี ทําใหเกิดความเขาใจวยั สว นแหง อาย,ุ ระยะของอาย,ุ เขตอายุ อนั ดี ความเชอื่ ถอื และความนิยมนับถือนยิ มแบง เปน ๓ วยั คัมภีรว ิสทุ ธิมรรค (ขอ ๔ ในราชสังคหวตั ถุ ๔)จัดดังนี้ ๑. ปฐมวัย วัยตน ๓๓ ป คอื วาตสมุฏานา อาพาธา ความเจบ็ ไขท ี่อายุ ๑ ถงึ ๓๓ ป ๒. มัชฌมิ วยั วยั มีลมเปนสมฏุ ฐาน; ดู อาพาธกลาง ๓๔ ป คอื อายุ ๓๔ ถงึ ๖๗ ป ๓. วานปรสั ถ ผูอยูปา , เปนธรรมเนยี มของปจฉิมวัย วัยปลาย ๓๓ ป คอื อายุ ๖๘ พราหมณว า ผทู ค่ี รองเรอื น มคี รอบครวัป ถึง ๑๐๐ ป เปน หลักฐาน คร้ันลกู หลานเตบิ โตก็จัดวสั วดี ช่อื ของพระยามาร; ดู วสวัตดี แจงใหม คี รอบครวั ตนเองชราลง ก็เขาวัสสานะ, วัสสานฤดู ฤดูฝน (แรม ๑ ปาจําศีลถือพรตบําเพ็ญตบะตอไป,คํ่า เดอื น ๘ ถงึ ขึน้ ๑๕ คํา่ เดอื น เขียน วนปรสั ถะ บา งก็มี; ดู อาศรม๑๒); ดู มาตรา วาโยธาตุ ธาตลุ ม, สภาวะทมี่ ีลักษณะพดัวสั สาวาสิกพสั ตร ดู ผาจํานาํ พรรษา ไปมา, ภาวะสนั่ ไหว เครงตงึ ค้ําจนุ ; ในวสั สิกสาฎก ดู ผา อาบน้ําฝน รา งกายน้ี สวนที่ใชก าํ หนดเปนอารมณวสั สกิ สาฏิกา ดู ผา อาบนํา้ ฝน กรรมฐาน ไดแกลมพดั ข้ึนเบอ้ื งบน ลมวสั สูปนายกิ า วันเขาพรรษา; ดู จําพรรษา พัดลงเบอื้ งตาํ่ ลมในทอง ลมในไส ลมวางไวท าํ ราย ไดแ ก วางขวาก ฝง หลาว พดั ไปตามตวั ลมหายใจ, อยา งนี้เปนไวในหลุมพราง วางของหนักไวใหตก การกลาวถึงวาโยธาตุในลักษณะท่ีคน
วาร ๓๕๙ วิกปั ,วิกัปปสามัญท่ัวไปจะเขาใจได และที่จะให ใหเ ขาถงึ อบาย กับสว นทเี่ ปนเหตใุ หเ กิดสําเร็จประโยชนในการเจริญกรรมฐาน อาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆแตในทางพระอภิธรรม วาโยธาตุเปน ตา งๆ สว นแรก พระอรหนั ตทุกองคล ะสภาวะพื้นฐานท่ีมีอยูในรูปธรรมทุก ได แตส วนหลงั พระพทุ ธเจาเทา น้นั ละ อยา ง ไดแกภ าวะส่นั ไหว เครงตึง คา้ํ ได พระอรหันตอื่นละไมได จึงมีคํา จนุ ; ดู ธาตุ, รูป ๒๘วาร วนั หน่งึ ๆ ในสปั ดาห, คร้งั , เวลา กลา ววา พระพทุ ธเจาเทา น้นั ละกิเลสทัง้ กาํ หนด หมดไดพรอมท้ังวาสนา; ในภาษาไทยวาระ ครงั้ คราว, เวลาท่กี าํ หนดสําหรบั คําวา วาสนา มีความหมายเพ้ียนไป กลายเปน อาํ นาจบุญเกา หรอื กุศลทีท่ าํผลัดเปล่ยี น ใหไ ดรับลาภยศวารี นํา้ วาสภคามิกะ ช่ือพระเถระองคหน่ึงในวาลิการาม ชื่อวัดหนึ่งในเมืองเวสาลี การกสงฆ ผูท าํ สังคายนาคร้งั ที่ ๒แควนวัชชี เปนที่ประชุมทําสังคายนา วิกขัมภนวิมุตติ พนดวยขมหรือสะกดครง้ั ที่ ๒ ชาํ ระวัตถุ ๑๐ ประการทเี่ ปน ไว ไดแ กความพน จากกิเลสและอกศุ ล-เสี้ยนหนามพระธรรมวินัย ธรรมไดดวยกําลังฌาน อาจสะกดไดวาสนา อาการกายวาจา ทเ่ี ปน ลักษณะ นานกวา ตทงั ควิมุตติ แตเมอื่ ฌานเสื่อมพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบาง แลวกเิ ลสอาจเกดิ ข้ึนอกี จดั เปนโลกยิ -อยาง และไดสั่งสมอบรมมาเปนเวลา วิมุตติ (ขอ ๒ ในวิมุตติ ๕; ในบาลีเปนนานจนเคยชินติดเปนพ้ืนประจําตวั แม ขอ ๑ ถงึ ชัน้ อรรถกถา จงึ กลายมาเปนจะละกิเลสนั้นไดแลว แตก็อาจจะละ ขอ ๒)อาการกายวาจาทเี่ คยชนิ ไมไ ด เชน คํา วิกติกา เคร่อื งลาดทีเ่ ปนรูปสตั วร าย เชนพูดติดปาก อาการเดินท่ีเร็วหรือเดิน ราชสหี เสอื เปน ตนตวมเตี้ยม เปนตน ทานขยายความวา วิกัป, วกิ ปั ป ทาํ ใหเ ปนของสองเจาของวาสนา ท่เี ปน กุศล กม็ ี เปนอกศุ ล ก็มี คอื ขอใหภ กิ ษสุ ามเณรอนื่ รว มเปน เจา ของเปนอัพยากฤต คือเปนกลางๆ ไมด ีไม บาตรหรอื จวี รน้ันๆ ดวย ทําใหไ มตองชวั่ ก็มี ทเ่ี ปน กุศลกับอพั ยากฤตน้ัน ไม อาบัติเพราะเก็บอติเรกบาตรหรืออติเรกตอ งละ แตท่ีเปน อกุศลซงึ่ ควรจะละนน้ั จีวรไวเกนิ กําหนดแบงเปน ๒ สวน คือ สวนที่จะเปนเหตุ วกิ ัปมี ๒ คอื วกิ ปั ตอ หนา และวิกัป
วกิ ปั ,วกิ ปั ป ๓๖๐ วิกัป,วกิ ัปปลบั หลงั ปริภุ ชฺ วา วิสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา วิกปั ตอหนา คอื วกิ ปั ตอหนา ผูร ับ กโรหิ” แปลวา “จีวรผืนนี้ของขาพเจา ทานจงใชสอยก็ตาม จงสละกต็ าม จงถา จวี รผนื เดยี ว อยูในหตั ถบาส วา “อมิ ํ ทาํ ตามปจจยั กต็ าม” (ถา ผถู อนออนกวาจวี รํ ตยุ หฺ ํ วกิ ปฺเปมิ” แปลวา “ขา พเจา พึงวา “อมิ ํ จีวรํ มยหฺ ํ สนฺตกํ ปริภุ ฺชถวกิ ปั จวี รผนื นแ้ี กท า น”(ถา วกิ ปั จวี ร ๒ ผนื วา วิสชฺเชถ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรถ”,ขนึ้ ไป วา “อมิ านิ จวี ราน”ิ แทน “อมิ ํ จวี ร”ํ , คําที่พึงเปลี่ยนทั้งหลาย เชน ช่ือของถาจีวรท่ีวิกัปอยูนอกหตั ถบาส วา “เอตํ” จํานวนของ และท่ีของตัง้ อยใู นหรอื นอกแทน “อิมํ” วา “เอตานิ” แทน “อิมาน”ิ , หัตถบาส พึงเทียบเคียงกับคําที่กลาวถาวิกัปแกภิกษุผูแกกวา จะใชบทวา แลวขางตน )“อายสฺมโต” แทน “ตุยหฺ ํ” ก็ควร) ในเร่ืองเก่ียวกับการวิกัปน้ี มีแนว วกิ ปั ลบั หลงั คอื วกิ ปั ใหแ กส หธรรมกิ ทางปฏิบัติที่พระอาจารยนักวินัยแนะนํารปู ใดรปู หน่ึง ผมู ไิ ดอยูเฉพาะหนา โดย ไว และพระมตใิ นหนงั สอื วนิ ัยมุข อันเปลงวาจาตอหนาสหธรรมิกรูปอื่น ถา ควรทราบวา ผาท่ีจะอธิษฐานเปนผาปูจีวรผนื เดยี ว อยใู นหตั ถบาส วา “อิมํ นอนกด็ ี เปนผาบริขารโจลกด็ ี ตอ งเปนจีวรํ อติ ฺถนฺนามสสฺ วกิ ปฺเปม”ิ แปลวา ของทไี่ มใชน งุ หม จงึ อธิษฐานขึ้น เชน“ขาพเจาวิกัปจีวรผืนน้ี แกทานผูช่ือน้ี” ภิกษุถอนผา อตุ ตราสงคผ นื เกา เสยี ไม(ถา วกิ ัปแกภ กิ ษุชือ่ วา อตุ ตระ ก็บอกช่ือ คิดจะใชน งุ หมอีก และอธิษฐานผืนใหมวา “อุตฺตรสสฺ ภิกฺขุโน” หรือ “อายสฺมโต แลว จะอธิษฐานผืนเกา น้ันเปนผา ปูนอนอตุ ตฺ รสสฺ ” แทน “อติ ถฺ นฺนามสสฺ ” สดุ แต เชน น้ีได แตถายังจะใชน ุงหม ควรวกิ ปัผูรับออนกวาหรือแกกวา, ถาวิกัปจีวร ไวตามแบบ สว นผา บรขิ ารโจลน้นั ก็เชนหลายผืน หรือจวี รอยนู อกหัตถบาส พงึ ผากรองนาํ้ ถุงบาตร และยา ม อันมิใชเปล่ียนคํา โดยเทียบตามแบบวิกัปตอ ของใชนุงหม และไมใชเปนของใหญหนา) ตลอดจนผา บรขิ ารอยา งอนื่ ซึง่ มีสีและ ดอกอันหามในผานุงหม อยางน้ี จีวรที่วกิ ัปไว จะบริโภค ตองขอให อธษิ ฐานขึน้ สวนผาทีจ่ ะใชน ุงหม แมผรู บั ถอนกอน มฉิ ะน้ัน หากบริโภค จะ เพียงผืนเล็กพอใชเปนเครื่องประกอบตอ งอาบัติปาจติ ตยี เมือ่ ผูท่ีไดร ับไวนนั้ เขาเปนผานุงหมได แมแตผาขาว มีถอนแลว จงึ ใชไ ด, คาํ ถอนสําหรับจวี รท่ีอยใู นหตั ถบาส วา “อมิ ํ จวี รํ มยหฺ ํ สนตฺ กํ
วกิ ปั ปตจีวร ๓๖๑ วิกพุ พนาประมาณตง้ั แตยาว ๘ นว้ิ กวาง ๔ กอ นจงึ บริโภค พึงใชเปนของวกิ ัป แตนิ้วขึ้นไป จัดวาเปนจีวรตามกําหนด เมื่อจะอธิษฐาน พึงใหถอนกอน; ดูอยา งตาํ่ ท่จี ะตอ งวกิ ปั อธษิ ฐาน, ปจ จทุ ธรณอนง่ึ ผา อาบน้าํ ฝน เปน ของทที่ รง วิกปั ปต จวี ร จีวรท่ีวิกัปปไว, จวี รท่ีไดทําอนุญาตเปนบริขารพิเศษชั่วคราวของ ใหเ ปนของ ๒ เจาของแลวภิกษุ อธษิ ฐานไวใ ชไ ดต ลอด ๔ เดอื น วกิ าร 1. พิการ, ความแปรผนั , ความผดิแหงฤดฝู น พนนัน้ ใหวกิ ัปไว แปลก, ผิดปรกติ 2. ทาํ ตา งๆ, ขยับ ทงั้ น้ี มพี ทุ ธานญุ าตไวค ราวหนง่ึ (วนิ ย. เขยอ้ื น เชน กวักมือ ดีดนิว้ เปนตน๕/๑๖๐/๒๑๘) ซงึ่ ใชเ ปน ทอ่ี า งองิ ในเรอ่ื งทว่ี า วิกาล ผิดเวลา, ในวกิ าลโภชนสกิ ขาบทผาอยางไหนจะตองอธิษฐาน หรือตอง (หา มฉนั อาหารในเวลาวกิ าล) หมายถึงวกิ ัป อยา งไร ใจความวา ไตรจีวร ผา ปู ต้ังแตเที่ยงแลวไปจนถึงกอนอรุณวันน่ัง (นสิ ีทนะ) ผาปนู อน (ปจ จตั ถรณะ) ใหม; สวนในอันธการวรรค สิกขาบทท่ีผาเช็ดหนาเช็ดปาก (มุขปุญฉนโจละ) ๗ ในภิกขุนีวิภังค (หามภิกษุณีเขาสูและผา บรขิ ารโจล ใหอธิษฐาน ไมใ ชใ ห ตระกลู ในเวลาวิกาล เอาท่ีนอนปูลาดน่งัวิกัป, ผาอาบนํา้ ฝน (วัสสิกสาฎก) ให นอนทับโดยไมบอกกลาวขออนุญาตเจาอธษิ ฐานใชต ลอด ๔ เดือนแหง ฤดูฝน บาน) หมายถงึ ตง้ั แตพระอาทิตยตกจนพน จากนนั้ ใหว ิกัปไว, ผา ปด ฝ (กัณฑ-ุ ถึงกอนอรุณวันใหม; ในสิงคาลกสูตรปฏิจฉาทิ) ใหอธิษฐานใชตลอดเวลาที่ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สุตตันตปฎกอาพาธ พน จากนนั้ ใหวิกัปไว; ผา จีวร กลาวถึงการเท่ียวซอกแซกในเวลาวิกาลขนาดอยา งตาํ่ ยาว ๘ นิว้ กวา ง ๔ นว้ิ วาเปนอบายมขุ นัน้ ก็หมายถงึ เวลาคํ่าโดยน้วิ พระสุคต ตอ งวิกัป วกิ าลโภชน การกนิ อาหารในเวลาวิกาล,สวนในการวิกัปบาตร ถาบาตรใบ การฉนั อาหารผิดเวลา; ดู วกิ าลเดยี ว อยใู นหตั ถบาส วา “อมิ ํ ปตตฺ ํ ตยุ หฺ ํ วกิ พุ พนา การทาํ ใหเ ปน ไดต า งๆ, การยกัวกิ ปฺเปม”ิ (ถาบาตรหลายใบ วา “อิเม เยื้องยักยาย, การปรับแปลงแผลงผัน,ปตฺเต” แทน “อิมํ ปตตฺ ”ํ ; ถาบาตรอยู เชน ผทู เี่ จรญิ อปั ปมญั ญาจนชาํ นาญ มีนอกหัตถบาส วา “เอตํ” แทน “อมิ ํ” จิตเสมอกันตอสรรพสัตว และเขาถึงบาตรหลายใบ วา “เอเต” แทน “อิเม”), ฌานแลว สามารถแผเ มตตา เปน ตน ตอบาตรที่วิกปั ไวแลว ไมมกี ําหนดใหถอน สตั วท งั้ หลาย แผกผนั ไปไดต า งๆ ทงั้
วิกพุ พนาอิทธิ,วกิ พุ พนฤทธ์ิ ๓๖๒ วชิ ฺชาจรณสมปฺ นฺโนแบบกวางขวางไมมีขอบเขต (อโนธโิ ส- วิจกิ ิจฉา ความลงั เลไมต กลงได, ความผรณา) ทงั้ แบบจาํ กดั ขอบเขต (โอธโิ ส- ไมแนใจ, ความสงสัย, ความเคลือบผรณา) และแบบเฉพาะเปน ทศิ ๆ (ทสิ า- แคลงในกศุ ลธรรมทงั้ หลาย, ความลงั เลผรณา), คาํ วา “วกิ พุ พนา” น้ี มกั พบในชอื่ เปนเหตุใหไมแนใจในปฏิปทาเครื่องเรยี กอทิ ธิ (ฤทธ)ิ์ แบบหนง่ึ คอื วกิ พุ พนา- ดาํ เนนิ ของตน (ขอ ๕ ในนวิ รณ ๕, ขออทิ ธิ หรอื วกิ พุ พนฤทธ;ิ์ เทียบ อโนธิโส- ๕ ในสงั โยชน ๑๐ ตามนยั พระอภธิ รรม,ผรณา, โอธิโสผรณา, ทิสาผรณา; ดู แผ ขอ ๔ ในอนสุ ยั ๗)เมตตา,สมี าสมั เภท; วกิ พุ พนาอทิ ธิ วจิ ิตร งาม, งดงาม, แปลก, ตระการ,วกิ พุ พนาอทิ ธ,ิ วกิ พุ พนฤทธิ์ ฤทธคิ์ อื หรู, แพรวพราวการแผลง, ฤทธบ์ิ ดิ ผนั , ฤทธผิ์ นั แผลง วิชชา ความรแู จง , ความรวู เิ ศษ; วิชชา ๓คือการแผลงฤทธแ์ิ ปลงตวั เปลย่ี นจาก คือ ๑. ปพุ เพนิวาสานุสตญิ าณ ความรทู ่ีรปู รา งปกติ แปลงเปน เดก็ เปน ครฑุ เปน ระลึกชาตไิ ด ๒. จตุ ปู ปาตญาณ ความรูเทวดา เปน เสอื เปน งู เปน ตน (ตอ งหา ม จตุ แิ ละอบุ ตั ขิ องสตั วท งั้ หลาย ๓.อาสวกั - ขยญาณ ความรทู ีท่ ําอาสวะใหสนิ้ วชิ ชาทางพระวนิ ยั )วิขมั ภนปหาน การละกเิ ลสไดด วยขมไว ๘ คอื ๑. วปิ ส สนาญาณ ญาณในดว ยฌาน; มกั เขยี น วิกขัมภนปหาน วิปส สนา ๒. มโนมยทิ ธิ ฤทธิท์ างใจ ๓.วิขมั ภนวมิ ุติ ดู วกิ ขัมภนวมิ ตุ ติ อทิ ธิวิธิ แสดงฤทธไิ์ ดต า งๆ ๔. ทพิ พ-วิจาร ความตรอง, การพิจารณาอารมณ, โสต หทู ิพย ๕. เจโตปริยญาณ รจู ักการตามฟนอารมณ (ขอ ๒ ในองคฌ าน กาํ หนดใจผอู น่ื ได ๖. ปพุ เพนวิ าสานสุ ติ๕) ๗. ทิพพจักขุ ตาทิพย (= จตุ ูปปาต-วิจารณ 1. พิจารณา, ไตรตรอง 2. สอบ ญาณ) ๘. อาสวักขยญาณสวน, ตรวจตรา 3. คิดการ, กะการ, จัด วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน (พระผูมีพระภาคเตรียม, จดั แจง, ดแู ล, จดั ดําเนินการ เจาน้ัน) ทรงถึงพรอมดวยวิชชาและ4. ในภาษาไทย มกั หมายถงึ ตชิ ม, แสดง จรณะ ประกอบดวยวชิ ชา ๓ หรอื วชิ ชาความคิดเห็นในเชิงตัดสินคุณคาชี้ขอดี ๘ และจรณะ ๑๕ อนั เปน ปฏิปทาเครอ่ื ง ขอดอ ย บรรลุวิชชานั้น, มีความรูประเสริฐวจิ ารณญาณ ปญ ญาทไี่ ตรต รองพจิ ารณา ความประพฤตปิ ระเสรฐิ (ขอ ๓ ในเหตุผล พทุ ธคุณ ๙)
วชิ ชาธร,วิชาธร ๓๖๓ วญิ ูวชิ ชาธร, วิชาธร ดู วิทยาธร สัตวเหลาหน่ึง มกี ายตา งกัน มีสัญญาวิญญัติ 1. การเคลื่อนไหวใหรูความ อยางเดียวกัน เชน พวกเทพผูอยใู น หมาย, การสือ่ ความหมาย มี ๒ คือ ๑. จาํ พวกพรหมผเู กดิ ในภมู ปิ ฐมฌาน ๓. กายวญิ ญตั ิ การใหร คู วามหมายดว ยกาย สัตวเหลาหนึง่ มีกายอยางเดียวกัน มี เชน พยกั หนา กวกั มือ ๒. วจวี ญิ ญตั ิ สญั ญาตา งกนั เชน พวกเทพอาภสั สระการใหรูความหมายดวยวาจา คือพูด ๔. สัตวเหลา หนง่ึ มีกายอยางเดยี วกนั มีหรอื บอกกลาว 2. การออกปากขอของ สญั ญาอยางเดียวกนั เชน พวกเทพสุภ-ตอคนไมควรขอ หมายถึงภิกษุขอส่ิง กิณหะ ๕. สัตวเหลา หนงึ่ ผเู ขา ถึงชน้ัของตอคฤหสั ถผูไ มใ ชญาติ ผไู มใ ชค น อากาสานัญจายตนะ ๖. สัตวเหลาหน่งึปวารณา ผูเ ขาถงึ ชน้ั วญิ ญาณัญจายตนะ ๗. สตั ววญิ ญาณ ความรูแจง อารมณ, จติ , ความรู เหลา หนง่ึ ผเู ขา ถงึ ชนั้ อากญิ จญั ญายตนะที่เกิดข้ึนเม่ืออายตนะภายในและ วิญญาณธาตุ ธาตุรู, ความรูแจง , ความรูอายตนะภายนอกกระทบกัน เชนรู อะไรได (ขอ ๖ ในธาตุ ๖)อารมณในเวลาเม่ือรูปมากระทบตา วิญญาณัญจายตนะ ฌานอันกําหนดเปนตน ไดแ ก การเห็น การไดยนิ เปน วิญญาณหาท่ีสุดมิไดเปนอารมณหรืออาท;ิ วญิ ญาณ ๖ คือ ๑. จกั ขุวิญญาณ ภพของผเู ขา ถงึ ฌานน้ี (ขอ ๒ ในอรปู ๔)ความรอู ารมณท างตา (เหน็ ) ๒. โสต- วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ,วิญญาณ ความรูอารมณท างหู (ไดยนิ ) วิญญาณเปนอาหารคือเปนปจจัย๓. ฆานวิญญาณ ความรูอารมณทาง อดุ หนุนหลอเลยี้ งใหเกดิ นามรูป (ขอ ๔จมกู (ไดก ลิ่น) ๔. ชวิ หาวิญญาณ ความ ในอาหาร ๔)รอู ารมณท างล้นิ (รูร ส) ๕. กายวญิ ญาณ วิญู ผูร,ู บณั ฑิต, นักปราชญ; ในพระความรูอารมณทางกาย (รูส่ิงตองกาย) วินัย ตามปาจติ ติยสิกขาบทที่ ๗ แหง๖. มโนวญิ ญาณ ความรูอารมณทางใจ มุสาวาทวรรค วา “อน่ึง ภกิ ษุใดแสดง(รูเรือ่ งในใจ) ธรรมแกม าตุคามเกินกวา ๕-๖ คาํ เวนวิญญาณฐิติ ภูมเิ ปน ที่ต้ังของวิญญาณ มี แตมีบุรุษผูเปนวิญูอยูดวย เปน๗ คือ ๑. สตั วเ หลาหนึ่ง มีกายตา งกัน ปาจิตตีย” คาํ วา วญิ ู ในทีน่ ี้ หมายถึงมีสญั ญาตางกัน เชนพวกมนษุ ย พวก ผูรคู วาม คือ “ผูส ามารถรเู ขา ใจคาํ ดคี าํเทพบางหมู พวกวนิ ปิ าติกะ บางหมู ๒. ราย คาํ หยาบคําไมห ยาบ”, ในกฎหมาย
วิญชู น ๓๖๔ วิถจี ติ ไทย ใชคําวา วิญชู น หมายถงึ บุคคล ภวงั คจิต (และมิใชเ ปนปฏสิ นธจิ ิต หรือ ผรู ูผ ิดรูช อบตามปรกติ หรืออยางภาษา จตุ จิ ติ ), พดู อกี อยางหนง่ึ วา จติ ๑๑ ช่ือ ซึ่งทํากิจ ๑๑ อยาง นอกจากปฏิสนธิกิจ ชาวบานวา ผูร ูผ ดิ ชอบช่วั ดี ภวังคกิจ และจตุ กิ ิจ, “วถิ จี ติ ” เปนคาํวิญูชน ดู วิญู รวม เรียกจติ ทัง้ หลาย ซง่ึ ทาํ หนา ที่เกีย่ ววติ ก ความตรกึ , ตริ, การยกจิตข้นึ สู กบั การรบั รูอารมณ ๖ ทางทวารทง้ั ๖ อารมณ หรอื ปก จติ ลงสูอารมณ (ขอ ๑ (คําบาลวี า “วีถจิ ติ ตฺ ”), อธิบายอยา งงาย พอใหเ ขาใจเปนพ้นื ฐานวา สัตวทง้ั หลาย ในองคฌาน ๕), การคิด, ความดําริ; หลงั จากเกิดคือปฏสิ นธแิ ลว จนถึงกอ น ตายคอื จตุ ิ ระหวา งนนั้ ชวี ติ เปน อยโู ดย ไทยใชว าเปนหวงกังวล มีจติ ทเี่ ปน พ้นื เรยี กวา ภวงั คจติ (จิตที่วติ กจรติ พืน้ นสิ ยั หนกั ในทางตรึก, มี เปนองคแหง ภพ หรือจติ ในภาวะทเี่ ปน วิตกเปนปรกติ, มีปรกตินึกพลานหรือ องคแ หงภพ) ซึง่ เกดิ ดบั สบื เนอ่ื งตอ กัน ไปตลอดเวลา (มักเรียกวาภวงั คโสต คิดจบั จดฟงุ ซาน, ผูมจี ริตชนิดนีพ้ ึงแก คือกระแสแหง ภวังค) ทนี ้ี ถา จิตอยูใน ภาวะภวงั ค เปนภวงั คจิต และเกิดดับ ดว ย เพงกสิณ หรือเจรญิ อานาปานสติ- สืบตอไปเปนภวังคโสตเทาน้ัน ก็เพียง แคยังมีชีวิตอยู เหมือนหลับอยูตลอด กมั มฏั ฐาน (ขอ ๖ ในจริต ๖) เวลา แตช วี ติ น้ันเปนอยดู าํ เนินไป โดยมีวติ ถาร ซง่ึ แผย ืดขยายกวา งขวางออกไป, การรับรูและทํากรรมทางทวารตางๆ ขยายความ, พิสดาร; ตรงขา มกบั สงั เขป; เชน เห็น ไดยนิ ดู ฟง เคลอื่ นไหว พูด ในการวัด หมายถึง ความกวา ง (เทยี บ จา ตลอดจนคดิ การตางๆ จิตจงึ มิใชอ ยู กับความยาว คืออายาม และความสูง เพียงในภาวะที่เปนภวังค คือมิใชแค หรอื ความลกึ คืออพุ เพธ); ในภาษาไทย เปนองคแหงภพไวเทานน้ั แตต อ งมีการ ความหมายเพี้ยนไป กลายเปน วา ผดิ รับรูเสพอารมณทํากรรมทางทวารท้ัง หลายดวย ดงั นัน้ เมอ่ื มอี ารมณ คอื รปู ปกติ, พลิ ึก, นอกแบบ, นอกลนู อกทาง, เสียง ฯลฯ มาปรากฏแกทวาร (“มาสู คลองในทวาร”) คอื ตา หู ฯลฯ ก็จะมี เกนิ วสิ ัยแหงความยอมรับวิตถารนัย นยั อยา งพสิ ดาร, แบบขยาย ความ, แงความหมายซง่ึ บรรยายอยาง กวางขวางยืดยาว; ตรงขา มกบั สังเขปนัยวติ ิกกมะ ดู วีตกิ กมะวถิ จี ิต “จิตในวิถ”ี คอื จิตในวิถีแหง การรับ รเู สพอารมณ, จติ ซ่งึ เกดิ ข้ึนเปนไปในวิถี คอื พน จากภวงั ค หรอื พน จากภาวะทเี่ ปน
วถิ ีจติ ๓๖๕ วถิ ีจิตการรับรู โดยภวงั คจิตที่กาํ ลังเกิดดับสืบ จติ (วถี จิ ติ ตปวตั ต)ิ ทเ่ี กดิ ดบั สบื ตอ ไปตอกระแสภพกันอยูนั้น แทนท่ีวาภวังคจิตหน่งึ ดบั ไป จะเกิดเปนภวังคจติ มากมายไมอ าจนบั ไดใหมขน้ึ มา กก็ ลายเปน วา ภวงั คจิตหนึ่งดบั ไป แตเกดิ เปน จติ หนึง่ ท่ีเขา อยูในวิถี ในการรับรูเสพอารมณทํากรรมคร้ังแหงการรับรูเกิดขึ้นมา (ตอนนี้ พูดอยางภาษาชาวบานใหเขาใจงายวา จิต หนงึ่ ๆ ทเี่ ปน การเปลย่ี นจากภวงั คจติ มาออกจากภวังค หรือจิตขึ้นสูว ถิ ี) แลว ก็จะมีจิตท่ีเรียกชื่อตางๆ เกิดขึ้นมาทํา เปน วถิ จี ติ จนกระทงั่ กลบั เปน ภวงั คจติหนา ทตี่ อ ๆ กนั ไป ในวถิ แี หง การรบั รเู สพอารมณนั้น จนครบกระบวนจบวิถีไป อีกน้ัน แยกแยะใหเห็นลําดับขั้นตอนรอบหนึ่ง แลวก็เกิดเปนภวังคจิตข้ึนมาอกี (พดู อยา งภาษาชาวบา นวา ตกภวงั ค) , แหงความเปนไป พอใหไดความเขาใจจิตท้ังหลายท่ีเกิดขึ้นมาทําหนาที่แตละขณะในวิถีแหงการรับรูเสพอารมณนั้น ครา วๆ (ในทนี่ ้ี จะพดู ถงึ เฉพาะปญ จ-จนจบกระบวน เรียกวา “วถิ จี ติ ” และจติแตละขณะในวิถีนั้น มีช่ือเรียกเฉพาะ ทวารวถิ ี คอื การรบั รทู างทวาร ๕ ไดแ กของมนั ตามกจิ คืองานหรอื หนาที่ทมี่ ันทํา, เมื่อตกภวังคอยางที่วานั้นแลว ตา หู จมกู ลน้ิ และกาย ในกรณที รี่ บัภวงั คจิตเกิดดับตอ กันไป แลว ก็เปลย่ี น(เรียกวาตัดกระแสภวังค) เกิดเปนวิถี อารมณท ม่ี กี าํ ลงั มาก คอื อตมิ หนั ตารมณจิตขึน้ มารบั รูเ สพอารมณอ กี แลวพอจบกระบวน กต็ กภวังค เปน ภวังคจิต แลว เปน หลกั ) ดงั น้ี ก. ชว งภวงั คจติ (เนอ่ื งกต็ ัดกระแสภวงั ค เกดิ เปน วิถจี ิตขึ้นอกีสลับกันหมุนเวียนไป โดยนัยน้ี ชีวิตท่ี จากเม่ือจบวิถี ก็จะกลับเปนภวังคอีกดําเนินไปแมในกิจกรรมเล็กนอยหน่ึงๆจึงเปนการสลับหมุนเวียนไปของกระแส ตามปกติจึงเรียกภวังคจิตท่ีเอาเปนจุดภวังคจิต (ภวังคโสตะ) กับกระบวนวิถี เรมิ่ ตน วา “อตตี ภวงั ค” คอื ภวงั คท ลี่ ว ง แลว หรอื ภวงั คก อ น) มี ๓ ขณะ ไดแ ก ๑. อตีตภวังค (ภวังคจิตที่สบื ตอ มาจาก กอ น) ๒. ภวงั คจลนะ (ภวงั คไ หวตวั จาก อารมณใ หมท กี่ ระทบ) ๓. ภวงั คปุ จ เฉท (ภวงั คข าดจากอารมณเ กา ) ข. ชว งวถิ จี ติ มี ๑๔ ขณะ ไดแ ก ๑. ปญ จทวาราวชั ชนะ (การคาํ นึงอารมณใหมทางทวารนน้ั ๆ ใน ทวารทง้ั ๕, ถา อยใู นมโนทวารวถิ ี กเ็ ปน มโนทวาราวชั ชนะ) ๒. ปญ จวญิ ญาณ (การรอู ารมณน นั้ ๆ ในอารมณท ง้ั ๕ คอื เปนจักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ หรือฆานวิญญาณ หรือชิวหาวิญญาณ หรอื กายวญิ ญาณ อยา งใดอยา งหนง่ึ ) ๓.
วถิ ีจติ ๓๖๖ วิถจี ิตสัมปฏิจฉนะ (สัมปฏิจฉันนะ ก็เรยี ก, อยางน้ี กจ็ ะมอี ตีตภวงั ค ๒ หรอื ๓ ขณะการรับอารมณจากปญจวิญญาณ เพ่ือ และเมอื่ ขน้ึ สวู ถิ ี กจ็ ะไปจบแคช วนะที่ ๗เสนอแกสนั ตรี ณะ) ๔. สนั ตรี ณะ (การ ดับ แลวก็ตกภวังค โดยไมมีตทารมณพจิ ารณาไตส วนอารมณ) ๕. โวฏฐพั พนะ เกดิ ขนึ้ , ยงิ่ กวา นนั้ ถา อารมณท ป่ี รากฏมี(การตัดสินอารมณ) ๖.–๑๒. ชวนะ กาํ ลงั นอ ย (เปน ปรติ ตารมณ) กจ็ ะผา น(การแลนไปในอารมณ คือรับรูเสพทํา อตตี ภวงั คไ ปหลายขณะ (ตงั้ แต ๔ ถงึ ๙ ขณะ) จงึ เปน ภวงั คจลนะ และเมอื่ ขนึ้ สวู ถิ ีตอ อารมณ เปน ชว งที่ทาํ กรรม โดยเปน แลว วถิ ีนนั้ ก็ไปสน้ิ สดุ ลงแคโ วฏฐพั พนะ ไมทันเกิดชวนจิต ก็ตกภวังคไปเลย,กุศลชวนะหรืออกุศลชวนะ หรือไมก็ และถา อารมณท ปี่ รากฏนน้ั ออ นกาํ ลงั เกนิกิรยิ า) ตดิ ตอ กนั ๗ ขณะ ๑๓.–๑๔. ไป (เปน อตปิ รติ ตารมณ) กจ็ ะผา นอตตี -ตทารมณ (ตทาลมั พณะ หรอื ตทาลมั พนะ ภวังคไปมากหลายขณะ จนในท่ีสุดกเ็ รยี ก, “มอี ารมณน น้ั ” คอื มอี ารมณเ ดยี ว เกดิ ภวงั คจลนะขน้ึ มาได ๒ ขณะ กก็ ลบั เปน ภวงั คต ามเดมิ คอื ภวงั คไ มข าด (ไมกบั ชวนะ ไดแ กก ารเกดิ เปน วปิ ากจติ ทไี่ ด มีภวังคุปจเฉท) และไมมีวิถีจิตเกิดขึ้น เลย จงึ เรยี กวา เปน โมฆวาระ, สว นในรบั อารมณต อ จากชวนะ เหมอื นไดร บั ผล มโนทวารวถิ ี เมอ่ื ภวงั คไ หวตวั (ภวงั ค- จลนะ) และภวงั คข าด (ภวงั คปุ จ เฉท)ประมวลจากชวนะมาบนั ทกึ เกบ็ ไว กอ น แลว ขน้ึ สวู ถิ ี จะมเี พยี งมโนทวาราวชั ชนะ (การคํานึงอารมณใหมทางมโนทวาร)ตกภวงั ค) ตอ กนั ๒ ขณะ แลว กส็ น้ิ สดุ วถิ ี แลว เกดิ เปน ชวนจติ ๗ ขณะตอ ไปเลย (ไมม สี มั ปฏจิ ฉนจติ เปน ตน ) เมอ่ื ชวนะคอื จบกระบวนของวถิ จี ติ เกดิ เปน ภวงั ค- ครบ ๗ แลว ในกรณที อ่ี ารมณท ปี่ รากฏ เดน ชดั (วภิ ตู ารมณ) กจ็ ะเกดิ ตทารมณจติ ขน้ึ ใหม (ตกภวงั ค) , เมอ่ื นบั ตลอด ๒ ขณะ แลว ตกภวงั ค แตถ า อารมณ ออ นแรงไมเ ดน ชดั (อวภิ ตู ารมณ) พอหมดทงั้ สองชว ง คอื ตง้ั แตอ ตตี ภวงั คจ ดุ ครบ ๗ ชวนะแลว กต็ กภวงั คไ ปเลย โดยไมม ตี ทารมณเ กดิ ขนึ้ , อนง่ึ ทก่ี ลา วเรม่ิ มาจนจบวถิ ี กม็ ี ๑๗ ขณะจติ ในสวนรายละเอียด วิถีจิตมีความเปน ไปแตกตา งกนั หลายแบบ เชน ในปญ จทวารวถิ ที ่ีพูดมาขางตนน้ัน เปนกรณีท่ีรับอารมณซ่ึงมีกําลังเดนชัดมาก(อติมหันตารมณ) แตถาอารมณท่ีปรากฏเขามามีกําลังไมมากนัก (เปนแคม หนั ตารมณ) ภวงั คจะยงั ไมไ หวตัวจนถึงภวงั คจิตขณะท่ี ๓ หรือขณะที่ ๔จึงจะไหวตัวเปนภวังคจลนะ ในกรณี
วทิ ยา ๓๖๗ วนิ ยัมาท้ังหมดน้ัน เปนวิถีจิตในกามภูมิทั้ง ตะวนั ตกเฉยี งใตป ระมาณ ๑,๐๘๖ กม.สน้ิ ยงั มวี ถิ จี ติ ในภมู ทิ สี่ งู ขน้ึ ไปอกี ใน บางตอนเคียงคูไปกับแมน้ํานัมมทาฝายมโนทวารวิถี (จิตในปญจทวารวิถี แลวส้ินสุดลงในรัฐคุชราต ถือกันอยูในกามภูมิอยางเดียว) ซึ่งเปนจิตที่ ทํานองเดียวกับแมนํ้านัมมทาวาเปนเสนเปน สมาธขิ น้ั อปั ปนา และมคี วามเปน ไปที่ แบง ระหวางที่ราบลุมแมน้ําคงคาในแตกตา งจากวถิ จี ติ ในกามภมู ิ เชน ชวนะ ภาคเหนือ (อุตราบถ) กบั ดินแดนที่ราบไมจ าํ กดั เพยี งแค ๗ ขณะ เมอื่ เขา ฌาน สูงแหงอินเดียภาคใต (Deccanแลว ตราบใดยงั อยใู นฌาน กม็ ชี วนจติ Plateau; ทกั ขณิ าบถ); ดู นมั มทาเกดิ ดบั สบื ตอ กนั ไปตลอด นบั จาํ นวนไม วนิ ยวาที ผูม ปี รกติกลาวพระวนิ ยัได โดยไมตกภวังคเลย ถาเกิดเปน วินยสัมมุขตา ความเปนตอหนาพระภวังคจิตข้ึนเม่ือใด ก็คือออกจากฌาน วินัยในวิวาทาธิกรณ หมายความวาดงั นเี้ ปน ตน รายละเอยี ดของวถิ จี ติ ระดบั ปฏิบัติตามธรรมวินัยและสัตถุศาสนอันน้ี จะไมก ลา วในทนี่ ;ี้ ดู ชวนะ, ตทารมณ; เปน เครอื่ งระงบั อธิกรณนั้น; ดู สมั มขุ า-เทยี บ ภวงั คจติ วินัยวทิ ยา ความรู วินัย ระเบียบแบบแผนสําหรับฝกฝนวิทยาธร “ผูท รงวิทยา”, ผมู ีวิชากายสทิ ธ์ิ, ควบคุมความประพฤติของบุคคลใหมีผูมีฤทธิ์ที่สําเร็จดวยวิทยาอาคมหรือ ชีวิตที่ดีงามเจริญกาวหนาและควบคุมของวเิ ศษ, พอ มด หมูชนใหอยูรวมกันดวยความสงบเรียบวิเทหะ ชอ่ื แควนหน่ึงในชมพูทวีป นคร รอยดีงาม, ประมวลบทบัญญัติขอหลวงชือ่ มถิ ลิ า เปนดินแดนพวกวชั ชี กําหนดสําหรับควบคุมความประพฤติอีกถิ่นหน่ึง ต้ังอยูบนฝงแมน้ําคงคา ไมใหเสื่อมเสียและฝกฝนใหประพฤติดีตรงขา มกบั แควนมคธ งามเปนคุณเกื้อกูลย่ิงขึ้น; วินัยมี ๒วิธัญญา ชื่อนครหรือถิ่นหนึ่งในสักก- อยางคือ ๑. อนาคารยิ วินยั วนิ ัยของผูชนบท ปกครองโดยกษตั รยิ ว งศศ ากยะ; ไมครองเรอื น คอื วนิ ัยของบรรพชติ หรอืเวธญั ญะ ก็เรยี ก วนิ ยั ของพระสงฆ ไดแ ก การไมต อ งอาบตั ิวนิ ธยะ ชอื่ เทือกเขาสาํ คัญในอนิ เดยี ภาค ทง้ั ๗ หรอื โดยสาระ ไดแ ก ปารสิ ทุ ธศิ ลีกลาง (Vindhya Range) เริม่ ตน ทาง ๔ ๒. อาคาริยวินัย วนิ ยั ของผคู รองตะวันออกท่ีพาราณสี ยาวลงไปทาง เรือน คอื วนิ ยั ของชาวบา น ไดแ ก การงด
วนิ ยั กถา ๓๖๘ วนิ ีตวัตถุเวน จาก อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ โดยนัยก็ คือไมมีวิปฏิสาร; ทรงมุงหมายเพอ่ื จะคือ กุศลกรรมบถ ๑๐ แตง แกห นงั สอื บพุ พสกิ ขาวณั ณนา ของวนิ ัยกถา คาํ พดู เก่ียวกับพระวนิ ัย, คํา พระอมราภริ กั ขติ (อมร เกดิ ) เจา อาวาสบรรยาย คาํ อธบิ าย หรือเรอื่ งสนทนา วัดบรมนวิ าส; จัดพมิ พเ ปน ๓ เลม ใชเก่ียวกบั พระวินยั เปน แบบเรียนวชิ าวินยั สาํ หรับนักธรรมวินัยกรรม การกระทําเกี่ยวกบั พระวินยั ชน้ั ตรี ช้นั โท และช้ันเอก ตามลําดบัหรือการปฏิบัติตามวินัย เชน การ วินยั วตั ถุ เรือ่ งเกยี่ วกับพระวินยัอธษิ ฐานบรขิ าร การวกิ ัปบาตรและจวี ร วนิ ิจฉัย ไตรต รอง, ใครค รวญ, ชขี้ าด, การปลงอาบตั ิ การอยปู รวิ าส เปนตน ตดั สนิ , ชําระความวินัยธร “ผูทรงวินัย”, ภิกษุผูชํานาญ วินิบาต “โลกหรือวิสัยเปนท่ีตกไปแหงวินยั ; พระอุบาลเี ถระ ไดรบั ยกยองจาก สตั วอยางไรอ าํ นาจ [คอื ชว ยตัวเองไมไดพระพุทธเจาวาเปนเอตทัคคะในบรรดา เลย]”, “แดนเปนที่ตกลงไปพนิ าศยอ ยพระวนิ ยั ธร ยบั ”, สภาพตกตาํ่ , ภพคอื ภาวะแหง ชวี ติวนิ ัยปฎก ดู ไตรปฎ ก ที่มีแตความตกต่ําเส่ือมถอยยอยยับ;วนิ ยั มขุ มุขแหงวินยั , หลักใหญๆ หรอื อรรถกถาท้ังหลาย (เชน วินย.อ.๑/๑๘๗)หัวขอสําคัญๆ ท่ีเปนเบื้องตนแหงพระ แสดงความหมายไว ๒ นยั คือ พดูวนิ ัย หรอื เปน ปากทางนาํ เขา สวู นิ ยั เปน แบบรวมๆ ก็เปนไวพจนคําหน่ึงของชื่อหนังสือที่สมเด็จพระมหาสมณเจา นรก น่นั เอง แตถา แยกความหมายออกกรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงรจนาขน้ึ ไปตางหาก กห็ มายถึงกาํ เนิดอสรุ กายเพ่ืออธิบายความหมายและช้ีประโยชน วินิปาติกะ ทานวาไดแกพวกเวมานิก-แหงพระวินัย มุงชวยใหพระภิกษุ เปรต คอื พวกเปรตมวี ิมานอยู ไดเสวยสามเณรตั้งอยูในปฏิบัติพอดีงาม ผูไม สขุ และตอ งทุกขท รมานเปนชว งๆ สลบัเครงจะไดรูสึกสํารวมรักษามารยาทสม กนั ไป มีสขุ บางทกุ ขบางคละระคนเปนสมณะ ฝายผูเ ครง ครัดเกนิ ไปจะได วินิพโภครูป รปู ทีแ่ ยกจากกันได; เทยี บหายงมงาย ไมสําคัญวาตนดีกวาผูอื่น อวนิ ิพโภครูป; ดู รูป ๒๘ตั้งรังเกียจผูอื่นเพราะเหตุเล็กนอย วนิ ีตวตั ถุ เรอื่ งทีท่ านวินิจฉัยแลว, เร่อื งที่เพยี งสักวา ธรรมเนยี ม หรือแมห ันไปชกั ตัดสินแลว ทานแสดงไวเปนตัวอยางนาํ ผอู น่ื ในปฏบิ ตั อิ นั ดี ตา งจะไดอ านสิ งส สําหรับเทียบเคียงตัดสิน ในการปรับ
วิบัติ ๓๖๙ วปิ ลาส,วปิ ล ลาสอาบัติ (ทํานองคําพิพากษาของศาลสูง หรือผลสืบเน่ือง เชน “นสิ สนั ท” และสดุ ทน่ี าํ มาศึกษากัน) “อานสิ งส”; ดู ผล,เทียบ นสิ สนั ท, อานสิ งสวิบตั ิ ความเสยี , ความผิดพลาด, ความ วิปจิตัญู ผูอาจรูธรรมตอเม่ือทานบกพรอ ง, ความเสยี หายใชการไมไ ด 1. อธิบายความหมายแหง หัวขอนน้ั , รูตอวบิ ตั ิ ความเสีย ของภกิ ษุ มี ๔ อยา ง คอื เมือ่ ขยายความ (ขอ ๒ ในบคุ คล ๔)๑. ศลี วบิ ตั ิ ความเสยี แหง ศลี ๒. อาจาร- วิปฏสิ าร ความเดอื ดรอ น, ความรอนใจวบิ ตั ิ ความเสียมรรยาท ๓. ทิฏฐิวบิ ัติ เชนผูประพฤติผิดศีล เกิดความเดือดความเห็นผิดธรรมผิดวินัย ๔. อาชวี - รอนขน้ึ ในใจ ในเพราะความไมบรสิ ทุ ธิ์วบิ ตั ิ ความเสยี หายแหง การเล้ยี งชีพ 2. ของตนเรียกวา เกดิ วปิ ฏสิ ารวิบัติ คือความเสียหายใชไมได ของ วปิ ปวาส “อยปู ราศ” เปน ประการหน่งึ ในสังฆกรรม มี ๔ คือ ๑. วัตถวุ บิ ตั ิ เสยี รตั ตเิ ฉท การขาดราตรแี หง การประพฤติโดยวัตถุ เชน อปุ สมบทคนอายุตํ่ากวา มานัตและการอยูปริวาส; สําหรับผู๒๐ ป ๒. สีมาวบิ ตั ิ เสียโดยสีมา เชน ประพฤติมานตั วปิ ปวาส หมายถงึ อยูสีมาไมมีนิมิต ๓. ปริสวิบัติ เสียโดย ในถ่ิน (จะเปนวัดหรือท่ีมิใชวัดเชนปาบริษัทคอื ที่ประชมุ เชน ภกิ ษุเขาประชมุ เปนตน กต็ าม) ทไี มม ีสงฆอ ยูเ ปน เพ่อื นไมครบองคสงฆ ๔. กรรมวาจาวิบัติ คืออยูปราศจากสงฆ, สําหรับผูอยูเสียโดยกรรมวาจา เชนสวดผิดพลาด ปริวาส หมายถึง อยใู นถิ่นปราศจาก ตกหลน สวดแตอนุสาวนาไมไดตั้ง ปกตัตตภิกษุ (มีปกตัตตภิกษุอยูเปน ญัตติ เปนตน (ขอกรรมวาจาวบิ ัตบิ าง เพื่อนรูปเดยี วกใ็ ชไ ด) ; ดู รตั ติเฉท กรณีแยกเปนญัตติวิบัติและอนุสาวนา วิปริณาม ความแปรปรวน, ความผัน วบิ ตั ิ กลายเปนวบิ ตั ิ ๕ ก็มี; เทียบ สมบตั ิ แปรเปลยี่ นแปลงเร่ือยไปวบิ าก ผลแหงกรรม, ผลโดยตรงของ วปิ ลาส, วิปล ลาส กิรยิ าทถี่ ือโดยอาการกรรม, ผลดีผลรายทเ่ี กดิ แกต น คือเกดิ วปิ รติ ผิดจากความเปน จรงิ , ความเห็นขึ้นในกระแสสืบตอแหงชีวิตของตน หรือความเขาใจคลาดเคลื่อนจากสภาพ(ชีวิตสันตติ) อันเปนไปตามกรรมดี ท่เี ปนจรงิ มีดังนี้: ก. วปิ ลาสดว ยอาํ นาจกรรมชั่วที่ตนไดทําไว; “วบิ าก” มีความ จิตตแ ละเจตสกิ ๓ ประการ คอื ๑.หมายตางจากผลท่ีเรียกช่อื อยางอื่น ซง่ึ วิปลาสดวยอํานาจสําคัญผิด เรียกวาเปนผลพวง ผลพลอยได ผลขา งเคียง สญั ญาวปิ ลาส ๒. วิปลาสดว ยอํานาจ
วปิ สสนา ๓๗๐ วปิ ส สนาภมู ิคิดผิด เรยี กวา จติ ตวิปลาส ๓. วปิ ลาส โทษ ๕. นพิ พทิ านปุ ส สนาญาณ ญาณดว ยอาํ นาจเหน็ ผดิ เรยี กวา ทฏิ ฐวิ ปิ ลาส คํานึงเห็นดวยความหนาย ๖. มุญจิตุ-ข. วิปลาสดว ยสามารถวตั ถเุ ปนท่ตี ้งั ๔ กัมยตาญาณ ญาณหยั่งรูอันใหใครจะประการ คอื ๑. วปิ ลาสในของท่ไี มเท่ียง พนไปเสีย ๗. ปฏสิ งั ขานปุ ส สนาญาณวา เที่ยง ๒. วปิ ลาสในของท่ีเปน ทกุ ขว า ญาณอนั พจิ ารณาทบทวนเพื่อจะหาทางเปน สุข ๓. วปิ ลาสในของทีไ่ มใชต น วา ๘. สังขารเุ ปกขาญาณ ญาณอนั เปนไปเปน ตน ๔. วปิ ลาสในของท่ไี มงาม วา โดยความเปนกลางตอ สังขาร ๙. สจั จา-งาม (เขยี นวา พิปลาส ก็ม)ี นุโลมิกญาณ ญาณเปนไปโดยควรแกวิปส สนา ความเหน็ แจง คอื เหน็ ตรงตอ การหยั่งรอู รยิ สัจจ;ดู ญาณ ๑๖ความเปนจริงของสภาวธรรม; ปญญาท่ี วิปสสนาธุระ ธรุ ะฝา ยวปิ สสนา, ธรุ ะเห็นไตรลักษณอันใหถอนความหลงผิด ดา นการเจรญิ วปิ ส สนา, กจิ พระศาสนาในรูผิดในสังขารเสียได, การฝกอบรม ดา นการสอนการฝก เจรญิ กรรมฐาน ซง่ึปญญาใหเกิดความเห็นแจงรูชัดภาวะ จบครบท่ีวิปสสนา, เปนคําท่ีใชในชั้นของสงิ่ ทงั้ หลายตามทีม่ ันเปน (ขอ ๒ ใน อรรถกถาลงมา (ไมม ีในพระไตรปฎก);กมั มฏั ฐาน ๒ หรอื ภาวนา ๒); ดู ภาวนา, เทียบ คันถธุระ, ดู คามวาสี, อรญั วาสีไตรลักษณ วิปสสนาปริวาส ดู ปรวิ าส 2.วิปสสนากัมมัฏฐาน กรรมฐานคือ วิปสสนาปญญา ปญญาท่ีถึงข้ันเปนวปิ ส สนา, งานเจรญิ ปญ ญา; ดู กมั มฏั ฐาน, วิปสสนา, ปญญาที่ใชในการเจริญวปิ ส สนา วปิ ส สนา คอื ปญ ญาทีพ่ จิ ารณาเขาใจวิปสสนาญาณ ญาณที่นับเขาใน สังขารตามความเปน จรงิวิปสสนาหรือญาณท่ีจัดเปนวิปสสนามี วิปส สนาภาวนา การเจริญวิปสสนา; ดู๙ อยา งคอื ๑. อทุ ยพั พยานปุ ส สนาญาณ ภาวนา, วิปส สนาญาณตามเห็นความเกิดและความดับ วปิ ส สนาภูมิ ภูมแิ หงวิปส สนา, ฐานที่ต้งัแหงนามรูป ๒. ภังคานุปสสนาญาณ อนั เปนพ้ืนทซี่ ่ึงวิปส สนาเปนไป, พืน้ ฐานญาณตามเห็นจําเพาะความดับเดนข้ึน ทด่ี ําเนนิ ไปของวปิ สสนา 1. การปฏบิ ัติมา ๓. ภยตปู ฏ ฐานญาณ ญาณอันมอง อนั เปน พน้ื ฐานทวี่ ปิ ส สนาดาํ เนนิ ไป คือเห็นสังขารปรากฏเปนของนากลัว ๔. การมองดูรูเ ขาใจ (สัมมสนะ, มักแปลอาทนี วานปุ ส สนาญาณ ญาณคาํ นงึ เหน็ กันวาพิจารณา) หรือรูเทาทันสังขารทั้ง
วปิ ส สนายานิก ๓๗๑ วิปส สนูปกเิ ลส หลายตามท่ีมันเปนอนิจจะ ทุกขะ เตม็ ไปทงั้ ตัว ๓. ญาณ ความรทู ่คี มชดั ๔. ปส สทั ธิ ความสงบเย็นกายใจ ๕. อนัตตา อนั ดําเนนิ ไปโดยลําดับ จนเกิด สุข ความสุขฉํ่าช่ืนท่ัวท้ังตัวท่ีประณีต อยางยงิ่ ๖. อธิโมกข ศรัทธาแรงกลา ท่ี ตรุณวปิ สสนา ซึ่งเปน พน้ื ของการกา วสู ทําใหใจผองใสอยางย่ิง ๗. ปคคาหะ ความเพยี รทพ่ี อดี ๘. อปุ ฏ ฐาน สตชิ ดั วิปสสนาทสี่ ูงขนึ้ ไป 2. ธรรมทีเ่ ปน ภมู ิ ๙. อุเบกขา ความวางจิตเปนกลางที่ลง ตัวสนิท ๑๐.นิกันติความตดิ ใจพอใจ ของวปิ ส สนา คอื ธรรมท้ังหลายอันเปน ธรรมทัง้ หมดนี้ (เวนแตนกิ ันติ ซึ่ง พื้นฐานที่จะมองดรู ูเขา ใจ ใหเ กดิ ปญ ญา เปน ตัณหาอยา งสขุ มุ ) โดยตวั มนั เอง มิ ใชเปน สงิ่ เสยี หาย มิใชเปน อกุศล แต เห็นแจงตามเปนจริง ตรงกับคําวา เพราะเปนประสบการณป ระณีตลํา้ เลิศที่ “ปญ ญาภูมิ” ไดแก ขนั ธ ๕ อายตนะ ไมเคยเกิดมีแกตนมากอน จึงเกดิ โทษ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อนิ ทรยี ๒๒ อรยิ สจั จ ๔ เน่ืองจากผูปฏิบัติไปหลงสําคัญผิดเสีย ปฏจิ จสมปุ บาท และ ปฏจิ จสมปุ ปน น- เองวา เปน การบรรลมุ รรคผล ธรรมทัง้ หลาย, เฉพาะอยางยง่ิ ทานเนน ปฏจิ จสมุปบาท ซึ่งเปน ท่รี วมในการทาํ วิปสสนปู กเิ ลสนี้ ไมเ กดิ ขึ้นแกท านที่ ความเขาใจธรรมท้ังหมดน้ัน, วาโดย บรรลุมรรคผลแลว ไมเ กิดข้ึนแกบคุ คล ท่ีปฏิบัติผิดทาง และไมเกิดขึ้นแกคน สาระ กค็ อื ธรรมชาตทิ ง้ั ปวงทมี่ ใี นภมู ิ ๓; เกียจครา นผทู อดทง้ิ กรรมฐาน แตเกดิ ดู วปิ สสนาญาณ ขึ้นเฉพาะแกผูท่ีเจริญวิปสสนามาอยางวปิ ส สนายานิก ผูมีวปิ ส สนาเปนยานคอื ถกู ตองเทา น้ัน ผู เ จ ริ ญ วิ ป ส ส น า โ ด ย ยั ง ไ ม ไ ด ฌ า น ในพระไตรปฎ ก เรยี กอาการฟงุ ซา นท่ี สมาบัตมิ ากอน เกดิ จากความสาํ คญั ผดิ เอาโอภาสเปน ตนวิปสสนูปกิเลส อุปกิเลสแหงวิปสสนา, นนั้ เปน มรรคผลนพิ พาน วา “ธมั มทุ ธจั จะ” สภาวะท่ีทําใหวิปสสนามัวหมองของขัด, (ธรรมุธัจจ ก็เขียน), แตทานระบุช่ือ โอภาสเปน ตน น้ัน ทีละอยา ง โดยไมม ี สภาพนาช่ืนชม ซึ่งเกิดแกผูเจริญ ช่อื เรยี กรวม, “วิปสสนปู กิเลส” เปนคําท่ี ใชในคัมภีรช ้นั อรรถกถาลงมา (พดู ส้ันๆ วิปสสนาในขั้นที่เปนวิปสสนาอยางออน (ตรณุ วปิ ส สนา) แตก ลายเปน โทษเครอ่ื ง เศรา หมองแหง วปิ ส สนา โดยทาํ ใหเ ขา ใจ ผิดวาตนบรรลุมรรคผลแลว จึงชะงัก หยุดเสีย ไมดําเนินกาวหนาตอไปใน วปิ ส สนาญาณ มี ๑๐ คอื ๑. โอภาส แสงสวา ง ๒. ปติ ความอม่ิ ใจปลาบปลม้ื
วปิ สสี ๓๗๒ วภิ วตณั หาธรรมุธัจจ ก็คอื ความฟงุ ซา นทเี่ กิดจาก วิปสสนาอยางออน (ตรุณวิปสสนา)ความสาํ คัญผิดตอ วิปสสนปู กเิ ลส) สวนวิปสสนาต้ังแตพนจากวิปสสนูป-เมื่อวิปสสนปู กเิ ลสเกิดขึ้น ผปู ฏิบัติ กเิ ลสเหลา นีไ้ ปแลว (จนถึงสังขารุเปกขา-ท่ีมีปญญานอย จะฟุงซานเขวไปและ ญาณ) จัดเปนวิปสสนาที่มีกาํ ลัง ท่แี รงเกิดกเิ ลสอ่นื ๆ ตามมาดวย, ผูปฏบิ ัตทิ ม่ี ี กลา หรืออยางเขม (พลววปิ ส สนา); ดูปญญาปานกลาง ก็ฟงุ ซานเขวไป แมจ ะ ญาณ ๑๖; วิปส สนาญาณ ๙; วิสุทธิ ๗ไมเกิดกิเลสอ่นื ๆ แตจ ะสาํ คัญผิด, ผู วิปสสี พระนามของพระพุทธเจา พระองคปฏิบตั ิทม่ี ปี ญญาคมกลา ถงึ จะฟุง ซา น หนงึ่ ในอดตี ; ดู พระพุทธเจา ๗เขวไป แตจะละความสําคญั ผิดได และ วิปากญาณ ปรีชาหยงั่ รผู ลแหงกรรม คอืเจริญวิปสสนาตอไป, สว นผปู ฏิบัติที่มี รูจกั แยกไดว า บรรดาผลทส่ี ตั วท ง้ั หลายปญญาคมกลา มาก จะไมฟ ุง ซา นเขวไป ไดรับอันซับซอน อันใดเปนผลของเลย แตจ ะเจรญิ วิปสสนากาวตอไป กรรมดีหรือกรรมชั่วอยางใดๆ เรียก วธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นเรอ่ื งน้ี คอื เมอ่ื วปิ ส สนปู - เตม็ วา กรรมวปิ ากญาณ (ขอ ๒ ในกิเลสเกิดข้ึน พึงรูเทาทันดวยปญญา ทสพลญาณ)ตามเปนจรงิ วา สภาวะนี้ (เชน วา โอภาส) วิปากทุกข ทุกขที่เปนผลของกรรมช่ัวเกิดข้ึนแลวแกเรา มันเปนของไมเที่ยง เชน ถกู ลงอาชญาไดร บั ความทกุ ขห รือเกิดมขี น้ึ ตามเหตปุ จ จยั แลวก็จะตอ งดบั ตกอบาย หรือเกดิ วิปฏิสารคอื เดือดสนิ้ ไป ฯลฯ เมื่อรเู ทาทนั ก็ไมห ว่ันไหว รอนใจไมฟ ุง ไปตามมัน คือกาํ หนดไดวามันไม วปิ ากวฏั ฏ วนคอื วบิ าก, วงจรสว นวบิ าก,ใชม รรคไมใ ชท าง แตวิปส สนาทพี่ นจาก หนง่ึ ในวัฏฏะ ๓ แหง ปฏจิ จสมปุ บาทวิปสสนูปกเิ ลสเหลาน้ี ซง่ึ ดาํ เนนิ ไปตาม ประกอบดวยวญิ ญาณ นามรปู สฬาย-วิถนี ั่นแหละเปน มรรคเปนทางทถี่ ูกตอง ตนะ ผสั สะ เวทนา, ชาติ ชรามรณะ; ดูนี่คือเปนญาณที่รูแยกไดวามรรค ไตรวัฏฏและมิใชมรรค นบั เปนวิสุทธขิ อท่ี ๕ คอื วปิ ากสทั ธา ดู สทั ธามัคคามัคคญาณทัสสนวสิ ุทธิ วิภวตัณหา ความอยากในวภิ พ คือความวิปสสนาตั้งแตญาณเร่ิมแรก (คือ ทะยานอยากในความไมม ไี มเ ปน อยากนามรปู ปรจิ เฉทญาณ) จนถงึ มคั คามคั ค- ไมเ ปน นน่ั ไมเ ปน นี่ อยากตายเสยี อยากญาณทัสสนวิสุทธิน้ี ทานจัดเปน ขาดสูญ อยากพรากพนไปจากภาวะที่
วภิ ังค ๓๗๓ วิมังสาตนเกลยี ดชังไมป รารถนา, ความทะยาน ถูกแงผิดแงท่ีดีและแงไมดีประการใดอยากที่ประกอบดวยวิภวทิฏฐิหรือ เปนตน เพ่อื ใหผ ฟู ง เขา ใจสิง่ น้นั เร่ืองนั้น อจุ เฉททิฏฐิ (ขอ ๓ ในตัณหา ๓) อยา งชัดเจน มองเห็นสิ่งทัง้ หลายตามท่ีวิภังค 1. (ในคําวา ”วภิ ังคแหงสกิ ขาบท”) เปน จรงิ เชน มองเหน็ ความเปนอนตั ตาคาํ จาํ แนกความแหงสิกขาบทเพื่ออธบิ าย เปน ตน ไมม องอยางตคี ลุมหรอื เหน็ แตแสดงความหมายใหชดั ขึน้ ; ทานใชเปน ดานเดียวแลวยึดติดในทิฏฐิตางๆ อันชื่อเรียกคัมภีรที่จําแนกความเชนนั้นใน ทําใหไมเขาใจถึงความจริงแทตามพระวนิ ยั ปฎ กวาคมั ภรี ว ภิ ังค คอื คัมภีร สภาวะจําแนกความสิกขาบทในภิกขุปาฏิโมกข วิภัตติ ชื่อวิธีไวยากรณภาษาบาลีและเรยี กวา มหาวภิ ังค หรือ ภิกขุวิภงั ค สันสกฤต สาํ หรับแจกศัพทโดยเปลยี่ นคัมภีรจําแนกความตามสิกขาบทใน ทา ยคําใหมรี ปู ตา งๆ กนั เพ่ือบอกการกภิกขุนีปาฏิโมกขเรียกวา ภิกขุนีวิภังค และกาลเปน ตน เชน คํานาม โลโก วาเปน หมวดตนแหง พระวนิ ยั ปฎ ก 2. ชอื่ โลก, โลกํ ซึ่งโลก, โลกา จากโลก, โลเก ในโลก; คํากริ ยิ า เชน นมติ ยอมคัมภีรท่ี ๒ แหงพระอภิธรรมปฎกที่ นอม, นมตุ จงนอ ม, นมิ นอมแลวอธิบายจําแนกความแหงหลักธรรม สําคญั เชน ขนั ธ อายตนะ ธาตุ ปจ จ- เปน ตน ยาการ เปน ตน ใหช ดั เจนจบไปทลี ะเรอื่ งๆ วภิ าค การแบง, การจาํ แนก, สว น, ตอนวิภชั ชวาที “ผกู ลาวจําแนก”, “ผแู ยกแยะ วิมติวิโนทนี ชื่อคัมภีรฎีกาอธิบายพระพดู ”, เปน คณุ บทคอื คาํ แสดงคณุ ลกั ษณะ วินัย แตงโดยพระกัสสปเถระ ชาวอยา งหน่ึงของพระพทุ ธเจา หมายความ แควนโจฬะ ในอินเดยี ตอนใตวา ทรงแสดงธรรมแยกแยะแจกแจง วิมละ บุตรเศรษฐีเมืองพาราณสีเปนออกไปใหเห็นวา ส่ิงท้ังหลายเกิดจาก สหายของยสกุลบุตร ไดทราบขาวสวนประกอบยอยๆ มาประชุมกันเขา ยสกุลบุตรออกบวช จึงไดบวชตามอยางไร เชน แยกแยะกระจายนามรปู พรอมดวยสหายอีก ๓ คน คือ สุพาหุออกเปน ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ เปนตน ปุณณชิ และ ควัมปติ จัดเปนพระส่ิงทั้งหลายมีดานท่ีเปนคุณและดานที่ มหาสาวกองคห นงึ่เปนโทษอยา งไร เร่อื งน้นั ๆ มขี อ จริงขอ วิมงั สา การสอบสวนทดลอง, การตรวจเทจ็ อะไรบา ง การกระทําอยา งนั้นๆ มแี ง สอบ, การหมัน่ ตรติ รองพิจารณาเหตุผล
วิมาน ๓๗๔ วิมุตตสิ ขุในส่ิงนนั้ (ขอ ๔ ในอิทธิบาท ๔) วิมุตติญาณทัสสนขันธ กองวิมุตติวิมาน ทอี่ ยูห รอื ทีป่ ระทับของเทวดา ญาณทสั สนะ, หมวดธรรมวา ดว ยความรูวมิ ตุ อักขระทว่ี า ปลอ ยเสียงเชน สณุ าตุ, ความเหน็ วา จติ หลุดพน แลวจากอาสวะเอสา ตฺติ เชน ผลญาณ ปจจเวกขณญาณ (ขอ ๕วิมุตตานุตตริยะ การพนอันเยี่ยมคือ ในธรรมขนั ธ ๕)หลุดพนจากกิเลสและกองทุกข ไดแก วิมุตติสุข สุขเกิดแตความหลุดพนจาก พระนิพพาน (ขอ ๓ ในอนุตตริยะ ๓) กเิ ลสอาสวะและปวงทกุ ข; พระพุทธเจาวิมุตติ ความหลุดพน, ความพนจาก กิเลสมี ๕ อยางคือ ๑. ตทงั ควิมตุ ติ ภายหลงั ตรสั รแู ลว ใหมๆ ไดเ สวยวิมุตติ พนดว ยธรรมคูปรบั หรือพนชว่ั คราว ๒. วิกขัมภนวิมุตติ พนดวยขมหรือสะกด สุข ๗ สัปดาหต ามลําดับคอื สัปดาหท ี่ ๑ ไว ๓. สมจุ เฉทวมิ ตุ ติ พนดว ยตัดขาด ๔. ปฏปิ สสทั ธวิ มิ ตุ ติ พนดวยสงบ ๕. ทรงประทับภายใตรมไมมหาโพธิ์ ทรง นิสสรณวิมุตติ พนดวยออกไป; ๒ อยางแรก เปน โลกยิ วมิ ตุ ติ ๓ อยา ง พจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาท สปั ดาหท ่ี ๒ เสดจ็ หลังเปน โลกตุ ตรวมิ ตุ ติวมิ ุตติกถา ถอ ยคําท่ชี ักนําใหทําใจใหพน ไปประทับยืนดานอีสาน ทรงจองดูตน จากกเิ ลส (ขอ ๙ ในกถาวัตถุ ๑๐) มหาโพธ์ิไมกระพริบพระเนตร ที่นั้นวมิ ตุ ติขันธ กองวิมุตติ, หมวดธรรมวา เรยี กวา อนิมิสเจดยี สปั ดาหท ่ี ๓ ทรง นิรมิตที่จงกรมข้ึนระหวางกลางแหงพระ มหาโพธิ์และอนิมิสเจดยี เสดจ็ จงกรม ตลอด ๗ วัน ทีน่ ้ันเรยี ก รัตนจงกรม- เจดีย สปั ดาหท ี่ ๔ ประทบั นงั่ ขดั บัลลงั ก พจิ ารณาพระอภธิ รรมปฎ ก ณ เรอื นแกวดว ยวมิ ตุ ติ คอื การทาํ จติ ใหพ น จากอาสวะ ที่เทวดานิรมิตในทิศพายัพแหงตนมหาเชน ปหานะ การละ, สัจฉิกิริยา การทาํ โพธ์ิ ที่นน้ั เรียก รัตนฆรเจดีย สัปดาหท ี่ ๕ ประทบั ใตร ม ไมไ ทร ชอ่ื อชปาลนโิ ครธใหแ จง (ขอ ๔ ในธรรมขันธ ๕)วิมุตติญาณทัสสนะ ความรูเห็นใน ทรงตอบปญหาของพราหมณหุหุกชาติวิมุตติ, ความรูเห็นวาจิตหลุดพนแลว แสดงสมณะและพราหมณท แี่ ท พรอ มทงั้จากอาสวะทง้ั หลาย ธรรมทที่ าํ ใหเ ปน สมณะและเปน พราหมณวิมุตติญาณทัสสนกถา ถอยคําท่ีชักนาํ พระอรรถกถาจารยก ลาววา ธิดามาร ๓ใหเกิดความรูความเห็นในความท่ีใจพน คนไดมาประโลมพระองค ณ ท่ีนี้จากกเิ ลส (ขอ ๑๐ ในกถาวตั ถุ ๑๐) สปั ดาหท ี่ ๖ ประทบั ใตต นไมจ กิ ชอื่ มุจจ-
วิมุติ ๓๗๕ วริ ยิ ารมั ภะลินท มีฝนตก มุจจลนิ ทนาคราชมาวง ได มองเห็นความวาง ๒. อนิมิตต-ขนดแผพังพานปกปองพระองค ทรง วโิ มกข หลดุ พน ดว ยเห็นอนจิ จงั แลวเปลงอทุ านแสดงความสขุ ท่แี ท อนั เกดิ ถอนนิมติ ได ๓. อัปปณหิ ิตวิโมกข หลุดจากการไมเบียดเบียนกัน เปนตน พนดวยเห็นทุกข แลวถอนความสัปดาหที่ ๗ ประทบใตตนไมเกดช่ือ ปรารถนาไดราชายตนะ พาณชิ ๒ คน คอื ตปสุ สะและ วริ ตั ิ ความเวน , งดเวน; เจตนาท่งี ดเวนภลั ลกิ ะ เขา มาถวายสัตตุผง สตั ตกุ อ น จากความช่วั ; วิรัติ ๓ คือ ๑. สัมปต ต-และไดแสดงตนเปนปฐมอุบาสกถึง ๒ วิรัติ เวนไดซึ่งสิ่งท่ีประจวบเขา ๒.สรณะ เม่ือสิ้นสัปดาหท่ีเจ็ดที่นี้แลว สมาทานวิรตั ิ เวน ดวยการสมาทาน ๓.เสด็จกลับไปประทับใตตนอชปาล- สมุจเฉทวริ ตั ิ เวน ไดโ ดยเด็ดขาดนิโครธอีก ทรงดําริถึงความลึกซ้ึงแหง วิราคะ ความส้นิ กําหนดั , ธรรมเปน ทีส่ ้ินธรรมท่ีตรัสรู คือปฏิจจสมุปบาทและ ราคะ, ความคลายออกไดห ายตดิ เปนนพิ พาน แลว นอมพระทยั ทีจ่ ะไมแ สดง ไวพจนข อง นิพพานธรรม เปนเหตุใหสหมั บดพี รหมมากราบ วิราคสัญญา กําหนดหมายธรรมเปนท่ีทลู อาราธนา และ ณ ทนี่ เี้ ชน กนั ไดท รง สนิ้ ราคะ หรอื ภาวะปราศจากราคะวา เปนพระดํารเิ กย่ี วกับสติปฏ ฐาน ๔ ทเ่ี ปน ธรรมละเอยี ด (ขอ ๖ ในสัญญา ๑๐)เอกายนมรรค และอินทรยี ๕ อนั มี วิรยิ ะ ความเพยี ร, ความบากบน่ั , ความอมตธรรมเปนที่หมาย; พึงสังเกตวา เพยี รเพ่อื จะละความช่วั ประพฤติความเร่อื งในสปั ดาหที่ ๒, ๓, ๔ นน้ั เปน ด,ี ความพยายามทํากจิ ไมทอ ถอย (ขอสวนท่ีพระอรรถกถาจารยกลาวแทรก ๕ ในบารมี ๑๐, ขอ ๓ ในโพชฌงค ๗,เขามา ความนอกนั้นมาในมหาวรรค ขอ ๒ ในอิทธิบาท ๔)แหงพระวินัยปฎก (เรื่องดําริถึงสติ- วิริยวาท ผูถือหลักการแหงความเพียร,ปฏฐานและอินทรียมาในสังยุตตนิกาย หลักการแหงความเพียร; ดู กรรมวาทมหาวารวรรค พระสตุ ตันตปฎ ก) วริ ยิ สังวร สาํ รวมดวยความเพียร (ขอ ๕วิมตุ ิ ดู วมิ ตุ ติ ในสังวร ๕)วโิ มกข ความหลดุ พน จากกเิ ลส มี ๓ วิริยารัมภะ ปรารภความเพยี ร คือลงมอืประเภท คอื ๑. สุญญตวิโมกข หลดุ พน ทําความเพียรอยางเขมแข็งเด็ดเด่ียว,ดวยเห็นอนัตตาแลวถอนความยึดมั่น ระดมความเพยี ร (ขอ ๔ ในเวสารัชช-
วิรยิ ารัมภกถา ๓๗๖ วศิ าลกรณธรรม ๕, ขอ ๗ ในลักษณะตดั สิน กันวา สง่ิ นีเ้ ปน ธรรม เปนวนิ ัย สงิ่ นี้ไมธรรมวินยั ๘, ขอ ๕ ในสัทธรรม ๗, ขอ ใชธ รรม ไมใ ชว ินัย ขอน้ี พระพทุ ธเจา๗ ในนาถกรณธรรม ๑๐) ตรสั ไว ขอน้ไี มไดต รัสไว ดังนเี้ ปนตนวริ ิยารมั ภกถา ถอ ยคาํ ทีช่ กั นาํ ใหปรารภ ววิ าหะ การแตงงาน, การสมรสความเพยี ร (ขอ ๕ ในกถาวัตถุ ๑๐) วเิ วก ความสงดั มี ๓ คอื อยใู นทีส่ งัดวริ ุฬหก ดู จาตมุ หาราช เปน กายวเิ วก จิตสงบเปน จติ ตวเิ วกวริ ปู ก ษ ดู จาตมุ หาราช หมดกเิ ลสเปน อปุ ธวิ เิ วกวิวฏั ฏ, ววิ ฏั ฏะ ปราศจากวัฏฏะ, ภาวะ วิศวามิตร ครูผูสอนศิลปวิทยาแกพระพนวฏั ฏะ ไดแ ก นิพพาน ราชกุมารสทิ ธตั ถะววิ ฏั ฏกปั ดู กปั วิศาขนักษัตร หมูดาวฤกษช่ือวิศาขะววิ ฏั ฏฐายกี ปั ดู กัป (ดาวคันฉัตร) เปน หมูด าวฤกษท่ี ๑๖ มีววิ าท การทะเลาะ, การโตแ ยงกัน, การ ๕ ดวง; ดู ดาวนกั ษัตรกลาวเก่ยี งแยงกัน, กลา วตา ง คอื วา ไป วิศาขบรุ ณมี ดู วศิ าขปุรณมี วศิ าขบชู า การบชู าในวนั เพญ็ เดอื น ๖คนละทาง ไมลงกนั ไดววิ าทมูล รากเหงา แหงการเถียงกนั , เหตุ เพื่อรําลึกถึงคุณของพระพุทธเจาเน่ืองทกี่ อ ใหเ กดิ ววิ าท กลายเปน ววิ าทาธกิ รณ ในวันประสูติ ตรัสรู และปรินพิ พานของมี ๒ อยา ง คอื ๑. กอ ววิ าทข้นึ ดว ย พระองค; วสิ าขบชู า ก็เขยี นความปรารถนาดี เห็นแกธ รรมวนิ ยั มี วิศาขปุรณมี วนั เพญ็ เดอื น ๖, วันกลางจติ ประกอบดว ยอโลภะ อโทสะ อโมหะ เดือน ๖, วันขึ้น ๑๕ คํ่า เดอื น ๖, ดิถมี ี๒. กอววิ าทดว ยความปรารถนาเลว ทํา พระจันทรเ ต็มดวง ประกอบดวยวศิ าข-ดว ยทิฏฐมิ านะ มจี ิตประกอบดวยโลภะ ฤกษ (วิศาขนักษตั ร); นีเ้ ขยี นตามนิยมโทสะ โมหะ อยางหนึ่งในหนังสือเกา, นอกจากน้ีวิวาทมูลกทุกข ทุกขมีวิวาทเปนมูล, เขยี นกนั อกี หลายอยา ง เปน วศิ าขบรุ ณมีทกุ ขเกิดเพราะการทะเลาะกันเปนเหตุ บา ง วสิ าขบรุ ณมี บาง วสิ าขปรุ ณมี บาง,วิวาทาธิกรณ วิวาทท่ีจัดเปนอธิกรณ, ปจ จบุ ัน อาจจะเขียน วสิ าขบณุ มี หรือการวิวาทซึ่งเปนเรื่องที่สงฆจะตองเอา วสิ าขปณุ มีหรอื วสิ าขบรู ณมี หรอื วสิ าข-ธุระดาํ เนนิ การพิจารณาระงับ ไดแกก าร ปรู ณมีเถยี งกันปรารภพระธรรมวินยั เชน เถียง วิศาล กวางขวาง, แผไ ป
วิสภาค ๓๗๗ วสิ าขาวสิ ภาค มสี ว นไมเ สมอกัน คอื ขดั กนั เขา วา ขีดขั้นแหงความเปนไปได หรือกนั ไมไ ด ไมถ กู กัน หรือไมกลมกลืน ขอบเขตความสามารถกัน, ไมเ หมาะกัน วิสาขบณุ ม,ี วิสาขบูรณม,ี วิสาขปุณมีวสิ มปริหารชา อาพาธา ความเจ็บไขท่ี วนั เพ็ญเดือน ๖; ดู วิศาขปรุ ณมีเกดิ จากบริหารรา งกายไมส มํา่ เสมอ คือ วสิ าขบูชา ดู วศิ าขบูชาผลัดเปลย่ี นอิรยิ าบถไมพอดี; ดู อาพาธ วิสาขปุรณมี ดู วศิ าขปรุ ณมีวิสสาสะ 1. ความคุนเคย, ความสนิท วสิ าขมาส, เวสาขมาส เดือน ๖สนม การถือวาเปนกันเอง, ในทางพระ วิสาขา ช่ือมหาอุบาสิกาสําคัญในคร้ังวินยั การถอื เอาของของผอู ่ืนท่จี ัดวา เปน พุทธกาล เปนธิดาของธนัญชัยเศรษฐีการถือวิสสาสะ มอี งค ๓ คือ ๑. เคย และนางสุมนา เกิดท่ีเมืองภัททิยะในเห็นกนั มา เคยคบกนั มา หรือไดพ ูดกนั แควนอังคะ ไดบรรลุโสดาปตติผลตั้งไว ๒. เจาของยังมชี ีวิตอยู ๓. รวู า ของ แตอายุ ๗ ขวบ ตอมาไดย า ยตามบดิ าเราถือเอาแลวเขาจักพอใจ, บัดน้ีนิยม มาอยทู ่ีเมืองสาเกต ในแควน โกศล แลวเขยี น วิสาสะ 2. ความนอนใจ ดงั พุทธ- ไดสมรสกับนายปุณณวัฒน บุตรชายดํารัสวา “ภิกษุเธอยังไมถึงความส้ิน มคิ ารเศรษฐแี หง เมอื งสาวตั ถี และยายอาสวะแลวอยาไดถ ึง วสิ สาสะ (ความ ไปอยูในตระกูลฝายสามี นางสามารถ นอนใจ)” กลับใจมิคารเศรษฐี บดิ าของสามี ซึง่วสิ สาสิกชน คนท่ีสนทิ สนมคนุ เคย, คน คุนเคยกัน, วสิ าสิกชน กใ็ ช นบั ถอื นคิ รนถ ใหห นั มานบั ถอื พระพทุ ธ-วิสังขาร ธรรมท่ีปราศจากการปรุงแตง, ศาสนา มิคารเศรษฐีนับถือนางมาก ธรรมอันมิใชส งั ขาร คอื พระนพิ พานวิสชั ชกะ ผูจ า ย, ผแู จกจา ย; ผูตอบ, ผู และเรียกนางวิสาขาเปน แม นางวิสาขา จงึ ไดช อ่ื ใหมอ กี อยา งหนงึ่ วา มิคารมาตา (มารดาของมคิ ารเศรษฐ)ี นางวสิ าขาได วิสัชชนา อปุ ถมั ภบ าํ รงุ พระภกิ ษสุ งฆอ ยา งมากมายวิสชั ชนา คําตอบ, คําแกไ ข; คาํ ชี้แจง และไดขายเคร่ืองประดับ เรียกชื่อวา (พจนานุกรม เขยี น วสิ ัชนา) มหาลดาปสาธน ซงึ่ มคี า สงู ยง่ิ อนั ประจาํวสิ ัญญี หมดความรสู ึก, ส้ินสต,ิ สลบวิสัย ภูม,ิ พื้นเพ, อารมณ, เขต, แดน, ตัวมาตั้งแตแตงงาน นาํ เงนิ มาสรา งวดั ถวายแดพ ระพทุ ธเจา และภกิ ษสุ งฆค อื วดั ลักษณะท่เี ปน อยู, ไทยใชในความหมาย บพุ พาราม มคิ ารมาตปุ ราสาท ณ พระนคร
วิสามญั ๓๗๘ วิสุทธิ สาวตั ถี นางวิสาขามบี ุตรหลานมากมาย ชําระสัตวใหบริสุทธ์ิดวยการบําเพ็ญ ลวนมีสขุ ภาพดีแทบทงั้ น้ัน แมวา นางจะ ไตรสิกขาใหบริบูรณเปนข้ันๆ ไปโดย มอี ายยุ นื ถงึ ๑๒๐ ป กด็ ไู มแ ก และเปน ลําดับ จนบรรลุจุดหมายคือพระ บคุ คลทไี่ ดร บั ความนบั ถอื อยา งกวา งขวาง นพิ พาน มี ๗ ข้ัน (ในท่ีนี้ ไดระบุธรรม ในสงั คม ไดร บั ยกยอ งจากพระศาสดาวา ที่มีที่ไดเปนความหมายของแตละขั้น เปนเอตทัคคะในบรรดาทายิกาทั้งปวง; ตามท่ีแสดงไวในอภิธัมมัตถสังคหะ) ดู บพุ พาราม, ตลุ า คือ ๑. สลี วสิ ุทธิ ความหมดจดแหงศลีวิสามัญ แปลกจากสามัญ, ไมใช (ไดแ ก ปารสิ ทุ ธศิ ีล ๔) ๒. จติ ตวสิ ทุ ธิ ธรรมดา, ไมทวั่ ไป, เฉพาะ ความหมดจดแหง จิตต (ไดแ ก สมาธิ ๒วิสารทะ แกลว กลา, ชํานาญ, ฉลาดวสิ าสะ ดู วิสสาสะ คือ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ)วิสาสิกชน คนคนุ เคย; ดู วสิ สาสกิ ชน ๓. ทิฏฐิวิสุทธิ ความหมดจดแหงทิฏฐิวสิ ุงคาม แผนกหนง่ึ จากบา น, แยกตาง (ไดแก นามรปู ปรคิ คหญาณ) ๔. กังขา- หากจากบา น วิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแหงญาณวิสุงคามสีมา แดนแผนกหนึ่งจากแดน เปนเครื่องขามพนความสงสัย (ไดแก บาน คือ แยกตา งหากจากเขตบา น, ใน ปจจัยปริคคหญาณ) ๕. มัคคามัคค- ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแหง ที่น้ีหมายถึง ที่ดินที่พระเจาแผนดิน ญาณเปนเครื่องรูเห็นวา ทางหรอื มใิ ชท าง ประกาศพระราชทานใหแกสงฆ (ไดแ ก ตอ สมั มสนญาณ ขน้ึ สอู ทุ ยพั พย-วิสุทธชนวิลาสินี ชื่ออรรถกถาอธิบาย ความในคัมภีรอปทาน แหงพระ ญาณ เปนตรุณวิปสสนา เกดิ วิปสสนปู - สุตตันตปฎก เรียบเรียงข้ึนเปนภาษา กเิ ลส แลว รเู ทาทนั วา อะไรใชทาง อะไร มิใชทาง) ๖. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ บาลี โดยอาศัยนัยแหงอรรถกถาเกา ความหมดจดแหงญาณอันรูเห็นทาง ภาษาสิงหฬท่ีสืบมาในลังกาทวีป ไม ดําเนิน (ไดแ ก วปิ ส สนาญาณ ๙ นบั แต ปรากฏนามทานผูรจนา แตคัมภีรจูฬ- อทุ ยพั พยญาณท่ีผานพนวิปสสนูปกิเลส คันถวงส (แตงในพมา) วา เปนผลงาน แลว เกดิ เปนพลววิปส สนา เปน ตน ไป ของพระพทุ ธโฆสาจารย; ดู โปราณัฏฐ- จนถึงอนุโลมญาณ) ๗. ญาณทัสสน- กถา, อรรถกถา วิสุทธิ ความหมดจดแหงญาณทัสสนะวิสทุ ธิ ความบรสิ ทุ ธ,์ิ ความหมดจด, การ (ไดแ ก มรรคญาณ ๔ มโี สดาปต ตมิ รรค
วสิ ทุ ธิเทพ ๓๗๙ วเิ หสกกรรม เปนตน แตละขัน้ ); ดู ปาริสุทธิศลี ๔, ประสงค เมือ่ ทํางานเสร็จสนิ้ แลว ทานก็ สมาธิ ๒, วิปสสนาญาณ ๙, ญาณ ๑๖ เดนิ ทางกลบั สชู มพทู วปี พระพทุ ธโฆสา-วิสทุ ธิเทพ เทวดาโดยความบรสิ ุทธิ์ ได จารยเปนพระอรรถกถาจารยผ ูย ่ิงใหญท ี่ แกพ ระอรหนั ต (ขอ ๓ ในเทพ ๓) สดุ มีผลงานมากท่ีสุดวสิ ทุ ธมิ รรค, วสิ ทุ ธมิ คั ค ปกรณพ เิ ศษ วิสุทธิอุโบสถ อุโบสถที่ประกอบดวย อธิบายศีล สมาธิ ปญ ญา ตามแนว ความบริสุทธิ์ หรืออุโบสถที่ทําโดยท่ี วสิ ทุ ธิ ๗ พระพุทธโฆสาจารย พระ ประชุมสงฆซ่ึงมคี วามบริสทุ ธ์ิ หมายถงึ อรรถกถาจารยชาวอินเดียเปนผูแตงท่ี การทําอุโบสถซึ่งท่ีประชุมมีแตพระ มหาวหิ ารในเกาะลังกา; พระพุทธโฆสะ อรหนั ตล วนๆ เชน กลา วถงึ การประชมุ หรือที่นิยมเรยี กวาพระพุทธโฆสาจารยน ้ี พระอรหนั ต ๑,๒๕๐ รปู คราวจาตรุ งค- เปน บตุ รพราหมณ เกดิ ทห่ี มบู า นหนงึ่ ใกล สันนิบาต วาทาํ วสิ ุทธิอโุ บสถ พทุ ธคยา อันเปน สถานทต่ี รัสรขู องพระ วิสูตร มาน พุทธเจา ในแควนมคธเม่ือประมาณ วิหาร ท่ีอยู, ท่ีอยูของพระสงฆ; ท่ี พ.ศ. ๙๕๖ เรยี นจบไตรเพท มีความ ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู คกู บั โบสถ; การ เช่ียวชาญมาก ตอมาพบกับพระเรวต- พกั ผอ น, การเปน อยหู รอื ดาํ เนนิ ชวี ติ เถระ ไดโตตอบปญ หากนั สูพระเรวต- วิหารธรรม ธรรมเปน เคร่อื งอย,ู ธรรม เถระไมได จึงขอบวชเพื่อเรียนพุทธ ประจําใจ, ธรรมท่ีเปนหลักใจในการ วจนะ มีความสามารถมาก ไดรจนา ดําเนินชีวิต คมั ภีร ญาโณทัย เปนตน พระเรวตเถระ วิหารวตั ถุ พืน้ ท่ปี ลกู กฎุ ี วหิ าร จงึ แนะนาํ ใหไ ปเกาะลงั กา เพอื่ แปลอรรถ วหิ งิ สา การเบียดเบียน, การทํารา ย กถาสงิ หฬ กลบั เปน ภาษามคธ ทานเดิน วหิ งิ สาวติ ก ความตรกึ ในทางเบยี ดเบยี น, ทางไปท่ีมหาวิหาร เกาะลงั กา เม่ือขอ ความคิดในทางทําลายหรือกอความ อนุญาตแปลคัมภีร ถูกพระเถระแหง เดอื ดรอ นแกผ อู น่ื (ขอ ๓ ในอกศุ ลวติ ก ๓) มหาวหิ ารใหค าถามา ๒ บท เพอ่ื แตง วิเหสกกรรม กรรมที่จะพึงกระทําแก ทดสอบความรู พระพุทธโฆสาจารยจ งึ ภิกษุผูทําสงฆใหลําบาก คือ ภิกษุ แตงคําอธิบายคาถาท้ังสองน้ันขึ้นเปน ประพฤติอนาจาร สงฆเรียกตัวมาถาม คัมภีรวิสุทธิมรรค จากน้ันก็ไดรับ นิ่งเฉยเสียไมตอบ เรียกวา เปน ผทู ําสงฆ อนุญาตใหทํางานแปลอรรถกถาไดตาม ใหลําบาก, สงฆยกวิเหสกกรรมขน้ึ คือ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: