บุญกริ ิยาวัตถุ ๑๘๐ บพุ การ พระพทุ ธเจา ตรสั ประมวลหลกั การทาํ บุณฑริก บวั ขาวบญุ ทพี่ งึ ศกึ ษาไว เรยี กวา บญุ กริ ิยาวตั ถุ บุณม,ี บรู ณมี ดถิ ีท่ีพระจันทรเต็มดวง,๓ (ข.ุ อติ .ิ ๒๕/๒๓๘/๒๗๐) ซงึ่ พระอรรถกถา- วนั เพ็ญ, วนั ขน้ึ ๑๕ คาํ่ , วันกลางเดอื น;จารยไดแจกแจงใหเห็นตัวอยางในการ ปณุ มี หรอื ปรู ณมี กเ็ ขยี น (บาล:ี ปณุ ณฺ ม;ีขยายความออกไปเปน บญุ กริ ยิ าวตั ถุ๑๐ สันสกฤต: ปูรณฺ ม)ี(เชน สงคฺ ณ.ี อ.๒๐๘); ตรงขา มกบั บาป, เทียบ บถุ ชุ น ดู ปุถชุ นกศุ ล, ดู บญุ กริ ยิ าวตั ถ,ุ อปุ ธิ บุทคล บคุ คล (เขยี นอยางรูปสันสกฤต)บุญกิริยาวตั ถุ สิง่ ที่เปนทต่ี ้งั แหงการทํา บปุ ผวิกัติ ดอกไมท ี่ทาํ ใหแ ปลก, ดอกไมบญุ , เรือ่ งทีจ่ ัดเปนการทาํ บุญ, ทางทํา ทที่ าํ ใหวจิ ิตร โดยประดษิ ฐเ ปนรปู ตา งๆความด,ี หมวด ๓ คือ ๑. ทานมยั ทาํ บพุ กรณ ธรุ ะอนั จะพงึ ทาํ ในเบอ้ื งตน , งานบญุ ดว ยการให ๒. สลี มยั ทําบญุ ดวย ที่จะตองกระทําทีแรก, เรื่องท่ีควรการรักษาศีลและประพฤติดี ๓. ตระเตรยี มใหเ สรจ็ กอ น เชน บพุ กรณภาวนามัย ทาํ บุญดวยการเจริญภาวนา; ของการทําอุโบสถ ไดแก เมื่อถึงวันหมวด ๑๐ คือ ๑. ทานมัย ๒. สลี มัย ๓. อโุ บสถ พระเถระลงอโุ บสถกอ น สง่ั ภกิ ษุภาวนามยั ๔.อปจายนมยั ดว ยการประพฤติ ใหป ด กวาดโรงอโุ บสถ ตามไฟ ตง้ั นา้ํ ฉนัออนนอ ม ๕. เวยยาวัจจมยั ดว ยการ นาํ้ ใช ตงั้ หรอื ปลู าดอาสนะไว; บพุ กรณชวยขวนขวายรับใช ๖. ปตติทานมัย แหง การกรานกฐนิ คอื ซกั ผา ๑ กะผา ๑ดวยการเฉลี่ยสวนความดีใหผูอ่ืน ๗. ตดั ผา ๑ เนาหรอื ดน ผา ทต่ี ดั แลว ๑ เยบ็ปตตานุโมทนามัย ดวยความยินดี เปน จวี ร ๑ ยอ มจวี รทเ่ี ยบ็ แลว ๑ ทาํความดขี องผอู นื่ ๘. ธัมมสั สวนมยั ดว ย กปั ปะคอื พนิ ทุ ๑ ดงั นเ้ี ปน ตนการฟง ธรรม ๙. ธัมมเทสนามัย ดว ย บุพการ 1. “อุปการะกอ น”, การชวยการสัง่ สอนธรรม ๑๐. ทฏิ ุชุกมั ม ดว ย เหลือเกื้อกูลทร่ี ิเรมิ่ ทําข้นึ กอ นเอง โดยมิ การทาํ ความเหน็ ใหตรง ไดคํานึงถึงเหตุเกาเชนวาเขาเคยทาํ อะไรบุญเขต เนื้อนาบุญ; ดู สังฆคุณบุญญาภิสงั ขาร ดู ปุญญาภสิ งั ขาร ใหเราไว และมไิ ดหวงั ขา งหนาวาเขาจะบุญนิธิ ขมุ ทรพั ยคอื บญุ ใหอะไรตอบแทนเรา (ในคําวา บพุ การี)บุญราศี กองบุญ 2. ความเกื้อหนุนชวยเหลอื โดยถอื เปนบญุ ฤทธิ์ ความสาํ เรจ็ ดว ยบญุ , อาํ นาจบญุ สําคัญอันดับแรก, การอุปถัมภบํารุง เกื้อกูลนับถือรับใชที่ทําโดยตั้งใจให
บุพการี ๑๘๑ บุพพณั หสมยั ความสําคัญนําหนาหรอื กอนอ่ืน (เชนใน ลว งหนา วามรรคจะเกดิ ข้นึ , ธรรม ๗ ขอ ๕ แหง สมบัตขิ องอบุ าสก ๕) ประการ ซง่ึ แตละอยางเปนเครื่องหมายบุพการี บุคคลผทู ําอปุ การะกอ น คือ ผูมี บงบอกลวงหนาวาอริยอัฏฐังคิกมรรคพระคุณ ไดแ ก มาดาบิดา ครูอาจารย จะเกิดขึ้นแกผูนั้น ดุจแสงอรุณเปน เปนตน (ขอ ๑ ในบคุ คลหาไดย าก ๒); บุพนมิ ิตของดวงอาทิตยท ี่จะอทุ ยั , แสง ดู บุพการ 1.บพุ กิจ กิจอันจะพงึ ทํากอ น, กิจเบอื้ งตน เงนิ แสงทองของชวี ติ ทด่ี งี าม, รงุ อรณุ ของ เชน บพุ กจิ ในการทาํ อโุ บสถ ไดแ ก กอ น การศกึ ษา ๗ อยา ง คอื ๑.กลั ยาณมติ ตตา ความมีกัลยาณมิตร ๒. สีลสัมปทา สวดปาฏิโมกขตองนําปาริสุทธิของภิกษุ ความถงึ พรอ มดว ยศลี ๓. ฉนั ทสมั ปทา ความถึงพรอมดวยฉันทะ ๔. อัตต- อาพาธมาแจง ใหส งฆท ราบ นาํ ฉนั ทะของ สมั ปทา ความถงึ พรอ มดว ยตนทฝ่ี ก ไวด ี ๕. ทฏิ ฐสิ มั ปทา ความถงึ พรอ มดว ย ภกิ ษอุ าพาธมา บอกฤดู นบั ภกิ ษุ ให โอวาทนางภิกษุณี; บุพกิจแหงการอปุ สมบท ไดแ ก การใหบ รรพชา ขอนสิ ยั ทิฏฐิ (มีหลักความคิดความเชื่อที่ถูกถืออุปชฌาย จนถึงสมมติภิกษุผูสอบ ตอง) ๖. อปั ปมาทสัมปทา ความถงึถามอนั ตรายกิ ธรรมกะอปุ สมั ปทาเปกขะ พรอมดวยความไมประมาท ๗. โยนิโสมนสิการสัมปทา ความถึงทา มกลางสงฆ ดงั นเ้ี ปน ตนบพุ จรยิ า ความประพฤติปฏิบัตติ นทีส่ บื พรอมดว ยโยนโิ สมนสิการมาแตเดิม, การที่ไดเคยดําเนินชีวิต บุพประโยค อาการหรือการทําความประพฤติปฏิบัติหรือทําการอยางน้ันๆ พยายามเบ้อื งตน , การกระทําทแี รกมาในกาลกอน, บางแหง หมายถงึ การ บุพเปตพลี การบาํ เพญ็ บญุ อุทิศแกญ าติทรงบําเพ็ญประโยชนทําความดีในปาง ทลี่ วงลับไปกอ น, การทําบญุ อุทิศใหแกกอนของพระพุทธเจาเม่ือคร้ังยังเปน ผูตาย; เขียนเต็มเปน บุพพเปตพลี หรอื ปพุ พเปตพลี; ดู ปพุ พเปตพลีพระโพธสิ ตั วโ ดยเฉพาะบุพนิมิต เคร่ืองหมายใหรูลวงหนา, สิ่งท่ี บุพพสิกขาวัณณนา หนังสืออธิบายปรากฏใหเห็นกอนเปนเคร่ืองหมายวา พระวนิ ยั พระอมราภิรกั ขติ (อมร เกิด)จะมีเรื่องดีหรือรายบางอยางเกิดขึ้น, วดั บรมนิวาส เปนผูแตงลาง; บรุ พนมิ ติ ต ก็เขียน บพุ พณั ณะ ดู ธญั ชาติ; เทียบ อปรัณณะบุพนิมิตแหง มรรค เคร่ืองหมายทบ่ี อก บุพพัณหสมัย เวลาเบื้องตนแหงวัน,
บุพพาจารย ๑๘๒ บชู า เวลาเชา รวมทงั้ ชายและหญงิบพุ พาจารย 1. อาจารยกอ นๆ, อาจารย บุรพประโยค ดู บุพประโยค รนุ กอ น, อาจารยป างกอน 2. อาจารย บรุ พาจารย ดู บพุ พาจารย ตน , อาจารยค นแรก คือ มารดาบดิ า บุรพาราม ดู บุพพารามบุพพาราม วัดที่นางวิสาขาสรางถวาย บชู นยี สถาน สถานทคี่ วรบูชา พระพุทธเจาและภิกษุสงฆท่ีกรุงสาวัตถี บชู า นาํ ดอกไม ของหอม อาหาร ทรัพยพระพุทธเจาประทบั ทว่ี ดั น้ี รวมทั้งสน้ิ ๖ สินเงินทอง หรือของมีคา มามอบใหพรรษา (ในชว งพรรษาท่ี ๒๑–๔๔ ซึ่ง เพ่ือแสดงความซาบซึ้งพระคุณ มองประทับสลับไปมาระหวางวัดพระเชตวัน เหน็ ความดีงาม เคารพนับถือ ช่ืนชมกบั วัดบพุ พารามน)ี้ ; ดู วสิ าขา เชิดชู หรือนํามาประกอบกิริยาอาการบพุ เพนวิ าส “ขนั ธท เี่ คยอาศยั อยใู นกอ น”, ในการแสดงความยอมรบั นับถือ ตลอด ภพกอ น, ชาตกิ อ น, ปพุ เพนวิ าส กเ็ ขยี น; ดู จนจัดกิจกรรมตางๆ เพื่อแสดงความ ปพุ เพนวิ าสานสุ ติญาณบพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ ดู ปพุ เพนวิ าสา- เคารพนับถือเชนน้ัน, แสดงความเคารพ นุสติญาณบุพเพสันนิวาส การเคยอยูรวมกันใน เทดิ ทูน, เชดิ ชคู ณุ ความดี, ยกยองให ปรากฏความสาํ คญั ; บชู า มี ๒ (อง.ฺ ทกุ .๒๐/ กาลกอน เชน เคยเปน พอแมล กู พนี่ อ ง ๔๐๑/๑๑๗) คอื อามสิ บชู า (บชู าดวยอามิส คือดวยวัตถุส่ิงของ) และ ธรรมบูชาเพื่อนผัวเมยี กันในภพอดีต (ดู ชาดกท่ี (บูชาดวยธรรม คือดวยการปฏิบัติให ๖๘ และ ๒๓๗ เปนตน ) บรรลุจุดหมายท่ีพระพุทธเจาไดทรงบุพภาค สว นเบอ้ื งตน, ตอนตนบุรณะ, บรู ณะ ทําใหเต็ม, ซอมแซม แสดงธรรมไว), ในอรรถกถาแหง มงคล-บุรณมี วันเพญ็ , วันกลางเดอื น, วนั ข้นึ สูตร (ขุททฺ ก.อ.๑๑๓; สตุ ตฺ .อ.๒/๘๓) ทา นกลา ว ๑๕ ค่ํา ถึงบชู า ๒ อยา ง เปน อามสิ บชู า และบรุ พทิศ ทศิ ตะวันออก ปฏิบัติบูชา (บูชาดวยการปฏิบัติ คือบุรพนิมิตต ดู บุพนิมติ บูชาพระพุทธเจา ดว ยสรณคมน การรับบรุ พบรุ ุษ คนกอนๆ, คนรุนกอ น, คน สกิ ขาบทมารักษาเพ่ือใหเปนผมู ีศีล การ ถอื อุโบสถ และคุณความดตี างๆ ของตนเกากอน, คนผูเปนตนวงศตระกูล, มีปารสิ ทุ ธิศลี ๔ เปนตน ตลอดจนการบรรพบุรษุ ; คาํ วา บุรุษ ในทน่ี ี้ หมาย เคารพดูแลมารดาบิดา และบูชาปูชนีย-
บูชามยบญุ ราศี ๑๘๓ เบญจางคบคุ คลทัง้ หลาย) โดยเฉพาะปฏิบัตบิ ชู า โผฏฐัพพะ (สัมผสั ทางกาย)น้ั น ทานอางพุทธพจนในมหา - เบญจขนั ธ ขนั ธ ๕, กองหรอื หมวดทงั้ ๕ ปรินพิ พานสตู ร (ท.ี ม.๑๐/๑๒๙/๑๖๐) ที่ตรสั แหงรูปธรรมและนามธรรมที่ประกอบ วา “ดูกรอานนท ผใู ดแล จะเปน ภกิ ษุ เขา เปนชีวิต ไดแ ก ๑. รูปขนั ธ กองรูป ภกิ ษุณี อุบาสก หรืออุบาสกิ า ก็ตาม ๒. เวทนาขนั ธ กองเวทนา ๓. สญั ญา- เปนผูปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม ขนั ธ กองสญั ญา ๔. สงั ขารขันธ กอง ปฏิบตั ิชอบ ปฏบิ ตั ิตามธรรมอยู ผนู ั้น สังขาร ๕. วญิ ญาณขันธ กองวิญญาณ ช่ือวาสักการะ เคารพ นับถือ บูชา เบญจโครส โครส คือ ผลผลิตจากนม ตถาคตดว ยการบูชาอยางยิ่ง” กลาวยอ โค ๕ อยาง ไดแก ขีระ (นมสด) ทธิ ปฏบิ ัตบิ ูชา ไดแก ธรรมานุธรรมปฏิบตั ิ (นมสม) ตักกะ (เปรียง) สัปป (เนยใส)บูชามยบุญราศี กองบุญที่สําเร็จดวย นวนีตะ (เนยขน), พึงทราบวา เนยขน การบชู า นั้น มลี ักษณะเปนกอน ทานจงึ เตมิ คําบูชายัญ พิธีเซนสรวงเทพเจาของ วา “ปณ ฑะ” เขาไป เปน นวนีตปณ ฑะพราหมณ, การเซน สรวงเทพเจาดว ยวธิ ี หรือโนนีตปณฑะ (เชน ขุ.เถร.๒๖/๑๑๕/ฆา คนหรอื สตั วเ ปน เครอื่ งบูชา; ในภาษา ๒๑๔); ดู โครสบาลี ไมใชคําวา “บูชา” กับคําวา “ยญั ” เบญจธรรม ธรรม ๕ ประการ, ความดีทพ่ี ดู กนั วา “บูชายญั ” น้นั แปลจากคํา ๕ อยางท่ีควรประพฤติคูกันไปกับการบาลวี า “ยญั ญยชนะ” รักษาเบญจศีลตามลําดับขอดังน้ี ๑.บูร ทิศตะวันออก เมตตากรุณา ๒. สมั มาอาชีวะ ๓. กาม-บูรณะ ดู บุรณะ สังวร (สาํ รวมในกาม) ๔. สจั จะ ๕. สต-ิบูรณมี ดู บุณมี สมั ปชัญญะ; บางตาํ ราวา แปลกไปบางขอบรู พาจารย ดู บพุ พาจารย คอื ๒. ทาน ๓. สทารสนั โดษ = พอใจเบญจกัลยาณี หญิงมีลักษณะงาม ๕ เฉพาะภรรยาของตน ๕. อัปปมาทะ =อยาง คอื ผมงาม เนือ้ งาม (คอื เหงอื ก ไมประมาท; เบญจกัลยาณธรรม กเ็ รยี กและริมฝปากแดงงาม) ฟนงาม ผิวงาม เบญจมหานที ดู มหานที ๕ เบญจวัคคีย ดู ปญจวคั คียวัยงาม (คือดงู ามทุกวัย)เบญจกามคุณ ส่ิงท่ีนาปรารถนานาใคร เบญจศีล ดู ศลี ๕๕ อยาง คอื รูป เสียง กลน่ิ รส และ เบญจางค อวยั วะทงั้ ๕ คอื ศีรษะ ๑
เบญจางคประดษิ ฐ ๑๘๔ ปกาสนียกรรมมอื ทั้ง ๒ เทาท้งั ๒ โบราณฏั ฐกถา ดู โปราณฏั ฐกถาเบญจางคประดิษฐ การกราบดวยต้ัง ใบฎกี า 1. หนังสือนมิ นตพระ ตวั อยางอวัยวะท้งั ๕ อยา งลงกับพ้นื คือกราบ “ขออาราธนาพระคุณเจา (พรอมดวยเอาเขาท้ังสอง มือทั้งสอง และศีรษะ พระสงฆใ นวดั น้ีอกี ... รูป) เจรญิ พระ(หนาผาก) จดลงกบั พื้น พุทธมนต (หรือสวดมนต หรือแสดงเบยี ดบัง การถอื เอาเศษ เชน ทา นใหเกบ็ พระธรรมเทศนา) ในงาน ... ทบ่ี าน เลขเงินคาเชาตางๆ เก็บไดมากแตใหทาน ที่ ... ตําบล ... อําเภอ ... ในวนั ท่ี ...แตน อย ใหไ มครบจาํ นวนที่เก็บได เดือน ... พ.ศ. ... เวลา ... น.” (หากจะโบกขรณี สระบวั อาราธนาใหรับอาหารบิณฑบาตเชาหรือโบกขรพรรษ “ฝนดุจตกลงบนใบบัว เพลหรอื มกี ารตกั บาตรใชป น โต กใ็ หร ะบุหรือในกอบัว”, ฝนที่ตกลงมาในกาละ ไวด ว ย) 2. ตําแหนงพระฐานานุกรมรองพเิ ศษ มสี แี ดง ผใู ดตอ งการใหเ ปย ก ก็ จากสมุหลงมาเปย ก ผใู ดไมต อ งการใหเ ปย ก กไ็ มเ ปย ก ใบปวารณา ใบแจง แกพ ระวา ใหข อได ตวัแตเ มด็ ฝนจะกลงิ้ หลน จากกาย ดจุ หยาด อยา ง “ขา พเจา ขอถวายจตปุ จ จยั อนั ควรนาํ้ หลน จากใบบวั เชน ฝนทต่ี กในพระ แกส มณบรโิ ภค แดพระคุณเจา เปน มลูญาติสมาคมคราวเสด็จกรุงกบิลพัสดุ คา ... บาท ... สต. หากพระคณุ เจา ตอ งครง้ั แรก อนั เหมอื นกบั ทตี่ กในพระญาติ ประสงคสิ่งใดอันควรแกสมณบริโภคสมาคมของพระเวสสนั ดร แลว ขอไดโปรดเรียกรองจากกัปปย-โบราณ มีในกาลกอน, เปนของเกา แก การก ผปู ฏบิ ตั ขิ องพระคณุ เจา เทอญ” ปปกครอง คมุ ครอง, ดแู ล, รกั ษา, ควบคมุ จากอาบัติสังฆาทิเสส และภิกษุที่ถูกปกตัตตะ, ปกตตั ต “ผมู ีตนเปน ปกต”ิ , สงฆล งนิคหกรรมอืน่ ๆ; ดู กมั มปต ตะ, ภิกษุผูมีภาวะของตนกลาวคือศีลเปน กมั มารหะ, ฉนั ทารหะ ปกติ คือ ไมต องอาบัตปิ าราชกิ หรือถกู ปกตอิ โุ บสถ ดู อุโบสถ 2.๑. สงฆลงอุกเขปนียกรรม รวมท้ังมิใช ปกรณ คมั ภรี , ตาํ รา, หนงั สอื ภิกษุผูกําลังประพฤติวุฏฐานวิธีเพ่ือออก ปกาสนียกรรม กรรมอันสงฆพึงทําแก
ปกาสนียกรรม ๑๘๕ ปกาสนียกรรมภกิ ษุผูทพี่ ึงถกู ประกาศ (แปลวา กรรม แกพระเทวทตั ผูกนิ เขฬะ (คอื บริโภคอันเปนเครอ่ื งประกาศ กไ็ ด) หมายถึง ปจจยั ซึ่งเกิดจากอาชีวะทไี่ มบ ริสทุ ธิ์ อนัการท่ีสงฆมีมติและทําการประกาศให อริยชนจะพงึ คายทิง้ ) ไดอยางไร พระเปนท่ีรูกันทั่วไป ถึงสถานภาพในเวลา เทวทัตโกรธวาพระพุทธเจาตรัสใหตนนั้นของภิกษรุ ูปน้ันในสงฆ เชน ความไม เสียหนาในทปี่ ระชมุ แลวยังยกยอ งพระเปน ที่ยอมรบั หรือการทส่ี งฆไ มย อมรบั สารีบุตรและพระโมคคัลลานะเสียอีกและไมรับผิดชอบตอการกระทําของ ดวย กผ็ ูกอาฆาต และทูลลาไป ถึงตอนภิกษุรูปน้ัน, เปนกรรมท่ีพระพุทธเจา นี้ พระพุทธเจาจึงไดตรสั บอกวิธที ส่ี งฆตรัสบอกใหเปนวิธีปฏิบัติตอพระเทวทัต จะปฏิบัติตอพระเทวทัตดวยการทําและสงฆก็ไดกระทําตอพระเทวทัตใน ปกาสนยี กรรม และใหสงฆส มมติ คอืเมอื งราชคฤห ตามเรอื่ งวา เมื่อพระเทว- ต้ั ง ใ ห พ ร ะ ส า รี บุ ต ร เ ป น ผู ไ ป ก ล า วทัตแสดงฤทธิ์แกเจาชายอชาตศัตรู ทํา ประกาศ (พระสารีบุตรเปนผูท่ีไดยกใหราชกุมารนั้นเล่ือมใสแลว ก็ไดช่ือ ยองสรรเสริญพระเทวทัตไวในเมืองเสยี ง มลี าภสักการะเปน อนั มาก ตอมา ราชคฤหนั้น) คําประกาศมีวาดังนี้วันหน่ึง ขณะที่พระพุทธเจาประทับนั่ง (วนิ ย.๗/๓๖๒/๑๗๓) “ปกติของพระเทวทตัทรงแสดงธรรมอยู ในทปี่ ระชมุ ใหญซ ึง่ แตกอนเปนอยางหนึ่ง เดี๋ยวนี้เปนอีกมีพระราชาประทับอยูด ว ย พระเทวทตั อยา งหนึ่ง พระเทวทัตทาํ การใด ดวยไดกราบทลู วา พระพุทธเจา ทรงพระชรา กาย วาจา ไมพ งึ มองเหน็ พระพุทธ พระเปนผเู ฒา แกห งอมแลว ขอใหทรงพกั ธรรม หรือพระสงฆ ดว ยการนน้ั พงึผอน โดยมอบภิกษสุ งฆใ หพ ระเทวทตั เห็นเปน การเฉพาะตวั พระเทวทตั เอง”บริหารตอ ไป แตพระพุทธเจา ทรงหามวา“อยาเลย เทวทัต เธออยาพอใจที่จะ ทางดา นพระเทวทัต ตอมา ก็ไดไปบริหารภิกษุสงฆเลย” แมกระนัน้ พระ แนะนําเจาชายอชาตศัตรูใหปลงพระเทวทัตก็ยังกราบทูลอยางเดิมอีกจนถึง ชนมพระราชบิดาแลวขึ้นครองราชยครั้งท่ี ๓ พระพทุ ธเจาจึงตรสั วา แมแต โดยตนเองก็จะปลงพระชนมพระพุทธพระสารีบุตรและพระโมคคลั ลานะ พระ เจาแลวเปนพระพุทธเจาเสียเอง มาองคก็ยังไมทรงปลอยมอบภิกษุสงฆให ประสานบรรจบกัน เจา ชายอชาตศตั รูไดแลวจะทรงปลอยมอบภิกษุสงฆนั้นให เหน็บกริชแนบพระเพลาเขาไปเพ่ือทํา การตามแผน แตม พี ิรุธ ถกู จบั ได เมื่อ
ปกาสนียกรรม ๑๘๖ ปกาสนยี กรรมถูกสอบสวนและสารภาพวาทรงทําตาม กําลังจากฝายบานเมืองมาดําเนินการคํายุยงของพระเทวทัต มหาอํามาตย พยายามปลงพระชนมพระพุทธเจา ทง้ัพวกหนึ่งมีมติวา ควรประหารชีวติ ราช- จัดพรานธนูไปดักสังหาร ทั้งกล้ิงกอนกุมาร และฆาพระเทวทัตกับท้ังประดา ศลิ าลงมาจากเขาคิชฌกฏู จะใหทบั และพระภิกษุเสียใหหมดส้ิน มหาอาํ มาตย ปลอยชางดุนาฬาคีรีใหเขามาทํารายบนพวกหนึ่งมีมติวา ไมควรฆาภิกษุท้ัง ทางเสด็จ แตไมสาํ เร็จ จนในครงั้ สุดหลาย เพราะพวกภิกษุไมไดท ําความผิด ทา ย มหาชนรเู ร่อื งกนั มากข้ึน กอ็ อกมาอะไร แตควรประหารชีวิตราชกุมาร แสดงความไมพอใจตอพระราชาวาเปนและฆาพระเทวทัตเสีย สวนมหา ผูสงเสริม เปนเหตุใหพ ระเจาอชาตศตั รูอํามาตยอีกพวกหน่ึงมีมติวา ไมควร ตองทรงถอนพระองคจากพระเทวทัตประหารราชกมุ าร ไมค วรฆาพระเทวทัต ทําใหพระเทวทัตเส่ือมจากลาภสักการะและไมค วรสังหารภกิ ษทุ ้งั หลาย แตค วร กอนถึงกาลจบสิน้ ในทีส่ ุดกราบทูลพระราชา แลวพระองครับส่ังอยา งใด กท็ าํ อยา งนนั้ จากนนั้ พวกมหา ปกาสนยี กรรมนี้ เปน สังฆกรรมหนึ่งอํามาตยก็คุมตัวอชาตศัตรูกุมารเขาไป ใน ๘ อยา ง ท่ีเปน อสมั มขุ ากรณยี คือเฝาพระเจา พิมพิสาร กราบทลู รือ่ งนั้นให กรรมซ่ึงไมตองทําในท่ีตอหนา หรือทรงทราบ พระราชาทรงถามมติของ พรอมหนา บคุ คลทถี่ ูกสงฆทาํ กรรม ไดพวกมหาอาํ มาตย ทรงตาํ หนพิ วกทใ่ี หฆ า แก ๑.ทเู ตนปุ สมั ปทา (การอปุ สมบทภกิ ษทุ งั้ ปวงเสยี ใหห มด โดยทรงทว งวา โดยใชท ูต คอื ภกิ ษุณีใหมท่อี ปุ สมบทในพระพุทธเจาไดใหประกาศไปแลวมิใช ภิกษุณีสงฆเสร็จแลว จะไปรับการหรือวาสงฆมิไดยอมรับการกระทําของ อุปสมบทจากภิกษุสงฆเพื่อใหครบการพระเทวทัต การกระทํานั้นเปนเรื่อง อุปสมบทจากสงฆสองฝาย แตถ า มีขอเฉพาะตัวของพระเทวทัตเอง จากน้ัน ติดขัดเกรงวาการเดินทางจะไมปลอดเมอ่ื ทรงซกั ถามราชกมุ าร ไดความวาจะ ภยั กใ็ หภกิ ษุณีอ่นื เปนทูต คือเปนตัวปลงพระชนมพระองคเพราะตองการ แทนแจงการขอรับอุปสมบทของตนตอราชสมบัติ ก็ไดทรงมอบราชสมบัติแก ที่ประชมุ ภิกษุสงฆ โดยตนเองไมต อ งไปเจาชายอชาตศัตรู เมื่อพระเจาอชาต- กไ็ ด) ๒.ปต ตนกิ กชุ ชนา (การควํา่ บาตรศัตรูครองราชยแลว พระเทวทัตก็ได อุบาสกผูปรารถนารายตอพระรัตนตรัย) ๓.ปต ตอกุ กชุ ชนา (การหงายบาตร คือ
ปกณิ ณกทุกข ๑๘๗ ปฏกิ โกสนาประกาศระงับโทษอุบาสกผูเคยมุงราย ภิกษุผูมีพฤติกรรมหรือแสดงอาการอันตอ พระรัตนตรยั ซ่งึ ไดกลบั ตัวแลว ) ๔. ไมเปนที่นาเล่ือมใส และใหถือวาภิกษุอุมมัตตกสมมติ (การสวดประกาศ นั้นเปน ผทู ีภ่ กิ ษณุ ที ้งั หลายไมพึงไหว); ดูความตกลงใหถือภิกษุผูวิกลจริตใน เทวทัต, นคิ หกรรมระดับทีจ่ าํ อะไรไดบ างไมไ ดบ า ง วา เปนผู ปกิณณกทุกข ทุกขเบ็ดเตลด็ , ทุกขเรยี่วิกลจริต เพื่อวาเม่ือภิกษุน้ันระลึก ราย, ทกุ ขจ ร ไดแก โสกะ ปรเิ ทวะอโุ บสถหรอื สังฆกรรมไดก็ตาม ระลกึ ไม ทุกข โทมนัส อุปายาสไดก็ตาม มารวมก็ตาม ไมมาก็ตาม ปกิรณกะ ขอเบ็ดเตล็ด, ขอเล็กๆสงฆจะพรอมดวยเธอ หรือปราศจาก นอ ยๆ, ขอปลกี ยอ ยจากเธอก็ตาม กจ็ ะทาํ อุโบสถได ทาํ สงั ฆ- ปขาว ชายผจู ําศลีกรรมได) ๕.เสกขสมมติ (การสวด ปชาบดี 1. ภรรยา, เมยี 2. ดู มหาปชาบด-ีประกาศความตกลงตั้งสกุลคือครอบ โคตมีครัวท่ีย่ิงดวยศรัทธาแตหยอนดว ยโภคะ ปฏลิกา เครื่องลาดทําดวยขนแกะท่ีมีใหถือวาเปนเสขะ เพอื่ มใิ หภ กิ ษรุ บกวน สัณฐานเปนพวงดอกไมไปรบั อาหารมาฉนั นอกจากไดร บั นมิ นต ปฏาจารา พระมหาสาวกิ าองคห นง่ึ เปนไวกอน หรืออาพาธ) ๖.พรหมทณั ฑ ธิดาเศรษฐีในพระนครสาวัตถีไดรับ(“การลงโทษอยางสูงสง” คือการทส่ี งฆม ี วปิ โยคทกุ ขอ ยา งหนกั เพราะสามตี าย ลกูมติลงโทษภิกษุหัวดื้อวายาก โดยวิธี ตาย พอ แมพ น่ี อ งตายหมด ในเหตกุ ารณพรอมกันไมวากลาวสั่งสอนตักเตือน รายท่ีเกิดข้ึนฉับพลันทันทีและติดตอกันใดๆ ดงั ท่ีทําแกพระฉันนะเม่อื พระพุทธ ถึงกับเสียสติปลอยผานุงผาหมหลุดลุยเจาปรินิพพานแลว) ๗.ปกาสนยี กรรม เดนิ บน เพอ ไปในทตี่ า งๆ จนถงึ พระเชตวนั(การประกาศใหเ ปน ทร่ี ูทั่วกัน ถงึ สภาวะ พระศาสดาทรงแผพ ระเมตตา เปลง พระของภิกษุรูปน้ันซ่ึงไมเปนท่ียอมรับของ วาจาใหนางกลับไดสติ แลวแสดงพระสงฆ อันพึงถือวาการใดที่เธอทําก็เปน ธรรมเทศนา นางไดฟ ง แลว บรรลโุ สดา-เร่ืองเฉพาะตัวของเธอ ไมผูกพันกบั สงฆ ปตติผล บวชเปน พระภกิ ษณุ ี ไมช า ก็หรอื ตอ พระศาสนา ดงั ท่ที าํ แกพ ระเทว- สําเร็จพระอรหัต ไดรับยกยองวาเปนทัต) ๘.อวนั ทนยี กรรม (การทภี่ กิ ษณุ ี เอตทคั คะในทางทรงพระวนิ ยัสงฆมีมติประกาศใหเปนท่ีรูทั่วกันถึง ปฏกิ โกสนา การกลา วคดั คา นจังๆ (ตา ง
ปฏิกรรม ๑๘๘ ปฏิกรรม จากทิฏฐาวิกมั ม ซึ่งเปนการแสดงความ นัน้ , “ปฏกิ รสิ สฺ าม”ิ เปน รปู กรยิ าของปฏิ เห็นแยง ช้ีแจงความเห็นท่ีไมรวมดวย กรรม) ๒. วินัยบัญญัติ (สําหรับพระ สงฆ) เรอ่ื งปวารณากรรม คือหลงั จาก เปน สว นตวั แตไ มไ ดค ดั คาน) อยูรวมกันมาตลอดพรรษา ภิกษุหรือปฏกิ รรม “การทําคืน”, “การแกกรรม”, การแกไข, การกลับทําใหมใหเปนดี, ภิกษุณีท้ังหลายประชุมกัน และแตละ เปนคําสอนสําคัญสวนหนึ่งในการทํา รูปกลาวคําเปดโอกาสหรือเชิญชวนแกท่ี กรรม มสี าระสําคัญ คอื ยอมรับความ ประชมุ เรม่ิ ดว ยรูปทเี่ ปนผใู หญท ่สี ุดวา (วนิ ย.๔/ ๒๒๖/๓๑๔) “สงฆฺ อาวโุ ส ปวาเร ผิดพลาดที่ไดทําไปแลว ละเลิกบาป มิ ทิฏเน วา สเุ ตน วา ปรสิ งกฺ าย วา, วทนตฺ ุ ม อายสมฺ นฺโต อนกุ มปฺ อุ อกุศลหรือการกระทําผิดพลาดเสียหาย ปาทาย, ปสสฺ นโฺ ต ปฏกิ รสิ สฺ าม”ิ (เธอ ทง้ั หลาย ฉนั ปวารณาตอ สงฆ ดว ยได ท่ีเคยทําน้ัน และหันมาทําความดีงาม เหน็ กด็ ี ดว ยไดฟ ง ก็ดี ดว ยสงสัยกด็ ี ถกู ตองหรือบญุ กุศล แกไขปรบั ปรงุ ตน ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาวา เปลี่ยนแปรกรรมใหดี, ในทางปฏิบัติ กลาวฉัน ฉันเห็นอยู จักทาํ คนื , “ปฏกิ ริ สสฺ าม”ิ เปน รปู กรยิ าของ ปฏกิ รรม) ๓. พระพุทธเจาไดทรงนําหลักปฏิกรรมมา อริยวินัย (สําหรับทั้งพระสงฆและ คฤหัสถ) เรื่องอัจจยเทศนา คือการ วางเปนระบบวธิ ีปฏบิ ัติทางสังคม คือใน แสดงความยอมรับหรือสํานึกผิดในการ ดา นวนิ ยั ขนั้ พื้นฐาน ๓ ประการ ไดแก ที่ตนไดทําความผิดละเมิดหรือลวงเกิน ๑. วนิ ัยบัญญัติ (สาํ หรบั พระสงฆ) เรื่อง อาปตติปฏกิ รรม ซง่ึ แปลกันวา การทํา ผอู น่ื และมาบอกขอใหผูอื่นน้นั ยอมรบั คืนอาบัติ คือการที่ภิกษุหรือภิกษุณี ความสํานึกของตน เพื่อที่ตนจะได บอกแจง ความผิดของตน เพอ่ื จะสังวร สํารวมระวังตอไป ดังเชนในกรณีนาย ตอ ไป แมแ ตแคสงสัย ดงั เชน เมอ่ื ถึง ขมังธนูท่ีรับจางมาเพื่อสังหารพระพุทธ วนั อุโบสถ ภิกษุรปู หนึง่ เกิดความสงสัย เจา แลวสาํ นกึ ผดิ และเขา มากราบทูล วา ตนอาจจะไดต อ งอาบัติ ก็บอกแจงแก ความสํานกึ ผดิ ของตน พระพุทธเจา ได ภิกษอุ นื่ รปู หนง่ึ วา (เชน วนิ ย.๔/๑๘๖/๒๔๖) “อห อาวุโส อิตถฺ นนฺ ามาย อาปตฺตยิ า ตรัสขอความที่เปนหลักในเร่ืองน้ีวา เวมติโก, ยทา นิพฺเพมติโก ภวิสฺ (วินย.๗/๓๖๙/๑๘๐) “ยโต จ โข ตฺว สามิ, ตทา ต อาปตตฺ ึ ปฏกิ รสิ สฺ าม”ิ (ทา นครบั ผมมคี วามสงสยั ในอาบัติช่ือนี้ หายสงสัยเมื่อใด จกั ทาํ คนื อาบัตินั้นเมื่อ
ปฏกิ สั สนา ๑๘๙ ปฏจิ จสมปุ บาทอาวุโส อจจฺ ย อจจฺ ยโต ทสิ วฺ า ยถาธมมฺ ปฏิฆะ ความขดั ใจ, แคน เคือง, ความขง้ึปฏกิ โรส,ิ ตนเฺ ต มย ปฏิคฺคณหฺ าม, วุ เคียด, ความกระทบกระทง่ั แหง จิต ไดทธฺ ิ เหสา อาวุโส อรยิ สสฺ วนิ เย, โย แกความท่ีจิตหงุดหงิดดวยอํานาจโทสะอจจฺ ย อจจฺ ยโต ทสิ วฺ า ยถาธมมฺ ปฏกิ (ขอ ๕ ในสังโยชน ๑๐, ขอ ๒ ในโรต,ิ อายตึ สวร อาปชฺชต”ิ (เพราะ สังโยชน ๑๐ ตามนัยพระอภิธรรม, ขอการท่ีเธอมองเห็นโทษ โดยความเปน ๒ ในอนสุ ยั ๗)โทษ แลวทําคนื ตามธรรม เราจงึ ยอมรบั ปฏจิ จสมุปบาท [ปะ-ติด-จะ-สะ-หมุบ-โทษนนั้ ของเธอ การท่ีผูใ ดเหน็ โทษโดย บาด]“การท่ีธรรมทั้งหลายอาศัยกัน เกดิความเปนโทษ แลว ทาํ คืนตามธรรม ถงึ ขึ้นพรอม”, สภาพอาศัยปจจัยเกิดข้ึน, ความสังวรตอไป ขอนั้น เปนความ การที่ส่ิงทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีข้ึน, เจรญิ ในอรยิ วินยั , “ปฏกิ โรส”ิ และ “ป การที่ทุกขเกิดข้ึนเพราะอาศัยปจจัยตอ ฏกิ โรต”ิ เปน รปู กรยิ าของปฏกิ รรม) เนอื่ งกนั มา มอี งคค อื หวั ขอ ๑๒ ดงั นี้ปฏิกัสสนา กิริยาชักเขาหาอาบัติเดิม, ๑. อวชิ ฺชาปจจฺ ยา สงขฺ าราเปนช่ือวุฏฐานวิธีสําหรับอันตราบัติคือ เพราะอวิชชา เปนปจ จยั สงั ขารจึงมีระเบียบปฏิบัติในการออกจากอาบัติ ๒.สงขฺ ารปจจฺ ยา วิ ฺ าณํสังฆาทิเสสสําหรับภิกษุผูตองอาบัติ เพราะสงั ขาร เปนปจจัย วญิ ญาณจงึ มีสังฆาทิเสสข้ึนใหมอีก ในเวลาใดเวลา ๓. วิฺ าณปจจฺ ยา นามรปู หน่ึงตั้งแตเร่ิมอยูปริวาสไปจนถึงกอน เพราะวิญญาณ เปน ปจจยั นามรปู จงึ มีอัพภาน ทําใหเธอตองกลับอยูปริวาส ๔. นามรปู ปจฺจยา สฬายตนํ หรือประพฤติมานัตต้ังแตเริ่มตนไป เพราะนามรปู เปน ปจ จยั สฬายตนะจงึ มี ใหม; สงฆจ ตุรวรรคใหป ฏิกัสสนาได; ดู ๕. สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส อันตราบัติปฏิกา เครอื่ งลาดทําดว ยขนแกะทมี่ ีสีขาว เพราะสฬายตนะ เปนปจ จัย ผัสสะจึงมี ๖. ผสสฺ ปจฺจยา เวทนา ลว น เพราะผสั สะ เปน ปจ จยั เวทนาจึงมีปฏกิ าร การตอบแทน, การสนองคณุ ผอู น่ืปฏิกูล นา เกลียด, นา รังเกยี จ ๗. เวทนาปจจฺ ยา ตฺณหาปฏคิ ม ผตู อ นรบั , ผรู บั แขก, ผดู แู ลตอ นรบัปฏิคาหก ผรู ับทาน, ผูรับของถวาย เพราะเวทนา เปนปจ จัย ตณั หาจึงมี ๘. ตณฺหาปจจฺ ยา อุปาทานํ เพราะตณั หา เปนปจจยั อปุ าทานจงึ มี
ปฏิจจสมปุ บาท ๑๙๐ ปฏิจจสมปุ บาท๙. อปุ าทานปจจฺ ยา ภโว คือความดับไปแหงทุกข จึงเรียกวา เพราะอปุ าทาน เปนปจ จัย ภพจงึ มี ปฏิจจสมปุ บาทแบบ นโิ รธวาร๑๐. ภวปจจฺ ยา ชาติ ปฏิจจสมุปบาทน้ี บางทีเรียกชื่อ เต็มเปนคําซอนวา อิทัปปจจยตา เพราะภพ เปนปจ จัย ชาติจึงมี ปฏิจจสมปุ บาท (ภาวะที่อันนี้ๆ มี เพราะ อันน้ีๆ เปนปจจัย [หรือประชุมแหง๑๑. ชาตปิ จฺจยา ชรามรณํ ปจ จัยเหลาน้ๆี ] กลา วคือการทธ่ี รรมทั้ง หลายอาศยั กันเกดิ ข้ึนพรอม), ในคมั ภีร เพราะชาติ เปน ปจ จยั ชรามรณะจึงมี ทายๆ ของพระสตุ ตันตปฎก และใน พระอภธิ รรมปฎ ก มคี าํ เรยี กปฏจิ จสมปุ - โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา บาทเพ่ิมขึ้นอกี อยา งหนึง่ วา ปจ จยาการ สมภฺ วนตฺ ิ (อาการที่เปนปจจัยแกกัน), เนื่องจาก ปฏิจจสมุปบาทแสดงอาการที่ธรรมท้ัง โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส หลายเปนปจจัยแกกันตอเนื่องไปเปน วงจรหรือหมุนเปนวงวน และเมื่อมอง จงึ มพี รอ ม ตอขึ้นมาอีกช้ันหน่ึง ก็เห็นสภาพชีวิต ของสัตวท้ังหลายที่เรรอนวายวนเวียน เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกขฺ กขฺ นธฺ สสฺ ไปในภพภมู ิตางๆ ดวยเหตนุ ี้ กไ็ ดเ กดิ มี สมทุ โย โหติ คาํ เรียกความเปนไปตามปฏิจจสมุปบาท นั้นวา “วัฏฏะ” (สภาพหมนุ วน) บา ง ความเกิดขึ้นแหงกองทุกขทั้งปวงน้ีจึง “สังสาระ” (การเท่ียวเรรอนไป) บาง “สงั สารวฏั ฏ” (วงวนแหง การเทย่ี วเรร อ น มีดว ยประการฉะน้ี ไป) บา ง ตลอดจนคาํ ในชนั้ อรรถกถา ซงึ่ บางทเี รยี กปฏจิ จสมปุ บาทวา “ภวจักร” ปฏิจจสมุปบาทที่ธรรมท้ังหลาย และ “สังสารจกั ร”เปนปจจัยแกกันไปตามลําดับอยางนี้ ในการอธิบายหลักปฏิจจสมุปบาท ที่พระพุทธเจาเองก็ตรัสไววาเปนธรรมแสดงทุกขสมุทัยคือความเกิดขึ้นแหง ลกึ ซึง้ นี้ พระอรรถกถาจารยไ ดพยายามทุกข จงึ เรยี กวา สมทุ ยั วาร (พึงสังเกตวา คาํ วา สมปุ บาท กบั สมทุ ัย มีความหมายเหมือนกันวา ความเกิดขึ้นพรอม), เมื่อทกุ ขเ กิดข้นึ อยา งนี้ การที่จะดับทุกข กค็ ือดับธรรมทเ่ี ปน ปจจยั ใหเกิดทุกข ดังนั้น ทา นจงึ แสดงกระบวนธรรมแบบที่ตรงขา มไวดวย คอื ปฏจิ จ-สมุปบาทที่ธรรมอันเปนปจจัยดับตอๆกันไป (เรม่ิ ตัง้ แตวา “เพราะอวิชชาดับสงั ขารจึงดับ, เพราะสงั ขารดบั วญิ ญาณจึงดับ ฯลฯ”) เปนการแสดงทกุ ขนิโรธ
ปฏจิ จสมปุ บาท ๑๙๑ ปฏจิ จสมปุ บาทช้แี จงโดยจดั องค ๑๒ ของปฏิจจสมปุ - มไี ตรวฏั ฏตอ กัน ๒ รอบ คือ รอบท่ี ๑ องคที่ ๑ อวิชชา เปนกเิ ลส, องคท ่ี ๒บาทน้ัน เปนกลมุ เปนประเภทและเปน สังขาร เปนกรรม, องคท่ี ๓-๗ วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะชวงๆ คือ องคท ่ี ๑ อวชิ ชา องคท ่ี ๘ เวทนา เปน วบิ าก, รอบที่ ๒ องคท ี่ ๘ตัณหา และองคท่ี ๙ อุปาทาน สาม ตณั หา และองคที่ ๙ อุปาทาน เปน กเิ ลส,อยางนเ้ี ปน กเิ ลส, องคท ี่ ๒ สงั ขาร องคที่ ๑๐ ภพ เปนกรรม, องคท ่ี ๑๑–และองคท ่ี ๑๐ ภพ สองอยา งน้เี ปน ๑๒ ชาติ ชรามรณะ เปน วิบาก, จากนนั้กรรม, องคท ี่ ๓-๗ วญิ ญาณ นามรปู อธบิ ายตอ ไปวา องคทเี่ ปน กเิ ลส เปนสฬายตนะ ผสั สะ เวทนา และองคท่ี กรรม เปน วิบาก ในรอบท่ี ๑ มองดู๑๑–๑๒ ชาติ ชรามรณะ เจด็ องคน ี้เปน แตกตางกับองคที่เปนกเิ ลส เปน กรรมวิบาก, เมื่อมองตามกลุมหรือตาม เปน วบิ าก ในรอบที่ ๒ แตท ี่จริง โดยประเภทอยางน้ี จะเห็นไดง ายวา กิเลส สาระไมตางกนั ความแตกตางทป่ี รากฏ น้ัน คือการพูดถึงสภาวะอยางเดียวกันเปนเหตุใหกอกรรม แลวกรรมก็ทําให แตใชถอยคําตางกัน เพ่ือระบุชี้องค ธรรมที่ออกหนามีบทบาทเดนเปนตัวเกิดผลท่เี รยี กวาวบิ าก (แลววิบากก็เปน แสดงในวาระน้ัน สวนองคธรรมที่ไม ระบุ ก็มีอยูดวยโดยแฝงประกบอยูปจ จยั ใหเ กิดกเิ ลส), เม่ือมองความเปน หรือถูกรวมเขาไวดวยคําสรุปหรือคําท่ี ใชแทนกนั ได เชน ในรอบ ๑ ทีร่ ะบุไปตลอดปฏิจจสมุปบาทครบทั้ง ๑๒ เฉพาะอวชิ ชาเปน กิเลสนน้ั ท่ีแทต ณั หา อุปาทานก็พวงพลอยอยูดวย สวนในองค เปนการหมุนวนหนึ่งรอบ ก็คือ รอบ ๒ ท่วี า ตณั หาอุปาทานเปน กเิ ลสครบ ๑๒ องคน นั้ เปน วฏั ฏะ กจ็ ะเห็น นัน้ ในขณะทตี่ ัณหาอุปาทานเปน เจา บทวาวัฏฏะนั้นแบงเปน ๓ ชวง คอื ชวง บาทออกโรงอยู ก็มีอวิชชาอยเู บอ้ื งหลงั ตลอดเวลา, ในรอบ ๑ ท่ยี กสงั ขารข้ึนกิเลส ชวงกรรม และชวงวิบาก เมือ่ มาระบุวาเปนกรรม ก็เพราะเนนที่การ ทํางาน สว นในรอบ ๒ ท่รี ะบวุ าภพเปนวัฏฏะมีสามชวงอยางน้ี ก็จึงเรียกปฏจิ จสมปุ บาทวาเปน ไตรวัฏฏ (วงวนสามสว น หรอื วงวนสามซอน) ประกอบดวย กเิ ลสวฏั ฏ กรรมวัฏฏ และวิปาก-วฏั ฏ, การอธบิ ายแบบไตรวฏั ฏน้ี เปนวิธีที่ชวยใหเขาใจงายขึ้นอยางนอยในข้ันเบอ้ื งตน ตอจากน้ัน อธิบายใหล กึ ลงไปโดยแยกแยะอีกชนั้ หนึ่งวา ในรอบใหญทคี่ รบ ๑๒ องคนนั้ มองใหช ดั จะเห็นวา
ปฏิจฉันนปริวาส ๑๙๒ ปฏภิ าค กรรม ก็เพราะจะใหมองที่ผลรวมของ ปฏปิ ทา ๔ การปฏิบัตขิ องทานผไู ดบรรลุ งานทที่ ําคือกรรมภพ, และ ชาติ ชรา- ธรรมพิเศษ มี ๔ ประเภท คือ ๑. ทุกฺขา มรณะ ท่ีวาเปน วิบากในรอบ ๒ น้นั ก็ ปฏปิ ทา ทนฺธาภิ ฺ า ปฏิบตั ิลาํ บาก ทง้ั หมายถึงการเกิดเปนตน ของวิญญาณ รูไดช า ๒. ทกุ ขฺ า ปฏปิ ทา ขิปฺปาภิ ฺ า นามรปู ฯลฯ ที่ระบุวาเปน วิบากในรอบ ปฏิบัติยาก แตร ูไ ดเ รว็ ๓. สุขา ปฏิปทา ๑ นั่นเอง ดงั น้ีเปนตน; ดู ไตรวฏั ฏ ทนธฺ าภิ ฺ า ปฏิบตั สิ ะดวก แตร ูไดชาปฏจิ ฉนั นปริวาส ปรวิ าสเพือ่ ครกุ าบัตทิ ี่ ๔. สุขา ปฏปิ ทา ขปิ ปฺ าภิฺ า ปฏิบัติปดไว, ปรวิ าสทภ่ี ิกษผุ ูปรารถนาจะออก สะดวก ทัง้ รไู ดเร็วจากอาบัติสังฆาทิเสสอยูใชเพื่ออาบัติที่ ปฏปิ ทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ ความหมด ปด ไว ซ่ึงนับวนั ไดเ ปนจํานวนเดยี ว จดแหงญาณเปนเครื่องเห็นทางปฏิบัติปฏจิ ฉันนาบัติ อาบัติ (สงั ฆาทิเสส) ท่ี ไดแกว ิปสสนาญาณ ๙ (ขอ ๖ ในวสิ ทุ ธิภกิ ษุตองแลว ปดไว ๗)ปฏชิ าครอโุ บสถ ดู อโุ บสถ 2.๒. ปฏิปทานุตตริยะ การปฏิบัติอันยอดปฏญิ ญา ใหค ําม่นั , แสดงความยืนยนั , เย่ียม ไดแกการปฏิบัติธรรมที่ไดเห็นใหการยอมรับ แลว ในขอทัสสนานุตตริยะ ท้งั สว นท่ีจะปฏิญญาตกรณะ “ทําตามรับ” ไดแก พงึ ละและพงึ บําเพญ็ ; ดู อนตุ ตริยะปรับอาบัติตามปฏิญญาของจําเลยผูรับ ปฏิปกข, ปฏปิ ก ษ ฝายตรงกันขาม, คู เปน สตั ย การแสดงอาบตั กิ จ็ ดั เขา ในขอ น้ี ปรบั , ขา ศึก, ศตั รูปฏิญาณ การใหคํามัน่ โดยสจุ ริตใจ, การ ปฏิปกขนัย นัยตรงกนั ขา ม ยืนยนั ปฏิปสสัทธิวิมุตติ ความหลุดพนดวยปฏบิ ตั ิ ประพฤติ, กระทาํ ; บาํ รุง, เล้ยี งดู สงบระงบั ไดแ ก การหลดุ พน จากกเิ ลสปฏิบัติบูชา การบชู าดว ยการปฏิบตั ิ คอื ดวยอริยผล เปนการหลุดพนท่ียั่งยืนประพฤติตามธรรมคําส่ังสอนของพระ ไมต อ งขวนขวายเพอื่ ละอีก เพราะกเิ ลสทาน, บูชาดวยการประพฤติปฏิบัติ น้ันสงบไปแลว เปน โลกุตตรวมิ ตุ ติ (ขอกระทําส่งิ ทีด่ งี าม (ขอ ๒ ในบชู า ๒) ๔ ในวมิ ตุ ติ ๕)ปฏิบัตสิ ทั ธรรม ดู สทั ธรรม ปฏพิ ัทธ เน่อื งกนั , ผกู พัน, รกั ใครปฏิปทา ทางดําเนนิ , ความประพฤติ, ขอ ปฏิภาค สวนเปรียบ, เทียบเคียง,ปฏิบตั ิ เหมือน
ปฏภิ าคนมิ ิต ๑๙๓ ปฏิสงั ขานปุ ส สนาญาณปฏภิ าคนิมติ นิมติ เสมอื น, นิมติ เทียบ มี เพราะสงั ขารเปน ปจ จยั , สงั ขารมี เพราะเคียง เปนภาพเหมือนของอุคคหนิมิต อวิชชาเปนปจจัย เปนตน; ตรงขามกับเกิดจากสัญญา สามารถนึกขยายหรือ อนโุ ลม 2.ยอสวน ใหใหญหรือเล็กไดตามความ ปฏิวัติ การเปลีย่ นแปลงอยา งพลกิ กลบั ,ปรารถนา การหมุนกลับ, การผนั แปรเปลี่ยนหลกัปฏิภาณ โตตอบไดทันทีทันควัน, มลูปญญาแกการณเฉพาะหนา, ความคดิ ปฏเิ วธ เขาใจตลอด, แทงตลอด, ตรัสรู, ทันการ รูทะลุปรโุ ปรง , ลุลวงผลปฏบิ ตั ิปฏิภาณปฏิสมั ภิทา ความแตกฉานใน ปฏิเวธสทั ธรรม ดู สัทธรรม ปฏิภาณไดแกไหวพริบ คือ โตตอบ ปฏสิ นธิ เกดิ , เกิดใหม, แรกเกิดขึ้นในปญหาเฉพาะหนาไดทันทวงที หรือแก ครรภไขเหตุการณฉุกเฉินไดฉับพลันทันการ ปฏิสนธิจติ , ปฏิสนธิจิตต จติ ท่ีสบื ตอ(ขอ ๔ ในปฏสิ มั ภิทา ๔) ภพใหม, จติ ทเี่ กิดทแี รกในภพใหมปฏิมา รปู เปรียบ, รปู แทน, รปู เหมอื น ปฏสิ สวะ การฝนคาํ รบั , รบั แลวไมท าํปฏริ ูป สมควร, เหมาะสม, ปรบั ปรงุ ให ตามรับ เชน รับนิมนตว าจะไปแลวหาไปสมควร; ถาอยูทายในคําสมาสแปลวา ไม (พจนานกุ รม เขยี น ปฏิสวะ)“เทยี ม” “ปลอม” “ไมแ ท” เชน สทั ธรรม- ปฏิสสวทุกกฏ ทุกกฏเพราะรับคํา,ปฏิรูป แปลวา “สัทธรรมเทียม” หรอื อาบัติทุกกฏเพราะไมทําตามท่ีรับปากไว“ธรรมปลอม” เชน ภกิ ษุรบั นิมนตของชาวบาน หรอืปฏิรูปเทสวาสะ อยูในประเทศอันสม ตกลงกันไว วา จะอยูจําพรรษาในทหี่ นง่ึควร, อยใู นถิน่ ทเ่ี หมาะ หมายถงึ อยูใ น แตแลว โดยมิไดตงั้ ใจพดู เท็จ เธอพบถน่ิ เจริญ มีคนดี มีนกั ปราชญ (ขอ ๑ เหตุผลอนั ทําใหไมอยใู นท่นี ้นั เมอ่ื ทาํ ใหในจกั ร ๔; ขอ ๖ ในมงคล ๓๘) คลาดจากที่รับปากไว จึงตองปฏิสสว-ปฏิโลม 1. ทวนลาํ ดบั , ยอนจากปลายมา ทุกกฏ (ถา พูดเท็จท้ังท่รี ู เปน ปาจติ ตยี )หาตน เชนวา ตจปญ จกกมั มฏั ฐาน จาก ปฏิสังขรณ ซอมแซมทําใหกลับดีคําทา ยมาหาคาํ ตนวา “ตโจ ทันตา นขา เหมอื นเดมิโลมา เกสา”; ตรงขามกับ อนโุ ลม 1. 2. สาว ปฏิสงั ขานุปสสนาญาณ ญาณอันคาํ นงึเรอ่ื งทวนจากผลเขา ไปหาเหตเุ ชน วญิ ญาณ พิจารณาหาทาง, ปรีชาคํานึงพิจารณา
ปฏสิ นั ถาร ๑๙๔ ปฐมโพธิกาล สงั ขาร เพ่ือหาทางเปน เครอื่ งพนไปเสีย; ภกิ ษอุ ันจะพงึ ใหกลบั ไป หมายถงึ การที่ ดู วิปส สนาญาณ สงฆลงโทษใหภิกษุไปขอขมาคฤหัสถปฏิสนั ถาร การทักทายปราศรัย, การ กรรมน้ีสงฆทําแกภิกษุปากกลา ดาวา ตอ นรบั แขก มี ๒ อยางคอื ๑. อามิส- คฤหัสถผูมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธ- ปฏิสันถาร ตอนรับดวยส่ิงของ ๒. ศาสนาเปนทายกอุปฐากสงฆดวยปจจัย ธรรมปฏิสันถาร ตอ นรบั ดวยธรรม คอื ๔ เปน ทางจะยงั คนผยู ังไมเ ลอ่ื มใสมิใหกลา วแนะนาํ ในทางธรรม อีกนัยหน่งึ วา เลื่อมใส จะยังคนผูเล่ือมใสอยูแลวใหตอ นรับโดยธรรม คอื การตอนรับท่ที าํ เปน อยางอนื่ ไปเสีย; ปฏิสาราณยี กรรมพอดสี มควรแกฐ านะของแขก มีการลกุ กเ็ ขยี นรับเปนตน หรือชวยเหลือสงเคราะห ปฏเิ สธ การหา ม, การไมร บั , การไมย อมขจดั ปญ หาขอ ตดิ ขดั ทาํ กศุ ลกจิ ใหล ลุ ว ง รบั , การกดี กั้นปฏสิ ันถารคารวตา ดู คารวะ ปฐพี แผนดิน; ดู ปฐวีปฏสิ มั ภทิ า ความแตกฉาน, ความรแู ตก ปฐพีมณฑล แผน ดนิ , ผืนแผน ดินฉาน, ปญ ญาแตกฉาน มี ๔ คอื ๑. อตั ถ- ปฐม ทหี่ นึ่ง, ทีแรก, เบ้ืองตนปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานในอรรถ ปฐมฌาน ฌานท่ี ๑ มอี งค ๕ คือ วติ ก๒. ธมั มปฏิสมั ภิทา ปญญาแตกฉานใน (ความตรึก) วจิ าร (ตรอง) ปต ิ (ความธรรม ๓. นริ ตุ ตปิ ฏสิ มั ภทิ า ปญญาแตก อม่ิ ใจ) สุข (ความสบายใจ) เอกคั คตาฉานในทางนริ กุ ติ คอื ภาษา ๔. ปฏภิ าณ- (ความมีอารมณเ ปน หนง่ึ )ปฏสิ ัมภทิ า ปญ ญาแตกฉานในปฏิภาณ ปฐมเทศนา เทศนาครง้ั แรก หมายถึงปฏิสัมภิทามรรค ทางแหงปฏิสัมภิทา, ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่พระพุทธเจาขอปฏิบัติที่ทําใหมีความแตกฉาน; ชื่อ ทรงแสดงแกพ ระปญ จวคั คยี ในวนั ขนึ้คัมภีรหนึ่งแหงขุททกนิกาย ในพระ ๑๕ ค่ํา เดือน ๘ หลังจากวนั ตรัสรสู อง สตุ ตนั ตปฎ ก เปน ภาษติ ของพระสารบี ตุ ร เดอื น ท่ปี าอิสปิ ตนมฤคทายวนั เมืองปฏสิ ัลลานะ การหลกี เรน, การปลกี ตัว พาราณสี ออกไปจากความพลกุ พลา นวนุ วาย หรอื ปฐมโพธิกาล เวลาแรกตรัสรู, ระยะจากอารมณหลากหลายทอี่ าจรบกวน สู เวลาชวงแรกหลังจากพระพุทธเจาตรัสรูความสงัดวเิ วก, การอยูลําพัง แลว คือระยะประดิษฐานพระพุทธ-ปฏสิ ารณียกรรม กรรมอนั สงฆพ ึงทําแก ศาสนา นบั ครา วๆ ต้งั แตตรัสรูถึงได
ปฐมยาม ๑๙๕ ปฐวธี าตุพระอัครสาวก; ดู พทุ ธประวตั ิ ภาษาไทย (ฉบบั ภาษาบาลีแบงเปน ๓๐ปฐมยาม ยามตน , ยามทหี่ น่ึง, สว นท่ี ปริจเฉท โดยแบง ปรจิ เฉทท่ี ๑ เปน ๒หนง่ึ แหงราตรี เมอื่ แบงกลางคนื เปน ๓ ตอน)สวน; เทียบ มชั ฌมิ ยาม, ปจ ฉิมยาม ปฐมสงั คายนา การสงั คายนาครัง้ ท่ี ๑; ดูปฐมวัย วยั ตน, วยั แรก, วยั ซ่งึ ยงั เปน สังคายนาครั้งท่ี ๑เดก็ ; ดู วยั ปฐมสังคีติ การสังคายนาคร้ังแรก; ดูปฐมสมโพธิกถา ช่ือคัมภีรแสดงเร่ือง สังคายนาคร้งั ที่ ๑ราวของพระพุทธเจา ต้ังแตประทับอยู ปฐมสาวก สาวกองคแรก คือพระบนสวรรคช ัน้ ดสุ ิต เทวดาอญั เชิญใหม า อัญญาโกณฑญั ญะอุบัติในมนษุ ยโลก แลว ออกบวชตรสั รู ปฐมอบุ าสก อบุ าสกคนแรกในพระพทุ ธ-ประกาศพระศาสนา ปรนิ ิพพาน จนถึง ศาสนา หมายถงึ ตปสุ สะ กบั ภลั ลกิ ะ ซ่งึแจกพระธาตุ ตอทายดว ยเรอื่ งพระเจา ถงึ สรณะ ๒ คอื พระพทุ ธเจาและพระอโศกยกยองพระศาสนา และการ ธรรม; บิดาของพระยสะเปนคนแรกที่อนั ตรธานแหงพระศาสนาในทส่ี ุด ถึงสรณะครบ ๓ ปฐมสมโพธิกถาท่ีรูจักกันมากและ ปฐมอุบาสกิ า อุบาสิกาคนแรก หมายถงึใชศึกษาอยางเปนวรรณคดีสําคัญน้ัน มารดาและภรรยาเกา ของพระยสะคือฉบับท่ีเปนพระนิพนธของสมเด็จ ปฐมาปตติกะ ใหตองอาบัติแตแรกทําพระมหาสมณเจา กรมพระปรมานุชิต- หมายถงึ อาบัตสิ งั ฆาทเิ สส ๙ สิกขาบทชโิ นรส วดั พระเชตุพน ทรงรจนาถวาย ขางตนซ่ึงภิกษุลวงเขาแลว ตองอาบัติฉลองพระราชศรัทธาพระบาทสมเด็จ ทันที สงฆไมต อ งสวดสมนุภาสน; คกู บัพระนั่งเกลาเจาอยูหัวที่ไดทรงอาราธนา ยาวตตยิ กะเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ ฉบบั ท่ีทรงรจนาน้ี ปฐวี ดิน, แผนดิน; ปถวี กเ็ ขียนทรงชําระปฐมสมโพธิกถาฉบับของเกา ปฐวธี าตุ ธาตดุ นิ , สภาวะท่ีมีลกั ษณะทรงตดั และเตมิ ขยายความสําคัญบาง แขนแข็ง; ในรางกายที่ใชเปนอารมณตอน เนื้อหามีคติท้ังทางมหายานและ กรรมฐาน ไดแก ผม ขน เล็บ ฟน หนงัเถรวาทปนกันมาแตเดิม และทรงจัด เน้ือ เอ็น กระดกู เยื่อในกระดกู มา มเปน บทตอนเพมิ่ ขนึ้ รวมมี ๒๙ ปรจิ เฉท หัวใจ ตับ พังผดื ไต ปอด ไสใหญ ไสมีท้ังฉบับภาษาบาลีและฉบับแปลเปน นอย อาหารใหม อาหารเกา, อยา งนเ้ี ปน
ปณามคาถา ๑๙๖การกลาวถึงปฐวีธาตุในลักษณะท่ีคน ไดอ ยา งมากทส่ี ุดกเ็ พียงถอยคํา หรือขอ สามัญทั่วไปจะเขาใจได และท่ีจะให ความ ไมอ าจเขา ใจความหมาย ไมอาจ สําเร็จประโยชนในการเจริญกรรมฐาน เขา ใจธรรม; ดู บุคคล ๔ แตในทางพระอภิธรรม ปฐวีธาตุเปน ปทุม บัวหลวง สภาวะพื้นฐานที่มีอยูในรูปธรรมทุก ปธาน ความเพียร, ความเพียรทชี่ อบเปน อยาง แมแตในนาํ้ และในลมทเ่ี รียกกนั สัมมาวายามะ มี ๔ อยา งคอื ๑. สงั วร- สามัญ ซ่ึงรูสึกถูกตองไดดวยกาย ปธาน เพยี รระวงั บาปอกศุ ลทย่ี งั ไมเ กดิ สมั ผสั ; ปถวธี าตุ ก็เขยี น; ดูธาต,ุ รูป๒๘ มใิ หเ กดิ ขน้ึ ๒. ปหานปธาน เพยี รละปณามคาถา คาถานอมไหว, คาถาแสดง บาปอกศุ ลทเี่ กดิ ขน้ึ แลว ๓. ภาวนาปธานความเคารพพระรตั นตรยั เรยี กกนั งายๆ เพียรเจริญทํากุศลธรรมที่ยังไมเกิดใหวา คาถาไหวค รู ซงึ่ ตามปกติ พระอาจารย เกดิ ขนึ้ ๔. อนรุ กั ขนาปธาน เพยี รรกั ษาผแู ตง คมั ภรี ภ าษาบาลี เชน อรรถกถา กุศลธรรมท่ีเกิดขึ้นแลวไมใหเส่ือมไปฎีกา เปนตน ถือเปนธรรมเนียมท่ีจะ และใหเ พม่ิ ไพบลู ย; สมั มปั ปธาน กเ็ รยี กเรียบเรียงไวเปนเบื้องตน กอนข้ึนเนื้อ ปปญ จะ กเิ ลสเครอ่ื งเนิ่นชา , กเิ ลสทป่ี นความของคมั ภีรน ัน้ ๆ ประกอบดว ยคาํ ใหเชือนแชชักชาอยูในสังสารวัฏ หรือสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย คําบอก ปน สังสารวัฏใหเวยี นวนยดื เรอ้ื , กเิ ลสที่ความมุงหมายในการแตง คําอางถึง เปนตัวการปนเรื่องทําใหคิดปรุงแตงยืดบคุ คลทเี่ ก่ยี วขอ ง เชน ผูอ าราธนาให เยือ้ แผกเพย้ี นพิสดาร พาใหเขวออกไปแตง และขอควรทราบอ่ืนๆ เปนอยา ง จากความเปนจริง และกอ ปญหาความคํานํา หรือคําปรารภ ยงุ ยากเดอื ดรอ นเพ่มิ ขยายทุกข มี ๓ปณธิ าน การตง้ั ความปรารถนา คือ ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิปติวัตร ความจงรักในสามี, ความซ่อื ปปญจสูทนี ชื่อคัมภีรอรรถกถาที่สัตยและภกั ดตี อ สาม,ี ขอ ควรปฏิบตั ิตอ อธิบายความในมัชฌมิ นิกาย แหงพระ สามี สุตตันตปฎก พระพทุ ธโฆสาจารยเรยี บปถวี ดู ปฐวีปถวีธาตุ ดู ปฐวธี าตุ เรียงขึ้น โดยอาศัยอรรถกถาเกาภาษาปทปรมะ “ผูมบี ท (คอื ถอ ยคาํ ) เปน สงิ หฬทสี่ บื มาแตเ ดมิ เปน หลกั เมอ่ื พ.ศ. อยา งยงิ่ ”, บุคคลผูด อ ยปญญาเลา เรยี น ใกลจะถึง ๑๐๐๐; ดู โปราณัฏฐกถา, อรรถกถา
ปมาณกิ า ๑๙๗ ปรมตั ถโชติกาปมาณกิ า ดู ประมาณ ตามความหมายสูงสุด, สภาวะท่ีมีในปมาทะ ความประมาท, ความขาดสต,ิ ความหมายทีแ่ ทจรงิ , สภาวธรรม บางทีความเลินเลอ, ความเผอเรอ, ความ ใชวา ปรมตั ถธรรม เผลอ, ความผดั เพี้ยน, ความปลอ ยปละ ปรมัตถที่พบในพระไตรปฎก ตาม ละเลย, ความชะลา ใจ; เทยี บ อัปปมาทะ ปกตใิ ชในความหมายนยั ที่ 1. คือจดุปมิตา เจาหญิงองคหนึ่งในวงศศากยะ หมาย หรอื ประโยชนส งู สุด เฉพาะอยางเปน พระราชบตุ รขี องพระเจา สีหหนุ เปน ย่งิ ไดแกน พิ พาน แตในคัมภรี สมยั ตอพระภคินีของพระนางอมิตา เปนพระ มา มกี ารใชใ นนัยที่ 2. บอยขึน้ คือในเจาอาของพระพุทธเจา; บางท่ีกลาววา ความหมายวาเปน จริงหรอื ไม แตไมว าเจาหญิงปมิตาเปนเชษฐภคนิ ี ของพระ จะใชในแงความหมายอยางไหน ก็นางอมิตา แตตามคัมภีรม หาวงส ซึง่ บรรจบท่ีนิพพาน เพราะนิพพานน้ัน ท้ังเปนหลักฐานเดียวท่ีพบพระนามของเจา เปนประโยชนสูงสุด และเปนสภาวะที่ หญิงปมติ า นา จะเปนกนษิ ฐภคินี (ใน จรงิ แท (นิพพานเปน ปรมัตถใ นทัง้ สอง คัมภีรอืน่ บางแหง พระนามปมิตากลาย นยั ); ดู อัตถะ เปน ปาลิตา และในทน่ี น้ั เจา หญงิ ปาลติ า ปรมัตถโชติกา ชื่อคัมภีรอรรถกถา กเ็ ปน กนษิ ฐภคินขี องพระนางอมติ า) อธบิ ายความใน ขทุ ทกปาฐะ ธรรมบทปรทาริกกรรม การประพฤตลิ ว งเมียคน สุตตนิบาต และชาดก แหงพระอื่น, การเปนชเู มียเขา สุตตนั ตปฎ ก ซ่ึงพระพทุ ธโฆสาจารยนาํปรนปรอื บาํ รงุ เลยี้ ง, เลย้ี งดอู ยา งถงึ ขนาด เน้ือความในอรรถกถาเกาทีใ่ ชศ กึ ษาและปรนมิ มติ วสวตั ดี สวรรคช น้ั ที่ ๖ มี รักษาสบื ตอ กนั มาในลังกาทวปี อันเปนทา วปรนมิ มติ วสวตั ดปี กครอง เทวดาชนั้ ภาษาสิงหฬ เอามาเรียบเรียงกลับข้ึนนปี้ รารถนาสงิ่ ใดสง่ิ หนงึ่ ไมต อ งนริ มติ เอง เปนภาษาบาลี เพื่อใหใชประโยชนในที่ มเี ทวดาอน่ื นริ มติ ใหอ กี ตอ หนงึ่ อ่นื นอกจากลงั กาทวปี ไดดว ย เมอ่ื พ.ศ. ใกลจะถึง ๑๐๐๐, มีบางทานสนั นิษฐานปรภพ ภพหนา, โลกหนา วา พระพุทธโฆสาจารยอาจจะมีคณะปรมตั ถ, ปรมตั ถะ 1. ประโยชนอ ยา งยง่ิ , ทํางาน โดยทานเปนหัวหนาในการ จดุ หมายสงู สดุ คือ พระนิพพาน 2. ก)ความหมายสงู สุด, ความหมายที่แทจ ริง ดําเนินงานแปลและเรียบเรียงทั้งหมดเชน ในคาํ วา ปรมตั ถสัจจะ ข) สภาวะ นน้ั ; ดู อรรถกถา, โปราณัฏฐกถา
ปรมตั ถทีปนี ๑๙๘ ปรมตั ถธรรมปรมัตถทีปนี ชอ่ื คมั ภีรอรรถกถาอธิบาย ปรมตั ถธรรม ท้ังน้ี เห็นไดวาทานมุง ความใน อทุ าน อติ วิ ตุ ตกะ วมิ านวตั ถุ ความหมายในแงวา ประโยชนส ูงสุด เปตวตั ถุ เถรคาถา เถรคี าถา และ จรยิ าปฎ ก แหง พระสตุ ตนั ตปฎก พระ ตอ มา ในคมั ภรี ช ้ันฎกี าลงมา มีการ ธรรมปาละอาศัยแนวของโปราณัฏฐกถา ใชคําวาปรมัตถธรรมบอยคร้ังข้ึนบาง (ไมบอยมาก) และใชในความหมายวา ที่รักษาสบื ตอกันมาในลงั กาทวีป ซึง่ เปน เปน ธรรมตามความหมายอยา งสงู สดุ คอื ในความหมายทแี่ ทจ รงิ มจี รงิ เปน จรงิ ซง่ึ ภาษาสงิ หฬ รจนาขึ้นเปน ภาษาบาลี ใน ตรงกับคําวาสภาวธรรม ยิ่งเม่ือคัมภีร อภิธัมมัตถสังคหะเกิดข้ึนแลว และมี สมัยภายหลังพระพทุ ธโฆสาจารยไ มน าน การศึกษาพระอภิธรรมตามแนวของอภ-ิ นกั ;ดูอรรถกถา, โปราณัฏฐกถา ธมั มตั ถสงั คหะนนั้ กม็ กี ารพดู กันท่ัวไปปรมัตถธรรม ธรรมที่เปนปรมัตถ, ถึงหลักปรมัตถธรรม ๔ จนกลาวไดวา ธรรมที่เปนประโยชนสงู สุด, สภาวะท่มี ี อภิธัมมัตถสังคหะเปนแหลงเร่ิมตนหรือ เปนทม่ี าของเร่อื งปรมตั ถธรรม ๔ อยูโดยปรมตั ถ, สง่ิ ทีเ่ ปน จรงิ โดยความ อยางไรก็ดี ถาพูดอยางเครงครัด หมายสงู สดุ , สภาวธรรม, นยิ มพดู กนั มา ตามตัวอักษร ในคัมภีรอภิธัมมัตถ- สังคหะน้ันเอง ทานไมใ ชคาํ วา “ปรมตั ถ- เปนหลกั ทางพระอภธิ รรมวามี ปรมตั ถ- ธรรม” เลย แมแตในคาถาสาํ คญั เรม่ิ ธรรม ๔ คอื จิต เจตสิก รปู นิพพาน ปกรณห รอื ตน คมั ภรี ซง่ึ เปน บทตง้ั หลกั ท่ี ถอื วา จดั ประมวลปรมตั ถธรรม ๔ ขนึ้ มา พงึ สังเกตเคา ความทีเ่ ปนมาวา คาํ วา ใหศ กึ ษานนั้ แทจ รงิ กไ็ มม คี าํ วา “ปรมตถฺ - ธมมฺ ” แตอ ยา งใด ดงั คาํ ของทา นเองวา “ปรมตั ถธรรม” (บาล:ี ปรมตถฺ ธมมฺ ) นี้ ตตถฺ วตุ ตฺ าภธิ มมฺ ตถฺ า จตุธา ปรมตถฺ โต ไมพ บทใี่ ชใ นพระไตรปฎ กมาแตเดิม (ใน จิตฺต เจตสิก รูป นพิ พฺ านมติ ิ สพฺพถา พระไตรปฎ ก ใชเพยี งวา “ปรมตถฺ ” หรือ แปล: “อรรถแหงอภิธรรม ท่ีตรัสไว ในพระอภิธรรมน้ัน ท้งั หมดทงั้ สน้ิ โดย รวมกับคาํ อ่ืน, สวนในพระไตรปฎ กแปล ปรมตั ถ มี ๔ อยาง คือ จิต ๑ เจตสิก ๑ รปู ๑ นพิ พาน ๑” ภาษาไทย มีคาํ วา ปรมตั ถธรรม ซง่ึ ทา น ผูแปลใสหรือเติมเขามาตามคําอธิบาย ของอรรถกถาบาง ตามทเี่ หน็ เหมาะบา ง) ตอมาในชั้นอรรถกถา “ปรมัตถธรรม” จงึ ปรากฏบาง ๒-๓ แหง แตหมายถงึ เฉพาะนพิ พาน หรือไมก ็ใชอ ยา งกวา งๆ ทํานองวาเปนธรรมอันใหลุถึงนิพพาน ดังเชนสติปฏฐานก็เปนตัวอยางของ
ปรมตั ถธรรม ๑๙๙ ปรมตั ถธรรม (นเี้ ปน การแปลกนั ตามคาํ อธิบายของ การใชค าํ บาลีเปน “ปรมตถฺ ธมมฺ ” บา งคัมภีรอภิธัมมัตถวิภาวินี แตมีอีกฎีกา แมจ ะไมมาก แตกไ็ มม ที ใี่ ดระบจุ าํ นวนหนึ่งในยุคหลังคานวาอภิธัมมัตถวิภาวินี วา ปรมตั ถธรรมส่ี จนกระทง่ั ในสมยั หลงับอกผดิ ท่ถี กู ตอ งแปลวา “อภิธมั มตั ถะ มาก มคี มั ภรี บ าลแี ตง ในพมา บอกจาํ นวนที่ขาพเจาคือพระอนุรุทธาจารยกลาวใน กบ็ อกเพยี งวา “ปรมตั ถ ๔” (จตตฺ าโรคาํ วา อภธิ ัมมัตถสังคหะน้ัน …”) ปรมตเฺ ถ, ปรมตถฺ ทปี นี สงคฺ หมหาฏกี าปาฐ, ๓๓๑) แลวก็มีอีกคัมภีรหนึ่งแตงในพมายุคไม ทายปริจเฉทที่ ๖ คือรูปสังคหวภิ าค นานน้ี ใชค าํ วา ปรมัตถธรรมโดยระบุวาซ่งึ เปน บททแี่ สดงปรมตั ถม าครบ ๔ ถึง สังขารและนิพพาน เปนปรมัตถธรรมนิพพาน กม็ คี าถาคลา ยกนั ดังนี้ (นมกกฺ ารฏกี า, ๔๕) ยง่ิ กวา นน้ั ยอ นกลบั ไป ยุคเกา อาจจะกอนพระอนุรุทธาจารย อติ ิ จิตฺต เจตสกิ รูป นพิ พฺ านมจิ ฺจป แตงอภิธัมมัตถสังคหะเสียอีก คัมภีร ปรมตฺถ ปกาเสนตฺ ิ จตธุ าว ตถาคตา ฎีกาแหงอรรถกถาของสังยุตตนิกาย แหงพระสุตตันตปฎก ซ่ึงถือวารจนา แปล: “พระตถาคตเจาท้ังหลาย โดยพระธรรมปาละ ผูเปนอรรถกถา-ยอมทรงประกาศปรมัตถไวเพียง ๔ จารยใ หญท านหน่ึง ใชค าํ ปรมตั ถธรรมอยาง คือ จิต ๑ เจตสกิ ๑ รูป ในขอความที่ระบุวา “ปรมัตถธรรมอันนิพพาน ๑ ดว ยประการฉะน้ี” แยกประเภทเปน ขนั ธ อายตนะ ธาตุ สจั จะ อนิ ทรยี และปฏจิ จสมปุ บาท” (ส.ํ ฏ.ี เม่ือพินิจดูก็จะเห็นไดที่น่ีวา คําวา ๒/๓๓๐๓/๖๕๑) นกี่ ค็ อื บอกวา ปรมตั ถธรรม“ปรมตั ถธรรม” เกดิ ขนึ้ จาก ประการแรก ไดแกประดาธรรม ชุดท่ีเรียกกันวาผูจัดรูปคัมภีร (อยางที่ปจจุบันเรียกวา ปญ ญาภมู ิ หรือวปิ ส สนาภมู ิ นนั่ เองบรรณกร) จบั ใจความตอนนน้ั ๆ ตง้ั ขน้ึเปนหัวขอ เหมือนอยางในกรณีน้ี ใน ตามขอสังเกตและความท่ีกลาวมาคัมภีรบางฉบับ ตั้งเปนหัวขอขึ้นเหนือ พงึ ทราบวา ๑. การแปลขยายศัพทอ ยางคาถานน้ั วา “จตปุ รมตถฺ ธมโฺ ม” (มใี นฉบบั ท่ีแปลปรมัตถะวาปรมัตถธรรมนี้ มิใชอกั ษรพมา , ฉบบั ไทยไมม )ี และประการ เปนความผิดพลาดเสียหาย แตเปนทส่ี อง ผแู ปลเตมิ หรอื ใสเ พม่ิ เขา มา เชน เรื่องทั่วไปที่ควรรูเทาทันไว อันจะเปนคําบาลีวา “ปรมตฺถ” ก็แปลเปนไทยวา ประโยชนในบางแงบ างโอกาส (เหมือนปรมตั ถธรรม ซง่ึ เปน กรณที เี่ ปน กนั ทวั่ ไป ในคัมภีรรุนตอมาที่อธิบายอภิธัม-มัตถสงั คหะ เชน อภธิ มั มัตถวิภาวนิ ี มี
ปรมัตถบารมี ๒๐๐ ปรมัตถบารมีในการอานพระไตรปฎกฉบับแปลภาษา กถา”) มขี อ ความทเ่ี ปน บทตงั้ ซงึ่ บอกใจไทย ผอู านก็ควรทราบเปน พืน้ ไวว า คาํ ความท้ังหมดของคัมภีรอภิธัมมัตถ-แปลอาจจะไมตรงตามพระบาลีเดิมก็ได สงั คหะ คาถานจ้ี งึ สําคัญมาก ควรต้งั อยูเชน ในพระไตรปฎกบาลเี ดมิ วา พระ ในความเขาใจท่ีชัดเจนประจําใจของผูพุทธเจาเสด็จออกจากพระวิหาร [คือที่ ศกึ ษาเลยทเี ดยี ว ในกรณนี ี้ การแปลโดยประทับ] แตในฉบบั แปล บางทีทา นแปล รกั ษารปู ศพั ท อาจชว ยใหช ดั ขนึ้ เชน อาจผานคําอธิบายของอรรถกถาวา พระ แปลวา “อภธิ ัมมัตถะ ที่กลาวในคําวาพุทธเจาเสดจ็ ออกจากพระคนั ธกฎุ )ี ๒. ‘อภิธัมมัตถสังคหะ’ นั้น ท้ังหมดท้ังส้ินการประมวลอรรถแหงอภิธรรม (โดย โดยปรมัตถ มี ๔ อยาง คือ จติ เจตสกิท่ัวไปก็ถือวาเปนการประมวลธรรมท้ัง รูป นิพพาน” (พึงสงั เกตวา ถาถือเครงหมดทัง้ ปวงนัน่ เอง) จัดเปน ปรมัตถ ๔ ตามตัวอักษร ในคาถาเรมิ่ ปกรณน ี้ ทาน(ท่เี รียกกนั มาวาปรมัตถธรรม ๔) ตาม วา มอี ภธิ ัมมัตถะ ๔ สวนในคาถาทายนัยของอภิธมั มัตถสงั คหะน้ี เปน ท่ยี อม ปรจิ เฉททห่ี ก ทา นกลาวถงึ ปรมัตถะ ๔รับกันวาเปนระบบอันเย่ียม ซ่ึงเก้ือกูล แตโ ดยอรรถ ทงั้ สองนน้ั กอ็ ยา งเดยี วกนั )ตอการศึกษาธรรมอยางย่ิง เรียกไดวา โดยเฉพาะคาํ วาอภิธัมมัตถะ จะชวยโยงเปนแนวอภธิ รรม แตถ าพบการจัดอยาง พระอภิธรรมปฎกท้ังหมดเขามาสูเร่ืองท่ีอน่ื ดังทย่ี กมาใหด เู ปนตวั อยาง [เปน ศึกษา เพราะทา นมงุ วา สาระในอภธิ รรม-สังขารและนิพพาน บาง เปนอยางที่ ปฎกท้งั หมดน่นั เอง ประมวลเขามาเปนเรียกวา ปญญาภูมิ บา ง] ก็ไมควรแปลก ๔ อยางนี้ ดังจะเห็นชัดต้ังแตพระใจ พึงทราบวาตางกันโดยวิธจี ัดเทา นั้น อภิธรรมปฎ กคมั ภีรแรก คือธัมมสังคณีสวนสาระก็ลงเปนอันเดียวกัน เหมือน ตลอดหมดทั้ง ๒๕๘ หนา ทีแ่ จงกสุ ลัต-จะวาเบญจขันธ หรือวานามรูป ก็อัน ติกะ อันเปนปฐมอภิธัมมมาติกา ก็เดียวกนั ก็ดูแตว า วิธจี ดั แบบไหนจะงา ย ปรากฏออกมาชัดเจนวาเปนการแจงตอการศึกษาหรือเอ้ือประโยชนท่ีมุง เร่อื ง จติ เจตสกิ รูป และนิพพาน นีเ้ อง;หมายมากกวากัน ๓. ในคาถาเร่ิมปกรณ ดู ปรมตั ถ, อภิธัมมตั ถสังคหะ(ในฉบับอักษรไทย ผูชําระ คือผูจัดรูป ปรมตั ถบารมี บารมียอดเยีย่ ม, บารมีคัมภีร ตั้งช่ือใหวา “ปกรณารมฺภคาถา” ในความหมายสงู สุด, บารมที เี่ ตม็ ความแตฉ บบั อกั ษรพมาต้งั ชือ่ วา “คนฺถารมฺภ- หมายแทจรงิ , บารมีข้ันสงู สุด เหนอื อปุ -
ปรมัตถปฏปิ ทา ๒๐๑ ประเคน บารมี เชน การสละชวี ติ เพอื่ ประโยชน (เดมิ คอื ศาสนาพราหมณ) ซึง่ ถือวา ใน แกผ อู นื่ เปน ทานปรมตั ถบารม;ี ดู บารมี บคุ คลแตล ะคนนี้ มอี าตมนั คอื อตั ตาปรมัตถปฏิปทา ขอปฏิบัติมีประโยชน หรือตัวตน สงิ สูอ ยูครอง เปน สภาวะอันย่ิง, ทางดาํ เนินใหถึงปรมัตถ, ขอ เที่ยงแทถาวร เปนผูคิดผูนึกผูเสวยปฏิบัติเพ่ือใหเขาถึงประโยชนสูดสุดคือ เวทนา เปนตน ซึ่งเปนสวนยอยที่แบงบรรลนุ พิ พาน ภาคออกมาจากปรมาตมันนน้ั เอง เมือ่ปรมตั ถประโยชน ประโยชนอยางยงิ่ คอื คนตาย อาตมนั นีอ้ อกจากรา งไปสิงอยูพระนพิ พาน; เปน คาํ เรยี กกนั มาตดิ ปาก ในรางอ่ืนตอไป เหมือนถอดเสอื้ ผาเกาความจรงิ คอื ปรมตั ถะ แปลวา “ประโยชน สวมเสื้อผาใหม หรือออกจากเรอื นเกาอยา งยงิ่ ” เหมอื น ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ แปลวา ไปอยูในเรอื นใหม ไดเสวยสุขหรอื ทกุ ข“ประโยชนป จ จบุ นั ” และ สมั ปรายกิ ตั ถะ เปนตน สุดแตกรรมที่ไดทําไว เวียน แปลวา “ประโยชนเบอ้ื งหนา ” กม็ กั เรียก วา ยตายเกิดเรื่อยไป จนกวา จะตระหนกั กันวา ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน และ รูวาตนเองเปนอันหน่ึงอันเดียวกับ สัมปรายิกตั ถประโยชน ปรมาตมนั และเขาถงึ ความบริสุทธจ์ิ ากปรมัตถมัญชุสา ชื่อคัมภีรฎีกาที่พระ บาปโดยสิ้นเชิง จึงจะไดกลบั เขา รวมกบัธรรมปาละรจนาขน้ึ เพอื่ อธบิ ายความใน ปรมาตมันดังเดิม ไมเวียนตายเวียนคัมภีรวิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆสา- เกดิ อีกตอ ไป; ปรมาตมันน้ี กค็ ือ พรหมจารย; นยิ มเรียกวา มหาฎกี า หรอื พรหมัน นัน่ เองปรมัตถสัจจะ จริงโดยปรมัตถ คือ ปรหติ ปฏบิ ัติ ดู ปรัตถปฏิบัติความจริงโดยความหมายสงู สดุ เชน รูป ประคด ผา ใชค าดเอวหรอื คาดอกสําหรบัเวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ; ตรงขาม พระ (เรยี ก ประคดอก ประคดเอว) มีกับ สมมติสจั จะ จริงโดยสมมติ เชน ๒ อยา ง คอื ประคดแผน ๑ ประคดไสสัตว บคุ คล ฉนั เธอ มา รถ นาย ก. สุกร ๑นาง ข. เปน ตน ประเคน สง ของถวายพระภายในหตั ถบาส,ปรมาตมัน อาตมนั สูงสดุ หรืออัตตาสงู สง ใหถงึ มือ; องคแหงการประเคนมี ๕สดุ (บรมอาตมนั หรือบรมอตั ตา) เปน คือ ๑. ของไมใ หญโตหรอื หนกั เกินไปสภาวะแทจริงและเปนจุดหมายสูงสุด พอคนปานกลางคนเดียวยกได ๒. ผูตามหลักความเชื่อของศาสนาฮินดู ประเคนเขามาอยูในหัตถบาส คือหาง
ประจักษ ๒๐๒ ประธานาธิบดีประมาณศอกหน่ึง ๓. เขานอ มของนัน้ ประดิษฐาน ต้งั ไว, แตงตัง้ , การตง้ั ไว,เขา มาให ๔. นอมใหดว ยกาย ดว ยของ การแตงต้งัเนอื่ งดวยกาย หรอื โยนใหกไ็ ด ๕. ภิกษุ ประเดน็ ขอความสาํ คัญ, หวั ขอหลกัรับดว ยกายกไ็ ด ดว ยของเน่ืองดว ยกาย ประถมวยั ดู ปฐมวัยก็ได (ถาผูห ญงิ ประเคน ใชผ ากราบหรือ ประทม นอน ประทมอนุฏฐานไสยา นอนชนิดไมลุกผา เชด็ หนา ทส่ี ะอาดรบั )ประจกั ษ ชดั เจน, แจม แจง , ตอ หนา ตอ ตา ขึน้ อกีประชวร เจ็บ, ปวย ประทักษิณ เบ้ืองขวา, การเวียนขวาคือประชวรพระครรภ ปวดทอ งคลอดลกู เวียนเล้ียวไปทางขวาอยางเข็มนาฬิกาประชุมชาดก ประมวลความบรรจบเรื่อง เปนอาการแสดงความเคารพทา ยชาดก, เปนคําของอรรถกถาท่ลี ําดบั ประทบั อยู เชน ประทบั แรม (ใชแกเ จาความในชาดกวา เม่ือพระพุทธเจาตรัส นาย); แนบอยู เชน เอาปนประทบั บา ;เลา ชาดกเรอื่ งนน้ั ๆ จบแลว กท็ รงประชมุ กดลง เชน ประทบั ตราชาดก (ชาตกสโมธาน หรือขอ ความใน ประทาน ใหประโยคบาลวี า “ชาตกํ สโมธาเนส”ิ ) คอื ประทปี ตะเกยี ง, โคม, ไฟทม่ี เี ปลวสวา งบอกใหท ราบวา บคุ คลทั้งหลายในเรือ่ ง ประทุม บัวหลวงอดีตของชาดกน้ัน มาเปนใครบางใน ประทุษรา ยสกลุ ดู กลุ ทูสกปจจุบันแหงพุทธกาลคือในเวลาท่ีพระ ประเทศบัญญัติ บัญญัติจําเพาะถ่ิน,องคก ําลงั ตรสั เลาเร่ืองน้นั สิกขาบทที่พระพุทธเจาทรงต้ังไวเฉพาะประณต นอ มไหว สําหรบั มัธยมประเทศ คอื จังหวัดกลางประณม ยกกระพุมมือแสดงความ แหง ชมพทู วีป เชน สกิ ขาบทท่ี ๗ แหงเคารพ, ยกมือไหว (พจนานุกรมเขียน สรุ าปานวรรค ในปาจติ ตยิ กัณฑ ไมใ หประนม) ภิกษุอาบน้ําในเวลาหางกันหยอนกวากึ่งประณาม 1. การนอมไหว 2. การขบั ไล เดอื น เวนแตสมยั ประเทศราช เมอื งอสิ ระทสี่ งั กดั ประเทศอนื่3. พูดวากดใหเ สยี หายประณีต ด,ี ดียิ่ง, ละเอียด ประธาน หวั หนา, ผเู ปน ใหญใ นหมูประดษิ ฐ ต้งั ขึ้น, จัดทําขึ้น, สรางข้นึ , ประธานาธิบดี หัวหนาผูปกครองบานคดิ ทาํ ขนึ้ เมอื งแบบสาธารณรัฐ
ประนม ๒๐๓ ประสตู ิประนม ยกกระพุมมือ การและความถกู ตองเปน ประมาณประนีประนอม ปรองดองกนั , ยอมกัน, ประมาท ดู ปมาทะ ประมุข ผูเ ปนหัวหนาตกลงกนั ดว ยความไกลเกล่ยีประพฤติ ความเปนไปท่ีเกี่ยวกับการ ประโยค การประกอบ, การกระทาํ , การกระทําหรือปฏบิ ตั ติ น; กระทํา, ทําตาม, พยายามปฏบิ ัต,ิ ปฏิบตั ติ น, ดําเนินชีวิต ประโยชน (เกดิ แตก ารถอื เอาโภคทรพั ย) ๕; ดูประพฤติในคณะอันพรอง เปน โภคอาทยิ ะ ๕ประการหน่ึงในรัตติเฉท คือเหตุขาด ประลัย ความตาย, ความยอยยบั , ความราตรแี หง มานตั ๔ ประการ หมายถึง ปน ปประพฤติมานัตในถ่ินเชนอาวาสที่มี ประวตั ิ ความเปนไป, เรอื่ งราวปกตัตตภิกษุไมครบจํานวนสงฆ คือ ประศาสนวธิ ี วธิ กี ารปกครอง, ระเบยี บหยอน ๔ รปู แหงการปกครองหมูคณะประพาส ไปเท่ียว, เที่ยวเลน, อยูแรม ประสก เปนคําเลือนมาจาก อุบาสกประเพณี ขนบธรรมเนยี ม, แบบแผน, พระสงฆครั้งกอนมักใชเรียกคฤหัสถผูเชือ้ สาย ชาย คกู บั สีกา แตบ ัดนีไ้ ดย ินใชน อ ยประมาณ การวดั , การกะ, เครอ่ื งวดั , ประสบ พบ, พบเหน็ , เจอะ, เจอเกณฑ, การถอื เกณฑ; บคุ คลในโลก ประสพ กอ , ทาํ ใหเ กดิ , เผลด็ ผล, ไดร บัแบงตามประมาณคือหลักเกณฑในใจท่ี เปนผลตอบแทน (ปสวติ = นิปฺผาเทติ,ใชวัดในการท่ีจะเกิดความเช่ือถือหรือ ผลต,ิ อปุ ปฺ าเทต,ิ อปุ จนิ ต,ิ ปฏลิ ภต)ิความนยิ มเลอื่ มใส ทา นแสดงไว ๔ จาํ พวก ประสาท 1. เครอ่ื งนําความรูสึกสําหรับคอื ๑. รปู ประมาณ หรอื รปู ป ปมาณกิ า ผู คนและสตั ว, ในอภธิ รรมวา เปน ประสาท-ถือรูปราง เปนประมาณ ๒. โฆษ- รปู (คาํ บาลวี า ปสาทรปู ) 2. ความประมาณ หรือ โฆสปั ปมาณิกา ผูถอื เลอ่ื มใส; ดู ปสาท 3. ยินดีให, โปรดใหเสยี งหรือชอ่ื เสียงเปนประมาณ ๓. ลขู - ประสาทรูป รปู คือประสาทประมาณ หรือ ลูขัปปมาณิกา ผูถือ ประสาธน ทาํ ใหส ําเรจ็ , เคร่อื งประดบัความคร่าํ หรอื ปอนๆ เปนประมาณ ๔. ประสิทธ์ิ ความสาํ เร็จ, ทําใหส าํ เร็จ, ใหธรรมประมาณ หรอื ธมั มปั ปมาณกิ า ผู ประสทิ ธิพ์ ร ใหพ ร, ทาํ พรใหส าํ เร็จถือธรรมคือเอาเน้ือหาสาระเหตุผลหลัก ประสตู ิ เกิด, การเกดิ , การคลอด
ประเสริฐ ๒๐๔ ปริกรรมนิมิตประเสรฐิ ดีที่สดุ , ดเี ลิศ, วิเศษ อยางใดอยางหน่ึงแลวไมไปฉันในท่ีประหาณ ละ, กาํ จดั ; การละ, การกาํ จดั ; นมิ นตน ้ัน ไปฉันเสยี ในท่ีอ่ืนท่เี ขานมิ นตเปนรูปที่เขียนอยางสันสกฤต เขียน ทีหลงั ซึง่ พองเวลากนัอยางบาลีเปน ปหาน (บางทีเขียนผิด ปราการ กาํ แพง, เครอื่ งลอ มกน้ัเปน ประหาณ) ปราชญ ผรู ู, ผูม ีปญญาประหาร การต,ี การทุบต,ี การฟน , การ ปรามาส๑ [ปฺรา-มาด] ดถู ูก, ดูหมิ่น ปรามาส๒ [ปะ-รา-มาด] การจับตอง,ลา งผลาญ; ฆา, ทาํ ลายปรัตถะ ประโยชนผ อู นื่ , ประโยชนเ พื่อ การยดึ ฉวย, การจับไวม ่นั , การลูบหรอืคนอืน่ อนั พึงบําเพ็ญดวยการชว ยใหเขา เสียดสีไปมา, ความยึดมัน่ ; มักแปลกัน เปน อยดู วยดี พึ่งตนเองได ไมวาจะเปน วา การลูบคลํา ทิฏฐธัมมิกัตถะ หรือสัมปรายิกัตถะ ปราโมทย ความบนั เทงิ ใจ, ความปล้มื ใจ หรอื ปรมัตถะก็ตาม; เทียบ อัตตตั ถะ ปรารภ ตั้งตน , ดําริ, กลาวถงึปรัตถปฏิบัติ การปฏิบัติเพื่อประโยชน ปรารมภ เริม่ , ปรารภ, เร่มิ แรก, วิตก, แกผูอื่น เปนพุทธคุณอยางหนึ่ง คือ รําพึง, ครนุ คิด การทรงบําเพ็ญพุทธกิจเพื่อประโยชน ปราศรัย พดู ดว ยความเอน็ ด,ู กลา ว แกสัตวท้ังหลาย เปนที่พ่ึงของชาวโลก ปราสาท เรือนหลวง, เรือนช้นั (โลกนาถ) ซึ่งสาํ เรจ็ ดวยพระมหากรุณา ปรกิ ถา คาํ พูดหวานลอม, การพูดใหรู คุณเปนสาํ คัญ มักเขยี นเปน ปรหิต- โดยปรยิ าย, การพดู ออมไปออมมาเพอื่ ปฏิบตั ิ ซง่ึ แปลเหมอื นกนั ; เปน คกู นั กับ ใหเขาถวายปจจัย ๔ เปน การกระทาํ ท่ี อัตตัตถสมบตั ิ หรือ อัตตหิตสมบัติ ไมสมควรแกภิกษุ ถา ทาํ ปริกถาเพ่ือใหปรปั วาท [ปะ-รับ-ปะ-วาด] คํากลา วของ เขาถวายจีวรและบิณฑบาต ช่ือวามีคนพวกอ่ืนหรือลัทธิอ่ืน, คํากลาวโทษ อาชีวะไมบริสุทธ์ิ แตทานวาทําปริกถาคัดคานโตแยงของคนพวกอ่ืน, หลัก ในเรื่องเสนาสนะไดอยู เชน พูดวาการของฝายอืน่ , ลทั ธิภายนอก; คําสอน “เสนาสนะของสงฆค ับแคบ” อยา งไรก็ที่คลาดเคล่ือนหรือวิปริตผิดเพ้ียนไป ตาม ถาถือธุดงคไมพึงทําปริกถาอยางเปน อยางอนื่ หนงึ่ อยางใดเลยปรมั ปรโภชน โภชนะทหี ลงั คือ ภิกษุ ปรกิ รรมนิมิต นิมิตแหงบริกรรม, นมิ ติรับนิมนตในที่แหง หน่ึงดว ยโภชนะท้ัง ๕ ขั้นตระเตรียมหรือเร่ิมเจริญสมถ-
ปริกปั ๒๐๕ ปริตต,ปริตร กรรมฐานไดแกส่ิงท่ีกําหนดเปนอารมณ คบั แคบ หมายถึงธรรมทีเ่ ปน กามาวจร, พงึ ทราบวา ธรรมทงั้ ปวง หรอื สงิ่ ทงั้ หลาย เชน ดวงกสิณทีเ่ พงดู หรือพุทธคุณท่นี กึ ประดามนี น้ั นยั หนงึ่ ประมวลจดั แยกได เปน ๓ ประเภท ไดแ ก ปรติ ตะ (ธรรมที่ วาอยูใ นใจเปน ตน (ขอ ๑ ในนิมิต ๓) ดอยหรือคับแคบ คือเปนกามาวจร)ปริกัป 1. ความตรกึ , ความดําร,ิ ความ มหคั คตะ หรอื มหรคต (ธรรมทถี่ งึ ความ คํานึง, ความกําหนดในใจ 2. การ ยง่ิ ใหญ คอื เปน รปู าวจร หรืออรปู าวจร) และ อัปปมาณะ (ธรรมท่ีประมาณมิได กําหนดดว ยเง่ือนไข, ขอแม คือเปนโลกุตตระ); ดู กามาวจร 3.ปริกมั ม ดู บรกิ รรม [ปะ-หริด] “เคร่ืองคุมครองปองกัน”,ปริจฉนิ นากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ บทสวดท่นี ับถือเปนพระพุทธมนต คือปริจเฉท กําหนดตัด, ขอ ความท่ีกําหนด บาลภี าษติ ดัง้ เดิมในพระไตรปฎก ซึ่งได ไวเ ปนตอนๆ, ขอความทร่ี วบรวมเอามา ยกมาจัดไวเปนพวกหนึ่งในฐานะเปนคํา ขลัง หรือคาํ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ท่มี ีอานภุ าพคมุ จัดเปนหมวดๆ, บท, ตอน; การกาํ หนด ครองปองกันชวยใหพนจากภยันตราย และเปนสิริมงคลทําใหเกษมสวัสดีมี แยก, การพจิ ารณาตัดแยกออกใหเหน็ ความสุขความเจริญ (ในยุคหลังมีการ แตละสวน (พจนานุกรมเขียน ปรเิ ฉท) เรียบเรียงปริตรเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากปริจเฉทรปู รูปท่ีกาํ หนดเทศะ ไดแ ก บาลภี าษติ ในพระไตรปฎกบา ง พึงทราบ อากาสธาตุ หรืออากาศ คือ ชองวางเชน ตามคาํ อธิบายตอ ไป และพึงแยกวา บท สวดท่ีมักสวดเพิ่มหรือพวงกับพระ ชองวางในสว นตา งๆ ของรางกาย ปรติ รในพิธีหรือในโอกาสเดยี วกนั มีอีกปริจเฉทากาศ ดู อากาศ ๓, ๔ มาก มิใชมาจากพระไตรปฎก แตเ ปนปริจารกิ า หญงิ รบั ใช, บรจิ าริกา กว็ า ของนิพนธข นึ้ ภายหลัง ไมใ ชพ ระปรติ รปริญญา การกําหนดรู, การทาํ ความเขา แตเ ปน บทสวดประกอบ โดยสวดนําบา ง ใจโดยครบถว น มี ๓ คอื ๑. ญาต- สวดตอทายบา ง), กลา วไดว า การสวด ปริญญา กําหนดรูขั้นรูจัก ๒. ตีรณ- พระปริตรเปนการปฏิบัติสืบเนื่องจาก ปริญญา กําหนดรูขั้นพิจารณา ๓. ค ว า ม นิ ย ม ใ น สั ง ค ม ซ่ึ ง มี ก า ร ส ว ด ปหานปรญิ ญา กําหนดรูถงึ ขน้ั ละไดปริณายก ผนู าํ , ผูเปนหวั หนาปริตต, ปรติ ร 1. [ปะ-ริด] นอย, เลก็ นอ ย, นดิ หนอย, ต่าํ ตอย, ดอย, คับ แคบ, ไมสําคญั (ตรงขา มกับ มหา หรือ มหันต) 2. [ปะ-รดิ ] สภาวะที่ดอย หรอื
ปริตต, ปรติ ร ๒๐๖ ปริตต, ปริตรสาธยายรายมนต (มันตสัชฌายน, อ่ืนมา มนตทําใหมิตรผิดใจแตกกันมันตปริชัปปน) ท่ีแพรหลายเปนหลัก ฯลฯ มนตเหลานี้ภิกษุณีจะเรียนหรือสาํ คญั อยางหนึ่งในศาสนาพราหมณ แต สอนไมไ ด เปน การผิดพทุ ธบัญญัติ แตไดปรับแกจัดและจํากัดท้ังความหมาย เรียนหรือสอนปริตรเพ่ือคมุ ครองตนเองเน้ือหาและการปฏิบัติใหเขากับคติแหง หรือผูอื่นก็ตาม ไมผิด, นอกจากน้ันพระพทุ ธศาสนา อยางนอ ยเพื่อชว ยให หลายครัง้ พระพทุ ธเจา ทรงแนะนําพระชนจํานวนมากท่ีเคยยึดถือมาตามคติ สาวก ใหเจริญเมตตาตอสัตวทั้งหลายพราหมณและยังไมเขมแข็งมั่นคงใน เชนตองู บาง ใหทําสัจกิริยาคืออางพุทธคติ หรืออยูในบรรยากาศของคติ สัจจะอา งคณุ ธรรมบา ง ใหร ะลึกถงึ คณุพราหมณน น้ั และยงั อาจหวนั่ ไหว ใหม ี และเคารพนบนอมพระรัตนตรัยบางเคร่ืองมั่นใจและใหมีหลักเชื่อมตอท่ีจะ เปนกําลังท่ีคุมครองรักษา แลวพระชว ยพาพฒั นากาวตอ ไป, ท้ังน้ี ในฝาย ดํารัสน้ันก็ไดรับความนับถือจัดเปนภิกษุ มีพุทธบญั ญตั ิ (วินย.๗/๑๘๓-๔/๗๑) ปริตรชื่อตางๆ, ที่กลาวน้ี พอใหเห็นหามมิใหเรียนมิใหบอกติรัจฉานวิชา ความเปน มาของพระปรติ ร ตอ ไปนี้ จะหากฝาฝน ตองอาบัติทกุ กฏ โดยมไิ ด สรุปขอควรทราบเก่ียวกับพระปริตรไวแสดงขอยกเวนไว สวนในฝายภิกษุณี เปนความรูประกอบ(วินย.๓/๓๒๒-๗/๑๗๖–๑๗๘) มีพทุ ธบัญญตั ิ ๑) โดยชอ่ื : เรยี กวา “ปรติ ร” ตามความหามมิใหเรียนมิใหบอกติรัจฉานวิชา หมายท่ีเปนเคร่ืองคุมครองปองกันอันหากฝาฝน ตอ งอาบตั ิปาจิตตยี แตม ี ชอบธรรม ซ่งึ ตางจากมนต ทไ่ี ดม ีความขอยกเวนวาเรียนหรือบอกปริตรเพ่ือคุม หมายโนมไปในทางเปนอาถรรพณมนตครอง (แกตนเองหรอื แกผ อู น่ื กต็ าม) ไม ตามลัทธขิ องพราหมณ อยา งทเ่ี รยี กในตอ งอาบตั ,ิ มคี าํ อธบิ ายวา ตริ จั ฉานวชิ า บัดนว้ี าเปน ไสยศาสตร ซึ่งมักใชท ํารายคือวิชาทํารายคนอื่น รวมท้ังมนต ผูอื่น และสนองความโลภ เปนตนอาถรรพ (อาถรรพณมนต ตามคมั ภรี ๒) โดยเนอื้ หา: ปรติ รเปน เร่อื งของคณุอถรรพเวทของพราหมณ) เชน มนตใ น ธรรมท้ังในเน้ือหาและการปฏิบัติ คุณการฝง รปู ฝง รอย มนตสะกดคนใหอยู ธรรมที่เปนพื้นท่ัวไปคือเมตตา บางใตอํานาจ มนตแผดเผาสรีรธาตุใหเขา ปริตรเปนคําแผเมตตาท้ังบท (เชนผอมแหง มนตช ักลากเอาทรพั ยของคน กรณยี เมตตปรติ ร และขนั ธปรติ ร) แม
ปรติ ต, ปริตร ๒๐๗ ปรติ ต,ปริตรแตเมื่อจะเริ่มสวดพระปริตร ก็มีคํา พระพรหมมี ๕ พักตร กระทั่งคราวหนึง่ประพันธที่แตงข้ึนมาใหสวดสําหรับ ถูกพระศิวะกร้ิวและทําลายพักตรที่หาชุมนุมเทวดากอน ซ่ึงบอกใหผูสวดต้ัง เสยี จึงเหลือสพี่ ักตร) ปริตรไมอ งิ และจิตแผเมตตาแตตน อยางที่เรียกวามี ไมเ ออ้ื ตอ กเิ ลสโลภะ โทสะ โมหะเลย เนนเมตตาเปนปุเรจาริก (และคําที่เชิญ แตธ รรม เฉพาะอยา งยงิ่ เมตตาและสจั จะเทวดามาฟง ก็บอกวา เชิญมาฟง ธรรม) อยา งทกี่ ลา วแลว และอา งพทุ ธคณุ หรือคุณธรรมสําคัญอีกอยางหนึ่งที่เปนแกน คุณพระรัตนตรัยท้ังหมดเปนอํานาจคุมของปริตรคือสัจจะ บางปริตรเปน คาํ ต้ัง ครองรกั ษาอํานวยความเกษมสวัสดี ในสจั กริ ยิ าทั้งบท (เชน อังคุลิมาลปริตร หลายปริตรมีคําแทรกเสริม บอกใหและวฏั ฏกปรติ ร) บางปรติ รเปน คาํ ระลกึ เทวดามีเมตตาตอหมูมนุษย ทั้งเตือนคณุ พระรตั นตรยั (รตนปรติ ร โมรปรติ ร เทวดาวามนุษยไดพากันบวงสรวงบูชาธชัคคปริตร อาฏานาฏิยปริตร) บาง จงึ ขอใหท ําหนา ทด่ี แู ลรักษาเขาดว ยดีปริตรเปนคําสอนหลักธรรมท่ีจะปฏิบัติ ๔) โดยประโยชน: ความหมายและการใหชีวิตสังคมเจริญงอกงามและหลัก ใชประโยชนจากปริตร ตางกันไปตามธรรมทเ่ี จรญิ จติ เจรญิ ปญ ญา (มงคลสตู ร ระดับการพัฒนาของบุคคล ตั้งแตชาวโพชฌังคปรติ ร, โพชฌังคปริตรนน้ั ทา น บา นทว่ั ไป ทมี่ งุ ใหเ ปน กาํ ลงั อาํ นาจปกปกนําสาระจากพระสูตรเดิมมาเรียบเรียง รักษาคุมครองปองกัน จนถึงพระและเตมิ คาํ อางสจั จะตอ ทายทกุ ทอน) อรหันตซึ่งใชเจริญธรรมปติ แตที่ยืน๓) โดยหลกั การ: ปริตรเปนไปตามหลกั เปนหลักคอื ชว ยใหจ ติ ของผสู วดและผูพระพุทธศาสนาท่ีถือธรรมเปนใหญสูง ฟงเจรญิ กุศล เชน ศรทั ธาปสาทะ ปติสุด ไมมีการรองขอหรืออางอํานาจของ ปราโมทยแ ละความสุข ตลอดจนตั้งมัน่เทพเจา (เทพท้งั หลายแมแตท ีน่ ับถือวา เปน สมาธิ รวมท้ังเตรียมจติ ใหพรอมที่สูงสุด ก็ยังทํารายกัน ไมบริสุทธิ์แท จะกาวสูภูมิธรรมท่ีสูงขึ้นไป คือเปนและไมเ ปน มาตรฐานท่แี นนอน ตองขนึ้ กศุ ลภาวนา เปน จิตตภาวนาตอธรรม มีธรรมเปน ตัวตัดสนิ ในท่ีสดุ ๕) โดยทมี่ า: แหลงท่มี าของพระปรติ รเชน วา กอนโนน พราหมณถ ือวา พระ ไดแกคําแนะนําส่ังสอนของพระพุทธเจาพรหมเปน ใหญ สรางทกุ สิ่งทกุ อยาง แต กลา วคอื พระสตู ร พทุ ธานญุ าต ชาดกตอมาลัทธินับถือพระศิวะเลาวา เดิมที เร่ืองไหนตอนใดมีเนื้อความซ่ึงไดความ
ปรติ ต, ปรติ ร ๒๐๘ ปรติ ต, ปริตรหมายตรงตามทต่ี อ งการ กน็ าํ มาสวดและ (วนิ ย.๗/๒๖/๑๑; อง.ฺ จตกุ กฺ .๒๑/๖๗/๙๔) เปน ทมี่ านิยมสืบกันมา เชน มหาโจรองคุลิมาล ของขนั ธปรติ ร (คาถาทเี่ ปน ปรติ รนมี้ าในขนั ธ-เมื่อกลับใจมาบวชแลว วันหนึ่งไป ปรติ ตชาดกดว ย, ข.ุ ชา.๒๗/๒๕๕/๗๔), หรอืบณิ ฑบาต พบสตรีครรภแ กคลอดยาก อยางพระพุทธเจาตรัสสอนธรรมโดยมีอาการทุลักทุเลลําบาก ทานสงสาร ทรงเลาเร่ืองชาดกเปนตัวอยาง แลวกลับจากบิณฑบาตแลวก็มาเฝา ทลู ความ ชาดกบางเรื่องที่มีถอยคําซึ่งไดชวยใหแดพ ระผูม พี ระภาคเจา พระองคจ ึงทรง บุคคลหรือสัตวในเร่ืองรอดพนอันตรายแนะนําใหทานเขาไปหาสตรีน้ันและ ก็มาเปนปริตร ดังเชน “คาถานกคุม ” ที่กลาวคาํ เปนสจั กิริยาวา “ดกู รนอ งหญิง ลูกนกคุมกลาวเปนสจั กริ ยิ า ทาํ ใหไ ฟปาตั้งแตอาตมาไดเกิดแลวในอริยชาติ มิ ไมล กุ ลามเขา มาไหมร งั (ข.ุ ชา.๒๗/๓๕/๑๒ มีไดรูสึกเลยวาจะจงใจปลงสัตวเสียจากชวี ติ ดวยสจั วาจาน้ี ขอความสวสั ดจี งมี คาถาแตไ มค รบ, มาครบใน ข.ุ จรยิ า.๓๓/๒๓๗/๕๘๘)แกทาน ขอความสวัสดีจงมีแกครรภของทานเถิด” พระองคลุ ิมาลไดปฏบิ ตั ิ ก็มาเปนวัฏฏกปริตร, หรืออยางมงคล-ตาม สตรีนั้นก็คลอดบุตรไดงายโดย สตู ร (ขุ.ขุ.๒๕/๕/๓; ข.ุ ส.ุ ๒๕/๓๑๗/๓๗๖) ที่วาสวสั ดี (ม.ม.๑๓/๕๓๑/๔๘๕) คาํ บาลที กี่ ลา ว พระพุทธเจา เม่ือเหลาเทวดาทูลขอใหสจั กริ ยิ านก้ี เ็ ปน ทน่ี ยิ มนาํ มาใช โดยมชี อ่ื ตรัสแสดงยอดมงคล แทนท่จี ะตรัสถึงวา องั คุลมิ าลปรติ ร ถือวา เปนมหาปริตร สิ่งที่พบเห็นไดย นิ ดรี า ยวา เปน มงคลหรอืทีเดียว, บางทีมีเหตุรายเกิดขึ้น เชน ไมเปนมงคลอยา งทีค่ นยดึ ถอื กัน กลับคราวหน่ึงมีภิกษุถูกงูกัดถึงมรณภาพ ทรงสอนหลักความประพฤติปฏิบัติในเมื่อทรงทราบ ไดตรัสอนุญาตใหภิกษุ ชีวิตและสงั คม เชน การไมค บคนพาลท้ังหลายแผเมตตาจิตไปยังพญางูสี่ การคบบัณฑิต การยกยองเชิดชูคนท่ีตระกลู (วิรปู ก ข เอราบถ ฉพั ยาบุตร ควรยกยอ งเชดิ ชู ฯลฯ จนถงึ ความมจี ติกณั หาโคตมกะ) เพอื่ คมุ ครองรกั ษาและ ใจเกษมศานตเปนอิสระไมหว่ันไหวดวยปองกันตัว และไดตรัสคาถาแผเมตตา โลกธรรม วา เปนอดุ มมงคล มงคลสูตรแกตระกูลพญางูท้ังสี่น้ัน ตลอดจนแก นี้กเ็ ปน ทน่ี ิยมนับถอื นาํ มารวมไวใ นชดุสรรพสตั ว ลงทา ยดว ยคณุ พระรตั นตรยั พระปรติ รเต็มท้งั พระสูตรและนมสั การพระพทุ ธเจา ๗ พระองค พระปริตรที่ชอ่ื วา อาฏานาฏยิ ปรติ ร จากอาฏานาฏยิ สตู ร (ท.ี ปา.๑๑/๒๐๗/๒๐๘) นบั วา มกี าํ เนดิ แปลกออกไป คอื มใิ ชเ ปน
ปริตต, ปรติ ร ๒๐๙ ปรติ ต, ปรติ รพุทธดํารัสที่ตรัสเอง แตมีเร่ืองในพระ ทาวมหาราชสี่รายพระองคที่พรอมดวยสตู รนั้นวา ณ ยามดกึ ราตรหี นง่ึ ทา ว โอรสและเหลาอมนุษยพากันนอมวันทามหาราชสี่ (จาตมุ หาราช หรอื จตโุ ลกบาล) พระพุทธเจา , เมือ่ จบแลว ทา วเวสสวณัพรอ มดว ยบรวิ ารจาํ นวนมาก ไดม าเฝา กราบทูลยา้ํ วา คาถาอาฏานาฏยิ รักขานี้พระพุทธเจา ที่เขาคิชฌกูฏ เมือง เพื่อเปนเคร่ืองคุมครองรักษาภิกษุราชคฤห ครน้ั แลว ทา วเวสสวณั ผคู รอง ภกิ ษุณี อุบาสก อบุ าสกิ า ใหอยูผาสกุทศิ อดุ ร (ไทยมกั เรยี ก เวสสวุ ณั , มอี กี ชอื่ ปลอดจากการถูกเบียดเบยี น เม่ือเรยี นหนง่ึ วา กเุ วร) ไดก ราบทลู (ในนามของผู ไวแมนยําดีแลว หากอมนุษยเชนยักษมาเฝา ทงั้ หมด) วา พวกยกั ษท ไี่ มเ ลอ่ื มใส เปนตนตนใดมีใจประทุษรายมากล้ําพระผมู พี ระภาคเจา กม็ ี ทเี่ ลอ่ื มใส กม็ ี กราย อมนุษยตนน้ันก็จะถูกตอตานสวนมากที่ไมเลื่อมใสเพราะตนเองทํา และถูกลงโทษโดยพวกอมนุษยท ัง้ หลายปาณาตบิ าต เปน ตน จนถงึ ดมื่ สรุ าเมรยั หากตนใดไมเ ชื่อฟง กถ็ ือวา เปน ขบถตอเมอ่ื พระผมู พี ระภาคเจา ทรงสอนใหง ดเวน ทาวมหาราชส่ีนั้น กลาวแลวก็พากันกรรมช่ัวเหลาน้ัน จึงไมชอบใจ ทาว กราบทลู ลากลบั ไป ครน้ั ผานราตรีนัน้ ไปมหาราชทรงหว งใยวา มพี ระสาวกทไ่ี ปอยู แลว พระพทุ ธเจา ไดต รสั เลา เรอื่ งทงั้ หมดในปาดงเงียบเปลี่ยวหางไกลอันนากลัว แกภ กิ ษทุ งั้ หลาย ตรสั วา อาฏานาฏยิ รกั ขาจงึ ขอถวายคาถา “อาฏานาฏยิ า รกขฺ า” นั้นกอปรดวยประโยชนในการคุมครอง(อาฏานาฏิยรักขา เรียกงายๆ วา รักษาดังกลาวแลว และทรงแนะนาํ ใหอาฏานาฏยิ ารกั ข โดยเรยี กตามชอ่ื เทพ- เรยี นไว, คาถาอาฏานาฏยิ รกั ขานเ้ี องไดนครอาฏานาฏา ทที่ า วมหาราชประชมุ กัน มาเปน อาฏานาฏยิ ปรติ ร และอาฏานาฏยิ -ประพันธอ าฏานาฏยิ รกั ขานี้ขนึ้ ) โดยขอ ปริตรนี้นับวาเปนตัวอยางอันชัดเจนท่ีใหทรงรับไว เพื่อทําใหยักษพวกนั้น แสดงถึงวิธีสอนท่ีนําประชาชนใหฝกเลอื่ มใส เปน เครอื่ งคุมครองรักษาภกิ ษุ ศึกษาพฒั นาชีวิตขึ้นมาตามลาํ ดบั จากภิกษณุ ี อุบาสก อุบาสกิ า ใหอ ยูผาสุก จุดเชื่อมตอกับความเช่ือถือพ้ืนฐานของปลอดจากการถูกเบียดเบยี น แลวทา ว เขา เพ่ือกาวเขามาสูคติแหงพระพุทธเวสสวัณก็กลาวคําอารักขานั้น เร่ิมตน ศาสนา คือในแงความเช่ืออาํ นาจศักดิ์ดว ยคาํ นมสั การพระพทุ ธเจา ๗ พระองค สทิ ธิ์ ถอื วา ตอ งเปน อาํ นาจทท่ี รงธรรมจงึมพี ระวปิ ส สี เปน ตน ตอ ดว ยเรอ่ื งของ จะศักด์ิสิทธิ์จริงจังย่ังยืน และชําระ
ปริตต,ปริตร ๒๑๐ ปริตต, ปริตรอํานาจน้ันใหบริสุทธิ์เปนกุศลปราศจาก ฝนโบกขรพรรษก็ตกลงมาจนนํ้าทวมการใชก เิ ลสเชน โลภะและโทสะ ใหอ าํ นาจ พดั พาซากศพลอยลงแมน า้ํ คงคาไปหมดท่ีเปนกุศลชนะอํานาจอกุศล และที่ และเมอ่ื เสด็จถึงเมอื งเวสาลี ทา วสักกะสาํ คัญย่ิงคือไมใหขัดหลักกรรม แตให และประดาเทพกม็ าชุมนมุ รบั เสดจ็ เปนสนบั สนนุ ความเพยี รในการทาํ กศุ ลกรรม เหตใุ หพ วกอมนษุ ยห วาดกลวั พากนั หนีโดยมีความหมายในแงคุมครองปองกัน ไป ครงั้ นน้ั พระพทุ ธเจา ไดตรสั รตนสตู รใหปลอดโปรงปราศจากส่ิงขัดขวางกังวล ใหพระอานนทเรียนและเดินทําปริตรไปทงั้ ภายนอกและในใจ เพอ่ื ใหพ รอ มหรอื ในระหวา งกาํ แพงเมอื งทั้ง ๓ ช้ัน พระมั่นใจมีกําลังใจที่จะเพียรทํากิจที่มุง อานนทเรียนรตนสูตรน้ันแลวสวดเพ่ือหมาย เชน ภกิ ษกุ จ็ ะเจรญิ สมณธรรมได เปนปริตร คือเปนเครื่องคุมครองปองเตม็ ที่ (มใิ ชร ออาํ นาจศกั ดส์ิ ทิ ธมิ์ าบนั ดาล กัน พรอมทัง้ ถือบาตรของพระพทุ ธเจาผลนน้ั ให) ใสนาํ้ เดินพรมไปทวั่ ทงั้ เมอื ง เปนอันวา ทง้ั ภยั แลง ภยั อมนษุ ย และภัยจากโรค เร่ืองราวอันเปนที่มาของปริตรทั้ง กส็ งบส้นิ ไป พระพุทธเจา ประทับทเี่ มืองหลายตามที่เลาในพระไตรปฎก มีเพียง เวสาลีครึ่งเดือนจึงเสด็จกลับ มีการส้นั ๆ ตรงๆ อยางท่กี ลาวแลว แตท ีม่ า ชมุ นมุ ครง้ั ใหญเ พ่อื สง เสด็จ เรยี กวาของบางปริตรปรากฏในอรรถกถาเปน “คงฺโคโรหณสมาคม” (เปน ไทย=คงคา-เรือ่ งราวยืดยาวพิสดาร โดยเฉพาะรตน- โรหณสมาคม, การชมุ นมุ ในคราวเสดจ็ปริตร จากรตนสตู ร (ขุ.ข.ุ ๒๕/๗/๕; ข.ุ ส.ุ ๒๕/ ลงแมนํ้าคงคาเพื่อเสด็จกลับสูเมือง๓๑๔/๓๖๗) ซึ่งอรรถกถาเลาวา คราวหนึ่ง ราชคฤห; การชุมนุมใหญอยางน้ีมีอีกทเ่ี มอื งเวสาลี ไดเ กิดทุพภิกขภยั ใหญ ผู ๒ ครั้ง คือ ยมกปาฏิหารยิ สมาคมคนลม ตาย ซากศพเกล่อื นเมอื ง พวก และเทโวโรหณสมาคม), พระสูตรนี้อมนษุ ยก ็เขามา แถมอหวิ าตกโรคซาํ้ อกี แสดงคุณของพระรัตนตรัย จึงเรียกวาในทสี่ ดุ กษตั รยิ ล จิ ฉวตี กลงไปอาราธนา รตนสตู ร (ในมลิ นิ ทปญ หาบางฉบบั เรยี กพระพทุ ธเจา ซ่งึ เวลานัน้ ประทับที่เมือง วา สวุ ตั ถสิ ตู ร เพราะแตละคาถาลงทา ยราชคฤห (ยังอยูในรัชกาลของพระเจา วา “สวุ ตฺถิ โหตุ” – ดวยสจั จะนี้ ขอพมิ พสิ าร) ขอใหเ สดจ็ มา พระพทุ ธองค ความสวัสดจี งม)ี , เรื่องทอี่ รรถกถาเลา น้ีประทบั เรอื เสดจ็ มา เมอ่ื ถงึ เขตแดน พอ นาจะเปนท่ีมาของประเพณีการเอานํ้าใสยา งพระบาทลงทรงเหยยี บฝง แมน า้ํ คงคา
ปรติ ต,ปริตร ๒๑๑ ปริตต,ปรติ รบาตรทําน้ํามนต แลวพรมนํา้ มนตเพื่อ ตอ มาในชนั้ อรรถกถา (ถงึ พ.ศ.๙๐๐ความสุขสวสั ดี เศษ) พบรายชอื่ อยา งมาก ๘ ปรติ ร คอื๖) โดยความเปน มา: เดมิ นัน้ “ปรติ ต” อาฏานาฏยิ ปรติ ร อสิ คิ ลิ ปิ รติ ร ธชคั ค-มคี วามหมายวา “เครอื่ งคมุ ครองปอ งกนั ” ปรติ ร โพชฌงั คปรติ ร ขนั ธปรติ ร โมร-เชนกลาวขอความนั้นๆ เพื่อเปนปริตร ปรติ ร เมตตปรติ ร รตนปรติ ร (อง.ฺ อ.หรือใหเปนปริตร (เปนเครือ่ งคุมครอง ๒/๒๑๐; นทิ ๑ฺ .อ.๓๓๖), ตอ นไี้ ป จะกลา วขอปองกัน) ยังไมเรียกขอความน้ันเองวา สงั เกตตามลาํ ดบั ดงั น้ีปรติ ร จงึ ใชค าํ วา “ทาํ ปรติ ต” (ปรติ ต- ก. ปริตรท่ียืนตัวอยูในทุกรายช่ือตั้งแตกรณะ) เชน ทาํ การแผเ มตตา หรอื ทาํ การ มิลินทปญหามาจนวิสุทธิมัคคกระทั่งถึงนอมรําลึกหรือนมัสการอยางนั้นๆ ให คัมภีรแ มแ ตช ้นั ฎกี า มีเพยี ง ๕ คอืเปนเคร่ืองคุมครองปองกัน ไมใชคาํ วา รตนปริตร ขันธปริตร ธชัคคปริตรกลาวหรือสวดปริตต ตอมาจึงคอยๆ อาฏานาฏยิ ปรติ ร และโมรปรติ รเรียกขอความท่ีสวดหรือบทสวดนั้นเอง ข. ตลอดยคุ ที่กลาวมา รายชอ่ื หลกั ขนึ้วาปริตร แลวปริตรก็มีความหมายวา ตน ดว ยรตนปรติ ร ซงึ่ บางทเี รยี กชอ่ื เดมิ“บทสวดเพอื่ เปน เครอ่ื งคมุ ครองปอ งกนั ” เปน รตนสตู ร และในรายชอื่ ทกุ บญั ชี ไมดงั ทใ่ี นบดั นี้ ใชค าํ วา “กลา วปรติ ร” หรอื มมี งคลสตู รเลย“สวดพระปรติ ร” (ปรติ ตภณนะ) เปน พนื้ ค. ไมชัดวามีมงคลสตู รเพม่ิ เขา มาในราย ชอ่ื ปรติ รเมอื่ ใด แตค งเพมิ่ ในยคุ สมยั ที่ ปริตรไดเปนคําเรียกบทสวด โดยมี ไมน านนกั นา สงั เกตวา ทานเพม่ิ เขา มารายชื่อปรากฏในคัมภีรชั้นหลังจากพระ โดยจดั เปน ปรติ รแรกทเี ดยี วนาํ หนา รตน-ไตรปฎ ก เรมิ่ แตม ลิ นิ ทปญ หา ซงึ่ ถอื กนั ปริตร อีกท้ังเปนบทเดียวที่คงเรียกช่ือวา เกดิ ขน้ึ ประมาณ พ.ศ.๕๐๐ ในมลิ นิ ท- เปน สูตรคงทย่ี นื ตวั ไมเรียกชือ่ วาปรติ รปญ หานนั้ มรี ายชอ่ื ๕-๗ ปรติ ร (ฉบบั ทง้ั นี้ พอเหน็ เหตผุ ลไดชัดวา เนอื้ ความหนง่ึ ทเี่ ปน อกั ษรพมา มี ๗ ปรติ ร คอื ในมงคลสูตรไมมีลักษณะเปนปรติ รโดยรตนสตู ร เมตตสตู ร ขนั ธปรติ ร โมรปรติ ร ตรง คอื มใิ ชม งุ จะปอ งกนั ภยั ใดๆ อยา งธชคั คปรติ ร อาฏานาฏยิ ปรติ ร องคลุ มิ าล- ปริตรอ่ืน แตเปนเร่ืองของสิริมงคลคือปรติ ร, ฉบบั อกั ษรไทยมี ๕ ปรติ ร คอื เปนไปเพื่อความสุขความเจริญงอกงามขนั ธปรติ ร สวุ ตั ถปิ รติ ร [=รตนสตู ร] โมร- กวา งๆ ครอบคลมุ ทว่ั ไปหมด ถงึ จะไมปรติ ร ธชคั คปรติ ร อาฏานาฏยิ ปรติ ร),
ปริตต, ปริตร ๒๑๒ ปรติ ต, ปริตรเปนปริตร ก็ดีมีคุณไมนอยกวาปริตร ทง้ั สตู ร แตคัดตัดมาเฉพาะสวนท่เี กี่ยวและควรเอามาสวดนาํ กอ นดว ยซาํ้ เพอ่ื ขอ ง จงึ เรียกวาปรติ รอยางเดียวใหเกิดสิริมงคลเปนพ้ืนฐานหรือเปน จ. อาฏานาฏยิ ปรติ ร มาจากอาฏานาฏยิ -บรรยากาศไวกอน แลวจะแกหรือกัน สตู ร แตน าํ มาใชเ ฉพาะคาถา “อาฏานาฏยิ าอันตรายอยางไหนก็คอยวากันตอไป รกขฺ า” ทที่ าวมหาราชสี่ถวาย ไมน ํามา(และในแงเ นอื้ ความ มงคลสตู รกค็ รอบ เตม็ ทง้ั สตู ร (คือนํามาเพยี งเอกเทศของคลุมความดีงามสุขสวัสดีทุกประการ พระสูตร) จงึ เรียกวา ปริตรเทา นัน้ ไมโดยมีหลักธรรมที่เหมาะแกทุกบุคคล เรยี กวา สตู ร ในแงน ี้ อาฏานาฏยิ ปรติ รก็ครบทกุ ขน้ั ตอนของชวี ติ ) อกี ทง้ั ทา นเอา เหมือนกับปริตรอ่ืนๆ ท่ีเรียกวาปริตรมาใชเต็มท้ังพระสูตร ไมไดคัดตัดมา อยางเดียว แตแงที่แปลกกวานั้นก็คือเพยี งบางสว น จงึ เปน อนั ไดเ หตผุ ลทน่ี าํ นํามาเฉพาะคาถานมัสการพระพุทธเจามาสวดเขา ชดุ ปรติ ร และจดั เปน บทแรก เจ็ดพระองค ๖ คาถา สว นคาถาตอ จากโดยเรียกชื่อคงเดิมวามงคลสูตร, ใน นั้นซึ่งวาดวยเร่ืองของทาวมหาราชสี่คมั ภรี ข ทุ ทกปาฐะแหง พระไตรปฎ ก ทา น ทานตัดออก แลว ประพนั ธคาถาใหมซง่ึเรียงลําดับมงคลสูตรและรตนสูตรไว สวนใหญพรรณนาพระคุณของพระถัดกัน โดยมีมงคลสูตรเปนสูตรแรก พุทธเจามากมายหลายพระองค นบอรรถกถาอธบิ ายวา ลาํ ดบั นเี้ ขา กบั เหตผุ ล วันทาพระพุทธเจาเหลานั้น ขอใหพระวา มงคลสตู รเปน อตั ตรกั ษ (รกั ษาตัว) คุณของพระองคปกปกรักษา และขอใหรตนสูตรเปนปรารกั ษ (รกั ษาผอู น่ื ) ทาวมหาราชท้ังส่ีมารักษาดวย, การที่ง. สวนปริตรอืน่ นนั้ ชัดอยูแลววา ปริตร พระโบราณาจารยก ระทําอยา งนี้ คงเปนใดเดิมเปนพระสูตร และนํามาใชสวด เพราะทานเหน็ วา คาถาอาฏานาฏยิ รกั ขาเต็มท้ังสูตร ปริตรน้ันจะเรียกชื่อเปน มิใชเปนพระพุทธวจนะ แตเปนคาํ ของสูตร หรอื เรยี กเปน ปรติ ร กไ็ ด คือ รตน- เทพเทาน้ัน เม่ือจะนํามาใชในกิจนอกสูตร/ปริตร กรณียเมตตสูตร/ปริตร พระไตรปฎก ทานจึงแตงเพิ่มและเติม(บางทีเรียกสั้นๆ วา เมตตสตู ร/ปริตร) แทนได โดยเฉพาะคาถาทที่ า นแตง นน้ั ก็และธชคั คสตู ร/ปริตร, ปริตรนอกนี้ มิ เ ป น ก า ร เ ส ริ ม เ จ ต น า ร ม ณ ข อ ง ท า วใชม าจากพระสูตร (เชน มาจากชาดก) มหาราชทง้ั สท่ี แ่ี สดงออกใน ๖ คาถาแรกหรือถามาจากพระสูตร ก็ไมนํามาเต็ม ใหปริตรหนักแนนมีกําลังมากยิ่งข้ึน,
ปรติ ต,ปริตร ๒๑๓ ปรติ ต,ปริตรโพชฌังคปริตรมีลักษณะพิเศษตางออก เปนชุดในงานสําคัญ มีการแยกวาพึงไปอีก เนอ่ื งจากวา เร่ืองท่พี ระพทุ ธองค สวดชุดใดในงานไหนระดับใด ตลอดเอง พระมหากัสสปะ และพระมหา- จนจัดลําดับในชุดพรอมดวยบทสวดโมคคัลลานะ สดับคําแสดงโพชฌงค ประกอบตา งๆ เปน ตน , ในคมั ภรี ม ลิ นิ ท-แลวหายจากอาพาธนั้น กระจายอยูใน ปญ หา ซงึ่ เลา เรอื่ งราวเมอื่ ใกล พ.ศ.๕๐๐สามพระสูตรตางหากกัน (สํ.ม.๑๙/๔๑๕- แมจ ะมไิ ดก ลา วถงึ พธิ สี วดพระปรติ รโดย๔๒๘/๑๑๓-๗) พระโบราณาจารยจ ึงใชวิธี ตรง แตป ญ หาหนงึ่ ทพี่ ญามลิ นิ ทต รสั ถามประพันธคาถาประมวลเร่ืองสรุปความ พระนาคเสนวา ถา ปรติ รทาํ ใหค นพน จากรวมไวเ ปน ปรติ รเดยี วกนั โพชฌงั คปรติ ร บวงมัจจุราชได จะไมขดั กันหรือกบั คาํจึงมิใชเปนบาลีภาษิตจากพระไตรปฎก สอนทวี่ า ถงึ จะเหาะเหนิ ไปในฟากฟา ถงึโดยตรง, เร่ืองของอาฏานาฏิยปริตร จะซอ นตวั ลกึ ถงึ กลางมหาสมทุ ร หรอื จะ(รวมทง้ั โพชฌงั คปรติ ร) นี้ นา จะเปน ตวั หนไี ปทไี่ หน กห็ าพน จากบว งมจั จรุ าชไปอยา งใหใ นยคุ หลงั มกี ารแตง คาถาใหมข น้ึ ไดไ ม และระบชุ อ่ื ปรติ รไวด ว ยหลายบทเปน ปรติ รชอ่ื ใหมๆ โดยนาํ เอาพทุ ธพจน (ฉบบั อกั ษรพมา ระบไุ ว ๗, ฉบบั อกั ษรหรือขอความในพระไตรปฎกมาตั้งเปน ไทยระบไุ ว ๕ ดงั กลา วขา งตน ) นแ้ี สดงแกน กม็ ี ไมม ขี อ ความจากพระไตรปฎ ก วา การสวดพระปรติ รคงจะเปน ทน่ี ยิ มโดยตรงเลย กม็ ี ไดแ ก อภยปรติ ร และ ท่ัวไปแลวในชมพูทวีป รวมท้ังแควนชยปริตร ในประมวลบทสวดที่เรยี กวา โยนก (โยนกเวลาน้ันขยายกวางตั้งแต“สบิ สองตาํ นาน” แถบเหนือของอาฟกานิสถานและปากี-๗) โดยการจดั เปน แบบแผน: ตอมา สถาน มาจนถงึ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของในบานเมืองท่ีพระพุทธศาสนาเจริญ อนิ เดยี ปจ จบุ นั ) ตอ มา ในลังกาทวปี มีแพรหลาย มคี นทุกหมูเหลานบั ถอื แลว เร่ืองราวเปนหลักฐานชัดเจนตามคัมภีรความนิยมสวดพระปริตรก็แพรหลาย มหาวงส (พงศาวดารลงั กายคุ ตน ) วามากข้นึ ๆ จนเกดิ เปน ประเพณีขนึ้ โดยมี ในรัชกาลพระเจาอุปติสสะ ที่ ๑ (พ.ศ.พิธีกรรมเก่ียวกับการสวดพระปริตรน้ัน ๙๐๕–๙๕๒) เกดิ ทพุ ภิกขภัย พระองคและประเพณนี นั้ กพ็ ฒั นาตอ ๆ มา เชน ไดโปรดใหนิมนตพระสงฆประชุมใหญมีการสวดปริตรน้ีในโอกาสนั้น สวด สวดพระปริตร แลว ฝนตกหายแลง ในปริตรนั้นในโอกาสนี้ มีการสวดปริตร สมัยหลงั ตอมา กม็ เี หตกุ ารณเชนนี้อีก,
ปริตต,ปรติ ร ๒๑๔ ปรติ ต, ปรติ รพิธีสวดอยางน้ี นอกจากเปนงานใหญ วา อาจเปน “ตํานาณ” ท่ีแผลงจากแลว กก็ ลายเปนประเพณี การสวดบาง “ตาณ” นีเ้ อง (คือเปน เจด็ ตาํ นาณ และอยางก็ทําเปนประจําทุกป อยางนอยก็ สบิ สองตาํ นาณ) และเม่ือใชเปนแบบทํานองเปนการบาํ รงุ ขวญั ในบางคมั ภีร แผนในพระราชพิธี ก็ไดมีช่ือเปนคําอยางวินยสังคหะ ถึงกับอธิบายวิธีจัดเตรียมการในการสวดพระปริตรในบาง ศัพทเฉพาะขึ้นวา “ราชปริตร” เรียกโอกาส เชน เมอื่ ไปสวดใหค นเจบ็ ไขฟ ง สัตตปริตตว า จลุ ราชปรติ ร (ปริตรหลวงพงึ ใหเ ขารบั สกิ ขาบทกอ น (เราเรยี กวา ให ชุดเล็ก) และเรียกทวาทสปริตตวาศลี ) แลว กลา วธรรมแกเ ขา พงึ ทาํ ปรติ ร มหาราชปรติ ร (ปริตรหลวงชุดใหญ)ใหแ กผทู ต่ี งั้ อยใู นศีล ถาคนถกู ผเี ขา ไมควรสวดอาฏานาฏิยปริตรกอน แตพึง เจ็ดตํานานสวดเมตตสตู ร ธชคั คสตู ร และรตนสตู ร ๑. มงคลสตู รตลอดสปั ดาห ถาผีไมยอมออก จึงควรสวดอาฏานาฏิยปรติ ร ดงั น้ีเปน ตน ๒. รตนปรติ ร (มกั เรยี ก รตนสตู ร) ปริตรที่จัดเปนหมวดหรือเปนชุด ๓. เมตตปรติ ร (มกั เรยี กกรณยี เมตตสตู ร)ตอมาก็มีการแยกเปนชุดเล็กและชุดใหญ ดงั ที่เรียกวา “เจ็ดตาํ นาน” (ใชคาํ ๔/๐. ขนั ธปรติ รบาลีเปน สัตตปริตต) และ “สิบสองตาํ นาน” (ทวาทสปริตต) แตม ีขอนา ๕/๐. โมรปรติ รสงสัยวา “ตาํ นาน” ในท่ีน้หี มายถงึ เร่อื งราวเลาขานสบื กนั มาใชแนหรือไม พอดี ๖/๐. ธชคั คปรติ ร (มกั เรยี ก ธชคั คสตู ร)วา “ปรติ ต” คือเครื่องคุมครองปองกนั น้ีมคี าํ บาลที เี่ ปน ไวพจนว า รกั ขา ตาณ เลณ ๗/๐. อาฏานาฏยิ ปรติ รทปี ะ นาถ สรณะ เปน ตน โดยเฉพาะ“ตาณ” นนั้ บางทใี ชอธิบายหรอื ใชแทน ๐/๗. โพชฌงั คปรติ ร มอี งั คลุ มิ าลปรติ รนาํ“ปรติ ตฺ ” อยา งชัดเจน (เชน ในโยชนาแหงอรรถกถาวินัยวา ยกฺขปริตฺตนฺติ (ลาํ ดบั ทา ยน้ี อาจเขา แทนลาํ ดบั ใดหนง่ึ ใน ๔-๗)ยกเฺ ขหิ สมนตฺ โต ตาณ)ํ จงึ นา สนั นษิ ฐาน สิบสองตํานาน ๑. มงคลสตู ร ๒. รตนปรติ ร (มกั เรยี ก รตนสตู ร) ๓. เมตตปรติ ร (มกั เรยี กกรณยี เมตตสตู ร) ๔. ขนั ธปรติ ร มีฉทั ทนั ตปรติ รตาม ๕. โมรปรติ ร ๖. วฏั ฏกปรติ ร ๗. ธชคั คปรติ ร (มกั เรยี ก ธชคั คสตู ร) ๘. อาฏานาฏยิ ปรติ ร ๙. องั คลุ มิ าลปรติ ร
ปริตต, ปรติ ร ๒๑๕ ปริตต,ปริตร๑๐. โพชฌงั คปรติ ร สวดปริตรหน่ึงจบแลว กอนจะสวด ปรติ รลาํ ดบั ตอไป ก็หยดุ ใหหวั หนา (บัด๑๑. อภยปรติ ร (มขี นึ้ ในยคุ หลงั ) นี้นิยมใหรูปที่ ๓ ผูขัดนํา คือรูปที่ ชุมนมุ เทวดา) ขดั ตาํ นาน คอื สวดบท๑๒. ชยปรติ ร (มขี น้ึ ในยคุ หลงั ) แนะนําใหรูจักปริตรบทที่จะสวดตอไป นั้น (บทขัดของปริตรใด ก็เรยี กตามชอ่ื (พงึ ทราบวา องคฺ ลุ มิ าลปรติ ตฺ และ ของปริตรนั้น เชน บทขัดมงคลสูตร บทขดั รตนปริตร ฯลฯ ซง่ึ บอกใหรวู าโพชฌฺ งคฺ ปรติ ตฺ นนั้ เรยี กเปน ภาษาไทย ปริตรนั้นเกิดขึ้นมาอยางไร มีคุณหรือ อานสิ งสใ นการสวดอยา งไร และเชญิ ชวนวา องั คลุ มิ าลปรติ ร หรอื องคลุ มิ าลปรติ ร ใหส วด) ขดั คน่ั อยา งนไี้ ปจนจบปริตรท้งั หมด, อยา งไรก็ตาม ทุกวันนี้ แมแตในและโพชฌงั คปรติ ร หรอื โพชฌงคปรติ ร พิธีใหญๆ ก็นอยนักที่จะมีการขัด ตํานานในการสวดเจ็ดตํานานหรือสิบกไ็ ด ยงั ไมม กี าํ หนดเปน ยตุ )ิ สองตํานาน เพราะจะทําใหการสวดยาว๘) โดยเครอ่ื งประกอบเสรมิ : อยา งท่ี นานมาก, แตที่ยงั นยิ มปฏบิ ตั ิกันอยู ก็ไดก ลา ววา นอกจากตวั ปรติ รเองแลว มี คือ ในกรณีท่ีมีการสวดบทพิเศษเพิ่ม เขา มา เชน สวดธมั มจกั กัปปวตั ตนสตู รบทสวดเสริมประกอบที่แตงหรือจัดเติม ในงานทาํ บญุ อายคุ รั้งสาํ คญั เม่ือขัดนาํ ตํานาน คือชมุ นมุ เทวดาแลว ก็ตอดว ยเพิ่มข้ึนมาตามกาลเวลาอกี มาก ใชส วด บทขัดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรติดไปเลย จากนั้นสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนาํ กอ นกม็ ี สวดแทรกกม็ ี สวดตอ ทา ยก็ และเจ็ดตาํ นานยอไปจนจบ โดยไมม ีการมี เชน กอ นเรมิ่ สวด กม็ กี ารชมุ นมุ ขดั ตาํ นานใดๆ อกี , ทก่ี ลา วมาน้ี เปน เรอื่ งเทวดา คอื กลา วคาํ เชญิ ชวนเทวดามาฟง ของแบบแผนในพิธีท่ีเพ่ิมขยายข้ึนมาเรียกวามาฟงธรรมหรือมาฟงพุทธวจนะ เปนเร่ืองของประเพณีและเนื่องดวย สงั คม แตผ ปู ฏบิ ตั ใิ นทางสว นตวั เมอื่ มงุและเมอ่ื เรมิ่ สวด กอ นจะถงึ ตวั พระปรติ ร สาระ พงึ กาํ หนดชดั อยทู ตี่ วั พระปรติ รกส็ วดตน ตาํ นาน ซง่ึ มีประมาณ ๔ บทแลวจึงสวดตัวตํานานคือพระปริตรไปตามลาํ ดับ ครน้ั จบปริตรท้ังหมดแลว ก็สวดทายตาํ นาน ทํานองบทแถมอีกจํานวนหน่งึ (อาจจะถงึ ๑๐ บท) เสรจ็แลวจึงเปนอนั จบการสวด ย่ิงกวาน้ัน ถามีเวลาท่ีจะสวดอยางเต็มพิธีจริงๆ นอกจากชุมนุมเทวดา(เรียกวาขัดนํา) ตอนจะเริม่ สวดแลว ในชว งท่ีสวดตัวตํานาน ก็มกี ารขัดตํานานแทรกค่ันไปตลอดดว ย คอื ระหวา งท่ี
ปรเิ ทวะ ๒๑๖ ปริมณฑล นอกจากแบบแผนพิธีในการสวด ปริเทวนาการ ดู ปรเิ ทวะแลว เครอ่ื งประกอบสําคัญทีร่ กู ันดกี ็คือ ปรินพิ พาน การดบั รอบ, การดบั สนิทน้ํามนต และสายสิญจน ซ่ึงมีมาแต 1. ดับกิเลสและทุกขส้ินเชิง, บรรลุโบราณ แตใ นคมั ภรี ภ าษาบาลี ทา นเรยี ก อรหัตตผล (ไดแก กิเลสปรินิพพาน) 2.วา ปรติ โตทก (นา้ํ ปรติ ร) และปรติ ตสตู ร ตาย (ไดแ ก ขนั ธปรินิพพาน, ใชแ กพระ(สายหรอื ดา ยปรติ ร) ตามลาํ ดบั พุทธเจา และพระอรหนั ต; ในภาษาไทยรวมแลว ในเรอ่ื งปรติ รนี้ ขอ สาํ คญั บางทีแยก ใหใชแกพระพุทธเจาวาอยูที่ตองมีจิตใจเปนกุศล นอกจากมี ปรินพิ พาน และใหใชแกพระอรหนั ตทว่ัเมตตานําหนาและม่ันในสัจจะบนฐาน ไปวา นิพพาน แตใ นภาษาบาลี ไมม ีการแหงธรรมแลว ก็พึงรูเขาใจสาระของ แยกเชน นนั้ ); ดู นพิ พานปรติ รนน้ั ๆ โดยมกี มั มสั สกตาปญ ญาอนั ปรนิ ิพพานบริกรรม การกระทาํ ขัน้ ตนมองเหน็ ความมกี รรมเปน ของตน ซงึ่ ผล กอนที่จะปรินิพพาน, การเตรียมที่ประสงคจะสําเร็จดวยความพากเพียร ปรนิ ิพพาน ในพุทธประวตั ิ ไดแ ก การในการกระทาํ ของตน เมอ่ื มจี ติ ใจโลง เบา ทรงเขา อนปุ ุพพวิหารสมาบตั กิ อน แลวสดช่นื ผองใสดว ยมน่ั ใจในคณุ พระปรติ ร เสด็จปรนิ ิพพานทคี่ มุ ครองปอ งกนั ภยั อนั ตรายใหแ ลว ก็ ปรินิพพานสมัย เวลาท่ีพระพุทธเจาจะไดมีสติม่ันมีสมาธิแนวมุงหนาทําการ เสด็จปรินพิ พานนั้นๆ ใหกาวตอไปดวยความเขม แขง็ มี ปริปุจฉา การสอบถาม, การคนควา,กําลังหนักแนนและแจมใสชัดเจนจนถึง การสบื คน หาความรูความสาํ เรจ็ , สาํ หรบั พระภกิ ษุ ตอ งตง้ั ใจ ปริพาชก นักบวชผูชายนอกพระพุทธ-ปฏิบตั ใิ นเร่อื งปริตรน้ีตอ คฤหสั ถด ว ยจติ ศาสนาพวกหนึ่งในชมพูทวีปชอบสัญจรเมตตากรุณา พรอมไปกับความสังวร ไปในทตี่ างๆ สําแดงทรรศนะทางศาสนาระวงั มใิ หผ ดิ พลาดจากพระวนิ ยั ในแง ปรัชญาของตน เขียนอยางรูปเดิมในดริ จั ฉานวชิ า และเวชกรรม เปน ตน ; ดู ภาษาบาลเี ปน ปรพิ พาชกภาณยกั ษ, ภาณวาร ปรพิ าชิกา ปรพิ าชกเพศหญงิ เขียนอยา งปริเทวะ ความรํ่าไรรําพัน, ความคร่ํา รูปเดิมในภาษาบาลีเปน ปริพพาชิกาครวญ, ความราํ พนั ดว ยเสยี ใจ, ความ ปริภัณฑ ดู สัตตบรภิ ณั ฑบนเพอ ปรมิ ณฑล วงรอบ, วงกลม; เรียบรอย
ปรยิ ตั ิ ๒๑๗ ปริวาสปรยิ ัติ พุทธพจนอนั จะพึงเลา เรยี น, สง่ิ ที่ ญาณ รวม ๔ ขอเปน ๑๒ เรียกวา มีควรเลา เรยี น (โดยเฉพาะหมายเอาพระ อาการ ๑๒บาลคี อื พระไตรปฎ ก พทุ ธพจนห รอื พระ ปริวารยศ ยศคอื (ความมี)บริวาร, ความธรรมวนิ ยั ); การเลา เรียนพระธรรมวนิ ยั เปน ใหญโ ดยบริวาร ดู ยศปรยิ ัตสิ ัทธรรม ดู สทั ธรรม ปริวาส “อยูรอบ”, อยูครบ, อยจู บ, อยูปรยิ าย การเลา เรอ่ื ง, บรรยาย; อยา ง, ปรบั ตวั ใหพ รอ ม, อยพู อจนไดท ,่ี บม ตวั ,ทาง, นยั ออ ม, แง อบ, หมกอยู 1. ในพระวนิ ยั แปลกนั มาวาปรยิ ายสทุ ธิ ความบรสิ ทุ ธโ์ิ ดยปรยิ ายคอื “อยกู รรม” หรอื อยชู ดใช, เปน ชอ่ื วฏุ ฐาน-จัดเปนความบริสุทธ์ิไดบางแงบางดาน วธิ ี (ระเบียบปฏบิ ตั สิ าํ หรบั การออกจาก ยงั ไมบ รสิ ทุ ธส์ิ น้ิ เชงิ ยงั มกี ารละ และการ ครุกาบัติ) อยางหนึ่ง ซ่ึงภิกษุผูตอง บาํ เพญ็ อย;ู ตรงขา มกบั นปิ ปรยิ ายสทุ ธ;ิ ดู อาบัติสังฆาทเิ สสแลว ปกปด ไว จะตอ ง สทุ ธิ ประพฤติ เปน การลงโทษตนเองชดใชใหปรยิ ุฏฐานกิเลส ดู กิเลส ๓ ระดับ ครบเทา จาํ นวนวันที่ปดอาบตั ิ กอ นทจ่ี ะปรเิ ยสนา การแสวงหา มี ๒ คอื ๑. อนรยิ - ประพฤติมานัตอันเปนขั้นตอนปกติของ ปริเยสนา แสวงหาอยางไมประเสริฐ การออกจากอาบัติตอไป, ระหวางอยูตนยงั มีทุกข ก็ยังแสวงหาสภาพทม่ี ีทุกข ปรวิ าส ตองประพฤติวตั รตา งๆ เชน งด๒. อริยปริเยสนา แสวงหาอยาง ใชส ทิ ธิบางอยา ง ลดฐานะของตน และประเสริฐ ตนมที กุ ข แตแสวงหาสภาพท่ี ประจานตัว เปน ตน ; ปรวิ าส มี ๓ อยาง คือ ปฏิจฉนั นปรวิ าส สโมธานปริวาสไมมีทุกข ไดแ กน พิ พาน; สาํ หรับคนทัว่ และ สุทธนั ตปริวาส; มปี รวิ าสอกี อยา งไป ทานอธิบายวา มิจฉาอาชีวะ เปนอนริยปรเิ ยสนา สมั มาอาชีวะ เปนอรยิ - หนง่ึ สาํ หรบั นกั บวชนอกศาสนา จะตอ ง ปริเยสนา ประพฤติ เปนการปรับตัวใหพรอมปรโิ ยสาน ท่ีสุดลงโดยรอบ, จบ, จบ กอนท่จี ะบวชในพระธรรมวนิ ัย เรยี กวา อยา งสมบูรณ ตติ ถยิ ปรวิ าส ซง่ึ ทา นจดั เปน อปฏจิ ฉนั น-ปรวิ ัฏฏ หมนุ เวียน, รอบ; ญาณทัสสนะ ปริวาส (เมื่อเทียบกับติตถิยปริวาสนี้มีปรวิ ัฏฏ ๓ หรอื เวยี นรอบ ๓ ใน บางทีเรียกปริวาสของภิกษุเพ่ือออกจากอรยิ สัจจ ๔ หมายถงึ รอู ริยสจั จ ๔ แต อาบัตสิ ังฆาทิเสสขา งตนนั้นวา “อาปตติ-ละขอโดยสจั จญาณ กจิ จญาณและกต- ปริวาส”); ดู ติตถยิ ปรวิ าส 2. ในคมั ภรี ช้ัน
ปริวิตก ๒๑๘ ปรสิ สมบตั ิ อรรถกถาลงมา ทา นนาํ คําวา “ปรวิ าส” เหมือนกัน ผูทมี่ ีภวงั คปรวิ าสสน้ั รวดเรว็ ตามความหมายสามัญขางตนมาใช จะรบั รูและคดิ การตา งๆ ไดแคลว คลอ ง อธิบายธรรม เพื่อชวยใหเขาใจงายขึ้น รวดเร็ว จนดูเหมือนวาทําอะไรๆ ได ต้ังแตเรื่องพ้ืนๆ ไปจนถึงหลักธรรมท่ี หลายอยางในเวลาเดยี วกนั เชน พระ ลึกซ้งึ เชน อาหารทบ่ี รโิ ภคเขา ไปแลว มี พุทธเจาทรงมีภวังคปริวาสชั่ววิบแวบ ปริวาส คอื การคางรวมกันอยูใ นทอ งจน แมจะมีผูทูลถามปญหาพรอมกันหลาย ยอยเสร็จ, การอบเครื่องใชหรือท่ีอยู คน ก็ทรงทราบความไดทันทั้งหมด อาศัยดวยกล่ินหอมของดอกไมเปนตน และทรงจัดลําดับคําตอบไดเหมาะ ก็เปนปริวาส, การเรยี นมนตโ ดยอยูกับ จังหวะแกทกุ คน) กจิ กรรมทเี่ กยี่ วกบั มนตน นั้ เชน สาธยาย ปริวิตก ความคิดนึก, คาํ นึง; ไทยใช พิจารณา ทําความเขาใจ จนจบรอบหรือ หมายความวานกึ เปน ทกุ ขหนกั ใจ, นกึ เขาถงึ เรียกวา มนตปรวิ าส, ในสมถ- หวงใย ภาวนา ผเู จริญฌาน จะกาวจากอปุ จาร- ปรสิ ะ บริษทั , ทีป่ ระชุมสงฆผ ูท าํ กรรม สมาธิขนึ้ สูปฐมฌาน หรือกาวจากฌานท่ี ปริสทูสโก ผูประทษุ รา ยบรษิ ทั เปนคน ตํา่ กวา ข้ึนสฌู านชั้นทส่ี งู ข้นึ ไป คือมีองค พวกหน่ึงทีถ่ กู หา มบรรพชา หมายถงึ ผมู ี ฌานชน้ั ที่สูงตอ ข้ึนไปน้นั ปรากฏ โดยอยู รูปรา งแปลกเพอื่ น เชน สงู หรอื เตี้ยจน จบรอบอัปปนาสมาธิ (หรอื บม อปั ปนา- ประหลาด ศรี ษะโตหรือหลิมเหลือเกิน สมาธจิ นไดท)่ี เรยี กวา อัปปนาปรวิ าส, เปนตน ในการเจริญวิปสสนา ผูปฏิบัติจะยัง ปริสวิบัติ เสยี เพราะบรษิ ัท, วิบัติโดย มรรคใหเ กดิ ข้นึ โดยอยูจบรอบวปิ สสนา บริษัท, บกพรองเพราะบริษทั หมายถงึ (หรือบมวิปสสนาจนไดท่ี) เรียกวา เม่ือสงฆจะทําสังฆกรรม ภิกษุเขา วปิ สสนาปริวาส, ในการทํางานของจิต ประชุมไมครบองคกําหนด, หรือครบ ซ่งึ ดาํ เนินไปโดยจติ ขนึ้ สูวิถแี ละตกภวงั ค แตไมไดนําฉันทะของผูควรแกฉันทะ แลว ขนึ้ สวู ถิ แี ละตกภวงั ค เปน อยางนต้ี อ มา, หรอื มีผูค ัดคา นกรรมทสี่ งฆทาํ เนอื่ งไปนนั้ ชวงเวลาทีจ่ ิตอยใู นภวังคจ น ปริสสมบัติ ความพรอ มมลู แหง บริษทั , ขน้ึ สวู ถิ ีอกี เรยี กวา ภวงั คปรวิ าส (บุคคล ถงึ พรอมดวยบรษิ ทั , ความสมบรู ณของ ท้ังหลายมีภวังคปริวาส หรือชวงพัก ทป่ี ระชุม คือไมเ ปน ปริสวบิ ัติ (ตวั อยา ง ภวังคนี้ ยาวหรอื ส้ัน เรว็ หรอื ชา ไม ประชุมภกิ ษใุ หครบองคกําหนด เชน จะ
ปริสัญตุ า ๒๑๙ ปลโิ พธทํากฐนิ กรรม ตอ งมีภิกษอุ ยา งนอ ย ๕ จะตายเปนแนแ ทแ ลวรูป จะใหอุปสมบทในมัธยมประเทศ ปลงอาบัติ แสดงอาบัติเพื่อใหพนจาก ตองมีภิกษอุ ยางนอย ๑๐ รูปเปนตน) อาบัติ, ทําตนใหพนจากอาบตั ิดว ยการปริสัญุตา ความเปน ผูรูจกั ประชุมชน เปดเผยอาบัติของตนแกสงฆหรือแกและกิริยาที่จะตองปฏิบัติตอประชุมชน ภิกษุอื่น, แสดงความผิดของตนเพื่อนน้ั ๆ เชน รจู กั วา ประชมุ ชนนี้ เมอ่ื เขา ไป เปลื้องโทษทางวินัย, ใชสาํ หรบั อาบตั ิที่จะตองทํากิริยาอยางนี้จะตองพูดอยางนี้ แสดงแลว พน ได คอื ถลุ ลจั จยั ปาจติ ตยี เปน ตน (ขอ ๖ ในสปั ปุริสธรรม ๗) ปาฏเิ ทสนียะ ทุกกฏ และทุพภาสติปริสุปฏฐาปกะ ภิกษุผูเปนนิสัยมุตก ปลงอายสุ งั ขาร ดู อายสุ งั ขารโวสสชั ชนะ คอื พน จากการถอื นสิ ยั แลว มคี ณุ สมบตั ิ ปละ [ปะ-ละ] ชอ่ื มาตราสาํ หรบั ชงั่ นา้ํ หนกัสมควรเปนผูปกครองหมู สงเคราะห ประมาณ ๕ ชง่ั มดี งั นี้บรษิ ทั ได ๔ เมลด็ ขา วเปลอื กเปน ๑ กญุ ชา (กลอ ม)ปรชี า ความรอบร,ู ความหย่งั รู, ความ ๒ กญุ ชา ” ๑ มาสก (กลา่ํ )กําหนดรู ๕ มาสก ” ๒ อกั ขะ ” ๑ ธรณะปฤษฎางค อวยั วะเบ้อื งหลัง, สวนหลัง, ๘ อกั ขะ ขางหลัง ๑๐ ธรณะ ” ๑ ปละปลงตก พจิ ารณาเห็นจริงตามสภาพของ ๑๐๐ ปละ ” ๑ ตลุ าสงั ขาร แลววางใจเปน ปกติได ๒๐ ตลุ า ” ๑ ภาระปลงบริขาร มอบบริขารใหแกผูอ่ืนใน หนงั สอื เกา เขยี น ปะละเวลาใกลจะตาย เปนการใหอยางขาด ปลา ในโภชนะ ๕ อยางคือ ๑. ขา วสุกกรรมสิทธไ์ิ ปทเี ดียวต้ังแตเวลาน้ัน (ใช ๒. ขนมสด ๓. ขนมแหง ๔. ปลา ๕. เนอ้ืสาํ หรบั ภกิ ษุผูจะถงึ มรณภาพ เพ่อื ใหถ กู ปลาในที่น้ีหมายความรวมไปถึง หอยตอ งตามพระวินัย) กุง และสัตวน ํา้ เหลา อืน่ ท่ีใชเ ปน อาหารปลงผม โกนผม (ใชแ กบ รรพชติ ) ปลาสะ ตเี สมอ คอื ยกตนเทยี มทา น (ขอปลงพระชนมายสุ งั ขาร ดู อายุสังขาร- ๖ ในอปุ กเิ ลส ๑๖)โวสสชั ชนะ ปลิโพธ เครื่องผูกพันหรือหนวงเหนี่ยวปลงศพ เผาผ,ี จดั การเผาฝง ใหเ สรจ็ สน้ิ ไป เปน เหตใุ หใ จพะวกั พะวนหว งกงั วล, เหตุปลงสงั ขาร ทอดอาลัยในกายของตนวา กงั วล, ขอ ตดิ ขอ ง; ปลโิ พธทผี่ จู ะเจรญิ
ปวตั ตมังสะ ๒๒๐ ปวารณากรรมฐานพึงตัดเสียใหได เพื่อใหเกิด วัดนั้นหรือหลีกไปแตยังผูกใจวาจะกลับความปลอดโปรงพรอมที่จะเจริญ มา) ๒. จวี รปลิโพธ ความกงั วลในจีวรกรรมฐานใหก า วหนา ไปไดด ี มี ๑๐ อยา ง (ยงั ไมไดทําจีวรหรอื ทําคา งอยู หรอื หายคอื ๑. อาวาสปลโิ พธ ความกงั วลเกยี่ ว เสียในเวลาทําแตยังไมสิ้นหวังวาจะไดกับวัดหรอื ทอี่ ยู ๒. กลุ ปลโิ พธ ความ จวี รอีก) ถาสิน้ ปลโิ พธครบท้งั สองอยางกังวลเกี่ยวกับตระกูลญาติหรืออุปฏฐาก จึงเปนอนั เดาะกฐิน (หมดอานสิ งสแ ละ๓. ลาภปลโิ พธ ความกงั วลเก่ียวกบั ลาภ สนิ้ เขตจวี รกาลกอ นกาํ หนด)๔. คณปลิโพธ ความกังวลเก่ียวกับ ปวัตตมังสะ เนอ้ื ทมี่ ีอยูแลว คอื เน้อื สัตวคณะศิษยหรือหมูชนที่ตนตองรับผิด ท่ีเขาขายอยูตามปกตสิ ําหรบั คนทวั่ ๆ ไปชอบ ๕. กรรมปลโิ พธ ความกงั วลเกย่ี ว ไมใชฆ า เพอื่ เอาเน้อื มาถวายพระ; ตรงขามกับการงาน เชน การกอสราง ๖. กับ อทุ สิ สมงั สะอัทธานปลิโพธ ความกงั วลเก่ยี วกับการ ปวัตตนิ ี คําเรียกผูท ําหนาทอ่ี ุปช ฌายใ นเดนิ ทางไกลเนอ่ื งดว ยกจิ ธุระ ๗. ญาติ- ฝา ยภิกษุณีปลิโพธ ความกังวลเก่ียวกับญาติหรือ ปวารณา 1. ยอมใหข อ, เปดโอกาสใหขอคนใกลชิดที่จะตองเปนหวงซ่ึงกําลังเจ็บ 2. ยอมใหว ากลา วตักเตือน, เปดโอกาสปว ยเปนตน ๘. อาพาธปลิโพธ ความกงั วลเกยี่ วกบั ความเจ็บไขข องตนเอง ๙. ใหวากลาวตักเตือน, ชื่อสังฆกรรมที่คันถปลิโพธ ความกังวลเก่ียวกับการศกึ ษาเลาเรียน ๑๐. อทิ ธปิ ลิโพธ ความ พระสงฆทําในวันสุดทายแหงการจํา พรรษา คือ ในวนั ข้นึ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๑๑ เรยี กวา วนั มหาปวารณา โดยภกิ ษทุ กุ รปูกังวลเกี่ยวกับฤทธ์ิของปุถุชนที่จะตอง จะกลา วปวารณา คอื เปด โอกาสใหก นั และคอยรักษาไมใหเสื่อม (ขอทายนี้เปน กนั วา กลา วตกั เตอื นไดด งั นี้ “สงฆฺ มภฺ นฺเตปลโิ พธสาํ หรบั ผจู ะเจรญิ วปิ ส สนาเทา นนั้ ) ปวาเรม,ิ ทิฏเน วา สเุ ตน วา ปริสงกฺ าย วา; วทนฺตุ มํ,อายสมฺ นฺโต อนุกมฺป อุปา- ในทางพระวินัยเกี่ยวกับการกราน ทาย; ปสฺสนโฺ ต ปฏิกฺกริสฺสามิ. ทุตยิ มฺปกฐิน ปลิโพธ หมายถงึ ความกงั วลทเ่ี ปน ภนฺเต สงฺฆํ ปวาเรม,ิ ... ตตยิ มปฺ ภนฺเตเหตุใหกฐินยังไมเดาะ (คือยังรักษา สงฺฆํ ปวาเรม,ิ ...” แปลวา “ขา พเจา ขออานิสงสกฐินและเขตแหงจีวรกาลตามกาํ หนดไวไ ด) มี ๒ อยา งคอื ๑. อาวาส- ปวารณากะสงฆ ดวยไดเห็นกต็ าม ดวยปลโิ พธ ความกงั วลในอาวาส (ยังอยูใ น ไดยนิ ก็ตาม ดว ยนา ระแวงสงสัยกต็ าม,
ปวารณา ๒๒๑ ปวารณาขอทานผูมีอายุท้ังหลายจงวากลาวกะ ขนึ้ ไป) ๒. คณปวารณา (ปวารณาทีท่ าํขา พเจา ดว ยอาศยั ความหวงั ดเี อน็ ด,ู เมอ่ื โดยคณะคอื มภี กิ ษุ ๒–๔ รปู ) ๓. ปคุ คล-ขา พเจา มองเหน็ จกั แกไ ข แมค รั้งทีส่ อง ปวารณา (ปวารณาที่ทําโดยบุคคลคอื มี... แมคร้ังทสี่ าม ...” (ภิกษุผมู พี รรษาสงู ภกิ ษุรูปเดยี ว) และโดยนัยน้ี อาการที่ทําสุดในทีป่ ระชุมวา อาวุโส แทน ภนเฺ ต) ปวารณาจงึ มี ๓ อยาง คือ ๑. ปวารณา ตอที่ชมุ นมุ (ไดแก สังฆปวารณา) ๒. ปวารณาเปนสังฆกรรมประเภท ปวารณากันเอง (ไดแก คณปวารณา)ญตั ตกิ รรม คอื ทาํ โดยตง้ั ญตั ติ (คาํ เผดยี ง ๓. อธิษฐานใจ (ไดแ ก ปุคคลปวารณา)สงฆ) อยา งเดยี ว ไมตองสวดอนสุ าวนา(คําขอมต)ิ ; เปนกรรมทีต่ องทําโดยสงฆ ในการทําสังฆปวารณา ตองต้ังปญ จวรรค คอื มภี กิ ษตุ งั้ แต ๕ รปู ขน้ึ ไป ญตั ติ คือ ประกาศแกสงฆก อน แลว ภิกษุท้ังหลายจึงจะกลาวคําปวารณา ปวารณา ถาเรียกชื่อตามวันที่ทํา อยา งทแี่ สดงไวขางตน ตามธรรมเนียมแบง ไดเ ปน ๓ อยา ง คอื ๑. ปณ ณรสกิ า ทานใหปวารณารูปละ ๓ หน แตถ า มีปวารณา (ปวารณาที่ทาํ โดยปกติในวัน อันตรายคือเหตุฉุกเฉินขัดของจะทําขน้ึ ๑๕ คา่ํ เดอื น ๑๑ คอื วนั ออก อยางนั้นไมไ ดตลอด (เชน แมแ ตทายกพรรษา) ๒. จาตทุ ทสิกา ปวารณา (ใน มาทําบุญ จะปวารณารูปละ ๒ หน หรือกรณีที่มีเหตุสมควร ทานอนุญาตให ๑ หน หรือพรรษาเทากนั วา พรอ มกนั ก็เลื่อนปวารณาออกไปปกษหน่ึงหรือ ได ทงั้ นี้ จะปวารณาอยา งไรกพ็ งึ ประกาศเดือนหน่ีงโดยประกาศใหสงฆทราบ ถา ใหสงฆรดู วยญัตติกอน โดยนยั นี้ การเล่ือนออกไปปก ษหนง่ึ ก็ตกในแรม ๑๔ ต้ังญัตติในสงั ฆปวารณาจึงมตี า งๆ กนัคํา่ เปน จาตทุ ทสกิ า แตถาเล่อื นไปเดือน ดงั มีอนุญาตไวดงั น้ี ๑. เตวาจกิ า ญตั ติหนึ่งก็เปนปณ ณรสิกาอยางขอ แรก) ๓. คอื จะปวารณา ๓ หน พึงตง้ั ญัตตวิ า:สามัคคีปวารณา (ปวารณาที่ทําในวัน “สุณาตุ เม ภนฺเต สงโฺ ฆ, อชฺช ปวารณาสามัคคี คอื ในวันทีส่ งฆซ ึ่งแตกกนั แลว ปณณฺ รสี, ยทิ สงฺฆสสฺ ปตตฺ กลลฺ ,ํ สงโฺ ฆกลับปรองดองเขากันได อันเปนกรณี เตวาจกิ ํ ปวาเรยฺย” แปลวา “ทานเจา ขาพเิ ศษ) ขอสงฆจงฟงขาพเจา ปวารณาวันน้ีท่ี ๑๕ ถา ความพรงั่ พรอ มของสงฆถ งึ ทแี่ ลว ถาแบง โดยการก คอื ผทู ําปวารณา สงฆพ ึงปวารณาอยางกลาววาจา ๓ หน”แบง เปน ๓ อยา ง คอื ๑. สังฆปวารณา(ปวารณาทีท่ าํ โดยสงฆค อื มีภกิ ษุ ๕ รูป
ปวารณา ๒๒๒ ปวารณา(ถา เปน วนั แรม ๑๔ คาํ่ หรือวันสามัคคี ๑๕ ถาความพรอมพร่ังของทานทั้งก็พงึ เปลย่ี น ปณณฺ รสี เปน จาตทุ ทฺ สีหรอื สามคคฺ ี ตามลาํ ดบั ) ๒. เทวฺ วาจกิ า หลายถึงท่ีแลว เราทั้งหลายพงึ ปวารณา กันเถดิ ” (ถา ๓ รปู วา อายสมฺ นตฺ า แทนญัตติ คอื จะปวารณา ๒ หน ตง้ั ญัตติ อายสมฺ นโฺ ต) จากนั้นแตละรูปปวารณาอยางเดยี วกัน แตเ ปลี่ยน เตวาจิกํ เปน ๓ หน ตามลําดบั พรรษาดังน้ี: มี ๓ รูปเทฺววาจิกํ ๓. เอกวาจิกา ญัตติ คือ จะ วา “อหํ อาวโุ ส อายสมฺ นเฺ ต ปวาเรมิ ฯเปฯ วทนตฺ ุ มํ อายสฺมนฺตา อนุกมปฺ ปวารณาหนเดยี ว ตงั้ ญตั ตอิ ยา งเดยี วกนั อุปาทาย, ปสสฺ นโฺ ต ปฏกิ กฺ ริสฺสามิ, ทุติ-นั้น แตเปลี่ยน เตวาจิกํ เปน เอกวาจิกํ ยมปฺ อาวโุ ส ฯเปฯ ตตยิ มปฺ อาวโุ ส ฯเปฯ ปฏิกฺกริสฺสามิ” (ถารูปออนกวาวา๔. สมานวสั สกิ า ญัตติ คือ จัดใหภ ิกษทุ ่ี เปลี่ยน อาวโุ ส เปน ภนเฺต); มี ๔ รปู เปลย่ี น อายสมฺ นเฺ ต และ อายสมฺ นตฺ า เปนมพี รรษาเทากนั ปวารณาพรอ มกัน ตั้ง อายสฺมนโฺ ต อยา งเดยี ว; ถามี ๒ รูป ไมญัตติกเ็ หมอื น แตเ ปลี่ยน เตวาจกิ ํ เปน ตอ งตงั้ ญตั ติ คาํ ปวารณากเ็ หมอื นอยา งนน้ัสมานวสฺสิกํ (จะวา ๓ หน ๒ หน หรือ เปลยี่ นแต อายสมฺ นเฺ ต เปน อายสมฺ นตฺ ,ํ อายสมฺ นตฺ า เปน อายสมฺ า และ วทนตฺ ุหนเดียวไดทง้ั นั้น) ๕. สพั พสงั คาหกิ า เปน วทต.ุญตั ติ คอื แบบตง้ั ครอบทว่ั ไป ไมร ะบวุ า ถา ภกิ ษอุ ยรู ปู เดยี ว เธอพงึ ตระเตรยี มกหี่ น ตง้ั ญตั ตคิ ลมุ ๆ โดยลงทา ยวา ...สงโฺ ฆ ปวาเรยยฺ (ตัดคําวา เตวาจกิ ํ ออก สถานท่ีไว และคอยภิกษอุ น่ื จนสนิ้ เวลา เมอ่ื เหน็ วา ไมม ใี ครอนื่ แลว พงึ ทาํ ปคุ คล-เสีย และไมใสค าํ ใดอื่นแทนลงไป อยาง ปวารณา โดยอธิษฐานคือกําหนดใจวา “อชฺช เม ปวารณา” แปลวา “ปวารณาน้จี ะปวารณาก่ีหนกไ็ ด) ; ธรรมเนยี มคง ของเราวันนี้”นยิ มแตแบบที่ ๑, ๒ และ ๔ และทา น เหตุท่ีจะอางเพ่ือเลื่อนวันปวารณาเรยี กชอ่ื ปวารณาตามนนั้ ดว ยวา เตวาจกิ าปวารณา, เทฺววาจกิ า ปวารณา, สมาน- ได คือจะมีภิกษุจากท่ีอื่นมาสมทบวสั สิกา ปวารณา ตามลาํ ดับ ปวารณาดว ย โดยหมายจะคดั คานผนู ้ัน ในการทําคณปวารณา ถามีภิกษุ๓–๔ รปู พึงต้งั ญตั ตกิ อนวา : “สณุ นตฺ ุ ผูน้ีใหเกิดอธิกรณข้ึน หรืออยูดวยกันเม อายสมฺ นโฺ ต, อชชฺ ปวารณา ปณณฺ รส,ียทายสมฺ นตฺ านํ ปตตฺ กลลฺ ,ํ มยํ อฺ มฺ ผาสกุ ถาปวารณาแลวตา งกจ็ ะจารกิ จากปวาเรยยฺ าม” แปลวา “ทา นเจา ขา ทานทั้งหลายจงฟงขาพเจา ปวารณาวันนี้ท่ี
ปวิเวกกถา ๒๒๓ ปก ขคณนา, ปกษคณนากันไปเสีย ๕ ในสัญญา ๑๐)ปวิเวกกถา ถอยคําท่ีชักนําใหสงัดกาย ปะละ ดู ปละ ปกขคณนา, ปกษคณนา “การนับสงัดใจ (ขอ ๓ ในกถาวตั ถุ ๑๐)ปศสุ ัตว, ปสุสัตว สตั วเลย้ี ง เชนเปด ปกษ”, วิธีคํานวณดิถีตามปกษ คือไก แพะ แกะ สุกร เปน ตน คาํ นวณหาวันขน้ึ แรมกี่คา่ํ ๆ ใหแ มน ยําปสาทะ ความเล่ือมใส, ความชื่นบาน ตรงตามการโคจรของดวงจันทรอยางผองใส, ความเช่อื ถือม่นั ใจ, ความรสู ึก แทจริง เฉพาะอยางย่ิงมงุ ใหไดวันพระยอมรบั นบั ถือ, ความเปด ใจรบั , อาการ จันทรเ ต็มดวงหรือวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๔–ท่ีจิตเกิดความแจมใสโปรงโลงเบิกบาน ๑๕ ค่ํา) วันพระจันทรดับหรอื วันดบัปราศจากความอึดอัดขัดของขุนมัว (แรม ๑๔–๑๕ ค่ํา) และวันพระจนั ทรก ึง่โดยเกดิ ความรูสึกชน่ื ชมนิยมนับถอื ตอ ดวง (ขน้ึ ๘ ค่ํา และ แรม ๘ ค่ํา) ตรง บุคคลหรือส่ิงท่ีพบเห็นสดับฟงหรือ กบั วันท่ีดวงจนั ทรเ ปนอยางนั้นจรงิ ๆ ซึง่ ระลกึ ถงึ ; มักใชค ูกับ ศรทั ธา; ดู สัทธา บางเดือนขางขึ้นอาจมีเพียง ๑๔ วันปเสนทิ [ปะ-เส-นะ-ทิ] พระเจาแผนดนิ (วันเพญ็ เมอ่ื ขึ้น ๑๔ คาํ่ ) ก็มี ขา งแรมแควนโกศล ครองราชสมบัติอยูที่พระ อาจมีเต็ม ๑๕ วันตดิ ตอ กนั หลายเดอื นนครสาวตั ถี กม็ ี ตอ งตรวจดูเปน ปก ษๆ ไป จึงใชค ําปหานะ ละ, กําจัด; การละ, การกาํ จดั ; วา ปก ษถว น ปกษข าด ไมใชเพียงเชน ละตณั หา, กาํ จัดกเิ ลส, กําจดั บาป เดือนเตม็ เดือนขาด เปนวธิ ีคาํ นวณท่ีอกศุ ลธรรม สลับซบั ซอน ตา งจากปฏทิ ินหลวง หรอืปหานปธาน เพียรละบาปทเี่ กิดขน้ึ แลว ปฏิทินของราชการที่ใชวิธีคํานวณเฉล่ีย(ขอ ๒ ในปธาน ๔) ใหข า งขึน้ เตม็ ๑๕ วนั เสมอไป สวนขางปหานปริญญา กาํ หนดรูถึงข้ันละได คอื แรม เดอื นคูมี ๑๕ วนั เดือนค่เี รียกวากําหนดรูสังขารวาเปนอนิจจัง ทุกขัง เดอื นขาด มี ๑๔ วัน สลับกนั ไป (แมจ ะอนัตตา จนถึงข้ันละนิจจสัญญา คํานวณดวยวิธีที่พิเศษออกไป แตวันเปนตน ในสังขารนัน้ ได (ขอ ๓ ใน เดือนเพ็ญเดือนดับท่ีตรงกันก็มาก ท่ีปริญญา ๓) คลาดกันก็เพียงวันเดยี ว); ปกขคณนาปหานสัญญา กําหนดหมายเพื่อละ นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลาฯ ทรงอกุศลวิตก และบาปธรรมทั้งปวง (ขอ คนคิดวิธีคํานวณข้ึนใชในพระสงฆคณะ
ปกฺขหตตา ๒๒๔ ปจ จเวกขณญาณธรรมยุต เพื่อเปนเครื่องกําหนดวัน ตัณหา โดยรูจักพิจารณาท่ีจะกินใชใหสาํ หรับพระสงฆทาํ อุโบสถ และสาํ หรบั เปนไปเพื่อประโยชนท่ีแทจริงตามความอุบาสกอุบาสิการักษาอุโบสถศีลฟง หมายของสงิ่ น้ัน อนั จะมผี ลเปนการเสพธรรม เปน ขอปฏบิ ตั ขิ องคณะธรรมยตุ บริโภคอยางพอดี ที่เรียกวา โภชเน-สืบมา มัตตัญตุ า (เปนปารสิ ุทธศิ ีล ขอ ท่ี ๔,ปกขฺ หตตา ความเปน ผชู าไปซกี หนึ่ง ได ปจ จยสนั นสิ ติ ศลี กเ็ รยี ก) ปจจยปจจเวกขณะ การพิจารณาปจจัย,แกโรคอัมพาตปก ขนั ทกิ าพาธ โรคทอ งรว ง พระสารบี ตุ ร พิจารณากอนจงึ บรโิ ภคปจ จัย ๔ คือนิพพานดว ยโรคน้ี จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และเภสชั ไมปกขิกะ อาหารที่เขาถวายปกษละคร้ัง บริโภคดว ยตณั หา, เปน ปารสิ ุทธศิ ีลขอ ท่ี ๔ เรยี กเตม็ วา ปจ จยสนั นสิ ติ ศลี หรือคือสบิ หา วนั ครั้งหนึง่ปก ขิกภัต ดู ปก ขิกะ ปจ จยปฏเิ สวนศลีปก ษ ปก , ฝาย, ขา ง, กึ่งของเดือนทาง ปจจยสันนิสิตศีล ศีลท่อี งิ อาศัยปจ จัยจนั ทรคติ คอื เดือนหน่ึงมี ๒ ปกษ ขา ง ๔ หรือศลี ทเี่ นือ่ งดวยปจ จยั ๔ ไดแ กขน้ึ เรยี ก ศกุ ลปก ษ (“ฝา ยขาว” หมายเอา พิจารณาเสพใชสอยปจจยั ส่ี ใหเ ปนไปแสงเดอื นสวา ง) ขา งแรมเรยี ก กาฬปก ษ เพื่อประโยชนท่ีแทจริงตามความหมาย(“ฝา ยดาํ ” หมายเอาเดอื นมดื ); ชณุ หปก ษ ของสงิ่ นัน้ ไมบ ริโภคดวยตณั หา (เปนและ กัณหปก ษ กเ็ รยี ก ปารสิ ุทธศิ ลี ขอที่ ๔, ปจ จยปฏเิ สวนศลี ก็ปค คหะ การยกยอ ง (พจนานุกรมเขยี น เรยี ก)ปค หะ) ปจจยาการ อาการท่ีเปนปจจัยแกกัน,ปงสุกูลิกังคะ องคแหงผูถือผาบังสุกุล หมายถึง ปฏิจจสมุปบาทเปนวัตร, ใชเ ฉพาะแตผ าบงั สกุ ุล คือ ไม ปจจเวกขณญาณ ญาณท่ีพิจารณาทบรับจีวรจากทายก เท่ียวแสวงหาผา ทวน, ญาณหยั่งรูดว ยการพจิ ารณาทบบังสุกุลมาเยบ็ ยอ มทําจวี รเอง (ขอ ๑ ใน ทวนตรวจตรามรรคผล กิเลสท่ียงั เหลือธดุ งค ๑๓) อยู และนพิ พาน (เวนพระอรหนั ตไมม ีปจจยปฏิเสวนศีล ศีลในการเสพใช การพจิ ารณากเิ ลสท่ยี ังเหลืออย)ู ; ญาณสอยปจ จัย ๔ คือ มพี ฤติกรรมในการ นี้เกดิ แกผ บู รรลมุ รรคผลแลว คอื ภายเสพบริโภคดวยปญ ญา ไมบริโภคดว ย หลังจากผลญาณ; ดู ญาณ ๑๖
ปจจตั ตลักษณะ ๒๒๕ ปจฉมิ กจิปจจัตตลักษณะ ลักษณะเฉพาะตน, ปจจามติ ร ขา ศึก, ศัตรู ลักษณะเฉพาะของสิ่งตา งๆ เชนเวทนามี ปจ จุทธรณ ถอนคนื , ยกเลิก, ถอน ลักษณะเสวยอารมณ สัญญามลี ักษณะ อธิษฐาน คือ ยกเลิกบริขารเดิมที่ จาํ ไดเ ปน ตน ; คูกับ สามญั ลักษณะ 1. อธิษฐานไว เชน ไดอธษิ ฐานสบง คือต้ังปจจฺ ตฺตํ เวทิตพโฺ พ วิฺูหิ (พระธรรม) ใจกําหนดสบงผืนหน่ึงไวใหเปนสบงอันวิญูชนพึงรูเฉพาะตน ผูอื่นไม ครอง ภายหลังจะไมใชส บงผนื นน้ั เปนพลอยตามรูตามเห็นดวย เหมือนรส สบงครองอีกตอไป ก็ถอนคืนสบงน้ันอาหาร ผูบริโภคเทา นั้นจึงจะรูรส ผไู ม คือยกเลิกการอธิษฐานเดิมน้ันเสียไดบริโภคจะพลอยรูรสดวยไมได (ขอ เรียกวา ปจจุทธรณสบง, คาํ ปจจทุ ธรณ สบงวา “อิมํ อนตฺ รวาสกํ ปจจฺ ุทฺธรามิ”๖ ในธรรมคุณ ๖)ปจ จัตถรณะ ผา ปูนอน, บรรจถรณก็ใช (เปลีย่ น อนฺตรวาสกํ เปน สงฺฆาฏ,ึ เปนปจ จนั ตชนบท ถนิ่ แควนชายแดนนอก อตุ ตฺ ราสงคฺ ํ, เปน ปตตฺ ํ เปนตน สุดแตวามัชฌิมชนบทออกไป, ปจ จนั ติมชนบท จะถอนอะไร); ดู อธิษฐานก็ใช ปจจุปปนนังสญาณ ญาณหยั่งรูสวนปจจันตประเทศ ประเทศปลายแดน, ปจจุบัน, ปรีชากาํ หนดรูเหตุปจจัยของแวนแควนชายแดน, ถิ่นแดนชั้นนอก, เรื่องที่เปนไปอยู รูวาควรทาํ อยางไรในถนิ่ ทย่ี งั ไมเ จรญิ คอื นอกมธั ยมประเทศ เมื่อมีเหตุหรือผลเกิดข้ึนในปจจุบันหรอื มัชฌิมชนบท เปน ตน (ขอ ๓ ในญาณ ๓)ปจจัย 1. เหตุที่ใหผลเปนไป, เหตุ, ปจ เจกพทุ ธะ พระพุทธเจา ประเภทหนึง่เคร่ืองหนนุ ใหเ กิด 2. ของสําหรบั อาศยั ซงึ่ ตรัสรเู ฉพาะตวั มไิ ดส ัง่ สอนผูอื่น; ดูใช, เคร่ืองอาศัยของชีวิต, สิ่งจาํ เปน พทุ ธะสาํ หรบั ชีวติ มี ๔ อยาง คอื จวี ร (ผานงุ ปจฉาภัต ทีหลังฉัน, เวลาหลังอาหารหม ) บณิ ฑบาต (อาหาร) เสนาสนะ (ที่ หมายถึงเวลาเท่ยี งไปแลว; เทยี บ ปุเรภัตอยูอ าศัย) คิลานเภสัช (ยาบาํ บัดโรค) ปจ ฉาสมณะ พระตามหลงั , พระผตู ดิ ตามปจจัยปริคคหญาณ ดู นามรูปปจจัย- เชน พระพุทธเจามกั ทรงมพี ระอานนทปรคิ คหญาณ เปนปจฉาสมณะ เปน ศพั ทค ูกับ ปุเร-ปจ จัยปจจเวกขณะ การพิจารณาปจ จยั สมณะ พระนําหนา๔; ดู ปจจยปจ จเวกขณะ ปจ ฉมิ กิจ ธรุ ะทีพ่ งึ ทําภายหลัง, กิจทพี่ ึง
ปจฉมิ ชาติ ๒๒๖ ปจ ฉิมาชนตาทําตอนทาย เชน ปจฉิมกิจแหง แหง ราตรี เมอื่ แบง กลางคนื เปน ๓ สว น;อปุ สมบทมี ๖ ไดแก วดั เงาแดด, บอก เทยี บ ปฐมยาม, มัชฌิมยามประมาณแหงฤดู, บอกสวนแหงวัน, ปจ ฉิมวัย วัยหลงั (มีอายุระยะ ๖๗ ปบอกสงั คีติ (บอกรวบหรือบอกประมวล ลว งไปแลว); ดู วัยเชน วดั ทบ่ี วช อปุ ช ฌาย กรรมวาจาจารย ปจฉมิ วาจา ดู ปจ ฉมิ โอวาทและจํานวนสงฆ เปน ตน ) บอกนสิ ัย ๔ ปจ ฉิมสกั ขสิ าวก สาวกผูเปน พยานการและบอกอกรณียกิจ ๔ (ท่ีรวมเรียก ตรัสรูองคสุดทาย, สาวกท่ที นั เหน็ องคอนศุ าสน) สดุ ทา ย ไดแ กพ ระสุภทั ทะปจฉมิ ชาติ ชาติหลัง คือ ชาติสุดทา ย ไม ปจ ฉมิ โอวาท คาํ สอนครัง้ สดุ ทา ย หมายมีชาติใหมหลังจากนี้อีกเพราะดับกิเลส ถึง ปจฉมิ วาจา คอื พระดํารสั สดุ ทา ยไดส ้ินเชงิ แลว ของพระพุทธเจากอนจะปรินิพพานวาปจ ฉมิ ทัสสนะ ดูครัง้ สดุ ทาย, เหน็ ครง้ั “วยธมมฺ า สงขฺ ารา อปปฺ มาเทน สมปฺ าเทถ”สุดทาย แปลวา “สังขารท้ังหลาย มคี วามเส่อื มปจ ฉมิ ทสิ ทศิ เบอื้ งหลัง หมายถงึ บตุ ร สลายไปเปนธรรมดา ทานท้ังหลายจงภรรยา; ดู ทิศหก (ยังประโยชนตนและประโยชนผ อู ่นื ) ใหปจ ฉมิ พรรษา ดู ปจฉิมิกา ถึงพรอม ดวยความไมป ระมาทเถิด”ปจฉิมโพธิกาล โพธิกาลชว งหลงั , ระยะ ปจ ฉมิ าชนตา ชมุ ชนท่ีมีในภายหลงั , หมูเวลาบําเพ็ญพุทธกิจตอนทายคือ ชวง ชนท่จี ะเกดิ ตามมาภายหลงั , คนรุนหลงั ;ใกลจนถึงปรินิพพาน กําหนดคราวๆ โดยท่วั ไป มาในขอ ความเกี่ยวกับจริยา ตามมหาปรินิพพานสูตรต้ังแตปลงพระ ของพระพุทธเจาและพระอรหันต ที่ ชนมายุสังขารถึงปรินิพพาน; ดู พุทธ- คํานึงถึงประโยชนของคนรนุ หลงั หรือ ประวตั ิ ปฏิบัติเพื่อใหคนรุนหลังมีแบบอยางที่ปจฉิมภพ ภพหลัง, ภพสุดทาย; ดู จะยดึ ถอื เชน ทีต่ รสั วา “ภิกษทุ ัง้ หลาย ปจฉมิ ชาติ เรามองเหน็ อาํ นาจประโยชน ๒ ประการปจฉิมภวิกสัตว สัตวผูเกิดในภพสุด จึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือปาและปาทาย, ทานผูเกิดในชาตินี้เปนชาติสุด เปลย่ี ว กลา วคอื มองเหน็ ความอยเู ปน สขุ ทา ย คอื ผทู ่ไี ดบรรลุอรหตั ตผลในชาตินี้ ในปจ จบุ นั ของตน และจะอนเุ คราะหห มูปจฉิมยาม ยามสุดทาย, ชวงสุดทาย ชนในภายหลงั ” (อง.ทุก.๒๐/๒๗๔/๗๗) และ
ปจ ฉิมกิ า ๒๒๗ที่พระมหากัสสปะกราบทูลพระพุทธเจา ขนั ธถึงเหตุผลที่วา ถึงแมทานจะเปนผูเฒา ปญ จทวาราวชั ชนะ ดู วถิ จี ติชราลงแลว กย็ งั ขอถอื ธดุ งคต อ ไป ดงั นว้ี า ปญ จพธิ กามคณุ กามคุณ ๕ อยา งคอื“ขาแตพระองคผูเจริญ ขาพระองคเล็ง รูป, เสียง, กล่นิ , รส, โผฏฐพั พะท่ีนารกัเหน็ อํานาจประโยชน ๒ ประการ …กลา ว ใครน าชอบใจคือ เล็งเห็นความอยูเปนสุขในปจ จบุ ัน ปญ จพธิ พันธนะ เคร่ืองตรึง ๕ อยา งของตน และจะอนุเคราะหช ุมชนในภาย คือตรึงเหลก็ อันรอ นที่มอื ท้ัง ๒ ขา ง ที่หลัง ดวยหมายวา ชุมชนในภายหลงั จะ เทาทงั้ ๒ ขาง และที่กลางอก ซึง่ เปนการพึงถงึ ทฏิ ฐานุคต”ิ (สํ.นิ.๑๖/๔๘๑/๒๓๙); คํา ลงโทษทนี่ ายนริ ยบาลกระทาํ ตอ สตั วน รกบาลีเดิมเปน ปจฉฺ ิมา ชนตา ปญ จเภสัช เภสัชท้งั ๕ คือ เนยใส เนยปจ ฉิมิกา วนั เขาพรรษาหลัง ไดแ กวัน ขน นํ้ามนั นา้ํ ผึ้ง น้าํ ออ ยแรม ๑ คํ่า เดือน ๙; อกี นัยหนงึ่ ทาน ปญ จมฌาน ฌานที่ ๕ ตามแบบที่นิยมสนั นษิ ฐานวา เปน วันเขา พรรษาในปท ่มี ี ในอภิธรรม ตรงกับฌานท่ี ๔ แบบทว่ัอธกิ มาส (เดอื น ๘ สองหน); เทยี บ ปรุ มิ กิ า, ไป หรอื แบบพระสตู ร มอี งค ๒ คือปรุ มิ พรรษา อุเบกขา และเอกัคคตา; ดู ฌาน ๕ปจฉิมิกาวัสสูปนายิกา วันเขาพรรษา ปญจมหานที ดู มหานที ๕หลัง; ดู ปจ ฉมิ กิ า ปญ จมหาบริจาค ดู มหาบรจิ าคปญ จกะ หมวด ๕ ปญจมหาวิโลกนะ ดู มหาวิโลกนะปญ จกชั ฌาน ฌานหมวด ๕ หมายถงึ ปญจมหาสุบนิ ดู มหาสุบนิรูปฌานท่ีตามปกติอยางในพระสูตรแบง ปญจวรรค สงฆพ วกทกี่ าํ หนดจาํ นวน ๕เปน ๔ ขน้ั แตใ นพระอภิธรรมนยิ มแบง รูป จึงจะถือวาครบองค เชนท่ใี ชใ นการซอยละเอียดออกไปเปน ๕ ข้ัน (ทา นวา กรานกฐนิ และการอปุ สมบทในปจ จนั ต-ท่แี บง ๕ นี้ เปนการแบงในกรณีท่ีผู ชนบท เปน ตนเจรญิ ฌานมญี าณไมแกก ลา จงึ ละวิตก ปญจวัคคยี พระพวก ๕ คือ อญั ญา- และวิจารไดทีละองค) , “ฌานปญจกนัย” โกณฑัญญะ วัปปะ ภทั ทยิ ะ มหานาม กเ็ รยี ก; ดู ฌาน ๕; เทียบ จตุกกัชฌาน อัสสชิ เปนพระอรหันตสาวกรนุ แรกของปญจขนั ธ ขันธหา คือ รูปขนั ธ เวทนา- พระพุทธเจา ขันธ สัญญาขันธ สงั ขารขันธ วิญญาณ- ปญจวิญญาณ วิญญาณ ๕ มีจักขุ-
ปญ จโวการ, ปญ จโวการภพ ๒๒๘ ปญ ญา วิญญาณ เปนตน ดู วถิ จี ติ สดับเลาเรียน (ปญ ญาจากปรโตโฆสะ)ปญ จโวการ, ปญ จโวการภพ ดู โวการ ๓. ภาวนามยปญญา ปญญาเกดิ จากปญจสติกขันธกะ ชื่อขันธกะที่ ๑๑ การปฏิบัตบิ าํ เพ็ญ (ญาณอนั เกิดขึ้นแกผู แหงจุลวรรค วินยั ปฎก วา ดว ยเรื่องการ อาศัยจินตามยปญญา หรือทั้งสุตมย- ปญญาและจินตามยปญญานั่นแหละ สงั คายนาครัง้ ที่ ๑ ขะมักเขมนมนสิการในสภาวธรรมท้ังปญจังคะ เกาอม้ี ีพนักดา นเดยี ว, เกา อ้ี หลาย), ตามทีพ่ ูดกนั มักเรยี งสุตมย- ไมม แี ขน ปญ ญาเปน ขอ แรก แตใ นทน่ี ี้ เรยี งลาํ ดบัปญจาละ ช่อื แควนหน่งึ ในบรรดา ๑๖ ตามพระบาลใี นพระไตรปฎก ท้งั ในพระ แควนใหญแหงชมพูทวีปคร้ังพุทธกาล สตู ร (ท.ี ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๑) และพระอภธิ รรม (อภ.ิ ว.ิ ๓๕/๗๙๗/๔๒๒) เรยี งจนิ ตามยปญ ญา ตั้งอยูทางดานตะวันออกของแควนกุรุ เปน ขอ แรก (แตใ นเนตตปิ กรณ เรยี งและ เรียกตางไปเล็กนอยเปน ๑. สุตมยี- มีแมนํ้าภาคีรถี ซง่ึ เปนแควหนึง่ ของแม ปญญา ๒. จินตามยีปญญา ๓. ภาวนามยีปญญา); การที่ทานเรียง น้าํ คงคาตอนบน ไหลผาน นครหลวง จนิ ตามยปญ ญากอ น หรอื สุตมยปญ ญา ช่ือ กมั ปลละ กอนนั้น พอจับเหตุไดวา ทานมองท่ีปญ ญา ความรูทวั่ , ปรชี าหยงั่ รูเหตผุ ล, บคุ คลเปนหลัก คือ ทา นเร่มิ ตนมองที่ ความรูเ ขา ใจชัดเจน, ความรูเขาใจหยั่ง บุคคลพิเศษประเภทมหาบุรุษกอน วา พระพทุ ธเจา (และพระปจ เจกพทุ ธเจา) แยกไดในเหตุผล ดีช่ัว คุณโทษ ผูคนพบและเปดเผยความจริงข้นึ นน้ั มิ ไดอาศัยปรโตโฆสะคือการฟงจากผูอ่ืน ประโยชนม ใิ ชป ระโยชน เปนตน และรทู ี่ แตรูจักโยนิโสมนสิการดวยตนเอง ก็ สามารถเรียงตอไลตามประสบการณท้ัง จะจัดแจง จดั สรร จดั การ ดําเนินการ หลายอยางถึงทันทั่วรอบทะลุตลอดหยง่ั เหน็ ความจรงิ ได ทา นจงึ เรมิ่ ดว ยจนิ ตา- ทาํ ใหล ุผล ลว งพนปญหา, ความรอบรู มยปญ ญา แลว ตอ เขา ภาวนามยปญญา ไปเลย แตเ ม่ือมองท่บี คุ คลท่ัวไป ทา น ในกองสังขารมองเห็นตามเปน จรงิ (ขอ ๓ ในไตรสิกขา, ขอ ๔ ในบารมี ๑๐, ขอ ๕ ในพละ ๕, ขอ ๗ ในสัทธรรม ๗, ขอ ๕ ในเวสารชั ชกรณธรรม ๕, ขอ ๑ ในอธษิ ฐานธรรม ๔, ขอ ๗ ในอรยิ ทรพั ย ๗); ปญญา ๓ คอื ๑. จินตามยปญ ญา ปญ ญาเกดิ จากการคดิ พจิ ารณา (ปญ ญา จากโยนิโสมนสิการท่ีตั้งขึ้นในตนเอง) ๒. สตุ มยปญ ญา ปญ ญาเกดิ จากการ
ปญญากถา ๒๒๙ ปญ ญาสมวารจะเริ่มดวยสุตมยปญญาเปนขอแรก ในธรรมขันธ ๕)โดยมคี ําอธบิ ายตามลาํ ดับวา บคุ คลเลา ปญญาจักขุ, ปญญาจักษุ จักษุคือเรยี นสดบั ฟง ธรรมแลว เกดิ ศรทั ธา นาํ ไป ปญ ญา, ตาปญ ญา; เปน คุณสมบตั อิ ยางใครครวญตรวจสอบช่ังตรองพิจารณา หนึ่งของพระพุทธเจา พระองคตรัสรูเกิดเปนสุตมยีปญญา อาศัยส่ิงที่ได พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณดวยเรียนสดบั น้ันเปนฐาน เขาตรวจสอบช่งั ปญญาจักขุ (ขอ ๓ ในจักขุ ๕)ตรองเพงพินิจขบคิดลึกชัดลงไป เกิด ปญ ญาธฏิ ฐาน ทม่ี นั่ คอื ปญ ญา, ธรรมที่เปน จินตามยีปญ ญา เมอ่ื เขาใชปญ ญา ควรตั้งไวในใจใหเปนฐานที่ม่ัน คือทั้งสองน้ันขะมักเขมนมนสิการในสภาว- ปญ ญา, ผมู ปี ญ ญาเปน ฐานทมี่ นั่ (ขอ ๑ธรรมทั้งหลาย แลวเกิดญาณเปน มรรค ในอธฏิ ฐาน ๔); ดู อธิษฐานธรรมท่ีจะใหเกิดผลขึ้น ก็เปนภาวนามยี- ปญญาภาวนา ดู ภาวนาปญ ญา, นาสงั เกตวา ในคมั ภรี ว ิภงั ค ปญญาภมู ิ ธรรมทเ่ี ปน ภมู ขิ องปญ ญา; ดูแหง อภธิ รรมปฎ ก ทา นอธบิ ายภาวนามย- วิปส สนาภมู ิ 2.ปญ ญาวา ไดแ ก “สมาปนนฺ สสฺ ปฺ า” ปญญาวิมุต “ผูหลุดพนดวยปญญา”(ปญ ญาของผเู ขา สมาบตั )ิ แตม คี าํ อธบิ าย หมายถงึ พระอรหนั ตผ สู าํ เรจ็ ดว ยบาํ เพญ็ของคัมภีรตา งๆ เชน ปรมัตถมัญชสุ า วปิ ส สนาโดยมไิ ดอ รปู สมาบตั มิ ากอ นวา คาํ อธบิ ายดงั กลา วเปน เพยี งการแสดง ปญญาวิมุตติ ความหลุดพนดวยตัวอยาง โดยสาระก็มุงเอาการเหน็ แจง ปญญา, ความหลุดพนทีบ่ รรลุดว ยการความจริงท่ีเปนมัคคปญญาน่ันเอง; กาํ จัดอวชิ ชาได ทําใหสําเร็จอรหตั ตผลปญญา ๓ อีกหมวดหนึ่งทนี่ ารู ไดแก และทาํ ใหเจโตวิมตุ ติ เปน เจโตวิมตุ ตทิ ่ีปญ ญาทมี่ ชี อื่ วา โกศล คอื ความฉลาด ๓ ไมก ําเริบ คือไมก ลบั กลายไดอกี ตอไป;อยา ง; ดู โกศล, อธปิ ญ ญาสกิ ขา เทยี บ เจโตวิมตุ ติปญญากถา ถอ ยคาํ ท่ีชักนาํ ใหเ กดิ ปญญา ปญญาสมวาร วาระท่ี ๕๐, คร้งั ที่ ๕๐;(ขอ ๘ ในกถาวตั ถุ ๑๐) ในภาษาไทย นยิ มใชในประเพณที ําบุญปญ ญาขันธ กองปญญา, หมวดธรรมวา อุทิศแกผูลวงลับ โดยมีความหมายวาดว ยปญญา เชน ธรรมวจิ ยะ การเลือก วนั ที่ ๕๐ หรือวนั ทคี่ รบ ๕๐ เชน ในขอเฟน ธรรม กมั มัสสกตาญาณ ความรูวา ความวา “บําเพ็ญกุศลปญญาสมวาร”,สตั วม ีกรรมเปน ของตวั เปน ตน (ขอ ๓ ทัง้ นี้ มีคําทีม่ ักใชใ นชดุ เดียวกนั อกี ๒
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: