Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์

Published by Chalermkiat Deesom, 2016-09-20 09:56:40

Description: dictionary_of_buddhism_vocabulary_version พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์

Keywords: พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์

Search

Read the Text Version

บุญกริ ิยาวัตถุ ๑๘๐ บพุ การ พระพทุ ธเจา ตรสั ประมวลหลกั การทาํ บุณฑริก บวั ขาวบญุ ทพี่ งึ ศกึ ษาไว เรยี กวา บญุ กริ ิยาวตั ถุ บุณม,ี บรู ณมี ดถิ ีท่ีพระจันทรเต็มดวง,๓ (ข.ุ อติ .ิ ๒๕/๒๓๘/๒๗๐) ซงึ่ พระอรรถกถา- วนั เพ็ญ, วนั ขน้ึ ๑๕ คาํ่ , วันกลางเดอื น;จารยไดแจกแจงใหเห็นตัวอยางในการ ปณุ มี หรอื ปรู ณมี กเ็ ขยี น (บาล:ี ปณุ ณฺ ม;ีขยายความออกไปเปน บญุ กริ ยิ าวตั ถุ๑๐ สันสกฤต: ปูรณฺ ม)ี(เชน สงคฺ ณ.ี อ.๒๐๘); ตรงขา มกบั บาป, เทียบ บถุ ชุ น ดู ปุถชุ นกศุ ล, ดู บญุ กริ ยิ าวตั ถ,ุ อปุ ธิ บุทคล บคุ คล (เขยี นอยางรูปสันสกฤต)บุญกิริยาวตั ถุ สิง่ ที่เปนทต่ี ้งั แหงการทํา บปุ ผวิกัติ ดอกไมท ี่ทาํ ใหแ ปลก, ดอกไมบญุ , เรือ่ งทีจ่ ัดเปนการทาํ บุญ, ทางทํา ทที่ าํ ใหวจิ ิตร โดยประดษิ ฐเ ปนรปู ตา งๆความด,ี หมวด ๓ คือ ๑. ทานมยั ทาํ บพุ กรณ ธรุ ะอนั จะพงึ ทาํ ในเบอ้ื งตน , งานบญุ ดว ยการให ๒. สลี มยั ทําบญุ ดวย ที่จะตองกระทําทีแรก, เรื่องท่ีควรการรักษาศีลและประพฤติดี ๓. ตระเตรยี มใหเ สรจ็ กอ น เชน บพุ กรณภาวนามัย ทาํ บุญดวยการเจริญภาวนา; ของการทําอุโบสถ ไดแก เมื่อถึงวันหมวด ๑๐ คือ ๑. ทานมัย ๒. สลี มัย ๓. อโุ บสถ พระเถระลงอโุ บสถกอ น สง่ั ภกิ ษุภาวนามยั ๔.อปจายนมยั ดว ยการประพฤติ ใหป ด กวาดโรงอโุ บสถ ตามไฟ ตง้ั นา้ํ ฉนัออนนอ ม ๕. เวยยาวัจจมยั ดว ยการ นาํ้ ใช ตงั้ หรอื ปลู าดอาสนะไว; บพุ กรณชวยขวนขวายรับใช ๖. ปตติทานมัย แหง การกรานกฐนิ คอื ซกั ผา ๑ กะผา ๑ดวยการเฉลี่ยสวนความดีใหผูอ่ืน ๗. ตดั ผา ๑ เนาหรอื ดน ผา ทต่ี ดั แลว ๑ เยบ็ปตตานุโมทนามัย ดวยความยินดี เปน จวี ร ๑ ยอ มจวี รทเ่ี ยบ็ แลว ๑ ทาํความดขี องผอู นื่ ๘. ธัมมสั สวนมยั ดว ย กปั ปะคอื พนิ ทุ ๑ ดงั นเ้ี ปน ตนการฟง ธรรม ๙. ธัมมเทสนามัย ดว ย บุพการ 1. “อุปการะกอ น”, การชวยการสัง่ สอนธรรม ๑๐. ทฏิ ุชุกมั ม ดว ย เหลือเกื้อกูลทร่ี ิเรมิ่ ทําข้นึ กอ นเอง โดยมิ การทาํ ความเหน็ ใหตรง ไดคํานึงถึงเหตุเกาเชนวาเขาเคยทาํ อะไรบุญเขต เนื้อนาบุญ; ดู สังฆคุณบุญญาภิสงั ขาร ดู ปุญญาภสิ งั ขาร ใหเราไว และมไิ ดหวงั ขา งหนาวาเขาจะบุญนิธิ ขมุ ทรพั ยคอื บญุ ใหอะไรตอบแทนเรา (ในคําวา บพุ การี)บุญราศี กองบุญ 2. ความเกื้อหนุนชวยเหลอื โดยถอื เปนบญุ ฤทธิ์ ความสาํ เรจ็ ดว ยบญุ , อาํ นาจบญุ สําคัญอันดับแรก, การอุปถัมภบํารุง เกื้อกูลนับถือรับใชที่ทําโดยตั้งใจให

บุพการี ๑๘๑ บุพพณั หสมยั ความสําคัญนําหนาหรอื กอนอ่ืน (เชนใน ลว งหนา วามรรคจะเกดิ ข้นึ , ธรรม ๗ ขอ ๕ แหง สมบัตขิ องอบุ าสก ๕) ประการ ซง่ึ แตละอยางเปนเครื่องหมายบุพการี บุคคลผทู ําอปุ การะกอ น คือ ผูมี บงบอกลวงหนาวาอริยอัฏฐังคิกมรรคพระคุณ ไดแ ก มาดาบิดา ครูอาจารย จะเกิดขึ้นแกผูนั้น ดุจแสงอรุณเปน เปนตน (ขอ ๑ ในบคุ คลหาไดย าก ๒); บุพนมิ ิตของดวงอาทิตยท ี่จะอทุ ยั , แสง ดู บุพการ 1.บพุ กิจ กิจอันจะพงึ ทํากอ น, กิจเบอื้ งตน เงนิ แสงทองของชวี ติ ทด่ี งี าม, รงุ อรณุ ของ เชน บพุ กจิ ในการทาํ อโุ บสถ ไดแ ก กอ น การศกึ ษา ๗ อยา ง คอื ๑.กลั ยาณมติ ตตา ความมีกัลยาณมิตร ๒. สีลสัมปทา สวดปาฏิโมกขตองนําปาริสุทธิของภิกษุ ความถงึ พรอ มดว ยศลี ๓. ฉนั ทสมั ปทา ความถึงพรอมดวยฉันทะ ๔. อัตต- อาพาธมาแจง ใหส งฆท ราบ นาํ ฉนั ทะของ สมั ปทา ความถงึ พรอ มดว ยตนทฝ่ี ก ไวด ี ๕. ทฏิ ฐสิ มั ปทา ความถงึ พรอ มดว ย ภกิ ษอุ าพาธมา บอกฤดู นบั ภกิ ษุ ให โอวาทนางภิกษุณี; บุพกิจแหงการอปุ สมบท ไดแ ก การใหบ รรพชา ขอนสิ ยั ทิฏฐิ (มีหลักความคิดความเชื่อที่ถูกถืออุปชฌาย จนถึงสมมติภิกษุผูสอบ ตอง) ๖. อปั ปมาทสัมปทา ความถงึถามอนั ตรายกิ ธรรมกะอปุ สมั ปทาเปกขะ พรอมดวยความไมประมาท ๗. โยนิโสมนสิการสัมปทา ความถึงทา มกลางสงฆ ดงั นเ้ี ปน ตนบพุ จรยิ า ความประพฤติปฏิบัตติ นทีส่ บื พรอมดว ยโยนโิ สมนสิการมาแตเดิม, การที่ไดเคยดําเนินชีวิต บุพประโยค อาการหรือการทําความประพฤติปฏิบัติหรือทําการอยางน้ันๆ พยายามเบ้อื งตน , การกระทําทแี รกมาในกาลกอน, บางแหง หมายถงึ การ บุพเปตพลี การบาํ เพญ็ บญุ อุทิศแกญ าติทรงบําเพ็ญประโยชนทําความดีในปาง ทลี่ วงลับไปกอ น, การทําบญุ อุทิศใหแกกอนของพระพุทธเจาเม่ือคร้ังยังเปน ผูตาย; เขียนเต็มเปน บุพพเปตพลี หรอื ปพุ พเปตพลี; ดู ปพุ พเปตพลีพระโพธสิ ตั วโ ดยเฉพาะบุพนิมิต เคร่ืองหมายใหรูลวงหนา, สิ่งท่ี บุพพสิกขาวัณณนา หนังสืออธิบายปรากฏใหเห็นกอนเปนเคร่ืองหมายวา พระวนิ ยั พระอมราภิรกั ขติ (อมร เกิด)จะมีเรื่องดีหรือรายบางอยางเกิดขึ้น, วดั บรมนิวาส เปนผูแตงลาง; บรุ พนมิ ติ ต ก็เขียน บพุ พณั ณะ ดู ธญั ชาติ; เทียบ อปรัณณะบุพนิมิตแหง มรรค เคร่ืองหมายทบ่ี อก บุพพัณหสมัย เวลาเบื้องตนแหงวัน,

บุพพาจารย ๑๘๒ บชู า เวลาเชา รวมทงั้ ชายและหญงิบพุ พาจารย 1. อาจารยกอ นๆ, อาจารย บุรพประโยค ดู บุพประโยค รนุ กอ น, อาจารยป างกอน 2. อาจารย บรุ พาจารย ดู บพุ พาจารย ตน , อาจารยค นแรก คือ มารดาบดิ า บุรพาราม ดู บุพพารามบุพพาราม วัดที่นางวิสาขาสรางถวาย บชู นยี สถาน สถานทคี่ วรบูชา พระพุทธเจาและภิกษุสงฆท่ีกรุงสาวัตถี บชู า นาํ ดอกไม ของหอม อาหาร ทรัพยพระพุทธเจาประทบั ทว่ี ดั น้ี รวมทั้งสน้ิ ๖ สินเงินทอง หรือของมีคา มามอบใหพรรษา (ในชว งพรรษาท่ี ๒๑–๔๔ ซึ่ง เพ่ือแสดงความซาบซึ้งพระคุณ มองประทับสลับไปมาระหวางวัดพระเชตวัน เหน็ ความดีงาม เคารพนับถือ ช่ืนชมกบั วัดบพุ พารามน)ี้ ; ดู วสิ าขา เชิดชู หรือนํามาประกอบกิริยาอาการบพุ เพนวิ าส “ขนั ธท เี่ คยอาศยั อยใู นกอ น”, ในการแสดงความยอมรบั นับถือ ตลอด ภพกอ น, ชาตกิ อ น, ปพุ เพนวิ าส กเ็ ขยี น; ดู จนจัดกิจกรรมตางๆ เพื่อแสดงความ ปพุ เพนวิ าสานสุ ติญาณบพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ ดู ปพุ เพนวิ าสา- เคารพนับถือเชนน้ัน, แสดงความเคารพ นุสติญาณบุพเพสันนิวาส การเคยอยูรวมกันใน เทดิ ทูน, เชดิ ชคู ณุ ความดี, ยกยองให ปรากฏความสาํ คญั ; บชู า มี ๒ (อง.ฺ ทกุ .๒๐/ กาลกอน เชน เคยเปน พอแมล กู พนี่ อ ง ๔๐๑/๑๑๗) คอื อามสิ บชู า (บชู าดวยอามิส คือดวยวัตถุส่ิงของ) และ ธรรมบูชาเพื่อนผัวเมยี กันในภพอดีต (ดู ชาดกท่ี (บูชาดวยธรรม คือดวยการปฏิบัติให ๖๘ และ ๒๓๗ เปนตน ) บรรลุจุดหมายท่ีพระพุทธเจาไดทรงบุพภาค สว นเบอ้ื งตน, ตอนตนบุรณะ, บรู ณะ ทําใหเต็ม, ซอมแซม แสดงธรรมไว), ในอรรถกถาแหง มงคล-บุรณมี วันเพญ็ , วันกลางเดอื น, วนั ข้นึ สูตร (ขุททฺ ก.อ.๑๑๓; สตุ ตฺ .อ.๒/๘๓) ทา นกลา ว ๑๕ ค่ํา ถึงบชู า ๒ อยา ง เปน อามสิ บชู า และบรุ พทิศ ทศิ ตะวันออก ปฏิบัติบูชา (บูชาดวยการปฏิบัติ คือบุรพนิมิตต ดู บุพนิมติ บูชาพระพุทธเจา ดว ยสรณคมน การรับบรุ พบรุ ุษ คนกอนๆ, คนรุนกอ น, คน สกิ ขาบทมารักษาเพ่ือใหเปนผมู ีศีล การ ถอื อุโบสถ และคุณความดตี างๆ ของตนเกากอน, คนผูเปนตนวงศตระกูล, มีปารสิ ทุ ธิศลี ๔ เปนตน ตลอดจนการบรรพบุรษุ ; คาํ วา บุรุษ ในทน่ี ี้ หมาย เคารพดูแลมารดาบิดา และบูชาปูชนีย-

บูชามยบญุ ราศี ๑๘๓ เบญจางคบคุ คลทัง้ หลาย) โดยเฉพาะปฏิบัตบิ ชู า โผฏฐัพพะ (สัมผสั ทางกาย)น้ั น ทานอางพุทธพจนในมหา - เบญจขนั ธ ขนั ธ ๕, กองหรอื หมวดทงั้ ๕ ปรินพิ พานสตู ร (ท.ี ม.๑๐/๑๒๙/๑๖๐) ที่ตรสั แหงรูปธรรมและนามธรรมที่ประกอบ วา “ดูกรอานนท ผใู ดแล จะเปน ภกิ ษุ เขา เปนชีวิต ไดแ ก ๑. รูปขนั ธ กองรูป ภกิ ษุณี อุบาสก หรืออุบาสกิ า ก็ตาม ๒. เวทนาขนั ธ กองเวทนา ๓. สญั ญา- เปนผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม ขนั ธ กองสญั ญา ๔. สงั ขารขันธ กอง ปฏิบตั ิชอบ ปฏบิ ตั ิตามธรรมอยู ผนู ั้น สังขาร ๕. วญิ ญาณขันธ กองวิญญาณ ช่ือวาสักการะ เคารพ นับถือ บูชา เบญจโครส โครส คือ ผลผลิตจากนม ตถาคตดว ยการบูชาอยางยิ่ง” กลาวยอ โค ๕ อยาง ไดแก ขีระ (นมสด) ทธิ ปฏบิ ัตบิ ูชา ไดแก ธรรมานุธรรมปฏิบตั ิ (นมสม) ตักกะ (เปรียง) สัปป (เนยใส)บูชามยบุญราศี กองบุญที่สําเร็จดวย นวนีตะ (เนยขน), พึงทราบวา เนยขน การบชู า นั้น มลี ักษณะเปนกอน ทานจงึ เตมิ คําบูชายัญ พิธีเซนสรวงเทพเจาของ วา “ปณ ฑะ” เขาไป เปน นวนีตปณ ฑะพราหมณ, การเซน สรวงเทพเจาดว ยวธิ ี หรือโนนีตปณฑะ (เชน ขุ.เถร.๒๖/๑๑๕/ฆา คนหรอื สตั วเ ปน เครอื่ งบูชา; ในภาษา ๒๑๔); ดู โครสบาลี ไมใชคําวา “บูชา” กับคําวา “ยญั ” เบญจธรรม ธรรม ๕ ประการ, ความดีทพ่ี ดู กนั วา “บูชายญั ” น้นั แปลจากคํา ๕ อยางท่ีควรประพฤติคูกันไปกับการบาลวี า “ยญั ญยชนะ” รักษาเบญจศีลตามลําดับขอดังน้ี ๑.บูร ทิศตะวันออก เมตตากรุณา ๒. สมั มาอาชีวะ ๓. กาม-บูรณะ ดู บุรณะ สังวร (สาํ รวมในกาม) ๔. สจั จะ ๕. สต-ิบูรณมี ดู บุณมี สมั ปชัญญะ; บางตาํ ราวา แปลกไปบางขอบรู พาจารย ดู บพุ พาจารย คอื ๒. ทาน ๓. สทารสนั โดษ = พอใจเบญจกัลยาณี หญิงมีลักษณะงาม ๕ เฉพาะภรรยาของตน ๕. อัปปมาทะ =อยาง คอื ผมงาม เนือ้ งาม (คอื เหงอื ก ไมประมาท; เบญจกัลยาณธรรม กเ็ รยี กและริมฝปากแดงงาม) ฟนงาม ผิวงาม เบญจมหานที ดู มหานที ๕ เบญจวัคคีย ดู ปญจวคั คียวัยงาม (คือดงู ามทุกวัย)เบญจกามคุณ ส่ิงท่ีนาปรารถนานาใคร เบญจศีล ดู ศลี ๕๕ อยาง คอื รูป เสียง กลน่ิ รส และ เบญจางค อวยั วะทงั้ ๕ คอื ศีรษะ ๑

เบญจางคประดษิ ฐ ๑๘๔ ปกาสนียกรรมมอื ทั้ง ๒ เทาท้งั ๒ โบราณฏั ฐกถา ดู โปราณฏั ฐกถาเบญจางคประดิษฐ การกราบดวยต้ัง ใบฎกี า 1. หนังสือนมิ นตพระ ตวั อยางอวัยวะท้งั ๕ อยา งลงกับพ้นื คือกราบ “ขออาราธนาพระคุณเจา (พรอมดวยเอาเขาท้ังสอง มือทั้งสอง และศีรษะ พระสงฆใ นวดั น้ีอกี ... รูป) เจรญิ พระ(หนาผาก) จดลงกบั พื้น พุทธมนต (หรือสวดมนต หรือแสดงเบยี ดบัง การถอื เอาเศษ เชน ทา นใหเกบ็ พระธรรมเทศนา) ในงาน ... ทบ่ี าน เลขเงินคาเชาตางๆ เก็บไดมากแตใหทาน ที่ ... ตําบล ... อําเภอ ... ในวนั ท่ี ...แตน อย ใหไ มครบจาํ นวนที่เก็บได เดือน ... พ.ศ. ... เวลา ... น.” (หากจะโบกขรณี สระบวั อาราธนาใหรับอาหารบิณฑบาตเชาหรือโบกขรพรรษ “ฝนดุจตกลงบนใบบัว เพลหรอื มกี ารตกั บาตรใชป น โต กใ็ หร ะบุหรือในกอบัว”, ฝนที่ตกลงมาในกาละ ไวด ว ย) 2. ตําแหนงพระฐานานุกรมรองพเิ ศษ มสี แี ดง ผใู ดตอ งการใหเ ปย ก ก็ จากสมุหลงมาเปย ก ผใู ดไมต อ งการใหเ ปย ก กไ็ มเ ปย ก ใบปวารณา ใบแจง แกพ ระวา ใหข อได ตวัแตเ มด็ ฝนจะกลงิ้ หลน จากกาย ดจุ หยาด อยา ง “ขา พเจา ขอถวายจตปุ จ จยั อนั ควรนาํ้ หลน จากใบบวั เชน ฝนทต่ี กในพระ แกส มณบรโิ ภค แดพระคุณเจา เปน มลูญาติสมาคมคราวเสด็จกรุงกบิลพัสดุ คา ... บาท ... สต. หากพระคณุ เจา ตอ งครง้ั แรก อนั เหมอื นกบั ทตี่ กในพระญาติ ประสงคสิ่งใดอันควรแกสมณบริโภคสมาคมของพระเวสสนั ดร แลว ขอไดโปรดเรียกรองจากกัปปย-โบราณ มีในกาลกอน, เปนของเกา แก การก ผปู ฏบิ ตั ขิ องพระคณุ เจา เทอญ” ปปกครอง คมุ ครอง, ดแู ล, รกั ษา, ควบคมุ จากอาบัติสังฆาทิเสส และภิกษุที่ถูกปกตัตตะ, ปกตตั ต “ผมู ีตนเปน ปกต”ิ , สงฆล งนิคหกรรมอืน่ ๆ; ดู กมั มปต ตะ, ภิกษุผูมีภาวะของตนกลาวคือศีลเปน กมั มารหะ, ฉนั ทารหะ ปกติ คือ ไมต องอาบัตปิ าราชกิ หรือถกู ปกตอิ โุ บสถ ดู อุโบสถ 2.๑. สงฆลงอุกเขปนียกรรม รวมท้ังมิใช ปกรณ คมั ภรี , ตาํ รา, หนงั สอื ภิกษุผูกําลังประพฤติวุฏฐานวิธีเพ่ือออก ปกาสนียกรรม กรรมอันสงฆพึงทําแก

ปกาสนียกรรม ๑๘๕ ปกาสนียกรรมภกิ ษุผูทพี่ ึงถกู ประกาศ (แปลวา กรรม แกพระเทวทตั ผูกนิ เขฬะ (คอื บริโภคอันเปนเครอ่ื งประกาศ กไ็ ด) หมายถึง ปจจยั ซึ่งเกิดจากอาชีวะทไี่ มบ ริสทุ ธิ์ อนัการท่ีสงฆมีมติและทําการประกาศให อริยชนจะพงึ คายทิง้ ) ไดอยางไร พระเปนท่ีรูกันทั่วไป ถึงสถานภาพในเวลา เทวทัตโกรธวาพระพุทธเจาตรัสใหตนนั้นของภิกษรุ ูปน้ันในสงฆ เชน ความไม เสียหนาในทปี่ ระชมุ แลวยังยกยอ งพระเปน ที่ยอมรบั หรือการทส่ี งฆไ มย อมรบั สารีบุตรและพระโมคคัลลานะเสียอีกและไมรับผิดชอบตอการกระทําของ ดวย กผ็ ูกอาฆาต และทูลลาไป ถึงตอนภิกษุรูปน้ัน, เปนกรรมท่ีพระพุทธเจา นี้ พระพุทธเจาจึงไดตรสั บอกวิธที ส่ี งฆตรัสบอกใหเปนวิธีปฏิบัติตอพระเทวทัต จะปฏิบัติตอพระเทวทัตดวยการทําและสงฆก็ไดกระทําตอพระเทวทัตใน ปกาสนยี กรรม และใหสงฆส มมติ คอืเมอื งราชคฤห ตามเรอื่ งวา เมื่อพระเทว- ต้ั ง ใ ห พ ร ะ ส า รี บุ ต ร เ ป น ผู ไ ป ก ล า วทัตแสดงฤทธิ์แกเจาชายอชาตศัตรู ทํา ประกาศ (พระสารีบุตรเปนผูท่ีไดยกใหราชกุมารนั้นเล่ือมใสแลว ก็ไดช่ือ ยองสรรเสริญพระเทวทัตไวในเมืองเสยี ง มลี าภสักการะเปน อนั มาก ตอมา ราชคฤหนั้น) คําประกาศมีวาดังนี้วันหน่ึง ขณะที่พระพุทธเจาประทับนั่ง (วนิ ย.๗/๓๖๒/๑๗๓) “ปกติของพระเทวทตัทรงแสดงธรรมอยู ในทปี่ ระชมุ ใหญซ ึง่ แตกอนเปนอยางหนึ่ง เดี๋ยวนี้เปนอีกมีพระราชาประทับอยูด ว ย พระเทวทตั อยา งหนึ่ง พระเทวทัตทาํ การใด ดวยไดกราบทลู วา พระพุทธเจา ทรงพระชรา กาย วาจา ไมพ งึ มองเหน็ พระพุทธ พระเปนผเู ฒา แกห งอมแลว ขอใหทรงพกั ธรรม หรือพระสงฆ ดว ยการนน้ั พงึผอน โดยมอบภิกษสุ งฆใ หพ ระเทวทตั เห็นเปน การเฉพาะตวั พระเทวทตั เอง”บริหารตอ ไป แตพระพุทธเจา ทรงหามวา“อยาเลย เทวทัต เธออยาพอใจที่จะ ทางดา นพระเทวทัต ตอมา ก็ไดไปบริหารภิกษุสงฆเลย” แมกระนัน้ พระ แนะนําเจาชายอชาตศัตรูใหปลงพระเทวทัตก็ยังกราบทูลอยางเดิมอีกจนถึง ชนมพระราชบิดาแลวขึ้นครองราชยครั้งท่ี ๓ พระพทุ ธเจาจึงตรสั วา แมแต โดยตนเองก็จะปลงพระชนมพระพุทธพระสารีบุตรและพระโมคคลั ลานะ พระ เจาแลวเปนพระพุทธเจาเสียเอง มาองคก็ยังไมทรงปลอยมอบภิกษุสงฆให ประสานบรรจบกัน เจา ชายอชาตศตั รูไดแลวจะทรงปลอยมอบภิกษุสงฆนั้นให เหน็บกริชแนบพระเพลาเขาไปเพ่ือทํา การตามแผน แตม พี ิรุธ ถกู จบั ได เมื่อ

ปกาสนียกรรม ๑๘๖ ปกาสนยี กรรมถูกสอบสวนและสารภาพวาทรงทําตาม กําลังจากฝายบานเมืองมาดําเนินการคํายุยงของพระเทวทัต มหาอํามาตย พยายามปลงพระชนมพระพุทธเจา ทง้ัพวกหนึ่งมีมติวา ควรประหารชีวติ ราช- จัดพรานธนูไปดักสังหาร ทั้งกล้ิงกอนกุมาร และฆาพระเทวทัตกับท้ังประดา ศลิ าลงมาจากเขาคิชฌกฏู จะใหทบั และพระภิกษุเสียใหหมดส้ิน มหาอาํ มาตย ปลอยชางดุนาฬาคีรีใหเขามาทํารายบนพวกหนึ่งมีมติวา ไมควรฆาภิกษุท้ัง ทางเสด็จ แตไมสาํ เร็จ จนในครงั้ สุดหลาย เพราะพวกภิกษุไมไดท ําความผิด ทา ย มหาชนรเู ร่อื งกนั มากข้ึน กอ็ อกมาอะไร แตควรประหารชีวิตราชกุมาร แสดงความไมพอใจตอพระราชาวาเปนและฆาพระเทวทัตเสีย สวนมหา ผูสงเสริม เปนเหตุใหพ ระเจาอชาตศตั รูอํามาตยอีกพวกหน่ึงมีมติวา ไมควร ตองทรงถอนพระองคจากพระเทวทัตประหารราชกมุ าร ไมค วรฆาพระเทวทัต ทําใหพระเทวทัตเส่ือมจากลาภสักการะและไมค วรสังหารภกิ ษทุ ้งั หลาย แตค วร กอนถึงกาลจบสิน้ ในทีส่ ุดกราบทูลพระราชา แลวพระองครับส่ังอยา งใด กท็ าํ อยา งนนั้ จากนนั้ พวกมหา ปกาสนยี กรรมนี้ เปน สังฆกรรมหนึ่งอํามาตยก็คุมตัวอชาตศัตรูกุมารเขาไป ใน ๘ อยา ง ท่ีเปน อสมั มขุ ากรณยี  คือเฝาพระเจา พิมพิสาร กราบทลู รือ่ งนั้นให กรรมซ่ึงไมตองทําในท่ีตอหนา หรือทรงทราบ พระราชาทรงถามมติของ พรอมหนา บคุ คลทถี่ ูกสงฆทาํ กรรม ไดพวกมหาอาํ มาตย ทรงตาํ หนพิ วกทใ่ี หฆ า แก ๑.ทเู ตนปุ สมั ปทา (การอปุ สมบทภกิ ษทุ งั้ ปวงเสยี ใหห มด โดยทรงทว งวา โดยใชท ูต คอื ภกิ ษุณีใหมท่อี ปุ สมบทในพระพุทธเจาไดใหประกาศไปแลวมิใช ภิกษุณีสงฆเสร็จแลว จะไปรับการหรือวาสงฆมิไดยอมรับการกระทําของ อุปสมบทจากภิกษุสงฆเพื่อใหครบการพระเทวทัต การกระทํานั้นเปนเรื่อง อุปสมบทจากสงฆสองฝาย แตถ า มีขอเฉพาะตัวของพระเทวทัตเอง จากน้ัน ติดขัดเกรงวาการเดินทางจะไมปลอดเมอ่ื ทรงซกั ถามราชกมุ าร ไดความวาจะ ภยั กใ็ หภกิ ษุณีอ่นื เปนทูต คือเปนตัวปลงพระชนมพระองคเพราะตองการ แทนแจงการขอรับอุปสมบทของตนตอราชสมบัติ ก็ไดทรงมอบราชสมบัติแก ที่ประชมุ ภิกษุสงฆ โดยตนเองไมต อ งไปเจาชายอชาตศัตรู เมื่อพระเจาอชาต- กไ็ ด) ๒.ปต ตนกิ กชุ ชนา (การควํา่ บาตรศัตรูครองราชยแลว พระเทวทัตก็ได อุบาสกผูปรารถนารายตอพระรัตนตรัย) ๓.ปต ตอกุ กชุ ชนา (การหงายบาตร คือ

ปกณิ ณกทุกข ๑๘๗ ปฏกิ โกสนาประกาศระงับโทษอุบาสกผูเคยมุงราย ภิกษุผูมีพฤติกรรมหรือแสดงอาการอันตอ พระรัตนตรยั ซ่งึ ไดกลบั ตัวแลว ) ๔. ไมเปนที่นาเล่ือมใส และใหถือวาภิกษุอุมมัตตกสมมติ (การสวดประกาศ นั้นเปน ผทู ีภ่ กิ ษณุ ที ้งั หลายไมพึงไหว); ดูความตกลงใหถือภิกษุผูวิกลจริตใน เทวทัต, นคิ หกรรมระดับทีจ่ าํ อะไรไดบ างไมไ ดบ า ง วา เปนผู ปกิณณกทุกข ทุกขเบ็ดเตลด็ , ทุกขเรยี่วิกลจริต เพื่อวาเม่ือภิกษุน้ันระลึก ราย, ทกุ ขจ ร ไดแก โสกะ ปรเิ ทวะอโุ บสถหรอื สังฆกรรมไดก็ตาม ระลกึ ไม ทุกข โทมนัส อุปายาสไดก็ตาม มารวมก็ตาม ไมมาก็ตาม ปกิรณกะ ขอเบ็ดเตล็ด, ขอเล็กๆสงฆจะพรอมดวยเธอ หรือปราศจาก นอ ยๆ, ขอปลกี ยอ ยจากเธอก็ตาม กจ็ ะทาํ อุโบสถได ทาํ สงั ฆ- ปขาว ชายผจู ําศลีกรรมได) ๕.เสกขสมมติ (การสวด ปชาบดี 1. ภรรยา, เมยี 2. ดู มหาปชาบด-ีประกาศความตกลงตั้งสกุลคือครอบ โคตมีครัวท่ีย่ิงดวยศรัทธาแตหยอนดว ยโภคะ ปฏลิกา เครื่องลาดทําดวยขนแกะท่ีมีใหถือวาเปนเสขะ เพอื่ มใิ หภ กิ ษรุ บกวน สัณฐานเปนพวงดอกไมไปรบั อาหารมาฉนั นอกจากไดร บั นมิ นต ปฏาจารา พระมหาสาวกิ าองคห นง่ึ เปนไวกอน หรืออาพาธ) ๖.พรหมทณั ฑ ธิดาเศรษฐีในพระนครสาวัตถีไดรับ(“การลงโทษอยางสูงสง” คือการทส่ี งฆม ี วปิ โยคทกุ ขอ ยา งหนกั เพราะสามตี าย ลกูมติลงโทษภิกษุหัวดื้อวายาก โดยวิธี ตาย พอ แมพ น่ี อ งตายหมด ในเหตกุ ารณพรอมกันไมวากลาวสั่งสอนตักเตือน รายท่ีเกิดข้ึนฉับพลันทันทีและติดตอกันใดๆ ดงั ท่ีทําแกพระฉันนะเม่อื พระพุทธ ถึงกับเสียสติปลอยผานุงผาหมหลุดลุยเจาปรินิพพานแลว) ๗.ปกาสนยี กรรม เดนิ บน เพอ ไปในทตี่ า งๆ จนถงึ พระเชตวนั(การประกาศใหเ ปน ทร่ี ูทั่วกัน ถงึ สภาวะ พระศาสดาทรงแผพ ระเมตตา เปลง พระของภิกษุรูปน้ันซ่ึงไมเปนท่ียอมรับของ วาจาใหนางกลับไดสติ แลวแสดงพระสงฆ อันพึงถือวาการใดที่เธอทําก็เปน ธรรมเทศนา นางไดฟ ง แลว บรรลโุ สดา-เร่ืองเฉพาะตัวของเธอ ไมผูกพันกบั สงฆ ปตติผล บวชเปน พระภกิ ษณุ ี ไมช า ก็หรอื ตอ พระศาสนา ดงั ท่ที าํ แกพ ระเทว- สําเร็จพระอรหัต ไดรับยกยองวาเปนทัต) ๘.อวนั ทนยี กรรม (การทภี่ กิ ษณุ ี เอตทคั คะในทางทรงพระวนิ ยัสงฆมีมติประกาศใหเปนท่ีรูทั่วกันถึง ปฏกิ โกสนา การกลา วคดั คา นจังๆ (ตา ง

ปฏิกรรม ๑๘๘ ปฏิกรรม จากทิฏฐาวิกมั ม ซึ่งเปนการแสดงความ นัน้ , “ปฏกิ รสิ สฺ าม”ิ เปน รปู กรยิ าของปฏิ เห็นแยง ช้ีแจงความเห็นท่ีไมรวมดวย กรรม) ๒. วินัยบัญญัติ (สําหรับพระ สงฆ) เรอ่ื งปวารณากรรม คือหลงั จาก เปน สว นตวั แตไ มไ ดค ดั คาน) อยูรวมกันมาตลอดพรรษา ภิกษุหรือปฏกิ รรม “การทําคืน”, “การแกกรรม”, การแกไข, การกลับทําใหมใหเปนดี, ภิกษุณีท้ังหลายประชุมกัน และแตละ เปนคําสอนสําคัญสวนหนึ่งในการทํา รูปกลาวคําเปดโอกาสหรือเชิญชวนแกท่ี กรรม มสี าระสําคัญ คอื ยอมรับความ ประชมุ เรม่ิ ดว ยรูปทเี่ ปนผใู หญท ่สี ุดวา (วนิ ย.๔/ ๒๒๖/๓๑๔) “สงฆฺ  อาวโุ ส ปวาเร ผิดพลาดที่ไดทําไปแลว ละเลิกบาป มิ ทิฏเน วา สเุ ตน วา ปรสิ งกฺ าย วา, วทนตฺ ุ ม อายสมฺ นฺโต อนกุ มปฺ  อุ อกุศลหรือการกระทําผิดพลาดเสียหาย ปาทาย, ปสสฺ นโฺ ต ปฏกิ รสิ สฺ าม”ิ (เธอ ทง้ั หลาย ฉนั ปวารณาตอ สงฆ ดว ยได ท่ีเคยทําน้ัน และหันมาทําความดีงาม เหน็ กด็ ี ดว ยไดฟ ง ก็ดี ดว ยสงสัยกด็ ี ถกู ตองหรือบญุ กุศล แกไขปรบั ปรงุ ตน ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาวา เปลี่ยนแปรกรรมใหดี, ในทางปฏิบัติ กลาวฉัน ฉันเห็นอยู จักทาํ คนื , “ปฏกิ ริ สสฺ าม”ิ เปน รปู กรยิ าของ ปฏกิ รรม) ๓. พระพุทธเจาไดทรงนําหลักปฏิกรรมมา อริยวินัย (สําหรับทั้งพระสงฆและ คฤหัสถ) เรื่องอัจจยเทศนา คือการ วางเปนระบบวธิ ีปฏบิ ัติทางสังคม คือใน แสดงความยอมรับหรือสํานึกผิดในการ ดา นวนิ ยั ขนั้ พื้นฐาน ๓ ประการ ไดแก ที่ตนไดทําความผิดละเมิดหรือลวงเกิน ๑. วนิ ัยบัญญัติ (สาํ หรบั พระสงฆ) เรื่อง อาปตติปฏกิ รรม ซง่ึ แปลกันวา การทํา ผอู น่ื และมาบอกขอใหผูอื่นน้นั ยอมรบั คืนอาบัติ คือการที่ภิกษุหรือภิกษุณี ความสํานึกของตน เพื่อที่ตนจะได บอกแจง ความผิดของตน เพอ่ื จะสังวร สํารวมระวังตอไป ดังเชนในกรณีนาย ตอ ไป แมแ ตแคสงสัย ดงั เชน เมอ่ื ถึง ขมังธนูท่ีรับจางมาเพื่อสังหารพระพุทธ วนั อุโบสถ ภิกษุรปู หนึง่ เกิดความสงสัย เจา แลวสาํ นกึ ผดิ และเขา มากราบทูล วา ตนอาจจะไดต อ งอาบัติ ก็บอกแจงแก ความสํานกึ ผดิ ของตน พระพุทธเจา ได ภิกษอุ นื่ รปู หนง่ึ วา (เชน วนิ ย.๔/๑๘๖/๒๔๖) “อห อาวุโส อิตถฺ นนฺ ามาย อาปตฺตยิ า ตรัสขอความที่เปนหลักในเร่ืองน้ีวา เวมติโก, ยทา นิพฺเพมติโก ภวิสฺ (วินย.๗/๓๖๙/๑๘๐) “ยโต จ โข ตฺว สามิ, ตทา ต อาปตตฺ ึ ปฏกิ รสิ สฺ าม”ิ (ทา นครบั ผมมคี วามสงสยั ในอาบัติช่ือนี้ หายสงสัยเมื่อใด จกั ทาํ คนื อาบัตินั้นเมื่อ

ปฏกิ สั สนา ๑๘๙ ปฏจิ จสมปุ บาทอาวุโส อจจฺ ย อจจฺ ยโต ทสิ วฺ า ยถาธมมฺ  ปฏิฆะ ความขดั ใจ, แคน เคือง, ความขง้ึปฏกิ โรส,ิ ตนเฺ ต มย ปฏิคฺคณหฺ าม, วุ เคียด, ความกระทบกระทง่ั แหง จิต ไดทธฺ ิ เหสา อาวุโส อรยิ สสฺ วนิ เย, โย แกความท่ีจิตหงุดหงิดดวยอํานาจโทสะอจจฺ ย อจจฺ ยโต ทสิ วฺ า ยถาธมมฺ  ปฏกิ (ขอ ๕ ในสังโยชน ๑๐, ขอ ๒ ในโรต,ิ อายตึ สวร อาปชฺชต”ิ (เพราะ สังโยชน ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม, ขอการท่ีเธอมองเห็นโทษ โดยความเปน ๒ ในอนสุ ยั ๗)โทษ แลวทําคนื ตามธรรม เราจงึ ยอมรบั ปฏจิ จสมุปบาท [ปะ-ติด-จะ-สะ-หมุบ-โทษนนั้ ของเธอ การท่ีผูใ ดเหน็ โทษโดย บาด]“การท่ีธรรมทั้งหลายอาศัยกัน เกดิความเปนโทษ แลว ทาํ คืนตามธรรม ถงึ ขึ้นพรอม”, สภาพอาศัยปจจัยเกิดข้ึน, ความสังวรตอไป ขอนั้น เปนความ การที่ส่ิงทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีข้ึน, เจรญิ ในอรยิ วินยั , “ปฏกิ โรส”ิ และ “ป การที่ทุกขเกิดข้ึนเพราะอาศัยปจจัยตอ ฏกิ โรต”ิ เปน รปู กรยิ าของปฏกิ รรม) เนอื่ งกนั มา มอี งคค อื หวั ขอ ๑๒ ดงั นี้ปฏิกัสสนา กิริยาชักเขาหาอาบัติเดิม, ๑. อวชิ ฺชาปจจฺ ยา สงขฺ าราเปนช่ือวุฏฐานวิธีสําหรับอันตราบัติคือ เพราะอวิชชา เปนปจ จยั สงั ขารจึงมีระเบียบปฏิบัติในการออกจากอาบัติ ๒.สงขฺ ารปจจฺ ยา วิ ฺ าณํสังฆาทิเสสสําหรับภิกษุผูตองอาบัติ เพราะสงั ขาร เปนปจจัย วญิ ญาณจงึ มีสังฆาทิเสสข้ึนใหมอีก ในเวลาใดเวลา ๓. วิฺ าณปจจฺ ยา นามรปู หน่ึงตั้งแตเร่ิมอยูปริวาสไปจนถึงกอน เพราะวิญญาณ เปน ปจจยั นามรปู จงึ มีอัพภาน ทําใหเธอตองกลับอยูปริวาส ๔. นามรปู ปจฺจยา สฬายตนํ หรือประพฤติมานัตต้ังแตเริ่มตนไป เพราะนามรปู เปน ปจ จยั สฬายตนะจงึ มี ใหม; สงฆจ ตุรวรรคใหป ฏิกัสสนาได; ดู ๕. สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส อันตราบัติปฏิกา เครอื่ งลาดทําดว ยขนแกะทมี่ ีสีขาว เพราะสฬายตนะ เปนปจ จัย ผัสสะจึงมี ๖. ผสสฺ ปจฺจยา เวทนา ลว น เพราะผสั สะ เปน ปจ จยั เวทนาจึงมีปฏกิ าร การตอบแทน, การสนองคณุ ผอู น่ืปฏิกูล นา เกลียด, นา รังเกยี จ ๗. เวทนาปจจฺ ยา ตฺณหาปฏคิ ม ผตู อ นรบั , ผรู บั แขก, ผดู แู ลตอ นรบัปฏิคาหก ผรู ับทาน, ผูรับของถวาย เพราะเวทนา เปนปจ จัย ตณั หาจึงมี ๘. ตณฺหาปจจฺ ยา อุปาทานํ เพราะตณั หา เปนปจจยั อปุ าทานจงึ มี

ปฏิจจสมปุ บาท ๑๙๐ ปฏิจจสมปุ บาท๙. อปุ าทานปจจฺ ยา ภโว คือความดับไปแหงทุกข จึงเรียกวา เพราะอปุ าทาน เปนปจ จัย ภพจงึ มี ปฏิจจสมปุ บาทแบบ นโิ รธวาร๑๐. ภวปจจฺ ยา ชาติ ปฏิจจสมุปบาทน้ี บางทีเรียกชื่อ เต็มเปนคําซอนวา อิทัปปจจยตา เพราะภพ เปนปจ จัย ชาติจึงมี ปฏิจจสมปุ บาท (ภาวะที่อันนี้ๆ มี เพราะ อันน้ีๆ เปนปจจัย [หรือประชุมแหง๑๑. ชาตปิ จฺจยา ชรามรณํ ปจ จัยเหลาน้ๆี ] กลา วคือการทธ่ี รรมทั้ง หลายอาศยั กันเกดิ ข้ึนพรอม), ในคมั ภีร เพราะชาติ เปน ปจ จยั ชรามรณะจึงมี ทายๆ ของพระสตุ ตันตปฎก และใน พระอภธิ รรมปฎ ก มคี าํ เรยี กปฏจิ จสมปุ - โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา บาทเพ่ิมขึ้นอกี อยา งหนึง่ วา ปจ จยาการ สมภฺ วนตฺ ิ (อาการที่เปนปจจัยแกกัน), เนื่องจาก ปฏิจจสมุปบาทแสดงอาการที่ธรรมท้ัง โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส หลายเปนปจจัยแกกันตอเนื่องไปเปน วงจรหรือหมุนเปนวงวน และเมื่อมอง จงึ มพี รอ ม ตอขึ้นมาอีกช้ันหน่ึง ก็เห็นสภาพชีวิต ของสัตวท้ังหลายที่เรรอนวายวนเวียน เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกขฺ กขฺ นธฺ สสฺ ไปในภพภมู ิตางๆ ดวยเหตนุ ี้ กไ็ ดเ กดิ มี สมทุ โย โหติ คาํ เรียกความเปนไปตามปฏิจจสมุปบาท นั้นวา “วัฏฏะ” (สภาพหมนุ วน) บา ง ความเกิดขึ้นแหงกองทุกขทั้งปวงน้ีจึง “สังสาระ” (การเท่ียวเรรอนไป) บาง “สงั สารวฏั ฏ” (วงวนแหง การเทย่ี วเรร อ น มีดว ยประการฉะน้ี ไป) บา ง ตลอดจนคาํ ในชนั้ อรรถกถา ซงึ่ บางทเี รยี กปฏจิ จสมปุ บาทวา “ภวจักร” ปฏิจจสมุปบาทที่ธรรมท้ังหลาย และ “สังสารจกั ร”เปนปจจัยแกกันไปตามลําดับอยางนี้ ในการอธิบายหลักปฏิจจสมุปบาท ที่พระพุทธเจาเองก็ตรัสไววาเปนธรรมแสดงทุกขสมุทัยคือความเกิดขึ้นแหง ลกึ ซึง้ นี้ พระอรรถกถาจารยไ ดพยายามทุกข จงึ เรยี กวา สมทุ ยั วาร (พึงสังเกตวา คาํ วา สมปุ บาท กบั สมทุ ัย มีความหมายเหมือนกันวา ความเกิดขึ้นพรอม), เมื่อทกุ ขเ กิดข้นึ อยา งนี้ การที่จะดับทุกข กค็ ือดับธรรมทเ่ี ปน ปจจยั ใหเกิดทุกข ดังนั้น ทา นจงึ แสดงกระบวนธรรมแบบที่ตรงขา มไวดวย คอื ปฏจิ จ-สมุปบาทที่ธรรมอันเปนปจจัยดับตอๆกันไป (เรม่ิ ตัง้ แตวา “เพราะอวิชชาดับสงั ขารจึงดับ, เพราะสงั ขารดบั วญิ ญาณจึงดับ ฯลฯ”) เปนการแสดงทกุ ขนิโรธ

ปฏจิ จสมปุ บาท ๑๙๑ ปฏจิ จสมปุ บาทช้แี จงโดยจดั องค ๑๒ ของปฏิจจสมปุ - มไี ตรวฏั ฏตอ กัน ๒ รอบ คือ รอบท่ี ๑ องคที่ ๑ อวิชชา เปนกเิ ลส, องคท ่ี ๒บาทน้ัน เปนกลมุ เปนประเภทและเปน สังขาร เปนกรรม, องคท่ี ๓-๗ วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะชวงๆ คือ องคท ่ี ๑ อวชิ ชา องคท ่ี ๘ เวทนา เปน วบิ าก, รอบที่ ๒ องคท ี่ ๘ตัณหา และองคท่ี ๙ อุปาทาน สาม ตณั หา และองคที่ ๙ อุปาทาน เปน กเิ ลส,อยางนเ้ี ปน กเิ ลส, องคท ี่ ๒ สงั ขาร องคที่ ๑๐ ภพ เปนกรรม, องคท ่ี ๑๑–และองคท ่ี ๑๐ ภพ สองอยา งน้เี ปน ๑๒ ชาติ ชรามรณะ เปน วิบาก, จากนนั้กรรม, องคท ี่ ๓-๗ วญิ ญาณ นามรปู อธบิ ายตอ ไปวา องคทเี่ ปน กเิ ลส เปนสฬายตนะ ผสั สะ เวทนา และองคท่ี กรรม เปน วิบาก ในรอบท่ี ๑ มองดู๑๑–๑๒ ชาติ ชรามรณะ เจด็ องคน ี้เปน แตกตางกับองคที่เปนกเิ ลส เปน กรรมวิบาก, เมื่อมองตามกลุมหรือตาม เปน วบิ าก ในรอบที่ ๒ แตท ี่จริง โดยประเภทอยางน้ี จะเห็นไดง ายวา กิเลส สาระไมตางกนั ความแตกตางทป่ี รากฏ น้ัน คือการพูดถึงสภาวะอยางเดียวกันเปนเหตุใหกอกรรม แลวกรรมก็ทําให แตใชถอยคําตางกัน เพ่ือระบุชี้องค ธรรมที่ออกหนามีบทบาทเดนเปนตัวเกิดผลท่เี รยี กวาวบิ าก (แลววิบากก็เปน แสดงในวาระน้ัน สวนองคธรรมที่ไม ระบุ ก็มีอยูดวยโดยแฝงประกบอยูปจ จยั ใหเ กิดกเิ ลส), เม่ือมองความเปน หรือถูกรวมเขาไวดวยคําสรุปหรือคําท่ี ใชแทนกนั ได เชน ในรอบ ๑ ทีร่ ะบุไปตลอดปฏิจจสมุปบาทครบทั้ง ๑๒ เฉพาะอวชิ ชาเปน กิเลสนน้ั ท่ีแทต ณั หา อุปาทานก็พวงพลอยอยูดวย สวนในองค เปนการหมุนวนหนึ่งรอบ ก็คือ รอบ ๒ ท่วี า ตณั หาอุปาทานเปน กเิ ลสครบ ๑๒ องคน นั้ เปน วฏั ฏะ กจ็ ะเห็น นัน้ ในขณะทตี่ ัณหาอุปาทานเปน เจา บทวาวัฏฏะนั้นแบงเปน ๓ ชวง คอื ชวง บาทออกโรงอยู ก็มีอวิชชาอยเู บอ้ื งหลงั ตลอดเวลา, ในรอบ ๑ ท่ยี กสงั ขารข้ึนกิเลส ชวงกรรม และชวงวิบาก เมือ่ มาระบุวาเปนกรรม ก็เพราะเนนที่การ ทํางาน สว นในรอบ ๒ ท่รี ะบวุ าภพเปนวัฏฏะมีสามชวงอยางน้ี ก็จึงเรียกปฏจิ จสมปุ บาทวาเปน ไตรวัฏฏ (วงวนสามสว น หรอื วงวนสามซอน) ประกอบดวย กเิ ลสวฏั ฏ กรรมวัฏฏ และวิปาก-วฏั ฏ, การอธบิ ายแบบไตรวฏั ฏน้ี เปนวิธีที่ชวยใหเขาใจงายขึ้นอยางนอยในข้ันเบอ้ื งตน ตอจากน้ัน อธิบายใหล กึ ลงไปโดยแยกแยะอีกชนั้ หนึ่งวา ในรอบใหญทคี่ รบ ๑๒ องคนนั้ มองใหช ดั จะเห็นวา

ปฏิจฉันนปริวาส ๑๙๒ ปฏภิ าค กรรม ก็เพราะจะใหมองที่ผลรวมของ ปฏปิ ทา ๔ การปฏิบัตขิ องทานผไู ดบรรลุ งานทที่ ําคือกรรมภพ, และ ชาติ ชรา- ธรรมพิเศษ มี ๔ ประเภท คือ ๑. ทุกฺขา มรณะ ท่ีวาเปน วิบากในรอบ ๒ น้นั ก็ ปฏปิ ทา ทนฺธาภิ ฺ า ปฏิบตั ิลาํ บาก ทง้ั หมายถึงการเกิดเปนตน ของวิญญาณ รูไดช า ๒. ทกุ ขฺ า ปฏปิ ทา ขิปฺปาภิ ฺ า นามรปู ฯลฯ ที่ระบุวาเปน วิบากในรอบ ปฏิบัติยาก แตร ูไ ดเ รว็ ๓. สุขา ปฏิปทา ๑ นั่นเอง ดงั น้ีเปนตน; ดู ไตรวฏั ฏ ทนธฺ าภิ ฺ า ปฏิบตั สิ ะดวก แตร ูไดชาปฏจิ ฉนั นปริวาส ปรวิ าสเพือ่ ครกุ าบัตทิ ี่ ๔. สุขา ปฏปิ ทา ขปิ ปฺ าภิฺ า ปฏิบัติปดไว, ปรวิ าสทภ่ี ิกษผุ ูปรารถนาจะออก สะดวก ทัง้ รไู ดเร็วจากอาบัติสังฆาทิเสสอยูใชเพื่ออาบัติที่ ปฏปิ ทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ ความหมด ปด ไว ซ่ึงนับวนั ไดเ ปนจํานวนเดยี ว จดแหงญาณเปนเครื่องเห็นทางปฏิบัติปฏจิ ฉันนาบัติ อาบัติ (สงั ฆาทิเสส) ท่ี ไดแกว ิปสสนาญาณ ๙ (ขอ ๖ ในวสิ ทุ ธิภกิ ษุตองแลว ปดไว ๗)ปฏชิ าครอโุ บสถ ดู อโุ บสถ 2.๒. ปฏิปทานุตตริยะ การปฏิบัติอันยอดปฏญิ ญา ใหค ําม่นั , แสดงความยืนยนั , เย่ียม ไดแกการปฏิบัติธรรมที่ไดเห็นใหการยอมรับ แลว ในขอทัสสนานุตตริยะ ท้งั สว นท่ีจะปฏิญญาตกรณะ “ทําตามรับ” ไดแก พงึ ละและพงึ บําเพญ็ ; ดู อนตุ ตริยะปรับอาบัติตามปฏิญญาของจําเลยผูรับ ปฏิปกข, ปฏปิ ก ษ ฝายตรงกันขาม, คู เปน สตั ย การแสดงอาบตั กิ จ็ ดั เขา ในขอ น้ี ปรบั , ขา ศึก, ศตั รูปฏิญาณ การใหคํามัน่ โดยสจุ ริตใจ, การ ปฏิปกขนัย นัยตรงกนั ขา ม ยืนยนั ปฏิปสสัทธิวิมุตติ ความหลุดพนดวยปฏบิ ตั ิ ประพฤติ, กระทาํ ; บาํ รุง, เล้ยี งดู สงบระงบั ไดแ ก การหลดุ พน จากกเิ ลสปฏิบัติบูชา การบชู าดว ยการปฏิบตั ิ คอื ดวยอริยผล เปนการหลุดพนท่ียั่งยืนประพฤติตามธรรมคําส่ังสอนของพระ ไมต อ งขวนขวายเพอื่ ละอีก เพราะกเิ ลสทาน, บูชาดวยการประพฤติปฏิบัติ น้ันสงบไปแลว เปน โลกุตตรวมิ ตุ ติ (ขอกระทําส่งิ ทีด่ งี าม (ขอ ๒ ในบชู า ๒) ๔ ในวมิ ตุ ติ ๕)ปฏิบัตสิ ทั ธรรม ดู สทั ธรรม ปฏพิ ัทธ เน่อื งกนั , ผกู พัน, รกั ใครปฏิปทา ทางดําเนนิ , ความประพฤติ, ขอ ปฏิภาค สวนเปรียบ, เทียบเคียง,ปฏิบตั ิ เหมือน

ปฏภิ าคนมิ ิต ๑๙๓ ปฏิสงั ขานปุ ส สนาญาณปฏภิ าคนิมติ นิมติ เสมอื น, นิมติ เทียบ มี เพราะสงั ขารเปน ปจ จยั , สงั ขารมี เพราะเคียง เปนภาพเหมือนของอุคคหนิมิต อวิชชาเปนปจจัย เปนตน; ตรงขามกับเกิดจากสัญญา สามารถนึกขยายหรือ อนโุ ลม 2.ยอสวน ใหใหญหรือเล็กไดตามความ ปฏิวัติ การเปลีย่ นแปลงอยา งพลกิ กลบั ,ปรารถนา การหมุนกลับ, การผนั แปรเปลี่ยนหลกัปฏิภาณ โตตอบไดทันทีทันควัน, มลูปญญาแกการณเฉพาะหนา, ความคดิ ปฏเิ วธ เขาใจตลอด, แทงตลอด, ตรัสรู, ทันการ รูทะลุปรโุ ปรง , ลุลวงผลปฏบิ ตั ิปฏิภาณปฏิสมั ภิทา ความแตกฉานใน ปฏิเวธสทั ธรรม ดู สัทธรรม ปฏิภาณไดแกไหวพริบ คือ โตตอบ ปฏสิ นธิ เกดิ , เกิดใหม, แรกเกิดขึ้นในปญหาเฉพาะหนาไดทันทวงที หรือแก ครรภไขเหตุการณฉุกเฉินไดฉับพลันทันการ ปฏิสนธิจติ , ปฏิสนธิจิตต จติ ท่ีสบื ตอ(ขอ ๔ ในปฏสิ มั ภิทา ๔) ภพใหม, จติ ทเี่ กิดทแี รกในภพใหมปฏิมา รปู เปรียบ, รปู แทน, รปู เหมอื น ปฏสิ สวะ การฝนคาํ รบั , รบั แลวไมท าํปฏริ ูป สมควร, เหมาะสม, ปรบั ปรงุ ให ตามรับ เชน รับนิมนตว าจะไปแลวหาไปสมควร; ถาอยูทายในคําสมาสแปลวา ไม (พจนานกุ รม เขยี น ปฏิสวะ)“เทยี ม” “ปลอม” “ไมแ ท” เชน สทั ธรรม- ปฏิสสวทุกกฏ ทุกกฏเพราะรับคํา,ปฏิรูป แปลวา “สัทธรรมเทียม” หรอื อาบัติทุกกฏเพราะไมทําตามท่ีรับปากไว“ธรรมปลอม” เชน ภกิ ษุรบั นิมนตของชาวบาน หรอืปฏิรูปเทสวาสะ อยูในประเทศอันสม ตกลงกันไว วา จะอยูจําพรรษาในทหี่ นง่ึควร, อยใู นถิน่ ทเ่ี หมาะ หมายถงึ อยูใ น แตแลว โดยมิไดตงั้ ใจพดู เท็จ เธอพบถน่ิ เจริญ มีคนดี มีนกั ปราชญ (ขอ ๑ เหตุผลอนั ทําใหไมอยใู นท่นี ้นั เมอ่ื ทาํ ใหในจกั ร ๔; ขอ ๖ ในมงคล ๓๘) คลาดจากที่รับปากไว จึงตองปฏิสสว-ปฏิโลม 1. ทวนลาํ ดบั , ยอนจากปลายมา ทุกกฏ (ถา พูดเท็จท้ังท่รี ู เปน ปาจติ ตยี )หาตน เชนวา ตจปญ จกกมั มฏั ฐาน จาก ปฏิสังขรณ ซอมแซมทําใหกลับดีคําทา ยมาหาคาํ ตนวา “ตโจ ทันตา นขา เหมอื นเดมิโลมา เกสา”; ตรงขามกับ อนโุ ลม 1. 2. สาว ปฏิสงั ขานุปสสนาญาณ ญาณอันคาํ นงึเรอ่ื งทวนจากผลเขา ไปหาเหตเุ ชน วญิ ญาณ พิจารณาหาทาง, ปรีชาคํานึงพิจารณา

ปฏสิ นั ถาร ๑๙๔ ปฐมโพธิกาล สงั ขาร เพ่ือหาทางเปน เครอื่ งพนไปเสีย; ภกิ ษอุ ันจะพงึ ใหกลบั ไป หมายถงึ การที่ ดู วิปส สนาญาณ สงฆลงโทษใหภิกษุไปขอขมาคฤหัสถปฏิสนั ถาร การทักทายปราศรัย, การ กรรมน้ีสงฆทําแกภิกษุปากกลา ดาวา ตอ นรบั แขก มี ๒ อยางคอื ๑. อามิส- คฤหัสถผูมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธ- ปฏิสันถาร ตอนรับดวยส่ิงของ ๒. ศาสนาเปนทายกอุปฐากสงฆดวยปจจัย ธรรมปฏิสันถาร ตอ นรบั ดวยธรรม คอื ๔ เปน ทางจะยงั คนผยู ังไมเ ลอ่ื มใสมิใหกลา วแนะนาํ ในทางธรรม อีกนัยหน่งึ วา เลื่อมใส จะยังคนผูเล่ือมใสอยูแลวใหตอ นรับโดยธรรม คอื การตอนรับท่ที าํ เปน อยางอนื่ ไปเสีย; ปฏิสาราณยี กรรมพอดสี มควรแกฐ านะของแขก มีการลกุ กเ็ ขยี นรับเปนตน หรือชวยเหลือสงเคราะห ปฏเิ สธ การหา ม, การไมร บั , การไมย อมขจดั ปญ หาขอ ตดิ ขดั ทาํ กศุ ลกจิ ใหล ลุ ว ง รบั , การกดี กั้นปฏสิ ันถารคารวตา ดู คารวะ ปฐพี แผนดิน; ดู ปฐวีปฏสิ มั ภทิ า ความแตกฉาน, ความรแู ตก ปฐพีมณฑล แผน ดนิ , ผืนแผน ดินฉาน, ปญ ญาแตกฉาน มี ๔ คอื ๑. อตั ถ- ปฐม ทหี่ นึ่ง, ทีแรก, เบ้ืองตนปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานในอรรถ ปฐมฌาน ฌานท่ี ๑ มอี งค ๕ คือ วติ ก๒. ธมั มปฏิสมั ภิทา ปญญาแตกฉานใน (ความตรึก) วจิ าร (ตรอง) ปต ิ (ความธรรม ๓. นริ ตุ ตปิ ฏสิ มั ภทิ า ปญญาแตก อม่ิ ใจ) สุข (ความสบายใจ) เอกคั คตาฉานในทางนริ กุ ติ คอื ภาษา ๔. ปฏภิ าณ- (ความมีอารมณเ ปน หนง่ึ )ปฏสิ ัมภทิ า ปญ ญาแตกฉานในปฏิภาณ ปฐมเทศนา เทศนาครง้ั แรก หมายถึงปฏิสัมภิทามรรค ทางแหงปฏิสัมภิทา, ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่พระพุทธเจาขอปฏิบัติที่ทําใหมีความแตกฉาน; ชื่อ ทรงแสดงแกพ ระปญ จวคั คยี  ในวนั ขนึ้คัมภีรหนึ่งแหงขุททกนิกาย ในพระ ๑๕ ค่ํา เดือน ๘ หลังจากวนั ตรัสรสู อง สตุ ตนั ตปฎ ก เปน ภาษติ ของพระสารบี ตุ ร เดอื น ท่ปี าอิสปิ ตนมฤคทายวนั เมืองปฏสิ ัลลานะ การหลกี เรน, การปลกี ตัว พาราณสี ออกไปจากความพลกุ พลา นวนุ วาย หรอื ปฐมโพธิกาล เวลาแรกตรัสรู, ระยะจากอารมณหลากหลายทอี่ าจรบกวน สู เวลาชวงแรกหลังจากพระพุทธเจาตรัสรูความสงัดวเิ วก, การอยูลําพัง แลว คือระยะประดิษฐานพระพุทธ-ปฏสิ ารณียกรรม กรรมอนั สงฆพ ึงทําแก ศาสนา นบั ครา วๆ ต้งั แตตรัสรูถึงได

ปฐมยาม ๑๙๕ ปฐวธี าตุพระอัครสาวก; ดู พทุ ธประวตั ิ ภาษาไทย (ฉบบั ภาษาบาลีแบงเปน ๓๐ปฐมยาม ยามตน , ยามทหี่ น่ึง, สว นท่ี ปริจเฉท โดยแบง ปรจิ เฉทท่ี ๑ เปน ๒หนง่ึ แหงราตรี เมอื่ แบงกลางคนื เปน ๓ ตอน)สวน; เทียบ มชั ฌมิ ยาม, ปจ ฉิมยาม ปฐมสงั คายนา การสงั คายนาครัง้ ท่ี ๑; ดูปฐมวัย วยั ตน, วยั แรก, วยั ซ่งึ ยงั เปน สังคายนาครั้งท่ี ๑เดก็ ; ดู วยั ปฐมสังคีติ การสังคายนาคร้ังแรก; ดูปฐมสมโพธิกถา ช่ือคัมภีรแสดงเร่ือง สังคายนาคร้งั ที่ ๑ราวของพระพุทธเจา ต้ังแตประทับอยู ปฐมสาวก สาวกองคแรก คือพระบนสวรรคช ัน้ ดสุ ิต เทวดาอญั เชิญใหม า อัญญาโกณฑญั ญะอุบัติในมนษุ ยโลก แลว ออกบวชตรสั รู ปฐมอบุ าสก อบุ าสกคนแรกในพระพทุ ธ-ประกาศพระศาสนา ปรนิ ิพพาน จนถึง ศาสนา หมายถงึ ตปสุ สะ กบั ภลั ลกิ ะ ซ่งึแจกพระธาตุ ตอทายดว ยเรอื่ งพระเจา ถงึ สรณะ ๒ คอื พระพทุ ธเจาและพระอโศกยกยองพระศาสนา และการ ธรรม; บิดาของพระยสะเปนคนแรกที่อนั ตรธานแหงพระศาสนาในทส่ี ุด ถึงสรณะครบ ๓ ปฐมสมโพธิกถาท่ีรูจักกันมากและ ปฐมอุบาสกิ า อุบาสิกาคนแรก หมายถงึใชศึกษาอยางเปนวรรณคดีสําคัญน้ัน มารดาและภรรยาเกา ของพระยสะคือฉบับท่ีเปนพระนิพนธของสมเด็จ ปฐมาปตติกะ ใหตองอาบัติแตแรกทําพระมหาสมณเจา กรมพระปรมานุชิต- หมายถงึ อาบัตสิ งั ฆาทเิ สส ๙ สิกขาบทชโิ นรส วดั พระเชตุพน ทรงรจนาถวาย ขางตนซ่ึงภิกษุลวงเขาแลว ตองอาบัติฉลองพระราชศรัทธาพระบาทสมเด็จ ทันที สงฆไมต อ งสวดสมนุภาสน; คกู บัพระนั่งเกลาเจาอยูหัวที่ไดทรงอาราธนา ยาวตตยิ กะเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ ฉบบั ท่ีทรงรจนาน้ี ปฐวี ดิน, แผนดิน; ปถวี กเ็ ขียนทรงชําระปฐมสมโพธิกถาฉบับของเกา ปฐวธี าตุ ธาตดุ นิ , สภาวะท่ีมีลกั ษณะทรงตดั และเตมิ ขยายความสําคัญบาง แขนแข็ง; ในรางกายที่ใชเปนอารมณตอน เนื้อหามีคติท้ังทางมหายานและ กรรมฐาน ไดแก ผม ขน เล็บ ฟน หนงัเถรวาทปนกันมาแตเดิม และทรงจัด เน้ือ เอ็น กระดกู เยื่อในกระดกู มา มเปน บทตอนเพมิ่ ขนึ้ รวมมี ๒๙ ปรจิ เฉท หัวใจ ตับ พังผดื ไต ปอด ไสใหญ ไสมีท้ังฉบับภาษาบาลีและฉบับแปลเปน นอย อาหารใหม อาหารเกา, อยา งนเ้ี ปน

ปณามคาถา ๑๙๖การกลาวถึงปฐวีธาตุในลักษณะท่ีคน ไดอ ยา งมากทส่ี ุดกเ็ พียงถอยคํา หรือขอ สามัญทั่วไปจะเขาใจได และท่ีจะให ความ ไมอ าจเขา ใจความหมาย ไมอาจ สําเร็จประโยชนในการเจริญกรรมฐาน เขา ใจธรรม; ดู บุคคล ๔ แตในทางพระอภิธรรม ปฐวีธาตุเปน ปทุม บัวหลวง สภาวะพื้นฐานที่มีอยูในรูปธรรมทุก ปธาน ความเพียร, ความเพียรทชี่ อบเปน อยาง แมแตในนาํ้ และในลมทเ่ี รียกกนั สัมมาวายามะ มี ๔ อยา งคอื ๑. สงั วร- สามัญ ซ่ึงรูสึกถูกตองไดดวยกาย ปธาน เพยี รระวงั บาปอกศุ ลทย่ี งั ไมเ กดิ สมั ผสั ; ปถวธี าตุ ก็เขยี น; ดูธาต,ุ รูป๒๘ มใิ หเ กดิ ขน้ึ ๒. ปหานปธาน เพยี รละปณามคาถา คาถานอมไหว, คาถาแสดง บาปอกศุ ลทเี่ กดิ ขน้ึ แลว ๓. ภาวนาปธานความเคารพพระรตั นตรยั เรยี กกนั งายๆ เพียรเจริญทํากุศลธรรมที่ยังไมเกิดใหวา คาถาไหวค รู ซงึ่ ตามปกติ พระอาจารย เกดิ ขนึ้ ๔. อนรุ กั ขนาปธาน เพยี รรกั ษาผแู ตง คมั ภรี ภ าษาบาลี เชน อรรถกถา กุศลธรรมท่ีเกิดขึ้นแลวไมใหเส่ือมไปฎีกา เปนตน ถือเปนธรรมเนียมท่ีจะ และใหเ พม่ิ ไพบลู ย; สมั มปั ปธาน กเ็ รยี กเรียบเรียงไวเปนเบื้องตน กอนข้ึนเนื้อ ปปญ จะ กเิ ลสเครอ่ื งเนิ่นชา , กเิ ลสทป่ี นความของคมั ภีรน ัน้ ๆ ประกอบดว ยคาํ ใหเชือนแชชักชาอยูในสังสารวัฏ หรือสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย คําบอก ปน สังสารวัฏใหเวยี นวนยดื เรอ้ื , กเิ ลสที่ความมุงหมายในการแตง คําอางถึง เปนตัวการปนเรื่องทําใหคิดปรุงแตงยืดบคุ คลทเี่ ก่ยี วขอ ง เชน ผูอ าราธนาให เยือ้ แผกเพย้ี นพิสดาร พาใหเขวออกไปแตง และขอควรทราบอ่ืนๆ เปนอยา ง จากความเปนจริง และกอ ปญหาความคํานํา หรือคําปรารภ ยงุ ยากเดอื ดรอ นเพ่มิ ขยายทุกข มี ๓ปณธิ าน การตง้ั ความปรารถนา คือ ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิปติวัตร ความจงรักในสามี, ความซ่อื ปปญจสูทนี ชื่อคัมภีรอรรถกถาที่สัตยและภกั ดตี อ สาม,ี ขอ ควรปฏิบตั ิตอ อธิบายความในมัชฌมิ นิกาย แหงพระ สามี สุตตันตปฎก พระพทุ ธโฆสาจารยเรยี บปถวี ดู ปฐวีปถวีธาตุ ดู ปฐวธี าตุ เรียงขึ้น โดยอาศัยอรรถกถาเกาภาษาปทปรมะ “ผูมบี ท (คอื ถอ ยคาํ ) เปน สงิ หฬทสี่ บื มาแตเ ดมิ เปน หลกั เมอ่ื พ.ศ. อยา งยงิ่ ”, บุคคลผูด อ ยปญญาเลา เรยี น ใกลจะถึง ๑๐๐๐; ดู โปราณัฏฐกถา, อรรถกถา

ปมาณกิ า ๑๙๗ ปรมตั ถโชติกาปมาณกิ า ดู ประมาณ ตามความหมายสูงสุด, สภาวะท่ีมีในปมาทะ ความประมาท, ความขาดสต,ิ ความหมายทีแ่ ทจรงิ , สภาวธรรม บางทีความเลินเลอ, ความเผอเรอ, ความ ใชวา ปรมตั ถธรรม เผลอ, ความผดั เพี้ยน, ความปลอ ยปละ ปรมัตถที่พบในพระไตรปฎก ตาม ละเลย, ความชะลา ใจ; เทยี บ อัปปมาทะ ปกตใิ ชในความหมายนยั ที่ 1. คือจดุปมิตา เจาหญิงองคหนึ่งในวงศศากยะ หมาย หรอื ประโยชนส งู สุด เฉพาะอยางเปน พระราชบตุ รขี องพระเจา สีหหนุ เปน ย่งิ ไดแกน พิ พาน แตในคัมภรี สมยั ตอพระภคินีของพระนางอมิตา เปนพระ มา มกี ารใชใ นนัยที่ 2. บอยขึน้ คือในเจาอาของพระพุทธเจา; บางท่ีกลาววา ความหมายวาเปน จริงหรอื ไม แตไมว าเจาหญิงปมิตาเปนเชษฐภคนิ ี ของพระ จะใชในแงความหมายอยางไหน ก็นางอมิตา แตตามคัมภีรม หาวงส ซึง่ บรรจบท่ีนิพพาน เพราะนิพพานน้ัน ท้ังเปนหลักฐานเดียวท่ีพบพระนามของเจา เปนประโยชนสูงสุด และเปนสภาวะที่ หญิงปมติ า นา จะเปนกนษิ ฐภคินี (ใน จรงิ แท (นิพพานเปน ปรมัตถใ นทัง้ สอง คัมภีรอืน่ บางแหง พระนามปมิตากลาย นยั ); ดู อัตถะ เปน ปาลิตา และในทน่ี น้ั เจา หญงิ ปาลติ า ปรมัตถโชติกา ชื่อคัมภีรอรรถกถา กเ็ ปน กนษิ ฐภคินขี องพระนางอมติ า) อธบิ ายความใน ขทุ ทกปาฐะ ธรรมบทปรทาริกกรรม การประพฤตลิ ว งเมียคน สุตตนิบาต และชาดก แหงพระอื่น, การเปนชเู มียเขา สุตตนั ตปฎ ก ซ่ึงพระพทุ ธโฆสาจารยนาํปรนปรอื บาํ รงุ เลยี้ ง, เลย้ี งดอู ยา งถงึ ขนาด เน้ือความในอรรถกถาเกาทีใ่ ชศ กึ ษาและปรนมิ มติ วสวตั ดี สวรรคช น้ั ที่ ๖ มี รักษาสบื ตอ กนั มาในลังกาทวปี อันเปนทา วปรนมิ มติ วสวตั ดปี กครอง เทวดาชนั้ ภาษาสิงหฬ เอามาเรียบเรียงกลับข้ึนนปี้ รารถนาสงิ่ ใดสง่ิ หนงึ่ ไมต อ งนริ มติ เอง เปนภาษาบาลี เพื่อใหใชประโยชนในที่ มเี ทวดาอน่ื นริ มติ ใหอ กี ตอ หนงึ่ อ่นื นอกจากลงั กาทวปี ไดดว ย เมอ่ื พ.ศ. ใกลจะถึง ๑๐๐๐, มีบางทานสนั นิษฐานปรภพ ภพหนา, โลกหนา วา พระพุทธโฆสาจารยอาจจะมีคณะปรมตั ถ, ปรมตั ถะ 1. ประโยชนอ ยา งยง่ิ , ทํางาน โดยทานเปนหัวหนาในการ จดุ หมายสงู สดุ คือ พระนิพพาน 2. ก)ความหมายสงู สุด, ความหมายที่แทจ ริง ดําเนินงานแปลและเรียบเรียงทั้งหมดเชน ในคาํ วา ปรมตั ถสัจจะ ข) สภาวะ นน้ั ; ดู อรรถกถา, โปราณัฏฐกถา

ปรมตั ถทีปนี ๑๙๘ ปรมตั ถธรรมปรมัตถทีปนี ชอ่ื คมั ภีรอรรถกถาอธิบาย ปรมตั ถธรรม ท้ังน้ี เห็นไดวาทานมุง ความใน อทุ าน อติ วิ ตุ ตกะ วมิ านวตั ถุ ความหมายในแงวา ประโยชนส ูงสุด เปตวตั ถุ เถรคาถา เถรคี าถา และ จรยิ าปฎ ก แหง พระสตุ ตนั ตปฎก พระ ตอ มา ในคมั ภรี ช ้ันฎกี าลงมา มีการ ธรรมปาละอาศัยแนวของโปราณัฏฐกถา ใชคําวาปรมัตถธรรมบอยคร้ังข้ึนบาง (ไมบอยมาก) และใชในความหมายวา ที่รักษาสบื ตอกันมาในลงั กาทวีป ซึง่ เปน เปน ธรรมตามความหมายอยา งสงู สดุ คอื ในความหมายทแี่ ทจ รงิ มจี รงิ เปน จรงิ ซง่ึ ภาษาสงิ หฬ รจนาขึ้นเปน ภาษาบาลี ใน ตรงกับคําวาสภาวธรรม ยิ่งเม่ือคัมภีร อภิธัมมัตถสังคหะเกิดข้ึนแลว และมี สมัยภายหลังพระพทุ ธโฆสาจารยไ มน าน การศึกษาพระอภิธรรมตามแนวของอภ-ิ นกั ;ดูอรรถกถา, โปราณัฏฐกถา ธมั มตั ถสงั คหะนนั้ กม็ กี ารพดู กันท่ัวไปปรมัตถธรรม ธรรมที่เปนปรมัตถ, ถึงหลักปรมัตถธรรม ๔ จนกลาวไดวา ธรรมที่เปนประโยชนสงู สุด, สภาวะท่มี ี อภิธัมมัตถสังคหะเปนแหลงเร่ิมตนหรือ เปนทม่ี าของเร่อื งปรมตั ถธรรม ๔ อยูโดยปรมตั ถ, สง่ิ ทีเ่ ปน จรงิ โดยความ อยางไรก็ดี ถาพูดอยางเครงครัด หมายสงู สดุ , สภาวธรรม, นยิ มพดู กนั มา ตามตัวอักษร ในคัมภีรอภิธัมมัตถ- สังคหะน้ันเอง ทานไมใ ชคาํ วา “ปรมตั ถ- เปนหลกั ทางพระอภธิ รรมวามี ปรมตั ถ- ธรรม” เลย แมแตในคาถาสาํ คญั เรม่ิ ธรรม ๔ คอื จิต เจตสิก รปู นิพพาน ปกรณห รอื ตน คมั ภรี  ซง่ึ เปน บทตง้ั หลกั ท่ี ถอื วา จดั ประมวลปรมตั ถธรรม ๔ ขนึ้ มา พงึ สังเกตเคา ความทีเ่ ปนมาวา คาํ วา ใหศ กึ ษานนั้ แทจ รงิ กไ็ มม คี าํ วา “ปรมตถฺ - ธมมฺ ” แตอ ยา งใด ดงั คาํ ของทา นเองวา “ปรมตั ถธรรม” (บาล:ี ปรมตถฺ ธมมฺ ) นี้ ตตถฺ วตุ ตฺ าภธิ มมฺ ตถฺ า จตุธา ปรมตถฺ โต ไมพ บทใี่ ชใ นพระไตรปฎ กมาแตเดิม (ใน จิตฺต เจตสิก รูป นพิ พฺ านมติ ิ สพฺพถา พระไตรปฎ ก ใชเพยี งวา “ปรมตถฺ ” หรือ แปล: “อรรถแหงอภิธรรม ท่ีตรัสไว ในพระอภิธรรมน้ัน ท้งั หมดทงั้ สน้ิ โดย รวมกับคาํ อ่ืน, สวนในพระไตรปฎ กแปล ปรมตั ถ มี ๔ อยาง คือ จิต ๑ เจตสิก ๑ รปู ๑ นพิ พาน ๑” ภาษาไทย มีคาํ วา ปรมตั ถธรรม ซง่ึ ทา น ผูแปลใสหรือเติมเขามาตามคําอธิบาย ของอรรถกถาบาง ตามทเี่ หน็ เหมาะบา ง) ตอมาในชั้นอรรถกถา “ปรมัตถธรรม” จงึ ปรากฏบาง ๒-๓ แหง แตหมายถงึ เฉพาะนพิ พาน หรือไมก ็ใชอ ยา งกวา งๆ ทํานองวาเปนธรรมอันใหลุถึงนิพพาน ดังเชนสติปฏฐานก็เปนตัวอยางของ

ปรมตั ถธรรม ๑๙๙ ปรมตั ถธรรม (นเี้ ปน การแปลกนั ตามคาํ อธิบายของ การใชค าํ บาลีเปน “ปรมตถฺ ธมมฺ ” บา งคัมภีรอภิธัมมัตถวิภาวินี แตมีอีกฎีกา แมจ ะไมมาก แตกไ็ มม ที ใี่ ดระบจุ าํ นวนหนึ่งในยุคหลังคานวาอภิธัมมัตถวิภาวินี วา ปรมตั ถธรรมส่ี จนกระทง่ั ในสมยั หลงับอกผดิ ท่ถี กู ตอ งแปลวา “อภิธมั มตั ถะ มาก มคี มั ภรี บ าลแี ตง ในพมา บอกจาํ นวนที่ขาพเจาคือพระอนุรุทธาจารยกลาวใน กบ็ อกเพยี งวา “ปรมตั ถ ๔” (จตตฺ าโรคาํ วา อภธิ ัมมัตถสังคหะน้ัน …”) ปรมตเฺ ถ, ปรมตถฺ ทปี นี สงคฺ หมหาฏกี าปาฐ, ๓๓๑) แลวก็มีอีกคัมภีรหนึ่งแตงในพมายุคไม ทายปริจเฉทที่ ๖ คือรูปสังคหวภิ าค นานน้ี ใชค าํ วา ปรมัตถธรรมโดยระบุวาซ่งึ เปน บททแี่ สดงปรมตั ถม าครบ ๔ ถึง สังขารและนิพพาน เปนปรมัตถธรรมนิพพาน กม็ คี าถาคลา ยกนั ดังนี้ (นมกกฺ ารฏกี า, ๔๕) ยง่ิ กวา นน้ั ยอ นกลบั ไป ยุคเกา อาจจะกอนพระอนุรุทธาจารย อติ ิ จิตฺต เจตสกิ  รูป นพิ พฺ านมจิ ฺจป แตงอภิธัมมัตถสังคหะเสียอีก คัมภีร ปรมตฺถ ปกาเสนตฺ ิ จตธุ าว ตถาคตา ฎีกาแหงอรรถกถาของสังยุตตนิกาย แหงพระสุตตันตปฎก ซ่ึงถือวารจนา แปล: “พระตถาคตเจาท้ังหลาย โดยพระธรรมปาละ ผูเปนอรรถกถา-ยอมทรงประกาศปรมัตถไวเพียง ๔ จารยใ หญท านหน่ึง ใชค าํ ปรมตั ถธรรมอยาง คือ จิต ๑ เจตสกิ ๑ รูป ในขอความที่ระบุวา “ปรมัตถธรรมอันนิพพาน ๑ ดว ยประการฉะน้ี” แยกประเภทเปน ขนั ธ อายตนะ ธาตุ สจั จะ อนิ ทรยี  และปฏจิ จสมปุ บาท” (ส.ํ ฏ.ี เม่ือพินิจดูก็จะเห็นไดที่น่ีวา คําวา ๒/๓๓๐๓/๖๕๑) นกี่ ค็ อื บอกวา ปรมตั ถธรรม“ปรมตั ถธรรม” เกดิ ขนึ้ จาก ประการแรก ไดแกประดาธรรม ชุดท่ีเรียกกันวาผูจัดรูปคัมภีร (อยางที่ปจจุบันเรียกวา ปญ ญาภมู ิ หรือวปิ ส สนาภมู ิ นนั่ เองบรรณกร) จบั ใจความตอนนน้ั ๆ ตง้ั ขน้ึเปนหัวขอ เหมือนอยางในกรณีน้ี ใน ตามขอสังเกตและความท่ีกลาวมาคัมภีรบางฉบับ ตั้งเปนหัวขอขึ้นเหนือ พงึ ทราบวา ๑. การแปลขยายศัพทอ ยางคาถานน้ั วา “จตปุ รมตถฺ ธมโฺ ม” (มใี นฉบบั ท่ีแปลปรมัตถะวาปรมัตถธรรมนี้ มิใชอกั ษรพมา , ฉบบั ไทยไมม )ี และประการ เปนความผิดพลาดเสียหาย แตเปนทส่ี อง ผแู ปลเตมิ หรอื ใสเ พม่ิ เขา มา เชน เรื่องทั่วไปที่ควรรูเทาทันไว อันจะเปนคําบาลีวา “ปรมตฺถ” ก็แปลเปนไทยวา ประโยชนในบางแงบ างโอกาส (เหมือนปรมตั ถธรรม ซง่ึ เปน กรณที เี่ ปน กนั ทวั่ ไป ในคัมภีรรุนตอมาที่อธิบายอภิธัม-มัตถสงั คหะ เชน อภธิ มั มัตถวิภาวนิ ี มี

ปรมัตถบารมี ๒๐๐ ปรมัตถบารมีในการอานพระไตรปฎกฉบับแปลภาษา กถา”) มขี อ ความทเ่ี ปน บทตงั้ ซงึ่ บอกใจไทย ผอู านก็ควรทราบเปน พืน้ ไวว า คาํ ความท้ังหมดของคัมภีรอภิธัมมัตถ-แปลอาจจะไมตรงตามพระบาลีเดิมก็ได สงั คหะ คาถานจ้ี งึ สําคัญมาก ควรต้งั อยูเชน ในพระไตรปฎกบาลเี ดมิ วา พระ ในความเขาใจท่ีชัดเจนประจําใจของผูพุทธเจาเสด็จออกจากพระวิหาร [คือที่ ศกึ ษาเลยทเี ดยี ว ในกรณนี ี้ การแปลโดยประทับ] แตในฉบบั แปล บางทีทา นแปล รกั ษารปู ศพั ท อาจชว ยใหช ดั ขนึ้ เชน อาจผานคําอธิบายของอรรถกถาวา พระ แปลวา “อภธิ ัมมัตถะ ที่กลาวในคําวาพุทธเจาเสดจ็ ออกจากพระคนั ธกฎุ )ี ๒. ‘อภิธัมมัตถสังคหะ’ นั้น ท้ังหมดท้ังส้ินการประมวลอรรถแหงอภิธรรม (โดย โดยปรมัตถ มี ๔ อยาง คือ จติ เจตสกิท่ัวไปก็ถือวาเปนการประมวลธรรมท้ัง รูป นิพพาน” (พึงสงั เกตวา ถาถือเครงหมดทัง้ ปวงนัน่ เอง) จัดเปน ปรมัตถ ๔ ตามตัวอักษร ในคาถาเรมิ่ ปกรณน ี้ ทาน(ท่เี รียกกนั มาวาปรมัตถธรรม ๔) ตาม วา มอี ภธิ ัมมัตถะ ๔ สวนในคาถาทายนัยของอภิธมั มัตถสงั คหะน้ี เปน ท่ยี อม ปรจิ เฉททห่ี ก ทา นกลาวถงึ ปรมัตถะ ๔รับกันวาเปนระบบอันเย่ียม ซ่ึงเก้ือกูล แตโ ดยอรรถ ทงั้ สองนน้ั กอ็ ยา งเดยี วกนั )ตอการศึกษาธรรมอยางย่ิง เรียกไดวา โดยเฉพาะคาํ วาอภิธัมมัตถะ จะชวยโยงเปนแนวอภธิ รรม แตถ าพบการจัดอยาง พระอภิธรรมปฎกท้ังหมดเขามาสูเร่ืองท่ีอน่ื ดังทย่ี กมาใหด เู ปนตวั อยาง [เปน ศึกษา เพราะทา นมงุ วา สาระในอภธิ รรม-สังขารและนิพพาน บาง เปนอยางที่ ปฎกท้งั หมดน่นั เอง ประมวลเขามาเปนเรียกวา ปญญาภูมิ บา ง] ก็ไมควรแปลก ๔ อยางนี้ ดังจะเห็นชัดต้ังแตพระใจ พึงทราบวาตางกันโดยวิธจี ัดเทา นั้น อภิธรรมปฎ กคมั ภีรแรก คือธัมมสังคณีสวนสาระก็ลงเปนอันเดียวกัน เหมือน ตลอดหมดทั้ง ๒๕๘ หนา ทีแ่ จงกสุ ลัต-จะวาเบญจขันธ หรือวานามรูป ก็อัน ติกะ อันเปนปฐมอภิธัมมมาติกา ก็เดียวกนั ก็ดูแตว า วิธจี ดั แบบไหนจะงา ย ปรากฏออกมาชัดเจนวาเปนการแจงตอการศึกษาหรือเอ้ือประโยชนท่ีมุง เร่อื ง จติ เจตสกิ รูป และนิพพาน นีเ้ อง;หมายมากกวากัน ๓. ในคาถาเร่ิมปกรณ ดู ปรมตั ถ, อภิธัมมตั ถสังคหะ(ในฉบับอักษรไทย ผูชําระ คือผูจัดรูป ปรมตั ถบารมี บารมียอดเยีย่ ม, บารมีคัมภีร ตั้งช่ือใหวา “ปกรณารมฺภคาถา” ในความหมายสงู สุด, บารมที เี่ ตม็ ความแตฉ บบั อกั ษรพมาต้งั ชือ่ วา “คนฺถารมฺภ- หมายแทจรงิ , บารมีข้ันสงู สุด เหนอื อปุ -

ปรมัตถปฏปิ ทา ๒๐๑ ประเคน บารมี เชน การสละชวี ติ เพอื่ ประโยชน (เดมิ คอื ศาสนาพราหมณ) ซึง่ ถือวา ใน แกผ อู นื่ เปน ทานปรมตั ถบารม;ี ดู บารมี บคุ คลแตล ะคนนี้ มอี าตมนั คอื อตั ตาปรมัตถปฏิปทา ขอปฏิบัติมีประโยชน หรือตัวตน สงิ สูอ ยูครอง เปน สภาวะอันย่ิง, ทางดาํ เนินใหถึงปรมัตถ, ขอ เที่ยงแทถาวร เปนผูคิดผูนึกผูเสวยปฏิบัติเพ่ือใหเขาถึงประโยชนสูดสุดคือ เวทนา เปนตน ซึ่งเปนสวนยอยที่แบงบรรลนุ พิ พาน ภาคออกมาจากปรมาตมันนน้ั เอง เมือ่ปรมตั ถประโยชน ประโยชนอยางยงิ่ คอื คนตาย อาตมนั นีอ้ อกจากรา งไปสิงอยูพระนพิ พาน; เปน คาํ เรยี กกนั มาตดิ ปาก ในรางอ่ืนตอไป เหมือนถอดเสอื้ ผาเกาความจรงิ คอื ปรมตั ถะ แปลวา “ประโยชน สวมเสื้อผาใหม หรือออกจากเรอื นเกาอยา งยงิ่ ” เหมอื น ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ แปลวา ไปอยูในเรอื นใหม ไดเสวยสุขหรอื ทกุ ข“ประโยชนป จ จบุ นั ” และ สมั ปรายกิ ตั ถะ เปนตน สุดแตกรรมที่ไดทําไว เวียน แปลวา “ประโยชนเบอ้ื งหนา ” กม็ กั เรียก วา ยตายเกิดเรื่อยไป จนกวา จะตระหนกั กันวา ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน และ รูวาตนเองเปนอันหน่ึงอันเดียวกับ สัมปรายิกตั ถประโยชน ปรมาตมนั และเขาถงึ ความบริสุทธจ์ิ ากปรมัตถมัญชุสา ชื่อคัมภีรฎีกาที่พระ บาปโดยสิ้นเชิง จึงจะไดกลบั เขา รวมกบัธรรมปาละรจนาขน้ึ เพอื่ อธบิ ายความใน ปรมาตมันดังเดิม ไมเวียนตายเวียนคัมภีรวิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆสา- เกดิ อีกตอ ไป; ปรมาตมันน้ี กค็ ือ พรหมจารย; นยิ มเรียกวา มหาฎกี า หรอื พรหมัน นัน่ เองปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ คือ ปรหติ ปฏบิ ัติ ดู ปรัตถปฏิบัติความจริงโดยความหมายสงู สดุ เชน รูป ประคด ผา ใชค าดเอวหรอื คาดอกสําหรบัเวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ; ตรงขาม พระ (เรยี ก ประคดอก ประคดเอว) มีกับ สมมติสจั จะ จริงโดยสมมติ เชน ๒ อยา ง คอื ประคดแผน ๑ ประคดไสสัตว บคุ คล ฉนั เธอ มา รถ นาย ก. สุกร ๑นาง ข. เปน ตน ประเคน สง ของถวายพระภายในหตั ถบาส,ปรมาตมัน อาตมนั สูงสดุ หรืออัตตาสงู สง ใหถงึ มือ; องคแหงการประเคนมี ๕สดุ (บรมอาตมนั หรือบรมอตั ตา) เปน คือ ๑. ของไมใ หญโตหรอื หนกั เกินไปสภาวะแทจริงและเปนจุดหมายสูงสุด พอคนปานกลางคนเดียวยกได ๒. ผูตามหลักความเชื่อของศาสนาฮินดู ประเคนเขามาอยูในหัตถบาส คือหาง

ประจักษ ๒๐๒ ประธานาธิบดีประมาณศอกหน่ึง ๓. เขานอ มของนัน้ ประดิษฐาน ต้งั ไว, แตงตัง้ , การตง้ั ไว,เขา มาให ๔. นอมใหดว ยกาย ดว ยของ การแตงต้งัเนอื่ งดวยกาย หรอื โยนใหกไ็ ด ๕. ภิกษุ ประเดน็ ขอความสาํ คัญ, หวั ขอหลกัรับดว ยกายกไ็ ด ดว ยของเน่ืองดว ยกาย ประถมวยั ดู ปฐมวัยก็ได (ถาผูห ญงิ ประเคน ใชผ ากราบหรือ ประทม นอน ประทมอนุฏฐานไสยา นอนชนิดไมลุกผา เชด็ หนา ทส่ี ะอาดรบั )ประจกั ษ ชดั เจน, แจม แจง , ตอ หนา ตอ ตา ขึน้ อกีประชวร เจ็บ, ปวย ประทักษิณ เบ้ืองขวา, การเวียนขวาคือประชวรพระครรภ ปวดทอ งคลอดลกู เวียนเล้ียวไปทางขวาอยางเข็มนาฬิกาประชุมชาดก ประมวลความบรรจบเรื่อง เปนอาการแสดงความเคารพทา ยชาดก, เปนคําของอรรถกถาท่ลี ําดบั ประทบั อยู เชน ประทบั แรม (ใชแกเ จาความในชาดกวา เม่ือพระพุทธเจาตรัส นาย); แนบอยู เชน เอาปนประทบั บา ;เลา ชาดกเรอื่ งนน้ั ๆ จบแลว กท็ รงประชมุ กดลง เชน ประทบั ตราชาดก (ชาตกสโมธาน หรือขอ ความใน ประทาน ใหประโยคบาลวี า “ชาตกํ สโมธาเนส”ิ ) คอื ประทปี ตะเกยี ง, โคม, ไฟทม่ี เี ปลวสวา งบอกใหท ราบวา บคุ คลทั้งหลายในเรือ่ ง ประทุม บัวหลวงอดีตของชาดกน้ัน มาเปนใครบางใน ประทุษรา ยสกลุ ดู กลุ ทูสกปจจุบันแหงพุทธกาลคือในเวลาท่ีพระ ประเทศบัญญัติ บัญญัติจําเพาะถ่ิน,องคก ําลงั ตรสั เลาเร่ืองน้นั สิกขาบทที่พระพุทธเจาทรงต้ังไวเฉพาะประณต นอ มไหว สําหรบั มัธยมประเทศ คอื จังหวัดกลางประณม ยกกระพุมมือแสดงความ แหง ชมพทู วีป เชน สกิ ขาบทท่ี ๗ แหงเคารพ, ยกมือไหว (พจนานุกรมเขียน สรุ าปานวรรค ในปาจติ ตยิ กัณฑ ไมใ หประนม) ภิกษุอาบน้ําในเวลาหางกันหยอนกวากึ่งประณาม 1. การนอมไหว 2. การขบั ไล เดอื น เวนแตสมยั ประเทศราช เมอื งอสิ ระทสี่ งั กดั ประเทศอนื่3. พูดวากดใหเ สยี หายประณีต ด,ี ดียิ่ง, ละเอียด ประธาน หวั หนา, ผเู ปน ใหญใ นหมูประดษิ ฐ ต้งั ขึ้น, จัดทําขึ้น, สรางข้นึ , ประธานาธิบดี หัวหนาผูปกครองบานคดิ ทาํ ขนึ้ เมอื งแบบสาธารณรัฐ

ประนม ๒๐๓ ประสตู ิประนม ยกกระพุมมือ การและความถกู ตองเปน ประมาณประนีประนอม ปรองดองกนั , ยอมกัน, ประมาท ดู ปมาทะ ประมุข ผูเ ปนหัวหนาตกลงกนั ดว ยความไกลเกล่ยีประพฤติ ความเปนไปท่ีเกี่ยวกับการ ประโยค การประกอบ, การกระทาํ , การกระทําหรือปฏบิ ตั ติ น; กระทํา, ทําตาม, พยายามปฏบิ ัต,ิ ปฏิบตั ติ น, ดําเนินชีวิต ประโยชน (เกดิ แตก ารถอื เอาโภคทรพั ย) ๕; ดูประพฤติในคณะอันพรอง เปน โภคอาทยิ ะ ๕ประการหน่ึงในรัตติเฉท คือเหตุขาด ประลัย ความตาย, ความยอยยบั , ความราตรแี หง มานตั ๔ ประการ หมายถึง ปน ปประพฤติมานัตในถ่ินเชนอาวาสที่มี ประวตั ิ ความเปนไป, เรอื่ งราวปกตัตตภิกษุไมครบจํานวนสงฆ คือ ประศาสนวธิ ี วธิ กี ารปกครอง, ระเบยี บหยอน ๔ รปู แหงการปกครองหมูคณะประพาส ไปเท่ียว, เที่ยวเลน, อยูแรม ประสก เปนคําเลือนมาจาก อุบาสกประเพณี ขนบธรรมเนยี ม, แบบแผน, พระสงฆครั้งกอนมักใชเรียกคฤหัสถผูเชือ้ สาย ชาย คกู บั สีกา แตบ ัดนีไ้ ดย ินใชน อ ยประมาณ การวดั , การกะ, เครอ่ื งวดั , ประสบ พบ, พบเหน็ , เจอะ, เจอเกณฑ, การถอื เกณฑ; บคุ คลในโลก ประสพ กอ , ทาํ ใหเ กดิ , เผลด็ ผล, ไดร บัแบงตามประมาณคือหลักเกณฑในใจท่ี เปนผลตอบแทน (ปสวติ = นิปฺผาเทติ,ใชวัดในการท่ีจะเกิดความเช่ือถือหรือ ผลต,ิ อปุ ปฺ าเทต,ิ อปุ จนิ ต,ิ ปฏลิ ภต)ิความนยิ มเลอื่ มใส ทา นแสดงไว ๔ จาํ พวก ประสาท 1. เครอ่ื งนําความรูสึกสําหรับคอื ๑. รปู ประมาณ หรอื รปู ป ปมาณกิ า ผู คนและสตั ว, ในอภธิ รรมวา เปน ประสาท-ถือรูปราง เปนประมาณ ๒. โฆษ- รปู (คาํ บาลวี า ปสาทรปู ) 2. ความประมาณ หรือ โฆสปั ปมาณิกา ผูถอื เลอ่ื มใส; ดู ปสาท 3. ยินดีให, โปรดใหเสยี งหรือชอ่ื เสียงเปนประมาณ ๓. ลขู - ประสาทรูป รปู คือประสาทประมาณ หรือ ลูขัปปมาณิกา ผูถือ ประสาธน ทาํ ใหส ําเรจ็ , เคร่อื งประดบัความคร่าํ หรอื ปอนๆ เปนประมาณ ๔. ประสิทธ์ิ ความสาํ เร็จ, ทําใหส าํ เร็จ, ใหธรรมประมาณ หรอื ธมั มปั ปมาณกิ า ผู ประสทิ ธิพ์ ร ใหพ ร, ทาํ พรใหส าํ เร็จถือธรรมคือเอาเน้ือหาสาระเหตุผลหลัก ประสตู ิ เกิด, การเกดิ , การคลอด

ประเสริฐ ๒๐๔ ปริกรรมนิมิตประเสรฐิ ดีที่สดุ , ดเี ลิศ, วิเศษ อยางใดอยางหน่ึงแลวไมไปฉันในท่ีประหาณ ละ, กาํ จดั ; การละ, การกาํ จดั ; นมิ นตน ้ัน ไปฉันเสยี ในท่ีอ่ืนท่เี ขานมิ นตเปนรูปที่เขียนอยางสันสกฤต เขียน ทีหลงั ซึง่ พองเวลากนัอยางบาลีเปน ปหาน (บางทีเขียนผิด ปราการ กาํ แพง, เครอื่ งลอ มกน้ัเปน ประหาณ) ปราชญ ผรู ู, ผูม ีปญญาประหาร การต,ี การทุบต,ี การฟน , การ ปรามาส๑ [ปฺรา-มาด] ดถู ูก, ดูหมิ่น ปรามาส๒ [ปะ-รา-มาด] การจับตอง,ลา งผลาญ; ฆา, ทาํ ลายปรัตถะ ประโยชนผ อู นื่ , ประโยชนเ พื่อ การยดึ ฉวย, การจับไวม ่นั , การลูบหรอืคนอืน่ อนั พึงบําเพ็ญดวยการชว ยใหเขา เสียดสีไปมา, ความยึดมัน่ ; มักแปลกัน เปน อยดู วยดี พึ่งตนเองได ไมวาจะเปน วา การลูบคลํา ทิฏฐธัมมิกัตถะ หรือสัมปรายิกัตถะ ปราโมทย ความบนั เทงิ ใจ, ความปล้มื ใจ หรอื ปรมัตถะก็ตาม; เทียบ อัตตตั ถะ ปรารภ ตั้งตน , ดําริ, กลาวถงึปรัตถปฏิบัติ การปฏิบัติเพื่อประโยชน ปรารมภ เริม่ , ปรารภ, เร่มิ แรก, วิตก, แกผูอื่น เปนพุทธคุณอยางหนึ่ง คือ รําพึง, ครนุ คิด การทรงบําเพ็ญพุทธกิจเพื่อประโยชน ปราศรัย พดู ดว ยความเอน็ ด,ู กลา ว แกสัตวท้ังหลาย เปนที่พ่ึงของชาวโลก ปราสาท เรือนหลวง, เรือนช้นั (โลกนาถ) ซึ่งสาํ เรจ็ ดวยพระมหากรุณา ปรกิ ถา คาํ พูดหวานลอม, การพูดใหรู คุณเปนสาํ คัญ มักเขยี นเปน ปรหิต- โดยปรยิ าย, การพดู ออมไปออมมาเพอื่ ปฏิบตั ิ ซง่ึ แปลเหมอื นกนั ; เปน คกู นั กับ ใหเขาถวายปจจัย ๔ เปน การกระทาํ ท่ี อัตตัตถสมบตั ิ หรือ อัตตหิตสมบัติ ไมสมควรแกภิกษุ ถา ทาํ ปริกถาเพ่ือใหปรปั วาท [ปะ-รับ-ปะ-วาด] คํากลา วของ เขาถวายจีวรและบิณฑบาต ช่ือวามีคนพวกอ่ืนหรือลัทธิอ่ืน, คํากลาวโทษ อาชีวะไมบริสุทธ์ิ แตทานวาทําปริกถาคัดคานโตแยงของคนพวกอ่ืน, หลัก ในเรื่องเสนาสนะไดอยู เชน พูดวาการของฝายอืน่ , ลทั ธิภายนอก; คําสอน “เสนาสนะของสงฆค ับแคบ” อยา งไรก็ที่คลาดเคล่ือนหรือวิปริตผิดเพ้ียนไป ตาม ถาถือธุดงคไมพึงทําปริกถาอยางเปน อยางอนื่ หนงึ่ อยางใดเลยปรมั ปรโภชน โภชนะทหี ลงั คือ ภิกษุ ปรกิ รรมนิมิต นิมิตแหงบริกรรม, นมิ ติรับนิมนตในที่แหง หน่ึงดว ยโภชนะท้ัง ๕ ขั้นตระเตรียมหรือเร่ิมเจริญสมถ-

ปริกปั ๒๐๕ ปริตต,ปริตร กรรมฐานไดแกส่ิงท่ีกําหนดเปนอารมณ คบั แคบ หมายถึงธรรมทีเ่ ปน กามาวจร, พงึ ทราบวา ธรรมทงั้ ปวง หรอื สงิ่ ทงั้ หลาย เชน ดวงกสิณทีเ่ พงดู หรือพุทธคุณท่นี กึ ประดามนี น้ั นยั หนงึ่ ประมวลจดั แยกได เปน ๓ ประเภท ไดแ ก ปรติ ตะ (ธรรมที่ วาอยูใ นใจเปน ตน (ขอ ๑ ในนิมิต ๓) ดอยหรือคับแคบ คือเปนกามาวจร)ปริกัป 1. ความตรกึ , ความดําร,ิ ความ มหคั คตะ หรอื มหรคต (ธรรมทถี่ งึ ความ คํานึง, ความกําหนดในใจ 2. การ ยง่ิ ใหญ คอื เปน รปู าวจร หรืออรปู าวจร) และ อัปปมาณะ (ธรรมท่ีประมาณมิได กําหนดดว ยเง่ือนไข, ขอแม คือเปนโลกุตตระ); ดู กามาวจร 3.ปริกมั ม ดู บรกิ รรม [ปะ-หริด] “เคร่ืองคุมครองปองกัน”,ปริจฉนิ นากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ บทสวดท่นี ับถือเปนพระพุทธมนต คือปริจเฉท กําหนดตัด, ขอ ความท่ีกําหนด บาลภี าษติ ดัง้ เดิมในพระไตรปฎก ซึ่งได ไวเ ปนตอนๆ, ขอความทร่ี วบรวมเอามา ยกมาจัดไวเปนพวกหนึ่งในฐานะเปนคํา ขลัง หรือคาํ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ท่มี ีอานภุ าพคมุ จัดเปนหมวดๆ, บท, ตอน; การกาํ หนด ครองปองกันชวยใหพนจากภยันตราย และเปนสิริมงคลทําใหเกษมสวัสดีมี แยก, การพจิ ารณาตัดแยกออกใหเหน็ ความสุขความเจริญ (ในยุคหลังมีการ แตละสวน (พจนานุกรมเขียน ปรเิ ฉท) เรียบเรียงปริตรเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากปริจเฉทรปู รูปท่ีกาํ หนดเทศะ ไดแ ก บาลภี าษติ ในพระไตรปฎกบา ง พึงทราบ อากาสธาตุ หรืออากาศ คือ ชองวางเชน ตามคาํ อธิบายตอ ไป และพึงแยกวา บท สวดท่ีมักสวดเพิ่มหรือพวงกับพระ ชองวางในสว นตา งๆ ของรางกาย ปรติ รในพิธีหรือในโอกาสเดยี วกนั มีอีกปริจเฉทากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ มาก มิใชมาจากพระไตรปฎก แตเ ปนปริจารกิ า หญงิ รบั ใช, บรจิ าริกา กว็ า ของนิพนธข นึ้ ภายหลัง ไมใ ชพ ระปรติ รปริญญา การกําหนดรู, การทาํ ความเขา แตเ ปน บทสวดประกอบ โดยสวดนําบา ง ใจโดยครบถว น มี ๓ คอื ๑. ญาต- สวดตอทายบา ง), กลา วไดว า การสวด ปริญญา กําหนดรูขั้นรูจัก ๒. ตีรณ- พระปริตรเปนการปฏิบัติสืบเนื่องจาก ปริญญา กําหนดรูขั้นพิจารณา ๓. ค ว า ม นิ ย ม ใ น สั ง ค ม ซ่ึ ง มี ก า ร ส ว ด ปหานปรญิ ญา กําหนดรูถงึ ขน้ั ละไดปริณายก ผนู าํ , ผูเปนหวั หนาปริตต, ปรติ ร 1. [ปะ-ริด] นอย, เลก็ นอ ย, นดิ หนอย, ต่าํ ตอย, ดอย, คับ แคบ, ไมสําคญั (ตรงขา มกับ มหา หรือ มหันต) 2. [ปะ-รดิ ] สภาวะที่ดอย หรอื

ปริตต, ปรติ ร ๒๐๖ ปริตต, ปริตรสาธยายรายมนต (มันตสัชฌายน, อ่ืนมา มนตทําใหมิตรผิดใจแตกกันมันตปริชัปปน) ท่ีแพรหลายเปนหลัก ฯลฯ มนตเหลานี้ภิกษุณีจะเรียนหรือสาํ คญั อยางหนึ่งในศาสนาพราหมณ แต สอนไมไ ด เปน การผิดพทุ ธบัญญัติ แตไดปรับแกจัดและจํากัดท้ังความหมาย เรียนหรือสอนปริตรเพ่ือคมุ ครองตนเองเน้ือหาและการปฏิบัติใหเขากับคติแหง หรือผูอื่นก็ตาม ไมผิด, นอกจากน้ันพระพทุ ธศาสนา อยางนอ ยเพื่อชว ยให หลายครัง้ พระพทุ ธเจา ทรงแนะนําพระชนจํานวนมากท่ีเคยยึดถือมาตามคติ สาวก ใหเจริญเมตตาตอสัตวทั้งหลายพราหมณและยังไมเขมแข็งมั่นคงใน เชนตองู บาง ใหทําสัจกิริยาคืออางพุทธคติ หรืออยูในบรรยากาศของคติ สัจจะอา งคณุ ธรรมบา ง ใหร ะลึกถงึ คณุพราหมณน น้ั และยงั อาจหวนั่ ไหว ใหม ี และเคารพนบนอมพระรัตนตรัยบางเคร่ืองมั่นใจและใหมีหลักเชื่อมตอท่ีจะ เปนกําลังท่ีคุมครองรักษา แลวพระชว ยพาพฒั นากาวตอ ไป, ท้ังน้ี ในฝาย ดํารัสน้ันก็ไดรับความนับถือจัดเปนภิกษุ มีพุทธบญั ญตั ิ (วินย.๗/๑๘๓-๔/๗๑) ปริตรชื่อตางๆ, ที่กลาวน้ี พอใหเห็นหามมิใหเรียนมิใหบอกติรัจฉานวิชา ความเปน มาของพระปรติ ร ตอ ไปนี้ จะหากฝาฝน ตองอาบัติทกุ กฏ โดยมไิ ด สรุปขอควรทราบเก่ียวกับพระปริตรไวแสดงขอยกเวนไว สวนในฝายภิกษุณี เปนความรูประกอบ(วินย.๓/๓๒๒-๗/๑๗๖–๑๗๘) มีพทุ ธบัญญตั ิ ๑) โดยชอ่ื : เรยี กวา “ปรติ ร” ตามความหามมิใหเรียนมิใหบอกติรัจฉานวิชา หมายท่ีเปนเคร่ืองคุมครองปองกันอันหากฝาฝน ตอ งอาบตั ิปาจิตตยี  แตม ี ชอบธรรม ซ่งึ ตางจากมนต ทไ่ี ดม ีความขอยกเวนวาเรียนหรือบอกปริตรเพ่ือคุม หมายโนมไปในทางเปนอาถรรพณมนตครอง (แกตนเองหรอื แกผ อู น่ื กต็ าม) ไม ตามลัทธขิ องพราหมณ อยา งทเ่ี รยี กในตอ งอาบตั ,ิ มคี าํ อธบิ ายวา ตริ จั ฉานวชิ า บัดนว้ี าเปน ไสยศาสตร ซึ่งมักใชท ํารายคือวิชาทํารายคนอื่น รวมท้ังมนต ผูอื่น และสนองความโลภ เปนตนอาถรรพ (อาถรรพณมนต ตามคมั ภรี  ๒) โดยเนอื้ หา: ปรติ รเปน เร่อื งของคณุอถรรพเวทของพราหมณ) เชน มนตใ น ธรรมท้ังในเน้ือหาและการปฏิบัติ คุณการฝง รปู ฝง รอย มนตสะกดคนใหอยู ธรรมที่เปนพื้นท่ัวไปคือเมตตา บางใตอํานาจ มนตแผดเผาสรีรธาตุใหเขา ปริตรเปนคําแผเมตตาท้ังบท (เชนผอมแหง มนตช ักลากเอาทรพั ยของคน กรณยี เมตตปรติ ร และขนั ธปรติ ร) แม

ปรติ ต, ปริตร ๒๐๗ ปรติ ต,ปริตรแตเมื่อจะเริ่มสวดพระปริตร ก็มีคํา พระพรหมมี ๕ พักตร กระทั่งคราวหนึง่ประพันธที่แตงข้ึนมาใหสวดสําหรับ ถูกพระศิวะกร้ิวและทําลายพักตรที่หาชุมนุมเทวดากอน ซ่ึงบอกใหผูสวดต้ัง เสยี จึงเหลือสพี่ ักตร) ปริตรไมอ งิ และจิตแผเมตตาแตตน อยางที่เรียกวามี ไมเ ออ้ื ตอ กเิ ลสโลภะ โทสะ โมหะเลย เนนเมตตาเปนปุเรจาริก (และคําที่เชิญ แตธ รรม เฉพาะอยา งยงิ่ เมตตาและสจั จะเทวดามาฟง ก็บอกวา เชิญมาฟง ธรรม) อยา งทกี่ ลา วแลว และอา งพทุ ธคณุ หรือคุณธรรมสําคัญอีกอยางหนึ่งที่เปนแกน คุณพระรัตนตรัยท้ังหมดเปนอํานาจคุมของปริตรคือสัจจะ บางปริตรเปน คาํ ต้ัง ครองรกั ษาอํานวยความเกษมสวัสดี ในสจั กริ ยิ าทั้งบท (เชน อังคุลิมาลปริตร หลายปริตรมีคําแทรกเสริม บอกใหและวฏั ฏกปรติ ร) บางปรติ รเปน คาํ ระลกึ เทวดามีเมตตาตอหมูมนุษย ทั้งเตือนคณุ พระรตั นตรยั (รตนปรติ ร โมรปรติ ร เทวดาวามนุษยไดพากันบวงสรวงบูชาธชัคคปริตร อาฏานาฏิยปริตร) บาง จงึ ขอใหท ําหนา ทด่ี แู ลรักษาเขาดว ยดีปริตรเปนคําสอนหลักธรรมท่ีจะปฏิบัติ ๔) โดยประโยชน: ความหมายและการใหชีวิตสังคมเจริญงอกงามและหลัก ใชประโยชนจากปริตร ตางกันไปตามธรรมทเ่ี จรญิ จติ เจรญิ ปญ ญา (มงคลสตู ร ระดับการพัฒนาของบุคคล ตั้งแตชาวโพชฌังคปรติ ร, โพชฌังคปริตรนน้ั ทา น บา นทว่ั ไป ทมี่ งุ ใหเ ปน กาํ ลงั อาํ นาจปกปกนําสาระจากพระสูตรเดิมมาเรียบเรียง รักษาคุมครองปองกัน จนถึงพระและเตมิ คาํ อางสจั จะตอ ทายทกุ ทอน) อรหันตซึ่งใชเจริญธรรมปติ แตที่ยืน๓) โดยหลกั การ: ปริตรเปนไปตามหลกั เปนหลักคอื ชว ยใหจ ติ ของผสู วดและผูพระพุทธศาสนาท่ีถือธรรมเปนใหญสูง ฟงเจรญิ กุศล เชน ศรทั ธาปสาทะ ปติสุด ไมมีการรองขอหรืออางอํานาจของ ปราโมทยแ ละความสุข ตลอดจนตั้งมัน่เทพเจา (เทพท้งั หลายแมแตท ีน่ ับถือวา เปน สมาธิ รวมท้ังเตรียมจติ ใหพรอมที่สูงสุด ก็ยังทํารายกัน ไมบริสุทธิ์แท จะกาวสูภูมิธรรมท่ีสูงขึ้นไป คือเปนและไมเ ปน มาตรฐานท่แี นนอน ตองขนึ้ กศุ ลภาวนา เปน จิตตภาวนาตอธรรม มีธรรมเปน ตัวตัดสนิ ในท่ีสดุ ๕) โดยทมี่ า: แหลงท่มี าของพระปรติ รเชน วา กอนโนน พราหมณถ ือวา พระ ไดแกคําแนะนําส่ังสอนของพระพุทธเจาพรหมเปน ใหญ สรางทกุ สิ่งทกุ อยาง แต กลา วคอื พระสตู ร พทุ ธานญุ าต ชาดกตอมาลัทธินับถือพระศิวะเลาวา เดิมที เร่ืองไหนตอนใดมีเนื้อความซ่ึงไดความ

ปรติ ต, ปรติ ร ๒๐๘ ปรติ ต, ปริตรหมายตรงตามทต่ี อ งการ กน็ าํ มาสวดและ (วนิ ย.๗/๒๖/๑๑; อง.ฺ จตกุ กฺ .๒๑/๖๗/๙๔) เปน ทมี่ านิยมสืบกันมา เชน มหาโจรองคุลิมาล ของขนั ธปรติ ร (คาถาทเี่ ปน ปรติ รนมี้ าในขนั ธ-เมื่อกลับใจมาบวชแลว วันหนึ่งไป ปรติ ตชาดกดว ย, ข.ุ ชา.๒๗/๒๕๕/๗๔), หรอืบณิ ฑบาต พบสตรีครรภแ กคลอดยาก อยางพระพุทธเจาตรัสสอนธรรมโดยมีอาการทุลักทุเลลําบาก ทานสงสาร ทรงเลาเร่ืองชาดกเปนตัวอยาง แลวกลับจากบิณฑบาตแลวก็มาเฝา ทลู ความ ชาดกบางเรื่องที่มีถอยคําซึ่งไดชวยใหแดพ ระผูม พี ระภาคเจา พระองคจ ึงทรง บุคคลหรือสัตวในเร่ืองรอดพนอันตรายแนะนําใหทานเขาไปหาสตรีน้ันและ ก็มาเปนปริตร ดังเชน “คาถานกคุม ” ที่กลาวคาํ เปนสจั กิริยาวา “ดกู รนอ งหญิง ลูกนกคุมกลาวเปนสจั กริ ยิ า ทาํ ใหไ ฟปาตั้งแตอาตมาไดเกิดแลวในอริยชาติ มิ ไมล กุ ลามเขา มาไหมร งั (ข.ุ ชา.๒๗/๓๕/๑๒ มีไดรูสึกเลยวาจะจงใจปลงสัตวเสียจากชวี ติ ดวยสจั วาจาน้ี ขอความสวสั ดจี งมี คาถาแตไ มค รบ, มาครบใน ข.ุ จรยิ า.๓๓/๒๓๗/๕๘๘)แกทาน ขอความสวัสดีจงมีแกครรภของทานเถิด” พระองคลุ ิมาลไดปฏบิ ตั ิ ก็มาเปนวัฏฏกปริตร, หรืออยางมงคล-ตาม สตรีนั้นก็คลอดบุตรไดงายโดย สตู ร (ขุ.ขุ.๒๕/๕/๓; ข.ุ ส.ุ ๒๕/๓๑๗/๓๗๖) ที่วาสวสั ดี (ม.ม.๑๓/๕๓๑/๔๘๕) คาํ บาลที กี่ ลา ว พระพุทธเจา เม่ือเหลาเทวดาทูลขอใหสจั กริ ยิ านก้ี เ็ ปน ทน่ี ยิ มนาํ มาใช โดยมชี อ่ื ตรัสแสดงยอดมงคล แทนท่จี ะตรัสถึงวา องั คุลมิ าลปรติ ร ถือวา เปนมหาปริตร สิ่งที่พบเห็นไดย นิ ดรี า ยวา เปน มงคลหรอืทีเดียว, บางทีมีเหตุรายเกิดขึ้น เชน ไมเปนมงคลอยา งทีค่ นยดึ ถอื กัน กลับคราวหน่ึงมีภิกษุถูกงูกัดถึงมรณภาพ ทรงสอนหลักความประพฤติปฏิบัติในเมื่อทรงทราบ ไดตรัสอนุญาตใหภิกษุ ชีวิตและสงั คม เชน การไมค บคนพาลท้ังหลายแผเมตตาจิตไปยังพญางูสี่ การคบบัณฑิต การยกยองเชิดชูคนท่ีตระกลู (วิรปู ก ข เอราบถ ฉพั ยาบุตร ควรยกยอ งเชดิ ชู ฯลฯ จนถงึ ความมจี ติกณั หาโคตมกะ) เพอื่ คมุ ครองรกั ษาและ ใจเกษมศานตเปนอิสระไมหว่ันไหวดวยปองกันตัว และไดตรัสคาถาแผเมตตา โลกธรรม วา เปนอดุ มมงคล มงคลสูตรแกตระกูลพญางูท้ังสี่น้ัน ตลอดจนแก นี้กเ็ ปน ทน่ี ิยมนับถอื นาํ มารวมไวใ นชดุสรรพสตั ว ลงทา ยดว ยคณุ พระรตั นตรยั พระปรติ รเต็มท้งั พระสูตรและนมสั การพระพทุ ธเจา ๗ พระองค พระปริตรที่ชอ่ื วา อาฏานาฏยิ ปรติ ร จากอาฏานาฏยิ สตู ร (ท.ี ปา.๑๑/๒๐๗/๒๐๘) นบั วา มกี าํ เนดิ แปลกออกไป คอื มใิ ชเ ปน

ปริตต, ปรติ ร ๒๐๙ ปรติ ต, ปรติ รพุทธดํารัสที่ตรัสเอง แตมีเร่ืองในพระ ทาวมหาราชสี่รายพระองคที่พรอมดวยสตู รนั้นวา ณ ยามดกึ ราตรหี นง่ึ ทา ว โอรสและเหลาอมนุษยพากันนอมวันทามหาราชสี่ (จาตมุ หาราช หรอื จตโุ ลกบาล) พระพุทธเจา , เมือ่ จบแลว ทา วเวสสวณัพรอ มดว ยบรวิ ารจาํ นวนมาก ไดม าเฝา กราบทูลยา้ํ วา คาถาอาฏานาฏยิ รักขานี้พระพุทธเจา ที่เขาคิชฌกูฏ เมือง เพื่อเปนเคร่ืองคุมครองรักษาภิกษุราชคฤห ครน้ั แลว ทา วเวสสวณั ผคู รอง ภกิ ษุณี อุบาสก อบุ าสกิ า ใหอยูผาสกุทศิ อดุ ร (ไทยมกั เรยี ก เวสสวุ ณั , มอี กี ชอื่ ปลอดจากการถูกเบียดเบยี น เม่ือเรยี นหนง่ึ วา กเุ วร) ไดก ราบทลู (ในนามของผู ไวแมนยําดีแลว หากอมนุษยเชนยักษมาเฝา ทงั้ หมด) วา พวกยกั ษท ไี่ มเ ลอ่ื มใส เปนตนตนใดมีใจประทุษรายมากล้ําพระผมู พี ระภาคเจา กม็ ี ทเี่ ลอ่ื มใส กม็ ี กราย อมนุษยตนน้ันก็จะถูกตอตานสวนมากที่ไมเลื่อมใสเพราะตนเองทํา และถูกลงโทษโดยพวกอมนุษยท ัง้ หลายปาณาตบิ าต เปน ตน จนถงึ ดมื่ สรุ าเมรยั หากตนใดไมเ ชื่อฟง กถ็ ือวา เปน ขบถตอเมอ่ื พระผมู พี ระภาคเจา ทรงสอนใหง ดเวน ทาวมหาราชส่ีนั้น กลาวแลวก็พากันกรรมช่ัวเหลาน้ัน จึงไมชอบใจ ทาว กราบทลู ลากลบั ไป ครน้ั ผานราตรีนัน้ ไปมหาราชทรงหว งใยวา มพี ระสาวกทไ่ี ปอยู แลว พระพทุ ธเจา ไดต รสั เลา เรอื่ งทงั้ หมดในปาดงเงียบเปลี่ยวหางไกลอันนากลัว แกภ กิ ษทุ งั้ หลาย ตรสั วา อาฏานาฏยิ รกั ขาจงึ ขอถวายคาถา “อาฏานาฏยิ า รกขฺ า” นั้นกอปรดวยประโยชนในการคุมครอง(อาฏานาฏิยรักขา เรียกงายๆ วา รักษาดังกลาวแลว และทรงแนะนาํ ใหอาฏานาฏยิ ารกั ข โดยเรยี กตามชอ่ื เทพ- เรยี นไว, คาถาอาฏานาฏยิ รกั ขานเ้ี องไดนครอาฏานาฏา ทที่ า วมหาราชประชมุ กัน มาเปน อาฏานาฏยิ ปรติ ร และอาฏานาฏยิ -ประพันธอ าฏานาฏยิ รกั ขานี้ขนึ้ ) โดยขอ ปริตรนี้นับวาเปนตัวอยางอันชัดเจนท่ีใหทรงรับไว เพื่อทําใหยักษพวกนั้น แสดงถึงวิธีสอนท่ีนําประชาชนใหฝกเลอื่ มใส เปน เครอื่ งคุมครองรักษาภกิ ษุ ศึกษาพฒั นาชีวิตขึ้นมาตามลาํ ดบั จากภิกษณุ ี อุบาสก อุบาสกิ า ใหอ ยูผาสุก จุดเชื่อมตอกับความเช่ือถือพ้ืนฐานของปลอดจากการถูกเบียดเบยี น แลวทา ว เขา เพ่ือกาวเขามาสูคติแหงพระพุทธเวสสวัณก็กลาวคําอารักขานั้น เร่ิมตน ศาสนา คือในแงความเช่ืออาํ นาจศักดิ์ดว ยคาํ นมสั การพระพทุ ธเจา ๗ พระองค สทิ ธิ์ ถอื วา ตอ งเปน อาํ นาจทท่ี รงธรรมจงึมพี ระวปิ ส สี เปน ตน ตอ ดว ยเรอ่ื งของ จะศักด์ิสิทธิ์จริงจังย่ังยืน และชําระ

ปริตต,ปริตร ๒๑๐ ปริตต, ปริตรอํานาจน้ันใหบริสุทธิ์เปนกุศลปราศจาก ฝนโบกขรพรรษก็ตกลงมาจนนํ้าทวมการใชก เิ ลสเชน โลภะและโทสะ ใหอ าํ นาจ พดั พาซากศพลอยลงแมน า้ํ คงคาไปหมดท่ีเปนกุศลชนะอํานาจอกุศล และที่ และเมอ่ื เสด็จถึงเมอื งเวสาลี ทา วสักกะสาํ คัญย่ิงคือไมใหขัดหลักกรรม แตให และประดาเทพกม็ าชุมนมุ รบั เสดจ็ เปนสนบั สนนุ ความเพยี รในการทาํ กศุ ลกรรม เหตใุ หพ วกอมนษุ ยห วาดกลวั พากนั หนีโดยมีความหมายในแงคุมครองปองกัน ไป ครงั้ นน้ั พระพทุ ธเจา ไดตรสั รตนสตู รใหปลอดโปรงปราศจากส่ิงขัดขวางกังวล ใหพระอานนทเรียนและเดินทําปริตรไปทงั้ ภายนอกและในใจ เพอ่ื ใหพ รอ มหรอื ในระหวา งกาํ แพงเมอื งทั้ง ๓ ช้ัน พระมั่นใจมีกําลังใจที่จะเพียรทํากิจที่มุง อานนทเรียนรตนสูตรน้ันแลวสวดเพ่ือหมาย เชน ภกิ ษกุ จ็ ะเจรญิ สมณธรรมได เปนปริตร คือเปนเครื่องคุมครองปองเตม็ ที่ (มใิ ชร ออาํ นาจศกั ดส์ิ ทิ ธมิ์ าบนั ดาล กัน พรอมทัง้ ถือบาตรของพระพทุ ธเจาผลนน้ั ให) ใสนาํ้ เดินพรมไปทวั่ ทงั้ เมอื ง เปนอันวา ทง้ั ภยั แลง ภยั อมนษุ ย และภัยจากโรค เร่ืองราวอันเปนที่มาของปริตรทั้ง กส็ งบส้นิ ไป พระพุทธเจา ประทับทเี่ มืองหลายตามที่เลาในพระไตรปฎก มีเพียง เวสาลีครึ่งเดือนจึงเสด็จกลับ มีการส้นั ๆ ตรงๆ อยางท่กี ลาวแลว แตท ีม่ า ชมุ นมุ ครง้ั ใหญเ พ่อื สง เสด็จ เรยี กวาของบางปริตรปรากฏในอรรถกถาเปน “คงฺโคโรหณสมาคม” (เปน ไทย=คงคา-เรือ่ งราวยืดยาวพิสดาร โดยเฉพาะรตน- โรหณสมาคม, การชมุ นมุ ในคราวเสดจ็ปริตร จากรตนสตู ร (ขุ.ข.ุ ๒๕/๗/๕; ข.ุ ส.ุ ๒๕/ ลงแมนํ้าคงคาเพื่อเสด็จกลับสูเมือง๓๑๔/๓๖๗) ซึ่งอรรถกถาเลาวา คราวหนึ่ง ราชคฤห; การชุมนุมใหญอยางน้ีมีอีกทเ่ี มอื งเวสาลี ไดเ กิดทุพภิกขภยั ใหญ ผู ๒ ครั้ง คือ ยมกปาฏิหารยิ สมาคมคนลม ตาย ซากศพเกล่อื นเมอื ง พวก และเทโวโรหณสมาคม), พระสูตรนี้อมนษุ ยก ็เขามา แถมอหวิ าตกโรคซาํ้ อกี แสดงคุณของพระรัตนตรัย จึงเรียกวาในทสี่ ดุ กษตั รยิ ล จิ ฉวตี กลงไปอาราธนา รตนสตู ร (ในมลิ นิ ทปญ หาบางฉบบั เรยี กพระพทุ ธเจา ซ่งึ เวลานัน้ ประทับที่เมือง วา สวุ ตั ถสิ ตู ร เพราะแตละคาถาลงทา ยราชคฤห (ยังอยูในรัชกาลของพระเจา วา “สวุ ตฺถิ โหตุ” – ดวยสจั จะนี้ ขอพมิ พสิ าร) ขอใหเ สดจ็ มา พระพทุ ธองค ความสวัสดจี งม)ี , เรื่องทอี่ รรถกถาเลา น้ีประทบั เรอื เสดจ็ มา เมอ่ื ถงึ เขตแดน พอ นาจะเปนท่ีมาของประเพณีการเอานํ้าใสยา งพระบาทลงทรงเหยยี บฝง แมน า้ํ คงคา

ปรติ ต,ปริตร ๒๑๑ ปริตต,ปรติ รบาตรทําน้ํามนต แลวพรมนํา้ มนตเพื่อ ตอ มาในชนั้ อรรถกถา (ถงึ พ.ศ.๙๐๐ความสุขสวสั ดี เศษ) พบรายชอื่ อยา งมาก ๘ ปรติ ร คอื๖) โดยความเปน มา: เดมิ นัน้ “ปรติ ต” อาฏานาฏยิ ปรติ ร อสิ คิ ลิ ปิ รติ ร ธชคั ค-มคี วามหมายวา “เครอื่ งคมุ ครองปอ งกนั ” ปรติ ร โพชฌงั คปรติ ร ขนั ธปรติ ร โมร-เชนกลาวขอความนั้นๆ เพื่อเปนปริตร ปรติ ร เมตตปรติ ร รตนปรติ ร (อง.ฺ อ.หรือใหเปนปริตร (เปนเครือ่ งคุมครอง ๒/๒๑๐; นทิ ๑ฺ .อ.๓๓๖), ตอ นไี้ ป จะกลา วขอปองกัน) ยังไมเรียกขอความน้ันเองวา สงั เกตตามลาํ ดบั ดงั น้ีปรติ ร จงึ ใชค าํ วา “ทาํ ปรติ ต” (ปรติ ต- ก. ปริตรท่ียืนตัวอยูในทุกรายช่ือตั้งแตกรณะ) เชน ทาํ การแผเ มตตา หรอื ทาํ การ มิลินทปญหามาจนวิสุทธิมัคคกระทั่งถึงนอมรําลึกหรือนมัสการอยางนั้นๆ ให คัมภีรแ มแ ตช ้นั ฎกี า มีเพยี ง ๕ คอืเปนเคร่ืองคุมครองปองกัน ไมใชคาํ วา รตนปริตร ขันธปริตร ธชัคคปริตรกลาวหรือสวดปริตต ตอมาจึงคอยๆ อาฏานาฏยิ ปรติ ร และโมรปรติ รเรียกขอความท่ีสวดหรือบทสวดนั้นเอง ข. ตลอดยคุ ที่กลาวมา รายชอ่ื หลกั ขนึ้วาปริตร แลวปริตรก็มีความหมายวา ตน ดว ยรตนปรติ ร ซงึ่ บางทเี รยี กชอ่ื เดมิ“บทสวดเพอื่ เปน เครอ่ื งคมุ ครองปอ งกนั ” เปน รตนสตู ร และในรายชอื่ ทกุ บญั ชี ไมดงั ทใ่ี นบดั นี้ ใชค าํ วา “กลา วปรติ ร” หรอื มมี งคลสตู รเลย“สวดพระปรติ ร” (ปรติ ตภณนะ) เปน พนื้ ค. ไมชัดวามีมงคลสตู รเพม่ิ เขา มาในราย ชอ่ื ปรติ รเมอื่ ใด แตค งเพมิ่ ในยคุ สมยั ที่ ปริตรไดเปนคําเรียกบทสวด โดยมี ไมน านนกั นา สงั เกตวา ทานเพม่ิ เขา มารายชื่อปรากฏในคัมภีรชั้นหลังจากพระ โดยจดั เปน ปรติ รแรกทเี ดยี วนาํ หนา รตน-ไตรปฎ ก เรมิ่ แตม ลิ นิ ทปญ หา ซงึ่ ถอื กนั ปริตร อีกท้ังเปนบทเดียวที่คงเรียกช่ือวา เกดิ ขน้ึ ประมาณ พ.ศ.๕๐๐ ในมลิ นิ ท- เปน สูตรคงทย่ี นื ตวั ไมเรียกชือ่ วาปรติ รปญ หานนั้ มรี ายชอ่ื ๕-๗ ปรติ ร (ฉบบั ทง้ั นี้ พอเหน็ เหตผุ ลไดชัดวา เนอื้ ความหนง่ึ ทเี่ ปน อกั ษรพมา มี ๗ ปรติ ร คอื ในมงคลสูตรไมมีลักษณะเปนปรติ รโดยรตนสตู ร เมตตสตู ร ขนั ธปรติ ร โมรปรติ ร ตรง คอื มใิ ชม งุ จะปอ งกนั ภยั ใดๆ อยา งธชคั คปรติ ร อาฏานาฏยิ ปรติ ร องคลุ มิ าล- ปริตรอ่ืน แตเปนเร่ืองของสิริมงคลคือปรติ ร, ฉบบั อกั ษรไทยมี ๕ ปรติ ร คอื เปนไปเพื่อความสุขความเจริญงอกงามขนั ธปรติ ร สวุ ตั ถปิ รติ ร [=รตนสตู ร] โมร- กวา งๆ ครอบคลมุ ทว่ั ไปหมด ถงึ จะไมปรติ ร ธชคั คปรติ ร อาฏานาฏยิ ปรติ ร),

ปริตต, ปริตร ๒๑๒ ปรติ ต, ปริตรเปนปริตร ก็ดีมีคุณไมนอยกวาปริตร ทง้ั สตู ร แตคัดตัดมาเฉพาะสวนท่เี กี่ยวและควรเอามาสวดนาํ กอ นดว ยซาํ้ เพอ่ื ขอ ง จงึ เรียกวาปรติ รอยางเดียวใหเกิดสิริมงคลเปนพ้ืนฐานหรือเปน จ. อาฏานาฏยิ ปรติ ร มาจากอาฏานาฏยิ -บรรยากาศไวกอน แลวจะแกหรือกัน สตู ร แตน าํ มาใชเ ฉพาะคาถา “อาฏานาฏยิ าอันตรายอยางไหนก็คอยวากันตอไป รกขฺ า” ทที่ าวมหาราชสี่ถวาย ไมน ํามา(และในแงเ นอื้ ความ มงคลสตู รกค็ รอบ เตม็ ทง้ั สตู ร (คือนํามาเพยี งเอกเทศของคลุมความดีงามสุขสวัสดีทุกประการ พระสูตร) จงึ เรียกวา ปริตรเทา นัน้ ไมโดยมีหลักธรรมที่เหมาะแกทุกบุคคล เรยี กวา สตู ร ในแงน ี้ อาฏานาฏยิ ปรติ รก็ครบทกุ ขน้ั ตอนของชวี ติ ) อกี ทง้ั ทา นเอา เหมือนกับปริตรอ่ืนๆ ท่ีเรียกวาปริตรมาใชเต็มท้ังพระสูตร ไมไดคัดตัดมา อยางเดียว แตแงที่แปลกกวานั้นก็คือเพยี งบางสว น จงึ เปน อนั ไดเ หตผุ ลทน่ี าํ นํามาเฉพาะคาถานมัสการพระพุทธเจามาสวดเขา ชดุ ปรติ ร และจดั เปน บทแรก เจ็ดพระองค ๖ คาถา สว นคาถาตอ จากโดยเรียกชื่อคงเดิมวามงคลสูตร, ใน นั้นซึ่งวาดวยเร่ืองของทาวมหาราชสี่คมั ภรี ข ทุ ทกปาฐะแหง พระไตรปฎ ก ทา น ทานตัดออก แลว ประพนั ธคาถาใหมซง่ึเรียงลําดับมงคลสูตรและรตนสูตรไว สวนใหญพรรณนาพระคุณของพระถัดกัน โดยมีมงคลสูตรเปนสูตรแรก พุทธเจามากมายหลายพระองค นบอรรถกถาอธบิ ายวา ลาํ ดบั นเี้ ขา กบั เหตผุ ล วันทาพระพุทธเจาเหลานั้น ขอใหพระวา มงคลสตู รเปน อตั ตรกั ษ (รกั ษาตัว) คุณของพระองคปกปกรักษา และขอใหรตนสูตรเปนปรารกั ษ (รกั ษาผอู น่ื ) ทาวมหาราชท้ังส่ีมารักษาดวย, การที่ง. สวนปริตรอืน่ นนั้ ชัดอยูแลววา ปริตร พระโบราณาจารยก ระทําอยา งนี้ คงเปนใดเดิมเปนพระสูตร และนํามาใชสวด เพราะทานเหน็ วา คาถาอาฏานาฏยิ รกั ขาเต็มท้ังสูตร ปริตรน้ันจะเรียกชื่อเปน มิใชเปนพระพุทธวจนะ แตเปนคาํ ของสูตร หรอื เรยี กเปน ปรติ ร กไ็ ด คือ รตน- เทพเทาน้ัน เม่ือจะนํามาใชในกิจนอกสูตร/ปริตร กรณียเมตตสูตร/ปริตร พระไตรปฎก ทานจึงแตงเพิ่มและเติม(บางทีเรียกสั้นๆ วา เมตตสตู ร/ปริตร) แทนได โดยเฉพาะคาถาทที่ า นแตง นน้ั ก็และธชคั คสตู ร/ปริตร, ปริตรนอกนี้ มิ เ ป น ก า ร เ ส ริ ม เ จ ต น า ร ม ณ ข อ ง ท า วใชม าจากพระสูตร (เชน มาจากชาดก) มหาราชทง้ั สท่ี แ่ี สดงออกใน ๖ คาถาแรกหรือถามาจากพระสูตร ก็ไมนํามาเต็ม ใหปริตรหนักแนนมีกําลังมากยิ่งข้ึน,

ปรติ ต,ปริตร ๒๑๓ ปรติ ต,ปริตรโพชฌังคปริตรมีลักษณะพิเศษตางออก เปนชุดในงานสําคัญ มีการแยกวาพึงไปอีก เนอ่ื งจากวา เร่ืองท่พี ระพทุ ธองค สวดชุดใดในงานไหนระดับใด ตลอดเอง พระมหากัสสปะ และพระมหา- จนจัดลําดับในชุดพรอมดวยบทสวดโมคคัลลานะ สดับคําแสดงโพชฌงค ประกอบตา งๆ เปน ตน , ในคมั ภรี ม ลิ นิ ท-แลวหายจากอาพาธนั้น กระจายอยูใน ปญ หา ซงึ่ เลา เรอื่ งราวเมอื่ ใกล พ.ศ.๕๐๐สามพระสูตรตางหากกัน (สํ.ม.๑๙/๔๑๕- แมจ ะมไิ ดก ลา วถงึ พธิ สี วดพระปรติ รโดย๔๒๘/๑๑๓-๗) พระโบราณาจารยจ ึงใชวิธี ตรง แตป ญ หาหนงึ่ ทพี่ ญามลิ นิ ทต รสั ถามประพันธคาถาประมวลเร่ืองสรุปความ พระนาคเสนวา ถา ปรติ รทาํ ใหค นพน จากรวมไวเ ปน ปรติ รเดยี วกนั โพชฌงั คปรติ ร บวงมัจจุราชได จะไมขดั กันหรือกบั คาํจึงมิใชเปนบาลีภาษิตจากพระไตรปฎก สอนทวี่ า ถงึ จะเหาะเหนิ ไปในฟากฟา ถงึโดยตรง, เร่ืองของอาฏานาฏิยปริตร จะซอ นตวั ลกึ ถงึ กลางมหาสมทุ ร หรอื จะ(รวมทง้ั โพชฌงั คปรติ ร) นี้ นา จะเปน ตวั หนไี ปทไี่ หน กห็ าพน จากบว งมจั จรุ าชไปอยา งใหใ นยคุ หลงั มกี ารแตง คาถาใหมข น้ึ ไดไ ม และระบชุ อ่ื ปรติ รไวด ว ยหลายบทเปน ปรติ รชอ่ื ใหมๆ โดยนาํ เอาพทุ ธพจน (ฉบบั อกั ษรพมา ระบไุ ว ๗, ฉบบั อกั ษรหรือขอความในพระไตรปฎกมาตั้งเปน ไทยระบไุ ว ๕ ดงั กลา วขา งตน ) นแ้ี สดงแกน กม็ ี ไมม ขี อ ความจากพระไตรปฎ ก วา การสวดพระปรติ รคงจะเปน ทน่ี ยิ มโดยตรงเลย กม็ ี ไดแ ก อภยปรติ ร และ ท่ัวไปแลวในชมพูทวีป รวมท้ังแควนชยปริตร ในประมวลบทสวดที่เรยี กวา โยนก (โยนกเวลาน้ันขยายกวางตั้งแต“สบิ สองตาํ นาน” แถบเหนือของอาฟกานิสถานและปากี-๗) โดยการจดั เปน แบบแผน: ตอมา สถาน มาจนถงึ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของในบานเมืองท่ีพระพุทธศาสนาเจริญ อนิ เดยี ปจ จบุ นั ) ตอ มา ในลังกาทวปี มีแพรหลาย มคี นทุกหมูเหลานบั ถอื แลว เร่ืองราวเปนหลักฐานชัดเจนตามคัมภีรความนิยมสวดพระปริตรก็แพรหลาย มหาวงส (พงศาวดารลงั กายคุ ตน ) วามากข้นึ ๆ จนเกดิ เปน ประเพณีขนึ้ โดยมี ในรัชกาลพระเจาอุปติสสะ ที่ ๑ (พ.ศ.พิธีกรรมเก่ียวกับการสวดพระปริตรน้ัน ๙๐๕–๙๕๒) เกดิ ทพุ ภิกขภัย พระองคและประเพณนี นั้ กพ็ ฒั นาตอ ๆ มา เชน ไดโปรดใหนิมนตพระสงฆประชุมใหญมีการสวดปริตรน้ีในโอกาสนั้น สวด สวดพระปริตร แลว ฝนตกหายแลง ในปริตรนั้นในโอกาสนี้ มีการสวดปริตร สมัยหลงั ตอมา กม็ เี หตกุ ารณเชนนี้อีก,

ปริตต,ปรติ ร ๒๑๔ ปรติ ต, ปรติ รพิธีสวดอยางน้ี นอกจากเปนงานใหญ วา อาจเปน “ตํานาณ” ท่ีแผลงจากแลว กก็ ลายเปนประเพณี การสวดบาง “ตาณ” นีเ้ อง (คือเปน เจด็ ตาํ นาณ และอยางก็ทําเปนประจําทุกป อยางนอยก็ สบิ สองตาํ นาณ) และเม่ือใชเปนแบบทํานองเปนการบาํ รงุ ขวญั ในบางคมั ภีร แผนในพระราชพิธี ก็ไดมีช่ือเปนคําอยางวินยสังคหะ ถึงกับอธิบายวิธีจัดเตรียมการในการสวดพระปริตรในบาง ศัพทเฉพาะขึ้นวา “ราชปริตร” เรียกโอกาส เชน เมอื่ ไปสวดใหค นเจบ็ ไขฟ ง สัตตปริตตว า จลุ ราชปรติ ร (ปริตรหลวงพงึ ใหเ ขารบั สกิ ขาบทกอ น (เราเรยี กวา ให ชุดเล็ก) และเรียกทวาทสปริตตวาศลี ) แลว กลา วธรรมแกเ ขา พงึ ทาํ ปรติ ร มหาราชปรติ ร (ปริตรหลวงชุดใหญ)ใหแ กผทู ต่ี งั้ อยใู นศีล ถาคนถกู ผเี ขา ไมควรสวดอาฏานาฏิยปริตรกอน แตพึง เจ็ดตํานานสวดเมตตสตู ร ธชคั คสตู ร และรตนสตู ร ๑. มงคลสตู รตลอดสปั ดาห ถาผีไมยอมออก จึงควรสวดอาฏานาฏิยปรติ ร ดงั น้ีเปน ตน ๒. รตนปรติ ร (มกั เรยี ก รตนสตู ร) ปริตรที่จัดเปนหมวดหรือเปนชุด ๓. เมตตปรติ ร (มกั เรยี กกรณยี เมตตสตู ร)ตอมาก็มีการแยกเปนชุดเล็กและชุดใหญ ดงั ที่เรียกวา “เจ็ดตาํ นาน” (ใชคาํ ๔/๐. ขนั ธปรติ รบาลีเปน สัตตปริตต) และ “สิบสองตาํ นาน” (ทวาทสปริตต) แตม ีขอนา ๕/๐. โมรปรติ รสงสัยวา “ตาํ นาน” ในท่ีน้หี มายถงึ เร่อื งราวเลาขานสบื กนั มาใชแนหรือไม พอดี ๖/๐. ธชคั คปรติ ร (มกั เรยี ก ธชคั คสตู ร)วา “ปรติ ต” คือเครื่องคุมครองปองกนั น้ีมคี าํ บาลที เี่ ปน ไวพจนว า รกั ขา ตาณ เลณ ๗/๐. อาฏานาฏยิ ปรติ รทปี ะ นาถ สรณะ เปน ตน โดยเฉพาะ“ตาณ” นนั้ บางทใี ชอธิบายหรอื ใชแทน ๐/๗. โพชฌงั คปรติ ร มอี งั คลุ มิ าลปรติ รนาํ“ปรติ ตฺ ” อยา งชัดเจน (เชน ในโยชนาแหงอรรถกถาวินัยวา ยกฺขปริตฺตนฺติ (ลาํ ดบั ทา ยน้ี อาจเขา แทนลาํ ดบั ใดหนง่ึ ใน ๔-๗)ยกเฺ ขหิ สมนตฺ โต ตาณ)ํ จงึ นา สนั นษิ ฐาน สิบสองตํานาน ๑. มงคลสตู ร ๒. รตนปรติ ร (มกั เรยี ก รตนสตู ร) ๓. เมตตปรติ ร (มกั เรยี กกรณยี เมตตสตู ร) ๔. ขนั ธปรติ ร มีฉทั ทนั ตปรติ รตาม ๕. โมรปรติ ร ๖. วฏั ฏกปรติ ร ๗. ธชคั คปรติ ร (มกั เรยี ก ธชคั คสตู ร) ๘. อาฏานาฏยิ ปรติ ร ๙. องั คลุ มิ าลปรติ ร

ปริตต, ปรติ ร ๒๑๕ ปริตต,ปริตร๑๐. โพชฌงั คปรติ ร สวดปริตรหน่ึงจบแลว กอนจะสวด ปรติ รลาํ ดบั ตอไป ก็หยดุ ใหหวั หนา (บัด๑๑. อภยปรติ ร (มขี นึ้ ในยคุ หลงั ) นี้นิยมใหรูปที่ ๓ ผูขัดนํา คือรูปที่ ชุมนมุ เทวดา) ขดั ตาํ นาน คอื สวดบท๑๒. ชยปรติ ร (มขี น้ึ ในยคุ หลงั ) แนะนําใหรูจักปริตรบทที่จะสวดตอไป นั้น (บทขัดของปริตรใด ก็เรยี กตามชอ่ื (พงึ ทราบวา องคฺ ลุ มิ าลปรติ ตฺ และ ของปริตรนั้น เชน บทขัดมงคลสูตร บทขดั รตนปริตร ฯลฯ ซง่ึ บอกใหรวู าโพชฌฺ งคฺ ปรติ ตฺ นนั้ เรยี กเปน ภาษาไทย ปริตรนั้นเกิดขึ้นมาอยางไร มีคุณหรือ อานสิ งสใ นการสวดอยา งไร และเชญิ ชวนวา องั คลุ มิ าลปรติ ร หรอื องคลุ มิ าลปรติ ร ใหส วด) ขดั คน่ั อยา งนไี้ ปจนจบปริตรท้งั หมด, อยา งไรก็ตาม ทุกวันนี้ แมแตในและโพชฌงั คปรติ ร หรอื โพชฌงคปรติ ร พิธีใหญๆ ก็นอยนักที่จะมีการขัด ตํานานในการสวดเจ็ดตํานานหรือสิบกไ็ ด ยงั ไมม กี าํ หนดเปน ยตุ )ิ สองตํานาน เพราะจะทําใหการสวดยาว๘) โดยเครอ่ื งประกอบเสรมิ : อยา งท่ี นานมาก, แตที่ยงั นยิ มปฏบิ ตั ิกันอยู ก็ไดก ลา ววา นอกจากตวั ปรติ รเองแลว มี คือ ในกรณีท่ีมีการสวดบทพิเศษเพิ่ม เขา มา เชน สวดธมั มจกั กัปปวตั ตนสตู รบทสวดเสริมประกอบที่แตงหรือจัดเติม ในงานทาํ บญุ อายคุ รั้งสาํ คญั เม่ือขัดนาํ ตํานาน คือชมุ นมุ เทวดาแลว ก็ตอดว ยเพิ่มข้ึนมาตามกาลเวลาอกี มาก ใชส วด บทขัดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรติดไปเลย จากนั้นสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนาํ กอ นกม็ ี สวดแทรกกม็ ี สวดตอ ทา ยก็ และเจ็ดตาํ นานยอไปจนจบ โดยไมม ีการมี เชน กอ นเรมิ่ สวด กม็ กี ารชมุ นมุ ขดั ตาํ นานใดๆ อกี , ทก่ี ลา วมาน้ี เปน เรอื่ งเทวดา คอื กลา วคาํ เชญิ ชวนเทวดามาฟง ของแบบแผนในพิธีท่ีเพ่ิมขยายข้ึนมาเรียกวามาฟงธรรมหรือมาฟงพุทธวจนะ เปนเร่ืองของประเพณีและเนื่องดวย สงั คม แตผ ปู ฏบิ ตั ใิ นทางสว นตวั เมอื่ มงุและเมอ่ื เรมิ่ สวด กอ นจะถงึ ตวั พระปรติ ร สาระ พงึ กาํ หนดชดั อยทู ตี่ วั พระปรติ รกส็ วดตน ตาํ นาน ซง่ึ มีประมาณ ๔ บทแลวจึงสวดตัวตํานานคือพระปริตรไปตามลาํ ดับ ครน้ั จบปริตรท้ังหมดแลว ก็สวดทายตาํ นาน ทํานองบทแถมอีกจํานวนหน่งึ (อาจจะถงึ ๑๐ บท) เสรจ็แลวจึงเปนอนั จบการสวด ย่ิงกวาน้ัน ถามีเวลาท่ีจะสวดอยางเต็มพิธีจริงๆ นอกจากชุมนุมเทวดา(เรียกวาขัดนํา) ตอนจะเริม่ สวดแลว ในชว งท่ีสวดตัวตํานาน ก็มกี ารขัดตํานานแทรกค่ันไปตลอดดว ย คอื ระหวา งท่ี

ปรเิ ทวะ ๒๑๖ ปริมณฑล นอกจากแบบแผนพิธีในการสวด ปริเทวนาการ ดู ปรเิ ทวะแลว เครอ่ื งประกอบสําคัญทีร่ กู ันดกี ็คือ ปรินพิ พาน การดบั รอบ, การดบั สนิทน้ํามนต และสายสิญจน ซ่ึงมีมาแต 1. ดับกิเลสและทุกขส้ินเชิง, บรรลุโบราณ แตใ นคมั ภรี ภ าษาบาลี ทา นเรยี ก อรหัตตผล (ไดแก กิเลสปรินิพพาน) 2.วา ปรติ โตทก (นา้ํ ปรติ ร) และปรติ ตสตู ร ตาย (ไดแ ก ขนั ธปรินิพพาน, ใชแ กพระ(สายหรอื ดา ยปรติ ร) ตามลาํ ดบั พุทธเจา และพระอรหนั ต; ในภาษาไทยรวมแลว ในเรอ่ื งปรติ รนี้ ขอ สาํ คญั บางทีแยก ใหใชแกพระพุทธเจาวาอยูที่ตองมีจิตใจเปนกุศล นอกจากมี ปรินพิ พาน และใหใชแกพระอรหนั ตทว่ัเมตตานําหนาและม่ันในสัจจะบนฐาน ไปวา นิพพาน แตใ นภาษาบาลี ไมม ีการแหงธรรมแลว ก็พึงรูเขาใจสาระของ แยกเชน นนั้ ); ดู นพิ พานปรติ รนน้ั ๆ โดยมกี มั มสั สกตาปญ ญาอนั ปรนิ ิพพานบริกรรม การกระทาํ ขัน้ ตนมองเหน็ ความมกี รรมเปน ของตน ซงึ่ ผล กอนที่จะปรินิพพาน, การเตรียมที่ประสงคจะสําเร็จดวยความพากเพียร ปรนิ ิพพาน ในพุทธประวตั ิ ไดแ ก การในการกระทาํ ของตน เมอ่ื มจี ติ ใจโลง เบา ทรงเขา อนปุ ุพพวิหารสมาบตั กิ อน แลวสดช่นื ผองใสดว ยมน่ั ใจในคณุ พระปรติ ร เสด็จปรนิ ิพพานทคี่ มุ ครองปอ งกนั ภยั อนั ตรายใหแ ลว ก็ ปรินิพพานสมัย เวลาท่ีพระพุทธเจาจะไดมีสติม่ันมีสมาธิแนวมุงหนาทําการ เสด็จปรินพิ พานนั้นๆ ใหกาวตอไปดวยความเขม แขง็ มี ปริปุจฉา การสอบถาม, การคนควา,กําลังหนักแนนและแจมใสชัดเจนจนถึง การสบื คน หาความรูความสาํ เรจ็ , สาํ หรบั พระภกิ ษุ ตอ งตง้ั ใจ ปริพาชก นักบวชผูชายนอกพระพุทธ-ปฏิบตั ใิ นเร่อื งปริตรน้ีตอ คฤหสั ถด ว ยจติ ศาสนาพวกหนึ่งในชมพูทวีปชอบสัญจรเมตตากรุณา พรอมไปกับความสังวร ไปในทตี่ างๆ สําแดงทรรศนะทางศาสนาระวงั มใิ หผ ดิ พลาดจากพระวนิ ยั ในแง ปรัชญาของตน เขียนอยางรูปเดิมในดริ จั ฉานวชิ า และเวชกรรม เปน ตน ; ดู ภาษาบาลเี ปน ปรพิ พาชกภาณยกั ษ, ภาณวาร ปรพิ าชิกา ปรพิ าชกเพศหญงิ เขียนอยา งปริเทวะ ความรํ่าไรรําพัน, ความคร่ํา รูปเดิมในภาษาบาลีเปน ปริพพาชิกาครวญ, ความราํ พนั ดว ยเสยี ใจ, ความ ปริภัณฑ ดู สัตตบรภิ ณั ฑบนเพอ ปรมิ ณฑล วงรอบ, วงกลม; เรียบรอย

ปรยิ ตั ิ ๒๑๗ ปริวาสปรยิ ัติ พุทธพจนอนั จะพึงเลา เรยี น, สง่ิ ที่ ญาณ รวม ๔ ขอเปน ๑๒ เรียกวา มีควรเลา เรยี น (โดยเฉพาะหมายเอาพระ อาการ ๑๒บาลคี อื พระไตรปฎ ก พทุ ธพจนห รอื พระ ปริวารยศ ยศคอื (ความมี)บริวาร, ความธรรมวนิ ยั ); การเลา เรียนพระธรรมวนิ ยั เปน ใหญโ ดยบริวาร ดู ยศปรยิ ัตสิ ัทธรรม ดู สทั ธรรม ปริวาส “อยูรอบ”, อยูครบ, อยจู บ, อยูปรยิ าย การเลา เรอ่ื ง, บรรยาย; อยา ง, ปรบั ตวั ใหพ รอ ม, อยพู อจนไดท ,่ี บม ตวั ,ทาง, นยั ออ ม, แง อบ, หมกอยู 1. ในพระวนิ ยั แปลกนั มาวาปรยิ ายสทุ ธิ ความบรสิ ทุ ธโ์ิ ดยปรยิ ายคอื “อยกู รรม” หรอื อยชู ดใช, เปน ชอ่ื วฏุ ฐาน-จัดเปนความบริสุทธ์ิไดบางแงบางดาน วธิ ี (ระเบียบปฏบิ ตั สิ าํ หรบั การออกจาก ยงั ไมบ รสิ ทุ ธส์ิ น้ิ เชงิ ยงั มกี ารละ และการ ครุกาบัติ) อยางหนึ่ง ซ่ึงภิกษุผูตอง บาํ เพญ็ อย;ู ตรงขา มกบั นปิ ปรยิ ายสทุ ธ;ิ ดู อาบัติสังฆาทเิ สสแลว ปกปด ไว จะตอ ง สทุ ธิ ประพฤติ เปน การลงโทษตนเองชดใชใหปรยิ ุฏฐานกิเลส ดู กิเลส ๓ ระดับ ครบเทา จาํ นวนวันที่ปดอาบตั ิ กอ นทจ่ี ะปรเิ ยสนา การแสวงหา มี ๒ คอื ๑. อนรยิ - ประพฤติมานัตอันเปนขั้นตอนปกติของ ปริเยสนา แสวงหาอยางไมประเสริฐ การออกจากอาบัติตอไป, ระหวางอยูตนยงั มีทุกข ก็ยังแสวงหาสภาพทม่ี ีทุกข ปรวิ าส ตองประพฤติวตั รตา งๆ เชน งด๒. อริยปริเยสนา แสวงหาอยาง ใชส ทิ ธิบางอยา ง ลดฐานะของตน และประเสริฐ ตนมที กุ ข แตแสวงหาสภาพท่ี ประจานตัว เปน ตน ; ปรวิ าส มี ๓ อยาง คือ ปฏิจฉนั นปรวิ าส สโมธานปริวาสไมมีทุกข ไดแ กน พิ พาน; สาํ หรับคนทัว่ และ สุทธนั ตปริวาส; มปี รวิ าสอกี อยา งไป ทานอธิบายวา มิจฉาอาชีวะ เปนอนริยปรเิ ยสนา สมั มาอาชีวะ เปนอรยิ - หนง่ึ สาํ หรบั นกั บวชนอกศาสนา จะตอ ง ปริเยสนา ประพฤติ เปนการปรับตัวใหพรอมปรโิ ยสาน ท่ีสุดลงโดยรอบ, จบ, จบ กอนท่จี ะบวชในพระธรรมวนิ ัย เรยี กวา อยา งสมบูรณ ตติ ถยิ ปรวิ าส ซง่ึ ทา นจดั เปน อปฏจิ ฉนั น-ปรวิ ัฏฏ หมนุ เวียน, รอบ; ญาณทัสสนะ ปริวาส (เมื่อเทียบกับติตถิยปริวาสนี้มีปรวิ ัฏฏ ๓ หรอื เวยี นรอบ ๓ ใน บางทีเรียกปริวาสของภิกษุเพ่ือออกจากอรยิ สัจจ ๔ หมายถงึ รอู ริยสจั จ ๔ แต อาบัตสิ ังฆาทิเสสขา งตนนั้นวา “อาปตติ-ละขอโดยสจั จญาณ กจิ จญาณและกต- ปริวาส”); ดู ติตถยิ ปรวิ าส 2. ในคมั ภรี ช้ัน

ปริวิตก ๒๑๘ ปรสิ สมบตั ิ อรรถกถาลงมา ทา นนาํ คําวา “ปรวิ าส” เหมือนกัน ผูทมี่ ีภวงั คปรวิ าสสน้ั รวดเรว็ ตามความหมายสามัญขางตนมาใช จะรบั รูและคดิ การตา งๆ ไดแคลว คลอ ง อธิบายธรรม เพื่อชวยใหเขาใจงายขึ้น รวดเร็ว จนดูเหมือนวาทําอะไรๆ ได ต้ังแตเรื่องพ้ืนๆ ไปจนถึงหลักธรรมท่ี หลายอยางในเวลาเดยี วกนั เชน พระ ลึกซ้งึ เชน อาหารทบ่ี รโิ ภคเขา ไปแลว มี พุทธเจาทรงมีภวังคปริวาสชั่ววิบแวบ ปริวาส คอื การคางรวมกันอยูใ นทอ งจน แมจะมีผูทูลถามปญหาพรอมกันหลาย ยอยเสร็จ, การอบเครื่องใชหรือท่ีอยู คน ก็ทรงทราบความไดทันทั้งหมด อาศัยดวยกล่ินหอมของดอกไมเปนตน และทรงจัดลําดับคําตอบไดเหมาะ ก็เปนปริวาส, การเรยี นมนตโ ดยอยูกับ จังหวะแกทกุ คน) กจิ กรรมทเี่ กยี่ วกบั มนตน นั้ เชน สาธยาย ปริวิตก ความคิดนึก, คาํ นึง; ไทยใช พิจารณา ทําความเขาใจ จนจบรอบหรือ หมายความวานกึ เปน ทกุ ขหนกั ใจ, นกึ เขาถงึ เรียกวา มนตปรวิ าส, ในสมถ- หวงใย ภาวนา ผเู จริญฌาน จะกาวจากอปุ จาร- ปรสิ ะ บริษทั , ทีป่ ระชุมสงฆผ ูท าํ กรรม สมาธิขนึ้ สูปฐมฌาน หรือกาวจากฌานท่ี ปริสทูสโก ผูประทษุ รา ยบรษิ ทั เปนคน ตํา่ กวา ข้ึนสฌู านชั้นทส่ี งู ข้นึ ไป คือมีองค พวกหน่ึงทีถ่ กู หา มบรรพชา หมายถงึ ผมู ี ฌานชน้ั ที่สูงตอ ข้ึนไปน้นั ปรากฏ โดยอยู รูปรา งแปลกเพอื่ น เชน สงู หรอื เตี้ยจน จบรอบอัปปนาสมาธิ (หรอื บม อปั ปนา- ประหลาด ศรี ษะโตหรือหลิมเหลือเกิน สมาธจิ นไดท)่ี เรยี กวา อัปปนาปรวิ าส, เปนตน ในการเจริญวิปสสนา ผูปฏิบัติจะยัง ปริสวิบัติ เสยี เพราะบรษิ ัท, วิบัติโดย มรรคใหเ กดิ ข้นึ โดยอยูจบรอบวปิ สสนา บริษัท, บกพรองเพราะบริษทั หมายถงึ (หรือบมวิปสสนาจนไดท่ี) เรียกวา เม่ือสงฆจะทําสังฆกรรม ภิกษุเขา วปิ สสนาปริวาส, ในการทํางานของจิต ประชุมไมครบองคกําหนด, หรือครบ ซ่งึ ดาํ เนินไปโดยจติ ขนึ้ สูวิถแี ละตกภวงั ค แตไมไดนําฉันทะของผูควรแกฉันทะ แลว ขนึ้ สวู ถิ แี ละตกภวงั ค เปน อยางนต้ี อ มา, หรอื มีผูค ัดคา นกรรมทสี่ งฆทาํ เนอื่ งไปนนั้ ชวงเวลาทีจ่ ิตอยใู นภวังคจ น ปริสสมบัติ ความพรอ มมลู แหง บริษทั , ขน้ึ สวู ถิ ีอกี เรยี กวา ภวงั คปรวิ าส (บุคคล ถงึ พรอมดวยบรษิ ทั , ความสมบรู ณของ ท้ังหลายมีภวังคปริวาส หรือชวงพัก ทป่ี ระชุม คือไมเ ปน ปริสวบิ ัติ (ตวั อยา ง ภวังคนี้ ยาวหรอื ส้ัน เรว็ หรอื ชา ไม ประชุมภกิ ษใุ หครบองคกําหนด เชน จะ

ปริสัญตุ า ๒๑๙ ปลโิ พธทํากฐนิ กรรม ตอ งมีภิกษอุ ยา งนอ ย ๕ จะตายเปนแนแ ทแ ลวรูป จะใหอุปสมบทในมัธยมประเทศ ปลงอาบัติ แสดงอาบัติเพื่อใหพนจาก ตองมีภิกษอุ ยางนอย ๑๐ รูปเปนตน) อาบัติ, ทําตนใหพนจากอาบตั ิดว ยการปริสัญุตา ความเปน ผูรูจกั ประชุมชน เปดเผยอาบัติของตนแกสงฆหรือแกและกิริยาที่จะตองปฏิบัติตอประชุมชน ภิกษุอื่น, แสดงความผิดของตนเพื่อนน้ั ๆ เชน รจู กั วา ประชมุ ชนนี้ เมอ่ื เขา ไป เปลื้องโทษทางวินัย, ใชสาํ หรบั อาบตั ิที่จะตองทํากิริยาอยางนี้จะตองพูดอยางนี้ แสดงแลว พน ได คอื ถลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี  เปน ตน (ขอ ๖ ในสปั ปุริสธรรม ๗) ปาฏเิ ทสนียะ ทุกกฏ และทุพภาสติปริสุปฏฐาปกะ ภิกษุผูเปนนิสัยมุตก ปลงอายสุ งั ขาร ดู อายสุ งั ขารโวสสชั ชนะ คอื พน จากการถอื นสิ ยั แลว มคี ณุ สมบตั ิ ปละ [ปะ-ละ] ชอ่ื มาตราสาํ หรบั ชงั่ นา้ํ หนกัสมควรเปนผูปกครองหมู สงเคราะห ประมาณ ๕ ชง่ั มดี งั นี้บรษิ ทั ได ๔ เมลด็ ขา วเปลอื กเปน ๑ กญุ ชา (กลอ ม)ปรชี า ความรอบร,ู ความหย่งั รู, ความ ๒ กญุ ชา ” ๑ มาสก (กลา่ํ )กําหนดรู ๕ มาสก ” ๒ อกั ขะ ” ๑ ธรณะปฤษฎางค อวยั วะเบ้อื งหลัง, สวนหลัง, ๘ อกั ขะ ขางหลัง ๑๐ ธรณะ ” ๑ ปละปลงตก พจิ ารณาเห็นจริงตามสภาพของ ๑๐๐ ปละ ” ๑ ตลุ าสงั ขาร แลววางใจเปน ปกติได ๒๐ ตลุ า ” ๑ ภาระปลงบริขาร มอบบริขารใหแกผูอ่ืนใน หนงั สอื เกา เขยี น ปะละเวลาใกลจะตาย เปนการใหอยางขาด ปลา ในโภชนะ ๕ อยางคือ ๑. ขา วสุกกรรมสิทธไ์ิ ปทเี ดียวต้ังแตเวลาน้ัน (ใช ๒. ขนมสด ๓. ขนมแหง ๔. ปลา ๕. เนอ้ืสาํ หรบั ภกิ ษุผูจะถงึ มรณภาพ เพ่อื ใหถ กู ปลาในที่น้ีหมายความรวมไปถึง หอยตอ งตามพระวินัย) กุง และสัตวน ํา้ เหลา อืน่ ท่ีใชเ ปน อาหารปลงผม โกนผม (ใชแ กบ รรพชติ ) ปลาสะ ตเี สมอ คอื ยกตนเทยี มทา น (ขอปลงพระชนมายสุ งั ขาร ดู อายุสังขาร- ๖ ในอปุ กเิ ลส ๑๖)โวสสชั ชนะ ปลิโพธ เครื่องผูกพันหรือหนวงเหนี่ยวปลงศพ เผาผ,ี จดั การเผาฝง ใหเ สรจ็ สน้ิ ไป เปน เหตใุ หใ จพะวกั พะวนหว งกงั วล, เหตุปลงสงั ขาร ทอดอาลัยในกายของตนวา กงั วล, ขอ ตดิ ขอ ง; ปลโิ พธทผี่ จู ะเจรญิ

ปวตั ตมังสะ ๒๒๐ ปวารณากรรมฐานพึงตัดเสียใหได เพื่อใหเกิด วัดนั้นหรือหลีกไปแตยังผูกใจวาจะกลับความปลอดโปรงพรอมที่จะเจริญ มา) ๒. จวี รปลิโพธ ความกงั วลในจีวรกรรมฐานใหก า วหนา ไปไดด ี มี ๑๐ อยา ง (ยงั ไมไดทําจีวรหรอื ทําคา งอยู หรอื หายคอื ๑. อาวาสปลโิ พธ ความกงั วลเกยี่ ว เสียในเวลาทําแตยังไมสิ้นหวังวาจะไดกับวัดหรอื ทอี่ ยู ๒. กลุ ปลโิ พธ ความ จวี รอีก) ถาสิน้ ปลโิ พธครบท้งั สองอยางกังวลเกี่ยวกับตระกูลญาติหรืออุปฏฐาก จึงเปนอนั เดาะกฐิน (หมดอานสิ งสแ ละ๓. ลาภปลโิ พธ ความกงั วลเก่ียวกบั ลาภ สนิ้ เขตจวี รกาลกอ นกาํ หนด)๔. คณปลิโพธ ความกังวลเก่ียวกับ ปวัตตมังสะ เนอ้ื ทมี่ ีอยูแลว คอื เน้อื สัตวคณะศิษยหรือหมูชนที่ตนตองรับผิด ท่ีเขาขายอยูตามปกตสิ ําหรบั คนทวั่ ๆ ไปชอบ ๕. กรรมปลโิ พธ ความกงั วลเกย่ี ว ไมใชฆ า เพอื่ เอาเน้อื มาถวายพระ; ตรงขามกับการงาน เชน การกอสราง ๖. กับ อทุ สิ สมงั สะอัทธานปลิโพธ ความกงั วลเก่ยี วกับการ ปวัตตนิ ี คําเรียกผูท ําหนาทอ่ี ุปช ฌายใ นเดนิ ทางไกลเนอ่ื งดว ยกจิ ธุระ ๗. ญาติ- ฝา ยภิกษุณีปลิโพธ ความกังวลเก่ียวกับญาติหรือ ปวารณา 1. ยอมใหข อ, เปดโอกาสใหขอคนใกลชิดที่จะตองเปนหวงซ่ึงกําลังเจ็บ 2. ยอมใหว ากลา วตักเตือน, เปดโอกาสปว ยเปนตน ๘. อาพาธปลิโพธ ความกงั วลเกยี่ วกบั ความเจ็บไขข องตนเอง ๙. ใหวากลาวตักเตือน, ชื่อสังฆกรรมที่คันถปลิโพธ ความกังวลเก่ียวกับการศกึ ษาเลาเรียน ๑๐. อทิ ธปิ ลิโพธ ความ พระสงฆทําในวันสุดทายแหงการจํา พรรษา คือ ในวนั ข้นึ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๑๑ เรยี กวา วนั มหาปวารณา โดยภกิ ษทุ กุ รปูกังวลเกี่ยวกับฤทธ์ิของปุถุชนที่จะตอง จะกลา วปวารณา คอื เปด โอกาสใหก นั และคอยรักษาไมใหเสื่อม (ขอทายนี้เปน กนั วา กลา วตกั เตอื นไดด งั นี้ “สงฆฺ มภฺ นฺเตปลโิ พธสาํ หรบั ผจู ะเจรญิ วปิ ส สนาเทา นนั้ ) ปวาเรม,ิ ทิฏเน วา สเุ ตน วา ปริสงกฺ าย วา; วทนฺตุ มํ,อายสมฺ นฺโต อนุกมฺป อุปา- ในทางพระวินัยเกี่ยวกับการกราน ทาย; ปสฺสนโฺ ต ปฏิกฺกริสฺสามิ. ทุตยิ มฺปกฐิน ปลิโพธ หมายถงึ ความกงั วลทเ่ี ปน ภนฺเต สงฺฆํ ปวาเรม,ิ ... ตตยิ มปฺ  ภนฺเตเหตุใหกฐินยังไมเดาะ (คือยังรักษา สงฺฆํ ปวาเรม,ิ ...” แปลวา “ขา พเจา ขออานิสงสกฐินและเขตแหงจีวรกาลตามกาํ หนดไวไ ด) มี ๒ อยา งคอื ๑. อาวาส- ปวารณากะสงฆ ดวยไดเห็นกต็ าม ดวยปลโิ พธ ความกงั วลในอาวาส (ยังอยูใ น ไดยนิ ก็ตาม ดว ยนา ระแวงสงสัยกต็ าม,

ปวารณา ๒๒๑ ปวารณาขอทานผูมีอายุท้ังหลายจงวากลาวกะ ขนึ้ ไป) ๒. คณปวารณา (ปวารณาทีท่ าํขา พเจา ดว ยอาศยั ความหวงั ดเี อน็ ด,ู เมอ่ื โดยคณะคอื มภี กิ ษุ ๒–๔ รปู ) ๓. ปคุ คล-ขา พเจา มองเหน็ จกั แกไ ข แมค รั้งทีส่ อง ปวารณา (ปวารณาที่ทําโดยบุคคลคอื มี... แมคร้ังทสี่ าม ...” (ภิกษุผมู พี รรษาสงู ภกิ ษุรูปเดยี ว) และโดยนัยน้ี อาการที่ทําสุดในทีป่ ระชุมวา อาวุโส แทน ภนเฺ ต) ปวารณาจงึ มี ๓ อยาง คือ ๑. ปวารณา ตอที่ชมุ นมุ (ไดแก สังฆปวารณา) ๒. ปวารณาเปนสังฆกรรมประเภท ปวารณากันเอง (ไดแก คณปวารณา)ญตั ตกิ รรม คอื ทาํ โดยตง้ั ญตั ติ (คาํ เผดยี ง ๓. อธิษฐานใจ (ไดแ ก ปุคคลปวารณา)สงฆ) อยา งเดยี ว ไมตองสวดอนสุ าวนา(คําขอมต)ิ ; เปนกรรมทีต่ องทําโดยสงฆ ในการทําสังฆปวารณา ตองต้ังปญ จวรรค คอื มภี กิ ษตุ งั้ แต ๕ รปู ขน้ึ ไป ญตั ติ คือ ประกาศแกสงฆก อน แลว ภิกษุท้ังหลายจึงจะกลาวคําปวารณา ปวารณา ถาเรียกชื่อตามวันที่ทํา อยา งทแี่ สดงไวขางตน ตามธรรมเนียมแบง ไดเ ปน ๓ อยา ง คอื ๑. ปณ ณรสกิ า ทานใหปวารณารูปละ ๓ หน แตถ า มีปวารณา (ปวารณาที่ทาํ โดยปกติในวัน อันตรายคือเหตุฉุกเฉินขัดของจะทําขน้ึ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๑๑ คอื วนั ออก อยางนั้นไมไ ดตลอด (เชน แมแ ตทายกพรรษา) ๒. จาตทุ ทสิกา ปวารณา (ใน มาทําบุญ จะปวารณารูปละ ๒ หน หรือกรณีที่มีเหตุสมควร ทานอนุญาตให ๑ หน หรือพรรษาเทากนั วา พรอ มกนั ก็เลื่อนปวารณาออกไปปกษหน่ึงหรือ ได ทงั้ นี้ จะปวารณาอยา งไรกพ็ งึ ประกาศเดือนหน่ีงโดยประกาศใหสงฆทราบ ถา ใหสงฆรดู วยญัตติกอน โดยนยั นี้ การเล่ือนออกไปปก ษหนง่ึ ก็ตกในแรม ๑๔ ต้ังญัตติในสงั ฆปวารณาจึงมตี า งๆ กนัคํา่ เปน จาตทุ ทสกิ า แตถาเล่อื นไปเดือน ดงั มีอนุญาตไวดงั น้ี ๑. เตวาจกิ า ญตั ติหนึ่งก็เปนปณ ณรสิกาอยางขอ แรก) ๓. คอื จะปวารณา ๓ หน พึงตง้ั ญัตตวิ า:สามัคคีปวารณา (ปวารณาที่ทําในวัน “สุณาตุ เม ภนฺเต สงโฺ ฆ, อชฺช ปวารณาสามัคคี คอื ในวันทีส่ งฆซ ึ่งแตกกนั แลว ปณณฺ รสี, ยทิ สงฺฆสสฺ ปตตฺ กลลฺ ,ํ สงโฺ ฆกลับปรองดองเขากันได อันเปนกรณี เตวาจกิ ํ ปวาเรยฺย” แปลวา “ทานเจา ขาพเิ ศษ) ขอสงฆจงฟงขาพเจา ปวารณาวันน้ีท่ี ๑๕ ถา ความพรงั่ พรอ มของสงฆถ งึ ทแี่ ลว ถาแบง โดยการก คอื ผทู ําปวารณา สงฆพ ึงปวารณาอยางกลาววาจา ๓ หน”แบง เปน ๓ อยา ง คอื ๑. สังฆปวารณา(ปวารณาทีท่ าํ โดยสงฆค อื มีภกิ ษุ ๕ รูป

ปวารณา ๒๒๒ ปวารณา(ถา เปน วนั แรม ๑๔ คาํ่ หรือวันสามัคคี ๑๕ ถาความพรอมพร่ังของทานทั้งก็พงึ เปลย่ี น ปณณฺ รสี เปน จาตทุ ทฺ สีหรอื สามคคฺ ี ตามลาํ ดบั ) ๒. เทวฺ วาจกิ า หลายถึงท่ีแลว เราทั้งหลายพงึ ปวารณา กันเถดิ ” (ถา ๓ รปู วา อายสมฺ นตฺ า แทนญัตติ คอื จะปวารณา ๒ หน ตง้ั ญัตติ อายสมฺ นโฺ ต) จากนั้นแตละรูปปวารณาอยางเดยี วกัน แตเ ปลี่ยน เตวาจิกํ เปน ๓ หน ตามลําดบั พรรษาดังน้ี: มี ๓ รูปเทฺววาจิกํ ๓. เอกวาจิกา ญัตติ คือ จะ วา “อหํ อาวโุ ส อายสมฺ นเฺ ต ปวาเรมิ ฯเปฯ วทนตฺ ุ มํ อายสฺมนฺตา อนุกมปฺ ปวารณาหนเดยี ว ตงั้ ญตั ตอิ ยา งเดยี วกนั อุปาทาย, ปสสฺ นโฺ ต ปฏกิ กฺ ริสฺสามิ, ทุติ-นั้น แตเปลี่ยน เตวาจิกํ เปน เอกวาจิกํ ยมปฺ  อาวโุ ส ฯเปฯ ตตยิ มปฺ  อาวโุ ส ฯเปฯ ปฏิกฺกริสฺสามิ” (ถารูปออนกวาวา๔. สมานวสั สกิ า ญัตติ คือ จัดใหภ ิกษทุ ่ี เปลี่ยน อาวโุ ส เปน ภนเฺต); มี ๔ รปู เปลย่ี น อายสมฺ นเฺ ต และ อายสมฺ นตฺ า เปนมพี รรษาเทากนั ปวารณาพรอ มกัน ตั้ง อายสฺมนโฺ ต อยา งเดยี ว; ถามี ๒ รูป ไมญัตติกเ็ หมอื น แตเ ปลี่ยน เตวาจกิ ํ เปน ตอ งตงั้ ญตั ติ คาํ ปวารณากเ็ หมอื นอยา งนน้ัสมานวสฺสิกํ (จะวา ๓ หน ๒ หน หรือ เปลยี่ นแต อายสมฺ นเฺ ต เปน อายสมฺ นตฺ ,ํ อายสมฺ นตฺ า เปน อายสมฺ า และ วทนตฺ ุหนเดียวไดทง้ั นั้น) ๕. สพั พสงั คาหกิ า เปน วทต.ุญตั ติ คอื แบบตง้ั ครอบทว่ั ไป ไมร ะบวุ า ถา ภกิ ษอุ ยรู ปู เดยี ว เธอพงึ ตระเตรยี มกหี่ น ตง้ั ญตั ตคิ ลมุ ๆ โดยลงทา ยวา ...สงโฺ ฆ ปวาเรยยฺ (ตัดคําวา เตวาจกิ ํ ออก สถานท่ีไว และคอยภิกษอุ น่ื จนสนิ้ เวลา เมอ่ื เหน็ วา ไมม ใี ครอนื่ แลว พงึ ทาํ ปคุ คล-เสีย และไมใสค าํ ใดอื่นแทนลงไป อยาง ปวารณา โดยอธิษฐานคือกําหนดใจวา “อชฺช เม ปวารณา” แปลวา “ปวารณาน้จี ะปวารณาก่ีหนกไ็ ด) ; ธรรมเนยี มคง ของเราวันนี้”นยิ มแตแบบที่ ๑, ๒ และ ๔ และทา น เหตุท่ีจะอางเพ่ือเลื่อนวันปวารณาเรยี กชอ่ื ปวารณาตามนนั้ ดว ยวา เตวาจกิ าปวารณา, เทฺววาจกิ า ปวารณา, สมาน- ได คือจะมีภิกษุจากท่ีอื่นมาสมทบวสั สิกา ปวารณา ตามลาํ ดับ ปวารณาดว ย โดยหมายจะคดั คานผนู ้ัน ในการทําคณปวารณา ถามีภิกษุ๓–๔ รปู พึงต้งั ญตั ตกิ อนวา : “สณุ นตฺ ุ ผูน้ีใหเกิดอธิกรณข้ึน หรืออยูดวยกันเม อายสมฺ นโฺ ต, อชชฺ ปวารณา ปณณฺ รส,ียทายสมฺ นตฺ านํ ปตตฺ กลลฺ ,ํ มยํ อฺ มฺ  ผาสกุ ถาปวารณาแลวตา งกจ็ ะจารกิ จากปวาเรยยฺ าม” แปลวา “ทา นเจา ขา ทานทั้งหลายจงฟงขาพเจา ปวารณาวันนี้ท่ี

ปวิเวกกถา ๒๒๓ ปก ขคณนา, ปกษคณนากันไปเสีย ๕ ในสัญญา ๑๐)ปวิเวกกถา ถอยคําท่ีชักนําใหสงัดกาย ปะละ ดู ปละ ปกขคณนา, ปกษคณนา “การนับสงัดใจ (ขอ ๓ ในกถาวตั ถุ ๑๐)ปศสุ ัตว, ปสุสัตว สตั วเลย้ี ง เชนเปด ปกษ”, วิธีคํานวณดิถีตามปกษ คือไก แพะ แกะ สุกร เปน ตน คาํ นวณหาวันขน้ึ แรมกี่คา่ํ ๆ ใหแ มน ยําปสาทะ ความเล่ือมใส, ความชื่นบาน ตรงตามการโคจรของดวงจันทรอยางผองใส, ความเช่อื ถือม่นั ใจ, ความรสู ึก แทจริง เฉพาะอยางย่ิงมงุ ใหไดวันพระยอมรบั นบั ถือ, ความเปด ใจรบั , อาการ จันทรเ ต็มดวงหรือวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๔–ท่ีจิตเกิดความแจมใสโปรงโลงเบิกบาน ๑๕ ค่ํา) วันพระจันทรดับหรอื วันดบัปราศจากความอึดอัดขัดของขุนมัว (แรม ๑๔–๑๕ ค่ํา) และวันพระจนั ทรก ึง่โดยเกดิ ความรูสึกชน่ื ชมนิยมนับถอื ตอ ดวง (ขน้ึ ๘ ค่ํา และ แรม ๘ ค่ํา) ตรง บุคคลหรือส่ิงท่ีพบเห็นสดับฟงหรือ กบั วันท่ีดวงจนั ทรเ ปนอยางนั้นจรงิ ๆ ซึง่ ระลกึ ถงึ ; มักใชค ูกับ ศรทั ธา; ดู สัทธา บางเดือนขางขึ้นอาจมีเพียง ๑๔ วันปเสนทิ [ปะ-เส-นะ-ทิ] พระเจาแผนดนิ (วันเพญ็ เมอ่ื ขึ้น ๑๔ คาํ่ ) ก็มี ขา งแรมแควนโกศล ครองราชสมบัติอยูที่พระ อาจมีเต็ม ๑๕ วันตดิ ตอ กนั หลายเดอื นนครสาวตั ถี กม็ ี ตอ งตรวจดูเปน ปก ษๆ ไป จึงใชค ําปหานะ ละ, กําจัด; การละ, การกาํ จดั ; วา ปก ษถว น ปกษข าด ไมใชเพียงเชน ละตณั หา, กาํ จัดกเิ ลส, กําจดั บาป เดือนเตม็ เดือนขาด เปนวธิ ีคาํ นวณท่ีอกศุ ลธรรม สลับซบั ซอน ตา งจากปฏทิ ินหลวง หรอืปหานปธาน เพียรละบาปทเี่ กิดขน้ึ แลว ปฏิทินของราชการที่ใชวิธีคํานวณเฉล่ีย(ขอ ๒ ในปธาน ๔) ใหข า งขึน้ เตม็ ๑๕ วนั เสมอไป สวนขางปหานปริญญา กาํ หนดรูถึงข้ันละได คอื แรม เดอื นคูมี ๑๕ วนั เดือนค่เี รียกวากําหนดรูสังขารวาเปนอนิจจัง ทุกขัง เดอื นขาด มี ๑๔ วัน สลับกนั ไป (แมจ ะอนัตตา จนถึงข้ันละนิจจสัญญา คํานวณดวยวิธีที่พิเศษออกไป แตวันเปนตน ในสังขารนัน้ ได (ขอ ๓ ใน เดือนเพ็ญเดือนดับท่ีตรงกันก็มาก ท่ีปริญญา ๓) คลาดกันก็เพียงวันเดยี ว); ปกขคณนาปหานสัญญา กําหนดหมายเพื่อละ นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลาฯ ทรงอกุศลวิตก และบาปธรรมทั้งปวง (ขอ คนคิดวิธีคํานวณข้ึนใชในพระสงฆคณะ

ปกฺขหตตา ๒๒๔ ปจ จเวกขณญาณธรรมยุต เพื่อเปนเครื่องกําหนดวัน ตัณหา โดยรูจักพิจารณาท่ีจะกินใชใหสาํ หรับพระสงฆทาํ อุโบสถ และสาํ หรบั เปนไปเพื่อประโยชนท่ีแทจริงตามความอุบาสกอุบาสิการักษาอุโบสถศีลฟง หมายของสงิ่ น้ัน อนั จะมผี ลเปนการเสพธรรม เปน ขอปฏบิ ตั ขิ องคณะธรรมยตุ บริโภคอยางพอดี ที่เรียกวา โภชเน-สืบมา มัตตัญตุ า (เปนปารสิ ุทธศิ ีล ขอ ท่ี ๔,ปกขฺ หตตา ความเปน ผชู าไปซกี หนึ่ง ได ปจ จยสนั นสิ ติ ศลี กเ็ รยี ก) ปจจยปจจเวกขณะ การพิจารณาปจจัย,แกโรคอัมพาตปก ขนั ทกิ าพาธ โรคทอ งรว ง พระสารบี ตุ ร พิจารณากอนจงึ บรโิ ภคปจ จัย ๔ คือนิพพานดว ยโรคน้ี จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั ไมปกขิกะ อาหารที่เขาถวายปกษละคร้ัง บริโภคดว ยตณั หา, เปน ปารสิ ุทธศิ ีลขอ ท่ี ๔ เรยี กเตม็ วา ปจ จยสนั นสิ ติ ศลี หรือคือสบิ หา วนั ครั้งหนึง่ปก ขิกภัต ดู ปก ขิกะ ปจ จยปฏเิ สวนศลีปก ษ ปก , ฝาย, ขา ง, กึ่งของเดือนทาง ปจจยสันนิสิตศีล ศีลท่อี งิ อาศัยปจ จัยจนั ทรคติ คอื เดือนหน่ึงมี ๒ ปกษ ขา ง ๔ หรือศลี ทเี่ นือ่ งดวยปจ จยั ๔ ไดแ กขน้ึ เรยี ก ศกุ ลปก ษ (“ฝา ยขาว” หมายเอา พิจารณาเสพใชสอยปจจยั ส่ี ใหเ ปนไปแสงเดอื นสวา ง) ขา งแรมเรยี ก กาฬปก ษ เพื่อประโยชนท่ีแทจริงตามความหมาย(“ฝา ยดาํ ” หมายเอาเดอื นมดื ); ชณุ หปก ษ ของสงิ่ นัน้ ไมบ ริโภคดวยตณั หา (เปนและ กัณหปก ษ กเ็ รยี ก ปารสิ ุทธศิ ลี ขอที่ ๔, ปจ จยปฏเิ สวนศลี ก็ปค คหะ การยกยอ ง (พจนานุกรมเขยี น เรยี ก)ปค หะ) ปจจยาการ อาการท่ีเปนปจจัยแกกัน,ปงสุกูลิกังคะ องคแหงผูถือผาบังสุกุล หมายถึง ปฏิจจสมุปบาทเปนวัตร, ใชเ ฉพาะแตผ าบงั สกุ ุล คือ ไม ปจจเวกขณญาณ ญาณท่ีพิจารณาทบรับจีวรจากทายก เท่ียวแสวงหาผา ทวน, ญาณหยั่งรูดว ยการพจิ ารณาทบบังสุกุลมาเยบ็ ยอ มทําจวี รเอง (ขอ ๑ ใน ทวนตรวจตรามรรคผล กิเลสท่ียงั เหลือธดุ งค ๑๓) อยู และนพิ พาน (เวนพระอรหนั ตไมม ีปจจยปฏิเสวนศีล ศีลในการเสพใช การพจิ ารณากเิ ลสท่ยี ังเหลืออย)ู ; ญาณสอยปจ จัย ๔ คือ มพี ฤติกรรมในการ นี้เกดิ แกผ บู รรลมุ รรคผลแลว คอื ภายเสพบริโภคดวยปญ ญา ไมบริโภคดว ย หลังจากผลญาณ; ดู ญาณ ๑๖

ปจจตั ตลักษณะ ๒๒๕ ปจฉมิ กจิปจจัตตลักษณะ ลักษณะเฉพาะตน, ปจจามติ ร ขา ศึก, ศัตรู ลักษณะเฉพาะของสิ่งตา งๆ เชนเวทนามี ปจ จุทธรณ ถอนคนื , ยกเลิก, ถอน ลักษณะเสวยอารมณ สัญญามลี ักษณะ อธิษฐาน คือ ยกเลิกบริขารเดิมที่ จาํ ไดเ ปน ตน ; คูกับ สามญั ลักษณะ 1. อธิษฐานไว เชน ไดอธษิ ฐานสบง คือต้ังปจจฺ ตฺตํ เวทิตพโฺ พ วิฺูหิ (พระธรรม) ใจกําหนดสบงผืนหน่ึงไวใหเปนสบงอันวิญูชนพึงรูเฉพาะตน ผูอื่นไม ครอง ภายหลังจะไมใชส บงผนื นน้ั เปนพลอยตามรูตามเห็นดวย เหมือนรส สบงครองอีกตอไป ก็ถอนคืนสบงน้ันอาหาร ผูบริโภคเทา นั้นจึงจะรูรส ผไู ม คือยกเลิกการอธิษฐานเดิมน้ันเสียไดบริโภคจะพลอยรูรสดวยไมได (ขอ เรียกวา ปจจุทธรณสบง, คาํ ปจจทุ ธรณ สบงวา “อิมํ อนตฺ รวาสกํ ปจจฺ ุทฺธรามิ”๖ ในธรรมคุณ ๖)ปจ จัตถรณะ ผา ปูนอน, บรรจถรณก็ใช (เปลีย่ น อนฺตรวาสกํ เปน สงฺฆาฏ,ึ เปนปจ จนั ตชนบท ถนิ่ แควนชายแดนนอก อตุ ตฺ ราสงคฺ ํ, เปน ปตตฺ ํ เปนตน สุดแตวามัชฌิมชนบทออกไป, ปจ จนั ติมชนบท จะถอนอะไร); ดู อธิษฐานก็ใช ปจจุปปนนังสญาณ ญาณหยั่งรูสวนปจจันตประเทศ ประเทศปลายแดน, ปจจุบัน, ปรีชากาํ หนดรูเหตุปจจัยของแวนแควนชายแดน, ถิ่นแดนชั้นนอก, เรื่องที่เปนไปอยู รูวาควรทาํ อยางไรในถนิ่ ทย่ี งั ไมเ จรญิ คอื นอกมธั ยมประเทศ เมื่อมีเหตุหรือผลเกิดข้ึนในปจจุบันหรอื มัชฌิมชนบท เปน ตน (ขอ ๓ ในญาณ ๓)ปจจัย 1. เหตุที่ใหผลเปนไป, เหตุ, ปจ เจกพทุ ธะ พระพุทธเจา ประเภทหนึง่เคร่ืองหนนุ ใหเ กิด 2. ของสําหรบั อาศยั ซงึ่ ตรัสรเู ฉพาะตวั มไิ ดส ัง่ สอนผูอื่น; ดูใช, เคร่ืองอาศัยของชีวิต, สิ่งจาํ เปน พทุ ธะสาํ หรบั ชีวติ มี ๔ อยาง คอื จวี ร (ผานงุ ปจฉาภัต ทีหลังฉัน, เวลาหลังอาหารหม ) บณิ ฑบาต (อาหาร) เสนาสนะ (ที่ หมายถึงเวลาเท่ยี งไปแลว; เทยี บ ปุเรภัตอยูอ าศัย) คิลานเภสัช (ยาบาํ บัดโรค) ปจ ฉาสมณะ พระตามหลงั , พระผตู ดิ ตามปจจัยปริคคหญาณ ดู นามรูปปจจัย- เชน พระพุทธเจามกั ทรงมพี ระอานนทปรคิ คหญาณ เปนปจฉาสมณะ เปน ศพั ทค ูกับ ปุเร-ปจ จัยปจจเวกขณะ การพิจารณาปจ จยั สมณะ พระนําหนา๔; ดู ปจจยปจ จเวกขณะ ปจ ฉมิ กิจ ธรุ ะทีพ่ งึ ทําภายหลัง, กิจทพี่ ึง

ปจฉมิ ชาติ ๒๒๖ ปจ ฉิมาชนตาทําตอนทาย เชน ปจฉิมกิจแหง แหง ราตรี เมอื่ แบง กลางคนื เปน ๓ สว น;อปุ สมบทมี ๖ ไดแก วดั เงาแดด, บอก เทยี บ ปฐมยาม, มัชฌิมยามประมาณแหงฤดู, บอกสวนแหงวัน, ปจ ฉิมวัย วัยหลงั (มีอายุระยะ ๖๗ ปบอกสงั คีติ (บอกรวบหรือบอกประมวล ลว งไปแลว); ดู วัยเชน วดั ทบ่ี วช อปุ ช ฌาย กรรมวาจาจารย ปจฉมิ วาจา ดู ปจ ฉมิ โอวาทและจํานวนสงฆ เปน ตน ) บอกนสิ ัย ๔ ปจ ฉิมสกั ขสิ าวก สาวกผูเปน พยานการและบอกอกรณียกิจ ๔ (ท่ีรวมเรียก ตรัสรูองคสุดทาย, สาวกท่ที นั เหน็ องคอนศุ าสน) สดุ ทา ย ไดแ กพ ระสุภทั ทะปจฉมิ ชาติ ชาติหลัง คือ ชาติสุดทา ย ไม ปจ ฉมิ โอวาท คาํ สอนครัง้ สดุ ทา ย หมายมีชาติใหมหลังจากนี้อีกเพราะดับกิเลส ถึง ปจฉมิ วาจา คอื พระดํารสั สดุ ทา ยไดส ้ินเชงิ แลว ของพระพุทธเจากอนจะปรินิพพานวาปจ ฉมิ ทัสสนะ ดูครัง้ สดุ ทาย, เหน็ ครง้ั “วยธมมฺ า สงขฺ ารา อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถ”สุดทาย แปลวา “สังขารท้ังหลาย มคี วามเส่อื มปจ ฉมิ ทสิ ทศิ เบอื้ งหลัง หมายถงึ บตุ ร สลายไปเปนธรรมดา ทานท้ังหลายจงภรรยา; ดู ทิศหก (ยังประโยชนตนและประโยชนผ อู ่นื ) ใหปจ ฉมิ พรรษา ดู ปจฉิมิกา ถึงพรอม ดวยความไมป ระมาทเถิด”ปจฉิมโพธิกาล โพธิกาลชว งหลงั , ระยะ ปจ ฉมิ าชนตา ชมุ ชนท่ีมีในภายหลงั , หมูเวลาบําเพ็ญพุทธกิจตอนทายคือ ชวง ชนท่จี ะเกดิ ตามมาภายหลงั , คนรุนหลงั ;ใกลจนถึงปรินิพพาน กําหนดคราวๆ โดยท่วั ไป มาในขอ ความเกี่ยวกับจริยา ตามมหาปรินิพพานสูตรต้ังแตปลงพระ ของพระพุทธเจาและพระอรหันต ที่ ชนมายุสังขารถึงปรินิพพาน; ดู พุทธ- คํานึงถึงประโยชนของคนรนุ หลงั หรือ ประวตั ิ ปฏิบัติเพื่อใหคนรุนหลังมีแบบอยางที่ปจฉิมภพ ภพหลัง, ภพสุดทาย; ดู จะยดึ ถอื เชน ทีต่ รสั วา “ภิกษทุ ัง้ หลาย ปจฉมิ ชาติ เรามองเหน็ อาํ นาจประโยชน ๒ ประการปจฉิมภวิกสัตว สัตวผูเกิดในภพสุด จึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือปาและปาทาย, ทานผูเกิดในชาตินี้เปนชาติสุด เปลย่ี ว กลา วคอื มองเหน็ ความอยเู ปน สขุ ทา ย คอื ผทู ่ไี ดบรรลุอรหตั ตผลในชาตินี้ ในปจ จบุ นั ของตน และจะอนเุ คราะหห มูปจฉิมยาม ยามสุดทาย, ชวงสุดทาย ชนในภายหลงั ” (อง.ทุก.๒๐/๒๗๔/๗๗) และ

ปจ ฉิมกิ า ๒๒๗ที่พระมหากัสสปะกราบทูลพระพุทธเจา ขนั ธถึงเหตุผลที่วา ถึงแมทานจะเปนผูเฒา ปญ จทวาราวชั ชนะ ดู วถิ จี ติชราลงแลว กย็ งั ขอถอื ธดุ งคต อ ไป ดงั นว้ี า ปญ จพธิ กามคณุ กามคุณ ๕ อยา งคอื“ขาแตพระองคผูเจริญ ขาพระองคเล็ง รูป, เสียง, กล่นิ , รส, โผฏฐพั พะท่ีนารกัเหน็ อํานาจประโยชน ๒ ประการ …กลา ว ใครน าชอบใจคือ เล็งเห็นความอยูเปนสุขในปจ จบุ ัน ปญ จพธิ พันธนะ เคร่ืองตรึง ๕ อยา งของตน และจะอนุเคราะหช ุมชนในภาย คือตรึงเหลก็ อันรอ นที่มอื ท้ัง ๒ ขา ง ที่หลัง ดวยหมายวา ชุมชนในภายหลงั จะ เทาทงั้ ๒ ขาง และที่กลางอก ซึง่ เปนการพึงถงึ ทฏิ ฐานุคต”ิ (สํ.นิ.๑๖/๔๘๑/๒๓๙); คํา ลงโทษทนี่ ายนริ ยบาลกระทาํ ตอ สตั วน รกบาลีเดิมเปน ปจฉฺ ิมา ชนตา ปญ จเภสัช เภสัชท้งั ๕ คือ เนยใส เนยปจ ฉิมิกา วนั เขาพรรษาหลัง ไดแ กวัน ขน นํ้ามนั นา้ํ ผึ้ง น้าํ ออ ยแรม ๑ คํ่า เดือน ๙; อกี นัยหนงึ่ ทาน ปญ จมฌาน ฌานที่ ๕ ตามแบบที่นิยมสนั นษิ ฐานวา เปน วันเขา พรรษาในปท ่มี ี ในอภิธรรม ตรงกับฌานท่ี ๔ แบบทว่ัอธกิ มาส (เดอื น ๘ สองหน); เทยี บ ปรุ มิ กิ า, ไป หรอื แบบพระสตู ร มอี งค ๒ คือปรุ มิ พรรษา อุเบกขา และเอกัคคตา; ดู ฌาน ๕ปจฉิมิกาวัสสูปนายิกา วันเขาพรรษา ปญจมหานที ดู มหานที ๕หลัง; ดู ปจ ฉมิ กิ า ปญ จมหาบริจาค ดู มหาบรจิ าคปญ จกะ หมวด ๕ ปญจมหาวิโลกนะ ดู มหาวิโลกนะปญ จกชั ฌาน ฌานหมวด ๕ หมายถงึ ปญจมหาสุบนิ ดู มหาสุบนิรูปฌานท่ีตามปกติอยางในพระสูตรแบง ปญจวรรค สงฆพ วกทกี่ าํ หนดจาํ นวน ๕เปน ๔ ขน้ั แตใ นพระอภิธรรมนยิ มแบง รูป จึงจะถือวาครบองค เชนท่ใี ชใ นการซอยละเอียดออกไปเปน ๕ ข้ัน (ทา นวา กรานกฐนิ และการอปุ สมบทในปจ จนั ต-ท่แี บง ๕ นี้ เปนการแบงในกรณีท่ีผู ชนบท เปน ตนเจรญิ ฌานมญี าณไมแกก ลา จงึ ละวิตก ปญจวัคคยี  พระพวก ๕ คือ อญั ญา- และวิจารไดทีละองค) , “ฌานปญจกนัย” โกณฑัญญะ วัปปะ ภทั ทยิ ะ มหานาม กเ็ รยี ก; ดู ฌาน ๕; เทียบ จตุกกัชฌาน อัสสชิ เปนพระอรหันตสาวกรนุ แรกของปญจขนั ธ ขันธหา คือ รูปขนั ธ เวทนา- พระพุทธเจา ขันธ สัญญาขันธ สงั ขารขันธ วิญญาณ- ปญจวิญญาณ วิญญาณ ๕ มีจักขุ-

ปญ จโวการ, ปญ จโวการภพ ๒๒๘ ปญ ญา วิญญาณ เปนตน ดู วถิ จี ติ สดับเลาเรียน (ปญ ญาจากปรโตโฆสะ)ปญ จโวการ, ปญ จโวการภพ ดู โวการ ๓. ภาวนามยปญญา ปญญาเกดิ จากปญจสติกขันธกะ ชื่อขันธกะที่ ๑๑ การปฏิบัตบิ าํ เพ็ญ (ญาณอนั เกิดขึ้นแกผู แหงจุลวรรค วินยั ปฎก วา ดว ยเรื่องการ อาศัยจินตามยปญญา หรือทั้งสุตมย- ปญญาและจินตามยปญญานั่นแหละ สงั คายนาครัง้ ที่ ๑ ขะมักเขมนมนสิการในสภาวธรรมท้ังปญจังคะ เกาอม้ี ีพนักดา นเดยี ว, เกา อ้ี หลาย), ตามทีพ่ ูดกนั มักเรยี งสุตมย- ไมม แี ขน ปญ ญาเปน ขอ แรก แตใ นทน่ี ี้ เรยี งลาํ ดบัปญจาละ ช่อื แควนหน่งึ ในบรรดา ๑๖ ตามพระบาลใี นพระไตรปฎก ท้งั ในพระ แควนใหญแหงชมพูทวีปคร้ังพุทธกาล สตู ร (ท.ี ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๑) และพระอภธิ รรม (อภ.ิ ว.ิ ๓๕/๗๙๗/๔๒๒) เรยี งจนิ ตามยปญ ญา ตั้งอยูทางดานตะวันออกของแควนกุรุ เปน ขอ แรก (แตใ นเนตตปิ กรณ เรยี งและ เรียกตางไปเล็กนอยเปน ๑. สุตมยี- มีแมนํ้าภาคีรถี ซง่ึ เปนแควหนึง่ ของแม ปญญา ๒. จินตามยีปญญา ๓. ภาวนามยีปญญา); การที่ทานเรียง น้าํ คงคาตอนบน ไหลผาน นครหลวง จนิ ตามยปญ ญากอ น หรอื สุตมยปญ ญา ช่ือ กมั ปลละ กอนนั้น พอจับเหตุไดวา ทานมองท่ีปญ ญา ความรูทวั่ , ปรชี าหยงั่ รูเหตผุ ล, บคุ คลเปนหลัก คือ ทา นเร่มิ ตนมองที่ ความรูเ ขา ใจชัดเจน, ความรูเขาใจหยั่ง บุคคลพิเศษประเภทมหาบุรุษกอน วา พระพทุ ธเจา (และพระปจ เจกพทุ ธเจา) แยกไดในเหตุผล ดีช่ัว คุณโทษ ผูคนพบและเปดเผยความจริงข้นึ นน้ั มิ ไดอาศัยปรโตโฆสะคือการฟงจากผูอ่ืน ประโยชนม ใิ ชป ระโยชน เปนตน และรทู ี่ แตรูจักโยนิโสมนสิการดวยตนเอง ก็ สามารถเรียงตอไลตามประสบการณท้ัง จะจัดแจง จดั สรร จดั การ ดําเนินการ หลายอยางถึงทันทั่วรอบทะลุตลอดหยง่ั เหน็ ความจรงิ ได ทา นจงึ เรมิ่ ดว ยจนิ ตา- ทาํ ใหล ุผล ลว งพนปญหา, ความรอบรู มยปญ ญา แลว ตอ เขา ภาวนามยปญญา ไปเลย แตเ ม่ือมองท่บี คุ คลท่ัวไป ทา น ในกองสังขารมองเห็นตามเปน จรงิ (ขอ ๓ ในไตรสิกขา, ขอ ๔ ในบารมี ๑๐, ขอ ๕ ในพละ ๕, ขอ ๗ ในสัทธรรม ๗, ขอ ๕ ในเวสารชั ชกรณธรรม ๕, ขอ ๑ ในอธษิ ฐานธรรม ๔, ขอ ๗ ในอรยิ ทรพั ย ๗); ปญญา ๓ คอื ๑. จินตามยปญ ญา ปญ ญาเกดิ จากการคดิ พจิ ารณา (ปญ ญา จากโยนิโสมนสิการท่ีตั้งขึ้นในตนเอง) ๒. สตุ มยปญ ญา ปญ ญาเกดิ จากการ

ปญญากถา ๒๒๙ ปญ ญาสมวารจะเริ่มดวยสุตมยปญญาเปนขอแรก ในธรรมขันธ ๕)โดยมคี ําอธบิ ายตามลาํ ดับวา บคุ คลเลา ปญญาจักขุ, ปญญาจักษุ จักษุคือเรยี นสดบั ฟง ธรรมแลว เกดิ ศรทั ธา นาํ ไป ปญ ญา, ตาปญ ญา; เปน คุณสมบตั อิ ยางใครครวญตรวจสอบช่ังตรองพิจารณา หนึ่งของพระพุทธเจา พระองคตรัสรูเกิดเปนสุตมยีปญญา อาศัยส่ิงที่ได พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณดวยเรียนสดบั น้ันเปนฐาน เขาตรวจสอบช่งั ปญญาจักขุ (ขอ ๓ ในจักขุ ๕)ตรองเพงพินิจขบคิดลึกชัดลงไป เกิด ปญ ญาธฏิ ฐาน ทม่ี นั่ คอื ปญ ญา, ธรรมที่เปน จินตามยีปญ ญา เมอ่ื เขาใชปญ ญา ควรตั้งไวในใจใหเปนฐานที่ม่ัน คือทั้งสองน้ันขะมักเขมนมนสิการในสภาว- ปญ ญา, ผมู ปี ญ ญาเปน ฐานทมี่ นั่ (ขอ ๑ธรรมทั้งหลาย แลวเกิดญาณเปน มรรค ในอธฏิ ฐาน ๔); ดู อธิษฐานธรรมท่ีจะใหเกิดผลขึ้น ก็เปนภาวนามยี- ปญญาภาวนา ดู ภาวนาปญ ญา, นาสงั เกตวา ในคมั ภรี ว ิภงั ค ปญญาภมู ิ ธรรมทเ่ี ปน ภมู ขิ องปญ ญา; ดูแหง อภธิ รรมปฎ ก ทา นอธบิ ายภาวนามย- วิปส สนาภมู ิ 2.ปญ ญาวา ไดแ ก “สมาปนนฺ สสฺ ปฺ า” ปญญาวิมุต “ผูหลุดพนดวยปญญา”(ปญ ญาของผเู ขา สมาบตั )ิ แตม คี าํ อธบิ าย หมายถงึ พระอรหนั ตผ สู าํ เรจ็ ดว ยบาํ เพญ็ของคัมภีรตา งๆ เชน ปรมัตถมัญชสุ า วปิ ส สนาโดยมไิ ดอ รปู สมาบตั มิ ากอ นวา คาํ อธบิ ายดงั กลา วเปน เพยี งการแสดง ปญญาวิมุตติ ความหลุดพนดวยตัวอยาง โดยสาระก็มุงเอาการเหน็ แจง ปญญา, ความหลุดพนทีบ่ รรลุดว ยการความจริงท่ีเปนมัคคปญญาน่ันเอง; กาํ จัดอวชิ ชาได ทําใหสําเร็จอรหตั ตผลปญญา ๓ อีกหมวดหนึ่งทนี่ ารู ไดแก และทาํ ใหเจโตวิมตุ ติ เปน เจโตวิมตุ ตทิ ่ีปญ ญาทมี่ ชี อื่ วา โกศล คอื ความฉลาด ๓ ไมก ําเริบ คือไมก ลบั กลายไดอกี ตอไป;อยา ง; ดู โกศล, อธปิ ญ ญาสกิ ขา เทยี บ เจโตวิมตุ ติปญญากถา ถอ ยคาํ ท่ีชักนาํ ใหเ กดิ ปญญา ปญญาสมวาร วาระท่ี ๕๐, คร้งั ที่ ๕๐;(ขอ ๘ ในกถาวตั ถุ ๑๐) ในภาษาไทย นยิ มใชในประเพณที ําบุญปญ ญาขันธ กองปญญา, หมวดธรรมวา อุทิศแกผูลวงลับ โดยมีความหมายวาดว ยปญญา เชน ธรรมวจิ ยะ การเลือก วนั ที่ ๕๐ หรือวนั ทคี่ รบ ๕๐ เชน ในขอเฟน ธรรม กมั มัสสกตาญาณ ความรูวา ความวา “บําเพ็ญกุศลปญญาสมวาร”,สตั วม ีกรรมเปน ของตวั เปน ตน (ขอ ๓ ทัง้ นี้ มีคําทีม่ ักใชใ นชดุ เดียวกนั อกี ๒


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook