ปญ ญาสมั ปทา ๒๓๐ ปตตานโุ มทนามยัคาํ คอื สัตมวาร (หรอื สัตตมวาร, วันที่ ปณณเภสัช พืชมีใบเปนยา, ยาทาํ จากใบ๗ หรอื วันที่ครบ ๗) และ ศตมวาร พืช เชน ใบสะเดา ใบมูกมัน ใบ(วันท่ี ๑๐๐ หรือวันทคี่ รบ ๑๐๐), อน่ึง กระดอม ใบกะเพรา เปน ตนคําวา “ปญ ญาสมวาร” นี้ ไมพ ึงสับสน ปณณตั ติวัชชะ อาบัติที่เปนโทษทางพระกบั คาํ วา “ปณรสมวาร” ท่ีแปลวา วาระ บญั ญตั ิ คอื คนสามญั ทาํ เขา ไมเ ปน ความที่ ๑๕ คร้ังท่ี ๑๕ หรอื วันที่ ๑๕ ผดิ ความเสยี หาย เปน ความผดิ เฉพาะแกปญญาสัมปทา ความถึงพรอมดวย ภกิ ษุ โดยฐานละเมดิ พระบญั ญัติ เชนปญญา คือ รจู ักบาป บญุ คณุ โทษ ฉันอาหารในเวลาวิกาล ขดุ ดิน ใชจ วี รที่ประโยชน มใิ ชประโยชน และเขา ใจชีวิต ไมไดพินทุ น่ังนอนบนเตียงต่ังท่ีไมไดนี้ตามความเปนจริง ท่ีจะไมใหลุมหลง ตรงึ เทา ใหแนน เปนตน ; เทียบ โลกวัชชะมวั เมา (ขอ ๔ ในธรรมท่เี ปน ไปเพ่อื ปตตคาหาปกะ ภิกษุผูไดรับสมมติคือสัมปรายกิ ตั ถะ ๔) แตงตั้งจากสงฆใหมีหนาท่ีเปนผูแจกปญญาสิกขา สิกขา คือ ปญญา, ขอ บาตรปฏิบัติสําหรับฝกอบรมปญญา เพื่อให ปตตนิกกุชชนา การควาํ่ บาตร; ดู คว่าํเกดิ ความรเู ขาใจเหตผุ ล รอบรูส่งิ ทีเ่ ปน บาตร, ปกาสนียกรรมประโยชน และไมเ ปนประโยชน ตลอด ปตตปณฑิกังคะ องคแหงผูถือฉันจนรแู จง สภาวะของสงิ่ ทง้ั หลายตามความ เฉพาะในบาตรเปนวตั ร คือ ถอื การฉันเปน จรงิ ทถ่ี กู ตอ งเขยี น อธปิ ญ ญาสกิ ขา เฉพาะในบาตร ไมใ ชภ าชนะอ่ืน (ขอ ๖ปญหา คําถาม, ขอ สงสยั , ขอ ตดิ ขดั อดั ในธุดงค ๑๓) ปตตวรรค หมวดอาบัติกําหนดดวยอั้น, ขอ ท่ีตอ งคิดตอ งแกไขปณฑกะ บณั เฑาะก, กะเทย บาตร, ช่ือวรรคท่ี ๓ แหงนสิ สคั คิย-ปณ ฑกุ ะ ชอ่ื ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ อยใู นพวกภกิ ษุ ปาจิตตียเหลวไหลท้ัง ๖ ท่ีเรียกวาฉัพพัคคีย ปตตอุกกุชชนา การหงายบาตร; ดู หงาย(พระพวก ๖ ทีช่ อบกอเร่อื งเสียหาย ทาํ บาตร, ปกาสนยี กรรมใหพระพุทธเจาตองทรงบัญญตั สิ กิ ขาบท ปตตานุโมทนามัย บุญสําเร็จดวยการหลายขอ ) อนโุ มทนาสว นบญุ , ทําบุญดว ยการยนิปณฑปุ ลาส ใบไมเ หลอื ง (ใบไมแ ก); คน ดใี นการทําดีของผูอ่ืน (ขอ ๗ ในบุญ-เตรยี มบวช, คนจะขอบวช กริ ิยาวัตถุ ๑๐)
ปต ตทิ านมยั ๒๓๑ ปาฏเิ ทสนยี ะปตติทานมัย บญุ สาํ เรจ็ ดวยการใหส ว น ปสสาวะ เบา, เย่ยี ว, มตู ร บุญ, ทําบุญดวยการเฉล่ียสวนแหง ปส สาสะ ลมหายใจออก ความดใี หแกผูอื่น (ขอ ๖ ในบุญกิรยิ า- ปาง ครั้ง, คราว, เมือ่ ; เรยี กพระพทุ ธรูปวตั ถุ ๑๐) ที่สรางอุทิศเหตุการณในพุทธประวัติปปผาสะ ปอด เฉพาะคร้ังน้ันๆ โดยมรี ูปลักษณเ ปนปพพชาจารย อาจารยผูใหบรรพชา; พระอิริยาบถหรือทา ท่ีส่ือความหมายเขียนเต็มรูปเปน ปพพัชชาจารย จะ ถึงเหตุการณเฉพาะครงั้ นน้ั ๆ วาเปนปางเขียน บรรพชาจารย กไ็ ด ชื่อนนั้ ๆ เชน พระพุทธรปู ปางหา มญาติปพ พชาเปกขะ กลุ บตุ รผเู พง บรรพชา, ผู พระพุทธรปู ปางไสยาสนตง้ั ใจจะบวชเปน สามเณร, ผขู อบวชเปน ปาจิตติยุทเทส หมวดแหงปาจิตติย-สามเณร; เขยี นเตม็ รปู เปน ปพ พชั ชา- สกิ ขาบท ทย่ี กข้นึ แสดง คอื ทสี่ วดในเปกขะ ปาฏิโมกขปพพัชชา การถือบวช, บรรพชาเปน ปาจติ ตีย “การละเมิดอันยงั กุศลใหต ก”,อุบายฝก อบรมตนในทางสงบ เวน จาก ชื่ออาบัติจําพวกหน่ึง จัดไวในจําพวกความชั่วมีการเบียดเบียนกันและกัน อาบัติเบา (ลหุกาบตั )ิ พน ไดด ว ยการ เปนตน (ขอ ๒ ในสปั ปุริสบญั ญตั ิ ๓) แสดง; เปน ชอ่ื สกิ ขาบท ไดแ กน สิ สคั คยิ -ปพพาชนียกรรม กรรมอันสงฆพึงทํา ปาจิตตีย ๓๐ และสุทธิกปาจิตตีย ซึง่แกภิกษุอันพึงจะไลเสีย, การขับออก เรียกกนั สัน้ ๆ วา ปาจติ ตีย อีก ๙๒จากหมู, การไลอ อกจากวัด, กรรมนี้ ภกิ ษุลวงละเมดิ สิกขาบท ๑๒๒ ขอ เหลาสงฆทําแกภิกษุผูประทุษรายสกุลและ นย้ี อ มตอ งอาบตั ปิ าจติ ตยี เชน ภกิ ษพุ ดูประพฤติเลวทรามเปนขาวเซ็งแซหรือ ปด ฆา สตั วด ริ จั ฉาน วา ยนาํ้ เลน เปนตนแกภ ิกษผุ ูเ ลนคะนอง ๑ อนาจาร ๑ ลบ ตองอาบตั ปิ าจติ ตยี ; ดู อาบัติลางพระบญั ญตั ิ ๑ มิจฉาชีพ ๑ (ขอ ๑ ปาจีน ทางทิศตะวันออก, ชาวตะวัน ออก; ดู ชาวปาจีนในนคิ หกรรม ๖)ปสสทั ธิ ความสงบกายสงบใจ, ความ ปาจนี ทศิ ทศิ ตะวันออกสงบใจและอารมณ, ความสงบเย็น, ปาฏลีบุตร เมืองหลวงของแควนมคธความผอนคลายกายใจ (ขอ ๕ ใน สมัยพระเจา อโศกมหาราชโพชฌงค ๗) ปาฏิเทสนยี ะ “จะพึงแสดงคนื ”, อาบตั ิท่ี
ปาฏิบท ๒๓๒ ปาฏโิ มกขยอจะพึงแสดงคืน เปนช่ือลหุกาบัติ คือ พุทธพจน ๓ คาถากง่ึ ดังท่ไี ดตรัสในท่ีอาบัติเบาอยางหน่ึงถัดรองมาจาก ประชมุ พระอรหันต ๑,๒๕๐ องค ในวนัปาจิตตยี และเปน ช่ือสกิ ขาบท ๔ ขอซึ่ง มาฆปณุ มี หลงั ตรสั รูแลว ๙ เดอื น,แปลไดว า พงึ ปรบั ดว ยอาบตั ปิ าฏเิ ทสนยี ะ อรรถกถากลาววา พระพุทธเจาทรงเชน ภิกษรุ ับของเค้ียวของฉัน จากมือ แสดงโอวาทปาฏิโมกขในที่ประชุมพระของภิกษุณีท่ีมิใชญาติ ดว ยมือของตน สงฆเปนประจาํ ตลอด ๒๐ พรรษาแรกมาบรโิ ภค ตอ งอาบตั ิปาฏเิ ทสนยี ะ; ดู ตอ จากนนั้ จงึ ไดร บั สัง่ ใหพ ระสงฆส วดอาบตั ิ อาณาปาฏิโมกขกันเองสืบตอมา;ปาฏบิ ท วนั ขน้ึ คาํ่ หนง่ึ หรอื วนั แรมคาํ่ หนง่ึ (พจนานกุ รมเขยี น ปาตโิ มกข) ; ดู โอวาท-แตม กั หมายถงึ อยา งหลงั คอื แรมคา่ํ หนง่ึ ปาฏิโมกขปาฏิบุคลิก ดู ปาฏิปคุ คลกิ ปาฏิโมกขยอ มีพุทธานุญาตใหสวดปาฏิปทกิ ะ อาหารถวายในวนั ปาฏบิ ท ปาฏิโมกขยอได ในเม่ือมีเหตุจําเปนปาฏปิ ุคคลกิ เฉพาะบคุ คล, ไมท่วั ไป, อยา งใดอยางหนง่ึ ในเหตุ ๒ อยา ง คือถวายเปนสวนปาฏิปุคคลิก ถือถวาย ๑. ไมม ภี กิ ษจุ าํ ปาฏโิ มกขไ ดจ นจบ (พงึเจาะจงบคุ คลไมใ ชถ วายแกสงฆ สวดเทา อเุ ทศทจ่ี าํ ได) ๒. เกดิ เหตฉุ กุ เฉนิปาฏิโมกข ช่ือคัมภีรที่ประมวลพุทธ- ขัดของท่ีเรียกวาอันตรายอยางใดอยางบญั ญตั อิ นั ทรงตง้ั ขน้ึ เปน พทุ ธอาณา ไดแ ก หนง่ึ ในอนั ตรายทงั้ ๑๐ (กาํ ลังสวดอเุ ทศอาทพิ รหมจรยิ กาสกิ ขา มพี ระพทุ ธานญุ าต ใดคา งอยู เลกิ อเุ ทศนน้ั กลางคนั ได และใหส วดในทปี่ ระชมุ สงฆท กุ กงึ่ เดอื น เรยี ก พงึ ยอ ต้ังแตอุเทศนน้ั ไปดว ยสุตบท คือ คําวา สุต ทีป่ ระกอบรูปเปน สุตา ตามกนั วา พระสงฆท าํ อโุ บสถ, คมั ภรี ท ร่ี วม ไวยากรณ ท้ังน้ียกเวนนิทานุทเทสซึ่งวนิ ยั ของสงฆ สําหรับภกิ ษุ เรียก ภิกขุ- ตอ งสวดใหจ บ)ปาฏโิ มกข มสี กิ ขาบท ๒๒๗ ขอ และสาํ หรบั ภกิ ษณุ ี เรยี ก ภกิ ขนุ ปี าฏโิ มกข สมมติวาสวดปาราชิกุทเทสจบแลวมสี กิ ขาบท ๓๑๑ ขอ ; ปาฏโิ มกข ๒ คอื ถา สวดยอ ตามแบบทที่ า นวางไวจ ะไดด งั น:้ี๑.อาณาปาฏโิ มกข ปาฏิโมกขที่เปนพระ “สตุ า โข อายสมฺ นเฺ ตหิ เตรส สงฆฺ าทเิ สสา ธมมฺ า, สตุ า โข อายสมฺ นเฺตหิ เทวฺ อนยิ ตาพุทธอาณา ไดแ ก ภิกขปุ าฏิโมกข และ ธมฺมา, ฯเปฯ ลงทายวา เอตฺตกํ ตสสฺภิกขุนีปาฏิโมกข ๒.โอวาทปาฏโิ มกข ภควโตฯเปฯสกิ ขฺ ติ พพฺ ”ํปาฏิโมกขที่เปนพระพุทธโอวาท ไดแ ก
ปาฏิโมกขสังวร ๒๓๓ ปาฏิหารยิ ปกษ แบบทว่ี างไวเ ดมิ น้ี สมเดจ็ พระมหา- นํามารักษาซํ้าทุกปๆ”, เปนชื่อวิธีรักษา อุโบสถแบบหนึ่งสําหรับคฤหัสถ เรียก สมณเจา กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ไม ตามกําหนดระยะเวลาท่ีต้ังไวสําหรับ รกั ษาประจาํ ป แตร ะยะเวลาทก่ี าํ หนดนน้ั ทรงเหน็ ดว ยในบางประการ และทรงมพี ระ อรรถกถาท้ังหลายมีมติแตกตางกันไป หลายแบบหลายอยา ง จนบางแหง บอกวา มตวิ า ควรสวดยอ ดงั นี้ (สวดปาราชกิ ทุ เทส พึงเลือกตามมติที่พอใจ เพราะความ จบแลว สวดคาํ ทา ยทเี ดยี ว): “อทุ ทฺ ฏิ ํ โข สาํ คญั อยทู กี่ ารตงั้ ใจรกั ษาดว ยจติ ปสาทะ อายสมฺ นโฺ ต นทิ าน,ํ อทุ ทฺ ฏิ า จตฺตาโร ใหเ ตม็ อม่ิ สมบรู ณ (เชน มตหิ นงึ่ วา คอื ปาราชกิ า ธมมฺ า, สตุ าเตรสสงฆฺ าทเิ สสา อโุ บสถท่ีรักษาประจาํ ตอ เนอื่ งตลอดไตร- ธมฺมา, ฯเปฯ สุตา สตฺตาธิกรณสมถา มาสแหงพรรษา ถาไมส ามารถ ก็รกั ษา ธมฺมา, เอตฺตกํ ฯเปฯ สิกฺขิตพฺพํ”; ดู ตลอดเดือนหน่ึงระหวางวันปวารณาทั้ง อันตราย ๑๐ สอง คอื ตง้ั แตแ รม ๑ คา่ํ เดอื น ๑๑ ถงึปาฏโิ มกขสงั วร สาํ รวมในพระปาฏโิ มกข ขน้ึ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๑๒ ถา ไมส ามารถ ก็ เวนขอท่ีพระพุทธเจาหาม ทําตามขอที่ รักษาครึ่งเดือนถัดจากวันปวารณาแรก คอื ตง้ั แตแ รม ๑ คาํ่ เดอื น ๑๑ เปน ตน ไป พระองคอ นญุ าต ประพฤตเิ ครง ครดั ใน ตลอดกาฬปก ษ คอื ตลอดขางแรม, แต มติหน่งึ วา รกั ษา ๕ เดือน คอื ตงั้ แตกอ น สกิ ขาบททงั้ หลาย (ขอ ๑ ในปารสิ ทุ ธศิ ลี ๔, พรรษา ๑ เดอื น ตลอดพรรษา ๓ เดอื น กบั หลงั พรรษาอกี ๑ เดอื น, อกี มตหิ นงึ่ ขอ ๑ ในสงั วร ๖, ขอ ๑ ในองคแหง วา รกั ษา ๓ เดอื น คอื เดอื น ๘ เดอื น ๑๒ และเดอื น ๔, อกี มตหิ นง่ึ วา คอื ๔ วนั ภกิ ษุใหม ๕), ที่เปน ขอ ๑ ในปาริสทุ ธิศีล กอนและหลังวันอุโบสถปกติ ไดแกวนั ๔ นนั้ เรยี กเตม็ วา ปาฏโิ มกขสงั วรศลี ๑๓ ๑ ๗ และ ๙ คา่ํ มตทิ า ยนก้ี ลายเปน (ปาตโิ มกขสงั วรศลี ก็เขียน) แปลวา ศีล มวี นั รบั -วนั สง ซง่ึ จะสบั สนกบั ปฏชิ าคร- อโุ บสถ), ปาฏหิ ารยิ ปก ษน บ้ี างทกี เ็ รยี กวา คือความสาํ รวมในพระปาฏิโมกข ปาฏิหาริยอุโบสถ ซึ่งเปนอยางหน่ึงในปาฏิหาริย ส่งิ ท่นี าอัศจรรย, เร่อื งทน่ี า อุโบสถ ๓ ประเภท ของคฤหัสถ; ดู อศั จรรย, การกระทาํ ที่ใหบ ังเกิดผลเปน อัศจรรย มี ๓ คอื ๑. อทิ ธิปาฏหิ ารยิ แสดงฤทธไิ์ ดเ ปน อศั จรรย ๒. อาเทศนา- ปาฏหิ ารยิ ทายใจไดเปน อศั จรรย ๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย คําสอนมีผลจริง เปน อัศจรรย ใน ๓ อยางนข้ี อ สุดทา ยดี เย่ยี มเปนประเสริฐปาฏิหาริยปก ษ “ปก ษท พี่ งึ หวนกลบั ไป
ปาฏิหารยิ อโุ บสถ ๒๓๔ ปานะ อโุ บสถ 2.๓. คือ ๑. อมฺพปานํ นํา้ มะมว ง ๒. ชมฺพ-ุปาฏิหาริยอโุ บสถ ดู อโุ บสถ 2.๓. ปานํ น้าํ ชมพูหรือนํา้ หวา ๓. โจจปานํปาฐา ช่ือเมืองหน่งึ ในมัธยมประเทศคร้งั นํ้ากลวยมีเม็ด ๔. โมจปานํ นํา้ กลวยไม มเี มด็ ๕. มธกุ ปานํ นา้ํ มะซาง ๖. มทุ ทฺ กิ - พุทธกาล ภิกษุชาวเมืองน้ีคณะหน่ึง ปานํ นา้ํ ลกู จนั ทนห รอื องนุ ๗. สาลกุ ปานํ นา้ํ เหงา อบุ ล ๘. ผารสุ กปานํ นาํ้ มะปราง เปนเหตุปรารภใหพระพุทธเจาทรง หรือลิ้นจ่,ี …เราอนญุ าตนํ้าผลไม (ผลรส) ทกุ ชนดิ เวน นาํ้ ผลธญั ชาต,ิ …เราอนญุ าต อนุญาตการกรานกฐิน; พระไตรปฎก นาํ้ ใบไม (ปต ตรส) ทกุ ชนดิ เวน น้ําผัก บางฉบบั เขียนเปน ปาวา ตม , …เราอนุญาตนํ้าดอกไม (บปุ ผรส)ปาณาติบาต ทําชีวิตสัตวใหตกลวงไป, ทุกชนิด เวนนํ้าดอกมะซาง, …เรา อนุญาตนาํ้ ออยสด (อจุ ฉรุ ส)” ฆา สตั วปาณาตปิ าตา เวรมณี เวนจากการทาํ พงึ ทราบคาํ อธบิ ายเพม่ิ เติมวา นาํ้ ผล ชวี ติ สตั วใ หตกลวง, เวนจากการฆา สตั ว ธญั ชาตทิ ต่ี อ งหา ม ไดแ กน า้ํ จากผลของ ธญั ชาติ ๗ เชน เมลด็ ขา ว (นา้ํ ซาวขา ว, (ขอ ๑ ในศีล ๕ ฯลฯ) นา้ํ ขา ว) นอกจากนนั้ ผลไมใ หญ (มหาผล)ปาตลีบุตร ชื่อเมืองหลวงของพระเจา ๙ ชนดิ (จาํ พวกผลไมท ที่ าํ กบั ขา ว) ไดแ ก อโศกมหาราช; เขียน ปาฏลีบตุ ร กม็ ีปาตาละ นรก, บาดาล (เปนคําทพี่ วก ลกู ตาล มะพรา ว ขนนุ สาเก (“ลพชุ ” พราหมณใ ชเ รียกนรก) แปลกนั วา สาเก บา ง ขนนุ สาํ มะลอ บา ง)ปาติโมกข ดู ปาฏโิ มกขปาทุกา รองเทาประเภทหน่งึ แปลกนั มา นา้ํ เตา ฟก เขยี ว แตงไทย แตงโม ฟก ทอง และพวกอปรณั ณะ เชน ถวั่ เขยี ว ทา นจดั วา “เขียงเทา” เปน รองเทา ท่ตี อ งหามทาง อนุโลมเขากับธัญผล เปน ของตอ งหา ม พระวนิ ยั อันภกิ ษไุ มพึงใช; ดู รองเทาปานะ เครือ่ งด่ืม, นํ้าสาํ หรับดมื่ โดย ดว ย; จะเห็นวา มะซางเปน พืชทม่ี ีขอ เฉพาะที่คั้นจากลูกไม (รวมทง้ั เหงาพืช จํากัดมากสกั หนอ ย นํ้าดอกมะซางนั้น บางชนิด), นํา้ คั้นผลไม (จดั เปน ยาม ตองหามเลยทีเดียว สวนนาํ้ ผลมะซาง กาลิก); มพี ุทธานุญาตปานะ ๘ อยา ง จะฉนั ลว นๆไมไ ด ตอ งผสมนา้ํ จงึ จะควร (นยิ มเรยี กเลยี นเสยี งคาํ บาลวี า อฏั ฐบาน หรอื นาํ้ อฏั ฐบาน) พรอมทั้งน้ําค้นั พชื ทง้ั นเี้ พราะกลายเปน ของเมาไดง า ย ตา งๆ ดังพทุ ธพจนว า (วนิ ย.๕/๘๖/๑๒๓) วิธที าํ ปานะท่ีทา นแนะไว คือ ถา ผล “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตปานะ ๘ อยา ง
ปาปโรโค ๒๓๕ ปาราชิกยังดิบ กผ็ าฝานหน่ั ใสในนาํ้ ใหสุกดวย วินัย เคยมีเรื่องท่ีพราหมณผูหนึ่งจัดแดด ถา สกุ แลว ก็ปอกหรอื ควา น เอา ถวายปโยปานะ คอื ปานะนา้ํ นม แกส งฆผาหอ บดิ ใหต ึงอดั เนอ้ื ผลไมใ หคายน้าํ (ในเรอ่ื งไมแ จง วา เปน เวลาใด) และภกิ ษุออกจากผา เติมนาํ้ ลงใหพ อดี (จะไม ท้ังหลายด่ืมน้ํานมมีเสียงดัง “สุรุสุรุ”เติมนาํ้ กไ็ ด เวนแตผลมะซางซ่งึ ทา นระบุ เปนตนบัญญัติแหงเสขิยวัตรสิกขาบทท่ีวาตองเจือนาํ้ จึงควร) แลวผสมนาํ้ ตาล ๕๑ (วนิ ย.๒/๘๕๑/๕๕๓)และเกลอื เปน ตนลงไปพอใหไดรสดี ขอ ปาปโรโค คนเปนโรคเลวรา ย, บางทีแ่ ปลจาํ กดั ที่พึงทราบคือ ๑. ปานะนใ้ี หใชข อง วา “โรคเปน ผลแหง บาป” อรรถกถาวา ไดสด หา มมใิ หต ม ดว ยไฟ ใหเ ปน ของเยน็ แกโรคเรื้อรัง เชน ริดสีดวงกลอนหรือสุกดวยแดด (ขอนี้พระมติสมเด็จ เปน ตน เปนโรคทีห่ ามไมใหรบั บรรพชาพ ร ะ ม ห า ส ม ณ เ จ า กรมพระยา ปาปสมาจาร ความประพฤติเหลวไหลวชริ ญาณวโรรสวา ในบาลไี มไ ดห า มนาํ้ สกุ เลวทราม ชอบสมคบกับคฤหัสถดวยแมส กุ กไ็ มน า รงั เกยี จ) ๒. ตอ งเปนของท่ี การอนั มชิ อบ ทเี่ รยี กวา ประทษุ รา ยสกลุ ;อนุปสัมบันทํา จึงควรฉันในเวลาวกิ าล ดู กลุ ทูสก(ถาภิกษุทํา ถือเปนเหมือนยาวกาลิก ปาพจน “คําเปน ประธาน” หมายถึงพระเพราะรับประเคนมาทั้งผล) ๓. ของ พทุ ธพจน ซงึ่ ไดแกธรรมและวนิ ัยประกอบเชนน้าํ ตาลและเกลอื ไมใ หเอา ปายาส ขา วสกุ หุงดว ยนมโค นางสุชาดาของทีร่ บั ประเคนคางคนื ไวมาใช (แสดง ถวายแกพระมหาบุรุษในเวลาเชาของวันวามุงใหเปนปานะท่ีอนุปสัมบันทําถวาย ท่ีพระองคจะไดตรัสรู, ในคัมภีรทั้งดวยของของเขาเอง) หลาย นยิ มเรียกเต็มวา “มธปุ ายาส”; ดูในมหานิทเทส (ขุ.ม.๒๙/๗๔๒/๔๔๙) สชุ าดา, สกู รมทั ทวะทา นแสดงปานะ๘(อฏั ฐบาน)ไว๒ชดุ ๆ ปาราชิก เปนชื่ออาบัติหนักท่ีภิกษุตองแรกตรงกับที่เปนพุทธานุญาตในพระ เขาแลว ขาดจากความเปนภิกษุ, เปนชอ่ืวนิ ยั สว นชดุ ท่ี ๒ อนั ตา งหาก ไดแ ก นา้ํ บุคคลผูท่ีพายแพ คือ ตองอาบัติผลสะครอ นา้ํ ผลเลบ็ เหยย่ี ว นา้ํ ผลพทุ รา ปาราชิกท่ีทําใหขาดจากความเปนภิกษุ,ปานะทาํ ดว ยเปรยี ง ปานะนาํ้ มนั ปานะ เปนชื่อสิกขาบท ท่ีปรับอาบัติหนักข้ันนาํ้ ยาคู (ยาคปุ านะ) ปานะนา้ํ นม (ปโย- ขาดจากความเปน ภิกษมุ ี ๔ อยา งคือปานะ) ปานะนา้ํ คนั้ (รสปานะ), ในพระ เสพเมถนุ ลกั ของเขา ฆามนษุ ย อวด
ปาริจรยิ านตุ ตริยะ ๒๓๖ ปาริสทุ ธศิ ลีอุตรมิ นสุ ธรรมที่ไมมใี นตน สีมาเดียวกัน เม่ือถึงวันอุโบสถไมปาริจรยิ านุตตริยะ การบาํ เรออนั เย่ยี ม สามารถไปรว มประชมุ ได ภิกษผุ อู าพาธไดแก การบํารุงรับใชพระตถาคตและ ตองมอบปาริสุทธิแกภิกษรุ ูปหนึ่งมาแจงตถาคตสาวกอนั ประเสรฐิ กวา การที่จะ แกส งฆ คอื ใหนําความมาแจง แกสงฆวาบชู าไฟหรอื บาํ รุงบาํ เรออยางอ่นื เพราะ ตนมีความบริสุทธิ์ทางพระวินัยไมมีชวยใหบริสุทธ์ิหลุดพนจากทุกขไดจริง อาบัตติ ิดคาง หรือในวันอโุ บสถ มีภกิ ษุ(ขอ ๕ ในอนุตตริยะ ๖) อยูเพยี งสองหรอื สามรปู (คือเปนเพียงปาริฉัตตก “ตนทองหลาง”, ช่ือตนไม คณะ) ไมครบองคสงฆที่จะสวดประจําสวรรคช้ันดาวดึงส อยูในสวน ปาฏิโมกขได ก็ใหภ กิ ษุสองหรือสามรูปนันทวันของพระอนิ ทร; ปารฉิ ตั ร หรอื นั้นบอกความบริสุทธ์ิแกกันแทนการปารชิ าต กเ็ ขยี น สวดปาฏโิ มกขปาริเลยยกะ ช่ือแดนบานแหงหน่ึงใกล ปารสิ ทุ ธศิ ลี ศลี เปน เครอื่ งทาํ ใหบ รสิ ทุ ธ,์ิเมืองโกสัมพีที่พระพุทธเจาเสด็จเขาไป ศีลเปนเหตุใหบริสุทธิ์ หรือความอาศัยอยูในปารักขิตวันดวยทรงปลีก ประพฤตบิ รสิ ทุ ธทิ์ จี่ ดั เปน ศลี มี ๔ อยา งพระองค จากพระสงฆผูแตกกนั ในกรุง คือ ๑. ปาฏโิ มกขสงั วรศีล ศีลคือความ โกสมั พ;ี ชา งทปี่ ฏบิ ตั พิ ระพทุ ธเจา ทป่ี า นน้ั สํารวมในพระปาฏิโมกข เวนจากขอหาม กช็ อื่ ปารเิ ลยยกะ; เราเรยี กกนั ในภาษา ไทยวา ปาเลไลยก กม็ ี ปา เลไลยก กม็ ี ทาํ ตามขอ อนญุ าต ประพฤตเิ ครง ครดั ใน ควรเขยี น ปารไิ ลยก หรอื ปาเรไลยก สิกขาบทท้ังหลาย ๒. อินทรียสังวรศีลปาริวาสิกขนั ธะ ชอ่ื ขันธกะที่ ๒ แหง ศีลคือความสํารวมอินทรีย ระวังไมให จลุ วรรค ในพระวนิ ัยปฎ ก วาดว ยเรอื่ ง บาปอกุศลธรรมครอบงํา เมื่อรับรู ภกิ ษุอยูปริวาส อารมณดว ยอนิ ทรียทัง้ ๖ ๓. อาชวี -ปาริวาสิกภิกษุ ภิกษุผูอยูปริวาส; ดู ปาริสุทธิศีล ศีลคือความบริสุทธิ์แหง ปรวิ าสปาริวาสิกวัตร ธรรมเนียมที่ควร อาชีวะ เล้ียงชีวิตโดยทางสุจริตชอบ ธรรม เชน ไมหลอกลวงเขาเลีย้ งชพี ๔. ปจจยสันนิสิตศีล ศีลอันเน่ืองดวยประพฤตขิ องภิกษผุ ูอยปู รวิ าส ปจ จัย ๔ ไดแกปจ จัยปจจเวกขณ คือปาริสุทธิ ความบริสุทธ์ขิ องภกิ ษุ; เปน พิจารณาใชสอยปจจัยส่ี ใหเปนไปเพื่อธรรมเนียมวา ถามีภิกษุอาพาธอยูใน ประโยชนตามความหมายของส่งิ น้ัน ไม
ปาริสทุ ธิอโุ บสถ ๒๓๗ ปาหเุ นยฺโยบรโิ ภคดว ยตณั หา ปารสิ ทุ ธิแกก นั ผแู กวา : “ปริสทุ โฺ ธ อหํปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถ อโุ บสถทภ่ี กิ ษทุ าํ ปารสิ ทุ ธิ อาวุโส, ปริสทุ โฺ ธติ มํ ธาเรหิ” (๓ หน)คือแจงแตความบริสุทธิ์ของกันและกัน ผอู อ นกวา วา : “ปรสิ ทุ โฺ ธ อหํ ภนเฺ ต, ปร-ิไมตองสวดปาฏิโมกข ปารสิ ทุ ธอิ โุ บสถน้ี สทุ ฺโธติ มํ ธาเรถ” (๓ หน); ดู อุโบสถกระทาํ เมอ่ื มภี กิ ษอุ ยใู นวดั เพยี งเปน คณะ ปารหิ ารยิ กมั มฏั ฐาน กรรมฐานทจี่ ะตอ งคอื ๒–๓ รปู ไมค รบองคส งฆ ๔ รปู บรหิ าร; ดู กมั มฏั ฐาน ๒; เทยี บ สพั พตั ถก-ถา มีภกิ ษุ ๓ รูปพึงประชมุ กันใน กัมมัฏฐานโรงอุโบสถแลว รูปหนึ่งต้ังญัตติดังน้ี: ปาวา นครหลวงของแควนมัลละ คูก ับ“สณุ นฺตุ เม ภนเฺ ต อายสมฺ นฺตา, อชฺชุ- กุสินารา คือนครหลวงเดิมของแควนโปสโถ ปณฺณรโส ยทายสฺมนฺตานํ มัลละชื่อกุสาวดี แตภายหลังแยกเปนปตฺตกลฺลํ, มยํ อฺมฺ ปาริสุทฺธิ- กุสนิ ารา กบั ปาวาอุโปสถํ กเรยยฺ าม” แปลวา: “ทานทงั้ ปาวาริกัมพวัน ดู นาลันทาหลาย อโุ บสถวนั นท้ี ่ี ๑๕ ถา ความพรอ ม ปาวาลเจดีย ชื่อเจดียสถานอยูที่เมืองพร่งั ของทานถงึ ที่แลว เราทง้ั หลายพึงทาํ เวสาลี พระพทุ ธเจาทรงทํานิมิตตโอภาสปาริสุทธิอุโบสถดวยกัน” (ถารูปที่ต้ัง คร้ังสุดทายและทรงปลงพระชนมายุญตั ตแิ กก วา เพอื่ นวา อาวโุ ส แทน ภนเฺต, สงั ขาร ณ เจดียน ้ีกอ นปรินพิ พาน ๓ถาเปน วัน ๑๔ คาํ่ วา จาตทุ ฺทโส แทน เดือนปณฺณรโส) ภกิ ษผุ เู ถระพงึ หม ผา เฉวยี ง ปาสราสสิ ตู ร ช่อื สูตรท่ี ๒๖ ในคัมภีรบาน่ังกระหยงประนมมือบอกปาริสุทธิ มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก พระวา : “ปรสิ ทุ ฺโธ อหํ อาวุโส, ปรสิ ทุ ฺโธติ สตุ ตันตปฎก; เรยี กอีกช่อื หน่ึงวา อริย-มํ ธาเรถ” (๓ หน) แปลวา: “ฉนั บริสทุ ธิ์ ปรเิยสนาสตู ร เพราะวา ดว ย อรยิ ปรเิ ยสนาแลวเธอ ขอเธอท้ังหลายจงจําฉันวาผู ปาสาณเจดยี เจดยี สถานแหง หน่ึงอยูใ นบริสทุ ธแิ์ ลว” อีก ๒ รปู พึงทาํ อยางเดยี ว แควน มคธ มาณพ ๑๖ คนซง่ึ เปนศิษยกันนน้ั ตามลําดบั พรรษา คาํ บอกเปลย่ี น ของพราหมณพาวรี ไดเฝาพระศาสดาเฉพาะ อาวโุ ส เปน ภนฺเต แปลวา “ผม และทลู ถามปญ หา ณ ทีน่ ี้บรสิ ทุ ธิ์แลวขอรับ ขอทา นทั้งหลายจงจาํ ปาสาทกิ สตู ร ชอ่ื สตู รท่ี ๖ ในคมั ภรี ท ฆี -ผมวาผบู ริสทุ ธ์ิแลว ” นิกาย ปาฏิกวรรค พระสตุ ตันตปฎกถา มี ๒ รูป ไมตอ งต้ังญัตติพึงบอก ปาหุเนยฺโย (พระสงฆ) เปนผูควรแกของ
ปงคิยมาณพ ๒๓๘ ปปาสวินโยตอนรบั คอื มคี ณุ ความดีนารกั นาเคารพ โคตร ในพระนครราชคฤห เรียนจบนับถือ ควรแกการขวนขวายจัดถวาย ไตรเพท ออกบวชในพระพุทธศาสนาของตอ นรับ เปนแขกทีน่ า ตอนรบั หรอื ไดสาํ เร็จพระอรหตั เปน ผบู รบิ ูรณด วยเปนผูที่เขาภูมิใจอยากใหไปเปนแขกท่ี สติ สมาธิ ปญ ญา มกั เปลง วาจาวา “ผใู ด เขาจะไดตอ นรับ (ขอ ๖ ในสงั ฆคุณ ๙) มีความเคลือบแคลงสงสัยในมรรคก็ดีปงคิยมาณพ ศิษยคนหนึ่งในจํานวน ผลก็ดี ขอผูนั้นจงมาถามขาพเจาเถิด”๑๖ คนของพราหมณพ าวรี ทีไ่ ปทลู ถาม พระศาสดาทรงยกยองวาเปนเอตทัคคะ ปญ หากะพระศาสดา ท่ปี าสาณเจดีย ในทางบันลือสีหนาท, ทานเปนตนปฎก ตามศัพทแปลวา “กระจาด” หรอื บัญญัติแหงสิกขาบท ซ่งึ หามภกิ ษุ มิให“ตะกราอันเปนภาชนะสําหรับใสของ แสดงอิทธิปาฏิหาริย อันเปนอุตตริ-ตางๆ” เอามาใชในความหมายเปนท่ี มนสุ สธรรม แกค ฤหสั ถท งั้ หลาย และรวบรวมคําสอนในพระพุทธศาสนาที่จัด สกิ ขาบท ซ่ึงหามภิกษุ มใิ หใ ชบ าตรไมเปน หมวดหมแู ลว มี ๓ คอื ๑. วนิ ยั ปฎ ก (ทง้ั สองสกิ ขาบทน้ี ทรงบญั ญตั ใิ นโอกาสรวบรวมพระวินยั ๒. สุตตันตปฎก รวบ เดียวกัน โดยทรงปรารภกรณเี ดียวกนัรวมพระสูตร ๓. อภธิ รรมปฎ ก รวบ วนิ ย.๗/๓๓/๑๖); ดู ยมกปาฏหิ ารยิ รวมพระอภิธรรม เรียกรวมกันวาพระ ปตตฺ สมุฏานา อาพาธา ความเจ็บไขมีไตรปฎ ก (ปฎ ก ๓) ดู ไตรปฎ ก ดเี ปนสมุฏฐาน; ดู อาพาธปณฑปาติกธุดงค องคคุณเคร่ืองขจัด ปต ตะ นาํ้ ด,ี นาํ้ จากตอ มตบั , โรคดเี ดอื ดกิเลสแหงภิกษุเปนตนผูถือการเท่ียว ปต ตวิ สิ ยั แดนเปรต, ภมู แิ หง เปรต (ขอ ๓บณิ ฑบาตเปน วตั ร หมายถงึ ปณ ฑปาต-ิ ในทคุ ติ ๓, ขอ ๓ ในอบาย ๔); เปตตวิ สิ ยักังคะ น่ันเอง กเ็ รยี ก; ดู เปรต, ทคุ ติ, อบายปณฑปาติกังคะ องคแหงผูถือเท่ียว ปต ุฆาต ฆา บดิ า (ขอ ๒ ในอนนั ตริย-บิณฑบาตเปนวัตร คือ ไมรับนิมนต กรรม ๕)หรือลาภพิเศษอยางอ่ืนใด ฉันเฉพาะ ปปผล,ิ ปป ผลิมาณพ ช่ือของพระมหา-อาหารที่บิณฑบาตมาได (ขอ ๓ ใน กัสสปเถระ เมื่อกอนออกบวช; สวนธดุ งค ๑๓) กัสสปะ เปน ชอ่ื ท่ีเรียกตามโคตรปณโฑลภารทวาชะ พระมหาสาวกองค ปปาสวินโย ความนําออกไปเสียซึ่งหนงึ่ เปน บตุ รพราหมณม หาศาล ภารทวาช- ความกระหาย, กาํ จดั ความกระหายคือ
ปยรูปสาตรปู ๒๓๙ ปคุ คลสมั มขุ ตา ตณั หาได (เปนไวพจนของวริ าคะ) วดั จํานวน ๕๐๐ ท่ีพระเจาพิมพิสารพระปย รูป สาตรปู สภาวะท่ีนา รักนา ชืน่ ใจ ราชทานใหเปนผูชวยทําที่อยูของพระมุงเอาสวนท่ีเปนอิฏฐารมณซึ่งเปนบอ ปลนิ ทวจั ฉะเกิดแหง ตัณหามี ๑๐ หมวด หมวดละ ปส ณุ าย วาจาย เวรมณี เวน จากพูด๖ อยา ง คอื อายตนะภายใน ๖ อายตนะ สอเสียด, เวนจากพูดยุยงใหเขาแตกภายนอก ๖ วญิ ญาณ ๖ สมั ผสั ๖ รา วกนั (ขอ ๕ ในกศุ ลกรรมบถ ๑๐)เวทนา ๖ สัญญา ๖ สัญเจตนา ๖ มี ปสุณาวาจา วาจาสอ เสียด, พดู สอเสียด,รปู สญั เจตนา เปน ตน ตณั หา ๖ มรี ปู - พูดยุยงใหเ ขาแตกรา วกัน (ขอ ๕ ใน ตัณหา เปนตน วิตก ๖ มีรูปวิตก อกุศลกรรมบถ ๑๐) เปนตน วิจาร ๖ มีรูปวิจาร เปนตน ปห กะ มา ม (เคยแปลกนั วา ไต) ดู วกั กะปยวาจา วาจาเปน ทีร่ กั , พูดจานา รกั นา ปต ิ ความอม่ิ ใจ, ความดม่ื ดาํ่ ในใจ มี ๕ คอื นิยมนับถือ, วาจานารัก, วาจาทก่ี ลา ว ๑. ขุททกาปติ ปต เิ ล็กนอ ยพอขนชันนา้ํ ดวยจิตเมตตา, คําที่พูดดวยความรัก ตาไหล ๒. ขณกิ าปต ิ ปต ชิ วั่ ขณะรสู กึ ความปรารถนาดี เชน คําพดู สภุ าพออน แปลบๆ ดจุ ฟา แลบ ๓. โอกกนั ตกิ าปต ิโยน คําแนะนาํ ตกั เตอื นดวยความหวังดี ปต ิเปนระลอกรูสึกซลู งมาๆ ดจุ คล่ืนซดั(ขอ ๒ ในสงั คหวัตถุ ๔) ฝง ๔. อพุ เพคาปติ ปต ิโลดลอย ใหใจฟูปยารมณ อารมณอ นั เปน ท่ีรกั เปนทีน่ า ตัวเบาหรืออทุ านออกมา ๕. ผรณาปต ิปรารถนา นาชอบใจ เชน รูปท่สี วยงาม ปติซาบซาน เอิบอาบไปท่ัวสรรพางค เปน ตน เปน ของประกอบกบั สมาธิ (ขอ ๔ ในปลินทวัจฉะ พระมหาสาวกองคหน่ึง โพชฌงค ๗) เกิดในตระกูลพราหมณวัจฉโคตร ใน ปฬ กะ พพุ อง, ฝ, ตอ ม เมืองสาวัตถี ไดฟ ง พระธรรมเทศนาของ ปกุ กสุ ะ บุตรของกษตั ริยม ัลละ เปน ศิษยพระพทุ ธเจา มีศรทั ธาเล่ือมใสออกบวช ของอาฬารดาบส กาลามโคตร ไดถวายในพระพุทธศาสนา เจรญิ วิปส สนาแลว ผาสิงคิวรรณแดพระพุทธเจาในวันไดบรรลุอรหัตตผล ตอ มาไดรบั ยกยอ ง ปรินพิ พานวาเปนเอตทัคคะในทางเปนท่ีรักของ ปุคคลสัมมุขตา ความเปนตอหนาพวกเทวดา บุคคล, ในวิวาทาธิกรณ หมายความวาปล ินทวจั ฉคาม ช่อื หมบู านของคนงาน คูวิวาทอยูพรอ มหนากัน; ดู สัมมุขาวินยั
ปคุ คลญั ตุ า ๒๔๐ ปณุ ณสุนาปรันตะปคุ คลญั ตุ า ความเปน ผรู จู กั บคุ คล คอื ของพระพุทธเจา เปนหลานของพระรูความแตกตางแหงบุคคล วาโดย อัญญาโกณฑญั ญะ ไดบ รรพชาเม่ือพระอธั ยาศยั ความสามารถ และคณุ ธรรม เถระผเู ปน ลงุ เดนิ ทางมายงั เมอื งกบลิ พสั ดุเปนตน เปน อยา งไร ควรคบควรใชควร บวชแลว ไมน านกบ็ รรลอุ รหัตตผล เปนสอนอยา งไร (ขอ ๗ ในสปั ปรุ สิ ธรรม ๗) ผูป ฏิบัตติ นตามหลกั กถาวตั ถุ ๑๐ และปคุ คลิก ดู บคุ ลกิ สอนศิษยของตนใหปฏิบัติเชนน้ันดวยปคุ คลกิ าวาส ทอ่ี ยทู เี่ ปน ของบคุ คล, ที่ ทานไดรับยกยองเปนเอตทัคคะในอยทู เ่ี ปน ของสว นตวั ; เทียบ สังฆกิ าวาส บรรดาพระธรรมกถึก หลักธรรมเร่ืองปุจฉา ถาม, คําถาม วิสทุ ธิ ๗ ก็เปนภาษติ ของทานปุญญาภิสังขาร อภิสังขารที่เปนบุญ, ปณุ ณมาณพ คอื พระปณุ ณมนั ตานบี ตุ รสภาพท่ีปรุงแตงกรรมฝายดี ไดแก เม่ือกอ นบวชกุศลเจตนา (เฉพาะท่เี ปน กามาวจรและ ปณุ ณสนุ าปรนั ตะ, ปณุ ณสนุ าปรนั ตกะ รูปาวจร) (ขอ ๑ ในอภสิ ังขาร ๓) พระมหาสาวกองคห นง่ึ ในจาํ นวนอสตี -ิปุณณกมาณพ ศิษยคนหน่ึงในจํานวน มหาสาวก ชอ่ื เดมิ วา ปณุ ณะ เกดิ ทเี่ มอื ง ๑๖ คนของพราหมณพ าวรี ท่ีไปทูลถาม ทา ชอื่ สปุ ปารกะ ในแควน สุนาปรนั ตะ ปญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย เม่ือเติบโตข้ึน ไดประกอบการคาขายปุณณชิ บุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี เปน รว มกับนอ งชาย ผลัดกนั นํากองเกวียนสหายของยสกุลบุตร ไดทราบขาว ๕๐๐ เลม เท่ียวคาขายตามหัวเมืองยสกุลบุตรออกบวช จึงไดบวชตาม ตา งๆ คราวหนึ่ง นองชายอยเู ฝาบานพรอ มดว ยสหายอกี ๓ คน คือวิมละ ปุณณะนํากองเกวียนออกคาขายผานสพุ าหุ และควัมปติ ไดเปนองคหนึ่งใน เมอื งตางๆ มาจนถงึ กรงุ สาวตั ถี พกั กองอสีติมหาสาวก เกวียนอยูใกลพระเชตวัน รับประทานปุณณมันตานีบุตร พระมหาสาวกองค อาหารเชาแลวก็น่ังพักผอนกันตามหนึ่ง ไดชอ่ื อยา งนี้ เพราะเดิมชอื่ ปณุ ณะ สบาย ขณะน้ันเอง ปุณณะมองเห็นชาวเปนบุตรของนางมันตานี ทานเกิดใน พระนครสาวัตถแี ตง ตัวสะอาดเรยี บรอ ยตระกูลพราหมณมหาศาลในหมูบาน พากันเดินไปยังพระเชตวันเพื่อฟงธรรมพราหมณช่ือโทณวตั ถุ ไมไกลจากเมอื ง ไตถามทราบความก็ดีใจ จึงพาบริวารกบิลพสั ดุ ในแควนศากยะท่ีเปน ชาติภูมิ เดินตามเขาเขาไปสูพระวิหาร ยืนอยู
ปณุ ณสุนาปรนั ตะ ๒๔๑ ปณุ ณสุนาปรันตะทายสุดที่ประชุม ไดฟงพระธรรม- หนาท่ีเขาไมฟนแทงดวยศัสตรา ตรัสเทศนาของพระพุทธเจาแลวเลื่อมใส ถามวา ถาเขาฟนแทงดวยศัสตราจะวางอยากจะบวช วันรงุ ขน้ึ ถวายมหาทานแด ใจอยา งไร ทูลตอบวา จะคดิ วา ยังดีนกัพระสงฆมีพระพุทธเจาเปนประมุขแลว หนาท่ีเขาไมเอาศัสตราอันคมฆาเสียมอบหมายธุระแกเจาหนาที่คุมของใหนํา ตรสั ถามวา ถา เขาเอาศสั ตราอนั คมปลิดสมบัติไปมอบใหแกนองชาย แลวออก ชีพเสยี จะวางใจอยา งไร ทูลตอบวา จะบวชในสํานักพระศาสดา ตั้งใจทํา คดิ วา มสี าวกบางทา นเบอ่ื หนา ยรางกายกรรมฐาน แตก็ไมสําเร็จ คิดจะไป และชีวิตตองเท่ียวหาศัสตรามาสังหารบําเพญ็ ภาวนาทถี่ ิน่ เดมิ ของทา นเอง จึง ตนเอง แตเ ราไมตองเทย่ี วหาเลย กไ็ ดเขาไปเฝาพระพุทธเจา กราบทลู ขอพระ ศัสตราแลว พระผูมีพระภาคประทานโอวาท ดังปรากฏเน้ือความในปุณโณ- สาธุการ และตรัสวาทานมีทมะและวาทสูตร พระผูมีพระภาคเจาประทาน อปุ สมะอยางน้ี สามารถไปอยใู นแควนพระโอวาทแสดงวธิ ปี ฏิบตั ติ อ รปู เสยี ง สนุ าปรันตะได พระโอวาทและแนวคดิกลิน่ รส โผฏฐพั พะ และธรรมารมณ ของพระปุณณะน้ีเปนคติอันมีคายิ่งโดยอาการที่จะมิใหทุกขเกิดข้ึน แลว สําหรับพระภิกษุผูจะจาริกไปประกาศตรัสถามทานวาจะไปอยูในถ่ินใด ทาน พระศาสนาในถ่นิ ไกลทูลตอบวาจะไปอยูในแควนสุนาปรันตะตรัสถามวาชาวสุนาปรันตะเปนคนดุราย พระปณุ ณะกลบั สแู ควน สนุ าปรนั ตะถาเขาดาวาทานจะวางใจตอคนเหลาน้ัน แลว ไดยายหาท่ีเหมาะสําหรับการทําอยางไร ทูลตอบวา จะคิดวายังดีนัก กรรมฐานหลายแหง จนในทสี่ ดุ แหง ท่ี ๔หนาท่ีเขาไมต บตี ตรัสถามวา ถา เขาตบ ไดเขา จาํ พรรษาแรกทว่ี ดั มกุฬการาม ในตีจะวางใจอยา งไร ทูลตอบวา จะคิดวา พรรษานั้น นองชายของทานกับพอคายังดีนักหนาที่เขาไมข วางปาดว ยกอนดิน รวม ๕๐๐ คน เอาสนิ คาลงเรือจะไปยงัตรัสถามวา ถาเขาขวางปาดวยกอนดนิ ทะเลอื่น ในวันลงเรือ นองชายมาลาจะวางใจอยางไร ทูลตอบวา จะคิดวายงั และขอความคมุ ครองจากทา น ระหวางดนี ักหนาที่เขาไมทบุ ตดี ว ยทอนไม ตรัส ทางเรือไปถึงเกาะแหงหนึ่ง พากันแวะถามวา ถาเขาทุบตีดว ยทอ นไมจ ะวางใจ บนเกาะพบปาจนั ทนแดงอันมีคาสูง จึงอยางไร ทูลตอบวา จะคิดวายังดีนัก ลมเลิกความคิดที่จะเดินทางตอ ชวย กันตัดไมจันทนบรรทุกเรือจนเต็มแลว
ปณุ มี ๒๔๒ ปถุ ุชนออกเดินทางกลับถิ่นเดิม แตพอออก ฝงแมนํ้านัมมทา ไดแสดงธรรมโปรดเรือมาไดไ มนาน พวกอมนษุ ยทสี่ งิ ในปา นมั มทานาคราช นาคราชขอของท่ีระลึกจันทนซ่งึ โกรธแคน ไดทาํ ใหเ กิดลมพายุ ไวบูชา จึงประทับรอยพระบาทไวท่ีริมอยางแรงและหลอกหลอนตางๆ นอง ฝง แมน ํ้านมั มทานนั้ จากนน้ั เสด็จตอไปชายของพระปุณณะระลึกถึงพระพี่ชาย ถึงภเู ขาสจั จพันธ ตรัสสงั่ พระสจั จพันธพระปุณณะทราบ จึงเหาะมายืนอยูท่ี ใหอยูสง่ั สอนประชาชน ณ ท่ีน้นั พระหนาเรือ พวกอมนษุ ยก ็พากันหนไี ป ลม สจั จพนั ธทลู ขอสิง่ ท่รี ะลกึ ไวบูชา จงึ ทรงพายุก็สงบ ประทับรอยพระบาทไวท่ีภูเขาน้ันดวยพวกพอคา ทงั้ ๕๐๐ คน กลับถึง อันนับวาเปนประวัติการเกิดขึ้นของรอยถ่ินเดิมโดยสวัสดีแลว ไดพรอมท้ัง พระพทุ ธบาทภรรยาพากันประกาศนับถือพระปุณณะ เหตุการณที่เลานี้เกิดขึ้นในพรรษาและถึงพระรัตนตรัยเปนสรณะ แลว แรกท่ีพระปุณณะกลับมาอยูในแควนแบงไมจันทนแดงสวนหนึ่งมาถวายทาน สุนาปรันตะ และทานเองก็ไดบรรลุพระปุณณะตอบวาทานไมมีกิจที่จะตอง อรหัตตผลในพรรษาแรกนั้นเชนกันใชไมเหลานั้น และแนะใหสรางศาลา ทานพระปุณณเถระบําเพ็ญจริยาเพื่อถวายพระพุทธเจา ศาลาน้ันเรียกวา ประโยชนสุขแกประชาชนสืบมาจนถึงจนั ทนศาลา เมือ่ ศาลาเสร็จแลว พระ ปรนิ พิ พาน ณ แควน สุนาปรันตะนัน้ปุณณะไดไปทูลอาราธนาพระพุทธเจา กอ นพทุ ธปรนิ พิ พานเสด็จมายังแควนสุนาปรันตะพรอมดวย ปุณมี ดู บณุ มีพระสาวกจํานวนมาก ระหวา งทางพระผู ปุตตะ เปนช่ือนรกขุมหน่ึงของลัทธิมีพระภาคทรงแวะหยุดประทับโปรด พราหมณ พวกพราหมณถ ือวาชายใดไมสัจจพันธดาบส ที่ภูเขาสัจจพันธกอน มีลูกชาย ชายนนั้ ตายไปตองตกนรกขุมแลว นาํ พระสจั จพนั ธ ซงึ่ บรรลอุ รหตั ตผล “ปุตตะ” ถามีลูกชาย ลูกชายน้ันชว ยแลวมายังสุนาปรันตะดวย ทรงแสดง ปอ งกันไมใ หต กนรกขมุ นนั้ ได ศพั ทว าธรรมโปรดชาวสุนาปรนั ตะ และประทบั บุตร จึงใชเปนคําเรียกลูกชายสืบมาทีจ่ นั ทนศาลา ในมกฬุ การาม ๒–๓ วนั แปลวา “ลูกผูปองกันพอจากขุมนรกเสด็จเท่ียวบิณฑบาตในหมูบาน แลว ปตุ ตะ”ทรงเดินทางกลับ ระหวางทางเสด็จถึง ปถุ ุชน คนท่หี นาแนนไปดวยกเิ ลส, คนที่
ปุนัพพสกุ ะ ๒๔๓ ปรุ ิสสพั พนามยงั มีกเิ ลสมาก หมายถงึ คนธรรมดาท่ัวๆ ปรุ ณมี วันเพญ็ , วนั พระจันทรเ ตม็ ดวง,ไป ซ่ึงยังไมเปนอริยบุคคลหรือพระ วันขนึ้ ๑๕ ค่ําอริยะ; บถุ ชุ น กเ็ ขยี น ปุรัตถิมทิส “ทิศเบ้ืองหนา” หมายถึงปนุ ัพพสุกะ ชือ่ ภกิ ษุรปู หน่งึ อยใู นภกิ ษุ มารดาบิดา; ดู ทิศหกเหลวไหล ๖ รปู ทเ่ี รยี กวา พระฉพั พคั คยี ปุราณจวี ร จวี รเกา ปุราณชฎิล พระเถระสามพ่ีนองพรอมคกู ับพระอสั สชิปุปผวิกัติ ดอกไมที่แตงเปนชนิดตางๆ ดว ยบริวาร คอื อุรเุ วลกัสสป นทกี สั สปเชน รอ ยตรึง รอ ยคุม รอ ยเสยี บ รอย คยากัสสป ซ่งึ เคยเปน ชฎิลมากอ นผกู รอ ยวง รอยกรอง เปนตน ปรุ มิ กาล เรอื่ งราวในพุทธประวัติทมี่ ีข้นึปพุ พเปตพลี การทาํ บญุ อทุ ศิ ใหแ กผ ตู าย, ในกาลกอ นแตบ าํ เพญ็ พทุ ธกิจ; ดู พุทธ-การจดั สรรสละรายไดห รอื ทรพั ยส ว นหนงึ่ ประวตั ิเปน คา ใชจ า ยสาํ หรบั บชู าคณุ หรอื แสดงนาํ้ ปุรมิ พรรษา ดู ปรุ มิ กิ าใจตอ ญาตทิ ล่ี ว งลบั ไปกอ นดว ยการทาํ บญุ ปรุ มิ กิ า พรรษาตน เรมิ่ แตว นั แรมคา่ํ หนงึ่อทุ ศิ ให, การใชร ายไดห รอื ทรพั ยส ว นหนง่ึ เดอื นแปด ในปท ไี่ มม อี ธกิ มาสเปน ตนไปเพื่อบาํ เพ็ญบุญอุทิศแกญาติท่ีลวงลับไป เปน เวลา ๓ เดอื นคือถงึ ขนึ้ ๑๕ คํา่กอ น (ขอ ๓ ในพลี ๕ แหง โภคอาทิยะ ๕) เดอื น ๑๑; เทยี บ ปจ ฉมิ ิกา, ปจฉิมพรรษาปพุ พัณณะ ดู บุพพัณณะ, ธญั ชาติ ปุริสภาวะ ความเปนบรุ ุษ หมายถงึ ภาวะปุพเพกตปุญญตา ความเปนผูไดทํา อันใหปรากฏมีลักษณะอาการตางๆ ที่ความดีไวในกอน, ทําความดีใหพรอม แสดงถึงความเปนเพศชาย; คูก บั อติ ถี- ภาวะ; ดู อปุ าทายรปูไวกอนแลว (ขอ ๔ ในจักร ๔)ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรูเปน ปุริสเมธ ความฉลาดในการบํารุงขาเครอ่ื งระลกึ ไดถงึ ปุพเพนวิ าส คอื ขนั ธท่ี ราชการ รูจักสงเสริมคนดีมีความเคยอาศัยอยใู นกอน, ระลกึ ชาตไิ ด (ขอ สามารถ เปน สงั คหวตั ถปุ ระการหนง่ึ ของ๑ ในญาณ ๓ หรือวิชชา ๓, ขอ ๔ ใน ผูปกครองบา นเมอื ง (ขอ ๒ ในราช-อภญิ ญา ๖, ขอ ๖ ในวชิ ชา ๘, ขอ ๘ ใน สังคหวตั ถุ ๔)ทศพลญาณ), ใชวา บพุ เพนิวาสานุสต-ิ ปุริสสัพพนาม คําทางไวยากรณ หมายญาณ กม็ ,ี เขยี นเตม็ อยา งรปู เดมิ ในภาษา ถึงคําแทนชื่อเพ่ือกันความซ้ําซาก ในบาลเี ปน ปพุ เพนิวาสานสุ สตญิ าณ ภาษาบาลหี มายถงึ ต, ตมุ หฺ , อมหฺ , ศพั ท
ปเุ รจารกิ ๒๔๔ โปราณฏั ฐกถาในภาษาไทย เชน ฉัน, ผม, ทาน, เธอ, ไมไ ด หรอื กนิ ไดโ ดยยาก; ดู อบาย, ทคุ ติเขา, มนั เปน ตน เปลี่ยวดาํ หนาวอยางใหญ, โรคอยา งปเุ รจารกิ “อนั ดาํ เนนิ ไปกอ น”, เปน เครอื่ ง หน่งึ เกดิ จากความเยน็ มากนาํ หนา , เปน ตวั นาํ , เปน เครอื่ งชกั พาให เปสละ ภกิ ษผุ ูมศี ลี เปนท่ีรัก, ภกิ ษผุ ูมีมงุ ใหแ ลน ไป เชน ในคาํ วา “ทาํ เมตตาให ความประพฤติดนี านิยมนบั ถือเปน ปเุ รจารกิ แลว สวดพระปรติ ร”, “ความ เปสญุ ญวาท ถอ ยคาํ สอ เสยี ด; ดู ปส ณุ า- วาจาเพยี รอนั มศี รทั ธาเปน ปเุ รจารกิ ”ปุเรภัต กอนภัต, กอ นอาหาร หมายถึง โปกขรพรรษ ดู โบกขรพรรษเวลากอนฉันของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็ได โปตลิ นครหลวงของแควนอัสสกะ อยูแตเ ม่อื พูดอยางกวา ง หมายถึง กอ น ลมุ นา้ํ โคธาวรี ทศิ เหนอื แหง แควน อวนั ตีหมดเวลาฉนั คอื เวลาเชาจนถงึ เท่ยี ง โปราณฏั ฐกถา อรรถกถาเกา แก, คมั ภรี ซึ่งเปนระยะเวลาที่ภิกษุฉันอาหารได; หรือบันทึกคําอธิบายความในพระไตร- เทียบ ปจฉาภตั ปฎ ก ทใ่ี ชใ นการศกึ ษาและรกั ษาตอ กนัปเุ รสมณะ พระนาํ หนา เปน ศพั ทค กู บั มาในลงั กาทวปี เปน ภาษาสงิ หฬ อนั ถอื ปจ ฉาสมณะ พระตามหลงั วาสืบแตคร้ังพระมหินทเถระพรอมดวยปุโรหิต พราหมณผูเปนที่ปรึกษาของ คณะพระสงฆเ ดนิ ทางมาประดษิ ฐานพระ พระราชา พุทธศาสนาในลังกาทวีป ซึ่งไดนาํ พระปุสสมาส เดือน ๒, เดอื นยี่ ไตรปฎกและอรรถกถามาต้ังไวเปนหลักปูชนียบุคคล บคุ คลทค่ี วรบูชา แตอรรถกถาเดิมท่ีนาํ มาน้ัน เปนภาษาปชู นยี วตั ถุ วตั ถุที่ควรบูชา บาลี จงึ สบื ตอ กนั มาเปน ภาษาสงิ หล เพอ่ืปูชนียสถาน สถานทีค่ วรบชู า ใหช าวเกาะลงั กาสามารถใชเ ปน สอื่ ในการปรู ณมี ดู บณุ มี ศึกษาพระไตรปฎกที่ตองรักษาไวอยางเปตตวิ สิ ยั ดู ปต ตวิ สิ ยั ,เปรต เดมิ เปน ภาษาบาลี ตอ มา ในกง่ึ ศตวรรษเปรต 1. ผูละโลกนี้ไปแลว, คนที่ตายไป สดุ ทา ยทจี่ ะถงึ พ.ศ.๑๐๐๐ พระพทุ ธ-แลว 2. สัตวจ าํ พวกหนึ่งซง่ึ เกดิ อยูใ น ศาสนาในชมพทู วปี เสอ่ื มลงมากแลว แมอบายชนั้ ทเี่ รยี กวา ปต ตวิ สิ ยั หรอื เปตต-ิ พระไตรปฎ กบาลจี ะยงั คงอยู แตอ รรถ-วสิ ัย(แดนเปรต) ไดรบั ความทกุ ขท รมาน กถาไดหมดสน้ิ ไป พระพทุ ธโฆสาจารยเพราะอดอยาก ไมม จี ะกนิ แมเ มอื่ มี กก็ นิ ไดรบั มอบหมายจากพระเรวตเถระผเู ปน
โปราณฏั ฐกถา ๒๔๕ โปราณฏั ฐกถาอาจารย ใหเ ดนิ ทางจากชมพทู วปี มายงั ภาษาสิงหล ท่พี ระพทุ ธโฆสาจารยและลงั กาทวปี เพอื่ แปลอรรถกถาจากภาษาสงิ หฬเปน ภาษามคธ ทจี่ ะนาํ ไปใชศ กึ ษา พระอรรถกถาจารยอื่นในเวลาใกลเคียงในชมพทู วปี สบื ไปไดอ กี พระพทุ ธโฆสา-จารย เมอื่ ผา นการทดสอบความรคู วาม กัน ไดใชเปนหลักและเปนแนวในการสามารถและไดร บั อนญุ าตจากสงั ฆะแหงมหาวหิ ารใหท าํ งานทปี่ ระสงคไ ดแ ลว ก็ เรียบเรียงอรรถกถาภาษาบาลีข้ึนใหมไดเ รียบเรยี งอรรถกถาจากของเดมิ ทเี่ ปนภาษาสงิ หฬ ขนึ้ มาเปน ภาษาบาลี จนเกอื บ ก็จึงหมายรูกันโดยใชคําเรียกวาเปนครบบรบิ รู ณ ขาดแตบ างสว นของขทุ ทก- “โปราณฏั ฐกถา” (อรรถกถาโบราณ,นกิ าย แหง พระสตุ ตนั ตปฎ ก ซงึ่ กไ็ ดม ี อรรถกถาของเกา) ซ่งึ มีชอื่ ทีอ่ างอิงหรือพระเถระอนื่ อกี ประมาณ ๔ รปู มพี ระธรรมปาละ เปน ตน จดั ทาํ ขนึ้ ดว ยวธิ กี าร กลาวถึงในอรรถกถาภาษาบาลีบอยคร้ังคลา ยคลงึ กนั จนจบครบตามคมั ภรี ข อง โดยเฉพาะ มหาอัฏฐกถา มหาปจจรีพระไตรปฎ ก ในชว งเวลาไมห า งจากพระ กุรุนที สงั เขปฏฐกถา อนั ธกฏั ฐกถาพทุ ธโฆสาจารยม ากนกั โปราณฏั ฐกถาสาํ คญั ทสี่ ดุ คอื มหา- เม่ืออรรถกถาท่ีเปนภาษาบาลีเกิดมี อัฏฐกถา ซึ่งเปนอรรถกถาที่อธิบายขน้ึ ใหมอ กี กช็ ว ยเปน หลกั ในการศกึ ษา ตลอดพระไตรปฎ กท้ังหมด และเกา แกพระไตรปฎ กสบื ตอ มา ไมเ ฉพาะในลงั กาทวปี เทา นน้ั แตข ยายออกไปในประเทศ ท่ีสุด ถือวาเปนอรรถกถาเดิมท่ีพระอน่ื ๆ กวา งขวางทวั่ ไป ตอ มา เมอ่ื พดู ถงึอรรถกถา กเ็ ขา ใจกนั วา หมายถงึ อรรถ- มหินทเถระนํามาจากชมพูทวีป และกถาภาษาบาลรี นุ ประมาณ พ.ศ.๑๐๐๐ ท่ีกลา วมานี้ บางทถี งึ กบั เรยี กกาลเวลาของ ทานไดแปลเปนภาษาสิงหลดวยตนเองพระศาสนาชว งนี้ วา เปน ยคุ อรรถกถา ซง่ึแทจริงนั้น เนื้อตัวของอรรถกถาก็เปน เพ่ือใหชาวลังกาทวีปมีเคร่ืองมือท่ีจะของทม่ี สี บื ตอ มาแตเ ดมิ ศกึ ษาพระไตรปฎ กไดโดยสะดวก เมอื่ สวนอรรถกถาเกาแกของเดิมใน พระพุทธโฆสาจารยเรียบเรียงอรรถกถา ภาษาบาลขี นึ้ ใหมน น้ั กอ็ าศยั มหาอฏั ฐ- กถานี่เองเปนหลัก ดังท่ีทานกลาวถึง การจัดทําอรรถกถาแหงพระวินัยปฎก (คอื สมนั ตปาสาทกิ า) วา ทา นนาํ เอามหา- อฏั ฐกถาน้ันมาเปน สรรี ะ คอื เปน เนอื้ หา หลกั หรอื เปน เนอื้ เปน ตวั ของหนงั สอื ใหม ทจ่ี ะทาํ พรอ มทงั้ ปรกึ ษาโปราณฏั ฐกถา และมตหิ ลกั ทถี่ อื กนั มาของสงั ฆะดว ย พงึ ทราบดงั ทกี่ ลา วแลว วา เวลาน้ี เมอ่ื
โปสาลมาณพ ๒๔๖ ผลพูดถึงอรรถกถา เราหมายถงึ อรรถกถา ท่ีคัมภีรอรรถกถาภาษาบาลีกลาวถึงนั้นภาษาบาลีที่พระพุทธโฆสาจารยเปนตน มักหมายถึงโปราณัฏฐกถาภาษาสิงหลไดเ รยี บเรยี งไว และเราใชก นั อยู แตพ งึ เฉพาะอยา งยง่ิ มหาอัฏฐกถานเี้ อง; ดูทราบตอไปอีกข้ันหน่ึงวา ในอรรถกถา อรรถกถาภาษาบาลนี นั้ เอง เมอ่ื มกี ารกลา วอา งถงึ โปสาลมาณพ ศิษยคนหนึ่งในจํานวนอรรถกถา เชนบอกวา “ในอรรถกถา ๑๖ คน ของพราหมณพ าวรี ทไี่ ปทลู ถามทา นกลา ววา ‘…’ ดงั น”ี้ คาํ วา “อรรถกถา” ปญหากะพระศาสดา ทปี่ าสาณเจดยี ผผทม นอน (ใชแ กเจา ) ปะปนสับสนกัน แตวา ตามความหมายผนวช บวช (ใชแกเจา ) พืน้ ฐาน วิบาก หมายถงึ ผลโดยตรงของผรณาปติ ความอม่ิ ใจซาบซา น เมอ่ื เกดิ กรรมตอชีวิตของตัวผูกระทํา ไมวาจะ ขึ้นทําใหรสู กึ ซาบซานท่วั สารพางค (ขอ เปนผลดีหรือผลรายสุดแตกรรมดีหรือ กรรมชว่ั ท่เี ขาไดทาํ , นิสสันท หมายถงึ ๕ ในปต ิ ๕) ผลโดยออมที่สืบเน่ืองหรือพวงพลอยมาผรุสวาจา วาจาหยาบ, คาํ พดู เผด็ รอ น, กับผลแหงกรรมนั้น ไมวาจะเปน คาํ หยาบคาย (ขอ ๖ ในอกศุ ลกรรมบถ อฏิ ฐารมณหรอื อนฏิ ฐารมณ อันนํามาซึง่ สุขหรือโศก ทั้งท่เี กิดแกต ัวเขาเอง และ ๑๐) แกคนอื่นท่ีเก่ียวของ (ตัวอยางดังในผรุสาย วาจาย เวรมณี เวน จากพูดคาํ หลกั ปฏจิ จสมุปบาทวา ภพ เปน วบิ าก หยาบ (ขอ ๖ ในกศุ ลกรรมบถ ๑๐) ขาตชิ รามรณะ เปน นสิ สนั ท, และ โสกะผล 1. สงิ่ ทีเ่ กดิ จากเหต,ุ ประโยชนหรือ ปริเทวะ เปนตน เปนนิสสันทพวงตอ โทษทไี่ ดร บั สนองหรอื ตอบแทน; “ผล” มี ออกไปอกี ซงึ่ อาจจะไมเ กดิ ขน้ึ กไ็ ด) และ นสิ สนั ทน น้ั ใชไ ดก บั ผลในเรอ่ื งทว่ั ไป เชน ช่ือเรียกหลายอยางตามความหมายท่ี เอาวัตถุดิบมาเขาโรงงานอุตสาหกรรม เกิดเปนนิสสันทหล่ังไหลออกมา ท้ังที่ จาํ เพาะหรอื ทม่ี นี ยั ตา งกนั ออกไป เฉพาะ นา ปรารถนาคอื ผลติ ภณั ฑ และทไี่ มน า อยางยิง่ คอื วบิ าก (วิบากผล) นสิ สนั ท (นิสสันทผล) อานสิ งส (อานสิ งสผล); คําเหลาน้ี มีความหมายกายเกยกนั อยู บา ง และบางทีก็ใชอ ยางหลวมๆ ทาํ ให
ผล ๒๔๗ ผลปรารถนา เชน กากและของเสียตา งๆ, อยางที่มีผลเลิศ อันใหประสบส่ิงดีงามอานสิ งส หมายถงึ ผลดที ี่งอกเงย หรอื มผี ลเปน สขุ เปน ไปเพอ่ื สวรรค ๑ …”คุณคาประโยชนแถมเหมือนเปนกําไรซึ่งพลอยไดหรือพวงเพ่ิมสืบเนื่องจาก ดังท่ีกลาวแลววา การใชคําเหลาน้ีกรรมทดี่ ี เชน เอาความรทู เ่ี ปนประโยชน เมอ่ื ลงสรู ายละเอยี ด บางทกี ม็ คี วามแตกไปสอนเขา แลวเกิดมอี านิสงส เชน เขา ตา งและซบั ซอ นสบั สนบา ง เชน ในกรณีรกั ใครนบั ถือ ตลอดจนไดล าภบางอยา ง ทค่ี ําวา “ผล” กบั “วบิ าก” มาดว ยกนัดงั นี้ กไ็ ด หมายถงึ ผลดี คณุ คา ประโยชน อยางในคําวา “ผลวิบาก (คอื ผลและของการอยางใดอยางหนึ่งหรือส่ิงใดส่ิง วบิ าก) ของกรรมทท่ี ําดที ําช่ัว…” ทา นหนึง่ โดยทว่ั ไป กไ็ ด, อานิสงสน ้ี ตรง อธิบายวา “ผล” หมายถึงนิสสันทผลขา มกบั อาทนี พ (หรอื อาทนี วะ) ซ่งึ หมาย (รวมท้ังอานิสงสผล) และ “วิบาก” ก็คือถึงโทษ ผลราย สวนเสีย ขอบกพรอง, วิบากผล แตในสาํ นวนวา “มีผลมาก มีพึงเหน็ ตวั อยางดงั พทุ ธพจนวา (อง.ปฺจก. อานิสงสม าก” บางคัมภรี (ดู ปฏิส.ํ อ.๒/๒๒/๒๒๗/๒๘๗) “ภิกษทุ ง้ั หลาย อาทีนพ ๖๒/๕๔; ท.ี อ.๒/๔๓๘/๔๒๙) อธบิ ายวา “ทีว่ าในเพราะโภคทรัพย ๕ ประการน้ี … คือ ไมม ีผลมาก คือโดยวบิ ากผล ทีว่ าไมม ีโภคทรพั ยเปน ของท่ัวไปแกไ ฟ ๑ เปน อานิสงสม าก คอื โดยนสิ สนั ทผล (หรอืของท่วั ไปแกนํ้า ๑ เปน ของท่วั ไปแกผู โดยอานิสงสผล)” แตบ างคัมภีร (ดู ม.อ.ครองบา นเมอื ง ๑ เปน ของทวั่ ไปแกโ จร๑ เปน ของทัว่ ไปแกทายาทอปั รีย ๑ … ๑/๖๕/๑๗๑; ๒/๘๙/๒๒๐; อง.ฺ อ.๓/๖๖๓/๓๕๗)ภิกษุท้ังหลาย อานิสงสในเพราะโภค-ทรัพย ๕ ประการน้ี … คอื อาศยั โภค- อธบิ ายวา “ท่ีวา มผี ลมาก มอี านิสงสม ากทรพั ย บคุ คลเลยี้ งตนใหเ ปนสขุ … ๑ นั้น ทั้งสองอยาง โดยความหมายก็เลี้ยงมารดาบิดาใหเ ปน สขุ … ๑ เลยี้ ง อยางเดียวกัน” และบางทีก็ใหความบุตรภรรยา คนใช กรรมกร และคนงาน หมายเพิ่มอีกนัยหน่ึงวา “มีผลมาก คือใหเปน สุข … ๑ เลีย้ งมติ รสหายและคน อํานวยโลกียสุขมาก มีอานิสงสมาก คือใกลชดิ ชว ยกจิ การ ใหเปนสขุ ใหอิ่มพอ เปน ปจ จยั แหง โลกตุ ตรสุขอนั ยง่ิ ใหญ”; ดูบรหิ ารใหเ ปนสขุ โดยชอบ ๑ บําเพ็ญ นสิ สนั ท, วบิ าก, อานสิ งสทักษิณาในสมณพราหมณทั้งหลาย 2. ชอื่ แหงโลกตุ ตรธรรมคกู บั มรรค และเปน ผลแหง มรรค มี ๔ ชน้ั คือ โสดาปตติผล ๑ สกทาคามิผล ๑ อนาคามิผล ๑ อรหตั ตผล ๑; คกู บั มรรค
ผลญาณ ๒๔๘ ผาตกิ รรมผลญาณ ญาณในอรยิ ผล, ญาณท่เี กดิ เปนอเุ บกขาบาง (ขอ ๒ ในอาหาร ๔) ขึน้ ในลําดบั ตอจากมัคคญาณและเปน ผากฐิน ผาผืนหน่ึงท่ีใชเปนองคกฐินผลแหง มัคคญาณนนั้ ซึ่งผบู รรลุแลว ได สําหรบั กราน แตบ างทีพูดคลมุ ๆ หมายชื่อวาเปนพระอริยบุคคลข้ันนั้นๆ มี ถึงผาท้ังหมดที่ถวายพระในพิธีทอดโสดาบนั เปนตน; ดู ญาณ ๑๖ กฐนิ , เพ่อื กันความสับสน จงึ เรยี กแยกผลภาชกะ ภกิ ษผุ ไู ดร บั สมมติ คอื แตง ตงั้ เปนองคกฐนิ หรือผา องคก ฐินอยางหนึง่จากสงฆใหเ ปน ผมู ีหนา ที่แจกผลไม กับผาบริวารหรือผาบริวารกฐินอีกอยางผลเภสชั มีผลเปนยา, ยาทําจากลกู ไม หน่ึง; ดู กฐินเชน ดปี ลี พริก สมอไทย มะขามปอม ผากรองน้ํา ผาสําหรับกรองนํ้ากันตัวเปนตน สัตว; ดู ธมกรกผลสมังคี ดู สมังคี ผากาสายะ ดู กาสาวะผลเหตสุ นธิ “ตอ ผลเขา กบั เหต”ุ หมายถงึ ผากาสาวะ ดู กาสาวะเงอื่ นตอ ระหวา งผลในปจ จบุ นั กบั เหตใุ น ผาจํานาํ พรรษา ผาทีท่ ายกถวายแกพ ระปจ จบุ นั ในวงจรปฏิจจสมุปบาท คือ สงฆผูอยูจําพรรษาครบแลวในวัดน้ันระหวางวญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ภายในเขตจีวรกาล; เรียกเปนคาํ ศัพทผัสสะ เวทนา ขางหนงึ่ (ฝายผล) กบั วา ผาวัสสาวาสิกา วัสสาวาสิกสาฎกตณั หา อปุ าทาน ภพ อกี ขา งหนึ่ง (ฝาย หรอื วัสสาวาสิกสาฏิกา; ดู อจั เจกจวี รเหต)ุ ; เทียบ เหตุผลสนธิ ผาณิต รสหวานเกดิ แตออย, นาํ้ ออ ย (ขอผลาสโว ผลาสวะ, น้ําดองผลไม ๕ ในเภสชั ๕)ผะเดยี ง ดู เผดียง ผาติกรรม “การทําใหเจรญิ ” หมายถงึผัคคณุ มาส เดือน ๔ การจําหนายครุภัณฑ เพ่ือประโยชนผัสสะ การถกู ตอ ง, การกระทบ; ผัสสะ สงฆอ ยา งหน่งึ อยางใด โดยเอาของเลว๖; ดู ผัสสะ แลกเปล่ียนเอาของดีกวาใหแกสงฆผสั สาหาร อาหารคอื ผัสสะ, ผัสสะเปน หรือเอาของของตนถวายสงฆเปนการอาหาร คอื เปน ปจจัยอดุ หนนุ หลอ เลี้ยง ทดแทนที่ตนทําของสงฆชํารุดไป, ร้ือใหเกดิ เวทนา ไดแ ก อายตนะภายใน ของที่ไมดีออกทําใหใหมดีกวาของเกาอายตนะภายนอก และวญิ ญาณกระทบ เชน เอาทว่ี ดั ไปทําอยางอน่ื แลว สรา งวดักนั ทาํ ใหเ กดิ เวทนา คอื สขุ บา ง ทกุ ขบ า ง ถวายใหใ หม; การชดใช, การทดแทน
ผาไตร,ผา ไตรจวี ร ๒๔๙ แผเ มตตาผา ไตร, ผา ไตรจวี ร ดู ไตรจีวร สบายผา ทรงสะพกั ผา หมเฉยี งบา ผาอาบน้าํ ฝน ผาสาํ หรับอธิษฐานไวใ ชน ุงผาทิพย ผาหอยหนาตักพระพุทธรูป อาบนํ้าฝนตลอด ๔ เดือนแหงฤดฝู น ซึง่ (โดยมากเปนปูนปน มลี ายตา งๆ) พระภิกษุจะแสวงหาไดใ นระยะเวลา ๑ผานิสีทนะ ดู นสิ ที นะผาบรวิ าร ผาสมทบ; ดู บรวิ าร เดอื น ตงั้ แตแ รม ๑ ค่าํ เดอื น ๗ ถึงขึ้นผาบังสุกุล ดู บังสกุ ุลผาปา ผาท่ีทายกถวายแกพระโดยวิธี ๑๕ คาํ่ เดือน ๘ และใหทาํ นงุ ไดใ นเวลา ปลอยทิ้งใหพระมาชักเอาไปเอง อยาง กึ่งเดือน ตั้งแตข ้ึน ๑ ถงึ ๑๕ คา่ํ เดือน ๘, เรียกเปน คาํ ศพั ทว า วสั สกิ สาฏกิ า หรอื วัสสกิ สาฎก, มขี นาดที่กาํ หนดตามเปน ผา บงั สกุ ลุ , ตามธรรมเนยี มจะถวาย พุทธบัญญัติในสิกขาบทท่ี ๙ แหงรตน-หลงั เทศกาลกฐนิ ออกไป; คาํ ถวายผา ปา วรรค (ปาจติ ตยี ขอ ที่ ๙๑; วนิ ย.๒/๗๗๒/๕๐๙)วา “อิมานิ มยํ ภนฺเต, ปส ุกูลจีวรานิ, คอื ยาว ๖ คบื กวา ง ๒ คบื ครง่ึ โดยคบืสปรวิ ารานิ, ภกิ ขฺ สุ งฺฆสฺส, โอโณชยาม, พระสุคต; ปจจุบันมีประเพณีทายกสาธุ โน ภนฺเต, ภิกฺขุสงฺโฆ, อมิ านิ, ปส ุ- ทายิกาทําบุญถวายผาอาบนํ้าฝนตามวัดกูลจีวรานิ, สปริวาราน,ิ ปฏิคฺคณหฺ าต,ุ ตา งๆ ในวันข้ึน ๑๕ คํ่าเดือน ๘, คําอมฺหาก,ํ ทฆี รตตฺ ,ํ หติ าย, สุขาย” แปล ถวายผาอาบนํ้าฝนเหมือนคําถวายผาปา เปลีย่ นแต ปส กุ ลู จีวรานิ เปน วสฺสกิ -วา “ขาแตพระสงฆผ ูเ จริญ ขา พเจาท้ัง สาฏกิ านิ และ “ผา บงั สุกุลจีวร” เปนหลายขอนอมถวายผาบังสุกุลจีวร กับทั้งบริวารเหลาน้ีแกพระภิกษุสงฆ ขอ “ผา อาบนํา้ ฝน”พระภิกษุสงฆจงรับ ผาบังสุกุลจีวรกับ ผูมีราตรีเดียวเจริญ ผูมีความเพียรไมทั้งบริวารเหลานี้ของขาพเจาทั้งหลาย เกยี จครา นท้งั กลางวนั กลางคืน อยูดว ยเพื่อประโยชนและความสุขแกขาพเจา ความไมประมาทท้งั หลาย ส้นิ กาลนาน เทอญฯ” เผดียง บอกแจง ใหร,ู บอกนิมนต, บอกผา วสั สาวาสิกสาฏิกา ดู ผา จํานาํ พรรษา กลาวหรือประกาศเช้ือเชิญเพื่อใหรวมผา วสั สกิ สาฏกิ า ดู ผา อาบน้ําฝน ทํากจิ โดยพรอมเพรียงกัน; ประเดยี ง ก็ผาสาฏกิ า ผา คลุม, ผาหม วา; ดู ญตั ติผาสกุ ความสบาย, ความสาํ ราญ แผเ มตตา ต้ังจิตปรารถนาดีขอใหผ ูอ่ืนมีผาสุวิหารธรรม ธรรมเปนเคร่ืองอยู ความสขุ ; คาํ แผเมตตาทใ่ี ชเปน หลักวา
โผฏฐพั พะ ๒๕๐ พยัญชนะ“สพเฺ พ สตตฺ า อเวรา อพยฺ าปชฌฺ า อนฆี า พเิ ศษทส่ี งู กวา ยอ มเขา ถงึ พรหมโลกสขุ ี อตฺตานํ ปริหรนตฺ ”ุ แปลวา “ขอสตั ว อน่ึง การแผเ มตตานี้ สําหรบั ทานท่ีท้งั หลาย, (ท่ีเปน เพอ่ื นทุกข เกิด แก ชาํ นาญ เมื่อฝกใจใหเสมอกันตอ สัตวท้ังเจ็บ ตาย ดว ยกนั ) หมดทง้ั สิ้น, (จงเปน หลายไดแลว จะทําจิตใหคลองในการสุขเปน สขุ เถดิ ), อยาไดม เี วรแกกันและ แผไ ปในแบบตางๆ แยกไดเ ปน ๓ อยางกันเลย, (จงเปนสุขเปน สขุ เถดิ ), อยาได (ข.ุ ปฏ.ิ ๓๑/๕๗๕/๔๘๓) คือ ๑.แผไปท่ัวอยา งเบียดเบียนซ่ึงกันและกันเลย, (จงเปน ไมม ีขอบเขต เรียกวา “อโนธิโสผรณา”สุขเปน สขุ เถดิ ), อยา ไดมที กุ ขก ายทกุ ข (อยางคาํ แผเมตตาท่ียกมาแสดงขา งตน)ใจเลย, จงมีความสุขกายสขุ ใจ, รกั ษา ๒.แผไปโดยจํากัดขอบเขต เรียกวาตน (ใหพน จากทกุ ขภ ัยทั้งส้ิน) เถดิ .” “โอธิโสผรณา” เชนวา ขอใหคนพวกน้นั[ขอความในวงเล็บเปนสวนที่เพ่ิมเขามา พวกน้ี ขอใหส ัตวเหลา นน้ั เหลาน้ี จงเปนในคาํ แปลเปนไทย] สขุ ๓.แผไปเฉพาะทิศเฉพาะแถบ เรยี กผูเจริญเมตตาธรรมอยูเสมอ จน วา “ทิสาผรณา” เชนวา ขอใหม นษุ ยทางจิตม่ันในเมตตา มีเมตตาเปนคุณสมบัติ ทิศน้ันทิศนี้ ขอใหประดาสัตวในแถบประจําใจ จะไดรับอานิสงส คือผลดี นัน้ แถบน้ี หรอื ยอยลงไปอีกวา ขอให๑๑ ประการ คือ ๑. หลับกเ็ ปนสุข ๒. คนจนคนยากไรในภาคน้ันภาคนี้ จงมีตื่นก็เปน สขุ ๓. ไมฝ นรา ย ๔. เปน ท่ีรัก ความสขุ ฯลฯ; ดู เมตตา, อโนธโิ สผรณา,ของมนุษยท ง้ั หลาย ๕. เปน ทรี่ ักของ โอธิโสผรณา, ทิสาผรณา, วิกุพพนา,อมนุษยท ้งั หลาย ๖. เทวดายอมรักษา สีมาสมั เภท๗. ไมตองภัยจากไฟ ยาพิษ หรือ โผฏฐพั พะ อารมณทจี่ ะพึงถกู ตองดวยศัสตราอาวธุ ๘. จติ เปน สมาธิงาย ๙. สี กาย, สิ่งทถ่ี กู ตองกาย เชน เย็น รอนหนาผองใส ๑๐. เมอ่ื จะตาย ใจก็สงบ ออ น แขง็ เปนตน (ขอ ๕ ในอายตนะไมหลงใหลไรสติ ๑๑. ถา ยงั ไมบ รรลคุ ณุ ภายนอก ๖ และในกามคณุ ๕ พพจน ดู วจนะ พยญั ชนะ 1. อกั ษร, ตวั หนังสือท่ีไมใชพนาสณฑ, พนาสณั ฑ ดู ไพรสณฑ สระ 2. กบั ขา วนอกจากแกง; คูกบั สปู ะ
พยากรณ ๒๕๑ พร3. ลักษณะของรา งกาย พร สิ่งท่ีอนุญาตหรือใหตามท่ีขอ, สิ่งพยากรณ ทาํ ใหแ จงชัด, บอกแจง , ชแี้ จง, ประสงค ที่ขอใหผูอื่นอนุญาตหรือตอบปญหา (คัมภีรท้ังหลายมักแสดง อํานวยให, ส่งิ ท่ปี รารถนา ซง่ึ เมอ่ื ไดรับความหมายวาตรงกบั คาํ วา วิสัชนา); ใน โอกาสแลว จะขอจากผมู ศี กั ดห์ิ รอื มฐี านะภาษาไทย นิยมใชในความหมายวา ท่ีจะยอมให หรือเอ้ืออํานวยใหเปนขอทาย, ทาํ นาย (ความหมายเดมิ คอื บอก อนุญาตพิเศษ เปน รางวลั หรือเปน ผลความหมายของส่งิ น้นั ๆ เชน ลกั ษณะ แหง ความโปรดปรานหรอื เมตตาการณุ ย,รางกาย ใหแ จม แจง ออกมา) ดงั พรสาํ คญั ตอ ไปน้ี เปน ตวั อยา งพยากรณศาสตร วิชาหรือตําราวาดวย พร ท่ีพระเจาสุทโธทนะทรงขอจากการทํานาย (ในภาษาบาลี ตามปกตใิ ช พระพุทธเจา กลา วคอื เมอ่ื เจา ชายราหลุในความหมายวา ตําราไวยากรณ) ทูลขอทายัชชะ (สมบัติแหงความเปนพยาธิ ความเจ็บไข ทายาท) พระพทุ ธเจา ไดโ ปรดใหเ จา ชายพยาน ผูรเู หน็ เหตุการณ, คน เอกสาร ราหลุ บรรพชา เพอ่ื จะไดโ ลกตุ ตรสมบตั ิหรอื ส่ิงของทอี่ างเปนหลกั ฐาน โดยพระสารบี ตุ รเปน พระอปุ ช ฌาย ครนั้พยาบาท ความขัดเคืองแคน ใจ, ความ พระพทุ ธบดิ าทรงทราบ กไ็ ดเ สดจ็ มาทรงเจบ็ ใจ, ความคดิ รา ย; ตรงขา มกับ เมตตา; ขอพรจากพระพทุ ธเจา ขอใหพ ระภกิ ษุในภาษาไทยหมายถึง ผูกใจเจบ็ และคดิ ท้ังหลายไมบวชบุตรท่ีมารดาบดิ ายังมไิ ด แกแคน อนญุ าต จงึ ไดม พี ทุ ธบญั ญตั ขิ อ นสี้ บื มาพยาบาทวิตก ความตริตรึกในทางคิด (วนิ ย.๔/๑๑๘/๑๖๘) รายตอผูอื่น, ความคิดนึกในทางขัด พร ๘ ประการ ทีน่ างวิสาขาทูลขอเคอื งชงิ ชัง ไมป ระกอบดวยเมตตา (ขอ คือ ตลอดชวี ติ ของตน ปรารถนาจะขอ๒ ในอกศุ ลวติ ก ๓) ถวายผา วสั สิกสาฏกิ า ถวายอาคนั ตกุ ภตัพยุหะ กระบวน, เหลาทหารท่ีระดมจัด ถวายคมิกภตั ถวายคิลานภัต ถวายข้นึ , กองทัพ (บาลี: พยฺ หู ) คลิ านปุ ฏ ฐากภตั ถวายคลิ านเภสชั ถวายพยุหแสนยากร เหลาทหารท่ีระดมจัด ธวุ ยาคู แกสงฆ และถวายอทุ กสาฏกิ าแกยกมาเปน กระบวนทพั , กองทพั (บาลี: ภกิ ษณุ สี งฆ จึงไดมพี ทุ ธานญุ าตผา ภตัพฺยูห+เสนา+อากร; สันสกฤต: วยฺ หู + และเภสชั เหลา นส้ี บื มา (วนิ ย.๕/๑๕๓/๒๑๐)ไสนยฺ +อากร) พร ๘ ประการ ทพี่ ระอานนทท ลู ขอ
พร ๒๕๒ พร(ทาํ นองเปน เงอื่ นไข) ในการทจ่ี ะรบั หนา ท่ี บาํ รงุ พระศาสดา ผอู ปุ ฐากอยางนจี้ ะเปนเปน พระพทุ ธอปุ ฐากประจาํ แยกเปน ก) ภาระอะไร ถา ขาพระองคไ มไ ดพ รขอขา งดา นปฏเิ สธ ๔ ขอ คอื ๑. ถา พระองคจ กั ปลาย จักมีคนพดู ไดว า พระอานนทไมประทานจีวรอันประณีตที่พระองคได บํารุงพระศาสดาอยางไรกัน ความแลว แกข า พระองค ๒. ถา พระองคจ กั ไม อนุเคราะหแ มเ พียงเทานี้ พระองคก็ยังประทานบิณฑบาตอนั ประณตี ทพ่ี ระองค ไมท รงกระทํา สําหรบั พรขอ สุดทาย จกัไดแ ลว แกข า พระองค ๓. ถา พระองคจ กั มีผูถามขาพระองคในท่ีลับหลังพระองคไมโปรดใหขาพระองคอ ยูใ นพระคนั ธกฎุ ี วา ธรรมน้ีๆ พระองคทรงแสดงท่ีไหนทป่ี ระทบั ของพระองค ๔. ถา พระองคจ กั ถาขาพระองคบ อกไมได กจ็ ะมีผูพ ดู ไดไมท รงพาขา พระองคไ ปในทนี่ มิ นต และ วา แมแ ตเร่ืองเทาน้ที า นยงั ไมร ู ทา นจะข) ดา นขอรบั ๔ ขอ คอื ๕. ถา พระองค เที่ยวตามเสด็จพระศาสดาดุจเงาไมละจะเสด็จไปสูท่ีนิมนตที่ขาพระองครับไว พระองคต ลอดเวลายาวนาน ไปทาํ ไม)๖. ถาขาพระองคจักพาบริษัทซึ่งมาเพื่อเฝาพระองคแตท่ีไกลนอกรัฐนอกแควน พรตามตัวอยางขางตนนี้ เปนขอที่เขา เฝา ไดใ นขณะทม่ี าแลว ๗. ถา ขา พระ แสดงความประสงคของอริยสาวกและองคจักไดเขาเฝาทูลถามในขณะเมื่อ อรยิ สาวิกา จะเหน็ วา ไมม เี ร่ืองผลไดแกความสงสยั ของขา พระองคเ กดิ ขนึ้ ๘. ถา ตนเองของผขู อ สว นพรที่ปถุ ชุ นขอ มีพระองคทรงแสดงธรรมอันใดในท่ีลับ ตัวอยา งที่เดน คอืหลังขาพระองค จักเสด็จมาตรัสบอกธรรมอนั นนั้ แกข า พระองค, พระพทุ ธเจา พร ๑๐ ประการ (ทศพร) ทพี่ ระผสุ ดีตรัสถามทานวาเห็นอาทีนพคือผลเสีย เทวีทูลขอกะทาวสักกะ เมื่อจะจุติจากอะไรใน ๔ ขอ ตน และเหน็ อานสิ งสค อื เทวโลกมาอบุ ตั ใิ นมนษุ ยโลก ไดแ ก ๑.ผลดอี ะไรใน ๔ ขอ หลงั จงึ ขออยา งน้ี อคคฺ มเหสภิ าโว ขอใหไ ดป ระทบั ในพระเม่ือพระอานนททูลชี้แจงแลว ก็ทรง ราชนเิ วศน (เปน อคั รมเหส)ี ของพระเจาอนญุ าตตามทที่ า นขอ (เชน ท.ี อ.๒/๑๔) สวี ริ าช ๒. นลี เนตตฺ ตา ขอใหม ดี วงเนตร ดาํ ดงั ตาลกู มฤคี ๓. นลี ภมกุ ตา ขอใหม ี (ขอ ชแ้ี จงของพระอานนท คือ ถาขา ขนคว้ิ สดี าํ นลิ ๔. ผสุ สฺ ตตี ิ นามํ ขอใหม ีพระองคไ มไดพ ร ๔ ขอตน จักมีคนพดู นามวา ผสุ ดี ๕. ปตุ ตฺ ปฏลิ าโภ ขอใหไ ดไดวา พระอานนทไดลาภอยางนนั้ จึง พระราชโอรส ผใู หส งิ่ ประเสรฐิ มพี ระทยั โอบเออื้ ปราศความตระหน่ี ผอู นั ราชาทวั่
พรต ๒๕๓ พรรณนาทกุ รฐั บชู า มเี กยี รตยิ ศ ๖. อนนุ นฺ ตกจุ ฉฺ ติ า ในพุทธพจนวา “ทายกผใู หโ ภชนะ ชื่อวาเมอ่ื ทรงครรภข ออยา ใหอ ทุ รปอ งนนู แต ยอมใหฐานะ ๕ ประการ แกปฏคิ าหกพึงโคงดังคันธนูที่นายชางเหลาไวเรียบ กลา วคอื ใหอายุ วรรณะ สขุ ะ พละเกลยี้ งเกลา ๗. อลมพฺ ตถฺ นตา ขอยคุ ล ปฏภิ าณ ครั้นให ... แลว ยอ มเปน ภาคีถนั อยา ไดห ยอ นยาน ๘. อปลติ ภาโว ขอ แหง อายุ ... วรรณะ ... สุขะ ... พละ ...เกศาหงอกอยา ไดม ี ๙. สขุ มุ จฉฺ วติ า ขอ ปฏิภาณ ที่เปนทิพย หรือเปนของใหมีผิวเนื้อละเอียดเนียนธุลีไมติดกาย มนษุ ย กต็ าม” (อง.ฺ ปจฺ ก.๒๒/๓๗/๔๔)๑๐. วชฌฺ ปปฺ โมจนสมตถฺ ตา ขอใหป ลอ ย ธรรม หรอื ฐานะ ๕ อันเรยี กไดว านกั โทษประหารได (ข.ุ ชา.๒๘/๑๐๔๘/๓๖๕) เปน “เบญจพิธพร” (พรหา ประการ) อีกในภาษาไทย “พร” มีความหมาย ชุดหนง่ึ ทค่ี วรนาํ มาปฏิบตั ิ พึงศึกษาในเพ้ียนไป กลายเปนคําแสดงความ พุทธพจนวา “ภิกษุทง้ั หลาย เธอทง้ั หลายปรารถนาดี ซ่ึงกลาวหรือใหโดยไมต อ ง จงเท่ียวไปในแดนโคจรของตน อันสบืมีการขอหรือการแสดงความประสงค มาแตบิดา... เมื่อเท่ียวไปในแดนโคจรของผูรับ และมักไมคํานึงวาจะมีการ ของตน อันสบื มาแตบ ิดา เธอท้ังหลายปฏบิ ัติหรือทําใหส าํ เรจ็ เชน น้ันหรอื ไม จกั เจรญิ ทง้ั ดว ยอายุ ...ทง้ั ดวยวรรณะ “พร” ทีน่ ิยมกลาวในภาษาไทย เชน ...ทง้ั ดวยสุข ...ทั้งดวยโภคะ ...ทงั้ ดว ยวา “จตรุ พธิ พร” (พรสีป่ ระการ) นั้น ในภาษาบาลเี ดมิ ไมเ รยี กวา “พร” แตเ รยี กวา พละ” และทรงไขความไววา สาํ หรับ ภกิ ษุ อายุ อยูที่อิทธิบาท ๔ วรรณะ“ธรรม” บา ง วา “ฐานะ” บา ง ดงั ในพุทธ- อยูที่ศลี สขุ อยทู ่ีฌาน ๔ โภคะ อยทู ี่ อปั ปมญั ญา (พรหมวหิ าร) ๔ พละ อยทู ี่พจนวา “ธรรม ๔ ประการ คอื อายุ วมิ ตุ ติ (เจโตวมิ ตุ ตแิ ละปญญาวิมุตตทิ ี่วรรณะ สขุ ะ พละ ยอมเจรญิ แกบคุ คลผูมีปกติอภวิ าท ออนนอมตอวุฒชนเปน หมดส้ินอาสวะ) (ที.ปา.๑๑/๕๐/๘๕) สวนนติ ย” (ข.ุ ธ.๒๕/๑๘/๒๙) แดนโคจรของตน ท่สี บื มาแตบดิ า กค็ อืธรรม หรอื ฐานะทีเ่ รียกอยา งไทยได สตปิ ฏ ฐาน๔ (ส.ํ ม.๑๙/๗๐๐/๑๙๘)วาเปนพรอยางน้ี ในพระไตรปฎ กมอี ีก พรต ขอ ปฏบิ ัตทิ างศาสนา, ธรรมเนียมหลายชดุ มีจาํ นวน ๕ บา ง ๖ บา ง ๗ บาง ความประพฤติของผูถือศาสนาท่ีคูกันท่ีควรทราบ คอื ฐานะ ๕ อันเรยี กไดวา กบั ศลี , วัตร, ขอ ปฏบิ ัติประจําเปน “เบญจพธิ พร” (พรหา ประการ) ดงั พรรณนา เลา ความ, ขยายความ, กลา ว
พรรษกาล ๒๕๔ พรหมไทย ถอ ยคาํ ใหผ ูฟ งนกึ เหน็ เปนภาพ นยั สดุ ทา ย (อรยิ มรรค และพระศาสนา);พรรษกาล ฤดฝู น (พจนานุกรมเขยี น ในศาสนาพราหมณ พรหมจรรย หมาย พรรษากาล) ถึงการครองชีวิตเวนเมถุนและประพฤติพรรษา ฤดฝู น, ป, ปข องระยะเวลาทบี่ วชพรรษาธษิ ฐาน อธษิ ฐานพรรษา, กาํ หนด ปฏิบัติตนเครงครัดตางๆ ทจ่ี ะควบคมุ ใจวา จะจําพรรษา; ดู จาํ พรรษาพรหม ผูป ระเสริฐ, เทพในพรหมโลก ตนใหมุง มนั่ ในการศึกษาไดเ ต็มท่ี โดย เฉพาะในการเรยี นพระเวท โดยนยั หมาย ถึงการศึกษาพระเวท และหมายถงึ ชว งเปนผูไมเกีย่ วของดว ยกาม มี ๒ พวก เวลาหรือข้ันตอนของชีวิตท่ีพึงอุทิศเพื่อคือ รูปพรหมมี ๑๖ ชั้น อรูปพรหมมี ๔ การศึกษาอยา งนั้น (บาล:ี พรฺ หฺมจริย)ชัน้ ; ดู พรหมโลก; เทพสงู สุดหรือพระผู พรหมจริยะ ดู พรหมจรรย พรหมจารี ผูป ระพฤตพิ รหมจรรย, นักเปน เจาในศาสนาพราหมณพรหมจรรย “จริยะอนั ประเสรฐิ ”, “การ เรียนพระเวท, ผูประพฤติธรรมมีเวนครองชวี ิตประเสริฐ”, ตามทเี่ ขาใจกันท่วั จากเมถนุ เปน ตน ; ดู อาศรมไป หมายถึงความประพฤติเวนเมถุน พรหมทัณฑ โทษอยางสูง คอื สงฆหรือการครองชีวิตดังเชนการบวชท่ีละ ตกลงกันลงโทษภิกษุรูปใดรูปหน่ึงโดยเวนเมถุน แตแ ทจริงนน้ั พรหมจรรย ภกิ ษุท้งั หลายพรอ มใจกนั ไมพูดดว ย ไมคอื พรหมจรยิ ะ เปน หลกั การใหญท ใี่ ชใ น วากลาวตักเตือน หรือสั่งสอนภิกษุรูปแงค วามหมายมากหลาย ดงั ทอ่ี รรถกถา น้ัน, พระฉนั นะซึ่งเปนภิกษุเจาพยศ ถอืแหง หนงึ่ ประมวลไว ๑๐ นยั คอื หมายถงึ ตัววาเปนคนเกาใกลชิดพระพุทธเจามาทาน ไวยาวจั จ (คอื การขวนขวายชว ย กอนใครอื่น ใครวา ไมฟง ภายหลงั ถกูเหลอื รบั ใชท าํ ประโยชน) เบญจศลี อปั ป- สงฆลงพรหมทัณฑถึงกับเปนลมลมมญั ญาสี่ (คอื พรหมวหิ ารส)่ี เมถนุ วริ ตั ิ สลบหายพยศได; ดูท่ี ปกาสนียกรรม,(คือการเวนเมถนุ ) สทารสนั โดษ (คอื อสมั มขุ ากรณยี ความพอใจเฉพาะภรรยาหรอื คคู รองของ พรหมไทย ของอนั พรหมประทาน, ของตน) ความเพียร การรักษาอุโบสถ ใหท ปี่ ระเสรฐิ สดุ หมายถงึ ทดี่ นิ หรอื บา นอรยิ มรรค พระศาสนา (อนั รวมไตรสกิ ขา เมืองท่ีพระราชทานเปนบําเหน็จ เชนท้งั หมด) เฉพาะอยา งยง่ิ ความหมาย เมืองอุกกุฏฐะที่พระเจาปเสนทิโกศลสาํ คญั ทพี่ ระพทุ ธเจา ตรสั เปน หลกั คอื ๒ พระราชทานแกโปกขรสาติพราหมณ
พรหมบญุ ๒๕๕ พระ-และนครจัมปาที่พระเจาพิมพิสารพระ ทูลถามปญหาตางๆ มีความเลื่อมใส ราชทานใหโ สณทณั ฑพราหมณป กครอง และไดบ รรลธุ รรมเปน พระอนาคามีพรหมบุญ บุญอยางสงู เปนคําแสดง พรอมหนาธรรมวินัย (ระงับอธิกรณ)อานิสงสของผูชักนําใหสงฆสามัคคี โดยนําเอาธรรมวินัย และสัตถุสาสนท่ีปรองดองกัน ไดพรหมบุญจักแชมชื่น เปนหลักสําหรับระงับอธิกรณน้ันมาใชในสวรรคต ลอดกลั ป โดยครบถว น คอื วนิ จิ ฉยั ถกู ตอ งโดยธรรมพรหมโลก ทอี่ ยขู องพรหม ตามปกตหิ มาย และถูกตองโดยวินัย (ธัมมสัมมุขตา-ถงึ รปู พรหม ซงึ่ มี ๑๖ ชน้ั (เรยี กวา รปู - วนิ ยสัมมุขตา)โลก) ตามลาํ ดบั ดงั น้ี ๑. พรหมปารสิ ชั ชา พรอ มหนา บคุ คล บุคคลผเู ก่ียวขอ งใน๒. พรหมปโุ รหติ า ๓. มหาพรหมา ๔. เรือ่ งน้นั อยูพ รอ มหนา กัน เชน ควู วิ าทปรติ ตาภา ๕. อปั ปมาณาภา ๖. อาภสั สรา หรอื คคู วามพรอ มหนา กนั ในววิ าทาธกิ รณ๗. ปรติ ตสภุ า ๘. อปั ปมาณสุภา ๙. สุภ- และในอนุวาทาธิกรณ เปน ตน (ปุคคล-กณิ หา ๑๐. อสัญญสี ัตตา ๑๑. เวหปั ผลา สมั มุขตา)๑๒. อวหิ า ๑๓. อตปั ปา ๑๔. สทุ สั สา พรอมหนาวัตถุ ยกเร่ืองที่เกิดนั้นข้ึน๑๕. สุทสั สี ๑๖. อกนิฏฐา; นอกจากน้ี พจิ ารณาวินจิ ฉัย เชน คาํ กลา วโจทเพอื่ ยงั มี อรปู พรหม ซงึ่ แบง เปน ๔ ชน้ั (เรยี ก เริ่มเร่ือง และขอวิวาทที่ยกขึ้นแถลง วา อรปู โลก) คอื ๑. อากาสานญั จายตนะ เปนตน (วตั ถสุ ัมมขุ ตา) ๒. วิญญาณญั จายตนะ ๓. อากิญจญั - พรอ มหนา สงฆ ตอหนาภกิ ษเุ ขา ประชมุ ญายตนะ ๔. เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ ครบองค และไดน าํ ฉันทะของผูควรแกพรหมวิหาร ธรรมเครอ่ื งอยูข องพรหม, ฉนั ทะมาแลว (สังฆสมั มขุ ตา) ธรรมประจําใจอันประเสริฐ, ธรรม พระ- คาํ นาํ หนา ทใ่ี ชประกอบหนา คาํ อ่ืน ประจาํ ใจของทานผูมีคุณความดีย่งิ ใหญ เพือ่ แสดงความยกยอ ง เคารพ นับถือ มี ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทติ า อเุ บกขาพรหมายุ ช่ือพราหมณคนหน่ึง อายุ หรือใหความสาํ คัญ เชน นารายณ เปน ๑๒๐ ป เปน ผเู ชี่ยวชาญไตรเพท อยู ณ พระนารายณ ราชา เปน พระราชา เมืองมิถิลา ในแควน วเิ ทหะ ไดสง ศิษย (คําทข่ี ึ้นตนดว ย พระ- ซ่งึ ไมพบ มาตรวจดูมหาบุรุษลักษณะของพระ ในลําดับ ใหต ัด พระ ออก แลว ดูใน ลําดับของคําน้ัน เชน พระนารายณ ดู พุทธเจา ตอมาไดพบกับพระพุทธเจา นารายณ พระราชา ดู ราชา)
พระเครอื่ ง ๒๕๖ พระพุทธเจาพระเครื่อง พระเคร่อื งราง, พระพทุ ธรูป พระปา ดู อรญั วาสีองคเ ลก็ ๆ ทน่ี ับถือเปน เครอื่ งราง มกั ใช พระผูเปนเจา พระภิกษุ, เทพผูเปนเปน ของตดิ ตวั ดู เครอื่ งราง ใหญ, เทพสูงสุดท่ีนับถือวาเปนผูสรางพระโคดม, พระโคตมะ พระนามของ สรรคบันดาลทุกสิง่ ทุกอยา ง; คนไทยใช พระพุทธเจา เรยี กตามพระโคตร คําวาพระผูเปนเจา เปนคําเรียกพระพระเจา พระพุทธเจา, พระพทุ ธรูป, เทพ ภิกษุ มาแตโบราณ เชนวา “ขออาราธนาผูเปนใหญ; คนไทยใชคําวาพระเจา พระผูเปนเจาแสดงพระธรรมเทศนา”หมายถงึ พระพุทธเจา มาแตโบราณ เชน แตคงเปนดวยวา ตอ มา เมอ่ื ศาสนกิวา “พระเจาหาพระองค” ก็คือ พระพทุ ธ แหงศาสนาท่นี บั ถอื เทพเปนใหญ ใชค าํเจา ๕ พระองค แตคงเปน ดว ยวา ตอ น้ีเรียกเทพสูงสุดของตนกันแพรหลายมาเม่ือศาสนิกแหงศาสนาที่นับถือเทพ ข้ึน พุทธศาสนิกชนจึงใชค าํ น้ีนอยลงๆเปน ใหญ ใชค ําน้ีเรยี กเทพเปน ใหญของ จนบัดน้ีแทบไมเขาใจวา เปน คําที่ใชมาในตนกนั แพรหลายข้ึน พทุ ธศาสนิกชนจึง พระพุทธศาสนาใชคําน้ีนอยลงๆ จนบัดนแี้ ทบไมเขา ใจ พระผมู ีพระภาคเจา พระนามของพระวา เปน คําท่ใี ชม าในพระพทุ ธศาสนา พุทธเจาพระชนม อาย,ุ การเกิด, ระยะเวลาที่ พระพรหม ดู พรหมเกดิ มา พระพทุ ธเจา พระผตู รสั รเู องโดยชอบแลวพระชนมายุ อายุ สอนผูอนื่ ใหรตู าม, ทานผรู ูดรี ชู อบดว ยพระดาบส ดู ดาบส ตนเองกอนแลว สอนประชุมชนใหพระธรรม คําส่ังสอนของพระพุทธเจา ประพฤตชิ อบดวยกาย วาจา ใจ; พระ ทง้ั หลกั ความจรงิ และหลกั ความประพฤติ พทุ ธเจา ๗ พระองคที่ใกลกาลปจ จบุ นัพระนม แมน ม ทีส่ ดุ และคมั ภีรกลา วถงึ บอยๆ คอื พระพระนาคปรก พระพทุ ธรปู ปางหนงึ่ มรี ปู วปิ ส สี พระสขิ ี พระเวสสภู พระกกสุ นั ธะ นาคแผพ ังพานอยขู า งบน; ดู มจุ จลินท พระโกนาคมน พระกสั สป และพระโคดม;พระบรมศาสดา พระผูเปนครูผูยิ่ง พระพุทธเจา ๕ พระองคแหงภัทรกัปใหญ, พระผูเปนครสู ูงสดุ หมายถงึ พระ ปจจุบันนี้ คือ พระกกุสันธะ พระ พทุ ธเจา โกนาคมน พระกสั สป พระโคดม และพระบา น ดู คามวาสี พระเมตเตยยะ (เรยี กกันสามัญวา พระ
พระพทุ ธเจา ๒๕๗ พระพุทธเจาศรีอารย หรือ พระศรอี รยิ เมตไตรย); สวามี, นรวระ, นรสีห, นาถะ, นายก,พระพทุ ธเจา ๒๕ พระองคนบั แตพ ระ พุทธะ, ภควา (พระผูมีพระภาค),องคแรกที่พระโคตมพุทธเจา (พระ ภรู ิปญ ญะ, มหามนุ ี, มเหสิ (มเหสี ก็พุทธเจาองคปจจุบัน) ไดทรงพบและ ใช) , มารช,ิ มนุ ี, มนุ ินท, (มนุ นิ ทร กใ็ ช) ,ทรงไดรับการพยากรณวาจะไดสําเร็จ โลกครุ, โลกนาถ, วรปญญะ, วินายก,เปน พระพทุ ธเจา (รวม ๒๔ พระองค) จน สมนั ตจกั ขุ (สมนั ตจกั ษ)ุ , สยมั ภ,ู สัตถาถงึ พระองคเ องดว ย คอื ๑. พระทปี ง กร (พระศาสดา), สพั พญั ,ู สมั มาสมั พทุ ธ,๒. พระโกณฑญั ญะ ๓. พระมงั คละ ๔. สคุ ต, อนธิวร, อังคีรส; และสาํ หรบั พระพระสมุ นะ ๕. พระเรวตะ ๖. พระโสภติ ะ พุทธเจาพระองคปจจุบัน มีพระนาม๗. พระอโนมทสั สี ๘. พระปทมุ ะ ๙. เฉพาะเพมิ่ อีก ๗ คํา คอื โคตมะ สกั กะพระนารทะ ๑๐. พระปทมุ ุตตระ ๑๑. (ศากยะ) สักยมุนิ (ศากยมนุ )ี สักยสีหพระสเุ มธะ ๑๒. พระสุชาตะ ๑๓. พระ (ศากยสิงห) สิทธัตถะ สุทโธทนิปยทัสสี ๑๔. พระอัตถทัสสี ๑๕. พระ อาทิจจพนั ธุ; ดู อังคีรส ดว ยธมั มทสั สี ๑๖. พระสทิ ธัตถะ ๑๗. พระตสิ สะ ๑๘. พระปุสสะ ๑๙. พระวปิ ส สี ขอควรทราบบางประการเก่ียวกับ๒๐. พระสขิ ี ๒๑. พระเวสสภู ๒๒. พระพทุ ธเจา พระองคป จจุบัน ตามท่ตี รัสพระกกุสนั ธะ ๒๓. พระโกนาคมน ๒๔. ไวใ นคัมภรี พุทธวงส (โคตมพทุ ฺธวส, ข.ุ พทุ ธ.พระกสั สปะ ๒๕. พระโคตมะ (เรือ่ งมา ๓๓/๒๖/๕๔๓) คือ พระองคเปนพระสัม-ในคัมภีรพุทธวงส แหงขุททกนิกาย พทุ ธเจา พระนามวา โคดม (โคตมพทุ ธ)พระสุตตนั ตปฎ ก); ดู พุทธะ ดว ย เจรญิ ในศากยสกลุ พระนครอันเปน ถ่ิน กําเนดิ ช่อื กบลิ พัสดุ พระบดิ าคอื พระเจา พระนามตางๆ เพ่ือกลาวถึงพระ สุทโธทนะ พระมารดามีพระนามวาพทุ ธเจา ซงึ่ เปน คาํ กลางๆ ใชแ กพ ระองค มายาเทวี ทรงครองฆราวาสอยู ๒๙ ปใดก็ได มีมากมาย เชน ทปี่ ระมวลไวใน มปี ราสาท ๓ หลงั ชอ่ื สจุ นั ทะ โกกนทุคัมภรี อ ภิธานปั ปทปี กา (คาถาที่ ๑-๔) และโกญจะ มเหสีพระนามวายโสธรามี ๓๒ คํา (ในทนี่ ี้ ไดปรบั ตัวสะกด และจัดเรียง โอรสพระนามวาราหุล ทอดพระเนตรตามลําดบั อกั ษรอยา งภาษาไทย) คือ จักขุมา, เห็นนมิ ิต ๔ ประการแลว เสดจ็ ออกชินะ, ตถาคต, ทศพล, ทิปทุตตมะ ผนวชดว ยมา เปน ราชยาน บําเพ็ญทกุ ร-(ทปิ โทดม), เทวเทพ, ธรรมราชา, ธรรม- กิรยิ าอยู ๖ ป ประกาศธรรมจกั รทปี่ า
พระมหาบรุ ษุ ลักษณะ ๒๕๘ พราหมณดาบสอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี พุทธเจาแลวปฏิบัติชอบตามพระธรรมพระอคั รสาวกทง้ั สอง คอื พระอุปตสิ สะ วินยั , หมูสาวกของพระพุทธเจา ; ดู สงฆ(พระสารบี ตุ ร) และพระโกลิตะ (พระ พระสมณโคดม คําทคี่ นภายนอกนยิ มมหาโมคคัลลานะ) พุทธอปุ ฏฐากช่ือวา ใชเ ม่ือกลา วถงึ พระพทุ ธเจาพระอานนท พระอคั รสาวิกาทง้ั สอง คอื พระสมั พทุ ธเจา พระผูต รสั รูเ อง หมายพระเขมา และพระอบุ ลวรรณา อัคร- ถงึ พระพทุ ธเจาอุปฏ ฐากอบุ าสก คอื จิตตคฤหบดี และ พระสาวก ผูฟ งคาํ สอน, ศิษยของพระหตั ถกะอาฬวกะ อคั รอปุ ฏ ฐายกิ าอบุ าสกิ า พทุ ธเจา; ดู สาวกคอื นนั ทมารดา (หมายถึง เวฬกุ ณั ฏกี พระสูตร ดู สตู รนันทมารดา) และอุตตรา (หมายถึง พระเสขะ ดู เสขะขุชชุตตรา) บรรลสุ มั โพธญิ าณทค่ี วงไม พระอภิธรรม ดู อภิธรรมอัสสัตถพฤกษ (คือ ไมอัสสัตถะ พระอูรุ ดู อรู ุ*เปนตนโพธิ์) มีสาวกสันนิบาต (การ พราหมณ คนวรรณะหนึง่ ใน ๔ วรรณะประชมุ พระสาวก) ครง้ั ใหญ คร้งั เดียว คอื กษตั รยิ พราหมณ แพศย ศทู ร;ภกิ ษผุ เู ขา รว มประชมุ ๑,๒๕๐ รปู ถงึ จะ พราหมณเปนวรรณะนักบวชและเปนดํารงชนมอยูภายในอายุขัยเพียงรอยป เจาพิธี ถอื ตนวาเปน วรรณะสงู สุด เกิดก็ชวยใหหมูชนขามพนวัฏสงสารไดมาก จากปากพระพรหม; ดู วรรณะมาย ท้ังตง้ั คบเพลงิ ธรรมไวป ลกุ คนภาย พราหมณคหบดี พราหมณแ ละคหบดีหลงั ใหเกิดมปี ญ ญาไดต รัสรตู อไป คอื ประดาพราหมณ และชนผูเปน เจาพระมหาบุรุษลักษณะ ดู มหาบุรุษ- บา นครองเรือนท้งั หลายอ่ืน ที่นอกจากลกั ษณะ กษัตริยและพราหมณนั้น เฉพาะอยางพระยม ดู ยม ยิ่งคือพวกแพศย; ดู วรรณะพระยส ดู ยส พราหมณดาบส ดาบสท่ีมีชาติตระกูลพระรตั นตรัย ดู รัตนตรัย เปนพราหมณ ออกมาบําเพ็ญพรตถือพระวินยั ดู วนิ ยั เพศเปน ดาบส, มบี ันทึกในอรรถกถาวาพระศาสดา ผูสอน เปนพระนามเรียก คร้ังอดีตสมัยพระเจาโอกกากราช ในพระพุทธเจา ; ดู ศาสดา ดนิ แดนแถบทกั ขณิ าบถ อนั เปน ทกั ษณิ -พระสงฆ หมชู นทฟี่ งคําสง่ั สอนของพระ ชนบท มีพวกพราหมณดาบสอยมู าก
พราหมณทาํ นายพระมหาบรุ ุษ ๒๕๙ พละ——————————————— สินความเลศิ ประเสริฐน้ัน โดยชาติ คอื*คําขึน้ ตนดวย พระ- ซึง่ ไมพ บในลําดบั ใหต ัด พระ ออกแลว ดูในลาํ ดับของคาํ น้ัน กําเนดิ โดยโคตร คือสายตระกูล ซ่ึงผูกพราหมณทํานายพระมหาบุรุษ ใน พนั กบั อาวาหะววิ าหะ คอื การแตง งาน ที่พระพุทธประวัติ มคี วามตามทเี่ ลา ไวใน อา งออกมาวา ทานคคู วรกับเรา หรืออรรถกถา (เชน ชา.อ.๑/๘๘) วา เม่ือพระ ทานไมคูควรกับเรา ตางกับพระพุทธโพธิสัตวประสูติแลวผานมาถึงวันที่ ๕ ศาสนาซ่ึงใหวัดหรือตดั สนิ คนดว ยกรรมเปน วนั ขนานพระนาม พระเจา สทุ โธทนะ คอื การกระทําความประพฤติ โดยถือวาโปรดใหเชิญพราหมณผูจบไตรเพท ส่ิงท่ีทาํ ใหเ ลศิ ใหประเสรฐิ คอื วชิ ชาจรณะจํานวน ๑๐๘ คนมาฉันโภชนาหารแลว (วิชชาและจรณะ; พราหมณบอกวา เขาทํามงคลรับพระลกั ษณะ และขนานพระ ก็ถอื วชิ ชาและจรณะดว ย แตวิชชาของนามวา “สทิ ธัตถะ”, ในบรรดาพราหมณ เขาหมายถึงไตรเพท และจรณะท่ีเขาถอืรอยแปดคนนั้น พราหมณท่ีเปนผูรับ อยูเพียงศีล ๕), พราหมณสมัย หรือพระลกั ษณะมี ๘ คน คอื ราม ธัช พราหมณวาท ก็เรียกลักขณ สชุ าตมิ นตรี โภช สยุ าม สุทตั ต พราหมณสมัย ลัทธิพราหมณ; ดูและโกณฑัญญะ ในแปดคนน้ี เจด็ ทาน พราหมณลัทธิแรกชูนว้ิ ขน้ึ ๒ น้ิว และพยากรณเ ปน พราหมณี นางพราหมณ, พราหมณผ ู๒ อยาง คือ ถา ทรงอยูครองฆราวาส หญงิจะทรงเปนพระเจาจักรพรรดิราช แต พละ กําลัง 1. พละ ๕ คือธรรมอนั เปนหากออกผนวช จะเปนพระพุทธเจา กาํ ลัง ซ่ึงทาํ ใหเ กดิ ความเขมแขง็ มนั่ คงสว นทานท่ี ๘ ซ่งึ มีอายนุ อ ยทสี่ ุด คอื ดํารงอยูไดในสัมปยุตตธรรมทั้งหลายโกณฑญั ญะ ชนู ว้ิ เดยี ว และพยากรณว า อยางไมหวั่นไหว อันธรรมที่เปน จะทรงเปน พระพทุ ธเจาอยางแนนอน; ดู ปฏิปกษจ ะเขา ครอบงาํ ไมไ ด เปน เครื่อง มหาบรุ ษุ ลกั ษณะ; เทยี บ อสติ ดาบสพราหมณมหาสาล พราหมณผมู งั่ คงั่ เกอื้ หนนุ แกอริยมรรค จัดอยูในจําพวกพราหมณลัทธิ ลัทธพิ ราหมณ คือ หลัก โพธปิ ก ขยิ ธรรม มี ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ การ หรอื ขอยึดถอื ของพวกพราหมณ ที่ สติ สมาธิ ปญญา; ดู อนิ ทรยี ๕, โพธิ- ปก ขยิ ธรรม 2. พละ ๔ คือธรรมอันเปนกําหนดวา พราหมณเปนวรรณะที่ พลังทําใหดําเนินชีวิตดวยความมั่นใจประเสรฐิ เลิศ สูงสุด อันใหวดั หรอื ตดั ไมตองหวาดหวั่นกลัวภัยตางๆ ไดแก
พลความ ๒๖๐ พหุพจน,พหูพจน๑. ปญ ญาพละ กาํ ลังปญ ญา ๒. วิริย- เปนคาใชจายประจาํ สําหรับการทําหนาที่พละ กาํ ลงั ความเพยี ร ๓. อนวชั ชพละ เกื้อกูลตอผูอ่ืนและการสงเคราะหชวยกําลังคือการกระทําที่ไมมีโทษ (กําลัง เหลือกันในดานตางๆ, การทําหนาที่ความสุจริตและการทําแตกรรมท่ีดีงาม) เก้ือกูลตอผูอื่นและการสงเคราะหชวย๔. สงั คหพละ กาํ ลังการสงเคราะห คือ เหลอื กนั ทพี่ งึ ปฏบิ ตั ยิ ามปกตเิ ปน ประจาํชวยเหลือเก้ือกูลอยูรวมกับผูอ่ืนดวยดี โดยใชรายไดหรือทรัพยท่ีจัดสรรสละทําตนใหเปนประโยชนแกสังคม 3. เตรียมไวส าํ หรบั ดา นน้นั ๆ มี ๕ คอื ๑.พละ ๕ หรอื ขัตติยพละ ๕ ไดแ กก ําลัง ญาติพลี สงเคราะหญาติ ๒. อติถิพลีของพระมหากษัตรยิ หรอื กําลงั ทที่ าํ ใหมี ตอนรับแขก ๓. ปุพพเปตพลี ทําบญุความพรอ มสาํ หรบั ความเปนกษัตรยิ ๕ อทุ ศิ ใหผ ูตาย ๔. ราชพลี ถวายเปนประการ ดงั แสดงในคมั ภีรชาดก คอื ๑. หลวง หรอื บาํ รงุ ราชการ เชน เสยี ภาษีพาหาพละ หรอื กายพละ กาํ ลงั แขนหรือ อากร ๕.เทวตาพลี ทาํ บญุ อทุ ศิ ใหเ ทวดากําลงั กาย คอื แข็งแรงสุขภาพดี สามารถ พหุบท “มีเทามาก” หมายถึงสัตวในการใชแขนใชมือใชอาวุธ มีอุปกรณ ดิรัจฉานที่มีเทามากกวาสองเทาและสี่พรงั่ พรอ ม ๒. โภคพละ กาํ ลงั โภคสมบตั ิ เทา เชน ตะขาบ กง้ิ กือ เปน ตน๓. อมจั จพละ กาํ ลงั ขา ราชการทป่ี รกึ ษา พหุปุตตเจดีย เจดียสถานแหงหนึ่งอยูและผบู รหิ ารทสี่ ามารถ ๔. อภชิ ัจจพละ ทางเหนือของเมืองเวสาลี นครหลวงกําลงั ความมชี าติสูง ตองดวยความนิยม ของแควนวชั ชี เปนสถานทที่ ่พี ระพุทธ-เชิดชูของมหาชน และไดรับการศึกษา เจาเคยทรงทํานิมิตตโอภาสแกพระอบรมมาดี ๕. ปญญาพละ กาํ ลงั ปญญา อานนท พหปุ ตุ ตนโิ ครธ ตน ไทรอยูระหวา งกรุงซงึ่ เปนขอสาํ คัญท่สี ุดพลความ ขอความทไี่ มใชสาระสําคัญ ราชคฤหและเมืองนาลันทา ปปผลิ-พลววิปส สนา วิปส สนาที่มีกําลัง ทแ่ี รง มาณพไดพบพระพุทธเจาและขอบวชท่ีกลา หรอื อยางเขม; ดู วิปสสนูปกิเลส, ตน ไทรนี้ เขยี นวา พหุปุตตกนิโครธกม็ ีญาณ ๑๖ พหุพจน, พหพู จน คาํ ที่กลาวถึงสงิ่ มากพลี ทางพราหมณ คอื บวงสรวง, ทางพทุ ธ กวา หน่ึง คือตง้ั แตสองสง่ิ ขนึ้ ไป, เปนคาํคอื สละเพอ่ื ชวยหรือบชู า หมายถงึ การ ทใี่ ชใ น ไวยากรณบาลแี ละไทย คกู ับจัดสรรสละรายไดหรือทรัพยบางสวน เอกพจน ซ่ึงกลาวถึงสิ่งเดียว; แตใน
พหุลกรรม ๒๖๑ พหุสตู ,พหูสูตไวยากรณสันสกฤตจํานวนสองเปน หลาย คือ จากกามาสวะ ภวาสวะทวพิ จน หรือทวิวจนะ จาํ นวนสามข้นึ อวชิ ชาสวะ’”, โดยใจความ ก็คอื หลกัไป จงึ จะเปนพหุพจน ไตรสิกขา; จะใชว า พหลุ ธมั มกี ถา หรอืพหลุ กรรม กรรมทาํ มาก หรือกรรมชนิ พหลุ ธรรมกถากไ็ ด; เทยี บพหลุ านสุ าสนีไดแก กรรมท้ังที่เปนกุศลและอกุศลท่ี พหลุ านุสาสนี คาํ แนะนําพราํ่ สอนทตี่ รสัทาํ บอยๆ จนเคยชิน ยอ มใหผลกอ น เปนอันมาก, ตามเรื่องในจูฬสัจจกสูตร กรรมอืน่ เวน ครกุ รรม เรียกอกี อยา งวา (ม.ม.ู ๑๒/๓๙๓/๔๒๓) วา สจั จกนคิ รนถไ ดต งั้ อาจณิ ณกรรม (ขอ ๑๐ ในกรรม ๑๒) คาํ ถามกะพระอสั สชดิ งั น้ี “ทา นพระอสั สชิพหลุ ธรรมกี ถา ธรรมกี ถา หรอื ธรรมกถา ผเู จรญิ พระสมณะโคดม แนะนาํ ใหเ หลาที่ตรัสมาก, พระพุทธดํารัสบรรยาย สาวกศกึ ษาอยา งไร และคาํ สงั่ สอน (อน-ุอธบิ ายธรรม ที่ตรสั เปน อนั มาก, ความ ศาสน)ี ของพระสมณะโคดม สว นอยา งในมหาปรินิพพานสูตร เลาเหตุการณ ไหน เปน ไปมากแกเ หลา สาวก” ทา นพระเม่ือพระพุทธเจาเสด็จผานและทรงหยุด อสั สชติ อบวา “ดกู รอคั คเิ วสสนะ พระผมู ีประทับในที่หลายแหง โดยกลาวเพียง พระภาค ทรงแนะนาํ ใหสาวกท้ังหลายสั้นๆ อยางรวบรดั วา ณ ทีน่ น้ั ๆ (มี ๘ ศกึ ษาอยา งน้ี และอนศุ าสนขี องพระผมู ีแหง เริ่มแต ท.ี ม.๑๐/๗๕/๙๕) พระพุทธ พระภาค สวนอยางนี้ เปนไปมากแกเจา ตรสั พหุลธรรมกี ถา คอื ศลี สมาธิ สาวกทง้ั หลาย ดงั นว้ี า ‘ภกิ ษทุ งั้ หลาย รปูปญ ญา แกภ กิ ษทุ ั้งหลาย ดังตวั อยาง ไมเ ทย่ี ง เวทนาไมเ ทยี่ ง สญั ญาไมเ ทยี่ งวา “ไดทราบวา พระผูมีพระภาคเจา เมอื่ สงั ขารทง้ั หลายไมเ ทยี่ ง วญิ ญาณไมเ ทยี่ งประทบั อยู ณ ภเู ขาคชิ ฌกฏู เขตพระ รปู ไมใ ชต น เวทนาไมใ ชต น สญั ญาไมใ ชนครราชคฤห แมน ้นั ทรงกระทําธรรม-ี ตน สงั ขารทงั้ หลายไมใ ชต น วญิ ญาณไมกถาอันน้ีแหละเปนอันมากแกภิกษุทั้ง ใชต น สงั ขารทงั้ ปวงไมเ ทยี่ ง (อนจิ จา)หลายวา ‘ศลี เปนอยางนี้ สมาธเิ ปนอยา ง ธรรมทงั้ ปวงไมใ ชต น (อนตั ตา)’”, โดยใจน้ี ปญญาเปน อยา งน้ี, สมาธิ อนั ศลี บม ความ ก็คอื หลัก ไตรลักษณ; พหลุ าน-ุแลว ยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก, ศาสนี กเ็ ขยี น; เทยี บ พหลุ ธรรมีกถาปญ ญา อันสมาธิบม แลว ยอ มมีผลมาก พหวุ จนะ ดู พหุพจนมีอานิสงสมาก, จิตอันปญญาบมแลว พหสุ ูต, พหูสูต ผูไ ดยนิ ไดฟ งมามากยอมหลุดพนโดยชอบ จากอาสวะทั้ง คือทรงจาํ ธรรมและรศู ลิ ปวทิ ยามาก, ผู
พหูชน ๒๖๒ พาวรีเลาเรียนมาก, ผูศึกษามาก, ผูคงแก พกั กลุ ะ ก็เรียกเรยี น; ดู พาหสุ ัจจะ ดวย พาณชิ พอ คาพหชู น คนจํานวนมาก พาณิชย การคาขายพกั มานตั ดู เกบ็ วัตร พาราณสี ชื่อเมืองหลวงของแควนกาสีพทั ธสมี า “แดนผูก” ไดแ ก เขตทส่ี งฆ อยรู มิ แมน า้ํ คงคา ปจ จบุ นั เรยี ก Banarasกําหนดขึ้นเอง โดยจัดต้ังนิมิตคือส่ิงท่ี หรอื Benares (ลาสดุ รอ้ื ฟน ชอ่ื ในภาษาเปนเครอ่ื งหมายกําหนดเอาไว; ดู สีมา สนั สกฤตข้ึนมาใชวา Varanasi), ปา อสิ -ิพันธุ เหลากอ, พวกพอ ง ปตนมฤคทายวัน ที่พระพุทธเจาทรงพัสดุ สิ่งของ, ทีด่ ิน แสดงปฐมเทศนา ซ่ึงปจจุบันเรียกวาพากุละ พระมหาสาวกองคห นึ่ง เปน บตุ ร สารนาถ อยูหางจากตัวเมืองพาราณสีเศรษฐเี มืองโกสมั พี มีเร่อื งเลา วา เมือ่ ยัง ปจ จบุ ันประมาณ ๖ ไมลเปนทารกขณะท่ีพี่เล้ียงนําไปอาบนํ้าเลน พาวรี พราหมณผูเปนอาจารยใหญต้ังทแ่ี มนํ้า ทานถกู ปลาใหญก ลืนลงไปอยู อาศรมสอนไตรเพทแกศิษยอยูท่ีฝงแมในทอง ตอมาปลาน้ันถูกจับไดท่ีเมือง นา้ํ โคธาวรี ณ สดุ เขตแดนแควน อสั สกะพาราณสี และถูกขายใหแกภรรยา ไดส ง ศิษย ๑๖ คนไปถามปญหาพระเศรษฐีเมืองพาราณสี ภรรยาเศรษฐีผา ศาสดา เพื่อจะทดสอบวาพระองคเปนทองปลาพบเด็กแลวเล้ียงไวเปนบุตร พระสมั มาสมั พทุ ธะจรงิ หรอื ไม ภายหลงัฝายมารดาเดิมทราบขาวจึงขอบุตรคืน ไดรับคําตอบแลวศิษยช่ือปงคิยะซ่ึงเปนตกลงกนั ไมไ ด จนพระราชาทรงตัดสนิ หลานของทานไดกลับมาเลาเรื่องและใหเด็กเปนทายาทของท้ังสองตระกูล แสดงคาํ ตอบปญ หาของพระศาสดา ทาํทานจงึ ไดช อ่ื วา พากุละ แปลวา “คน ใหท า นไดบ รรลธุ รรมเปน พระอนาคามีสองตระกูล” หรือ “ผูท่ีสองตระกูล พาหันตะ ขณั ฑดา นขอบนอกทัง้ สองขา งเลี้ยง” ทา นอยคู รองเรือนมาจนอายุ ๘๐ ของจีวร เวลาหม ปลายจะพาดบนแขนป จึงไดฟงพระศาสดาทรงแสดงพระ หรืออยูสุดแขน, คําอธิบายในวนิ ยั มขุธรรมเทศนา มีความเล่ือมใสขอบวช เลม ๒ ตามท่สี มเดจ็ พระมหาสมณเจาแลวบาํ เพ็ญเพยี รอยู ๗ วันไดบ รรลพุ ระ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงไววาอรหัตไดรับยกยองวาเปนเอตทัคคะใน ในจีวรหา ขัณฑๆ ถัดออกมา (ตอ จากทางเปนผูมีอาพาธนอย คือสุขภาพดี; ชงั เฆยยกะ) อกี ทง้ั ๒ ขา ง ชอ่ื พาหนั ตะ
พาหิยทารจุ ีรยิ ะ ๒๖๓ พนิ ัยกรรมเพราะอฑั ฒมณฑลของ ๒ ขณั ฑน น้ั อยู พาหิรรูป ดูท่ี รูป ๒๘ทแี่ ขนในเวลาหม ; ดู จวี ร พาหริ ลทั ธิ ลทั ธภิ ายนอกพระพทุ ธศาสนาพาหยิ ทารจุ รี ยิ ะ พระมหาสาวกองคห นง่ึ พาหุสัจจะ ความเปน ผูไดย นิ ไดฟ ง มาก,เกิดในครอบครัวคนมีตระกูลในแควน ความเปน ผไู ดเ รยี นรมู าก หรอื คงแกเ รยี นพาหิยรัฐ ลงเรือเดินทะเลเพื่อจะไปคา มอี งค ๕ คือ ๑. พหุสฺสุตา ไดย นิ ไดฟ งขาย เรือแตกกลางทะเลรอดชีวิตไปได มาก ๒.ธตา ทรงจาํ ไวไ ด ๓. วจสา ปรจิ ติ าแตห มดเนอื้ หมดตวั ตองแสดงตนเปน คลอ งปาก ๔. มนสานเุ ปกขฺ ติ า เจนใจ ๕.ผูหมดกิเลสหลอกลวงประชาชนเลี้ยง ทิฏิยา สุปฏวิ ทิ ธฺ า ขบไดด วยทฤษฎ;ี ดูชีวติ ตอ มาพบพระพุทธเจา ทลู ขอใหทรง พหสู ตู (ขอ ๒ ในนาถกรณธรรม ๑๐,แสดงธรรม พระองคทรงแสดงวิธี ขอ ๓ ในเวสารชั ชกรณธรรม ๕, ขอ ๔ปฏิบัติตออารมณที่รับรูทางอายตนะท้ัง ในสทั ธรรม ๗, ขอ ๕ ในอริยทรัพย ๗)หก พอจบพระธรรมเทศนายนยอน้ัน พาเหยี ร ภายนอก (บาล:ี พาหริ )พาหิยะก็สําเร็จอรหัต แตไมทันได พิกดั กําหนด, กาํ หนดทจ่ี ะตองเสยี ภาษีอุปสมบท กําลังเท่ียวหาบาตรจีวร พณิ เครอ่ื งดนตรชี นดิ หนงึ่ มสี ายสาํ หรบั ดดีเผอิญถูกโคแมลูกออนขวิดเอาส้ินชีวิต พทิ ยาธร ดู วิทยาธรเสยี กอน ไดร ับยกยอ งวา เปน เอตทัคคะ พทิ ักษ ดูแลรักษา, คุม ครอง, ปอ งกัน พนิ ทุ จดุ , วงกลมเล็กๆ ในที่น้ีหมายถงึในทางตรัสรฉู ับพลันพาหิระ, พาหิรกะ ภายนอก เชน ในคาํ วา พนิ ทกุ ปั ปะพาหิรวตั ถุ (วัตถภุ ายนอก) พาหริ สมยั พนิ ทกุ ปั ปะ การทาํ พนิ ท,ุ การทาํ จุดเปน(ลทั ธิภายนอก) พาหริ ายตนะ (อายตนะ วงกลม อยางใหญเทาแววตานกยูงภายนอก); ตรงขา มกบั อัชฌัตตกิ ะ อยางเล็กเทาหลังตัวเรือด ท่ีมมุ จีวรดวยพาหริ ทาน, พาหริ กทาน การใหส่งิ ของ สีเขียวคราม โคลน หรอื ดําคลาํ้ เพ่อื ทําภายนอก, การใหของนอกกาย เชน เงนิ จวี รใหเ สยี สหี รอื มตี าํ หนติ ามวนิ ยั บญั ญตั ิทอง วตั ถุ อปุ กรณ ตลอดจนทรพั ย และเปนเคร่ืองหมายชวยใหจําไดดวย;สมบตั ทิ ั้งหมด; ดู ทานบารมี เขียนพินทุกัป ก็ได, คําบาลีเดิมเปนพาหิรทกุ ข ทกุ ขภายนอก กปั ปพนิ ท,ุ เรียกกันงายๆ วา พนิ ทุพาหิรภณั ฑ, พาหิรกภัณฑ สิง่ ของภาย พนิ ัยกรรม หนังสอื สําคัญทีเ่ จา ทรพั ยท ํานอก, ของนอกกาย; ดู ทานบารมี ไวกอนตาย แสดงความประสงคว า เมือ่
พปิ ลาส ๒๖๔ พุทธกจิ ประจําวนั ๕ ต า ย แ ล ว ข อ ม อ บ ม ร ด ก ท่ี ร ะ บุ ไ ว ใ น สัมมาสัมพทุ ธะ) ๒. พระปจ เจกพทุ ธะ ทานผตู รัสรูเองจาํ เพาะผูเดียว ๓. พระ หนงั สอื สาํ คญั นัน้ ใหแกค นนนั้ ๆ, ตาม อนพุ ุทธะ ทา นผูตรัสรตู ามพระพทุ ธเจา (เรียกอีกอยางวา สาวกพุทธะ); บาง พระวินัย ถาภกิ ษุทาํ เชนนี้ ไมม ีผล ตอ ง แหงจัดเปน ๔ คอื ๑.สพั พญั พู ทุ ธะ๒. ปจ เจกพทุ ธะ ๓. จตสุ จั จพุทธะ (= พระ ปลงบริขาร จึงใชได อรหันต) และ ๔. สุตพทุ ธ (= ผูเปนพปิ ลาส ดู วิปลาส, วิปลลาสพิพากษา ตดั สินอรรถคดีพิมพา บางแหงเรยี ก ยโสธรา เปน พระราชบุตรีของพระเจาสุปปพุทธะ กรุง พหสู ูต)เทวทหะ เปน พระชายาของพระสทิ ธตั ถะ พุทธการกธรรม ธรรมทที่ าํ ใหเ ปนพระเปน พระมารดาของพระราหุล ภายหลงั พุทธเจา ตามปกติหมายถึง บารมี ๑๐ออกบวชมีนามวา พระภัททกัจจานา นั่นเอง (ในคาถาบางทีเรียกสั้นๆ วาหรอื ภทั ทา กจั จานา พทุ ธธรรม)พมิ พิสาร พระเจาแผน ดนิ มคธครองราช พุทธกาล คร้งั พระพุทธเจายังดํารงพระสมบัติอยูที่พระนครราชคฤห เปนผู ชนมอ ยูถวายพระราชอุทยานเวฬุวันเปน พุทธกิจ กิจท่ีพระพุทธเจาทรงบําเพ็ญ,สังฆาราม นับเปนวัดแรกในพระพุทธ- การงานทีพ่ ระพุทธเจาทรงกระทําศาสนา ตอมา ถูกพระราชโอรสนามวา พุทธกิจประจําวัน ๕ พุทธกิจท่ีพระ อชาตศัตรู ปลงพระชนม พุทธเจาทรงบําเพ็ญเปนประจําในแตละพิรธุ ไมปรกติ, มลี ักษณะนา สงสยั วันมี ๕ อยาง คอื ๑. ปพุ ฺพณฺเห ปณฑฺ -พิโรธ โกรธ, เคือง ปาตจฺ เวลาเชาเสด็จบิณฑบาต ๒.พิสดาร กวา งขวางละเอยี ดลออ, ขยาย สายณเฺ ห ธมฺมเทสนํ เวลาเยน็ ทรงแสดง ความออกไป; ดู วิตถาร, คูก ับ สงั เขป ธรรม ๓. ปโทเส ภิกฺขโุ อวาทํ เวลาคํา่พีชคาม พืชพันธุอันถกู พรากจากทีแ่ ลว ประทานโอวาทแกเ หลา ภิกษุ ๔. อฑฒฺ - แตยงั จะเปน ไดอ กี ; คกู ับ ภูตคาม รตฺเต เทวปฺหนํ เท่ียงคืนทรงตอบพทุ ธะ ทา นผูตรสั รูแลว , ผูรูอรยิ สัจจ ๔ ปญหาเทวดา ๕. ปจฺจุสเฺ สว คเต กาเล ภพพฺ าภพเฺ พ วโิ ลกนํ จวนสวา งทรงตรวจ อยา งถอ งแท ตามอรรถกถาทา นแบง เปน ๓ คือ ๑. พระพุทธเจา ทา นผูตรัสรูเอง พิจารณาสัตวที่สามารถและท่ียังไม และสอนผูอน่ื ใหรตู าม (บางทีเรียก พระ สามารถบรรลุธรรมอันควรจะเสด็จไป
พทุ ธกิจ๔๕ พรรษา ๒๖๕ พุทธคุณโปรดหรอื ไม (สรปุ ทายวา เอเต ปจฺ วเิ ธ มารดา) พ. ๙ โฆสิตาราม เมืองโกสัมพีกจิ เฺ จ วโิ สเธติ มนุ ปิ งุ คฺ โว พระพทุ ธเจา พ. ๑๐ ปา ตาํ บลปาริเลยยกะ ใกลเ มอื งองคพระมุนีผูประเสริฐทรงยังกิจ ๕ โกสมั พี (ในคราวทภี่ กิ ษชุ าวเมอื งโกสมั พีประการนใี้ หหมดจด) ทะเลาะกัน) พ. ๑๑ หมูบ า นพราหมณพทุ ธกิจ ๔๕ พรรษา ในระหวา งเวลา ช่ือเอกนาลา พ. ๑๒ เมืองเวรญั ชา พ.๔๕ ปแหง การบําเพญ็ พทุ ธกิจ พระพทุ ธ ๑๓ จาลิยบรรพต พ. ๑๔ พระเชตวันเจาไดเสด็จไปประทับจําพรรษา ณ (พระราหุลอุปสมบทคราวนี้) พ. ๑๕สถานท่ีตางๆ ซ่ึงทานไดประมวลไว นิโครธาราม นครกบลิ พัสดุ พ. ๑๖พรอมท้ังเหตุการณสําคัญบางอยางอัน เมืองอาฬวี (ทรมานอาฬวกยกั ษ) พ.ควรสงั เกต ดงั น้ี พรรษาที่ ๑ ปา อสิ ปิ ตน- ๑๗ พระเวฬวุ ัน นครราชคฤห พ. ๑๘,มฤคทายวัน ใกลกรุงพาราณสี (โปรด ๑๙ จาลยิ บรรพต พ. ๒๐ พระเวฬุวันพระเบญจวคั คยี ) พ. ๒, ๓, ๔ พระเวฬวุ นั นครราชคฤห (โปรดมหาโจรองคลุ มิ าล,กรุงราชคฤห (ระยะประดิษฐานพระ พระอานนทไดรับหนาที่เปนพุทธ-ศาสนา เริ่มแตโปรดพระเจาพิมพิสาร อปุ ฏ ฐากประจํา) พ. ๒๑–๔๔ ประทบัไดอ คั รสาวก ฯลฯ เสด็จนครกบิลพัสดุ สลบั ไปมา ณ พระเชตวนั กบั บพุ พารามครงั้ แรก ฯลฯ อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐเี ปน พระนครสาวัตถี (รวมทั้งคราวกอนน้ีอุบาสกถวายพระเชตวนั ; ถา ถือตามพระ ดวย อรรถกถาวา พระพุทธเจาประทบั ท่ีวนิ ยั ปฎ ก พรรษาที่ ๓ นา จะประทบั ทพ่ี ระ เชตวนาราม ๑๙ พรรษา ณ บพุ พารามเชตวนั นครสาวตั ถ)ี พ. ๕ กฏู าคารในปา ๖ พรรษา) พ. ๔๕ เวฬุวคาม ใกลนครมหาวัน นครเวสาลี (โปรดพุทธบิดา เวสาลีปรินิพพานที่กรุงกบิลพัสดุ โปรดพระ พทุ ธคารวตา ดู คารวะญาตทิ ว่ี วิ าทเรอื่ งแมน า้ํ โรหณิ ี มหาปชาบดี พุทธคุณ คณุ ของพระพทุ ธเจา มี ๙ คือผนวช เกดิ ภกิ ษณุ สี งฆ) พ. ๖ มกลุ บรรพต ๑. อรหํ เปน พระอรหนั ต ๒. สมฺมา-(ภายหลังทรงแสดงยมกปาฏิหาริยที่ สมฺพุทโฺ ธ ตรสั รเู องโดยชอบ ๓. วชิ ชฺ า-นครสาวตั ถี) พ. ๗ ดาวดงึ สเทวโลก จรณสมฺปนฺโน ถงึ พรอมดวยวิชชาและ(แสดงพระอภธิ รรมโปรดพระพทุ ธมารดา) จรณะ ๔. สคุ โต เสด็จไปดแี ลว ๕.พ. ๘ เภสกลาวัน ใกลเ มอื งสุงสุมารครี ี โลกวิทู เปนผูรูแจงโลก ๖. อนุตฺตโรแควนภัคคะ (พบนกุลบิดาและนกุล- ปรุ สิ ทมมฺ สารถิ เปน สารถฝี ก คนทฝ่ี ก ได
พทุ ธโฆสาจารย ๒๖๖ พทุ ธธรรมไมม ใี ครยงิ่ กวา ๗. สตถฺ า เทวมนสุ สฺ านํ ประกาศพระศาสนาของพระพุทธเจาเปนศาสดาของเทวดาและมนุษยทั้ง พุทธเจา ๕, ๗, ๒๕ ดู พระพทุ ธเจา และหลาย ๘. พทุ ฺโธ เปน ผูตืน่ และเบกิ บาน พทุ ธะแลว ๙. ภควา เปนผมู โี ชค พุทธธรรม 1. ธรรมของพระพทุ ธเจา , พุทธคุณท้งั หมดนัน้ โดยยอ มี ๒ พระคณุ สมบตั ขิ องพระพทุ ธเจา คมั ภรี คอื ๑. พระปญ ญาคุณ พระคุณคอื พระ มหานิทเทสระบุจํานวนไววามี ๖ปญญา ๒. พระกรุณาคณุ พระคุณคือ ประการ แตไ มไ ดจ าํ แนกขอ ไว อรรถ-พระมหากรณุ า หรอื ตามท่ีนิยมกลาวกัน กถาโยงความใหว า ไดแ ก ๑. กายกรรมในประเทศไทย ยอ เปน ๓ คือ ๑. พระ ทกุ อยา งของพระพทุ ธเจา เปน ไปตามพระปญญาคณุ พระคุณคือพระปญ ญา ๒. ญาณ (จะทาํ อะไรกท็ าํ ดว ยปญ ญา ดว ยพระวสิ ุทธคิ ุณ พระคุณคอื ความบริสทุ ธิ์ ความรเู ขา ใจ) ๒. วจกี รรมทกุ อยา งเปน๓. พระมหากรณุ าคุณ พระคณุ คือพระ ไปตามพระญาณ ๓. มโนกรรมทกุ อยา งมหากรุณา เปนไปตามพระญาณ ๔. ทรงมีพระพทุ ธโฆสาจารย ดู วิสุทธมิ รรค; พุทธ- ญาณไมติดขดั ในอดตี ๕. ทรงมพี ระโฆษาจารย กเ็ ขียน ญาณไมต ดิ ขดั ในอนาคต ๖. ทรงมพี ระพทุ ธจรยิ า พระจรยิ าวตั รของพระพทุ ธเจา , ญาณไมต ดิ ขัดในปจจบุ นั ; คมั ภรี ส มุ งั -การบําเพ็ญประโยชนของพระพุทธเจา คลวิลาสินี อรรถกถาแหงทีฆนิกายมี ๓ คือ ๑. โลกัตถจริยา การบาํ เพญ็ จาํ แนกพทุ ธธรรมวา มี ๑๘ อยา ง คอื ๑.ประโยชนแกโ ลก ๒. ญาตตั ถจรยิ า การ พระตถาคตไมท รงมกี ายทจุ รติ ๒. ไมบาํ เพญ็ ประโยชนแ กพ ระญาติ ๓.พทุ ธตั ถ- ทรงมวี จที จุ รติ ๓. ไมท รงมมี โนทจุ รติจรยิ า การบาํ เพ็ญประโยชนโดยฐานเปน ๔. ทรงมพี ระญาณไมต ดิ ขดั ในอดตี ๕.พระพุทธเจา ทรงมีพระญาณไมตดิ ขดั ในอนาคต ๖.พุทธจกั ขุ จักษขุ องพระพุทธเจา ไดแ ก ทรงมพี ระญาณไมต ดิ ขดั ในปจ จบุ นั ๗.ญาณท่ีหย่ังรูอัธยาศัย อุปนิสัยและ ทรงมีกายกรรมทุกอยางเปนไปตามพระอินทรยี ท ยี่ งิ่ หยอ นตางๆ กนั ของเวไนย- ญาณ ๘. ทรงมวี จกี รรมทกุ อยา งเปน ไปสัตว (ขอ ๔ ในจกั ขุ ๕) ตามพระญาณ ๙. ทรงมมี โนกรรมทกุพทุ ธจักร วงการพระพทุ ธศาสนา อยา งเปนไปตามพระญาณ ๑๐. ไมม ีพุทธจาริก การเสด็จจาริกคือเท่ียวไป ความเสื่อมฉันทะ (ฉันทะไมลดถอย)
พุทธบริวาร ๒๖๗ พทุ ธประวตั ิ ๑๑. ไมม คี วามเสอื่ มวริ ยิ ะ (ความเพยี ร ลําดับกาลในพุทธประวัติตามที่ทานแบง ไมลดถอย) ๑๒. ไมม ีความเสอื่ มสติ ไวในอรรถกถา จดั ไดเปน ๓ ชวงใหญ คอื ๑. ทเู รนทิ าน เรอ่ื งราวตง้ั แตเ รมิ่ เปน (สตไิ มล ดถอย) ๑๓. ไมม กี ารเลน ๑๔. พระโพธิสตั ว เสวยพระชาติในอดตี จน ถึงอุบัติในสวรรคช้ันดุสิต ๒. อวิทูเร- ไมมีการพูดพลาด ๑๕. ไมมีการทํา นิทาน เรอ่ื งราวตงั้ แตจตุ ิจากสวรรคช นั้ ดุสิต จนถึงตรัสรู ๓. สันติเกนิทาน พลาด ๑๖. ไมม คี วามผลนุ ผลนั ๑๗. เรื่องราวตั้งแตตรัสรูแลว จนเสด็จ ไมม ีพระทยั ทไี่ มข วนขวาย ๑๘. ไมม ี ปรินพิ พาน ในสวนของสนั ติเกนทิ านน้ัน ก็คือ โพธกิ าล นน่ั เอง ซ่งึ แบง ยอยได อกุศลจิต 2. ธรรมที่ทําใหเปนพระ เปน ๓ ชว ง ไดแก ๑. ปฐมโพธิกาล คอื พทุ ธเจา ไดแ ก พทุ ธการกธรรม คอื ตงั้ แตต รัสรู จนถึงไดพ ระอคั รสาวก ๒. บารมี ๑๐ 3. ธรรมทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรง มชั ฌมิ โพธกิ าล คอื ตง้ั แตป ระดษิ ฐานพระ ศาสนาในแควน มคธ จนถึงปลงพระชน แสดงไว คอื สตปิ ฏ ฐาน ๔ ฯลฯ มรรคมี มายุสังขาร ๓. ปจฉิมโพธิกาล คือตงั้ แตปลงพระชนมายุสังขาร จนถึง องค ๘ ขนั ธ ๕ ปจ จยั ๒๔ เปน อาทิพทุ ธบริวาร บริวารของพระพทุ ธเจา , ผู ปรินิพพาน ตอ มาภายหลงั พระเถระผู เปนบรวิ ารของพระพุทธเจาพุทธบริษัท หมูชนที่นับถือพระพุทธ- เลาพุทธประวัติไดกลาวถึงเรื่องราวท่ี ศาสนามี ๔ จําพวก คือ ภิกษุ ภิกษณุ ี เปนมาในชมพูทวีป กอนถึงการตรัสรู อบุ าสก อุบาสกิ าพุทธบัญญัติ ขอที่พระพุทธเจาทรง ของพระพุทธเจา และเรียกเวลาชวงน้ีวา บญั ญัตไิ ว, วินยั สําหรบั พระ ปุรมิ กาล กับทั้งเลาเหตุการณหลังพทุ ธ-พุทธบาท รอยเทาของพระพุทธเจา ปรนิ พิ พาน เชน การถวายพระเพลงิ และ อรรถกถาวาทรงประทับแหงแรกท่ีบน สงั คายนา และเรยี กเวลาชว งน้ีวา อปร- กาล; ในการแบงโพธิกาล ๓ ชวงน้ี หาดชายฝงแมนา้ํ นมั มทา แหงท่ีสองทภ่ี ู อรรถกถายังมีมติแตกตา งกนั บาง เชน เขาสัจจพันธครี ี นอกจากน้ตี ํานานสมยั พระอาจารยธ รรมบาลแบง ๓ ชวงเทา ตอๆ มาวามที ีภ่ เู ขาสมุ นกูฏ (ลังกาทวีป) กัน ชว งละ ๑๕ พรรษา แตบ างอรรถ- สวุ รรณบรรพต (สระบุรี ประเทศไทย) กถานบั ๒๐ พรรษาแรกของพุทธกจิ และเมอื งโยนก รวมเปน ๕ สถานพุทธปฏิมา รปู เปรยี บของพระพทุ ธเจา , พระพุทธรปูพุทธประวัติ ประวัติของพระพุทธเจา;
พทุ ธปรนิ พิ พาน ๒๖๘ พทุ ธภาษิตเปนปฐมโพธิกาล โดยไมระบุชวงเวลา พระชนมายุสังขารที่ปามหาวนั นัน้ วาอกีของ ๒ โพธกิ าลท่เี หลอื (ไดแ กช ว งเวลา ๓ เดอื นขา งหนาจะปรนิ พิ พาน ครน้ั ใกลแรกที่พระพุทธเจายังมิไดทรงมีพระ ครบเวลา ๓ เดอื น ในวันหนึ่ง ไดเ สดจ็อานนทเปนพทุ ธอุปฏ ฐากประจาํ และยัง เขาไปบิณฑบาตในเมืองเวสาลีเปนคร้ัง ไมไ ดทรงบัญญัตสิ กิ ขาบทแกพระสงฆ) สดุ ทาย เสด็จกลับจากบิณฑบาต ทอดพุทธปรินิพพาน การเสด็จดับขันธ- พระเนตรเมืองเวสาลีเปนปจฉิมทัศนปรินิพพานของพระพุทธเจา, การตาย โดยนาคาวโลก จากนั้นเสด็จออกจากของพระพทุ ธเจา เวสาลี ผา นภัณฑคาม หัตถคิ าม อมั พ-ลําดบั เหตกุ ารณช ว งสุดทายวา ในป คาม ชัมพุคาม และโภคนคร ตามลําดับที่ ๔๕ แหงพทุ ธกจิ พระพทุ ธเจาทรงจาํ จนถงึ เมอื งปาวา ประทบั พักแรมทอี่ ัมพ-พรรษาสุดทายที่เวฬวุ คาม เมืองเวสาลี วัน ของนายจนุ ทะกัมมารบุตร แลวในในพรรษานั้น พระองคประชวรหนัก เชา วนั วิสาขบณุ มี เสดจ็ พรอ มภกิ ษสุ งฆแทบจะปรินพิ พาน ทรงพระดําริวา พระ ไปฉันภัตตาหารที่บานของนายจุนทะองคควรจะทรงบอกกลาวเลาความแก ตามทเ่ี ขานมิ นตไ ว นายจนุ ทะถวายสกู ร-ประดาอุปฏฐากและแจง ลาสงฆกอน จงึ มัททวะ หลงั จากเสวยแลว ทรงอาพาธทรงระงบั เวทนาไว ครัน้ ออกพรรษาแลว หนัก ลงพระโลหิต เสด็จตอ ไปยงั เมอื งก็เสด็จจาริกไปจนถึงเมืองสาวัตถี กุสนิ ารา ผา นแมน า้ํ กกุธา ไปถึงแมน้ําประทับอยูท่ีน่ันจนผานเหตุการณ หิรญั ญวดี เสด็จขา มแมน ้าํ นน้ั เขา ไปปรินิพพานของพระสารีบุตร หลังจาก ประทับในสาลวโนทยานของกษัตริยโปรดใหสรางธาตุเจดียของพระธรรม- มัลละ เมืองกุสินารา บรรทมโดยสีห-เสนาบดีที่พระเชตวันแลว ก็เสด็จลง ไสยา ภายใตค ตู นสาละ และเสด็จดับมายังเมืองราชคฤห ตรงกับชวงเวลาท่ี ขันธปรินิพพาน ในราตรีแหงวันวิสาข-พระมหาโมคคลั ลานะปรินพิ พาน ครนั้ บณุ มี คอื วันขนึ้ ๑๕ คาํ่ เดือน ๖ เมอ่ื มีโปรดใหสรางธาตุเจดียของทานไว ณ พระชนมายคุ รบ ๘๐ พรรษา; ดู พระพระเวฬวุ นั แลว ก็เสด็จตอ ขน้ึ ไปเวสาลี พุทธเจา, นาคาวโลก, สกู รมัททวะประทบั ท่ีกฏู าคารศาลา ปามหาวัน พอ พุทธพจน พระดํารัสของพระพุทธเจา,บรรจบครบเวลา ๔ เดอื น นับแตออก คาํ พูดของพระพทุ ธเจาพรรษาสุดทายท่ีเวฬุวคาม ก็ทรงปลง พทุ ธภาษติ ภาษติ ของพระพทุ ธเจา , คาํ พดู
พทุ ธมามกะ ๒๖๙ พุทธมามกะ ของพระพุทธเจา , ถอยคําทพ่ี ระพทุ ธเจา พานไปถวายพระอาจารยที่จะใหเปน พูดพุทธมามกะ “ผูถือพระพุทธเจาวาเปน ประธานสงฆในพิธี พรอมท้ังเผดียง ของเรา”, ผรู บั เอาพระพทุ ธเจา เปน ของตน, ผูประกาศตนวาเปนผูนับถือพระพุทธ- สงฆรวมท้ังพระอาจารยเปนอยางนอย ศาสนา; พธิ แี สดงตนเปน พทุ ธมามกะนนั้ ๔ รูป ข. จดั สถานท่ี ในอโุ บสถ หรอื สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยา วชิรญาณวโรรส ไดทรงเรียบเรียงต้ัง วหิ าร ศาลาการเปรียญ หรอื หอประชุม เปนแบบไว ในคราวท่ีพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว ทรงพระ ทีม่ ีโตะบชู ามพี ระพุทธรูปประธาน และ กรุณาโปรดจะสงเจานายคณะหนึ่งออก จัดอาสนะสงฆใ หเหมาะสม ค. พธิ กี าร ไปศึกษาในทวีปยุโรป ทรงถือตามคํา แสดงตนเปนอุบาสกของเดิมแตแกบท ใหผูแ สดงตน จดุ ธูปเทยี น เปลงวาจา อุบาสก ที่เฉพาะผูใหญผูไดศรัทธา บูชาพระรัตนตรัยวา “อมิ นิ า สกกฺ าเรน, เลอื่ มใสดว ยตนเอง เปน พุทธมามกะ พทุ ฺธํ ปเู ชมิ” (แปลวา) “ขาพเจาขอบชู า และไดเกิดเปนประเพณีนิยมแสดงตน เปนพุทธมามกะสืบตอ กันมา โดยจัดทาํ พระพุทธเจาดวยเคร่ืองสักการะน้ี” ในกรณีตา งๆ โดยเฉพาะ ๑. เม่ือบตุ ร (กราบ) “อมิ นิ า สกกฺ าเรน, ธมมฺ ํ ปเู ชมิ” หลานพน วัยทารก อายุ ๑๒–๑๕ ป ๒. เม่ือจะสงบุตรหลานไปอยูในถ่ินท่ีมิใช (แปลวา ) “ขา พเจา ขอบชู าพระธรรมดวย ดินแดนของพระพทุ ธศาสนา ๓. โรง เครอื่ งสกั การะน”ี้ (กราบ) “อมิ นิ า สกกฺ า- เรียนประกอบพิธีใหนักเรียนที่เขาศึกษา เรน, สงฺฆํ ปเู ชม”ิ (แปลวา ) “ขา พเจาขอ ใหมแตละปเปนหมู ๔. เมอื่ บุคคลผเู คย นับถือศาสนาอื่นตองการประกาศตน บูชาพระสงฆดวยเคร่ืองสักการะนี้” เปนผูนับถือพระพุทธศาสนา; ทานวาง ระเบียบพิธีไวสรุปไดดังน้ี ก. มอบตัว (กราบ) จากน้ันเขาไปสูที่ประชุมสงฆ (ถาเปนเด็กใหผูปกครองนําตัวหรือครู นํารายช่ือไป) โดยนําดอกไมธ ปู เทยี นใส ถวายพานเครอื่ งสกั การะแกพระอาจารย กราบ ๓ ครง้ั แลว คงนงั่ คกุ เขา กลา วคาํ ปฏญิ าณวา : “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ทุ ฺธสสฺ ” (๓ หน) “ขาพเจา ขอ นอบนอ ม แดพ ระผมู พี ระภาคอรหนั ต- สมั มาสมั พทุ ธเจา นน้ั ” (๓ หน) “เอสาหํ ภนเฺ ต,สจุ ริ ปรนิ พิ พฺ ตุ มปฺ , ตํ ภควนตฺ ํสรณํ คจฉฺ าม,ิ ธมมฺ จฺ สงฆฺ จฺ , พทุ ธฺ มามโกติ มํ สงโฺ ฆ ธาเรตุ” แปลวา “ขา แตพระ สงฆผูเจรญิ ขา พเจา ถงึ พระผมู พี ระภาค เจา พระองคน นั้ แมป รนิ พิ พานนานแลว
พุทธ ๒๗๐ พทุ ธโอวาทท้งั พระธรรมและพระสงฆ เปน สรณะท่ี พุทธศักราช ปนับแตพระพทุ ธเจา เสด็จระลกึ นบั ถอื ขอพระสงฆจ งจําขา พเจาไว ปรินพิ พานวา เปน พุทธมามกะ ผูรับเอาพระพทุ ธเจา พุทธศาสนา คําสั่งสอนของพระพุทธ-เปนของตน คือผูนับถือพระพุทธเจา” เจา, อยางกวา งในบัดนี้ หมายถึง ความ(ถา เปน หญงิ คนเดียวเปลยี่ น พทุ ธฺ มาม- เช่อื ถอื การประพฤตปิ ฏิบตั แิ ละกิจการโกติ เปน พทุ ธฺ มามกาต;ิ ถาปฏิญาณ ทั้งหมดของหมูชนผูกลาววาตนนับถือพรอ มกนั หลายคน ชายเปลย่ี น เอสาหํ พระพุทธศาสนาเปน เอเต มยํ หญิงเปน เอตา มย;ํ และ พุทธศาสนกิ ผนู ับถอื พระพุทธศาสนา,ทั้งชายและหญิงเปล่ียน คจฺฉามิ เปน ผปู ฏบิ ตั ติ ามคาํ ส่ังสอนของพระพทุ ธเจาคจฉฺ าม, พทุ ธฺ มามโกติ เปน พทุ ธฺ มามกาต,ิ พุทธศาสนกิ มณฑล วงการของผูนบั ถือมํ เปน โน) จากนนั้ ฟง พระอาจารยให พระพทุ ธศาสนาโอวาท จบแลว รับคําวา “สาธ”ุ ครนั้ แลว พุทธสรรี ะ รา งกายของพระพุทธเจากลา วคาํ อาราธนาเบญจศลี และสมาทาน พทุ ธสาวก สาวกของพระพทุ ธเจา, ศษิ ยศีลพรอ มทง้ั คาํ แปล จบแลว กราบ ๓ ของพระพทุ ธเจาหน ถวายไทยธรรม (ถามี) แลว กรวด พุทธอาณา อํานาจปกครองของพระ นํ้าเมื่อพระสงฆอนุโมทนา รับพรเสร็จ พทุ ธเจา, อํานาจปกครองฝา ยพุทธจกั ร แลว คกุ เขา กราบพระสงฆ ๓ ครั้ง เปน พทุ ธอาสน ทป่ี ระทบั นง่ั ของพระพทุ ธเจา เสรจ็ พิธี พุทธอิทธานุภาพ ฤทธ์ิและอานุภาพพุทธรัตนะ, พุทธรัตน รัตนะคือพระ ของพระพทุ ธเจา พทุ ธเจา , พระพุทธเจาอันเปนอยา งหนึง่ พุทธอปุ ฐาก ผคู อยรบั ใชพ ระพทุ ธเจา ในในรัตนะ ๓ ท่ีเรยี กวาพระรตั นตรัย; ดู ครั้งพุทธกาล มีพระอานนทพุทธอนุชารตั นตรยั เปน ผูเลิศในเรือ่ งน้ีพุทธรูป รูปพระพทุ ธเจา พุทธโอวาท คาํ สงั่ สอนของพระพทุ ธเจาพุทธฤทธานุภาพ ฤทธิ์และอานุภาพ มหี ลกั ใหญ ๓ ขอ คอื ๑. สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ ไมท าํ ความชวั่ ทง้ั ปวง ๒. กสุ ลส-ฺของพระพุทธเจาพุทธเวไนย ผูท ่ีพระพทุ ธเจาควรแนะนํา สปู สมปฺ ทา ทําความดใี หเ พยี บพรอ ม ๓.สั่งสอน, ผูท่ีพระพุทธเจาพอแนะนาํ สง่ั สจิตฺตปริโยทปนํ ทําใจของตนใหสอนได สะอาดบรสิ ุทธิ์
พทุ ธัตถจริยา ๒๗๑ พทุ ธาวาสพทุ ธตั ถจรยิ า ทรงประพฤตเิ ปน ประโยชน พุทธาวาส “อาวาสของพระพุทธเจา”,แกสัตวโลก โดยฐานเปนพระพุทธเจา สวนของวัดที่จัดใหเปนเขตท่ีพุทธบริษัทเชน ทรงแสดงธรรมแกเวไนยสตั วและ ประกอบกิจกรรมอุทิศคือตั้งใจมุงไปที่บัญญัติวินัยข้ึนบริหารหมูคณะ ทรง องคพ ระพทุ ธเจา เสมอื นมาเฝา พระองคประดิษฐานพระพุทธศาสนาใหย่ังยืนมา เชน พระสงฆม าทาํ สงั ฆกรรม มาพบปะตราบเทาทกุ วนั น้ี ฉลองศรัทธาของประชาชน มาแสดงพุทธันดร ชวงเวลาในระหวางแหงสอง ธรรม ชาวบา นมาเลย้ี งพระ ถวายทานพุทธปุ บาทกาล, ชว งเวลาในระหวา ง นับ รกั ษาศลี ฟง ธรรม และทาํ การบชู าตา งๆจากท่ีศาสนาของพระพุทธเจาพระองค จึงเปนเขตที่มีสิ่งกอสรางสําคัญ เชนหน่งึ สูญสนิ้ แลว จนถงึ พระพทุ ธเจาพระ โบสถ วหิ าร สถปู เจดยี และมกี ารจดั แตงองคใหมเสด็จอุบัติ คือชวงเวลาที่โลก อยางประณีตบรรจง ใหงดงามเปนที่วา งพระพทุ ธศาสนา, คาํ นี้ บางทีใชใ น เจรญิ ศรทั ธา ตา งจากอกี สว นหนง่ึ ทเ่ี ปน คูการนับเวลา เชนวา “บรุ ษุ นน้ั … เที่ยว กนั คอื สงั ฆาวาส ซงึ่ จดั ไวเ ปน ทอ่ี ยอู าศยัเวียนวายอยตู ลอด ๖ พุทธันดร … ” ของพระภิกษุสามเณร อันเนนที่ความพทุ ธาณัติ คําสงั่ ของพระพทุ ธเจา เรยี บงา ย เปน ทเ่ี หมาะแกก ารหลกี เรน มีพุทธาณัติพจน พระดํารัสส่ังของพระ สปั ปายะเออ้ื ตอ การเจรญิ ไตรสกิ ขา, ตามพุทธเจา , คาํ ส่งั ของพระพุทธเจา ทเี่ ปน มา การจดั แบง เชน นดี้ าํ เนนิ มาอยา งพุทธาทิบัณฑิต บัณฑิตมีพระพุทธเจา รกู นั เปน ประเพณี ในวดั ทว่ั ไป จงึ มกั ไมเปน ตน (พทุ ธ + อาทิ + บัณฑิต) ไดท าํ เครอ่ื งกน้ั เขต และไมม คี าํ เรยี กแยกพุทธาธบิ าย พระประสงคของพระพทุ ธ- ใหต า งกนั ออกไป แตใ นพระอารามหลวง เจา, พระดาํ รสั ชีแ้ จงของพระพุทธเจา มีการทํากําแพงแยกกันตางหากชัดเจนพุทธานุญาต ขอท่ีพระพุทธเจาทรง โดยใชค าํ เรยี กวา พทุ ธาวาส กบั สงั ฆาวาส อนุญาต ดงั ทกี่ ลา วมา, นอกจากนนั้ มวี ดั ทส่ี รา งพุทธานุพุทธประวัติ ประวัติของพระ ข้ึนเปนท่ีประกอบสังฆกรรมและเปนท่ีพุทธเจา และพระสาวก เจริญกุศลของพุทธบริษัทโดยเฉพาะพุทธานุสติ ตามระลึกถึงคุณของพระ โดยไมม สี งั ฆาวาส เชน วดั พระศรรี ตั น-พทุ ธเจา เขยี นอยา งรปู เดมิ ในภาษาบาลี ศาสดาราม (วัดพระแกว), คําวาเปน พทุ ธานสุ สติ (ขอ ๑ ในอนสุ ติ ๑๐) “พทุ ธาวาส” และ “สงั ฆาวาส” นี้ ไมพ บวา
พุทธิจริต ๒๗๒ เพื่อนมใี ชใ นคมั ภรี ใ ด; ดู สงั ฆาวาส ลักษณะและอาการท่ีปรากฏใหเห็นวาพทุ ธจิ รติ พน้ื นสิ ัยท่ีหนักในความรู มกั เปนบุคคลประเภทนี้ ประเภทนี้เชนใชค วามคดิ พงึ สง เสรมิ ดว ยแนะนาํ ใหใ ช โดยเพศแหง ฤษี เพศบรรพชติ เพศแหง ความคดิ ในทางทชี่ อบ (ขอ ๕ ในจรติ ๖) ชางไม เปน ตน, ขนบธรรมเนียมพทุ ธุปบาทกาล [พดุ -ทุบ-บาด-ทะ-กาน] เพียรชอบ เพียรในที่ ๔ สถาน; ดู ปธาน กาลเปน ท่อี บุ ัตขิ องพระพุทธเจา, เวลาท่ี เพอื่ น ผูร วมธุระรว มกจิ รว มการหรือรว มมีพระพทุ ธเจา เกิดข้ึนในโลก อยูในสภาพอยางเดียวกัน, ผูชอบพอพทุ ฺโธ (พระผูม ีพระภาคเจาน้ัน) ทรงเปน รักใครคบหากัน, ในทางธรรม เน้ือแทผตู นื่ ไมห ลงงมงายเองดว ย และทรงปลกุ ของความเปน เพอื่ น อยทู ่ีความมีใจหวงัผูอื่นใหต่ืนพนจากความหลงงมงายน้ัน ดปี รารถนาดตี อ กัน กลาวคอื เมตตาดวย ทรงเปนผเู บกิ บาน มีพระทยั ผอง หรือไมตรี เพ่ือนที่มีคุณสมบัติเชนนี้แผว บําเพญ็ พทุ ธกิจไดถ กู ตอ งบรบิ รู ณ ทานเรียกวา มิตร การคบเพื่อนเปน(ขอ ๘ ในพทุ ธคณุ ๙) ปจจัยสําคัญยิ่งอยางหน่ึงที่จะนําชีวิตไปเพญ็ เต็ม หมายถึง พระจนั ทรเตม็ ดวง สูความเสื่อมความพินาศ หรือสูความ คือวันขึ้น ๑๕ คํา่ เจริญงอกงาม พึงหลีกเล่ียงมิตรเทียมเพทางค วชิ าประกอบกบั การศกึ ษาพระเวท และเลือกคบหาคนท่ีเปนมิตรแท; ดู มี ๖ อยาง คือ ๑. ศกิ ษา (วิธอี อกเสียง มติ ตปฏิรูป, มติ รแท คาํ ในพระเวทใหถ กู ตอ ง) ๒. ไวยากรณ ๓. ฉนั ทสั (ฉนั ท) ๔. โชยตษิ (ดารา- บุคคลท่ีชวยช้ีแนะแนวทาง ชักจูง ศาสตร) ๕. นริ กุ ติ (กาํ เนิดของคํา) ๖. ตลอดจนแนะนาํ ส่ังสอน ชักนาํ ผูอื่นให กัลปะ (วธิ จี ดั ทําพธิ ี) ดาํ เนินชีวิตทด่ี งี าม ใหป ระสบผลดแี ละเพลาะ เยบ็ รมิ ตอใหติดกนั ; ผาเพลาะ คอื ความสขุ ใหเ จรญิ กา วหนา ใหพ ฒั นาใน ธรรม แมจ ะเปน บคุ คลเสมอกนั หรอื เปน ผาทีเ่ อามาเย็บริมตอ เขา (บาลี: อนวฺ าธกิ ํ) มารดาบดิ าครอู าจารย ตลอดทง้ั พระสงฆเพลิงทิพย ไฟเทวดา, ไฟที่เปนของ จนถงึ พระพทุ ธเจา กน็ บั วา เปน เพอื่ น แต เทวดา, เพลงิ คราวถวายพระเพลงิ พระ เปน เพอ่ื นใจดี หรอื เพอ่ื นมธี รรม เรยี กวา กัลยาณมิตร แปลวา “มิตรดีงาม” พทุ ธสรีระเพศ ลักษณะท่ีใหรูวาหญิงหรือชาย, กั ล ย า ณ มิ ต ร มี คุ ณ ส ม บั ติ ท่ี เ รี ย ก ว า กลั ยาณมติ รธรรม หรอื ธรรมของกลั ยาณ- เคร่ืองหมายวาเปนชายหรือเปนหญิง,
แพศย ๒๗๓ โพธิ,์ โพธิพฤกษมติ ร ๗ ประการ คอื ๑. ปโ ย นา รกั ดว ย โพธ,์ิ โพธพิ ฤกษ ตนโพธ์,ิ ตนไมท่พี ระมเี มตตา เปน ทสี่ บายจติ สนทิ ใจ ชวนให พุทธเจา ไดประทับ ณ ภายใตร ม เงาในอยากเขา ไปหา ๒. ครุ นา เคารพ ดว ย คราวตรัสรู, ตนไมเปนท่ีตรัสรูและตนความประพฤติหนักแนนเปนที่พ่ึงอาศัย ไมอื่นท่ีเปนชนิดเดียวกันนั้น สําหรับได ใหร สู กึ อบอนุ ใจ ๓. ภาวนโี ย นา พระพุทธเจาองคป จ จบุ ัน ไดแก พันธุไ มเจรญิ ใจ ดว ยความเปน ผฝู ก ฝนปรบั ปรงุ อสั สตั ถะ (ตน โพ) ตน ที่อยู ณ ฝงแมนาํ้ตน ควรเอาอยา ง ใหร ะลกึ และเอย อา ง เนรญั ชรา ตาํ บลคยา; ตน โพธต์ิ รสั รทู ่ีดว ยซาบซง้ึ ภมู ใิ จ ๔. วตั ตา รจู กั พดู ใหไ ด เปนหนอของตนเดิมที่คยาไดปลูกผล รจู กั ชแี้ จงแนะนาํ เปน ทป่ี รกึ ษาทด่ี ี เปน ตน แรกในสมยั พทุ ธกาล (ปลกู จาก๕. วจนกขฺ โม อดทนตอ ถอ ยคาํ พรอ มที่ เมล็ด) ที่ประตูวัดพระเชตวันโดยพระจะรบั ฟง คาํ ปรกึ ษาซกั ถาม ตลอดจนคาํ อานนทเ ปน ผดู าํ เนนิ การตามความปรารภเสนอแนะวพิ ากษวิจารณ ๖. คมภฺ รี จฺ ของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี และเรยี กชอ่ื วากถํ กตตฺ า แถลงเรอ่ื งลา้ํ ลกึ ได สามารถ อานนั ทโพธ;ิ หลงั พทุ ธกาล ในสมยั พระอธิบายเรื่องยุงยากซับซอนใหเขาใจและ เจา อโศกมหาราช พระนางสงั ฆมติ ตาเถรีสอนใหเรียนรูเรื่องราวที่ลึกซ้ึงย่ิงขึ้นไป ไดนํากิ่งดานขวาของตนมหาโพธิท่ีคยา๗.โน จฏาเน นโิ ยชเย ไมช กั นาํ ในอฐาน นั้นไปมอบแดพระเจาเทวานัมปยติสสะคอื ไมช กั จงู ไปในทางเสอ่ื มเสยี หรอื เรอ่ื ง ทรงปลกู ไว ณ เมืองอนุราธปรุ ะ ในเหลวไหลไมสมควร ลังกาทวปี ซงึ่ ไดช อื่ วา เปน ตน ไมเ กา แกท ่ีแพศย คนวรรณะทสี่ าม ในวรรณะส่ขี อง สุดในประวัติศาสตรที่ยังคงมีชีวิตอยูในคนในชมพูทวีป ตามหลักศาสนา ปจ จบุ นั ; ในประเทศไทย สมยั ราชวงศ พราหมณ หมายถงึ พวกชาวนาและพอ คา จกั รี พระสมณทูตไทยในสมยั รชั กาลท่ีแพศยา หญิงหากินในทางกาม, หญงิ หา ๒ ไดนาํ หนอ พระศรมี หาโพธ์ิ ที่เมอื ง เงินในทางรว มประเวณี อนรุ าธปรุ ะมา ๖ ตน ใน พ.ศ. ๒๓๕๗โพชฌงค ธรรมท่เี ปนองคแ หงการตรัสรู โปรดใหปลูกไวที่เมืองนครศรีธรรมราช หรอื องคข องผูต รสั รู มี ๗ ขอ คอื ๑. ๒ ตน นอกนนั้ ปลกู ทวี่ ดั มหาธาตุ วดั สติ ๒. ธัมมวิจยะ (การสอดสอ งเลือก สุทัศน วัดสระเกศและที่เมืองกลันตัน เฟน ธรรม) ๓.วริ ยิ ะ๔.ปต ิ๕.ปส สทั ธิ ๖. แหง ละ ๑ ตน ; ตอ มาในสมยั รชั กาลที่ ๕ สมาธิ ๗. อุเบกขา; ดู โพธิปกขยิ ธรรม ประเทศไทยไดพ ันธุต นมหาโพธจิ ากคยา
โพธิญาณ ๒๗๔ ไพศาลีโดยตรงครั้งแรก ไดปลูกไว ณ วัด สําเร็จความเปนพระพุทธเจา ซึ่งบางที เบญจมบพิตรและวดั อัษฎางคนิมิตร เรียกวา มหาโพธสิ มภาร อนั ประมวลโพธญิ าณ ญาณคือความตรัสร,ู ญาณ เขาไดใ นธรรมใหญ ๒ ประการ คือคือปญญาตรัสรู, มรรคญาณท้ังสี่มี กรุณา และปญ ญา, เมื่อใชอ ยา งกวางๆโสดาปตตมิ ัคคญาณ เปนตน หมายถงึ โพธิปกขยิ ธรรม ก็ไดโพธปิ ก ขยิ ธรรม ธรรมอนั เปน ฝก ฝา ยแหง ในภาษาไทย มกั ใชใ นความหมายวาความตรสั ร,ู ธรรมทเี่ กอ้ื หนนุ แกอ รยิ มรรค บุญบารมีของพระมหากษัตริย (โดยถือมี ๓๗ ประการคือ สติปฏฐาน ๔, มาวา พระมหากษตั ริย คือทานผูกาํ ลังสมั มัปปธาน ๔, อิทธบิ าท ๔, อนิ ทรยี บาํ เพญ็ คุณความดแี หง พระโพธิสตั ว)๕, พละ๕, โพชฌงค ๗, มรรคมอี งค ๘; โพธิสัตว ทานผูที่จะไดตรัสรูเปนพระในจํานวน ๓๗ น้ี ถานบั ตัวสภาวธรรม พุทธเจา ซึง่ กําลังบําเพ็ญบารมี ๑๐ คือแทๆ ตดั จํานวนทซี่ า้ํ ออกไป มี ๑๔ คือ ทาน ศลี เนกขัมมะ ปญ ญา วริ ยิ ะ ขนั ติสติ วิริยะ ฉันทะ จิตตะ ปญ ญา สัทธา สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อเุ บกขาสมาธิ ปต ิ ปสสทั ธิ อเุ บกขา สัมมา- โพนทนา กลาวโทษ, ตเิ ตียน, พูดกลาวสงั กปั ปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ โทษทานตอหนาผูอื่น (พจนานุกรมสมั มาอาชีวะ (วิสุทธฺ ิ.ฏี.๓/๖๐๐) เขยี น โพนทะนา)โพธิมัณฑะ ประเทศเปนที่ผองใสแหง ไพบูลย ความเต็มเปยม, ความเจริญโพธิญาณ, บรเิ วณตนโพธ์ิเปน ทตี่ รัสรู เต็มที่ มี ๒ คือ ๑. อามิสไพบูลย ความโพธิราชกุมาร เจาชายโพธิ พระราช- ไพบูลยแหงอามิส ๒. ธรรมไพบูลยโอรสของพระเจาอเุ ทน พระเจา แผน ดิน ความไพบลู ยแ หงธรรม; ดู เวปลุ ละ ไพรสณฑ, ไพรสัณฑ ปาทบึ , ปา ดง;แควน วงั สะโพธิสมภาร คุณความดีที่เปนเครื่อง คําบาลวี า “วนสณฑฺ ” (วน [ปา ] + สณฺฑประกอบของโพธ,ิ คุณความดที ง้ั หลาย [ดง, ทบึ , แนน หนา], เมอ่ื นาํ มาใชใ นภาษาเฉพาะอยางยิ่ง ประดาบารมีที่เปนสวน ไทย ไดเพ้ยี นไปตางๆ เชน ไพรสาณฑ,ประกอบอันรวมกันใหสําเร็จโพธิ คือ พนาสณฑ, พนาสัณฑ, วนาสณฑ,ความตรัสรู, ตามปกติ หมายถึงประดา วนาสัณฑ)บารมีที่พระโพธิสัตวบําเพ็ญ อันจะให ไพศาลี ดู เวสาลี
ฟน เฝอ ๒๗๕ ภวจกั ร ฟฟน เฝอ เคลือบคลุม, พวั พนั กนั , ปน ฟมู ฟาย มากมาย, ลนเหลอื , สุรยุ สรุ า ย,คละกัน, ยงุ น้ําตาอาบหนา ภภควา พระผมู พี ระภาค, เปนพระนาม ผานมา, ภพกอน, ชาติกอ น; ตรงขามกบั หนึ่งของพระพทุ ธเจา และเปน คําแสดง ภพหนา พระพุทธคุณอยา งหน่งึ แปลวา “ทรง ภยตปู ฏ ฐานญาณ ปรีชาหยัง่ เหน็ สงั ขารเปน ผูมโี ชค” คอื หวงั พระโพธญิ าณกไ็ ด ปรากฏโดยอาการเปนของนากลัวเพราะสมหวัง ประกาศพระศาสนาก็ชักจูงผู สังขารท้ังปวงนั้นลวนแตจะตองแตกคนใหไดบรรลุธรรมสมปรารถนา มีผู สลายไป ไมปลอดภยั ทั้งสนิ้ (ขอ ๓ ในคิดรา ยก็ไมอ าจทํารา ยได; อีกนัยหนึง่ วา วปิ ส สนาญาณ ๙)ทรงเปนผจู าํ แนกแจกธรรม (ขอ ๙ ใน ภยันตราย ภยั และอันตราย, อันตรายท่ีพทุ ธคณุ ๙) นา กลวัภคันทลา โรคริดสีดวงทวารหนกั ภยาคติ ลาํ เอยี งเพราะกลวั (ขอ ๔ ในภคนิ ี พ่หี ญงิ นองหญงิ อคติ ๔)ภคุ ดู ภัคคุ ภวจักร วงลอ แหง ภพ, อาการหมุนวนภพ โลกเปนทอี่ ยูของสัตว, ภาวะชวี ิตของ ตอเน่ืองไปแหงภาวะของชีวิตท่ีเปนไปสตั ว มี ๓ คอื ๑. กามภพ ภพของผยู งั ตามเหตุปจจัย ในหลักปฏิจจสมุปบาท;เสวยกามคุณ ๒. รปู ภพ ภพของผเู ขา “ภวจักร” เปนคาํ ในช้ันอรรถกถาลงมาถึงรปู ฌาน ๓. อรูปภพ ภพของผเู ขา ถึง เชน เดยี วกบั คาํ วา สงั สารจกั ร ปจ จยาการ-อรปู ฌาน; เทียบ ภมู ิ, คติ จกั ร ตลอดจนปฏจิ จสมปุ บาทจกั ร ซง่ึภพหลัง โลกที่สัตวเกิดมาแลวในชาติท่ี ทานสรรมาใชในการอธิบายหลักปฏิจจ-
ภวตัณหา ๒๗๖ ภวงั คุปจเฉทสมปุ บาทนนั้ , อาการหมนุ วนของภวจกั ร ภวงั คจติ จติ ทเ่ี ปน องคแ หง ภพ, ตามหลกั หรอื สังสารจักรนี้ ทา นอธบิ ายตามหลกั อภิธรรมวา จิตที่เปนพ้ืนอยูระหวาง ไตรวฏั ฏ; ดู ไตรวฏั ฏ, ปฏจิ จสมปุ บาท ปฏสิ นธแิ ละจตุ ิ คอื ตง้ั แตเ กดิ จนถงึ ตายภวตัณหา ความอยากเปนนนั่ เปนนี่ หรือ ในเวลาท่ีมิไดเสวยอารมณทางทวารท้ังอยากเกดิ อยากมอี ยคู งอยตู ลอดไป, ความ ๖ มจี ักขุทวารเปน ตน แตเมื่อใดมีการทะยานอยากท่ีประกอบดวยภวทิฏฐิ รับรูอารมณ เชน เกิดการเหน็ การได หรอื สัสสตทฏิ ฐิ (ขอ ๒ ในตณั หา ๓) ยิน เปนตน ก็เกิดเปนวิถีจิตข้ึนแทนภวทฏิ ฐิ ความเหน็ เนอ่ื งดวยภพ, ความ ภวงั คจติ เมือ่ วถิ จี ติ ดับไป กเ็ กดิ เปนเห็นวาอัตตาและโลกจักมีอยูคงอยูเท่ียง ภวงั คจิตขึน้ อยา งเดมิแทต ลอดไป เปนพวกสัสสตทฏิ ฐิ ภวังคจิต นี้ คอื มโน ท่ีเปน อายตนะภวราคะ ความกําหนดั ในภพ, ความติด ที่ ๖ หรือมโนทวาร อันเปนวิบาก เปนใครใ นภพ (ขอ ๗ ในสังโยชน ๑๐ ตาม อัพยากฤต ซง่ึ เปน จิตตามสภาพ หรือ นัยพระอภิธรรม, ขอ ๖ ในอนสุ ัย ๗) ตามปกติของมัน ยังไมข้ึนสูวิถีรับรูภวัคค, ภวคั ร ภพสงู สุด ตามปกติ หมาย อารมณ (เปนเพยี งมโน ยงั ไมเ ปน มโน-ถงึ อรปู ภพ ชั้นเนวสัญญายตนะ ซง่ึ ไมมี วิญญาณ)ภพใดสงู กวา คอื สูงทสี่ ุดในไตรภพ หรือ พทุ ธพจนว า “จติ นปี้ ระภสั สร (ผดุในไตรภมู ,ิ แตบ างครง้ั ทา นแยกละเอยี ด ผอ ง ผอ งใส บรสิ ทุ ธ)ิ์ แตเ ศรา หมองออกไปวา มี ภวัคค (ภวัคคะ หรือ ภวคั ร) เพราะอปุ กเิ ลสทจี่ รมา” มคี วามหมายวา๓ คอื ๑. ปถุ ุชชนภวคั ค ภพสูงสดุ ของ จติ น้โี ดยธรรมชาติของมนั เอง มใิ ชเ ปนปุถุชนในรูปโลก ไดแก เวหัปผลภูมิ สภาวะทแ่ี ปดเปอ นสกปรก หรอื มสี งิ่ เศรา๒. อรยิ ภวัคค ภพสูงสุดของพระอริยะ หมองเจอื ปนอยู แตส ภาพเศรา หมองนน้ั(ท่ีเกิดของพระอนาคามี) ไดแก อกนิฏฐ - เปน ของแปลกปลอมเขา มา ฉะนนั้ การภูมิ ๓. สพั พภวคั ค (หรอื โลกภวคั ค) ภพ ชําระจิตใหสะอาดหมดจดจึงเปนส่ิงท่ีสูงสดุ ของสรรพโลก ไดแ ก เนวสญั ญา- เปน ไปได; จติ ทป่ี ระภสั สรนี้ พระอรรถ-นาสญั ญายตนภมู ,ิ ในภาษาไทย นิยม กถาจารยอ ธบิ ายวา ไดแ ก ภวงั คจติ ; เทียบพูดวา ภวคั คพรหม; ดู ภพ, ภูมิ ๔, ๓๑ วถิ ีจิตภวงั ค ดู ภวังคจิต ภวงั คปริวาส ดู ปรวิ าส 2.ภวงั คจลนะ ดู วถิ จี ติ ภวังคุปจ เฉท ดู วถิ จี ติ
ภวาสวะ ๒๗๗ ภัตตัคควตั รภวาสวะ อาสวะคอื ภพ, กเิ ลสทหี่ มกั หมม ต้งั จากสงฆ ใหเ ปนผูม หี นาทรี่ กั ษาเรือนหรอื ดองอยใู นสันดาน ทาํ ใหอ ยากเปน คลงั เกบ็ พสั ดขุ องสงฆ, ผรู กั ษาคลงั สง่ิ ของ,อยากเกดิ อยากมอี ยคู งอยตู ลอดไป (ขอ เปนตําแหนงหนึ่งในบรรดา เจาอธิการ แหงคลงั๒ ในอาสวะ ๓ และ ๔)ภกั ษา, ภักษาหาร เหยอื่ , อาหาร ภณั ฑกู รรม ดู ภณั ฑกู ัมมภัคคะ ช่ือแควนหนึ่งในชมพูทวีปคร้ัง ภัณฑูกัมม การปลงผม, การบอกขอ พุทธกาล นครหลวงชือ่ สงุ สุมารครี ะ อนุญาตกะสงฆเพ่ือปลงผมคนผูจะบวชภัคคุ เจาศากยะองคหน่ึง ท่ีออกบวช ในกรณที ภ่ี กิ ษจุ ะปลงใหเ อง เปน อปโลกน-พรอมกับพระอนุรุทธะ ไดบรรลุพระ กรรมอยา งหนง่ึอรหัต และเปน พระมหาสาวกองคหน่งึ ภตั , ภัตร อาหาร, ของกนิ , ของฉนั ,เขียน ภคุ ก็มี อาหารที่รบั ประทาน (หรือฉัน) เปนมื้อๆภังคะ ผาทาํ ดวยของเจือกนั คอื ผา ทํา ภัตกาล เวลาฉนั อาหาร, เวลารับประทานดวยเปลือกไม ฝาย ไหม ขนสัตว อาหาร เดมิ เขียน ภัตตกาลเปลอื กปาน ๕ อยา งนี้ อยางใดก็ไดปน ภตั กจิ การบรโิ ภคอาหาร เดมิ เขยี น ภตั ตกจิกัน เชน ผาดายแกมไหม เปนตน ภัตตัคควัตร ขอควรปฏิบัติในหอฉัน,ภงั คญาณ ปญ ญาหย่งั เห็นความยอ ยยับ ธรรมเนียมในโรงอาหาร ทานจดั เขาเปนคือ เห็นความดับแหงสังขาร; ภังคา- กิจวัตรประเภทหนึ่ง กลาวยอ มี ๑๑นปุ ส สนาญาณ ก็เรียก ขอ คอื นุง หมใหเ รยี บรอย, รจู กั อาสนะภงฺคํ ดู ภงั คะ อันสมควรแกตน, ไมนั่งทับผาสังฆาฏิภังคานุปสสนาญาณ ญาณตามเห็น ในบา น, รบั นํ้าและโภชนะของถวายจากความสลาย, ปรชี าหยั่งเหน็ เฉพาะความ ทายกโดยเอ้อื เฟอ และคอยระวงั ใหไดดับของสังขารเดนชัดข้ึนมาวาสังขารท้ัง รับทั่วถึงกัน, ถาพอจะแลเห็นท่ัวกันปวงลวนจะตองแตกสลายไปทั้งหมด พระสังฆเถระพึงลงมือฉันเมื่อภิกษุท้ัง(ขอ ๒ ในวปิ ส สนาญาณ ๙) หมดไดรับโภชนะทั่วกันแลว, ฉันดวยภณั ฑไทย ของที่จะตองให (คืน) แกเขา, อาการเรียบรอ ยตามหลกั เสขิยวัตร, อมิ่สินใช, การที่จะตองชดใชทรัพยที่เขา พรอ มกนั (หัวหนา รอยังไมบวนปากและ เสยี ไป ลา งมือ), บว นปากและลา งมือระวังไมใหภัณฑาคาริก ภิกษผุ ูไดร ับสมมติ คอื แตง น้ํากระเซ็น, ฉันในที่มีทายกจัดถวาย
ภัตตาหาร ๒๗๘ ภัททากณุ ฑลเกสาเสร็จแลวอนุโมทนา, เมื่อกลับ อยา ภทั ทปทมาส เดอื น ๑๐ เรียกงายวาเบียดเสียดกันออกมา, ไมเทน้ําลาง ภัทรบทบาตรมีเมล็ดขาวหรือของเปนเดนใน ภัททวัคคีย พวกเจริญ, เปนชื่อคณะ บานเขา สหาย ๓๐ คนทพี่ ากันเขามาในไรฝ า ยภตั ตาหาร อาหารคอื ขา วของฉนั , อาหาร แหงหนึ่งเพ่ือเที่ยวตามหาหญิงแพศยาผูที่สาํ หรบั ฉันเปน มอ้ื ๆ ลักหอเคร่ืองประดับหนีไป และไดพบภตั ตทุ เทสกะ ผแู จกภัตต, ภกิ ษทุ ส่ี งฆ พระพุทธเจาซึ่งพอดีเสด็จแวะเขาไปสมมติ คือแตงตั้งใหเปนเจาหนาที่จัด ประทับพกั อยูท่ไี รฝ ายนน้ั ไดฟ งเทศนาแจกภัต, นยิ มเขียน ภัตตเุ ทศก, เปน อนุบุพพกิ ถา และอริยสจั จ ๔ ไดดวงตาตําแหนงหน่ึงในบรรดา เจาอธิการแหง เหน็ ธรรมแลว ขออุปสมบทอาหาร ภัททากจั จานา พระมหาสาวกิ าองคห นึง่ภตั ตุเทศก ดู ภตั ตุทเทสกะ เปนธิดาของพระเจาสุปปพุทธะแหงภตั ร ดู ภตั โกลยิ วงศ พระนามเดมิ วา ยโสธรา หรอืภัทกัป ดู กัป พิมพา เปนพระมารดาของพระราหุลภัททกาปล านี พระมหาสาวกิ าองคห นึง่ พทุ ธชิโนรส ไดน ามวา ภทั ทากจั จานาเปน ธดิ าพราหมณโ กสยิ โคตรในสาคลนคร เพราะทรงมีฉวีวรรณดุจทองคําเน้ือแหง มัททรฐั (คัมภรี อ ปทานวาไวช ดั ดงั น้ี เกลี้ยง บวชเปนภิกษุณีในพระพุทธ-แตอ รรถกถาองั คตุ ตรนกิ ายคลาดเคลอ่ื น ศาสนาเจรญิ วิปสสนากัมมฏั ฐาน ไมชา ก็เปนแควนมคธ) พออายุ ๑๖ ป ได ไดสําเร็จพระอรหัต ไดรับยกยองวาสมรสกบั ปป ผลมิ าณพ (พระมหากสั สปะ) เปนเอตทัคคะในทางบรรลุมหาภิญญาตอ มามคี วามเบอ่ื หนา ยในฆราวาส จงึ ออก เรยี ก ภทั ทกจั จานา ก็มีบวชเปน ปรพิ าชกิ า เมอ่ื พระมหาปชาบดี ภทั ทากณุ ฑลเกสา พระมหาสาวกิ าองคผนวชเปน ภิกษณุ แี ลว นางไดม าบวชอยู หน่ึง เปนธิดาของเศรษฐีในพระนครในสํานักของพระมหาปชาบดี เจริญ ราชคฤห เคยเปนภรรยาของโจรผูเปนวปิ ส สนากมั มฏั ฐานดว ยความไมป ระมาท นักโทษประหารชีวิต โจรคิดจะฆานางไดบ รรลพุ ระอรหตั ไดร บั ยกยอ งวา เปน เพื่อเอาทรัพยสมบัติ แตนางใชปญญาเอตทคั คะในทางปพุ เพนวิ าสานสุ ติ เรยี ก คิดแกไขกําจัดโจรได แลว บวชในสาํ นกัภทั ทากาปล านี บา ง ภทั ทากปล านี บา ง นิครนถ ตอมาไดพบกับพระสารีบุตร
ภทั ทิยะ ๒๗๙ ภาณยักษไดถาม-ตอบปญหากัน จนนางมีความ ปญหากะพระศาสดา ที่ปาสาณเจดยี เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ตอมาไดฟ ง ภนั เต “ขาแตท านผูเ จรญิ ” เปน คาํ ที่ภกิ ษุพระธรรมเทศนาท่ีพระศาสดาทรงแสดง ผูออนพรรษากวาเรียกภิกษุผูแกพรรษาไดสําเร็จพระอรหัต แลวบวชในสํานัก กวา (ผนู อยเรยี กผใู หญ) หรือคฤหสั ถ ภิกษุณี ไดรับยกยองวาเปนเอตทคั คะ กลาวเรียกพระภิกษุ, คูกับคําวา ในทางขปิ ปาภญิ ญา คอื ตรสั รฉู ับพลัน อาวุโส; บัดนี้ใชเลือนกันไปกลายเปนภทั ทยิ ะ 1. ชอ่ื ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ในคณะปญ จ- คาํ แทนตัวบุคคล กม็ ี วัคคีย เปนพระอรหันตรุนแรก 2. ภัพพบุคคล คนที่ควรบรรลธุ รรมพิเศษ กษัตริยศากยวงศ โอรสของนางกาฬิ- ได; เทียบ อภพั บุคคล โคธา สละราชสมบตั ทิ มี่ าถงึ ตามวาระแลว ภัลลิกะ พอคาที่มาจากอุกกลชนบท คู ออกบวชพรอมกับพระอนรุ ทุ ธะ สาํ เร็จ กับ ตปุสสะ พบพระพุทธเจาขณะอรหตั ตผล ไดร บั ยกยอ งวา เปน เอตทคั คะ ประทบั อยู ณ ภายใตต น ไมร าชายตนะในบรรดาภกิ ษผุ มู าจากตระกลู สงู และจดั ไดถ วายเสบยี งเดนิ ทาง คือ ขาวสัตตุผงเปน มหาสาวกองคห นงึ่ ในจาํ นวน ๘๐ ขา วสตั ตกุ อน แลว แสดงตนเปนอบุ าสกภัททยิ ศากยะ ดู ภทั ทยิ ะ 2. ถึงพระพุทธเจากับพระธรรมเปนสรณะภทั เทกรตั ตสตู ร ชอ่ื สตู รหนง่ึ ในมชั ฌมิ - นับเปนปฐมอบุ าสกประเภทเทฺววาจกินิกาย อุปริปณณาสก แหงพระ ภาคี ผูมสี ว น, ผมู ีสวนรวม, ผูมีสวนแบง ,สุตตนั ตปฎก แสดงเรอ่ื งบคุ คลผมู ีราตรี ผูรว มได, ผเู ขา รว มเดยี วเจรญิ คือ คนทเ่ี วลาวันคืนหน่ึงๆ ภาชกะ ผแู จก, ผจู ัดแบงมแี ตค วามดงี ามความเจรญิ กา วหนา ได ภาณพระ ดู ภาณยักษแก ผูทีไ่ มมวั ครนุ คาํ นงึ อดตี ไมเ พอ หวัง ภาณยักษ บทสวดของยกั ษ, คําบอกของอนาคต ใชปญญาพิจารณาใหเห็นแจง ยักษ, สวดหรอื บอกแบบยกั ษ; เปนคาํ ที่ประจักษส่ิงท่ีเปนปจจุบัน ทําความดี คนไทยเรยี กอาฏานาฏยิ สตู ร ท่ีนํามาใชเพิ่มพูนข้ึนเร่ือยไป มีความเพียร เปนบทสวดมนตในจําพวกพระปริตรพยายาม ทํากิจทีค่ วรทําเสียแตวันนี้ไม (เปนพระสตู รขนาดยาวสตู รหนึง่ นยิ มรอวนั พรุง คัดตัดมาเฉพาะตอนที่มีสาระเกี่ยวกับภทั ราวุธมาณพ ศษิ ยคนหน่ึงในจํานวน ความคุมครองปองกันโดยตรง และ๑๖ คน ของพราหมณพ าวรี ทไ่ี ปทลู ถาม เ รี ย ก ส ว น ท่ี ตั ด ต อ น ม า ใ ช นั้ น ว า
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 604
Pages: