วีตกิ กมะ ๓๘๐ วฒุ ิสวดประกาศการทเี่ ธอทาํ ตวั เชน นนั้ ดว ย ภกิ ษุณี, นางสิกขมานาผูสมาทานสิกขา-ญัตติทตุ ยิ กรรม เมอื่ สงฆส วดประกาศ บท ๖ ขอ ต้ังแต ปาณาตปิ าตา เวรมณีแลวเธอยังขืนทําอยางนั้นอยูอีก ยอม ถงึ วกิ าลโภชนา เวรมณี โดยมิไดขาดตอ งอาบตั ิปาจติ ตยี (สิกขาบทที่ ๒ ใน ครบเวลา ๒ ปแลว จงึ มีสทิ ธขิ อวฏุ ฐานภตู คามวรรคที่ ๒); คกู บั อญั ญวาทกกรรม สมมติ เพื่ออปุ สมบทเปนภิกษณุ ีตอไปวีติกกมะ การละเมิดพระพุทธบัญญัติ, วฑุ ฒิ ธรรมเปนเครื่องเจริญ, ธรรมเปน เหตุใหถ ึงความเจรญิ มี ๔ อยางคือ ๑.การทาํ ผิดวนิ ยัวีติกกมกเิ ลส ดู กเิ ลส ๓ ระดับ สปั ปุรสิ สงั เสวะ คบหาสัตบุรุษ ๒. สทั -วีสติวรรค สงฆพวกท่ีกําหนดจํานวน ธมั มสั สวนะ ฟง สทั ธรรม ๓. โยนโิ ส-๒๐ รปู (ทําอัพภานได); ดู วรรค มนสกิ าร ทาํ ในใจโดยแยบคาย ๔. ธมั มา-วฏุ ฐานะ การออก เชน ออกจากฌาน นุธัมมปฏิปตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก ธรรม, เรียกและเขียนเปน วฒุ ิ บางออกจากอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส เปน ตนวุฏฐานคามินี 1. วิปส สนาทใี่ หถ ึงมรรค, วุฑฒธิ รรม บา ง วฒุ ิธรรม บาง, ในบาลีวิปสสนาที่เจริญแกกลาถึงจุดสดุ ยอดทํา เรียกวา ธรรมท่ีเปน ไปเพอ่ื ปญ ญาวฑุ ฒิใหเขา ถงึ มรรค (มรรคช่ือวา วุฏฐานะ หรอื ปญ ญาวฒุ ิ คือเพื่อความเจรญิ แหงโดยความหมายวาเปนที่ออกไปไดจาก ปญ ญาส่ิงที่ยึดติดถือมั่น หรือออกไปพนจาก วฒุ ชน ผเู จรญิ , ผูใหญ, คนท่เี ปนวุฑฒะสงั ขาร), วิปส สนาท่เี ชือ่ มตอใหถ งึ มรรค หรือมีวุฒิ; ดู วฒุ ิ2. “อาบตั ิท่ีใหถ ึงวุฏฐานวิธี” คอื อาบตั ทิ ี่ วุฒบรรพชติ ผบู วชเมอ่ื แกจะพนไดดวยอยูกรรม หมายถึงอาบัติ วฒุ ิ ความเจรญิ , ความงอกงาม, ความเปนสงั ฆาทิเสส; เทยี บ เทสนาคามินี ผใู หญ; ธรรมใหถึงความเจริญ; ดู วฑุ ฒิวุฏฐานวิธี ระเบียบเปนเครื่องออกจาก วุฒิ คอื ความเปนผูใหญ ๓ อยา ง อาบตั ิ หมายถงึ ระเบยี บวธิ ปี ฏบิ ตั สิ าํ หรบั ท่ีนิยมพูดกันในภาษาไทยน้ันมาใน คมั ภีรช้นั อรรถกถาและฎกี า ไดแ ก ๑. ภิกษุผูจะเปลื้องตนจากอาบัติหนักขั้น ชาตวิ ฒุ ิ ความเปน ผูใ หญโ ดยชาติ คือ สงั ฆาทเิ สส, มที งั้ หมด ๔ อยา งคอื ปรวิ าส เกดิ ในชาตกิ ําเนดิ ฐานะอนั สูง ๒. วัยวฒุ ิ มานตั อพั ภานและ ปฏกิ สั สนา ความเปนผูใหญโดยวัย คือเกดิ กอน ๓.วุฏฐานสมมติ มติอนุญาตใหออกจาก คุณวุฒิ ความเปน ผูใหญโดยคุณความดี ความเปนสิกขมานาเพ่ืออุปสมบทเปน
เวชกรรม ๓๘๑ เวทนาหรอื โดยคณุ พเิ ศษที่ไดบรรลุ (ผลสําเรจ็ บคุ คล ๑๐ (สหธรรมกิ ๕ คอื ภกิ ษุทดี่ งี าม) (อนงึ่ ในคมั ภรี ท า นมไิ ดก ลา วถงึ ภกิ ษณุ ี สิกขมานา สามเณร สามเณรี,ภาวะแตกลาวถึงบุคคล คือไมกลาวถึง ปณฑุปลาสคือคนมาอยูวัดเตรียมบวชวฒุ ิ แตก ลา วถึง วุฑฒะ หรือ วฒุ เปน ไวยาวัจกรของตน มารดา บิดา อปุ ฐากชาตวิ ุฒ วัยวุฒ คุณวุฒ; นอกจากน้นั ใน ของมารดาบิดา) ญาติ ๑๐ (พ่ชี าย นองอรรถกถาแหง สตุ ตนบิ าต ทา นแบง เปน ๔, ชาย พห่ี ญงิ นอ งหญงิ นา หญงิ ปา อาโดยเพิ่มปญญาวุฒ ผูใหญโดยปญญา ชาย ลงุ อาหญิง นาชาย; อนุชนมีบุตรเขา มาอกี อยา งหนึ่ง และเรยี งลาํ ดับตาม นดั ดาเปน ตนของญาติเหลา นั้น ๗ ชว่ั ความสําคัญในทางธรรม เมื่อเปลี่ยน เครือสกุล ทานก็จัดรวมเขาในคําวา วุฒ เปน วุฒิ จะไดด งั นี้ ๑. ปญ ญาวุฒิ “ญาติ ๑๐” ดวย) คน ๕ (คนจรมา โจร ๒. คุณวฒุ ิ ๓. ชาตวิ ุฒิ ๔. วัยวุฒิ) คนแพส งคราม คนเปน ใหญ คนทญ่ี าติเวชกรรม “กรรมของหมอ”, “การงานของ ท้ิงจะไปจากถ่ิน) ถาเขาเจ็บปวยเขามาแพทย”, การบาํ บดั โรครักษาคนเจบ็ ไข, วดั พงึ ทาํ ยาใหเขา ทัง้ น้ี มีรายละเอยี ดอาชีพแพทย, การทาํ ตัวเปนหมอปรุงยา ในการที่จะตองระมัดระวังไมใหผิดใชยาแกไขโรครกั ษาคนไข; การประกอบ พลาดหลายอยาง ขอ สําคัญคอื ใหเ ปนเวชกรรม ถือวาเปนมิจฉาชีพสําหรับ การทําดวยเมตตาการุณยแทจริง มิใชพระภิกษุ (เชน ท.ี ส.ี ๙/๒๕/๑๕; ขุ.จู.๓๐/๗๑๓/ หวังลาภ ไมใหเปนการรับใชหรือ๓๖๐) ถงึ แมจ ะไมทาํ เพือ่ การเลี้ยงชพี หรอื ประจบประแจงจะหาลาภ ก็เสี่ยงตออาบัติในขอตติย- เวท, พระเวท ดู ไตรเพทปาราชกิ (วินย.๑/๒๑๕/๑๕๘-๙) หรือไมกเ็ ขา เวทนา ความเสวยอารมณ, ความรสู ึก,ขา ยกลุ ทูสกสกิ ขาบท (สงั ฆาทิเสส ขอ ๑๓, ความรสู กึ สุขทุกข มี ๓ อยา ง คือ ๑. สขุ -วินย.๑/๖๒๔/๔๒๖ เรียกเวชกรรมวา ‘เวชชิกา’) เวทนา ความรสู กึ สขุ สบาย ๒. ทกุ ขเวทนาอยางไรก็ตาม ทานก็ไดเปดโอกาสไว ความรสู กึ ไมส บาย ๓. อทกุ ขมสขุ เวทนาสําหรับการดูแลชวยเหลือกันอันจําเปน ความรูสึกไมส ขุ ไมท ุกข คือ เฉยๆ เรยี กและสมควร ดังท่ีมีขอสรุปในคัมภีรวา อกี อยางวา อเุ บกขาเวทนา; อกี หมวดภิกษไุ มประกอบเวชกรรม แต (มงคล.๑/ หนึ่งจดั เปนเวทนา ๕ คอื ๑. สุข สบาย๑๘๙ สรปุ จาก วินย.อ.๑/๕๗๓-๗) พงึ ทาํ ยาให กาย ๒. ทกุ ข ไมสบายกาย ๓. โสมนัสแกค นทท่ี า นอนุญาต ๒๕ ประเภท คือ สบายใจ ๔. โทมนสั ไมส บายใจ ๕.
เวทนาขันธ ๓๘๒ เวสารัชชกรณธรรม อเุ บกขา เฉยๆ; ในภาษาไทย ใชหมาย หลายท่วั ไปทัง้ หมด ความวา เจบ็ ปวดบา ง สงสารบา ง ก็มี เวภารบรรพต ช่ือภูเขาลูกหน่ึงในภูเขาเวทนาขนั ธ กองเวทนา (ขอ ๒ ในขนั ธ ๕) หา ลกู ทเ่ี รยี กเบญจครี ี อยทู กี่ รงุ ราชคฤหเวทนานปุ สสนา สติตามดูเวทนา คือ เวมานกิ เปรต เปรตอยวู ิมาน ไดเ สวยสขุความรสู กึ สขุ ทุกขและไมสุขไมท กุ ข เปน และทุกขสลับกันไป บางตนขางแรมอารมณโ ดยรเู ทา ทนั วา เวทนานี้ก็สกั วา เสวยทุกข ขา งข้ึนเสวยสขุ บางตนกลางเวทนา ไมใชสัตวบุคคลตัวตนเราเขา คืนเสวยสขุ กลางวนั เสวยทกุ ข เวลา(ขอ ๒ ในสตปิ ฏ ฐาน ๔) เสวยสขุ อยูใ นวมิ าน มรี างเปนทิพยส วยเวทนาปริคคหสูตร ดู ทีฆนขสูตร งาม เวลาจะเสวยทุกขตองออกจากเวทมนตร คําที่เช่ือถือวาศักด์ิสิทธ์ิ วิมานไป และรางกายก็กลายเปนนาบรกิ รรมแลว ใหส ําเรจ็ ความประสงค เกลยี ดนา กลัวเวทัลละ ดูที่ นวงั คสัตถศุ าสน เวยยาวัจจมัย บุญสําเร็จดวยการชวยเวเนยยสัตว ดู เวไนยสตั ว ขวนขวายในกิจที่ชอบ, ทําดีดวยการเวไนยสัตว สัตวผูควรแกก ารแนะนําสงั่ ชว ยเหลอื รบั ใชผ อู ื่น (ขอ ๕ ในบุญ-สอน, สัตวทพ่ี ึงแนะนาํ ได, สตั วท่พี อดัด กิริยาวัตถุ ๑๐); ไวยาวจั มัย ก็เขียน เวร ความแคน เคือง, ความปองรา ยกัน,ไดส อนไดเวปลุ ละ ความไพบลู ย, ความเตม็ เปย ม, ความคดิ รายตอบแกผูทําราย; ในภาษาความเจรญิ เต็มที่ มี ๒ อยาง คอื ๑. ไทยใชอีกความหมายหน่ึงดวยวาคราว,อามสิ เวปลุ ละ อามสิ ไพบลู ย หรอื ความ รอบ, การผลัดกันเปนคราวๆ, ตรงกับไพบูลยแ หง อามสิ หมายถงึ ความมาก วาร หรอื วาระ ในภาษาบาลีมายพรง่ั พรอมดว ยปจจยั ๔ ตลอดจน เวสสภู พระนามของพระพุทธเจาพระวัตถุอํานวยความสุขความสะดวกสบาย องคห น่งึ ในอดตี ; ดู พระพทุ ธเจา ๗ตา งๆ ๒. ธมั มเวปุลละ ธรรมไพบูลย เวสสวณั , เวสสวุ ณั ดู จาตมุ หาราช, จาต-ุหรือความไพบูลยแหงธรรม หมายถึง มหาราชิกา, ปรติ รความเจริญเต็มเปยมเพียบพรอมแหง เวสารัชชกรณธรรม ธรรมทําความกลาธรรม ดว ยการฝกอบรมปลกู ฝงใหม ีใน หาญ, ธรรมเปน เหตใุ หก ลา หาญ, คณุ ธรรมตนจนเต็มบริบูรณ หรือดวยการ ทที่ ําใหเ กดิ ความแกลวกลา มี ๕ อยางประพฤติปฏิบัติกันในสังคมจนแพร คือ ๑. ศรัทธา เช่อื สง่ิ ทีค่ วรเชื่อ ๒. ศีล
เวสารชั ชญาณ ๓๘๓ เวกิ ผามีความประพฤติดีงาม ๓. พาหุสัจจะ ๕ กม., ท่ีตงั้ ของเมอื งเวสาลี อยูเหนอืไดสดับหรือศึกษามาก ๔. วิรยิ ารมั ภะ เมืองปาตลีบุตรนั้นข้ึนไป วัดตรงเปนเพียรทํากิจอยอู ยางจริงจัง ๕. ปญญา รู เสน บรรทดั ประมาณ ๔๓.๕ กม., เวสาลีรอบและรูชดั เจนในส่งิ ท่คี วรรู เปน คําภาษาบาลี เรยี กอยา งสันสกฤตวาเวสารัชชญาณ พระปรีชาญาณอันทําให ไวศาลี หรือ ไพศาลีพระพุทธเจาทรงมีความแกลวกลาไม เวหาสกุฎี โครงที่ตั้งขึ้นในวิหาร ปกคร่ันคราม ดวยไมทรงเห็นวาจะมีใคร เสาตอมอขน้ึ แลว วางรอดบนนน้ั สงู พอทวงพระองคไดโดยชอบธรรมในฐานะ ศีรษะไมก ระทบพ้นื ถา ไมปพู ้นื ขา งบนก็ทัง้ ๔ คือ ๑. ทา นปฏิญญาวาเปน เอาเตียงวางลงไป ใหพืน้ เตยี งคานรอดสัมมาสมั พุทธะ ธรรมเหลา นีท้ า นยงั ไมรู อยู ขาเตยี งหอ ยลงไป ใชอ ยไู ดทัง้ ขางแลว ๒. ทา นปฏิญญาวาเปน ขณี าสพ บนขางลาง ขางบนเรียกวาเวหาสกุฎีอาสวะเหลาน้ีของทานยงั ไมส ิ้นแลว ๓. เปนของตอ งหา มตามสิกขาบทที่ ๘ แหงทานกลาวธรรมเหลาใดวาทําอันตราย ภตู คามวรรค ปาจติ ตียธรรมเหลานั้นไมอาจทําอันตรายแกผู เวฬกุ ณั ฏกนี นั ทมารดาดูนนั ทมารดา1.สอ งเสพไดจ รงิ ๔. ทา นแสดงธรรมเพอื่ เวฬุวะ ผลมะตูมประโยชนอ ยา งใด ประโยชนอยางน้นั ไม เวฬุวคาม ชอื่ ตําบลหนง่ึ ใกลน ครเวสาลีเปนทางนําผูทําตามใหถึงความส้ินทุกข แควนวัชชี เปนท่ีพระพุทธเจาทรงจําโดยชอบไดจริง พรรษาในพรรษาท่ี ๔๕ นับแตไ ดตรัสรูเวสาลี ช่อื นครหลวงของแควนวัชชี ตงั้ คือพรรษาสุดทายที่จะเสด็จปรินิพพาน;อยูบนฝงทิศตะวันออกของแมน้ําคงคา เพฬุวคาม กเ็ รียกสวนที่ปจจุบันเรียกชื่อเปนอีกแมนํา้ หนึ่ง เวฬวุ นั ปา ไผ สวนทปี่ ระพาสพกั ผอ นของตางหากวา แมน าํ้ คันทัก (Gandak) ซึ่ง พระเจา พมิ พสิ าร อยไู มใ กลไ มไกลจากเปนสาขาใหญสาขาหนึ่งของแมนํ้าคงคา พระนครราชคฤห เปนทีร่ มร่ืนสงบเงยี บน้ัน และเมื่อไหลลงมาจากเวสาลีอีก มีทางไปมาสะดวก พระเจาพิมพิสารประมาณ ๔๐ กม. ก็เขา รวมกบั แมน าํ้ ถวายเปนสังฆาราม นับเปนวัดแรกในคงคาทจ่ี ดุ บรรจบ ซง่ึ หา งจากเมอื งปต นะ พระพทุ ธศาสนา(Patna, คือ ปาตลบี ตุ ร ในอดตี ) ไป เวิกผา ในประโยควา “เราจักไมไปในทางตะวันออกเฉียงเหนือเพียงประมาณ ละแวกบา นดว ยทัง้ เวกิ ผา ” เปด สีขา งให
โวการ ๓๘๔ ศตมวารเหน็ เชนถกจีวรขึ้นพาดไวบ นบา แกธรรมจําพวกที่ทําใหเจริญงอกงามดีโวการ “ความแผกผัน”, “ภาวะหลาก ย่ิงข้ึนไปจนปลอดพนจากประดาส่ิงมัวหลาย”, เปนคําท่ีนิยมใชในพระอภิธรรม หมองบริสุทธ์ิบริบูรณ เชน โยนิโส-และคัมภรี อ รรถาธิบาย เชน อรรถกถา มนสกิ าร กุศลมลู สมถะและวปิ สสนาเปนตน ในความหมายวา ความหลาก ตลอดถงึ นพิ พาน; ตรงขา มกบั สงั กิเลสหลายหรือความเปนไปตางๆ แหงขันธ โวหาร ถอยคาํ , สํานวนพูด, ชน้ั เชิง หรอืหรือขันธที่ผันแปรหลากหลายเปนไป กระบวนแตงหนงั สือหรอื พดูตางๆ โดยนยั หมายถึง ขันธ น่ันเอง, ไวพจน คาํ ทมี่ รี ปู ตา งกนั แตม คี วามหมายมกั ใชแ สดงลกั ษณะของ “ภพ” ซง่ึ จาํ แนก คลา ยกัน, คําสําหรบั เรยี กแทนกนั เชนไดเ ปน ๓ ประเภท คอื เอกโวการภพ คําวา มทนิมฺมทโน เปนตน เปน ไวพจนภพทม่ี ขี ันธเ ดยี ว ไดแ ก อสัญญภี พ (มี ของ วริ าคะ คาํ วา วมิ ตุ ติ วิสทุ ธิ สันติรปู ขันธเ ทานัน้ ) จตุโวการภพ ภพทีม่ ีส่ี อสงั ขตะ ววิ ฏั ฏ เปน ตน เปน ไวพจนข องขนั ธ ไดแ ก อรปู ภพ (มแี ตนามขันธ ๔ นพิ พาน ดงั นีเ้ ปน ตนคอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ) ไวยากรณ 1. ระเบยี บของภาษา, วิชาวาปญ จโวการภพ ภพทม่ี หี า ขันธ ไดแ ก ดว ยระเบียบแหง ภาษา 2. พทุ ธพจนที่กามภพ และรปู ภพทน่ี อกจากอสญั ญภี พ เปนขอความรอยแกว คือเปนจุณณยิ -(ในพระสุตตันตปฎก มีเฉพาะนิทเทส บทลวน ไมม คี าถาเลย (ขอ ๓ ในนวงั ค-และปฏิสัมภิทามคั ค เทา นน้ั ท่ีใชค าํ วา สัตถศุ าสน); เทยี บ คาถา 2.; ดู จณุ ณยิ บท ไวยาวัจกร ผทู าํ กิจธรุ ะแทนสงฆ, ผชู วยโวการ หมายถงึ ขันธ)โวฏฐพั พนะ ดู วถิ จี ติ ขวนขวายทาํ กจิ ธรุ ะ, ผชู ว ยเหลอื รบั ใชพ ระโวทาน ความบรสิ ทุ ธ์,ิ ความผอ งแผว , ไวยาวัจจะ การขวนขวายชวยทํากิจธุระ,การชําระลาง, การทําใหสะอาด, ธรรมที่ การชวยเหลือรับใชอยใู นวเิ สสภาค คือในฝายขางวเิ ศษ ได ไวยาวัจมัย ดู เวยยาวจั จมัย ศศตมวาร วาระที่ ๑๐๐, ครัง้ ท่ี ๑๐๐; ใน อุทิศแกผูลวงลับ โดยมีความหมายวา ภาษาไทย นิยมใชในประเพณีทําบุญ วนั ที่ ๑๐๐ หรือวนั ท่ีครบ ๑๐๐ เชน ใน
ศรัทธา ๓๘๕ ศสั ตราขอความวา “บําเพ็ญกุศลศตมวาร”, ทั้ง กวางออกไปแมในพิธีราษฎรท่ีจะจัดใหนี้ มีคาํ ท่มี ักใชในชุดเดยี วกนั อีก ๒ คาํ เปนการใหญคือ สัตมวาร (วนั ท่ี ๗ หรือวันท่ีครบ ศรี ม่ิงขวญั , ราศ,ี อาการท่นี านยิ ม; ดู สิริ๗) และ ปญ ญาสมวาร (วนั ท่ี ๕๐ หรือ ศรีอารยเมตไตรย พระนามของพระวนั ทีค่ รบ ๕๐); อน่ึง “ศตมวาร” (วารท่ี พุทธเจาพระองคหนึง่ ซ่ึงจะอุบัตขิ ้นึ ใน๑๐๐) นี้ เปนคําจากภาษาสันสกฤต ภายหนา หลงั จากสนิ้ ศาสนาพระโคดมแลวตรงกบั คาํ บาลวี า “สตมวาร” ไมพ งึ สบั สน ในคราวทีม่ นุษยมีอายยุ นื ๘๐,๐๐๐ ปกบั “สัตมวาร” (วารท่ี ๗) ท่ีมาจากคําเตม็ นับเปน พระพทุ ธเจาพระองคที่ ๕ แหงในภาษาบาลีวา “สตฺตมวาร” ภัทรกัปนี้, เรียกวา พระศรีอริย-ศรทั ธา ความเชื่อ, ความเชอ่ื ถือ; ดู สัทธา เมตไตรย หรอื เรยี กสน้ั ๆ วา พระศรอี ารยศรัทธาไทย ของที่เขาถวายดวยศรัทธา; บาง, พระนามเดิมในภาษาบาลีวา“ทาํ ศรัทธาไทยใหตกไป” คอื ทาํ ใหของ “เมตเฺ ตยฺย”; ดู พระพุทธเจา ๕ท่ีเขาถวายดวยศรัทธาเส่ือมเสียคุณคา ศกั ดิ์ อาํ นาจ, ความสามารถ, กาํ ลงั , ฐานะหรอื หมดความหมายไป หมายความวา ศักดินา อํานาจปกครองที่นา หมายปฏิบัติตอ ส่ิงท่ีเขาถวายดวยศรัทธา โดย ความวาพระมหากษัตริยพระราชทานไมส มควรแกศ รัทธาของเขา หรือโดยไม พระบรมราชานุญาตใหเ จา นาย และขุนเหน็ ความสาํ คัญแหง ศรทั ธาของเขา เชน นางเปนตน ถอื นาไดมกี าํ หนดจาํ นวนไรภิกษุเอาอาหารบิณฑบาตท่ีเขาถวายโดย เปนเรือนหมื่นเรือนพันตามฐานานุรูปตั้งใจทําบุญ ไปทิ้งเสีย หรือไปใหแก การพระราชทานใหถ ือศักดินาน้นั เปนคฤหัสถโ ดยยงั มิไดฉ นั ดว ยตนเองกอน เคร่ืองเทียบยศและเปนเคร่ืองปรับผูศราทธ การทาํ บญุ ใหแ กญ าติผูลวงลบั ไป ก้ําเกนิ หรือเปน เครอ่ื งปรบั ผถู อื ศกั ดนิ าแลว (ตางจาก สารท) น่นั เอง เมือ่ ทําผดิศราทธพรต พิธีทําบุญอุทิศแกญาติผู ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ มอี าํ นาจ(ศกั ด)ิ์ ใหส าํ เรจ็ (สทิ ธ)ิ์ ,ลวงลบั ไปแลว ; ศราทธพรตคาถา หรือ ขลัง, มีกําลังอํานาจท่ีจะทําใหเปนไปคาถาศราทธพรต หมายถงึ คาถาหมวด อยา งน้นั อยางน้ี หรอื ใหสาํ เร็จผลไดจรงิหน่ึง (มีรอยแกวนําเล็กนอย) ที่พระ ศัพท เสียง, คาํ , คํายากทต่ี อ งแปล, คาํสงฆใ ชสวดรับเทศน ในงานพระราชพธิ ี ยากทีต่ องอธบิ ายเผาศพในประเทศไทย แตบัดน้ีใชกัน ศัสตรา ของมีคมเปนเครอ่ื งแทงฟน
ศสั ตราวุธ ๓๘๖ ศิลปศาสตรศัสตราวุธ อาวธุ มคี มเปน เครอื่ งฟนแทง หมายถึงลัทธิความเชื่อถืออยางหนึ่งๆ(ศสั ตรา = ของมีคมเปน เคร่ืองฟน แทง, พรอ มดว ยหลกั คาํ สอน ลทั ธิ พธิ ี องคก ารอาวธุ = เครอ่ื งประหาร) และกิจการทว่ั ไปของหมูช นผูน บั ถือลัทธิศากยะ ชือ่ กษัตริยพวกหน่งึ ซงึ่ สบื เชื้อ ความเชือ่ ถืออยา งนัน้ ๆ ทงั้ หมดสายมาจากพระเจา โอกกากราช ซ่ึงเปนผู ศาสนปู ถมั ภก ผูทะนุบํารงุ ศาสนาสรางและครองกรงุ กบิลพสั ดุ พระพทุ ธ- ศิลปะ ฝมือ, ความฉลาดในฝมือ, ฝมือเจากเ็ ปนกษัตริยว งศน ี้; ศากยะ เปน คํา ทางการชา ง, การแสดงออกมาใหป รากฏสนั สกฤต เรยี กอยา งบาลเี ปน สกั กะ บา ง, อยา งงดงามนา ชม, วชิ าทใี่ ชฝ ม อื , วชิ าชพีสกั ยะ บา ง, สากยิ ะ บา ง; ศากยะ หรอื ตา งๆสกั กะ น้ี ใชเ ปน คาํ เรยี กชอื่ ถน่ิ หรอื แควน ศลิ ปวทิ ยา ศิลปะและวทิ ยาการของพวกเจาศากยะดวย; ดู สักกชนบท ศิลปศาสตร ตําราวาดวยวิชาความรูศากยกมุ าร กมุ ารวงศศากยะ, เจาชาย ตางๆ มี ๑๘ ประการ เชนตาํ ราวาดว ยวงศศ ากยะ การคํานวณ ตํารายิงธนู เปน ตน อนั ไดศากยราช กษตั ริยศ ากยะ, พระเจา แผน มีการเรียนการสอนกันมาตั้งแตสมัย ดินวงศศ ากยะ กอนพุทธกาล; ๑๘ ประการน้นั มหี ลายศากยวงศ เชือ้ สายพวกศากยะศากยสกุล ตระกูลศากยะ, เหลา กอพวก แบบ ยกมาดแู บบหนง่ึ จากคมั ภรี โ ลกนติ ิ และธรรมนติ ิ ไดแ ก ๑. สตุ ิ ความรทู ั่ว ศากยะ ไป ๒. สมั มุติ ความรูกฎธรรมเนยี ม ๓.ศาสดา ผอู บรมสง่ั สอน, เปน พระนามอยา ง สงั ขยา วิชาคาํ นวณ ๔. โยคา การชาง การยนตร ๕. นีติ วิชาปกครอง (คอื หนึ่งทใี่ ชเ รียกพระพทุ ธเจา ; ปจจุบันใช เรยี กผูต้ังศาสนาโดยท่ัวไป, ในพทุ ธกาล ความหมายเดิมของ นิติศาสตร ใน ชมพูทวีป) ๖. วิเสสิกา ความรูการอนั ให ครทู ้ัง ๖ คือ ปูรณกสั สป มักขลโิ คสาล เกิดมงคล ๗. คนั ธัพพา วิชารองราํ ๘. คณกิ า วิชาบริหารรา งกาย ๙. ธนพุ เพธา อชิตเกสกัมพล ปกธุ กจั จายนะ สญั ชัย- วิชายงิ ธนู (ธนพุ เพทา กว็ า ) ๑๐. ปรู ณา วิชาบูรณะ ๑๑.ติกิจฉา วิชาบาํ บัดโรค เวลฏั ฐบตุ ร และนคิ รนถนาฏบตุ ร ถา เรยี ก (แพทยศาสตร) ๑๒. อติ หิ าสา ตํานาน หรอื ประวัตศิ าสตร ๑๓. โชติ ความรู ตามบาลี กเ็ ปน ศาสดา ๖ศาสตร ตาํ รา, วิชาศาสนทตู ดู โมคคัลลบี ุตรติสสเถระศาสนา คําสอน, คาํ สง่ั สอน; ปจจุบนั ใช
ศิลาดวด ๓๘๗ ศลี ๘เรอ่ื งสงิ่ สอ งสวา งในทอ งฟา (ดาราศาสตร) ศีล ความประพฤติดีทางกายและวาจา,๑๔.มายา ตาํ ราพชิ ยั สงคราม ๑๕.ฉนั ทสา การรกั ษากายและวาจาใหเรยี บรอ ย, ขอวชิ าประพนั ธ ๑๖.เกตุ วชิ าพดู ๑๗.มนั ตา ปฏิบัติสําหรับควบคุมกายและวาจาใหวิชาเวทมนตร ๑๘. สัททา วิชาหลัก ตงั้ อยใู นความดงี าม, การรกั ษาปกตติ ามภาษาหรือไวยากรณ, ท้งั ๑๘ อยางนี้ ระเบยี บวนิ ยั , ปกตมิ ารยาททป่ี ราศจากโบราณเรียกรวมวา สิปปะ หรอื ศลิ ปะ โทษ, ขอปฏิบัติในการฝกหัดกายวาจาไทยแปลออกเปน ศิลปศาสตร (ตําราวา ใหดียิ่งขึ้น, ความสุจริตทางกายวาจาดวยศลิ ปะตางๆ); แตใ นสมยั ปจ จบุ นั ได และอาชพี ; มักใชเ ปนคาํ เรียกอยา งงายแยกความหมาย ศลิ ปะ กบั ศาสตร ออก สาํ หรับคําวา อธิศีลสกิ ขา (ขอ ๑ ในไตรจากกัน คอื ศลิ ปะ หมายถึง วิทยาการที่ สิกขา, ขอ ๒ ในบารมี ๑๐, ขอ ๒ ในมวี ตั ถปุ ระสงคต รงความงาม เชน ดรุ ยิ างค- อริยทรพั ย ๗, ขอ ๒ ในอรยิ วัฑฒิ ๕)ศิลป นาฏศลิ ป และจติ รกรรม เปน ตน ศลี ๕ สําหรับทุกคน คอื ๑. เวน จากศาสตร หมายถงึ วทิ ยาการทมี่ วี ตั ถปุ ระสงค ทาํ ลายชวี ิต ๒. เวน จากถือเอาของที่เขาตรงความจรงิ เชน คณติ ศาสตร และ มไิ ดใ ห ๓. เวนจากประพฤติผดิ ในกามวิทยาศาสตร เปน ตน ๔. เวน จากพดู เทจ็ ๕. เวน จากของเมาศลิ าดวด หินที่สูงขึน้ ไปบนพืน้ ดิน คือสุราเมรัยอันเปนที่ตั้งแหงความศิลาดาด หนิ ทีเ่ ปนแผนราบใหญ ประมาท; คาํ สมาทานวา ๑. ปาณาตปิ าตาศิลาเทอื ก หนิ ท่ตี ดิ เปน พดื ยาว เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ ๒. อทินฺ-ศลิ าวดี ชอื่ นครหน่งึ ในสกั กชนบท นาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิศิวาราตรี พิธีลอยบาปของพราหมณทํา ๓. กาเมสุมจิ ฉาจารา เวรมณี สิกขฺ าปทํในวันเพญ็ เดอื น ๓ เปนประจําป วิธที ํา สมาทยิ ามิ ๔. มสุ าวาทา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํคอื ลงอาบน้ําในแมน าํ้ สระเกลา ชําระ สมาทยิ ามิ ๕.สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏ านากายใหสะอาดหมดจด เทานี้ถือวาได เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ าม;ิ ดู อาราธนาลอยบาปไปตามกระแสน้ําแลวเปนอัน ศีล ดว ยสิ้นบาปกันคราวหนึง่ ถงึ ปก็ทาํ ใหม (คาํ ศลี ๘ สําหรับฝกตนใหย ิ่งขน้ึ ไปโดยรักษาสันสกฤตเดิมเปน ศิวราตริ แปลวา ในบางโอกาส หรือมีศรัทธาจะรักษา“ราตรีของพระศิวะ” พจนานุกรม ประจาํ ใจกไ็ ด เชน แมช มี กั รกั ษาประจาํสนั สกฤตวา ตรงกบั แรม ๑๔ คา่ํ เดอื น ๓) หวั ขอ เหมอื นศลี ๕ แตเ ปลยี่ นขอ ๓
ศลี ๑๐ ๓๘๘ ศลี วตั ร,ศีลพรตและเตมิ ขอ ๖, ๗, ๘ คอื ๓. เวน จากการ สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ๙. อุจฺจาสยน-ประพฤตผิ ดิ พรหมจรรย คอื เวน จากการ มหาสยนา เวรมณี สิกขฺ าปทํ สมาทยิ ามิรว มประเวณี ๖. เวน จากบรโิ ภคอาหารใน ๑๐. ชาตรูปรชตปฏิคฺคหณา เวรมณีเวลาวกิ าล คอื เทย่ี งแลว ไป ๗. เวน จาก สิกขฺ าปทํ สมาทยิ าม;ิ ดู อาราธนาศีลการฟอ นราํ ขบั รอ ง บรรเลงดนตรี ดกู าร ศลี ๒๒๗ ศลี สาํ หรบั พระภกิ ษุ มใี นภกิ ข-ุเลน อนั เปน ขา ศกึ ตอ พรหมจรรย การทดั ปาฏิโมกขทรงดอกไม ของหอมและเคร่ืองลูบไล ศีล ๓๑๑ ศีลสําหรับพระภิกษณุ ี มใี นซงึ่ ใชเ ปน เครอ่ื งประดบั ตกแตง ๘. เวน ภกิ ขุนีปาฏโิ มกขจากที่นอนอันสูงใหญหรูหราฟุมเฟอย; ศีลธรรม ความประพฤตทิ ่ดี ีงามทางกายคาํ สมาทาน (เฉพาะทต่ี า งจากศลี ๕) วา วาจา, ความประพฤตทิ ี่ดีท่ชี อบ, ความ๓. อพฺรหมฺ จริยา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมา- สจุ ริตทางกายวาจาและอาชีวะ; โดยทางทยิ ามิ ๖. วกิ าลโภชนา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ ศัพท ศลี ธรรม แปลวา “ธรรมคอื ศลี ”สมาทยิ ามิ ๗. นจจฺ คตี วาทติ วสิ กู ทสสฺ น- หมายถงึ ธรรมข้นั ศีล หรอื ธรรมในระดับมาลาคนธฺ วเิลปนธารณมณฑฺ นวภิ สู นฏ านา ศีล เพราะศีลเปนธรรมอยางหนึ่ง ในเวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ ามิ ๘. อจุ จฺ าสยน- บรรดาธรรมภาคปฏิบัติ ๓ อยา งคือ ศลีมหาสยนา เวรมณี สกิ ขฺ าปทํ สมาทยิ าม;ิ ดู สมาธิ และปญญา ดังน้นั ตอจากธรรมอาราธนาศลี ข้ันศลี จึงมีธรรมขั้นสมาธิ และธรรมขัน้ศลี ๑๐ สาํ หรบั สามเณร แตผ ใู ดศรัทธาจะ ปญญา; ไดม ีผพู ยายามแปล ศีลธรรมรกั ษากไ็ ด หวั ขอ เหมอื นศลี ๘ แตแ ยกขอ อีกอยางหนง่ึ วา “ศีลและธรรม” (ถา แปล๗ เปน ๒ ขอ (= ๗, ๘) เลอ่ื นขอ ๘ เปน ใหถูกตองจริงตองวาศีลและธรรมอ่ืนๆ๙ และเตมิ ขอ ๑๐ คือ ๗. เวนจากฟอน คือศลี และธรรมอนื่ ๆ นอกจากศีล เชนรํา ขบั รอ ง ฯลฯ ๘. เวนจากการทัดทรง สมาธิ และปญ ญา เปน ตน เพราะศลี ก็ดอกไม ฯลฯ ๙. เวนจากท่นี อนอนั สงู เปน ธรรรมอยา งหนงึ่ ) ถาแปลอยางน้ี จะใหญ ฯลฯ ๑๐. เวน จากการรบั ทองและ ตองเขาใจวาศีลธรรม มิใชเปนเพียงเงิน; คาํ สมาทาน (เฉพาะท่ตี า ง) วา ๗. ความประพฤตดิ ีงามเทาน้ัน แตรวมถึงนจจฺ คตี วาทติ วสิ กู ทสสฺ นา เวรมณี สกิ ขฺ า- สมถะวิปส สนา ขนั ธ ๕ ปฏจิ จสมปุ บาทปทํ สมาทิยามิ ๘. มาลาคนฺธวิเลปน- ไตรลกั ษณ เปน ตน ดว ย; เทียบ จรยิ ธรรมธารณมณฺฑนวิภูสนฏานา เวรมณี ศีลวตั ร, ศลี พรต ศลี และวตั ร, ศลี และ
ศีลวิบตั ิ ๓๘๙ สกทาคามิมรรคพรต, ขอท่ีจะตองสํารวมระวังไมลวง ขางขนึ้ ; ชณุ หปกษ กเ็ รยี ก; ตรงขา มกบัละเมิด ชอื่ วา ศลี ขอท่ีพึงถือปฏิบัติชอ่ื กัณหปกษ หรอื กาฬปก ษวา วัตร, หลกั ความประพฤติท่ัวไปอัน ศุภวารฤกษ ฤกษง ามยามดีจะตอ งรกั ษาเปนพื้นฐานเสมอกัน ชื่อวา ศูทร ชื่อวรรณะที่ส่ี ในวรรณะสขี่ องคนศีล ขอปฏิบัติพิเศษเพ่ือฝกฝนตนใหยิ่ง ในชมพูทวปี ตามหลกั ศาสนาพราหมณข้นึ ไป ชอ่ื วา วัตร จัดเปนชนชั้นต่ํา ไดแ ก พวกทาสและศลี วิบตั ิ ดู สลี วิบัติ กรรมกร; ดู วรรณะศีลอโุ บสถ คอื ศีล ๘ ท่สี มาทานรักษา เศวต สขี าวพิเศษในวนั อโุ บสถ; ดู อโุ บสถศลี เศวตฉตั ร ฉัตรขาว, รม ขาว, พระกลดศลี าจาร ศีลและอาจาระ, การปฏิบัตติ าม ขาวซ่งึ นับวา เปน ของสูงพระวินัยบัญญัติ และมารยาทท่ัวไป; เศวตอัสดร มา สีขาวนยั หนงึ่ วา ศลี คือไมตอ งอาบตั ิปาราชิก โศก ความเศรา, ความมีใจหมนไหม,และสังฆาทิเสส อาจาระ คือไมตอง ความแหงใจ, ความรูสึกหมองไหมใจอาบตั ิเบาตั้งแตถุลลัจจัยลงมา แหงผาก เพราะประสบความพลดั พรากศึกษา การเรียน, การฝก ฝนปฏิบตั ิ, การ หรือสูญเสียอยางใดอยางหนึ่ง (บาลี:เลาเรียนใหรูเขาใจ และฝกหัดปฏบิ ัติให โสก; สนั สกฤต: โศก)เปนคุณสมบัติที่เกิดมีข้ึนในตนหรือให โศกศัลย ลกู ศรคือความโศก, เปน ทกุ ขทาํ ไดท าํ เปน ตลอดจนแกไ ขปรบั ปรงุ หรอื เดอื ดรอ นเหมอื นถกู ลูกศรทิม่ แทงพัฒนาใหดีย่ิงข้ึนไปจนกวาจะสมบูรณ; โศกาลัย ความเศราเหี่ยวแหงใจและ ในการศึกษาทางพระธรรมวนิ ยั นิยมใช ความหว งใย, ทง้ั โศกเศราท้งั อาลัยหรือ รูปที่เขยี นอยา งบาลี คอื “สกิ ขา”; ดู สกิ ขา โศกเศรา ดวยอาลัย, รอ งไหส ะอึกสะอน้ืศุกลปก ษ “ฝายขาว, ฝายสวาง” หมายถงึ (เปนคํากวไี ทยผกู ข้ึน) สสกทาคามิผล ผลที่ไดรับจากการละ สบื เนือ่ งมาแตส กทาคามิมรรค, สกทิ า- สกั กายทฏิ ฐิ วิจกิ ิจฉา สีลพั พตปรามาส คามผิ ล กเ็ ขียน กบั ทํา ราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบาง ซึ่ง สกทาคามิมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุ
สกทาคามี ๓๙๐ สงสารทุกขผล คอื ความเปน พระสกทาคาม,ี ญาณ แหงภิกษุหรือชุมนุมภิกษุ (ดูความคือความรูเปนเหตลุ ะสังโยชนได ๓ คือ หมาย 2), ตอ มา บางทเี รยี กอยา งแรกสกั กายทิฏฐิ วจิ กิ ิจฉา สีลพั พตปรามาส วา อรยิ สงฆ อยางหลังวา สมมติสงฆกบั ทาํ ราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางลง, 2. ชุมนมุ ภิกษหุ มหู นง่ึ ต้ังแต ๔ รปู ข้นึสกทิ าคามิมรรค กเ็ ขยี น ไป ซ่ึงสามารถประกอบสังฆกรรมไดสกทาคามี พระอริยบุคคลผูไดบรรลุ ตามกําหนดทางพระวินัย ตา งโดยเปนสกทาคามิผล, สกิทาคามี กเ็ ขยี น สงฆจ ตรุ วรรคบา ง ปญ จวรรคบาง ทศ-สกสัญญา ความสําคัญวาเปนของตน, วรรคบา ง วสี ติวรรคบา ง, ถา เปนชมุ นุม ภิกษุ ๒ หรอื ๓ รปู เรียกวา คณะ ถามีนึกวาเปน ของตนเองสกุล วงศ, เชอ้ื สาย, เผา พันธุ ภิกษรุ ปู เดียว เปน บุคคลสงกรานต การยาย คือ ดวงอาทติ ยยา ย สงฆจ ตุรวรรค สงฆพวก ๔ คอื มีภกิ ษุราศี ในท่ีน้ีหมายถึงมหาสงกรานตคือ ๔ รูปขึ้นไปจึงจะครบองคกาํ หนด, สงฆพระอาทติ ยย า ยเขา สรู าศเี มษ นบั เปน เวลา จตุวรรค ก็เขียน; ดู วรรคข้ึนปใหมอยางเกา จัดเปนนักขัตฤกษ สงฆท ศวรรค สงฆพ วก ๑๐ คอื มภี กิ ษุซึ่งตามสุริยคตติ กวนั ท่ี ๑๓, ๑๔, ๑๕ ๑๐ รปู ขึน้ ไป จึงจะครบองคกาํ หนด; ดูเมษายน ตามปรกติ วรรคสงคราม การรบกัน, เปนโวหารทางพระ สงฆมณฑล ดู สังฆมณฑลวินัย เรียกภิกษุผูจะเขาสูการวินิจฉัย สงฆว ีสตวิ รรค สงฆพวก ๒๐ คือ มีอธิกรณ วา เขา สสู งคราม ภกิ ษุ ๒๐ รปู ขน้ึ ไป จงึ จะครบองคก าํ หนด;สงเคราะห 1. การชว ยเหลอื , การเอ้อื ดู วรรคเฟอเกือ้ กลู ; ดู สงั คหวัตถุ 2. การรวม สงสาร 1. การเวยี นวายตายเกดิ , การ เวียนตายเวียนเกดิ ; ดู สงั สาระ 2. ในเขา , ยน เขา, จัดเขาสงฆ หม,ู ชมุ นุม 1. หมูสาวกของพระ ภาษาไทยมกั หมายถึงรูสึกในความเดอื ดพุทธเจา เรียกวา สาวกสงฆ ดังคาํ สวด รอนหรอื ความทุกขของผูอ ืน่ (= กรณุ า);ในสังฆคุณ ประกอบดวยคูบุรุษ ๔ ดู กรุณาบุรุษบทุ คล (รายตวั บคุ คล) ๘ เริ่มแต สงสารทกุ ข ทกุ ขท ต่ี อ งเวยี นวา ยตายเกดิ ,ทานผูต้ังอยูในโสดาปตติมรรค จนถึง ทุกขท่ีประสบในภาวะแหงการวายวนอยูพระอรหันต ตางจากภกิ ขสุ งฆ คือหมู ในกระแสแหง กเิ ลส กรรม และวบิ าก; ดู
สงสารวัฏ, สงสารวัฏฏ ๓๙๑ สตปิ ฏฐาน สังสาระ, สงั สารวัฏ, ปฏจิ จสมปุ บาท สติ ความระลึกได, นึกได, ความไมสงสารวัฏ, สงสารวัฏฏ วังวนแหง เผลอ, การคมุ ใจไวก บั กจิ หรอื กมุ จิตไวสงสาร คอื ทองเทีย่ วเวยี นวา ยตายเกดิ กับส่ิงท่ีเก่ียวของ, จําการที่ทําและคําที่อยูซํ้าแลวซ้ําเลา; ดู สงั สาระ, สังสารวฏั พูดแลว แมนานได (ขอ ๑ ในธรรมมีสงสารสาคร หวงนํ้าคือการเวียนวาย อปุ การะมาก ๒, ขอ ๙ ในนาถกรณ-ตายเกดิ ; ดู สังสาระ, สงั สารวฏั ธรรม ๑๐, ขอ ๓ ในพละ ๕, ขอ ๑ ในสงสารสทุ ธิ ดู สงั สารสุทธิ โพชฌงค ๗, ขอ ๖ ในสัทธรรม ๗)สจิตตกะ มีเจตนา, เปนไปโดยต้ังใจ, สติปฏ ฐาน ธรรมเปน ท่ีตัง้ แหง สต,ิ ขอเปนชื่อของอาบัติพวกหนึ่งที่เกิดข้ึนโดย ปฏิบัติมีสติเปนประธาน, การต้ังสติสมุฏฐานมเี จตนา คือ ตอ งจงใจทาํ จึงจะ กําหนดพิจารณาส่ิงท้ังหลายใหรูเห็นเทาตองอาบัติน้ัน เชน ภิกษหุ ลอนภิกษุให ทนั ตามความเปน จรงิ , การมสี ตกิ าํ กับดูกลวั ผี ตองปาจติ ตยี ขอ นเ้ี ปน สจติ ตกะ สิง่ ตา งๆ และความเปน ไปทง้ั หลาย โดยคือ ต้ังใจหลอกจึงตองปาจิตตยี แตถ า รูเทา ทันตามสภาวะของมัน ไมถกู ครอบไมไ ดต งั้ ใจจะหลอก ไมต อ งอาบตั ิ งําดวยความยินดียินราย ท่ีทําใหมองสญชัย ดู สัญชยั เหน็ เพยี้ นไปตามอาํ นาจกเิ ลส มี ๔ อยา งสดับปกรณ “เจ็ดคมั ภีร” หมายถึงคัมภรี คอื ๑. กายานุปส สนา สตปิ ฏ ฐาน การพระอภธิ รรมทง้ั ๗ ในพระอภธิ รรมปฎ ก ต้ังสติกําหนดพิจารณากาย, การมีสติเขยี นเตม็ วา สตั ตปั ปกรณ (ดู ไตรปฎ ก) กํากับดูรูเทาทันกายและเรื่องทางกายแตในภาษาไทยคําน้ีมีความหมายกรอน ๒. เวทนานปุ ส สนา สตปิ ฏ ฐาน การต้ังลงมา เปนคําสําหรับใชในพิธีกรรม สติกําหนดพิจารณาเวทนา, การมีสติ กาํ กบั ดรู เู ทา ทนั เวทนา ๓. จติ ตานปุ ส สนาเรียกกิริยาที่พระภิกษุกลาวคําพิจารณา สตปิ ฏ ฐาน การตง้ั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาจติ ,สังขารเมื่อจะชักผาบังสุกุลในพิธีศพเจา การมีสติกํากับดูรูเทาทันจิตหรือสภาพนายวา สดับปกรณ ตรงกับท่ีเรยี กใน และอาการของจิต ๔. ธมั มานปุ สสนาพธิ ศี พทัว่ ๆ ไปวา บังสุกลุ (ซง่ึ ก็เปน สติปฏฐาน การต้ังสติกําหนดพิจารณาศัพทท่ีมีความหมายกรอ นเชน เดียวกัน);ใชเ ปน คํานาม หมายถงึ พิธีสวดมาตกิ า ธรรม, การมีสติกํากับดูรูเทาทันธรรม;บงั สุกลุ ในงานศพ ปจจุบันใชเ ฉพาะศพ เรยี กสน้ั ๆ วา กาย เวทนา จติ ธรรม; ดูเจา นาย โพธปิ ก ขิยธรรม
สติวินัย ๓๙๒ สนธิสติวินัย ระเบียบยกเอาสติข้ึนเปนหลัก สูงขึน้ ไดแกกิริยาท่ีสงฆสวดประกาศใหสมมติ สถาพร มัน่ คง, ยั่งยืน, ยนื ยง แกพ ระอรหันต วา เปนผมู สี ตเิ ตม็ ที่ เพือ่ สถติ อยู, ยนื อย,ู ตัง้ อยู ระงบั อนุวาทาธิกรณ ท่ีมีผโู จททา นดวย สถูป ส่ิงกอสรางซึ่งกอไวสําหรับบรรจุศีลวิบัติ หมายความวาจําเลยเปนพระ ของควรบูชา เปนอนุสรณท ่ีเตอื นใจใหอรหนั ต สงฆเ หน็ วาไมเ ปน ฐานะที่จําเลย เกิดปสาทะและกุศลธรรมอื่นๆ เชนจะทําการลวงละเมิดดังโจทกกลาวหา พระสารรี กิ ธาตุ อฐั ิแหง พระสาวก หรือจึงสวดกรรมวาจาประกาศความขอนี้ไว กระดูกแหง บุคคลท่ีนับถือ (บาลี: ถปู ,เรียกวาใหสติวินัย แลวยกฟองของ สันสกฤต: สฺตปู ); ดู ถูปารหบคุ คลโจทกเสีย ภายหลังจําเลยจะถูกผูอ่ืน สทารสันโดษ ความพอใจดวยภรรยาโจทดวยอาบัติอยางน้ันอีก ก็ไมตอง ของตน, ความยินดีเฉพาะภรรยาของ พิจารณา ใหอ ธกิ รณร ะงบั ดว ยสตวิ นิ ยั ตน (ขอ ๓ ในเบญจธรรม), จัดเปนสติสงั วร สงั วรดวยสติ (ขอ ๒ ในสงั วร พรหมจรรยอยา งหนึง่ ๕) สนตพาย รอยเชือกสําหรับรอยจมูกสติสมฺโมสา อาการท่ีจะตองอาบัติดวย ควาย ท่จี มูกควาย (สน = รอย, ตพายลืมสติ = เชอื กทรี่ อยจมกู ควาย) (พจนานุกรมสตูป สิ่งกอสรางสําหรับบรรจุของควร เขียน สนตะพาย)บชู า นยิ มเรียก สถปู สนธิ การตออักษรท่ีอยูในตางคํา ใหสเตกิจฉา อาบัติท่ียังพอเยียวยาหรอื แก เนอื่ งหรือกลนื เขา เปน อนั เดียวกนั ตามไขได ไดแก อาบัติอยางกลางและอยา ง หลักไวยากรณแบบบาลีหรือสันสกฤตเบา คือตั้งแตสังฆาทิเสสลงมา; คูกับ เชน โย + อยํ = ยวฺ ายํ, ตตฺร + อยํ +อเตกจิ ฉา อตโฺ ถ = ตตรฺ ายมตโฺ ถ, อยํ + เอว + เอสสโตการี “ผมู ปี กตกิ ระทาํ สต”ิ คือ เปน ผู + อติ ิ = อยเมเวสาต;ิ แมแตค าํ ที่เอามามีสติ เปนผูทําการอันพึงทํา ดวยสติ รวมกันดวยสมาสแลว ก็อาจจะใชวิธี หรือเปนผูทําการดวยสติที่มาพรอมดวย สนธิน้ีเช่ือมอักษรเขาดวยกันอีกช้ันหน่ึง สมั ปชัญญะทง้ั ๔; ดู สติ, สัมปชญั ญะ เชน คณุ อากร เปน คุณากร, รปู อารมณสถลมารค ทางบก เปน รปู ารมณ, ศาสนอปุ ถมั ภ เปนสถาปนา กอสราง, ยกยอ งโดยแตงตง้ั ให ศาสนูปถมั ภ, วรโอกาส เปน วโรกาส,
สนาน ๓๙๓ สมณะพุทธโอวาท เปน พุทโธวาท, อรุณอุทยั สภาค มีสวนเสมอกนั , เทากัน, ถูกกนั ,เปน อรุโณทัย; เทยี บ สมาส เขากันได, พวกเดยี วกนัสนาน อาบน้ํา, การอาบนํ้า สภาคาบตั ิ ตองอาบัตอิ ยางเดียวกันสนิทัสสนรปู ดูท่ี อนิทัสสนอปั ปฏฆิ รปู , สภาพ, สภาวะ ความเปนเอง, ส่งิ ทีเ่ ปนรูป ๒๘ เอง, ธรรมดาสนทิ สั สนสัปปฏฆิ รปู ดูท่ี รูป ๒๘ สภาวทุกข ทุกขที่เปนเองตามคติแหงสบง ผานุงของภิกษุสามเณร, คําเดิม ธรรมดา ไดแ ก ทกุ ขป ระจาํ สงั ขาร คอืเรียก อันตรวาสก; ดู ไตรจีวร ชาติ ชรา มรณะสปทาจาริกังคะ องคแหงผูถือเท่ียว สภาวธรรม หลักแหงความเปน เอง, ส่ิงบิณฑบาตไปตามลําดบั บานเปน วตั ร คอื ทเ่ี ปน เองตามธรรมดาของเหตุปจ จัยรับตามลาํ ดบั บา นตามแถวเดยี วกนั ไม สภยิ ะ พระเถระผใู หญชนั้ มหาสาวก เคยรับขา มบานขามแถว, เท่ียวบณิ ฑบาตไป เปน ปรพิ าชกมากอ น ไดฟงพระพทุ ธเจาตามตรอก ตามหองแถวเรียงลําดับ พยากรณปญหาที่ตนถาม มีความเรื่อยไปเปนแนวเดียวกัน ไมขามไป เลือ่ มใส ขอบวช หลังจากบวชแลวไมชาเลือกรบั ท่โี นน ท่นี ่ีตามใจชอบ (ขอ ๔ ใน กไ็ ดบ รรลุพระอรหตัธดุ งค ๑๓) สโภชนสกลุ สกลุ ทกี่ าํ ลงั บรโิ ภคอาหารอย,ูสปณฑะ ผูรวมกอนขาว, พวกพราหมณ ครอบครวั ทกี่ าํ ลงั บรโิ ภคอาหารอยู (หา มหมายเอาบรุ พบดิ ร ๓ ชั้น คือ บิดา, ป,ู มใิ หภ กิ ษเุ ขา ไปนง่ั แทรกแซง ตามสกิ ขาบททวด ซ่ึงเปนผูควรท่ีลูกหลานเหลนจะ ท่ี ๓ แหงอเจลกวรรค ปาจติ ติยกัณฑ)เซนดว ยกอ นขา ว; คกู บั สมาโนทก สมจารี ผูประพฤตสิ มํา่ เสมอ, ประพฤติสพรหมจารี ผปู ระพฤตพิ รหมจรรยร ว ม ถูกตอ งเหมาะสม; คกู บั ธรรมจารีกนั , เพ่ือนพรหมจรรย, เพ่ือนบรรพชิต, สมโจร เปน ใจกับโจร สมชีวิตา มีความเปนอยูพอเหมาะพอดีเพ่อื นนักบวชสภา “ที่เปนที่พูดรวมกัน”, ท่ีประชุม, คือเลี้ยงชีวิตตามสมควรแกกําลังทรัพยสถาบันหรือองคการอันประกอบดวย ท่หี าได ไมฝ ดเคอื งนัก ไมฟูมฟายนกัคณะบุคคลซึ่งทําหนาที่พิจารณาวินิจฉัย (ขอ ๔ ในทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิก-หรืออํานวยกิจการ ดวยการประชุม ธรรม ๔)ปรกึ ษาหารอื ออกความคดิ เห็นรว มกัน สมณะ “ผสู งบ” หมายถึงนกั บวชท่วั ไป
สมณกุตก ๓๙๔ สมณุทเทส, สมณุเทศแตในพระพุทธศาสนา ทานใหความ สมณสารูป ความประพฤติอันสมควรหมายจําเพาะ หมายถงึ ผรู ะงับบาป ได ของสมณะแกพระอริยบุคคล และผูปฏิบัติเพ่ือ สมณทุ เทส, สมณุเทศ สามเณรระงับบาป ไดแ กผ ปู ฏิบตั ธิ รรมเพอ่ื เปน สมดงึ ส-, สมติงส- สามสิบถวน, ครบพระอริยบุคคล สามสิบ, สามสิบเตม็ พอดี (สม [เทา ,สมณกตุ ก คนทท่ี าํ อยา งสมณะ, คนแตง ตวั ถวน, พอด]ี + ตึส [สามสบิ ]) มักมาในอยา งพระ อรรถกถาบอกวา (วนิ ย.อ.๑/๔๘๙) คําวา สมดึงสบารมี หรือสมตงิ สบารมีโกนศีรษะไวจ กุ ใชผ ากาสาวพสั ตร ผืน แปลวา บารมี ๓๐ ครบถวนหนง่ึ นุง อกี ผนื หนึง่ พาดบา อาศัยวดั อยู ในภาษาเกาท่ีมักพูดวา “บารมีกนิ อาหารเหลอื จากพระ (ทาํ นองเปน ตา สามสบิ ทัศ” นนั้ ไดใหถอื กันไปพลางวา เถน, เขยี นเตม็ อยา งบาลวี าสมณกตุ ตก) “ทศั ” แปลวา “ถว น” แตพ อจะสนั นษิ ฐานสมณคณุ คณุ ธรรมของสมณะ, ความดที ่ี ไดว า นาจะเปนการพูดคาํ ซอ น กลา วคือสมณะควรมี “สบิ ” ในภาษาไทย ตรงกบั คาํ พระวา “ทศั ”สมณโคดม คําที่คนทั่วไปหรือคนภาย (ทศั คอื ทศ, บาลเี ปน ทส, แปลวา สบิ ) นอกพระศาสนา นยิ มใชเ รยี กพระพทุ ธเจา และบารมที ม่ี จี าํ นวนรวมเปน ๓๐ นน้ัสมณพราหมณ สมณะและพราหมณ แทจ รงิ แลว มใิ ชว า มบี ารมี ๓๐ อยา ง แต(เคยมีการสันนิษฐานวาอาจแปลไดอีก เปน บารมสี บิ คอื ทศั ๓ ชดุ ไดแ ก ทศั -อยางหนงึ่ วา พราหมณผ เู ปน สมณะหรอื บารมี ทศั อปุ บารมี และทศั ปรมตั ถบารมีพราหมณผถู อื บวช แตหลกั ฐานไมเออ้ื ) เมอ่ื พดู วา “บารมสี ามสบิ ทศั ” จงึ คลา ยสมณวัตต ดู สมณวตั ร กบั บอกวา บารมสี ามสบิ นี้ ทวี่ า ๓๐ นนั้สมณวตั ร หนา ทข่ี องสมณะ, กิจท่ีพึงทาํ คอื ๓ ทศั (ขอใหส งั เกตตวั อยา งขอ ความของสมณะ, ขอปฏบิ ัตขิ องสมณะ ในคมั ภรี ท ก่ี ลา วถงึ “สมดงึ สบารม”ี คอืสมณวสิ ยั วสิ ัยของสมณะ, ลกั ษณะที่ บารมี ๓ ทศั เชน ใน อป.อ.๑/๑๒๓ ทวี่ าเปนอยูของสมณะ, ลักษณะท่ีเปนอยู “ทสปารมที สอปุ ปารมที สปรมตถฺ ปารมนี ํ วเสน สมตสึ ปารม”ี ซง่ึ เหมอื นในภาษาของผสู งบสมณสัญญา ความสาํ คัญวาเปนสมณะ, ไทยพดู วา “บารมี ๓๐ ถว น คอื ๓ ทศั …”);ความกําหนดใจไววาตนเปนสมณะ, ดูบารมีความสํานกึ ในความเปน สมณะของตน สมณทุ เทส, สมณเุ ทศ สามเณร
สมเดจ็ ๓๙๕ สมผุสสมเดจ็ เปนคํายกยอ ง หมายความวาย่งิ นิพพาน 2. ความครบถว นของสังฆ-ใหญ หรอื ประเสริฐ กรรม เชน อุปสมบท เปน ตน ที่จะทาํสมถะ ธรรมเปนเคร่ืองสงบระงับจิต, ใหสังฆกรรมนั้นถูกตอง ใชได มีผลธรรมยังจิตใหสงบระงับจากนิวรณูป- สมบรู ณ มี ๔ คอื ๑. วตั ถุสมบตั ิ วตั ถุ กเิ ลส, การฝก จิตใหส งบเปน สมาธิ (ขอ ถงึ พรอม เชน ผอู ปุ สมบทเปน ชายอายุ ครบ ๒๐ ป ๒. ปรสิ สมบตั ิ บรษิ ทั คือที่ ๑ ในกรรมฐาน ๒ หรอื ภาวนา ๒)สมถกัมมัฏฐาน กรรมฐานคือสมถะ, ประชมุ ถงึ พรอ ม สงฆค รบองคก าํ หนด งานฝกจิตใหสงบ;ดูกมั มฏั ฐาน, สมถะ ๓. สมี าสมบัติ เขตชมุ นมุ ถงึ พรอม เชนสมถขนั ธกะ ชอ่ื ขนั ธกะที่ ๔ แหง จลุ วรรค สีมามีนิมิตถูกตองตามพระวินัย และ ในพระวนิ ยั ปฎ ก วา ดว ยวธิ รี ะงบั อธกิ รณ ประชุมทําในเขตสีมา ๔. กรรมวาจา-สมถภาวนา การเจริญสมถกัมมัฏฐานทํา สมบัติ กรรมวาจาถึงพรอม สวด จติ ใหแนว แนเ ปนสมาธ;ิ ดู ภาวนาสมถยานกิ ผูมีสมถะเปนยาน หมายถึง ประกาศถูกตองครบถวน (ขอ ๔ อาจ แยกเปน ๒ ขอ คือเปน ๔. ญัตติสมบัติผเู จรญิ สมถกรรมฐาน จนไดฌ านกอ น ญัตติถึงพรอม คือคําเผดียงสงฆถูกแลวจงึ เจรญิ วปิ ส สนาตอ ตอง ๕. อนุสาวนาสมบตั ิ อนสุ าวนาถึงสมถวิธี วิธีระงับอธิกรณ; ดู อธิกรณ- พรอม คือคําหารอื ตกลงถูกตอง รวมสมถะ เปน สมบัติ ๕); เทยี บ วิบตั ิสมถวปิ สสนา สมถะและวปิ ส สนา สมบัตขิ องอุบาสก ๕ คือ ๑. มีศรทั ธาสมนุภาสนา การสวดสมนภุ าสน, สวด ๒. มศี ีลบรสิ ุทธ์ิ ๓. ไมถ อื มงคลต่นื ขา ว ประกาศหามไมใหถ อื รัน้ การอนั มชิ อบ เช่อื กรรม ไมเ ช่อื มงคล ๔. ไมแ สวงหาสมบตั ิ ความถงึ พรอ ม, ความครบถว น, เขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา ๕.ความสมบรู ณ 1. สง่ิ ทไ่ี ดทถี่ งึ ดว ยด,ี เงนิ ขวนขวายในการอุปถัมภบํารุงพระพุทธ-ทองของมีคา, สิ่งท่ีมีอยูในสิทธิอํานาจ ศาสนา (ขอ ๕ แปลทบั ศพั ทว า ทาํ บพุ การของตน, ความพรั่งพรอมสมบูรณ, ในพระศาสนาน,ี้ แบบเรยี นวา บาํ เพญ็สมบัติ ๓ ไดแ ก มนุษยสมบตั ิ สมบตั ิใน บญุ แตใ นพุทธศาสนา); ดู บุพการข้ันมนุษย สวรรคสมบัติ สมบัติใน สมผุส เปนคําเฉพาะในโหราศาสตรสวรรค (เทวสมบัติ หรอื ทิพยสมบัติ ก็ หมายถึงการคํานวณชนดิ หนึ่ง เกีย่ วกบัเรยี ก) และ นิพพานสมบัติ สมบตั ิคอื โลกและดาวนพเคราะหเล็งรวมกัน; ดู
สมพงศ ๓๙๖ สมสีสี มธั ยม สมมติสจั จะ จรงิ โดยสมมติ คอื โดยสมพงศ การรวมวงศหรือตระกูลกัน, ความตกลงหมายรูรวมกันของมนุษยรว มวงศก นั ได ลงกันได เชน นาย ก. นาย ข. ชาง มา มด โตะสมเพช ในภาษาไทย ใชใ นความหมายวา หนังสือ พอ แม ลูก เพอื่ น เปน ตน ซ่งึสลดใจ ทาํ ใหเกิดความสงสาร แตตาม เม่ือกลาวตามสภาวะ หรือโดยปรมตั ถหลักภาษาตรงกบั สังเวช แลว กเ็ ปน เพยี งสงั ขาร หรอื นามรปู หรอืสมโพธิ การตรัสรเู ปน พระพุทธเจา ขนั ธ ๕ เทา นัน้ ; ตรงขา มกบั ปรมตั ถสัจจะสมโภค การกนิ รว ม; ดู กินรวม สมรภมู ิ ท่ีรวมตาย, สนามรบสมโภช งานฉลองในพธิ ีมงคลเพื่อความ สมสีสี [สะ-มะ-สี-สี] บุคคลผสู ิ้นอาสวะรืน่ เรงิ ยินดี พรอ มกับสิ้นชวี ติ คือ บรรลอุ รหตั ตผลสมภพ การเกิด ในขณะเดียวกบั ทีส่ ิน้ ชวี ติ ; นี้เปน ความสมภาร เครื่องประกอบ, ความดีหรือ หมายหลกั ตามพระบาลี แตใ นมโนรถ-ความชั่วที่ประกอบหรือสะสมไว (เชน ปูรณี อรรถกถาแหงองั คุตตรนิกาย ใหในคําวา สมภารกรรม และสมภาร- ความหมาย สมสสี ี วา เปน การสนิ้ อาสวะ ธรรม), สมั ภาระ; ในภาษาไทย ใชเ ปน พรอ มกับสิน้ อยางอ่นื อนั ใดอันหนง่ึ ใน ๔ คาํ เรียกพระทเี่ ปน เจาอาวาส; ดู สมั ภาระสมมติ การรรู วมกนั , การตกลงกนั , การ อยางและแสดงสมสีสีไว ๔ ประเภท มีมตริ ว มกนั หรือยอมรบั รว มกนั ; การ คอื ผสู ้นิ อาสวะพรอมกบั หายโรค เรยี ก วา โรคสมสสี ี ผูส้นิ อาสวะพรอ มกับที่ที่สงฆประชุมกันตกลงมอบหมายหรือ เวทนาซ่ึงกําลังเสวยอยูสงบระงับไปแตงตั้งภิกษุใหทํากิจหรือเปนเจาหนาที่ เรียกวา เวทนาสมสีสี ผูส้ินอาสวะในเรอื่ งอยางใดอยางหนง่ึ เชน สมมติ พรอมกับการสิ้นสุดของอิริยาบถอันใดภกิ ษุเปนผใู หโ อวาทภิกษุณี สมมติภิกษุ อันหนง่ึ เรยี กวา อริ ิยาบถสมสีสี ผสู ิ้น เปน ภัตตุเทศก เปนตน ; ในภาษาไทย อาสวะพรอมกับการสิ้นชีวิต เรียกวา ใชในความหมายวา ตกลงกันวา ตางวา ชวี ติ สมสสี ;ี อยา งไรกด็ ี ในอรรถกถาแหงสมมตเิ ทพ เทวดาโดยสมมติ คือโดย ปคุ คลบญั ญตั ิ เปน ตน แสดงสมสสี ีไวความตกลงหรือยอมรับรวมกันของ ๓ ประเภท และอธบิ ายตา งออกไปบา งมนุษย ไดแ ก พระราชา พระราชเทวี ไมขอนํามาแสดงในท่ีนี้ เพราะจะทาํ ใหพระราชกุมาร (ขอ ๑ ในเทพ ๓) ฟน เฝอ
สมงั คี ๓๙๗ สมาธิ ๓สมงั คี ผูพรัง่ พรอ ม, ผพู รอ ม (ดวย…), ผู โดยมีคําอื่นประกอบขยายความ เชน ประกอบ (ดว ย…); มักใชเปนบททา ยใน กายสมาจาร วจีสมาจาร ปาปสมาจาร คําสมาส เชน กศุ ลสมงั คี (ผปู ระกอบ เปนตน ดวยกุศล) โทสสมงั คี (ผูประกอบดว ย สมาทปนา การใหสมาทาน หรอื ชวนให โทสะ) มรรคสมงั คี (ผูประกอบดวย ปฏิบัติ คืออธิบายใหเห็นวาเปนความมรรค คือ ต้งั อยูในมรรค เชน ในโสดา จริง ดีจริง จนใจยอมรับที่จะนําไปปต ติมรรค) ผลสมงั คี (ผูประกอบดวย ปฏิบตั ิ; เปน ลักษณะอยา งหนึง่ ของการผล คอื ไดบรรลผุ ล เชน ถึงโสดาปตต-ิ สอนท่ีดี (ขอ กอ นคือ สันทัสสนา, ขอ ตอ ไปคอื สมุตเตชนา)ผล เปนโสดาบัน เปน ตน )สมนั ตจักขุ จักษุรอบคอบ, ตาเห็นรอบ สมาทาน การถือเอารับเอาเปน ขอ ปฏบิ ตั ,ิไดแกพระสัพพัญุตญาณ อันหยั่งรู การถอื ปฏบิ ัติ เชน สมาทานศีล คอื รับ ธรรมทุกประการ เปน คณุ สมบตั พิ เิ ศษ เอาศลี มาปฏิบัติ ของพระพทุ ธเจา (ขอ ๕ ในจกั ขุ ๕) สมาทานวตั ร ดู ข้ึนวัตรสมันตปาสาทิกา ช่ือคัมภีรอรรถกถา สมาทานวิรัติ การเวนดวยการสมาทานอธบิ ายความในพระวนิ ยั ปฎ ก พระพทุ ธ- คือ ไดสมาทานศีลไวกอนแลว เมื่อโฆสาจารยแปลและเรียบเรียงขึ้นเปน ประสบเหตุทีจ่ ะใหทําความชั่ว ก็งดเวนภาษาบาลี เมอื่ พ.ศ. ใกลจะถงึ ๑๐๐๐ ไดตามทสี่ มาทานนน้ั (ขอ ๒ ในวริ ตั ิ ๓)โดยอาศัยอรรถกถาภาษาสิงหฬท่ีมีอยู สมาธิ ความมีใจตั้งมัน่ , ความตั้งม่นั แหงกอ น คอื ใชค มั ภรี ม หาอฏั ฐกถา เปน หลกั จิต, การทําใหใ จสงบแนว แน ไมฟ ุงซา น,พรอมทั้งปรกึ ษาคมั ภรี มหาปจ จรี และ ภาวะที่จิตต้ังเรียบแนวอยูในอารมณคือกุรุนที เปน ตน ดว ย; ดู โปราณัฏฐกถา, สิ่งอันหนึ่งอันเดียว, มกั ใชเ ปนคาํ เรยี กอรรถกถา งา ยๆ สาํ หรบั อธจิ ติ ตสกิ ขา; ดู เอกคั คตา,สมยั คราว, เวลา; ลทั ธ;ิ การประชมุ ; อธิจิตตสิกขา (ขอ ๒ ในไตรสกิ ขา, ขอการตรัสรู ๔ ในพละ ๕, ขอ ๖ ในโพชฌงค ๗)สมาคม การประชุม, การเขารว มพวก สมาธิ ๒ คือ ๑. อุปจารสมาธิ สมาธิจวน เจยี น หรือสมาธิเฉียดๆ ๒. อปั ปนา-รว มคณะสมาจาร ความประพฤติทด่ี ี; มกั ใชใ น สมาธิ สมาธแิ นว แนความหมายทเี่ ปน กลางๆ วา ความประพฤติ สมาธิ ๓ คือ ๑. สุญญตสมาธิ ๒.
สมาธกิ ถา ๓๙๘ สมานตั ตตา อนมิ ติ ตสมาธิ ๓. อัปปณิหิตสมาธิ; อกี อาํ นาจของราคะ หรอื โลภะ โทสะ และ หมวดหนึ่ง ไดแก ๑. ขณกิ สมาธิ ๒. โมหะ สวนคนที่จะมีสมานฉันทใ นทางดี อุปจารสมาธิ ๓. อัปปนาสมาธิ เบื้องแรกมองเห็นดวยปญญาแลววาสมาธิกถา ถอยคําท่ีชักชวนใหทําใจให กรรมนั้นดีงามเปนประโยชนมีเหตุผลสงบตั้งม่ัน (ขอ ๗ ในกถาวตั ถุ ๑๐) ควรทาํ จงึ เกิดฉนั ทะคอื ความพอใจใฝสมาธิขันธ หมวดธรรมจําพวกสมาธิ ปรารถนาทีจ่ ะทาํ โดยเขาใจตรงกัน และเชน ฉนั ทะ วิริยะ จติ ตะ ชาคริยานุโยค พอใจเหมือนกัน รวมดว ยกัน; ดู ฉนั ทะ สมานลาภสีมา แดนมีลาภเสมอกัน ไดกายคตาสติ เปน ตนสมานกาล เวลาปจจบุ นั แกเ ขตทีส่ งฆต้ังแต ๒ อาวาสขนึ้ ไปทาํสมานฉนั ท มฉี นั ทะเสมอกนั , มีความ กตกิ ากนั ไววา ลาภเกดิ ขน้ึ ในอาวาสหนงึ่พอใจรวมกัน, พรอมใจกัน, มีความ สงฆอีกอาวาสหนึ่งมีสวนไดรับแจกตองการที่จะทําการอยางใดอยางหน่ึง ดว ย; ดู กติกาตรงกันหรือเสมอเหมือนกัน ในทางท่ี สมานสังวาส มีธรรมเปนเครื่องอยูร วมรายหรือดกี ไ็ ด, ในทางรา ย เชน หญิง เสมอกัน, ผูรว มสังวาส หมายถึง ภิกษุ-และชายที่มีสมานฉันทในการประกอบ สงฆผูสามัคคีรวมอุโบสถสังฆกรรมกัน;กาเมสมุ ิจฉาจาร (เปนตวั อยา งทที่ า นใช เหตุใหภิกษุผูแตกกันออกไปแลวกลับในการอธบิ ายบอยทสี่ ุด) และหมูค นราย เปน สมานสังวาสกันไดอกี มี ๒ อยา งทม่ี ีสมานฉันทใ นการทําโจรกรรม สว น คือ ๑. ทาํ ตนใหเปน สมานสงั วาสเองในทางดี เชน หมูค นดีมีสมานฉันทท ีจ่ ะ คือ สงฆปรองดองกันเขาได หรอื ภิกษุไปทาํ บุญรว มกนั เชน ไปจดั ปรับถนน นนั้ แตกจากหมแู ลว กลบั เขา หมูเ ดิม ๒.หนทาง สรางสะพาน ขดุ สระ ปลูกสวน สงฆระงับอุกเขปนียกรรมที่ลงโทษภิกษุสรางศาลาพักรอน ใหทาน รักษาศีล น้ัน แลว รับเขาสังวาสตามเดมิ(ชา.อ.๑/๒๙๙ เปนตวั อยา งเดน) เด็กกลุมหนงึ่ สมานสังวาสสีมา แดนมีสังวาสเสมอมีสมานฉนั ทท ีจ่ ะบรรพชา ภิกษุหลายรูป กัน, เขตที่กําหนดความพรอมเพรียงมีสมานฉันทที่จะถือปฏิบัติธุดงคขอน้ัน และสิทธิในการเขาอุโบสถปวารณาและขอ น,้ี คนผมู สี มานฉนั ทใ นทางรา ยนนั้ ไม สงั ฆกรรมดวยกนัตอ งใชป ญ ญาไตรต รองพจิ ารณา เพยี ง สมานัตตตา “ความเปนผูมีตนเสมอ”ชอบใจอยากทําก็ประกอบกรรมไปตาม หมายถึง การทําตวั ใหเขา กนั ได ดว ย
สมานาจรยิ กะ ๓๙๙ สมฏุ ฐานการรว มสขุ รวมทุกข ไมถอื ตัว มีความ ธรรม + ราชา เปน ธรรมราชา, อาณาเสมอภาค และวางตัวเหมาะสม (ขอ ๔ + จกั ร เปน อาณาจักร, กศุ ล + เจตนาในสังคหวัตถุ ๔) เปน กุศลเจตนา; สมาสตางกับสนธิสมานาจรยิ กะ ภิกษุผูรว มพระอาจารย กลาวคือ สนธิ เอาคํามาตอกนั โดยเดยี วกัน เชื่อมตัวอักษรใหอานหรือเขียนกลมสมานาสนิกะ ผูร ว มอาสนะกนั หมายถงึ กลนื เขา กนั เปนคําเดียว เชน ปฺจ +ภิกษุผูมีพรรษารุนราวคราวเดียวกัน อเิ ม เปน ปจฺ ิเม, แต สมาส เอาคํามาหรือออนกวา กันไมถงึ ๓ พรรษาน่ังรว ม ตอกัน โดยเชอื่ มความหมายใหเนื่องอาสนะเสมอกนั ได; เทยี บ อสมานาสนกิ ะ เปนคําเดียวกัน เชน ปจฺ + นที เปนสมานุปชฌายกะ ภิกษุผูรวมพระ ปฺจนที; เทียบ สนธิ สมจุ จยขันธกะ ชอื่ ขันธกะท่ี ๓ ในจลุอุปชฌายะเดียวกนัสมาโนทก ผรู ว มนํ้า, ตามธรรมเนียม วรรคแหงพระวินัยปฎ ก วาดว ยวฏุ ฐาน-พราหมณ หมายถงึ บรุ พบิดรพนจาก วธิ ีบางเร่อื งทวดขึ้นไปก็ดี ญาติผมู ไิ ดส ืบสายตรงก็ สมุจเฉท การตดั ขาดดี ซึ่งเปนผูจะพึงไดรับน้ํากรวด; คูกับ สมุจเฉทปหาน การละกิเลสไดโดยเด็ดสปณ ฑะ ขาดดวยอริยมรรคสมาบัติ ภาวะสงบประณีตซ่ึงพึงเขาถึง; สมุจเฉทวิมตุ ติ หลดุ พนดว ยตดั ขาด ไดสมาบัตมิ ีหลายอยา ง เชน ฌานสมาบตั ิ แก พน จากกิเลสดวยอรยิ มรรค กิเลสผลสมาบัติ อนุปุพพวิหารสมาบัติ เหลาน้ันขาดเด็ดไป ไมกลับเกิดข้ึนอีกเปน ตน สมาบตั ทิ ก่ี ลา วถงึ บอ ยคอื ฌาน- เปนโลกุตตรวมิ ุตติ (ขอ ๓ ในวิมุตติ ๕)สมาบตั ิ กลาวคือ สมาบัติ ๘ อนั ไดแ ก สมจุ เฉทวริ ัติ การเวน ดว ยตัดขาด หมายรปู ฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ ถา เพิ่ม ถึงการเวนความช่ัวไดเด็ดขาดของพระนิโรธสมาบตั ิ ตอ ทายสมาบัติ ๘ น้ี รวม อรยิ เจา เพราะไมม ีกเิ ลสทจี่ ะเปนเหตุใหเรยี กวา อนุปุพพวหิ ารสมาบตั ิ ๙ ทาํ ความชัว่ น้ันๆ (ขอ ๓ ในวิรัติ ๓)สมาส [สะ-หฺมาด] การนําเอาศัพท ๒ สมฏุ ฐาน ทเ่ี กดิ , ทีต่ ั้ง, เหตุ; ทางท่ีเกิดศัพทขึ้นไปมาตอรวมกันโดยมีความ อาบัติ โดยตรงมี ๔ คือ ๑. ลาํ พงั กายหมายเช่ือมโยงเปนคําเดียว ตามหลัก ๒. ลําพังวาจา ๓. กายกับจิต ๔. วาจาไวยากรณแบบบาลีหรือสันสกฤต เชน กบั จิต และทีค่ วบกนั อีก ๒ กค็ อื ๑.
สมตุ เตชนา ๔๐๐ สรณคมนอปุ สัมปทา กายกับวาจา ๒. กายกับวาจากบั ทง้ั จิต ตา งวตั ถกุ นั (เชน กายสงั สคั คะกม็ ี ทฏุ -สมตุ เตชนา การทําใหอาจหาญ คือเราใจ ลุ ลวาจากม็ ี สัญจรติ ตะกม็ ี) มีวนั ปด ใหแกลวกลา ปลุกใจใหคึกคัก เกิด เทา กนั บาง ไมเทา กันบา ง ประมวลเขา ความกระตือรือรน มีกําลังใจแข็งขัน ดว ยกัน อยปู รวิ าสรวมเปน คราวเดยี ว ม่ันใจท่ีจะทําใหสําเร็จ ไมกลัวเหน็ด สยมั ภู พระผเู ปน เอง คอื ตรสั รไู ดเ อง โดย เหนื่อยหรือยากลําบาก; เปนลักษณะ ไมมใี ครสงั่ สอน หมายถงึ พระพุทธเจา อยา งหนง่ึ ของการสอนท่ีดี (ขอกอ นคอื สยัมภญู าณ ญาณของพระสยมั ภู, ปรชี า สมาทปนา, ขอ สดุ ทา ยคอื สมั ปหงั สนา) หยั่งรูของพระสยัมภูสมทุ ยั เหตใุ หเ กิดทุกข ไดแ ก ตัณหา คอื สยามนิกาย 1. นิกายสยาม หมายถงึ ความทะยานอยาก เชน อยากไดน่นั ได พวกพระไทย เรยี กชื่อโดยสญั ชาติ 2. ดู นี่ อยากเปนโนน เปนนี่ อยากไมเปนโนน สยามวงศ เปน น่ี (ขอ ๒ ในอรยิ สัจจ ๔); ดู ตัณหา สยามวงศ ชอ่ื นกิ ายพระสงฆลงั กาทบี่ วชสโมธานปริวาส ปริวาสแบบประมวลเขา จากพระสงฆสยาม (คือพระสงฆไทย) ดวยกัน คือปริวาสที่ภิกษุตองอาบัติ ในสมัยอยธุ ยา ซง่ึ พระอบุ าลีเปน หวั หนา สงั ฆาทเิ สสตา งคราว มจี าํ นวนวนั ปด ตา ง ไปประดษิ ฐาน ใน พ.ศ. ๒๒๙๖ กนั บา ง ไมต า งบา ง ปรารถนาจะออกจาก สรณะ ทพี่ ึ่ง, ท่ีระลึก อาบตั นิ น้ั จงึ อยปู รวิ าสโดยประมวลอาบตั ิ สรณคมน การถงึ สรณะ, การยึดเอาเปน และราตรเี ขา ดว ยกนั จาํ แนกเปน ๓ อยา ง ทพ่ี ่งึ , การยึดเอาเปน ทร่ี ะลกึ ; ดู ไตร- คือ ๑. โอธานสโมธาน สําหรับอาบตั ิ สรณคมน, รัตนตรัย มากกวาหน่ึงแตปดไวนานเทากัน เชน สรณคมนอปุ สมั ปทา วธิ อี ปุ สมบทดว ย ตอ งอาบตั ิ ๒ คราว ปด ไวค ราวละ ๕ วนั การเปลง วาจาถงึ พระพทุ ธเจา พระธรรม ประมวลเขา ดว ยกัน อยูปริวาส ๕ วนั และพระสงฆ เปน สรณะ เปน วธิ ที พี่ ระ ๒. อคั ฆสโมธาน สําหรบั อาบตั ิมากกวา พุทธเจาทรงอนุญาตใหพระสาวกใช หนึ่งและปดไวนานไมเทากัน เชน ตอง อุปสมบทกุลบุตรในตอนปฐมโพธิกาล อาบัติ ๓ คราว ปด ไว ๓ วนั บาง ๕ วนั ตอมาเม่ือพระพุทธเจาทรงอนุญาตการ บาง ๗ วนั บาง ประมวลเขาดว ยกันอยู อปุ สมบทดว ยญตั ตจิ ตตุ ถกรรมแลว การ ปริวาสเทาจาํ นวนวันทีม่ ากท่ีสุด (คือ ๗ บวชดว ยสรณคมน กใ็ ชส าํ หรบั บรรพชา วัน) ๓. มสิ สกสโมธาน สาํ หรบั อาบตั ทิ ่ี สามเณรสบื มา; ตสิ รณคมนปู -สมั ปทา ก็
สรณตรยั ๔๐๑ สรภัญญะ เรยี ก; ดู อปุ สมั ปทา ไพเราะ นมุ นวล ชวนฟง มาเปน ส่ือ เพือ่สรณตรยั ทพ่ี งึ่ ทง้ั สาม คอื พระพทุ ธ พระ นาํ ธรรมทมี่ อี ยเู ปน หลกั หรอื ทเี่ รยี บเรยี ง ธรรม พระสงฆ; ดู รตั นตรยั ไวดีแลว ออกไปใหถึงใจของผูสดับ,สรทะ, สรทกาล, สรทฤด,ู สรทสมยั สรภัญญะเปนวิธีกลาวธรรมเปนทํานอง ฤดูทายฝน, ฤดูสารท, ฤดูใบไมรวง ใหมีเสียงไพเราะนาฟงในระดับที่เหมาะ (แรม ๑ คาํ่ เดอื น ๑๐ ถงึ ขน้ึ ๑๕ คา่ํ สม ซง่ึ พระพทุ ธเจาทรงอนุญาตแกภิกษุ เดอื น ๑๒) เปน ฤดทู มี่ สี ภาพอากาศสดใส ทั้งหลาย ตามเรอื่ งวา (วนิ ย.๗/๑๙–๒๑/๘-๙) ยามฝนตก กเ็ ปน ฝนเมด็ โต โดยทวั่ ไป ครั้งหนึ่ง ทเี่ มอื งราชคฤห มีมหรสพบน อากาศโปรง แจม ใส ปราศจากเมฆหมอก ยอดเขา (คริ คั คสมชั ชะ) พวกพระฉัพ- ดวงอาทติ ยล อยเดน แผดแสงกลา ทอ ง พัคคียไปเที่ยวดู ชาวบานติเตียนวา ฟา สวา งแจม จา ยามราตรี ดาวพระศกุ ร ไฉนพระสมณะศากยบุตรจึงไดไปดูการ สองแสงสกาว มีพุทธพจนต รัสถึงบอย ฟอนรํา ขับรอง และประโคมดนตรี ครงั้ ในขอ ความอปุ มาอปุ ไมยตา งๆ; ดู เหมือนพวกคฤหัสถผูบริโภคกาม เม่อื มาตรา ความทราบถึงพระพุทธเจา จึงไดทรงสรภงั คะ นามของศาสดาคนหนงึ่ ในอดตี ประชุมสงฆ และบัญญัติสิกขาบทมใิ ห เปน พระโพธสิ ตั ว มคี ณุ สมบตั คิ อื เปน ผู ภิกษุไปดูการฟอนรํา ขับรอง และ ปราศจากราคะในกามท้ังหลาย ได ประโคมดนตรี, อีกคราวหนง่ึ พวกพระ ประกาศคาํ สอน มศี ษิ ยจ าํ นวนมากมาย ฉัพพัคคียน ั้น สวดธรรมดวยเสียงเอ้อื นสรภญั ญะ [สะ-ระ-พนั -ยะ, สอ-ระ-พนั -ยะ] ยาวอยางเพลงขับ ชาวบานติเตียนวา “การกลาว[ธรรม] ดวยเสียง” (หรือ ไฉนพระสมณะศากยบุตรเหลานี้จึงสวด “[ธรรม] อนั พงึ กลา วดว ยเสยี ง”) คือ ใช ธรรมดวยเสียงเอ้ือนยาวเปนเพลงขับ เสียงเปนเครื่องกลาวหรือบอกธรรม เหมือนกับพวกเรา ความทราบถึงพระ หมายความวา แทนท่ีจะกลาวบรรยาย พุทธเจา ก็ทรงประชุมสงฆช้ีแจงโทษ อธิบายธรรมดวยถอยคาํ อยางท่ีเรียก ของการสวดเชน นน้ั และไดท รงบัญญตั ิ วา “ธรรมกถา” กเ็ อาเสยี งท่ตี ้ังใจเปลง มิใหภิกษุสวดธรรมดวยเสียงเอ้ือนยาว ออกไปอยางประณีตบรรจง ดวยจิต อยางเพลงขับ, ตอมา ภกิ ษุทั้งหลายขดั เมตตา และเคารพธรรม อันชัดเจน จิตของใจในสรภัญญะ จึงกราบทูล เรยี บรนื่ กลมกลนื สมา่ํ เสมอ เปน ทาํ นอง ความแดพระพุทธเจา พระองคตรัสวา
สรภญั ญะ ๔๐๒ สรภัญญะ“ภิกษุท้ังหลาย เราอนุญาตสรภัญญะ” อักขระเสยี คอื ผดิ พลาดไป สรภัญญะมี(อนชุ านามิ ภิกขฺ เว สรภฺ ํ) ลักษณะสาํ คัญท่วี า ตองไมทําใหอ ักขระ ผิดพลาดคลาดเคล่ือน แตใหบทและ มี เ ร่ื อ ง ร า ว ม า ก ห ล า ย ที่ แ ส ด ง ว า พยญั ชนะกลมกลอม วา ตรงลงตวั ไมสรภญั ญะนเ้ี ปน ทน่ี ยิ มในพทุ ธบรษิ ทั ดงั คลุมเครือ ไพเราะ แตไมม วี ิการ (อาการตัวอยางเร่ืองท่ีเก่ียวของกับพระพุทธเจา ผิดแปลกหรอื ไมเหมาะสม) ดาํ รงสมณ-วา (วนิ ย.๕/๒๐/๓๓; ข.ุ อ.ุ ๒๕/๑๒๒/๑๖๕) เมอ่ื สารูปครั้งพระโสณะกุฏิกัณณะ ชาวถ่ินไกลชายแดนในอวนั ตที กั ขณิ าบถ เพงิ่ บวชได โดยนยั ทก่ี ลา วมา จงึ ถอื วา สรภญั ญะ๑ พรรษา ก็ลาพระอปุ ช ฌายเ ดินทางมา เปนวิธีแสดงและศึกษาหรือสอนธรรมเฝาทพ่ี ระเชตวนารามในกรงุ สาวตั ถี พอ อีกอยางหนึ่ง เพ่ิมจากวิธีอื่น เชนผานราตรแี รกไดพ ักผอนมาจนตื่น ใกล ธรรมกถา และการถามตอบปญหา,รุงสวาง พระพุทธเจาตรัสใหเธอกลาว บางทีก็พูดอยางกวา งๆ รวมสรภญั ญะธรรมตามถนัด (ดังจะทรงดูวาเธอได เขา เปนธรรมกถาอยางหนึง่ ดงั ท่ีคมั ภีรศกึ ษาเลา เรยี นมคี วามรมู าเพียงใด) พระ ยคุ หลงั ๆ บางแหงบนั ทึกไวถึงธรรมกถาโสณะกุฏิกัณณะไดกลาวพระสูตรท้ัง ๒ แบบ คอื แบบท่ี ๑ ภกิ ษุรปู แรกสวดหมดในอัฏฐกวัคค (๑๖ สูตร, ขุ.สุ.๒๕/ ตัวคาถาหรือพระสูตรเปนสรภัญญะให๔๐๘–๔๒๓/๔๘๔–๕๒๓) เปนสรภัญญะ จบ จบไปกอน แลวอีกรูปหน่ึงเปนธรรม-แลว พระพุทธเจาทรงอนุโมทนา กถึกกลาวธรรมอธิบายคาถาหรือพระประทานสาธกุ ารวา เธอไดเ รยี นมาอยา งดี สูตรท่ีรูปแรกสวดไปแลวนั้นใหพิสดารเจนใจเปน อยา งดี และทรงเนอ้ื ความไว แบบนเ้ี รยี กวา สรภาณธรรมกถา และถูกถวนดี อีกทั้งเปนผูมีวาจางาม แบบท่ี ๒ สวดพระสตู รเปน ตนนัน้ ไปสละสลวย คลอง ไมพลาด ทาํ อัตถะให อยางเดียวตลอดแตตนจนจบ เรียกวาแจมแจง, ในคัมภรี บางแหง กลา ววา สร- สรภัญญธรรมกถา (สํ.ฏี.๑/๓๙/๘๙);ภญั ญะมวี ธิ หี รอื ทาํ นองสวดถงึ ๓๒ แบบ สรภัญญะน้ี เม่ือปฏิบัติโดยชอบ ตั้งจะเลอื กแบบใดกไ็ ดต ามปรารถนา (อง.ฏ.ี เจตนากอปรดวยเมตตา มคี วามเคารพ๓/๔๒๑/๙๕) แตส รภญั ญะนี้มใิ ชก ารสวด ธรรม กลาวออกมา กเ็ ปนทัง้ ธรรมทานเอื้อนเสียงยาวอยางเพลงขับ (อายตกะ และเปนสัทททาน (ใหทานดวยเสียงคีตสร) ท่ีทําเสียงยาวเกินไปจนทําให หรือใหเสียงเปนทาน) พรอมท้ังเปน
สรภู ๔๐๓ สวรรคตเมตตาวจีกรรม เขาแลวใหภิกษุทั้งหลายจับตามลําดับในภาษาไทย เรียกทาํ นองอยางทส่ี บื พรรษากันมา หรือเขียนเลขหมายไวท่ีกันมาในการสวดคาถาหรือคําฉันทวา ของจาํ นวนหนึ่ง ภิกษจุ ับไดส ลากของผู“สรภญั ญะ” คอื สรภญั ญะกลายเปนช่อื ใดกไ็ ดร ับอาหารของทายกน้ัน; ฉลาก ก็ ของทาํ นองหนงึ่ ทใ่ี ชใ นการสวดสรภญั ญะ เรียกสรภู แมน้าํ ใหญส ายสําคญั ลาํ ดบั ท่ี ๔ ใน สลากภัต อาหารถวายตามสลาก หมายมหานที ๕ ของชมพทู วปี ไหลผา นเมือง ถึงเอาสงั ฆภตั อนั ทายกเขา กนั ถวาย ตา งสาํ คญั คอื สาเกต, ปจ จบุ ัน สรภูไมเ ปน คนตางจัดมา เปนของตา งกัน เขามกั ทาํท่ีรูจักท่ัวไป มีช่ือในภาษาสันสกฤตวา ในเทศกาลท่ีผลไมเผล็ดแลวถวายพระสรยู และไหลเขาไปรวมกับแมน้ํา ดว ยวธิ ีจบั สลาก; ดู สลากGhaghara ซ่ึงเปนแควหนง่ึ ของแมน าํ้ สวนขางปลายท้งั สอง อดีต กบั อนาคตคงคา จงึ เรยี กชอ่ื รวมเปน Ghaghara สวนทามกลาง ในประโยควา “ไมต ิดอยูไปดว ย; ดู มหานที ๕ ในสวนทา มกลาง” ปจจบุ นัสรร เลอื ก, คดั สวนานุตตริยะ การสดับที่ยอดเยี่ยมสรรค สราง เชน ไดสดับธรรมของพระพุทธเจา (ขอสรรพ ทงั้ ปวง, ทัง้ หมด, ทุกสงิ่ ๒ ในอนตุ ตรยิ ะ ๖)สรรพางค ทุกๆ สวนแหง รางกาย, ราง สวรรค แดนอันแสนดีเลิศลํ้าดวยกามกายทกุ ๆ สว น คณุ ๕, โลกของเทวดา ตามปกติหมายสรรเพชญ ผูรูทั่ว, ผูรูทุกสิ่งทุกอยาง ถึงกามาพจรสวรรค (สวรรคท่ยี งั เกี่ยวหมายถึงพระพทุ ธเจา (= สพั พัญู) ขอ งกบั กาม) ๖ ชัน้ คือ จาตมุ หาราชกิ าสรีระ รางกาย ดาวดงึ ส ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปร-สรรี ยนต กลไกคือรา งกาย นมิ มติ วสวัตดีสรีราพยพ สว นของรางกาย, อวยั วะใน สวรรคต “ไปสสู วรรค” คอื ตาย (ใชส าํ หรบั รางกาย พระเจาแผนดิน สมเดจ็ พระบรมราชนิ ีสลาก เครื่องหมายหรือวัตถุท่ีใชในการ สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเสย่ี งโชค เชน สลากภัต กไ็ ดแกอาหาร ยุพราช สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชที่เขาถวายสงฆโดยเขียนชื่อเจาภาพลง และพระบรมราชวงศที่ทรงไดรับพระในกระดาษใบละชื่อ มวนรวมคละกัน ราชทานฉตั ร ๗ ช้นั )
สวสั ดิ์,สวสั ดี ๔๐๔ สหธรรมกิสวัสดิ,์ สวัสดี ความดงี าม, ความเจรญิ เริ่มข้ึนเอง จึงมีกําลังออน; ตรงขามกับรุง เรือง, ความปลอดโปรง , ความปลอด อสงั ขาริก สหคตทุกข ทุกขไ ปดวยกนั , ทุกขก าํ กบัภัยไรอ ันตรายสวสั ดมิ งคล มงคล คือ ความสวสั ดี ไดแกทุกขท่ีพวงมาดวยกันกับผลอันสวากขาตธรรม ธรรมทพ่ี ระผมู ีพระภาค ไพบลู ย มลี าภ ยศ สรรเสรญิ สขุตรสั ไวดแี ลว เปน ตน แตล ะอยา งยอ มพวั พนั ดว ยทกุ ขสวากขาตนิยยานิกธรรม ธรรมที่พระ สหชาต, สหชาติ “ผเู กดิ รว มดว ย” หมายพทุ ธเจา ตรสั ไวด ีแลว อันนาํ ผปู ระพฤติ ถงึ บคุ คล (ตลอดจนสตั วแ ละสงิ่ ของ) ที่ตามออกไปจากทุกข เกดิ รว มวนั เดอื นปเ ดยี วกนั อยางเพลาสฺวากฺขาโต (พระธรรมอันพระผูมีพระ หมายถงึ ผเู กิดรว มปกัน; ตาํ นานกลา วภาค) ตรัสดีแลว คอื ตรสั ไวเปน ความ วา เม่ือเจาชายสิทธัตถะประสูติน้ันจริง ไมว ิปรติ งามในเบ้อื งตน งามใน มีสหชาต ๗ คือ พระมารดาของเจาชายทามกลาง และงามในท่ีสุด สัมพันธ ราหลุ (เจา หญงิ ยโสธรา หรอื พมิ พา) พระสอดคลองกันทั่วตลอด ประกาศ อานนท นายฉนั นะ อาํ มาตยก าฬทุ ายี มาพรหมจริยะคือทางดําเนินชีวิตอัน กณั ฐกะ ตน มหาโพธ์ิ และขมุ ทรพั ยท งั้ประเสริฐ พรอมทั้งอรรถ พรอมท้ัง ๔ (นิธีกมุ ภ)ีพยัญชนะ บริสุทธ์บิ ริบรู ณสิ้นเชงิ (ขอ สหชาตธรรม ธรรมทเี่ กดิ พรอ มกัน สหชวี ินี คําเรยี กแทนคาํ วา สทั ธวิ หิ ารินี๑ ในธรรมคณุ ๖)สวาธยาย ดู สาธยาย ของภกิ ษณุ ี ทง้ั ๒ คาํ นีแ้ ปลวา “ผอู ยูสวญิ ญาณกะ สงิ่ ที่มวี ญิ ญาณ ไดแกสตั ว รวม” ตรงกับสัทธิวิหาริกในฝายภิกษุ;ตา งๆ เชน แพะ แกะ สกุ ร โค กระบอื ศษิ ยของ ปวัตตนิ ีเปนตน ; เทยี บ อวิญญาณกะ สหธรรมกิ ผมู ธี รรมรว มกนั , ผปู ระพฤติสสังขารปรินิพพายี พระอนาคามีผูจะ ธรรมรว มกนั แสดงไวใ นคมั ภรี ม หานทิ เทสปรินิพพานดวยตองใชความเพียร; ดู แหงพระสุตตนั ตปฎ ก มี ๗ คือ ภิกษุอนาคามี ภกิ ษุณี สกิ ขมานา สามเณร สามเณรีสสงั ขาริก “เปนไปกบั ดวยการชกั นํา”, มี อุบาสก อุบาสกิ า; ในสัตตาหกรณยี ะการชักนํา ใชแกจิตท่ีคิดดีหรือช่ัวโดย หมายถึง ๕ อยา งแรกเทา น้ัน เรียกวาถูกกระตนุ หรือชักจงู จากภายนอก มใิ ช สหธรรมิก ๕ (คัมภีรฝายวินัยท่ัวไปก็
สหธรรมิกวรรค ๔๐๕ สักกชนบทมักหมายเฉพาะจาํ นวน ๕) อ่ืนอยูดว ย, ตวั ตอตวัสหธรรมิกวรรค ตอนที่วาดวยเรื่อง สอเสยี ด ยใุ หแตกกนั คอื ฟงคาํ ของขางนี้ภิกษถุ กู วากลา วโดยชอบธรรม เปนตน แลว เกบ็ เอาไปบอกขา งโนน เพื่อทําลายเปนวรรคที่ ๘ แหง ปาจติ ติยกณั ฑ มี ขางนี้ ฟงคาํ ของขา งโนน แลวเกบ็ เอามา๑๒ สกิ ขาบท บอกขา งน้ี เพอ่ื ทําลายขา งโนน ; ดู ปสณุ าสหรคต ไปดวยกนั , กํากบั กนั , รวมกนั วาจา(บาล:ี สหคต) สอุปาทเิ สสนพิ พาน นพิ พานยังมีอปุ าทิสหวาส อยรู ว ม เปน ประการหนงึ่ ในรตั ต-ิ เหลอื , ดบั กิเลสแตยังมีเบญจขนั ธเ หลอืเฉท คอื เหตุขาดราตรแี หงการประพฤติ คอื นพิ พานของพระอรหนั ตผ ูยังมีชีวิตมานัตและการอยูปริวาส หมายถึงการ อยู, นิพพานในแงท่ีเปนภาวะดับกิเลสอยูรวมในชายคาเดียวกับปกตัตตภิกษุ; คอื โลภะ โทสะ โมหะ; เทียบ อนปุ าทิ-ดู รตั ติเฉท เสสนพิ พานสหเสยยสกิ ขาบท สิกขาบทเกย่ี วกบั การ สอุปาทิเสสบุคคล บุคคลผูยังมีเชื้อนอนรว มมี ๒ ขอ ขอ หนง่ึ ปรบั อาบัติ กเิ ลสเหลอื อย,ู ผยู งั ไมส นิ้ อปุ าทาน ไดแ กปาจติ ตยี แ กภ กิ ษผุ นู อนรว มกบั อนปุ สมั บนั พระเสขะ คือ พระอรยิ บคุ คลทั้งหมดเกิน ๒–๓ คืน อกี ขอหน่งึ ปรับอาบตั ิ ยกเวนพระอรหันต; เทยี บ อนุปาทเิ สส-ปาจิตตียแกภิกษุผูนอนรวม (คือนอน บคุ คลในท่มี งุ ทบี่ งั เดียวกัน) กับหญงิ แมใ นคืน สกั กะ 1. พระนามจอมเทพ ในสวรรคช นั้แรก (ขอ ๕ และ ๖ ในมสุ าวาทวรรค ดาวดงึ ส เรียกกนั วา ทา วสักกะ หรอื พระ อินทร; ดู ดาวดึงส, วัตรบท, อินทร 2.ปาจติ ติยกณั ฑ)สหไสย การนอนดวยกัน, การนอนรว ม ชอื่ ดงไมท อ่ี ยใู นชมพทู วปี ตอนเหนอื แถบสหัมบดี ช่ือพระพรหมผูอาราธนาพระ เขาหมิ าลยั เขตปา หมิ พานต 3. ชอื่ ชนบทท่ี ตัง้ อยใู นดงไมสักกะ; ดู สักกชนบทพทุ ธเจาใหแสดงธรรมโปรดสตั วสหาย เพอ่ื น, เพือ่ นรวมการงาน (แปล สักกชนบท ช่ือแควนหนึ่งในชมพูทวีปตามศัพทวา “ผูไปดวยในกิจทั้งหลาย” ตอนเหนือ นครหลวงชื่อกบลิ พัสดุ เปนหรือ “ผูมีความเส่ือมและความเจริญ ชาติภูมิของพระพุทธเจามีการปกครองรว มกนั ”) โดยสามัคคีธรรม มีประวัติสืบมาแตสองตอ สอง สองคนโดยเฉพาะ ไมม ีผู สมัยพระเจาโอกกากราช บดั นอี้ ยใู นเขต
สักกรนิคม ๔๐๖ สังขารประเทศเนปาล หานภาค คือในฝายขางเส่ือม ไดแกสักกรนิคม เปนนิคมหนึ่งอยูในสักก- ธรรมจําพวกที่ทําใหตกตํ่าเสื่อมทรามชนบท; สักขรนคิ ม ก็เรยี ก เชน อโยนโิ สมนสกิ าร อคติ ตณั หาสักกายทิฏฐิ ความเหน็ วา เปนตัวของตน, มานะ ทิฏฐิ อวิชชา; ตรงขามกับ โวทานความเห็นเปนเหตุถอื ตวั ตน เชน เห็นรูป สงั ขตะ สงิ่ ท่ีถกู ปจจยั ปรุงแตง , สงิ่ ทเ่ี กดิเปนตน เหน็ เวทนาเปน ตน เปน ตน (ขอ จากเหตุปจจยั แตง ข้ึน ไดแ กสภาพทเ่ี กดิ๑ ในสังโยชน ๑๐) แตเ หตทุ ั้งปวง, สงั ขตธรรม; ตรงขามกับสักการ, สักการะ เคารพนับถือบูชา, อสังขตะ สังขตธรรม ธรรมที่ถูกปจจัยปรุงแตงเครอ่ื งแสดงความเคารพบชู าสกั ขสิ าวก สาวกทท่ี นั เหน็ องคพ ระพทุ ธ- ข้นึ ตรงกบั สังขารในคําวา สังขารท้งั ปวงเจา , พระสภุ ทั ทะผเู คยเปน ปรพิ าชก เปน ไมเ ท่ียง ดงั นีเ้ ปนตน ; ตรงขามกับ อสังขต-สักขิสาวกองคส ุดทายของพระพุทธเจา ธรรมสักยปุตติยะ ผูเปนเหลากอแหงพระ สังขตลักษณะ ลกั ษณะแหงสงั ขตธรรม,ศากยบตุ ร (ศากยบตุ ร หรือ สักยปุตตะ ลกั ษณะของปรงุ แตง มี ๓ อยา ง ๑.หมายถงึ พระพทุ ธเจา ), โดยใจความ คือ ความเกิดขึ้น ปรากฏ ๒. ความดบัผูเปนลูกพระพุทธเจา ไดแกพระภิกษุ สลาย ปรากฏ ๓. เมื่อตง้ั อยู ความแปร(ภกิ ษุณีเรยี กวา สักยธิดา) ปรากฏสกั ยราช กษัตริยวงศศากยะ, พระราชา สงั ขาร 1. ส่งิ ท่ถี ูกปจ จัยปรงุ แตง, สิง่ ที่วงศศ ากยะ เกิดจากเหตุปจจัย เปนรูปธรรมก็ตามสงั กจั ฉกิ ะ ผารดั หรอื โอบรกั แร เปน จวี ร นามธรรมกต็ าม ไดแ กข นั ธ ๕ ท้งั หมด,อยา งหนง่ึ ในจีวร ๕ ของภกิ ษุณี คอื ตรงกับคําวา สังขตะ หรือ สังขตธรรมสงั ฆาฏิ ผา ทาบ ๑ อตุ ตราสงค ผาหม ๑ ไดในคําวา “สังขารท้ังหลายท้ังปวงไมอนั ตรวาสก สบง ๑ สงั กัจฉิกะ ผารดั เทีย่ ง” ดังนีเ้ ปนตน 2. สภาพทีป่ รุงแตงหรอื ผา โอบรกั แร ๑ อทุ กสาฏกิ า ผาอาบ ใจใหดีหรือช่ัว, ธรรมมีเจตนาเปน๑ (มากกวาของภิกษุซ่ึงมีจํานวนเพียง ประธานท่ีปรุงแตงความคิด การพูด๓ อยา งขางตน) การกระทํา มที ้ังทด่ี เี ปนกศุ ล ที่ชั่วเปนสังกเิ ลส ความเศราหมอง, ความสกปรก, อกศุ ล ท่ีกลางๆ เปน อัพยากฤต ไดแกสิ่งท่ีทําใจใหเศราหมอง, ธรรมที่อยูใน เจตสิก ๕๐ อยาง (คอื เจตสกิ ทง้ั ปวง
สังขาร๒ ๔๐๗ สงั คหวตั ถุเวนเวทนาและสัญญา) เปนนามธรรม เพราะเปนสภาพอันถูกปจจัยปรุงแตงอยา งเดยี ว, ตรงกบั สงั ขารขันธ ในขันธ ขึ้น จึงตองผันแปรไปตามเหตุปจจัย๕ ไดในคาํ วา “รปู ไมเทย่ี ง เวทนาไม เปนสภาพอันปจจัยบีบค้ันขัดแยง คงเท่ียง สัญญาไมเ ที่ยง สังขารไมเท่ยี ง ทนอยูมิไดวญิ ญาณไมเ ท่ยี ง” ดงั น้ีเปน ตน; อธบิ าย สังขารโลก โลกคือสังขาร ไดแกช มุ นมุอีกปริยายหนึ่ง สงั ขารตามความหมายน้ี แหงสังขารท้ังปวงอันตองเปนไปตามยกเอาเจตนาข้ึนเปนตัวนําหนา ไดแก ธรรมดาแหงเหตุปจ จยัสัญเจตนา คือเจตนาท่ีแตงกรรมหรือ สังขารุเปกขาญาณ ปรีชาหย่ังรูถึงขั้นปรงุ แตงการกระทาํ มี ๓ อยา งคือ ๑. เกิดความวางเฉยในสังขาร, ญาณอันกายสงั ขาร สภาพท่ีปรุงแตงการกระทาํ เปนไปโดยความเปน กลางตอสังขาร คือทางกาย คอื กายสญั เจตนา ๒. วจี- รูเทาทันสภาวะของสังขารวาที่ไมเที่ยงสังขาร สภาพที่ปรุงแตงการกระทําทาง เปนทุกขเปนตนน้ัน มันเปนไปของมันวาจา คือ วจสี ญั เจตนา ๓. จติ ตสงั ขาร อยา งน้ันเปน ธรรมดา จึงเลกิ เบื่อหนา ยหรอื มโนสงั ขาร สภาพทีป่ รงุ แตงการ เลิกคิดหาทางแตจะหนี วางใจเปนกลางกระทาํ ทางใจ คือ มโนสัญเจตนา 3. ตอมันได เลิกเกี่ยวเกาะและใหญาณสภาพที่ปรงุ แตงชวี ติ มี ๓ คอื ๑. กาย- แลน มุงสนู พิ พานอยา งเดยี ว (ขอ ๘ ในสังขาร สภาพที่ปรุงแตงกาย ไดแก วิปสสนาญาณ ๙)อสั สาสะ ปสสาสะ คอื ลมหายใจเขา ลม สังเขป การยอ , ยน ยอ , ใจความ, เคาหายใจออก ๒. วจสี ังขาร สภาพที่ปรงุ ความ; ตรงขา มกับ วติ ถาร, พสิ ดารแตง วาจา ไดแ กว ติ กและวจิ าร ๓. จติ ต- สงั เขปนยั นยั อยา งยอ, แบบยอ, แงสังขาร สภาพท่ีปรุงแตงใจ ไดแก ความหมายซงึ่ ชแี้ จงอยา งรวบรดั ; ตรงขา ม กบั วติ ถารนัยสญั ญาและเวทนาสังขาร ๒ คือ ๑. อุปาทินนกสังขาร สงั เขปฏ ฐกถา ดู โปราณัฏฐกถา, อรรถ-สังขารที่กรรมครอบครอง ๒. อนุปา- กถาทินนกสังขาร สังขารท่ีกรรมไมครอบ สงั คหวตั ถุ เรอื่ งทจี่ ะสงเคราะหก นั , คณุครอง, แปลโดยปริยายวา สงั ขารทมี่ ีใจ เปนเคร่ืองยึดเหนี่ยวใจของผูอื่นไวได,ครอง และสังขารท่ไี มมใี จครอง หลกั การสงเคราะห คือชวยเหลอื กนั ยึดสังขารทกุ ข ทกุ ขเ พราะเปนสังขาร คอื เหนี่ยวใจกันไว และเปนเคร่ืองเกาะกุม
สังคายนา ๔๐๘ สงั คายนา ประสานโลกคือสังคมแหงหมูสัตวไว ดวยปญญาอันย่ิง เธอทั้งหมดทีเดียว ดุจสลักยึดรถท่ีกําลังแลนไปใหคงเปน พึงพรอมเพรียงกันประชุมรวบรวม รถและวิ่งแลน ไปได มี ๔ อยา ง คือ ๑. กลา วใหลงกัน (สังคายนา) ทั้งอรรถะ ทาน การแบง ปน เออื้ เฟอ เผือ่ แผก ัน ๒. กับอรรถะ ทั้งพยัญชนะกับพยัญชนะ ปย วาจา พูดจานารัก นา นิยมนบั ถือ ๓. ไมพ งึ ววิ าทกนั โดยประการทพี่ รหมจรยิ ะ อัตถจริยา บาํ เพญ็ ประโยชน ๔. สมา- นจี้ ะยง่ั ยนื ดาํ รงอยตู ลอดกาลนาน เพอ่ื นัตตตา ความมีตนเสมอ คือ ทําตวั ให เกือ้ กลู แกพหูชน เพื่อความสุขแกพ หูชน เขา กนั ได เชน ไมถือตัว รว มสขุ รว ม เพอื่ เกอื้ การณุ ยแ กช าวโลก เพอ่ื ประโยชน ทุกขก นั เปน ตน เพ่ือเกื้อกูล เพ่ือความสุขแกเทวะและสังคายนา “การสวดพรอมกนั ” การรอ ย มนุษยท ั้งหลาย” และในทีน่ ั้น ไดตรัสวา กรองพระธรรมวนิ ยั , การประชมุ รวบรวม ธรรมท้ังหลายท่ีทรงแสดงแลวดวย และจดั หมวดหมคู าํ สง่ั สอนของพระพุทธ ปญญาอันย่ิง หมายถงึ ธรรม ๗ หมวด เจาโดยพรอมกันทบทวนสอบทานจน (ทมี่ ชี อื่ รวมวา โพธปิ ก ขยิ ธรรม ๓๗), ใน ยอมรับและวางลงเปนแบบแผนอันหนึ่ง เวลาใกลก นั นนั้ เมอื่ พระสารีบุตรไดรบั อันเดียว พุทธดํารัสมอบหมายใหแสดงธรรมแก ภิกษุสงฆในท่ีเฉพาะพระพักตร ทานก็ “สังคายนา” คือ การสวดพรอมกัน ปรารภเรอ่ื งทนี่ คิ รนถนาฏบตุ รสนิ้ ชพี แลว เปนกิริยาแหงการมารวมกันซักซอม ประดานิครนถทะเลาะวิวาทกันในเร่ือง สอบทานใหลงกันแลวสวดพรอมกันคือ หลักคําสอน แลวทานไดแนะนําให ตกลงยอมรับไวดวยกันเปนอันหนึ่งอัน สังคายนา พรอ มทงั้ ทาํ เปน ตัวอยาง โดย เดยี ว ตามหลักในปาสาทกิ สตู ร (ที.ปา.๑๑/ ประมวลธรรมมาลําดับแสดงเปนหมวด ๑๐๘/๑๓๙) ทพ่ี ระพทุ ธเจาตรัสแนะนาํ แก หมู ต้งั แตห มวด ๑ ถงึ หมวด ๑๐ เทศนา ทานพระจุนทะ กลาวคือ ทานพระจนุ ทะ ของพระสารีบุตรคร้ังน้ีไดชือ่ วา “สังคีต-ิ ปรารภเร่ืองที่นิครนถนาฏบุตรส้ินชีพ สตู ร” (ที.ปา.๑๑/๒๒๑/๒๒๒) เปนพระสตู ร แลว ประดานคิ รนถตกลงในเร่อื งหลกั วาดวยการสังคายนาท่ีทําตั้งแตพระบรม คาํ สอนกันไมได กท็ ะเลาะวิวาทกนั ทา น ศาสดายังทรงพระชนมอยู, เมื่อพระ คํานึงถงึ พระศาสนา จงึ มาเฝา และพระ พทุ ธเจา ปรนิ พิ พานแลว พระมหากสั สปะ พทุ ธเจา ไดต รสั วา “เพราะเหตดุ งั นนี้ น่ั แล ผเู ปน สงั ฆเถระ กไ็ ดช กั ชวนพระอรหันต จนุ ทะ ในธรรมทงั้ หลายทเ่ี ราแสดงแลว
สงั คายนา ๔๐๙ สงั คายนาทั้งหลายประชุมกันทําสังคายนาตาม สังคายนาเกิดขึ้นเนื่องกันกับเหตุการณหลักการทกี่ ลาวมานน้ั โดยประมวลพระ ไมปกติที่มีการถือผิดปฏิบัติผิดจากพระธรรมวินัยท้ังหมดเทาที่รวบรวมไดวาง ธรรมวนิ ยั ทาํ ใหก ารสังคายนาเสมอื นมีลงไวเปนแบบแผน ตั้งแตหลังพุทธ- ความหมายซอนเพ่ิมขึ้นวาเปนการซักปรินิพพาน ๓ เดือน เรียกวาเปน ซอมทบทวนสอบทานพระธรรมวนิ ยั เพอ่ืสังคายนาครัง้ ท่ี ๑ จะไดเปนหลักหรือเปนมาตรฐานในการ ชาํ ระสังฆมณฑลและสะสางกิจการพระ ความหมายทเ่ี ปน แกนของสงั คายนา ศาสนา, จากความหมายที่เรม่ิ คลุมเครอืคอื การรวบรวมพทุ ธพจน หรอื คาํ สงั่ สอน สับสนนี้ ในภาษาไทยปจ จบุ นั สงั คายนาของพระบรมศาสดา ดงั นน้ั สงั คายนาที่ ถึงกับเพ้ียนความหมายไป กลายเปนเต็มตามความหมายแทจ รงิ จึงมีไดตอ การชําระสะสางบคุ คลหรือกิจการเมื่อมีพุทธพจนที่จะพึงรวบรวม อันไดแกสังคายนาเทา ท่ีกลา วมาขางตน สวน สังคายนาในยุคตน ซ่ึงถือเปนการสงั คายนาหลงั จากนน้ั ซึง่ จัดขึ้นหลงั สําคัญในการรักษาสืบทอดพระธรรมพทุ ธปรินิพพานอยางนอย ๑ ศตวรรษ วนิ ัย คือ คร้ังท่ี ๑ ถงึ ๕ ดังน:ี้ชัดเจนวาไมอยูในวิสัยแหงการรวบรวมพุทธพจน แตเ ปล่ยี นจุดเนน มาอยทู ี่การ คร้ังที่ ๑ ปรารภเรือ่ งสภุ ัททภิกษผุ ูรักษาพุทธพจนและคําส่ังสอนเดิมที่ได บวชเมื่อแกกลาวจวงจาบพระธรรมวินัยรวบรวมไวแลว อนั สืบทอดมาถึงตน ให และปรารภท่ีจะทาํ ใหธรรมรงุ เรอื งอยูสบืคงอยูบริสุทธ์ิบริบูรณท่ีสุดเทาที่จะเปน ไป พระอรหนั ต ๕๐๐ รปู มพี ระมหา-ไปได ดวยเหตุนนั้ สงั คายนาในยุคหลัง กัสสปะเปนประธาน และเปนผูถามสืบมาถงึ ปจจุบัน จงึ มีความหมายวา เปน พระอุบาลีเปนผูวิสัชนาพระวินัย พระการประชุมตรวจชําระสอบทาน รักษา อานนทเปน ผวู สิ ัชนาพระธรรม ประชมุพระไตรปฎกใหบริสุทธิ์ หมดจดจาก สังคายนาท่ีถํ้าสัตตบรรณคูหา ภูเขาความผิดพลาดคลาดเคล่อื น โดยกําจดั เวภารบรรพต เมอื งราชคฤห เม่ือหลงัส่ิงปะปนแปลกปลอมหรือทาํ ใหเขาใจสับ พุทธปรนิ ิพพาน ๓ เดือน โดยพระเจาสนออกไป ใหธ รรมวนิ ยั ของพระพทุ ธเจา อชาตศัตรูเปนศาสนูปถัมภก สิ้นเวลาคงอยูเปนแบบแผนอันหนึ่งอันเดียวท่ี ๗ เดือนจงึ เสรจ็เปน ของแทแตเ ดิม; ในบางยคุ สมัย การ ครง้ั ที่ ๒ ปรารภพวกภกิ ษุวชั ชบี ุตร แสดงวตั ถุ ๑๐ ประการ นอกธรรม นอก
สงั คตี ิ ๔๑๐ สังฆกรรมวนิ ยั พระยศกากณั ฑกบตุ รเปน ผชู กั ชวน ธรรมวินัยลงในใบลาน พระอรหันตไดพระอรหนั ต ๗๐๐ รูป พระเรวตะ ๕๐๐ รปู ประชมุ กนั สวดซอมแลว จารเปนผูถาม พระสัพพกามีเปนผูวิสัชนา พุทธพจนลงในใบลาน ณ อาโลกเลณ-ประชุมทาํ ท่วี าลิการาม เมืองเวสาลี เม่ือ สถาน ในมลยชนบท ในลงั กาทวีป เมอื่พ.ศ. ๑๐๐ โดยพระเจา กาลาโศกราช เปน พ.ศ. ๔๕๐ (วา ๔๓๖ กม็ )ี โดยพระเจาศาสนปู ถมั ภก สน้ิ เวลา ๘ เดอื นจงึ เสรจ็ วัฏฏคามณีอภัย เปนศาสนูปถัมภก; ครั้งท่ี ๓ ปรารภเดยี รถยี มากมาย บางคัมภีรวา สังคายนาคร้ังน้ีจัดข้ึนในปลอมบวชในพระศาสนาเพราะมีลาภ ความคุมครองของคนที่เปนใหญในทองสกั การะเกดิ ขน้ึ มาก พระอรหนั ต ๑,๐๐๐ ถน่ิ (ครั้งที่ ๔ ไดรบั ความยอมรบั ในแงรูป มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเปน เหตกุ ารณน อยกวา ครงั้ ท่ี ๕)ประธาน ประชุมทําท่ีอโศการามเมอื ง สังคตี ิ 1. การสังคายนา; ดู สังคายนา 2.ปาฏลีบตุ ร เมือ่ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๔ ในคาํ วา “บอกสังคตี ิ” ซ่งึ เปน ปจ ฉมิ กิจ(พ.ศ. ๒๑๘ เปนปท พ่ี ระเจา อโศกข้ึน อยางหน่ึงของการอุปสมบท ทานครองราชย) โดยพระเจา อโศก หรอื ศร-ี สันนิษฐานวา หมายถึงการประมวลบอกธรรมาโศกราชเปนศาสนูปถัมภก สิ้น อยางอนื่ นอกจากท่ีระบุไว เชน สีมาหรือเวลา ๙ เดือนจึงเสรจ็ อาวาสทอ่ี ปุ สมบท อุปช ฌายะ กรรม-ครั้งที่ ๔ ปรารภใหพระศาสนา วาจาจารย จํานวนสงฆประดษิ ฐานมน่ั คงในลงั กาทวปี พระสงฆ สังคีติกถา ถอยคําที่กลาวถึงเรื่อง๖๘,๐๐๐ รูป มีพระมหินทเถระเปน สงั คายนา, แถลงความเรอ่ื งสังคายนาประธานและเปนผถู าม พระอริฏฐะเปน สังคีติปริยาย บรรยายเรื่องการผูว สิ ชั นา ประชมุ ทําทถ่ี ปู าราม เมืองอนุ- สังคายนา, การเลา เรื่องการสังคายนาราธบรุ ี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ โดยพระเจา สงั ฆกรรม งานของสงฆ, กรรมทสี่ งฆพงึเทวานมั ปย ตสิ สะเปน ศาสนูปถัมภก สน้ิ ทํา, กิจท่ีพงึ ทําโดยทปี่ ระชุมสงฆ มี ๔เวลา ๑๐ เดอื นจงึ เสร็จ คอื ๑. อปโลกนกรรม กรรมทท่ี ําเพียงคร้ังท่ี ๕ ปรารภพระสงฆแตกกัน ดวยบอกกันในท่ีประชุมสงฆ ไมตอ งตง้ัเปน ๒ พวกคอื พวกมหาวิหารกบั พวก ญัตติและไมตองสวดอนุสาวนา เชนอภยั ครี วี หิ าร และคาํ นงึ วา สบื ไปภายหนา แจงการลงพรหมทัณฑแกภิกษุ ๒.กุลบุตรจะถอยปญญา ควรจารึกพระ ญัตติกรรม กรรมที่ทาํ เพียงตั้งญัตติไม
สงั ฆการี ๔๑๑ สังฆเถระตองสวดอนุสาวนา เชน อุโบสถและ การีมีอํานาจหนาที่กวางขวาง มิใชเปนปวารณา ๓. ญตั ติทุตยิ กรรม กรรมที่ทํา เพียงเจาพนักงานในราชพธิ เี ทา นั้น แตดวยตั้งญัตติแลวสวดอนุสาวนาหนหน่ึง ทําหนาท่ีชําระอธิกรณพิจารณาโทษแกเชน สมมตสิ ีมา ใหผ า กฐิน ๔. ญัตต-ิ พระสงฆผูลวงละเมิดสิกขาบทประพฤติจตตุ ถกรรม กรรมทีท่ ําดวยการต้ังญตั ติ ผิดธรรมวินัยดวยแลวสวดอนุสาวนา ๓ หน เชน สังฆคารวตา ดู คารวะ สังฆคุณ คุณของพระสงฆ (หมายถึงอปุ สมบท ใหปรวิ าส ใหม านตัสังฆการี เจาหนาที่ผูทําการสงฆ, เจา สาวกสงฆ หรือ อริยสงฆ) มี ๙ คือ ๑.พนักงานผูมีหนาที่เก่ียวกับสงฆในงาน สุปฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสงโฺ ฆ พระหลวง, เจา หนา ทผี่ เู ปน พนกั งานในการพธิ ี สงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจาเปนผูสงฆ มมี าแตโ บราณสมยั อยุธยา สังกดั ปฏิบัตดิ ี ๒. อุชุปฏิปนโฺ น เปนผูป ฏบิ ตั ิ ตรง ๓. ายปฏปิ นฺโน เปนผูปฏบิ ตั ถิ กูในกรมสังฆการี ซึ่งรวมอยูดวยกันกับ ทาง ๔. สามจี ปิ ฏปิ นโฺ น เปน ผปู ฏบิ ตั ิสมกรมธรรมการ เรยี กรวมวา กรมธรรม- ควร (ยททิ ํ จตตฺ าริ ปรุ สิ ยคุ านิ อฏ ปรุ สิ -การสงั ฆการี เดิมเรียกวา สงั กะรี หรอื ปุคฺคลา ไดแ ก คบู ุรุษ ๔ ตวั บคุ คล ๘สงั การี เปลยี่ นเรยี ก สงั ฆการี ในรชั กาล เอส ภควโต สาวกสงโฺ ฆ พระสงฆสาวกที่ ๔ ตอ มาเมอ่ื ตง้ั กระทรวงธรรมการใน ของพระผมู พี ระภาคน)้ี ๕. อาหุเนยโฺ ยพ.ศ. ๒๔๓๒ กรมธรรมการสงั ฆการเี ปนกรมหนึง่ ในสังกัดของกระทรวงนนั้ จน เปน ผคู วรแกข องคาํ นบั คอื ควรรับของถึง พ.ศ. ๒๔๕๔ กรมสังฆการจี งึ แยก ที่เขานาํ มาถวาย ๖. ปาหุเนยฺโย เปนผูเปนกรมตางหากกันกับกรมธรรมการ ควรแกก ารตอนรับ ๗. ทกฺขเิ ณยโฺ ย เปนตอมาใน พ.ศ. ๒๔๗๖ กรมสังฆการถี ูก ผูควรแกทักษิณาคือควรแกของทําบุญยุบลงเปนกองสังกัดในกรมธรรมการ ๘. อชฺ ลกี รณโี ย เปน ผคู วรแกก ารกราบกระทรวงศึกษาธกิ าร ตอมาอกี ใน พ.ศ. ไหว ๙. อนุตฺตรํ ปุ ฺ กฺเขตฺตํ โลกสฺส๒๔๘๔ กรมธรรมการเปลี่ยนชื่อเปน เปนนาบุญอันยอดเย่ียมของโลก คือกรมการศาสนา และในคราวทายสุด เปนแหลงปลูกเพาะและเผยแพรความดีพ.ศ. ๒๕๑๕ กองสงั ฆการีไดถูกยุบเลิก ที่ยอดเยี่ยมของโลกไป และมีกองศาสนูปถัมภขึ้นมาแทน สังฆเถระ ภิกษุผูเปนพระเถระในสงฆปจ จุบันจงึ ไมม ีสังฆการี; บางสมยั สังฆ- คือ เปนผูใหญเปนประธานในสงฆ,
สังฆทาน ๔๑๒ สังฆมิตตาภิกษุผูมีพรรษามากกวาภิกษุอ่ืนใน อนง่ึ ถา เปนสังฆทานประเภทอุทศิชมุ นุมน้ันท้ังหมด ผตู าย เรยี กวา มตกภตั พงึ เปลย่ี นแปลงสงั ฆทาน ทานเพอ่ื สงฆ, การถวายแกส งฆ คาํ ถวายทพ่ี มิ พต วั เอนไวค อื ภตตฺ านิ เปนคือ ถวายเปน กลางๆ ไมจําเพาะเจาะจง มตกภตฺตาน,ิ อมฺหากํ เปน อมหฺ ากเฺ จวภิกษรุ ูปใดรูปหนึ่ง เชน จะทาํ พิธถี วาย มาตาปต ุอาทีนจฺ าตกานํ กาลกตาน;ํของท่ีมีจํานวนจํากดั พงึ แจงแกทางวดั ให ภตั ตาหาร เปน มตกภัตตาหาร, แกจัดพระไปรับตามจาํ นวนที่ตอ งการ หวั ขา พเจา ทงั้ หลาย เปน แกข า พเจา ทงั้ หลายหนาสงฆจดั ภิกษุใดไปพงึ ทาํ ใจวา ทา น ดวย แกญาติของขาพเจาท้ังหลาย มีมารับในนามของสงฆหรือ เปนผูแทน มารดาบดิ าเปน ตน ผลู ว งลบั ไปแลว ดว ย”ของสงฆทั้งหมด ไมพึงเพงเล็งวาเปน สงั ฆนวกะ ภกิ ษุผูใ หมใ นสงฆ คือบวชบุคคลใด คิดตั้งใจแตวาจะถวายอุทิศ ภายหลงั ภิกษทุ ั้งหมดในชมุ นุมสงฆน นั้แกส งฆ; ในพิธีพงึ จุดธปู เทียนบูชาพระ สังฆภัต อาหารถวายสงฆ หมายถึงอาราธนาศลี รบั ศลี จบแลว ตง้ั นโม ๓ จบ อาหารทเี่ จา ของนาํ มา หรอื สง มาถวายสงฆกลาวคําถวายเสร็จแลวประเคนของ ในอารามพอแจกทว่ั กนั ; เทยี บ อทุ เทสภัตและเมอื่ พระสงฆอนโุ มทนา พึงกรวดนํ้า สังฆเภท ความแตกแหงสงฆ, การทาํ ใหรบั พร เปน เสรจ็ พธิ ;ี คาํ ถวายสังฆทาน สงฆแ ตกจากกนั (ขอ ๕ ในอนันตรยิ -วา ดงั น:ี้ “อิมานิ มยํ ภนเฺ ต, ภตฺตานิ, กรรม ๕), กําหนดดวยไมทําอุโบสถสปริวาราน,ิ ภิกขฺ สุ งฆฺ สสฺ , โอโณชยาม, ปวารณา และสังฆกรรมดวยกนั ; เทยี บสาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ, อิมานิ, สงั ฆราช,ี ดู สามคั คีภตฺตานิ, สปริวารานิ, ปฏิคฺคณฺหาตุ, สงั ฆเภทขนั ธกะ ชือ่ ขันธกะที่ ๗ แหงอมฺหาก,ํ ทฆี รตฺต,ํ หิตาย, สุขาย” แปล จุลวรรคในพระวินัยปฎก วาดวยเร่ืองวา: “ขาแตพ ระสงฆผูเ จริญ ขาพเจาทั้ง พระเทวทัตทําลายสงฆและเรื่องควรหลายขอนอมถวายภัตตาหาร กับท้ัง ทราบเก่ยี วกับสังฆเภท สังฆสามคั คีบรวิ ารเหลาน้แี กพระภิกษุสงฆ ขอพระ สงั ฆมณฑล หมูพระ, วงการพระภิกษุสงฆจงรับภัตตาหาร กับทั้งบริวาร สังฆมิตตา พระราชบุตรีของพระเจาเหลาน้ีของขาพเจาท้ังหลาย เพ่ือ อโศกมหาราช ทรงผนวชเปนภิกษุณีประโยชนและความสุขแกขาพเจาทั้ง และไปประดิษฐานภิกษุณีสงฆที่ลังกา-หลาย สน้ิ กาลนานเทอญ” ทวีปพรอมทั้งนําก่ิงพระศรีมหาโพธิ์ไป
สงั ฆรตั นะ, สังฆรัตน ๔๑๓ สังฆานุสติถวายแกพระเจา เทวานัมปย ตสิ สะดว ย ใชท าบบนจีวร เปน ผา ผนื หนึง่ ในสามผนืสังฆรัตนะ, สังฆรัตน รัตนะคือสงฆ, ท่เี รยี กวา ไตรจีวรพระสงฆอ นั เปน อยางหนง่ึ ในรัตนะ ๓ ท่ี สังฆาทเิ สส ชอื่ หมวดอาบตั ิหนักรองจากเรยี กวา พระรัตนตรยั ; ดู รตั นตรยั ปาราชกิ ตอ งอยกู รรมจงึ พนได คอื เปนสงั ฆราชี ความรา วรานแหงสงฆ คือ จะ ครกุ าบตั ิ (อาบตั หิ นกั ) แตย งั เปน สเตกจิ ฉา แตกแยกกัน แตไ มถ งึ กับแยกทาํ อุโบสถ (แกไขหรือเยียวยาได); ตามศัพท สังฆาทิเสส แปลวา “หมวดอาบัตอิ นั จํา ปวารณาและสงั ฆกรรมตา งหากกนั ; เทยี บ สงั ฆเภท, ดู สามคั คี ปรารถนาสงฆในกรรมเบ้ืองตนและสังฆสัมมุขตา ความเปนตอหนาสงฆ กรรมทเี่ หลือ”, หมายความวา วธิ ีการท่ีหมายความวา การระงับอธิกรณนั้น จะออกจากอาบตั นิ ้ี ตอ งอาศัยสงฆ ต้ังกระทําในท่พี รอ มหนา สงฆ ซึง่ ภิกษผุ เู ขา แตตนไปจนตลอด กลาวคือเร่ิมตนจะประชุมมีจํานวนครบองคเปนสงฆ ได อยปู รวิ าส กต็ องขอปริวาสจากสงฆ ตอ นําฉันทะของผูควรแกฉันทะมาแลว จากนั้น จะประพฤติมานัตก็ตอ งอาศัย สงฆเปนผูให ถามีมูลายปฏิกัสสนาก็ และผอู ยูพรอ มหนากนั นน้ั ไมค ัดคาน; ดู สมั มขุ าวนิ ัย ตองสําเร็จดวยสงฆอกี และทายทส่ี ุดก็สงั ฆสามคั คี ความพรอ มเพรยี งแหง สงฆ; ดู สามคั คี ตองขออัพภานจากสงฆ; สิกขาบทท่ีสังฆอุโบสถ อุโบสถของสงฆ คอื การทาํ ภกิ ษลุ ะเมดิ แลว จะตอ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส มี ๑๓ ขอ คาํ วา สงั ฆาทเิ สส ใชเปนชือ่อโุ บสถของสงฆท ค่ี รบองคก าํ หนด คอื มี เรียกสกิ ขาบท ๑๓ ขอ นี้ดวยภกิ ษตุ ง้ั แต ๔ รปู ขน้ึ ไป สวดปาฏโิ มกข สังฆาทิเสสกัณฑ ตอนอนั วา ดว ยอาบัติไดต ามปกติ (ถา มภี ิกษุอยู ๒–๓ รูป สังฆาทิเสส, ในพระวินยั ปฎก ทานเรียกตองทําคณอโุ บสถ คอื อุโบสถของคณะ วาเตรสกัณฑ (ตอนวาดวยสิกขาบทซงึ่ เปนปาริสุทธอิ โุ บสถ คอื อโุ บสถทีท่ าํ ๑๓) อยูใ นคมั ภรี ม หาวิภังคเ ลมแรกโดยบอกความบริสุทธิ์ของกันและกัน สงั ฆานุสติ ระลกึ ถึงคณุ ของพระสงฆ ดังถามีภกิ ษุรูปเดยี ว ตองทําบุคคลอุโบสถ ที่พระพุทธเจาตรัสสอนในนันทิยสูตร คือ อโุ บสถท่ีทําโดยการอธิษฐานกําหนด (อง.ทสก.๒๔/๒๒๐/๓๖๔) ใหระลึกถึงพระ ใจวา วันนน้ั เปนวนั อโุ บสถ); ดู อุโบสถ สงฆในฐานเปนกัลยาณมิตร (ขอ ๓ ในสังฆาฏิ ผา ทาบ, ผาคลมุ กันหนาวทพ่ี ระ อนสุ ติ ๑๐) เขยี นอยางรปู เดิมในภาษา
สงั ฆาวาส ๔๑๔ สังวร บาลีเปน สงั ฆานสุ สสต;ิ ดู สงั ฆคุณ สังโยชน กเิ ลสท่ีผูกมัดใจสัตว, ธรรมท่ีสงั ฆาวาส “อาวาสของสงฆ”, สวนของวดั มัดสตั วไ วก บั ทุกข มี ๑๐ อยาง คอื ก. ซึ่งจัดไวเปนท่ีอยูอาศัยของพระสงฆ โอรมั ภาคิยสงั โยชน สังโยชนเบอ้ื งต่าํ ๕ ประกอบดว ยกุฏิ หอสวดมนต หอฉัน ไดแ ก ๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นวา เปน เปนตน ตางกับและเปนคูกันกับ ตวั ของตน ๒. วจิ กิ จิ ฉา ความลงั เลสงสัย พุทธาวาส, เปนคําที่บัญญัติขึ้นใชภาย ๓. สีลัพพตปรามาส ความถือม่ันศีล หลัง (มิไดมีมาแตเดิมในคัมภีร); ดู พรต ๔. กามราคะ ความติดใจในกาม พทุ ธาวาส, เทียบสังฆิกาวาส คณุ ๕. ปฏฆิ ะ ความกระทบกระทง่ั ในสังฆกิ าวาส ทีอ่ ยูทเ่ี ปนของสงฆ, เปนคาํ ทางพระวินัย ตรงขามกับ ปคุ คลิกาวาส ใจ ข. อุทธมั ภาคยิ สังโยชน สังโยชน (ทอ่ี ยทู เี่ ปน ของบคุ คล หรอื ทอี่ ยสู ว นตวั ) เบอ้ื งสงู ๕ ไดแก ๖. รูปราคะ ความตดิ เชนในขอความวา (วินย.อ.๓/๓๙๔) “ถา ใจในรปู ธรรมอันประณตี ๗. อรูปราคะ ภิกษุถือเอาทัพสัมภาระท้ังหลาย มี ความติดใจในอรูปธรรม ๘. มานะ กลอนเปนตน จากสังฆิกาวาสนน้ั นําไป ความถือวา ตัวเปน น่นั เปน นี่ ๙. อทุ ธจั จะ ความฟงุ ซา น ๑๐. อวชิ ชา ความไมร จู รงิ ;ใชในสงั ฆกิ าวาสอน่ื กเ็ ปนอนั ใชไปดว ย พระโสดาบนั ละสงั โยชน ๓ ขอ ตน ได,ดี แตเมอ่ื เอาไปใชใ นปุคคลิกาวาส จะ พระสกทิ าคามี ทาํ สงั โยชนข อ ๔ และ ๕ตองจายมูลคาให หรือตองทําใหกลับ ใหเบาบางลงดวย, พระอนาคามี ละคืนดเี ปนปกตอิ ยา งเดิม, ถาภิกษุมไี ถย- สังโยชน ๕ ขอตน ไดห มด, พระอรหนั ตจิต ถอื เอาเตียงและตั่งเปนตน จากวหิ าร ละสงั โยชนท้งั ๑๐ ขอ ; ในพระอภธิ รรมทถี่ กู ทอดทิ้งแลว พงึ ปรบั อาบตั ติ ามมลู ทา นแสดงสังโยชนอ กี หมวดหนึง่ คือ ๑.คาแหงส่ิงของ ในขณะที่ยกขึ้นไปนั่นที กามราคะ ๒. ปฏฆิ ะ ๓. มานะ ๔. ทฏิ ฐิเดยี ว”, “สังฆิกวิหาร” ก็เรยี ก; พงึ สังเกต (ความเหน็ ผดิ ) ๕. วจิ กิ จิ ฉา ๖. สลี พั พต-วา “สงั ฆกิ าวาส” กด็ ี “ปคุ คลกิ าวาส” กด็ ี ปรามาส ๗. ภวราคะ (ความตดิ ใจในเปนคําที่ใชใ นชน้ั อรรถกถา สวนในพระ ภพ) ๘. อิสสา (ความริษยา) ๙.ไตรปฎก ใชเปนขอความวา วิหารทีเ่ ปน มัจฉริยะ (ความตระหน่ี) ๑๐. อวชิ ชาสังฆิกะ หรือวิหารของสงฆ และ สังวร ความสาํ รวม, การระวังปดก้ันบาป อกุศล มี ๕ อยาง คอื ๑. ปาฏโิ มกข-เสนาสนะของสงฆ เปน ตนสังยมะ ดู สญั ญมะ สังวร สํารวมในปาฏิโมกข (บางแหง
สังวรปธาน ๔๑๕ สงั เวชเรยี ก สีลสงั วร สํารวมในศลี ) ๒. สต-ิ สังวาสนาสนา ใหฉิบหายจากสังวาสสังวร สํารวมดวยสติ ๓. ญาณสังวร หมายถึง การทําอกุ เขปนยี กรรมยกเสียสํารวมดว ยญาณ ๔. ขนั ตสิ ังวร สํารวม จากสังวาส คือทําใหหมดสิทธิท่ีจะอยูดวยขันติ ๕. วิริยสังวร สํารวมดวย รว มกบั สงฆ สังเวคกถา ถอ ยคําแสดงความสลดใจใหความเพียรสังวรปธาน เพยี รระวัง คือ เพยี รระวัง เกดิ ความสงั เวชคือเรา เตอื นสาํ นึกบาปอกุศลธรรมทย่ี งั ไมเกดิ มิใหเ กิดขน้ึ สังเวควัตถุ เรื่องที่นาสลดใจ, เรื่องท่ี(ขอ ๑ ในปธาน ๔) พิจารณาแลวจะทําใหเกิดความสังเวชสังวรปารสิ ทุ ธิ ความบริสทุ ธิ์ดว ยสังวร, คือเราเตือนสํานึกใหมีจิตใจนอมมาในความสํารวมท่ีเปนความบริสุทธ์ิ หรือ ทางกศุ ล เกดิ ความคดิ ไมป ระมาทและมีเปน เครอ่ื งทําใหบ รสิ ุทธิ์ หมายถึง ศลี ท่ี กําลังท่ีจะทําความเพียรปฏิบัติธรรมตอประพฤตถิ กู ตอง เปนไปเพ่ือความไมมี ไป เชน ความเกิด ความแก ความเจ็บวิปฏิสาร เปนตน ตามลาํ ดบั จนถึงพระ ความตาย และอาหารปรเิ ยฏฐิทุกข คอืนิพพาน จดั เปน อธศิ ีล ทกุ ขในการหากิน เปน ตนสงั วรรณนา พรรณนาดว ยด,ี อธบิ ายความ สงั เวช ความสลดใจใหไ ดคิด, ความรูสึกสังวรสุทธิ ความบริสุทธิ์ดวยสังวร, เตือนสํานกึ หรอื ทําใหฉ กุ คดิ , ความรูสึก ความสํารวมที่เปนเคร่ืองทําใหบริสุทธ์ิ กระตุน ใจใหค ดิ ได ใหคิดถึงธรรม ให หมายถึง อนิ ทรยี สงั วรสงั วฏั ฏกปั ดู กปั ตระหนกั ถงึ ความจรงิ ของชวี ติ และเราสงั วฏั ฏฐายกี ปั ดู กปัสังวาส ธรรมเปนเคร่ืองอยูรวมกันของ เตือนใหไมประมาท; ตามความหมายที่ แทข องศพั ท สงั เวช คอื “สงั เวค” แปลวา แรงเรง แรงกระตุน หรือพลงั ทปี่ ลุกเราสงฆ ไดแกการทําสังฆกรรมรวมกัน หมายถงึ แรงกระตุน เรา เตือนใจ ใหไดสวดปาฏโิ มกขร ว มกนั มสี กิ ขาบทเสมอ คิดหรือสํานึกข้ึนมาได ใหคิดถึงธรรมกนั เรยี กงา ยๆ วา ทาํ อโุ บสถ สงั ฆกรรม หรือตระหนักถึงความจริงความดีงามรว มกนั คอื เปน พวกเดยี วกนั อยดู ว ย อันทําใหตื่นหรือถอนตัวขึ้นมาจากความกันได มีฐานะและสิทธิเสมอกัน อยู เพลิดเพลิน ความหลงระเริงปลอยตัวดวยกันได; ในภาษาไทย ใชห มายถงึ รว ม มวั เมา หรือความประมาท แลว หกั หันประเวณี ดว ย ไปเรงเพียรทําการท่ีตระหนักรูวาจะพึง
สงั เวชนยี สถาน ๔๑๖ สงั สารสุทธิทําดวยความไมประมาทตอไป แตใน ตายเกดิ อยใู นโลกหรอื ในภพตา งๆ, วาภาษาไทย สังเวช มีความหมายหดแคบ โดยสภาวะ กค็ อื ความสบื ทอดตอเน่อื งลงและเพ้ียนไป กลายเปนความรูสึก ไปแหงขันธท้งั หลายนัน่ เอง; นยิ มพดู วาสลดใจ หรอื เศราสลด แลวหงอยหรือ สังสารวัฏ;ดู ปฏจิ จสมปุ บาทหดหเู สีย ซง่ึ กลายเปนตรงขา มกบั ความ สังสารจักร วงลอ แหง สงั สาระ, วงลอสงั เวชท่ีแท แหงการเท่ียวเรรอนเวียนวายตายเกิด,สังเวชนียสถาน สถานเปนท่ีต้ังแหง อาการหมุนวนตอเนื่องไปแหงภาวะของความสงั เวช, ที่ทใี่ หเกดิ ความสงั เวชมี ๔ ชีวิตท่ีเปนไปตามเหตุปจจัย ในหลักคอื ๑. ทพี่ ระพทุ ธเจา ประสตู ิ คอื อทุ ยาน ปฏิจจสมปุ บาท; “สงั สารจกั ร” เปน คาํ ในลุมพนิ ี ปจจบุ นั เรียก ลมุ พินี (Lumbini) ช้ันอรรถกถาลงมา เชน เดยี วกบั คาํ วา ภว-หรอื รมุ มนิ เด (Rummindei) ๒. ท่พี ระ จักร ปจ จยาการจกั ร ตลอดจนปฏจิ จ-พทุ ธเจา ตรสั รู คือ ควงโพธิ์ ท่ตี ําบล สมุปบาทจักร ซ่ึงทานสรรมาใชในการพุทธคยา (Buddha Gaya หรือ Bodh- อธบิ ายหลกั ปฏจิ จสมปุ บาทนนั้ , อาการGaya) ๓. ท่ีพระพุทธเจาแสดงปฐม- หมุนวนของสังสารจักร หรือภวจักรน้ีเทศนา คอื ปา อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวง ทา นอธบิ ายตามหลักไตรวัฏฏ; ดู ไตร-เมอื งพาราณสี ปจ จุบนั เรยี ก สารนาถ วัฏฏ, ปฏจิ จสมปุ บาท, สังสาระ๔. ที่พระพุทธเจาปรินิพพาน คือ ที่ สังสารวัฏ วังวนแหงการเวียนเกดิ เวียนสาลวโนทยาน เมืองกุสินารา หรือ ตาย, การเวียนวายตายเกิดอยูในโลกกุสินคร (Kusinagara) บัดน้ีเรียก หรอื ในภพตางๆ, โดยใจความ ก็ไดแ กKasia; ดู สงั เวช “สังสาระ” น่ันเอง; สังสารวัฏฏ หรือสังเวย บวงสรวง, เซน สรวง (ใชแ กผแี ละ สงสารวัฏ กเ็ ขยี น; ดู สงั สาระ, ไตรวฏั ฏ,เทวดา) ปฏจิ จสมปุ บาทสงั สาระ, สงสาร การเทย่ี วเรร อ นไปใน สังสารสทุ ธิ ความบรสิ ุทธิด์ วยการเวยี นภพ คอื ภาวะแหง ชวี ติ ทถ่ี ูกพัดพาให วายตายเกิด คอื ลทั ธิของมกั ขลโิ คสาลประสบสุขทุกข ขึ้นลง เปนไปตางๆ ซึ่งถือวา สัตวท้ังหลายทองเท่ียวเวียนตามกระแสแหงอวิชชา ตัณหา และ วายตายเกดิ ไปเรือ่ ยๆ ก็จะคอยบรสิ ุทธ์ิอปุ าทาน, การวายวนอยใู นกระแสแหง หลุดพนจากทุกขไปเอง การปฏิบัติกเิ ลส กรรม และวิบาก, การเวียนวาย ธรรมไรประโยชน ไมอ าจชว ยอะไรได
สังสทุ ธคหณี ๔๑๗ สัจจาธฏิ ฐานสังสุทธคหณี มีครรภท่ีถือปฏิสนธิ ยังบินไมได พอนกแมนกก็บินหนีไปสะอาดหมดจดดี แลว จงึ ทําสัจกริ ยิ า อา งวาจาสตั ยข องสงั เสทชะ สตั วเ กดิ ในของชน้ื แฉะโสโครก ตนเองเปนอานุภาพ ทําใหไฟปาไมลุก เชน หมูหนอน (ขอ ๓ ในโยนิ ๔) ลามเขา มาในทน่ี นั้ (เปน ทม่ี าของวฏั ฏก-สงั หาร การทาํ ลาย, ฆา, ลางผลาญชีวติ ปรติ รทสี่ วดกนั ในปจ จบุ นั ), ในภาษาบาลีสังหาริมะ สง่ิ ท่เี คลื่อนทไี่ ด คอื นําไปได สัจกิริยาน้ีเปนคําหลัก บางแหงใชเชน สัตวและส่งิ ของที่ต้งั อยูลอยๆ ไม สัจจาธิฏฐานเปนคําอธิบายบาง แตติดท่ี ไดแ ก เงนิ ทอง เปนตน; เทียบ ในภาษาไทยมักใชคําวาสัตยาธิษฐานอสังหารมิ ะ ซ่ึงเปน รูปสนั สกฤตของ สจั จาธิฏฐาน; ดูสังหาริมทรพั ย ทรัพยเคลือ่ นทไี่ ด เชน สจั จาธิฏฐาน, สัตยาธิษฐานสัตวเล้ียง เตยี ง ตัง่ ถวย ชาม เปน ตน ; สจั จะ 1. ความจรงิ มี ๒ คอื ๑. สมมต-ิคูก ับ อสังหารมิ ทรพั ย สจั จะ จริงโดยสมมติ เชน คน พอคาสัจกิริยา “การกระทําสัจจะ”, การใช ปลา แมว โตะ เกา อี้ ๒. ปรมตั ถสจั จะสัจจะเปนอานภุ าพ, การยนื ยันเอาสจั จะ จริงโดยปรมัตถ เชน รปู เวทนา สญั ญาคือความจรงิ ใจ คําสัตย หรอื ภาวะทเ่ี ปน สังขาร วญิ ญาณ 2. ความจริงคอื จรงิจรงิ ของตนเอง เปน กาํ ลังอาํ นาจทจ่ี ะคมุ ใจ ไดแก ซื่อสตั ย จริงวาจา ไดแก พูดครองรักษาหรือใหเกิดผลอยางใดอยาง จริง และ จริงการ ไดแ ก ทําจรงิ (ขอ ๑หนึ่ง เชนทพ่ี ระองคลุ มิ าลกลา วแกห ญิง ในฆราวาสธรรม ๔, ขอ ๒ ในอธษิ ฐานมีครรภแกวา “ดูกรนองหญิง ตั้งแต ธรรม ๔, ขอ ๔ ในเบญจธรรม, ขอ ๗อาตมาเกดิ แลวในอริยชาติ มไิ ดร สู ึกเลย ในบารมี ๑๐)วาจะจงใจปลงสัตวเสียจากชีวิต ดวย สัจจญาณ ปรีชากําหนดรูความจริง,สจั วาจาน้ี ขอความสวสั ดจี งมแี กท า น ขอ ความหยง่ั รสู ัจจะ คือ รอู ริยสจั จ ๔ แตความสวัสดีจงมีแกครรภของทานเถิด” ละอยางตามภาวะทเี่ ปน จรงิ วานท้ี ุกข นี้แลวหญิงนั้นไดคลอดบุตรงายดายและ ทุกขสมทุ ยั เปน ตน (ขอ ๑ ในญาณ ๓)ปลอดภัย (คาํ บาลขี องขอ ความนี้ ไดน าํ สจั ธรรม, สัจจธรรม ธรรมทจ่ี ริงแท,มาสวดกันในช่ือวา อังคุลิมาลปริตร) หลักสจั จะ เชน ในคาํ วา “อริยสัจจ-และเร่อื งในวัฏฏกชาดกทีว่ า ลกู นกคมุ ธรรมทง้ั สี”่ออ น ถูกไฟปา ลอมใกลร งั เขามา ตัวเอง สจั จาธฏิ ฐาน 1. ทม่ี น่ั คอื สจั จะ, ธรรมที่
สจั จานุโลมญาณ ๔๑๘ สญั ญมะควรตงั้ ไวใ นใจใหเ ปน ฐานทม่ี น่ั คอื สจั จะ, สญั เจตนา และ ธัมมสญั เจตนา; ดู ปย -ผูมีสัจจะเปนฐานที่ม่ัน (ขอ ๒ ใน รูป สาตรปูอธฏิ ฐาน ๔); ดู อธษิ ฐานธรรม 2. การ สัญเจตนิกา มีความจงใจ, มีเจตนา;ต้ังความจริงเปนหลักอาง, ความต้ังใจ เปน ชื่อสงั ฆาทเิ สสสกิ ขาบททห่ี น่ึง ขอที่ม่ันแนวใหเกิดผลอยางใดอยางหน่ึงโดย จงใจทําอสุจิใหเคลื่อน เรียกเต็มวาอางเอาสัจจะของตนเปนกําลังอํานาจ สญั เจตนกิ าสกุ กวสิ ัฏฐิตรงกบั คาํ วา สจั กริ ยิ า แตใ นภาษาไทย สญั ชยั ชอื่ ปรพิ าชกผเู ปน อาจารยใ หญค นมักใชวาสัตยาธิษฐาน; ดู สัจกิริยา, หนง่ึ ในพทุ ธกาล ตง้ั สาํ นกั สอนลทั ธอิ ยใู นสตั ยาธษิ ฐาน กรงุ ราชคฤห มศี ษิ ยม าก พระสารบี ตุ รสจั จานโุ ลมญาณ ดู สจั จานโุ ลมกิ ญาณ และพระโมคคลั ลานะเคยบวชอยใู นสาํ นกัสจั จานโุ ลมกิ ญาณ ปรีชาเปน ไปโดยสม น้ี ภายหลงั เมอื่ พระพทุ ธเจา อบุ ตั ขิ น้ึ ในควรแกก ารกาํ หนดรอู รยิ สจั จ, ญาณอนั โลก พระสารบี ตุ รและพระโมคคลั ลานะคลอ ยตอ การตรสั รอู รยิ สจั จ; อนโุ ลมญาณ พรอ มดวยศิษย ๒๕๐ คนพากนั ไปสูก็เรียก (ขอ ๙ ในวิปสสนาญาณ ๙) สํานักพระพุทธเจา สัญชัยเสียใจเปน ลมสจั ฉกิ รณะ การทําใหแจง, การประสบ, และอาเจียนเปนโลหิต; นิยมเรียกวาการเขา ถึง, การบรรลุ เชน ทําใหแ จงซ่งึ สญชยั ปรพิ าชก เปน คนเดยี วกบั สญั ชยั - เวลัฏฐบุตร คนหน่ึงใน ติตถกร หรอื ครูนิพพาน คือ บรรลุนพิ พานสัญจร เทีย่ วไป, เดนิ ไป, ผานไป, ผาน ทั้ง ๖ สัญญมะ การยับยัง้ , การงดเวน (จากไปมา, เดนิ ทางกนั ไปมาสัญจริตตะ การชักส่ือใหชายหญิงเปน บาป หรือจากการเบียดเบียน), การผัวเมียกนั เปน ชอื่ สังฆาทิเสสสกิ ขาบทที่ บังคับควบคุมตน; โดยท่ัวไป ทาน๕ ทหี่ า มการชกั ส่ือ อธิบายวา สญั ญมะ ไดแก “ศลี ”, บางทีสัญเจตนา ความจงใจ, ความแสวงหา แปลวา “สาํ รวม” เหมือนอยาง สงั วร;อารมณ, เจตนาทแ่ี ตง กรรม, ความคดิ อา น; เพื่อความเขาใจชัดเจนในเบ้ืองตน พึงมี ๓ คอื กายสัญเจตนา วจสี ัญเจตนาและ มโนสญั เจตนา; ดู สงั ขาร ๓; มี ๖ เทียบความหมายระหวางขอธรรม ๓คือ รูปสัญเจตนา สทั ทสญั เจตนา คนั ธ- อยาง คือ สงั วร เนน ความระวงั ในการสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพ- รับเขา คือปดก้ันส่ิงเสียหายท่ีจะเขามา จากภายนอก สัญญมะ ควบคุมตนใน
สัญญัติ ๔๑๙ สัตตบรรณคูหา การแสดงออก มใิ หเปนไปเพอื่ การเบยี ด หมายความไมง ามแหง กาย ๔. อาทนี ว- เบยี น เปน ตน ทมะ ฝกฝนแกไขปรบั สญั ญา กําหนดหมายโทษแหงกาย คือมี อาพาธตางๆ ๕. ปหานสัญญา กาํ หนด ปรุงตน ขม กําจัดสวนรา ยและเสรมิ สว น ทดี่ ีงามใหยง่ิ ขึน้ ไป; สังยมะ กเ็ ขยี น หมายเพ่ือละอกุศลวิตกและบาปธรรมสัญญัติ (ในคําวา “อปุ ช ฌายะช่อื อะไรก็ ๖. วิราคสัญญา กาํ หนดหมายวิราคะตาม ตง้ั สญั ญตั ลิ งในเวลานน้ั วา ชอื่ ตสิ สะ”) คืออริยมรรควาเปนธรรมอันสงบการหมายร,ู ความหมายรูร วมกัน, ขอ ประณีต ๗. นโิ รธสญั ญา กาํ หนดหมาย สาํ หรบั หมายรรู วมกนั , ขอตกลง นโิ รธ คอื อริยผล วาเปน ธรรมอันสงบสญั ญา การกําหนดหมาย, ความจาํ ได ประณีต ๘. สัพพโลเก อนภิรตสญั ญา หมายรู คือ หมายรูไว ซ่งึ รปู เสียง กําหนดหมายความไมนาเพลิดเพลินใน กล่นิ รส โผฏฐัพพะ และอารมณทีเ่ กดิ โลกทงั้ ปวง ๙.สพั พสงั ขาเรสุอนฏิ ฐสญั ญา กับใจวา เขยี ว ขาว ดํา แดง ดงั เบา กําหนดหมายความไมนาปรารถนาใน เสยี งคน เสยี งแมว เสยี งระฆงั กลิน่ สงั ขารทั้งปวง ๑๐. อานาปานัสสติ สติ ทุเรียน รสมะปราง เปนตน และจาํ ได กาํ หนดลมหายใจเขา ออก คอื รจู กั อารมณน นั้ วา เปน อยางนนั้ ๆ ใน สัญญาเวทยิตนิโรธ การดับสญั ญาและ เมือ่ ไปพบเขา อีก (ขอ ๓ ในขนั ธ ๕) มี เวทนา เปน สมาบตั ิ เรยี กเตม็ วา สญั ญา- ๖ อยาง ตามอารมณท หี่ มายรนู น้ั เชน เวทยิตนิโรธสมาบัติ เรียกสั้นๆ วา รูปสัญญา หมายรูรูป สัททสัญญา นโิ รธสมาบตั ิ (ขอ ๙ ในอนุปุพพวิหาร หมายรูเสียง เปนตน; ความหมาย ๙); ดู นิโรธสมาบตั ิ สามัญในภาษาบาลีวาเคร่ืองหมาย ที่ สัญโญชน ดู สงั โยชน สงั เกตความสาํ คญั วาเปนอยางนน้ั ๆ, ใน สัณฐาน ทรวดทรง, ลักษณะ, รูปรา ง ภาษาไทยมกั ใชห มายถงึ ขอ ตกลง, คาํ มนั่ สัตตกะ หมวด ๗สญั ญา ๑๐ ความกาํ หนดหมาย, สงิ่ ทคี่ วร สัตตบรรณคูหา ช่ือถํ้าที่ภูเขาเวภาร-กําหนดหมายไวใ นใจ มี ๑๐ อยางคอื บรรพต ในกรุงราชคฤห เปนท่ีพระ๑. อนิจจสญั ญา กาํ หนดหมายความไมเที่ยงแหงสังขาร ๒. อนัตตสัญญา พุทธเจาเคยทรงทํานิมิตตโอภาสแกพระ อานนท และเปนท่ีทําสงั คายนาคร้ังแรก;กําหนดหมายความเปนอนัตตาแหง เขียน สัตตปณ ณคิ หู า หรือ สตั ตบัณณ-ธรรมท้ังปวง ๓. อสภุ สญั ญา กาํ หนด คหู า ก็มี
สตั ตบรภิ ัณฑ ๔๒๐ สตั ตสดกมหาทานสตั ตบรภิ ณั ฑ “เขาลอ มทง้ั เจด็ ” คาํ เรยี ก ไมเปน บญุ (คือเปน บาป ซ่งึ ในมลิ ินท- หมภู ูเขา ๗ เทอื ก ที่ลอมรอบเขาพระ ปญ หากลาววา พาผใู หไปสูอ บาย) จึงนา วิเคราะหวาในเรื่องน้ีมีเหตุผลหรือมีนัย สเุ มรุ หรือ สเิ นรุ คือ ยุคนธร อิสินธร ท่นี า ศึกษาอยางไร, ในทีน่ ้ี จะกลาวถงึ ขอมูลและขอสังเกตเบ้ืองตนไวประกอบ กรวิก สทุ ัสสนะ เนมินธร วินตก และ การพจิ ารณา คอื ก) ในโอกาสน้ี พระ เวสสนั ดรใหท านโดยสง่ั ใหแ จกจาย ทง้ั อัสสกัณณ ใหผาแกผ ตู อ งการผา ใหสรุ าแกนักเลงสตั ตมวาร, สตั มวาร วาระท่ี ๗, คร้ังท่ี สรุ า ใหอ าหารแกผ ตู อ งการอาหาร อรรถ- ๗; ในภาษาไทย นยิ มใชในประเพณที ํา กถาอธบิ ายวา พระเวสสนั ดรกท็ ราบอยูวา การใหน า้ํ เมาเปนทานทีไ่ รผ ล แตใหเ พือ่ บุญอทุ ิศแกผ ูลว งลับ โดยมีความหมาย ใหนักเลงสรุ าที่มากไ็ ดไ ป ไมตองไปพดู วามาแลวไมได ข) สตรที ีเ่ ปน ทานใน วา วันที่ ๗ หรอื วนั ทีค่ รบ ๗ เชน ในขอ คราวน้ี ตามเรอ่ื งวา นง่ั ประจาํ รถ ๕๐๐ คนั ซงึ่ เปน ทาน คนั ละคน (ทาํ นองวา เปน คน ความวา “บําเพญ็ กุศลสตั มวาร”, ท้ังนี้ ประจํารถ) ค) ในการใหทานบคุ คล พระ เวสสนั ดร คงจะไดร บั หรือใหเ ปน ไปโดย มคี ําทม่ี กั ใชในชดุ เดียวกันอกี ๒ คาํ คือ ความเหน็ ชอบของบคุ คลนนั้ เชน เดยี วกบั ปญ ญาสมวาร (วันที่ ๕๐ หรอื วันที่ ในการใหภ รยิ า ง) ในเวลามสตู ร (อง.ฺ นวก. ครบ ๕๐) และศตมวาร (วนั ที่ ๑๐๐ ๒๓/๒๒๓/๔๐๖) พระพุทธเจาตรัสเลาวา หรือวันทคี่ รบ ๑๐๐); พจนานกุ รมเขยี น พระองคเคยทรงเกิดเปนพราหมณช่ือวา สตั มวาร, อนง่ึ “สัตมวาร” (วารท่ี ๗) เวลามะ และไดใ หมหาทาน มขี องทเ่ี ปน เปนคําท่ีมาจากภาษาบาลีคือ “สตฺตม- ทานย่งิ ใหญม ากมาย ตง้ั แตถ าดทองคํา จาํ นวน ๘๔,๐๐๐ รวมทง้ั ชาง รถ โคนม วาร” ไมพงึ สบั สนกับคาํ วา “ศตมวาร” หญงิ สาว อยา งละ ๘๔,๐๐๐ (ถา เทยี บกนั กย็ ิง่ ใหญกวา มหาทานของพระเวสสันดร (วารท่ี ๑๐๐) ซ่ึงเปนคําจากภาษา ครงั้ น้ี มากมาย) แลวลงทา ยพระองค ตรัสวา ทานของผูใหอาหารแกคนมี สันสกฤต ที่ตรงกบั คาํ บาลีวา “สตมวาร”สัตตสดกมหาทาน ทานใหญอยางละ ๗๐๐ (ตามท่ีอรรถกถาประมวลไว ๗ หมวด คอื ชาง ๗๐๐ มา ๗๐๐ รถ ๗๐๐ สตรี ๗๐๐ วัวนม ๗๐๐ ทาส ๗๐๐ ทาสี ๗๐๐) ซึ่งชาดกเลาวา พระเวสสันดร บริจาคกอนเสด็จออกจากวังไปอยูที่เขา วงกตในแดนหิมพานต, แตตามหลัก พระพทุ ธศาสนา อติ ถที าน คอื การใหส ตรี จดั เขา ในจาํ พวกทานทไี่ มเ ปน ทาน และ
สตั ตสตกิ ขันธกะ ๔๒๑ สัตตาหกรณยี ะสมั มาทฏิ ฐเิ พยี งคนเดยี ว มผี ลมากกวา สัตตังคะ เกาอี้มีพนกั สามดาน, เกาอีม้ ีมหาทานของเวลามพราหมณท่ีกลาวมา แขนนน้ั และตรัสถงึ กศุ ลกรรมที่มผี ลมากยิง่ สัตตัพภันตรสีมา อพัทธสีมาชนิดที่ข้ึนไปๆ ตามลําดบั อรรถกถาอธบิ าย กาํ หนดเขตแหง สามคั คขี น้ึ ในปา อนั หาคนดว ยวา ทานบางอยา งของเวลามพราหมณ ตง้ั บา นเรอื นมไิ ด โดยวดั จากทส่ี ดุ แนวแหงก็ไมนับวาเปนทาน แตใหเพราะจะให สงฆอ อกไปดา นละ ๗ อพั ภนั ดรโดยรอบครบถว น ไมต อ งมีใครมาพูดวา ไมม อี นั สตั ตมั พเจดยี เจดยี สถานแหง หนงึ่ ทน่ี ครน้นั ไมมอี นั นี้ ทํานองวา ใหค รบสมบรู ณ เวสาลี แควนวชั ชี ณ ที่นพ้ี ระพุทธเจาตามนิยมของโลก ซ่ึงมาเขาขอที่เปน เคยทาํ นิมิตตโ อภาสแกพระอานนทหลกั ทั่วไปวา จ) พระโพธสิ ตั วบาํ เพญ็ สัตตบิ ญั ชร เรอื นระเบยี บหอก, ซก่ี รงทําบารมี ก็คอื กําลงั พัฒนาตนอยู แมจ ะ ดวยหอกบําเพ็ญความดีอยางยวดยิ่งยากที่ใคร สตั ตาวาส ภพเปนทอ่ี ยขู องสัตว มี ๙อนื่ จะทาํ ได แตเ พราะยงั ไมต รสั รู ความดี เหมือนกบั วิญญาณฏั ฐติ ิ ๗ ตา งแตเพ่ิมที่ทําสวนมากก็เปนความดีตามท่ีนิยม ขอ ๕ เขามาเปน ๕. สัตวเ หลาหนงึ่ ไมม ียดึ ถอื เขา ใจกนั ในกาลสมยั นนั้ ๆ คอื ทาํ ดี สัญญา ไมม กี ารเสวยเวทนา เชน พวกท่ีสุดเทาท่ีทําไดในกาลเทศะน้ัน เชน เทพผเู ปน อสัญญีสตั ว, เลอ่ื นขอ ๕, ๖,ออกบวชเปนฤาษี ไดฌ านสมาบัติ ได ๗ ออกไปเปน ขอ ๖, ๗, ๘ แลวเตมิ ขอโลกียอภิญญา แลวไปเกิดในพรหมโลก ๙. สัตวเหลาหนง่ึ ผูเ ขาถึงเนวสญั ญา- (อรรถกถากลา ววาสเุ มธดาบส กอ นออก นาสญั ญายตนะ บวชก็ไดบริจาคสัตตสดกมหาทาน); ดู สัตตาหะ สัปดาห, เจ็ดวัน; มกั ใชเ ปน คํา ทานทเี่ ปน บาป,ทานทไี่ มน บั วา เปน ทาน เรยี กยอ หมายถึง สัตตาหกรณียะสัตตสติกขันธกะ ช่ือขันธกะท่ี ๑๒ แหง สัตตาหกรณียะ ธุระเปนเหตุใหภิกษุจุลวรรคในพระวินัยปฎก วาดวยการ ออกจากวดั ในระหวา งพรรษาได ๗ วนัสังคายนาครัง้ ท่ี ๒ ไดแ ก ๑. ไปเพอื่ พยาบาลสหธรรมกิ หรอืสัตตักขัตตปุ รมะ พระโสดาบัน ซงึ่ จะไป มารดาบิดาผูเจ็บไข ๒. ไปเพ่ือระงับเกิดในภพอีก ๗ ครัง้ เปน อยางมากจงึ สหธรรมิกท่กี ระสันจะสกึ ๓. ไปเพ่อื กิจจะไดบรรลุพระอรหัต (ขอ ๓ ใน สงฆ เชน ไปหาทพั พสัมภาระมาซอ มโสดาบนั ๓) วหิ ารที่ชาํ รุดลงในเวลานั้น ๔. ไปเพอ่ื
สัตตาหกาลิก ๔๒๒ สัตยาธษิ ฐานบาํ รงุ ศรทั ธาของทายกซงึ่ สง มานมิ นตเ พอ่ื ครเู ปนอยา งดี คอื ทรงพรํ่าสอนดวยพระการบาํ เพญ็ กศุ ลของเขา และธรุ ะอนื่ จาก มหากรุณา หวงั ใหผ อู ่นื ไดค วามรูอยาง นที้ เ่ี ปน กจิ ลกั ษณะอนโุ ลมตามนไ้ี ด แทจริง, ทรงสอนมุงความจริงและสัตตาหกาลิก ของที่รับประเคนเก็บไว ประโยชนเปนที่ต้ัง ทรงแนะนาํ เวไนย-ฉันไดช่ัว ๗ วัน ไดแกเ ภสชั ทั้ง ๕ คือ สัตวดวยประโยชน ทงั้ ทฏิ ฐธัมมกิ ัตถะ เนยใส เนยขน น้าํ มนั นาํ้ ผึ้ง นาํ้ ออย; ดู สมั ปรายิกตั ถะ และปรมัตถะ, ทรงรูจ ริง กาลกิ และปฏบิ ตั ิดวยพระองคเ องแลว จงึ ทรงสัตติกําลัง ในคําวา “ตามสัตติกําลัง” สอนผอู น่ื ใหร แู ละปฏบิ ตั ติ าม ทรงทาํ กบัแปลวา ตามความสามารถ และตามกาํ ลงั ตรสั เหมอื นกนั ไมใ ชต รสั สอนอยา งหนง่ึหรือตามกําลังความสามารถ (สัตติ = ทาํ อยา งหนงึ่ , ทรงฉลาดในวธิ สี อน, และความสามารถ) มาจากคาํ บาลวี า ยถา- ทรงเปน ผนู าํ หมดู จุ นายกองเกวยี น (ขอสตฺติ ยถาพล;ํ พูดเพยี้ นกันไปเปน ตาม ๗ ในพทุ ธคณุ ๙)สตกิ าํ ลงั กม็ ี สัตถศุ าสน, สัตถุสาสน คาํ สัง่ สอนของสัตตุ ขาวค่ัวผง, ขนมผง ขนมแหง ทไ่ี ม พระศาสดา หมายถึงพระพุทธพจน; ดูบดู เชน ขนมทเี่ รยี กวาจันอบั และขนม นวงั คสตั ถศุ าสน สัตบุรุษ คนสงบ, คนดี, คนมีศีลธรรม,ปง เปนตนสตั ตผุ ง สตั ตกุ อ น ขา วตู เสบยี งเดนิ ทางท่ี คนท่ีประกอบดวยสปั ปุริสธรรมสองพอคา คือ ตปุสสะ กับภัลลิกะ สัตมวาร วันท่ี ๗, วันทีค่ รบ ๗; เขียนถวายแดพระพทุ ธเจา ขณะท่ีประทับอยู เต็มรปู เปน สตั ตมวาร สตั ย ความจรงิ , ความซอื่ ตรง, ความจรงิ ใจ;ใตต นราชายตนะสัตถะ เกวยี น, ตา ง, หมูเกวียน, หมพู อ ดู สจั จะ สตั ยยคุ ดู กปัคาเกวียนสัตถกรรม การผา ตดั สตั ยาธษิ ฐาน การต้ังความจริงเปนหลักสตถฺ า เทวมนสุ สฺ านํ (พระผมู พี ระภาค อาง, ความต้ังใจกาํ หนดแนว ใหเ กิดผลเจา น้ัน) ทรงเปนศาสดาของเทวดาและ อยา งใดอยา งหนง่ึ โดยอา งเอาความจรงิ ใจมนุษยท ั้งหลาย, ทรงเปนครขู องบุคคล ของตนเปน กาํ ลงั อาํ นาจ, คาํ เดมิ ในคมั ภรี ท้ังช้ันสูงและชั้นตาํ่ , ทรงประกอบดวย นยิ มใช สจั กริ ยิ า, สตั ยาธษิ ฐานน้ี เปน รปูคุณสมบตั ขิ องครู และทรงทาํ หนา ทข่ี อง สนั สกฤต รูปบาลเี ปน สัจจาธฏิ ฐาน; ดู
สัตว ๔๒๓ สัทธาสจั กริ ยิ า, สจั จาธฏิ ฐาน 2. สัทธัมมปชโชตกิ า ชอ่ื อรรถกถาอธิบายสตั ว “ผตู ิดของในรปู ารมณเปนตน” ส่ิงที่ ความในคมั ภรี น ทิ เทส แหง พระสตุ ตนั ต-มีความรูสึกและเคล่ือนไหวไปไดเอง ปฎ ก พระอปุ เสนเถระ (หลกั ฐานบางแหงรวมตลอดทง้ั เทพ มาร พรหม มนษุ ย วา พระอปุ ตสิ สเถระ) แหง มหาวหิ ารในเปรต อสรุ กาย ดริ จั ฉาน และสตั วนรก ลังกาทวปี เปนผูร จนาข้ึนเปนภาษาบาลีในบาลีเพงเอามนุษยกอ นอยางอื่น, ไทย โดยถือตามแนวอรรถกถาเกาภาษามักเพงเอาดริ ัจฉาน สงิ หฬ ทศี่ กึ ษาและรกั ษาสบื ทอดกันมา;สตั วนิกาย หมูสตั ว หลกั ฐานบางแหง เรยี กวา สทั ธมั มฏั ฐติ กิ า;สตั วโลก โลกคือหมูสัตว ดูโปราณฏั ฐกถา, อรรถกถาสัทธรรม ธรรมทีด่ ี, ธรรมท่แี ท, ธรรม สทั ธัมมสั สวนะ ฟงสทั ธรรม, ฟง คําสั่งของคนดี, ธรรมของสตั บรุ ษุ มี สทั ธรรม สอนของสัตบุรุษ, ฟง คาํ ส่งั สอนของทาน๓ คือ ๑. ปริยัตสิ ัทธรรม สัทธรรมคือสงิ่ ท่ีประพฤติชอบดวยกายวาจาใจ, สดับท่พี งึ เลาเรยี น ไดแ ก พุทธพจน ๒. เลาเรียนอานคําสอนเร่ืองราวท่ีแสดงปฏิบัติสัทธรรม สัทธรรมคือส่ิงพึง หลกั ความจริงความดงี าม (ขอ ๒ ในปฏิบัติ ไดแกไตรสิกขา ๓. ปฏิเวธ- วุฑฒิ ๔)สัทธรรม สทั ธรรมคอื ผลที่พงึ บรรลุ ได สัทธา ความเช่ือ, ความเช่อื ถือ; ในทาง แก มรรค ผล และนพิ พาน; สัทธรรม ๗ ธรรม หมายถงึ เชื่อสง่ิ ที่ควรเชอ่ื , ความ คือ ๑. ศรทั ธา ๒. หิริ ๓. โอตตปั ปะ ๔. เชอื่ ท่ปี ระกอบดว ยเหตุผล, ความเชอื่ มั่น พาหสุ จั จะ ๕. วริ ยิ ารัมภะ ๖. สติ ๗. ในส่งิ ท่ดี ีงาม, ความเล่ือมใสซาบซ้ึงชน่ื ใจ ปญ ญา สนิทใจเช่ือมั่นมีใจโนมนอมมุงแลนไปสัทธรรมปฏิรูป สัทธรรมปลอม, ตามไปรับคุณความดีในบุคคลหรือส่ิงสัทธรรมเทียม นัน้ ๆ, ความม่นั ใจในความจริง ความดีสัทธัมมปกาสินี ชื่อคัมภีรอรรถกถา สง่ิ ดีงาม และในการทําความดี ไมล ไู หลอธิบายความในปฏิสัมภิทามรรค แหง ต่ืนตูมไปตามลักษณะอาการภายนอกพระสุตตันตปฎ ก พระมหานามะรจนา (ขอ ๑ ในพละ ๕, ขอ ๑ ในเวสารชั ช-ขนึ้ เปน ภาษาบาลี โดยถอื ตามแนวอรรถ- กรณธรรม ๕, ขอ ๑ ในสัทธรรม ๗, ขอกถาเกาภาษาสิงหฬทร่ี กั ษาสบื ทอดมาใน ๑ ในอริยทรัพย ๗, ขอ ๑ ในอริยวัฑฒิลังกาทวปี ; ดู โปราณฏั ฐกถา, อรรถกถา ๕); เขียนอยา งสนั สกฤตเปน ศรัทธา
สทั ธาจรติ ๔๒๔ สัทธานสุ ารีศรทั ธาทเ่ี ปนหลักแกนกลาง ซึง่ พบ ตถาคตโพธิสทั ธา เชอื่ ปญ ญาตรสั รขู องทวั่ ไปในพระไตรปฎก พระพทุ ธเจาตรสั พระตถาคตแสดงไวเปนขอเดียว (เชน อง.ฺปจฺ ก.๒๒/ อรรถกถาทง้ั หลายจาํ แนกวามี สทั ธา๕๓/๗๔) คือ ตถาคตโพธสิ ทั ธา ความเช่อื ๔ ระดบั (เชน ท.ี อ.๓/๒๒๗; ม.อ.๓/๒๓๗; อง.ฺ อ.ปญ ญาตรัสรูของพระตถาคต (คาํ บาลวี า ๓/๒๙) คือ ๑. อาคมนสัทธา ความเชื่อ“สททฺ หติ ตถาคตสสฺ โพธ”ึ ; บางครงั้ เมอื่ ความมน่ั ใจของพระโพธสิ ตั ว อนั สบื มาทรงแสดงคุณสมบัติของอริยสาวก จึง จากการบําเพญ็ สง่ั สมบารมี (อาคมนีย-ตรสั ถงึ อเวจจปสาทะ คอื ความเลอื่ มใสอนั สัทธา หรอื อาคมสัทธา ก็เรียก) ๒.ไมห วนั่ ไหว ในพระพทุ ธเจา ในพระธรรม อธิคมสัทธา ความเช่ือม่ันของพระและในพระสงฆ เชน อง.ฺนวก.๒๓/๒๓๑/๔๒๐) อรยิ บคุ คล ซงึ่ เกดิ จากการเขา ถงึ ดว ยการ ศรทั ธาทีม่ กั กลา วถงึ ในอรรถกถา ได บรรลธุ รรมเปน ประจกั ษ (อธคิ มนสัทธา ก็เรยี ก) ๓. โอกัปปนสัทธา ความเช่ือแก (อ.ุ อ.๒๓๕; อติ .ิ อ.๗๔; จรยิ า.อ.๓๓๖) สัทธา ๒คอื ๑. ตถาคตโพธสิ ทั ธาเชอ่ื ปญ ญาตรสั รู หนักแนนสนิทแนวเมื่อไดปฏิบัติกาวของพระตถาคต ๒. กัมมผลสทั ธา เชื่อ หนาไปในการเหน็ ความจรงิ (โอกปั ปนยี -กรรมและผลของกรรม, แตห ลายแหง สัทธา ก็เรยี ก, ทานวา ตรงกับอธโิ มกข(เชน อ.ุ อ.๑๑๐; อติ .ิ อ.๓๕๓; เถร.อ.๑/๔๙๐) แสดง หรืออธิโมกขสัทธา) ๔. ปสาทสัทธาสทั ธา ๒ คอื ๑. กัมมผลสทั ธา เช่ือกรรม ความเช่ือที่เปนเพียงความเลื่อมใสจากและผลของกรรม ๒. รตนัตตยสทั ธา การไดยนิ ไดฟ งเช่ือพระรัตนตรัย (กัมมผลสัทธา เปน สทั ธาจริต พน้ื นสิ ยั หนกั ในศรัทธา เช่ือโลกยิ สทั ธา, รตนตั ตยสทั ธา ถา ถูกตอง งา ย พงึ แกดวยปสาทนียกถา คอื ถอ ยจริงแทเห็นประจักษดวยปญญาม่ันคง คําท่ีนําใหเกิดความเล่ือมใสในทางท่ีถูกไมห วน่ั ไหว เปน โลกตุ ตรสทั ธา); อยา งไร ที่ควร และดวยความเช่ือที่มีเหตุผลกต็ าม ทร่ี จู ักกันมาก คอื สทั ธา ๔ ซง่ึ (ขอ ๔ ในจรติ ๖)เปน ชดุ สบื ๆ กนั มา ท่จี ัดรวมขนึ้ ภายหลัง สัทธานุสารี “ผูแลนไปตามศรทั ธา”, “ผูคอื ๑. กมั มสัทธา เชอื่ กรรม เชื่อการ แลน ตามไปดว ยศรทั ธา”, พระอรยิ บคุ คลกระทาํ ๒. วปิ ากสทั ธา เชอื่ ผลของกรรม ผูต้ังอยูในโสดาปตติมรรค ที่มี๓. กมั มสั สกตาสทั ธา เช่อื วา สัตวมีกรรม สทั ธนิ ทรยี แ รงกลา (เม่ือบรรลผุ ล จะเปน ของตัว ทําดไี ดด ี ทาํ ชวั่ ไดช ั่ว ๔. กลายเปน สัทธาวมิ ุต); ดู อรยิ บคุ คล ๗
สัทธาวิมุต ๔๒๕ สันตติสัทธาวมิ ตุ “ผูหลุดพน ดว ยศรัทธา” พระ มาแตกาํ เนิด, อัธยาศยั ท่ีมีติดตอมา อรยิ บคุ คลตั้งแตโสดาบันขึ้นไป จนถงึ ผู สนั โดษ ความยินด,ี ความพอใจ, ยินดีต้ังอยูในอรหตั ตมรรคที่มสี ัทธินทรียแ รง ดว ยปจจัย ๔ คือ ผา นงุ ผาหม อาหารกลา (เมอ่ื บรรลอุ รหตั ตผล จะกลายเปน ที่นอนทน่ี ั่ง และยา ตามมตี ามได, ยินดีปญ ญาวมิ ตุ ); ดู อรยิ บคุ คล ๗ ของของตน, การมีความสขุ ความพอใจสทั ธาสมั ปทา ถงึ พรอ มดวยศรัทธา คือ ดวยเคร่ืองเลี้ยงชีพที่หามาไดดวยความ เชือ่ สง่ิ ท่ีควรเชื่อ เชน เชื่อวา ทําดีไดด ี เพียรพยายามอนั ชอบธรรมของตน ไม โลภ ไมริษยาใคร; สันโดษ ๓ คือ ๑. ทําชว่ั ไดช วั่ เปนตน (ขอ ๑ ในสัมปราย-ิ ยถาลาภสนั โดษ ยนิ ดีตามท่ีได คอื ไดส ง่ิ กัตถสงั วตั ตนิกธรรม ๔) ใดมาดวยความเพียรของตน ก็พอใจสทั ธวิ ิหารกิ , สทั ธงิ วิหาริก ศษิ ย, ผูอยูดว ย เปนคําเรียกผทู ี่ไดร ับอปุ สมบท ถา ดวยสิง่ นน้ั ไมเ ดอื ดรอนเพราะของท่ีไม อปุ สมบทตอ พระอปุ ช ฌายะองคใ ด กเ็ ปน ได ไมเพงเล็งอยากไดของคนอื่นไม สทั ธวิ ิหารกิ ของพระอุปช ฌายะองคน้ัน รษิ ยาเขา ๒. ยถาพลสันโดษ ยนิ ดตี ามสัทธิวิหาริกวัตร ขอควรปฏิบัติตอ กาํ ลัง คอื พอใจเพียงแคพอแกก าํ ลงั รา งสัทธิวิหาริก, หนาท่ีอันอุปชฌายจะพึง กายสุขภาพและขอบเขตการใชสอยของกระทําแกส ทั ธวิ ิหารกิ คอื ๑. เอาธุระใน ตน ของทเ่ี กนิ กาํ ลงั กไ็ มห วงแหนเสียดายการศกึ ษา ๒. สงเคราะหด ว ยบาตร จวี ร ไมเกบ็ ไวใหเ สยี เปลา หรอื ฝนใชใหเ ปนและบรขิ ารอนื่ ๆ ๓. ขวนขวายปอ งกนั โทษแกต น ๓. ยถาสารปุ ปสันโดษ ยนิ ดีหรอื ระงบั ความเสอ่ื มเสยี เชน ระงบั ความ ตามสมควร คือพอใจตามทสี่ มควรแก คดิ จะสกึ เปลอ้ื งความเหน็ ผดิ ฯลฯ ๔. ภาวะ ฐานะ แนวทางชวี ิต และจดุ หมาย พยาบาลเมอื่ อาพาธ; เทยี บ อุปช ฌายวตั ร แหง การบาํ เพญ็ กจิ ของตน เชน ภิกษุสัทธิวิหารินี สัทธิวิหาริกผูหญิง คือ พอใจแตของอันเหมาะกับสมณภาวะสทั ธิวิหาริกในฝายภกิ ษุณี แตต ามปกติ หรือไดของใชที่ไมเหมาะกับตนแตจะมีไมเรียกอยางน้ี เพราะมีคําเฉพาะเรียก ประโยชนแกผ อู ืน่ กน็ ําไปมอบใหแ กเ ขาวา สหชีวนิ ี เปน ตน ; สนั โดษ ๓ นเ้ี ปน ไปในปจ จยั ๔สันดาน ความสืบตอ แหงจติ คือกระแส แตละอยา ง จึงรวมเรียกวา สนั โดษ ๑๒จิตที่เกิดดับตอเน่ืองกันมา; ในภาษา สันตติ การสืบตอ คอื การเกดิ ดบั ตอไทยมักใชในความหมายวาอุปนิสัยที่มี เน่ืองกันไปโดยอาการที่เปนปจจัยสงผล
สันตาปทกุ ข ๔๒๖ สนทฺ ิฏิโกแกกัน ในทางรูปธรรม ทีพ่ อมองเหน็ อยางสงบอยา งหยาบ เชน ขนเกา หลุดรว งไปขน สนั ตรี ณะ ดู วถิ จี ติใหมเกิดขึ้นแทน ความสืบตอแหง สันตุฏฐิกถา ถอยคําที่ชักนําใหมีความรูปธรรม จดั เปน อปุ าทายรปู อยางหนึ่ง; สนั โดษ (ขอ ๒ ในกถาวัตถุ ๑๐)ในทางนามธรรม จิตก็มสี ันตติ คอื เกิด สนั ถัต ผาปพู ืน้ ทหี่ ลอดวยขนเจียมคอื ขนดบั เปน ปจ จัยสืบเนื่องตอกนั ไป แกะ ใชรองน่งั หรือปูนอน, แมวา ในสันตาปทุกข ทกุ ขค ือความรอนรุม , ทุกข สกิ ขาบทท่ี ๕ แหงโกสิยวรรค (ขอ ๑๕ ในรอน ไดแกความกระวนกระวายใจ นิสสัคคิยปาจิตตีย) จะใชคาํ วา “นิสีทน-เพราะถูกไฟกิเลสคอื ราคะ โทสะ และ สนั ถตั ” (สนั ถตั ทนี่ งั่ ) กม็ คี าํ อธบิ ายวา ทรงโมหะแผดเผา ใชค าํ นนั้ เพอื่ แกไ ขการทภ่ี กิ ษจุ าํ นวนมากสันติ ความสงบ, ความระงบั ดบั หายหมด หลงเขาใจเอาสันถัตเปนจีวรผืนหน่ึงไปแหงความพลุงพลานเรารอนกระวน (ภิกษุมากรูปจะสมาทานธุดงค เขาใจวากระวาย, ภาวะเรียบรื่นไรความสับสน สันถัตเปนจีวรขนสัตว เกรงวาตนจะมีวุนวาย, ความระงับดับไปแหงกิเลสที่ จวี รเกิน ๓ ผนื จงึ ไดท ้ิงผาสนั ถัตน้ันเสยี เปนเหตุใหเกิดความเรารอนวาวุนขุน – วินย.๒/๙๓/๗๙; กงขฺ าวติ รณอี ภนิ วฏกี า, ๓๓๘) มัว, เปน ไวพจนหนงึ่ ของ นิพพาน สนั ทดั ถนดั , จดั เจน, ชาํ นาญ; ปานกลางสันตเิ กนิทาน “เร่อื งใกลชิด” หมายถงึ สนั ทสั สนา การใหเ หน็ ชดั แจง หรอื ช้ใี หเร่ืองราวหรือความเปนมาเก่ียวกับพระ ชัด คือ ชแี้ จงใหเ ขาใจชดั เจน มองเห็นพุทธเจาตั้งแตตรัสรูแลวจนเสด็จ เรื่องราวและเหตุผลตางๆ แจมแจงปรนิ พิ พาน; ดู พทุ ธประวตั ิ เหมือนจูงมือไปดูเห็นประจักษกับตา;สันติเกรูป ดู รปู ๒๘ เปนลักษณะอยางแรกของการสอนที่ดีสันติภาพ ภาวะแหงสนั ต;ิ ตามท่ใี ชใ น ตามแนวพุทธจริยา (ขอตอไปคือปจจุบัน หมายถึงความสงบภายนอก สมาทปนา)คือ ภาวะที่สงั คมหรอื บา นเมืองสงบ ไม สนทฺ ฏิ ิโก (พระธรรมอนั ผไู ดบ รรล)ุ เหน็มีความปนปวนวุนวาย, ภาวะท่ีระงับ เองรเู อง ประจกั ษแ จง กบั ตน ไมตอ งขน้ึหรือไมมีความขัดแยง, ภาวะปราศจาก ตอ ผูอ น่ื ไมตอ งเช่อื ตอ ถอยคําของใคร สงครามหรือความมุง รา ยเปน ศัตรูกัน (ขอ ๒ ในธรรมคณุ ๖); เมื่อมาดวยกันสันติวิหารธรรม ธรรมเปนเครื่องอยู กับ สมปฺ รายิโก (ใชเ ปนคําไทย มรี ปู
สนั นิธิ ๔๒๗ สปั ปุรสิ ธรรมเปน สัมปรายิกะ) ซ่ึงแปลวา เลยไปเบอ้ื ง สัปปฏิฆรูป ดูที่ อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป,หนา หรอื เลยตาเหน็ (เชน ม.ม.ู ๑๒/๑๙๘/๑๖๙) รปู ๒๘สนทฺ ฏิ ิโกน้ี (สนั ทฏิ ฐ กิ ะ) แปลวา เปน สัปปาณกวรรค ตอนท่ีวา ดว ยเร่ืองสัตว ปจจุบัน เห็นทันตา หรอื เห็นกับตา มีชวี ิตเปน ตน, เปนวรรคที่ ๗ แหงสนั นธิ ิ การสงั่ สม, ของทีส่ ง่ั สมไว หมาย ปาจิตติยกัณฑในมหาวิภังคแหงพระถึงของเค้ียวของฉันท่ีรับประเคนแลว วนิ ยั ปฎกเก็บไวคางคืนเพื่อจะฉันในวันรุงขึ้น สัปปายะ สบาย, สภาพเอ้อื , สภาวะที่เกอื้ภกิ ษฉุ นั ของนนั้ เปน ปาจติ ตยี ท กุ คาํ กลนื หนุน, สิ่ง สถาน หรอื บคุ คล ซง่ึ เปนท่ี(สกิ ขาบทท่ี ๘ แหง โภชนวรรค ปาจติ ตยิ - สบาย เหมาะกัน เกื้อกูล หรือเอื้อ กัณฑ) อํานวย โดยเฉพาะที่ชวยเก้ือหนุนการสนั นบิ าต การประชมุ , ท่ปี ระชมุสนนฺ ิปาติกา อาพาธา ความเจบ็ ไขเกดิ บําเพ็ญและประคับประคองรักษาสมาธิ ทานแสดงไว ๗ ขอ คอื อาวาส (ท่ีอย)ู จากสันนิบาต (คือประชุมกันแหง โคจร (ที่บิณฑบาตหรือแหลงอาหาร) ภัสสะ (เร่ืองพูดคุยที่เสริมการปฏิบัติ) สมุฏฐานทั้งสาม), ไขสันนิบาต คือ บคุ คล (ผูทเ่ี ก่ียวของดวยแลว ชว ยใหจติ ผองใสสงบมนั่ คง) โภชนะ (อาหาร) อุตุ ความเจ็บไขท ีเ่ กดิ ขน้ึ แตด ี เสมหะ และ (อณุ หภูมแิ ละสภาพแวดลอม) อิริยาบถ; ลม ทั้งสามเจือกัน; ดู อาพาธสันนิวาส ที่อย,ู ทพี่ ัก; การอยูด วยกัน,การอยรู วมกนั ท้ัง ๗ ขอ น้ี ทเี่ หมาะกันเปน สัปปายะสันนิษฐาน ความตกลงใจ, ลงความเห็น (เชน เปน อาวาสสัปปายะ) ท่ไี มสบายในท่สี ดุ ; ไทยใชในความหมายวา ลง เปนอสปั ปายะความเหน็ เปนการคาดคะเนไวก อน สัปป เนยใส; ดู เบญจโครสสันยาสี ผูสละโลกแลวตามธรรมเนียม สปั ปโสณฑกิ า ช่ือเงื้อมเขาแหง หน่ึงอยูท่ีของศาสนาฮนิ ดู; ดู อาศรม สตี วัน ใกลก รงุ ราชคฤห ณ ที่นี้พระสันสกฤต ชื่อภาษาโบราณของอินเดีย พุทธเจาเคยทํานิมิตตโอภาสแกพระภาษาหน่ึง ใชในศาสนาพราหมณหรือ อานนทฮนิ ดู และพทุ ธศาสนาฝา ยมหายาน สัปปรุ ิสธรรม ธรรมของสตั บรุ ษุ , ธรรมสปั ดาห ๗ วนั , ระยะ ๗ วัน ของคนด,ี ธรรมทท่ี าํ ใหเ ปน สตั บรุ ษุ มี ๗สัปบรุ ุษ ดู สปั ปุรุษ ขอ คอื ๑. ธมั มญั ตุ า รหู ลกั หรอื รจู กั เหตุ
สปั ปรุ สิ บญั ญัติ ๔๒๘ สพั พตั ถกกมั มฏั ฐาน๒. อัตถัญตุ า รูค วามมุงหมายหรอื รู สปั ปุรุษ เปน คาํ เลือนปะปนระหวา ง สัป-จักเหตผุ ล ๓. อัตตญั ตุ า รูจ ักตน ๔. ปุริส ท่เี ขียนอยา งบาลี กับ สตั บุรษุ ท่ีมตั ตญั ตุ า รจู กั ประมาณ ๕. กาลญั ตุ า เขียนอยางสนั สกฤต มคี วามหมายอยา งรจู กั กาล ๖. ปรสิ ญั ตุ า รจู กั ชุมชน ๗. เดียวกัน (ดู สัตบุรษุ ) แตในภาษาไทยปุคคลญั ตุ า รจู กั บคุ คล; อกี หมวดหน่งึ เปนคําอยูขางโบราณ ใชกันในความมี ๘ ขอ คอื ๑. ประกอบดวย สัทธรรม หมายวา คฤหัสถผูมีศรัทธาในพระ๗ ประการ ๒. ภกั ดสี ตั บรุ ุษ (คบหาผูม ี ศาสนา เฉพาะอยางยิ่งผูที่ไปรวมกิจสัทธรรม ๗) ๓. คิดอยางสัตบุรษุ ๔. กรรมทางบุญทางกุศล รักษาศีลฟงปรกึ ษาอยางสัตบุรษุ ๕. พดู อยา งสัต- ธรรมเปนประจําที่วัดใดวัดหนึ่ง บางทีบรุ ษุ ๖. ทาํ อยา งสตั บุรุษ (๓, ๔, ๕, ๖ เรยี กตามความผกู พนั กบั วดั วา สปั ปรุ ษุคือ คิด ปรกึ ษา พูด ทํา มใิ ชเพ่อื เบียด วดั นัน้ สัปปุรษุ วัดนี้เบียนตนและผูอ่ืน) ๗. มีความเห็น สัพพกามี ชอ่ื พระเถระองคห น่ึงในการกอยางสตั บุรษุ (คอื เห็นชอบวา ทาํ ดีมีผล สงฆ ผูท ําสงั คายนาคร้งั ที่ ๒ เปนผมู ีดี ทาํ ช่วั มีผลชวั่ เปนตน) ๘. ใหท าน พรรษาสงู สุด และทําหนา ทวี่ สิ ัชนาอยางสัตบุรุษ (คือใหโดยเคารพ เออ้ื สพั พโลเกอนภิรตสัญญา กําหนดหมาย เฟอแกของและผูรบั ทาน เปน ตน) ถึงความไมนาเพลิดเพลินในโลกทั้งปวงสปั ปุรสิ บัญญัติ ขอ ทท่ี านสตั บรุ ษุ ต้ังไว, (ขอ ๘ ในสัญญา ๑๐) บัญญตั ขิ องคนดี มี ๓ คือ ๑. ทาน ปน สัพพสังขาเรสุอนิฏฐสัญญา กําหนด สละของตนเพื่อประโยชนแกผูอ่ืน ๒. หมายถึงความไมนาปรารถนาในสังขาร ปพพัชชา ถือบวช เวนจากการเบียด ทงั้ ปวง (ขอ ๙ ในสัญญา ๑๐) เบยี นกัน ๓. มาตาปตุอุปฏฐาน บาํ รงุ สัพพญั ุตญาณ ญาณคอื ความเปนพระมารดาบิดาของตนใหเ ปน สุข สัพพัญู, พระปรีชาญาณหย่ังรูสิ่งทั้งสปั ปรุ สิ ปู ส สยะ คบสตั บรุ ษุ , คบคนด,ี ปวง ทั้งที่เปน อดตี ปจ จบุ นั และอนาคตไดค นดเี ปน ทพี่ ง่ึ อาศยั (ขอ ๒ ในจกั ร ๔) สัพพัญู ผูรูธรรมท้ังปวง, ผูรูท่ัวทั้งสปั ปรุ สิ ปู สงั เสวะ คบสตั บรุ ษุ , คบคนด,ี หมด, พระนามของพระพุทธเจาคบทานท่ีประพฤติชอบดวยกายวาจาใจ, สัพพตั ถกกัมมัฏฐาน กรรมฐานทค่ี วรเสวนาทานผรู ูผ ูทรงคุณ (ขอ ๑ ในวุฑฒิ ใชประโยชนในทุกกรณี; ดู กัมมฏั ฐาน๔) ๒; เทยี บ ปารหิ ารยิ กัมมัฏฐาน
สพั พตั ถคามินีปฏิปทาญาณ ๔๒๙ สัมปตตวริ ตั ิสพั พตั ถคามนิ ีปฏิปทาญาณ ปรชี าหย่ัง เกดิ รวมกัน หรอื พว งมาดวยกนัรูทางที่จะนําไปสูสุคติท้งั ปวง คอื ทงั้ สัมปโยค การประกอบกันสคุ ติ ทคุ ติ และทางแหงนิพพาน (ขอ ๓ สัมประหาร การสรู บกนั , การตอ สกู นั สมั ปรายภพ ภพหนาในทศพลญาณ)สมั ปชัญญะ ความรตู วั ท่วั พรอ ม, ความ สัมปรายิกัตถะ ประโยชนภายหนา,รตู ระหนกั , ความรชู ดั เขาใจชดั ซ่งึ สง่ิ ที่ ประโยชนขัน้ สงู ขน้ึ ไป อนั ไดแ กความมีนกึ ได; มกั มาคูกับสติ (ขอ ๒ ในธรรมมี จิตใจเจริญงอกงามดวยคุณธรรมความอปุ การะมาก ๒); สมั ปชัญญะ ๔ ไดแ ก ดี ทําใหชวี ิตนมี้ ีคา และเปนหลักประกัน๑.สาตถกสัมปชัญญะ รูชัดวามี ชวี ติ ในภพหนา ซงึ่ จะสาํ เรจ็ ไดด ว ยธรรมประโยชน หรือตระหนกั วาตรงตามจดุ ๔ ประการ คือ ๑. สทั ธาสัมปทา ถึงหมาย ๒.สปั ปายสมั ปชญั ญะ รูชัดวา พรอมดวยศรัทธา ๒. สลี สัมปทา ถงึ พรอ มดว ยศลี ๓. จาคสมั ปทา ถงึ พรอ มเปนสัปปายะ หรือตระหนักวาเก้ือกูล ดว ยการบรจิ าค ๔. ปญ ญาสมั ปทา ถงึเหมาะกัน ๓.โคจรสมั ปชญั ญะ รชู ัดวาเปนโคจร หรือตระหนกั ในแดนงานของ พรอ มดว ยปญ ญา ธรรม ๔ อยา งนเี้ รยี กตน ๔.อสมั โมหสมั ปชญั ญะ รูชัดวา ไม เตม็ วา สมั ปรายกิ ตั ถสงั วตั ตนกิ ธรรมหลง หรอื ตระหนักในตวั สภาวะ ไมหลง สมั ปหงั สนา การทาํ ใหร า เรงิ หรอื ปลกุ ใหใหล ไมส ับสนฟนเฟอ น รา เรงิ คอื ทาํ บรรยากาศใหส นกุ สดชน่ืสัมปชานมุสาวาท รูตัวอยูกลาวเท็จ, แจม ใส เบกิ บานใจ ใหผ ฟู ง แชม ชน่ื มคี วามการพดู เทจ็ ทงั้ ทรี่ ู คอื รคู วามจรงิ แตจ งใจ หวงั มองเหน็ ผลดแี ละทางสาํ เรจ็ ; เปน พูดใหค ลาดจากความจรงิ เพือ่ ใหผูฟง ลักษณะอยางหนึ่งของการสอนที่ดีตาม เขา ใจเปน อยา งอน่ื จากความจรงิ (สกิ ขา- แนวพทุ ธจรยิ า (ขอ กอ นคอื สมตุ เตชนา) บทท่ี ๑ แหงมสุ าวาทวรรค ปาจติ ติย- สมั ปต ตโคจรคั คาหิกรูป ดทู ี่ รปู ๒๘ กัณฑ) สัมปตตวิรัติ ความเวนจากวัตถุอันถึงสมั ปฏิจฉนะ, สัมปฏิจฉนั นะ ดู วถิ จี ติ เขา, การเวน เม่อื ประสบซ่งึ หนา คอื ไมไดสัมปยตุ ประกอบดว ย; สัมปยุตต ก็ สมาทานศีล หรือต้ังใจละเวนมากอน เขยี น แตเมื่อประสบเหตุอันจะทําใหความชั่วสัมปยุตตธรรม ธรรมท่ีประกอบอยู หรือละเมิดศีลเขาเฉพาะหนา ก็ละเวนดว ย, ธรรมทีป่ ระกอบกนั , สภาวธรรมที่ ไดในขณะน้นั เอง ไมล วงละเมดิ ศีล (ขอ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: