อธิษฐานพรรษา ๔๘๐ อนัตตลกั ขณสูตรคอื ๑. ปญญา ๒. สัจจะ ๓. จาคะ ๔. จองจะเอาของเขา (ขอ ๘ ในกศุ ล-อปุ สมะ หรอื สันติ นยิ มเรยี กชื่อเตม็ ของ กรรมบถ ๑๐)แตละขอ วา ๑. ปญญาธิฏฐาน ๒. สจั จา- อนริยปริเยสนา การแสวงหาท่ีไมเปนธิฏฐาน ๓. จาคาธิฏฐาน ๔. อุปสมา- อริยะ คอื แสวงหาสง่ิ ที่ยังตกอยใู นชาติธิฏฐาน และเรียกรวมวา อธิฏฐาน ๔ ชรามรณะ หรือสิ่งท่ีระคนอยดู ว ยทุกขหรอื จตรุ าธฏิ ฐาน ทงั้ นม้ี หี ลกั การปฏบิ ตั ิ กลาวคอื แสวงหาส่ิงอันทําใหตดิ อยูใ นตามพทุ ธพจนว า ๑. พงึ ไมป ระมาท[หมนั่ โลก, สาํ หรบั ชาวบานทา นวา หมายถึงใชหมั่นพัฒนา]ปญญา ๒. พึงรักษา การแสวงหาในทางมิจฉาชพี (ขอ ๑ ใน[อนรุ กั ษ] สจั จะ ๓. พงึ เพมิ่ พนู จาคะ ๔. ปรเิ ยสนา ๒)พึงศึกษาสันติ (เรียงคําอยางบาลีเปน อนวเิ สส หาสว นเหลอื มไิ ด, ไมเ หลือเลย,สนั ตศิ กึ ษา) ส้นิ เชิงอธิษฐานพรรษา ความตั้งใจกําหนดลง อนังคณสตู ร ช่อื สตู รที่ ๕ แหง มชั ฌมิ - ไปวาจะอยูจําพรรษา ณ ท่ีใดที่หนึ่ง นิกาย มลู ปณ ณาสก พระสตุ ตนั ตปฎก ตลอดไตรมาส (๓ เดือน); ดู จําพรรษา เปนคําสนทนาระหวางพระสารีบุตรกับอธิษฐานอุโบสถ อุโบสถท่ีทําดวยการ พระโมคคัลลานะ วา ดวยกเิ ลสอนั ยวนอธิษฐาน ไดแ ก อโุ บสถทภ่ี ิกษุรูปเดยี ว ใจ และความตางแหงผูมีกิเลสยวนใจ ทํา กลา วคอื เมอื่ ในวัดมภี กิ ษรุ ูปเดียว กบั ผูไมมีกเิ ลสยวนใจ ถึงวันอุโบสถ เธอพึงอธิษฐานคือตั้งใจ อนัญญาตญั ญสั สามตี นิ ทรีย (อนัญญ- หรอื กําหนดใจวา “อชฺช เม อุโปสโถ” ตญั ญัสสามตี ินทรยี ก็เขยี น) ดู อินทรีย แปลวา “วนั นีอ้ ุโบสถของเรา” เรยี กอีก ๒๒ อยางหนึ่งวา ปุคคลอุโบสถ (อโุ บสถ อนตั ตตา ความเปนอนัตตา คอื มใิ ชตวั มิ ของบคุ คล หรอื ทาํ โดยบคุ คล); ดู อโุ บสถ ใชตน (ขอ ๓ ในไตรลักษณ); ดู อนัตต-อนตริ ติ ตะ (อาหาร) ซึ่งไมเปน เดน (ทีว่ า ลักษณะ เปน เดน มี ๒ คอื เปนเดนภกิ ษไุ ข ๑ อนัตตลักขณสูตร ชื่อพระสูตรที่แสดงเปนของทีภ่ ิกษุทําใหเปน เดน ๑) ลักษณะแหงเบญจขนั ธ วาเปน อนตั ตาอนธการ ความมืด, ความโงเ ขลา; เวลา พระศาสดาทรงแสดงแกภิกษุปญจ- คาํ่ วัคคีย ภิกษุปญจวัคคียไดสําเร็จพระอนภชิ ฌา ไมโลภอยากไดของเขา, ไมคดิ อรหัต ดวยไดฟงอนัตตลักขณสูตรน้ี
อนตั ตลกั ษณะ ๔๘๑ อนาคามมิ รรค(มาในมหาวรรค พระวนิ ยั ปฎ ก และใน อนัตตานุปสสนา การพิจารณาเห็นในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค พระ สภาพท่ีเปนอนัตตา คือหาตัวตนเปนสุตตนั ตปฎก) แกนสารมิไดอนัตตลักษณะ ลักษณะที่เปนอนัตตา, อนันต ไมมีท่ีส้ินสุด, มากเหลือเกิน,ลักษณะท่ีใหเห็นวาเปนของมิใชตัวตน มากจนนบั ไมไดโดยอรรถตา งๆ เชน ๑. เปน ของสูญ คอื อนนั ตริยกรรม กรรมหนัก, กรรมที่เปนวา งเปลาจากความเปน สัตว บุคคล ตัว บาปหนกั ทสี่ ดุ ตัดทางสวรรค ตัดทางตน เรา เขา หรอื การสมมติเปนตา งๆ นิพพาน, กรรมทีใ่ หผ ลคือ ความเดือด(ในแงสังขตธรรม คอื สงั ขาร กเ็ ปนเพียง รอนไมเวน ระยะเลย มี ๕ อยางคอื ๑.การประชุมเขาขององคประกอบที่เปน มาตุฆาต ฆา มารดา ๒. ปตฆุ าต ฆา บดิ าสวนยอยๆ ท้งั หลาย) ๒. เปนสภาพหา ๓. อรหนั ตฆาต ฆา พระอรหนั ต ๔. โลห-ิเจาของมิได ไมเปนของใครจรงิ ๓. ไม ตุปบาท ทํารายพระพุทธเจาจนถึงยังอยูในอํานาจ ไมเปนไปตามความ พระโลหิตใหห อขนึ้ ไป ๕. สงั ฆเภท ทาํปรารถนา ไมข้ึนตอการบงั คับบัญชาของ สงฆใหแ ตกกันใครๆ ๔. เปน สภาวธรรมท่ดี าํ รงอยหู รอื อนาคต ยังไมม าถงึ , เรอื่ งทีย่ งั ไมมาถึง,เปน ไปตามธรรมดาของมนั (ในแงส งั ขต- เวลาท่ยี งั ไมมาถงึธรรม คือสงั ขาร ก็เปน ไปตามเหตุปจ จยั อนาคตังสญาณ ญาณหย่ังรูสวนข้ึนตอเหตุปจจัย ไมมีอยูโดยลําพังตัว อนาคต, ปรีชากาํ หนดรูคาดผลขางหนาแตเปนไปโดยสัมพันธ อิงอาศัยกันอยู อันสืบเน่ืองจากเหตุในปจจุบันหรือในกับส่งิ อ่นื ๆ) ๕. โดยสภาวะของมนั เองก็ อนาคตกอ นเวลานน้ั (ขอ ๒ ในญาณ ๓)แยงหรือคานตอความเปนอัตตา มีแต อนาคามิผล ผลท่ีไดรับจากการละภาวะท่ีตรงขามกับความเปนอัตตา; ดู สงั โยชน คือ กามราคะ และปฏฆิ ะดวยทกุ ขลกั ษณะ, อนจิ จลักษณะ อนาคามิมรรค อันทําใหเปนพระอนัตตสัญญา กําหนดหมายถึงความ อนาคามีเปน อนตั ตาแหงธรรมทง้ั หลาย (ขอ ๒ อนาคามิมรรค ทางปฏบิ ัตเิ พ่อื บรรลุผลในสญั ญา ๑๐) คือความเปนพระอนาคามี, ญาณคืออนตั ตา ไมใชอตั ตา, ไมใชต ัวใชตน; ดู ความรูเปนเหตุละโอรัมภาคิยสังโยชนอนตั ตลักษณะ ไดท้ัง ๕ (คอื ละไดเ ด็ดขาดอกี ๒ อยา ง
อนาคามี ๔๘๒ อนาโรจนาไดแ ก กามราคะ และปฏฆิ ะ เพมิ่ จาก ๓ ศาสนา บรรลุโสดาปตติผล เปนผูมีอยา งทีพ่ ระโสดาบนั ละไดแลว) ศรัทธาแรงกลา สรางวัดพระเชตวันอนาคามี พระอริยบุคคลผูไดบรรลุ ถวายแดพระพุทธเจาและภิกษุสงฆท่ีอนาคามิผล มี ๕ ประเภท คือ ๑. เมอื งสาวัตถี ซง่ึ พระพทุ ธเจาไดประทับอันตราปรินิพพายี ผูปรินิพพานใน จําพรรษารวมทั้งหมดถงึ ๑๙ พรรษาระหวางอายุยังไมถึงก่ึง (หมายถึงโดย ทานอนาถบิณฑิก นอกจากอุปถัมภกเิ ลสปรนิ พิ พาน) ๒. อปุ หจั จปรนิ พิ พายี ผูปรินิพพานเม่ือจวนจะถึงสิ้นอายุ ๓. บํารุงพระภิกษุสงฆแลวยังไดสงเคราะหอสงั ขารปรนิ พิ พายี ผนู พิ พานโดยไมต อ งใชความเพยี รนกั ๔. สสงั ขารปรนิ พิ พายี ผู คนยากไรอนาถาอยางมากมายเปน ประจาํ จึงไดชอื่ วา อนาถบิณฑกิ ซึง่ แปลวา “ผูมีกอนขาวเพื่อคนอนาถา”ปรินิพพานโดยตองใชความเพียรมาก ทานไดรับยกยองเปนเอตทัคคะในหมู๕. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี ผูม กี ระแส ทายกฝายอุบาสก; ดู เชตวัน อนาถา ไมม ีที่พง่ึ , ยากจน, เขญ็ ใจในเบอ้ื งบนไปสอู กนิฏฐภพอนาคาริยวินัย วินัยของอนาคาริก; ดู อนาบัติ ไมเปน อาบตั ิวนิ ยั ๒ อนาปต ตวิ าร ตอนวา ดวยขอ ยกเวนทีไ่ มอนาจาร ความประพฤติไมดีไมงามไม ตองปรบั อาบัตนิ ้ันๆ ตามปกตอิ ยทู ายคาํเหมาะสมแกบรรพชิต แยกเปน ๓ อธิบายสิกขาบทแตละขอในคัมภีรวิภังคประเภท คอื ๑. การเลน ตา งๆ เชน เลน พระวินยั ปฎ กอยา งเด็ก ๒. การรอ ยดอกไม ๓. การ อนามัฏฐบิณฑบาต อาหารที่ภิกษุเรยี นดริ จั ฉานวชิ า เชน ทายหวย ทาํ บิณฑบาตไดม ายงั ไมไ ดฉ นั จะใหแ กผู เสนห อ่ืนท่ีไมใชภิกษุดวยกันไมได นอกจากอนาณัตติกะ อาบัติท่ีตองเฉพาะทําเอง มารดาบิดา ไมต องเพราะสง่ั คือสง่ั ใหผอู นื่ ทาํ ไมต อง อนามาส วัตถุอันภิกษุไมควรจับตองอาบตั ิ เชน สงั ฆาทเิ สส สิกขาบทที่ ๑ เชน รางกายและเคร่ืองแตงกายสตรี(แตสงั่ ใหทาํ แกต น ไมพนอาบตั ิ) เงินทอง อาวธุ เปนตนอนาถบณิ ฑิก อบุ าสกคนสาํ คัญในสมยั อนาโรจนา “การไมบอก” คอื ไมบ อกพทุ ธกาล เดิมชื่อ สุทตั ต เปนเศรษฐีอยู ประจานตัวแกภิกษุท้ังหลายภายในเขตทเี่ มอื งสาวตั ถี ตอ มาไดน บั ถอื พระพทุ ธ- ๒ เลฑฑุบาตจากเครื่องลอมหรือจาก
อนาวรณญาณ ๔๘๓ อนทิ สั สนอปั ปฏิฆรูปอปุ จารแหงอาวาส ใหรูท่ัวกนั วาตนตอ ง แปลงแปรสภาพไปเรื่อยๆ ๓. เปน ของอาบัติสังฆาทิเสส กําลังอยูปริวาสหรือ ช่ัวคราว อยไู ดช่ัวขณะๆ ๔. แยงตอประพฤติมานตั ; เปน เหตอุ ยา งหนงึ่ ของ ความเท่ยี ง คือ โดยสภาวะของมันเองการขาดราตรีแหงมานัตหรือปริวาส ผู ก็ปฏิเสธความเทยี่ งอยใู นตวั ; ดู ทุกข-ประพฤติมานตั ตอ งบอกทุกวนั แตผ อู ยู ลกั ษณะ, อนตั ตลกั ษณะปรวิ าส ไมตอ งบอกทกุ วนั ปกตัตตภิกษุ อนิจจสัญญา กําหนดหมายถึงความไมรปู ใดยงั ไมไดร บั บอก เธอบอกแกภกิ ษุ เทีย่ งแหง สงั ขาร (ขอ ๑ ในสญั ญา ๑๐)รูปนั้นคร้ังหน่ึงแลว ไมตองบอกอีก อนิจจงั ไมเ ท่ยี ง, ไมค งท่ี, สภาพที่เกดิ มีตลอดกาลท่ีอยูในอาวาสหรือในอนาวาส ข้ึนแลวก็ดับลวงไป; ดู อนิจจลักษณะ,น้ัน แตตองบอกในทายอุโบสถ ทาย ไตรลกั ษณปวารณา เมอื่ ถงึ วันน้ันๆ และภกิ ษใุ ดไดั อนิฏฐารมณ อารมณท่ีไมนาปรารถนา,รับบอกแลวออกจากอาวาสหรืออนาวาส สิ่งท่ีคนไมอยากไดไมอยากพบ แสดงนั้นไปเมือ่ กลับมาใหมต อ งไดร บั บอกอกี ; ในแงต รงขามกบั กามคณุ ๕ ไดแก รปูดู รตั ตเิ ฉท เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ที่ไมนา รักอนาวรณญาณ ปรชี าหยัง่ รูที่ไมมีอะไรๆ ใคร ไมน า ชอบใจ แสดงในแงโ ลกธรรมมาก้นั ได หมายความวา รตู ลอด, รทู ะลุ ไดแก ความเสือ่ มลาภ ความเส่อื มยศ ปรุโปรง เปนพระปรีชาญาณเฉพาะของ การนินทา และความทุกข; ตรงขามกับ พระพทุ ธเจา ไมท่วั ไปแกพ ระสาวก อิฏฐารมณอนาวาส ถนิ่ ที่มิใชอาวาส คอื ไมเปน วดั อนทิ ัสสนรปู ดทู ่ี อนทิ ัสสนอปั ปฏฆิ รปู ,อนาสวะ ไมม อี าสวะ, อันหาอาสวะมิได รปู ๒๘อนิจจตา ความเปน ของไมเ ทีย่ ง, ภาวะท่ี อนิทัสสนสัปปฏฆิ รปู ดทู ่ี รปู ๒๘ สงั ขารทั้งปวงเปน สง่ิ ไมเ ท่ยี งไมค งที่ (ขอ อนทิ ัสสนอปั ปฏฆิ รปู รปู ที่มองไมเ หน็๑ ในไตรลกั ษณ) และกระทบไมได คือรับรูไมไดดวยอนิจจลักษณะ ลักษณะที่เปนอนิจจะ, ประสาทใดๆ ไมว า จะดว ยจกั ษุ หรอื ดว ยลักษณะที่ใหเ หน็ วาเปน ของไมเทยี่ ง ไม โสตะ ฆานะ ชวิ หา และกาย แตเ ปนคงที่ ไดแ ก ๑. เปน ไปโดยการเกดิ ข้ึน ธรรมารมณ อนั รดู ว ยใจ, ไดแ กส ขุ มุ รปูและสลายไป คอื เกิดดบั ๆ มีแลวกไ็ มม ี ๑๖๒. เปนของแปรปรวน คือ เปลยี่ น รปู ในชดุ ทใี่ กลเ คยี ง และตรงขา ม อนั
อนนิ ทรยี รปู ๔๘๔ อนุตฺตรํปฺุ กเฺขตฺตํ โลกสสฺพงึ ทราบไวด ว ยกนั คอื วิมุตติสขุสนิทัสสนรปู รูปซ่งึ มองเห็นได คือตา อนยิ ต ไมแน, ไมแ นน อน เปนชอื่ อาบตั ทิ ่ีมองเห็น มี ๑ ไดแ กรปู ารมณ (หมายถงึ ยังไมแน ระหวางปาราชิก สงั ฆาทเิ สสวณั ณะ คือสี), คูกบั อนทิ สั สนรปู รปู ซง่ึ หรือปาจิตตีย ซ่ึงพระวินัยจะตองมองไมเ หน็ มี ๒๗ ไดแ กร ปู อน่ื นอกจาก วินจิ ฉยันน้ั (มหาภตู รปู ๔ และอปุ าทายรปู อกี ๒๓) อนิยตสิกขาบท สิกขาบทท่ีวางอาบตั ไิ ว สปั ปฏิฆรูป รูปซ่ึงมกี ารกระทบได คือ ไมแน คือยังไมระบุชัดลงไปวาเปนรับรูทางประสาททั้ง ๕ ทต่ี รงคกู ัน มี ๑๒ ปาราชกิ หรอื สงั ฆาทเิ สส หรอื ปาจติ ตยี ,ไดแกป สาทรูป ๕ และวสิ ัยรปู ๗ (๗ คอื มี ๒ สกิ ขาบทนับโผฏฐพั พะเปน ๓ ไดแก ปฐวี เตโช อนึก กองทัพ คือ ชาง มา รถ พลเดนิ ที่และวาโย), คูกับ อัปปฏิฆรูป รูปซ่ึง จัดเปน กองๆ แลวกระทบไมไ ด อนั รบั รไู มไ ดท างประสาททงั้ อนุเคราะห เอ้อื เฟอ, ชว ยเหลอื ; ความ๕ มี ๑๖ ไดแ กร ปู ทเ่ี หลอื จากนนั้ (คอื สขุ มุ เอ้ือเฟอ , การชวยเหลอืรปู ๑๖ นนั่ เอง); ดู สขุ มุ รปู ,รปู ๒๘ อนชุ น คนที่เกิดตามมา, คนรุนหลงั , คนอนนิ ทรยี รปู ดูที่ รปู ๒๘ รนุ ตอ ๆ ไปอนปิ ผันนรูป ดูท่ี รูป ๒๘ อนชุ า ผเู กดิ ทหี ลัง, นอ งอนมิ ิตตวโิ มกข หลุดพน ดว ยไมถ ือนิมติ อนญุ าต ยินยอม, ยอมให, ตกลงคือ หลุดพนดวยพิจารณาเห็นนามรูป อนุฎีกา ปกรณท่ีพระอาจารยท้ังหลายเปน อนจิ จะ แลวถอนนิมติ ได (ขอ ๒ แตงแกหรืออธิบายเพิ่มเติมฎีกา; ดูในวิโมกข ๓) อรรถกถาอนิมิตตสมาธิ สมาธิอันพิจารณาธรรม อนุฏฐานไสยา “การนอนท่ีไมมกี ารลกุไมมีนิมิต คือ วิปสสนาที่ใหถึงความ ขึ้น”, การนอนคร้ังสดุ ทาย โดยท่วั ไปหลุดพน ดวยกําหนดอนิจจลักษณะ (ขอ หมายถึง การบรรทมครั้งสุดทายของ๒ ในสมาธิ ๓) พระพุทธเจา ในคราวเสด็จดับขันธ-อนิมิสเจดีย สถานที่พระพุทธเจาเสด็จ ปรนิ ิพพานยืนจองดูตนพระศรีมหาโพธิ์ดวยมิได อนุตฺตรํ ปฺุกเฺ ขตฺตํ โลกสฺส (พระกระพริบพระเนตรตลอด ๗ วนั อยูทาง สงฆ) เปนนาบุญอนั ยอดเยี่ยมของโลกทิศอีสานของตนพระศรีมหาโพธ์ิ; ดู เปนแหลงปลูกเพาะและเผยแพรความดี
อนตุ ตริยะ ๔๘๕ อนปุ าทิเสสนิพพานอยา งสงู สดุ เพราะพระสงฆเ ปน ผบู รสิ ทุ ธิ์ อนุทูต ทตู ตดิ ตาม, ในพระวินยั หมายเปน ผฝู ก ฝนอบรมตน และเปน ผเู ผยแพร ถึงภิกษุท่ีสงฆสมมติใหเปนตัวแทนของธรรม ไทยธรรมทถี่ วายแกท า น ยอ มมผี ล สงฆ เดินทางรวมไปกับภิกษุผูถูกสงฆอาํ นวยประโยชนสุขอยางกวางขวางและ ลงโทษดว ย ปฏสิ ารณียกรรม ใหไ ปขอตลอดกาลยาวนาน เหมอื นผืนนาดนิ ดี ขมาคฤหัสถ ในกรณีทเ่ี ธอไมอ าจไปตามพืชที่หวานลงไปยอมเผล็ดผลไพบูลย ลําพัง อนุทูตทําหนาท่ีชวยพูดกับ(ขอ ๙ ในสังฆคณุ ๙) คฤหัสถนั้นเปนสวนตนหรือในนามของอนุตตรยิ ะ ภาวะทย่ี อดเยย่ี ม, สงิ่ ที่ยอด สงฆ เพ่อื ใหตกลงรบั ขมา เมือ่ ตกลงกันเย่ยี ม มี ๓ คอื ๑. ทสั สนานุตตริยะ แลว รับอาบัติท่ีภิกษุนั้นแสดงตอหนาการเห็นอันเยีย่ ม คอื เห็นธรรม ๒. เขาแลวจึงใหข มาปฏิปทานุตตริยะ การปฏิบัติอันเย่ียม อนบุ ญั ญตั ิ บญั ญตั เิ พ่มิ เตมิ , บทแกไขคอื มรรคมอี งค ๘ ๓. วมิ ตุ ตานตุ ตรยิ ะ เพ่ิมเติมท่ีพระพุทธเจาทรงบัญญัติเสริมการพนอันเย่ียม คือ พน กิเลสและกอง หรือผอนพระบัญญัติที่วางไวเดิม; คูกับทกุ ข; อนตุ ตริยะ อีกหมวดหนงึ่ มี ๖ คอื บญั ญตั ิ หรือ มลู บญั ญตั ิ๑. ทัสสนานุตตริยะ การเห็นอันเยี่ยม อนบุ ุพพิกถา ดู อนุปุพพกิ ถา๒. สวนานตุ ตรยิ ะ การฟงอันเยีย่ ม ๓. อนุบุรษุ คนรุนหลงั , คนท่เี กดิ ทีหลงัลาภานุตตริยะ ลาภหรอื การไดอันเย่ียม อนปุ สมั บนั ผยู งั มไิ ดอปุ สมบท ไดแก๔. สิกขานุตตริยะ การศึกษาอันเย่ียม คฤหสั ถและสามเณร (รวมท้งั สกิ ขมานา๕. ปารจิ ริยานตุ ตริยะ การบาํ รงุ อนั เยยี่ ม และสามเณร)ี , ผูมใิ ชภกิ ษุหรือภิกษุณี;๖. อนสุ สตานตุ ตรยิ ะ การระลกึ อนั เยยี่ ม เทยี บ อุปสมั บัน อนุปาทินนกสังขาร สังขารท่ีกรรมไมดคู าํ อธบิ ายทคี่ าํ นน้ั ๆอนตุ ฺตโร ปุรสิ ทมมฺ สารถิ (พระผมู พี ระ ยึดครอง แปลกันงายๆ วา “สงั ขารทีไ่ มภาคเจานั้น) ทรงเปน สารถี ฝก คนท่คี วร มีใจครอง” เชน ตนไม ภูเขา เปนตนฝก ได ท่ียอดเยีย่ ม โดยทรงรจู กั ใชอ บุ าย (ขอ ๒ ในสังขาร ๒)ใหเ หมาะแกบ คุ คล สอนเขาไดโ ดยไมต อ ง อนุปาทินนรูป, อนุปาทินนกรูป ดูที่ รูปใชอ าชญา และทาํ ใหเ ขาบรรลผุ ลทพ่ี งึ ได ๒๘เตม็ ตามกาํ ลงั ความสามารถของเขา (ขอ อนปุ าทเิ สสนพิ พาน นพิ พานไมม อี ปุ าทิ๖ ในพทุ ธคณุ ๙) เหลือ, ดับกิเลสไมมีเบญจขันธเหลือ
อนปุ าทเิ สสบคุ คล ๔๘๖ อนุพยัญชนะคอื สน้ิ ทง้ั กเิ ลสและชวี ิต หมายถงึ พระ อริยสัจจ มี ๕ คือ ๑. ทานกถาอรหันตสิ้นชีวิต, นิพพานในแงท่ีเปน พรรณนาทาน ๒. สีลกถา พรรณนาศีลภาวะดับภพ; เทยี บ สอุปาทิเสสนพิ พาน ๓. สคั คกถา พรรณนาสวรรค คอื ความอนุปาทิเสสบุคคล บุคคลผูไมมีเชื้อ สุขท่ีพร่งั พรอ มดวยกาม ๔. กามาทีนว-กิเลสเหลือ, ผหู มดอปุ าทานสนิ้ เชงิ ได กถา พรรณนาโทษของกาม ๕. เนกขัม-แก พระอเสขะ คือ พระอรหันต; เทยี บ มานิสังสกถา พรรณนาอานิสงสแหงสอุปาทิเสสบคุ คล การออกจากกาม อนปุ พุ พกี ถา ก็มใี ชอนุปยนิคม นิคมแหงหน่ึงของมัลล- อนุพยัญชนะ ลักษณะนอยๆ, พระกษตั รยิ ในแขวงมัลลชนบท อยูทางทิศ ลักษณะขอปลีกยอยของพระมหาบุรุษตะวันออกของเมืองกบลิ พสั ดุ (นอกเหนือจากมหาบุรุษลักษณะ ๓๒)อนปุ ย อัมพวัน ชอื่ สวน อยใู นเขตอน-ุ อกี ๘๐ ประการ คือ ๑. มีนว้ิ พระหัตถปย นคิ ม แขวงมัลลชนบท เปนท่พี ระ และนว้ิ พระบาทอันเหลืองงาม, ๒. นว้ิมหาบุรษุ เสดจ็ พักแรม ๗ วนั หลงั จาก พระหัตถแลนิ้วพระบาทเรียวออกไปเสดจ็ ออกบรรพชาใหมๆ กอ นเสดจ็ ตอ ไป โดยลําดบั แตต นจนปลาย, ๓. น้ิวพระสเู มอื งราชคฤห ในแควน มคธ และตอ มา หัตถ แลนิ้วพระบาทกลมดุจนายชางเปน ทเี่ จา ศากยะ มอี นรุ ทุ ธะ และอานนท กลึงเปน อันดี, ๔. พระนขาทัง้ ๒๐ มีสี เปน ตน พรอ มดว ยอบุ าลี ออกบวช อันแดง, ๕. พระนขาทง้ั ๒๐ นัน้ งอนอนุปุพพปฏิปทา ขอปฏิบัติโดยลาํ ดับ, งามชอนขึ้นเบื้องบนมิไดคอมลงเบ้ืองต่ําการปฏบิ ตั ิตามลําดับ ดุจเล็บแหงสามญั ชนทง้ั ปวง, ๖. พระอนุปุพพวิหาร ธรรมเปน เครื่องอยูโดย นขานนั้ มพี รรณอันเกล้ียงกลมสนทิ กันมิลําดบั , ธรรมเครอ่ื งอยทู ่ีประณตี ตอ กัน ไดเปนร้ิวรอย, ๗. ขอ พระหัตถและขอข้นึ ไปโดยลาํ ดับ มี ๙ คอื รูปฌาน ๔ พระบาทซอนอยูในพระมังสะมิไดสูงข้ึนอรปู ฌาน ๔ และ สญั ญาเวทยติ นิโรธ ปรากฏออกมาภายนอก, ๘. พระบาท(สมาบตั ิที่ดับสัญญาและเวทนา) ทั้งสองเสมอกันมิไดยอมใหญกวากันอนุปุพพิกถา เทศนาที่แสดงไปโดย มาตรวาเทา เมล็ดงา ๙. พระดาํ เนินงามลําดับ เพ่ือฟอกอัธยาศัยของสัตวให ดจุ อาการเดินแหง กญุ ชรชาต,ิ ๑๐. พระหมดจดเปนชน้ั ๆ จากงา ยไปหายาก เพอื่ ดาํ เนนิ งามดุจสีหราช, ๑๑. พระดาํ เนนิเตรียมจิตของผูฟงใหพรอมที่จะรับฟง งามดุจดําเนินแหงหงส, ๑๒. พระ
อนุพยญั ชนะ ๔๘๗ อนุพยญั ชนะดําเนินงามดุจอสุ ภราชดําเนนิ ๑๓. ขณะ ประมาณดวยกําลังบุรุษก็ไดถึงแสนโกฏิเมื่อยืนจะยางดําเนินน้ัน ยกพระบาท บรุ ุษ, ๒๘. มพี ระนาสกิ อนั สูง, ๒๙.เบ้ืองขวายางไปกอน พระกายเย้ืองไป สัณฐานพระนาสิกงามแฉลม ๓๐. มีเบื้องขวากอน, ๑๔. พระชานุมณฑล พระโอษฐเบื้องบนเบ้ืองต่ํามิไดเขาออกเกล้ียงกลมงามบริบรู ณ บม ไิ ดเห็นอัฏฐิ กวากนั เสมอเปน อนั ดี มพี รรณแดงงามสะบาปรากฏออกมาภายนอก, ๑๕. มี ดจุ สีผลตําลงึ สุก, ๓๑. พระทนตบรสิ ุทธ์ิบุรุษพยัญชนะบริบูรณคือมิไดมีกิริยา ปราศจากมูลมลทิน, ๓๒. พระทนตขาวมารยาทคลา ยสตรี ๑๖. พระนาภีมิได ดจุ ดังสีสงั ข, ๓๓. พระทนตเกลีย้ งสนิทบกพรอง กลมงามมิไดวิกลในที่ใดท่ี มไิ ดเ ปนรว้ิ รอย, ๓๔. พระอินทรยี ทัง้ ๕หนึง่ , ๑๗. พระอทุ รมีสณั ฐานอันลึก, มีจักขุนทรียเปนอาทิงามบริสุทธ์ิท้ังสิ้น,๑๘. ภายในพระอุทรมีรอยเวียนเปน ๓๕. พระเขีย้ วทง้ั ๔ กลมบรบิ รู ณ, ๓๖.ทักขิณาวัฏฏ, ๑๙. ลําพระเพลาทั้งสอง ดวงพระพักตรมีสณั ฐานยาวสวย ๓๗.กลมงามดจุ ลาํ สุวรรณกัททลี ๒๐. ลาํ พระปรางคทั้งสองดูเปลงงามเสมอกัน,พระกรทั้งสองงามดุจงวงแหงเอราวัณ ๓๘. ลายพระหตั ถม รี อยอันลกึ , ๓๙.เทพยหตั ถี, ๒๑. พระองั คาพยพใหญ ลายพระหัตถม ีรอยอนั ยาว ๔๐. ลายนอ ยท้ังปวงจาํ แนกเปน อันดี คือ งาม พระหัตถมีรอยอันตรง บมิไดคอมคดพรอมทุกส่ิงหาที่ตําหนิบมิได, ๒๒. ๔๑. ลายพระหัตถมีรอยแดงรุงเรือง,พระมังสะที่ควรจะหนาก็หนา ท่คี วรจะ ๔๒. รศั มีพระกายโอภาสเปน ปริมณฑลบางกบ็ างตามที่ท่ัวทง้ั พระสรรี กาย, ๒๓. โดยรอบ ๔๓. กระพงุ พระปรางคท ง้ั สองพระมังสะมิไดหดหูในที่ใดที่หน่ึง ๒๔. เครง ครดั บรบิ ูรณ ๔๔. กระบอกพระพระสรีรกายท้ังปวงปราศจากตอมและ เนตรกวางแลยาวงามพอสมกัน ๔๕.ไฝปานมูลแมลงวันมิไดมีในที่ใดท่ีหนึ่ง, ดวงพระเนตรกอปรดวยประสาทท้ัง ๕๒๕. พระกายงามบริสุทธ์ิพรอมสมกัน มีขาวเปนอาทิผองใสบริสทุ ธ์ทิ ั้งสน้ิ ๔๖.โดยตามลําดับทั้งเบื้องบนแลเบื้องลาง, ปลายเสนพระโลมาท้ังหลายมิไดงอมิได๒๖. พระกายงามบริสุทธ์ิพรอมสิ้น คด ๔๗. พระชิวหามีสัณฐานอันงามปราศจากมลทนิ ทั้งปวง, ๒๗. ทรงพระ ๔๘. พระชวิ หาออนบมิไดกระดา ง ๔๙.กําลังมาก เสมอดวยกําลังแหงกุญชร- พระกรรณทั้งสองมีสัณฐานอันยาวดุจชาติ ประมาณถึงพันโกฏิชาง ถาจะ กลีบปทุมชาติ ๕๐. ชองพระกรรณมี
อนพุ ุทธะ ๔๘๘ อนมุ านสูตรสัณฐานอนั กลมงาม ๕๑. ระเบียบพระ กลิ่นพระเกสาหอมฟุงขจรตลบ ๗๔.เสนท้ังปวงนั้นสละสลวยบมิไดห ดหูใ นที่ พระเกสาหอมดุจกลิ่นโกมลบุปผชาติอันใดอันหน่ึง ๕๒. แถวพระเสนทั้ง ๗๕. พระเกสามสี ัณฐานเสน กลมสลวยหลายซอ นอยใู นพระมังสะท้งั สิ้น บมไิ ด ทุกเสน ๗๖. พระเกสาดําสนิทท้งั สนิ้เปนคลื่นฟูขึ้นเหมือนสามัญชนท้ังปวง ๗๗. พระเกสากอปรดวยเสนอัน๕๓. พระเศียรมีสัณฐานงามเหมือนฉตั ร ละเอยี ด ๗๘. เสน พระเกสามไิ ดย งุ เหยงิแกว ๕๔. ปริมณฑลพระนลาฏโดย ๗๙. เสน พระเกสาเวยี นเปน ทกั ขณิ าวฏั ฏกวา งยาวพอสมกัน ๕๕. ประนลาฏมี ทกุ ๆ เสน ๘๐. วจิ ติ รไปดว ยระเบยี บสณั ฐานอนั งาม ๕๖. พระโขนงมสี ัณฐาน พระเกตุมาลา กลาวคือถองแถวแหงอันงามดุจคันธนูอันกงไว ๕๗. พระ พระรัศมอี นั โชตนาการข้ึน ณ เบือ้ งบนโลมาทพ่ี ระโขนงมเี สน อนั ละเอียด ๕๘. พระอุตมังคสิโรตมฯ นิยมเรียกวาเสนพระโลมาท่ีพระโขนงงอกขึ้นแลวลม อสตี ยานพุ ยญั ชนะ; ดู มหาบรุ ุษลกั ษณะราบไปโดยลาํ ดบั ๕๙. พระโขนงนนั้ ใหญ อนพุ ทุ ธะ ผตู รสั รตู าม คือ ตรสั รดู ว ยได๖๐. พระโขนงนน้ั ยาวสดุ หางพระเนตร สดับเลาเรียนและปฏิบัติตามที่พระ๖๑. ผวิ พระมงั สะละเอยี ดทว่ั ทง้ั พระกาย สมั มาสมั พทุ ธเจา ทรงสอน ไดแ ก พระ๖๒. พระสรรี กายรงุ เรอื งไปดว ยสิริ ๖๓. อรหนั ตสาวกท้ังหลาย; ดู พทุ ธะพระสรีรกายมิไดมัวหมอง ผองใสอยู อนุพุทธปวัตติ ประวัติของพระสาวกผูเปน นิตย ๖๔. พระสรีรกายสดช่ืนดุจ ตรัสรูตามพระพุทธเจา; เขียนสามัญดวงดอกปทุมชาติ ๖๕. พระสรีรสมั ผัส เปน อนุพทุ ธประวตั ิออนนุมสนิทบมิไดกระดางทั่วท้ังพระ อนมุ ตั ิ เหน็ ตาม, ยินยอม, เหน็ ชอบตามกาย ๖๖. กลิน่ พระกายหอมฟุงดจุ กล่นิ ระเบียบท่ีกาํ หนดไวสุคนธกฤษณา ๖๗. พระโลมามีเสน อนุมาน คาดคะเน, ความคาดหมายเสมอกันทั้งส้ิน ๖๘. พระโลมามีเสน อนมุ านสตู ร สตู รท่ี ๑๕ ในมัชฌิม-ละเอยี ดทว่ั ทง้ั พระกาย ๖๙. ลมอสั สาสะ นกิ าย มลู ปณ ณาสก พระสตุ ตนั ตปฎกปสสาสะลมหายพระทัยเขาออกก็เดิน เปนภาษิตของพระมหาโมคคัลลานะละเอยี ด ๗๐. พระโอษฐม สี ณั ฐานอนั งาม กลาวสอนภิกษุทั้งหลาย วาดวยธรรมดจุ แยม ๗๑. กลนิ่ พระโอษฐห อมดจุ กลน่ิ อนั ทาํ คนใหเปนผวู า ยากหรือวางาย การอบุ ล ๗๒. พระเกสาดาํ เปน แสง ๗๓. แนะนําตักเตือนตนเอง และการ
อนโุ มทนา ๔๘๙ อนวุ าท พจิ ารณาตรวจสอบตนเองของภิกษุ พุทฺธ.อ.๘๕ ซึ่งขดั กับทอี่ นื่ ๆ และวาตามอนุโมทนา 1. ความยนิ ดีตาม, ความยนิ หนงั สอื เรยี น เปน โอรสของเจา อมโิ ตทนะ)ดีดวย, การพลอยยินดี, การแสดง และเปน อนชุ าของเจา มหานามะ ภายหลังความเหน็ ชอบ; เห็นดว ย, แสดงความ ออกบวชพรอมกับเจาชายอานนทช่ืนชมหรือซาบซ้ึงเห็นคุณคาแหงการ เปนตน เรียนกรรมฐานในสํานักของกระทาํ ของผูอน่ื (บัดนี้ บางทใี ชในความ พระสารีบุตร ไดบรรลุพระอรหัตที่ปาหมายคลายคําวา ขอบคุณ) 2. ในภาษา ปาจนี วงั สทายวนั ในแควนเจตี พระไทย นยิ มใชสําหรบั พระสงฆ หมายถงึ ศาสดาทรงยกยองวาเปนเอตทัคคะในใหพร เชน เรยี กคําใหพ รของพระสงฆวา ทางทพิ ยจกั ษุคําอนุโมทนา อนรุ ทุ ธาจารย ดู อภธิ มั มัตถสังคหะอนุโยค ความพยายาม, ความเพียร, อนรุ ูป สมควร, เหมาะสม, พอเพียง,ความประกอบเนืองๆ เปนไปตามอนรุ กั ขนาปธาน เพียรรกั ษากศุ ลธรรม อนโุ ลม เปน ไปตาม, คลอ ยตาม, ตาม ทเ่ี กิดข้ึนแลวไมใหเ ส่ือม และบําเพ็ญให ลําดับ เชน วา ตจปญจกกรรมฐานไป ตามลาํ ดบั อยา งน้ี เกสา โลมา นขา ทนั ตา เจรญิ ยง่ิ ข้นึ ไปจนไพบูลย (ขอ ๔ ใน ตโจ; ตรงขามกบั ปฏโิ ลม 1. 2. สาวออกไป ปธาน ๔) ตามลาํ ดบั จากเหตไุ ปหาผลขา งหนา เชนอนุรกั ษ รกั ษาและเสรมิ ทว,ี รักษาส่ิงที่เกิดมีข้ึนแลวและทําสิ่งท่ีเกิดมีขึ้นแลว อวชิ ชาเปนปจจัย สงั ขารจึงมี, สงั ขารนั้นใหงอกงามเพ่ิมทวีย่ิงขึ้นไปจน เปนปจจัย วิญญาณจึงมี เปน ตน ตรงขา มไพบลู ย; ในภาษาไทย ใชในความหมาย กับ ปฏโิ ลม 2. 3. จัดเขาได, นับไดว า เปน อยา งนนั้ เชน อนโุ ลมมสุ าวา รักษาใหค งเดมิอนุราธ ชื่อเมืองหลวงของลังกาสมัย อนุโลมมุสา ถอยคําที่เปนพวกมุสา,โบราณ; เรยี กกนั วา อนุราธปุระ บาง ถอยคาํ ทจี่ ัดไดว า เปนมสุ า คือ พูดเทจ็อนุราธบรุ ี บา ง อนวุ ตั ทาํ ตาม, ประพฤตติ าม, ปฏบิ ตั ติ าม;อนุรทุ ธะ พระมหาสาวกองคหน่ึง เปน บางแหงเขียน อนุวัตน, อนุวรรต,เจาชายในศากยวงศ เปนโอรสของเจา อนุวรรตน, อนวุ ัตร, หรือ อนวุ ัติ ก็มีสุกโกทนะ (นี้วา ตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วินย.ฏ.ี อนวุ าต ผา ขอบจวี ร; ดู จีวร๓/๓๔๙ เปน ตน แตวา ตาม อง.ฺ อ.๑/๑๗๑ และ อนวุ าท การโจท, การฟอง, การกลา วหา
อนวุ าทาธิกรณ ๔๙๐ อนุสาวนา กันดวยอาบตั ิ พระสงฆ ๔. สีลานุสติ ระลกึ ถึงศลี ทตี่ นอนุวาทาธิกรณ การโจทท่ีจัดเปน รักษา ๕. จาคานสุ ติ ระลึกถงึ ทานท่ีตน บริจาคแลว ๖. เทวตานุสติ ระลกึ ถงึ คณุ อธิกรณ คือ การโจทกันดวยอาบัติ, ที่ทําคนใหเปนเทวดา ๗. มรณัสสติ เรือ่ งการกลา วหากนั ; ดู อธกิ รณอนุศาสน การสอน, คําชแ้ี จง; คําสอนท่ี ร ะ ลึ ก ถึ ง ค ว า ม ต า ย ที่ จ ะ ต อ ง มี เ ป น ธรรมดา ๘. กายคตาสติ ระลึกทัว่ ไปใน อุปชฌายหรือกรรมวาจาจารยบอกแก กายใหเห็นวาไมงาม ๙. อานาปานสติ ตั้งสติกําหนดลมหายใจเขาออก ๑๐. ภกิ ษใุ หมใ นเวลาอปุ สมบทเสรจ็ ประกอบ อุปสมานุสติ ระลึกธรรมเปนท่ีสงบ ดวย นิสสัย ๔ และ อกรณยี กิจ ๔, นิสสัย คือ ปจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชติ มี ๔ อยางไดแก ๑. เทย่ี ว ระงับกิเลสและความทกุ ข คอื นพิ พาน;บิณฑบาต ๒. นุงหม ผา บังสกุ ุล ๓. อยู เขียนอยางรูปเดิมในภาษาบาลีเปนโคนไม ๔. ฉันยาดองดว ยนาํ้ มตู รเนา อนสุ สติ(ทานบอกไวเปนทางแสวงหาปจ จยั ๔ อนสุ นธิ การตดิ ตอ , การสืบเนอื่ งความพรอ มทง้ั อตเิ รกลาภของภกิ ษ)ุ , อกรณยี กจิ หรอื เรอ่ื งที่ติดตอ หรือสืบเนอ่ื งกันมากจิ ทไ่ี มค วรทาํ หมายถงึ กจิ ทบ่ี รรพชติ ทาํ อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันเยี่ยมไมไ ด มี ๔ อยา ง ไดแก ๑. เสพเมถุน ไดแก การระลึกถงึ พระตถาคต และ๒. ลักของเขา ๓. ฆา สตั ว (ทใ่ี หขาดจาก ตถาคตสาวก ซึ่งจะเปนไปเพ่ือความความเปน ภิกษุ หมายเอาฆา มนษุ ย) ๔. บริสุทธิ์ลว งพนทุกขได (ขอ ๖ ในพดู อวดคณุ วเิ ศษที่ไมม ใี นตน อนุตตรยิ ะ ๖)อนศุ าสนี คาํ สง่ั สอน, คาํ แนะนาํ พรา่ํ สอน; อนุสัย กิเลสที่แฝงตัวนอนเนื่องอยูใน(บาล:ี อนสุ าสน;ี สันสกฤต: อนศุ าสน)ี สันดาน มี ๗ คือ ๑. กามราคะ ความอนุศาสนีปาฏิหาริยะ ดู อนุสาสนี- กําหนัดในกาม ๒. ปฏิฆะ ความปาฏิหาริย หงดุ หงิด ๓. ทฏิ ฐิ ความเห็นผดิ ๔.อนุสติ ความระลึกถึง, อารมณที่ควร วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ๕. มานะระลกึ ถงึ เนอื งๆ มี ๑๐ อยา งคอื ๑. ความถือตวั ๖. ภวราคะ ความกําหนัดพุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธ- ในภพ ๗. อวิชชา ความไมร จู รงิเจา ๒. ธมั มานุสติ ระลึกถงึ คุณของพระ อนสุ ยกิเลส ดู อนสุ ยั , กเิ ลส ๓ ระดบัธรรม ๓. สงั ฆานุสติ ระลึกถึงคณุ ของ อนสุ าวนา คําสวดประกาศ, คาํ ประกาศ
อนุสาสนี ๔๙๑ อบาย,อบายภมู ิ ความปรกึ ษาและตกลงของสงฆ, คาํ ขอมติ อารยชนจงเปนสุข” “ขอใหประดาสัตวอนสุ าสนี คาํ สงั่ สอน, คาํ แนะนาํ พรา่ํ สอน; ปาจงอยูด มี สี ุข ไมถ ูกเบียดเบียน” ฯลฯ (บาลี: อนสุ าสนี; สนั สกฤต: อนุศาสนี) ก็เปนแบบจํากัด เรียกวา “โอธิโส-อนุสาสนีปาฏิหาริย ปาฏิหาริยคืออนุ- ผรณา” (แผโดยมขี อบเขต), นอกจากศาสน,ี คําสอนเปน จริง สอนใหเ หน็ จริง น้ัน ถาแผไปตอสัตวเ ฉพาะในทศิ นน้ั ทิศนําไปปฏบิ ตั ิไดผลสมจริง เปน อศั จรรย นี้ ยังเรียกตางออกไปอีกวา “ทสิ า-(ขอ ๓ ใน ปาฏหิ ารยิ ๓) ผรณา” (แผไปเฉพาะทศิ ), ไมเ ฉพาะอเนกนัย นยั มใิ ชน อย, หลายนัย เมตตาเทา น้นั แมพ รหมวิหารขออ่ืนๆ ก็อเนญชาภิสังขาร สภาพที่ปรุงแตงภพ มีท้ัง อโนธโิ สผรณา โอธโิ สผรณา และอนั ม่ันคง ไมห ว่นั ไหว ไดแ กภาวะจิตที่ ทสิ าผรณา, อนึ่ง บางทีเรยี ก โอธโิ ส-ม่ันคงแนวแนดวยสมาธิแหงจตุตถฌาน ผรณา วา “โอทสิ สกผรณา” (แผเ จาะจง)(ขอ ๓ ในอภิสังขาร ๓); ตามหลักเขยี น และเรยี ก อโนธโิ สผรณาวา “อโนทสิ สก-อาเนญชาภสิ งั ขาร ผรณา” (แผไมเจาะจง); เทียบ โอธิโส-อเนสนา การหาเลยี้ งชพี ในทางทไ่ี มส มควร ผรณา, ทสิ าผรณา; ดู แผเ มตตา, วกิ พุ พนา,แกภ กิ ษ,ุ เลยี้ งชวี ติ ผดิ สมณะ เชน หลอก สมี าสมั เภทลวงเขาดว ยการอวดอุตรมิ นุสธรรม ทํา อโนมา ช่ือแมน้ํากั้นพรมแดนระหวางวิญญัติคือออกปากขอตอคนที่ไมควร แควน สกั กะกบั แควน มลั ละ พระสทิ ธตั ถะขอ ใชเงนิ ลงทุนหาผลประโยชน ตอ ลาภ เสดจ็ ออกบรรพชา มาถงึ ฝง แมน าํ้ อโนมาดวยลาภ คือใหแตนอยเพ่ือหวังตอบ ตรัสสั่งนายฉันนะใหนํามาพระท่ีนั่งกลับแทนมาก เปนหมอเวทมนตเสกเปา คนื พระนคร ทรงตดั พระเมาลีดว ยพระ เปน ตน ขรรค อธษิ ฐานเพศบรรพชิต ณ ฝง แมอโนธิโสผรณา “แผไปโดยไมมีขีดขั้น” นาํ้ อโนมาน้ี หมายถึงเมตตาที่แผไปตอสัตวทั้งปวง อบท สัตวไมม เี ทา เชน งู และไสเดือนอยางไมจํากัดขอบเขต (อยางในคาํ แผ เปนตนเมตตาทนี่ ยิ มนาํ มาใชก นั ทว่ั ไปวา “สพเฺ พ อบาย, อบายภูมิ ภมู ิกาํ เนิดทปี่ ราศจากสตฺตา อเวรา โหนตฺ ุ … สุขี อตตฺ านํ ความเจริญ มี ๔ อยาง คือ ๑. นริ ยะปริหรนฺตุ”) แตถาตั้งใจแผเมตตานั้น นรก ๒. ตริ ัจฉานโยนิ กําเนิดดริ ัจฉานโดยจํากัดขอบเขต เชนวา “ขอใหเหลา ๓. ปต ติวิสัย ภมู แิ หง เปรต ๔. อสุรกาย
อบายมขุ ๔๙๒ อปริหานยิ ธรรมพวกอสรุ กาย; ดู คต,ิ ทคุ ติ ดู โมคคลั ลบี ตุ รติสสเถระ, สาสนวงสอบายมุข ชอ งทางของความเสือ่ ม, เหตุ อปราปริยเวทนียกรรม กรรมที่เปนเคร่ืองฉิบหาย, เหตุยอยยับแหงโภค- กุศลกด็ ี อกศุ ลกด็ ี ซึ่งใหผ ลในภพตอ ๆทรพั ย, ทางแหง ความพนิ าศ มี ๔ อยาง ไป (ขอ ๓ ในกรรม ๑๒)คือ ๑. เปน นกั เลงหญงิ ๒. เปนนกั เลง อปริหานิยธรรม ธรรมไมเปนท่ีตั้งแหงสรุ า ๓. เปน นักเลงการพนัน ๔. คบคน ความเสอ่ื ม, ธรรมทที่ าํ ใหไ มเ สอื่ ม เปนชวั่ เปน มิตร; อกี หมวดหนงึ่ มี ๖ คอื ๑. ไปเพอื่ ความเจรญิ ฝา ยเดยี ว มี ๗ ขอ ที่ตดิ สุราและของมึนเมา ๒. ชอบเทยี่ ว ตรสั สาํ หรบั ภกิ ษุ (ภกิ ขอุ ปรหิ านยิ ธรรม)กลางคนื ๓. ชอบเท่ียวดกู ารเลน ๔. ยกมาแสดงหมวดหนง่ึ ดงั นี้ ๑. หมนั่เลนการพนัน ๕. คบคนช่วั เปนมิตร ๖. ประชมุ กนั เนอื งนติ ย ๒. เมอ่ื ประชมุ ก็เกียจครา นการงาน; ดู คหิ ิวนิ ยั พรอ มเพรยี งกนั ประชมุ เมอ่ื เลกิ ประชมุ ก็อปจายนมยั บญุ สาํ เร็จดวยการประพฤติ พรอ มเรยี งกนั เลกิ และพรอ มเพรยี งชว ยออ นนอมถอมตน (ขอ ๔ ในบญุ กริ ิยา กนั ทาํ กจิ ทส่ี งฆจ ะตอ งทาํ ๓. ไมบ ญั ญตั ิวตั ถุ ๑๐) สงิ่ ทพ่ี ระพทุ ธเจา ไมบ ญั ญตั ขิ น้ึ ไมถ อนอปฏิจฉนั นาบัติ อาบตั ิ (สังฆาทเิ สส) ท่ี ส่ิงท่ีพระองคบัญญัติไวแลว สมาทาน ภิกษุตองแลว ไมไ ดป ด ไว ศึกษาอยูในสิกขาบทตามที่พระองคทรงอปทาน ดู ไตรปฎ ก (เลม ๓๒–๓๓) บญั ญตั ไิ ว ๔. ภกิ ษเุ หลา ใด เปน ผใู หญอปมาโร โรคลมบาหมู เปนประธานในสงฆ เคารพนบั ถือภิกษุอปรกาล เวลาชว งหลงั , ระยะเวลาของ เหลา นนั้ เชอื่ ฟง ถอ ยคาํ ของทา น ๕. ไมล ุเร่ืองที่มีข้ึนในภายหลัง คือ หลังจาก อาํ นาจแกค วามอยากทเี่ กดิ ขน้ึ ๖. ยนิ ดีพระพุทธเจา ปรนิ ิพพานแลว ไดแกเรือ่ ง ในเสนาสนะปา ๗. ตง้ั ใจอยวู า เพอื่ น ถวายพระเพลิง และแจกพระบรม- ภกิ ษสุ ามเณรซง่ึ เปน ผมู ศี ลี ซง่ึ ยงั ไมม าสู สารรี กิ ธาต;ุ ดู พทุ ธประวตั ิอปรณั ณะ ดู ธญั ชาติ; เทียบ บพุ พณั ณะ อาวาส ขอใหม า ทมี่ าแลว ขอใหอ ยเู ปน สขุอปรนั ตะ, อปรนั ตกะ ชอื่ รฐั ทพ่ี ระโยนก- อปรหิ านยิ ธรรมทตี่ รสั แกก ษตั รยิ ว ชั ชี (วัชชีอปรหิ านยิ ธรรม) สาํ หรบั ผรู ับผดิธรรมรักขิตเถระ เปนพระศาสนทูตไป ชอบตอ บา นเมอื ง มอี กี หมวดหนงึ่ คอื ๑.ประดิษฐานพระพุทธศาสนา เม่ือเสร็จ หมั่นประชุมกันเนืองนิตย ๒. พรอมการสังคายนาคร้ังท่ี ๓ ราว พ.ศ. ๒๓๕; เพรียงกันประชุม พรอมเพรียงกันเลิก
อปโลกน ๔๙๓ อพัทธสีมาประชมุ พรอ มเพรยี งกนั ทาํ กจิ ทพ่ี งึ ทาํ ๓. อปณ ณกปฏปิ ทา ขอ ปฏบิ ตั ทิ ไ่ี มผ ดิ , ทางไมถ อื อาํ เภอใจบญั ญตั สิ งิ่ ทม่ี ไิ ดบ ญั ญตั ไิ ว ดาํ เนนิ ทไี่ มผ ดิ มี ๓ คอื ๑. อนิ ทรยี สังวรไมล ม ลา งส่ิงที่ไดบ ัญญัติ ถอื ปฏบิ ตั มิ น่ั การสาํ รวมอนิ ทรยี ๒. โภชเนมตั ตญั ตุ าตามวชั ชธี รรม ๔. ทา นเหลา ใดเปน ผใู หญ ความเปนผูรูจักประมาณในการบริโภคในชนชาววชั ชี เคารพนบั ถอื ทา นเหลา นน้ั ๓. ชาคริยานุโยค การหม่ันประกอบเหน็ ถอ ยคาํ ของทา นวา เปน สงิ่ อนั พงึ รบั ฟง ความต่ืน ไมเหน็ แกน อน๕. บรรดากลุ สตรกี ลุ กมุ ารที งั้ หลายมใิ ห อปสเสนธรรม ธรรมทเ่ี ปน ทพ่ี ึ่งท่ีพํานกัอยูอยางถูกขมเหงรังแก ๖. เคารพ ดจุ พนกั พงิ มี ๔ คือ ๑. ของอยางหน่ึงสกั การะบชู าเจดยี ข องวชั ชี ทง้ั ภายในและ พิจารณาแลว เสพ เชน ปจจัยสี่ ๒. ของภายนอก ไมล ะเลยการทาํ ธรรมกิ พลี ๗. อยา งหนึง่ พจิ ารณาแลวอดกลั้น ไดแกจัดใหความอารักขาคุมครองปองกันอัน อนิฏฐารมณตางๆ ๓. ของอยางหนงึ่ชอบธรรมแกพระอรหันต (หมายถึง พิจารณาแลวเวนเสีย เชน สุราเมรัยบรรพชติ ทเ่ี ปน หลกั ใจของประชาชน) ตงั้ การพนัน คนพาล ๔. ของอยางหนึ่งใจใหทานท่ียังมิไดมาพึงมาสูแวนแควน พจิ ารณาแลว บรรเทาเสยี เชน อกศุ ล-ทมี่ าแลว พงึ อยโู ดยผาสกุ วติ กตา งๆอปโลกน บอกเลา, การบอกเลา, การ อปายโกศล ดู โกศล ๓บอกกลาวแกท่ีประชุมเพื่อใหรับทราบ อปุญญาภสิ ังขาร สภาพทปี่ รงุ แตง กรรมพรอ มกัน หรอื ขอความเห็นชอบรวมกัน ฝายชั่ว ไดแก อกุศลเจตนาท้ังหลายในกิจบางอยางของสว นรวม, ใชใ น อป- (ขอ ๒ ในอภิสังขาร ๓)โลกนกรรม อพยาบาท ความไมค ดิ รา ย, ไมพยาบาทอปโลกนธรรม กรรมคือการบอกเลา, ปองรายเขา, มเี มตตา (ขอ ๙ ในกุศล-กรรมอันทําดวยการบอกกันในท่ีประชุม กรรมบถ ๑๐)สงฆ ไมตอ งตง้ั ญัตติ คอื คาํ เผดียงไม อพยาบาทวิตก ความตรึกในทางไมตอ งสวด อนุสาวนา คอื ประกาศความ พยาบาท, การคิดแผเมตตาแกผูอื่นปรึกษาและตกลงของสงฆ เชน ประกาศ ปรารถนาใหเ ขามคี วามสุข (ขอ ๒ ในลงพรหมทัณฑ นาสนะสามเณรผกู ลา ว กุศลวติ ก ๓)ตูพระพุทธเจา อปโลกนแจกอาหารใน อพัทธสมี า “แดนทไ่ี มไ ดผกู ” หมายถึงโรงฉัน เปน ตน เขตชุมนุมสงฆที่สงฆไมไดกําหนดขึ้น
อภยคริ ิวหิ าร ๔๙๔ อภิณหปจ จเวกขณ เอง แตถือเอาตามเขตทเ่ี ขาไดกําหนดไว ยงิ่ , ความรชู ัน้ สูง มี ๖ อยา งคือ ๑. อทิ ธวิ ธิ ิ แสดงฤทธติ์ า งๆ ได ๒. ทพิ พ- ตามปรกติของบานเมอื ง หรอื มบี ญั ญัติ โสต หทู ิพย ๓. เจโตปริยญาณ ญาณท่ี ใหท ายใจคนอนื่ ได ๔. ปพุ เพนวิ าสานสุ ติ อยา งอ่ืนเปน เครื่องกาํ หนด แบง เปน ๓ ญาณท่ที ําใหระลึกชาตไิ ด ๕. ทพิ พจกั ขุ ประเภท คือ ๑. คามสีมา หรือ นคิ ม- ตาทพิ ย ๖. อาสวกั ขยญาณ ญาณทาํ ให สมี า ๒. สัตตพั ภนั ตรสมี า๓. อทุ กุกเขปอภยคิริวิหาร ชื่อวัดที่พระเจาวัฏฏ-คามณีอภยั ไดสรา งถวายพระตสิ สเถระ อาสวะสิ้นไป, ๕ อยางแรกเปนโลกยี -ในเกาะลงั กา ซ่งึ ไดกลายเปนเหตุใหสงฆ อภญิ ญา ขอ สดุ ทา ยเปน โลกตุ ตรอภญิ ญาลังกาแตกแยกกัน แบงเปนคณะมหา อภิญญาเทสิตธรรม ธรรมท่ีพระพุทธวิหารเดิมฝายหน่ึง คณะอภยคิริวิหาร เจาทรงแสดงดวยพระปญญาอันย่ิงฝายหน่ึง; มักเรยี ก อภยั คีรี หมายถึง โพธปิ กขยิ ธรรม ๓๗ ประการอภพั ไมค วร, ไมอ าจ, ไมส ามารถ, ไมอ าจ มสี ตปิ ฏฐาน ๔ เปนตนเปน ไปได, เปน ไปไมได (บาล:ี อภพฺพ; อภิฐาน ฐานะอยางหนกั , ความผดิ สถานไทยเพยี้ นเปน อาภพั ); ดู อาภพั หนกั มี ๖ อยา ง คอื ๑. มาตฆุ าต ฆาอภพั บคุ คล บุคคลผูไ มส มควร, มีความ มารดา ๒. ปต ฆุ าต ฆา บดิ า ๓. อรหนั ต-หมายตามขอความแวดลอ ม เชน คนท่ี ฆาต ฆาพระอรหนั ต ๔. โลหิตุปบาท ไมอ าจบรรลโุ ลกตุ ตรธรรมได คนท่ขี าด ทํารายพระพุทธเจาใหถึงหอพระโลหิต คุณสมบัติ ไมอาจใหอุปสมบทได ๕. สงั ฆเภท ทาํ สงฆใ หแ ตกกนั ๖. อญั ญ- เปนตน สตั ถุทเทส ถือศาสดาอื่นอภัยทาน ใหความไมมีภัย, ใหความ อภิณหปจจเวกขณ ขอท่ีควรพิจารณาปลอดภัย เนอื งๆ, เรอ่ื งทคี่ วรพจิ ารณาทกุ ๆ วนั มีอภิชฌา โลภอยากไดของเขา, ความคิด ๕ อยา ง คอื ๑. ควรพจิ ารณาทกุ วนั ๆ วาเพงเล็งจองจะเอาของของคนอ่นื (ขอ ๘ เรามีความแกเปนธรรมดา ไมลวงพนในอกศุ ลกรรมบถ ๑๐) ความแกไ ปได ๒. วา เรามคี วามเจบ็ ไขอภิชฌาวิสมโลภ ละโมบไมสมํ่าเสมอ, เปนธรรมดา ไมล วงพนความเจบ็ ไขไ ปความโลภอยา งแรงกลา จอ งจะเอาไมเ ลอื ก ได ๓. วา เรามคี วามตายเปน ธรรมดา ไม วา ควรไมค วร (ขอ ๑ ในอปุ กเิ ลส ๑๖) ลว งพน ความตายไปได ๔. วา เราจะตอ งอภญิ ญา ความรูย่ิง, ความรเู จาะตรงยวด พลัดพรากจากของรักของชอบใจท้ังส้ิน
อภธิ รรม ๔๙๕ อภิธรรมปฎ ก๕. วา เรามกี รรมเปน ของตวั เราทาํ ดจี กั อติเรก) คือมากกวาธรรมอยางปกติไดด ี เราทาํ ชวั่ จกั ไดช วั่ ; อกี หมวดหนงึ่ และย่งิ พิเศษ (อภิวเิ สส) คอื เหนือกวาสําหรับบรรพชิต แปลวา “ธรรมท่ี ธรรมอยางปกติ, หลักและคําอธิบายบรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ” มี ๑๐ ธรรมท่เี ปนเน้ือหาสาระแทๆ ลว นๆ ซ่ึงอยา ง (ปพ พชติ อภณิ หปจ จเวกขณ) คอื จัดเรียงอยางเปนระเบียบและเปนลําดับ๑. บรรพชติ ควรพจิ ารณาเนอื งๆ วา บดั จนจบความอยา งบรบิ รู ณ โดยไมก ลา วถงึน้ี เรามเี พศตา งจากคฤหสั ถแ ลว ๒. วา ไมอ า งองิ และไมข น้ึ ตอ บคุ คล ชมุ ชนการเล้ียงชีพของเราเนื่องดวยผูอื่น ๓. หรือเหตุการณ อันแสดงโดยเวนวา เรามอี ากปั กริ ยิ าอยา งอนื่ ทจี่ ะพงึ ทาํ ๔. บัญญตั โิ วหาร มุง ตรงตอสภาวธรรม ท่ีวาตัวเราเองยังติเตียนตัวเราเองโดยศีล ตอมานิยมจัดเรียกเปนปรมัตถธรรมไมไ ดอ ยหู รอื ไม ๕. วา เพอื่ นพรหมจรรย ๔ คอื จติ เจตสิก รปู นพิ พาน, เมือ่ พูดผเู ปน วญิ ู ใครค รวญแลว ยงั ตเิ ตยี น วา “อภิธรรม” บางทีหมายถึงพระเราโดยศลี ไมไ ดอ ยหู รอื ไม ๖. วา เราจะ อภิธรรมปฎก บางทหี มายถงึ คําสอนในตองพลัดพรากจากของรกั ของชอบใจทง้ั พระอภิธรรมปฎกน้ัน ตามที่ไดนํามาสน้ิ ๗. วา เรามกี รรมเปน ของตน เราทาํ ดี อธิบายและเลาเรียนกันสืบมา เฉพาะจกั ไดด ี เราทาํ ชวั่ จกั ไดช ว่ั ๘. วา วนั คนื อยางยิง่ ตามแนวทปี่ ระมวลแสดงไวใ นลว งไปๆ บดั นเ้ี ราทาํ อะไรอยู ๙. วา เรา คัมภีรอ ภธิ มั มัตถสังคหะ, บางที เพื่อใหยินดีในที่สงัดอยูหรือไม ๑๐. วาคุณ ชัดวา หมายถึงพระอภธิ รรมปฎ ก ก็พูดวเิ ศษทเี่ ราบรรลแุ ลว มอี ยหู รอื ไม ทจ่ี ะทาํ วา “อภิธรรมเจ็ดคัมภีร” ; ดู อภิธรรม-ใหเราเปนผูไมเกอเขิน เม่ือถูกเพื่อน ปฎ ก, อภธิ ัมมตั ถสังคหะ, อภวิ นิ ยับรรพชติ ถามในกาลภายหลงั (ขอ ๑. อภิธรรมปฎก ชื่อปฎกทีส่ าม ในพระไตรทา นเตมิ ทา ยวา อาการกริ ยิ าใดๆ ของ ปฎก, คาํ สอนของพระพุทธเจา สว นที่สมณะ เราตอ งทาํ อาการกริ ยิ านนั้ ๆ ขอ แสดงพระอภิธรรม ซึ่งไดร วบรวมรกั ษา๒. เตมิ วา เราควรทาํ ตวั ใหเ ขาเลย้ี งงา ย ไวเปนหมวดที่สาม อันเปนหมวดสุดขอ ๓. ทา นเขยี นวา อาการกายวาจา ทายแหงพระไตรปฎก ประกอบดวยอยางอื่นท่ีเราจะตองทําใหดีขึ้นไปกวานี้ คัมภีรตา งๆ ๗ คัมภรี (สตั ตัปปกรณะ,ยงั มอี ยอู กี ไมใ ชเ พยี งเทา น)ี้ สดับปกรณ) คือ สงั คณี (หรอื ธัมม-อภิธรรม ธรรมอันยง่ิ ท้งั ยิง่ เกนิ (อภ-ิ สงั คณี) วภิ งั ค ธาตกุ ถา ปคุ คลบญั ญตั ิ
อภธิ ัมมัตถวภิ าวนิ ี ๔๙๖ อภวิ ินัยกถาวตั ถุ ยมก และ ปฏ ฐาน; ในอรรถ- ย่งิ หมายถงึ การออกบวช, ผนวชกถา (เชน สงคณ.ี อ.๒๐/๑๖) มีความเลา วา อภบิ าล เล้ียงด,ู ดแู ล, บํารงุ รกั ษา, ปกพระอภิธรรมเปนพระธรรมเทศนาท่ีพระ ปก รักษา, คุม ครอง, ปกครองพุทธเจาทรงแสดงโปรดพระพุทธมารดา อภริ มย รืน่ เริงย่งิ , ยนิ ดยี งิ่ , พักผอ นตลอดพรรษา ณ ดาวดึงสเทวโลก ในป อภิลักขิตกาล, อภิลักขิตสมัย เวลาท่ีท่ี ๗ แหงการบําเพ็ญพุทธกิจ; ดู กําหนดไว, วนั กําหนดอภธิ รรม, ไตรปฎก อภิวันทน, อภิวาท, อภิวาทน การอภธิ มั มตั ถวภิ าวนิ ี ชอื่ คมั ภรี ฎ กี า อธบิ าย กราบไหวความในคัมภรี อภธิ ัมมัตถสังคหะ พระ อภิวนิ ยั “วินัยอนั ย่งิ ”, ในพระไตรปฎ กสมุ งั คละผเู ปน ศษิ ยข องพระอาจารยส ารี- คําวา “อภิวินัย” มักมาดว ยกันเปนคูกับบุตร ซึ่งเปนปราชญในรัชกาลของพระ คาํ วา “อภธิ รรม” และในอรรถกถา มีคําเจา ปรกั กมพาหุที่ ๑ (พ.ศ. ๑๖๙๖– อธบิ ายไว ๒-๓ นัย เชน นัยหน่งึ วา๑๗๒๙) รจนาขึน้ ในลงั กาทวีป ธรรม หมายถึง พระสุตตันตปฎกอภิธัมมัตถสังคหะ คัมภีรประมวล อภธิ รรม หมายถงึ เจด็ พระคัมภีร (คือความในพระอภธิ รรมปฎ ก สรุปเนอื้ หา อภิธรรมเจ็ดคัมภีร, สัตตัปปกรณะ)สาระลงในหลักใหญท่ีนิยมเรียกกันวา วนิ ยั หมายถงึ อุภโตวภิ ังค (คอื มหา-“ปรมตั ถธรรม ๔” พระอนุรทุ ธาจารย วิภงั คห รอื ภกิ ขุวภิ งั ค และภิกขุนวี ิภงั ค)แหงมูลโสมวิหารในลงั กาทวีป รจนา แต อภวิ นิ ยั หมายถึง ขันธกะ และปรวิ าร,ไมปรากฏเวลาชัดเจน นักปราชญ อีกนัยหนึ่ง ธรรม หมายถึง พระสันนิษฐานกันตางๆ บางทานวาในยุค สตุ ตนั ตปฎก อภธิ รรม หมายถงึ มรรคเดยี วกนั หรอื ใกลเ คยี งกบั พระพทุ ธโฆสา- ผล วนิ ยั หมายถึง วนิ ยปฎกทงั้ หมดจารย แตโดยทว่ั ไปยอมรับกนั วา แตง ข้ึน อภวิ นิ ยั หมายถึง การกําจัดกิเลสใหไมก อ น พ.ศ.๑๒๕๐ และวานาจะอยูใน สงบระงับไปได, นอกจากนี้ ในพระวนิ ัยชวงระหวาง พ.ศ. ๑๕๐๐–๑๖๕๐; ดู ปฎก มีคําอธิบายเฉพาะวินัยและอภิ-ปรมตั ถธรรม, พทุ ธโฆสาจารย วนิ ยั วา (เชน วินย.๘/๒/๒) วนิ ยั หมายถึงอภินหิ าร อํานาจแหง บารม,ี อาํ นาจบุญท่ี พระบญั ญัติ (คอื ตวั สิกขาบท) อภวิ นิ ยัสรางสมไว หมายถึง การแจกแจงอธิบายความแหงอภิเนษกรมณ การเสด็จออกเพื่อคณุ อัน พระบญั ญตั ิ; ดู อภธิ รรม, ไตรปฎก
อภิเษก ๔๙๗ อภสิ ัมพุทธคาถาอภเิ ษก การรดน้ํา, การแตงตงั้ โดยการทํา อภสิ ัมพทุ ธคาถา “คาถาของพระองคผูพิธีรดน้าํ , การไดบ รรลุ ตรสั รแู ลว ”, เปนคาํ ทแี่ ทบไมพบในที่อน่ือภิสมาจาร ความประพฤติดีงามที่ นอกจากอรรถกถาชาดก (พบในอรรถ-ประณีตย่ิงขน้ึ ไป, ขนบธรรมเนยี มเพ่ือ กถาเปตวัตถุ ๑ คร้งั ) ท้ังนี้เพราะในความประพฤติดีงามย่ิงขึ้นไปของพระ ชาดกน้ัน พระพทุ ธเจาทรงเลาเร่อื งอดตีภิกษุ และเพ่ือความเรียบรอยงดงาม ครั้งทรงเปนพระโพธิสัตว และตรัสคําแหงสงฆ; เทยี บ อาทพิ รหมจรรย สอนของพระองคเชนคติท่ีพึงไดจากอภิสมาจาริกวัตร วัตรเก่ียวดวยความ เร่ืองอดีตนั้นดว ย ดงั น้ัน คําพูดในเรื่องประพฤติอันดี, ธรรมเนียมเก่ียวกับ จึงมีท้ังคําของพระโพธิสัตวในอดีตเม่ือ มรรยาทและความเปนอยทู ด่ี ีงาม ยังไมตรัสรู มีทั้งคําของบุคคลอื่นท่ีโตอภิสมาจาริกาสิกขา หลักการศึกษา ตอบในเรื่องน้ัน และมีพระดํารัสของอบรมในฝายขนบธรรมเนียมที่จะชักนํา พระพุทธเจาที่ตรสั คตหิ รือขอสรุปไว คําความประพฤติ ความเปนอยูของพระ ของทุกบุคคลในเร่ืองมาดวยกันในพระ สงฆใหดงี ามมคี ุณย่งิ ขึน้ ไป, สิกขาฝาย ไตรปฎ กตอนนน้ั และตามปกตเิ ปน คาถา อภสิ มาจาร; เทยี บ อาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา ทง้ั นน้ั บางครงั้ พระอรรถกถาจารยจ ะใหอภิสังขาร สภาพท่ีปรุงแตงแหงการ เราแยกได จึงบอกใหรูวาในเร่ืองนั้นๆกระทาํ ของบคุ คล, เจตนาทเ่ี ปน ตวั การใน คาถาตรงนๆี้ เปนอภสิ ัมพทุ ธคาถา คือการทาํ กรรม มี ๓ อยา งคอื ๑. ปุญญา- เปนคาถาที่พระองคตรัสเอง ไมใชของภสิ งั ขาร อภสิ งั ขารทเี่ ปน บญุ ๒. อปญุ ญา- บุคคลอื่นในเรื่อง และไมใชของพระภิสังขาร อภิสงั ขารทเ่ี ปน ปฏปิ ก ษต อ บญุ โพธิสัตวใ นเรอื่ งคอื บาป ๓. อาเนญชาภสิ งั ขาร อภสิ งั ขาร ดังตัวอยางในชาดกเร่ืองแมนกไสที่เปนอเนญชา คอื กศุ ลเจตนาท่ีเปน ตรัสเลา วา แมนกไส (นกชนดิ นี้วางไขอรูปาวจร ๔; เรียกงายๆ ไดแก บุญ บนพ้ืนดิน) มีลูกหลายตัวเพิ่งออกจากบาป ฌาน ไข ยังบนิ ไมได และพอดอี ยูบนทางท่ีอภิสังขารมาร อภสิ งั ขารเปนมารเพราะ ชา งเทีย่ วหากนิ วนั น้ัน ชางโพธิสตั วนําเปนตัวปรงุ แตงกรรม ทําใหเกดิ ชาติชรา ชางโขลงใหญผานมา แมนกไสเขาไปยนืเปนตน ขัดขวางไมใ หหลดุ พนจากทกุ ข ขวางหนา และกลา ว (เปน คาถา) วา “ฉนัในสงั สารวฏั ฏ (ขอ ๓ ในมาร ๕) ขอไหวท า นพญาชา งผสู งู วยั อายถุ งึ ๖๐
อมนษุ ย ๔๙๘ อมนษุ ยป มกี าํ ลงั ออ นถอยลง แตเ ปน เจา โขลง นกไสก ็คิดวางแผน และไปขอความรวมยง่ิ ใหญแ หง แดนปา ฉนั ขอทาํ อญั ชลี มือจากสตั วเ ล็กอ่ืนอกี ๓ ตวั คือ กาทานดวยปกทั้งสอง โปรดอยาฆา ลูก กบ และแมลงวนั หวั เขียว เริม่ ดวยกาหาออ นตวั นอ ยๆ ของฉนั เสยี เลย” ชาง จังหวะจิกลูกตาท้ังสองขางของเจาชางโพธิสัตวฟงแลวก็สงสาร เขามายืน พาล แลว แมลงวนั หัวเขียวก็มาไขใสล กูครอ มบังลูกนกท้ังหมดไว จนโขลงชา ง ตาท่บี อด พอถกู หนอนชอนไชตา ชา งผานเลยไป และลูกนกปลอดภยั แตตอ เจ็บปวดมาก และกระหายเท่ียวหาน้าํ ทงั้มา ชางรา ยตัวหนง่ึ ซึ่งเทยี่ วไปลาํ พังผา น ท่ตี ามองไมเหน็ ถงึ ทกี บกข็ ึน้ ไปรอ งบนมา แมนกไสก็เขาไปยืนขวางหนาและ ยอดเขา ชา งนกึ วามนี า้ํ ท่นี นั่ กข็ ้นึ ไป กบกลา ววา “ฉนั ขอไหวท า นพญาชา งผจู ร กล็ งมารอ งทห่ี นาผา ชางมงุ หนา มาหาน้าํเดย่ี วแหง แดนปา เทยี่ วหาอาหารตามขนุ เขา ฉนั ขอทาํ อญั ชลที า นดว ยปก ทง้ั ถึงหนาผาก็ล่ืนไถลตกลงไปตายอยูท่ีเชิงสอง โปรดอยา ฆา ลกู ออ นตวั นอ ยๆ ของฉนั เสยี เลย” แตเ จา ชา งพาลไมป รานี กลบั เขา แมน กไสกบ็ ินลงมาเดนิ ไปมาบนตวัพดู แสดงอาํ นาจวา “แนะ นางนกไส ขาจะฆา ลกู นอ ยของเจา เสยี เจา ไมม กี าํ ลงั ชางดวยความสมใจดีใจ เร่อื งจบลงโดยจะมาทาํ อะไรขา ได อยา งพวกเจา นใ่ี ห พระพุทธเจาตรสั วา “จงดเู ถดิ แมน กไสรอ ยตัวพนั ตวั ขา จะเอาเทา ซา ยขา ง กา กบ และแมลงวนั หวั เขยี ว สตั วท ง้ั ส่ีเดยี วขยใี้ หล ะเอยี ดไปเลย” วา แลว กเ็ อา นร้ี ว มใจกนั ฆา ชา งเสยี ได ทา นจงดคู ติ ของคนมเี วรทที่ าํ ตอ กนั เพราะฉะนนั้ แล ทา นทงั้ หลาย ไมค วรกอ เวรกบั ใครๆ ถงึ จะเปน คนทไ่ี มร กั ไมช อบกนั ” ในชาดกนี้เทาเหยียบขยี้ลูกนกแหลกละเอียดท้ัง มีคาํ กลา ว ๕ คาถา จะเห็นชดั วา ๔ คาถาหมดและรอ งแปรแ ปรน วงิ่ แลน ไป ฝา ย แรกเปน คาถาของบุคคลอนื่ ในเรือ่ ง แตแมนกไสแ คน นกั ฮึดขึน้ มาในใจวา “มิ เฉพาะคาถาท่ี ๕ เปนอภสิ ัมพุทธคาถาใชว า ใครมกี าํ ลงั แลว จะทาํ อะไรกไ็ ดไ ป อมนุษย ผมู ิใชม นุษย, ไมใชคน, มกัทวั่ ทงั้ หมด กาํ ลงั ของคนพาลนแ่ี หละ มี หมายถึงสัตวในภพที่มีฤทธิ์มีอํานาจนาไวฆ า คนพาล เจา ชา งใหญเ อย ใครฆา กลัว อยางที่คนไทยเรียกวาพวกภูตผีลกู ออ นตวั นอ ยๆ ของขา ขา จกั ทาํ ให ปศาจ แตใ นภาษาบาลี หมายถงึ ยักษมนั ยอ ยยบั ” ผกู ใจวาจะไดร ูกันระหวา ง หรอื เปรต บอ ยครง้ั หมายถงึ เทวดา บางทีกําลังรางกายกับกําลังปญญา แลวแม หมายถงึ ทาวสักกะ คอื พระอินทร (เชน
อมร, อมระ ๔๙๙ อมูฬหวินัยชา.อ.๑๐/๑๓๔) อมิตา เจา หญงิ ศากยวงศ เปน พระราช-อมร, อมระ ผูไ มต าย เปนคาํ เรยี กเทวดา บุตรีของพระเจาสีหหนุ เปน พระกนิฏฐ-ผูไดด ื่มนาํ้ อมฤต ภคนิ ขี องพระเจาสุทโธทนะ เปนพระเจาอมฤต เปนชอ่ื นํ้าทพิ ยท ที่ าํ ผดู ื่มใหไมต าย อาของพระพุทธเจา มีโอรสซ่ึงออกตามเร่ืองวา เทวดาทั้งหลายคิดหาของ ผนวชนามวา พระติสสเถระ (ตามเครอื่ งกันตาย พากันไปถามพระเปน เจา คมั ภีรมหาวงส วาเปนมเหสขี องพระเจาพระเปนเจารับส่ังใหกวนมหาสมุทร สุปปพุทธะ จึงเปนพระมารดาของพระเทวดาทั้งหลายก็ทําตามโดยวิธีใชภูเขา เทวทัตและเจาหญิงยโสธราพิมพา)รองขางลางลูกหน่งึ วางขางบนลกู หนงึ่ อมิโตทนะ กษัตรยิ ศากยวงศ เปนพระท่ีกลางมหาสมุทร ลักษณะคลายโม ราชบตุ รองคท ี่ ๓ ของพระเจา สหี หนุสาํ หรับโมแ ปง เอานาคพนั เขาทภ่ี เู ขาลูก เปนพระอนุชาองคท่ี ๒ ของพระเจาบนแลว ชว ยกนั ชกั สองขาง อาศัยความ สุทโธทนะ เปนพระเจาอาของพระพทุ ธ-รอนท่ีเกิดจากความหมุนเวียนเบียด เจา เปนพระบิดาของพระอานนท (น้วี าเสียดแหงภูเขา ตนไมทั้งหลายท่ีเปน ตาม ม.อ.๑/๓๘๔; วินย.ฏี. ๓/๓๔๙ เปนตนยาบนภูเขา ไดค ายรสลงไปในมหาสมทุ ร แตว า ตาม องฺ.อ.๑/๑๗๑ และ พุทธฺ .อ.๘๕ ซ่งึ จนขนเปน ปลักแลว เกดิ เปนน้ําทิพยข้นึ ขัดกับท่ีอ่ืนๆ และวาตามหนังสือเรียน ในทามกลางมหาสมุทร เรียกวา นํ้า เปนพระบิดาของพระมหานามะ และ อมฤต บา ง นาํ้ สุรามฤต บา ง; ทัง้ หมดน้ี พระอนุรุทธะ) เปนเรื่องตามคตขิ องศาสนาพราหมณ อมูฬหวนิ ยั ระเบยี บท่ีใหแ กภ ิกษผุ ูหายอมฤตธรรม ธรรมทที่ ําใหไมต าย, ธรรม เปนบาแลว, วิธีระงับอธิกรณสําหรับซ่ึงเปรียบดวยน้ําอมฤตอันทําผูด่ืมใหไม ภกิ ษุผหู ายจากเปนบา ไดแก กริ ิยาที่ตาย หมายถึงพระนพิ พาน สงฆสวดประกาศใหสมมติแกภิกษุผูอมาตย ขา ราชการ, ขาเฝา, ขุนนาง, มกั หายเปน บา แลว เพอ่ื ระงบั อนวุ าทาธกิ รณเรียก อํามาตย อธิบายวา จําเลยเปนบาทําการลวงอมาวสี ดิถีเปน ทีอ่ ยูรวมแหงพระอาทิตย ละเมดิ อาบตั ิ แมจ ะเปน จรงิ กเ็ ปน อนาบตั ิและพระจันทร, วันพระจันทรด ับ หรอื เมื่อเธอหายบาแลวมีผูโจทดวยอาบัติวันดับ คือวันส้ินเดือนทางจันทรคติ ระหวางเปนบานั้นไมรูจบ ทานใหสงฆ(แรม ๑๕ หรือ ๑๔ ค่าํ ) สวดกรรมวาจาประกาศความขอนี้ไว
อโมหะ ๕๐๐ อรรถกถาเรียกวา อมูฬหวินัย ยกฟองโจทเสีย เยีย่ ม, ศิษยผเู ลิศกวา ศษิ ยอน่ื ของพระภายหลังมีผูโจทดวยอาบัติน้ัน หรือ พุทธเจา หมายถงึ พระสารบี ตุ ร และอาบัติเชนน้ัน ในคราวที่เปนบา ก็ให พระมหาโมคคัลลานะ; ดู อคั รสาวกอธิกรณเปนอันระงับดวยอมูฬหวินัย อรรถ เนอ้ื ความ, ใจความ, ความหมาย,(ขอ ๓ ในอธิกรณสมถะ ๗) ความมงุ หมาย, ผล, ประโยชนอโมหะ ความไมหลง, ธรรมท่ีเปน อรรถ ๒, ๓ ดู อัตถะปฏิปก ษตอ โมหะ คอื ความรจู ริง ไดแ ก อรรถกถา “เคร่ืองบอกความหมาย”, ปญญา (ขอ ๓ ในกุศลมูล ๓) ถอยคําบอกแจงช้ีแจงอรรถ, คําอธิบายอยกู รรม ดู ปรวิ าส อตั ถะ คอื ความหมายของพระบาลี อนัอยูปรวิ าส ดู ปริวาส ไดแกพุทธพจน รวมทั้งขอความและอยรู ว ม ในประโยควา “ภิกษุใดรอู ยกู ิน เร่ืองราวเกี่ยวของแวดลอมที่รักษาสืบรว มกด็ ี อยรู ว มก็ดี สําเร็จการนอนดวย ทอดมาในพระไตรปฎก, คัมภรี อ ธิบายกันก็ด”ี รวมอโุ บสถสังฆกรรม ความในพระไตรปฎก; ในภาษาบาลีอโยนิโสมนสิการ การทําในใจโดยไม เขยี น อฏ กถา, มคี วามหมายเทา กบั คาํแยบคาย, การไมใชปญญาพิจารณา, วา อตฺถวณณฺ นา หรือ อตถฺ สวํ ณณฺ นาความไมรูจักคิด, การปลอยใหอวิชชา (คัมภีรสัททนีติ ธาตุมาลา กลาววาตณั หาครอบงาํ นาํ ความคดิ ; เทยี บ โยนโิ ส- อรรถกถา คือเครื่องพรรณนาอธิบายมนสิการ ความหมาย ที่ดาํ เนินไปตามพยัญชนะอรดี ธิดามารคนหนึ่งใน ๓ คน อาสา และอตั ถะ อนั สมั พนั ธก บั เหตอุ นั เปน ท่ีพระยามารผูเปนบิดา เขาไปประโลม มาและเรอ่ื งราว)พระพทุ ธเจา ดวยอาการตางๆ ในสมยั ที่ อรรถกถามีมาเดิมสืบแตพุทธกาลพระองคเสด็จอยูท่ีไมอชปาลนิโครธภาย เปนของเนื่องอยูดว ยกนั กบั การศึกษาคาํหลังตรัสรูใหมๆ (อีก ๒ คน คอื ตัณหา สอนของพระพุทธเจา ดังท่ีเขาใจงายๆกับ ราคา) วา “อรรถกถา” ก็คือคาํ อธบิ ายพทุ ธพจนอรติ ความขงึ้ เคียด, ความไมยินดีดวย, และคาํ อธบิ ายพทุ ธพจนน นั้ กเ็ รม่ิ ตน ท่ีความริษยา พทุ ธพจน คอื พระดาํ รสั ของพระพทุ ธเจาอรรค ดู อคั ร นน่ั เอง ซง่ึ เปน พระดํารสั ท่ีตรัสประกอบอรรคสาวก สาวกผูเลศิ , สาวกผยู อด เสริมขยายความในเรื่องที่ตรัสเปนหลัก
อรรถกถา ๕๐๑ อรรถกถาในคราวนน้ั ๆ บา ง เปน ขอที่ทรงชี้แจง เจนข้นึ พระสาวกทงั้ หลายจึงกําหนดจดอธิบายพุทธพจนอ่ืนท่ีตรัสไวกอนแลว จําปกิณกเทศนาเหลานี้ไวประกอบพวงบาง เปนพระดํารัสปลีกยอยที่ตรัส คมู ากบั พุทธพจนใ นพระไตรปฎ ก เพือ่อธบิ ายเร่ืองเลก็ ๆ นอ ยๆ ทาํ นองเรือ่ ง เปนหลักฐานที่ชวยใหเขาใจชัดเจนในเบ็ดเตล็ดบาง ดังที่ทานยกตัวอยางวา พระพุทธประสงคของหลักธรรมท่ีตรัสเม่ือพระพุทธเจาทรงไดรับนิมนตเสด็จ ในคราวนัน้ ๆ และเฉพาะอยา งย่ิงจะไดไปประทับใชอาคารเปน ปฐม ในคราวที่ ใชในการชี้แจงอธิบายหลักธรรมในพุทธเจาศากยะสรางหอประชุม (สันถาคาร) พจนนั้นแกศิษยเปนตน พระปกณิ ก-เสร็จใหม ในพระไตรปฎ กกลาวไวเพียง เทศนานแ้ี หละ ทีเ่ ปนแกนหรอื เปนที่กอวาไดทรงแสดงธรรมกถาแกเจาศากยะ รูปของส่ิงท่ีเรียกวาอรรถกถา แตในอยูจนดึก เมื่อจะทรงพัก จงึ รบั สัง่ ให ขณะที่สวนซ่งึ เรียกวา พระไตรปฎก ทานพระอานนทแสดงธรรมเรื่องเสขปฏิปทา รักษาไวในรูปแบบและในฐานะท่ีเปนแกเ จาศากยะเหลาน้นั และในพระสูตร หลกั สว นที่เปน อรรถกถาน้ี ทา นนําสบืน้ันไดบันทึกสาระไวเฉพาะเร่ืองท่ีพระ กันมาในรูปลักษณและในฐานะที่เปนคําอานนทแสดง สวนธรรมกถาของพระ อธิบายประกอบ แตก ็ถอื เปนสําคญั ย่งิพุทธเจา เองมวี า อยางไร ทา นไมไ ดร วม ดงั ที่เม่อื สังคายนาพระไตรปฎ ก อรรถ-ไวในตัวพระสตู รน้ี เรอ่ื งอยางน้มี ีบอยๆ กถาเหลาน้กี เ็ ขา สูการสงั คายนาดวย (ดูแมแ ตพ ระสูตรใหญๆ ก็บันทกึ ไวเฉพาะหลักหรือสาระสําคัญ สวนท่ีเปนพระ ตวั อยา งท่ี ม.ม.๑๓/๒๕/๒๕; ม.อ.๓/๖/๒๐; วนิ ย.ฏ.ีดํารัสรายละเอียดหรือขอปลีกยอยขยายความ ซึ่งเรียกวาปกิณกเทศนา ๒/๒๘/๗๐; ท.ี ฏ.ี ๒/๑๘๘/๒๐๗) ทง้ั น้ี มเิ ฉพาะ(จะเรยี กวาปกณิ กธรรมเทศนา ปกิณก- พระพทุ ธดํารสั เทานนั้ แมคาํ อธบิ ายของธรรมกถา ปกิณกกถา หรือบาลีมุต- พระมหาสาวกบางทานก็มีท้ังที่เปนสวนธรรมกถา ก็ได) แมจะไมไดรวมไวเปน ในพระไตรปฎก (อยางเชนพระสูตรสวนของพระไตรปฎก แตพระสาวกก็ หลายสูตรของพระสารีบุตร) และสวนถือวาสําคัญย่ิง คือเปนสวนอธิบาย อธิบายประกอบท่ีถือวาเปนอรรถกถาขยายความที่ชวยใหเขาใจพุทธพจนที่ คําอธิบายท่ีสําคัญของพระสาวกผูใหญบันทึกไวเปนพระสูตรเปนตนน้ันไดชัด อันเปนท่ยี อมรับนบั ถือเปนหลัก กไ็ ดร ับ การถายทอดรักษาผานการสังคายนาสืบ ตอ มาดว ย
อรรถกถา ๕๐๒ อรรถกถา คําอธิบายท่ีเปนเร่ืองใหญบางเร่ือง สงั คายนาทง้ั ๓ ครง้ั จนกระทงั่ เมอื่ พระสําคัญมากถึงกับวา ท้ังท่ีเรียกวาเปน มหินทเถระไปประดิษฐานพระพุทธ-อรรถกถา กจ็ ดั รวมเขา เปน สว นหนึ่งใน ศาสนาในลงั กาทวปี เมอื่ พ.ศ. ๒๓๕ ก็พระไตรปฎกดวย ดงั ทท่ี านเลา ไว คือ นาํ อรรถกถาเหลา นนั้ ซงึ่ ยงั เปน ภาษาบาลี“อัฏฐกถากัณฑ” ซึ่งเปนภาคหรือคัมภีร พว งไปกบั พระไตรปฎ กบาลดี ว ย แตเ พื่อยอยที่ ๓ ในคมั ภรี ธ มั มสงั คณี แหง พระ ใหพระสงฆตลอดจนพุทธศาสนิกทั้งอภธิ รรมปฎ ก (พระไตรปฎก เลม ๓๔, หลายในลังกาทวีปน้ัน สามารถศึกษาอัฏฐกถากัณฑนมี้ อี ีกช่อื หนงึ่ วา “อตั ถุท- พระไตรปฎกซึ่งเปนภาษาบาลีไดสะดวกธารกัณฑ” และพระไตรปฎ กฉบบั สยาม พระพุทธศาสนาจะไดเจริญมั่นคงดวยรัฐไดเลือกใชชื่อหลัง) ตามเรื่องท่ีทาน หลักพระธรรมวนิ ัย คมั ภีรเลาวา พระบนั ทึกไวว า (สงฺคณี.อ.๔๖๖) สทั ธิวหิ ารกิ รปู มหินทเถระไดแปลอรรถกถาจากภาษาหนึ่งของพระสารีบุตรไมสามารถกําหนด บาลใี หเปน ภาษาของผเู ลา เรยี น คอื ภาษาจับคําอธิบายธรรมในภาคหรือคัมภีร สงิ หฬ ซง่ึ เรียกกันตอ มาวา “มหาอัฏฐ-ยอยที่ ๒ ทช่ี อ่ื วา นกิ เขปกณั ฑ ในคมั ภรี กถา” และใชเปนเครื่องมือศึกษาพระธมั มสงั คณนี ั้น พระสารบี ตุ รจงึ พดู ใหฟ ง ไตรปฎกบาลีสืบมา ตอ แตน นั้ อรรถกถาก็เกิดเปนอัฏฐกถากัณฑหรืออัตถุทธาร- ทงั้ หลายกส็ บื ทอดกนั มาในภาษาสงิ หฬกณั ฑน นั้ ข้ึนมา (แตค ัมภีรมหาอฏั ฐกถากลา ววา พระสารบี ตุ รพาสทั ธวิ หิ าริกรูป ตอมา พระพทุ ธศาสนาในชมพทู วีปน้ันไปเฝาพระพุทธเจา และพระองค เส่ือมลง แมว าพระไตรปฎกจะยังคงอยูตรัสแสดง), คมั ภรี มหานิทเทส (พระ แตอรรถกถาไดส ูญสนิ้ หมดไป ครั้งน้นัไตรปฎก เลม ๒๙) และจูฬนทิ เทส มพี ระภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ออกบวชจากตระกลู(พระไตรปฎก เลม ๓๐) ก็เปนคาํ อธิบาย พราหมณ เลา เรยี นพระไตรปฎ กแลว มีของพระสารีบุตร ท่ีไขและขยายความ ความเชยี่ วชาญจนปรากฏนามวา “พทุ ธ-แหง พทุ ธพจนใ นคมั ภรี สตุ ตนิบาต (พระ โฆส” ไดเรียบเรียงคมั ภรี ชือ่ วา ญาโณทยัไตรปฎก เลม ๒๕, อธบิ ายเฉพาะ ๓๒ (คัมภีรมหาวงสกลาววาทานเรียบเรียงสูตร ในจํานวนทัง้ หมด ๗๑ สตู ร) อรรถกถาแหงคัมภีรธัมมสังคณี ชื่อวา อฏั ฐสาลนิ ใี นคราวนน้ั ดว ย แตไ มส มจรงิ อรรถกถาท้ังหลายแตครั้งพุทธกาล เพราะอฏั ฐสาลนิ อี า งวสิ ทุ ธมิ คั ค และอา งนั้น ไดพ วงมากับพระไตรปฎกผานการ สมนั ตปาสาทกิ า มากมายหลายแหง จงึ
อรรถกถา ๕๐๓ อรรถกถาคงตอ งแตง ทหี ลงั ) เสรจ็ แลว เรมิ่ จะเรยี บ มอบคมั ภรี แ กท า น พระพุทธโฆสเริ่มงานเรยี งอรรถกถาแหง พระปรติ รขน้ึ อาจารย แปลใน พ.ศ.๙๗๓ ต้ังตนท่ีอรรถกถาของทา น ซง่ึ มชี อ่ื วา พระเรวตเถระ บอกวา อรรถกถามีอยูบ ริบูรณในลงั กาทวีป แหงพระวนิ ัยปฎก (คอื สมันตปาสาทกิ า,เปนภาษาสงิ หฬ และใหทา นไปแปลเปนภาษาบาลีแลว นํามายงั ชมพทู วปี คาํ นวณปจ าก วนิ ย.อ.๓/๖๓๕) เมอื่ ทาํ งานแปล เสร็จพอควรแลว ก็เดินทางกลับไปยัง พระพุทธโฆสไดเดินทางไปยังลังกา-ทวีปในรัชกาลของพระเจามหานาม ชมพทู วปี(พ.ศ.๙๕๓–๙๗๕; ปท่ีทานไป หลกั ฐานบางแหง วา พ.ศ.๙๕๖ แตบ างแหง วา พ.ศ. งานแปลของพระพทุ ธโฆสนน้ั แทจ รงิ๙๖๕) พระพทุ ธโฆสพํานักในมหาวหิ าร มใิ ชเ ปน การแปลอยา งเดยี ว แตเ ปน การเมอื งอนรุ าธปรุ ะ ไดสดบั อรรถกถาภาษาสงิ หฬครบทงั้ มหาอฏฐ กถา มหาปจจฺ รี แปลและเรียบเรียง ดังที่ทานเองเขียน(มหาปจจฺ รยิ กเ็ รยี ก) และกรุ นุ ทฺ ี (อรรถ-กถาเกากอ นเหลานี้ รวมทั้งสงฺเขปฏ - บอกไววา ในการสังวรรณนาพระวินัยกถาซงึ่ เปน ความยอ ของมหาปจ จรี และ ทานใชมหาอรรถกถาเปนเน้ือหาหลักอนฺธกฏกถาที่พระพุทธโฆสไดคุนมา (เปน สรรี ะ) พรอ มทง้ั เกบ็ เอาอรรถะทค่ี วรกอนนั้นแลว จัดเปนโปราณัฏฐกถา)เม่ือจบแลว ทานก็ไดขอแปลอรรถกถา กลาวถึงจากขอวินิจฉัยที่มีในอรรถกถาภาษาสงิ หฬ เปน ภาษามคธ แตส งั ฆะแหง มหาปจ จรี และอรรถกถากรุ นุ ที เปน ตนมหาวิหารไดมอบคาถาพุทธพจนใหทาน (คือรวมตลอดถึงอันธกัฏฐกถา และไปเขียนอธิบายกอน เปนการทดสอบ สังเขปฏฐกถา) อธิบายใหครอบคลุมความสามารถ พระพุทธโฆสไดเขียน ประดาเถรวาทะ (คอื ขอ วินิจฉัยของพระขยายความคาถานนั้ โดยประมวลความในพระไตรปฎกพรอมทั้งอรรถกถามา มหาเถระวินัยธรโบราณในลังกาทวีป ถงึเรียบเรียงตามหลกั ไตรสกิ ขา สาํ เร็จเปนคัมภีรวิสุทธิมัคค คร้ันเห็นความ พ.ศ.๖๕๓), แตในสวนของพระสามารถแลว สังฆะแหงมหาวิหารจึงได สุตตันตปฎกและพระอภิธรรมปฎก อรรถกถาโบราณ (โปราณฏั ฐกถา) ภาษา สงิ หฬ มเี พียงมหาอรรถกถาอยางเดยี ว (มมี หาอรรถกถาในสว นของคมั ภรี แ ตล ะ หมวดนนั้ ๆ ซง่ึ ถอื วา เปน มลู ฏั ฐกถา) พระ พุทธโฆสจึงใชมหาอรรถกถานั้น เปน แกน ขอ ความทยี่ ดื ยาวกลา วซาํ้ ๆ กจ็ บั เอาสาระมาเรียบเรียง แปลเปนภาษา มคธ โดยเกบ็ เอาวาทะ เรอ่ื งราว และขอ
อรรถกถา ๕๐๔ อรรถกถาวินิจฉัยของพระเถระสิงหฬโบราณ ถึง คาถา ปรมัตถทปี นี (พระธรรมปาละ) ๙.พ.ศ.๖๕๓ มารวมไวด ว ย เถรคี าถา ปรมตั ถทปี นี (พระธรรมปาละ) ๑๐.ชาดก ชาตกฏั ฐกถา (*) ๑๑.นทิ เทส พระพุทธโฆสาจารยเปนผูเร่ิมตนยุค สทั ธมั มปชโชตกิ า (พระอปุ เสนะ) ๑๒.อรรถกถาท่ีกลับมีเปนภาษาบาลีขึ้นใหม ปฏิสมั ภิทามัคค สัทธัมมปกาสนิ ี (พระแมวาพระพุทธโฆสจะมิไดจัดทําอรรถ- มหานาม) ๑๓.อปทาน วสิ ทุ ธชนวลิ าสนิ ีกถาขึ้นครบบริบูรณ แตในระยะเวลา (**) ๑๔.พทุ ธวงส มธรุ ัตถวลิ าสนิ ี (พระใกลเคียงกันน้ันและตอจากนั้นไมนาน พทุ ธทัตตะ) ๑๕.จรยิ าปฎก ปรมตั ถ-ก็ไดมีพระอรรถกถาจารยรูปอ่ืนๆ มา ทปี นี (พระธรรมปาละ) ค.พระอภิธรรม-ทํางานสวนท่ยี ังขาดอยจู นเสร็จสิ้น ปฎ ก ๑.ธัมมสงั คณี อัฏฐสาลนิ ี (พฆ.) ๒.วภิ ังค สมั โมหวิโนทนี (พฆ.) ๓.หา รายชอื่ อรรถกถา พรอมท้ังนามพระ คมั ภรี ท เี่ หลอื ปญ จปกรณฏั ฐกถา (พฆ.)เถระผูรจนา (พระอรรถกถาจารย)แสดงตามลําดับคัมภีรในพระไตรปฎก [พงึ ทราบ: @ ปรมตั ถทปี นี ทเ่ี ปนทอี่ รรถกถานน้ั ๆ อธบิ าย มีดงั นี้ (พฆ. อรรถกถา แหง วิมานวัตถุ และเปตวัตถุหมายถึง พระพุทธโฆสาจารย) มีอกี ชอื่ หน่งึ วา วมิ ลวลิ าสนิ ;ี (*) คอื ธมั มปทฏั ฐกถา และชาตกฏั ฐกถา นัน้ ก.พระวนิ ยั ปฎก (ท้ังหมด) สมนั ต- ท่ีจริงก็มีชื่อเฉพาะวา ปรมัตถโชติกาปาสาทกิ า (พฆ.) ข.พระสตุ ตันตปฎก และถือกันมาวาพระพุทธโฆสเปนผู๑.ทฆี นิกาย สุมังคลวลิ าสินี (พฆ.)๒.มชั ฌมิ นิกาย ปปญจสูทนี (พฆ.) เรยี บเรยี งคัมภรี ท ง้ั สองนี้ แตอ าจเปนได๓.สังยุตตนกิ าย สารัตถปกาสนิ ี (พฆ.)๔.อังคุตตรนิกาย มโนรถปรู ณี (พฆ.) วา ทานเปน หัวหนา คณะ โดยมีผอู ่ืนรวม๕.ขทุ ทกนกิ าย ๑.ขทุ ทกปาฐะ ปรมตั ถ- งานดว ย; (**) วสิ ทุ ธชนวลิ าสนิ ี นน้ัโชติกา (พฆ.) ๒.ธรรมบท ธัมมปทัฏฐ- นามผรู จนาไมแ จง แตค มั ภรี จ ฬู คนั ถวงสกถา (*) ๓.อทุ าน ปรมัตถทปี นี (พระธรรมปาละ) ๔.อิติวตุ ตกะ ปรมัตถทีปนี (แตงในพมา) วาเปนผลงานของพระ(พระธรรมปาละ) ๕.สตุ ตนบิ าต ปรมตั ถ-โชติกา (พฆ.) ๖.วิมานวตั ถุ ปรมตั ถ- พทุ ธโฆส; มอี รรถกถาอื่นที่พึงทราบอกีทีปนี@ (พระธรรมปาละ) ๗.เปตวัตถุ บา ง คอื กงั ขาวติ รณี (อรรถกถาแหงปรมตั ถทีปนี@ (พระธรรมปาละ) ๘.เถร- พระปาฏโิ มกข) ซ่งึ ก็เปน ผลงานของพระ พุทธโฆส, อรรถกถาแหงเนตติปกรณ เปน ผลงานของพระธรรมปาละ]
อรรถกถา ๕๐๕ อรรถกถา เน้ือตัวแทๆ ของอรรถกถา หรือ ของพระอรรถกถาจารยตอเรื่องท่ีกําลังความเปน อรรถกถา กต็ รงกับชอ่ื ทเี่ รยี ก พจิ ารณา และพรอ มนน้ั กอ็ าจจะกลา วถงึคือ อยูที่เปนคาํ บอกความหมาย หรอื มตทิ ข่ี ัดแยง หรือทสี่ นบั สนุน ของ “เกจ”ิเปนถอยคําช้ีแจงอธิบายอัตถะของศัพท (อาจารยบ างพวก) “อฺเ” (อาจารยหรือขอความในพระไตรปฎก เฉพาะ พวกอน่ื ) “อปเร” (อาจารยอ ีกพวกหนง่ึ )อยางยง่ิ คืออธิบายพุทธพจน เชน เรา เปนตน นอกจากนน้ั ในการอธบิ ายหลักอานพระไตรปฎก พบคาํ วา “วิริยสฺส หรือสาระบางอยาง บางทกี ย็ กเรื่องราวสณฺ าน”ํ กไ็ มเขาใจ สงสยั วา ทรวดทรง มาประกอบหรือเปนตัวอยาง ประเภทสัณฐานอะไรของความเพียร จึงไปเปด เร่อื งปนอทิ ธฤิ ทธ์ิปาฏิหารยิ บาง เร่อื งในดูอรรถกถา ก็พบไขความวา สัณฐานใน วิถีชีวิตและความเช่ือของชาวบานบางทนี่ หี้ มายความวา “ปนา อปปฺ วตตฺ นา…” ตลอดจนเหตุการณในยุคสมัยตางๆ ซ่งึก็เขาใจและแปลไดวาหมายถึงการหยุด มากทีเดียวเปนเรื่องความเปนไปของยง้ั การไมด ําเนนิ ความเพียรตอไป ถา บานเมืองในลังกาทวีป ซึ่งในอดีตผานพูดในข้ันพ้ืนฐาน ก็คลายกับพจนานุ- ยุคสมัยตางๆ ระหวางท่ีพระสงฆเลากรมท่ีเราอาศัยคนหาความหมายของ เรียนกัน คงมกี ารนําเอาเร่ืองราวในยคุศพั ท แตต างกนั ตรงท่ีวา อรรถกถามิใช สมัยนั้นๆ มาเลาสอนและบันทึกไวสืบเรียงตามลําดับอักษร แตเรียงไปตาม กันมา จึงเปนเรอื่ งตาํ นานบาง ประวัติ-ลําดับเนอื้ ความในพระไตรปฎ ก ยง่ิ กวา ศาสตรบา ง แหงกาลเวลาหลายศตวรรษน้นั อรรถกถาอาจจะแปลความหมายให อนั เห็นไดชดั วา พระอรรถกถาจารยดังทั้งประโยค หรอื ท้ังทอ นทั้งตอน และ เชนพระพุทธโฆสาจารย ไมอ าจรูไปถึงความท่ีทานชํ่าชองในพระไตรปฎก ก็ ได นอกจากยกเอาจากคมั ภีรทเ่ี รียกวาอาจจะอางอิงหรือโยงคําหรือความตอน โปราณฏั ฐกถาข้นึ มาถายทอดตอไปนั้น ไปเทียบหรอื ไปบรรจบกับขอความเรือ่ งราวท่ีอ่นื ในพระไตรปฎ กดวย นอก สําหรับผูที่เขาใจรูจักอรรถกถา ส่ิงเหนอื จากนี้ ในกรณีเปนขอ ปญหา หรอื สาํ คัญทเี่ ขาตอ งการจากอรรถกถา ก็คอืไมชัดเจน ก็อาจจะบอกขอยุติหรือคํา สวนท่ีเปนคําบอกความหมายไขความวินิจฉัยที่สังฆะไดตกลงไวและรักษากัน อธิบายเน้ือหาในพระไตรปฎก ซง่ึ กค็ อืมา บางทีก็มีการแสดงความเหน็ หรอื มติ ตอ งการตวั อรรถกถาแทๆ นัน่ เอง และ ก็ตรงกันกับหนาที่การงานของอรรถกถา
อรรถกถา ๕๐๖ อรรถกถาอันไดแกการรักษาสืบทอดคาํ บอกความ เกาภาษาสิงหฬ ที่ถูกเรียกแยกออกไปหมายทเ่ี ปนอัตถะในพระไตรปฎก สว น ใหเ ปนตา งหากวา “โปราณัฏฐกถา” ขอ ท่ีอน่ื นอกเหนือจากนี้ เชนเรอื่ งราวเลาขาน ควรทราบอันสําคัญก็คือ ในอรรถกถาตา งๆ เปนเพียงเครอื่ งเสริมประกอบ ที่ ภาษาบาลีที่เปนรุนใหมน้ี ทานอางอิงจริง มนั ไมใชอรรถกถา แตเปน สง่ิ ท่ีพวง โปราณฏั ฐกถาบอ ยๆ โดยบางทกี อ็ อกชอ่ืมาดวยในหนังสือหรือคัมภีรท่ีเรียกวา เฉพาะของอรรถกถาเกาน้ันชัดออกมาอรรถกถา แตบางทีก็กลาวเพียงวา “ในอรรถกถา กลาววา…” คําวา อรรถกถา ท่ีอรรถกถา เนื่องจากผูอานพระไตรปฎกบาลี ภาษาบาลกี ลา วถงึ นน้ั โดยทว่ั ไป หมายถงึตองพบศัพทท่ีตนไมรูเขาใจบอยคร้ัง อรรถกถาเกา หรอื โปราณฏั ฐกถา ทเ่ี ปนและจงึ ตอ งปรึกษาอรรถกถา คลายคน ภาษาสงิ หฬ (พระอรรถกถาจารยร นุ ใหมปรึกษาพจนานุกรม เมื่อแปลพระไตร- นี้ บางทานยงั ไมพบวา ไดเ รียกงานทีท่ านปฎกมาเปน ภาษาไทย เปนตน จึงมกั เองทาํ วา เปน อรรถกถา) พดู สน้ั ๆ วา คนแปลไปตามคําไขความหรืออธิบายของ ปจ จบุ นั พดู ถงึ อรรถกถา หมายถงึ อรรถ-อรรถกถา พระไตรปฎ กแปลภาษาไทย กถาภาษาบาลที เ่ี กดิ มใี นยคุ พ.ศ.๑๐๐๐เปนตนน้ัน จึงมีสวนท่ีเปนคําแปลผา น แตอรรถกถาภาษาบาลีน้ันเอยคําวาอรรถกถา หรือเปนคําแปลของอรรถ อรรถกถา โดยมกั หมายถงึ อรรถกถาเกากถาอยเู ปน อันมาก และผอู านพระไตร- ภาษาสงิ หฬปฎกแปลก็ไมรูตัววาตนกาํ ลังอานอรรถ-กถาพรอ มไปดว ย หรือวาตนกําลงั อา น ตอจากอรรถกถา ยังมีคัมภีรที่พระไตรปฎกตามคําแปลของอรรถกถา อธิบายรุนตอมาอีกหลายชั้นเปนอันมาก เชน “ฎีกา” แจงไขขยายความตอจาก มขี อพงึ ทราบอีกอยา งหนึ่งวา เวลาน้ี อรรถกถา “อนุฎีกา” แจงไขขยายความเม่ือพูดถึงอรรถกถา ทุกคนเขาใจวา ตอจากฎีกา แตใ นที่นี้จะไมก ลา วถึง เวนหมายถึงอรรถกถาภาษาบาลที ่ีพระพทุ ธ- แตจ ะขอบอกนามทา นผแู ตง “ฎกี า” ท่ีโฆสาจารย เปนตน ไดเรยี บเรียงขึน้ ใน สาํ คญั พอใหท ราบไวชว งระยะใกล พ.ศ.๑๐๐๐ แตด ังไดเลาใหท ราบแลววา พระอรรถกถาจารยรุน พระอาจารยธ รรมปาละ ซง่ึ เปนพระใหม พ.ศ.ใกลห น่งึ พนั นี้ ไดเ รียบเรยี ง อรรถกถาจารยสาํ คัญที่เรียบเรียงอรรถ-อรรถกถาภาษาบาลีขึ้นมาจากอรรถกถา กถาไวมาก รองจากพระพุทธโฆส ได
อรรถกถาจารย ๕๐๗ อรหัตตผลเรียบเรียงฎีกาสําคัญ ซึ่งอธิบายอรรถ- อรรถรส “รสแหง เนอื้ ความ”, “รสแหงกถาที่พระพุทธโฆสไดเรียบเรียงไวอีก ความหมาย” สาระทต่ี อ งการของเนอื้ ความ,ดวย คอื ลนี ตั ถปกาสินี (เปนฎีกาซึ่ง เนอื้ แทข องความหมาย, ความหมายแทท ี่อธบิ ายอรรถกถาแหง นกิ ายทงั้ ส่ี คอื ทฆี - ตอ งการ, ความมงุ หมายทแ่ี ทรกซมึ อยใู นนกิ าย มชั ฌมิ นกิ าย สงั ยตุ ตนกิ าย และ เนื้อความ คลายกับทม่ี ักพูดกันในบดั นี้อังคุตตรนิกาย และอธิบายอรรถกถา วา เจตนารมณ (พจนานกุ รมวา “ถอ ยคําแหง ชาดก) นอกจากนนั้ กย็ งั ไดเ รยี บเรยี ง ที่ทาํ ใหเกดิ ความซาบซึง้ ”)ปรมตั ถทปี นี (ฎกี าอธบิ ายอรรถกถาแหง อรรถศาสน คาํ สอนวา ดว ยเรอื่ งประโยชนพทุ ธวงส ทพ่ี ระพทุ ธทตั ตะเรยี บเรยี งไว) ๓ อยาง คือ ๑. ทิฏฐธัมมิกัตถะและปรมัตถมัญชุสา (ฎีกาแหงวิสุทธิ- ประโยชนใ นปจ จบุ นั ๒. สมั ปรายกิ ตั ถะมคั ค ทเ่ี รยี กกนั วา มหาฎกี า), ฎกี าจารย ประโยชนท จี่ ะไดใ นภายหนา ๓. ปรมตั ถะทา นหนง่ึ ชอื่ พระวาจสิ สระ รจนา ลนี ตั ถ- ประโยชนอยา งยิ่ง คอื พระนพิ พานทีปนี (ฎีกาอนั อธิบายตอ จากอรรถกถา อรหํ (พระผูมพี ระภาคเจาน้นั ) เปน พระแหง ปฏสิ มั ภทิ ามคั ค) ; นอกจากน้ี มฎี กี า อรหนั ต คอื เปนผูไ กลจากกเิ ลสและอกี ๒ เรอื่ ง ทค่ี วรกลา วไวด ว ย เพราะ บาปธรรม ทรงความบริสุทธิ์, หรอื เปน ผูกําหนดใหใชเลาเรียนในหลักสูตรพระ กําจัดขา ศึกคอื กิเลสสนิ้ แลว, หรอื เปนผูปรยิ ตั ธิ รรมแผนกบาลขี องคณะสงฆไ ทย หกั กาํ แหง สงั สารจกั ร อันไดแ ก อวชิ ชาคอื สารตั ถทปี นี (ฎกี าแหง วนิ ยฏั ฐกถา) ตัณหา อุปาทาน กรรม, หรอื เปน ผคู วร ผูแตง คือพระอาจารยช ือ่ สารบี ุตร (ไมใ ช แนะนาํ สง่ั สอน เปน ผคู วรรบั ความเคารพ พระสารบี ตุ รอคั รสาวก) และ อภธิ มั มตั ถ- ควรแกทักษิณา และการบูชาพิเศษ, วภิ าวนิ ี (ฎกี าแหง อภธิ มั มตั ถสงั คหะ) ผู หรือเปน ผไู มมีขอเรนลับ คือไมม ีขอ เสีย แตงคือพระสุมังคละ; ดู โปราณฏั ฐกถา หายอนั ควรปกปด (ขอ ๑ ในพทุ ธคุณ ๙)อรรถกถาจารย อาจารยผ แู ตง อรรถกถา อรหัต ความเปน พระอรหนั ต, ช่อื มรรคอรรถกถานัย เคาความในอรรถกถา, ผลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา ซง่ึ ตัด แนวคําอธิบายในอรรถกถา, แงแหง กเิ ลสในสันดานไดเ ด็ดขาด; เขยี นอยาง ความหมายทแ่ี สดงไวในอรรถกถา คาํ เดิมเปน อรหัตตอรรถคดี เร่ืองท่ีฟองรองกันในโรงศาล, อรหัตตผล ผลคือการสําเร็จเปนพระขอ ทกี่ ลาวหากนั อรหันต, ผลคอื ความเปนพระอรหันต,
อรหตั ตมรรค ๕๐๘ อรญั ,อรัญญผลท่ีไดรับจากการละสังโยชนทั้งหมด คอื กเิ ลสหมดสิน้ แลว ๓. เปน ผหู กั คืออันสืบเน่ืองมาจากอรหตั ตมรรค ทําให รื้อทําลายกาํ (อร+หต) แหงสงั สารจกั ร เสร็จแลว ๔. เปน ผคู วร (อรห) แกการเปน พระอรหันตอรหัตตมรรค ทางปฏิบัติเพ่ือบรรลุผล บูชาพิเศษของเทพและมนุษยทั้งหลายคือความเปนพระอรหันต, ญาณคือ ๕. ไมม ที ่ลี ับ (น+รห) ในการทําบาปความรูเปน เหตุละ สังโยชน ไดท ้ัง ๑๐ คือไมมีความช่ัวความเสียหายท่ีจะตองอรหัตตวิโมกข ความพนจากกิเลสดวย ปด บงั ; ความหมายท้งั ๕ น้ี ตามปกติอรหัต หรือเพราะสําเรจ็ อรหัต คือหลดุ ใชอธิบายคาํ วา อรหันต ที่เปนพุทธคุณพนขั้นละกิเลสไดสิ้นเชิงและเด็ดขาด ขอท่ี ๑; ดู อรหํ อรหนั ตขณี าสพ พระอรหนั ตผ สู น้ิ อาสวะสําเรจ็ เปนพระอรหันตอรหนั ต ผสู าํ เร็จธรรมวเิ ศษสูงสุดในพระ แลว ใชส าํ หรบั พระสาวก, สําหรับพระพุทธศาสนา, พระอริยบุคคลชั้นสูงสุด พทุ ธเจา ใชค าํ วา อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธ-ผูไ ดบ รรลอุ รหัตตผล, พระอรหันต ๒ เจา พระอรหนั ตผูตรสั รูช อบเองประเภท คอื พระสุกขวปิ ส สก กบั พระ อรหันตฆาต ฆา พระอรหันต (ขอ ๓ ในสมถยานกิ ; พระอรหันต ๔ คือ ๑. พระ อนนั ตรยิ กรรม ๕)สุกขวปิ ส สก ๒. พระเตวิชชะ (ผูไ ด อรหันตสัมมาสมั พทุ ธเจา พระอรหนั ตวิชชา ๓) ๓. พระฉฬภญิ ญะ (ผไู ด ผตู รัสรชู อบดว ยพระองคเอง หมายถงึอภญิ ญา ๖) ๔. พระปฏสิ มั ภิทปั ปตตะ พระพุทธเจา(ผูบรรลปุ ฏิสัมภิทา ๔); พระอรหนั ต ๕ อรัญ, อรญั ญ ปา, ตามกําหนดในพระคือ ๑. พระปญ ญาวิมุต ๒. พระอุภโต- วินัย (วินย.๑/๘๕/๘๕) วา “ที่เวนบาน (คาม)ภาควมิ ุต ๓. พระเตวชิ ชะ ๔. พระฉฬ- และอปุ จารบา น นอกนน้ั ชอ่ื วา ปา (อรญั )”ภิญญะ ๕. พระปฏสิ ัมภทิ ปั ปตตะ; ดู และตามนยั พระอภธิ รรม (อภ.ิ ว.ิ ๓๕/๖๑๖/อรยิ บคุ คล ๓๓๘; ซ่งึ ตรงกับพระสูตร, ขุ.ปฏิ.๓๑/๓๘๘/๒๖๔) พระอรรถกถาจารยแสดงความ วา “คาํ วา ปา (อรญั ) คอื ออกนอกหลกัหมายของ อรหนั ต ไว ๕ นัย คอื ๑. เขตไปแลว ทท่ี งั้ หมดนน้ั ชอ่ื วา ปา ”; สว นเปน ผไู กล (อารกะ) จากกเิ ลส (คือหาง เสนาสนะปา (รวมทง้ั วดั ปา ) มกี ําหนดในไกลไมอยูในกระแสกิเลสที่จะทําใหมัว พระวินัย (วินย.๒/๑๔๖/๑๖๖; ๗๙๖/๕๒๘) วาหมองไดเลย) ๒. กําจัดขา ศกึ (อริ+หต) “เสนาสนะทช่ี อื่ วา ปา มรี ะยะไกล ๕๐๐
อรญั ญกิ ธุดงค ๕๐๙ อรญั วาสี ชวั่ ธนู (=๕๐๐ วา คอื ๑ กม.) เปน อยา ง ธรรมวนิ ัยน้ี ไปอยใู นปาก็ดี โคนไมก ็ดี นอ ย”; เทยี บ วนะ เรอื นวา งกด็ …ี ; ที่ตรัสรองลงไปคือ “…อรญั ญิกธดุ งค องคคณุ เคร่อื งขจัดกเิ ลส วิวิตตฺ เสนาสน ภชติ อรฺ รกุ ฺขมลู ของผถู ืออยูใ นปาเปนวัตร ไดแกธดุ งค ปพฺพต กนฺทร คริ ิคุหํ สสุ าน วนปตฺถ ขอ อารัญญิกังคะ อพฺโภกาส ปลาลปุชฺ …” – [ภกิ ษนุ น้ั ]อรญั ญิกวตั ร ขอปฏบิ ัตสิ ําหรับภกิ ษผุ อู ยู …เขา หาเสนาสนะอนั สงดั คอื ปา โคนไม ปา, ธรรมเนยี มในการอยูปา ของภกิ ษ;ุ ดู ภูเขา ซอกเขา ถ้าํ ในเขา ปา ชา ดงเปลีย่ ว อารัญญกวัตร ท่ีแจง ลอมฟาง…) แนวทางปฏบิ ตั เิ ชนน้ีอรญั วาสี “ผอู ยปู า ”, พระปา หมายถึง ทา นถอื แนน แฟน สบื กนั มา แมว า สาระจะ พระภิกษุท่ีอยูวัดในปา, เปนคูกับ อยทู ม่ี เี สนาสนะอนั สงดั แตป า ซงึ่ ในอดีต คามวาสี หรือพระบาน ซึง่ หมายถึงพระ มพี รอ มและเปนทสี่ งดั อันแนนอน ก็เปน ภิกษุที่อยูวัดในบานในเมือง; ใน ทีพ่ ึงเลือกเดนอันดบั แรก จึงนบั วาเปน ตัวแทนที่เต็มความหมายของเสนาสนะ พทุ ธกาล ไมมกี ารแบงแยกวา พระบา น อันสงัด ดังปรากฏเปน คาถาทก่ี ลา วกนั วาพระธรรมสังคาหกาจารยไดรจนาไว -พระปา และคาํ วา คามวาส-ี อรัญวาสี ก็ อันเปนที่อางองิ ในคมั ภีรท้งั หลาย ตง้ั แต มลิ ินทปญหา จนถงึ วิสทุ ธิมัคค และใน ไมมีในพระไตรปฎก เพราะในสมัย อรรถกถาเปนอนั มาก มีความวา พุทธกาลนั้น พระสงฆมีพระพุทธเจา ยถาป ทีปโ ก นาม นิลยี ติ วฺ า คณหฺ ตี มเิ ค ตเถวาย พทุ ฺธปตุ โฺ ต ยุตฺตโยโค วิปสฺสโก เปนศูนยรวม และมีการจาริกอยูเสมอ อรฺ ปวิสิตฺวาน คณฺหาติ ผลมตุ ตฺ มํ ฯ โดยเฉพาะพระพุทธองคเองทรงนําสงฆ (พุทธบุตรน้ี ประกอบความเพียร เจริญวิปสสนา เขา ไปสปู า จะถอื เอาผล หมูใหญจาริกไปในถ่ินแดนท้ังหลายเปน อันอุดม [อรหัตตผล] ได เหมอื นดังเสอื ซมุ ตวั จับเนือ้ ) ประจํา ภิกษุท้ังหลายท่ียังไมจบกิจใน ตามคตนิ ้ี การไปเจรญิ ภาวนาในปา พระศาสนา นอกจากเสาะสดบั คําสอน เปนขอพึงปฏิบัติสําหรับภิกษุทุกรูป เสมอเหมอื นกนั ไมม กี ารแบง แยก ดงั นน้ั ของพระพุทธเจาแลว ก็ยอมระลึกอยู เสมอถึงพระดํารัสเตือนใหเสพเสนาสนะ อันสงัดเจริญภาวนา โดยทรงระบุปา เปนสถานที่แรกแหงเสนาสนะอันสงัด น้ัน (ท่ตี รัสท่ัวไปคอื “อธิ ภกิ ฺขเว ภกิ ขฺ ุ อรฺ คโต วา รุกฺขมูลคโต วา สฺุา- คารคโต วา…” – ภิกษุทัง้ หลาย ภิกษใุ น
อรญั วาสี ๕๑๐ อรญั วาสีจึงเปนธรรมดาที่วา ในคัมภีรมิลินท- ความเขาใจถูกตอง อีกทัง้ ตอ งเก็บรวบปญหา (ประมาณ พ.ศ.๕๐๐) ก็ยงั ไมมี รวมคําอธิบายของอาจารยรุนตอๆ มาคาํ วา คามวาสี และอรัญวาสี (พบคําวา ท่ีมีเพม่ิ ข้นึ ๆ จนเกดิ เปนงานหรอื หนาท่ี“อรฺ วาสา” แหง เดยี ว แตห มายถึง ท่ีเรียกวา “คนั ถธุระ” (ธรุ ะในการเลาดาบสชาย-หญงิ ) แมว า ตอ มาในอรรถกถา เรยี นพระคัมภีร) เปน ภาระซึง่ ทําใหรวม(กอ น จนถงึ ใกล พ.ศ.๑๐๐๐) จะมคี ําวา กันอยูท่ีแหลงการเลาเรียนศึกษาในชุมคามวาสี และอรัญวาสี เกิดข้นึ แลว แต ชนหรอื ในเมอื ง พรอมกันนน้ั ภิกษผุ ไู ปกใ็ ชเ ปน ถอ ยคาํ สามญั หมายถึงใครก็ได เจริญภาวนาในปา เมอ่ื องคพ ระศาสดาต้ังแตพระสงฆ ไปจนถึงสิงสาราสัตว ปรินิพพานแลว ก็อิงอาศัยอาจารยท่ี(มกั ใชแกชาวบา นทว่ั ไป) ทอี่ ยูบ า น อยู จําเพาะมากขึ้น มีความรูสึกท่ีจะตองใกลบาน หรืออยูในปา มิไดมีความ ผอนและเผ่ือเวลามากขึ้น อยูประจําที่หมายจาํ เพาะอยางท่ีเขาใจกันในบัดนี้ แนนอนมากข้ึน เพื่ออุทิศตัวแกกิจใน การเจริญภาวนา ซึ่งกลายเปน งานหรอื พระภิกษุที่ไปเจริญภาวนาในปานั้น หนาที่ท่ีเรยี กวา “วปิ ส สนาธรุ ะ” (ธุระในอาจจะไปอยชู ว่ั ระยะเวลาหนึง่ ยาวบาง การเจริญกรรมฐานอันมีวิปสสนาเปนส้นั บา ง และอาจจะไปๆ มาๆ แตบางรปู ยอด) โดยนยั นี้ แนวโนมทจี่ ะแบงเปนกอ็ าจจะอยูนานๆ ภิกษุทอ่ี ยูปา นัน้ ทา น พระบาน-พระปา ก็ชัดเจนข้นึ เรอื่ ยๆเรยี กวา “อารญั ญกะ” (อารญั ญกิ ะ กเ็ รยี ก)และการถอื อยปู า เปน ธดุ งคอ ยา งหน่ึง ซึง่ การแบง พระสงฆเปน ๒ ฝา ย คือภกิ ษจุ ะเลอื กถอื ไดต ามสมัครใจ กับทง้ั คามวาสี และอรัญวาสี เกดิ ขน้ึ ในลังกาจะถือในชวงเวลายาวหรือสั้น หรือแม ทวปี และปรากฏชดั เจนในรชั กาลพระเจาแตต ลอดชวี ติ ก็ได ปรกั กมพาหุ ท่ี ๑ มหาราช (พ.ศ. ๑๖๙๖ –๑๗๒๙) ตอมา เม่ือพอ ขุนรามคําแหง สันนิษฐานวา เมื่อเวลาลวงผานหาง มหาราชแหงอาณาจักรสุโขทัย ทรงรับพุทธกาลมานาน พระภิกษุอยูประจําที่ พระพุทธศาสนาและพระสงฆลังกาวงศมากข้ึน อีกท้งั มภี าระผูกมดั ตวั มากข้นึ อันสืบเน่ืองจากสมัยพระเจาปรักกม-ดวย โดยเฉพาะการเลาเรยี นและทรงจาํ พาหุน้ีเขามาในชวงใกล พ.ศ.๑๘๒๐พุ ท ธ พ จ น ใ น ยุ ค ที่ อ ง ค พ ร ะ ศ า ส ด า ระบบพระสงฆ ๒ แบบ คอื คามวาสีปรินิพพานแลว ซ่ึงจะตองรักษาไวแก และอรัญวาสี ก็มาจากศรีลังกาเขาสูคนรุนหลังใหค รบถว นและแมนยําโดยมี
อริ ๕๑๑ อริยบคุ คล ๗ประเทศไทยดวย; คูกับ คามวาสี, ดู อริยชาติ หรืออริยกชาติที่มีมาแตเดิมวปิ สสนาธรุ ะ ซงึ่ จํากัดดวยชาติคือกําเนิดอริ ขาศึก, ศัตร,ู คนที่ไมช อบกนั อริยทรัพย ทรัพยอันประเสริฐเปนของอริฏฐภิกษุ ช่ือภิกษุรูปหนึ่งในครั้ง ติดตวั อยูภ ายในจิตใจ ดกี วา ทรัพยภายพุทธกาล เปนบุคคลแรกท่ีถูกสงฆลง นอก เชนเงนิ ทอง เปน ตน เพราะโจร อกุ เขปนยี กรรมเพราะไมส ละทิฏฐบิ าป หรือใครๆ แยงชิงไมได และทาํ ใหเ ปนอริยะ เจริญ, ประเสรฐิ , ผไู กลจากขา ศึก คนประเสรฐิ อยา งแทจ รงิ มี ๗ คอื ๑. คอื กเิ ลส, บคุ คลผบู รรลธุ รรมวิเศษ มี ศรทั ธา ๒. ศีล ๓. หิริ ๔. โอตตัปปะ ๕. โสดาปตติมรรคเปน ตน ; ดู อรยิ บคุ คล พาหุสจั จะ ๖. จาคะ ๗. ปญ ญาอรยิ กะ คนเจริญ, คนประเสริฐ, คนได อริยบุคคล บุคคลผูเปนอริยะ, ทานผูรับการศึกษาอบรมดี; เปนช่ือเรียกชน บรรลุธรรมวิเศษมีโสดาปตติมรรคชาติหนึ่งที่อพยพจากทางเหนือเขาไปใน เปน ตน มี ๔ คอื ๑. พระโสดาบนั ๒.อินเดียตั้งแตกอนพุทธกาล ถือตัววา พระสกทาคามี (หรอื สกทิ าคาม)ี ๓. พระเปนพวกเจรญิ และเหยยี ดพวกเจาถิ่น อนาคามี ๔. พระอรหนั ต; แบง พสิ ดารเดมิ ลงวาเปน มลิ กั ขะ คือพวกคนปา คน เปน ๘ คอื พระผตู ง้ั อยใู นโสดาปต ต-ิดอย, พวกอรยิ กะอพยพเขา ไปในยโุ รป มรรค และพระผตู ง้ั อยใู นโสดาปต ตผิ ลคูดวย คือ พวกที่เรยี กวา อารยัน ๑, พระผตู งั้ อยใู นสกทาคามมิ รรค และอริยกชาติ หมูคนที่ไดรับการศึกษาอบ พระผตู งั้ อยใู นสกทาคามผิ ล คู ๑, พระผูรมด,ี พวกทีม่ คี วามเจริญ, พวกชนชาติ ตงั้ อยใู นอนาคามมิ รรค และพระผตู ง้ั อยู อรยิ กะ ในอนาคามผิ ล คู ๑, พระผตู งั้ อยใู นอรยิ ชาติ “เกิดเปน อริยะ” คือ บรรลุ อรหัตตมรรค และพระผูตั้งอยูในมรรคผล กลายเปน อริยบคุ คล เปรียบ อรหตั ตผล คู ๑เหมือนเกิดใหมอีกครั้งหนึ่ง ดวยการ อรยิ บุคคล ๗ บุคคลผเู ปน อรยิ ะ, บคุ คลเปล่ียนจากปุถุชนเปนพระอริยะ, อีก ผปู ระเสรฐิ , ทา นผบู รรลุธรรมวิเศษ มีอยางหน่งึ วา ชาตอิ รยิ ะ หรอื ชาวอริยะ โสดาปต ตมิ รรค เปน ตน นยั หนงึ่ จาํ แนกซ่ึงเปนผูเจริญในทางพระพุทธศาสนา เปน ๗ คอื สทั ธานสุ ารี ธมั มานุสารีหมายถึงผูก ําจดั กเิ ลสได ซึง่ ชนวรรณะ สัทธาวิมุต ทิฏฐิปปตตะ กายสักขีไหน เผา ไหน ก็อาจเปน ได ตา งจาก ปญ ญาวมิ ตุ และ อุภโตภาควมิ ุต (ดูคํา
อรยิ ปริเยสนา ๕๑๒ อรยิ อัฏฐงั คกิ มรรค น้นั ๆ) ศรัทธา ความเชื่อมีเหตผุ ล ความมน่ั ใจอรยิ ปรเิ ยสนา การแสวงหาทป่ี ระเสรฐิ คอื ในพระรัตนตรัย ในหลกั แหง ความจริงแสวงหาสิ่งที่ไมตกอยูในอาํ นาจแหงชาติ ความดีงาม และในการที่จะทํากรรมดีชรามรณะ หรอื กองทกุ ข โดยความได ๒. ศีล ความประพฤตดิ ี มวี นิ ยั เลย้ี งชพีแกแ สวงหาโมกขธรรมเพอื่ ความหลดุ พน สจุ รติ ๓. สตุ ะ ความรหู ลักธรรมคาํ สอนจากกิเลสและกองทุกข, ความหมาย และใฝใจเลาเรียนสดับฟงศึกษาหาอยางงาย ไดแก การแสวงหาในทาง ความรู ๔. จาคะ ความเผอื่ แผเ สยี สละ มี สมั มาชพี (ขอ ๒ ในปรเิ ยสนา ๒) นาํ้ ใจและใจกวาง พรอมที่จะรับฟง และอรยิ ผล ผลอนั ประเสริฐ มี ๔ ชัน้ คือ รวมมือ ไมคบั แคบเอาแตตัว ๕. ปญญาโสดาปต ตผิ ล สกทาคามผิ ล อนาคามผิ ล ความรอบรู รคู ิด รพู จิ ารณา เขา ใจเหตุและอรหัตตผล ผล มองเหน็ โลกและชีวติ ตามเปนจรงิอรยิ มรรค ทางอันประเสรฐิ , ทางดําเนิน อริยสจั ความจริงอยางประเสรฐิ , ความของพระอรยิ ะ, ญาณอนั ใหสาํ เร็จความ จรงิ ของพระอรยิ ะ, ความจริงท่ีทําคนใหเปน พระอรยิ ะ มี ๔ คอื โสดาปต ต-ิ เปน พระอรยิ ะ มี ๔ อยาง คือ ทุกขมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามมิ รรค (หรอื ทกุ ขสจั จะ) สมทุ ยั (หรอื สมทุ ยั -และอรหัตตมรรค; บางทีเรียกมรรคมี สจั จะ) นิโรธ (หรือ นโิ รธสจั จะ) มรรคองค ๘ วา อริยมรรค กม็ ี แตค วรเรยี ก (หรอื มคั คสจั จะ) เรียกเตม็ วา ทุกข-เตม็ วา อริยอัฏฐงั คิกมรรค [อรยิ สจั จ] ทกุ ขสมทุ ยั [อรยิ สจั จ] ทกุ ข-อริยวงศ ปฏปิ ทาที่พระอรยิ บุคคลผูเ ปน นโิ รธ[อรยิ สจั จ] และ ทกุ ขนโิ รธคามินี-สมณะ ปฏิบัติสืบกันมาไมขาดสาย, ปฏิปทา[อริยสัจจ]อรยิ ประเพณี มี ๔ คอื ๑. สนั โดษดว ย อริยสัจจ ดู อรยิ สัจจีวร ๒. สันโดษดวยบณิ ฑบาต ๓. อริยสาวก 1. สาวกผูเปนพระอริยะ,สันโดษดว ยเสนาสนะ ๔. ยินดใี นการ สาวกผูบรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปตติ-บาํ เพญ็ กศุ ล ละอกุศล มรรค เปนตน 2. สาวกของพระอริยะอรยิ วัฑฒิ, อารยวฒั ิ ความเจรญิ อยา ง (คอื ของพระพทุ ธเจา ผูเปน อรยิ ะ)ประเสรฐิ , หลกั ความเจรญิ ของอารยชน, อริยสาวิกา สาวิกาที่เปนพระอริยะ,ความเจริญงอกงามที่ไดสาระสมเปน อริยสาวกหญิงอริยสาวกอรยิ สาวิกา มี ๕ คอื ๑. อริยอัฏฐังคิกมรรค มรรคมีองค ๘
อรณุ ๕๑๓ อวตั ถุรปูประการอันประเสรฐิ ; ดู มรรค อลังการ เคร่อื งประดบั ประดาอรุณ เวลาใกลอาทติ ยจ ะขน้ึ มีสองระยะ อลชฺชิตา อาการที่ตองอาบัติดวยไมคอื มแี สงขาวเรือ่ ๆ (แสงเงิน) และแสง ละอายแดง (แสงทอง), เวลายํา่ รงุ อลัชชี ผูไมม ีความละอาย, ผูหนาดา น,อรปู ฌานมอี รปู ธรรมเปนอารมณ ไดแ ก ภิกษุผูมักประพฤติละเมิดพุทธบัญญัติอรูปฌาน, ภพของสัตวผูเขาถึงอรูป โดยจงใจละเมดิ หรือทําผิดแลว ไมแกไขฌาน, ภพของอรปู พรหม มี ๔ คอื ๑. อเลอ แปลง, ทีอ่ เลออนื่ คือทแ่ี ปลงอืน่อากาสานญั จายตนะ (กาํ หนดท่วี างหาที่ อโลภะ ความไมโ ลภ, ไมโลภอยากไดสุดมิไดเปนอารมณ) ๒. วิญญาณัญ- ของเขา, ธรรมที่เปนปฏิปกษกับความจายตนะ (กาํ หนดวิญญาณหาที่สุดมิได โลภ คือ ความคิดเผ่ือแผเสียสละ,เปนอารมณ) ๓. อากิญจัญญายตนะ จาคะ (ขอ ๑ ในกศุ ลมูล ๓)(กาํ หนดภาวะทไ่ี มม อี ะไรๆ เปน อารมณ) อวตาร การลงมาเกดิ , การแบง ภาคมาเกดิ ,๔. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ (ภาวะมี เปนความหมายในศาสนาพราหมณหรือสัญญากไ็ มใช ไมมสี ัญญาก็ไมใช) ฮนิ ดู เชน พระนารายณอวตาร คือแบงอรูปฌาน ฌานมีอรูปธรรมเปนอารมณ ภาคลงมาจากสวรรคมาเกิดเปนมนุษยมี ๔; ดู อรูป เปนตนอรูปพรหม พรหมผูเขาถึงอรูปฌาน, อวมานะ การดถู ูกเหยียดหยาม, การลบพรหมไมมรี ปู , พรหมในอรปู ภพ มี ๔; หล;ู ตรงขา มกับ สัมมานะ, ดู มานะดู อรูป อวสาน ท่ีสดุ , ที่จบอรูปภพ โลกเปนทอี่ ยขู องพรหมไมม ีรูป; อวสานกาล เวลาสดุ ทาย, ครง้ั สดุ ทา ยดู อรปู อวหาร การลัก, อาการท่ีถือวาเปนลักอรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม, ทรพั ย ในอรรถกถาแสดงไว ๒๕ อยา งความติดใจในอารมณแหงอรูปฌาน, พงึ ทราบในท่ีน้ี ๑๓ อยา ง คือ ๑. ลกัความปรารถนาในอรปู ภพ (ขอ ๗ ใน ๒. ชิงหรอื ว่ิงราว ๓. ลกั ตอน ๔. แยงสงั โยชน ๑๐) ๕. ลกั สบั ๖. ตู ๗. ฉอ ๘. ยักยอก ๙.อรูปาวจร ซ่ึงทองเที่ยวไปในอรูปภพ, ตระบัด ๑๐. ปลน ๑๑. หลอกลวง ๑๒.อยูในระดับจิตชั้นอรูปฌาน, ยังเกี่ยว กดขห่ี รอื กรรโชก ๑๓. ลกั ซอนขอ งอยกู ับอรูปธรรม; ดู ภพ, ภูมิ อวัตถรุ ูป ดทู ี่ รูป ๒๘
อวันตี ๕๑๔ อวินพิ โภครูปอวนั ตี ชอื่ แควน หนงึ่ ในบรรดา ๑๖ แควน ถงึ ความดบั ทกุ ข) อวชิ ชา ๘ คอื อวิชชาใหญแหง ชมพทู วีป ตง้ั อยทู างตะวันตก ๔ นน้ั และเพม่ิ ๕. ไมรอู ดีต ๖. ไมรูเฉยี งใตข องแควน วงั สะ มนี ครหลวงชอื่ อนาคต ๗. ไมรทู ง้ั อดตี ทั้งอนาคต ๘.อชุ เชนี ราชาผคู รองอวนั ตใี นพทุ ธกาล มี ไมรูปฏิจจสมุปบาท (ขอ ๑๐ ในพระนามวา พระเจา จณั ฑปช โชต; เดมิ นั้น สงั โยชน ๑๐ ตามนยั พระอภธิ รรม, ขอแควน อวนั ตมี เี มอื งหลวงเกา ชอื่ มาหษิ มตี ๗ ในอนุสยั ๗)(นา จะไดแ กเ มอื ง Godarpura ในบดั นี้) อวิชชาสวะ อาสวะคอื อวชิ ชา, กิเลสที่ซึ่งต้ังอยูท่ีฝงแมน้ํานัมมทา ตอมาจึง หมักหมมหรือดองอยูในสันดาน ทําใหยายข้ึนเหนือมาต้ังท่ีอุชเชนี, ในคัมภีร ไมร ตู ามความเปน จรงิ (ขอ ๓ ในอาสวะบาลีบางท่ี มีคาํ เรยี กอวนั ตวี า “อวนั ต-ี ๓, ขอ ๔ ในอาสวะ ๔)ทักขิณาบถ” ถาถือแมนา้ํ คงคาเปนเสน อวญิ ญาณกะ พัสดุท่ไี มมวี ิญญาณ เชนแบง ท้ังแควนอวนั ตกี อ็ ยใู นทกั ขณิ าบถ เงนิ ทอง ผานุงหม และเครอ่ื งใชส อยแตถาถือแมนํ้านัมมทาเปนเสนแบง เปน ตน; เทียบ สวญิ ญาณกะอวันตีก็มีทั้งสวนที่เปนอุตราบถ และ อวิทยา ความไมร,ู อวิชชาสวนทเี่ ปน ทักขิณาบถ คือ แถบท่ีต้งั ของ อวทิ ูเรนทิ าน “เรื่องไมไกลนัก” หมายถึงมาหิษมตีเมืองหลวงเกาลงไป เปน เรื่องราวความเปนไปเก่ียวกับพระพุทธทักขิณาบถ เจา ต้ังแตจ ุตจิ ากสวรรคช ้นั ดสุ ติ จนถงึอวนั ทนียกรรม สังฆกรรมทภี่ กิ ษุณสี งฆ ตรสั รู; ดู พุทธประวตั ิมีมติประกาศใหถือภิกษุผูแสดงอาการ อวนิ พิ โภครูป “รปู ท่ีแยกออกจากกนั ไมอันไมนาเล่ือมใส วาเปนผูที่ภิกษุณีทั้ง ได” , รปู ทม่ี อี ยดู ว ยกนั เปน ประจาํ เสมอไปหลายไมพึงไหว; ดูท่ี ปกาสนียกรรม, อยางขาดมิไดเลยในสิ่งท่ีเปนรูปทุกอสมั มุขากรณีย อยาง กลาวคือในสิ่งที่เปนรูปทุกอยางอวัสดา ฐานะ, ความเปน อย,ู ความ แมแตปรมาณูท่ีเล็กท่ีสุดก็จะตองมี กําหนด, เวลา, สมยั รูปธรรมชุดนี้อยูเปนอยางนอย, คุณ-อวชิ ชา ความไมรูจริง, ความหลงอนั เปน เหตุไมร จู ริง มี ๔ คือความไมรอู ริยสัจจ สมบัติพื้นฐานท่ีมีอยูเปนประจําในวัตถุ, มี ๘ อยาง คือ ปฐวี (ภาวะแผขยาย ๔ แตล ะอยาง (ไมร ูทกุ ข ไมรเู หตเุ กดิ หรือรองรบั ) อาโป (ภาวะเอิบอาบเกาะ กุม) เตโช (ภาวะรอน) วาโย (ภาวะ แหง ทุกข ไมร ูความดับทกุ ข ไมร ทู างให
อวิหงิ สาวิตก ๕๑๕ อโศกมหาราช เคลอ่ื นไหวเครง ตงึ ) วณั ณะ (ส)ี คนั ธะ สงคราม หนั มาถอื หลัก “ธรรมวชิ ยั ” คือ (กลิน่ ) รสะ (รส) โอชา (อาหารรปู ); ใน ชนะใจดวยธรรม มงุ ทาํ นุบํารงุ พระพทุ ธ ๘ อยา งน้ี สอ่ี ยา งแรกเปน มหาภตู รปู หรอื ศาสนา สรางสรรคประโยชนสุขของ ธาตุ ๔, สอี่ ยางหลังเปน อปุ าทายรปู ; รปู ประชาชน และความเจริญรุงเรืองของ ทเ่ี หลอื จากนี้ ๒๐ อยาง เปน วินิพโภค- ประเทศในทางสนั ติ โปรดใหเขยี นสลัก รูป (รูปทแ่ี ยกจากกันได) ; ดู รปู ๒๘ ศิลาจารึก (เรยี กวา “ธรรมลิป” คือ ลายอวิหิงสาวิตก ความตริตรึกในทางไม สือธรรม หรือธรรมโองการ) ไวในท่ี เบียดเบียน, ความตรึกดวยอํานาจ ตา งๆ ท่ัวมหาอาณาจักร เพื่อสื่อพระราช กรุณา ไมค ดิ ทําความลําบากเดอื ดรอน กรณียกจิ พระบรมราโชบาย และสอน แกผูอื่น คิดแตจะชวยเหลือเขาใหพน ธรรมแกข า ราชการและประชาชน ทรง จากทุกข (ขอ ๓ ในกศุ ลวิตก ๓) สรางมหาวิหาร ๘๔,๐๐๐ แหง เปนศูนยอศภุ ดู อสภุ กลางการศึกษา ทรงอุปถัมภการอโศกมหาราช มหาราชแหงชมพูทวีป สังคายนาครัง้ ที่ ๓ และการสง ศาสนทตู ซึ่งเปนราชาผูย่ิงใหญที่สุดพระองคหนึ่ง ออกไปเผยแพรพระพุทธศาสนาใน ในประวัติศาสตรโลก และเปนพุทธ นานาประเทศ เชน พระมหนิ ทเถระไป ศาสนูปถัมภกที่สําคัญยิ่ง เปนกษตั รยิ ยงั ลังกาทวีป และพระโสณะพระอุตตระ พระองคท ่ี ๓ แหง ราชวงศโ มรยิ ะ ครอง มายังสุวรรณภูมิ เปน ตน, กอ นทรงหนั ราชสมบตั ิ ณ พระนครปาฏลบี ุตร ใน มานับถือพระพุทธศาสนา ทรงปรากฏ พ.ศ.๒๑๘-๒๖๐ เม่อื ครองราชยไ ด ๘ พระนามวา จัณฑาโศก คอื อโศกผโู หด พรรษา ทรงยกทพั ไปปราบแควน กลงิ คะ ราย คร้ันหันมาทรงนับถือพระพุทธ (ปจจบุ นั คอื ดนิ แดนแถบแควน Orissa) ศาสนาและดําเนินนโยบายธรรมวิชัย ที่เปนชนชาตเิ ขม แข็งลงได ทําใหอ าณา- แลว ไดรับขนานพระนามใหมวา จักรของพระองคกวางใหญท่ีสุดใน ธรรมาโศก คือ อโศกผทู รงธรรม ชาว ประวัติชาติอินเดีย แตในการสงคราม พุทธไทยแตเดิมมามักเรียกพระองควา น้นั มีผคู นลม ตายและประสบภัยพบิ ตั ิ พระเจา ศรธี รรมาโศกราช; เมือ่ อนิ เดีย มากมาย ทําใหพระองคสลดพระทัย เปนเอกราชพนจากการปกครองของ พอดีไดทรงสดับคําสอนในพระพุทธ องั กฤษใน พ.ศ.๒๔๙๐ แลว ก็ไดนาํ เอา ศาสนา ทรงเลื่อมใส ไดทรงเลิกการ รูปพระธรรมจักร ซึ่งทูนอยูบนหัวสิงห
อโศการาม ๕๑๖ อสังหารมิ ะยอดเสาศิลาจารึกของพระเจาอโศก จดั แขง ได ซง่ึ ไดช อ่ื วา เปน อสทสิ ทาน สน้ิมหาราช ท่ีสารนาถ (ปาอิสิปตนมฤค- พระราชทรพั ยไ ปในวนั เดยี วถงึ ๑๔ โกฏ,ิทายวนั ทท่ี รงแสดงปฐมเทศนา) มาเปน ในพุทธกาลหน่ึงๆ คือในสมัยของพระตราสญั ลกั ษณท กี่ ลางผนื ธงชาติ และใช พทุ ธเจา พระองคห นง่ึ ๆ มอี สทสิ ทานครง้ัรปู สงิ หท ง้ั สที่ ท่ี นู พระธรรมจกั รนนั้ เปน เดยี ว (เรอื่ งมาใน ธ.อ.๖/๕๑)ตราแผน ดนิ สบื มา อสมานาสนิกะ ภกิ ษุผูมพี รรษาออนแกอโศการาม ชอ่ื วดั สําคัญท่พี ระเจา อโศก กวากนั เกนิ ๓ พรรษา น่ังอาสนะคือมหาราชทรงสรางในกรุงปาฏลีบุตรเปน เตียงตง่ั สาํ หรับ ๒ รปู เสมอกนั ไมไดทที่ าํ สังคายนาครง้ั ท่ี ๓ (แตน งั่ อาสนะยาวดว ยกนั ได) ; เทยี บ สมา-อสงไขยกปั ดู กปั นาสนกิ ะอสทสิ ทาน “ทานอนั ไมม อี นื่ แมน เหมอื น”, อสังขตะ ธรรมที่ปจจัยมิไดปรุงแตง,เปนคําในช้ันอรรถกถา หมายถึงการ ธรรมท่ีไมเกิดจากเหตุปจจัย ไดแกบาํ เพ็ญทานถวายแดพระพุทธเจาพรอม พระนิพพาน; ตรงขา มกบั สงั ขตะดว ยภกิ ษสุ งฆ ครงั้ ใหญท ส่ี ดุ ซงึ่ ไมม ใี คร อสังขตธรรม ธรรมอันมิไดถกู ปรงุ แตงสามารถทาํ เทยี มเทา ไดอ กี ไดแ ก ทานที่ ไดแ ก นิพพาน (ขอ ๒ ในธรรม ๒); ตรงพระเจา ปเสนทโิ กศลจดั ถวาย ตามเรอื่ ง ขามกับ สงั ขตธรรมวา ครงั้ หนงึ่ พระเจา ปเสนทโิ กศลถวาย อสังขารปรนิ พิ พายี พระอนาคามี ผจู ะทานแดพ ระพทุ ธเจาพรอ มดว ยภกิ ษสุ งฆ ปรินิพพานดวยไมตองใชความเพียรและใหชาวเมืองสาวัตถีมาชมดวย ชาว มากนกั (ขอ ๓ ในอนาคามี ๕)เมืองเห็นแลว ก็ไปจัดถวายทานใหดี อสังขารกิ “ไมเ ปนไปกับดวยการชักนํา”เหนอื กวา พระองคจ งึ จดั ถวายครงั้ ใหม ไมมีการชักนํา ใชแกจิตท่ีคิดดีหรือช่ัวอกี ใหเ หนอื กวา ชาวเมอื ง แตช าวเมอื งก็ โดยเริม่ ขึ้นเอง มใิ ชถ ูกกระตุนหรอื ชกั จงูแขงกับพระองคโดยจัดใหเหนือกวาอีก จากภายนอก จงึ มกี ําลังมาก ตรงขา มกบัเปน เชน นถ้ี งึ ๖ ครงั้ เปน เหตใุ หท รงทกุ ข สสงั ขาริกพระทัยเกรงวาจะทรงพายแพแกราษฎร อสงั สัคคกถา ถอยคําทชี่ ักนาํ ไมใหคลกุแตในทส่ี ดุ ทรงไดรบั คาํ ทูลแนะนาํ ของ คลีดว ยหมู (ขอ ๔ ในกถาวตั ถุ ๑๐)พระมเหสี คอื พระนางมลั ลกิ า จงึ ทรง อสงั หาริมะ ซงึ่ นาํ เอาไปไมไ ด, เคล่อื นที่สามารถถวายทานที่ชาวเมืองไมสามารถ ไมไ ด, ของติดท่ี ขนเอาไปไมไ ด เชน ที่
อสงั หารมิ ทรัพย ๕๑๗ อสติ ดาบสดนิ โบสถ วหิ าร เจดยี ตน ไม เรอื น ก็เปนเร่ืองเฉพาะตัวของเธอ ไมผ กู พันเปน ตน ; เทียบ สังหาริมะ ตอสงฆ) ๘.อวันทนียกรรม (การที่อสังหาริมทรพั ย ทรัพยเ คล่อื นทไ่ี มไ ด ภิกษุณีสงฆประกาศภิกษุผูแสดงอาการ ไดแ ก ท่ดี นิ และทรพั ยซึง่ ตดิ อยูกับทเ่ี ชน อันไมนาเล่ือมใส ใหเปนผูที่ภิกษุณีทั้ง ตึก โรงรถ เปนตน; คกู บั สงั หารมิ ทรัพย หลายไมพ ึงไหว); ดทู ี่ ปกาสนียกรรมอสญั ญีสัตว สตั วจาํ พวกไมมสี ัญญา ไม อสาธารณสิกขาบท สกิ ขาบททไ่ี มท่ัวไป เสวยเวทนา (ขอ ๕ ในสตั ตาวาส ๙) หมายถึงสิกขาบทเฉพาะของภิกษุณี ท่ีอสทั ธรรม ธรรมของอสัตบุรษุ มีหลาย แผกออกไปจากสกิ ขาบทของภกิ ษุ; เทียบ หมวด เชน อสทั ธรรม ๗ คอื ท่ีตรงขา ม สาธารณสิกขาบท กับ สัทธรรม ๗ มีปราศจากศรัทธา อสิตดาบส ดาบสผคู ุนเคย และเปน ที่ปราศจากหิริ เปน ตน; ในคาํ วา “ทอด นบั ถอื ของศากยราชสกุล มีเรือ่ งปรากฏกายเพ่ือเสพอสัทธรรมก็ดี” หมายถึง ในนาลกสตู ร (ข.ุ สุ.๒๕/๓๘๘/๔๖๗) วา ในเมถนุ ธรรม คือการรว มประเวณี วนั ทพี่ ระโพธิสัตวประสตู ิ ทานไดท ราบอสัมปตตโคจรัคคาหิกรปู ดทู ่ี รปู ๒๘ ขาวประสูติแหงพระราชโอรสของพระอสมั มุขากรณีย สังฆกรรมซ่ึงไมตอ งทํา เจาสุทโธทนะ จงึ เขาไปเยีย่ ม พระราชาในทตี่ อ หนา (หรอื พรอ มหนา ) บคุ คลทถี่ กู ทรงนําพระราชโอรสออกมาเพื่อจะใหสงฆท าํ กรรม มี ๘ อยา ง คอื ๑.ทเู ตน-ุ วันทาพระดาบส แตพระบาททง้ั สองของปสัมปทา (การอุปสมบทภิกษุณีโดยใช พระราชโอรสกลับเบ่ียงขึ้นไปประดิษ-ทตู ) ๒.ปต ตนกิ กุชชนา (การคว่ําบาตร) ฐานบนเศียรของพระดาบส เมื่อพระ๓.ปตตอกุ กุชชนา (การหงายบาตร) ๔. ดาบสพจิ ารณาพระลกั ษณะของพระราช-อุมมัตตกสมมติ (การสวดประกาศให โอรสแลว มน่ั ใจวาพระราชโอรสนัน้ จกัถอื ภกิ ษเุ ปนผวู กิ ลจรติ ) ๕.เสกขสมมติ ตรสั รูเ ปนพระพทุ ธเจาแนนอน นอกจาก(การสวดประกาศตงั้ สกุลเปน เสขะ) ๖. ทําอัญชลีนบไหวแลว ก็ไดแยมยิ้มพรหมทัณฑ (การลงโทษภิกษุหัวดื้อวา แสดงความแชมช่ืนใจออกมา แตเมื่อยาก โดยวธิ พี รอ มกนั ไมวากลาว) ๗. มองเห็นวาตนจะไมมีชีวิตอยูจนถึงเวลาปกาสนียกรรม (การประกาศใหเปนท่ีรู แหงการตรสั รู กเ็ สียใจรองไห กระนัน้ ก็ท่ัวกัน ถึงสภาวะของภิกษุซ่ึงไมเปนที่ ตาม พระดาบสไดไปบอกหลานชายของยอมรับของสงฆ ใหถ ือวา การใดทีเ่ ธอทาํ ทา น ช่อื วา นาลกะ ใหอ อกบวชรอเวลา
อสตี ยานุพยัญชนะ ๕๑๘ อสภุ ,อสภุ ะที่พระโพธิสัตวจะไดตรัสรู (ขอความที่ มหาปน ถก, มหาโมคคลั ลานะ, เมฆยิ ะ,วา พระบาททั้งสองของพระราชโอรส เมตตค,ู โมฆราช,ยสะ, ยโสชะ, รฏั ฐปาละ,เบ่ียงข้ึนไปประดิษฐานบนเศียรหรือบน ราธะ, ราหลุ , เรวตะ ขทริ วนยิ ะ, ลกณุ ฏก-ชฎาของพระดาบสนั้น เปน คําเลาขยาย ภทั ทิยะ, วักกล,ิ วังคสี ะ, วปั ปะ, วิมละ,ความของอรรถกถา, เชน สตุ ฺต.อ.๒/๖๘๒/ สภิยะ, สาคตะ, สารีบุตร, สวี ลี, สพุ าห,ุ๓๑๘; ชา.อ.๑/๘๖); อสติ ดาบสนี้ มชี ือ่ เรยี ก สภุ ตู ,ิ เสละ, โสณกฏุ กิ ณั ณะ,โสณโกฬวิ สิ ะ,อีกอยางหน่ึงวา กาฬเทวิล หรือ กาฬ- โสภิตะ, เหมกะ, องคลุ มิ าล, อชิตะ,เทวลั ดาบส (เรียกวา กัณหเทวิลฤาษี ก็ อนุรุทธะ, อัญญาโกณฑญั ญะ, อสั สช,ิมี); ดู มหาบรุ ษุ ลกั ษณะ, นาลกะ 1.; เทียบ อานนท, อทุ ยะ, อทุ าย,ี อบุ าล,ี อปุ วาณะ,พราหมณท ํานายพระมหาบุรษุ อุปสวี ะ, อุปเสนวังคันตบุตร, อุรุเวล-อสตี ยานุพยัญชนะ อนุพยญั ชนะ ๘๐; กัสสปะดู อนพุ ยญั ชนะ อสภุ , อสภุ ะ สภาพทไี่ มง าม, พจิ ารณารา งอสตี มิ หาสาวก พระสาวกผใู หญ ๘๐ องค กายของตนและผอู นื่ ใหเ หน็ สภาพทไี่ มง าม;บางทเี รียกอนุพุทธ ๘๐ องค มรี ายนาม ในความหมายเฉพาะ หมายถงึ ซากศพในตามลําดบั อักษร ดังนี้ (ทพี่ ิมพต ัวเอนคอื ทา นทเ่ี ปน เอตทคั คะดว ย): กงั ขาเรวตะ, สภาพตา งๆ ซงึ่ ใชเ ปน อารมณก รรมฐานกปั ปะ, กาฬทุ าย,ี กมิ พลิ ะ, กมุ ารกสั สปะ, รวม ๑๐ อยา ง คอื ๑. อทุ ธมุ าตกะ ซากกณุ ฑธาน, คยากสั สปะ, ควมั ปต,ิ จนุ ทะ, ศพที่เนาพอง ๒. วินลี กะ ซากศพทม่ี สี ีจูฬปนถก, ชตุกณั ณิ, ตสิ สเมตเตยยะ, เขียวคลา้ํ ๓. วปิ ุพพกะ ซากศพท่มี นี า้ํโตเทยยะ, ทพั พมลั ลบตุ ร, โธตกะ, นท-ี เหลอื งไหลออกอยู ๔. วจิ ฉทิ ทกะ ซากศพกสั สปะ, นนั ทะ, นันทกะ, นันทกะ, ท่ขี าดกลางตัว ๕. วิกขายติ กะ ซากศพที่นาคิตะ, นาลกะ, ปง คยิ ะ, ปณ โฑล- สตั วก ดั กนิ แลว ๖. วกิ ขติ ตกะ ซากศพท่ีภารทวาช, ปล นิ ทวจั ฉะ, ปณุ ณกะ, ปณุ ณช,ิ มมี อื เทา ศรี ษะขาด ๗. หตวกิ ขติ ตกะปุณณมันตานีบุตร, ปุณณสุนาปรันตะ,โปสาละ, พากลุ ะ (พกั กลุ ะ กเ็ รยี ก), พาหยิ - ซากศพที่คนมีเวรเปนขาศึกกัน สบั ฟนทารจุ รี ยิ ะ, ภค,ุ ภทั ทยิ ะ (ศากยะ), ภทั ทยิ ะ, เปน ทอ นๆ ๘. โลหติ กะ ซากศพท่ีถูกภทั ราวธุ , มหากจั จายนะ, มหากปั ปน ะ,มหากัสสปะ, มหาโกฏฐติ ะ, มหานามะ, ประหารดวยศัสตรามีโลหิตไหลอาบอยู ๙. ปฬุ วุ กะ ซากศพทมี่ ีตวั หนอนคลาน คล่ําไปอยู ๑๐. อฏั ฐกิ ะ ซากศพท่ยี ัง เหลอื อยแู ตรางกระดูก
อสุภสัญญา ๕๑๙ อโหสกิ รรมอสุภสัญญา กําหนดหมายถึงความไม คอื พระอรหันต; คูกับ เสขะ งามแหงรางกาย (ขอ ๓ ในสัญญา ๑๐) อเสขบุคคล บุคคลผูไมตองศึกษา; ดูอสุรกาย “พวกอสูร” ภพแหงสัตวเ กิดใน อเสขะ อบายพวกหนงึ่ เปน พวกสะดงุ หวาด อหงั การ การทาํ (ความยึดถอื วา) “ตวั ขา”, หวั่นไรค วามรื่นเรงิ (ขอ ๔ ในอบาย ๔); การยดึ ถือวาตัวก;ู มักมาคกู บั มมงั การ ดู คติ คือ การทํา (ความยึดถือวา) “ของขา”,อสรู สัตวกึ่งเทพหรอื เทพชนั้ ตาํ่ พวกหนงึ่ การยึดถือวา ของกู, และมักพดู ควบกันตาํ นานกลาววา เดมิ เปน เทวดาเกา (บพุ - เปน “อหังการ-มมงั การ” แปลกนั งายๆเทวา) เปนเจาถ่ินครอบครองดาวดงึ ส- วา การถือวา ตัวเรา ของเรา; มมงั การเทวโลก ตอมาถูกเทวดาพวกใหม มที า ว เปนตณั หา สว น อหงั การ บางแหงวาสกั กะเปนหัวหนา แยง ถิ่นไป โดยถกู เทพ เปน ทิฏฐิ บางแหง วาเปนมานะ บางแหงพวกใหมน้ันจับเหว่ียงลงมาในระหวาง วาเปนมานะและทิฏฐิ (ในคําวาพิธีเล้ียงเมื่อพวกตนดื่มสุราจนเมามาย “อหงั การมมงั การมานานุสยั ” อรรถกถาไดช่ือใหมวาอสูร เพราะเม่ือฟนคืนสติ หนึ่งอธิบายวา อหังการ เปนทิฏฐิขน้ึ ระหวา งทางที่ตกจากดาวดงึ สน ้ัน ได มมงั การ เปนตัณหา มานานสุ ยั เปนกลาวกันวา “พวกเราไมดื่มสุราแลว” มานะ – ม.อ.๓/๑๔๖); ในภาษาไทย(อสูร จงึ แปลวา “ผูไมดมื่ สรุ า”) พวก อหงั การ มักใชในความหมายทีเ่ พยี้ นไปอสูรไดครองพิภพใหมที่เชิงเขาสิเนรุ กลายเปนความเยอหยิง่ ความทะนงตวัหรือเขาพระทุเมรุ และมสี ภาพความเปน จองหอง กาวราวอวดดีอยู มีอายุ วรรณะ ยศ และอิสรยิ - อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นวา ไมมีเหตุ คอืสมบัติ คลายกันกับเทวดาช้ันดาวดึงส ความเห็นผิดวา คนเราจะไดดีหรือช่ัวพวกอสูรเปนศัตรูโดยตรงกับเทวดา ตามคราวเคราะห ถึงคราวจะดี ก็ดีเองและมีเรื่องราวขัดแยงทําสงครามกัน ถงึ คราวจะราย ก็รายเอง ไมมีเหตอุ น่ื จะบอ ยๆ พวกอสูรออกจะเจา โทสะ จงึ มกั ทําใหค นดคี นช่วั ได (ขอ ๒ ในทิฏฐิ ๓)ถูกกลาวถึงในฐานะเปนพวกมีนิสัยพาล อโหสิกรรม กรรมเลิกใหผล ไมมีผลอีกหรอื เปนฝายผดิ ไดแกกรรมทั้งท่ีเปนกุศลและอกุศลที่อเสขะ ผไู มตอ งศกึ ษา เพราะศกึ ษาเสรจ็ เลกิ ใหผ ล เหมือนพชื ท่หี มดยาง เพาะสนิ้ แลว ไดแ กบ คุ คลผตู งั้ อยใู นอรหตั ตผล ปลกู ไมข้ึนอีก (ขอ ๔ ในกรรม ๑๒)
อกั โกสวตั ถุ ๕๒๐ อัคฆสโมธานอักโกสวตั ถุ เรื่องสําหรบั ดา มี ๑๐ อยา ง แปลงตามลําดับ จนเกิดมีมนุษยที่อยูคือ ๑. ชาติ ไดแกช ้ันหรือกําเนดิ ของคน รวมกันเปนหมูเปนพวก เกิดความจํา๒. ชอ่ื ๓. โคตร คือตระกลู หรอื แซ ๔. เปนตองมีการปกครอง และมีการการงาน ๕. ศลิ ปะ ๖. โรค ๗. รปู พรรณ ประกอบอาชพี การงานตา งๆ กนั วรรณะสัณฐาน ๘. กิเลส ๙. อาบตั ิ ๑๐. คําสบ ท้ังสี่ก็เกิดจากความเปล่ียนแปลงเหลาน้ีประมาทอยา งอืน่ ๆ มิใชเ ปน เรอื่ งของพรหมสรางสรรค แตอกั ขระ ตวั หนังสอื , วชิ าหนังสือ, คาํ , เกดิ จากธรรม (ธรรมดา, กฎธรรมชาต)ิเสยี ง, สระ และพยญั ชนะ ทุกวรรณะประพฤติช่ัวก็ไปอบายไดอักขรวิธี ตําราวาดวยวิธีเขียนและอาน ปฏิบัติธรรมก็บรรลุนิพพานได ธรรม หนังสอื ใหถ ูกตอง เปนเคร่ืองตัดสิน และธรรมเปนของอักษร ตัวหนงั สอื ประเสริฐสุด ผทู ส่ี ้นิ อาสวกเิ ลสแลว เปนอคั คสาวก ดู อัครสาวก ผูประเสริฐสุดในวรรณะทั้งสี่ ผูที่อคั คญั ญสตู ร ชอ่ื สตู รที่ ๔ แหง ทฆี นกิ าย สมบูรณดวยวิชชาและจรณะ เปนผูปาฏกิ วรรค พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทรงแสดง ประเสรฐิ สดุ ในบรรดาเทวะ และมนษุ ยแกสามเณรวาเสฏฐะ และสามเณร ท้งั ปวงภารัทวาชะ ผูออกบวชจากตระกูล อัคคิ ไฟ, ไฟกเิ ลส, กิเลสดจุ ไฟเผาลนจติพราหมณ ทรงคดั คา นคาํ กลา วอา งของ ใจใหเรา รอน มี ๓ คือ ๑. ราคคั คิ ไฟคือพวกพราหมณ ที่ถือวาพราหมณเปน ราคะ ๒. โทสคั คิ ไฟคอื โทสะ ๓.โมหคั คิวรรณะประเสริฐท่ีสุด และถือวาชาติ ไฟคือโมหะกําเนิดเปนเคร่ืองตัดสินความประเสริฐ อัคคเิ วสสนโคตร ตระกลู อัคคเิ วสสนะและความตํา่ ทรามของมนุษย ทรงแสดง เปนตระกูลของปริพาชกคนหน่ึงช่ือใหเห็นวา ความประเสริฐหรือตาํ่ ทรามนน้ั ทีฆนขะอยูท่ีความประพฤติ โดยมีธรรมเปน อคั ฆสโมธาน การประมวลโดยคา , เปนเครือ่ งตดั สิน คนวรรณะตา งๆ ออกบวช ช่ือปริวาสที่ภิกษุผูปรารถนาจะออกจากในพระพุทธศาสนาแลว ยอ มช่อื วาเปนผู อาบัติสังฆาทิเสสซ่ึงตองหลายคราว มีเกิดจากธรรมเสมอกันหมด แลวทรง จาํ นวนวันปดไมเทา กนั ประมวลอาบตั ิแสดงความเปน มาของสังคมมนุษย เริ่ม และวนั เขาดว ยกนั อยูป รวิ าสเทาจาํ นวนแตเกิดมีสัตวขึ้นในโลกแลวเปลี่ยน วนั ทมี่ ากท่ีสุด เชน ตองอาบัติ ๓ คราว,
อัคร ๕๒๑ อังครี สคราวหนึง่ ปด ไว ๓ วนั คราวหน่งึ ปด ไว จติ ตคฤหบดีและหตั ถกะอาฬวกะ; ดู ตลุ า๕ วัน คราวหน่ึงปดไว ๗ วนั อยูปรวิ าส อคั รอปุ ฏฐายิกา อุบาสกิ าผดู ูแลอปุ ถมั ภเทา จาํ นวนมากทส่ี ุด คอื ๗ วัน; ดู บาํ รุงพระพทุ ธเจาอยางเยยี่ มยอด ไดแ กสโมธานปริวาส วสิ าขามหาอุบาสิกา (แตพ บในอรรถกถาอคั ร เลศิ , ยอด, ลา้ํ เลศิ , ประเสรฐิ , สงู สดุ แหงหน่ึง จัดเจาหญิงสปุ ปวาสา โกลิย-อคั รพหสู ูต พหูสูตผูเ ลศิ , ยอดพหสู ตู , ราชธดิ า เปนอคั รอปุ ฏฐ ายิกา); ดู ตุลาผูคงแกเรยี นอยา งยอดเยีย่ ม หมายถงึ อัครอุปฏฐิกาอุบาสิกา อุบาสิกาผูพระอานนท อุปถัมภบํารุงท่ีเลิศ, บางทีเรียกสั้นวาอคั รสาวก สาวกผเู ลศิ , สาวกผยู อดเยยี่ ม อัครอุบาสิกา คืออุบาสิกาผูยอดเย่ียมหมายถึงพระสารีบุตร (เปนอัครสาวก หมายถึง เวฬุกณั ฏกีนันทมารดา และเบื้องขวา) และพระมหาโมคคัลลานะ ขชุ ชุตตรา; ดู ตุลา(เปน อัครสาวกเบ้ืองซาย); ดู ตลุ า องั คะ๑ องค, สว นประกอบ, คุณสมบตั ,ิอคั รสาวกิ า สาวกิ าผเู ลศิ , สาวกิ าผยู อด อวยั วะ เชนในคาํ วา องั คบริจาค (การเยย่ี ม หมายถงึ พระเขมา (เปน อคั รสาวกิ า สละใหอ วัยวะ); ดู องค 1.เบื้องขวา) และพระอบุ ลวรรณา (เปน อังคะ๒ ช่ือแควนหนึ่งในบรรดา ๑๖อคั รสาวกิ าเบ้อื งซาย); ดู ตลุ า แควนใหญแหงชมพูทวีป ตั้งอยูทิศอคั รอบุ าสก อุบาสกผูเลิศ, อบุ าสกผยู อด ตะวนั ออกของแควน มคธ มแี มน า้ํ จมั ปาเยย่ี ม หมายถึงจติ ตคฤหบดี และหตั ถกะ ก้ันแดน และมนี ครหลวงชอ่ื จมั ปา ในอาฬวกะ; ดู ตุลา พทุ ธกาล แควนอังคะข้นึ กับแควนมคธอคั รอบุ าสิกา อุบาสกิ าผเู ลิศ, อบุ าสกิ าผู อังคาร ถานเถาท่ีถวายพระเพลิงพระยอดเยย่ี ม หมายถงึ เวฬกุ ัณฏกนี นั ท- พุทธสรรี ะมารดา และขุชชตุ ตรา; ดู ตุลา อังคารสตปู พระสถูปท่บี รรจพุ ระองั คารอัครอุปฏฐาก ผูเฝารับใชพระพุทธเจา ซ่ึงโมริยกษตั รยิ สรางไวท ี่เมอื งปปผลวิ ันอยางเย่ียมยอด ไดแกพระอานนท; ดู อังคาส ถวายพระ, เลยี้ งพระตลุ า อังคีรส “มีพระรศั มเี ปลง จากพระองค” ,อคั รอปุ ฏ ฐ ากอบุ าสก อุบาสกผูอุปถัมภ พระนามอยางหน่ึง ในบรรดาพระนามบํารุงท่ีเลิศ, บางทีเรียกสั้นวา อัคร- มากมายที่เปนกลางๆ ใชแกพระพุทธอบุ าสก คอื อบุ าสกผยู อดเยย่ี ม หมายถึง เจาพระองคใดก็ได, ที่ใชแกพระพุทธ
องั คดุ ร ๕๒๒ อังคุลิมาละ เจา พระองคป จ จุบนั พบในพระไตรปฎ ก คํากลาวของพระกาฬุทายีน้ี มีคําวา หลายแหง เชน ในอาฏานาฏยิ สูตร (ที.ปา. “อังครี ส” ซึ่งพระอรรถกถาจารยอ ธบิ าย ๑๑/๒๐๙/๒๑๐) ที่สวดกันอยเู ปน ประจําวา วา “คําวา ‘องั คีรส’ แปลวา ผสู มั ฤทธิ์ “องคฺ รี สสสฺ นมตถฺ ุ สกยฺ ปตุ ตฺ สสฺ สริ มี โต” พระคุณมีศีลเปนตน ท่ีทําใหเปนองค หรืออยางท่ีพระวังคีสะประพันธคาถา เปนอัน (หรือเปนเนื้อเปนตัว) แลว, ถวายพระสดุดี (สํ.ส.๑๕/๗๕๙/๒๘๗, ขุ.เถร. อาจารยอ กี พวกหน่งึ (อปเร) แปลวา ‘ผู ๒๖/๔๐๑/๔๓๗) ใชค าํ วา “พระองั ครี ส มหา- มีพระรัศมีเปลงฉายออกจากพระวรกาย มุนี”, แตมีบันทึกในอรรถกถาบางแหง ทุกสวน’ แตอาจารยบางพวก (เกจิ) (เถร.อ.๒/๕๐/๑๙๑; อป.อ.๒/๓๕๐/๗๐) ซง่ึ อา ง กลา ววา ‘พระพุทธบดิ าน่นั แหละ ไดท รง อิงเร่ืองท่ีพระเจาสุทโธทนะสงกาฬุทายี เลือกเอาพระนาม ๒ อยางน้ี คือ อํามาตยไปอาราธนาพระพุทธเจาเสด็จ องั ครี ส และสทิ ธตั ถะ’” คาํ อธบิ ายนี้ บอก กรุงกบิลพัสดุ กาฬุทายีน้ันเมื่อไปเฝา ใหรูถึงมติอันหน่ึง ซึ่งเปนของเกจิ พระพทุ ธเจา ไดฟ ง ธรรม บรรลุอรหตั ต- อาจารย ที่บอกวา ‘อังคีรส’ กเ็ ปนพระ ผล บวชแลว ตอมา เม่อื พระพทุ ธเจา รับ นามสวนพระองคของพระพุทธเจาพระ อาราธนาและออกเสด็จพุทธดําเนินมา องคป จจุบนั เชน เดยี วกับ ‘สทิ ธัตถะ’; ดู เพ่ือจะทรงเยยี่ มพระพทุ ธบิดา ครัน้ มา พระพทุ ธเจา ในระหวางทาง ทา นพระกาฬทุ ายีไดเ ดนิ อังคุดร หมายถงึ อังคตุ ตรนิกาย ทางลว งหนา มาแจง ขา ว พระเจา สทุ โธทนะ อังคุตตรนิกาย ช่ือนิกายท่ีสี่ในบรรดา ทอดพระเนตรเห็นพระกาฬุทายีในเพศ นกิ าย ๕ แหง พระสุตตนั ตปฎ ก เปน ที่ ภิกษุ ทรงจาํ ไมได ตรสั ถามวา ทา นเปน ชมุ นมุ พระสตู รซงึ่ จดั เขา ลาํ ดบั ตามจาํ นวน ใคร พระกาฬุทายีจึงกลาวตอบถวาย หวั ขอ ธรรม เปน หมวด ๑ (เอกนบิ าต) พระพรวา “อาตมภาพเปนบุตรของพระ หมวด ๒ (ทุกนบิ าต) เปนตน จนถึง พุทธเจา ผูทรงฝา ไปไดใ นสิ่งทใี่ ครๆ ไม หมวด ๑๑ (เอกาทสกนิบาต) อาจทนไหว องคพ ระอังคีรส ผูค งท่ี ไม องั คตุ ตราปะ ชอื่ แควน หนงึ่ ในชมพทู วปี มผี ูใดเปรยี บปาน ดกู รมหาบพิตร พระ ครง้ั พทุ ธกาล มเี ขตตดิ ตอ กบั แควน องั คะ องคเ ปน โยมบดิ าแหง พระบดิ าของอาตม- ทอี่ ยทู างตะวนั ออกของมคธ เมอื งหลวง ภาพ ดูกรทา วศากยะโคดม พระองคเ ปน เปน เพยี งนคิ มชอื่ อาปณะ พระอยั กาของอาตมภาพ โดยธรรม” ใน องั คุลมิ าละ ดู องคลุ ิมาล
อังคุลมิ าลปริตร ๕๒๓ อัญญภาคยิ สิกขาบทองั คลุ มิ าลปริตร ดู ปรติ ร อัชฌัตติกทาน (ทานภายใน, ใหขององั สะ ผาทภี่ กิ ษใุ ชห อยเฉวยี งบา ภายใน) อชั ฌัตตกิ ายตนะ (อายตนะอัจเจกจีวร จีวรรีบรอน หรือผาดวน ภายใน); ตรงขา มกบั พาหริ ะหมายถึง ผา จํานําพรรษาทีท่ ายกผมู ีเหตุ อชั ฌัตติกรปู ดูที่ รูป ๒๘รบี รอ น ขอถวายกอนกาํ หนดเวลาปกติ อัชฌาจาร ความประพฤติชั่ว, การ(กําหนดเวลาปกติสําหรับถวายผาจํานํา ละเมิดศีล, การลวงมรรยาท, การพรรษา คือ จวี รกาลนั่นเอง กลา วคือ ละเมดิ ประเพณีตอ งผานวนั ปวารณาไปแลว เร่มิ แตแ รม อชั ฌาสยั นสิ ัยใจคอ, ความนยิ ม, ความ๑ คา่ํ เดอื น ๑๑ ถงึ ข้นึ ๑๕ คํ่า เดือน มีนํ้าใจ๑๒ และถา กรานกฐนิ แลว นับตอ ไปอีก อัญชนะ กษัตริยโกลิยวงศผูครองถงึ ขนึ้ ๑๕ คา่ํ เดือน ๔; เหตุรบี รอนน้ัน เทวทหนคร มมี เหสีพระนามวา ยโสธราเชน เขาจะไปทัพ หรือเจ็บไขไมไวใจ เปนพระชนกของพระมหามายาเทวีผูชีวติ หรอื มศี รทั ธาเล่อื มใสเกิดขน้ึ ใหม) เปนพระพุทธมารดาและพระนางมหา-อจั เจกจีวรเชนน้ี มพี ทุ ธานุญาตใหภิกษุ ปชาบดีโคตมี (ตาํ นานวา มีโอรสดวย ๒รบั เก็บไวไ ด แตต อ งรับกอนวนั ปวารณา องค คือ ทณั ฑปาณิ และสปุ ปพทุ ธะ)ไมเ กนิ ๑๐ วนั (คือตงั้ แตข ้นึ ๖ คํา่ ถึง อัญชลีกรรม การประนมมอื แสดงความ๑๕ ค่าํ เดอื น ๑๑) (สกิ ขาบทที่ ๘ แหง เคารพปตตวรรค นสิ สัคคิยปาจติ ตยี ) อชฺ ลกี รณโี ย (พระสงฆ) เปน ผคู วรไดร บัอัจฉริยะ “เหตุอนั ควรทจี่ ะดดี นว้ิ เปาะ”, อญั ชลกี รรม คอื การประนมมอื ไหว กราบอศั จรรย, แปลกวิเศษ, นา ทึ่งควรยอม ไหว เพราะมีความดีที่ควรแกการไหวรับนบั ถือ, ดีเลิศลาํ้ นาพศิ วง, มคี วามรู ทําใหผูไหวผูกราบ ไมตองกระดากใจความสามารถทรงคณุ สมบตั เิ หนอื สามญั (ขอ ๘ในสงั ฆคณุ ๙); อชฺ ลกิ รณโี ย กใ็ ช อญั ญเดยี รถีย ผถู อื ลัทธนิ อกพระพทุ ธ-หรือเกินกวาระดบั ปกติอชั ฏากาศ “อากาศท่ีไมมชี ฏั ” (ท่ีวา งอนั ศาสนาไรส ิง่ รกรงุ รงั ), อากาศทีเ่ วง้ิ วาง คือ ทอ ง อัญญภาคยิ สิกขาบท ชอ่ื สิกขาบทที่ ๙ฟา กลางหาว, อชฏากาศ ก็เขยี น (บาล:ี แหงสังฆาทิเสส (ภิกษุหาเลสโจทภิกษุอชฏากาส); ดู อากาศ ๓, ๔ อน่ื ดว ยอาบตั ิปาราชิก), เรียกอีกชือ่ หนึ่งอัชฌัตตกิ ะ ภายใน, ขา งใน เชนในคําวา วา ทุตยิ ทฏุ ฐโทสสิกขาบท
อญั ญวาทกกรรม ๕๒๔ อญั ญาโกณฑัญญะอัญญวาทกกรรม กรรมทจ่ี ะพงึ กระทํา อญั ญสัตถุเทศ การถือศาสดาอนื่ จดัแกภ ิกษผุ ูกลาวคําอื่น คือภกิ ษปุ ระพฤติ เปน ความผดิ พลาดสถานหนกั (ขอ ๖อนาจาร สงฆเ รียกตวั มาถาม แกลง ยก ในอภิฐาน ๖)เรอ่ื งอ่นื ๆ มาพูดกลบเกล่อื นเสยี ไมให อญั ญสตั ววสิ ยั วสิ ัยของสัตวอนื่ , วิสยัการตามตรง, สงฆสวดประกาศความ ของสัตวท ัว่ ๆ ไปน้ันดวยญัตติทุติยกรรม เรียกวายก อญั ญาโกณฑัญญะ พระมหาสาวกผูเปนอญั ญวาทกกรรมข้นึ , เม่อื สงฆประกาศ ปฐมสาวกของพระพทุ ธเจา เปน รูปหนึ่งเชนน้ีแลว ภิกษุน้ันยังขืนทําอยางเดิม ในคณะพระปญจวัคคีย เปนบุตรอกี ตองอาบัติปาจิตตีย (สิกขาบทที่ ๒ พราหมณมหาศาล เกิดทหี่ มูบ านโทณ-แหงภูตคามวรรค ปาจติ ตยิ กณั ฑ) ; คกู ับ วตั ถุ ไมไกลจากกรงุ กบิลพัสดุ เดิมชื่อวิเหสกกรรม โกณฑญั ญะ เปน พราหมณหนมุ ทสี่ ดุ ในอญั ญสมานาเจตสกิ เจตสิกทีม่ ีเสมอกนั บรรดาพราหมณ ๘ คน ผทู าํ นายลกั ษณะแกจติ ตพวกอืน่ คอื ประกอบเขา ไดกับ ของสิทธัตถกุมาร และเปนผูเดียวท่ีจิตตทกุ ฝา ยท้งั กศุ ลและอกุศล มใิ ชเ ขา ทาํ นายวา พระกมุ ารจะทรงออกบรรพชาไดฝายหนงึ่ ฝา ยเดียว มี ๑๓ แยกเปน ไดตรัสรูเปนพระสัมมาสัมพุทธเจาอยางก. สัพพจิตตสาธารณเจตสกิ (เจตสิกที่ แนนอน มคี ตเิ ปน อยางเดียว ตอมาทา นเกิดทั่วไปกับจิตตทุกดวง) ๗ คือ ออกบวชตามเสด็จพระสิทธตั ถะ ขณะผัสสะ (ความกระทบอารมณ) เวทนา บําเพ็ญทุกรกิริยา เปนหัวหนาพระสัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย เบญจวคั คยี และไดนําคณะหลกี หนีไปมนสกิ าร (ความกระทาํ อารมณไวในใจ, เม่ือพระมหาบุรุษเลิกบําเพ็ญทุกรกิริยาใสใ จ) กลับเสวยพระกระยาหาร ตอมาเมื่อพระข. ปกิณณกเจตสิก (เจตสกิ ท่ีเร่ยี รายคือ พุทธเจาตรัสรูแลวเสด็จไปโปรด ทา นเกิดกับจิตตไดท้ังฝายกุศลและอกุศล สดบั ปฐมเทศนาไดด วงตาเหน็ ธรรม ขอแตไ มแนนอนเสมอไปทุกดวง) ๖ คอื บรรพชาอุปสมบทเปนปฐมสาวกของวติ ก (ความตรกึ อารมณ) วิจาร (ความตรองอารมณ) อธิโมกข (ความปกใจใน พระพุทธเจาอารมณ) วิริยะ ปติ ฉนั ทะ (ความพอใจ โกณฑัญญะ ที่ไดชอื่ วา อัญญา- โกณฑญั ญะ เพราะเมอ่ื ทา นฟง ปฐมเทศนาในอารมณ) ของพระพทุ ธเจา และไดธ รรมจกั ษุ พระ
อญั ญาตาวินทรยี ๕๒๕ อตั ตนยิ ะพทุ ธเจา ทรงเปลง อทุ านวา “อฺ าสิ วต หนัก, แสดงอาบัติมีสวนเหลือวาเปนโภ โกณฑฺ โฺ ๆ” (โกณฑญั ญะไดร ู อาบตั ไิ มมีสว นเหลอื , แสดงอาบัตหิ ยาบแลว หนอๆ) คาํ วา อญั ญา จงึ มารวมเขา คายวามิใชอาบัติหยาบคาย (ฝายคูก็กับช่ือของทาน ตอมาทานไดสําเร็จ ตรงขามจากนี้ตามลําดับ เชน แสดงอรหัตดวยฟงอนัตตลักขณสูตร ไดร บั ธรรมวามิใชธรรม, แสดงวินัยวามิใชยกยอ งเปน เอตทคั คะในทางรตั ตญั ู (รู วินัย ฯลฯ แสดงอาบัตไิ มห ยาบคายวาราตรีนาน คือ บวชนาน รูเ หน็ เหตกุ ารณ เปน อาบตั หิ ยาบคาย)มากมาแตต น ) ทา นทลู ลาพระพทุ ธเจา ไป อัฏฐิ กระดกู , บัดนี้เขียน อฐั ิอยูท่ีฝงสระมันทากินี ในปาฉัททันตวัน อัฏฐมิ ญิ ชะ เย่อื ในกระดกู (ปจจบุ นั แปลแดนหิมพานต อยู ณ ท่ีนั้น ๑๒ ป ก็ วา ไขกระดกู )ปรินิพพานกอนพุทธปรินิพพาน; ดู อฐั บริขาร บริขาร ๘; ดู บรขิ ารโกณฑญั ญะ อัฑฒกุสิ เสนค่ันดุจคันนาขวางระหวางอญั ญาตาวนิ ทรยี ดู อินทรยี ๒๒ ขัณฑกับขณั ฑของจวี ร; เทียบ กสุ ,ิ ดู จีวรอัญญินทรีย ดู อินทรยี ๒๒ อัณฑชะ สตั วเ กดิ ในไข คอื ออกไขเปนอัฏฐกะ หมวด ๘ ฟองแลว จึงฟกออกเปนตวั เชน ไก นกอัฏฐบาน ปานะท้ัง ๘, นํา้ ปานะคือน้าํ ค้ัน จ้งิ จก เปนตน (ขอ ๒ ในโยนิ ๔)ผลไม ๘ อยา ง; ดู ปานะ อัฑฒมณฑล ชิ้นสวนของจีวรพระที่อัฏฐารสเภทกรวตั ถุ เร่ืองทาํ ความแตก เรียกวา กระทงนอ ย หรือกระทงเลก็ มีกัน ๑๘ อยา ง, เรอ่ื งท่ีจะกอใหเ กดิ ขนาดคร่ึงหนึ่งของมณฑล (กระทงความแตกแยกแกส งฆ ๑๘ ประการ ใหญ); เทียบ มณฑล, ดู จีวรทา นจดั เปน ๙ คู (แสดงแตฝา ยคี่) คือ อัตตกิลมถานุโยค การประกอบตนใหภิกษุแสดงสิ่งมิใชธรรมวาเปนธรรม, ลําบากเปลา คือ ความพยายามเพ่ือแสดงสง่ิ มิใชว นิ ยั วา เปน วินยั , แสดงสง่ิ บรรลุผลท่ีหมายดวยวิธีทรมานตนเองทีพ่ ระตถาคตมิไดต รัสวา ไดต รสั , แสดง เชน การบาํ เพ็ญตบะตางๆ ทีน่ ยิ มกันในสิ่งท่ีพระตถาคตมิไดประพฤติวาได หมนู กั บวชอนิ เดียจํานวนมาก (ขอ ๒ประพฤติ, แสดงสิ่งท่ีพระตถาคตมิได ใน ท่ีสุด ๒ อยา ง)บญั ญัติ วา ไดบัญญตั ิ, แสดงอาบตั ิวา มิ อตั ตนยิ ะ สงิ่ ทเี่ นอ่ื งดว ยตน, สงิ่ ทเ่ี ปน ของใชอาบัติ, แสดงอาบัติเบาวาเปนอาบัติ ตน; ในภาษาไทย มกั พดู ใหส ะดวกปาก
อัตตภาพ ๕๒๖ อตั ตาธิปไตยเปนอัตตนิยา หรืออัตตนียา, เปนคาํ ตน หรอื เปน ทพ่ี งึ่ แกต นได ไมว า จะเปนประกอบที่ใชในการอธิบายหรือถกเถียง ทิฏฐธมั มกิ ัตถะ สมั ปรายกิ ตั ถะ หรอืเรอื่ งอตั ตา-อนตั ตา เชน วา เมอื่ มอี ตั ตา ก็ ปรมัตถะ, ความมีชีวิตและส่ิงอันเก้ือมอี ตั ตนยิ า จะมอี ตั ตนยิ า กต็ อ งมอี ตั ตา หนุนใหชีวิตเพียบพรอมดวยคุณสมบัติอตั ตภาพ ความเปน ตวั ตน, ชวี ติ , เบญจ- ท้งั หลาย ท้ังทางกาย ทางสงั คม ทางจติขันธ, บดั น้เี ขยี น อตั ภาพ ใจ และทางปญ ญา, ชวี ิตท่ีมคี ณุ ภาพ มีอัตตวาทุปาทาน การถือมั่นวาทะวาตน คณุ คา และมีความหมาย; เทยี บ ปรตั ถะคือความยึดถือสําคัญมั่นหมายวานั่นนี่ อัตตัตถสมบัติ “ความถึงพรอมดวยเปนตวั ตน เชน มองเหน็ เบญจขนั ธเปน ประโยชนตน” เปนพุทธคุณอยางหนึ่งอตั ตา, อยางหยาบขึ้นมา เชน ยดึ ถอื มน่ั คือ การทไ่ี ดท รงบาํ เพ็ญพระบารมธี รรมหมายวา นเ่ี รา นัน่ ของเรา จนเปน เหตุ กําจัดอาสวกิเลสท้ังปวงและทําศีลแบงแยกเปนพวกเรา พวกเขา และเกดิ สมาธิ ปญ ญาใหบรบิ ูรณ สมบูรณดวยความถอื พวก (ขอ ๔ ในอปุ าทาน ๔) พระญาณทั้งหลาย เพียบพรอมดวยอตั ตวินบิ าต การทําลายตัวเอง, ฆาตวั พระคุณสมบัติมากมาย เปนท่ีพึ่งของเอง; บดั นเี้ ขียน อตั วนิ บิ าต พระองคเองได และเปนผูพรอมที่จะอตั ตสมั มาปณิธิ การตั้งตนไวช อบ คือ บําเพ็ญกิจเพ่ือประโยชนแกชาวโลกตอดํารงตนอยใู นศลี ธรรม และดําเนนิ แนว ไป มกั ใชคําที่แทนกันไดวา อัตตหติ -แนในวิถีทางที่จะนําไปสูจุดหมายที่ดี สมบัติ ซึง่ แปลเหมือนกนั ; เปน คูกันกับ ปรัตถปฏบิ ตั ิ หรอื ปรหติ ปฏบิ ัติงาม (ขอ ๓ ในจกั ร ๔)อัตตสทุ ธิ การทาํ ตนใหบรสิ ุทธิจ์ ากบาป อตั ตา ตวั ตน, อาตมนั ; ปถุ ชุ นยอ มยึดอัตตหิตสมบัติ ดู อัตตัตถสมบตั ิ มัน่ มองเห็นขันธ ๕ อยา งใดอยางหนง่ึอตั ตญั ตุ า ความเปน ผรู จู กั ตน เชน รวู า หรือท้ังหมดเปนอัตตา หรือยึดถือวามี เรามคี วามรู ความถนดั คณุ ธรรม ความ อตั ตาเน่อื งดว ยขันธ ๕ โดยอาการอยาง สามารถ และฐานะ เปน ตน แคไ หนเพยี ง ใดอยางหนึ่ง; เทียบ อนัตตา ไร แลว ประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หเ หมาะสมเพอ่ื อตั ตาธิปเตยยะ ดู อตั ตาธปิ ไตย ใหเ กดิ ผลดี (ขอ ๓ ในสปั ปรุ สิ ธรรม ๗) อตั ตาธิปไตย ความถอื ตนเปนใหญ จะอัตตตั ถะ ประโยชนตน, สงิ่ ทเ่ี ปน คุณแก ทําอะไรก็นึกถึงตน คํานึงถึงฐานะชวี ติ ชว ยใหเ ปน อยดู ว ยดี สามารถพงึ่ เกียรติศักด์ิศรี หรือผลประโยชนของ
อตั ตานทุ ฏิ ฐิ ๕๒๗ อันตคาหกิ ทิฏฐิตนเปนสําคัญ, พึงใชแตในขอบเขตที่ อัตถจริยา ประพฤติส่ิงท่ีเปนประโยชนเปน ความดี คอื เวน ช่วั ทาํ ดดี ว ยเคารพ แกผูอ ื่น, การบาํ เพ็ญประโยชน (ขอ ๓ตน (ขอ ๑ ในอธิปไตย ๓) ในสังคหวัตถุ ๔)อตั ตานทุ ฏิ ฐิ ความตามเหน็ วา เปน ตวั ตน อัตถปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานในอตั ถะ 1. ประโยชน, ผลทมี่ งุ หมาย, จดุ อรรถ, ความแตกฉานสามารถอธิบายหมาย, อตั ถะ ๓ คอื ๑. ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ เน้ือความยอของภาษิตโดยพิสดารและประโยชนปจจุบัน, ประโยชนในภพน้ี ความเขาใจท่ีสามารถคาดหมายผลขาง๒. สมั ปรายิกตั ถะ ประโยชนเบอื้ งหนา, หนาอันจะเกิดสืบเน่ืองไปจากเหตุ (ขอประโยชนในภพหนา ๓. ปรมัตถะ ๑ ในปฏสิ ัมภทิ า ๔)ประโยชนอ ยา งยิ่ง, ประโยชนส งู สดุ คอื อัตถสาธกะ ยังอรรถใหส าํ เรจ็ , ทําเนื้อพระนพิ พาน; อตั ถะ ๓ อกี หมวดหนง่ึ คอื ความใหส ําเรจ็๑. อตั ตตั ถะ ประโยชนต น ๒. ปรัตถะ อัตถัญุตา ความเปนผรู จู กั ผล เชน รจู ักประโยชนผ ูอนื่ ๓. อุภยตั ถะ ประโยชน วา สุขเปน ผลแหงเหตอุ ันน้ี ทุกขเปนผลท้ังสองฝาย 2. ความหมาย, ความ แหงเหตอุ นั นี้, รคู วามมุงหมายและรจู กัหมายแหงพุทธพจน, พระสูตร พระ ผล; ตามบาลีวา รูความหมาย เชน วาธรรมเทศนา หรือพุทธพจน วาโดยการ ธรรมขอน้ีๆ มีความหมายอยางนี้ๆแปลความหมาย แยกเปน อตั ถะ ๒ คอื หลักขอ น้ีๆ มีเนื้อความอยา งน้ๆี (ขอ ๒๑. เนยยัตถะ (พระสตู ร) ซึง่ มีความ ในสปั ปรุ สิ ธรรม ๗)หมายที่จะตองไขความ, พุทธพจนท่ี อัตถปุ ปตติ เหตุทใ่ี หม ีเร่ืองข้นึ , เหตใุ หตรัสตามสมมติ อันจะตองเขาใจความ เกดิ เรอื่ งจริงแทท่ีซอนอยูอีกช้ันหนึ่ง เชนที่ตรัส อัธยาจาร ดู อชั ฌาจารเร่ืองบุคคล ตัวตน เรา-เขา วา บุคคล ๔ อธั ยาศัย นสิ ยั ใจคอ, ความนยิ มในใจประเภท, ตนเปน ท่ีพง่ึ ของตน เปน ตน อันตะ ไสใหญ๒. นีตัตถะ (พระสตู ร) ซ่ึงมีความหมาย อนั ตคาหกิ ทฏิ ฐิ ความเหน็ ทย่ี ดึ เอาทส่ี ดุท่ีแสดงชัดโดยตรงแลว, พุทธพจนที่ คอื แลน ไปถงึ ทสี่ ดุ ในเรอ่ื งหนงึ่ ๆ มี ๑๐ตรัสโดยปรมัตถ ซ่ึงมีความหมายตรง อยา ง คอื ๑. โลกเทยี่ ง ๒. โลกไมเ ทยี่ งไปตรงมาตามสภาวะ เชน ท่ตี รัสวา รปู ๓. โลกมที ส่ี ดุ ๔. โลกไมม ที ส่ี ดุ ๕. ชพีเสียง กล่ิน รส เปนตน ; อรรถ ก็เขยี น อนั นนั้ สรรี ะกอ็ นั นน้ั ๖. ชพี กอ็ ยา ง สรรี ะ
อนั ตคุณ ๕๒๘ อันเตวาสกิกอ็ ยา ง ๗. สตั วต ายแลว ยงั มอี ยู ๘. สตั ว ตราย นา้ํ หลากมา (หรือฝนตกเมอื่ สวดตายแลว ยอ มไมม ี ๙. สตั วต ายแลว ทงั้ มี กลางแจง ; เพอื่ หนนี าํ้ ) ๕. มนสุ สนั ตราย อยู ทง้ั ไมม ี ๑๐. สตั วต ายแลว จะมอี ยู ก็ คนมามาก (เพื่อรูเหตุหรือปฏิสันถาร) ๖. อมนสุ สันตราย ผีเขาภิกษุ (เพื่อขบั ไมใ ช ไมม อี ยู กไ็ มใ ช ผี) ๗. วาฬนั ตราย สัตวรายเชน เสือมาอนั ตคณุ ไสน อ ย, ไสท บ ในวัด (เพ่ือไลส ัตว) ๘. สิริงสปนตรายอนั ตรกปั ดู กปั งูเลอื้ ยเขามา (เพ่ือไลงู) ๙. ชวี ิตันตรายอนั ตรธานหายไป, เสอื่ มสน้ิ ไป, สญู หายไปอนั ตรวาสก ผา นงุ , สบง, เปน ผนื หนงึ่ ใน มีเรือ่ งเปนตาย เชนภกิ ษอุ าพาธโรคราย ไตรจวี ร (เพื่อชว ยแกไข) ๑๐. พรหมจรยิ นั ตรายอนั ตราบตั ิ อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ทต่ี อ งใหม มีอนั ตรายแกพ รหมจรรย เชน มีคนมา อกี ในระหวา งประพฤตวิ ฏุ ฐานวธิ ี คอื ตง้ั จบั ภกิ ษุ (เลิกเพราะอลหมา น); ดู ปาฏ-ิ โมกขย อ ,อเุ ทศ แตเ รม่ิ อยปู รวิ าสไปจนถงึ กอ นอพั ภานอันตราปรินิพพายี พระอนาคามีผูจะ อน่ึง ภกิ ษตุ อ งอาบัตสิ ังฆาทเิ สสถาปรนิ พิ พาน ในระหวา งอายยุ งั ไมท นั ถงึ กง่ึ มีอันตรายเหลาน้ีอยางใดอยางหน่ึงแม(ขอ ๑ ในอนาคามี ๕) ไมไดบอกอาบัติของตนพนคืนไปยังไมอันตรายของภิกษุสามเณรผูบวชใหม ถอื วา ปด อาบตั ิเหตุท่ีจะทําใหผูบวชในธรรมวินัยน้ี อันตรายิกธรรม ธรรมอันกระทําประพฤตพิ รหมจรรยอ ยไู ดไ มย งั่ ยนื มี ๔ อนั ตราย คือ เหตุขดั ขวางตา งๆ เชนอยา ง คอื ๑. อดทนตอ คาํ สง่ั สอนไมไ ด เหตขุ ดั ขวางการอปุ สมบท ๑๓ อยา ง มี๒. เหน็ แกป ากแกท อ ง ๓. ฝน ใฝท ะยาน การเปนโรคเรอื้ น เปนตนอยากไดก ามคณุ ๔. รกั ผหู ญงิ อันตมิ วัตถุ “วัตถุมใี นทส่ี ุด” หมายถงึอนั ตราย ๑๐ เหตฉุ กุ เฉนิ หรอื เหตขุ ดั ขอ ง อาบัติปาราชกิ ซึง่ ทาํ ใหภ ิกษแุ ละภิกษณุ ีที่ทรงอนุญาตใหเลิกสวดปาฏิโมกขได ผตู อ ง มโี ทษถงึ ทส่ี ุด คือขาดจากภาวะโดยใหส วดปาฏโิ มกขย อ แทน มี ๑๐ อยา ง ของตน (และจะบวชใหมกลับคืนสูภาวะคอื ๑. ราชนั ตราย พระราชาเสดจ็ มา (เลกิ น้ันกไ็ มไดดว ย)สวดเพื่อรบั เสดจ็ ) ๒. โจรันตราย โจรมา อันเตวาสกิ ผอู ยใู นสํานกั , ภกิ ษผุ ขู ออยูปลน (เพอ่ื หนภี ยั ) ๓. อคั ยนั ตราย ไฟ รวมสาํ นกั , ศิษย (ภกิ ษุผรู ับใหอ ยูรว มไหม (เพอื่ ดบั หรอื ปอ งกนั ไฟ) ๔. อทุ กนั - สาํ นกั เรยี กอาจารย); อนั เตวาสิกมี ๔
อันธกวินทะ ๕๒๙ อปั ปมาทะประเภทคือ ๑. ปพพชนั เตวาสกิ อนั เต- หมายถงึ เมตตา กรณุ า มทุ ติ า อเุ บกขาวาสกิ ในบรรพชา ๒. อปุ สมั ปทนั เตวาสกิ ท่ีแผไปในมนุษยและสัตวทั้งหลายอยางอันเตวาสกิ ในอปุ สมบท ๓. นิสสยันเต- กวา งขวางสมาํ่ เสมอกนั ไมจ าํ กดั ขอบเขตวาสกิ อนั เตวาสกิ ผถู อื นสิ ยั ๔. ธมั มนั เต- มี ๔ คอื เมตตา กรณุ า มทุ ติ า อเุ บกขาวาสิก อันเตวาสกิ ผเู รียนธรรม ทกี่ ลาวแลว นั้น; ดู พรหมวิหารอันธกวินทะ ชื่อหมูบานแหงหนึ่งใน อัปปมัตตกวิสัชชกะ ภิกษุผูไดรับแควนมคธ อยูหางจากกรุงราชคฤห สมมติ คือแตงตง้ั จากสงฆ ใหมหี นาท่ีประมาณ ๑ คาวุต คัมภีรฉบับสิงหลวา เปน ผูจ ายของเลก็ นอ ย เชน เข็มเยบ็ ผา๓ คาวตุ ) มดี ตัดเล็บ ประคด เภสชั ทงั้ หา เปน ตนอนั ธกฏั ฐกถา ดู โปราณฏั ฐกถา, อรรถ- ใหแกภิกษุทั้งหลาย, เปนตําแหนงหน่ึงกถา ในบรรดา เจา อธิการแหง คลังอัปปฏิฆรูป ดูที่ อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป, อัปปมาณะ “ไมม ปี ระมาณ”, สภาวะที่รูป ๒๘ ประมาณมิได หมายถึงธรรมท่ีเปนอปั ปณิหิตวโิ มกข ความหลดุ พนดว ยไม โลกุตตระ; ดู ปรติ ต 2.ทําความปรารถนา คือ พิจารณาเห็น อัปปมาทะ ความไมประมาท, ความเปนนามรูปเปนทุกข แลวถอนความ อยูอยางไมขาดสติ, ความไมเผลอ, ปรารถนาเสยี ได (ขอ ๓ ในวิโมกข ๓) ความไมเลินเลอเผลอสติ, ความไมอัปปณิหติ สมาธิ การเจริญสมาธิท่ที าํ ให ปลอยปละละเลย, ความระมดั ระวงั ทีจ่ ะถึงความหลุดพนดวยกําหนดทุกข- ไมทําเหตุแหงความผิดพลาดเสียหายลกั ษณะ (ขอ ๓ ในสมาธิ ๓) และไมละเลยโอกาสท่ีจะทําเหตุแหงอปั ปนาปรวิ าส ดู ปรวิ าส 2. ความดีงามและความเจริญ, ความมีสติอปั ปนาภาวนา ภาวนาขั้นแนวแน คือ รอบคอบฝกสมาธิถึงข้ันเปนอัปปนา เปนข้ัน ความไมประมาท พงึ กระทําในท่ี ๔ บรรลปุ ฐมฌาน (ขอ ๓ ในภาวนา ๓) สถาน คือ ๑. ในการละกายทุจริตอปั ปนาสมาธิ สมาธิแนว แน, จติ ตต งั้ มัน่ ประพฤติกายสุจริต ๒. ในการละวจี-สนิท เปน สมาธิในฌาน (ขอ ๒ ในสมาธิ ทุจริต ประพฤติวจีสจุ ริต ๓. ในการละ๒, ขอ ๓ ในสมาธิ ๓) มโนทจุ รติ ประพฤตมิ โนสจุ รติ ๔. ในอัปปมญั ญา ธรรมท่ีแผไปไมม ีประมาณ การละความเหน็ ผดิ ประกอบความเหน็
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: