ทิฏฐวิ สิ ุทธิ ๑๓๐ ทิศหกนอกแบบแผน ทําความผิดอยูเสมอ ของมนุษย(ขอ ๓ ในวบิ ัติ ๔) ทพิ ยจักษุ ตาทิพย, ญาณพเิ ศษทที่ าํ ใหดูทฏิ ฐิวสิ ุทธิ ความหมดจดแหง ความเหน็ อะไรเหน็ ไดห มดตามปรารถนา; ดู ทิพพ-คือ เกิดความรูความเขาใจ มองเห็น จกั ขุนามรูปตามสภาวะท่ีเปนจริงคลายความ ทิวงคต ไปสูส วรรค, ตายหลงผดิ วาเปน สัตว บคุ คล ตวั ตน ลงได ทิวาวิหาร การพกั ผอนในเวลากลางวนั ทิศ ดาน, ขา ง, ทาง, แถบ; ทศิ แปด คอื(ขอ ๓ ในวิสทุ ธิ ๗)ทิฏฐิสามัญญตา ความเปนผูมีความ อุดร อีสาน บรู พา อาคเนย ทกั ษิณเสมอกนั โดยทิฏฐ,ิ มีความเหน็ รวมกนั , หรดี ประจิม พายัพ; ทศิ สบิ คือ ทิศมีความคดิ เหน็ ลงกันได (ขอ ๖ ในสาร- แปดนนั้ และทศิ เบอ้ื งบน (อปุ รมิ ทิศ) ทิศเบ้อื งลา ง (เหฏฐมิ ทิศ)ณยี ธรรม ๖)ทิฏุชุกัมม การทําความเห็นใหตรง, ทศิ ทกั ษณิ ทศิ ใต, ทิศเบ้ืองขวาการแกไขปรับปรุงความคิดเห็นใหถูก ทิศบรู ทิศตะวันออก, ทิศเบ้ืองหนาตอง (ขอ ๑๐ ในบญุ กิรยิ าวัตถุ ๑๐) ทิศบูรพา ทศิ ตะวันออกทฏิ ุปาทาน ความถอื ม่นั ในทฏิ ฐิ, ความ ทิศปจ ฉมิ ทศิ ตะวันตก, ทิศเบ้อื งหลังยดึ ติดฝง ใจในลทั ธิ ทฤษฎี และหลัก ทศิ พายัพ ทศิ ตะวันตกเฉยี งเหนอืความเช่ือตา งๆ (ขอ ๒ ในอุปาทาน ๔) ทศิ หก บคุ คลประเภทตา งๆ ท่ีเราตอ งทิพพจกั ขุ จกั ษุทิพย, ตาทิพย, ญาณ เก่ียวของสัมพันธ ดุจทิศท่ีอยูรอบตัวพิเศษของพระพุทธเจา และทานผูได จดั เปน ๖ ทิศ ดงั นี้ ๑. ปรุ ัตถมิ ทสิ ทิศอภญิ ญาท้ังหลาย ทําใหส ามารถเลง็ เหน็ เบอ้ื งหนา ไดแก บดิ ามารดา: บตุ รธดิ าหมสู ัตวท เ่ี ปน ไปตา งๆ กันเพราะอาํ นาจ พงึ บาํ รงุ มารดาบดิ า ดังนี้ ๑. ทา นเลยี้ งกรรม เรยี กอีกอยางวา จุตูปปาตญาณ เรามาแลว เลยี้ งทานตอบ ๒. ชวยทํากิจ (ขอ ๗ ในวชิ ชา ๘, ขอ ๕ ในอภิญญา ๖) ของทาน ๓. ดํารงวงศสกุล ๔.ทิพพจักขุญาณ ญาณคือทิพพจักขุ, ประพฤติตนใหเหมาะสมกับความเปน ความรดู จุ ดวงตาทิพย ทายาท ๕. เมอื่ ทา นลว งลบั ไปแลว ทาํทิพพโสต หทู พิ ย, ญาณพเิ ศษท่ที าํ ใหฟง บญุ อุทิศใหท าน; มารดาบดิ าอนุเคราะห อะไรไดย นิ หมดตามปรารถนา; ดู อภญิ ญา บุตรธดิ า ดังน้ี ๑. หามปรามจากความทิพย เปน ของเทวดา, วิเศษ, เลศิ กวา ชว่ั ๒. ใหต้ังอยูในความดี ๓. ใหศึกษา
ทศิ หก ๑๓๑ ทิศหกศิลปวทิ ยา ๔. หาคูครองท่ีสมควรให ๕. สตั ยจ รงิ ใจตอ กนั ; มติ รสหายอนเุ คราะหมอบทรัพยสมบัติใหในโอกาสอันสม ตอบดังน้ี ๑. เมือ่ เพือ่ นประมาท ชวยควร ๒. ทกั ขิณทิส ทศิ เบอ้ื งขวา ไดแ ก รักษาปองกัน ๒. เม่ือเพื่อนประมาทครอู าจารย: ศษิ ยพงึ บาํ รุงครูอาจารย ดงั ชวยรักษาทรัพยสมบัตขิ องเพ่อื น ๓. ในนี้ ๑. ลุกตอ นรับ แสดงความเคารพ ๒. คราวมภี ยั เปนทพี่ ึง่ ได ๔. ไมละทิง้ ในเขา ไปหา ๓. ใฝใ จเรยี น ๔. ปรนนบิ ตั ิ ๕. ยามทกุ ขย าก ๕. นับถือตลอดถึงวงศเรยี นศลิ ปวทิ ยาโดยเคารพ; ครอู าจารย ญาติของมติ ร ๕. เหฏฐิมทิส ทิศเบ้อื งอนุเคราะหศ ษิ ยดงั นี้ ๑. ฝก ฝนแนะนํา ลาง ไดแก คนรบั ใชและคนงาน: นายใหเปน คนดี ๒. สอนใหเขา ใจแจมแจง พงึ บํารุงคนรับใชแ ละคนงาน ดงั นี้ ๑.๓. สอนศิลปวทิ ยาใหสิ้นเชงิ ๔. ยกยอง จัดการงานใหทาํ ตามกาํ ลังความสามารถใหปรากฏในหมูเพอ่ื น ๕. สรางเครอื่ ง ๒. ใหคาจางรางวัลสมควรแกงานและคุม กนั ภยั ในสารทศิ คือ สอนใหศ ษิ ย ความเปนอยู ๓. จดั สวัสดกิ ารดี มีชวยปฏบิ ตั ิไดจ ริง นําวิชาไปเลย้ี งชีพทาํ การ รักษาพยาบาลในยามเจบ็ ไข เปน ตน ๔.งานได ๓. ปจ ฉมิ ทิส ทิศเบือ้ งหลัง ได ไดของแปลกๆ พเิ ศษมา ก็แบง ปนใหแก บุตรภรรยา: สามพี ึงบาํ รุงภรรยาดัง ๕. ใหมีวันหยุดและพักผอนหยอนใจน้ี ๑. ยกยอ งสมฐานะภรรยา ๒. ไมดู ตามโอกาสอันควร; คนรับใชและคนหม่นิ ๓. ไมนอกใจ ๔. มอบความเปน งาน อนุเคราะหน ายดังนี้ ๑. เร่มิ ทํางานใหญในงานบา นให ๕. หาเคร่ืองประดบั กอ น ๒. เลิกงานทหี ลัง ๓. เอาแตข องท่ีมาใหเปนของขวัญตามโอกาส; ภรรยา นายให ๔. ทําการงานใหเรยี บรอยและดีอนเุ คราะหสามี ดงั นี้ ๑. จดั งานบานให ย่ิงขึน้ ๕. นาํ ความดีของนายไปเผยแพรเรยี บรอ ย ๒. สงเคราะหญ าตมิ ิตรท้ัง ๖. อปุ รมิ ทิส ทศิ เบ้อื งบน ไดแ ก พระสองฝา ยดว ยดี ๓. ไมนอกใจ ๔. รักษา สงฆ สมณพราหมณ: คฤหัสถพ ึงบาํ รงุสมบัตทิ ีห่ ามาได ๕. ขยนั ไมเ กยี จครา น พระสงฆ ดงั นี้ ๑. จะทําสงิ่ ใดกท็ ําดว ยในงานทัง้ ปวง ๔. อตุ ตรทสิ ทศิ เบ้อื ง เมตตา ๒. จะพูดส่ิงใด ก็พูดดวยซาย ไดแก มติ รสหาย: พึงบํารงุ มิตร เมตตา ๓. จะคดิ สิ่งใด ก็คดิ ดวยเมตตาสหาย ดงั นี้ ๑. เผอ่ื แผแ บงปน ๒. พูด ๔. ตอนรับดวยความเต็มใจ ๕.จามนี ํา้ ใจ ๓. ชวยเหลือเกอ้ื กลู กนั ๔. มี อุปถัมภดวยปจจัย ๔; พระสงฆตนเสมอ รว มสขุ รวมทุกขดว ย ๕. ซอื่ อนุเคราะหคฤหัสถ ดังน้ี ๑. หามปราม
ทศิ หรดี ๑๓๒ ทีฆนขสตู รจากความชั่ว ๒. ใหต ั้งอยใู นความดี ๓. กถามกั เรยี กวา เวทนาปรคิ คหสตู ร) พระอนุเคราะหด วยความปรารถนาดี ๔. ให สารีบุตรน่ังถวายงานพดั อยู ณ เบื้องไดฟ งสง่ิ ท่ียงั ไมเ คยฟง ๕. ทาํ ส่ิงทีเ่ คย พระปฤษฎางคข องพระพทุ ธองค ไดฟ งฟง แลว ใหแจม แจง ๖. บอกทางสวรรค เทศนานั้น และไดสําเรจ็ พระอรหตั สวนสอนวิธีดําเนินชีวิตใหประสบความสุข ทีฆนขะ เพียงแตไดดวงตาเห็นธรรมความเจริญ; ดู คิหวิ นิ ัย แสดงตนเปนอบุ าสกทศิ หรดี ทศิ ตะวนั ตกเฉียงใต ทีฆนขสตู ร พระสูตรท่ีพระพุทธเจา ทรงทศิ อาคเนย ทิศตะวนั ออกเฉียงใต แสดงแกทีฆนขปริพาชก (ม.ม.๑๓/๒๖๙/ทิศอีสาน ทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ๒๖๓; ในอรรถกถามกั เรยี กวา เวทนา-ทิศอดุ ร ทศิ เหนือ, ทศิ เบื้องซา ย ปรคิ คหสตู ร) ทถี่ า้ํ สกุ รขาตา เขาคชิ ฌกฏูทศิ านทุ ิศ ทิศนอ ยทิศใหญ, ทิศท่ัวๆ ไป เมอื งราชคฤห ในวนั ขนึ้ ๑๕ คา่ํ แหงทิศาปาโมกข อาจารยผ เู ปน ประธานใน มาฆมาส หลังตรสั รไู ด ๙ เดือน ซึ่งพระทิศ, อาจารยผูมชี ่อื เสียงโดง ดงั สารีบุตรสดับแลวไดบรรลุอรหัตตผล,ทิสาผรณา “แผไปในทิศ” หมายถึง วาดวยการยึดถือทิฏฐิหรือทฤษฎีตางๆเมตตาที่แผไปตอสัตวท้งั หลายในทิศนนั้ ซง่ึ เปนเหตใุ หทะเลาะววิ าทกัน ทรงสอนทิศน้ี เปน แถบ เปน ภาค หรือเปน สว น วา เม่ือมองเห็นสภาวะของชวี ิตรางกายน้ี เฉพาะซอยลงไป (แมพรหมวหิ ารขออ่นื ที่ไมเที่ยง ไมค งทน เปน ตน ตลอดจน ก็เชนเดียวกัน); เทียบ อโนธิโสผรณา, ไมเปน ตวั ตนจริงแทแ ลว กจ็ ะละความ โอธิโสผรณา; ดู แผเมตตา, วิกุพพนา, ติดใครเยื่อใยและความเปนทาสตาม สมี าสมั เภท สนองรางกายเสียได อีกท้ังเมื่อรูเขาใจทก่ี ลั ปนา [ท-่ี กนั -ละ-ปะ-นา] ทซี่ ง่ึ มผี อู ทุ ศิ เวทนาท้ัง ๓ วาไมเทย่ี ง เปน สิ่งท่ีปจ จยั แตผ ลประโยชนใ หว ดั หรอื พระศาสนา ปรุงแตงขึ้นมา ปรากฏข้ึนเพราะเหตุทฆี ะ (สระ) มเี สยี งยาว ในภาษาบาลี ได ปจจัย จะตองสิ้นสลายไปเปน ธรรมดา แก อา อี อู เอ โอ; คกู ับ รัสสะ ก็จะจางคลายหายติดในเวทนาทั้งสามทฆี นขะ ชอื่ ปรพิ าชกผหู นง่ึ ตระกลู อคั ค-ิ นนั้ หลดุ พนเปน อสิ ระได และผทู ่ีมจี ติเวสสนะ เปนหลานของพระสารีบุตร, หลดุ พนแลว อยา งนี้ กจ็ ะไมเขา ขา งใครขณะที่พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมแก ไมวิวาทกบั ใคร อนั ใดเขาใชพดู จากันในปรพิ าชกผนู ้ี (คอื ทฆี นขสตู ร แตใ นอรรถ- โลก ก็กลา วไปตามนนั้ โดยไมยึดติดถือ
ทีฆนิกาย ๑๓๓ ทุกขนิโรธคามนิ ีปฏิปทามั่น; ดู ทีฆนขะ เปน ความผดิ ถดั รองลงมาจากปาฏเิ ทสนยี ะทีฆนกิ าย นิกายทห่ี น่ึงแหง พระสุตตนั ต- เชน ภิกษุสวมเสือ้ สวมหมวก ใชผ าปฎก; ดู ไตรปฎก โพกศีรษะ ตอ งอาบตั ิทุกกฏ; ดู อาบตั ิทฆี ายุ อายยุ ืน ทกุ ข 1. สภาพทท่ี นอยไู ดย าก, สภาพทค่ี งทีฆาวุ พระราชโอรสของพระเจาทีฆีติ ทนอยไู มไ ด เพราะถกู บบี คน้ั ดว ยความราชาแหงแควนโกศล ซ่ึงถูกพระเจา เกดิ ขนึ้ และความดบั สลาย เนอ่ื งจากตอ งพรหมทัต กษัตริยแหงแควนกาสีชิง เปนไปตามเหตุปจจัยท่ีไมขึ้นตอตัวมันแควน จบั ได และประหารชวี ติ เสยี ทฆี าว-ุ เอง (ขอ ๒ ในไตรลกั ษณ) 2. อาการแหงกุมารดํารงอยูในโอวาทของพระบิดาท่ี ทกุ ขท ปี่ รากฏขนึ้ หรอื อาจปรากฏขน้ึ ไดแ กตรัสกอนจะถูกประหาร ภายหลังได คน (ไดใ นคาํ วา ทกุ ขสจั จะ หรอื ทกุ ข-ครองราชสมบตั ิทง้ั ๒ แควน คอื แควน อรยิ สจั จ ซงึ่ เปน ขอ ที่ ๑ ในอรยิ สจั จ ๔)กาสีกบั แควนโกศล 3. สภาพทที่ นไดย าก, ความรสู กึ ไมส บายที่ธรณีสงฆ [ที่-ทอ-ระ-นี-สง] ท่ีซึ่งเปน ไดแ ก ทกุ ขเวทนา, ถา มาคกู บั โทมนสัสมบตั ขิ องวดั (ในเวทนา ๕) ทุกขหมายถึงความไมท่ลี ับตา ทีม่ วี ตั ถุกําบงั แลเห็นไมได พอ สบายกายคือทุกขกาย (โทมนัสคือไมจะทาํ ความช่วั ได สบายใจ) แตถ า มาลาํ พงั (ในเวทนา ๓)ทล่ี ับหู ท่ีแจง ไมมีอะไรบัง แตอ ยูหาง คน ทุกข หมายถึงความไมสบายกายไมอืน่ ไมไ ดย นิ พอจะพดู เก้ียวกนั ได สบายใจ คอื ทงั้ ทกุ ขก ายและทกุ ขใ จทว่ี ดั ทซี่ ง่ึ ตง้ั วดั ตลอดจนเขตของวดั นนั้ ทกุ ขขันธ กองทกุ ขทส่ี ดุ ๒ อยาง ขอ ปฏบิ ัตทิ ี่ผดิ พลาดไม ทกุ ขขัย สนิ้ ทุกข, หมดทุกขอาจนาํ ไปสูค วามพนทุกขไ ด ๒ อยา งคือ ทกุ ขตา ความเปนทุกข, ภาวะทคี่ งทนอยู๑. การประกอบตนใหพ ัวพันดว ยความ ไมได; ดู ทุกขลักษณะสุขในกามทั้งหลาย เรยี กวา กามสุขลั ล-ิ ทกุ ขนิโรธ ความดับทกุ ข หมายถึง พระกานุโยค ๒. การประกอบความเหนด็ นพิ พาน เรยี กสัน้ ๆ วา นิโรธ เรยี กเต็มเหนอื่ ยแกต นเปลา หรอื การทรมานตนให วา ทกุ ขนิโรธอริยสจั จลาํ บากเปลา เรียกวา อัตตกลิ มถานุโยค ทกุ ขนโิ รธคามนิ ีปฏปิ ทา ขอ ปฏิบตั ใิ หทกุ ะ หมวด ๒ ถึงความดับทุกข หมายถึงมรรคมีองคทุกกฏ “ทําไมด ี” ชือ่ อาบตั เิ บาอยางหน่งึ แปด เรยี กส้นั ๆ วา มรรค เรียกเต็มวา
ทุกขลักษณะ ๑๓๔ ทุคติทุกขนิโรธคามนิ ปี ฏปิ ทาอริยสัจจ ทรงเลิกละเสียเพราะไมสาํ เร็จประโยชนทกุ ขลกั ษณะ เครอ่ื งกาํ หนดวา เปน ทกุ ข, ไดจ รงิ ; เขยี นเตม็ เปน ทุกกรกริ ิยาลักษณะที่จัดวาเปนทุกข, ลักษณะท่ี ทุคติ คติไมด ,ี ทางดาํ เนินทไ่ี มดีมคี วามแสดงใหเหน็ วา เปน ทกุ ข คือ ๑. ถูกการ เดอื ดรอน, ที่ไปเกดิ อนั ชว่ั หรอื ที่ไปเกิดเกิดข้ึนและการดับสลายบีบค้ันอยู ของผูทํากรรมชั่ว, แดนกําเนิดท่ีไมดีตลอดเวลา ๒. ทนไดย ากหรือคงอยูใน มากไปดวยความทกุ ข มี ๓ ไดแก นรกสภาพเดิมไมไ ด ๓. เปน ท่ีต้ังแหง ความ ดิรัจฉาน เปรต; คตทิ ไี่ มดี คือ ทุคติ ๓ ทุกข ๔. แยงตอ สขุ หรอื เปน สภาวะที่ นี้ ตรงขามกับคติทด่ี ี คือ สคุ ติ ๒ ปฏิเสธความสุข; ดู อนิจจลักษณะ, (มนษุ ย และเทพ) รวมทง้ั หมดเปน คติ๕ อนัตตลักษณะทกุ ขเวทนา ความรสู กึ ลาํ บาก, ความรสู กึ ทไ่ี ปเกิดหรอื แดนกําเนดิ ไมดีนี้ บาง ทเี รยี กวา อบาย หรอื อบายภูมิ (แปลวาเจบ็ ปวด, ความรสู กึ เปน ทกุ ข, การเสวย แดนซ่ึงปราศจากความเจรญิ ) แตอ บาย- อารมณท ไี่ มส บาย (ขอ ๒ ในเวทนา ๓) ภมู ิน้นั มี ๔ คอื นรก เปรต อสุรกายทุกขสมทุ ัย เหตุใหเ กิดทุกข หมายถึง ตัณหาสาม คือ กามตณั หา ภวตัณหา ดริ ัจฉาน, เหตุใหจ าํ นวนไมเ ทา กนั น้ัน มี วภิ วตัณหา เรียกสัน้ ๆ วา สมุทยั (ขอ ๒ ในอรยิ สจั จ ๔) เรยี กเตม็ วา ทกุ ขสมทุ ยั - คาํ อธิบาย ดงั ทอี่ รรถกถาบางแหง กลาว อรยิ สจั จทุกขสัญญา ความหมายรูวาเปนทุกข, ไววา (อ.ุ อ.๑๔๕; อิต.ิ อ.๑๔๕) ในกรณนี ี้ รวม อสุรกาย เขาในจาํ พวกเปรตดวย จงึ เปนทคุ ติ ๓; ตรงขามกับ สุคต;ิ ดู คติ, อบาย อน่งึ ในความหมายทล่ี ึกลงไป ถอื วาการกําหนดหมายใหมองเห็นสังขารวา นรก เปรต จนถงึ ตริ ัจฉาน ท่ีเปนทุคติก็เปนทุกข โดยเทียบวามีทุกขเดือดรอนกวาเทวะทกุ รกริ ยิ า กริ ยิ าทที่ าํ ไดโ ดยยาก, การทาํ และมนุษย แตกําเนิดหรือแดนเกิดทั้งความเพยี รอนั ยากทใี่ ครๆ จะทาํ ได ไดแ ก หมดท้ังสิน้ แมแตทีเ่ รยี กวาสคุ ติน้ัน ไมการบําเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรมวิเศษ วาจะเปนเทวดา หรือพรหมชนั้ ใดๆ ก็ดว ยวธิ กี ารทรมานตนตา งๆ เชน กลนั้ ลม เปน ทคุ ติ ท้ังนนั้ (เนตตฺ ิ.๖๑/๔๕; ๑๐๖/๑๐๕)อัสสาสะปส สาสะและอดอาหาร เปนตน เมื่อเทียบกับนพิ พาน เพราะคตเิ หลานั้นซึ่งพระพุทธเจาไดทรงปฏิบัติกอนตรัสรู ยงั ประกอบดว ยทกุ ข หรือเปน คตขิ องผูอันเปนฝายอัตตกิลมถานุโยค และได ทย่ี ังมที ุกข
ทุจริต ๑๓๕ ทตู านทุ ตู นิกรทุจริต ความประพฤติช่ัว, ความ กระทบใหอ ปั ยศ ตอ งอาบัติทุกกฏ แตประพฤตไิ มดีมี ๓ คอื ๑. กายทุจรติ ถามุงเพยี งลอเลน ตองอาบัติทุพภาสิต;ประพฤติชั่วดวยกาย ๒. วจีทุจริต ดู อาบตั ิประพฤติช่ัวดวยวาจา ๓. มโนทุจริต ทพุ ภกิ ขภยั ภยั ดว ยหาอาหารไดย าก, ภยัประพฤติชวั่ ดว ยใจ; เทียบ สจุ ริต ขาดแคลนอาหาร, ภยั ขา วยากหมากแพงทุฏุลลวาจา วาจาช่ัวหยาบ เปนช่ือ ทลุ ลภธรรม สงิ่ ทไี่ ดย าก, ความปรารถนาอาบัติสงั ฆาทเิ สสขอท่ี ๓ ที่วา ภกิ ษผุ ูม ี ของคนในโลกท่ีไดสมหมายโดยยาก มีความกําหนัด พูดเคาะมาตุคามดวย ๔ คอื ๑. ขอโภคสมบตั จิ งเกดิ มีแกเ ราวาจาชวั่ หยาบ คอื พดู เก้ยี วหญงิ กลาว โดยทางชอบธรรม ๒. ขอยศจงเกดิ มีวาจาหยาบโลนพาดพงิ เมถนุ แกเรากบั ญาติพวกพอ ง ๓. ขอเราจงทุฏลุ ลาบตั ิ อาบัตชิ ่ัวหยาบ ไดแ กอาบัติ รักษาอายุอยไู ดยืนนาน ๔. เม่อื สิน้ ชีพ ปาราชิก และสงั ฆาทิเสส แตในบางกรณี แลว ขอเราจงไปบังเกิดในสวรรค; ดู ทานหมายเอาเฉพาะอาบัตสิ งั ฆาทเิ สส ธรรมเปนเหตุใหสมหมาย ดวยทตุ ิยฌาน ฌานท่ี ๒ มีองค ๓ ละวติ ก ทศุ ลี “ผูมีศีลชวั่ ”, คํานเ้ี ปน เพยี งสาํ นวนวิจารได คงมีแต ปติและสขุ อันเกิดแต ภาษาที่พูดใหแรง อรรถกถาทั้งหลายสมาธิ กบั เอกัคคตา อธิบายวา ศีลที่ช่ัวยอ มไมม ี แตท ศุ ีลทตุ ยิ สงั คายนา การรอยกรองพระธรรม หมายความวา ไมม ศี ลี หรอื ไรศ ลี นนั่ เอง,วินัยครง้ั ท่ี ๒ ราว ๑๐๐ ปแตพ ุทธ- ภกิ ษทุ ศุ ลี คอื ภกิ ษทุ ต่ี อ งอาบตั ปิ าราชิกปรินพิ พาน; ดู สงั คายนา ครั้งที่ ๒ ขาดจากความเปนภิกษุแลว แตไมละทุติยสังคตี ิ การสงั คายนารอยกรองพระ ภกิ ขปุ ฏญิ ญา (การแสดงตวั หรอื ยนื ยนัธรรมวินยั คร้งั ท่ี ๒ วาตนเปนภิกษุ), ความเปนผูทุศีลนั้นทพุ พฏุ ฐภิ ยั ภยั ฝนแลง , ภยั แลง , ภยั หนักย่ิงกวาความเปนอลัชชี, คฤหัสถดว ยฝนไมต กตอ งตามฤดกู าล ทุศีล คอื ผูท ีล่ ะเมดิ ศีล ๕ ทง้ั หมดทพุ ภาสติ “พูดไมด”ี “คําช่ัว” “คาํ เสยี ทูต ผทู ีไ่ ดร ับมอบหมายใหเปนผแู ทนทางหาย” ชื่ออาบัติเบาทีส่ ดุ ทเี่ ก่ียวกับคําพูด ราชการแผนดิน, ผูท่ไี ดร บั แตง ต้ังใหไ ปเปนความผิดในลําดับถัดรองจากทุกกฏ เจรจาแทนเชน ภิกษุพูดกับภิกษุท่ีมีกําเนิดเปน ทตู านุทตู ทตู นอยใหญ, พวกทตูจัณฑาล วาเปน คนชาติจัณฑาล ถามุงวา ทูตานุทูตนิกร หมูพ วกทูต
ทูเตนปุ สัมปทา ๑๓๖ เทวทัตตทูเตนุปสัมปทา การอปุ สมบทโดยใชท ตู , และชน้ั พรหม) การอปุ สมบทภกิ ษณุ โี ดยผา นทตู , ทเู ตนะ เทวดา หมูเทพ, ชาวสวรรค เปน คํารวมอปุ สมั ปทา หรอื ทเู ตนปู สมั ปทา กเ็ ขยี น; เรยี กชาวสวรรคท งั้ เพศชายและเพศหญงิดูท่ี ปกาสนียกรรม, อสัมมุขากรณีย, เทวตานสุ ติ ระลึกถงึ เทวดา คือระลึกถงึอปุ สัมปทา คุณธรรมท่ีทําบุคคลใหเปนเทวดาตามที่ทเู รนทิ าน “เรอ่ื งหา งไกล” หมายถงึ พทุ ธ- มีอยใู นตน (ขอ ๖ ในอนุสติ ๑๐)ประวัติต้ังแตเริ่มเปนพระโพธิสัตว เทวตาพลี ทาํ บุญอทุ ศิ ใหเทวดา, การจัดบําเพ็ญบารมีเสวยพระชาติในอดีตมา สรรสละรายไดหรือทรัพยสวนหนึ่งเปนโดยลําดับ จนถึงชาติสุดทาย คือ คาใชจายสําหรับทําบุญอุทิศแกเทวดาเวสสันดร และอบุ ัติในสวรรคชน้ั ดุสิต; โดยความเอ้ือเฟอหรือตามความเชื่อถือ,ดู พุทธประวัติ การใชรายไดหรือทรัพยสวนหน่ึงเพ่ือทเู รรปู ดู รปู ๒๘ บําเพ็ญทักขิณาทานแกเทวดาคือผูควรเทพ เทพเจา , ชาวสวรรค, เทวดา; ใน แกทักขิณาที่นับถือกันสืบมา (ขอ ๕ทางพระศาสนา ทานจดั เปน ๓ คอื ๑. แหงพลี ๕ ในโภคอาทยิ ะ ๕)สมมติเทพ เทวดาโดยสมมติ = พระ เทวทหะ ชอื่ นครหลวงของแควน โกลยิ ะราชา, พระเทวี พระราชกมุ าร ๒. อปุ ปต ต-ิ ท่ีกษตั ริยโ กลยิ วงศป กครอง พระนางสิริเทพ เทวดาโดยกาํ เนิด = เทวดาใน มหามายาพุทธมารดา เปนชาวเทวทหะสวรรคแ ละพรหมทงั้ หลาย ๓. วสิ ุทธ-ิ เทวทหนคิ ม คือกรุงเทวทหะ นครหลวงเทพ เทวดาโดยความบริสุทธิ์ = พระ ของแควน โกลยิ ะนั่นเอง แตใ นพระสตู รพทุ ธเจา พระปจ เจกพุทธเจา และพระ บางแหง เรยี ก นคิ ม เทวทตั ต ราชบตุ รของพระเจา สปุ ปพทุ ธะอรหนั ตท้ังหลายเทพเจา พระเจา บนสวรรค ลทั ธพิ ราหมณ เปน เชฏฐภาดา (พี่ชาย) ของพระนางถือวาเปนผูดลบันดาลสุขทุกขใหแก พิมพาผูเปนพระชายาของสิทธัตถกุมาร มนษุ ย เจาชายเทวทัตตออกบวชพรอมกับพระเทพธิดา นางฟา, หญิงชาวสวรรค, อนรุ ุทธะ พระอานนท และ กัลบกอบุ าลีเทวดาผหู ญงิ เปน ตน บาํ เพญ็ ฌานจนไดโ ลกยี อภญิ ญาเทพบตุ ร เทวดาผชู าย, ชาวสวรรคเ พศชาย ตอมามีความมักใหญ ไดยุยงพระเจาเทวะ เทวดา, เทพ, เทพเจา (ช้ันสวรรค อชาตศัตรูและคบคิดกันพยายาม
เทวทูต ๑๓๗ เทโวโรหณะประทุษรา ยพระพทุ ธเจา กอ เร่อื งวนุ วาย ตอความช่วั และ โอตตัปปะ ความกลวั ในสงั ฆมณฑล จนถึงทําสังฆเภท และ บาป คอื เกรงกลวั ตอความชว่ั ถกู แผน ดินสบู ในท่ีสุด; ดู ปกาสนียกรรม เทวบตุ ร เทวดาผชู าย, ชาวสวรรคเ พศชายเทวทูต ทูตของยมเทพ, สือ่ แจง ขาวของ เทวปตุ ตมาร มารคอื เทพบตุ ร, เทวบตุ รมฤตย,ู สญั ญาณที่เตือนใหร ะลกึ ถึงคติ เปนมาร เพราะเทวบุตรบางตนท่ีมุง รา ยธรรมดาของชีวิต มิใหมคี วามประมาท คอยขัดขวางเหนี่ยวร้ังบุคคลไวไมใหจดั เปน ๓ ก็มี ไดแ ก คนแก คนเจ็บ สละความสุขออกไปบําเพ็ญคุณธรรมที่และคนตาย, จัดเปน ๕ ก็มี ไดแก เดก็ ยิ่งใหญ ทาํ ใหบคุ คลน้ันพนิ าศจากความแรกเกิด คนแก คนเจ็บ คนถูกลง ดี, คัมภีรสมัยหลังๆ ออกช่ือวาราชทณั ฑ และคนตาย (เทวทตู ๓ มาใน พญาวสวัตดีมาร (ขอ ๕ ในมาร ๕)องั คตุ ตรนกิ าย ตกิ นบิ าต, เทวทตู ๕ มา เทวรปู รปู เทวดาท่ีนับถอื ตามลัทธทิ ่ีนับในเทวทูตสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริ- ถือเทวดาปณณาสก) ; สวน เทวทูต ๔ ที่เจาชาย เทวโลก โลกของเทวดา, ทอี่ ยเู ทวดา ไดสทิ ธตั ถะพบกอ นบรรพชา คือ คนแก แกส วรรคก ามาพจร ๖ ชนั้ คือ ๑. จาตุ-คนเจบ็ คนตาย สมณะนน้ั ๓ อยา งแรก มหาราชกิ า ๒. ดาวดงึ ส ๓. ยามา ๔.เปนเทวทูต สวนสมณะเรียกรวมเปน ดสุ ติ ๕. นมิ มานรดี ๖. ปรนมิ มติ วสวตั ดีเทวทูตไปดวยโดยปริยาย เพราะมาใน เทฺววาจิก “มวี าจาสอง” หมายถงึ ผกู ลา วหมวดเดยี วกัน แตใ นบาลี ทา นเรยี กวา วาจาถงึ สรณะสอง คือ พระพทุ ธและนมิ ติ ๔ หาเรยี กเทวทตู ๔ ไม อรรถกถา พระธรรม ในสมยั ทยี่ งั ไมม พี ระสงฆ ไดแ กบางแหงพูดแยกวา พระสิทธัตถะเห็น พาณชิ สอง คอื ตปสุ สะ และภัลลกิ ะ;เทวทตู ๓ และสมณะ (มีอรรถกถาแหง เทียบ เตวาจกิหนึ่งอธิบายในเชิงวาอาจเรียกทั้งส่ีอยาง เทวสถาน ท่ีประดษิ ฐานเทวรปู , โบสถเปนเทวทูตได โดยความหมายวาเปน พราหมณของท่ีเทวดานริ มิตไว ระหวางทางเสด็จ เทวาธิบาย ความประสงคของเทวดา เทเวศร เทวดาผูใหญ, หัวหนา เทวดาของพระสิทธตั ถะ)เทวธรรม ธรรมของเทวดา, ธรรมที่ทํา เทโวโรหณะ “การลงจากเทวโลก” หมายใหเปนเทวดา หมายถงึ ธรรม ๒ อยา ง ถึงการที่พระพุทธเจาเสด็จลงจากเทว-คอื หริ ิ ความละอายแกใจ คอื ละอาย โลก ตาํ นานเลา วา ในพรรษาที่ ๗ แหง การ
เทศกาล ๑๓๘ โทมนัสบาํ เพญ็ พทุ ธกจิ พระพทุ ธเจา ไดเ สดจ็ ไป สารท เปน ตนประทบั จาํ พรรษาในดาวดงึ สเทวโลกทรง เทศนา การแสดงธรรมส่ังสอนในทางแสดงพระอภธิ รรมโปรดพระพทุ ธมารดา ศาสนา, การชแ้ี จงใหร ูจ กั ดรี จู ักชว่ั , คาํพรอมทง้ั หมูเทพ ณ ท่ีนนั้ เมือ่ ถงึ เวลา สอน; มี ๒ อยา ง คอื ๑. บคุ คลาธษิ ฐานออกพรรษาในวนั มหาปวารณา (วันขนึ้ เทศนา เทศนามีบุคคลเปนท่ีต้ัง ๒.๑๕ คา่ํ เดือน ๑๑) ไดเ สด็จลงมาจาก ธรรมาธษิ ฐาน เทศนา เทศนามธี รรมสวรรคช้นั ดาวดึงส กลับคืนสโู ลกมนุษย เปนทต่ี ง้ัณ ประตูเมืองสังกัสสะ โดยมีเทวดา เทสนาคามินี อาบัติท่ีภิกษุตองเขาแลวและมหาพรหมทั้งหลายแวดลอมลงมา จะพนไดดวยวิธีแสดง, อาบัติที่แสดงสงเสด็จ ฝูงชนจํานวนมากมายก็ไดไป แลวก็พนได, อาบัติที่ปลงตกดวยการคอยรับเสด็จ กระทํามหาบูชาเปนการ แสดงทเ่ี รยี กวา แสดงอาบตั ิ หรือ ปลงเอิกเกริกมโหฬารและพระพุทธเจาได อาบตั ิ ไดแก อาบัติถุลลจั จัย ปาจติ ตยี ทรงแสดงธรรม มีผูบรรลุคุณวิเศษ ปาฏิเทสนยี ะ ทกุ กฏ ทพุ ภาสติ ; ตรงขามกบัจํานวนมาก ชาวพุทธในภายหลังได อเทสนาคามนิ ี ซึง่ เปน อาบัติท่ีไมอ าจพนปรารภเหตกุ ารณพ ิเศษครัง้ นี้ถือเปน กาล ไดดว ยการแสดง ไดแ ก ปาราชิก และกําหนดสาํ หรับบําเพญ็ การกุศล ทาํ บุญ สังฆาทเิ สส; เทียบ วุฏฐานคามนิ ีตักบาตรคราวใหญแดพระสงฆ เปน เทสนาปริสุทธิ ความหมดจดแหงการประเพณีนิยมสืบมา ดังปรากฏใน แสดงธรรมประเทศไทย เรยี กกันวา ตกั บาตรเทโว- เทอื กเถา ตน วงศท นี่ บั สายตรงลงมา, ญาติโรหณะ หรือนยิ มเรียกสั้นๆ วา ตกั โดยตรงต้ังแตบ ดิ ามารดาขนึ้ ไปถงึ ทวดบาตรเทโว บางวัดก็จัดพิธีในวันออก โทณพราหมณ พราหมณผ ใู หญซ งึ่ มฐี านะพรรษา คือวนั มหาปวารณา ข้ึน ๑๕ คา่ํ เปน ครอู าจารย เปน ทเี่ คารพนบั ถอื ของคนเดอื น ๑๑ บางวดั จัดถัดเลยจากน้ัน ๑ จาํ นวนมากในชมพทู วปี เปน ผแู บง พระวัน คือวันแรม ๑ ค่ํา เดอื น ๑๑; ดู ยมก- บรมสารีริกธาตุใหสําเร็จไดโดยสันติวิธีปาฏหิ าริย เปน ผสู รา งตมุ พสตปู บรรจทุ ะนานทองท่ีเทศกาล คราวสมัยที่กําหนดไวเปน ใชต วงแบง พระบรมสารรี กิ ธาตุประเพณี เพื่อทําบุญและการรื่นเริงใน โทมนัส ความเสียใจ, ความเปน ทกุ ขใจ;ทองถิน่ เชน ตรษุ สงกรานต เขาพรรษา ดู เวทนา
โทสะ ๑๓๙ ธมกรกโทสะ ความคดิ ประทษุ รา ย (ขอ ๒ ใน โทสาคติ ลําเอียงเพราะไมชอบกัน,อกุศลมลู ๓) ลาํ เอยี งเพราะชงั (ขอ ๒ ในอคติ ๔)โทสจริต คนมีพื้นนิสัยหนักในโทสะ ไทยธรรม ของควรให, ของทาํ บญุ ตา งๆ,หงดุ หงดิ โกรธงาย แกด ว ยเจริญเมตตา ของถวายพระ(ขอ ๒ ในจริต ๖) ธธงแหงคฤหัสถ เคร่ืองนุงหมของ พยัญชนะทั้งหลายเทียบกัน กลาวคือคฤหัสถ, การนุงหมอยางนิยมกันของ ในวรรคทงั้ ๕ นน้ั เรยี งจากพยญั ชนะท่ี ชาวบา น ๑ ซึง่ มีเสยี งเบาท่สี ดุ ไปจนถึงพยญั ชนะธงแหงเดียรถีย เคร่ืองนุงหมของ ท่ี ๔ ซึง่ มเี สยี งดงั กองที่สดุ (พยญั ชนะท่ีเดียรถยี เชน หนงั เสือ ผา คากรอง ๕ มเี สียงดังเทากับพยญั ชนะท่ี ๓) ดงั นี้เปน ตน , การนงุ หมอยางที่ช่ืนชมกันของ พยญั ชนะท่ี๑ (ก จ ฏ ต ป) เปน สถิ ลิ อโฆสะนกั บวชนอกพระศาสนา พยัญชนะท่ี๒ (ข ฉ ถ ผ) เปน ธนิตอโฆสะธชพทั โธ, ธชพทั ธ “ผ[ู ดุจ]ผูกธง”, โจร พยญั ชนะที่๓ (ค ช ฑ ท พ) เปน สิถิลโฆสะผรู า ยทีข่ ึ้นชื่อโดงดงั เหมอื นตดิ ธง ไมพ งึ พยญั ชนะท่ี๔ (ฆ ฌ ฒ ธ ภ) เปน ธนติ โฆสะใหบวช, มหาโจรองคุลิมาล เปนตน พยัญชนะท่ี๕ (ง ณ น ม) เปน สถิ ลิ โฆสะบญั ญัติขอนี้ ธนิยะ ช่ือพระที่เอาไมหลวงไปทํากุฎีธตรฐ ดู จาตมุ หาราช เปน ตนบัญญัตทิ ตุ ยิ ปาราชิกสิกขาบทธนสมบัติ สมบัติคอื ทรพั ยสนิ เงินทอง ธนู มาตราวัดระยะทางเทากับ ๑ วา คือธนติ พยัญชนะออกเสียงแข็ง (ถูกฐาน ๔ ศอกของตนหนัก บันลือเสียงดัง) ไดแก ธมกรก [ทะ-มะ-กะ-หฺรก] กระบอกพยญั ชนะที่ ๒ ที่ ๔ ในวรรคท้งั ๕ คือ กรองน้ําท่ีเปนบริขารของพระภิกษุ,ข, ฆ; ฉ, ฌ; ฐ, ฒ; ถ, ธ; ผ, ภ; คกู บั สถิ ลิ กระบอกทใี่ ชก รองนาํ้ โดยเอาผา กรองปด เร่ืองเสียงพยัญชนะนี้ พึงเขาใจให คลุมดานปากไว สวนดานกนปดเหลือครบตามหลกั โฆสะ-อโฆสะ และ สถิ ลิ - เพียงเปนรูหรือมีกรวยตรงกลางใหลมธนิต แลวพึงทราบระดับเสียงของ ผา น ซึ่งใชปลายน้ิวปด ได ใหนาํ้ ผานเขา
ธรรม ๑๔๐ ธรรมกายทางปากกระบอกผานผากรอง ขับลม อันมิใชว สิ ัยของโลกไดแ ก มรรค ๔ ผลออกทางรูที่กนจนพอแลวเอาน้ิวปดรูน้ัน ๔ นพิ พาน ๑; อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑.ก็จะไดนํ้าในกระบอกท่ีกรองแลว, ธม- สงั ขตธรรม ธรรมท่ีปจ จัยปรงุ แตง ไดแ กกรณ กว็ า (บางแหง เขยี นเปน ธมั มกรก ขนั ธ ๕ ทง้ั หมด ๒. อสงั ขตธรรม ธรรมบา ง ธมั มกรณ บา ง), ถา เปนผากรองนํ้า ที่ปจจยั ไมปรงุ แตง ไดแ ก นพิ พานเรียก ปรสิ สาวนะ; ดู บรขิ าร ธรรมกถา การกลาวธรรม, คํากลาวธรรม สภาพท่ีทรงไว, ธรรมดา, ธรรม- ธรรม, ถอยคําที่กลาวถึงธรรม, คําชาต,ิ สภาวธรรม, สจั จธรรม, ความ บรรยายหรอื อธบิ ายธรรม; ธรรมีกถา ก็จริง; เหต,ุ ตน เหตุ; ส่ิง, ปรากฏการณ, ใชธรรมารมณ, ส่ิงที่ใจคิด; คุณธรรม, ธรรมกถกึ ผกู ลา วสอนธรรม, ผูแสดงความด,ี ความถูกตอ ง, ความประพฤติ ธรรม, นักเทศกชอบ; หลกั การ, แบบแผน, ธรรมเนยี ม, ธรรมกามะ ผูใ ครธรรม, ผูชอบตริตรองหนาท;่ี ความชอบ, ความยุตธิ รรม; พระ สอดสองธรรมธรรม, คาํ ส่ังสอนของพระพทุ ธเจา ซ่ึง ธรรมกาย 1. “ผูมธี รรมเปนกาย” เปนแสดงธรรมใหเ ปด เผยปรากฏขน้ึ พระนามอยางหนึ่งของพระพุทธเจาธรรม ในประโยควา “ใหกลาวธรรมโดย (ตามความในอัคคัญญสูตร แหงทีฆ-บท” บาลีแสดงคําสอนในพระพุทธ- นกิ าย ปาฏกิ วรรค) หมายความวา พระศาสนา ท่ที านเรียงไว จะเปนพุทธภาษิต องคทรงคิดพุทธพจนคําสอนดวยพระก็ตาม สาวกภาษติ ก็ตาม ฤษภี าษิตก็ หทัยแลวทรงนําออกเผยแพรดวยพระตาม เทวดาภาษิตกต็ าม เรยี กวา ธรรม วาจา เปน เหตใุ หพระองคก ค็ ือพระธรรม ในประโยคนี้ เพราะทรงเปนแหลงที่ประมวลหรือท่ีธรรม (ในคําวา “การกรานกฐินเปน ประชุมอยูแหงพระธรรมอันปรากฏเปด ธรรม”) ชอบแลว , ถูกระเบยี บแลว เผยออกมาแกชาวโลก; พรหมกาย หรือธรรม ๒ หมวดหนึง่ คอื ๑. รูปธรรม ได พรหมภตู กเ็ รียก; 2. “กองธรรม” หรอื แกร ปู ขันธท ง้ั หมด ๒. อรปู ธรรม ไดแก “ชุมนุมแหงธรรม” ธรรมกายยอ มเจรญินามขนั ธ ๔ และนิพพาน; อีกหมวด งอกงามเติบขยายขึ้นไดโดยลําดับจนหนึง่ คอื ๑. โลกยี ธรรม ธรรมอนั เปน ไพบลู ย ในบคุ คลผเู มอื่ ไดส ดับคาํ สอนวสิ ยั ของโลก ๒. โลกตุ ตรธรรม ธรรม ของพระองคแลวฝกอบรมตนดวย
ธรรมของฆราวาส ๔ ๑๔๑ ธรรมเจดียไตรสิกขาเจริญมรรคาใหบรรลุภูมิแหง ดว ยตนเอง ๓. อกาลโิ ก ไมป ระกอบดว ยอรยิ ชน ดังตวั อยางดํารัสของพระมหา- กาล ๔. เอหปิ สสฺ โิ ก ควรเรยี กใหมาดูปชาบดีโคตมี เม่ือคร้ังกราบทูลลาพระ ๕. โอปนยโิ ก ควรนอ มเขา มา ๖. ปจจฺ ตตฺ ํพุทธเจาเพื่อปรินิพพานตามความใน เวทิตพฺโพ วิฺูหิ อันวิญูชนพึงรูคัมภีรอปทานตอนหน่ึงวา “ขาแตพระ เฉพาะตนสุคตเจา หมอมฉันเปน มารดาของพระ ธรรมคุมครองโลก ดู โลกบาลธรรมองค, ขา แตพ ระธรี เจา พระองคก ็เปน ธรรมจริยา การประพฤติธรรม, การพระบิดาของหมอมฉนั ... รปู กายของ ประพฤติเปนธรรม, การประพฤติถูกพระองคน ี้ หมอ มฉันไดท าํ ใหเ จริญเตบิ ตามธรรม เปนชื่อหน่ึงของ กุศล-โต สวนธรรมกายอันเปนที่เอิบสุขของ กรรมบถ ๑๐หมอ มฉนั ก็เปนสิง่ อนั พระองคไดทาํ ให ธรรมจักร จักรคอื ธรรม, วงลอธรรมเจริญเติบโต”; สรุปตามนัยอรรถกถา หรืออาณาจักรธรรม หมายถึงเทศนาธรรมกาย ในความหมายนี้ ก็คือ กัณฑแรก ท่ีพระพทุ ธเจา แสดงแกพ ระ ปญจวคั คยี (ชื่อของปฐมเทศนา เรยี กโลกุตตรธรรม ๙ หรอื อริยสัจจธรรมของฆราวาส ๔ ดู ฆราวาสธรรม ๔ เตม็ วา ธมั มจกั กัปปวัตตนสตู ร)ธรรมขันธ กองธรรม, หมวดธรรม, ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรมคอื ปญ ญาประมวลธรรมเขา เปนหมวดใหญ มี ๕ รูเห็นความจริงวา ส่ิงใดก็ตามมีความคอื สีลขันธ สมาธขิ นั ธ ปญ ญาขันธ เกดิ ขนึ้ เปน ธรรมดา สง่ิ นน้ั ทง้ั ปวงลว นมีวิมุตติขันธ วิมุตติญาณทัสสนขันธ; ความดบั ไปเปน ธรรมดา; ธรรมจกั ษโุ ดยกําหนดหมวดธรรมในพระไตรปฎกวามี ท่ัวไป เชน ทเ่ี กิดแกท า นโกณฑัญญะ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ แบงเปน วนิ ัย เม่ือสดับธรรมจักร ไดแกโสดาปตติ-ปฎ ก ๒๑,๐๐๐ สุตตนั ตปฎก ๒๑,๐๐๐ มรรคหรือโสดาปตติมัคคญาณ คือและอภิธรรมปฎก ๔๒,๐๐๐ พระ ญาณทที่ ําใหเ ปนโสดาบัน ธรรมจารี ผปู ระพฤติธรรม, ผูประพฤติธรรมขนั ธธรรมคณุ คณุ ของพระธรรม มี ๖ อยา ง เปน ธรรม, ผปู ระพฤตถิ กู ธรรม คูกับ สม-คอื ๑. สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมฺโม พระ จารีธรรมอันพระผูมีพระภาคเจาตรัสดีแลว ธรรมเจดยี เจดยี บ รรจพุ ระธรรมคอื จารกึ๒. สนทฺ ิฏ โ ก อันผปู ฏบิ ตั ิจะพงึ เห็นชัด พระพทุ ธพจน เชน อรยิ สจั จ ปฏิจจ-
ธรรมเจตยิ สตู ร ๑๔๒ ธรรมบท สมุปบาท เปน ตน ลงในใบลาน แลวนํา ความมีอัธยาศัยประณีต ไปบรรจใุ นเจดยี (ขอ ๓ ในเจดยี ๔) ธรรมทนิ นา ดู ธมั มทนิ นาธรรมเจติยสูตร สูตรหนึ่งในคัมภีร ธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ มชั ฌมิ นกิ าย มชั ฌมิ ปณ ณาสก แหง พระ ๑๐; ดู อภิณหปจจเวกขณ สตุ ตนั ตปฎ ก วา ดว ยขอ ความทพ่ี ระเจา ธรรมเทศนา การแสดงธรรม, การปเสนทิโกศลกราบทูลพระพุทธเจา บรรยายธรรมพรรณนาความเลื่อมใสศรัทธาของพระ ธรรมเทศนาปฏิสงั ยุตต ธรรมเนียมท่ีองคท ่ีมีตอ พระรัตนตรัย เก่ยี วกบั การแสดงธรรม (หมวดที่ ๓ธรรมชาติ ของท่ีเกิดเองตามวิสัยของ แหง เสขิยวัตร มี ๑๖ สิกขาบท)โลก เชน คน สตั ว ตนไม เปนตน ธรรมเทศนาสิกขาบท สิกขาบทปรับธรรมฐิติ ความดํารงคงตัวแหงธรรม, อาบตั ิปาจติ ตีย แกภ ิกษุผูแสดงธรรมแก ความตง้ั อยแู นน อนแหง กฎธรรมดา มาตคุ ามเกินกวา ๕–๖ คาํ เวน แตม ีบุรุษธรรมดา อาการหรือความเปนไปแหง ผรู ูเ ดียงสาอยดู วย (สกิ ขาบทที่ ๗ ในธรรมชาติ; สามญั , ปกติ, พ้ืนๆ มุสาวาทวรรคแหง ปาจิตตีย)ธรรมทาน การใหธรรม, การสั่งสอน ธรรมนยิ าม กาํ หนดแนน อนแหง ธรรมดา,แนะนําเกี่ยวกับธรรม, การใหความรู กฎธรรมชาต,ิ ความจรงิ ทม่ี อี ยหู รอื ดาํ รงความเขา ใจท่ถี ูกตอง; ดู ทาน อยตู ามธรรมดาของมนั ซง่ึ พระพทุ ธเจาธรรมทายาท ทายาทแหง ธรรม, ผูรับ ทรงคนพบแลวทรงนํามาแสดงชี้แจง มรดกธรรม, ผูรับเอาธรรมของพระ อธบิ ายใหค นทง้ั หลายไดร ตู าม มี ๓ อยา ง พุทธเจามาเปนสมบัติดวยการประพฤติ แสดงความตามพระบาลดี งั นี้ ๑. สพเฺ พ ปฏบิ ตั ใิ หเ ขา ถงึ ; โดยตรงหมายถงึ รบั เอา สงขฺ ารา อนิจจฺ า สังขารทง้ั ปวง ไมเทย่ี ง โลกุตตรธรรม ๙ ไวไดด ว ยการบรรลุ ๒. สพฺเพ สงฺขารา ทกุ ฺขา สังขารทงั้ ปวง เอง โดยออมหมายถึง รบั ปฏบิ ตั ิกุศล คงทนอยมู ไิ ด ๓. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรม จะเปน ทาน ศีล หรอื ภาวนาก็ตาม ธรรมทง้ั ปวง ไมเ ปน ตวั ตน; ดู ไตรลกั ษณ ตลอดจนการบชู า ที่เปน ไปเพ่ือบรรลุซึ่ง ธรรมเนียม ประเพณี, แบบอยางทีเ่ คย โลกตุ ตรธรรมนัน้ ; เทยี บ อามสิ ทายาท ทํากันมา, แบบอยางที่นิยมใชกนัธรรมทําใหงาม ๒ คือ ๑. ขนั ติ ความ ธรรมบท บทแหงธรรม, บทธรรม, ขอ อดทน ๒. โสรจั จะ ความเสงี่ยมหรอื ธรรม; ชื่อคาถาบาลีหมวดหนึ่งจัดเปน
ธรรมบูชา ๑๔๓ ,คัมภีรท่ี ๒ ในขุททกนิกาย พระ ขอ สงสยั ขจดั ปด เปา ขอ ตดิ ขดั ยากลาํ บากสตุ ตนั ตปฎ ก มี ๔๒๓ คาถา เดือดรอนทั้งหลาย ใหเขาลุลวงกิจอันธรรมบชู า 1. “การบูชาดว ยธรรม”, การ เปน กุศล พน ความอึดอัดขดั ของ (ขอ ๒บชู าดว ยการปฏบิ ัตธิ รรม เฉพาะอยางย่งิ ในปฏสิ ันถาร ๒)การบูชาพระพุทธเจาดวยธรรมานุธรรม- ธรรมเปนโลกบาล ๒ คือ ๑. หริ ิ ความปฏบิ ัติ (ขอ ๒ ในบูชา ๒) 2. “การบชู า ละอายแกใจ ๒.โอตตปั ปะ ความกลวัซึ่งธรรม”, การบชู าพระธรรม อนั เปน บาป; ดู โลกบาลธรรมอยา งหนึ่งในพระรตั นตรยั (คอื บชู าพระ ธรรมเปนเหตุใหสมหมาย ธรรมที่จะธรรมรตั นะ) ดว ยดอกไม ธปู เทียน ชว ยใหไ ดท ลุ ลภธรรมสมหมาย มี ๔ คอืของหอม เปนตน หรอื (ที.อ.๓/๙๖) บูชา ๑. สทั ธาสัมปทา ถงึ พรอ มดว ยศรทั ธาทานผูเปนพหูสูต ผูทรงธรรมทรงวินัย ๒. สลี สมั ปทา ถงึ พรอ มดว ยศลี ๓. จาค-ดวยไตรจีวร เปนตน ตลอดจนเคารพ สัมปทา ถงึ พรอ มดวยการบรจิ าค ๔.ธรรม ถือธรรมเปน ใหญ ดงั ท่ีพระพทุ ธ ปญญาสัมปทา ถงึ พรอ มดว ยปญ ญาเจาทรงเคารพธรรม และทรงบําเพ็ญ ธรรมพเิ ศษ ดู ธรรมวเิ ศษพุทธกิจดวยทรงเห็นแกธรรม เพ่ือให ธรรมไพบูลย ความไพบูลยแหง ธรรม,หมูชนเขาถึงธรรม ไดประโยชนจาก ความพร่ังพรอมเต็มเปยมแหงธรรมธรรม (เชน ม.อ.๔/๒๐๘; ม.ฏี.๓/๔๗๐) ดวยการฝกฝนอบรมใหมีในตนจนธรรมปฏิบัติ การปฏิบัติธรรม; การ บริบูรณ หรือดวยการประพฤติปฏิบัติปฏิบัตทิ ถ่ี ูกตองตามธรรม กันในสังคมจนแพรหลายท่ัวไปท้ังหมด;ธรรมปฏริ ูป ธรรมปลอม, ธรรมทีไ่ ม ดู ไพบลู ย, เวปลุ ละ ธรรมภาษติ ถอยคาํ ท่เี ปน ธรรม, ถอ ยคําแท, ธรรมเทียมธรรมปฏิสันถาร การตอ นรบั ดว ยธรรม ทแ่ี สดงธรรม หรอื เก่ียวกบั ธรรมคือกลาวธรรมใหฟงหรือแนะนําในทาง ธรรมมีอุปการะมาก ๒ คือ ๑. สติธรรม อยางนี้เปนธรรมปฏิสันถารโดย ความระลกึ ได ๒.สมั ปชญั ญะ ความรตู วัเอกเทศคือสวนหน่ึงดานหนึ่ง ธรรม- ธรรมยุต, ธรรมยุติกนิกาย ดู คณะปฏิสันถารที่บําเพ็ญอยางบริบูรณ คือ ธรรมยตุการตอนรับโดยธรรม ไดแก เอาใจใส ธรรมรตั นะ,ธรรมรัตน รตั นะคอื ธรรม,ชว ยเหลอื สงเคราะห แกไ ขปญ หาบรรเทา พระธรรมอนั เปน อยา งหนง่ึ ในรตั นะ ๓
ธรรมราชา ๑๔๔ ธรรมสภา ทเี่ รียกวาพระรตั นตรัย; ดู รตั นตรยั ธรรม = คําสอนแสดงหลกั ความจริงธรรมราชา 1. “ผูย งั ชาวโลกใหช ื่นบาน และแนะนาํ ความประพฤต,ิ วินัย = บทดวย(นวโลกตุ ตร)ธรรม”, พระราชาแหง บัญญัติกําหนดระเบียบความเปนอยูธรรม, พระราชาผูเปนเจาแหงธรรม, และกาํ กบั ความประพฤต;ิ ธรรม = เครอื่ งพระราชาโดยธรรม หมายถึงพระพุทธ ควบคมุ ใจ, วินัย = เครอื่ งควบคุมกายเจา 2. “ผูย ังชาวโลกใหช่นื บานดวย(ทศ และวาจากุศลกรรมบถ)ธรรม”, ราชาผทู รงธรรม, ธรรมวภิ าค การจาํ แนกธรรม, การจดัพระเจา จกั รพรรดิ ตามคติแหงพระพทุ ธ หัวขอธรรมจําแนกออกเปนหมวดหมูศาสนา คือ ราชาผูมีชัยชนะและครอง เพื่อสะดวกแกการศึกษาคนควาอธิบายแผน ดนิ โดยธรรม ไมต อ งใชท ณั ฑ ไม และทาํ ความเขาใจตองใชศ ัสตราวธุ ธรรมวิเศษ ธรรมชั้นสูง หมายถึงธรรมวัตร ลักษณะเทศนทาํ นองธรรมดา โลกุตตรธรรมเรยี บๆ ทแี่ สดงอยทู ั่วไป อันตา งไปจาก ธรรมศาลา หอธรรม, โรงฟง ธรรม; เปนทํานองเทศนแบบมหาชาติ, ทํานอง คําท่ีเกิดในยุคหลังมาก และใชกันไมแสดงธรรม ซึ่งมุงอธิบายตามแนวเหตุ มาก มักเปนชื่อวัด พบบางในคัมภีรผล มใิ ชแ บบเรยี กเราอารมณ ประเภท “วงั สะ” คอื ตํานานตา งๆ เชนธรรมวาที “ผูมปี กตกิ ลา วธรรม”, ผพู ูด มหาวงส สาสนวงส (รปู บาลีเปน “ธมมฺ -เปนธรรม, ผพู ูดตามธรรม, ผูพูดตรง สาลา”)ตามธรรมหรอื พูดถูกตองตามหลัก ไม ธรรมสภา ทปี่ ระชมุ ฟง ธรรม, โรงธรรม; พดู ผดิ ธรรม ไมพดู นอกหลักธรรม แตเดิม ในพระไตรปฎ ก “ธรรมสภา”ธรรมวจิ ยั การเฟนธรรม; ดู ธมั มวิจยะ เปนคําท่ีใชนอย (พบในเรื่องอดีตกอนธรรมวจิ ารณ การใครค รวญพจิ ารณาขอ พทุ ธกาลครั้งหนง่ึ คือ ในวิธุรชาดก, ขุ.ชา.ธรรมตา งๆ วา แตล ะขอ มีอรรถคือความ ๒๘/๑๐๔๐/๓๖๒, เปนอาคารหลวงในเมอื งหมายอยา งไร ตน้ื ลกึ เพยี งไร แลว แสดง อินทปตถ หรอื อินทปตต ในกรุ รุ ัฐ, และความคิดเห็นออกมาวาธรรมขอน้ันขอนี้ อกี คร้งั หน่งึ เปน คาถาประพนั ธข องพระ มีอรรถคือความหมายอยางนน้ั อยา งนี้ อบุ าลีมหาสาวก, ข.ุ อป.๓๒/๘/๖๓, กลา วธรรมวินยั ธรรมและวนิ ัย, คําสั่งสอนทัง้ เปนความอุปมาวาพระพุทธเจาทรงเปนหมดของพระพุทธเจา ซึ่งประกอบดวย พระธรรมราชา ไดทรงสรางธรรมนคร
ธรรมสมโภค ๑๔๕ ธรรมสามคั คีขึ้น ในธรรมนครนี้ มีพระสุตตันตะ ไป, บางอยางใหทุกขในปจจบุ นั แตมสี ขุพระอภธิ รรม พระวินัย และพทุ ธพจนม ี เปนวิบากตอไป, บางอยางใหสุขในองค ๙ ทัง้ สิ้น เปนธรรมสภา), ตอ มา ปจจุบัน แตมที กุ ขเ ปนวิบากตอ ไป, บางในชนั้ อรรถกถา “ธรรมสภา” ไดกลาย อยางใหสุขในปจจุบัน และมีสุขเปนเปนคําสามัญอันใชเรียกที่ประชุมฟง วบิ ากตอ ไปพระธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจา เชน ธรรมสวนะ การฟง ธรรม, การหาความในวัดพระเชตวัน เชนเดียวกับคําวา รูความเขาใจในหลักความจริงความถูก“คันธกุฎี” ทีอ่ รรถกถาใชเ รียกพระวิหาร ตองดงี าม ดว ยการเลาเรยี น อา นและท่ีประทับของพระพุทธเจา ดงั ขอ ความ สดับฟง, การศึกษาหาความรูท่ีในอรรถกถา (เชน อง.ฺ อ.๑/๑๐๑/๗๔) วา ปราศจากโทษ; ธมั มสั สวนะ ก็เขียน“พระผูมีพระภาคเจาเสด็จออกจากพระ ธรรมสวามิศร ผเู ปนใหญโดยฐานเปนคันธกุฎี มาประทับน่ังเหนือพระบวร เจา ของธรรม หมายถึงพระพทุ ธเจาพุทธอาสนท่ีเขาปูลาดไวในธรรมสภา”, ธรรมสังคาหกะ พระอรหันต ๕๐๐อาคารที่อรรถกถาเรียกวาธรรมสภานี้ องค ผรู วบรวมรอ ยกรองพระธรรมวินยัตามปกติก็คืออาคารท่ีในพระไตรปฎก ในคราวปฐมสงั คายนาเรียกวา “อุปฏฐานศาลา” (ศาลาที่ภกิ ษุ ธรรมสังคาหกาจารย อาจารยผูรอยทั้งหลายมาเฝาเพ่ือฟงพระพุทธโอวาท กรองธรรม; ดู ธรรมสงั คาหกะและสดับพระธรรมเทศนา) ดังทท่ี านไข ธรรมสงั คีติ การสงั คายนาธรรม, การความวา “คําวา ‘ในอุปฏฐานศาลา’ รอยกรองธรรม, การจัดสรรธรรมเปนหมายความวา ‘ในธรรมสภา’” (อปุ ฏ าน- หมวดหมูสาลายนตฺ ิ ธมมฺ สภาย,ํ วนิ ย.ฏี.๒/๑๓๔/ ธรรมสงั เวช ความสงั เวชโดยธรรมเมอ่ื๒๗๗); ดู คนั ธกุฎี, อุปฏ ฐานศาลา เห็นความแตกดับของสังขาร (เปนธรรมสมโภค คบหากนั ในทางเรยี นธรรม อารมณของพระอรหนั ต) ; ดู สังเวชไดแ ก สอนธรรมให หรอื ขอเรยี นธรรม ธรรมสากจั ฉา การสนทนาธรรม, การธรรมสมาทาน การสมาทานยึดถือ สนทนากนั ในทางธรรมปฏิบัติธรรม, การทํากรรม จดั ไดเปน ๔ ธรรมสามัคคี ความพรอมเพรียงของประเภท คือ การทาํ กรรมบางอยางให องคธรรม, องคธรรมท้ังหลายท่ีเก่ียวทกุ ขในปจจบุ นั และมีทกุ ขเปน วิบากตอ ของทุกอยางทํากิจหนาที่ของแตละ
ธรรมสามสิ ร ๑๔๖ ธญั ชาติอยางๆ พรอมเพรียงและประสานสอด ปฏิบัติธรรมถกู ตองตามหลกั เชน หลักคลองกัน ใหสําเร็จผลท่ีเปนจุดหมาย ยอยสอดคลองกับหลักใหญ และเขาเชน ในการบรรลมุ รรคผล เปนตน แนวกบั ธรรมท่ีเปนจุดมงุ หมาย, ปฏิบตั ิธรรมสามิสร ดู ธรรมสวามศิ ร ถูกตองตามกระบวนธรรม; ดู วุฑฒิธรรมสามี ผเู ปนเจาของธรรม เปนคํา ธรรมาภิสมัย การตรัสรูธรรม, การเรียกพระพุทธเจา สําเรจ็ มรรคผลธรรมเสนา กองทัพธรรม, กองทัพพระ ธรรมารมณ อารมณค อื ธรรม, สง่ิ ทถ่ี กู รบั รูสงฆผปู ระกาศพระศาสนา ทางใจ, สงิ่ ทรี่ ดู ว ยใจ, สง่ิ ทใี่ จรสู กึ นกึ คดิ ; ดูธรรมเสนาบดี แมท พั ธรรม, ผูเปน นาย ธัมมายตนะ, อารมณทพั ธรรม เปน คาํ เรยี กยกยอ งพระสารบี ตุ ร ธรรมาสน ทส่ี าํ หรบั น่งั แสดงธรรมซ่ึงเปนกําลังใหญของพระศาสดาในการ ธรรมิกอุบาย อุบายที่ประกอบดวยประกาศพระศาสนา ธรรม, อุบายทีช่ อบธรรม, วธิ ีท่ถี กู ธรรมธรรมันเตวาสิก อันเตวาสิกผูเรียน ธรรมิศราธิบดี ผูเปนอธิบดีโดยฐานธรรมวินยั , ศษิ ยผ ูเรียนธรรมวินยั ; คกู บั เปนใหญในธรรม หมายถึงพระพุทธเจาอทุ เทศาจารย (คํากวี)ธรรมาธิปไตย ถอื ธรรมเปน ใหญ, ถือ ธรรมกี ถา ถอ ยคําที่ประกอบดวยธรรม,หลักการ ความจริง ความถูกตอง ความ การพูดหรือสนทนาเก่ียวกับธรรม, คาํดีงามและเหตุผลเปนใหญ ทาํ การดว ย บรรยายหรืออธิบายธรรม; นิยมใชวาปญ ญา โดยเคารพหลกั การ กฎ ระเบยี บ ธรรมกถากติกา มุงเพื่อความดีงาม ความจริง ธรรมุเทศ ธรรมท่ีแสดงขึ้นเปนหัวขอ,ความชอบธรรมเปน ประมาณ; ดู อธปิ ไตย หัวขอ ธรรมธรรมาธิษฐาน มีธรรมเปนท่ีตั้ง คือ ธรรมธุ จั จ ดู ธมั มทุ ธจั จะ;วปิ ส สนปู กเิ ลสเทศนายกธรรมข้นึ แสดง เชนวา ศรัทธา ธญั ชาติ ขาวชนิดตา งๆ, พชื จาํ พวกขา ว;ศลี คืออยางน้ี ธรรมทป่ี ระพฤตดิ ีแลว ธญั ชาติ ๗ คอื สาลิ (ขา วสาล)ี , วหี ิ (ขา วยอมนําสุขมาให ดังนี้เปนตน; คูกับ เจา ), ยวะ (ขา วเหนยี ว), โคธมุ ะ (โคธมู ะบคุ คลาธิษฐาน กว็ า ; ขา วละมาน), กงั คุ (ขา วฟา ง), วรกะธรรมานุธรรมปฏิบัติ การประพฤติ (ลกู เดอื ย), กทุ รสู ะ (หญา กบั แก) ; คาํ วาธรรมสมควรแกธรรม หมายถึงการ “ธญั ชาตดิ บิ สด” (อามกธญั ญะ) หมายถงึ
ธมั มกามตา ๑๔๗ ธัมมเทสนามยัธญั ชาติ ๗ นเ้ี อง ทย่ี งั ไมไ ดข ดั สหี รอื ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร “พระสูตรวากะเทาะเปลอื กออก (ยงั ไมเ ปน ตณั ฑลุ ะ) ดวยการยังธรรมจักรใหเปนไป”, พระและยงั ไมไ ดท าํ ใหส กุ (ยงั ไมเ ปน โอทนะ) สูตรวา ดว ยการหมนุ วงลอธรรม เปน ชอื่เชน วหี ิ คอื ขา วเปลอื กของขา วเจา ของ ปฐมเทศนา คือพระธรรมเทศนาอนึ่ง พืชทีเ่ ปนของกนิ คือเปน อาหาร ครั้งแรก ซึ่งพระพุทธเจาทรงแสดงแกท่ีรับประทาน (อันนะ) น้นั แบงเปน ๒ พระปญ จวคั คยี ทป่ี า อสิ ปิ ตนมฤคทายวนัพวก ไดแ ก บพุ พณั ณะ (แปลสบื กนั มาวา แขวงเมืองพาราณสี ในวันขน้ึ ๑๕ ค่ํา“ของทจ่ี ะพงึ กนิ กอ น” แตต ามคาํ อธิบาย เดือน ๘ หลังจากวนั ตรัสรสู องเดอื น วาในคมั ภรี ห ลายแหง นา จะแปลวา “ของกนิ ดว ยมชั ฌิมาปฏิปทา คอื ทางสายกลางทม่ี เี ปน หลกั ขน้ึ กอ น”) ไดแ ก ธญั ชาติ ๗ ซึ่งเวนท่ีสุด ๒ อยาง และวาดวยนี้ (รวมทั้งพืชท่ีอนุโลมหรือเขาพวกนี้) อรยิ สัจจ ๔ ซ่งึ พระพุทธเจา ไดต รัสรู อันและ อปรณั ณะ (แปลสบื กนั มาวา “ของ ทําใหพระองคสามารถปฏิญาณวาไดท่ีจะพึงกินในภายหลัง” แตตามคํา ตรัสรูอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณอธบิ ายในคมั ภรี ห ลายแหง นา จะแปลวา คือความตรัสรูเองโดยชอบอันยอด“ของกนิ ทม่ี เี พม่ิ มาอกี ทหี ลงั ” ทาํ นองของ เย่ยี ม) ทานโกณฑญั ญะ หัวหนาคณะกนิ ประกอบ) ไดแ กพ ชื จาํ พวกถว่ั งาและ ปญจวัคคยี ฟงพระธรรมเทศนานแ้ี ลวผักท่ีทําเปนกับแกง เชนที่ทานยกตัว ไดด วงตาเหน็ ธรรม (ธรรมจกั ษ)ุ และอยา งบอ ย คอื มคุ คะ (ถว่ั เขยี ว) มาส ขอบวชเปนพระภิกษุรูปแรก เรียกวา(ถวั่ ราชมาส) ตลิ ะ (งา) กลุ ตั ถ (ถวั่ พ)ู เปน ปฐมสาวกอลาพุ (นา้ํ เตา ) กมุ ภณั ฑ (ฟก เขยี ว); ธมั มทินนา พระเถรมี หาสาวิกาองคห น่ึงทั้งน้ี มคี ติโบราณเช่ือวา ครั้งตน กัป เมือ่ เปนกุลธิดาชาวพระนครราชคฤห เปนส่งิ ทง้ั หลายแรกเกิดมีขนึ้ นน้ั บุพพัณณะ ภรรยาของวสิ าขเศรษฐี มคี วามเลื่อมใสเกิดมีกอน อปรณั ณะเกดิ ทีหลัง ในพระพุทธศาสนาบวชในสํานักนางธมั มกามตา ความเปน ผใู ครธ รรม, ความ ภิกษณุ ี บําเพ็ญเพียรไมน านก็ไดสําเร็จพอใจและสนใจในธรรม, ความใฝธ รรม พระอรหัต ไดรับยกยองวาเปนรักความจริง ใฝศึกษาหาความรู และใฝ เอตทัคคะในทางเปนธรรมกถกึ (เขยี นในความดี (ขอ ๖ ในนาถกรณธรรม ๑๐) ธรรมทินนา ก็ม)ีธมั มคารวตา ดู คารวะ ธมั มเทสนามัย บุญสําเร็จดวยการแสดง
ธัมมปฏสิ ันถาร ๑๔๘ ธมั มปั ปมาณิกา ธรรม (ขอ ๙ ในบุญกิริยาวตั ถุ ๑๐) มีแบบแผน ในทีน่ ี้หมายถงึ ภาษาบาลี),ธมั มปฏสิ นั ถาร ดู ธรรมปฏสิ ันถาร ธัมมปทัฏฐกถาน้ี มชี อ่ื เฉพาะรวมอยูในธัมมปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานใน ชุดทเี่ รียกวา ปรมัตถโชตกิ า; ดู ปรมัตถ- ธรรม, เหน็ คําอธบิ ายพิสดาร ก็สามารถ โชตกิ า, อรรถกถา, โปราณฏั ฐกถา จับใจความมาตัง้ เปน หวั ขอ ได เหน็ ผลก็ ธัมมมัจฉริยะ ตระหนีธ่ รรม ไดแก หวงสืบสาวไปหาเหตุได (ขอ ๒ ใน แหนความรู ไมย อมบอก ไมยอมสอนปฏิสัมภิทา ๔) คนอน่ื เพราะเกรงวาเขาจะรูเ ทาตน (ขอธัมมปทฏั ฐกถา คมั ภรี อรรถกถาอธบิ าย ๕ ในมัจฉริยะ ๕)ความในธรรมบท แหงขทุ ทกนกิ าย ใน ธมั มวจิ ยะ ความเฟนธรรม, ความสอดพระสุตตันตปฎ ก พระพุทธโฆสาจารย สอ ง สืบคนธรรม, การวิจัยหรือคน ควานําเน้ือความในอรรถกถาเกาที่ใชศึกษา ธรรม (ขอ ๒ ในโพชฌงค ๗)และรักษาสบื ตอกนั มาในลงั กาทวปี อนั ธัมมสัมมขุ ตา ความเปน ตอ หนา ธรรม,เปนภาษาสิงหฬ เอามาเรียบเรียงกลับ พรอ มหนาธรรม ในววิ าทาธิกรณ หมายขนึ้ เปนภาษาบาลี เม่ือ พ.ศ. ใกลจ ะถงึ ความวา ปฏิบัติถูกตองตามธรรมวินัย๑๐๐๐ ดังที่ทานเลาไวในปณามคาถา และสัตถุศาสนอันเปนเครื่องระงับของคัมภีรนี้วา พระกุมารกัสสปเถระ อธิกรณน้ัน จึงเทากับวาธรรมมาอยูท่ี(พระเถระรูปหนึ่งในลังกาทวีป ไมใช นน้ั ดว ย; ดู สัมมขุ าวินยัทานท่ีเปนมหาสาวกในพุทธกาล) คิด ธมั มสากจั ฉา ดู ธรรมสากัจฉาหวังวา “อรรถกถาแหงพระธรรมบท ธมั มญั ุตา ความเปนผรู ูจกั เหตุ เชน รูอันละเอียดลึกซ้ึง ที่นําสืบกันมาใน จกั วา สง่ิ นเ้ี ปนเหตแุ หง สุข สง่ิ น้เี ปนเหตุตามพปณณทิ วีป ดาํ รงอยโู ดยภาษาของ แหง ทกุ ข; ตามอธบิ ายในบาลหี มายถงึ รหู ลกัชาวเกาะ ไมชวยใหประโยชนสําเร็จ หรอื รหู ลกั การ เชน ภกิ ษุเปนธัมมญั ูพรอ มบรู ณแกคนพวกอน่ื ทเ่ี หลอื ได ทํา คอื รูห ลกั คาํ สอนของพระพทุ ธเจา ท่จี ดัอยางไรจะใหอรรถกถาแหงพระธรรม- เปนนวังคสตั ถุศาสน; ดู สัปปรุ ิสธรรมบทนั้นยังประโยชนใหสําเร็จแกโลกท้ัง ธมั มปั ปมาณกิ า ถอื ธรรมเปน ประมาณ,ปวงได” จึงไดอ าราธนาทา นใหทาํ งานนี้ ผูเลื่อมใสเพราะพอใจในเนื้อหาธรรมและทานก็ไดนําอรรถกถาน้ันออกจาก และการปฏบิ ตั ดิ ีปฏิบตั ชิ อบ เชน ชอบภาษาสงิ หฬ ยกขึน้ สูต ันตภิ าษา (ภาษาท่ี ฟงธรรม ชอบเห็นภิกษุรักษามารยาท
ธมั มสั สวนะ ๑๔๙ ธาต๑ุเรียบรอ ยสํารวมอินทรีย แลนตามไปดวยธรรม”, พระอริยบคุ คลธัมมสั สวนะ การฟงธรรม, การสดับคํา ผูตั้งอยใู นโสดาปต ตมิ รรค ท่ีมปี ญ ญนิ -แนะนําสั่งสอน; ดู ธรรมสวนะ ทรยี แรงกลา (เมอื่ บรรลผุ ล กลายเปนธัมมัสสวนมัย บุญสําเร็จดวยการฟง ทิฏฐิปปต ตะ); ดู อรยิ บคุ คล ๗ธรรม (ขอ ๘ ในบุญกิริยาวตั ถุ ๑๐) ธัมมายตนะ อายตนะคือธรรม,ธัมมสั สวนานิสงส อานิสงสแหง การฟง ธรรมารมณ, เปนขอ ท่ี ๖ ในอายตนะธรรม, ผลดีของการฟง ธรรม, ประโยชน ภายนอก ๖ (คูกบั มนายตนะ [อายตนะที่จะไดจากการฟงธรรม มี ๕ อยางคอื คือใจ] ในฝา ยอายตนะภายใน ๖), ได๑. ไดฟ ง สง่ิ ทยี่ งั ไมเ คยฟง ๒. สง่ิ ทเ่ี คยฟง แกส ภาวธรรมตอ ไปนี้ คือ นามขนั ธ ๓กเ็ ขา ใจแจม แจง ชดั เจนยง่ิ ขนึ้ ๓. บรรเทา (เวทนา สญั ญา สงั ขาร) และรปู บางอยา ง ความสงสยั เสยี ได ๔. ทําความเหน็ ให ในรปู ขันธ (คอื เฉพาะอนทิ สั สนอปั ปฏฆิ - ถกู ตองได ๕. จิตของเขายอมผองใส รปู อนั ไดแ กส ขุ มุ รปู ๑๖) กบั ทง้ั อสงั ขต-ธัมมาธิปเตยยะ ถือธรรมเปนใหญ คอื ธาตุ คือนพิ พาน ซึ่งเปน ขนั ธวนิ ิมตุ คอืนึกถึงความจริง ความถูกตองสมควร เปนสภาวะพน จากขันธ ๕ (อภิ.วิ.๓๕/๑๐๐/กอนแลว จงึ ทาํ บัดนีน้ ยิ มเขยี น ธรรมา- ๘๖); ดู สขุ ุมรปู , อายตนะธิปไตย; ดู อธปิ เตยยะ ธมั มกี ถา ดู ธรรมีกถาธัมมานุธมั มปฏปิ ตติ ดู ธรรมานธุ รรม- ธัมมุทธจั จะ ความฟงุ ซา นดวยสําคัญผดิปฏิบตั ิ ในธรรม คอื ความฟุงซานเน่ืองจากเกดิธัมมานุปสสนา การตั้งสติกําหนด วิปสสนูปกิเลสอยา งใดอยางหนึ่งข้นึ แลวพิจารณาธรรม, สตพิ จิ ารณาธรรมที่เปน สําคัญผิดวาตนบรรลุธรรมคือมรรคผลกุศลหรืออกุศลที่บังเกิดกับใจเปน นิพพาน จิตก็เลยคลาดเขวออกไปอารมณวา ธรรมน้ีก็สักวาธรรมไมใช เพราะความฟงุ ซานนน้ั ไมเกิดปญ ญาท่ีสัตวบคุ คลตวั ตนเราเขา (ขอ ๔ ในสต-ิ จะเห็นไตรลกั ษณไ ดจรงิ , ธรรมธุ จั จ ก็ปฏฐาน ๔) เขียน; ดู วปิ สสนูปกิเลสธัมมานุสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรม ธาตุ๑ สิ่งท่ีทรงสภาวะของมันอยูเองตาม(ขอ ๒ ในอนสุ ติ ๑๐) เขียนอยา งรปู ธรรมดาของเหตปุ จจยั , ธาตุ ๔ คอื ๑.เดิมในภาษาบาลเี ปน ธมั มานสุ สติ ปฐวีธาตุ สภาวะที่แผไปหรือกินเน้ือที่ธมั มานุสารี “ผแู ลน ไปตามธรรม”, “ผู เรียกสามัญวาธาตุแขนแข็งหรือธาตุดิน
ธาต๒ุ ๑๕๐ ธดุ งค๒. อาโปธาตุ สภาวะทเ่ี อิบอาบดูดซึม ใชต ัวตนของเราเรยี กสามัญวา ธาตเุ หลวหรอื ธาตุนาํ้ ๓. ธาตุเจดีย เจดียบรรจุพระบรม-เตโชธาตุ สภาวะที่ทําใหรอน เรียก สารีรกิ ธาตุ (ขอ ๑ ในเจดีย ๔)สามัญวา ธาตุไฟ ๔. วาโยธาตุ สภาวะท่ี ธิติ 1. ความเพยี ร, ความเขมแขง็ มัน่ คง,ทาํ ใหเคลื่อนไหว เรยี กสามัญวา ธาตุ ความหนักแนน, ความอดทน 2.ลม; ธาตุ ๖ คือ เพ่มิ ๕. อากาสธาตุ ปญ ญาสภาวะที่วาง ๖. วิญญาณธาตุ สภาวะทีร่ ู ธรี ะ นักปราชญ, ผฉู ลาด ธดุ งค องคค ุณเคร่อื งกําจัดกเิ ลส, ช่อื ขอแจง อารมณ หรอื ธาตรุ ูธาต๒ุ สวนสําคญั แหง สรรี ะ ของพระพุทธ ปฏิบัติประเภทวัตร ท่ีผูสมัครใจจะพึงเจา พระปจเจกพทุ ธเจา และพระอรหนั ต สมาทานประพฤตไิ ด เปนอบุ ายขดั เกลาทั้งหลาย ซึ่งคงอยูหรือรักษาไวเปนท่ี กิเลส สงเสริมความมักนอยสันโดษ เคารพบูชา เฉพาะอยางย่ิงอัฐิ รวมท้ัง เปนตน มี ๑๓ ขอคือ หมวดที่ ๑ จีวร- ปฏสิ งั ยตุ ต เกย่ี วกบั จวี ร มี ๑. ปง สกุ ูล-ิ สวนสําคัญอืน่ ๆ เชน เกสา (เกศธาต)ุ , กงั คะ ถอื ใชแตผา บังสุกุล ๒. เตจีวริ- กังคะ ใชผ าเพยี งสามผืน; หมวดท่ี ๒ เรยี กรวมๆ วา พระธาตุ (ถา กลา วถงึ ธาตุ ปณ ฑปาตปฏสิ งั ยตุ ต เกยี่ วกบั บณิ ฑบาต ของพระพุทธเจาโดยเฉพาะ เรียกวา มี ๓. ปณฑปาติกังคะ เทยี่ วบณิ ฑบาต พระบรมธาตุ พระบรมสารรี กิ ธาตุ พระ เปนประจํา ๔. สปทานจารกิ ังคะ บิณฑ- สารีริกธาตุ หรือระบุชื่อพระธาตุสวน บาตตามลําดับบาน ๕. เอกาสนิกังคะ น้ันๆ เชน พระทาฐธาตุ พระอุณหิส- ฉันม้ือเดียว ๖. ปตตปณฑิกังคะ ฉัน ธาต)ุ ; ดู สารีริกธาตุ เฉพาะในบาตร ๗. ขลปุ จ ฉาภัตตกิ ังคะธาตุกถา ช่ือคัมภีรท่ีสามแหงพระ อภิธรรมปฎก วาดวยการสงเคราะหธรรมท้ังหลายเขากับ ขันธ อายตนะ ลงมือฉันแลวไมยอมรับเพ่ิม; หมวดท่ี และธาตุ (พระไตรปฎกเลม ๓๖) ๓ เสนาสนปฏสิ งั ยตุ ต เกย่ี วกบั เสนาสนะธาตุกัมมัฏฐาน กรรมฐานที่พิจารณา มี ๘. อารญั ญกิ งั คะ ถอื อยปู า ๙. รกุ ขมลู -ิ ธาตุเปนอารมณ, กําหนดพิจารณาราง กังคะ อยูโคนไม ๑๐. อัพโภกาสิกงั คะ อยูก ลางแจง ๑๑. โสสานกิ งั คะ อยปู า ชา กายแยกเปนสวนๆ ใหเห็นวาเปนแต ๑๒. ยถาสนั ถตกิ งั คะ อยูในทีแ่ ลวแตเ ขา เพียงธาตุ ๔ คอื ดิน นํา้ ไฟ ลมประชุมกันอยู ไมใชเ รา ไมใ ชข องเรา ไม จัดให; หมวดท่ี ๔ วริ ิยปฏสิ ังยุตต เกีย่ ว
ธรุ ะ ๑๕๑ นกุลบิดากับความเพยี ร มี ๑๓. เนสชั ชกิ ังคะ ถอื ธุวยาคู ยาคูท่ีเขาถวายเปนประจําเชนท่ีนั่งอยางเดียวไมนอน (นีแ้ ปลเอาความ นางวิสาขาถวายเปนประจําหรือที่จัดทําสั้นๆ ความหมายละเอียดพึงดูตาม เปนของวัดแจกกนั เองลําดับอกั ษรของคํานนั้ ๆ) โธตกมาณพ ศิษยคนหน่ึงในจาํ นวน ๑๖ธรุ ะ “สงิ่ ทจี่ ะตอ งแบกไป”, หนา ท,่ี ภารกจิ , คน ของพราหมณพาวรี ท่ีไปทูลถามการงาน, เร่อื งทจี่ ะตอ งรบั ผิดชอบ, กจิ ปญหากะพระศาสดา ท่ีปาสาณเจดียในพระศาสนา แสดงไวในอรรถกถา ๒ โธโตทนะ กษตั ริยศ ากยวงศ เปน พระอยา งคอื คนั ถธรุ ะ และวปิ ส สนาธรุ ะ ราชบุตรองคท่ี ๔ ของพระเจา สีหหนุธลุ ี ฝนุ , ละออง, ผง เปนพระอนุชาของพระเจาสุทโธทนะธุวภตั อาหารท่ถี วายเปนประจาํ , นติ ยภัต เปนพระเจาอาของพระพุทธเจา นนกลุ บดิ า “พอ ของนกลุ ”, คฤหบดชี าว ตอกันอยางบริสุทธิ์และม่ันคงยั่งยืน เมืองสุงสุมารคีรี ในแควนภัคคะ มี ตราบเทาชรา ทั้งยงั ปรารถนาจะพบกนั ภรรยาชอื่ นกลุ มารดา สมยั หนง่ึ พระ ทง้ั ชาตนิ แ้ี ละชาตหิ นา เคยทลู ขอใหพ ระ พุทธเจาเสด็จมายังเมืองสุงสุมารคีรี พุทธเจาแสดงหลักธรรมท่ีจะทําใหสามี ประทับที่ปาเภสกลาวัน ทานคฤหบดี ภรรยาครองรักกันยั่งยนื ตลอดไปท้งั ภพ และภรรยาไปเฝาพรอมกับชาวเมืองคน นแ้ี ละภพหนา เมอื่ ทา นนกลุ บดิ าเจบ็ ปว ย อื่นๆ พอไดเห็นครงั้ แรก ทงั้ สองสามี ออดแอดรา งกายออ นแอ ไมส บายดว ย ภรรยาก็เกิดความรูสึกสนิทหมายใจ โรคชรา ทา นไดฟ ง พระธรรมเทศนาครงั้ เหมือนวาพระพุทธเจาเปนบุตรของตน หนง่ึ ทท่ี า นประทบั ใจมากคอื พระดาํ รสั ไดเขา ไปถงึ พระองคแ ละแสดงความรสู กึ ทแ่ี นะนาํ ใหท าํ ใจวา “ถงึ แมร า งกายของ นนั้ พระพทุ ธเจา ไดแ สดงธรรมโปรด ทง้ั เราจะปว ย แตใ จของเราจะไมป ว ย” ทา น สองทานไดบรรลุธรรมเปนพระโสดาบัน นกุลบิดาไดรับยกยองจากพระพุทธเจา ทานนกุลบิดาและนกุลมารดานี้ เปนคู ใหเ ปน เอตทคั คะในบรรดาอบุ าสกผสู นทิ สามภี รรยาตวั อยา ง ผมู คี วามจงรกั ภกั ดี สนมคุนเคย (วิสสาสิกะ) ทานนกุล-
นขา ๑๕๒ นวรหคณุมารดากเ็ ปน เอตทคั คะในบรรดาอบุ าสกิ า นลาฏ หนาผาก นวกะ 1. หมวด ๙ 2. ภิกษใุ หม, ภิกษมุ ีผสู นทิ สนมคนุ เคยเชน เดยี วกนันขา เล็บ พรรษายงั ไมค รบ ๕; เทยี บ เถระ, มชั ฌมิ ะนคร เมืองใหญ, กรงุ นวกภูมิ ขน้ั ชั้น หรอื ระดบั พระนวกะ,นครโศภนิ ี หญงิ งามเมือง, หญงิ ขายตัว ระดบั อายุ คุณธรรม ความรู ที่นบั วายงั(พจนานุกรมเขียน นครโสภิณ,ี นคร- เปน ผใู หม คอื มพี รรษาตา่ํ กวา ๕ ยงั ตอ งโสเภณี) ถอื นสิ ยั เปน ตน ; เทยี บ เถรภมู ,ิ มชั ฌมิ ภมู ินที แมน า้ํ ในพระวินยั หมายเอาแมน ํ้าท่ี นวกรรม การกอ สรางมีกระแสนํา้ ไหลอยู ไมใ ชแ มน า้ํ ตนั นวกัมมาธิฏฐายี ผอู าํ นวยการกอสรางนทกี สั สป นักบวชชฎลิ แหง กัสสปโคตร เชน ทพี่ ระมหาโมคคัลลานะไดรับมอบนองชายของอุรุเวลกัสสปะ พี่ชายของ หมายจากพระบรมศาสดาใหเปนผูคยากสั สปะ ออกบวชตามพช่ี าย พรอม อํานวยการสรางบุพพารามท่ีนางวิสาขาดว ยชฎิลบรวิ าร ๓๐๐ คน สําเรจ็ อรหตั บริจาคทนุ สรางท่ีกรงุ สาวตั ถีดว ยฟง อาทติ ตปรยิ ายสตู ร เปน มหาสาวก นวกมั มกิ ะ ผดู แู ลนวกรรม, ภกิ ษผุ ไู ดร บัองคหนง่ึ ในอสีติมหาสาวก สมมติ คอื แตงตง้ั จากสงฆ ใหทาํ หนา ที่นทีปารสีมา สีมาฝง นา้ํ คือ สีมาที่สมมติ ดูแลการกอสรางและปฏิสังขรณในครอ มฝงนาํ้ ท้ังสอง เปดแมน ้ําไวก ลาง อาราม, เปน ตาํ แหนง หนงึ่ ในบรรดา เจานพเคราะห ดู ดาวพระเคราะห อธิการแหงอารามนมสั การ “การทาํ ความนอบนอ ม” การ นวโกวาท คาํ สอนสาํ หรับผูบวชใหม, คาํไหว, การเคารพ, การนอบนอ ม; ใชเ ปน สอนสําหรับภิกษุสามเณรผูบวชใหม,คําข้ึนตนและสวนหน่ึงของคําลงทาย ชื่อหนังสือแบบเรียนนักธรรมชั้นตรีจดหมายท่ีคฤหัสถมีไปถึงพระภิกษุ เปนพระนิพนธของสมเด็จพระมหา- สามเณร สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสนรก เหวแหงความทกุ ข, ท่ีอนั ไมมคี วาม นวนีตะ เนยขน ; ดู เบญจโครส สุขความเจริญ, ภาวะเรารอนกระวน นวรหคุณ คุณของพระอรหนั ต ๙ หมายกระวาย, ที่ไปเกิดและเสวยความทุกข ถึง คุณของพระพุทธเจาผูเปนพระของสตั วผ ูทําบาป (ขอ ๑ ในทุคติ ๓, อรหนั ต ๙ ประการ ไดแกพทุ ธคณุ ๙ขอ ๑ ในอบาย ๔); ดู นริ ยะ, คติ นนั่ เอง เขยี น นวารหคณุ ก็ได แต
นวังคสตั ถุศาสน ๑๕๓ นันทะเพี้ยนไปเปน นวหรคณุ ก็มี แลเห็นกนั ไดในเวลานอนนวังคสัตถุศาสน คําส่ังสอนของพระ นอ ม ในประโยควา “ภิกษนุ อมลาภเชนศาสดา มีองค ๙, พุทธพจนมีองค นัน้ มาเพือ่ ตน” ขอหรอื พูดเลยี บเคยี งชกัประกอบ ๙ อยา ง, สวนประกอบ ๙ จงู เพอ่ื จะใหเ ขาใหอยา งท่ีเปน คาํ สอนของพระพุทธเจา คอื นักบญุ ผูใ ฝบุญ, ผถู อื ศาสนาอยา งเครง๑. สุตตะ (พระสูตรทัง้ หลาย รวมท้ัง ครดั , ผทู าํ ประโยชนแ กพ ระศาสนาพระวินัยปฎกและนิทเทส) ๒. เคยยะ นกั ปราชญ ผรู ู, ผูมีปญ ญา(ความที่มีรอยแกวและรอยกรองผสม นกั พรต คนถอื บวช, ผปู ระพฤติพรตกัน ไดแกพ ระสูตรทีม่ ีคาถาทัง้ หมด) ๓. นกั ษัตรฤกษ ดาวฤกษซ ึ่งอยูบนทองฟาเวยยากรณะ (ไวยากรณ คือความรอ ย มชี ือ่ ตา งๆ กัน เชนดาวมา ดาวลกู ไกแกวลว น ไดแ ก พระอภธิ รรมปฎกทงั้ ดาวคางหมู ดาวจระเข ดาวคันฉัตรหมด และพระสตู รทีไ่ มมคี าถา เปน ตน ) เปนตน ; ดู ดาวนักษัตร๔. คาถา (ความรอยกรองลวนเชน นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นวา ไมม ี เชนเหน็ วาธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา เปน ตน) ผลบุญผลบาปไมมี บิดามารดาไมมี๕. อุทาน (ไดแก พระคาถาพทุ ธอทุ าน ความดคี วามช่ัวไมมี เปนมจิ ฉาทิฏฐคิ อื๘๒ สูตร) ๖. อิตวิ ตุ ตกะ (พระสตู รที่ ความเหน็ ผดิ ทรี่ า ยแรงอยา งหนงึ่ ; ดู ทฏิ ฐิเรยี กวา อติ วิ ตุ ตกะ ๑๑๐ สตู ร) ๗. ชาตกะ นันทะ พระอนชุ าของพระพทุ ธเจา แตต าง(ชาดก ๕๕๐ เร่ือง) ๘. อพั ภตู ธรรม พระมารดา คอื ประสูตแิ ตพระนางมหา-(เร่ืองอัศจรรย คอื พระสูตรท่กี ลาวถึงขอ ปชาบดีโคตมี ไดออกบวชในวันมงคลอศั จรรยต า งๆ) ๙. เวทลั ละ (พระสตู ร สมรสกับนางชนปทกัลยาณี เบื้องแรกแบบถามตอบท่ีใหเกิดความรูและความ ประพฤติพรหมจรรยอยูดวยความจําใจพอใจแลวซกั ถามย่ิงๆ ข้นึ ไป เชน จูฬ- แตตอมาพระพุทธเจาทรงสอนดวย เวทัลลสูตร มหาเวทัลลสตู ร เปน ตน); อุบาย จนพระนันทะเปล่ียนมาต้ังใจ เขียนอยา งบาลเี ปน นวงั คสตั ถสุ าสน; ดู ปฏิบัติธรรม และในท่ีสุดก็ไดบรรลุ ไตรปฎ ก อรหัตตผล ไดร ับยกยอ งเปน เอตทคั คะนหารู เอ็น ในบรรดาภิกษุผูสํารวมอินทรีย พระนหตุ ชือ่ มาตรานบั เทา กับหนง่ึ หมืน่ นันทะมีรูปพรรณสัณฐานคลายพระนอนรวม นอนในท่ีมุงท่ีบังอันเดียวกัน พุทธเจา แตตา่ํ กวาพระพทุ ธองค ๔ นิ้ว
นนั ทกะ ๑๕๔ นันทมารดานันทกะ พระเถระมหาสาวกองคหนึ่ง ขชุ ชตุ ตรานน้ั (เชน อง.จตกุ กฺ .๒๑/๑๗๖/๒๒๒) เกิดในตระกูลผูดีมีฐานะในพระนคร ครั้งหนง่ึ ที่วดั พระเชตวัน เวฬกุ ัณฏกี นันทมารดา ถวายทานแดพ ระสงฆม พี ระ สาวัตถี ไดฟง พระธรรมเทศนาของพระ สารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเปน ประมุข พระพุทธเจาตรัสแกภิกษุทั้ง ศาสดา มีความเลื่อมใส ขอบวช เจริญ หลายวา อุบาสิกาทานน้ันประดิษฐาน วิปส สนากมั มัฏฐาน ไดสําเรจ็ พระอรหัต ทกั ขณิ าท่ีพรอมดว ยองค ๖ คือ ทายกมี องค ๓ ไดแ ก กอนให ก็ดีใจ กาํ ลงั ให ทานมีความสามารถในการแสดงธรรม อยู ก็ทาํ จิตใหผุดผองเลอ่ื มใส คร้ันให แลว ก็ช่นื ชมปลม้ื ใจ และปฏิคาหกมีองค จนเปนที่เล่ืองลือ ครั้งหน่ึงทานแสดง ๓ ไดแ ก เปน ผปู ราศจากราคะหรอื ปฏบิ ตั ิ ธรรมแกน างภกิ ษณุ ี ปรากฏวา นางภกิ ษณุ ี เพื่อบําราศราคะ เปนผูปราศจากโทสะ หรือปฏิบัติเพ่ือบําราศโทสะ เปนผู ไดส ําเรจ็ พระอรหัตถึง ๕๐๐ องค ทา น ปราศจากโมหะหรือปฏิบัติเพื่อบําราศ โมหะ ทักขิณาน้ันเปนบุญย่ิงใหญ มีผล ไดรับยกยองวาเปนเอตทัคคะในทางให มากยากจะประมาณได (อง.ฉกกฺ .๒๒/๓๐๘/ โอวาทแกน างภิกษุณี ๓๗๕) 2. อุตตรานนั ทมารดา เปน ธดิ านันทกุมาร พระราชบุตรของพระเจา ของนายปณุ ณะ หรอื ปณุ ณสหี ะ แหง สุทโธทนะ และพระนางปชาบดีโคตมี เมอื งราชคฤห ซงึ่ ตอ มาพระราชาไดท รง ตอมาออกบวชมีชื่อวาพระนันทะ คือ แตง ตง้ั ใหเ ปนธนเศรษฐี เม่อื ทานเศรษฐี ใหมจัดงานมงคลฉลองและถวายทาน องคท มี่ รี ปู พรรณสณั ฐานคลา ยพระพทุ ธ- อุตตราไดสดับพระดํารัสอนุโมทนาของ พระพทุ ธเจา กไ็ ดบ รรลโุ สดาปต ตผิ ลใน องคนั่นเอง คราวเดยี วกบั บดิ าและมารดา อตุ ตรานนั้นนั ทมาณพ ศษิ ยค นหนงึ่ ในจาํ นวน ๑๖ รกั ษาอโุ บสถเปน ประจาํ เดอื นละ ๘ วนั คน ของพราหมณพ าวรี ท่ไี ปทลู ถาม ตอ มา เมอ่ื แตง งานไปอยกู บั สามี กข็ อ โอกาสรกั ษาอโุ บสถบา ง แตส ามไี มย อม ปญ หากะพระศาสดา ทป่ี าสาณเจดยี รบั นางจงึ ไมม โี อกาสทาํ การบญุ อยา งท่ีนนั ทมารดา อุบาสกิ าสาํ คญั มีช่ือซ้าํ กัน ๒ ทาน แยกโดยเรียกชอื่ นาํ ท่ีตางกนั คือ 1. เวฬกุ ณั ฏกนี นั ทมารดา (นนั ทมารดา ชาวเมอื งเวฬกุ ณั ฏกะ [เมอื งหนามไผ] ใน แควน อวนั ต)ี ไดฌาน ๔ เปนอนาคามี และเปน อคั รอบุ าสกิ า คกู บั นางขชุ ชตุ ตรา พระพุทธเจาทรงยกยองวาเปน “ตุลา” คอื เปน ตราชู หรอื เปน แบบอยา งสาํ หรับ สาวิกาท้ังหลายทีเ่ ปนอบุ าสกิ า คกู บั นาง
นนั ทมารดา ๑๕๕ นันทมารดาเคยปฏบิ ตั ิ จนกระทง่ั คราวหนง่ึ อตุ ตรา ทุบตีนางสิริมา กวานางอุตตราจะหามตกลงวา จะถอื อโุ บสถครงึ่ เดอื น และใช สําเรจ็ นางสิริมากบ็ อบชํา้ มาก ทาํ ใหนางเวลาในการใหทานและฟงธรรมใหเต็มท่ี สิริมาสํานึกไดถึงฐานะท่ีแทจริงของตนท่ีโดยใชว ิธจี า งโสเภณชี ่ือสริ ิมาใหมาอยูก บั เปนคนขางนอกรับจางเจาของบานมาสามแี ทนตวั ตลอดเวลา ๑๕ วนั นน้ั เมอื่ จึงเขาไปขอขมาตออุตตรา แตอุตตราครบครง่ึ เดอื น ในวนั ทเ่ี ตรยี มจะออกจาก บอกวาตนจะใหอภัยไดตอเมื่อบิดาทางอุโบสถ ไดยุงอยูในโรงครัวจัดเตรียม ธรรมคือพระพทุ ธเจาใหอ ภยั แลว ตอมาอาหาร ตอนนน้ั สามมี องลงมาทางหนา เม่ือพระพุทธเจาเสด็จมาที่บานของตาง เห็นอุตตราในสภาพมอมแมม อุตตรา นางสิรมิ าเขาไปกราบทลู ขอขมาขมีขมัน ก็นึกในใจวานางน้ันอยูครอบ แลว อตุ ตรากใ็ หอ ภยั แกน าง และในวนัครองสมบตั อิ ยแู สนสบาย กลบั ทง้ิ ความ นนั้ นางสริ มิ าฟง พระธรรมกถาแลว กไ็ ดสุขมาทาํ งานกับพวกคนรับใชจ นตวั เลอะ บรรลโุ สดาปต ตผิ ล (เรอ่ื งนี้ อรรถกถาเทอะเปรอะเปอ น ไมม เี หตไุ มม ผี ล แลว ก็ ตา งคมั ภรี เชน อง.อ.๑/๕๖๒/๓๙๐; ธ.อ.๖/๑๗๑;ยม้ิ อยา งสมเพช ฝา ยอตุ ตราพอดมี องขน้ึ วิมาน.อ.๑๒๓/๗๒ เลา รายละเอยี ดแตกตางไป เหน็ อยา งนนั้ กร็ ทู นั และนกึ ในใจวา กันไปบาง โดยเฉพาะอรรถกถาแหงสามีเปนพาลชน มัวจมอยูในความ วมิ านวตั ถุ นอกจากวา นางสริ มิ าไดบ รรลุประมาท หลงไปวาสมบัติจะย่ังยืนอยู โสดาปตติผลแลว ยังบอกวาอุตตราไดตลอดไป นกึ แลว กย็ ม้ิ บา ง ฝา ยนางสริ มิ า เปน สกทาคามนิ ี และสามพี รอ มทง้ั บดิ าอยมู าหลายวนั ชกั จะลมื ตวั พอเหน็ สามี และมารดาของสามีไดเปนโสดาบัน) ตอกบั ภรรยายม้ิ กนั กเ็ กดิ ความหงึ ขนึ้ มา มา ในทปี่ ระชมุ ณ วดั พระเชตวนั พระแลว วง่ิ ลงจากชน้ั บน ผา นเขา ครวั ฉวย พุทธเจาไดตรัสยกยองนางอุตตรานันท-กระบวย ตกั นา้ํ มนั ทเี่ ขากาํ ลงั ปรงุ อาหาร มารดา เปน เอตทัคคะในบรรดาอุบาสิกาแลวปร่ีเขามาเทนํ้ามันราดลงบนศีรษะ ผูม ฌี าน หรอื นักบาํ เพ็ญฌาน (ฌายี)ของอตุ ตรา ฝา ยอตุ ตรามสี ตดิ ี รตู วั วาอะไรจะเกิดข้ึน ก็เขาเมตตาฌานยนื รับ แมว า โดยหลกั ฐานตา งๆ เชน เมอื งท่ีน้ํามันที่รอนก็ไมเปนอันตรายแกเธอ อยู เวฬุกณั ฏกนี ันทมารดา กบั อตุ ตราขณะนน้ั พวกคนรบั ใชข องอตุ ตราซง่ึ ได นันทมารดา นา จะเปน ตา งบคุ คลกนั แตเหน็ เหตกุ ารณ กเ็ ขา มาพากนั รมุ บรภิ าษ ก็ยังมีชองใหสงสัยวาอาจจะเปนบุคคล เดยี วกนั ได อยา งนอ ย พระสาวกและ
นนั ทาเถรี ๑๕๖ นัมมทาพระสาวกิ า ทไี่ ดร บั กยอ งเปน คตู ลุ า หรอื เอตทัคคะคอู คั รสาวก คอู คั รสาวกิ า และคอู คั ร- นนั ทาเถรี ชือ่ ภกิ ษุณี ผเู ปน พระนอ งนางอบุ าสก กล็ ว นเปน เอตทคั คะมาตลอด ๓ ของพระเจา กาลาโศกคแู รก แตพ อถงึ คตู ลุ าฝา ยอบุ าสกิ า หรอื นนั ทิ ความยนิ ด,ี ความตดิ ใจเพลดิ เพลนิ ,คอู คั รอบุ าสกิ า กลายเปน นางขชุ ชตุ ตราที่ ความระเริง, ความสนุก, ความชนื่ มื่นเปน เอตทคั คะดว ย กบั เวฬกุ ณั ฏกนี นั ท- นัมมทา ช่อื แมนํ้าสายสาํ คญั ในภาคกลางมารดา ทมี่ ไิ ดเ ปน เอตทคั คะ (สว นอตุ ตรา ของอินเดีย ไหลไปคลายจะเคียงคูกับนนั ทมารดา เปน เอตทคั คะ แตไ มไ ดเ ปน เทือกเขาวินธยะ ถือวาเปนเสนแบงตลุ า หรอื อคั รอบุ าสกิ า) ทเ่ี ปน เชน นอ้ี าจ ระหวางอุตราบถ (ดินแดนแถบเหนือ)เปน เพราะวา เรอ่ื งราวของนนั ทมารดาทงั้ กับทักขณิ าบถ (ดินแดนแถบใต) ของสองนาม ซงึ่ กระจายอยใู นทตี่ า งๆ ขาด ชมพทู วีป, บดั นเ้ี รยี กวา Narmada แตขอมูลท่ีจะเปนจุดประสานใหเกิดความ บางทเี รยี ก Narbada หรือ Nerbuddaชดั เจน, นอกจากนนั้ เมอ่ื อา นขอ ความใน ชาวฮินดูถือวาเปนแมน้ําศักดิ์สิทธิ์ท่ีสุดคมั ภรี พ ทุ ธวงส ทกี่ ลา วถงึ คอู คั รอบุ าสกิ า รองจากแมน าํ้ คงคา, แมน าํ้ นมั มทายาววา “นนทฺ มาตา จ อตุ ตฺ รา อคคฺ า เหสสฺ น-ฺ ประมาณ ๑,๓๐๐ กม. ไหลจากทศิ ตะวนัตปุ ฏ ิกา” (ฉบบั อกั ษรพมา มแี หง หนงึ่ วา ออกเฉียงเหนือไปทางตะวันตกเฉียงใต“อตุ ตฺ รา นนทฺ มาตา จ อคคฺ า เหสสฺ นตฺ -ุ ออกทะเลทใี่ ตเ มืองทา ภารกุ ัจฉะ (บดั นี้ปฏ ิกา” เลยทเี ดยี ว) บางทา นกอ็ าจจะยง่ิ เรยี ก Bharuch) สอู า ว Khambhatงง อาจจะเขาใจไปวา พระบาลีในท่ีน้ี (Cambay กเ็ รยี ก), อรรถกถาเลา วา เมอ่ืหมายถึงนางอุตตรานันทมารดา แตท่ี คร้ังที่พระพุทธเจาเสด็จไปสุนาปรันตรัฐจรงิ ไมใช เพราะในทนี่ ้ีทา นกลา วถงึ สอง ตามคําอาราธนาของพระปุณณะผูเปนบุคคล คือ อตุ ตราเปน บคุ คลหนงึ่ ไดแ ก ชาวแควนน้ันแลว ระหวางทางเสด็จขุชชุตตรา และนันทมารดาเปนอีกคน กลับ ถึงแมน้าํ นัมมทา ไดแ สดงธรรมหน่งึ ไดแ กเ วฬุกณั ฏกนี นั ทมารดา (ใน โปรดนมั มทานาคราช ซ่งึ ไดทูลขอของที่คัมภรี อ ปทานแหง หนง่ึ , ข.ุ อป.๓๓/๗๙/๑๑๗ ระลึกไวบูชา จึงทรงประทับรอยพระกลา วถงึ ขอ ความอยา งเดยี วกนั แตระบุ บาทไวท่ีรมิ ฝงแมน ้ํานมั มทาน้ัน อันถือไวช ัดกวา นีว้ า “ขชุ ฺชตุ ฺตรา นนฺทมาตา กันมาวาเปนพระพุทธบาทแหงแรก; ดูอคฺคา เหสสฺ นตฺ ปุ าสกิ า”); ดู อุตตรา, ทกั ขณิ าบถ, อตุ ราบถ, ปณุ ณสนุ าปรนั ตะ
นัย ๑๕๗ นานาภัณฑะนยั อบุ าย, อาการ, วธิ ี, ขอ สําคญั , เคา องั คตุ ตรนกิ าย ๒–๓ แหง นางเรด็ ช่ือขนมชนิดหน่งึ ทําเปนแผนความ, เคาเงอ่ื น, แงค วามหมายนยั นา ดวงตา กลมโรยน้ําตาล พจนานุกรมเขียนนาค งใู หญในนยิ าย; ชาง; ผูประเสรฐิ ; นางเล็ดใชเ ปนคาํ เรียกคนทกี่ าํ ลงั จะบวชดว ย นาถ ทพ่ี ง่ึ , ผูเปนทพี่ ง่ึนาคเสน พระอรหนั ตเถระผโู ตว าทะชนะ นาถกรณธรรม ธรรมทําท่ีพ่งึ , ธรรม พระยามลิ นิ ท กษตั รยิ แ หง สาคลประเทศ สรา งทีพ่ ง่ึ , คณุ ธรรมทที่ าํ ใหพ่ึงตนได มี ดังมคี าํ โตต อบปญ หามาในคมั ภรี ม ลิ นิ ท- ๑๐ อยา งคือ ๑. ศลี มคี วามประพฤตดิ ี ปญ หา ทานเกดิ หลงั พทุ ธกาลประมาณ ๒. พาหสุ จั จะ ไดเ ลา เรยี นสดบั ฟง มาก ๔๐๐ ป ทหี่ มบู า นกชงั คละในหมิ วนั ต- ๓. กัลยาณมิตตตา มีมิตรดงี าม ๔. ประเทศ เปนบุตรของพราหมณช่ือ โสวจัสสตา เปน คนวางาย ฟงเหตุผล โสณตุ ตระ ทา นเปน ผชู าํ นาญในพระเวท ๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา เอาใจใสกิจธรุ ะ และตอ มาไดอ ปุ สมบท โดยมพี ระโรหณะ ของเพ่อื นรวมหมคู ณะ ๖. ธัมมกามตา เปนพระอุปชฌาย; ดู มิลินท, มิลนิ ท- เปนผูใครธรรม ๗. วิรยิ ะ ขยนั หมัน่ ปญ หา เพียร ๘. สนั ตฏุ ฐี มีความสนั โดษ ๙.นาคาวโลก การเหลียวมองอยางพญา สติ มสี ติ ๑๐. ปญญา มีปญญาเขา ใจส่ิงชาง, มองอยางชางเหลียวหลัง คือ ทง้ั หลายตามความเปนจรงิเหลียวดูโดยหันกายกลับมาทั้งหมด นานาธาตุญาณ ปรีชาหย่ังรูธาตุตางๆเปน กิริยาของพระพุทธเจา ตามเรื่องใน คอื รจู กั แยกสมมตอิ อกเปน ขนั ธ อายตนะพุทธประวตั ิ ครัง้ ทท่ี อดพระเนตรเมือง ธาตุตา งๆ (ขอ ๔ ในทศพลญาณ)เวสาลีเปนปจฉิมทัศน กอนเสด็จไป นานาธมิ ตุ ตกิ ญาณ ปรชี าหยง่ั รอู ธั ยาศยัปรนิ พิ พานที่เมอื งกสุ ินารา; เปนชอื่ พระ ของสตั ว ทโ่ี นม เอยี ง เชอื่ ถอื สนใจ พอใจพุทธรูปปางหนง่ึ ซ่งึ ทํากิรยิ าอยา งนนั้ ; ดู ตางๆ กนั (ขอ ๕ ในทศพลญาณ)พทุ ธปรนิ พิ พาน นานานิกาย นกิ ายตางๆ คอื หมแู หง สงฆนาคิตะ พระเถระมหาสาวกองคหนึ่ง ตางหมูตางคณะเคยเปนอุปฏฐากของพระพุทธองค มี นานาภัณฑะ ทรัพยตางกันคอื หลายส่ิง,พระสูตรท่ีพระพุทธเจาตรัสแกท านเกย่ี ว ภัณฑะตางๆ, สิ่งของตางชนิดตางกับเนกขัมมสุข ปรากฏอยูในคัมภีร ประเภท
นานาสงั วาส ๑๕๘ นาลกะนานาสงั วาส มีธรรมเปนเครื่องอยูรว ม นามธรรม สภาวะที่นอมไปหาอารมณ,(คืออุโบสถและสังฆกรรมเปนตน) ท่ี ใจและอารมณที่เกดิ กบั ใจ คือ จติ และตา งกนั , สงฆผ ูไมร ว มสังวาส คอื ไม เจตสิก, สิ่งของท่ไี มม รี ูป คือรูไมไ ดทางรว มอุโบสถและสังฆกรรมดว ยกนั เรียก ตา หู จมูก ลิ้น กาย แตร ไู ดทางใจ; ดูวา เปน นานาสังวาสของกนั และกนั เหตุ นาม; คูกบั รปู ธรรมท่ีทําใหนานาสงั วาสมี ๒ คือ ภกิ ษุทาํ ตน นามรูป นามธรรม และรูปธรรมใหเ ปน นานาสงั วาสเอง เชน อยูในนกิ าย นามธรรม หมายถึง สิง่ ที่ไมม รี ปู คอื รูหน่ึงไปขอเขานิกายอื่น หรือแตกจาก ไมไดทาง ตา หู จมูก ลิน้ กาย แตรไู ดพวกเพราะเหตุวิวาทาธิกรณอยางหน่ึง ดว ยใจ ไดแกเ วทนา สญั ญา สงั ขารอีกอยางหนึ่งถูกสงฆพรอมกันยกออก วิญญาณ รปู ธรรม หมายถงึ ส่ิงท่มี รี ูปจากสังวาส สง่ิ ท่ีเปนรปู ไดแกรปู ขนั ธท้งั หมดนาบ,ี นบี ศาสดาผปู ระกาศศาสนาอสิ ลาม นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกําหนดทําหนาที่แทนพระผูเปนเจา, ผูเทศนา, แยกนามรปู , ญาณหยงั่ รวู าสงิ่ ทั้งหลายผูประกาศขาว ชาวมุสลิมถือวาพระ เปนแตเพียงนามและรูป และกําหนดมะหะหมัดเปน นาบีองคส ุดทาย จาํ แนกไดว าสงิ่ ใดเปน รปู สิ่งใดเปน นามนาม ธรรมทร่ี ูจักกันดวยชือ่ กําหนดรู (ขอ ๑ ในญาณ ๑๖)ดวยใจเปน เรือ่ งของจติ ใจ, สิ่งท่ีไมม รี ูป นามรูปปจจัยปริคคหญาณ ญาณราง ไมใ ชรปู แตน อมมาเปน อารมณของ กาํ หนดจบั ปจ จยั แหง นามรปู , ญาณหยงั่จติ ได 1. ในทที่ วั่ ไปหมายถงึ อรปู ขนั ธ ๔ รทู กี่ าํ หนดจบั ไดซ ง่ึ ปจ จยั แหง นามและรปูคอื เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวญิ ญาณ โดยอาการที่เปนไปตามหลักปฏิจจ-2. บางแหง หมายถงึ อรปู ขันธ ๔ นั้นและ สมปุ บาท เปน ตน (ขอ ๒ ในญาณ ๑๖)นพิ พาน (รวมทั้งโลกตุ ตรธรรมอน่ื ๆ) 3. เรยี กกันส้นั ๆ วา ปรคิ คหญาณบางแหงเชนในปฏิจจสมปุ บาท บางกรณี นารายณ ช่อื เรียกพระวิษณุ ซึ่งเปน พระหมายเฉพาะเจตสกิ ธรรมทง้ั หลาย; เทยี บ รปู เจา องคหนึง่ ของศาสนาพราหมณนามกาย “กองแหงนามธรรม” หมายถึง นารี ผูหญงิ , นางเจตสกิ ท้งั หลาย; เทยี บ รูปกาย นาลกะ 1. หลานชายของอสิตดาบสนามขนั ธ ขนั ธท ี่เปนฝายนามธรรม มี ๔ ออกบวชตามคาํ แนะนาํ ของลุง และไปคือ เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ บําเพ็ญสมณธรรมรอการตรัสรูของพระ
นาลนั ทะ ๑๕๙ นาลนั ทา พุทธเจาอยูในปาหิมพานต ครั้นพระ กษัตริยราชวงศคุปตะพระองคหน่ึงพระ นามวาศกั ราทติ ยหรือ กุมารคุปตะที่ ๑ พุทธเจาตรัสรูแลว ไดมาทูลถามเร่ือง ซึ่งครองราชยประมาณ พ.ศ. ๙๕๘– ๙๙๘ ไดท รงสรา งวดั เปน สถานศกึ ษาขนึ้ โมไนยปฏิปทา และกลับไปบําเพ็ญ แหงหน่ึงที่เมืองนาลันทา และกษัตริย พระองคต อ ๆ มาในราชวงศน ก้ี ็ไดสราง สมณธรรมในปาหิมพานต ไดบรรลุ วดั อน่ื ๆ เพิ่มข้ึนในโอกาสตางๆ จนมถี งึ ๖ วดั อยูในบริเวณใกลเ คยี งกนั ในที่ อรหัตแลว ดาํ รงอายอุ ยูอีก ๗ เดอื น ก็ สุดไดมีการสรางกําแพงใหญอันเดียว ลอ มรอบ ทาํ ใหว ัดทงั้ ๖ รวมเขา ดว ยกนั ปรินิพพานในปา หิมพานตน ้นั เอง; ทาน เปน หนง่ึ เดยี ว เรยี กวา นาลนั ทามหาวหิ าร และไดกลายเปนศูนยกลางการศึกษาท่ี จัดเปนมหาสาวกองคหนึ่งในอสีติ- ยิ่งใหญ แหงสาํ คัญย่ิง ที่นักประวัติ- ศาสตรส มัยปจจุบัน เรียกกันท่ัวไปวา มหาสาวกดว ย 2. ชอื่ หมูบานอนั เปนที่ มหาวิทยาลัยนาลันทา พระเจาหรรษ- วรรธนะ มหาราชพระองคหน่ึงของ เกิดของพระสารีบุตร ไมไกลจากเมือง อินเดีย ซึ่งครองราชยระหวาง พ.ศ. ราชคฤห บางทีเรียก นาลันทคาม ๑๑๔๙–๑๑๙๑ กไ็ ดท รงเปน องคอ ปุ ภมั ภกนาลนั ทะ ชอ่ื หมูบ า นแหงหนงึ่ ไมไ กลจาก ของมหาวิทยาลัยนาลันทา หลวงจีน กรงุ ราชคฤห เปน บา นเกดิ ของพระสาร-ี เห้ียนจงั (พระถังซัมจงั๋ ) ซึ่งจารกิ มาสืบ บตุ ร; ดู นาลกะ 2. พระศาสนาในอนิ เดียในรัชกาลนี้ ในชวงนาลนั ทา ชอ่ื เมอื งเลก็ ๆ เมอื งหนง่ึ ในแควน พ.ศ. ๑๑๗๒–๑๑๘๗ ไดมาศึกษาท่ี มคธ อยูหางจากพระนครราชคฤห นาลนั ทามหาวิหาร และไดเขียนบันทกึ บรรยายอาคารสถานท่ีท่ีใหญโตและ ประมาณ ๑ โยชน ณ เมอื งนี้ มีสวน ศิลปกรรมทีว่ ิจิตรงดงาม ทานเลา ถึงกิจ- มะมวงชื่อ ปาวารกิ ัมพวนั (สวนมะมว ง กรรมทางการศึกษาที่รุงเรืองยิ่ง นัก ของปาวาริกเศรษฐี) ซ่ึงพระพุทธเจา ศกึ ษามปี ระมาณ ๑๐,๐๐๐ คน และมี อาจารยป ระมาณ ๑,๕๐๐ คน พระมหา- เสด็จมาประทับแรมหลายคร้ัง คัมภีร ฝา ยมหายานกลา ววา พระสารบี ตุ ร อคั ร- สาวก เกดิ ทเ่ี มอื งนาลนั ทา แตค มั ภรี ฝ า ย บาลีเรียกถิ่นเกิดของพระสารีบุตรวา หมูบา นนาลกะ หรือ นาลนั ทคาม ภายหลงั พทุ ธกาล ชอ่ื เมอื งนาลนั ทา เงยี บหายไประยะหนงึ่ หลวงจนี ฟาเหยี น ซึ่งจาริกมาสืบศาสนาในชมพูทวีป ราว พ.ศ. ๙๔๔–๙๕๓ บนั ทกึ ไวว า ไดพ บเพยี ง สถปู องคห นง่ึ ทน่ี าลนั ทา แตต อ มาไมน าน
นาลันทา ๑๖๐ นาลันทากษัตริยพระราชทานหมูบ าน ๒๐๐ หมู พุทธศาสนาแบบตันตระ ท่ีทําใหเกิดโดยรอบถวายโดยทรงยกภาษีท่ีเก็บได ความยอหยอนและหลงเพลินทางใหเ ปนคาบํารงุ มหาวทิ ยาลัย ผูเ ลา เรยี น กามารมณ และทําใหพุทธศาสนากลมไมต อ งเสียคา ใชจ ายใดๆ ทงั้ สน้ิ วิชาท่ี กลืนกับศาสนาฮินดูมากข้ึน เปนเหตุสอนมที ัง้ ปรชั ญา โยคะ ศพั ทศาสตร สําคัญอยางหนึ่งแหงความเส่ือมโทรมเวชชศาสตร ตรรกศาสตร นิตศิ าสตร ของพระพุทธศาสนา คร้ันถึงประมาณนิรุกติศาสตร ตลอดจนโหราศาสตร พ.ศ. ๑๗๔๒ กองทพั มสุ ลมิ เตริ กสไ ดย กไสยศาสตร และตนั ตระ แตที่เดนชัดก็ มารุกรานรบชนะกษัตริยแหงชมพูทวีปคือนาลันทาเปนศูนยกลางการศึกษา ฝายเหนือ และเขา ครอบครองดินแดนพุทธศาสนาฝายมหายาน และเพราะ โดยลําดับ กองทัพมุสลิมเติรกสไดเ ผาความทมี่ ีกิตตศิ พั ทเ ล่อื งลือมาก จงึ มีนกั ผลาญทําลายวัดและปูชนียสถานในศึกษาเดินทางมาจากตางประเทศหลาย พทุ ธศาสนาลงแทบทงั้ หมด และสงั หารผูแหง เชน จนี ญป่ี นุ เอเชยี กลาง สมุ าตรา ทไี่ มย อมเปลย่ี นศาสนา นาลนั ทามหาวหิ ารชวา ทเิ บต และมองโกเลยี เปน ตน หอ กถ็ กู เผาผลาญทาํ ลายลงในชว งระยะเวลาสมุดของนาลันทาใหญโตมากและมีชื่อ น้นั ดว ย มีบนั ทึกของนักประวัตศิ าสตรเสียงไปทั่วโลก เม่ือคราวที่ถูกเผา ชาวมสุ ลมิ เลา วา ทน่ี าลนั ทา พระภกิ ษถุ กูทําลายในสมัยตอมา มีบันทึกกลาววา สังหารแทบหมดสิ้น และมหาวิทยาลยัหอสมุดน้ีไหมอยูเปนเวลาหลายเดือน นาลันทาก็ไดถึงความพินาศสูญสิ้นลงห ล ว ง จี น อ้ี จิ ง ซึ่ ง จ า ริ ก ม า ใ น ร ะ ย ะ แตบ ดั นน้ั มา ซากของนาลนั ทาทถ่ี กู ขดุ พบประมาณ พ.ศ. ๑๒๒๓ กไ็ ดม าศกึ ษาที่ ในภายหลงั ยงั ประกาศยนื ยนั อยา งชดั เจนนาลันทาและไดเขียนบันทึกเลาไวอีก ถงึ ความยง่ิ ใหญของนาลันทาในอดีตนาลันทารุงเรืองสืบมาชานานจนถึงสมัยราชวงศปาละ (พ.ศ. ๑๓๐๓–๑๖๘๕) ในปลายพุทธศตวรรษท่ี ๒๕กษัตริยราชวงศน้ีก็ทรงอุปถัมภมหา- อินเดียไดเร่ิมตื่นตัว และตระหนักถึงวิหารแหงนี้ เชนเดียวกับมหาวิทยาลัย ความสําคัญของพระพุทธศาสนาที่ไดมีอื่นๆ โดยเฉพาะโอทันตปุระที่ไดทรง บทบาทอันย่ิงใหญในการสรางสรรคสถาปนาขน้ึ ใหม อยางไรกด็ ี ในระยะ อารยธรรมของชมพูทวีป รวมทั้งบทหลังๆ นาลนั ทาไดหันไปสนใจการศกึ ษา บาทของมหาวิทยาลัยนาลันทาน้ีดวย และใน พ.ศ. ๒๔๙๔ กไ็ ดมกี ารจดั ตั้ง
นาสนะ ๑๖๑ นคิ คหติสถาบนั บาลนี าลนั ทา ชอ่ื วา นวนาลนั ทา- นกิ รสัตว หมสู ตั วมหาวิหาร (นาลนั ทามหาวิหารแหงใหม) นกิ าย พวก, หมวด, หมู, ชมุ นมุ , กอง;ขึ้น เพ่ือแสดงความรําลึกคุณและยก 1. หมวดตอนใหญแ หง พทุ ธพจนใ นพระยอ งเกียรตแิ หงพระพุทธศาสนา พรอม สุตตันตปฎก ซึ่งแยกเปน ทีฆนิกาย ทั้งเพื่อเปนอนุสรณแกนาลันทามหา- มัชฌมิ นิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตร- นิกาย และขทุ ทกนิกาย; ดู ไตรปฎก 2. วหิ าร มหาวทิ ยาลยั ทย่ี งิ่ ใหญใ นอดตี สมยันาสนะ ดู นาสนา คณะนักบวช หรอื ศาสนิกชนในศาสนานาสนา ใหฉบิ หายเสีย คอื การลงโทษ เดยี วกนั ทแ่ี ยกเปนพวกๆ; ในพระพุทธ-บุคคลผูไ มส มควรถอื เพศ มี ๓ อยาง ศาสนามีนิกายใหญท่ีเรียกไดวาเปนคอื ๑. ลงิ คนาสนา ใหฉิบหายจากเพศ นกิ ายพุทธศาสนาในปจ จบุ นั ๒ นิกายคอื ใหส กึ เสยี ๒. ทณั ฑกรรมนาสนา ให คือ มหายาน หรือนิกายฝายเหนือฉบิ หายดว ยการลงโทษ ๓. สงั วาสนาสนา (อุตรนกิ าย) พวกหนึง่ และ เถรวาทใหฉ บิ หายจากสงั วาส หรือนกิ ายฝา ยใต (ทักษิณนิกาย) ทีบ่ างนาสิก จมกู ทีเรียก หนี ยาน พวกหนงึ่ ; ในประเทศนาสิกัฏานชะ อักษรเกิดในจมูก คอื ไทยปจจุบนั พระภิกษสุ งฆในพระพทุ ธนิคคหิต (-)ํ , พยัญชนะทีส่ ดุ วรรคทัง้ ๕ ศาสนาฝายเถรวาทดวยกัน แยกออกคือ ง ณ น ม นอกจากเกดิ ในฐาน เปน ๒ นิกาย แตเ ปน เพียงนิกายสงฆของตนๆ แลว กเ็ กิดในจมกู ดว ย (คอื มิใชถึงกับเปนนิกายพุทธศาสนา (คือเกิดใน ๒ ฐาน) แยกกันเฉพาะในหมูนักบวช) ไดแกนาฬี ชือ่ มาตราตวง แปลวา “ทะนาน”; ดู มหานกิ าย และ ธรรมยตุ กิ นกิ าย ซ่งึ บางทีมาตรา เรยี กเพียงเปนคณะวา คณะมหานกิ ายนํ้าทพิ ย นํ้าทที่ ําผดู ่ืมใหไ มตาย หมายถงึ และ คณะธรรมยตุ นิคคหะ ดู นิคหะนาํ้ อมฤต หรือน้ําสุรามฤตน้าํ อมฤต ดู อมฤต นิคคหกรรม ดู นิคหกรรมนกิ เขปบท บทต้ัง, คาํ หรอื ขอ ความ ทีย่ อ นิคคหวธิ ี วธิ ีขม , วิธีทาํ นคิ หะ, วิธลี งจับเอาสาระมาวางตั้งลงเปนแมบท เพ่ือ โทษ; ดู นิคหกรรมจะขยายความ หรอื แจกแจงอธบิ ายตอ ไป นิคคหติ อักขระทวี่ า กดเสียง, อักขระท่ีนิกร หม,ู พวก วาหบุ ปากกดกรณไวไ มป ลอ ย มีรูปเปน
นคิ ม ๑๖๒ นทิ านกถาจุดกลวง เชน สงฆฺ ํ อปุ สมฺปท;ํ บดั นี้ สังฆกรรมประเภทลงโทษผูทําความผิดนิยมเขียน นิคหติ ทานแสดงไว ๖ อยา งคอื ตัชชนียกรรมนคิ ม 1. หมบู านใหญ, เมืองขนาดเล็ก, นยิ สกรรม ปพ พาชนยี กรรม ปฏสิ ารณยี - กรรม อกุ เขปนยี กรรม และ ตสั สปาปย -ยา นการคา 2. คําลงทายของเร่ืองนคิ มกถา 1. การสนทนาถกเถียงกันเรือ่ ง สกิ ากรรมนิคม วานิคมน้ันนิคมนี้เปนอยางน้ัน นคิ ณั ฐนาฏบตุ ร ดู นคิ รนถนาฏบตุ รอยา งน้ี แบบเพอ เจอ , เปนตริ จั ฉานกถา นโิ ครธ ตนไทรอยางหนง่ึ ; ดู ติรัจฉานกถา 2. ถอ ยแถลง นิโครธาราม อารามที่พระญาติสรางทายเรอื่ ง, ขอความลงทา ย, คาํ กลา วปด ถวายพระพทุ ธเจา อยใู กลก รงุ กบลิ พสั ดุเร่อื ง, ในภาษาบาลี นยิ มเขยี น “นคิ มน- นิจศีล ศีลที่พึงรักษาเปนประจํา, ศีลกถา”, คกู บั นทิ านกถา คอื คํากลา วนํา ประจําตัวของอุบาสกอุบาสิกา ไดแกหรือคาํ แถลงเรม่ิ เรือ่ ง ศลี ๕นิคมพจน, นิคมวจนะ คาํ ลงทา ย, คํา นติ ย เท่ียง, ย่งั ยนื , เสมอ, เปน ประจาํกลา วปด เรอื่ ง, ในภาษาบาลี นยิ มเขียน นติ ยกาล ตลอดเวลา, ตลอดกาลเปน นติ ย“นคิ มนวจน”, คกู บั นทิ านพจน หรือ นิตยภัต อาหารหรือคา อาหารที่ถวายแกนทิ านวจนะ คือคาํ นํา หรือคาํ เรม่ิ เรอื่ ง ภิกษุสามเณรเปน ประจํานคิ มสีมา แดนนคิ ม, อพทั ธสมี าทส่ี งฆ นทิ เทส คําแสดง, คาํ จําแนกอธบิ าย, คาํกาํ หนดดวยเขตนิคมทีต่ นอาศัยอยู ไขความ (พจนานกุ รม เขียน นเิ ทศ)นิครนถ นกั บวชนอกพระพุทธศาสนาที่ นิทัศนะ, นทิ สั น ตวั อยา งที่นาํ มาแสดงเปน สาวกของนิครนถนาฏบุตร, นักบวช ใหเ ห็น, อทุ าหรณ (พจนานกุ รม เขยี นในศาสนาเชน นทิ ัศน)นิครนถนาฏบตุ ร คณาจารยเ จาลัทธคิ น นทิ าน เหตุ, ท่ีมา, ตนเร่ือง, ความเปนมาหนึง่ ในจํานวนครูทง้ั ๖ มีคนนับถอื มาก แตเ ดมิ หรือเรอ่ื งเดมิ ทเ่ี ปนมา เชน ในคํามชี อ่ื เรยี กหลายอยา ง เชน วรรธมานบา ง วา “ใหทาน ที่เปนสุขนิทานของสรรพพระมหาวรี ะบา ง เปน ตน ศาสนาเชน ซึง่ สตั ว” สุขนิทาน คอื เหตุแหง ความสขุ ;ยังมอี ยใู นประเทศอินเดีย ในภาษาไทย ความหมายไดเพี้ยนไปนคิ หะ การขม, การกําราบ, การลงโทษ กลายเปนวา เร่อื งทีเ่ ลากนั มานคิ หกรรม การลงโทษตามพระธรรมวนิ ยั , นิทานกถา คําแถลงความเปนมา, ขอ
นทิ านพจน, นิทานวจนะ ๑๖๓ นพิ ทั ธทุกขความตน เรอื่ ง, ความนาํ , บทนาํ กัน หรือหนายในมรรยาทของกันและนิทานพจน, นิทานวจนะ คําชี้แจง กัน อยา งนีไ้ มจัดเปนนพิ พิทา; ความความเปนมา, ถอยคาํ ตน เร่ือง, คาํ เรม่ิ เบ่อื หนา ยในกองทกุ ขเรอื่ ง, คํานํา นพิ พทิ าญาณ ความรูท ท่ี ําใหเ บอ่ื หนายนิบาต ศพั ทภาษาบาลที วี่ างไวร ะหวา งขอ ในกองทุกข, ปรีชาหย่ังเห็นสงั ขารดวยความในประโยคเพ่ือเช่ือมขอความหรือ ความหนาย; ดู วปิ สสนาญาณเสริมความ เปนอัพยยศพั ทอ ยางหนง่ึ นพิ พทิ านปุ ส สนาญาณ ปรชี าคาํ นงึ ถงึนิปปริยาย ไมอ อมคอ ม, ตรง, ส้ินเชิง สงั ขารดวยความหนาย เพราะมีแตโ ทษ(พจนานกุ รมเขียน นปิ ริยาย) มากมาย แตไมใชทําลายตนเองเพราะนปิ ปรยิ ายสทุ ธิ ความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชงิ เบื่อสงั ขาร เรียกสนั้ วา นิพพทิ าญาณไมมีการละและการบําเพ็ญอีก ไดแก นิพัทธทาน ทานเนอื งนติ ย, ทานทถี่ วายความบรสิ ุทธข์ิ องพระอรหันต; ตรงขา มกับ หรือใหตอเน่อื งเปนประจาํปริยายสทุ ธิ; ดู สทุ ธิ นิพัทธทุกข ทุกขเนืองนิตย, ทุกขนปิ ผันนรปู ดูที่ รูป ๒๘ ประจาํ , ทกุ ขเ ปน เจา เรือน ไดแ ก หนาวนปิ จ จการ การเคารพ, การออนนอม, รอน หิวกระหาย ปวดอุจจาระ ปวดการยอมเช่ือฟง ปสสาวะนพิ พาน การดบั กเิ ลสและกองทกุ ข เปน นิพัทธุปฏฐาก อุปฏฐากประจาํ ตาม โลกตุ ตรธรรม และเปนจุดหมายสูงสดุ ปกติ หมายถึงพระอุปฏ ฐากประจาํ พระ ในพระพุทธศาสนา; ดู นพิ พานธาตุ องคของพระพุทธเจา คือพระอานนทนพิ พานธาตุ ภาวะแหง นพิ พาน; นพิ พาน ซึ่งไดรับหนาท่ีเปนพระอุปฏฐากประจํา หรอื นพิ พานธาตุ ๒ คอื ๑. สอปุ าทเิ สส- พระองคตงั้ แตพรรษาท่ี ๒๐ แหงพทุ ธ- นพิ พาน ดบั กิเลสมีเบญจขนั ธเหลอื ๒. กิจ เปนตนไปจนสิ้นพุทธกาล, กอน อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสไมมี พรรษาที่ ๒๐ นน้ั พระเถระมากหลายเบญจขนั ธเหลอื รูป รวมท้ังพระอานนท และพระนิพพิทา “ความหนาย” หมายถงึ ความ มหาสาวกทงั้ ปวง ไดเ ปล่ียนกนั ทาํ หนาท่ีหนายท่ีเกิดขึ้นจากปญญาพิจารณาเห็น เปนพระอุปฏฐากของพระพุทธเจา ดังความจริง ถาหญิงชายอยูกินกันเกิด บางทานที่ปรากฏนามเพราะมีเหตุการณหนายกนั เพราะความประพฤติไมด ตี อ เก่ียวขอ ง เทาท่พี บ คือ พระนาคสมาละ
นิมนต ๑๖๔ นิรยบาลพระอปุ วาณะ พระสุนักขัตตะ พระจนุ ทะ เปนของบริสุทธ์ิ จะนึกขยายหรือยอ พระนันทะ พระสาคตะ พระโพธิ พระ สวนก็ไดตามปรารถนา 4. สิ่งท่ีพระ เมฆยิ ะ; ดู อานนท, อุปฏฐาก, พร ๘ โพธิสัตวทอดพระเนตรเห็นกอนเสด็จนมิ นต เชญิ หมายถงึ เชญิ พระ เชญิ นกั บวช ออกบรรพชา ๔ อยาง; ดู เทวทูตนิมมานรดี สวรรคชั้นที่ ๕ มีทาว นมิ ติ ขาด (ในคําวา “สีมามีนมิ ติ ขาด”)สุนิมมิตเทวราชปกครอง เทวดาชั้นน้ี สีมามนี ิมิตแนวเดียว ชกั แนวบรรจบไมปรารถนาสิง่ หนึ่งสิง่ ใด นิรมติ เอาได ถึงกัน; ตามนัยอรรถกถาวา ทกั นิมิตไมนิมนั ตนะ การนมิ นต หรืออาหารท่ีไดใ น ครบรอบถงึ จดุ เดมิ ท่ีเริม่ ตนทีน่ มิ นต หมายเอาการนมิ นตข องทายก นิมิตต ดู นิมติ นมิ ติ ตโ อภาส ตรัสขอ ความเปน เชงิ เปดเพ่อื ไปฉนั ทีบ่ า นเรือนของเขานิมติ 1. เครื่องหมาย ไดแกว ัตถุอนั เปน โอกาสใหอาราธนาเพ่ือดํารงพระชนมอยูเครือ่ งหมายแหง สมี า, วัตถทุ คี่ วรใชเปน ตอไปนมิ ิตมี ๘ อยาง ภูเขา ศิลา ปาไม ตนไม นิยม กําหนด, ชอบ, นับถอืจอมปลวก หนทาง แมนา้ํ นํ้า 2. (ในคํา นยิ ยานิกะ เปนเครอ่ื งนําสตั วอ อกไปจากวาทาํ นิมติ ) ทําอาการเปน เชิงชวนใหเขา กองทุกขถวาย, ขอเขาโดยวธิ ใี หร โู ดยนยั ไมขอ นยิ สกรรม กรรมอนั สงฆพ ึงทาํ ใหเ ปน ผูตรงๆ 3. เครื่องหมายสําหรับใหจิต ไรย ศ ไดแกการถอดยศ, เปนชอ่ื นคิ ห-กําหนดในการเจริญกรรมฐาน, ภาพท่ี กรรมที่สงฆทําแกภิกษุผูมีอาบัติมากเปนอารมณกรรมฐานมี ๓ คือ ๑. หรือคลุกคลีกับคฤหัสถ ดวยการคลุกบริกรรมนิมิต นมิ ิตแหง บริกรรม หรอื คลีอันไมสมควร โดยปรับใหถือนิสัยนิมติ ตระเตรียม ไดแก สิง่ ท่ีเพง หรือ ใหมอ ีก; ดู นิคหกรรมกําหนดนึกเปนอารมณกรรมฐาน ๒. นิยาย เร่ืองที่เลากันมา, นิทานท่ีเลาอคุ คหนมิ ติ นิมติ ท่ีใจเรยี น หรอื นมิ ติ ตดิ เปรยี บเทียบเพอ่ื ไดใ จความเปนสุภาษิตตาตดิ ใจ ไดแก สง่ิ ทเี่ พง หรือนึกน้นั เอง นิรยะ นรก, ภพที่ไมม คี วามเจรญิ , ภูมิที่ที่แมนในใจ จนหลับตามองเห็น ๓. เสวยทุกขของคนผูทําบาปตายแลวไปปฏิภาคนิมิต นิมิตเสมือน หรือนิมิต เกิด (ขอ ๑ ในทคุ ติ ๓, ขอ ๑ ในอบายเทยี บเคียง ไดแ ก อุคคหนมิ ติ นั้น เจน ๔) ดู นรก, คติใจจนกลายเปนภาพท่ีเกิดจากสัญญา นริ ยบาล ผูค ุมนรก, ผูล งโทษสัตวน รก
นิรฺวาณมฺ ๑๖๕ นสิ สัคคิยกัณฑนิรฺวาณมฺ ความดับ เปนคาํ สันสกฤต คือ กําหนดหมายการดับตณั หาอนั เปนเทียบกับภาษาบาลี ก็ไดแกศัพทวา อริยผลวา เปนธรรมละเอยี ดประณตี ; ดูนพิ พาน นัน่ เอง ปจ จบุ นั นยิ มใชเ พียงวา สญั ญานิรวาณ กับ นิรวาณะ น้ิวพระสคุ ต, น้ิวสุคต ดู มาตรานิรันดร ติดตอกัน, เสมอมา, ไมมี นวิ รณ, นิวรณธรรม ธรรมที่กั้นจิตไมระหวางคัน่ , ไมเ วนวาง ใหบ รรลคุ วามด,ี สิง่ ท่ขี ดั ขวางจิตไมใหนิรันตราย ปราศจากอันตราย กา วหนาในคณุ ธรรม, อกุศลธรรมทก่ี ดนริ ามิษ, นิรามสิ หาเหยอื่ มิได, ไมมี ทบั จติ ปดกนั้ ปญ ญา มี ๕ อยาง คอื ๑.อามิสคือเหยื่อที่เปนเครื่องลอใจ, ไม กามฉนั ท พอใจใฝกามคณุ ๒. พยาบาท แคนเคอื งคดิ รา ยเขา ๓. ถีนมทิ ธะ หดหูตอ งอาศยั วตั ถุนริ ามิสสขุ สุขไมเ จืออามิส, สุขไมตอง ซึมเซา ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุงซานอาศยั เครื่องลอหรือกามคณุ ไดแก สุขที่ รําคาญใจ ๕. วิจิกิจฉา ลังเลสงสัยอิงเนกขมั มะ; ดู สขุ นิวรณูปกิเลส โทษเครอ่ื งเศราหมองคือนิรุตติปฏิสัมภิทา ปญญาแตกฉานใน นิวรณภาษา คอื เขา ใจภาษา รูจักใชถอยคําให นิเวศน ท่อี ยูคนเขาใจ ตลอดทั้งรูภาษาตา งประเทศ นิสสยาจารย อาจารยผ ใู หน ิสัย นิสสรณวมิ ุตติ ความหลดุ พน ดวยออก(ขอ ๓ ในปฏสิ ัมภทิ า ๔)นิโรธ ความดบั ทกุ ข คอื ดบั ตณั หาไดส ิน้ ไปเสยี หรือสลดั ออกได เปน การพน ท่ีเชิง, ภาวะปลอดทุกขเ พราะไมมที ุกขท ี่ ยั่งยืนตลอดไป ไดแกนิพพาน, เปน จะเกิดขน้ึ ได หมายถึงพระนิพพาน โลกตุ ตรวิมตุ ติ (ขอ ๕ ในวิมุตติ ๕)นิโรธสมาบัติ การเขา นิโรธ คอื ดบั นสิ สคั คยิ ะ, นิสสัคคยี “อนั ใหตองสละ สัญญาความจําไดหมายรู และเวทนา สงิ่ ของ” เปน คณุ บทแหง อาบัตปิ าจติ ตยี การเสวยอารมณ เรียกเต็มวา เขา หมวดทม่ี ีการตอ งสละสงิ่ ของ ซง่ึ เรียกวา สัญญาเวทยิตนิโรธ, พระอรหันตและ นิสสัคคิยปาจิตตีย; “อันจะตองสละ”พระอนาคามที ีไ่ ดส มาบตั ิ ๘ แลวจึงจะ เปนคุณบทแหงส่ิงของที่จะตองสละเมื่อเขา นโิ รธสมาบตั ไิ ด (ขอ ๙ ในอนุปพุ พ- ตองอาบตั ิปาจติ ตียห มวดน้ัน กลาวคอืวิหาร ๙) นสิ สคั คยิ วัตถุนิโรธสญั ญา ความสาํ คัญหมายในนิโรธ นสิ สคั คยิ กัณฑ ตอน หรือ สว นอนั วา
นสิ สัคคยิ ปาจติ ตีย ๑๖๖ นิสสันท,นิสสนั ทะดวยอาบัตินสิ สคั คิยปาจิตตยี อฺ ตฺรภิกฺขุสมมฺ ติยา นสิ ฺสคฺคยิ , อิมาหนิสสคั คิยปาจติ ตยี อาบัติปาจิตตยี อัน อายสฺมโต นสิ สฺ ชชฺ าม.ิ ”, ถา ๒ ผนื วาทําใหตองสละสิ่งของ ภิกษุตองอาบัติ “ทฺวิจีวร”ํ ถา ท้ัง ๓ ผืน วา “ติจวี ร”ํ (คาํประเภทน้ี ตองสละสิ่งของท่ีทําใหตอง คนื ผา ให และคําเปลยี่ นท้งั หลาย พึงอาบตั กิ อ น จงึ จะปลงอาบตั ติ ก, มที งั้ หมด ทราบเหมอื นในสกิ ขาบทแรก) โกสยิ วรรค สกิ ขาบทที่ ๘ (รบั ทอง๓๐ สกิ ขาบท จดั เปน ๓ วรรค คือ จวี ร- เงนิ - ตอ งสละในสงฆ) วา “อหํ ภนเฺ ตวรรค (มี ๑๐ สกิ ขาบท) โกสยิ วรรค (มี รูปยํ ปฏิคคฺ เหส,ึ อทิ ํ เม นิสฺสคคฺ ยิ , อิมาห สงฆฺ สสฺ นสิ ฺสชชฺ าม.ิ ”๑๐ สกิ ขาบท) และปต ตวรรค (มี ๑๐ โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๙ (แลกสิกขาบท) เปลย่ี นดว ยรปู ย ะ - ตองสละในสงฆ) วา ตวั อยา งคาํ เสยี สละ ในบางสกิ ขาบท: “อห ภนเฺ ต นานปฺปการก รปู ย สโวหาร จวี รวรรค สกิ ขาบทที่ ๑ (ทรงอตเิ รก- สมาปชฺชึ, อิทํ เม นิสฺสคฺคิยํ, อิมาหจวี รเกนิ ๑๐ วนั ) ของอยใู นหตั ถบาส วา สงฆฺ สฺส นิสฺสชชฺ ามิ.”“อิทํ เม ภนฺเต จีวรํ ทสาหาติกฺกนตฺ นสิ สฺ คคฺ ยิ ,ํ อมิ าหํ อายสมฺ โต นสิ สฺ ชชฺ าม.ิ ” ปต ตวรรค สกิ ขาบทท่ี ๓ (เกบ็ เภสชั(ถา ผสู ละแกพ รรษากวา ผรู บั วา “อาวุโส” ไวฉ นั ลว ง ๗ วนั ) วา “อิทํ เม ภนฺเต เภสชชฺ ํ สตตฺ าหาติกฺกนฺตํ นิสฺสคคฺ ยิ ํ,แทน “ภนฺเต”), ถาสละ ๒ ผืนขน้ึ ไป วา อิมาห อายสฺมโต นิสสฺ ชฺชามิ.” คําคนื ให“อิมานิ เม ภนเฺ ต จีวรานิ ทสาหา- วา “อิมํ เภสชชฺ ํ อายสฺมโต ทมฺม”ิ (เภสชัตกิ ฺกนตฺ านิ นิสฺสคฺคิยาน,ิ อิมานาหอายสมฺ โต นสิ สฺ ชชฺ ามิ.”; ถาของอยูนอกหัตถบาส วา “เอต”ํ แทน “อิทํ” ทไ่ี ดค นื มา มใิ หฉ นั พงึ ใชใ นกจิ อนื่ )และ “เอตาหํ” แทน “อิมาห”ํ , วา “เอตานิ” นิสสคั คิยวัตถุ ของท่เี ปนนสิ สัคคยี , ของแทน “อิมาน”ิ และ “เอตานาหํ” แทน ทตี่ องสละ, ของทท่ี ําใหภ กิ ษตุ อ งอาบัติ“อิมานาห”ํ ; คําคืนให (ถาหลายผนื หรือ นิสสัคคิยปาจิตตยี จาํ ตองสละกอนจงึอยนู อกหัตถบาส พึงเปล่ียนโดยนัยขา ง จะปลงอาบตั ิตกตน ) วา “อิมํ จีวร อายสฺมโต ทมฺม”ิ นสิ สคั คีย ดู นิสสัคคยิ ะ จวี รวรรค สกิ ขาบทที่ ๒ (อยปู ราศ นิสสันท, นสิ สนั ทะ “สภาวะที่หล่งั ไหลจากไตรจวี รลว งราตร)ี ของอยใู นหตั ถบาส ออก”, สงิ่ ทีเ่ กดิ ตามมา, ส่งิ ท่ีออกมาเปนวา “อิท เม ภนเฺ ต จวี รํ รตตฺ วิ ปิ ฺปวุตถฺ ํ ผล, ผลสืบเนอ่ื ง หรือผลตอตาม เชน
นสิ สัย ๑๖๗ นิสสารณา แสงสวางและควัน เปนนิสสันทของไฟ, มีชีวติ ท่ไี มดีแลว ครอบครวั ญาติพ่นี อง มูตรและคถู เปน ตน เปน นสิ สันทข องสิ่ง ของเขาเกิดความเดือดรอนเปนอยูยาก ทไี่ ดด่มื กนิ , อปุ าทายรปู เปนนสิ สันทของ ลําบาก เปนนิสสนั ท; นิสสันท หมายถงึ มหาภตู รูป, โทสะเปน นิสสันทข องโลภะ ผลสืบเนื่องหรือผลพวงพลอยที่ดีหรือ (เพราะโลภะถูกขดั โทสะจงึ เกดิ ), อรูป- รายก็ได ตางจากอานิสงสซึ่งหมายถึง ฌานเปน นสิ สนั ทข องกสณิ , นโิ รธสมาบตั ิ ผลไดพเิ ศษในฝา ยดีอยางเดียว; ดู ผล, เปน นิสสนั ทของสมถะและวิปสสนา เทยี บ วบิ าก, อานสิ งส นิสสันท ใชกบั ผลดหี รอื ผลรา ยก็ได นิสสัย ปจจัยเคร่ืองอาศัยของบรรพชิต เชน เดียวกบั วบิ าก แตว บิ ากหมายถึงผล ๔ อยา ง คอื ๑. ปณ ฑยิ าโลปโภชนะ ของกรรมที่เกิดขึ้นแกกระแสสืบตอแหง โภชนะท่ีไดมาดวยกําลังปลีแขง คือ ชวี ติ ของผทู าํ กรรมนนั้ (คอื แกช วี ติ สนั ตติ เทีย่ วบิณฑบาต รวมทั้งภตั ตาหารท่เี ปน หรอื แกเ บญจขนั ธ) สว นนสิ สนั ทน ้ี ใชก ับ อตเิ รกลาภ ๑๐ อยา ง ๒. บังสุกุลจวี ร ผลของกรรมก็ได ใชกับผลของธรรม ผา นุงหม ทท่ี ําจากของเขาทิง้ รวมทง้ั ผา ที่ และเรื่องราวทั้งหลายไดท ัว่ ไป ถาใชก บั เปน อตเิ รกลาภ ๖ อยาง ๓. รุกขมลู - ผลของกรรม นสิ สันทหมายถึงผลพว ง เสนาสนะ ทอี่ ยอู าศัยคือโคนไม รวมท้งั พลอย ผลขา งเคยี ง หรอื ผลโดยออ ม ซงึ่ ที่อยูอาศัยที่เปนอติเรกลาภ ๕ อยาง สืบเนื่องตอออกไปจากวิบาก (คือ ๔. ปตู มิ ตุ ตเภสัช ยานา้ํ มตู รเนา รวมทั้ง อิฏฐารมณหรืออนิฏฐารมณท่ีเกิดพวง เภสัชทเี่ ปน อติเรกลาภ ๕ อยา ง (เรยี ก มาขางนอก อันจะกอใหเกิดความสุข สนั้ ๆ วา จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ หรือความทกุ ข) เชน ทาํ กรรมดีแลว เกดิ คิลานเภสชั ); คําบาลีวา “นสิ สฺ ย” ใน ผลดตี อ ชีวติ เปนวิบาก จากนน้ั พลอยมี ภาษาไทย เขียน นสิ สยั หรือ นสิ ยั ก็ ลาภมีความสะดวกสบายเกิดตามมา ได; ดู ปจจยั 2., อนศุ าสน (๘) เปน นสิ สันท หรอื ทํากรรมช่ัวแลว ชวี ติ นิสสารณา การไลอ อก, การขบั ออกจาก สืบตอแปรเปล่ียนไปในทางที่ไมนา หมู เชน นาสนะสามเณรผกู ลาวตูพ ระผู ปรารถนา เปน วิบาก และเกิดความโศก มีพระภาคเจา ออกไปเสยี จากหมู (อยใู น เศรา เสยี ใจ เปนนิสสนั ท และนสิ สันท อปโลกนกมั ม) ประกาศถอนธรรมกถกึ น้ันหมายถึงผลท่ีพลอยเกิดแกคนอื่น ผูไมแ ตกฉานในธรรมในอรรถ คัดคา น ดว ย เชน บคุ คลเสวยวบิ ากของกรรมชั่ว คดีโดยหาหลักฐานมิได ออกเสียจาก
นสิ ยั ๑๖๘ นสิ ัยมุตตกะการระงับอธกิ รณ (อยใู นญตั ติกัมม); คู วา “สาห”ุ (ดลี ะ) “ลห”ุ (เบาใจดอก)กับ โอสารณา “โอปายกิ ”ํ (ชอบแกอ บุ าย) “ปฏริ ปู ” (สมนิสัย 1. ท่ีพึ่ง, ทอ่ี าศัย เชน ขอนสิ ยั ใน ควรอย)ู “ปาสาทเิ กน สมปฺ าเทหิ” (จงการอุปสมบท (คือกลาวคําขอรองตอ ใหถึงพรอมดวยอาการอันนาเล่ือมใสอุปชฌายในพธิ อี ปุ สมบท ขอใหทา นเปน เถิด) คาํ ใดคาํ หน่งึ หรอื ใหรูเ ขา ใจดวยที่พ่ึงท่ีอาศัยของตน ทาํ หนาท่ีปกครอง อาการทางกายก็ตาม ก็เปนอันไดถือสง่ั สอนใหก ารศกึ ษาอบรมตอ ไป), อาจารย อุปชฌายแลว แตนิยมกันมาใหผูขอผูใหน สิ ัย เรียกวา นสิ สยาจารย (อาจารย กลาวรับคําของทานแตละคําวา “สาธุผูรับท่ีจะเปนที่พ่ึงท่ีอาศัย ทําหนา ท่ปี ก ภนเฺ ต” หรือ “สมฺปฏจิ ฉฺ าม”ิ แลว กลาวครองแนะนาํ ในการศกึ ษาอบรม); คําบาลี ตอ ไปอกี วา “อชชฺ ตคฺเคทานิ เถโร มยหฺ ํวา “นิสฺสย” ในภาษาไทย เขยี น นสิ สัย ภาโร, อหมปฺ เถรสสฺ ภาโร” (วา ๓ หน)หรอื นสิ ัย กไ็ ด (= ตงั้ แตว นั น้เี ปน ตนไป พระเถระเปนการขอนสิ ยั (ขออยใู นปกครองหรอื ภาระของขา พเจา แมขา พเจาก็เปน ภาระขอใหเ ปนท่พี ึ่งในการศึกษา) สาํ เรจ็ ดวย ของพระเถระ)การถืออุปชฌาย (ขอใหเปนอุปชฌาย) ภิกษุนวกะถาไมไดอยูในปกครองนน่ั เอง ในพธิ อี ปุ สมบทอยา งทป่ี ฏบิ ตั กิ นั ของอุปชฌายดวยเหตอุ ยา งใดอยา งหนึ่งอยู การขอนสิ ยั ถอื อปุ ช ฌายเ ปน บพุ กจิ ตอน ทท่ี ําใหนสิ ัยระงบั เชน อปุ ชฌายไปอยูหน่ึงของการอุปสมบท กอนจะทําการ เสยี ทอ่ี น่ื ตอ งถอื ภกิ ษอุ นื่ ทม่ี คี ณุ สมบตั ิสอนซอ มถามตอบอนั ตรายิกธรรม ผขู อ สมควร เปน อาจารย และอาศัยทานแทนอุปสมบทเปลงวาจาขอนิสัยถอื อปุ ชฌาย วิธีถืออาจารยก็เหมือนกับวิธีถือดงั น้ี (เฉพาะขอ ความทพ่ี ิมพตัวหนาเทา อุปชฌาย เปล่ยี นแตค ําขอวา “อาจรโิ ย เมนนั้ เปน วนิ ยั บญั ญตั ิ นอกนน้ั ทานเสริม ภนเฺ ต โหห,ิ อายสมฺ โต นสิ สฺ าย วจฺฉาม”ิเขามาเพื่อใหหนักแนน): “อหํ ภนฺเต (ขอทานจงเปนอาจารยของขาพเจานสิ สฺ ยํ ยาจาม,ิ ทตุ ยิ มปฺ อหํ ภนเฺ ต นสิ สฺ ยํ ขาพเจา จกั อยูอ าศยั ทาน)ยาจาม,ิ ตตยิ มปฺ อหํ ภนเฺ ต นสิ สฺ ยํ ยาจาม,ิ 2. ปจ จยั เครอื่ งอาศยั ของบรรพชติ ๔อุปชฌฺ าโย เม ภนฺเต โหหิ, อปุ ชฌฺ าโย เม อยา ง ดู นิสสยั 3. ความประพฤตทิ เ่ี คยภนเฺ ต โหห,ิ อปุ ชฌฺ าโย เม ภนเฺ ต โหหิ” ชิน เชน ทําจนเปน นสิ ยัลําดับน้ันผูจะเปนอุปชฌายะกลาวตอบ นิสัยมุตตกะ ภิกษุผูพนการถือนิสัย
นิสยั สมี า ๑๖๙ เนาหมายถึงภกิ ษุมีพรรษาพน ๕ แลว มี ๑๔๐,๗๙๗ ตารางกิโลเมตร มีพลเมืองความรธู รรมวินัยพอรักษาตวั ไดแลว ไม ประมาณ ๑๓,๔๒๐,๐๐๐ คน (พ.ศ.ตองถือนิสัยในอุปชฌาย หรืออาจารย ๒๕๒๑); หนังสือเกาเขยี น เนปอลตอ ไป; เรยี กงายวา นิสัยมตุ ก เนยยะ ผพู อแนะนําได คอื พอจะฝกสอนนิสัยสีมา คามสีมาเปนที่อาศัยของ อบรมใหเขา ใจธรรมไดต อ ไป (ขอ ๓ ในพัทธสีมา บุคคล ๔ เหลา)นิสิต ศิษยผูเลาเรียนอยูในสํานัก, ผู เนยยัตถะ ดู อัตถะ 2. เนรเทศ ขบั ไลอ อกจากถ่นิ เดิม, ใหออกอาศยั , ผถู อื นิสยันิสิตสีมา พทั ธสมี าอาศัยคามสีมา ไปเสียจากประเทศนิสที นะ ผาปูน่งั สาํ หรบั ภิกษุ เนรญั ชรา ชอื่ แมน้ําสาํ คัญ พระพุทธเจานตี ตั ถะ ดู อัตถะ 2. ไดตรัสรูพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเนกขมั มะ การออกจากกาม, การออก ที่ภายใตตนโพธ์ิ ซึ่งอยูริมแมน้ําสายนี้บวช, ความปลอดโปรง จากส่ิงลอเรา เยา และกอนหนานั้นในวันตรัสรูทรงลอยยวน (พจนานกุ รมเขยี น เนกขัม); (ขอ ถาดขาวมธุปายาสท่ีนางสุชาดาถวายใน๓ ในบารมี ๑๐) แมน าํ้ สายนี้เนกขัมมวิตก ความตรึกท่ีจะออกจาก เนวสัญญานาสัญญายตนะ ภาวะที่มีกาม หรือตรึกท่จี ะออกบวช, ความดําริ สัญญากไ็ มใช ไมม สี ัญญากไ็ มใช เปนหรอื ความคิดท่ปี ลอดจากความโลภ (ขอ ชอ่ื อรูปฌาน หรืออรูปภพที่ ๔๓ ในกุศลวติ ก ๓) เนวสัญญีนาสัญญี มีสัญญากไ็ มใช ไมเนตติ แบบแผน, เยยี่ งอยา ง, ขนบธรรม- มสี ญั ญาก็ไมใ ชเนียม (พจนานกุ รม เขยี น เนติ) เนสัชชกิ ังคะ องคแหง ภิกษุผูถ อื การน่งัเนตร ตา, ดวงตา เปน วตั ร คอื ถอื น่ัง ยืน เดนิ เทาน้นัเนปาล ช่ือประเทศอันเคยเปนที่ต้ังของ ไมน อน (ขอ ๑๓ ในธุดงค ๑๓)แควน ศากยะบางสว น รวมทั้งลุมพนิ อี ัน เนา เอาผา ทาบกนั เขา เอาเข็มเย็บเปน ชวงเปน ทป่ี ระสตู ขิ องเจา ชายสทิ ธตั ถะ ตง้ั อยู ยาวๆ พอกนั ผา เคลอ่ื นจากกัน ครั้นเย็บทางทิศเหนือของประเทศอินเดียและ แลว กเ็ ลาะเนานัน้ ออกเสียทางใตของประเทศจีน มีเน้ือที่
บทภาชนะ ๑๗๐ บรรยาย บบทภาชนะ บทไขความ, บทขยายความ บรรพ ขอทว่ี า ดวยการกาํ หนดลมหายใจบทภาชนีย บทท่ีตั้งไวเพื่อขยายความ, เขา ออก เปนตน บรรพชา การบวช (แปลวา “เวน ความชวั่บททตี่ อ งอธบิ ายบรม อยา งยง่ิ , ท่ีสดุ ทุกอยาง”) หมายถึง การบวชท่ัวไป,บรมธาตุ กระดูกพระพุทธเจา ก า ร บ ว ช อั น เ ป น บุ ร พ ป ร ะ โ ย ค แ ห งบรมพุทโธบาย อุบายคือวิธีของพระ อุปสมบท, การบวชเปนสามเณร (เดิมทีพุทธเจา ผยู อดเยยี่ ม จากศัพทวา บรม เดยี ว คาํ วา บรรพชา หมายความวา(ปรม) + พทุ ธ (พทุ ธฺ ) + อบุ าย (อปุ าย) บวชเปนภิกษุ เชน เสด็จออกบรรพชาบรมศาสดา ศาสดาที่ยอดเยีย่ ม, พระผู อคั รสาวกบรรพชา เปน ตน ในสมัยตอเปน ครูท่ีสงู สุด, พระบรมครู หมายถึง มาจนถึงปจจุบันน้ี คําวา บรรพชาพระพทุ ธเจา หมายถึง บวชเปน สามเณร ถาบวชเปนบรมสารีรกิ ธาตุ ดู สารีริกธาตุ ภกิ ษุ ใชคาํ วา อุปสมบท โดยเฉพาะเมือ่บรมสุข สขุ อยางยง่ิ ไดแก พระนพิ พาน ใชค วบกันวา บรรพชาอุปสมบท)บรมอัฏฐิ กระดูกกษัตรยิ บรรพชิต ผบู วช, นกั บวช เชน ภิกษุบรรจถรณ ผา ปนู อน, เครือ่ งลาด (คือ สมณะ ดาบส ฤษี เปนตน แตเ ฉพาะใน ปจจัตถรณะ) พระพุทธศาสนา ไดแก ภิกษุและบรรจบ ครบ, ถว น, จดกัน, ประสมเขา, สามเณร (และภิกษุณี สิกขมานา ตดิ ตอ กนั , สมทบ สามเณร)ี มักใชค ูกบั คฤหัสถ (ในภาษาบรรทม นอน ไทยปจ จบุ นั ใหใ ชห มายเฉพาะนกั บวชในบรรเทา ทาํ ใหสงบ, คลาย, เบาลง, ทําให พระพุทธศาสนา ไมวาในฝายเถรวาทเบาลง, ทเุ ลา หรือฝา ยมหายาน)บรรพ ขอ, เลม, หมวด, ตอน, กณั ฑ บรรพต ภูเขาดังคําวา กายานุปส สนา พจิ ารณาเห็น บรรยาย การสอน, การแสดง, การชี้ซงึ่ กาย โดยบรรพ ๑๔ ขอ มี อานาปาน- แจง; นัยโดยออม, อยาง, ทาง
บรรลุ ๑๗๑ บรขิ ารบรรลุ ถงึ , สําเรจ็ เข็ม ประคดเอว ผากรองน้ํา (ปริส-บรกิ รรม 1. (ในคาํ วา “ถาผากฐนิ นัน้ มี สาวนะ, หรอื กระบอกกรองนา้ํ คอื ธมกรก, บริกรรมสําเร็จดีอยู”) การตระเตรียม, ธมกรณ, ธมั มกรก หรอื ธมั มกรณ) ดงั กลาวในอรรถกถา (เชน วนิ ย.อ.๑/๒๘๔) วา การทาํ ความเรียบรอยเบอื้ งตน เชน ซัก ตจิ วี รฺจปตโฺ ตจ วาสีสจู ิจพนธฺ น ยอ ม กะ ตดั เยบ็ เสรจ็ แลว 2. สถานที่ ปรสิ สฺ าวเนนฏเเต ยตุ ตฺ โยคสสฺ ภกิ ขฺ โุ น. ตามปกติ อรรถกถากลาวถึงบริขาร ๘ เขาลาดปูน ปูไม ขัดเงา หรอื ชักเงา โบก เมื่อเลาเร่ืองของทานผูบรรลุธรรมเปนพระ ปจ เจกพทุ ธเจา ซึง่ มบี ริขาร ๘ เกดิ ข้นึ เอง ปนู ทาสี เขียนสี แตง อยา งอืน่ เรียกวา พรอมกบั การหายไปของเพศคฤหัสถ และ ที่ทาํ บรกิ รรม หามภกิ ษุถมน้าํ ลาย หรือ เรือ่ งของพระสาวกในยุคตนพุทธกาล ซึง่ มี นงั่ พงิ 3. การนวดฟน ประคบ หรอื ถู บริขาร ๘ เกดิ ขนึ้ เอง เม่ือไดรบั อุปสมบท เปนเอหิภิกขุ นอกจากนี้ ทานอธิบาย ตัว 4. การกระทําขัน้ ตนในการเจรญิ ลักษณะของภิกษุผูสันโดษวา ภิกษุผู สันโดษท่ีพระพุทธเจาทรงมุงหมายในพระ สมถกรรมฐานคือ กําหนดใจโดยเพง สตู ร (เชน สามัญญผลสตู ร, ที.ส.ี ๙/๙๑/๖๑) ซ่ึง เบาตัวจะไปไหนเมื่อใดก็ไดตามปรารถนา วัตถุ หรือนึกถงึ อารมณทก่ี าํ หนดนัน้ วา ดังนกที่มีแตปกจะบินไปไหนเม่ือใดไดดัง ใจน้นั คอื ทานทีม่ ีบรขิ าร ๘ สว นผทู ีม่ ี ซํา้ ๆ อยใู นใจอยางใดอยา งหน่ึง เพื่อทาํ บริขาร ๙ (เพิ่มผาปลู าด หรอื ลูกกญุ แจ) มี บริขาร ๑๐ (เพ่ิมผา นสิ ที นะ หรอื แผน หนงั ) ใจใหสงบ 5. เลือนมาเปนความหมายใน มบี รขิ าร ๑๑ (เพ่ิมไมเ ทา หรอื ทะนานนาํ้ มนั ) หรอื มบี ริขาร ๑๒ (เพ่มิ รม หรือรอง ภาษาไทย หมายถงึ ทองบน , เสกเปา เทา ) ก็เรยี กวามกั นอย สนั โดษ แตม ใิ ชผูบริกรรมภาวนา ภาวนาขั้นตนหรือข้ัน ท่ที รงมุงหมายในพระสูตรดังกลา วนั้น ตระเตรยี ม คือ กําหนดใจ โดยเพง ดู รายการบรขิ ารในพระไตรปฎ ก ทม่ี ชี ื่อ และจาํ นวนใกลเ คยี งกบั บริขาร ๘ น้ี พบ วัตถุ หรือนึกวาพุทธคุณ ธรรมคุณ ในสิกขาบทที่ ๑๐ แหงสุราปานวรรค สังฆคณุ เปน ตน ซํา้ ๆ อยูในใจบรขิ าร ของใชสวนตวั ของพระ, เคร่ืองใช สอยประจําตัวของภิกษุ; บริขารทจี่ าํ เปน แทจ ริง คือ บาตร และ[ไตร]จวี ร ซ่ึงตอ ง มพี รอ มกอ นจงึ จะอปุ สมบทได แตไ ดย ดึ ถอื กนั สบื มาใหม ี บรขิ าร ๘ (อัฐบริขาร) คือ ไตรจวี ร (สังฆาฏิ อุตราสงค อนั ตร- วาสก) บาตร มดี เลก็ (วาส,ี อรรถกถามกั อธบิ ายวา เปนมีดตดั เหลาไมสฟี น แตเรา นิยมพูดกันมาวามีดโกนหรือมีดตดั เลบ็ )
บริขารโจล ๑๗๒ บรโิ ภคเจดียปาจิตตีย (ภิกษุซอนบริขารของภิกษุอ่ืน) อปรันตกชนบท (สนั นษิ ฐานวา เปน ดนิ แดนไดแก บาตร [ไตร]จีวร ผา นสิ ที นะ กลอง แถบรฐั Gujarat ในอนิ เดยี ถงึ Sind ในเข็ม ประคดเอว (นับได ๗ ขาดมดี และ ปากสี ถานปจจุบัน)เคร่ืองกรองน้ํา แตมีนิสีทนะเพิ่มเขามา), บริขารโจล ทอนผา ใชเปน บรขิ าร เชนในคราวจะมสี งั คายนาครงั้ ที่ ๒ พวกภกิ ษุ ผากรองน้าํ ถงุ บาตร ยาม ผา หอของวัชชีบุตรไดเที่ยวหาพวกดวยการจัด บริจาค สละให, เสยี สละ, สละออกไปเตรียมบริขารเปนอันมากไปถวายพระ จากตัว, การสละใหหมดความเห็นแกเถระบางรปู (วนิ ย.๗/๖๔๓/๔๑๐) ไดแ ก บาตร ตัว หรืออยางมิใหมีความเห็นแกตนจีวร นิสีทนะ กลองเขม็ ประคดเอว ผา โดยมุงเพ่ือประโยชนของผูอ่ืน เพ่ือกรองนํ้า และธมกรก (ครบ ๘ แตมี ความดงี าม หรือเพ่ือการกาวสงู ขนึ้ ไปในนสิ ีทนะมาแทนมีด) ธรรม เชน ธนบรจิ าค (การสละทรพั ย)คัมภีรอปทาน (ขุ.อป.๓๓/๒๐๘/๕๔๙) ชีวิตบริจาค (การสละชีวิต) กามสุข-นอกจากบรรยายเรื่องพระบรมสารีริกธาตุ บรจิ าค (การสละกามสขุ ) อกุศลบรจิ าคท่ไี ดร ับการอญั เชิญไปบรรจุไว ณ สถูป- (การสละละอกุศล); บัดนี้ มักหมายเจดยี สถานตา งๆ แลว ยังไดก ลาวถงึ เฉพาะการรวมใหหรือการสละเพ่ือการบรขิ ารของพระพุทธเจา ซงึ่ ประดษิ ฐานอยู บุญอยางเปน พิธีในท่ีตางๆ (หลายแหงไมอาจกําหนดไดวา บริจารกิ า หญงิ รับใชในบดั นค้ี อื ทีใ่ ด) คอื บาตร ไมเทา และ บรภิ ณั ฑ ดู สตั ตบรภิ ัณฑจีวรของพระผมู ีพระภาค อยูในวชิรานคร บริโภค กิน, ใชสอย, เสพ; ในประโยควาสบงอยูในกุลฆรนคร (เมืองหน่ึงใน “ภิกษุใดรูอยู บรโิ ภคน้าํ มตี วั สตั ว เปนแควนอวันตี) บรรจถรณอยูเมืองกบิล ปาจิตตยิ ะ” หมายถึง ด่ืม อาบ และใชธมกรกและประคดเอวอยูนครปาฏลิบุตร สอยอยางอืน่ผาสรงอยูที่เมืองจัมปา ผากาสาวะอยูใน บริโภคเจดยี เจดยี ค ือสิ่งของหรือสถานพรหมโลก ผาโพกอยูที่ดาวดึงส ผา ท่ีท่ีพระพุทธเจาเคยทรงใชสอยเกี่ยวนิสีทนะอยูในแควนอวันตี ผาลาดอยูใน ขอ ง ไดแ ก ตมุ พสตปู อังคารสตูป และเทวรฐั ไมสไี ฟอยูใ นมถิ ิลานคร ผากรอง สงั เวชนยี สถานทัง้ ๔ ตลอดถึงบาตรนํ้าอยูในวิเทหรัฐ มีดและกลองเข็มอยูที่ จวี ร เตียง ตั่ง กฎุ ี วิหาร ท่พี ระพทุ ธเจาเมืองอินทปต ถ บรขิ ารเหลือจากน้นั อยใู น ทรงใชส อย
บรวิ าร ๑๗๓ บอกศกั ราชบรวิ าร 1. ผูแวดลอ ม, ผูหอ มลอมตดิ บอกวัตร บอกขอปฏิบัติในพระพุทธ-ตาม, ผรู บั ใช 2. สง่ิ แวดลอ ม, ของสมทบ, ศาสนา เมื่อทําวัตรเยน็ เสรจ็ แลว ภกิ ษุส่งิ ประกอบรว ม เชน ผา บริวาร บรวิ าร รปู เดียวเปนผบู อก อาจใชว ิธีหมนุ เวยี นกฐิน เปนตน 3. ชอ่ื คัมภรี พระวินัยปฎก กนั ไปทลี ะรปู ขอ ความทบี่ อก วา เปน ภาษาหมวดสุดทายใน ๕ หมวดคือ อาทกิ ัมม บาลี กลา วถงึ ปฏิบตั ิบูชา คาถา โอวาท- ปาจิตตีย มหาวรรค จลุ วรรค บริวาร; ปาฏิโมกข คณุ านิสงสแหง ขันตธิ รรม คํา เรยี กตามรปู เดมิ ในบาลวี า ปริวาร ก็มี เตือนใหใสใจในธรรมในเมื่อไดมีโอกาสบรษิ ทั หมเู หลา, ท่ีประชุม, คนรวมกัน, เกิดมาเปนมนุษยพบพระพุทธศาสนา กลุม ชน ความไมประมาท เรงเพียรพยายามในบรษิ ทั ๔ ชุมชนชาวพทุ ธ ๔ พวก คือ ทางธรรมเพื่อนอมไปสูพระนิพพานภกิ ษุ ภกิ ษุณี อุบาสก อบุ าสิกา และพน จากทคุ ติ แลวกลา วถึงพทุ ธกจิบริสุทธ, บรสิ ุทธิ์ สะอาด, หมดจด, ประจําวนั ๕ ประการ ลาํ ดบั กาลในพระปราศจากมลทิน, ผุดผอง; ครบถว น, พุทธประวัติ สิ่งแทนพระองคภายหลัง ถกู ตองตามระเบยี บอยา งบรบิ ูรณ พุทธปรินพิ พาน ชอ่ื วัน เดือน ป และบริหาร ดูแล, รกั ษา, ปกครอง ดาวนักษัตร ๒๗ จบลงดว ยคาํ เช้ือเชิญบริหารคณะ ปกครองหมู, ดูแลหมู ใหต้ังอยูในพระพุทธโอวาท บําเพ็ญบวงสรวง บูชา (ใชแ กผสี าง เทวดา) ปฏิบัติบูชา เพื่อบรรลุสมบัติทั้งที่เปนบวงแหง มาร ไดแ ก วัตถุกาม คอื รูป โลกยี ะและโลกตุ ตระ; ธรรมเนียมน้ี บัดเสยี ง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ทน่ี า รักใคร นเ้ี ลือนลางไปแลวนา พอใจ บอกศักราช เปนธรรมเนียมของพระบวช การเวน ทว่ั คือเวน ความชว่ั ทกุ อยา ง สงฆไ ทยแตโ บราณ มีการบอกกาลเวลา(ออกมาจากคาํ วา ป + วช) หมายถงึ การ เรยี กวา บอกศกั ราช ตอนทายสวดมนต ถอื เพศเปนนักพรตทว่ั ไป; บวชพระ คอื และกอ นจะแสดงพระธรรมเทศนา (หลงั บวชเปน ภกิ ษุ เรยี กวา อุปสมบท, บวช จากใหศีลจบแลว) วาท้ังภาษาบาลแี ละ เณรคอื บวชเปน สามเณร เรยี กวา บรรพชา คาํ แปลเปนภาษาไทย การบอกอยางเกาบอก ในประโยควา “ภกิ ษใุ ด ไมไ ดรับ บอกป ฤดู เดอื น วัน ทง้ั ท่ีเปนปจ จบุ ันบอกกอน กา วลว งธรณีเขา ไป” ไมไ ดร ับ อดีต และอนาคต คอื บอกวา ลว งไปแลวบอก คือยงั ไมไ ดรบั อนญุ าต เทา ใด และยงั จะมมี าอกี เทา ใด จงึ จะครบ
บงั คม ๑๗๔ บงั สุกุลตาย-บงั สุกุลเปนจํานวนอายุพระพทุ ธศาสนา ๕ พนั ป สมเด็จพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาแตป ระมาณ พ.ศ. ๒๔๘๔ ทร่ี ฐั บาล สัมพุทธเจาน้ัน มีนัยอันจะพึงกําหนดประกาศใชวนั ท่ี ๑ มกราคม เปนวันข้ึน นับ ดว ยประการฉะนี้.ปใหม เปน ตน มา ไดมีวธิ บี อกศักราชอยา งใหมข ้ึนใชแ ทน บอกเฉพาะป พ.ศ. [วนั เรยี งลาํ ดับจากวันอาทติ ยไป เปนเดอื น วันท่ี และวันในปจ จบุ นั ทง้ั บาลี คาํ บาลีวา : รวิ จนทฺ ภมุ มฺ วธุ ครุ สกุ กฺและคําแปล บดั น้ไี มนิยมกันแลว คง โสร; เดือน เรยี งลําดบั จากเมษายนไปเปนเพราะมีปฏิทินและเคร่ืองบอกเวลา เปน คําบาลีวา: จติ รฺ วสิ าข เชฏอยา งอ่ืนใชกันด่ืนท่ัวไป อาสาฬหฺ สาวน โปฏ ปท (หรอื ภททฺ - ปท) อสสฺ ยชุ กตตฺ กิ มคิ สริ ปสุ สฺ มาฆ ในทน่ี ี้ แสดงคาํ บอกศกั ราชอยา งใหม ผคฺคุณ; สวนวันที่ และเลขป พึงไวเปนตัวอยาง (เม่อื ใกล พ.ศ.๒๕๐๐ ประกอบตามหลักบาลไี วยากรณ]ยังถือปฏบิ ัติกันอย)ู ดงั นี้ บงั คม ไหวอทิ านิ ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺ บังสุกลุ ผาบังสกุ ลุ หรือ บงั สกุ ุลจีวร; ในมา-สมพฺ ทุ ธฺ สสฺ , ปรนิ ิพพฺ านโต ปฏ ภาษาไทยปจจุบัน มักใชเปนคํากริยาฐาย, เอกสํวจฺฉรตุ ตฺ รปจฺ สตาธิกา หมายถึงการที่พระสงฆชักเอาผาซึ่งเขาน,ิ เทวฺ สวํ จฺฉรสหสฺสานิ อตกิ ฺกนฺ ทอดวางไวท ศ่ี พ ทห่ี บี ศพ หรอื ทสี่ ายโยงตานิ, ปจฺจุปฺ-ปนฺนกาลวเสน จิตฺร ศพ โดยกลาวขอความท่ีเรียกวา คํามาสสฺส เตรสมํ ทนิ ,ํ วารวเสน ปน พิจารณาผา บงั สุกลุ ดงั นี้รววิ าโร โหต.ิ เอวํ ตสฺส ภควโต ปริ อนิจฺจา วต สงขฺ ารา อปุ ฺปาทวยธมฺมโิ นนพิ พฺ านา, สาสนายกุ าล-คณนา สลฺล อุปฺปชชฺ ิตวฺ า นริ ุชฺฌนฺติ เตสํ วปู สโม สโุ ขกเฺ ขตพพฺ าติ. บังสุกุลจีวร ผาท่ีเกลือกกลั้วดวยฝุน,ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนายุกาล ผาท่ไี ดม าจาก กองฝุน กองหยากเย่อื ซง่ึจําเดิมแตปรินิพพานแหงพระองค เขาท้ิงแลว ตลอดถงึ ผาหอคลุมศพทเี่ ขาสมเด็จพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมา ท้ิงไวในปาชา ไมใชผาท่ีชาวบานถวาย,สมั พทุ ธเจา น้ัน บัดน้ีลว งแลว ๒๕๐๑ ปจจุบันมักหมายถึงผาท่ีพระชักจากศพพรรษา ปจ จบุ นั สมยั เมษายนมาส สรุ ทนิ โดยตรงกต็ าม จากสายโยงศพก็ตามที่ ๑๓ อาทติ ยวาร พระพทุ ธศาสนายกุ าล บังสุกลุ ตาย-บงั สกุ ุลเปน ตามประเพณีจําเดิมแตปรินิพพานแหงพระองค เก่ียวกับการศพ หลังจากเผาศพแลว
บญั ญตั ิ ๑๗๕ บณั เฑาะว เมอ่ื จะเก็บอัฐิ (เก็บในวันที่เผากไ็ ด แต อจริ ํ วตยํ กาโย ปวึ อธเิ สสสฺ ติ นยิ มเก็บตอนเชา วันรุงขึน้ ) มีการนมิ นต ฉุฑโฺ ฑอเปตวิฺาโณ นิรตถฺ ํว กลิงฺครํ พระมาบงั สุกลุ อัฐิ เรียกวา “แปรรูป” หรอื บังสุกุลตาย-บังสุกุลเปนนี้ ตอมามี “แปรธาต”ุ (พระก่รี ูปก็ได แตนิยมกนั วา การนําไปใชในการสะเดาะเคราะหดวย ๔ รปู , บางทานวา ทีจ่ รงิ ไมค วรเกนิ ๓ ทํานองจะใหมีความหมายวา ตายหรือ รูป คงจะเพอ่ื ใหส อดคลองกับกรณที ่ีมี วบิ ตั แิ ลว กใ็ หก ลบั ฟน ขนึ้ มา, อยา งไรกด็ ี การทําบุญสามหาบ ซึ่งถวายแกพระ ๓ ถาไมระวังไว แทนที่จะเปนการใชใหมี รูป) ในการแปรรูปน้ัน กอ นจะบงั สกุ ลุ ความหมายเชงิ ปริศนาธรรม ก็จะกลาย บางทีก็นิมนตพระสงฆทําน้ํามนตมา เปนการใชในแงถอื โชคลาง; ดู บังสกุ ลุ ประพรมอฐั ิ เรียกวาดบั ธาตกุ อน แลว บัญญตั ิ การต้งั ขึน้ , ขอท่ตี ั้งข้ึน, การ เจา หนา ท่ี (สัปเหรอ) จัดอัฐทิ ีเ่ ผาแลว นัน้ กาํ หนดเรียก, การเรียกชอ่ื , การวางเปน ใหรวมเปนสวนๆ ตามรูปของรางกาย กฎไว, ขอ บงั คบั หนั ศรี ษะไปทศิ ตะวนั ตก พรอมแลว บัณฑิต ผูมีปญญา, นักปราชญ, ผู ญาติจุดธูปเคารพ บอกกลา ว และเอา ดาํ เนินชีวติ ดวยปญ ญา ดอกพิกุลเงินพิกุลทองหรือสตางควาง บัณฑติ ชาติ เผาพันธบุ ัณฑิต, เหลานกั กระจายลงไปท่ัวรางของอัฐิ แลว ปราชญ, เชอ้ื นกั ปราชญ ประพรมดวยนํ้าอบน้าํ หอม จากนั้นจึง บณั ฑกุ มั พลศิลาอาสน แทน หินมสี ีดุจ ทอดผา บงั สกุ ลุ และพระสงฆก ็กลา วคํา ผา กมั พลเหลอื ง เปนที่ประทับของพระ พิจารณาวา “อนิจฺจา วต สงฺขารา” อินทรในสวรรคชนั้ ดาวดงึ ส (อรรถกถา เปน ตน อยา งท่ีวา ตามปกติทวั่ ไป เรยี ก วา สีแดง) วา บงั สุกุลตาย เสร็จแลวเจาหนาท่ีก็ บณั เฑาะก [บนั -เดาะ] กะเทย, คนไม หมุนรางอัฐิใหหันศีรษะไปทิศตะวัน ปรากฏชัดวาเปนเพศชายหรือเพศหญิง ออก และพระสงฆกลาวคําพิจารณา ไดแ ก กะเทยโดยกําเนิด ๑ ชายผถู กู เปลี่ยนเปนบงั สกุ ลุ เปน มคี วามหมาย ตอนที่เรยี กวาขนั ที ๑ ชายมรี าคะกลา วาตายแลวไปเกดิ จบแลว เมอ่ื ถวาย ประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและ ดอกไมธูปเทียนแกพระสงฆเสร็จ เจา ยว่ั ยวนชายอืน่ ใหเปน เชน น้นั ๑ ภาพกเ็ ก็บอฐั ิ (เลอื กเก็บจากศีรษะลงไป บณั เฑาะว [บัน-เดาะ] 1. กลองเล็กชนดิ ปลายเทา ),คาํ พจิ ารณาบงั สกุ ลุ เปน นน้ั วา หนึ่งมีหนังสองหนาตรงกลางคอด ริม
บนั ดาล ๑๗๖ บารมีท้ังสองใหญ พราหมณใชในพิธีตางๆ หลังเดยี ว สองหลงั สามหลงั หรอื มากขับโดยใชลูกตุมกระทบหนากลองท้ัง กวา นน้ั หรอื รวมบา นเหลา นนั้ เขา เปน หมูสองขา ง; 2. สีมามสี ณั ฐานดุจบัณเฑาะว ก็เรียกวา บาน คําวา คามสมี า หมายถึง คอื มลี กั ษณะทรวดทรงเหมอื นบณั เฑาะว แดนบานตามนัยหลงั น้ีบันดาล ใหเกิดมีขน้ึ หรอื ใหเปน ไปอยาง บาป ความชวั่ , ความราย, ความช่ัวราย,ใดอยางหน่ึงดวยฤทธ์ิหรือดวยแรง กรรมชวั่ , กรรมลามก, อกุศลกรรมทสี่ ง อาํ นาจ ใหถ ึงความเดือดรอ น, สภาพท่ที ําใหถ งึบัลลงั ก ในคาํ วา “นงั่ ขัดบัลลงั ก” หรอื คติอันชวั่ , สิง่ ท่ีทาํ จติ ใหตกสทู ่ชี วั่ คือ“นัง่ คูบลั ลงั ก” คอื น่ังขัดสมาธ;ิ ความ ทําใหเลวลง ใหเส่ือมลงหมายทวั่ ไปวา แทน, พระแทน , ท่ีน่งั ผู บารมี คณุ ความดีทบ่ี ําเพญ็ อยา งยิง่ ยวดพพิ ากษาเม่ือพิจารณาคดีในศาล, สว น เพ่ือบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง, บารมีท่ีของสถูปเจดียบางแบบ มีรูปเปนแทน พระโพธิสัตวตองบําเพ็ญใหครบ เหนือคอระฆงั บริบูรณ จึงจะบรรลโุ พธิญาณ เปน พระบัว ๔ เหลา ดู บคุ คล ๔ จาํ พวก พุทธเจา มี ๑๐ คือ ๑.ทาน (การให การบาตร ภาชนะทภี่ ิกษุสามเณรใชรับอาหาร เสียสละเพ่ือชวยเหลือมวลมนุษยสรรพ บิณฑบาต เปนบริขารประจําตัวคูกับ สัตว) ๒.ศีล (ความประพฤติถูกตอง สุจริต) ๓.เนกขัมมะ (ความปลีกออก ไตรจีวร ซึ่งผูจะอุปสมบทจําเปน ตอ งมีจงึ จะบวชได ดงั ที่เรยี กรวมกนั วา “ปตฺต- จากกามได ไมเห็นแกการเสพบําเรอ,จีวรํ” และจดั เปนอยา งหน่งึ ในบริขาร ๘ การออกบวช) ๔.ปญญา (ความรอบรูของภกิ ษ,ุ บาตรทท่ี รงอนญุ าต มี ๒ อยา ง เขาถงึ ความจรงิ รจู กั คดิ พจิ ารณาแกไข (วนิ ย.๗/๓๔/๑๗) คอื บาตรเหลก็ (อโย- ปญหาและดําเนินการจัดการตางๆ ให สําเรจ็ ) ๕.วิริยะ (ความเพียรแกลว กลา ปตฺต) และบาตรดิน (มตฺติกาปตฺต, บากบน่ั ทาํ การ ไมทอดท้ิงธรุ ะหนา ท่)ี ๖. ขนั ติ (ความอดทน ควบคุมตนอยไู ดใน หมายเอาบาตรดนิ เผาซงึ่ สมุ ดําสนิท)บาตรอธิษฐาน บาตรท่ีพระพุทธเจา อนญุ าตใหภ กิ ษมุ ีไวใ ชประจาํ ตัวหน่งึ ใบ ธรรม ในเหตผุ ล และในแนวทางเพอื่ จุดบาทยุคล คแู หง บาท, พระบาททง้ั สอง หมายอนั ชอบ ไมย อมลุอํานาจกเิ ลส) ๗. สัจจะ (ความจรงิ ซื่อสัตย จริงใจ จริง (เทาสองขาง) จงั ) ๘.อธิษฐาน (ความตง้ั ใจม่นั ต้งั จดุบาน ท่อี ยูของคนครัวเดยี วกัน มเี รือน
บารมี ๓๐ทศั ๑๗๗ บาลีประเทศหมายไวด ีงามชัดเจนและมงุ ไปเดด็ เดี่ยว ๓๐ เรียกเปน คําศพั ทว า สมดงึ สบารมีแนวแน) ๙.เมตตา (ความรักความ (หรือสมติงสบารมี) แปลวา บารมีปรารถนาดี คดิ เก้ือกูลหวังใหสรรพสตั ว สามสบิ ถว น หรอื บารมีครบเตม็ สามสบิอยดู ีมคี วามสขุ ) ๑๐.อุเบกขา (ความวาง แตใ นภาษาไทย บางทีเรยี กสืบๆ กนั มาใจเปนกลาง อยูในธรรม เรียบสงบ วา “บารมี ๓๐ ทศั ”; ดู ทศั , สมดึงส-สมํา่ เสมอ ไมเ อนเอยี ง ไมหวน่ั ไหวไป บารมี ๓๐ ทศั ดู บารมี, สมดึงส-ดวยความยินดียินรายชอบชังหรือแรง บาลี 1. “ภาษาอันรักษาไวซ ึ่งพทุ ธพจน” ,เยา ยวนย่ัวยใุ ดๆ) ภาษาทใ่ี ชท รงจาํ และจารกึ รกั ษาพทุ ธพจนบารมี ๑๐ นัน้ จะบริบูรณต อเม่ือ แตเ ดมิ มา อนั เปน หลกั ในพระพทุ ธศาสนาพระโพธิสัตวบําเพ็ญแตละบารมีครบ ฝายเถรวาท ถือกันวาไดแกภาษามคธสามข้นั หรือสามระดับ จงึ แบงบารมีเปน 2. พระพทุ ธวจนะ ซ่งึ พระสงั คตี ิกาจารย๓ ระดับ คือ ๑.บารมี คอื คณุ ความดที ี่ รวบรวมไว คอื พระธรรมวนิ ัยทพี่ ระบาํ เพญ็ อยางยิง่ ยวด ขนั้ ตน ๒.อปุ บารมี อรหนั ต ๕๐๐ องคประชมุ กนั รวบรวมคือคุณความดีที่บําเพ็ญอยางย่ิงยวด จัดสรรใหเปนหมวดหมูในคราวปฐม-ขัน้ จวนสูงสดุ ๓.ปรมตั ถบารมี คอื คุณ สงั คายนา และรกั ษาไวด ว ยภาษาบาลี สบืความดีทบี่ ําเพญ็ อยา งยง่ิ ยวด ขัน้ สูงสุด ตอกันมาในรูปท่ีเรียกวาพระไตรปฎกเกณฑในการแบงระดับของบารมี อนั เปน คมั ภรี พ ระพทุ ธศาสนาตน เดิม ท่ีน้ัน มีหลายแงหลายดา น ขอยกเกณฑ เปนหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท,อยา งงา ยมาใหทราบพอเขาใจ เชน ใน พทุ ธพจน, ขอ ความทมี่ าในพระไตรปฎ ก;ขอทาน สละทรัพยภายนอกทกุ อยางได ในการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา มปี ระเพณีเพื่อประโยชนแกผูอื่น เปนทานบารมี ทป่ี ฏบิ ตั กิ นั มาในเมอื งไทย ใหแ ยกคาํ วาสละอวัยวะเพ่ือประโยชนแกผ ูอ น่ื เปน “บาล”ี ในความหมาย ๒ อยา งน้ี ดว ยทานอปุ บารมี สละชีวติ เพ่อื ประโยชนแก การเรยี กใหต า งกนั คอื ถา หมายถงึ บาลีผูอ่ืน เปน ทานปรมัตถบารมี ในความหมายที่ 1. ใหใ ชค าํ วา ภาษาบาลี บารมีในแตละขั้นมี ๑๐ จึงแยกเปน (หรอื ศพั ทบ าลี คาํ บาลี หรอื บาล)ี แตถ าบารมี ๑๐ (ทศบารม)ี อุปบารมี ๑๐ หมายถงึ บาลใี นความหมายท่ี 2. ใหใ ชค าํ(ทศอปุ บารม)ี และปรมตั ถบารมี ๑๐ วา พระบาลี(ทศปรมตั ถบารม)ี รวมทง้ั ส้ินเปน บารมี บาลีประเทศ ขอความตอนหนึ่งแหง
บาลพี ทุ ธอทุ าน ๑๗๘ บุคคล ๔๒บาล,ี ขอ ความจากพระไตรปฎก พระไปบิณฑบาต คอื ไปรับอาหารทีเ่ ขาบาลพี ทุ ธอทุ าน คาํ อุทานท่พี ระพุทธเจา จะใสล งในบาตร บุคคล “ผูกลืนกินอาหารอันทําอายุใหทรงเปลงเปน บาลี เชนท่วี ายทา หเว ปาตภุ วนฺติ ธมฺมา ครบเตม็ ”, คนแตละคน, คนรายตวั ;อาตาปโน ฌายโต พรฺ าหฺมณสสฺ อตั ตา, อาตมนั ; ในพระวินยั โดยเฉพาะอถสฺส กงขฺ า วปยนตฺ ิ สพฺพา ในสังฆกรรม หมายถึงภิกษุรูปเดียว; ฯเปฯ เทยี บ สงฆ, คณะ(“ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฏแก บุคคล ๔๑ บุคคล ๔ จําพวก คือ ๑. อุค-พราหมณผูเพียรเพงพิจารณา ในกาล ฆฏิตัญู ผูรเู ขา ใจไดฉ บั พลนั แตพอน้ัน ความสงสยั ท้งั ปวงของพราหมณน นั้ ทา นยกหัวขอข้นึ แสดง ๒. วิปจติ ญั ู ผู รเู ขา ใจตอ เมอื่ ทา นขยายความ ๓. เนยยะยอ มสิน้ ไป ...”)บําบวง บนบาน, เซนสรวง, บูชา ผทู ่ีพอจะแนะนําตอไปได ๔. ปทปรมะบําเพ็ญ ทาํ , ทาํ ดวยความตัง้ ใจ, ปฏบิ ตั ิ, ผูไดแคตัวบทคือถอยคําเปนอยางย่ิงทําใหเ ตม็ , ทาํ ใหม ีขนึ้ , ทาํ ใหส ําเร็จผล ไมอ าจเขาใจความหมาย(ใชแกสิ่งที่ดงี ามเปน บุญกศุ ล) พระอรรถกถาจารยเปรียบบุคคลบณิ ฑจารกิ วตั ร วตั รของผเู ทยี่ วบณิ ฑบาต, ๔ จําพวกนี้กับบวั ๔ เหลาตามลาํ ดบั คอืธรรมเนียมหรือขอควรปฏิบัติสําหรับ ๑. ดอกบวั ทีต่ งั้ ขน้ึ พน นา้ํ รอสมั ผัสแสงภิกษทุ ่ีจะไปรับบิณฑบาต เชน นงุ หมให อาทติ ยกจ็ ะบานในวันน้ี ๒. ดอกบัวที่ตัง้เรยี บรอ ย สํารวมกริ ิยาอาการ ถอื บาตร อยูเสมอนํ้า จักบานในวันพรุงน้ี ๓.ภายในจีวรเอาออกเฉพาะเม่ือจะรับ ดอกบัวท่ียังอยูในน้ํา ยังไมโผลพนนํ้าบิณฑบาต กําหนดทางเขาออกแหง บา น จักบานในวันตอ ๆ ไป ๔. ดอกบวั จมอยูและอาการของชาวบานที่จะใหภิกขา ในน้ําท่ีกลายเปนภักษาแหงปลาและเตาหรือไม รับบณิ ฑบาตดวยอาการสํารวม (ในพระบาลี ตรัสถึงแตบัว ๓ เหลา ตนรปู ที่กลับมากอน จัดทฉี่ นั รูปที่มาทีหลงั เทานนั้ )ฉันแลวเก็บกวาด บุคคล ๔๒ บคุ คล ๔ จําพวกทแ่ี บง ตามบิณฑบาต อาหารท่ีใสลงในบาตรพระ, ประมาณ ไดแ ก ๑. รปู ป ปมาณกิ า ๒. โฆ-อาหารถวายพระ; ในภาษาไทยใชใน สปั ปมาณกิ า ๓. ลขู ัปปมาณิกา และ ๔.ความหมายวา รบั ของใสบ าตร เชน ทว่ี า ธมั มัปปมาณกิ า; ดู ประมาณ
บคุ คลหาไดย าก ๒ ๑๗๙ บุญบุคคลหาไดยาก ๒ คือ ๑. บุพการี ๒. เจริญเพม่ิ พนู อยางน้ี”, และมพี ทุ ธพจน กตญั กู ตเวที (ข.ุ อติ ิ.๒๕/๒๐๐/๒๔๐) ตรัสไวด วยวา “ภิกษุบุคคลาธิษฐาน มีบุคคลเปนที่ต้ัง, ทงั้ หลาย เธอทง้ั หลายอยา ไดก ลวั ตอ บญุ เทศนายกบุคคลขึ้นตั้ง คือ วิธีแสดง เลย คาํ วา บุญน้ี เปน ชือ่ ของความสขุ ” ธรรมโดยยกบุคคลขึ้นอาง; คูกับ (บุญ ในพทุ ธพจนน ี้ ทรงเนน ทกี่ ารเจรญิ ธรรมาธษิ ฐาน เมตตาจิต), พระพุทธเจาตรัสสอนใหบคุ คลิกาวาส ดู ปคุ คลกิ าวาส ศกึ ษาบญุ (“ปุ ฺเมว โส สกิ เฺ ขยยฺ ” -บุคลิก เนือ่ งดว ยบคุ คล, จาํ เพาะคน (= ข.ุ อติ ิ.๒๕/๒๐๐/๒๔๑; ๒๓๘/๒๗๐) คอื ฝก ปคุ คลิก) ปฏิบัติหัดทาํ ใหชีวิตเจริญงอกงามข้ึนในบญุ เครอ่ื งชาํ ระสนั ดาน, ความด,ี กรรมด,ี ความดแี ละสมบรู ณด ว ยคณุ สมบตั ทิ ด่ี ี ความประพฤติชอบทางกายวาจาและใจ, กุศลกรรม, ความสขุ , กศุ ลธรรม ในการทาํ บญุ ไมพ งึ ละเลยพนื้ ฐานท่ี ตรงตามสภาพความเปน จรงิ ของชวี ติ ให ที่กลาวนั้น เปนความหมายท่ัวไป ชีวิตและสิ่งแวดลอมเจริญงอกงามหนุน โดยสรุป ตอน้ีพึงทราบคําอธิบาย กนั ขนึ้ ไปสคู วามดงี ามทส่ี มบรู ณ เชน พงึ ละเอียดข้ึน เริ่มแตความหมายตามรปู ระลกึ ถงึ พทุ ธพจน (ส.ํ ส.๑๕/๑๔๖/๔๖) ทวี่ า ศัพทวา “กรรมที่ชําระสันดานของผู “ชนเหลา ใด ปลกู สวน ปลกู ปา สรา ง กระทําใหส ะอาด”, “สภาวะอันทําใหเกดิ สะพาน (รวมทั้งจัดเรือขามฟาก) จัด ความนาบูชา”, “การกระทําอันทําใหเต็ม บรกิ ารนาํ้ ดมื่ และบงึ บอ สระนาํ้ ใหท พ่ี กั อิม่ สมนา้ํ ใจ”, ความด,ี กรรมทดี่ งี ามเปน อาศยั บญุ ของชนเหลา นนั้ ยอ มเจรญิ ประโยชน, ความประพฤตชิ อบทางกาย งอกงาม ทงั้ คนื ทง้ั วนั ตลอดทกุ เวลา, ชน วาจาใจ, กศุ ล (มักหมายถึงโลกียกศุ ล เหลา นนั้ ผตู ง้ั อยใู นธรรม ถงึ พรอ มดว ย หรือความดีที่ยังกอปรดวยอุปธิ คือ ศีล เปนผูเดินทางสวรรค”, คมั ภรี ท งั้ เก่ียวของกับส่ิงท่ีปรารถนากันในหมูชาว หลายกลาวถึงบุญกรรมที่ชาวบานควร โลก เชน โภคสมบตั ิ); บางทีหมายถึงผล รว มกนั ทาํ ไวเ ปน อนั มาก เชน (ชา.อ.๑/๒๙๙) ของการประกอบกุศล หรือผลบุญน่ัน การปรับปรงุ ซอมแซมถนนหนทาง สราง เอง เชนในพุทธพจน (ที.ปา.๑๑/๓๓/๖๒) สะพาน ขุดสระน้าํ สรางศาลาทพ่ี กั และ วา “ภิกษุท้งั หลาย เพราะการสมาทาน ที่ประชุม ปลูกสวนปลูกปา ใหทาน กุศลธรรมท้ังหลายเปนเหตุ บุญนี้ยอม รักษาศีล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: