โกมารภจั ๓๐ โกสมั พกิ ขันธกะหนงึ่ ในอดีต; ดู พระพุทธเจา ๕ โกศล๑, โกสัลละ ความฉลาด, ความโกมารภจั ดู ชีวก เชีย่ วชาญ มี ๓ คือ ๑. อายโกศล ความโกรัพยะ พระเจา แผนดนิ แควน กุรุ ฉลาดในความเจริญ, รอบรูทางเจริญโกละ ผลกะเบา และเหตขุ องความเจรญิ ๒. อปายโกศลโกลังโกละ “ผูไปจากตระกูลสูตระกูล” ความฉลาดในทางเสอื่ ม, รอบรทู างเสอ่ื มหมายถึงพระโสดาบนั ซงึ่ จะตอ งไปเกดิ และเหตขุ องความเส่ือม ๓. อปุ ายโกศล อกี ๒–๓ ภพ แลว จงึ บรรลุพระอรหัต ความฉลาดในอบุ าย, รอบรวู ธิ ีแกไ ขเหตุโกลติ ะ ชอื่ เดมิ ของพระมหาโมคคลั ลานะ การณแ ละวิธีท่ีจะทําใหส าํ เร็จ ท้ังในการ เรียกตามชอ่ื หมูบานท่เี กิด (โกลติ คาม) ปองกันความเส่ือมและในการสรางเพราะเปนบุตรของตระกูลหัวหนาในหมู ความเจริญบานน้ัน สมัยเม่ือเขาไปบวชเปน โกศล๒ ช่ือแควนหนึ่งในบรรดา ๑๖ปริพาชกในสาํ นักของสญชัย ก็ยังใชช อื่ แควน แหงชมพูทวีป โกศลเปนแควนใหญวา โกลติ ะ ตอมาภายหลังคอื เมื่อบวช มีอํานาจมากในสมัยพุทธกาล กษัตริยผูในพระพุทธศาสนา จึงเรียกกนั วา โมค- ครองแควนมีพระนามวา พระเจา ปเสนทิ-คลั ลานะ หรือ พระมหาโมคคลั ลานะ โกศล มีนครหลวงชือ่ สาวัตถี บัดน้เี รียกโกลติ ปรพิ าชก พระโมคคลั ลานะเมอ่ื เขา Sahet-Mahet (ลาสุด ร้ือฟนชื่อในภาษาไปบวชเปนปริพาชกในสํานักของสญชัย สันสกฤตขนึ้ มาใชวา Ïrvasti คอื ศราวัมชี อ่ื เรียกวา โกลติ ปริพาชก สตี)โกลยิ ชนบท แควน โกลิยะ หรือดนิ แดน โกสละ ดู โกศลของกษตั รยิ โกลยิ วงศ เปนแควนหน่งึ ใน โกสชั ชะ ความเกยี จครา นชมพูทวปี ครงั้ พทุ ธกาล มนี ครหลวงชอื่ โกสัมพกิ ขันธกะ ชื่อขนั ธกะท่ี ๑๐ (สุดเทวทหะ และ รามคาม บัดน้อี ยใู นเขต ทาย) แหง คัมภีรม หาวรรค วนิ ยั ปฎกวาประเทศเนปาล ดวยเรื่องของภิกษุชาวเมืองโกสัมพีโกลิยวงศ ชื่อวงศกษัตริยขางฝายพระ ทะเลาะววิ าทกนั จนเปน เหตใุ หพ ระพทุ ธ-พทุ ธมารดา ที่ครองกรุงเทวทหะ; พระ เจา เสดจ็ ไปจาํ พรรษาในปา รกั ขติ วนั ตาํ บลนางสริ ิมหามายา พุทธมารดา และพระ ปาริไลยกะ ในทสี่ ุด พระภิกษเุ หลานั้นนางพิมพา ชายาของเจาชายสิทธัตถะ ถูกมหาชนบีบคั้นใหตองกลับปรองดองเปนเจาหญงิ ฝา ยโกลยิ วงศ กัน บังเกดิ สังฆสามัคคีอกี คร้ังหน่ึง
โกสัมพี ๓๑ ขัณฑโกสัมพี ช่ือนครหลวงของแควนวังสะ โกสยิ วรรค ตอนทวี่ า ดว ยเรอ่ื งขนเจยี มเจอือยูต อนใตของแมน ้ํายมนุ า บดั นี้เรียกวา ดว ยไหม เปน วรรคที่ ๒ แหง นสิ สคั คยิ -Kosam กัณฑในพระวินยั ปฎกโกสัลละ ดู โกศล๑ โกเสยยะ, โกไสย ผาทําดว ยใยไหม ไดโกสิยเทวราช พระอินทร, จอมเทพใน แก ผา ไหม ผา แพรสวรรคช น้ั ดาวดงึ ส เรยี ก ทา วโกสยี บา ง โกฬิวิสะ ดู โสณะ โกฬวิ ิสะทา วสักกเทวราช บา ง ขขจร ฟงุ ไป, ไปในอากาศ บันดาลใหเปนไปอยางนั้นอยางนี้ หรือขณิกสมาธิ สมาธชิ ัว่ ขณะ, สมาธขิ ้ันตน ใหส ําเร็จผลท่ีประสงค; ดู เคร่ืองรางพอสําหรับใชในการเลาเรียนทําการงาน ขลุปจ ฉาภัตตกิ ังคะ องคแหงผถู อื หามใหไดผ ลดี ใหจ ติ ใจสงบสบายไดพกั ชั่ว ภัตท่ีเขานํามาถวายภายหลงั คอื เม่อื ลงคราว และใชเริ่มปฏบิ ตั ิวปิ สสนาได (ขั้น มือฉันแลวมีผูนําอาหารมาถวายอีกก็ไมตอไป คอื อุปจารสมาธ)ิ รบั (ขอ ๗ ในธดุ งค ๑๓)ขณิกาปต ิ ความอ่มิ ใจชว่ั ขณะ เม่ือเกิด ของขลัง ดู เคร่ืองรางข้ึนทําใหรูสึกเสียวแปลบๆ เปนขณะๆ ของตองพิกัด ของเขากําหนดที่จะตองเหมือนฟา แลบ (ขอ ๒ ในปต ิ ๕) เสียภาษีขนบ แบบอยางท่ีภิกษุควรประพฤติใน ขอน ในคาํ วา “ขณั ฑข อน” คือ คี่ เชน ๗กาลนนั้ ๆ ในทนี่ ้ันๆ แกบ ุคคลนน้ั ๆ ขัณฑ ๙ ขณั ฑ ๑๑ ขัณฑขนบธรรมเนียม แบบอยา งท่นี ิยมกัน ขอนสิ ยั ดู นสิ ัยขนาบ กระหนาบ ขอโอกาส ดู โอกาสขมา ความอดโทษ, การยกโทษให ขัชชภาชกะ ภิกษุผูไดรับสมมติ คือขรรค อาวุธมคี ม ๒ ขาง ท่ีกลางทง้ั หนา แตงต้ังจากสงฆ ใหมีหนาท่ีแจกของ เคย้ี ว, เปน ตําแหนง หนึ่งในบรรดา เจาและหลังเปน สนั ดามส้ันขราพาธ อาพาธหนกั , ปวยหนกั อธิการแหง อาหารขลัง ศักด์ิสิทธ์ิ, มีกําลังอํานาจท่ีอาจ ขัณฑ สว น ทอน หรอื ชิน้ ทีถ่ ูกตดั ทบุ
ขณั ฑสมี า ๓๒ ขนั ธมารฉีก ขาด หัก แตก หรือแยกกนั ออกไป, งาม ๒, ขอ ๖ ในบารมี ๑๐)ของทีถ่ ูกตัด ฉกี ขาดเปนสว นๆ เปน ขนั ติสังวร สาํ รวมดวยขันติ (ขอ ๔ ในชน้ิ ๆ เปน ทอนๆ; คาํ วา “จวี รมขี ัณฑ ๕” สงั วร ๕)หรือ “จีวรหาขัณฑ” หมายถึงจีวรท่ี ขันธ กอง, พวก, หมวด, หมู ลําตัว;ประกอบข้นึ จากแผนผา ท่ตี ัดแลว ๕ ชนิ้ ; หมวดหนง่ึ ๆ ของรปู ธรรมและนามธรรมดู จีวร ท้งั หมดทแี่ บงออกเปน ๕ กอง คือ รูป-ขัณฑสีมา สมี าเลก็ ผกู เฉพาะโรงอุโบสถ ขันธ กองรูป เวทนาขันธ กองเวทนา สญั ญาขันธ กองสัญญา สงั ขารขนั ธท่ีอยใู นมหาสมี า มสี ีมันตรกิ คั่นขดั บลั ลงั ก ดู บัลลงั ก กองสงั ขาร วญิ ญาณขนั ธ กองวญิ ญาณขัดสมาธิ [ขัด-สะ-หมาด] ทา นัง่ เอาขาขดั เรยี กรวมวา เบญจขนั ธ (ขันธ ๕)กนั อยางคนนง่ั เจริญสมาธิ คอื นง่ั คเู ขา ขันธกะ หมวด, พวก, ตอน หมายถึงทงั้ สองขา งแบะลงบนพน้ื เอาขาทอ นลา ง เรอ่ื งราวเกย่ี วกบั พระวนิ ยั และสกิ ขาบทซอนทับกนั ; ขัดสมาธมิ ี ๓ แบบ คือ นง่ั นอกปาฏิโมกข ท่ีจัดประมวลเขาเปนขัดสมาธิโดยเอาขาสอดไขวกันทับลงบน หมวดๆ เรียกวา ขันธกะ, ขันธกะเทาขา งทต่ี รงขาม (อยา งท่นี ิยมนงั่ กันท่วั หนึง่ ๆ วาดว ยเรื่องหน่ึงๆ เชน อุโบสถ-ไป) เรยี กวา ขดั สมาธสิ องชน้ั , น่งั ขดั ขันธกะ หมวดท่ีวาดวยการทําอุโบสถสมาธิโดยวางขาขวาทับราบบนขาซาย จวี รขันธกะ หมวดที่วา ดวยจวี ร เปน ตนเรียกวา ขดั สมาธริ าบ, น่ังขัดสมาธโิ ดย รวมทงั้ สนิ้ มี ๒๒ ขนั ธกะ (พระวนิ ยัหงายฝาเทาทั้งสองขึ้นวางบนขาขางที่ ปฎกเลม ๔, ๕, ๖, ๗); ดู ไตรปฎ กตรงขา ม เรียกวา ขดั สมาธเิ พชร (ทานั่ง ขันธปริตร ดู ปรติ รของพระพทุ ธรปู เปน แบบที่ ๒ และ ๓) ขนั ธปญ จก หมวดหา แหงขนั ธ อันไดแกขัตติยธรรม หลักธรรมสําหรับกษัตริย, รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ (นิยมเรียก ขันธบัญจก); ดู ขันธธรรมของพระจาแผนดนิขัตติยมหาสาล กษัตรยิ ผูม่ังค่งั ขนั ธมาร ขนั ธ ๕ คอื รปู เวทนา สญั ญาขันติ ความอดทน คอื ทนลําบาก ทน สงั ขาร วญิ ญาณ เปน มาร เพราะเปนตรากตราํ ทนเจบ็ ใจ, ความหนกั เอาเบา สภาพอนั ปจ จยั ปรงุ แตง ขน้ึ เปน ทต่ี ง้ั แหงสู เพ่ือบรรลจุ ุดหมายท่ีดีงาม (ขอ ๓ ใน ทกุ ข ถกู ปจ จยั ตา งๆ มอี าพาธเปน ตนฆราวาสธรรม ๔, ขอ ๑ ในธรรมท่ที าํ ให บีบค้ันเบียดเบียนเปนเหตุขัดขวางหรือ
ขาดสูญ ๓๓ ขชุ ชุตรารอนโอกาส มใิ หส ามารถทาํ ความดงี ามได เรียกวา ข้ึนวัตร คอื การสมาทานวตั รเตม็ ที่ หรอื อาจตดั โอกาสนน้ั โดยสน้ิ เชงิ นัน่ เอง ถาขน้ึ ปริวาสพึงกลา วคําในสาํ นัก(ขอ ๒ ในมาร ๕) ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ วา “ปรวิ าสํ สมาทยิ าม”ิ แปลขาดสญู ดู สูญ วา “ขา พเจา ขน้ึ ปรวิ าส” “วตตฺ ํ สมาทยิ าม”ิขาทนยี ะ ของควรเคยี้ ว, ของขบของเคย้ี ว แปลวา “ขาพเจา ขึ้นวตั ร” ถาขึ้นมานตัไดแกผลไมต า งๆ และเหงา ตา งๆ เชน พงึ กลา ววา “มานตตฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา ขนึ้ มานตั ” หรอื “วตตฺ ํสมาทยิ าม”ิเผือกมัน เปน ตนขา วสกุ ในโภชนะ ๕ อยางคือ ขา วสกุ ๑ แปลวา “ขาพเจาขนึ้ วัตร”ขนมสด ๑ ขนมแหง ๑ ปลา ๑ เนอื้ ๑ ขุชชโสภิตะ ชื่อพระเถระองคหน่ึงในขาวสุกในที่น้ีหมายถึงธัญญชาติทุกชนิด การกสงฆผทู าํ สงั คายนาครัง้ ท่ี ๒ทีห่ ุงใหส ุกแลว เชนขาวเจา ขาวเหนยี ว ขุชชุตรา อริยสาวิกาสําคัญทานหนึ่งในหรอื ท่ีตกแตง เปน ของตางชนดิ เชน ขา ว ฝายอุบาสิกา บางทีเรียกวาเปนอัคร-มัน ขาวผดั เปนตน อุบาสกิ า เนื่องจากพระพทุ ธเจาทรงยกขิปปาภิญญา รูฉับพลนั ยองวา เปน ตราชูของอบุ าสกิ าบริษทั (คูขีณาสพ ผูมีอาสวะสิ้นแลว, ผูหมด กับเวฬุกัณฏกีนันทมารดา) ทานเปน กิเลส, พระอรหันต เอตทัคคะในบรรดาอุบาสิกาที่เปนขรี ะ นมสด; ดู เบญจโครส พหสู ตู เปนผมู ีปญ ญามาก ไดบรรลุเสข-ข้ึนใจ เจนใจ, จาํ ไดแมน ยาํ ปฏสิ ัมภิทา (ปฏิสมั ภิทาของพระเสขะ),ข้นึ ปาก เจนปาก, คลอ งปาก, วาปาก ตามประวัติท่ีอรรถกถาเลาไว อริย-เปลา ไดอ ยางวอ งไว สาวกิ าทา นน้ี เปน ธดิ าของแมนมในบานขึ้นวัตร โวหารเรียกวินัยกรรมเก่ียวกบั ของโฆสติ เศรษฐี (อรรถกถาเรียกเพ้ยี นวุฏฐานวิธีอยางหน่ึง คือเม่ือภิกษุตอง เปนโฆสกเศรษฐี ก็มี) ในเมืองโกสัมพีครุกาบัติชั้นสงั ฆาทเิ สสแลว อยูปริวาสยัง ไดชอ่ื วา “ขุชชุตรา” เพราะเกดิ มามีหลงัไมครบเวลาท่ีปกปดอาบัติไวหรือ คอม (เขียนเต็มตามรูปคาํ บาลเี ดมิ เปนประพฤติมานัตอยูยงั ไมครบ ๖ ราตรี “ขุชฺชุตตฺ รา” ขชุ ฺชา แปลวา คอม ช่อื ของพักปริวาสหรือมานัตเสียเน่ืองจากมีเหตุ นางแปลเต็มวา อุตราผคู อม) ตอมา เมอ่ือนั สมควร เมือ่ จะสมาทานวัตรใหมเ พ่ือ นางสามาวดี ธิดาบุญธรรมของโฆสิต-ประพฤติปริวาสหรือมานัตท่ีเหลือน้ัน เศรษฐีไดรับอภิเษกเปนมเหสีของพระ
ขชุ ชตุ รา ๓๔ ขุชชตุ ราเจาอเุ ทนแหง กรงุ โกสมั พี นางขุชชตุ ราก็ ธรรมที่พระพุทธเจาตรัสมาถายทอดไดไปเปน ผูดูแลรับใช (เปน อปุ ฏฐายกิ า, เหมอื นอยา งท่ีพระองคทรงแสดง ทาํ ใหแ ต อ ร ร ถ ก ถ า บ า ง แ ห ง ใ ช คําว า เ ป น พระนางสามาวดีและสตรีที่เปนราช-บริจาริกา) ขชุ ชตุ ราไมคอยจะซอื่ ตรงนกั บริพารเขาใจแจมแจงบรรลุโสดาปตติ-ดังเรอื่ งวา เวลาไปซอ้ื ดอกไม นางเอา ผลทงั้ หมด จากนนั้ พระนางสามาวดีไดเงนิ ไป ๘ กหาปณะ แตเ กบ็ เอาไวเสยี ยกขุชชุตราขึ้นพนจากความเปนผูรับใชเอง ๔ กหาปณะ ซื้อจริงเพียง ๔ เ ชิ ด ชู ใ ห มี ฐ า น ะ ดั ง ม า ร ด า แ ล ะ เ ป นกหาปณะ อยูมาวันหน่ึง เจาของราน อาจารยท่ีเคารพ โดยใหมีหนาท่ีไปฟงดอกไมนิมนตพระพุทธเจาและพระสงฆ พระพุทธเจา แสดงธรรมทกุ วัน แลวนําไปฉัน เมื่อขุชชุตราไปท่ีรานจะซื้อ มาเลามาสอนตอ ท่วี ัง เวลาผานไป ตอ มาดอกไม เจาของรานจึงขอใหรอกอน พระนางสามาวดี ถกู พระนางมาคณั ฑิยาและเชิญใหรวมจัดแจงภัตตาหารถวาย ประทุษรายวางแผนเผาตําหนักส้ินพระดวย ขุชชุตราไดรับประทานอาหารเอง ชนมในกองเพลิงพรอมทั้งบริพาร แตและทั้งไดเขาครัวชวยจัดภัตตาหาร แลว พอดีวา ขณะนนั้ ขุชชุตราไปกิจทอ่ี ื่น จงึก็เลยไดฟงธรรมท่ีพระพุทธเจาตรัส พนอันตรายตลอดท้ังหมดจนถงึ อนุโมทนา และไดสําเร็จเปน โสดาบนั เม่อื เปนอริยบุคคล พระอรรถกถาจารยก ลา ววา (อติ .ิ อ.๓๔)แลว วันน้ันก็จึงซ้ือดอกไมครบ ๘ พระสูตรทั้งหมดในคัมภีรอิติวุตตกะกหาปณะ ไดด อกไมไปเต็มกระเชา พระ แหง ขทุ ทกนกิ ายในพระไตรปฎ ก จาํ นวนนางสามาวดีแปลกพระทยั ก็ตรัสถามวา ๑๑๒ สตู ร ไดม าจากอรยิ สาวกิ าขุชชตุ ราทาํ ไมเงนิ เทา เดมิ แตว นั นัน้ ไดดอกไมม า ทานนี้ กลาวคอื นางขชุ ชุตราไปฟง จากมากเปน พเิ ศษ ขุชชุตราเปนอรยิ ชนแลว พระพุทธเจาและนํามาถายทอดที่วังแกก็เลาเปดเผยเร่ืองไปตามตรง พระนาง พระนางสามาวดีพรอมท้ังบริพาร แลวสามาวดีกลับพอพระทยั และพรอมดวย ภิกษุณีท้ังหลายก็รับไปจากอริยสาวิกาสตรที เ่ี ปน ราชบรพิ ารทง้ั หมด พากนั ขอ ขุชชุตรา และตอทอดถึงภิกษุท้ังหลายใหข ชุ ชตุ ราถา ยทอดธรรม ขชุ ชตุ ราแมจ ะ (พระพทุ ธเจา ทรงจาํ พรรษาทเี่ มอื งโกสมั พีเปน คนคอ นขา งพกิ าร แตม ปี ญ ญาดมี าก ในปท ี่ ๙ แหง พทุ ธกจิ และเมอื งโกสมั พี(สาํ เร็จปฏสิ ัมภิทาของเสขบุคคล) ไดนาํ อยหู า งจากเมอื งราชคฤห วดั ตรงเปน เสน บรรทดั ๔๐๕ กม. ไมพ บหลกั ฐานวา นาง
ขทุ ทกาปติ ๓๕ โขมะขุชชุตรามชี วี ิตอยถู งึ พทุ ธปรนิ พิ พานหรอื ปฏสิ มั ภทิ า และไดรบั พระพทุ ธดาํ รสั ยกไม) ทงั้ นไ้ี ดร กั ษาไวต ามทน่ี างขชุ ชตุ รานาํ ยองวาเปนเอตทัคคะในดานเปนพหูสูต;มากลา วแสดง ดงั ทค่ี าํ เรมิ่ ตน พระสูตรชดุ ดู ตลุ า, เอตทัคคะ๑๑๒ สตู รน้ี ก็เปน คาํ ของนางขุชชตุ ราวา ขุททกาปติ ปติเลก็ นอ ย, ความอ่ิมใจ“วตุ ตฺ ํ เหตํ ภควตา วตุ ตฺ มรหตาติ เม สตุ ”ํ อยางนอย เมื่อเกิดขึ้นใหขนชันน้ําตา(แทจ รงิ พระผมู พี ระภาคเจา ไดต รสั พระ ไหล (ขอ ๑ ในปต ิ ๕)สูตรน้ีไว ขาพเจาไดสดับมาดังที่พระ เขต 1. แดนทก่ี ันไวเปน กาํ หนด เชน นาองคอ รหนั ตต รสั แลว วา …) ซง่ึ พระอานนท ไร ที่ดิน แควน เปนตน 2. ขอ ที่ภกิ ษุก็นาํ มากลาวในที่ประชุมสังคายนา ณ ระบถุ งึ เพอื่ การลาสกิ ขา เชน พระพุทธเมอื งราชคฤห ตามคาํ เดมิ ของนาง (คาํ พระธรรม พระสงฆ เปนตนเร่ิมตนของนางมีเพียงเทานี้ ไมบอก เขนง เขาสัตว, ภาชนะที่ทําดวยเขาสถานทตี่ รสั เพราะเปนพระสูตรซึง่ ทรง เขมา พระเถรีมหาสาวิการูปหนึ่ง ประสตู ิแสดงทเี่ มืองโกสมั พที งั้ หมด และไมบ อก ในราชตระกูลแหงสาคลนครในมัททรัฐวาตรัสแกใคร แตในทุกสูตรมีคําตรัส ตอมาไดเปนพระอัครมเหสีของพระเจาเรยี กผฟู ง วา “ภกิ ขฺ เว” บง ชดั วา ตรสั แก พิมพิสาร มีความมัวเมาในรูปสมบัติภกิ ษทุ งั้ หลาย คอื คงตรสั ในทปี่ ระชมุ ซง่ึ มี ของตน ไดฟงพระพุทธเจาแสดงพระภกิ ษสุ งฆเ ปน สว นใหญ) อันตา งจากพระ ธรรมเทศนาเร่ืองราคะ และการกําจัดสตู รอน่ื ๆ ทค่ี าํ เรม่ิ ตน เปน ของพระอานนท ราคะ พอจบพระธรรมเทศนาก็ไดบ รรลุเอง ซงึ่ ขนึ้ นาํ วา “เอวมเฺ ม สตุ ํ เอกํ สมยํ พระอรหตั แลวบวชเปนภิกษณุ ี ไดรบัภควา [บอกสถานที่ เชน ราชคเห วหิ รติ ยกยองวาเปนเอตทัคคะในทางมีปญญา… และระบบุ ุคคลท่เี กยี่ วขอ ง เชน เตน มาก และเปน อัครสาวิกาฝา ยขวา; ดู ตลุ า,โข ปน สมเยน ราชา มาคโธ…] …” เอตทคั คะ(ขาพเจาไดสดับมาอยางน้ีวา สมัยหน่ึง เขฬะ นา้ํ ลายพระผูมีพระภาคเจาประทับอยูท่ี…โดย เขาท่ี นง่ั เจริญกรรมฐาน เขา รตี เปลย่ี นไปถอื ศาสนาอนื่ (โดยเฉพาะสมัยน้ันแล [บคุ คลนั้นๆ]…) เร่ืองท่ีกลาวมาน้ี นับวาเปนเกียรติ ศาสนาครสิ ต) , ทาํ พธิ เี ขา ถอื ศาสนาอน่ืคณุ ของอรยิ สาวิกา ซึ่งไดท ําประโยชนไว โขมะ ผา ทาํ ดวยเปลอื กไม ใชเ ปลอื กไมแกพระพุทธศาสนา สมเปนผูทรง ทบุ เอาแตเ สน แลว นาํ เสน นน้ั มาทอเปน ผา
โขมทุสสนิคม ๓๖ คณโภชนโขมทุสสนคิ ม นิคมหนง่ึ ในแควนสกั กะ คคงคา แมน้าํ ใหญส ายสาํ คัญลําดับที่ ๑ โดยเฉพาะในสังฆกรรม มีกําหนดวา ในมหานที ๕ ของชมพทู วปี และเปน แม สงฆ คอื ชมุ นุมภิกษุต้ังแต ๔ รูปข้ึนไป นํ้าศักด์ิสิทธิ์อันดับท่ี ๑ ในศาสนา คณะ คือชมุ นมุ ภกิ ษุ ๒ หรอื ๓ รปู พราหมณ ซ่ึงศาสนกิ ปรารถนาอยางย่ิงที่ บุคคล คอื ภกิ ษุรปู เดียว; เมอ่ื ใชอยา งทวั่จะไดไปอาบนํ้าลางบาป อีกทั้งในพิธี ไป แมแ ตใ นพระวนิ ยั “คณะ” มใิ ชหมายราชาภิเษกกษัตริยในชมพูทวีป และ ความจําเพาะอยางนี้ เชนในคณโภชนกษตั รยิ แ หงลังกาทวีป ก็ใชน ้าํ ศักดิ์สิทธ์ิ คาํ วา ฉนั เปน คณะ หมายถึง ๔ รูปขึ้นไปในแมนํ้าคงคาน้ีดวย, แมนํ้าคงคามี คณญัตติกรรม การประกาศใหสงฆความยาวประมาณ ๒,๕๑๐ กม. ตามที่ ทราบแทนคณะคือพวกฝายตน ไดแกบันทึกไวในอรรถกถาวา มีตนกําเนิด การท่ีภิกษุรูปหน่ึงในนามแหงภิกษุฝายจากสระอโนดาต ในแดนหมิ พานต ไหล หนึ่ง สวดประกาศขออนมุ ตั เิ ปนผูแ สดงไปสูมหาสมทุ ร จากทศิ ตะวนั ตกไปทิศ แทนซึ่งอาบัติของฝายตนและของตนตะวันออก ผานเมืองสําคัญมากแหง เองดวยติณวตั ถารกวิธี (อกี ฝา ยหนึ่งก็เชน สังกสั สะ ปยาคะ (เขียนอยา ง พงึ ทาํ เหมือนกันอยางนั้น); เปนข้นั ตอนสนั สกฤตเปน ประยาค ปจ จบุ นั คอื เมอื ง หน่ึงแหงการระงับอธิกรณดวยติณ-Allahabad เปนที่บรรจบของแมน้ํา วตั ถารกวินยัคงคา กบั ยมนุ า) พาราณสี อกุ กาเวลา คณปูรกะ ภิกษุผูเปนที่ครบจํานวนใน(อุกกเจลา ก็วา) ปาตลีบุตร (เมือง คณะนัน้ ๆ เชน สงั ฆกรรมทตี่ อ งมีภิกษุหลวงของมคธ ยุคหลงั ราชคฤห) จัมปา ๔ รปู หรือยิ่งขน้ึ ไป เปน ผูทาํ ยังขาดอยู(เมืองหลวงของแควนอังคะ) และในท่ี เพียงจํานวนใดจํานวนหน่ึง มีภิกษุอื่นสุดออกทะเลท่ีอาวเบงกอล (Bay of มาสมทบ ทําใหครบองคสงฆในสังฆ- Bengal), ปจจบุ ัน คนทั่วไปรูจกั ในชือ่ กรรมนัน้ ๆ ภิกษุทีม่ าสมทบน้นั เรียกวา ภาษาอังกฤษวา Ganges; ดู มหานที ๕ คณปูรกะคณะ กลุม คน, หม,ู พวก; ในพระวนิ ัย คณโภชน ฉันเปนหมู คือ ภกิ ษุตง้ั แต ๔
คณะธรรมยุต ๓๗ คติรูปขึ้นไป รับนิมนตออกช่ือโภชนะแลว (ทาํ นองจะใหต รงกบั คาํ วา Faculty)ฉัน; ในหนังสือวินัยมุข ทรงมีขอ คณิกา หญิงแพศยา, หญิงงามเมอื งพิจารณาวา บางทีจะหมายถึงการน่ัง คดธี รรม ทางธรรม, คตแิ หงธรรม คดีโลก ทางโลก, คติแหงโลกลอ มโภชนะฉนั หรือฉนั เขา วงคณะธรรมยุต คณะสงฆท่ีตั้งข้ึนใหม คติ 1. การไป, ทางไป, ความเปน ไป, ทางเม่ือครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา ดําเนนิ , วธิ ,ี แนวทาง, แบบอยา ง 2. ท่ีเจาอยูหัวทรงผนวชเปนภิกษุในรัชกาลที่ ไปเกิดของสัตว, ภพท่สี ัตวไ ปเกิด, แบบ๓ (เรยี กวา ธรรมยุตติกา หรือ ธรรม- การดาํ เนินชวี ติ มี ๕ คือ ๑. นิรยะ นรกยุติกนิกาย กม็ )ี ; สมเดจ็ พระมหาสมณ- ๒. ติรจั ฉานโยนิ กาํ เนิดดิรจั ฉาน ๓. เปตตวิ สิ ยั แดนเปรต ๔. มนษุ ย สตั วม ีเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงให ใจสงู รคู ดิ เหตผุ ล ๕. เทพ ชาวสวรรค ตง้ัความหมายวา “พระสงฆออกจาก มหานิกายนัน้ เอง แตไดร ับอปุ สมบทใน แตช นั้ จาตมุ หาราชกิ า ถงึ อกนษิ ฐพรหม; รามญั นกิ ายดว ย” (การคณะสงฆ น. ๑๐)คณะมหานกิ าย คณะสงฆไทยเดมิ ทีส่ ืบ ใชค าํ เรยี กเปน ชดุ วา : นริ ยคติ ติรัจฉาน- มาแตส มยั สุโขทยั , เปนช่ือท่ีใชเรยี กใน คติ เปตคติ มนษุ ยคติ เทวคต,ิ ๓ คติ แรกเปน ทุคติ (ทไ่ี ปเกิดอันชว่ั หรือแบบ เม่ือไดเกิดมีคณะธรรมยุตข้ึนแลว; ดําเนินชวี ติ ท่ีไมด)ี ๒ คตหิ ลงั เปน สคุ ติสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยา (ท่ีไปเกิดอันดี หรือแบบดาํ เนนิ ชวี ติ ทดี่ ี)วชิรญาณวโรรส ทรงใหความหมายวา สําหรับทคุ ติ ๓ มีขอสงั เกตวา บางที“พระสงฆอ นั มเี ปน พน้ื เมอื ง [ของประเทศ เรียกวา อบาย หรอื อบายภมู ิ แตอบาย-ไทย – ผเู ขยี น] กอ นเกดิ ธรรมยตุ กิ นกิ าย” ภมู นิ น้ั มี ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย(การคณะสงฆ, น. ๙๐) ดิรจั ฉาน, อรรถกถากลาววา (อุ.อ.๑๔๕;คณาจารย 1. อาจารยของหมูคณะ, อิติ.อ.๑๔๕) การที่มจี าํ นวนไมเทากนั ก็อาจารยสาํ คัญมชี อื่ เสียง ผูเปน ทีน่ บั ถือ เพราะรวมอสุรกาย เขาในเปตติวิสัยมศี ษิ ยเปนคณะใหญ เชน นคิ รนถนาฏ- ดว ย จึงเปน ทุคติ ๓; ดู อบายบตุ รเปน คณาจารยผ ูหนงึ่ 2. ในภาษา คติ ๕ นี้ เม่อื จดั เขาใน ภพ ๓ พึงไทย ไดมีการบัญญัติใชในความหมาย ทราบวา ๔ คตแิ รกเปนกามภพท้งั หมดใหมวา คณะอาจารย ประดาอาจารย สว นคตทิ ่ี ๕ คอื เทพ มีท้ังกามภพ รูป-หรืออาจารยทั้งหมดของคณะวิชาน้ันๆ ภพ และอรปู ภพ (เทพน้ัน แบง ออกไป
คมิยภตั ๓๘ ครุธรรมเปน ก.เทวดาในสวรรค ๖ ช้นั อยใู น มหาสาวกองคหน่งึ ในอสีติมหาสาวกกามภพ ข.รูปพรหม ๑๖ ช้นั อยูในรูป คยาสีสะ ชอ่ื ตําบล ซ่ึงเปน เนนิ เขาแหงภพ และ ค.อรปู พรหม ๔ ช้ัน อยูใน หน่งึ ในจังหวดั คยา พระพุทธเจาเทศนาอรปู ภพ); เทยี บ ภพ อาทิตตปริยายสูตร โปรดภิกษุสงฆเมื่อจดั เขาใน ภมู ิ ๔ พึงทราบวา ๔ ปุราณชฎิลท้ังหมดใหสําเร็จพระอรหัตท่ีคตแิ รกเปน กามาวจรภมู ทิ งั้ หมด สว นคติ ตําบลนี้ท่ี ๕ คอื เทพ มที ง้ั กามาวจรภมู ิ รปู าวจร- ครรภ ทอง, ลกู ในทอ ง, หอ งภมู ิ และอรปู าวจรภมู ิ (ทํานองเดยี วกบั ครรโภทร ทอ ง, ทองมลี กูท่กี ลา วแลวใน ภพ ๓) แตม ีขอ พิเศษวา ครองผา นงุ หม ผาภมู สิ ูงสดุ คือภูมทิ ี่ ๔ อันไดแ ก โลกุตตร- คราวใหญ คราวท่ีภิกษุอยูมากดวยกันภูมิน้ัน แมวาพวกเทพจะอาจเขาถึงได บิณฑบาตไมพอฉนั (ฉันเปน หมูไ ด ไมแตมนุษยคติเปนวิสัยท่ีมีโอกาสลุถึงได ตองอาบตั ิปาจิตตยี )ดที ่สี ุด; เทียบ ภมู ิ ครุ เสยี งหนกั ไดแ กท ฆี สระ คอื อา, อ,ี อ,ูคมิยภตั ภตั เพอื่ ผไู ป, อาหารท่ีเขาถวาย เอ, โอ และสระท่ีมีพยัญชนะสะกดซ่งึเฉพาะภิกษุผูจะเดินทางไปอยูที่อ่ืน; เรียกวา สงั โยค เชน พทุ โฺ ธ โลเก อปุ -ฺคมกิ ภัต กว็ า ปนฺโน; คกู บั ลหุคยา จังหวัดท่ีพระพุทธเจาเคยเสด็จเม่ือ ครกุ กรรม ดู ครุกรรมครงั้ โปรดนักบวชชฎลิ และไดท รงแสดง ครุกรรม กรรมหนักทั้งท่ีเปนกุศลและพระธรรมเทศนาอาทิตตปริยายสูตรท่ี อกุศล ในฝายกุศลไดแกฌานสมาบัติตําบลคยาสีสะในจังหวัดนี้ ปจจุบันตัว ในฝายอกุศล ไดแก อนันตรยิ กรรมเมืองคยาอยูหางจากพุทธคยา สถานท่ี กรรมนี้ใหผลกอนกรรมอ่ืนเหมือนคน ตรัสรขู องพระพทุ ธเจาประมาณ ๗ ไมล อยบู นทส่ี งู เอาวตั ถตุ า งๆ ทงิ้ ลงมาอยา งคยากสั สป นักบวชชฎิลแหงกัสสปโคตร ไหนหนักทีส่ ุด อยางนน้ั ถงึ พ้ืนกอ น ต้ังอาศรมอยูท่ีตําบลคยาสีสะเปนนอง ครกุ าบตั ิ อาบตั หิ นกั ไดแ ก อาบตั ปิ าราชกิชายคนเล็กของอรุ ุเวลกสั สปะ ออกบวช เปนอาบตั ิทีแ่ กไขไมได ภกิ ษุตองแลวจําตามพช่ี าย พรอ มดวยชฎลิ ๒๐๐ ทีเ่ ปน ตองสึกเสยี และ อาบตั สิ งั ฆาทิเสส อยูบริวาร ไดฟง พระธรรมเทศนาอาทติ ต- กรรมจงึ จะพนได คูก ับ ลหกุ าบตั ิปริยายสูตร บรรลุพระอรหัตและเปน ครุธรรม ธรรมอันหนัก, หลักความ
ครภุ ณั ฑ ๓๙ คหบดีประพฤติสําหรับนางภิกษุณีจะพึงถือ ควรทาํ ความไมป ระมาท ในท่ี ๔ สถาน;เปนเรื่องสําคัญอันตองปฏิบัติดวยความ ดู อัปปมาทเคารพไมล ะเมดิ ตลอดชวี ติ มี ๘ ประการ ความปรารถนา ของบุคคลในโลกท่ีไดคอื ๑. ภกิ ษณุ ีแมบ วชรอ ยพรรษาแลว ก็ สมหมายดว ยยาก ๔ อยา ง; ดู ทลุ ลภธรรมตองกราบไหวภ กิ ษุแมบ วชวนั เดียว ๒. ควัมปติ ชื่อกุลบุตรผูเปนสหายของพระภกิ ษุณีจะอยใู นวดั ทไ่ี มม ีภิกษุไมได ๓. ยสะ เปนบตุ รเศรษฐีเมอื งพาราณสี ไดภิกษุณีตองไปถามวันอุโบสถและเขาไป ทราบขาววายสกุลบุตรออกบวชจึงบวชฟงโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน ๔. ตามพรอมดวยสหายอีกสามคน คือภิกษุณีอยูจําพรรษาแลวตองปวารณาใน วมิ ล สพุ าหุ ปุณณชิ ตอ มาไดสําเร็จพระสงฆส องฝา ยโดยสถานทัง้ ๓ คือ โดย อรหตั ทั้งหมดไดเ ห็น โดยไดย นิ โดยรังเกยี จ (รงั เกยี จ ความค้ํา ในประโยควา “เราจักไมทําหมายถึง ระแวงสงสัยหรือเห็นพฤติ- ความค้ํา ไปในละแวกบา น” เดนิ เอามือกรรมอะไรที่นาเคลือบแคลง) ๕. คา้ํ บ้นั เอว นง่ั เทาแขนภิกษุณีตองอาบัติหนัก ตองประพฤติ ความไมประมาท ดู อัปปมาทมานตั ในสงฆส องฝาย (คอื ท้งั ภกิ ษุสงฆ ควํ่าบาตร การท่ีสงฆลงโทษอุบาสกผูและภกิ ษณุ สี งฆ) ๑๕ วัน ๖. ภิกษณุ ี ปรารถนารา ยตอ พระรตั นตรยั โดยประกาศตองแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆสองฝาย ใหภิกษุทั้งหลายไมคบดวย คือไมรับเพ่อื นางสิกขมานา ๗. ภกิ ษณุ ไี มพ ึงดา บณิ ฑบาต ไมร บั นมิ นต ไมร บั ไทยธรรม,ไมพึงบริภาษภิกษุไมวาจะโดยปริยาย บคุ คลตน บญั ญตั ิ คอื วฑั ฒลจิ ฉวี ซง่ึ ถกูใดๆ ๘. ไมใหภิกษณุ ีวากลา วภิกษแุ ต สงฆค วา่ํ บาตร เพราะโจทพระทพั พมลั ล-ภิกษุวา กลาวภิกษุณีได บตุ ร ดว ยสลี วบิ ตั อิ นั ไมม มี ลู , คาํ เดมิ ตามครภุ ัณฑ ของหนกั เชน กฎุ ี ทดี่ นิ เตยี ง บาลวี า “ปต ตนกิ กชุ ชนา”; ดทู ี่ ปกาสนีย-ต่ัง เปน ตน; คูกบั ลหุภัณฑ กรรม, อสมั มขุ ากรณยี ; คูก บั หงายบาตรครทู ้ัง ๖ ดู ติตถกร คหบดี “ผูเปนใหญในเรือน”, “เจาบา น”,คฤหบดี ดู คหบดี มักหมายถงึ ผูม ีอนั จะกิน, ผูม ่ังค่งั , แตคฤหบดจี วี ร ผา จวี รทีช่ าวบา นถวายพระ บางแหง ในพระวินัย เชน ในสกิ ขาบทที่คฤหัสถ ผคู รองเรอื น, ชาวบา น ๑๐ แหงจีวรวรรค นิสสัคคยิ ปาจิตตียคลองธรรม ทางธรรม (วินย.๒/๗๑/๕๙) ทานวา คหบดี (คําบาลี
คหปติกา ๔๐ คันธกุฎี ในทนี่ ้เี ปน “คหปตกิ ะ”) ไดแ ก คนอ่นื ที่ ตอนที่วาดวยประวัติของพระอรหันต- เถระ (เถราปทาน) คอื เมอ่ื กลา วถึงพระ นอกจากราชา อํามาตย และพราหมณ พุทธเจาในอดีต บางทีเรียกที่ประทับ ของพระพุทธเจาในอดีตน้ันวา คันธกุฎี (คือเจาบาน หรือชาวบานทว่ั ไป) (พบ ๔ พระองค คือ พระคันธกุฎีของคหปติกา “เรือนของคฤหบดี” คือเรอื น พระปทมุ ุตตรพุทธเจา ๑ แหง ๒ คร้งั , อันชาวบา นสรา งถวายเปน กปั ปย กฎุ ;ี ดู ข.ุ อป.๓๒/๑๘/ ๘๕; ของพระติสสพทุ ธเจา ๑ กัปปย ภูมิ แหง ๑ คร้งั , ๓๒/๑๗๒/๒๗๒; ของพระผสุ สคหปติมหาสาล คฤหบดีผมู ง่ั คัง่ หมาย พทุ ธเจา ๑ แหง ๑ ครงั้ , ๓๓/๑๓๑/๒๒๐; ถงึ คฤหบดผี รู ํ่ารวย มีสมบตั ิมาก ของพระกัสสปพทุ ธเจา ๑ แหง ๒ ครงั้ ,คัคคภิกษุ ช่ือภิกษุรูปหน่ึงในครั้ง ๓๓/๑๔๐/๒๕๐) และตอนที่วาดวยประวตั ิ พทุ ธกาล เคยเปนบา และไดตองอาบัติ ของพระอรหันตเถรี (เถรีอปทาน) พบ แหงหน่ึง เรียกที่ประทับของพระพุทธ หลายอยา งในระหวา งเวลานนั้ ภายหลงั เจาพระองคป จจุบนั วา คนั ธเคหะ (ขุ.อป. ๓๓/๑๕๘/๓๐๖) ซึ่งก็ตรงกับคําวาคันธกุฎี หายเปน บา แลว ไดม ผี โู จทวา เธอตอ ง น่ันเอง แตคัมภีรอื่นท่ัวไปในพระไตร- ปฎก ไมมีที่ใดเรียกท่ีประทับของพระ อาบตั นิ นั้ ๆ ในคราวทเ่ี ปน บา ไมร จู บ พระ พุทธเจาในอดตี กต็ าม พระองคป จจบุ นั ก็ตาม วา “คันธกุฎี” (ในพระไตรปฎก พทุ ธองคจ งึ ไดท รงมพี ทุ ธานญุ าตใหร ะงบั แปลภาษาไทยบางฉบับ ตอนวาดวย อธกิ รณด ว ย อมฬู หวนิ ยั เปน ครง้ั แรก คาถาของพระเถระ คอื เถรคาถา มีคาํ วาคณโฺ ฑ โรคฝ “คันธกฎุ ี” ๒-๓ ครัง้ พึงทราบวาเปนคนั ถะ 1. กเิ ลสท่รี อยรัดมัดใจสตั วใ หต ดิ เพยี งคาํ แปลตามอรรถกถา ไมใชคําบาลี อยู 2. ตาํ รา, คัมภรี เดิมในพระไตรปฎ กบาล)ีคันถธุระ ธุระฝายคัมภีร, ธรุ ะคอื การ เรียนพระคมั ภีร, การศกึ ษาปริยัตธิ รรม, ในพระไตรปฎกโดยทั่วไป แมแ ตใ น พระสูตรท้ังหลาย (ไมตองพูดถึงพระ เปนคาํ ที่ใชในชั้นอรรถกถาลงมา (ไมมี อภิธรรมปฎก ซ่ึงตามปกติไมกลาวถึง ในพระไตรปฎก); เทียบ วปิ ส สนาธุระ, ดู บุคคลและสถานท่ี) ทานกลาวถึงที่ คามวาสี, อรญั วาสีคนั ถรจนาจารย อาจารยผ แู ตง คัมภีรคันธกุฎี พระกุฎีที่ประทับของพระพุทธ เจา, เปน คําเรยี กทใ่ี ชทวั่ ไปในคมั ภีรช น้ั อรรถกถาลงมา แตใ นพระไตรปฎ ก พบ ใชเฉพาะในคมั ภีรอปทาน เพียง ๖ ครั้ง
คนั ธกฎุ ี ๔๑ คนั ธกุฎีประทับของพระพุทธเจาเพียงแคอางอิง จรรโลงศรัทธาโดยอิงเรื่องวัตถอุ ลังการสน้ั ๆ วา พระองคท รงแสดงธรรมครงั้ และยา้ํ การบําเพ็ญทาน นอกจากใชค ําวานั้นเมือ่ ประทบั อยู ณ ท่ใี ด เชน วา เม่อื คันธกุฎีเปนสามัญแลว (พบคําน้ีในประทับที่พระเชตวนั อารามของอนาถ- คมั ภีรตางๆ ประมาณ ๕๖๐ คร้งั ) ยังไดบิณฑิก เมืองสาวัตถี, ที่พระเวฬุวัน บรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับพระคนั ธกฎุ ไี วสถานที่พระราชทานเหยื่อแกกระแต มากมาย เชน เลา เรอ่ื งวา ผมู ที รพั ยค นเมืองราชคฤห, ท่ีภูเขาคิชฌกูฏ เมือง หนึ่งไดสรางพระคันธกุฎีถวายแดพระราชคฤห, ทีโ่ ฆสิตาราม เมอื งโกสัมพ,ี ที่ วิปส สพี ทุ ธเจา เปน อาคารทงี่ ามสงา อยา งกูฏาคารศาลา ปามหาวนั เมอื งเวสาล,ี ยง่ิ เสา อฐิ ฝา บานหนา ตา ง เปน ตนทีน่ โิ ครธาราม เมืองกบลิ พสั ดุ แควน แพรวพราวดวยรัตนะทั้ง ๗ มีสระศากยะ ดังน้ีเปนตน นอยนักจะระบุ โบกขรณี ๓ สระ ฯลฯ แลว มาเกดิ ในอาคารทป่ี ระทบั (ดงั เชน “กเรรกิ ุฎี” ได พทุ ธกาลนี้ เปน เศรษฐชี อ่ื วา โชตกิ ะ อกีถกู ระบุชอ่ื ไวครงั้ หนึง่ ในคราวประทับที่ เรื่องหน่ึงวา คนรักษาพระคันธกุฎีของพระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก พระสิทธัตถะอดีตพุทธเจา ทําการอบเมืองสาวัตถี, ที.ม.๑๐/๑/๑) แมว าในบาง พระคนั ธกฎุ ใี หห อมตามกาลเวลาทเ่ี หมาะพระสูตรจะเลาเหตุการณท่ีดําเนินไป แลว ไมเ กดิ ในทคุ ตเิ ลย กอ นจะมาจบกจิระหวางการแสดงธรรมที่เปนเรื่องยาว พระศาสนาในพุทธกาลนี้ และอีกเร่ืองซ่ึงมีการเสด็จเขาไปทรงพักในท่ีประทับ หนง่ึ วา บรุ ษุ หนง่ึ เกดิ ในสมยั พระกสั สปทานก็เลาเพียงส้ันๆ วา “เสด็จเขาสูพระ พุทธเจา ไดฟงธรรมของพระองคแลววหิ าร” “เสดจ็ ออกจากพระวหิ าร” “เสดจ็ เลอ่ื มใส นาํ เอาของหอมทง้ั สชี่ าตมิ าไลท าประทบั ณ อาสนะท่ีจัดไวในรมเงาพระ พระคนั ธกฎุ เี ดอื นละ ๘ วนั จากนนั้ เกดิ ที่วิหาร” เปนตน และคําวา “วิหาร” นแี่ หละ ใด กม็ กี ลน่ิ กายหอม จนกระทงั่ มาสาํ เรจ็ที่อรรถกถาไขความวาเปน “คันธกุฎี” อรหตั ตผลในพทุ ธกาลนี้ ตอ มากม็ คี มั ภรี (เชน วา “วหิ ารนตฺ ิ คนธฺ กุฏ”ึ , องฺ.อ.๓/๖๔; ช้ันฎีกาแสดงความหมายของ “คนั ธกฎุ ”ี“เอกวหิ าเรติ เอกคนธฺ กฏุ ยิ ํ”, อ.ุ อ.๓๓๓) วาเปน “กฎุ ีซ่งึ อบดว ยของหอม ๔ ชาต”ิ (ที.อภ.ิ ฏ.ี ๑/๒๕๒; ของหอม ๔ ชาติ ไดแ ก คมั ภรี รุน หลังในพระไตรปฎก ท่มี ใิ ช จนั ทนแดง ดอกไมแ ควนโยนก กฤษณาพุทธพจน ดังเชน เถราปทาน และคมั ภรี และกํายาน หรอื บางตําราวา ดอกไมช้นั อรรถกถาลงมา มีลักษณะที่เนนการ
คนั ธกุฎี ๔๒ คนั ธกุฎีแควน โยนก กฤษณา กาํ ยาน และพมิ เสน; กฎุ ี โกสมั พกฎุ ี คนั ธกฎุ ี และสลฬาคารดอกไมแ ควน โยนก คอื “ยวนะ” มัก ใน ๔ หลังน้ี พระเจา ปเสนทิโกศลทรงแปลกนั วา กานพลู) สรา งสลฬาคาร สว นอีก ๓ หลงั นอกน้ัน อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐเี ปน ผสู รา ง; กเรรกิ ฎุ ี คันธกุฎี ที่ประทับของพระพุทธเจา ไดช ่ืออยางนนั้ เพราะมีกเรรมิ ณฑป คอืพระองคปจจุบนั ที่กลาวถงึ ในอรรถกถาและคมั ภรี รนุ ตอ มาท้ังหลาย โดยทัว่ ไป มณฑปทส่ี รา งดวยไมก มุ นํ้า ตง้ั อยดู า นหมายถึงพระคันธกุฎีท่ีอนาถปณฑิก-เศรษฐสี รางถวาย ทีว่ ดั พระเชตวัน ใน หนา ประตู และไมไกลจากกเรริมณฑปนครสาวตั ถี ซึ่งเปนวัดทพี่ ระพทุ ธเจาประทับบาํ เพ็ญพุทธกิจยาวนานท่ีสดุ ถงึ นั้น มีศาลานั่งพกั หรอื หอน่ัง เรียกวา๑๙ พรรษา เปน ท่ีตรสั พระสตู ร และบัญญตั พิ ระวินยั สว นใหญ เฉพาะอยา ง “กเรริมัณฑลมาฬ” กเรริมณฑปตั้งอยูย่ิง สิกขาบทที่เปนสวนเฉพาะของพระ ระหวางศาลานงั่ น้ี กับพระคนั ธกุฎ,ี มีภิกษุณีแทบทั้งหมดทรงบัญญัติเมื่อ เร่ืองมาในหลายพระสูตรวา ภิกษุท้ังประทับที่น่ี (ในคัมภรี ป ริวาร ทา นนับสิกขาบทที่บญั ญัตไิ วใ นวนิ ัยท้งั สอง คือ หลายมาน่ังสนทนาธรรมกันที่ศาลานั่งน้ีทั้งของภิกษุสงฆ และของภิกษุณีสงฆรวมทีไ่ มซ า้ํ กนั มี ๓๕๐ สิกขาบท ทรง (และทม่ี ณั ฑลมาฬแหง อน่ื ๆ ซง่ึ กม็ ใี นวดับญั ญตั ิ ณ พระนคร ๗ แหง แยกเปนท่ีสาวตั ถี ๒๙๔ สกิ ขาบท ที่ราชคฤห ท่ีเมอื งอนื่ ๆ ดว ย) ถามีขอยังสงสยั บางที๒๑ สิกขาบท ทเ่ี วสาลี ๑๐ สิกขาบท ท่ีโกสัมพี ๘ สิกขาบท ทีเ่ มอื งอาฬวี ๖ กพ็ ากนั ไปเฝา กราบทลู ถาม หรือบางคร้ังสกิ ขาบท ในสกั กชนบท ๘ สกิ ขาบท ในภคั คชนบท ๓ สกิ ขาบท, วินย.๘/๑๐๑๖-๘/ พระพุทธเจาก็เสด็จมาทรงสนทนากับ๓๖๐-๑; ทเี่ มอื งสาวตั ถีนั้น แทบไมม ที อี่ น่ื ภิกษุเหลาน้ันที่นั่น, สวนโกสัมพกุฎีท่ีนอกจากทพ่ี ระเชตวนั ) ไดช่ืออยางนั้น เพราะมีตนโกสุมพอยู ในวดั พระเชตวันนั้น อรรถกถาเลา วา ทางหนา ประตู (ตน “โกสมุ พ” ในที่นี้มเี รอื นใหญ (มหาเคหะ) ๔ หลงั คอื กเรร-ิ แปลเลยี นศพั ท เพราะแปลกนั ไปตา งๆ วา ตนสะครอ บา ง ตน เลบ็ เหยีย่ วบาง ตน คาํ บา ง ตน มะกอกบาง แมแตคําทเี่ ขยี น ก็เปน โกสมพฺ บา ง โกสมุ ฺพ บา ง โกสมุ ฺภ บา ง ไมเ ปนทยี่ ตุ )ิ , หลงั ท่ี๔คอื สลฬาคาร เปน อาคารทสี่ รา งดว ยไม “สลฬ” ซงึ่ แปล กนั วา ไมส น แตต ามฎกี า, ที.ฏี.๒/๑ อธิบาย วาสรางดวยไมเทพทาโร (“เทวทารุ” - ไม “ฟน เทวดา”)
คนั ธกฎุ ี ๔๓ คันธกฎุ ี พระคันธกฎุ ที ีว่ ดั พระเชตวนั น้ี บางที แตบางครั้งก็กลาวถึงพระคันธกุฎีในวัดเรียกวา พระมหาคันธกุฎี ท่เี รียกเชน นี้ ใหญอยางท่ีพระเชตวันนี้ โดยมีคําเพราะมีความสาํ คัญเปน พเิ ศษ นอกจาก ประกอบเชนวา “อันแมนเทพวิมาน”เปนพระกุฎีท่ีประทับยาวนานท่ีสุดและ อยางไรก็ตาม พระพุทธเจาเสด็จจาริกคงจะใหญหรือเปนหลักเปนฐานมากท่ี ทรงบําเพ็ญพทุ ธกิจไปทว่ั จงึ ประทับในสดุ แลว กเ็ ปน การใหห มายรแู ยกตา งจาก ท่ตี า งๆ ทง้ั บานนอกและในเมอื ง ทง้ั ในเรอื นหลงั อน่ื ในพระเชตวนั ทก่ี ลาวขาง ถิ่นชุมชนและในไพรสณฑปาเขา ตลอดตน ดวย เพราะกเรริกุฎีและสลฬาคาร จนถ่ินกนั ดาร บางแหงประทับยาวนานนั้น บางทีก็เรียกเปนพระคันธกุฎีดวย ถึงจําพรรษา บางแหงประทับช่ัวเสร็จเมอื่ พระพทุ ธเจา เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน พทุ ธกจิ เฉพาะ ดวยเหตุนี้ เมื่ออรรถกถามีพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระท่ี เรียกท่ีประทับของพระพุทธเจาวาพระเมืองกุสนิ าราแลว และพระอรหันตเถระ คนั ธกุฎี ในท่สี ุด กก็ ลายเปน วามพี ระทั้งหลายนัดหมายกันวาจะไปประชุม คันธกุฎีมากมาย ท้ังที่เดนชัดและท่ีไมสงั คายนาที่เมอื งราชคฤห โดยตางกเ็ ดิน ชดั เจน เทาทพ่ี บ นอกจากพระคนั ธกุฎีทางไปสทู ห่ี มายเดียวกันน้นั พระอานนท หลักท่ีพระเชตวันแลว คัมภรี ช้นั อรรถ-พุทธอุปฏฐาก ไดไปแวะที่เมืองสาวัตถี กถาลงมา กลา วถงึ พระคนั ธกฎุ ี ในทอ่ี น่ื ๆเพ่ือเก็บกวาดจัดพระคันธกุฎีที่วัดพระ พอจะนับครั้งได (จํานวนครั้งตอไปนี้เชตวัน (เชน วนิ ย.อ.๑/๙; ที.อ.๑/๗) อนั เปน ไมถอื เปน เดด็ ขาด เพราะวา ในกรณีที่บริโภคเจดีย ท่ีประจักษเดน ชัดเจนแก ตางคัมภีรกลาวทั้งเรื่องและขอความซํ้าพุทธบริษทั ทง้ั ปวง ใหเ ปน พุทธคณุ านุ- ตรงกัน อาจจะไมน ับเสียบา ง) คอื ที่สรณสถาน อันสถติ ดงั ครง้ั เม่ือพระบรม พระเวฬุวนั เมอื งราชคฤห (พบ ๑๐ ครั้ง)ศาสดายงั ดาํ รงพระชนมอยู เสรจ็ แลวจึง ที่กูฏาคารศาลา ปามหาวนั ใกลเมืองเดินทางสูเมอื งราชคฤหต อไป เวสาลี (๗ ครง้ั ) ทบ่ี พุ พาราม เมอื งสาวตั ถี (๓ ครงั้ ) ทน่ี โิ ครธาราม เมืองกบลิ พัสดุ ดงั ทก่ี ลา วแลว วา คมั ภรี ช นั้ อรรถกถา (๓ คร้งั ) ท่เี มทฬปุ นคิ ม แควนศากยะลงมา ไดพ รรณนาพระคันธกฎุ ีของพระ (๓ ครงั้ ) ทปี่ าวารกิ มั พวนั เมอื งนาลนั ทาพทุ ธเจาในอดีตอยางอลังการ แมว าจะมิ (๓ คร้ัง) ทช่ี วี กัมพวัน เมืองราชคฤหไดบรรยายเรื่องพระคันธกุฎีของพระ (๒ ครั้ง) ที่เอกนาฬา หมบู า นพราหมณพุทธเจาพระองคปจจุบันมากอยางน้ัน
คนั ธกฎุ ี ๔๔ คนั ธกุฎีในทักขิณาคีรีชนบท บนเสนทางจาก คร้ัง) ในปา ขทริ วัน ลึกเขาไปบนเสน ทางราชคฤหสูสาวัตถี (๒ คร้ัง) ที่ตําบล สูขุนเขาหิมาลัย หางจากเมืองสาวัตถีอุรุเวลา บนฝงแมน้ําเนรญั ชรา เมอ่ื แรก โดยทางลัดแตก ันดารมาก ๓๐ โยชนตรัสรู (๑ ครงั้ ) ทีภ่ เู ขาคิชฌกูฏ เมือง หรือทางดี ๖๐ โยชน (ทานวา เปน พระราชคฤห (๑ คร้งั ) ที่ภเู ขาอสิ ิคลิ ิ เมือง คันธกุฎีท่ีพระขทิรวนิยเรวตะนิรมิตข้ึน,ราชคฤห (๑ ครง้ั ) ที่ตโปทาราม เมือง ๓ ครั้ง) และที่สนุ าปรนั ตชนบท ถิ่นของราชคฤห (๑ ครง้ั ) ท่ีภเู ขาใกลห มบู า น พระปณุ ณะ หา งจากสาวตั ถี ๓๐๐ โยชนอนั ธกวินท ซงึ่ อยูหา งจากเมอื งราชคฤห (พระคนั ธกุฎแี หง น้มี ชี ่ือดว ยวา “จนั ทน-๓ คาวุต (๑ ครั้ง) ทจี่ ัมปานคร แควน มาฬา” เพราะสรางดว ยไมจนั ทนแ ดง, ๑องั คะ ซง่ึ ขน้ึ ตอ มคธ (๑ ครงั้ ) ทไ่ี พรสณฑ ครงั้ , เรยี กเปน มณฑลมาฬ ๒ ครง้ั )ทางทิศตะวันตกนอกเมืองเวสาลี (๑คร้ัง) ที่คิญชกาวัสถ ในญาติกคาม นาสังเกตวา คัมภีรทั้งหลายไมก ลาวแควน วชั ชี (บางทเี รยี กวา นาตกิ คาม, ๑ ถึงพระคันธกุฎีท่ีปาอิสิปตนมฤคทายวันคร้งั ) ทโ่ี ฆสิตาราม เมืองโกสมั พี (๑ ในที่ใดเลย (พบแตในหนังสือช้ันหลังครัง้ , ท่ีโกสมั พี ไมระบทุ ่อี กี ๑ คร้งั ) ท่ี มาก ซึ่งอยูนอกสายพระไตรปฎก แตงจนุ ทอมั พวนั เมอื งปาวา (๑ ครัง้ ) ท่ี เปนภาษาบาลี ในลงั กาทวปี เปน ตาํ นานเมอื งกสุ นิ ารา (๑ คร้ัง) ทส่ี ภุ ควัน ใกล พระนลาฏธาตุ ช่ือวา “ธาตวุ ํส” เลา เปนเมอื งอกุ กัฏฐา แควน โกศล (๑ คร้งั ) ที่ เรอ่ื งราววา เมอ่ื พระพุทธเจา ยงั ทรงพระอจิ ฉานงั คลคาม แควนโกศล (๑ คร้ัง), ชนมอ ยู ไดเ สดจ็ ไปลงั กาทวปี และหลงัที่กลาวมาน้ันเปนถิ่นแดนในเขตแควนที่ พุทธปรินิพพาน มีพระเถระนําพระพอจะคนุ แตใ นถ่ินแดนไกลออกไปหรอื นลาฏธาตุไปตั้งบูชาที่พระคันธกุฎีในวัดท่ไี มค นุ กม็ บี าง ไดแ ก ที่เมืองอยชุ ฌา สําคัญท้ังหลายแหงชมพูทวีป รวมทั้งท่ีบนฝง แมน ํ้าคงคา (เรียกอยา งสนั สกฤต อสิ ิปตนมฤคทายวันดวย กอนจะนําไปวาอโยธยา, ยังกําหนดไมไดแนชัดวา ประดิษฐานในลงั กาทวปี แต “ธาตุวํส”ปจจุบันคือที่ใด แตนาจะมิใชอโยธยา น้ัน ทั้งไมปรากฏนามผูแตงและกาลเดียวกับที่สันนิษฐานกันวาตรงกับเมือง เวลาที่แตง เร่ืองราวท่ีเลา กไ็ มมหี ลักฐานสาเกต, ๑ ครง้ั ) ที่กมั มาสทัมมนคิ ม ท่ีจะอา งอิงได) ในแงห นงึ่ อาจจะถือวาแควน กรุ ุ (กมั มาสธัมมนิคม ก็เรียก, ๒ เมอื่ ครง้ั พระพทุ ธเจา เสดจ็ ไปโปรดเบญจ- วคั คียน ัน้ เปนพรรษาแรกแหง พุทธกิจ
คนั ธกุฎี ๔๕ คนั ธกฎุ ียังไมมีพุทธานุญาตเรือนหรืออาคารเปน ประทับท่ีโคนไมอชปาลนโิ ครธ ใกลฝ งทพี่ ักอาศยั (ตอมาอีก ๓ เดือนหลังจาก แมนํ้าเนรญั ชรา (ทีน่ ่ีเกิดพระสตู รที่ตรสั กอนเสด็จออกจากปาอิสิปตนะมาจนถึงเมืองราชคฤห เม่ือพระเจาพิมพิสารถวาย เสด็จจาริกไปยังอิสิปตนะ รวมทั้งที่ตรัสที่โคนตนพระเวฬุวนั จึงมพี ทุ ธานุญาต “อาราม”คือวัด แกภิกษุท้ังหลาย, วินย.๔/๖๓/๗๑ มจุ ลินท ๑ สูตรดวย เปน ประมาณ ๑๕ สตู ร เชนและตอจากน้ัน ระหวางประทับอยูที่เมืองราชคฤห เมื่อราชคหกเศรษฐี ส.ํ ส.๑๕/๔๑๙/๑๕๑) อรรถกถาเลา เรอ่ื งตอนเลื่อมใส ขอสรางที่อยูอาศัยถวายแก นี้ กบ็ อกวา “เสด็จออกจากพระคนั ธกุฎี”ภกิ ษุท้งั หลาย จึงทรงอนุญาต “วิหาร” แลว มาประทบั นั่งทน่ี น่ั (สํ.อ.๑/๑๓๘/๑๖๒)คือเรือนหรืออาคารที่อยูอาศัย เปน ถาถือความหมายโดยนัยอยางน้ี ก็เสนาสนะอยางหน่ึงใน ๕ อยา งสาํ หรับ สามารถกลาววา มพี ระคันธกฎุ ีทปี่ ระทบัพระภกิ ษุ, วนิ ย.๗/๒๐๐/๘๖ แลว ตอจากน้ี ในคราวโปรดเบญจวคั คยี ท อี่ สิ ปิ ตนะ ในจึงมีเรื่องราวของอนาถบิณฑิกเศรษฐีที่ พรรษาแรกแหง พทุ ธกจิ ดว ยเชน กนั แตสรางวัดทีเดียวเต็มรูปแบบข้ึนเปนแหง บงั เอญิ วา อรรถกถาไมไ ดก ลา วถงึ , ยง่ิ กวาแรก ซึ่งเปนทั้งอารามและมีวิหารพรอม น้ัน หลังจากเสด็จจาริกไปประกาศพระคือวดั พระเชตวัน ทีเ่ มอื งสาวัตถ,ี วนิ ย.๗/ ศาสนาในทต่ี า งๆ แลว ตอ มาพระพทุ ธเจา๒๕๖/๑๑๑) ตามเหตุผลนี้ ก็อาจถือวา เมือ่ ก็ไดเสด็จยอนมาประทับท่ีอิสิปตนะนี้ประทับทีอ่ สิ ิปตนะ ครงั้ นัน้ ยงั ไมมีวหิ าร อีกบา ง ดงั ทใี่ นพระวินัย ก็มีสกิ ขาบทซึง่ทจี่ ะเรยี กวาเปนพระคันธกุฎี แตใ นแงน ้ี ทรงบัญญัตทิ ี่อิสปิ ตนะน้ี ๓ ขอ (วินย.๕/กม็ ีขอแยง ได ดงั ที่กลาวแลววา ในที่สดุ ๑๑/๑๙, ๕๘/๖๙, ๑๕๒/๒๐๖) และในพระสตู รคัมภีรทั้งหลายไดใชคําวา “คันธกุฎี” ก็มีสูตรที่ตรัสท่ีนี่ ไมน บั ทต่ี รสั แกเ บญจ-เพียงในความหมายหลวมๆ คอื ไมว า วคั คยี อกี ประมาณ ๘ สูตร (เชน ม.อ.ุ ๑๔/พระพุทธเจา ประทับทไ่ี หน ถงึ แมในพระไตรปฎกจะไมกลาวถึงวิหาร ทานก็ ๖๙๘/๔๔๙; ส.ํ ส.๑๕/๔๒๔/๑๕๒; สํ.ม.๑๙/๑๖๒๕/เรียกเปน พระคนั ธกฎุ ที ั้งน้นั เชน เม่ือประทบั ที่ตําบลอุรุเวลา ตอนตรสั รูใหมๆ ๕๑๒; ไมน บั สตู รทพ่ี ระสาวก โดยเฉพาะพระสารบี ตุ ร(“ปมาภิสมฺพทุ ฺโธ”) ในพระไตรปฎกวา แสดง อกี หลายสตู ร) นอกจากนี้ อรรถกถายงั เลา เรอื่ งทนี่ ายนนั ทยิ ะ คหบดีบุตร มี ศรัทธาสรางศาลาถวาย ณ มหาวหิ ารท่ี อสิ ปิ ตนะนอ้ี กี ดว ย (ธ.อ.๖/๑๕๖) แสดงวา ในคราวทเี่ สดจ็ มาประทบั ภายหลงั นี้ ไดม ี วดั เปน มหาวหิ ารเกดิ ขนึ้ ทอี่ สิ ปิ ตนะ และ
คนั ธกุฎี ๔๖ คันธกฎุ ีเม่ือมีมหาวิหาร ก็ถือไดแนนอนตาม ลังกาทวีป มายังพุทธคยาในประเทศอรรถกถานยั วา มพี ระคนั ธกฎุ ี อินเดีย โดยไดปฏิญาณวา จะอุทิศชีวติ ท้ังหมดของตน ในการกูพุทธสถานท่ี ปจจุบันนี้ พระคันธกุฎีอันเปน พุทธคยาใหคืนกลับมาเปนทซ่ี ึ่งพระสงฆโบราณสถานท่ีรูจักกันและพุทธศาสนิก- ในพระพุทธศาสนาจะไดรับอนุญาตใหชนนยิ มไปนมัสการมี ๓ แหง คอื ทีภ่ ูเขา เขา ไปอยูได และเมื่อกลับไปยงั ลังกาในคิชฌกฏู ทส่ี ารนาถ (คอื ทอี่ สิ ิปตนะ) และ เดือนพฤษภาคม ปน ัน้ (1891) กไ็ ดต ั้งท่ีพระเชตวัน อีกท้ังไดมีคําศัพทใหม มหาโพธิสมาคม (Maha Bodhiเกดิ ขน้ึ คอื คําวา “มูลคันธกฎุ ี” (พระ Society) ข้ึนท่ีกรุงโคลัมโบ (เมืองคนั ธกฎุ ีเดิม) ซึง่ มกั ใชเรียกพระคนั ธกฎุ ี หลวงของประเทศศรีลงั กาเวลาน้ัน) เมอื่ท่ีสารนาถ แตก็พบวามีผูใชเรียกพระ วนั ที่ ๓๑ พ.ค. เพือ่ ดาํ เนนิ การตามวตั ถุคนั ธกฎุ อี ีกสองแหง ดว ย ประสงคนี้ (ตอมา ตน ป 1892 ไดยา ย สํานักงานมาตั้งท่ีเมืองกัลกัตตา ใน แทจ รงิ นนั้ คาํ วา “มลู คนั ธกฎุ ”ี ไมม ใี น อนิ เดยี จนถงึ ป 1915 จงึ ไดจ ดทะเบยี นคัมภีรภาษาบาลีใดๆ แตเปนคาํ ใหมซ ึ่ง เปน Maha Bodhi Society of Indiaเพิ่งพบและนํามาใชเมื่อเริ่มมีการฟนฟู และถึงบัดน้ีมีสาขามากแหง) ระหวา งพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี ในศตวรรษที่ ที่งานกูพุทธคยาซ่ึงมีอุปสรรคมาก ติดผา นมานี้ ทัง้ น้ี มเี รือ่ งเปน มาวา หลงั จาก คางลาชาอยู อนาคาริกธรรมปาละก็พระพุทธศาสนาสิ้นสลายไปจากชมพู- ดาํ เนนิ งานฟน พทุ ธสถานทสี่ ารนาถ (คอื ที่ท วี ป เ ม่ื อ ป ร ะ ม า ณ พ . ศ . ๑ ๗ ๔ ๐ ปา อสิ ปิ ตนมฤคทายวัน) ไปดว ย งาน(มหาวิทยาลัยพุทธศาสนาทั้งหลาย มี สําคัญมากอยางหน่ึง คือการสรางวัดนาลันทามหาวหิ าร เปนตน ถกู เผาถูก “มลู คนั ธกุฏวี ิหาร” (Mulagandhakutiทําลายหมดสนิ้ ในราว ค.ศ.1200 แตป ท ี่ Vihara)กําหนดไดชัดคือ ราชวงศเสนะถูกกองทัพมุสลิมเตอรกจากตางแดนยึดเมือง การสรางวัดมูลคันธกุฏีวิหารนั้น มีหลวงไดใ น ค.ศ. 1202 คอื พ.ศ.๑๗๔๕) เรื่องสืบเนื่องมาวา ในการขุดคนทางหลงั จากน้ัน เวลาผา นมา ๗๐๐ ปเศษ ถงึ โบราณคดีท่ีสารนาถ ไดพบซากพุทธป ค.ศ.1891/พ.ศ.๒๔๓๔ ในเดือน สถานหนึ่ง ซ่ึงสันนิษฐานวาสรางข้ึนในมกราคม อนาคารกิ ธรรมปาละ (ชอ่ื เดมิ วา สมยั คปุ ตะ (ราชวงศค ปุ ตะ ประมาณ ค.ศ.David Hevavitarne) ไดเ ดนิ ทางจาก
คนั ธกฎุ ี ๔๗ คันธกฎุ ี320–550/พ.ศ.๘๖๓–๑๐๙๓, คงจะสรา ง Committee” ซง่ึ ประกอบดว ยกรรมการซอ นทบั ตรงทเ่ี ดมิ ซง่ึ ผพุ งั ไปตามกาลเวลา ฝา ยฮินดู และฝายพุทธ ฝายละเทากัน)ต อ กั น ม า ตั้ ง แ ต ส มั ย พ ร ะ เ จ า อ โ ศ กมหาราชหรอื กอ นนน้ั ) เพอ่ื เปนอนุสรณ รวมความวา ดังไดกลาวแลว ถงึ แมตรงที่ประทับของพระพุทธเจาเมื่อคร้ัง คมั ภรี ท งั้ หลายจะไมก ลา วถึง “คนั ธกฎุ ี”ทรงจําพรรษาที่น่ันในปแรกของพุทธกิจ ทอ่ี สิ ปิ ตนะ แตก พ็ ูดไดวามพี ระคันธกุฎีอยใู กลกนั กับซากธรรมราชิกสถปู และ ที่น่นั ดวยเหตุผล ๒ ประการ คอื หน่งึณ ท่นี ้ัน ไดพ บแผนจารึกท่มี ีขอความ เรียกตามความหมายหลวมๆ ที่วา พระบอกช่ือดว ยวา “มลู คนั ธกฏุ ”ี อนาคารกิ พทุ ธเจา เคยประทับคา งแรมทีใ่ ด ก็เรียกธรรมปาละจึงคิดสรางวัดข้ึนท่ีน่ัน (ได ที่นน่ั วาเปน พระคันธกุฎี สอง หลงั จากซื้อที่ดินในที่ใกลเคียง มีพิธีวางศิลา บําเพญ็ พุทธกจิ ระยะหนึ่งแลว ไดเ สดจ็ฤกษในวันท่ี ๓ พ.ย. ๒๔๖๕ ตอมาถูก มาประทบั ทอี่ สิ ปิ ตนะอีก มวี ดั ใหญเกดิทางการส่ังระงับ ตองยายท่ีเลื่อนหาง ขึ้นท่ีน่ันและไดตรัสพระสูตรหลายสูตรออกไป แลวสรา งจนเสรจ็ ทําพธิ เี ปด ในวนั เพ็ญเดอื น ๑๒ ตรงกบั วนั ท่ี ๑๑ พ.ย. สวนคาํ วา “มลู คนั ธกฎุ ี” ถงึ แมจ ะไมม มี า๒๔๗๔) และโดยถอื นมิ ิตจากคาํ ในแผน เดิมในคัมภีร แตก ็ไดเ กิดขนึ้ นานแลวจารกึ นน้ั จึงต้ังชอ่ื วา วัดมูลคนั ธกุฏีวิหาร เพื่อใชเรียกพระคันธกุฎีที่ปาอิสิปตน-เปนวัดแรกของยุคปจจุบันท่ีสรางขึ้นในเขตสังเวชนียสถาน (สวนท่ีพุทธคยา มฤคทายวนั นี้ ในฐานะเปนทีป่ ระทบั จาํงานกูพุทธสถานยังคงดําเนินตอมาแม พรรษาแรกแหงพุทธกิจ ถือไดวาเปนหลังจากอนาคาริกธรรมปาละไดสิ้นชีวิต โบราณมติอันหนึ่ง ซ่งึ มุง ใหความสําคญัไปแลวใน พ.ศ.๒๔๗๖ เพิง่ สําเรจ็ ข้ัน แกพุทธสถานท่ีเปนจุดเร่ิมตนแหงการตอนสาํ คญั ในป ๒๔๙๒ เม่อื รัฐบาลรัฐ ประกาศพระศาสนาพหิ ารออกรฐั บญั ญตั ิ “Buddha-GayaTemple Act” ใน ค.ศ.1949 ซึง่ ทงั้ นี้ ถากลา วเพยี งตามความหมายกาํ หนดใหก จิ การของมหาโพธิสถาน ข้นึ ของศพั ท อาจถอื ทปี่ ระทบั หลายแหง เปนตอ คณะกรรมการจดั การ - “Buddha มลู คนั ธกุฎีไดโดยนยั ตา งๆ คือ พระคันธ-Gaya Temple Management กุฎีซง่ึ อรรถกถากลา วถงึ ทตี่ าํ บลอรุ เุ วลา เม่ือตรัสรูใหมๆ (สํ.อ.๑/๑๓๘/๑๖๒) เปน แหงแรกแนนอน จึงเปนมูลคันธกุฎี, แตท ่ีอรุ ุเวลาน้นั ประทบั ไมน านและยัง มิไดออกบําเพ็ญพุทธกิจ ดังนั้น พระ
คนั ธาระ ๔๘ คนั โพงคันธกุฎีท่ีอิสิปตนะหรือสารนาถ ท่ี ใหญ มีชอื่ เฉพาะตวั แตเม่ือถงึ ยุคอรรถ-ประทับเมื่อออกประกาศพระศาสนาครั้ง กถา คันธาระมักปรากฏชอื่ รวมอยูด ว ยแรกและจําพรรษาเปนแหงแรก แม กันกับแควนกัสมีระ โดยเรียกช่ือรวมคัมภีรจะมิไดกลาวเรียกไว ก็เปนมูล- กันวา แควนกัสมีรคนั ธาระ (ในพระคันธกุฎี, แตถานับตอเม่ือมีการสราง ไตรปฎก กัสมรี ะยงั ไมมชี ่ือปรากฏ) ซ่งึเสนาสนะถวายไดต ามพระวนิ ยั กต็ อ งถอื แสดงวาดินแดนท้ังสองน้ีอยูขางเคียงวาวิหารตามพระพุทธานุญาตท่ีเมือง ติดตอกันและในยุคน้ันเปนอันเดียวกันราชคฤห (วินย.๗/๒๐๐/๘๖) เปน มลู คนั ธ- ทางการเมือง ตอมา คันธาระถกู ทําลายกุฎี, แตถาถือตามหลักฐานท่ีชัดเจน แมแ ตช อื่ กเ็ ลอื นหายไป เหลอื แตก ศั มรี ะหลังจากมีพุทธานุญาตท่ีเมืองราชคฤห (ปจ จุบันเขียน กศั มรี , รปู สนั สกฤตเดมินั้นแลว มกี ารจดั เตรยี มการและกอ สรา ง เปน กศฺมีร, บาลเี ปน กสฺมีร, ในภาษาอยา งเปน งานเปน การโดยมเี รอ่ื งราวเลา ไว ไทย บางทีเรียกเพ้ียนเปนแคชเมียร)แมแ ตใ นพระไตรปฎ ก (วนิ ย.๗/๒๕๖/๑๑๑) ซึ่งในปจจุบันปรากฏช่ือรวมอยูดวยกันก็ตองถือเอาพระพุทธวิหารที่วัดพระ กับแควนชัมมู โดยเรียกชื่อรวมกันวาเชตวัน เปนมูลคนั ธกุฎี ชัมมูและกัศมีร (Jammu andคนั ธาระ ชอ่ื แควน ลาํ ดบั ท่ี ๑๕ ในบรรดา Kashmir) และเปน ดนิ แดนท่เี ปนกรณี๑๖ แวน แควน ใหญ ทเ่ี รยี กวา มหาชนบท พิพาทระหวางอินเดียกับปากีสถานแหง ชมพทู วปี ตง้ั อยแู ถบลมุ แมนา้ํ สินธุ ตลอดมาต้ังแตประเทศท้ังสองนั้นแบงตอนเหนอื ปจ จุบนั อยใู นเขตปากสี ถาน แยกจากกันในป ๒๔๙๐ (ค.ศ.1947)เรม่ิ แตแ ควนปญ จาบภาคเหนือ คลมุ ไป กับท้ังจีนก็ไดครอบครองแถบตะวันถึงบางสวนของประเทศอัฟกานิสถาน ออกบางสว นของกศั มรี ะ เกิดเปนกรณีรวมท้ังเมืองกันทหาร (Kandahar, พพิ าทกบั อินเดยี ดวย, สาํ หรับดนิ แดนสันนิษฐานวาเลือนมาจากชื่อเดิมของ สวนที่เปนของอินเดีย ซึ่งอยูใตสวนท่ีแควน นี้ คอื Gandhara) ในพทุ ธกาล พพิ าทกันอยนู ้ัน เรียกวา รฐั ชัมมูและคันธาระมีนครหลวงชื่อ ตกั สิลา ซึ่งเปน กัศมรี เปน รฐั เหนอื สดุ ของอินเดีย มีนครท่ีรุงเรืองดวยศิลปวิทยาตางๆ มี เมอื งหลวงช่อื วาศรีนคร (Sri Nagar); ดูพระราชาปกครอง พระนามวา ปกุ กสุ าติ ชมพูทวีป, ตักสลิ า ในพระไตรปฎก คันธาระเปนแควน คนั โพง คนั ชง่ั ท่ีถวงภาชนะสําหรบั ตักนํ้า
คัพภเสยยกสัตว ๔๙ คามวาสีเพื่อชวยทุนแรงเวลาตักน้ําข้ึนจากบอ การเทศนม หาเวสสนั ดรชาดกทเ่ี ปน คาถาลึกๆ (คนั = คันช่ังที่ใชถวง, โพง = ลวนๆ อยา งน้เี รียกวา เทศนคาถาพันภาชนะสาํ หรับตักน้าํ ในบอ ลึกๆ), เครื่อง คาถาพนั ธ ขอ ความทผ่ี กู เปน คาถา, คาํสําหรับตกั นา้ํ หรอื โพงนํา้ มีคันยาวท่ี ประพันธท่ีแตงเปนบทรอยกรอง คือปลายเพื่อถวงใหเบาแรงเวลาตักหรือ คาถา นน่ั เอง; ดู คาถา 1.โพงนํา้ ขึน้ (โพง = ตัก, วิด) คาพยตุ ดู คาวุตคพั ภเสยยกสตั ว สัตวทอี่ ยูครรภ คอื คามเขต เขตบา น, ละแวกบา นสัตวท เ่ี กิดเปนตวั ตัง้ แตอ ยใู นครรภ คามวาสี “ผูอยบู าน”, พระบา น หมายถงึคมั ภีร 1. ลกึ ซ้ึง 2. ตําราทน่ี บั ถือวา พระภกิ ษุทีอ่ ยวู ัดในเขตหมบู าน ใกลชุมสาํ คัญหรอื เปนของสูง, หนังสือสําคัญที่ ชนชาวบาน หรือในเมือง, เปนคูกับถือเปน หลักเปน แบบแผน เชน คมั ภรี อรัญวาสี หรือพระปา ซ่งึ หมายถึงพระศาสนา คัมภีรโ หราศาสตร ภิกษุที่อยูวัดในปา; คําทั้งสอง คือคมั ภรี ภาพ ความลึกซ้ึง คามวาสี และอรัญวาสี นี้ ไมมีในพระคากรอง เครื่องปกปดรางกายที่ทําดวย ไตรปฎก (ในคัมภีรมิลินทปญหาหญา หรือเปลือกไม ประมาณ พ.ศ.๕๐๐ กย็ งั ไมมี) เพง่ิ มใี ชคาถา 1. คาํ ประพนั ธป ระเภทรอ ยกรองใน ในอรรถกถา (กอ น พ.ศ.๑๐๐๐) แตเ ปนภาษาบาลี ตรงขา มกบั จณุ ณิยบท ถอ ยคาํ สามญั หมายถึงใครกไ็ ด ตั้งแตคาถาหนึง่ ๆ มี ๔ บาท เชน พระสงฆ ไปจนถึงสิงสาราสัตว (มกั ใชอาโรคยฺ ปรมาลาภา สนตฺ ุฏีปรมํ ธนํ แกชาวบานท่ัวไป) ที่อยูบาน อยูใกลวสิ สฺ าสปรมา าติ นิพพฺ านํ ปรมํ สขุ ํ ฯ บาน หรืออยใู นปา , การแบงพระสงฆ2. พุทธพจนท ่เี ปน คาถา (ขอ ๔ ใน เปน ๒ ฝาย คอื คามวาสี และอรัญวาสีนวังคสัตถศุ าสน) เทยี บไวยากรณ2. 3. ใน เกิดขึ้นในลังกาทวปี และปรากฏชดั เจนภาษาไทย บางทีใชใ นความหมายวา คํา ในรัชกาลพระเจาปรักกมพาหุ ที่ ๑เสกเปา ทถ่ี ือวาศกั ดิส์ ทิ ธิ์ อยา งที่เรียกวา มหาราช (พ.ศ.๑๖๙๖–๑๗๒๙) ตอ มา เมอื่คาถาอาคม พอขุนรามคาํ แหงมหาราชแหง อาณาจักรคาถาพนั “คาถาหนง่ึ พนั ” เปน ชอ่ื หนง่ึ ทใ่ี ช สโุ ขทัย ทรงรับพระพุทธศาสนาและพระเรียกบทประพันธเร่ืองมหาเวสสันดร- สงฆล งั กาวงศ อนั สบื เนือ่ งจากสมัยพระชาดก ซงึ่ แตง เปน คาถาลว นๆ ๑ พนั บท; เจา ปรักกมพาหนุ ี้เขา มาในชวงใกล พ.ศ.
คามสมี า ๕๐ คิลานปจจัย๑๘๒๐ ระบบพระสงฆ ๒ แบบ คอื คาหาปกะ ผใู หรับ คือผูแ จกคามวาสี และอรัญวาสี กม็ าจากศรีลังกา คํารบ ครบ, ถว น, เตม็ ตามจํานวนท่ีเขา สปู ระเทศไทยดว ย, พรอมกบั ความ กําหนดไวเปนมาอยางนี้ พระคามวาสีก็ไดเปนผู คาํ ไวยากรณ คาํ รอ ยแกว ; ดู ไวยากรณ 2.หนักในคันถธุระ (ธุระในการเลาเรียน คชิ ฌกูฏ “[ภูเขา]มยี อดดุจแรง”, ช่อื ภเู ขาพระคัมภีร) และพระอรัญวาสีเปนผู ลูกหน่ึงในเบญจคีรี (ภูเขาหาลูก คือหนักในวปิ สสนาธรุ ะ (ธุระในการเจริญ ปณ ฑวะ คชิ ฌกฏู เวภาระ อสิ คิ ลิ ิ และกรรมฐานอันมีวิปส สนาเปน ยอด), เรอื่ ง เวปุลละ ที่ลอมรอบพระนครราชคฤห) น้ี พึงทราบคําอธิบายเพิ่มท่ีคําวา ซึง่ ไดช อื่ อยา งนี้ เพราะคนมองเห็นยอด “อรญั วาส”ี ; คกู บั อรัญวาส,ี ดู คันถธรุ ะ เขานัน้ มีรูปรา งเหมอื นแรง (อกี นัยหนึ่งคามสีมา “แดนบา น” คือเขตที่กําหนด วา เพราะมีแรงอยูบ นยอดเขานั้น), ยอดดว ยบาน, สมี าทถี่ อื กาํ หนดตามเขตบาน เขาคิชฌกูฏเปนที่ซ่ึงพุทธศาสนิกชนรูจกัเปนอพทั ธสมี าอยางหนึ่ง กันมากแมในบัดนี้ เพราะเปนท่ีท่ีพระคารวโวหาร ถอ ยคาํ แสดงความเคารพ พทุ ธเจาประทบั บอย และยงั มซี ากพระคารวะ ความเคารพ, ความเออื้ เฟอ , ความ คนั ธกุฎี ที่ผจู าริกมักขึน้ ไปสกั การะบูชาใสใ จมองเหน็ ความสาํ คญั ทจ่ี ะตอ งปฏบิ ัติ คมิ หะ, คิมหานะ, คมิ หฤดู ฤดูรอนตอ ส่ิงนั้นๆ ใหถกู ตอ งเหมาะสม มี ๖ (แรม ๑ ค่ํา เดอื น ๔ ถงึ ข้นึ ๑๕ คํ่าอยา งคือ ๑. พุทธฺ คารวตา ความเคารพ เดอื น ๘); ดู มาตราในพระพุทธเจา ๒. ธมมฺ คารวตา ความ คิริพพชะ “[เมือง]ที่มีภูเขาเปนคอก”,เคารพในพระธรรม ๓. สงฺฆคารวตา เปนช่ือหน่ึงของเมืองราชคฤห ซ่งึ เรยี กความเคารพในพระสงฆ ๔. สกิ ขฺ าคารวตา ตามลักษณะทอ่ี ยใู นวงลอมของภเู ขา ๕ความเคารพในการศึกษา ๕. อปปฺ มาท- ลกู คอื ปณ ฑวะ คชิ ฌกฏู เวภาระ อสิ คิ ลิ ิคารวตา ความเคารพในความไมป ระมาท และเวปุลละ๖. ปฏิสนฺถารคารวตา ความเคารพใน คิลานปจจัย ปจจยั สาํ หรบั คนไข, สิ่งเกอ้ื ปฏสิ นั ถาร คอื การตอ นรบั ปราศรยั หนนุ คนเจบ็ ไข, ส่ิงทแ่ี กไ ขคนเจ็บไขใหคาวุต ชอื่ มาตราวัดระยะทาง เทากบั ๘๐ กลับคืนเปนปกติคือใหหายโรค, ยา อุสภะ หรือ ๑๐๐ เสน (๔ คาวุตเปน ๑ บําบดั โรค; ใน ปจ จยั ปจ จเวกขณ (การ โยชน); ดู มาตรา พจิ ารณาปจจยั ๔) ใชค าํ เตม็ วา “คิลาน-
คิลานภัต ๕๑ คูถภกั ขาปจจัยเภสัชชบริขาร” คอื (คลิ าน+ คีเวยยกะ แผนผาท่ีเย็บทาบเตมิ ลงไปบนปจ จยั +เภสชั ช) + บรขิ าร แปลวา หยกู ยา จวี รตรงทหี่ มุ คอ, นว้ี าตามคาํ อธิบายในเครื่องเก้ือหนุนรักษาผูเจ็บไข อันเปน อรรถกถา แตพ ระมตขิ องสมเดจ็ พระมหาบริขาร คือเคร่ืองปกปองชีวิตไวชวย สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ใน ปรับเสรมิ ใหชีวติ เปนไปไดย ืนยาว วนิ ยั มขุ เลม ๒ วา ในจวี รหา ขณั ฑๆคิลานภัต อาหารที่เขาถวายเฉพาะภิกษุ กลาง ชอ่ื คเี วยยกะ เพราะเมอื่ หม จวี ร อาพาธ อฑั ฒมณฑลของขณั ฑน น้ั อยทู คี่ อ; ดู จวี รคลิ านเภสัช ยาสาํ หรับผูเจบ็ ไข, ยารกั ษา คบื พระสุคต ชอื่ มาตราวดั ตามอรรถ-ผปู ว ย, เภสชั เพ่ือภกิ ษุอาพาธ กถานยั วา เทา กบั ๓ คบื ของคนปานกลางคลิ านศาลา โรงพกั คนไข, หอรกั ษาคนไข, คอื เทา กบั ศอกคบื ชา งไม แตม ตนิ ไี้ มส มสถานพยาบาล จริง ปจ จบุ ันยุตกิ ันวาใหถ ือตามไมเมตรคิลานปุ ฐาก ผปู ฏิบตั ิภกิ ษไุ ข คือ เทา กับ ๒๕ เซนตเิ มตร ประมาณคิลานุปฏฐากภัต อาหารที่เขาถวาย กันกับคืบชางไม ซ่ึงเปนการสะดวกเฉพาะภิกษุผูพยาบาลไข และถาหากจะส้ันกวาขนาดจริงก็ไมเสียคหิ นิ ี หญงิ ผูค รองเรอื น, คฤหัสถห ญงิ เพราะจะไมเกนิ กาํ หนด ไมเ สยี ทางวนิ ยั(เขยี นเปน คิหณิ ี ก็ม)ี คณุ ของพระรัตนตรัย คณุ ของรัตนะ ๓คิหปิ ฏบิ ัติ ขอปฏิบตั ิสําหรับคฤหสั ถ คือ ๑. พระพทุ ธเจา รดู ีรชู อบดวยพระคหิ วิ นิ ยั วินยั ของคฤหสั ถ, คาํ สอนทง้ั องคเองกอนแลวทรงสอนผูอื่นใหรูตามหมดในสงิ คาลกสตู ร (ท.ี ปา.๑๑/๒๗๒/๑๙๔, ดว ย ๒. พระธรรม เปน หลกั แหง ความสคิ าโลวาทสตู ร กเ็ รยี ก) ทีพ่ ระพุทธเจาตรสั จริงและความดีงาม ยอมรักษาผูปฏบิ ัติแกน ายสงิ คาลกะ คหบดบี ตุ ร ผกู าํ ลงั ไหว ตามไมใหตกไปในที่ชั่ว ๓. พระสงฆทิศ บนทางเสด็จจะเขาไปบิณฑบาตใน ปฏิบัติชอบตามคําสอนของพระพทุ ธเจาเมืองราชคฤห ชอ่ื วา เปน คิหิวนิ ยั มใี จ แลว สอนผอู น่ื ใหก ระทาํ ตามดว ยความวาใหละเวนความช่ัว ๑๔ อยาง คณุ ธรรม ธรรมทเ่ี ปนคุณ, ความดีงาม,(กรรมกเิ ลส ๔, อคติ ๔, อบายมขุ ๖) สภาพทเ่ี ก้อื กลูแลว เปน ผปู กแผท ศิ ทง้ั ๖ (เวน หา งมติ ร คณุ บท บททแ่ี สดงคณุ , บททก่ี ลาวถงึเทยี ม ๔, คบหามติ รแท ๔, จดั สรรทรพั ย คุณงามความด,ี คาํ แสดงคณุ สมบัติเปน โภควภิ าค ๔, บาํ รงุ ทศิ ๖) คูถภักขา มีคูถเปนอาหาร ไดแกสัตว
คูบ ลั ลงั ก ๕๒ ; จาํ พวก ไก สุกร สนุ ขั เปน ตน ปลกุ ใจใหป สาทะ เกดิ ความชน่ื บาน มนั่คูบัลลงั ก ดู บลั ลังก แนว เขม แขง็ มกี าํ ลงั ทาํ ใหจ ติ มสี ตแิ ละเครื่องกัณฑ ส่ิงของสําหรับถวายพระ สมาธทิ จี่ ะทาํ การนนั้ ๆ อยา งไดผ ลดเี ตม็ ท่ี เทศน; กัณฑเทศน ก็เรยี ก และใจสวาง ใชปญญาคิดการไดโปรงเครือ่ งตน เครอื่ งทรงสําหรบั กษัตริย, สิง่ โลง ทําการไดลรุ อดและลุลว งสําเรจ็ ถึง ของทีพ่ ระเจา แผนดนิ ทรงใชและเสวย จดุ หมาย ถา ใชถ กู ตอ งอยา งน้ี กจ็ ะไมผ ดิเครื่องราง ของท่ีนับถือวาเปน เคร่ืองคมุ หลกั กรรม ไมข ัดตอ ศรทั ธาในกรรม คือครองปองกันอันตราย โดยทําใหรอด เช่ือการกระทํา วาจะตองทําเหตุปจจัยปลอดภยั เชน พระเครอ่ื ง ตะกรดุ ผา ยนั ต ใหเกิดผลที่ตองการดวยเร่ียวแรงความมกั เชอ่ื กนั ในทางรนุ แรง เชน วา ยิงไม เพียรพยายามของตน และจะเกดิ ผลดีออก ฟน ไมเขา เปน ตน, นิยมพดู รวม ทงั้ ระยะสน้ั และระยะยาว แตถ า ไมร จู กั ใชกบั คาํ “ของขลัง” (ของท่ีเช่ือกันวาศักดิ์ คือใชผิดหลักกรรม ขัดตอศรัทธาในสิทธิ์มีอํานาจบันดาลใหสําเร็จผลดัง กรรม ก็จะเกิดความเส่ือมทั้งแกชีวิตประสงค เชน นาํ โชคลาภมาให) ควบคกู นั และสงั คม; ดู ปรติ รวา เครอ่ื งรางของขลงั ; เมอ่ื ประมาณ เคลือบแฝง อาการชักใหเปนที่สงสัย,๒๐–๓๐ ป หลงั พ.ศ.๒๕๐๐ ไดมผี ูคดิ แสดงความจริงไมกระจางทําใหเปนที่คําใหมขน้ึ มาใชว า วตั ถุมงคล และนิยม สงสัยใชตามกันท่ัวไป จนบัดน้ีเหมือนวาได เคหสถาน ที่ตง้ั เหยา เรอื นแทนทีค่ ําวา เคร่อื งรางของขลงั แมว า คํา เคหสิตเปมะ ความรกั อนั อาศัยเรอื น ได“วัตถุมงคล” จะแปลความหมายได แกรักกันโดยฉันเปนคนเนื่องถึงกันกวา งกวา วา ส่ิงทเี่ ปนสิรมิ งคล หรอื สิง่ ที่ เปนญาติกัน เปน คนรวมเรอื นเดยี วกนันําสิริมงคลคือความดีงามความสุข ความรักฉันพอ แมลูกและญาตพิ ่ีนอ งความเจริญมาให แตคนท่ัวไปมักเห็น เคารพ ความนับถอื , ความมคี ารวะความหมายอยางเคร่ืองรางของขลังเทา เคาะ ในประโยควา “เหมอื นชายหนุมพูดเดมิ ; สาํ หรบั พทุ ธศาสนกิ ชน การนบั ถอื เคาะหญิงสาว” พดู ใหร ทู าพระเครอ่ื ง คอื เปน หลกั ยดึ เหนยี่ ว ทสี่ อื่ เคาะแคะ พดู แทะโลม, พดู เกย้ี วใจโยงใหส นทิ แนว ในพระพทุ ธคณุ มาจน แคชเมียร ช่ือแควนหนึ่งของชมพูทวีปถงึ คณุ มารดาบดิ าอปุ ช ฌายอ าจารย และ เรียกเพี้ยนมาจาก “กัศมีร” ; ดู กัศมีร,
โคจร ๕๓ โคธาวรีคนั ธาระ ทางทิศใตของเมืองเวสาลี เปนที่ท่ีพระโคจร “ทโ่ี คเทยี่ วไป”, “เทย่ี วไปดงั โค”; 1. พุทธเจาเคยประทับหลายคร้ังและเคยทซ่ี งึ่ อนิ ทรยี ท ง้ั หลาย มตี าเปน ตน ทอ ง ทรงทาํ นิมติ ตโอภาสแกพ ระอานนทเทยี่ วไป ไดแ ก อารมณ (กรรมฐาน บาง โคตมโคตร ตระกูลโคตมะ เปนชื่อครงั้ กเ็ รยี กวา “โคจร” เพราะเปน อารมณ ตระกูลของพระพทุ ธเจาของการเจรญิ ภาวนา) 2. สถานทที่ เ่ี ทย่ี ว โคตมนิโครธ ตําบลท่ีพระพทุ ธเจาเคยทําไปเสมอ หรอื ไปเปน ประจาํ เชน ท่ภี กิ ษุ นมิ ติ ตโอภาสแกพ ระอานนท อยูท่ีพระไปเที่ยวบิณฑบาต, บุคคลหรือสถานที่ท่ี นครราชคฤหไปมาหาสู; เทียบ อโคจร 3. เทย่ี วไป, แวะ โคตมี ชื่อเรยี กสตรแี หงโคตมโคตร เชนเวยี นไป, ดาํ เนนิ ไปตามวถิ ี เชน ดวงดาว พระนางมหาปชาบดี ผูเปนพระแมนาโคจร; การดาํ เนนิ ไปในวถิ แี หง การปฏบิ ตั ิ ของพระสทิ ธตั ถะ เปนตนเชน ในการเจรญิ สมาธิ ซงึ่ จะกา วไปดว ย โคตร ตระกลู , เผาพันธุ, วงศดีได ตองมีสติสัมปชัญญะท่ีจะใหรูจัก โคตรภู ผูตั้งอยูในญาณซึ่งเปนลําดับทจ่ี ะหลกี เวน ธรรมทไ่ี มเ หมาะไมเ ออื้ และเสพ ถึงอริยมรรค, ผูอยูในหัวตอระหวางธรรมอนั เออ้ื เกอ้ื กลู เปน ตน ความเปน ปถุ ชุ นกบั ความเปน อรยิ บคุ คลโคจรคาม หมบู า นทอ่ี าศยั เทยี่ วภกิ ขาจาร, โคตรภูญาณ “ญาณครอบโคตร” คือ หมบู านที่ภิกษไุ ปเท่ียวบณิ ฑบาตประจํา ปญญาที่อยูในลําดับจะถึงอริยมรรคโคจรวบิ ตั ิ วบิ ตั แิ หงโคจร, เสียในเร่ืองที่ หรืออยูในหัวตอที่จะขามพน ภาวะปุถุชน เที่ยว, ความเสียหายในการไปมาหาสู ขนึ้ สภู าวะเปน อริยะ; ดู ญาณ ๑๖ เชน ภิกษไุ ปในทีอ่ โคจรมรี านสุรา หญงิ โคตรภูสงฆ พระสงฆท่ีไมเครงครัดแพศยา แมห มา ย บอ นการพนนั เปน ตน ปฏิบตั ิเหินหา งธรรมวนิ ยั แตยงั มีเคร่อื งโคจรคั คาหกิ รปู ดทู ี่ รปู ๒๘ หมายเพศ เชน ผาเหลืองเปน ตน และโคณกะ ผาขน มีขนยาวกวา ๔ นวิ้ ถือตนวายังเปนภิกษุสงฆอยู, สงฆในโคดม, โคตมะ ช่ือตระกูลของพระ ระยะหัวตอ จะส้นิ ศาสนาพุทธเจา มหาชนเรยี กพระพุทธเจา ตาม โคธาวรี ชือ่ แมนา้ํ สายหนึง่ ระหวางเมอื งพระโคตรวา พระโคดม พระโคตมะ อัสสกะกบั เมืองอาฬกะ พราหมณพ าวรีหรอื พระสมณโคดม ต้ังอาศรมสอนไตรเพทอยูที่ฝงแมนํ้าโคตมกเจดีย ชือ่ เจดยี สถานแหงหนึ่งอยู สายนี้ (มกั เพยี้ นเปน โคธาวารี ในฝา ย
โคนสิ าทกิ า ๕๔ ฆานสมั ผัสสันสกฤตเขยี นเปน โคทาวรี) ๒/๒๑๘ วา หมายรวมถงึ เย่ียวววั ข้ีแพะโคนิสาทิกา “กัปปยภูมิอันดุจเปนที่โค ตลอดจนข้มี าดว ย ก็มี)จอ ม” คือเรือนครวั นอยๆ ท่ไี มไ ดปก เสา โครส “รสแหง โค หรอื รสเกิดแตโค” คอื ตั้งอยูกบั ท่ี ต้ังฝาบนคาน ยกเลอื่ นไป ผลผลติ จากนมโค ซง่ึ มี ๕ อยา ง ไดแ ก จากทไ่ี ด; ดู กัปปยภูมิ นมสด (ขรี ะ) นมสม (ทธิ) เปรยี ง (ตกั กะ)โคมัย “สงิ่ ทสี่ ําเร็จโดยโค, สงิ่ ทโ่ี คทํา หรือ เนยใส (สปั ป) เนยขน (นวนีตะ) เรยี ก รวมวา เบญจโครส ส่งิ ทีเ่ กดิ จากโค”, ข้วี วั (บางแหง เชน อง.ฺ อ. ฆฆฏิการพรหม พระพรหมผูนําสมณ- ๒. ทมะ ความฝก ฝนปรบั ปรงุ ตน เชน รูบรขิ ารมบี าตรและจวี ร เปน ตน มาถวาย จกั ขม ใจ ควบคมุ อารมณ บงั คบั ตนเองแดพระโพธิสัตวเม่ือคราวเสด็จออก ปรบั ตวั เขา กบั การงานและสง่ิ แวดลอ มใหพรรพชา (มติของพระอรรถกถาจารย) ไดดี ๓. ขันติ ความอดทน ๔. จาคะฆนะ กอน, แทง ความเสียสละ เผือ่ แผ แบงปน มีนา้ํ ใจฆนสัญญา ความสําคัญวาเปนกอน, ฆราวาสวสิ ยั วิสยั ของฆราวาส, ลักษณะความสําคัญเห็นเปนชิ้นเปนอัน ซ่ึงบัง ท่ีเปนภาวะของผูครองเรือน, เร่ืองของ ปญ ญาไมใหเหน็ ภาวะที่เปน อนตั ตา ชาวบานฆนโิ ตทนะ กษัตริยศ ากยวงศ เปนพระ ฆราวาสสมบัติ วิสัยของฆราวาส,ราชบุตรองคท่ี ๕ ของพระเจาสีหหนุ ลักษณะที่เปนภาวะของผูครองเรือน, เปนพระอนุชาองคที่ ๔ ของพระเจา เรือ่ งของชาวบา น สทุ โธทนะ เปน พระเจา อาของพระพทุ ธเจา ฆานะ จมูกฆราวาส การอยูครองเรือน, ชีวิตชาว ฆานวิญญาณ ความรูที่เกิดข้ึนเพราะบาน; ในภาษาไทย มักใชหมายถึงผู กลิ่นกระทบจมูก, กลน่ิ กระทบจมกู เกิดครองเรอื น คอื คฤหสั ถ ความรูขึน้ , ความรกู ลิน่ (ขอ ๓ ในฆราวาสธรรม หลกั ธรรมสาํ หรบั การครอง วญิ ญาณ ๖)เรอื น, ธรรมของผคู รองเรอื น มี ๔ อยา ง ฆานสัมผสั อาการที่ จมูก กลนิ่ และคอื ๑. สจั จะ ความจรงิ เชน ซอื่ สตั ยต อ กนั ฆานวญิ ญาณประจวบกัน
ฆานสมั ผสั ชาเวทนา ๕๕ จตุบริษัทฆานสัมผัสชาเวทนา เวทนาที่เกิดข้ึน โฆสัปปมาณิกา คนพวกท่ีถือเสียงเปนเพราะฆานสัมผัส, ความรูสึกท่ีเกิดขึ้น ประมาณ, คนทีน่ ิยมเสียง เกดิ ความเพราะการที่จมูก กลิ่น และ ฆาน- เล่ือมใสศรทั ธาเพราะเสยี ง ชอบฟง เสยี งวญิ ญาณประจวบกัน ไพเราะ เชน เสียงสวดสรภัญญะเทศนโฆสะ พยัญชนะที่มีเสียงกอง ไดแก มหาชาติเปนทํานอง เสียงประโคมพยญั ชนะท่ี ๓ ๔ และ ๕ ในวรรคทง้ั ๕ เปนตน; อีกนัยหน่ึงวา ผูถือชื่อเสียงคือ ค ฆ ง, ช ฌ , ฑ ฒ ณ, ท ธ น, กิตติศัพท หรือความโดงดังเปนพ ภ ม, และ ย ร ล ว ห ฬ รวม ๒๑ ประมาณ เห็นใครมชี ่ือเสยี งก็ตืน่ ไปตามตวั (นคิ คหติ นกั ปราชญท างศพั ทศาสตร โฆสิตาราม ชื่อวัดสําคัญในกรุงโกสัมพีถือเปนโฆสะ, สวนนักปราชญฝาย คร้ังพุทธกาล พระพุทธเจาเคยประทบัศาสนา ถอื เปนโฆสาโฆสวมิ ตุ คอื พน หลายครงั้ เชน คราวท่ภี ิกษชุ าวโกสัมพีจากโฆสะและอโฆสะ); ตรงขา มกับ อโฆสะ แตกกัน เปนตนง(เทยี บระดบั เสยี งพยญั ชนะ ดทู ี่ ธนติ )งมงาย ไมร ทู า , ไมเขาใจ, เซอ เซอะ, หลง ฟงผอู นื่ เช่อื โดยไมม ีเหตผุ ล หรอื โดยไมยอมรับ จจงกรม เดินไปมาโดยมสี ตกิ าํ กบั จตุธาตุววตั ถาน การกาํ หนดธาตุ ๔ คอืจตุกกะ หมวด ๔ พิจารณารางกายนี้ แยกแยะออกไปจตุกกชั ฌาน ฌานหมวด ๔ คอื รปู ฌาน มองเห็นแตสว นประกอบตางๆ ทีจ่ ดั เขาทแี่ บงเปน ๔ ชัน้ อยางทรี่ จู กั กนั ทั่วไป, ในธาตุ ๔ คอื ปฐวี อาโป เตโช วาโย“ฌานจตุกกนยั ” ก็เรยี ก; ดู ฌาน ๔; เทียบ ทาํ ใหรูภาวะความเปนจริงของรางกายวาปญ จกัชฌาน เปนเพยี งธาตุ ๔ ประชุมกนั เขา เทา นนั้จตุตถฌาน ฌานท่ี ๔ มอี งค ๒ ละสขุ ไมเปนตัวสตั วบคุ คลท่ีแทจริงเสยี ได มแี ตอุเบกขากับเอกคั คตา จตุบริษัท บริษัทส่ีเหลา คือ ภิกษุ
จตปุ จจยั ๕๖ จรติภิกษุณี อุบาสก อบุ าสกิ า (วินย.อ.๓/๓๗๔), เรียกใหส ้นั วา จตรุ ารกั ข,จตปุ จจยั เคร่อื งอาศัยของชวี ติ หรอื สงิ่ ในนวโกวาท เรียกวา อารักขกมั มัฏฐานจาํ เปน สาํ หรับชวี ิต ส่อี ยาง คอื จวี ร ๔; ดู อารกั ขกัมมัฏฐานบิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช จตุราริยสัจจ อริยสัจจส่ีประการ คือ ทกุ ข สมุทัย นิโรธ มรรค ดู อริยสัจจ(เครอื่ งนงุ หม อาหาร ที่อยู ยา)จตุยุค, จตรุ ยุค ยคุ ๔; ดู กปั จตโุ ลกบาล ทา วโลกบาลส,ี่ ทา วมหาราชสี่จตรุ งคินเี สนา กองทพั มีกาํ ลังสีเ่ หลา คอื ดู จาตุมหาราชเหลาชาง เหลา มา เหลา รถ เหลา ราบ จตโุ วการ, จตุโวการภพ ดู โวการจตรุ บท สตั วส่เี ทา มี ชา ง มา ววั ควาย จรณะ เครือ่ งดําเนิน, ปฏปิ ทา คอื ขอเปนตน ปฏิบัตอิ ันเปน ทางบรรลวุ ิชา มี ๑๕ คอืจตุรพิธพร พร ๔ ประการ คอื อายุ สีลสัมปทา ความถึงพรอมดวยศีล(ความมอี ายุยนื ) วรรณะ (ความมผี วิ อปณ ณกปฏปิ ทา ๓ สัทธรรม ๗ และพรรณผอ งใส) สขุ ะ (ความสขุ กายสขุ ใจ) ฌาน ๔พละ (ความมกี าํ ลงั แขง็ แรง สขุ ภาพด)ี ; จริต ความประพฤติ; บคุ คลผูมพี ้นื นิสัยดู พร หรือพ้ืนเพจิตใจที่หนักไปดานใดดานจตรุ ยุค ยุค ๔; ดู กัป หนงึ่ แตกตา งกันไป จาํ แนกเปน ๖ ตามจตรุ วรรค, จตุวรรค สงฆพ วกส,ี่ สงฆที่ จริยา ๖ คอื ๑. ราคจริต ผูมรี าคะเปน กาํ หนดจาํ นวนภิกษุอยา งต่าํ เพยี ง ๔ รปู ความประพฤติปกติ (หนักไปทางรัก สวยรักงาม มกั ตดิ ใจ) ๒. โทสจรติ ผมู ี เชน สงฆท ท่ี าํ อโุ บสถกรรมเปนตนจตรุ าธฏิ ฐาน ดู อธิษฐานธรรม โทสะเปน ความประพฤตปิ กติ (หนักไปจตุรารกั ขา การเจรญิ ภาวนาท่เี ปน เครอ่ื ง ทางใจรอ นขี้หงดุ หงิด) ๓. โมหจริต ผูมีรักษาตัวใหมีใจสงบและตั้งอยูในความ โมหะเปนความประพฤติปกติ (หนักไปไมป ระมาท มี ๔ อยา ง คือ พุทธานุสต-ิ ทางเหงาซึมงมงาย) ๔. สทั ธาจรติ ผมู ีภาวนา มรณสตภิ าวนา อสภุ ภาวนา และ ศรทั ธาเปน ความประพฤตปิ กติ (หนักไปเมตตาภาวนา, พดู ใหส้ันวา กรรมฐาน ทางนอมใจเชือ่ ) ๕. พุทธจิ ริต ผูม ีความเปน เครอื่ งรักษา ๔ คือ พุทธานุสติ รเู ปนความประพฤติปกติ (หนักไปทางอสุภะ เมตตา และมรณสติ, ทา นจดั ขน้ึ คิดพจิ ารณา) ๖. วิตกจรติ ผูมวี ิตกเปนเปนชุดที่มีชื่ออยางน้ีในยุคอรรถกถา ความประพฤติปกติ (หนกั ไปทางคดิ จับ
จรมิ กจิต ๕๗ จรยิ าจดฟงุ ซา น), ในการท่ีจะเจริญกรรมฐาน ตัณหาเปนสังสารนายิกา สําหรับคนทานแนะนําใหเลือกกรรมฐานใหเหมาะ ตณั หาจรติ แมถ งึ หลกั อรยิ สจั จ ๔ กว็ าหรือเขา กับจรติ โดยสอดคลอ งกับจริยา พระพุทธเจาตรัสโดยสัมพันธกับเรื่องของเขา (จรยิ านกุ ูล) ตณั หาจรติ และทฏิ ฐจิ รติ น;ี้ ดู จรยิ าในการเจริญวิปสสนา บางครั้งทาน จรมิ กจติ จติ ดวงสดุ ทา ย ซง่ึ จะดบั ไปเมอ่ืกลา วถงึ จรติ ๒ คอื ตณั หาจรติ (ผมู พี นื้ พระอรหันตปรินิพพานดวยอนุปาทิเสส-จติ หนกั ไปทางตณั หา) และทิฏฐิจรติ (ผู นิพพานธาตุ ไดแก ปรินิพพานจิต,มพี นื้ จติ หนกั ไปทางทฏิ ฐ)ิ โดยโยงไปถงึ จรมิ กวิญญาณ ก็เรยี กหลกั สตปิ ฏ ฐานวา สตปิ ฏ ฐานทม่ี ี ๔ ขอ นนั้ จริยธรรม “ธรรมคือความประพฤติ”,พระพทุ ธเจา ทรงแสดงไวไ มข าด ไมเ กนิ “ธรรมคือการดําเนินชีวิต”, หลักความเพอ่ื ใหเ กอ้ื กลู เหมาะกนั กบั คน ๔ จาํ พวก ประพฤติ, หลักการดาํ เนนิ ชวี ิต; 1. ธรรมคอื กายานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน มอี ารมณ ทเี่ ปน ขอ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ศลี ธรรม หรอืหยาบ เปน วสิ ทุ ธมิ รรค (ทางแหง วิสุทธิ) กฎศีลธรรม (ความหมายตามบัญญัติ สมยั ปจ จุบัน ซง่ึ กําหนดให จริยธรรมสําหรบั เวไนยสตั วต ัณหาจรติ ทมี่ ปี ญ ญาเฉ่ือย เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน มี เปนคําแปลสําหรับคําภาษาอังกฤษวาอารมณล ะเอียด เปนวิสุทธมิ รรค สาํ หรบั ethics) 2. จรยิ ะ (หรอื จรยิ ธรรม) อนั ประเสริฐ เรียกวา พรหมจริยะเวไนยสตั วต ณั หาจรติ ทม่ี ปี ญ ญาเฉยี บ (พรหมจริยธรรม หรอื พรหมจรรย)จติ ตานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน ซง่ึ มอี ารมณแตกประเภทไมม ากนกั เปน วสิ ทุ ธมิ รรค แปลวา “ความประพฤติอันประเสริฐ”สาํ หรับเวไนยสตั วทิฏฐจิ ริต ทมี่ ปี ญ ญา หรือ การดําเนินชีวิตอยางประเสริฐเฉอ่ื ย ธมั มานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน ซงึ่ มี หมายถึง มรรคมอี งค ๘ หรอื ศีล สมาธิอารมณแ ตกประเภทมากยงิ่ เปน วสิ ทุ ธ-ิ ปญญา; เทียบ ศีลธรรมมรรค สาํ หรบั เวไนยสตั วท ฏิ ฐจิ รติ ทม่ี ี จริยา 1. ความประพฤต,ิ การครองตน,ปญ ญาเฉยี บ, นอกจากนี้ ทา นนาํ เรอ่ื ง การดําเนินชีวิต 2. ลักษณะความตัณหาจริต และทิฏฐิจริตไปใชอธิบาย ประพฤติหรือการแสดงออกท่ีเปนพ้ืนหลกั อนื่ ๆ อกี มาก เชน ในเรอ่ื งปฏจิ จ- ประจําตัว, พื้นจิตพ้ืนนิสัยของแตละสมุปบาทวา อวิชชาเปนสังสารนายิกา บุคคลท่หี นักไปดานนั้นดา นน้ี แตกตาง(ตวั นาํ สงั สาระ) สาํ หรบั คนทฏิ ฐจิ รติ สว น กันไป ทา นแสดงไว ๖ อยา ง (เชน วิสทุ ธฺ .ิ ๑/
จว งจาบ ๕๘ จักกวตั ติสตู ร ๑๒๗) คอื ราคจริยา โทสจริยา โมหจรยิ า ทรงประพฤติตามหลักจักรวรรดิวัตร สทั ธาจรยิ า พุทธิจรยิ า และวติ กจรยิ า, อันสืบกันมาแตบรรพชนของพระองค บุคคลมจี ริยาอยางใด ก็เรียกวา เปนจริต ยอมทําใหจักรรัตนะบังเกิดข้ึนมาเอง, อยา งน้นั เชน ผูม รี าคจรยิ า ก็เปนราค- จักรวรรดวิ ตั ร น้ันมี ๔ ขอ ใหญ ใจ จริต, ในภาษาไทย นิยมใชค ําวา “จรติ ” ความวา ๑. พระเจาจักรพรรดิเปน และมักเขาใจความหมายของจริตเปน ธรรมาธิปไตย และจดั การคุมครองปอง จริยา กันโดยชอบธรรมแกชนทุกหมูเหลาใน แผนดิน ตลอดไปถึงสัตวท่ีควรสงวน ทา นกลา วไวด ว ยวา มบี างอาจารยจ ดั พันธุทง้ั หลาย ๒. มิใหม กี ารอันอธรรม จริยาไวอีกชุดหน่ึงตามกิเลสสําคัญ ๓ เกดิ ข้ึนในแผนดนิ ๓. ปน ทรพั ยเ ฉลย่ี อยา ง (ปปญ จะ ๓) เปน จรยิ า ๓ คอื ใหแ กผ ไู รท รพั ย ๔. ปรกึ ษาสอบถามการ ตัณหาจรยิ า มานจรยิ า และทิฏฐจิ รยิ า ดชี ่วั ขอควรและไมค วรประพฤติ กะ แตในคัมภีร ทานไมแสดงไวตางหาก สมณพราหมณ ผปู ระพฤติดี ปฏิบัติ เพราะตณั หาจริยา และมานจรยิ า จดั ชอบ อยเู สมอ; จกั รวรรดวิ ตั ร ๔ ขอนี้ เขาในราคจริยา และทิฏฐิจริยา กร็ วม บางทจี ัดเปน ๕ โดยแยกขอ ๑. เปน ๒ อยใู นโมหจริยา; ดู จริต, ปปญจะ ขอ คอื เปนธรรมาธิปไตย ถือธรรมเปนจวงจาบ พดู จาลว งเกนิ , วา รา ย, พดู ลบ ใหญอ ยางหนง่ึ กับจดั การคุมครองปอง หลู, พูดลดคุณคาลบความสําคัญ; ใน กันอันชอบธรรม อยา งหน่งึ , นอกจาก หนงั สอื เรยี นพทุ ธประวตั ิ มกั หมายถงึ คาํ นั้น สมยั ตอมา อรรถกถาจดั แบงซอย ที่ สภุ ทั ทะวฒุ บรรพชติ กลา วแกภ กิ ษทุ งั้ ออกไป และเพิ่มเขามาอกี รวมเปน ๑๒ หลายเมอื่ พระพทุ ธเจา ปรนิ พิ พานใหมๆ ขอ เรยี กวา จักรวรรดิวตั ร ๑๒; พระจกั กวตั ตสิ ตู ร ชอื่ สตู รท่ี ๓ แหง ทฆี นกิ าย สู ต ร นี้ ถื อ ว า เ ป น คําส อ น แ ส ด ง ห ลั ก ปาฏกิ วรรค พระสตุ ตนั ตปฎ ก พระพทุ ธ- วิวัฒนาการของสังคมตามแนวจริย- เจา ตรัสสอนภิกษุทง้ั หลายใหพ งึ่ ตน คือ ธรรมกลา วถงึ หลกั การปกครอง และหลกั พง่ึ ธรรม ดว ยการเจรญิ สตปิ ฏ ฐาน ๔ ความสัมพันธระหวางเศรษฐกิจกับจริย- ซึ่งจะทําใหไดชื่อวาเปนผูดําเนินอยูใน ธรรม; เร่ือง พระศรีอารยเมตไตรย กม็ ี แดนของตนเองที่สืบมาแตบ ดิ า จะมแี ต ตน เคา มาจากพระสูตรน้ี; ดู จักรวรรดิ- ความดีงามเจริญขึ้น ไมเปดชองใหแก วตั ร ๑๒ มาร เชนเดียวกับพระเจาจักรพรรดิที่
จกั ขุ ๕๙ จักรวรรดิวัตร ๑๒จักขุ ตา, จกั ขขุ องพระพุทธเจา มี ๕ คือ ชางแกว มา แกว นางแกว ขนุ คลงั แกวมังสจักขุ ทพิ พจกั ขุ ปญญาจักขุ พทุ ธ- ขนุ พลแกว จักรแกว แกวมณีจักขุ สมนั ตจักขุ (ดทู ่คี าํ นนั้ ๆ) จกั รพรรดิราชสมบัติ สมบัติ คอื ความจักขุวิญญาณ ความรูท่ีเกิดข้ึนเพราะรปู เปนพระเจา จักรพรรดิ, ความพรงั่ พรอมกระทบตา, รูปกระทบตา เกิดความรู สมบรู ณแ หงพระเจา จักรพรรดิขึ้น, การเหน็ (ขอ ๑ ในวญิ ญาณ ๖) จักรรัตนะ จักรแกว หมายถงึ ตัวอํานาจจกั ขสุ มั ผัส อาการท่ี ตา รปู และจักขุ แหง พระเจา จกั รพรรดิ จกั รวรรดิวตั ร ๑๒ ๑. อนฺโตชนสมฺ ึ พล-วิญญาณประจวบกนัจักขุสัมผัสสชาเวทนา เวทนาที่เกิดขึน้ กายสมฺ ึ คมุ ครองสงเคราะหแ กช นในพระเพราะจักขุสัมผัส, ความรูสึกที่เกิดข้ึน ราชฐานและพยุหเสนา ๒. ขตตฺ เิ ยสุ แก เพราะการที่ ตา รูป และจกั ขวุ ิญญาณ กษัตริยเมืองข้ึนหรือผูครองนครภายใต พระบรมเดชานภุ าพ ๓. อนุยนเฺ ตสุ แก ประจวบกันจกั ร ลอ , ลอรถ, ธรรมนําชวี ติ ไปสคู วาม กษตั รยิ ท ต่ี ามเสดจ็ คอื เหลา เชอื้ พระวงศ ผเู ปน ราชบรพิ าร ๔. พรฺ าหมฺ ณคหปตเิ กสุ เจริญรุง เรือง ดจุ ลอ นํารถไปสทู ่ีหมาย มี แกพราหมณและคฤหบดีท้ังหลาย ๕. ๔ อยาง คือ ๑. ปฏิรปู เทสวาสะ อยใู น เนคมชานปเทสุ แกชาวนิคมและชาว ถน่ิ ทเ่ี หมาะ ๒. สปั ปรุ ิสูปสสยะ สมาคม ชนบทคือ ราษฎรพ้นื เมืองท้งั หลาย ๖. กบั คนดี ๓. อัตตสัมมาปณธิ ิ ต้ังตนไว สมณพรฺ าหมฺ เณสุ แกเ หลา สมณพราหมณ ชอบ ๔. ปุพเพกตปุญญตา ไดทาํ ความดี ๗. มคิ ปกขฺ สี ุ แกเ หลา เนอ้ื นกอนั พงึ บาํ รงุ ไวใ หมสี ืบพันธุ ๘. อธมฺมการปฏกิ เฺขโป ไวก อ นจกั รธรรม ธรรมเปรยี บดว ยลอ รถ ซ่งึ จะ นําไปสูความเจริญ หรือใหถึงจุดมุง หา มปรามมใิ หม คี วามประพฤตกิ ารอนั ไม หมาย มี ๔ อยา ง; ดู จกั ร เปน ธรรม ๙. อธนานํ ธนานปุ ปฺ ทานํ เจอืจกั รพรรดิ พระราชาธริ าช หมายถงึ พระ ราชาผยู ง่ิ ใหญ มรี าชอาณาเขตปกครอง จานทรัพยทํานุบํารุงแกผ ขู ดั สนไรท รัพย ๑๐.สมณพรฺ าหมฺ เณ อปุ สงกฺ มติ วฺ า ปหฺ า- กวางขวางมาก บานเมืองในปกครองมี ปุจฺฉนํ ไปสูหาสมณพราหมณไตถาม อรรถปรศิ นา ๑๑. อธมมฺ ราคสสฺ ปหานํ ความรมเย็นเปนสุข ปราบขาศึกศัตรูดว ยธรรม ไมตอ งใชอ าชญาและศัสตรา เวนความกําหนัดในกามโดยอาการไมมรี ัตนะ ๗ ประการประจาํ พระองค คอื เปน ธรรม ๑๒. วิสมโลภสฺส ปหานํ เวน
จักษุ ๖๐ จาคานสุ สติโลภกลา ไมเ ลือกควรไมควร อยูบนฝงแมนํ้าจัมปา ไมหางไกลมากจกั รวรรดวิ ตั ร ๑๒ น้ี มาในอรรถกถา นกั จากจดุ ท่ีบรรจบกบั แมน ้ําคงคาโดยแบงซอยและเพ่ิมเติมจากของเดิม จัมเปยยขนั ธกะ ช่อื ขนั ธกะท่ี ๙ แหงใน จักกวัตตสิ ตู ร; ดู จักกวัตตสิ ตู ร คมั ภรี ม หาวรรค วนิ ยั ปฎ ก วา ดว ยขอ ควรจักษุ ตา, นยั นตา; จกั ษุ ๕ ดู จกั ขุ ทราบบางแงเกี่ยวกับนิคหกรรมตา งๆจกั ษทุ พิ ย ตาทพิ ย คอื ดอู ะไรเหน็ ไดห มด; จัมมขันธกะ ชอื่ ขันธกะที่ ๕ แหง คัมภรี ดู ทิพพจักขุ มหาวรรค วนิ ยั ปฎ ก วาดวยเครื่องหนังจงั หัน ขา ว, อาหาร (ใชแ กพ ระสงฆ) ตางๆ มีรองเทา และเครอ่ื งลาดเปน ตนจัญไร ชัว่ รา ย, เลวทราม, เสีย จาคะ การสละ, การเสียสละ, การทําใหจัณฑปชโชต พระเจาแผนดินแควน หมดไปจากตน, การใหหรอื ยอมใหหรอื อวนั ตี ครองราชสมบตั ิอยทู ี่กรงุ อุชเชนี ปลอ ยสละละวาง ทจ่ี ะทําใหหมดความจัณฑาล ลูกตางวรรณะ เชนบิดาเปน ยึดติดถือมั่นตัวตนหรือลดสลายความมีศูทร มารดาเปนพราหมณ มลี กู ออกมา ใจคบั แคบหวงแหน, การเปดใจกวางมีเรียกวา จัณฑาล ถือวาเปน คนตา่ํ ทราม นา้ํ ใจ, การสละส่ิงที่เปนขาศึกแกค วามถูกเหยียดหยามท่ีสุดในระบบวรรณะ จรงิ ใจ, การสละกเิ ลส (ขอ ๔ ในของศาสนาพราหมณ ฆราวาสธรรม ๔, ขอ ๓ ในอธิษฐาน-จันทน ไมจนั ทน เปนไมม กี ล่ินหอมใชทํา ธรรม ๔, ขอ ๖ ในอรยิ ทรพั ย ๗) จาคสัมปทา ถึงพรอมดวยการบริจาคยาและปรุงเคร่อื งหอมจนั ทรคติ การนับวันโดยถอื เอาการเดนิ ทาน เปนการเฉล่ียสุขใหแกผูอื่น; ดูของพระจันทรเปนหลกั เชน ๑ คาํ่ ๒ สัมปรายิกัตถะคํา่ และเดอื นอา ย เดือนยี่ เดอื น ๓ จาคาธฏิ ฐาน ทมี่ น่ั คอื จาคะ, ธรรมทคี่ วรเปน ตน ; คกู ับ สรุ ิยคติ ตง้ั ไวใ นใจใหเ ปน ฐานทมี่ นั่ คอื จาคะ, ผมู ีจนั ทรปุ ราคา การจบั จนั ทร คอื เงาโลกเขา การใหก ารสละละวางเปน ฐานทมี่ น่ั (ขอไปปรากฏทดี่ วงจนั ทร ขณะเมอ่ื ดวงจนั ทร ๓ ในอธฏิ ฐาน ๔); ดู อธษิ ฐานธรรมกับดวงอาทิตยอยูตรงกันขามโดยมีโลก จาคานุสสติ ระลึกถึงการบริจาค คืออยรู ะหวา งกลางทเ่ี รยี กวา ราหูอมจันทร; ระลึกถึงทานท่ีตนบริจาคแลว และคกู บั สุรยิ ุปราคา พิจารณาเห็นจาคธรรมที่มีในตน; ดูจัมปา ชื่อนครหลวงของแควนองั คะ ต้งั อนุสติ
จาตมุ หาราช ๖๑ จําพรรษาจาตมุ หาราช ทา วมหาราชส่ี, เทวดาผู หยอน ๕ ใหจายบาตรใหม” ใหจ ายคือรกั ษาโลกในส่ที ศิ , ทาวโลกบาลท้งั ส่ี คอื ใหขอบาตรใหม๑. ทา วธตรฐ จอมภตู หรอื จอมคนธรรพ จาร เขียนตัวหนังสือหรือเลขลงบนใบครองทิศตะวันออก ๒. ทาววิรุฬหก ลาน เปนตน โดยใชเ หลก็ แหลมขีด, ใชจอมกุมภัณฑ ครองทิศใต ๓. ทาว เหล็กแหลมเขยี นตวั หนังสอืวริ ปู ก ษ จอมนาค ครองทศิ ตะวันตก ๔. จาริก เทีย่ วไป, เดินทางเพอ่ื ศาสนกิจทาวกุเวร หรือ เวสสวัณ จอมยักษ จารีต ธรรมเนียมท่ีประพฤติกันมา,ครองทศิ เหนอื ประเพณี, ความประพฤตทิ ่ีดีจาตุมหาราชกิ า สวรรคช ้ันที่ ๑ มมี หาราช จารกึ เขยี น, เขยี นเปนตวั อกั ษร, เขียน๔ องค เปนประธาน ปกครองประจําทศิ รอยลกึ เปน ตัวอักษรลงในใบลาน หรอืทงั้ ๔, ทาวมหาราช ๔ นน้ั อยูภ ายใต ลงแผนศิลา แผนโลหะการบังคับบัญชาของทาวสักกะ (พระ จาํ นาํ พรรษา ดู ผาจํานําพรรษาอนิ ทร) เชน มหี นาทร่ี ายงานสภาพความ จาํ เนียรกาล เวลาชานานเปนไปของสังคมมนุษยแกหมูเทพชั้น จําปา ชื่อเมืองในมัธยมประเทศ ที่ถูกดาวดึงสในสุธรรมสภาเปนประจํา ถา เขยี น จมั ปาทัพอสูรรุกผานดานเบ้ืองตนใกลเขามา จาํ พรรษา อยูประจาํ วัดสามเดือนในฤดูทา วมหาราช ๔ กท็ าํ หนาทไี่ ปรายงานตอ ฝน คอื ตั้งแตแ รม ๑ คํ่า เดอื น ๘ ถึงพระอินทร; ดู จาตุมหาราช, อินทร ขึน้ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๑๑ (อยา งนเี้ รยี กจาตุรงคสันนิบาต การประชุมพรอม ปรุ มิ พรรษา แปลวา “พรรษาตน”) หรอืดวยองค ๔ คือ ๑. วันน้นั ดวงจนั ทร ตัง้ แตแ รม ๑ ค่ําเดือน ๙ ถงึ ขน้ึ ๑๕ คาํ่เสวยมาฆฤกษ (เพ็ญเดือนสาม) ๒. เดือน ๑๒ (อยางนีเ้ รยี ก ปจ ฉมิ พรรษา พระสงฆ ๑๒๕๐ รูปมาประชุมกันโดยมิ แปลวา “พรรษาหลงั ”); วนั เขา พรรษาตน คอื แรม ๑ คา่ํ เดอื น ๘ เรยี กวา ปรุ มิ กิ า- ไดนัดหมาย ๓. พระสงฆเหลาน้ันทั้ง วัสสูปนายิกา, วันเขาพรรษาหลังคือ แรม ๑ คํ่าเดอื น ๙ เรยี กวา ปจ ฉิมิกา- หมดลว นเปน พระอรหนั ตผ ไู ดอ ภญิ ญา ๖ วัสสูปนายิกา; คําอธิษฐานพรรษาวา “อิมสฺมึ วหิ าเร อมิ ํ เตมาสํ วสสฺ ํ อเุปม;ิ ๔. พระสงฆเ หลา นนั้ ทง้ั หมดลว นเปน เอหิ ทุติยมปฺ อิมสมฺ ึ วหิ าเร อมิ ํ เตมาสํ วสสฺ ํ ภิกข;ุ ดู มาฆบชู าจาบจว ง ดู จว งจาบจาย ในประโยควา “ภกิ ษุใดมบี าตรมีแผล
จําวัด ๖๒ จิตตปาคญุ ญตาอเุปม;ิ ตตยิ มปฺ อิมสมฺ ึ วหิ าเร อมิ ํ เตมาสํ จิตกา, จิตกาธาน เชงิ ตะกอน, ทเี่ ผาศพวสสฺ ํ อเุปม”ิ แปลวา “ขา พเจา เขา อยจู าํ จิตตะ เอาใจฝกใฝในสิ่งนั้นไมวางธุระ,พรรษาตลอด ๓ เดือนในวัดนี้” (วิหาเร ความคิดฝกใฝไมปลอยใจฟุงซานเลื่อนจะเปลีย่ นเปน อาวาเส กไ็ ด) ; อานสิ งส ลอย, ความมจี ติ จดจอ อทุ ศิ ตวั อทุ ศิ ใจตอการจาํ พรรษามี ๕ อยา ง คอื ๑. เทย่ี วไป สง่ิ นนั้ (ขอ ๓ ในอทิ ธบิ าท ๔)ไมต อ งบอกลา ๒. จารกิ ไปไมต อ งเอาไตร จิตตกัมมัญญตา ความควรแกการงานจวี รไปครบสาํ รบั ๓. ฉนั คณโภชนและ แหงจิต, ธรรมชาติท่ีทาํ จิตใหเหมาะแกปรมั ปรโภชนได ๔. เก็บอดเิ รกจวี รได การใชง าน (ขอ ๑๕ ในโสภณเจตสกิ ๒๕)ตามปรารถนา ๕. จีวรอนั เกิดขนึ้ ในท่ี จิตตกา เครื่องลาดทําดวยขนแกะ ท่ปี กน้ัน เปน ของไดแ กพวกเธอ อานสิ งสท ้งั หรือทอเปน ลวดลายตา งๆหาน้ีไดช่ัวเวลาเดือนหนึ่ง นับแตออก จิตตคฤหบดี ชื่ออบุ าสกสาํ คญั ทา นหนง่ึพรรษาแลว คอื ถงึ ขนึ้ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๑๒ เปนพระอนาคามี มีปญญาสามารถในนอกจากนั้นยังไดสิทธิท่ีจะกรานกฐิน การแสดงธรรม พระพทุ ธเจา ทรงยกยองและไดร บั อานิสงส ๕ นนั้ ตอออกไปอกี วาเปนเอตทัคคะในบรรดาอบุ าสกธรรม-๔ เดือน (ภิกษผุ ูเขา พรรษาหลัง ไมไ ด กถึก กับทั้งทรงยกยองวาเปนตราชู อานิสงสหรอื สทิ ธพิ เิ ศษเหลา น้ี) (ตุลา) ของอบุ าสกบริษทั จึงไดช่ือวาเปนจําวัด นอนหลบั (ใชแ กพ ระสงฆ) อัครอุบาสก (คูกับหัตถกะอาฬวกะ),จาํ ศลี อยรู ักษาศีล, ถอื ศีลเปนกิจวตั ร จิ ต ต ค ฤ ห บ ดี ไ ด ส ร า ง วั ด ห น่ึ ง ช่ื อ ว าจําหลกั แกะใหเปนลวดลาย, สลัก อมั พาฏการาม; ทานผูน้ีเคยถูกภกิ ษชุ อื่จิต, จิตต ธรรมชาตทิ ร่ี ูอ ารมณ, สภาพที่ สุธรรมดา เปน เหตุใหพ ระพุทธเจา ทรงนึกคดิ , ความคดิ , ใจ; ตามหลกั ฝา ย บัญญตั ิปฏสิ าราณียกรรม คอื การลงโทษอภิธรรม จาํ แนกจิตเปน ๘๙ (หรือ ภกิ ษผุ ดู า วา คฤหสั ถท ไ่ี มม คี วามผดิ ดว ยพสิ ดารเปน ๑๒๑) แบง โดยชาติ เปน การใหไ ปขอขมาเขา; ดู ตุลา, เอตทคั คะอกศุ ลจติ ๑๒ กศุ ลจติ ๒๑ (พสิ ดารเปน จติ ตชรูป ดทู ี่ รูป ๒๘๓๗) วปิ ากจติ ๓๖ (๕๒) และ กริ ยิ าจติ จิตตปาคุญญตา ความคลอ งแคลวแหง๒๐; แบง โดยภมู ิ เปน กามาวจรจติ ๕๔ จิต, ธรรมชาติที่ทําจิตใหสละสลวยรปู าวจรจติ ๑๕ อรปู าวจรจติ ๑๒ และโล คลอ งแคลว วอ งไว (ขอ ๑๗ ในโสภณ-กตุ ตรจติ ๘ (พสิ ดารเปน ๔๐) เจตสิก ๒๕)
จติ ตภาวนา ๖๓ จีวรจติ ตภาวนา ดู ภาวนา โทสะ โมหะ กร็ วู า จติ ปราศจาก ราคะจติ ตมาส เดอื น ๕ โทสะ โมหะ (ขอ ๓ ในสตปิ ฏ ฐาน ๔)จติ ตมทุ ตุ า ความออ นแหง จติ , ธรรมชาติ จติ ตชุ กุ ตา ความซอ่ื ตรงแหง จติ , ธรรมชาติทําจิตใหน มุ นวลออนละมนุ (ขอ ๑๓ ใน ที่ทําใหจิตซื่อตรงตอหนาที่การงานของโสภณเจตสิก ๒๕) มนั (ขอ ๑๙ ในโสภณเจตสิก ๒๕)จิตตลหุตา ความเบาแหง จติ , ธรรมชาติ จติ ตปุ บาท [จิด-ตุบ-บาด] ความเกิดข้ึนที่ทําใหจิตเบาพรอมที่จะเคลื่อนไหวทํา แหงจิต หมายถึงจิตพรอมท้ังเจตสิกที่ หนา ท่ี (ขอ ๑๑ ในโสภณเจตสกิ ๒๕) ประกอบอยูดวย ซ่ึงเกิดขึ้นครั้งหนึ่งๆ,จิตตวสิ ุทธิ ความหมดจดแหง จิต คอื ได การเกิดความคิดผดุ ข้ึน, ความคดิ ท่ผี ดุ ฝกอบรมจิตจนเกิดสมาธิพอเปนบาท ขนึ้ ฐานแหงวปิ ส สนา (ขอ ๒ ใน วสิ ทุ ธิ ๗) จติ ประภสั สร ดู ภวงั คจติจติ ตสังขาร 1. ปจ จัยปรุงแตง จิตไดแ ก จินตกวี นักปราชญผูชํานาญคิดคําสญั ญาและเวทนา 2. สภาพทปี่ รุงแตง ประพนั ธ, ผสู ามารถในการแตง รอ ยกรองการกระทําทางใจ ไดแกเจตนาที่กอให ตามแนวความคิดของตนเกดิ มโนกรรม; ดู สงั ขาร จนิ ตามยปญ ญา ดู ปญ ญา๓จิตตสันดาน การสืบตอมาโดยไมขาด จีวร ผาที่ใชนุงหมของพระภิกษุในพระ สายของจติ ; ในภาษาไทย หมายถึงพืน้ พทุ ธศาสนา ผืนใดผนื หนึง่ ในจาํ นวน ๓ ผืนที่เรียกวา ไตรจีวร คือผาซอน ความรูสึกนึกคิดหรืออุปนิสัยใจคอท่ีฝง นอกหรอื ผาทาบซอ น (สังฆาฏ)ิ ผา หม (อุตราสงค) และผา นงุ (อนั ตรวาสก), อยูในสวนลึกของจิตใจมาแตกําเนิด แตใ นภาษาไทย นิยมเรียกเฉพาะผาหม (ความหมายนยั หลงั น้ี มใิ ชมาในบาล)ี คืออุตราสงค วาจีวร; จีวรมีขนาดท่ีจิตตสามคั ค,ี จติ สามัคคี ดู สามัคคีจติ ตสิกขา ดู อธจิ ติ ตสิกขา กําหนดตามพุทธบัญญัติในสิกขาบทท่ีจิตตานุปสสนา สติพิจารณาใจท่ีเศราหมองหรอื ผอ งแผว เปน อารมณว า ใจนก้ี ส็ กั ๑๐ แหง รตนวรรค (ปาจติ ตีย ขอ ท่ี ๙๒;วาใจ ไมใชสัตวบุคคลตัวตนเราเขา วินย.๒/๗๗๖/๕๑๑) คอื มใิ หเทา หรือเกินกาํ หนดรูจิตตามสภาพที่เปนอยูในขณะ กวาสคุ ตจวี ร ซงึ่ ยาว ๙ คืบ กวาง ๖ คบืนนั้ ๆ เชน จติ มี ราคะ โทสะ โมหะ กร็ วู า จติ โดยคืบพระสุคต, ผาทําจีวรท่ีทรงมี ราคะ โทสะ โมหะ จติ ปราศจาก ราคะ อนุญาตมี ๖ ชนิด ดังท่ีตรัสวา
จวี ร ๖๔ จวี ร(วินย.๒/๑๓๙/๑๙๓) “ภิกษทุ งั้ หลาย เรา คเี วยยกะ ชังเฆยยกะ พาหันตะ ทั้งน้ีอนุญาตจีวร ๖ ชนดิ คอื โขมะ จีวรผา เมื่อเปนผาท่ีถูกตัด ก็จะเปนของเศราเปลอื กไม ๑ กัปปาสกิ ะ จีวรผาฝา ย ๑ หมองดวยศัสตรา คือมีตําหนิ เสียรูปโกเสยยะ จวี รผาไหม ๑ กมั พละ จวี ร เสยี ความสวยงาม เส่อื มคา เสียราคาผา ขนสตั ว (หา มผมและขนมนษุ ย) ๑ สมควรแกส มณะ และพวกคนทปี่ ระสงคสาณะ จวี รผา ปา น ๑ ภงั คะ จวี รผา ของ รา ยไมเ พง จอ งอยากไดในหา อยางนนั้ เจือกนั ๑”; สตี องหา มสําหรบั จวี ร คือ (วินย.๕/๑๖๙/๒๓๔) นีลกะ มีพุทธบัญญัติวา (วินย.๕/๙๗/๑๓๗)ลวน (สีเขียวคราม) ปตกะลว น (สี จวี รผนื หนึ่งๆ ตองตัดเปน ปญ จกะ (มีเหลอื ง) โลหติ กะลว น (สแี ดง) มัญ- สวนประกอบหาชนิ้ หรอื หา ผืนยอย, ช้นิเชฏฐกลวน (สบี านเย็น) กัณหะลว น ใหญหรือผืนยอยนี้ ตอ มาในช้ันอรรถ-(สีดาํ ) มหารงครตั ตลว น (สีแดงมหา- กถา เรยี กวา “ขณั ฑ” จงึ พูดวา จีวรหารงค อรรถกถาอธิบายวาสีอยางหลัง ขัณฑ) หรอื เกนิ กวา ปญ จกะ (พูดอยา งตะขาบ แปลกันมาวาสแี สด) มหานาม- อรรถกถาวา มากกวา ๕ ขัณฑ เชนรัตตลวน (สีแดงมหานาม อรรถกถา เปน ๗ ขัณฑ ๙ ขณั ฑ หรือ ๑๑ ขัณฑ)อธบิ ายวา สแี กมกนั อยา งสใี บไมเ หลือง ตามพุทธบัญญัตเิ ดมิ น้ัน จวี รทัง้ ๓บา งวา สกี ลบี ดอกปทมุ ออน แปลกนั มา (คอื สงั ฆาฏิ อุตราสงค และอันตรวาสก) ตอ งเปน ผาท่ถี ูกตดั เปน ชน้ิ ๆ นํามาเยบ็วา สชี มพ)ู ทง้ั นี้ สที ร่ี บั รองกนั มา คอื สี ประกอบกันขึ้นอยา งท่กี ลาวขา งตน แต ภิกษบุ างรปู ทาํ จีวร เมื่อจะใหเ ปน จีวรผาเหลืองเจือแดงเขม หรือสีเหลืองหมน ตดั ทุกผืน ผาไมพ อ จงึ เปนเหตปุ รารภ ใหมีพุทธานุญาตยกเวนวา (วินย.๕/๑๖๑/เชนสยี อมแกน ขนนุ ท่ีเรยี กวา สกี รัก ๒๑๙) “ภิกษทุ ั้งหลาย เราอนุญาตจวี รผา ตดั ๒ ผืน จวี รผาไมต ัด ๑ ผนื ” เมอื่ ผา จีวรน้ัน พระพุทธเจาโปรดใหพระ ยงั ไมพ อ กต็ รสั อนญุ าตวา “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตจวี รผา ไมต ดั ๒ ผนื จวี รผาอานนทออกแบบจัดทําตามรูปนาของ ตัด ๑ ผืน” ถงึ อยา งนน้ั กม็ ีกรณีทผ่ี า ยัง ไมพ ออกี จึงตรัสวา “ภกิ ษทุ ั้งหลาย เราชาวมคธ (วินย.๕/๑๔๙/๒๐๒) ทําใหมีรูป อนุญาตใหเพ่ิมผาเพลาะ แตผาไมตัดลักษณเปนระเบียบแบบแผน โดยทรงกาํ หนดใหเ ปน ผาที่ถูกตดั เปนชน้ิ ๆ นํามาเย็บประกอบกันขึ้นตามแบบที่จัดวางไวชิ้นทง้ั หลายมีช่อื ตางๆ เปน กุสิ อัฑฒกุสิมณฑล อฑั ฒมณฑล วิวัฏฏะ อนุววิ ฏั ฏ ะ
จวี ร ๖๕ จวี รเลยหมดทกุ ผนื ภิกษุไมพ ึงใช รูปใดใช (ตามคําอธิบายของอรรถกถา วนิ ย.อ.๓/๒๓๖) คือ ขัณฑก ลาง ชื่อววิ ฏั ฏะ (แปลตามศัพทว าตองอาบตั ทิ ุกกฏ” คลขี่ ยายออกไป), ขัณฑท่อี ยูขา งววิ ฏั ฏะ ท้ังสองดาน ช่ืออนุวิวัฏฏะ (แปลตาม ในสมยั ตอมา นยิ มนําคาํ วา “ขัณฑ” ศัพทวาคล่ีขยายไปตาม), ขัณฑที่อยู ขอบนอกทงั้ สองขา ง ชอ่ื พาหนั ตะ (แปลมาใชเปนหลักในการกําหนดและเรียก วา สุดแขน หรอื ปลายพาดบนแขน) นี้ชอ่ื สว นตางๆ ของจีวร ทาํ ใหกําหนดงาย สาํ หรับจีวร ๕ ขณั ฑ, ถา เปนจวี รที่มีขนึ้ อีก ดังไดกลา วแลว วา จีวรมอี ยา ง ขณั ฑมากกวา น้ี (คือมี ๗ ขณั ฑข ้ึนไป)นอย ๕ ขัณฑ คือ จีวรที่มรี ปู ส่เี หลย่ี ม ขัณฑทุกขัณฑที่อยูระหวางวิวัฏฏะกับผนื ผาผนื หนงึ่ น้ี เมอื่ คลแี่ ผอ อกไปตาม พาหันตะ ชื่อวา อนุวิวฏั ฏะท้งั หมด (บางยาว จะเห็นวามีขณั ฑ คือผาผนื ยอย ทเี รียกใหต า งกันเปน จฬู านุวิวัฏฏ กบัขนาดประมาณเทา ๆ กนั ยาวตลอดจาก มหานวุ ิวัฏฏ) ; นอกจากนี้ มแี ผนผา เยบ็บนลงลาง ๕ ผืน เรยี งตอกันจากซายไป ทาบเติมลงไปตรงท่ีหุมคอ เรียกวา คเี วยยกะ และแผนผาเย็บทาบเติมลงสดุ ขวา ครบเปน จีวร ๑ ผืน; ขณั ฑท้ัง ไปตรงท่ถี กู แขง เรียกวา ชงั เฆยยกะ (น้ี วา ตามคําอธบิ ายในอรรถกถา แตพ ระมติ๕ น้ี แตล ะขณั ฑม ีสวนประกอบครบใน ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระยาตวั คือ มี ๒ กระทง ไดแก กระทงใหญเรยี กวา มณฑล กบั กระทงเล็ก (ราวครึง่ วชริ ญาณวโรรส ในหนงั สอื วนิ ยั มขุ เลม ๒ของกระทงใหญ) เรียกวา อฑั ฒมณฑล, วา ในจวี รหา ขณั ฑๆ กลาง ชอื่ คเี วยยกะระหวางมณฑลกับอัฑฒมณฑล มีเสน เพราะเมอื่ หม จวี ร อฑั ฒมณฑลของขณั ฑค่ันดุจคันนาขวาง เรียกวาอัฑฒกุสิ,มณฑล กับอัฑฒมณฑล และอัฑฒกุสิ นน้ั อยทู คี่ อ, ขณั ฑถ ดั ออกมาทง้ั ๒ ขา งรวมเปนขัณฑหน่ึง โดยมีเสนค่ัน ชอื่ ชงั เฆยยกะ เพราะอฑั ฒมณฑลของระหวางขณั ฑน น้ั กับขณั ฑอ นื่ อยสู อง ๒ ขณั ฑน น้ั อยทู แ่ี ขง ในเวลาหม , ขณั ฑขางของขัณฑ ดุจคันนายืน เรียกวา กสุ ,ิ ถดั ออกมาอกี ทงั้ ๒ ขา ง ชอื่ พาหนั ตะเม่ือรวมเปนจีวรครบผืน (นิยมเรียง เพราะอฑั ฒมณฑลของ ๒ ขณั ฑน นั้ อยูขัณฑท่ีตอกัน ใหดานมณฑลกับดาน ทแี่ ขนในเวลาหม ); ตอ มา มีเหตุการณอ นัอฑั ฒมณฑลสลับกัน) มีผา ขอบจวี รทั้งส่ี เปนกรณีตางหาก ซึ่งเปนขอปรารภใหดา น เรียกวา อนวุ าต (แปลวาพล้ิวตามลม, อนวุ าตกเ็ ปน กุสอิ ยางหนง่ึ ); ขณั ฑแตละขัณฑมีชื่อเรียกเฉพาะตางกันไป
จีวรกรรม ๖๖ จุณณยิ บท ทรงอนญุ าตลกู ดุม (คณั ฐกิ า) และรังดุม ยังไมไ ดทาํ จวี ร หรอื ทําคา งหรอื หายเสีย (ปาสกะ) (วินย.๗/๑๖๖/๖๕); ดู ไตรจีวร, ในเวลาทํา แตยังไมสิ้นความหวังวาจะ ขัณฑ ไดจ วี รอีกจีวรกรรม การทําจีวร, งานเกี่ยวกับจวี ร จีวรภาชก “ผูแจกจีวร”, ภิกษุท่ีสงฆเชน ตัด เย็บ ยอ ม เปน ตน สมมติ คือแตงตงั้ ใหเ ปน เจา หนาทแ่ี จกจวี รการสมัย คราวที่พระทําจวี ร, เวลาท่ี จีวร, เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา เจา อธิการแหง จวี รกําลงั ทําจีวรจวี รกาล ฤดูถวายจวี ร, ฤดูถวายผา แก จีวรมรดก จีวรของภิกษุหรือสามเณรผูพระสงฆ; ดู จวี รกาลสมัย ถงึ มรณภาพ (มตกจีวร) สงฆพงึ มอบใหจีวรกาลสมัย สมัยหรือคราวท่ีเปนฤดู แกค ิลานปุ ฐาก (ผูพยาบาลคนไข) ดวยถวายจวี ร; งวดหน่ึง สําหรับภิกษทุ มี่ ไิ ด ญตั ตทิ ตุ ยิ กรรม อยา งไรกต็ าม อรรถกถากรานกฐิน ต้ังแตแรมคํา่ หน่ึงเดอื น ๑๑ แสดงมติไววา กรณีเชนนี้เปนกรรมไมถึงเพ็ญเดือนสิบสอง (คือเดือนเดียว), สาํ คญั นกั จะทาํ ดว ยอปโลกนกรรม กค็ วรอีกงวดหนึง่ สําหรบั ภิกษุที่ไดก รานกฐิน จวี รลาภ การไดจ วี รแลว ตง้ั แตแรมคํา่ หนง่ึ เดอื น ๑๑ ไปจน จวี รวรรค ตอนท่ีวาดวยเรอื่ งจีวร เปนหมดฤดูหนาวคือถึงข้ัน ๑๕ คา่ํ เดอื น ๔ วรรคที่ ๑ แหงนสิ สคั คิยกัณฑ(รวม ๕ เดอื น) จีวรอธิษฐาน จีวรครอง, ผาจํากัดจีวรทานสมัย สมัยที่เปนฤดูถวายจีวร จาํ นวน ๓ ผนื ท่ีอธษิ ฐาน คือกําหนดไวตรงกบั จวี รกาลสมัย ใชประจําตัวตามที่พระวินัยอนุญาตไว;จวี รนทิ หกะ “ผเู กบ็ จวี ร”, ภกิ ษุท่ีสงฆ ตรงขา มกับ อตเิ รกจวี รสมมติ คือแตงตั้งใหเปนเจาหนาที่เก็บ จีวรักขนั ธกะ ชอ่ื ขนั ธกะที่ ๘ แหงคัมภรี รักษาจีวร, เปนตําแหนงหน่ึงในบรรดา มหาวรรค วนิ ัยปฎ ก วา ดว ยเร่ืองจวี รเจา อธกิ ารแหงจวี ร จุณณ ละเอียดจีวรปฏคิ คาหก “ผูรับจวี ร”, ภิกษุที่สงฆ จณุ ณยิ บท คาํ รอ ยแกว , ขอ ความรอ ยแกวสมมติ คือแตงต้ังใหเปนเจาหนาที่รับ ท่ีกระจายความออกไป ตรงขามกับคาํจีวร, เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา เจา ประพันธท่ีผูกเปนคาํ รอยกรอง ซึ่งเรยี กอธิการแหงจีวร วา คาถาพันธ หรอื คาถา; ในการจดัจวี รปลโิ พธ ความกังวลในจวี ร คือภกิ ษุ พุทธพจนเปนประเภทตางๆ ที่เรียกวา
จตุ ิ ๖๗ จุลกฐนินวังคสัตถุศาสน พุทธพจนอันเปนคํา เรยี กอีกอยา งวา ทพิ พจักขุ (ขอ ๒ ในวิสัชนาท่ีเปนจุณณิยบทลวน จัดเปน ญาณ ๓ หรอื วชิ ชา ๓, ขอ ๗ ในวชิ ชาเวยยากรณะ, พทุ ธพจนท เ่ี ปน คาถาลว น ๘, ขอ ๕ ในอภญิ ญา ๖)จดั เปน คาถา, พทุ ธพจนท เ่ี ปน จณุ ณยิ บท จุนทะ พระเถระผูใ หญชัน้ มหาสาวก เปนและมคี าถาระคน จดั เปน เคยยะ; ใน นองชายของพระสารีบุตร เคยเปนประเพณไี ทย เมอ่ื พระเทศน มธี รรม- อปุ ฏ ฐากของพระพทุ ธองค และเปน ผนู าํเนียมใหยกขอความบาลีขึ้นมาวา นาํ กอ น อัฐิธาตุของพระสารีบุตรจากบานเกิดที่และในการเทศนท ว่ั ไป มกั ยกคาถาพทุ ธ ทานปรินิพพานมาถวายแดพระพุทธ-ภาษติ ขนึ้ เปน บทตง้ั เรยี กวา นกิ เขปบท องคท ี่พระเชตวันแตใ นการเทศนม หาชาติ ซง่ึ เปน เทศนาที่ จุนทกัมมารบุตร นายจุนทะ บุตรมลี กั ษณะเฉพาะพเิ ศษ นยิ มยกขอ ความ ชางทอง ชาวเมืองปาวา ผูถวายสูกร-รอ ยแกว ภาษาบาลจี ากอรรถกถาชาดกมา มทั ทวะ เปนภตั ตาหารครงั้ สดุ ทาย แดกลาวนาํ ทีละเลก็ นอ ยกอนดาํ เนนิ เรือ่ งใน พระพทุ ธเจา ในเชา วนั ปรนิ พิ พาน, จนุ ทะภาษาไทยตอ ไป และนคี่ งเปน เหตใุ หเ กดิ กัมมารบุตร ก็เขียน; ดู สูกรมัททวะ,ความเขาใจท่ีเปนความหมายใหมขึ้นใน พทุ ธปรนิ พิ พานภาษาไทยวา จุณณยี บท คอื บทบาลี (รอ ย จลุ กฐนิ “กฐนิ นอ ย”, “กฐนิ จวิ๋ ”, กฐนิ วนั แกว) เล็กนอย ที่ยกข้ึนแสดงกอนเนื้อ เดยี วเสรจ็ , พธิ ที าํ บญุ ทอดกฐนิ แบบหนงึ่ ความ (พจนานกุ รมเขียนจุณณียบท); ตรง ทีไ่ ดพฒั นาขึ้นมาในประเพณีไทย (บาง ขา มกบั คาถา,คาถาพนั ธ; ดูนวงั คสตั ถศุ าสน ถิ่นเรียกวากฐินแลน) โดยมีกําหนดวาจตุ ิ “เคลอื่ น” (จากภพหน่ึง ไปสภู พอ่ืน), ตอ งทาํ ทกุ อยา งตง้ั แตป น ฝา ย ทอ ตดัตาย (ในภาษาบาลี ใชไดท ่ัวไป แตใ น เยบ็ เปน จวี รผนื ใดผนื หนง่ึ (ตามปกตทิ าํภาษาไทยสวนมากใชแกเทวดา); ใน เปน สบง คงเพราะเปน ผนื เลก็ ทส่ี ดุ ทนั ไดภาษาไทย บางทีเขาใจและใชกันผิดไป งา ย) ยอ ม และนาํ ผา กฐนิ ไปทอดถวายแกไกล ถงึ กบั เพยี้ นเปน วา เกดิ ก็มี พระสงฆ ใหท นั ภายในวนั เดยี ว (พระสงฆจุตูปปาตญาณ ปรีชารูจุติและอุบัติของ ไดร บั แลว กจ็ ะทาํ การกรานกฐนิ และสัตวทัง้ หลาย, มีจักษุทิพยมองเห็นสตั ว อนโุ มทนาเสรจ็ ในวนั นนั้ ตามธรรมดาของกําลังจุตบิ า ง กาํ ลังเกดิ บาง มีอาการดี พระวนิ ยั การทง้ั หมดของทุกฝายจงึ เปนบา ง เลวบางเปนตน ตามกรรมของตน อันเสร็จในวันเดยี วกนั ), เหตทุ ี่นิยมทํา
จุลกาล ๖๘ จฬุ ามณีเจดียและถือวาเปนบุญมาก คงเพราะตอง วัตตขันธกะ วาดวยวัตรตางๆ เชนสําเร็จดวยความสามัคคีของคนจํานวน อาคันตุกวตั ร เปนตน ๙. ปาติโมกขฏั -มากท่ีทํางานกันอยางแข็งขันขมีขมัน ฐปนขันธกะ วา ดวยระเบยี บในการงดและประสานกนั อยางดีย่ิง; โดยปริยาย สวดปาฏิโมกขในเมื่อภิกษุมีอาบตั ิตดิ ตัวหมายถงึ งานทต่ี อ งทาํ เรง ดว นอยา งชลุ มนุ มารว มฟง อยู ๑๐. ภกิ ขนุ ขี นั ธกะ วา ดว ยวนุ วายเพอ่ื ใหเ สรจ็ ทนั เวลาอนั จํากัด เร่ืองภิกษุณีเริ่มแตประวัติการอนุญาตจุลกาล ชื่อนองชายของพระมหากาลที่ ใหมีการบวชคร้ังแรก ๑๑. ปญจสติก-บวชตามพ่ชี าย แตไ มไดบ รรลุมรรคผล ขันธกะ วา ดวยเรื่องสงั คายนาครัง้ ที่ ๑ ๑๒. สัตตสตกิ ขันธกะ วา ดวยสงั คายนาสกึ เสียในระหวา งจลุ คณั ฐี ชอ่ื นกิ ายพระสงฆพ มา นกิ ายหนงึ่ ครง้ั ที่ ๒ (พระไตรปฎกเลม ๖–๗); ตอจลุ ราชปรติ ร ปรติ รหลวงชดุ เลก็ คอื เจด็ จาก มหาวรรคตาํ นาน ดู ปรติ ร,ปรติ ต จุลศักราช ศักราชนอย ตั้งขึ้นโดยจลุ วรรค ชอื่ คมั ภรี อ นั เปน หมวดหนงึ่ แหง กษตั ริยพมา องคห นึง่ ใน พ.ศ. ๑๑๘๒พระวนิ ยั ปฎ ก ซง่ึ มที ง้ั หมด ๕ หมวด คอื ภายหลังมหาศกั ราช, เปนศักราชทเี่ ราใชอาทิกมั ม ปาจติ ตยี มหาวรรค จลุ วรรค กนั มากอ นใชร ัตนโกสินทรศก, นบั รอบปริวาร; คมั ภีรจุลวรรค มี ๑๒ ขันธกะ ปต ง้ั แต ๑๖ เมษายน ถงึ ๑๕ เมษายนคอื ๑. กัมมขันธกะ วาดว ยเร่อื งนคิ ห- เขยี นยอ วา จ.ศ. (พ.ศ. ๒๕๒๒ ตรงกบักรรม ๒. ปาริวาสิกขันธกะ วาดวยวตั ร จ.ศ.๑๓๔๐–๑๓๔๑)ของภิกษผุ ูอยูปริวาส ผปู ระพฤตมิ านตั จุลศีล ดู จูฬมชั ฌิมมหาศลีและผเู ตรยี มจะอพั ภาน ๓.สมจุ จยขนั ธกะ จุฬามณีเจดีย พระเจดียที่บรรจุพระวาดวยระเบียบปฏิบัติตางๆ ในการ จุฬาโมลี (มวยผม) ของพระพทุ ธเจาในประพฤตวิ ฏุ ฐานวธิ ี ๔. สมถขนั ธกะ วา ดาวดงึ สเทวโลก อรรถกถาเลาวา เมื่อดวยการระงบั อธกิ รณ ๕. ขทุ ทกวตั ถ-ุ พระโพธิสัตวเสด็จออกบรรพชา เสด็จขนั ธกะ วา ดว ยขอ บญั ญตั ปิ ลกี ยอ ยจาํ นวน ขามแมน้ําอโนมาแลวจะอธิษฐานเพศมาก เชน การปลงผม ตดั เลบ็ ไมจ้มิ ฟน บรรพชติ ทรงตดั มวยพระเกศาขวา งไปในของใชต า งๆ เปน ตน ๖. เสนาสนขนั ธกะ อากาศ พระอนิ ทรน าํ ผอบแกวมารองรบัวา ดว ยเรอ่ื งเสนาสนะ ๗. สงั ฆเภทขนั ธกะ เอาไปประดิษฐานในพระเจดียจุฬามณีวาดวยสังฆเภทและสังฆสามัคคี ๘. ตอมาเม่ือพระพุทธเจาเสด็จดับขันธ-
จฬู ปน ถกะ ๖๙ จฬู มชั ฌิมมหาศีล ปรินิพพานแลว ในขณะแจกพระบรม- (ปรากฏในทีฆนิกาย สีลขันธวรรค คือ พระไตรปฎ กบาลอี กั ษรไทย เลม ๙ ทง้ั สารีริกธาตุ พระอินทรไดมานําเอาพระ ๑๓ สตู ร มีสาระเหมอื นกันหมด) และ ทาฐธาตุ (พระเขยี้ วแกว ) ขา งขวาทโ่ี ทณ- เน่ืองจากมีรายละเอียดมากมาย พระ พราหมณซ อ นไวใ นผา โพกศรี ษะ ใสผ อบ ธรรมสังคาหกาจารยจึงจัดเปน ๓ หมวด และตัง้ ชื่อหมวดอยางท่ีกลาวนนั้ ทอง นาํ ไปบรรจใุ นจุฬามณีเจดียด วย ตามลําดับ, ในพระสตู รแรกท่ตี รัสแสดงจูฬปนถกะ พระมหาสาวกองคหนึ่งใน ศลี ชุดนี้ (คอื พรหมชาลสูตร) พระองค อสีติมหาสาวก เปนบตุ รของธิดาเศรษฐี ตรัสเพื่อใหรูกันวา เร่ืองที่ปุถุชนจะเอา มากลา วสรรเสริญพระองค กค็ ือความมี กรงุ ราชคฤห และเปนนองชายของมหา- ศีลอยางน้ี ซง่ึ แทจ ริงแลว เปน เร่ืองตํา่ ๆ เล็กนอ ย แตเ รื่องทีจ่ ะใชเปนขอสําหรบั ปนถกะ ออกบวชในพระพุทธศาสนา สรรเสริญพระองคไดถูกตองนั้น เปน เร่ืองลกึ ซงึ้ ซ่งึ บณั ฑิตจะพึงรู คือการท่ี ปรากฏวามีปญญาทึบอยางยิ่ง พ่ีชาย ทรงมีพระปญญาที่ทําใหขามพนทิฏฐิท่ี ผดิ ทง้ั ๖๒ ประการ สวนในพระสตู ร มอบคาถาเพียง ๑ คาถาใหทอ งตลอด นอกน้ัน ตรสั ศลี ชุดนี้เพ่อื ใหเหน็ ลาํ ดบั การปฏิบัติของบุคคลที่มีศรัทธาออก เวลา ๔ เดอื น กท็ อ งไมไ ด จึงถูกพช่ี าย บวชแลว วา จะดาํ เนนิ กา วไปอยา งไร โดย เริม่ ดว ยเปนผถู ึงพรอ มดว ยศลี สาํ รวม ขับไล เสียใจคิดจะสึก พอดีพบพระ อินทรีย ประกอบดวยสติสัมปชัญญะ เปนผูสนั โดษ เมื่อพรอ มอยางน้แี ลว ก็ พทุ ธเจา พระองคต รสั ปลอบแลว ประทาน เจริญสมาธิ จนเขาถึงจตุตถฌาน แลว โนมจิตที่เปนสมาธิดีแลวน้ัน ใหมุงไป ผาขาวบริสุทธ์ิใหไปลูบคลําพรอมทั้ง เพื่อญาณทัศนะ แลวกาวไปในวชิ ชา ๘ บรกิ รรมสั้นๆ วา “รโชหรณํ ๆ ๆ” ผา ประการ จนบรรลอุ าสวกั ขยญาณในทสี่ ดุ น้ันหมองเพราะมือคลาํ อยูเสมอ ทําให โดยเฉพาะในขน้ั ตน ทต่ี รสั ถงึ ศลี นน้ั พระ องคไ ดท รงตั้งเปน คาํ ถามวา “ภกิ ษเุ ปน ผู ทานมองเห็นไตรลักษณ และไดสําเร็จ พระอรหตั ทา นมคี วามชาํ นาญแคลว คลอ ง ในอภญิ ญา ๖ ไดร บั ยกยอ งเปน เอตทคั คะ ในบรรดาผฉู ลาดในเจโตววิ ฏั ฏ; ช่ือทาน เรียกงา ยๆ วา จฬู บนั ถก, บางแหงเขยี น เปน จลุ ลบนั ถกจฬู มชั ฌมิ มหาศลี จูฬศีล (ศีลยอย) มชั ฌมิ ศีล (ศีลกลาง) และมหาศีล (ศีล ใหญ), หมายถึงศีลท่ีเปนหลักความ ประพฤติของพระภิกษุ ซ่งึ พระพทุ ธเจา ตรัสแจกแจงไวในพระสูตรบางสูตร
จฬู มชั ฌมิ มหาศลี ๗๐ จฬู มัชฌมิ มหาศีลถงึ พรอ มดว ยศลี อยา งไร?” จากนน้ั จึงได ท่ีตรสั ไว ยืดยาว มรี ายละเอียดมาก ในทรงแจกแจงรายละเอยี ดในเรอื่ งศลี อยา ง ท่ีนี้ จะแสดงเพียงหัวขอท่ีจะขยายเองมากมาย ดงั ทเี่ รยี กวา จฬู ศลี มชั ฌิมศีล ได หรือพอใหเ หน็ เคา ความ (ผตู องการและมหาศลี ทก่ี ลาวนี้ รายละเอียด พึงดู ที.สี.๙/๓-๒๕/๕-๑๕; ๑๐๓–๑๒๐/๘๓–๙๒) พึงสังเกตวา ในพระสูตรท้ังหลายทรงจํากัดความ หรือแสดงความหมาย จฬู ศีลของ “ภกิ ษผุ ถู งึ พรอ มดว ยศลี ” ดวยจูฬ- ๑ . ล ะ ป า ณ า ติ บ า ต … ๒ . ล ะมัชฌิมมหาศีลชุดน้ี หรือไมก็ตรัส อทนิ นาทาน… ๓.ละอพรหมจรรย… ๔.อธิบายเพียงส้ันๆ วา (เชน องฺ.จตุกฺก.๒๑/ ละมุสาวาท… ๕.ละปสุณาวาจา… ๖.๓๗/๕๐) “ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ เปน ผมู ีศีล ละผรุสวาจา… ๗.ละสมั ผปั ปลาปะ… ๘.สํารวมดวยปาฏิโมกขสังวร ถึงพรอม เวนจากการพรากพีชคามและภูตคามดว ยอาจาระและโคจร มปี รกตเิ หน็ ภยั ใน ๙.ฉันมื้อเดียว…งดจากการฉันในเวลาโทษแมแคน ดิ หนอย สมาทานศกึ ษาอยู วิกาล ๑๐.เวนจากการฟอนรําขับรองในสิกขาบททั้งหลาย” สวนในอรรถกถา ประโคมดนตรีและดูการเลนอันเปนมบี อยคร้งั (เชน ม.อ.๒/๑๒/๕๔; ส.ํ อ.๓/๑๕๔/ ขาศึกแกกุศล ๑๑.เวนจากการทัดทรง๑๙๗; อติ ิ.อ.๕๖/๕๔๕) ทอ่ี ธบิ าย “ความถงึ ประดับและตกแตงรางกายดวยดอกไมพรอ มดว ยศลี ”วา หมายถึงปาริสทุ ธศิ ีล ๔ ของหอมและเครอ่ื งประเทอื งผิว อันเปนแตทัง้ หมดนน้ั กเ็ ปน เพยี งวิธอี ธิบาย ซ่ึง ฐานแหง การแตง ตัว ๑๒.เวนจากการน่งัในทส่ี ุดกไ็ ดส าระอนั เดียวกนั กลา วคือ นอนบนทน่ี ่งั ท่ีนอนอนั สงู ใหญ ๑๓.เวนศีลทต่ี รัสในพระสูตร ไมว าโดยยอหรือ จากการรับทองและเงนิ ๑๔.เวนจากการโดยพสิ ดาร และศีลทีอ่ รรถกถาจดั เปน รับธัญญาหารดิบ ๑๕.เวนจากการรับชุดขึ้นมานัน้ กค็ อื ความประพฤติท่ีเปน เนื้อดิบ ๑๖.เวนจากการรับสตรีและวิถีชีวิตของพระภิกษุ ซึ่งเปนจุดหมาย กุมารี ๑๗.เวน จากการรับทาสีและทาสของการบัญญัติประดาสิกขาบทในพระ ๑๘.เวนจากการรับแพะและแกะ ๑๙.วนิ ยั ปฎก และเปน ผลท่จี ะเกิดมีเมื่อได เวนจากการรบั ไกแ ละสุกร ๒๐.เวนจากปฏิบตั ิตามสกิ ขาบทเหลา น้นั การรบั ชาง โค มา และลา ๒๑.เวนจาก การรับไรนาและทีด่ นิ ๒๒.เวน จากการ เน่อื งจากจฬู ศลี (ในภาษาไทย นยิ ม ประกอบทูตกรรมรับใชเดินขาว ๒๓.เรยี กวา จลุ ศลี ) มชั ฌิมศลี และมหาศีล
จฬู วงส ๗๑ จฬู วงสเวน จากการซอ้ื การขาย ๒๔.เวน จากการ ลักษณะสตั ว) ๓.เวน จากมจิ ฉาชีพดวยโกงดวยตาช่ัง การโกงดวยของปลอม ตริ จั ฉานวิชา (จําพวกดฤู กษดชู ยั ) ๔.เวนและการโกงดวยเคร่อื งตวงวดั ๒๕.เวน จากมิจฉาชพี ดวยตริ ัจฉานวชิ า (จําพวกจากการรบั สนิ บน การลอ ลวง และการ ทาํ นายจนั ทรคราส สรุ ยิ คราส อกุ กาบาตตลบตะแลง ๒๖.เวนจากการเฉือนห่ัน และนักษัตรที่เปนไปและที่ผิดแปลกฟน ฆา จองจาํ ตีชิง ปลน และกรรโชก ตา งๆ) ๕.เวน จากมจิ ฉาชพี ดว ยตริ จั ฉาน-มชั ฌมิ ศลี วชิ า (จําพวกทํานายชะตาบานเมือง เรอื่ ง๑.เวนจากการพรากพีชคามและภูต- ฝนฟา ภัยโรค ภัยแลง ภยั ทพุ ภกิ ขาคาม (แจกแจงรายละเอยี ดดวย มใิ ชเ พียงกลา ว เปนตน) ๖.เวนจากมิจฉาชีพดวยกวางๆ อยา งในจูฬศีล, ในขอตอ ๆ ไป ก็เชนกัน) ตริ จั ฉานวชิ า (จาํ พวกใหฤ กษ แกเ คราะห๒. เวนจากการบริโภคของที่ทําการ เปนหมอเวทมนตร ทรงเจา บวงสรวง สูสะสมไว ๓.เวนจากการดูการเลนอัน ขวญั ) ๗.เวน จากมจิ ฉาชพี ดว ยตริ จั ฉาน-เปนขาศึกแกกุศล ๔.เวนจากการพนัน วชิ า (จําพวกทาํ พิธบี นบาน แกบ น ทาํ พิธีอันเปนท่ีต้ังแหงความประมาท ๕.เวน ต้งั ศาล ปลกู เรือน บําบวงเจา ที่ บชู าไฟจากการนั่งนอนบนท่ีน่ังที่นอนอันสูง เปน หมอยา หมอผาตัด)ใหญ ๖.เวนจากการมัววุนประดับตก จะเหน็ วา จฬู มชั ฌมิ มหาศีลท้ังหมดแตง รางกาย ๗.เวนจากตริ จั ฉานกถา (ดู น้ี เนนศีลดานท่ีทานจัดเปนอาชีวปาริ-ติรัจฉานกถา) ๘.เวนจากถอยคําทุม สุทธิศีล และที่ตรัสรายละเอียดไวม ากเถียงแกงแยง ๙.เวนจากการประกอบ ในพระสตู รกลุม น้ี นาจะเปน เพราะทรงทตู กรรมรับใชเ ดนิ ขาว ๑๐.เวนจากการ มุงใหเห็นวิถีชีวิตและลักษณะความพูดหลอกลวงเลยี บเคยี งทาํ เลศหาลาภ ประพฤติของพระสงฆในพระพุทธมหาศีล ศาสนา ท่แี ตกตา งจากสภาพของนักบวช ๑.เวนจากมิจฉาชีพดวยติรัจฉานวชิ า มากมายท่ีเปนมาและเปนไปในสมัยน้ัน;(จําพวกทํานายทายทัก ทาํ พิธีเก่ียวกับ ดู ปารสิ ทุ ธิศีล, ดิรัจฉานวชิ าโชคลาง เสกเปา เปน หมอดู หมองู จูฬวงส ช่ือหนังสือพงศาวดารลังกาหมอผี, แจงรายละเอียด มตี ัวอยา งมาก) ๒. คมั ภีร “เลก็ ” แตงโดยพระเถระหลายรูปเวนจากมิจฉาชีพดวยติรัจฉานวิชา พรรณนาความเปนมาของพระพุทธ(จําพวกทายลักษณะคน ลักษณะของ ศาสนาและชาติลังกา ตอจากคัมภีร
จฬู เวทลั ลสตู ร ๗๒ เจตนามหาวงส ตงั้ แต พ.ศ.๘๔๕ จนถงึ พ.ศ. เคยทรงใชสอย ๓. ธรรมเจดีย บรรจุ๒๓๕๘ ในสมัยท่ีถูกอังกฤษเขาครอง พระธรรม คอื พทุ ธพจน ๔. อทุ เทสกิ -เปน อาณานคิ ม (จฬู วงส ก็คอื ภาค ๒ เจดยี คอื พระพทุ ธรปู ; ในทางศลิ ปกรรมของมหาวงสนน่ั เอง) ไทยหมายถึงสิ่งที่กอเปนยอดแหลมเปนจฬู เวทลั ลสตู ร ชอื่ สตู รหนง่ึ ในมชั ฌมิ นกิ าย ทบ่ี รรจุสิ่งที่เคารพนบั ถือ เชน พระธาตุมูลปณณาสก แหงพระสุตตันตปฎก และอัฐิบรรพบรุ ษุ เปนตนแสดงโดยพระธรรมทินนาเถรี เปนคํา เจตนา ความต้งั ใจ, ความมุงใจหมายจะตอบปญหาทีว่ ิสาขอุบาสกถาม ทาํ , เจตจํานง, ความจํานง, ความจงใจ,จูฬศลี ดูที่ จูฬมชั ฌมิ มหาศลี เปน เจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง เปน ตัวจฬู สงั คาม ช่ือตอนหนง่ึ ในคัมภีรปริวาร นาํ ในการคดิ ปรงุ แตง หรอื เปน ประธาน แหง พระวนิ ยั ปฎก ในสังขารขันธ และเปน ตัวการในการทาํจูฬสุทธันตปริวาส “สุทธันตปริวาส กรรม หรือกลาวไดวาเปนตัวกรรมที อยา งเลก็ ” หมายความวา ปรวิ าสทภ่ี กิ ษุ เดียว ดังพทุ ธพจนว า “เจตนาหํ ภกิ ฺขเว กมมฺ ํ วทามิ” แปลวา “เรากลา วเจตนาวา ตองอาบัติสังฆาทิเสสหลายคราวดวยกนั จําจํานวนอาบตั ิและวนั ทีป่ ดไดบ า ง เปนกรรม”; เจตนา ๓ คือ เจตนาใน ๓ อยปู ริวาสไปจนกวาจะเห็นวาบริสุทธิ์ กาล ซ่ึงใชเปน ขอ พจิ ารณาในเร่ืองกรรมเจด็ ตาํ นาน “เจด็ เรอื่ ง” คอื พระปรติ รทม่ี ี และการใหผ ลของกรรม ไดแก ๑. ปพุ พ- เจตนาเจตนากอ นจะทาํ ๒.สนั นฏิ ฐาปก- อาํ นาจคุมครองปองกันตามเรื่องตนเดิม เจตนา เจตนาอันใหสําเร็จการกระทํา หรือใหสําเร็จความมุงหมาย ๓. อปร- ทเ่ี ลา ไว ซง่ึ ไดจ ดั รวมเปน ชดุ รวม ๗ เจตนา เจตนาสบื เนือ่ งตอ ๆ ไปจากการ พระปรติ ร; อกี นยั หนง่ึ วา “เจด็ ปรติ ร” แต ตามความหมายน้ี นา จะเขยี น เจด็ ตาํ นาณคอื เจด็ ตาณ (ตาณ=ปรติ ต, แผลงตาณ กระทําน้ัน (อปราปรเจตนา ก็เรียก),เปน ตาํ นาณ); ดู ปรติ ร, ปรติ ต เจตนา ๓ น้ี เปนคาํ ในช้นั อรรถกถา แตเจดยี ทเี่ คารพนบั ถอื , บคุ คล สถานที่ ก็โยงกบั พระไตรปฎ ก โดยเปน การสรุปหรอื วตั ถทุ ค่ี วรเคารพบชู า, เจดยี เ กย่ี วกบั ความในพระไตรปฎ กบา ง เปนการสรรพระพทุ ธเจา มี ๔ อยา งคอื ๑. ธาตเุ จดยี ถอยคําที่จะใชอธิบายหลักกรรมตามบรรจพุ ระบรมสารีริกธาตุ ๒. บรโิ ภค- พระไตรปฎ กนน้ั บา ง เฉพาะอยา งยงิ่ ใชเจดีย คือสิ่งหรือสถานท่ีที่พระพุทธเจา แนะนําเปนหลักในการท่ีจะทําบุญคือ
เจตภตู ๗๓ เจโตปริยญาณ กรรมทีด่ ี ใหไดผ ลมาก และมกั เนน ใน ใหแลว ก็ชื่นชมปลื้มใจ”; ดู กรรม, เร่อื งทาน (แตใ นเรือ่ งทานน้ี เจตนาท่ี ๒ ทกั ขณิ า,เวฬกุ ณั ฏก-ี นนั ทมารดา ทา นมกั เรียกวา “มญุ จนเจตนา” เพอ่ื ให เจตภตู สภาพเปน ผคู ดิ อา น, ตามที่เขาใจ ชัดวาเปนความตั้งใจในขณะใหทาน กัน หมายถึงดวงวิญญาณหรือดวงชีพ จรงิ ๆ คอื ขณะทีป่ ลอยของออกไป แทน อันเทยี่ งแทท ส่ี งิ อยูในตวั คน กลาวกนั วา ท่ีจะใชวาสนั นฏิ ฐาปกเจตนา หรือความ ออกจากรางไดในเวลานอนหลับ และ จงใจอนั ใหสําเร็จการกระทํา ซ่งึ ในหลาย เปนตัวไปเกิดใหมเมื่อกายน้ีแตกทําลาย กรณี ไมตรงกับเวลาของเหตุการณ เชน เปน คาํ ทไ่ี ทยเราใชเ รยี กแทนคาํ วา อาตมนั คนที่ทําบาปโดยขุมหลุมดักใหคนอื่นตก หรือ อัตตา ของลัทธพิ ราหมณ และเปน ลงไปตาย เม่ือคนตกลงไปตายสมใจ ความเชือ่ นอกพระพทุ ธศาสนา เจตนาท่ีลุผลใหขุดหลุมดักสําเร็จในวัน เจตสิก ธรรมทป่ี ระกอบกบั จิต, อาการ กอน เปนสนั นฏิ ฐาปกเจตนา) ดงั ทท่ี าน หรอื คุณสมบตั ติ า งๆ ของจิต เชน ความ สอนวา ควรถวายทานหรือใหท านดวย โลภ ความโกรธ ความหลง ศรัทธา เจตนาในการให ท่ีครบทัง้ ๓ กาล คือ เมตตา สติ ปญ ญา เปนตน มี ๕๒ ๑. กอนให มีใจยนิ ดี (ปพุ พเจตนา หรอื อยาง จดั เปน อญั ญสมานาเจตสิก ๑๓ บพุ เจตนา) ๒. ขณะให ทาํ ใจผองใส อกศุ ลเจตสกิ ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕; (มญุ จนเจตนา) ๓. ใหแ ลว ชนื่ ชมปลม้ื ใจ ถา จดั โดยขนั ธ ๕ เจตสกิ กค็ อื เวทนาขนั ธ (อปรเจตนา), คาํ อธบิ ายของอรรถกถาน้ี สัญญาขันธ และสงั ขารขันธ น่ันเอง ก็อางพุทธพจนในพระไตรปฎกนั่นเอง เจตสิกสุข สุขทางใจ, ความสบายใจ โดยเฉพาะหลกั เรอ่ื งทกั ขณิ าทพ่ี รอ มดว ย แชมชนื่ ใจ; ดู สขุ องค ๖ อนั มผี ลยงิ่ ใหญ ซงึ่ ในดา นทายก เจตี แควน หน่งึ ในบรรดา ๑๖ แควน ใหญ หรอื ทายกิ า คอื ฝา ยผใู ห มอี งค ๓ ดงั ที่ แหง ชมพูทวปี ต้ังอยลู มุ แมน้ําคงคา ตดิ พระพุทธเจาตรัสในเรื่องการถวายทาน ตอ กบั แควน วงั สะ นครหลวงชอื่ โสตถวิ ดี ของเวฬุกัณฏกีนันทมารดา(อง.ฉกฺก.๒๒/ เจโตปริยญาณ ปรีชากําหนดรูใจผูอื่น ๓๐๘/๓๗๕) วา “ปพุ เฺ พว ทานา สมุ โน ได, รูใจผูอ่ืนอานความคิดของเขาได โหติ กอ นให ก็ดใี จ, ทท จติ ตฺ ปสา เชน รวู า เขากําลังคิดอะไรอยู ใจเขาเศรา เทติ กําลังใหอ ยู กท็ ําจติ ใหผุดผอ ง หมองหรือผอ งใส เปน ตน (ขอ ๕ ใน เลอ่ื มใส, ทตฺวา อตฺตมโน โหติ ครั้น วิชชา ๘, ขอ ๓ ในอภญิ ญา ๖)
เจโตวมิ ุตติ ๗๔ เจาอธกิ ารแหง อาหารเจโตวมิ ุตติ ความหลุดพน แหง จิต, การ อธกิ ารแหง เสนาสนะ ๔. เจา อธกิ ารแหงหลุดพนจากกิเลสดวยอํานาจการฝกจิต อาราม ๕. เจา อธกิ ารแหง คลงัหรอื ดว ยกําลงั สมาธิ เชน สมาบัติ ๘ เจา อธกิ าร 1. ดู อธิการ 2. เจาหนาท่,ี ผูเปนเจโตวิมุตติอันละเอียดประณีต ไดรับมอบหมายหรือแตงต้ังใหมีหนาที่(สันตเจโตวมิ ุตติ) รบั ผดิ ชอบในเรอ่ื งราวหรือกิจการน้นั ๆเจรญิ พร คาํ เรม่ิ และคาํ รบั ทภ่ี กิ ษสุ ามเณร เจาอธิการแหงคลัง ภิกษุท่ีสงฆสมมติใชพูดกับคฤหัสถผูใหญและสุภาพชน คือแตงตั้งใหเปนเจาหนาที่เกี่ยวกบั คลงัทัว่ ไป ตลอดจนใชเปน คาํ ขึ้นตน และลง เกบ็ พสั ดขุ องสงฆ มี ๒ อยา ง คอื ผูทายจดหมายที่ภิกษุสามเณรมีไปถึง รกั ษาคลงั ทเี่ กบ็ พสั ดขุ องสงฆ (ภณั ฑา-บุคคลเชนนั้นดวย (เทียบไดกับคําวา คารกิ ) และผจู า ยของเลก็ นอ ยใหแ กภ กิ ษุเรยี น และ ครบั หรอื ขอรับ) ทง้ั หลาย (อปั ปมัตตวสิ ัชกะ)เจรญิ วปิ ส สนา ปฏบิ ตั วิ ปิ ส สนา, บาํ เพญ็ เจาอธิการแหงจีวร คือ ภิกษุท่ีสงฆวิปส สนา, ฝก อบรมปญญาโดยพิจารณา สมมติ คือแตงตง้ั ใหเ ปน เจาหนาที่เกยี่ ว สงั ขาร คอื รปู ธรรมและนามธรรมทง้ั กับจีวร มี ๓ อยา ง คอื ผรู ับจีวร หมดแยกออกเปนขันธๆ กําหนดดวย (จวี รปฏคิ าหก) ผเู กบ็ จวี ร (จวี รนทิ หก) ผู ไตรลักษณวาไมเที่ยงเปนทุกข เปน แจกจวี ร (จวี รภาชก) อนัตตา เจาอธิการแหงเสนาสนะ ภิกษุที่สงฆเจากรม หัวหนา กรมในราชการ หรอื ใน สมมติ คือแตง ต้งั ใหเปนเจาหนา ทเ่ี กยี่ วเจานายท่ที รงกรม กบั เสนาสนะ แยกเปน ๒ คอื ผแู จกเจาภาพ เจาของงาน เสนาสนะใหภ กิ ษถุ อื (เสนาสนคาหาปก)เจา สงั กดั ผมู ีอํานาจในหมูคนทข่ี น้ึ อยูกบั และผจู ดั ตงั้ เสนาสนะ (เสนาสนปญ ญาปก)ตน เจาอธิการแหงอาราม ภิกษุท่ีสงฆเจา หนา ทท่ี าํ การสงฆ ภกิ ษผุ ไู ดร บั สมมติ สมมติ คอื แตงตงั้ ใหเ ปนเจา หนา ทเ่ี กี่ยวคือแตงตั้งจากสงฆ (ดวยญัตติทุติย- กบั กิจการงานของวดั แยกเปน ๓ คอืกรรมวาจา) ใหท าํ หนา ทต่ี า งๆ เกย่ี วกบั ผูใชคนงานวัด (อารามิกเปสก) ผูใชการของสว นรวมในวดั ตามพระวนิ ยั แบง สามเณร (สามเณรเปสก) และผดู แู ลไวเ ปน ๕ ประเภท คอื ๑. เจา อธกิ ารแหง การปลกู สราง (นวกัมมิก)จวี ร ๒. เจา อธกิ ารแหง อาหาร ๓. เจา เจาอธิการแหงอาหาร ภิกษุที่สงฆ
เจาอาวาส ๗๕ ฉันสมมติ คอื แตงตั้งใหเ ปน เจาหนาทีเ่ กยี่ ว โจทนากัณฑ ชื่อตอนหนึ่งในคัมภีรกบั อาหาร มี ๔ อยา ง คอื ผจู ดั แจกภตั ปริวารแหง พระวนิ ยั ปฎ ก(ภตั ตเุ ทศก) ผแู จกยาคู (ยาคภุ าชก) และ โจรกรรม การลัก, การขโมย, การผูแจกของเคย้ี ว (ขัชชภาชก) กระทาํ ของขโมยเจา อาวาส สมภารวดั , หวั หนา สงฆในวัด โจรดุจผูกธง โจรผูรายทข่ี ้ึนชอื่ โดง ดงัมีอํานาจและหนาท่ีปกครองดูแลอํานวย ใจจดื ขาดเมตตา เชน พอแม มีกําลงั พอกิจการทุกอยา งเกย่ี วกับวัด ที่จะเล้ียงดูลูกได ก็ไมเล้ียงดูลูกใหสมโจท ฟอ งรอ ง; ทักทว ง; ดู โอกาส ควรแกส ถานะ เปน ตน , ไมเ ออื้ เฟอ แกใ ครโจทก ผฟู อ งรอง ใจดาํ ขาดกรณุ า คอื ตนมีกาํ ลังสามารถโจทนา กริ ิยาทโี่ จท, การโจท, การฟอง, จะชวยใหพ น ทุกขไดก็ไมช ว ย เชน เห็นการทกั ทว ง, การกลาวหา; คาํ ฟอ ง คนตกน้ําแลวไมช ว ย เปน ตน ฉฉกามาพจรสวรรค สวรรคท่ียังเก่ียว ใจรธู รรมารมณแลว ไมด ใี จ ไมเ สียใจ ขอ งกาม ๖ ช้ัน คอื ๑. จาตมุ หาราชิกา วางจิตอเุ บกขา มสี ตสิ ัมปชัญญะอยู (ข.ุ ม. ๒. ดาวดึงส ๓. ยามา ๔. ดุสิต ๕. ๒๙/๔๑๓/๒๘๙) เปนคณุ สมบตั อิ ยา งหน่ึง นมิ มานรดี ๖. ปรนมิ มติ วสวัตตี ของพระอรหนั ต ซง่ึ มอี ุเบกขาดวยญาณฉงน สงสยั , ไมแนใ จ, เคลือบแคลง, คือดวยความรูเทาทันถึงสภาวะของส่ิง สนเทห ท้ังหลาย อันทําใหไมถูกความชอบชังฉลอง 1. แทน, ตอบแทน 2. ทาํ บญุ ยินดียินรายครอบงําในการรับรูอารมณสมโภชหรอื บูชา ทั้งหลาย ตลอดจนไมหวั่นไหวเพราะฉลองพระบาท รองเทา โลกธรรมทัง้ ปวง; ดู อเุ บกขาฉลองพระองค เส้ือ ฉอ โกง เชน รับฝากของ คร้ันเจาของมาฉวี ผิวกาย ขอคืน กลาวปฏิเสธวา ไมไดร ับไว หรือฉฬงั คุเบกขา อุเบกขามีองค ๖ คือ ดวย ไดใ หคนื ไปแลวตาเห็นรูป หูไดยินเสียง จมูกสูดดม ฉกั กะ หมวด ๖กล่นิ ลน้ิ ล้มิ รส กายถูกตองโผฏฐัพพะ ฉัน กิน, รับประทาน (ใชส าํ หรบั ภิกษแุ ละ
ฉนั ท ๗๖ ฉนั ทาคติ สามเณร) กลา ววา “ฉนฺทํ ทมมฺ ,ิ ฉนทฺ ํ เม หร,ฉันท คําประพนั ธป ระเภทหน่ึง กาํ หนด ฉนทฺ ํ เม อาโรเจหิ” (ถาผูม อบออ น พรรษากวา เปลี่ยน หร เปน หรถ และ ดวยครุลหุ และกําหนดจํานวนคําตาม เปล่ยี น อาโรเจหิ เปน อาโรเจถ); เฉพาะในการทําอุโบสถ มีขอพิเศษวา ขอ บังคับฉนั ทะ 1. ความพอใจ, ความชอบใจ,ความยนิ ด,ี ความตอ งการ, ความรกั ใคร ภิกษุที่อาพาธหรือมีกิจจําเปนจะเขารวมใฝปรารถนาในสิ่งน้ันๆ (เปนกลางๆ ประชุมไมไดน้ัน นอกจากมอบฉันทะเปนอกุศลก็ได เปนกุศลก็ได, เปน แลว พงึ มอบปารสิ ทุ ธดิ ว ย (ในสงั ฆกรรมอญั ญสมานาเจตสกิ ขอ ๑๓, ทเ่ี ปน อกศุ ล อน่ื ไมต อ งมอบปารสิ ทุ ธ)ิ , วธิ มี อบปาริเชน ในคาํ วา กามฉนั ทะ ทเี่ ปน กศุ ล เชนในคาํ วา อวหิ งิ สาฉนั ทะ) 2. ฉนั ทะ ทใ่ี ช สทุ ธิ คอื มอบแกภ ิกษรุ ูปหนึง่ ควบไปกบั ฉนั ทะ โดยมอบปาริสทุ ธิวา “ปาริสุทธฺ ึเปน คาํ เฉพาะ มาเดย่ี วๆ โดยทวั่ ไปหมาย ทมฺมิ, ปารสิ ทุ ธฺ ึ เม หร, ปารสิ ทุ ธฺ ึ เม อาโรเจห”ิ และมอบฉันทะอยางท่แี สดงถงึ กศุ ลฉนั ทะ หรอื ธรรมฉนั ทะ ไดแ กกตั ตกุ มั ยตาฉนั ทะ คอื ความตอ งการท่ี ขา งตน (ภกิ ษใุ ดทําอโุ บสถทว่ี ัดอน่ื แลวจะทําหรือความอยากทํา(ใหดี) เชน มายังวัดน้ัน ถาเธอไมเขารวมประชุมฉนั ทะทเี่ ปน ขอ ๑ ใน อทิ ธบิ าท ๔; ตรงขา ม เพ่ือเปนการใหกายสามัคคี ก็พึงมอบกบั ตณั หาฉนั ทะ คอื ความอยากเสพ ฉนั ทะอยางเดยี ว ไมต อ งมอบปารสิ ทุ ธ)ิอยากได อยากเอาเพ่ือตัว ที่เปนฝาย ฉนั ทราคะ ความพอใจตดิ ใคร, ความอกศุ ล 3. ความยนิ ยอม, ความยนิ ยอม ชอบใจจนติด, ความอยากทีแ่ รงขน้ึ เปนใหท่ีประชุมทาํ กิจน้ันๆ ในเมื่อตนมิได ความตดิ ; ฉันทะ ในท่นี ี้ หมายถงึ อกศุ ล-รวมอยูดวย, เปนธรรมเนียมของภิกษุ ฉันทะ คือตัณหาฉันทะ ซ่ึงในข้ันตนทอี่ ยูใ นวดั เดยี วกนั ภายในสมี า มสี ิทธิท่ี เมื่อเปนราคะอยางออน (ทุพพลราคะ)จะเขา ประชุมทํากิจของสงฆ พึงเขารวม ก็เรียกแควาเปนฉันทะ แตเม่ือมีกําลังประชุมทําสังฆกรรม เวนแตภิกษุใดมี มากขน้ึ กก็ ลายเปน ฉนั ทราคะ คอื ราคะเหตุจําเปนจะเขารวมประชุมดวยไมได อยา งแรง (พลวราคะ หรอื สเิ นหะ); ดูเชน อาพาธ ก็มอบฉนั ทะคอื แสดงความ ฉันทะ 1.ยนิ ยอมใหสงฆทํากิจนั้นๆ ได, วธิ ีมอบ ฉนั ทาคติ ลาํ เอยี งเพราะรักใคร (ขอ ๑ฉันทะ คือบอกแกภิกษุรูปหนึ่งโดย ในอคติ ๔)
ฉันทารหะ ๗๗ ฉันนะฉนั ทารหะ “ผคู วรแกฉ นั ทะ”, ภกิ ษทุ ส่ี งฆ กนิ ในชว งเชา ถงึ กอ นเทย่ี งวนั และสาย- ควรไดร บั มอบฉนั ทะของเธอ คอื เมอ่ื สงฆ มาสภตั (มอ้ื สาย, สายในภาษาบาลี คอื คาํ เดยี วกบั สายณั ห) ไดแ กอ าหารทกี่ นิ ใน ครบองคป ระชมุ แลว ภกิ ษใุ ดในสมี าน้ันมี ชวงหลังเที่ยงวันถึงกอนอรุณวันใหม สิทธิเขา รว มประชมุ แตเธออาพาธหรอื ตามความหมายนี้ ภกิ ษฉุ นั มอื้ เดยี ว (มี ตดิ กจิ จําเปนไมอ าจมารว มประชุม ภกิ ษุ ภัตเดียว) จึงหมายถึง ฉันอาหารม้ือ น้ันเปนฉันทารหะ (ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง กอ นเท่ยี งวนั ทีว่ ามาน้ี ตรงกบั ขอ ความ พึงรับมอบฉันทะของเธอมาแจงแกสงฆ คือแกท ี่ประชมุ นน้ั ); ดู กมั มปต ตะ บาลีท่ีนํามาใหค รบวา (เชน ที.สี.๙/๑๐๓/๘๔)ฉันนะ อํามาตยคนสนิทผูเปนสหชาติ “เอกภตฺตโิ ก โหติ รตฺตปู รโต วิรโต และเปนสารถีของเจา ชายสทิ ธัตถะในวัน วิกาลโภชนา” (แปลวา: เปนผูฉันมื้อ เดยี ว/มภี ตั เดยี ว งดอาหารคา่ํ คนื เวน เสด็จออกบรรพชา ฉันนะตามเสด็จไป จากโภชนะนอกเวลา) นคี่ อื เมอื่ บอกวา ดว ย ภายหลงั บวชเปน ภกิ ษุ ถอื ตวั วา ฉนั มอ้ื เดยี วแลว กอ็ าจถามวา มอ้ื ไหน จงึ เปนคนใกลชิดพระพุทธเจามาแตเกา พูดกันชวงเวลาใหญคือกลางคืนท่ีตรง กอน ใครวา ไมฟ ง เกดิ ความบอ ยๆ หลัง ขา มกบั กลางวนั ออกไปกอ น แลว กก็ าํ กบั จากพระพุทธเจาปรินิพพานแลว ถูก ทา ยวา ถงึ แมใ นชว งกลางวนั นน้ั กไ็ มฉ นั สงฆลงพรหมทัณฑหายพยศ และได นอกเวลา คอื ไมเ ลยเทยี่ งวนั โดยนยั น้ี สาํ เร็จเปนพระอรหนั ตฉนั มอื้ เดยี ว ขอความภาษาไทยน้ี ในแง ภิกษุตามปกติจึงเปนผูฉันภัตเดียวคือ ธรรมวินัย ยงั มคี วามหมายกํากวม เมอื่ อาหารมอื้ กอ นเทย่ี งวนั นี้ และอรรถกถา จะทาํ ความเขาใจ พงึ แยกเปน ๒ นัย คอื ๑. ตามคําบรรยายวถิ ีชีวิตของพระ จงึ อธบิ ายวา ฉนั มอื้ เดยี วนี้ ถงึ จะฉนั ๑๐ ภกิ ษุ เชน ในจูฬศลี วา ภิกษุเปน ผู “ฉนั ครง้ั เมอ่ื ไมเ ลยเทยี่ ง กเ็ ปน เอกภตั ตกิ ะ ม้ือเดียว” น้ีคือคําแปลจากคําบาลีวา (เชน ที.อ.๑/๑๐/๗๔) ๒. ภกิ ษทุ ตี่ ามปกติ เปน เอกภตั ตกิ ะฉนั มอื้ เดยี วนแี้ หละ เมอ่ื “เอกภตั ตกิ ะ” ซง่ึ แปลรกั ษาศพั ทว า “มี จะฝกตนใหย่ิงขึ้นไปอีก อาจปฏิบัติให ภตั เดยี ว” ตามวฒั นธรรมของชมพทู วปี เครง ครดั โดยเปน เอกาสนกิ ะ แปลวา สมยั นนั้ ภตั หมายถงึ อาหารทจี่ ดั เปน มอื้ “ผฉู นั ทีน่ ง่ั เดยี ว” หรอื ฉันทอี่ าสนะเดียว ตามชว งเวลาของวนั ซงึ่ มมี อ้ื หลกั ๒ มอ้ื คอื ปาตราสภตั (มอ้ื เชา ) ไดแ กอ าหารที่ หมายความวา ในวนั หนง่ึ ๆ กอ นเทย่ี งนนั้ เม่อื ลงน่งั ฉันจนเสรจ็ ลกุ จากทนี่ ั่นแลว
ฉพั พรรณรังสี ๗๘ เฉวยี งจะไมฉันอีกเลย น่ีคือฉันม้ือเดียวใน ฉายา 1. เงา, อาการทีเ่ ปน เงาๆ คือไมช ัดความหมายวาฉันวันละครั้งเดียว (เปน ออกไป, อาการเคลอื บแฝง 2. ช่ือที่พระท้ังเอกภัตติกะ และเอกาสนิกะ) และถา อุปชฌายะตั้งใหแกผูขอบวชเปนภาษาตอ งการ จะถอื ปฏบิ ตั จิ รงิ จงั เปน วตั รเลย บาลี เรียกวา ชอ่ื ฉายา ทีเ่ รียกเชน นี้กไ็ ด เรยี กวา ถอื ธดุ งค ขอ “เอกาสนกิ งั คะ” เพราะเดมิ เม่อื เสรจ็ การบวชแลว ตอ งมีโดยสมาทานวา (เชน วิสุทฺธิ.๑/๘๕) การวัดฉายาคือเงาแดดดวยการสืบเทา“นานาสนโภชน ปฏิกฺขิปามิ เอกาสนกิ งคฺ สมาทิยาม”ิ (แปลวา : ขา พเจา วาเงาหดหรือเงาขยายแคไหน ช่ัวกี่สืบงดการฉันท่ีอาสนะตางๆ ขาพเจา เทา การวัดเงาดว ยเทา น้ันเปนมาตรานับ เวลา เรียกวา บาท เม่อื วัดแลวจดเวลาสมาทานองคแหงภิกษุผูมีการฉันท่ี ไวและจดสงิ่ อ่ืนๆ เชน ชือ่ พระอุปชฌายะอาสนะเดยี วเปน วตั ร) ผทู เี่ ปน เอกาสนกิ ะ พระกรรมวาจาจารย จาํ นวนสงฆ และอยา งเครง ทส่ี ดุ (เรยี กวา ถอื อยา งอกุ ฤษฏ) ช่อื ผอู ุปสมบท ท้ังภาษาไทยและมคธลง เมอื่ นงั่ ลงเขา ท่ี ตนมอี าหารเทา ใดกต็ าม ในนน้ั ดวย ช่อื ใหมท ี่จดลงตอนวัดฉายา พอหยอนมือลงท่โี ภชนะจะฉัน กไ็ มรับ นนั้ จงึ เรียกวา ชอ่ื ฉายา อาหารเพ่ิมเติมใดๆ อีก จนลุกจากที่ที ฉายาปาราชิก “เงาแหงปาราชิก” คือ เดยี ว; ดู เอกภตั ตกิ ะ, เอกาสนกิ ะ; จฬู ศีล, ประพฤติตนในฐานะที่ลอแหลมตอ ธดุ งค ปาราชกิ อาจเปน ปาราชกิ ได แตจ บั ไมฉพั พรรณรงั สี รศั มี ๖ ประการ ซง่ึ เปลง ถนัด เรยี กวา ฉายาปาราชิก เปน ผทู ่ี ออกจากพระวรกายของพระพทุ ธเจา คอื สงฆรังเกียจ ๑. นลี ะ เขยี วเหมอื นดอกอญั ชนั ๒. ปต ะ ฉิบหายเสียจากคุณอันใหญ ไมได เหลืองเหมือนหรดาลทอง ๓. โลหิตะ บรรลุโลกุตตรธรรม, หมดโอกาสท่ีจะ แดงเหมือนตะวันออ น ๔. โอทาตะ ขาว บรรลโุ ลกตุ ตรธรรม เหมือนแผนเงนิ ๕. มัญเชฐ สหี งสบาท เฉทนกปาจิตตีย อาบัติปาจิตตยี ท ี่ตอง เหมือนดอกเซงหรือหงอนไก ๖. ตัดส่ิงของที่เปนเหตุใหตองอาบัติเสีย ประภสั สร เลอ่ื มพรายเหมอื นแกว ผลกึ กอ น จงึ แสดงอาบตั ิตก ไดแก สิกขาบทฉาตกภัย ภัยคอื ความหิว, ภัยอดอยาก, ที่ ๕, ๗, ๘, ๙, ๑๐ แหง รตนวรรคมกั มากบั ภัยแลง (ทุพพฏุ ฐภิ ัย) หรือภยั (ปาจติ ตยี ขอ ๘๗, ๘๙, ๙๐, ๙๑, ๙๒)ขา วยากหมากแพง (ทุพภิกขภัย) เฉวียง (ในคําวา “ทําผาอุตตราสงค
ชฎา ๗๙ ชมพูทวีปเฉวยี งบา”) ซาย, ในที่นี้หมายถงึ พาด จวี รไวท่บี า ซาย ชชฎา ผมท่ีเกลาเปนมวยสูงขึ้น, เครื่อง ชนมายุกาล เวลาท่ีดํารงชีวิตอยูแตปที่ ประดบั สาํ หรบั สวมศรี ษะ รปู คลา ยมงกฎุ เกิดมาชฎลิ นกั บวชประเภทหน่งึ เกลาผมมนุ ชนเมชยะ พระเจา แผน ดนิ ในคร้งั โบราณเปน มวยสงู ขน้ึ มักถอื ลทั ธบิ ูชาไฟ บาง เคยทําพิธีอัศวเมธ เพื่อประกาศความคร้ังจดั เขาในพวกฤษี เปนพระเจาจกั รพรรดิชฎลิ สามพ่ีนอ ง ดู ชฎิลกัสสปะ ชนวสภสตู ร สตู รหนงึ่ ในคมั ภรี ท ฆี นกิ ายชฎิลกสั สปะ กัสสปะสามพนี่ อง คือ อรุ -ุ มหาวรรค สตุ ตันตปฎ ก วา ดว ยเรอ่ื งท่ีเวลกัสสปะ นทีกสั สปะ คยากัสสปะ ผู พระเจาพิมพิสารซ่ึงสวรรคตไปเกิดเปนเปน นกั บวชประเภทชฎลิ (ฤๅษกี ัสสปะ ชนวสภยกั ษ มาสําแดงตนแกพ ระพุทธ-สามพีน่ อง) เจา และพระอานนท แลว เลา เหตกุ ารณชตุกณั ณมี าณพ ศษิ ยคนหนงึ่ ในจาํ นวน ที่พวกเทวดามาประชุมในสวรรคชั้น๑๖ คน ของพราหมณพ าวรี ท่ีไปทลู ดาวดึงส พากันช่ือชมขาวดีที่เทวดามี ถามปญ หากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดยี จํานวนเพ่ิมขึ้นเพราะคนประพฤติตามชตเุ ภสัช พืชทม่ี ียางเปน ยา, ยาทําจาก คาํ สอนของพระพุทธเจา ยางพืช เชน มหาหงิ คุ กาํ ยาน เปน ตน ชมพทู วปี “ทวปี ทกี่ าํ หนดหมายดว ยตนชนกกรรม กรรมทนี่ าํ ใหเกิด, กรรมท่ี หวา (มตี น หวา เปน เครอ่ื งหมาย) หรอืเปนกุศลหรืออกุศลก็ตามที่เปนตัวแตง ทวปี ทมี่ ตี น หวา ใหญ (มหาชมพ)ู เปนสัตวใหเกิด คือชักนําใหถือปฏิสนธิใน ประธาน”, ตามคตโิ บราณวา มสี ณั ฐานภพใหม เมอ่ื ส้ินชีวติ จากภพน้ี (ขอ ๕ คือรูปรางเหมือนเกวียน, เปนชื่อครั้งในกรรม ๑๒) โบราณอันใชเรียกดินแดนท่ีกําหนดชนนี หญงิ ผใู หเกดิ , แม ครา วๆ วา คอื ประเทศอนิ เดยี ในปจ จบุ นัชนบท “ถิ่นแดนที่ประชาชนไปถึงมาถึง (แตแ ทจ รงิ นน้ั ชมพทู วปี กวา งใหญก วาหรอื ไปมาถงึ กัน” 1. แวน แควน , ประเทศ อนิ เดยี ปจ จบุ นั มาก เพราะครอบคลมุ ถงึ2. บา นนอก; ดู มหาชนบท, ชมพูทวีป ปากีสถานและอัฟกานิสถาน เปนตน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: