Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore suttantapitaka

suttantapitaka

Published by pim, 2019-11-02 02:56:34

Description: suttantapitaka

Search

Read the Text Version

446 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ขยายความ ๑. มหาปทานสตู ร (สูตรวา่ ดว้ ยข้ออา้ งใหญ่) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ กเรริกุฎี (กุฎีมีมณฑปท�ำด้วยไม้กุ่มตั้งอยู่เบื้องหน้า) ในเชตวนารามของอนาถปิณฑกิ คฤหบดี ใกลก้ รุงสาวัตถี ณ โรงโถงที่ท�ำด้วยไม้กุ่มนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุท้ังหลายผู้สนทนากัน ถึงเร่ือง ”ปุพเพนิวาส„ คือความเป็นไปในชาติก่อน โดยทรงเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าในอดีต ๖ พระองค์ รวมทง้ั พระองค์เองดว้ ยเปน็ ๗ พระองค์ดังตอ่ ไปนี้ ประวัตพิ ระพุทธเจา้ ๗ พระองค์ (๑) พระวิปสั สี พระวิปัสสีพุทธเจ้าทรงสมภพในสกุลกษัตริย์ ในกัปป์ท่ี ๓๑ ก่อนหน้ากัปป์ปัจจุบันนี้ มีพระนามโดยพระโคตรว่า โกณฑัญญะ มีประมาณแห่งอายุ ๘ หม่ืนปี ตรัสรู้ ณ โคนไม้ แคฝอย มีคู่แห่งอัครสาวกนามว่า ขัณฑะ กับติสสะ มีการประชุมสาวก ๓ ครั้ง การประชุม สาวก มีภิกษุ ๖ ล้าน ๘ แสนรูปคร้ังหนึ่ง มีภิกษุ ๑ แสนรูปคร้ังหนึ่ง มีภิกษุ ๘ หม่ืนรูป ครั้งหน่ึง ล้วนเป็นพระขีณาสพท้ังสามคร้ัง มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก๑ ช่ืออโสกะ มีพระ พุทธบิดาพระนามว่า พันธุมา พระพุทธมารดาพระนามว่า พันธุมตี มีพันธุมตีนครเป็นราชธานี (๒) พระสขิ ี พระสิขีพุทธเจ้าทรงสมภพในสกุลกษัตริย์ ในกัปป์ท่ี ๓๑ ก่อนหน้ากัปป์ปัจจุบันนี้ มีพระนามโดยพระโคตรว่า โกณฑัญญะ มีประมาณแห่งอายุ ๗ หม่ืนปี ตรัสรู้ ณ โคนต้น บณุ ฑรีก มคี ู่แหง่ อัครสาวกนามว่า อภภิ ู กบั สมภวะ มีการประชุมอัครสาวก ๓ ครง้ั การประชุม สาวกมภี กิ ษุ ๑ แสนรปู ครง้ั หนึง่ ๘ หมน่ื รปู คร้งั หน่งึ ๗ หม่ืนรปู ครงั้ หนึง่ ลว้ นเป็นพระขีณาสพ ทั้งสามคร้ัง มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก ชื่อเขมังกระ มีพระพุทธบิดาพระนามว่า อรุณะ พระพุทธมารดาพระนามวา่ ปภาวตี มอี รณุ วตนี ครเป็นราชธานี ๑ ผูร้ ับใชพ้ ระพทุ ธเจ้า PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 446 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ มหาปทานสูตร 447 (๓) พระเวสสภู ทีฆนิกาย พระเวสสภูพทุ ธเจา้ ทรงสมภพในสกุลกษัตริย์ ในกปั ป์ที่ ๓๑ ก่อนหนา้ กปั ป์ปจั จุบันน้ี มีพระนามโดยพระโคตรว่า โกณฑัญญะ มีประมาณแห่งอายุ ๖ หมื่นปี ตรัสรู้ที่โคนไม้สาละ มีคู่แห่งอัครสาวกนามว่าโสณะกับอุตตระ มีการประชุมสาวก ๓ คร้ัง การประชุมสาวกมีภิกษุ ๘ หมื่นรูปคร้ังหน่ึง ๗ หม่ืนรูปคร้ังหนึ่ง ๖ หม่ืนรูปคร้ังหนึ่ง ล้วนเป็นพระขีณาสพ ทั้งสามคร้ัง มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก ช่ืออุปสันตะ มีพระพุทธบิดาพระนามว่า สุปปตีตะ พระพุทธมารดาพระนามว่า ยสวตี มอี โนมนครเปน็ ราชธานี (๔) พระกกสุ ันธะ พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงสมภพในสกุลพราหมณ์ ในภัททกัปป์นี้ มีพระนามโดย พระโคตรว่า กัสสปะ มีประมาณแห่งอายุ ๔ หมื่นปี ตรัสรู้ ณ โคนไม้ซึก มีคู่แห่งอัครสาวก นามว่า วิธูระ กับสัญชีวะ มีการประชุมสาวกคร้ังเดียว มีภิกษุ ๔ หม่ืนรูป ล้วนเป็น พระขีณาสพ มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก ชื่อวุฑฒิชะ มีพระพุทธบิดาเป็นพราหมณ์นามว่า อัคคิทัตตะ มีพระพุทธมารดาเป็นพราหมณีนามว่า วิสาขา มีเขมวตีนครของพระเจ้าเขมะ เป็นราชธานี (๕) พระโกนาคมนะ พระโกนาคมนพุทธเจ้าทรงสมภพในสกุลพราหมณ์ ในภัททกัปป์นี้ มีพระนามโดย พระโคตรว่า กัสสปะ มีประมาณแห่งอายุ ๓ หมื่นปี ตรัสรู้ ณ โคนไม้มะเด่ือ มีคู่แห่ง อคั รสาวกนามว่า ภยิ โยสะ กับอุตตระ มีการประชุมสาวกครงั้ เดียว มีภกิ ษุ ๓ หมืน่ รูป ล้วนเปน็ พระขีณาสพ มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก ชื่อโสตถิชะ มีพระพุทธบิดาเป็นพราหมณ์นามว่า ยัญญทัตตะ พระพุทธมารดาเป็นพราหมณีนามว่า อุตตรา มีโสภวตีนครของพระเจ้าโสภะ เป็นราชธานี (๖) พระกสั สปะ พระกัสสปพุทธเจ้าทรงสมภพในสกุลพราหมณ์ ในภัททกัปป์นี้ มีพระนามโดย พระโคตรว่า กัสสปะ มีประมาณแห่งอายุ ๒ หม่ืนปี ตรัสรู้ ณ โคนไม้นิโครธ (ไทร) มีคู่แห่ง อัครสาวกนามว่า ติสสะ กับภารัทวาชะ มีการประชุมสาวกคร้ังเดียว มีภิกษุ ๒ หม่ืนรูป ล้วนเป็นพระขีณาสพ มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก ช่ือสัพพมิตตะ มีพระพุทธบิดาเป็น พราหมณ์นามว่า พรหมทัตตะ พระพุทธมารดาเป็นพราหมณีนามว่า ธนวตี มีพาราณสีนคร ของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 447 5/4/18 2:25 PM

448 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๗) พระองค์เอง (พระโคตมะ) พระองค์เองทรงสมภพในสกุลกษัตริย์ ในภัททกัปป์น้ี มีพระนามโดยพระโครตร ว่า โคตมะ มีปริมาณแห่งอายุน้อย ผู้ใดมีชีวิตอยู่นานก็เพียง ๑๐๐ ปี ท่ีเกินกว่านั้นมีน้อย ตรัสรู้ ณ โคนไม้อัสสัตถะ (โพธ์ิ) มีคู่แห่งอัครสาวกนามว่า สาริบุตร กับโมคคัลลานะ มีการ ประชุมสาวกคร้ังเดียว มีภิกษุ ๑๒๕๐ รูป ล้วนเป็นพระขีณาสพ มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก ชื่ออานนท์ มีพระพุทธบิดาพระนามว่า สุทโธทนะ พระพุทธมารดาพระนามว่า มายา มกี บลิ พสั ดนุ์ ครเป็นราชธานี เม่ือตรัสเล่าอย่างน้ีแล้ว ก็เสด็จจากอาสนะเข้าสู่วิหาร ต่อมาได้ตรัสเล่าประวัติ พระวปิ สั สพี ทุ ธเจ้าโดยแสดงว่าเปน็ ธรรมดาของผู้จะเปน็ พระพทุ ธเจ้า ดงั ต่อไปน้ี ธรรมดาของพระโพธสิ ตั ว์ ๑. พระโพธิสัตวจ์ ตุ จิ ากดุสติ มีสตสิ มั ปชัญญะ ลงสพู่ ระครรภพ์ ระมารดา ๒. เมื่อพระโพธสิ ตั ว์ลงสู่พระครรภ์พระมารดา จะมแี สงสวา่ งอนั โอฬารปรากฏในโลก หม่นื โลกธาตุสะเทอื นสะทา้ นหว่ันไหว ๓ . มีเทพบุตร ๔ ตนมาอารักขาทั้งส่ีทิศ เพ่ือป้องกันมนุษย์และอมนุษย์มิให้ เบยี ดเบยี นพระโพธิสตั ว์หรือพระมารดา ๔. พระมารดาพระโพธิสัตว์ทรงต้ังอยใู่ นศลี ๕ โดยปกติ ๕. พระมารดาพระโพธิสัตว์ไม่ทรงมีความรู้สึกทางกามในบุรุษทั้งหลาย และจะเป็น ผอู้ ันบุรุษใด ๆ ผมู้ ีจติ ก�ำหนดั กา้ วลว่ งไม่ได้ ๖. พระมารดาพระโพธิสัตว์มีลาภ บริบูรณ์ด้วยกามคุณ ๕ (รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ) ๗. พระมารดาพระโพธิสัตว์ไม่มีโรค มองเห็นพระโพธิสัตว์ในพระครรภ์เหมือนเห็น เส้นด้ายในแก้วไพฑรู ย์ (ต้งั แตข่ อ้ ๓ ถึง ๗ หมายถงึ ระหวา่ งทรงพระครรภ)์ ๘ . เม่ือพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๗ วันแล้ว พระมารดาย่อมสวรรคต เข้าสู่สวรรค์ ช้ันดุสิต ๙. สตรีอ่ืนบริหารครรภ์ ๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้างจึงคลอด ส่วนพระมารดา พระโพธสิ ตั วบ์ รหิ ารพระครรภ์ ๑๐ เดือนพอดีจึงคลอด ๑ ๐. สตรอี น่ื นงั่ หรือนอนคลอด ส่วนพระมารดาพระโพธสิ ตั ว์ยืนคลอด ๑ ๑. เม่อื ประสตู ิ เทวดารับก่อน มนุษยร์ ับภายหลัง PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 448 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ มหาปทานสูตร 449 ๑ ๒. เมือ่ ประสตู ิ จากพระครรภ์ ยงั ไม่ทนั ถงึ พืน้ เทพบุตร ๔ ตนจะรับวางไวเ้ บอื้ งหน้า ทีฆนิกาย พระมารดา และบอกให้ทราบว่า พระโอรสทเ่ี กดิ มีศักดิ์ใหญ่ ๑ ๓. เมอื่ ประสตู ิ พระโพธิสตั วเ์ ป็นผ้บู รสิ ุทธิส์ ะอาด ไมแ่ ปดเปื้อนด้วยคพั ภมลทิน ๑๔. เม่อื ประสตู ิ จะมีธารน�้ำร้อนน�้ำเย็นตกลงมาสนานพระกายพระโพธิสัตว์และ พระมารดา ๑๕. ทันใดท่ีประสูติ พระโพธิสัตว์จะผินพระพักตร์ทางทิศเหนือ ด�ำเนินด้วยพระบาท ๗ กา้ ว เปลง่ พระวาจาประกาศเร่อื งท่ีจะทรงเปน็ เลศิ ในโลก และเร่ืองชาติน้ีเปน็ ชาตสิ ดุ ท้าย ๑ ๖. เม่ือพระโพธิสัตว์ประสูติ จะมีแสงสว่างอันโอฬารปรากฏในโลก และหม่ืนโลกธาตุ สะเทอื นสะท้าน วิปัสสกี ุมารประสตู จิ นถงึ เสด็จออกผนวช เม่ือวิปัสสีกุมารประสูติแล้ว พระเจ้าพันธุมา พุทธบิดา ก็ตรัสให้เชิญพวกพราหมณ์ ผู้รู้ลักษณะมาท�ำนาย พวกพราหมณ์พิจารณาแล้วกราบทูลว่า พระราชกุมารประกอบด้วย มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ถ้าครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเสด็จออกผนวช จักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระราชบิดาจึงให้ถนอมเล้ียงพระราชกุมารเป็นอันดี พระราชกุมารน่ังบนตักของพระราชบิดาในการวินิจฉัยอรรถคดีก็ทรงพิจารณาวินิจฉัยได้ดี ด้วยพระญาณปรชี า จงึ ได้รับขนานนามวา่ ‘วปิ ัสสี’ (ผูเ้ ห็นแจง้ ) ต่อจากนั้นเล่าเร่ืองวิปัสสีกุมารเสด็จสู่ราชอุทยาน พร้อมด้วยนายสารถี ได้ ทอดพระเนตรเหน็ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และนกั บวช จึงเสด็จออกผนวช พระวปิ ัสสีตรัสรู้และแสดงธรรม เมื่อผนวชแล้ว ทรงพิจารณาหลักธรรมเรื่องปฏิจจสมุปบาท (ธรรมที่เกิดขึ้น เพราะ อาศัยเหตุท่ีเก่ียวโยงกันเหมือนลูกโซ่) ทรงพิจารณาความเกิดความดับแห่งขันธ์ ๕ ก็ได้ตรัสรู้ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งแรกจะทรงงดแสดงธรรม เพราะเห็นว่า ธรรมะที่ตรัสรู้ นนั้ ลกึ ซ้งึ แตใ่ นที่สดุ ทรงเหน็ ว่า ผูท้ ่ีพอจะรู้ตามไดก้ ม็ ี จงึ ทรงแสดงธรรม และได้โปรดราชบุตร ชอื่ ขณั ฑะ และปโุ รหิตช่ือติสสะ ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ขอบรรพชาอุปสมบท และได้ส�ำเร็จเปน็ พระอรหันต์ในท่ีสุด ต่อมาได้มีผู้ออกบวชมากข้ึน จึงทรงส่งสาวกไปประกาศศาสนา ต่อเม่ือ ครบ ๖ ปี จึงให้กลับมากรุงพันธุมตี เพ่ือฟังปาฏิโมกข์ ซึ่งพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงในภิกษุสงฆ์ (มเี น้ือความเชน่ เดยี วกบั โอวาทปาฏโิ มกข์) PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 449 5/4/18 2:25 PM

450 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ทรงแสดงว่าเร่อื งเหล่าน้ีนอกจากทรงทราบด้วยพระองค์เอง เพราะทรงเขา้ ใจแจม่ แจง้ ซ่ึงธรรมธาตุเป็นอย่างดี แม้เทพดาก็เคยมากราบทูลเรื่องเหล่าน้ี เช่น ในสมัยท่ีประทับ ณ โคนไมส้ าละใหญใ่ นสภุ วันใกล้เมอื งอุกกัฏฐา (หมายเหตุ : พระสูตรน้ี อาจจะมีรายละเอียดที่ท�ำให้เกิดปัญหาการถอดความหมาย หรือการตีความเป็นธรรมะ เช่น บางท่านได้ถอดความว่า ท่ีว่ามีแสงสว่างเกิดขึ้นหรือแผ่นดินไหว เทียบด้วยจะช่วยโลกให้เกิดปัญญา และมีข่าวใหญ่แพร่ไปในโลก เป็นท่ีน่าตื่นเต้นในคุณความดี คล้ายแผ่นดินไหว เป็นต้น แต่หลักการใหญ่ผู้เขียนเห็นว่า ไม่ใช่อยู่ท่ีรายละเอียด เร่ืองช่ือ เรื่องสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ต่าง ๆ แต่อยู่ที่แสดงว่า ในพระพุทธศาสนาไม่มีการ ผูกขาดความรู้ ความฉลาด ความสามารถตรัสรู้สัจจธรรม เพ่ือผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ ผู้ใด บ�ำเพ็ญบารมีเพียงพอ ก็อาจเป็นพระพุทธเจ้าได้ท้ังน้ัน หลักธรรมจึงเป็นของกลาง ท่านผู้ใด พนิ จิ พจิ ารณาค้นควา้ กอ็ าจตรสั รู้ได้) ๒. มหานทิ านสตู ร (สตู รว่าด้วยตน้ เหตใุ หญ)่ พระผู้มีพระภาคประทับ ณ นิคม ชื่อกัมมาสธัมมะ ในแคว้นกุรุ พระอานนท์เข้าไปเฝ้า กราบทูลว่า แม้ปฏิจจสมุปบาท (ธรรมที่เกิดขึ้นอาศัยกันและกัน) เป็นของลึกซึ้งและมีเงาลึกซ้ึง แต่ปรากฏเป็นของตื้นส�ำหรับท่าน พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า อย่าพูดอย่างนั้น๑ ปฏิจจสมุปบาท น้ีลึกซึ้ง และมีเงาลึกซ้ึง เพราะไม่ตรัสรู้ธรรมนี้ สัตว์จึงไม่ล่วงพ้นอบาย (ภูมิอันเสื่อม) ทุคคติ (ท่ไี ปอันชั่ว) วนิ บิ าต (สภาพอนั ตกตำ่� ) สงสาร (การทอ่ งเที่ยวเวยี นว่ายตายเกิด) ยงุ่ เหยงิ สับสน เหมือนต้นหญา้ (ท่ตี กเกล่อื นกลาดอยู่ ยากท่ีจะจัดระเบยี บต้นปลาย) ปฏิจจสมปุ บาท (อะไรเปน็ ปจั จัยแหง่ อะไร) ต่อจากนั้นทรงแนะน�ำเร่ืองปฏิจจสมุปบาทต่อไป ถ้ามีผู้ถามว่า ความแก่ความ ตายมปี ัจจัยหรือไม่ พึงตอบว่า มี โดยชี้ไปท่ีความเกดิ (ชาต)ิ ว่า ๑. เพราะความเกิดเปน็ ปจั จัย จึงมคี วามแก่และความตาย ๒ . เพราะภพ (ความมคี วามเปน็ ) เปน็ ปัจจยั จึงมชี าติ (ความเกิด) ๓. เพราะอุปาทาน (ความยึดถือ) เป็นปจั จัย จึงมภี พ ๑ อรรถกถาแก้ว่า เป็นของง่าย และต้ืนส�ำหรับพระอานนท์จริง แต่ยากส�ำหรับคนทั่วไป ทั้งน้ีเพราะพระอานนท์เป็น พหูสตู ผ้สู ดบั ตรับฟังมาก และมปี ญั ญา PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 450 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ มหานิทานสูตร 451 ๔. เพราะตณั หา (ความทะยานอยาก) เปน็ ปจั จยั จงึ มอี ุปาทาน ทีฆนิกาย ๕. เพราะเวทนา (ความรู้สึกทีเ่ กดิ จากสัมผัสทางตา หู เป็นต้น) เป็นปัจจัย จงึ มตี ัณหา ๖. เพราะผสั สะ (ความถูกตอ้ ง) เป็นปจั จัย จงึ มีเวทนา ๗. เพราะรูปนาม (ส่ิงท่ีไม่มีรูปร่าง มีแต่ชื่อ เรียกว่านาม ได้แก่เวทนา ความรู้สึก อารมณ์ สัญญา ความจ�ำได้หมายรู้ เจตนา ความจงใจ ผัสสะ ความถูกต้อง มนสิการ ความท�ำไว้ในใจ ส่วนสิ่งที่เป็นรูป คือธาตุ ๔ และรูปอันปรากฏเพราะ อาศยั ธาตุ ๔) เป็นปัจจัย จงึ มผี สั สะ ๘ . เพราะวญิ ญาณ (ปฏิสนธวิ ิญญาณ) คือธาตุรู้ทีถ่ ือก�ำเนิด๑ เปน็ ปัจจัย จึงมีรปู นาม ๙. เพราะนามรูปเป็นปจั จัย จึงมวี ญิ ญาณ ๑๐. เพราะวิญญาณเป็นปจั จยั จงึ มีนามรูป ๑๑. เพราะนามรูปเป็นปจั จัย จึงมีผัสสะ ๑ ๒. เพราะผัสสะเป็นปจั จยั จงึ มเี วทนา ๑ ๓. เพราะมเี วทนาเปน็ ปัจจยั จึงมตี ัณหา ๑ ๔. เพราะมีตณั หาเปน็ ปัจจยั จงึ มีอุปาทาน ๑๕. เพราะอปุ าทานเป็นปจั จัย จงึ มภี พ ๑๖. เพราะภพเป็นปัจจยั จึงมีชาติ ๑ ๗. เพราะชาติ (ความเกดิ ) เปน็ ปัจจยั จงึ มชี รา มรณะ (ความแก่ ความตาย) (ในตอนนี้พึงสังเกตว่า ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทในลักษณะพิเศษ เพราะสาวไป ไม่ถึงอวิชชา หากวนเป็นเหตุปัจจัยกันอยู่ระหว่างนามรูปกับวิญญาณ โปรดดูข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ต่างฝ่ายเปน็ ปัจจัยของกันและกนั แลว้ จงึ ตอ่ เนือ่ งไปถงึ อันอืน่ ) (ต่อจากนั้นทรงอธิบายรายละเอียด พร้อมท้ังเหตุผลประกอบหัวข้อท้ังสิบเจ็ดข้อนั้น แต่มีข้อน่าสังเกตท่ีทรงใช้ศัพท์เกี่ยวกับสัมผัส คือทรงอธิบายสัมผัสว่า มี ๖ มีสัมผัสทางตา จนถึงสัมผัสทางใจ แล้วทรงใช้ค�ำว่า อธิวจนสัมผัส ซ่ึงอรรถกถาอธิบายว่า เป็นสัมผัสทางใจ และ ปฏิฆสัมผัส ซึ่งอรรถกถาอธิบายว่า เป็นสัมผัสที่เน่ืองด้วยรูปขันธ์ คือสัมผัสทางร่างกาย ค�ำอธิบายปฏิจจสมุปบาทโดยละเอียด จักมีแจ้งในการย่อความเล่ม ๑๖ เพราะในเล่มนั้น ทงั้ เล่มวา่ ด้วยปฏิจจสมุปบาทตลอด) ๑ ค�ำว่า วิญญาณ ในท่ีน้ี หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณ เพราะทรงใช้ค�ำว่า วิญญาณ ก้าวลงในท้องของมารดา ในตอน ขยายความต่อจากน ้ี แตใ่ นสังยตุ ตนิกาย ส.ํ นิ. ๑๖/๒๓/๕ ทรงอธิบายวญิ ญาณวา่ ได้แก่วิญญาณ ๖ อันหมายถงึ ธาตุร้ทู ป่ี รากฏทางตา หู เป็นต้น PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 451 5/4/18 2:25 PM

452 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ในท่ีสุดตรัสสรูปในช้ันนี้ก่อนว่า ข้อท่ีวิญญาณ กับ นามรูป ต่างเป็นปัจจัยของกัน และกันนี้ ย่อมเป็นเหตุให้สัตว์เกิด แก่ ตาย จุติ อุปบัติ๑ เป็นเหตุให้มีทางแห่งค�ำเรียกชื่อ มที างแหง่ การพดู จา มที างแห่งการบัญญตั ิ มีการรู้ได้ด้วยปญั ญา และมวี ัฏฏะ ความหมนุ เวียน และมคี วามเป็นอยา่ งน้ี การบญั ญตั ิและไมบ่ ญั ญัตอิ ตั ตา ตอ่ จากนั้นทรงแสดงการบัญญัติอัตตา ๔ ประการ คือ ๑. บัญญตั อิ ตั ตา ‘เล็กนอ้ ย’ วา่ มรี ปู ๒. บญั ญัติอัตตา ‘หาทีส่ ุดมิได้’ ว่ามรี ปู ๓. บญั ญัติอตั ตา ‘เลก็ น้อย’ วา่ ไม่มรี ปู และ ๔. บญั ญตั ิอตั ตา ‘หาท่ีสดุ มไิ ด้’ ว่าไม่มรี ปู ๒ การบญั ญัติอย่างน้ยี ่อมมี ๓ ประการ คอื (๑) บญั ญตั ิอตั ตา เฉพาะในปัจจุบันน้ีเทา่ นัน้ (เพราะมีความเหน็ ว่าตายแลว้ สูญ) (๒) บญั ญตั อิ ตั ตา ทมี่ คี วามเปน็ อยา่ งนนั้ (เพราะมคี วามเหน็ วา่ เทยี่ ง ไมเ่ ปลยี่ นแปลง) (๓) บัญญัติด้วยต้องการจะลบล้างความเห็นผิดของฝ่ายอื่น จูงมาสู่ความเห็น ของตน (ซึ่งเข้าใจว่าถูก) สว่ นการไมบ่ ญั ญตั อิ ตั ตา กเ็ ปน็ ไปในทางตรงกนั ขา้ มกบั การบญั ญตั อิ ตั ตาทกี่ ลา่ วมาแลว้ ความคดิ เห็นเร่ืองเวทนาเกย่ี วกบั อตั ตา ครนั้ แล้วทรงแสดงความคดิ เหน็ ของบคุ คล ๓ ข้อเก่ียวกบั เวทนา และอตั ตา คอื ๑. เห็นว่าเวทนา (ความรู้สึกอารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุข) เป็นอัตตา (ตัวตน) ของเรา ๒. เห็นวา่ เวทนามิใช่อัตตาของเรา อตั ตาของเราไมร่ ูส้ กึ อารมณ์ ๓. เห็นว่าเวทนามิใช่อัตตาของเรา อัตตาของเราไม่รู้สึกอารมณ์ก็มิใช่ อัตตา ของเรายอ่ มเสวยอารมณ์ อตั ตาของเรามเี วทนาเปน็ ธรรมดา ๒๑ อุปบตั ิ อ่านวา่ อุปะบดั เปน็ คำ� คู่กับจตุ ิ จุติ หมายถงึ เคล่อื นจากฐานะเดิม อปุ บัติ หมายถงึ เขา้ ถงึ ฐานะใหม่ ค�ำว่า อัตตาเล็กน้อย ถ้าเทียบกับศาสนาพราหมณ์ น่าจะหมายถึงอัตตาของแต่ละคน ส่วนอัตตาหาท่ีสุดมิได้ หรืออนันตอัตตา น่าจะหมายถึงอัตตาใหญ่ หรืออัตตาสากล ที่เรียกว่าปรมาตมัน แต่อรรถกถาอธิบายว่า ผู้ไม่ได้ เจริญกสิณนมิ ติ ยอ่ มบญั ญัตอิ ัตตาเลก็ น้อย ถ้าไดเ้ จรญิ กสณิ นมิ ิต ยอ่ มบญั ญตั อิ ตั ตาหาทสี่ ุดมิได้ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 452 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ มหานิทานสูตร 453 แล้วทรงแสดงเหตุผลให้เห็นจริงท้ังสามข้อว่า ไม่ควรยึดถืออย่างน้ัน ในท่ีสุดตรัส ทีฆนิกาย สรุปว่า ภิกษุผู้ไม่เห็นทั้งสามอย่างนั้น ย่อมไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลก เม่ือไม่ยึดถือ ก็ไม่สะดุ้ง ด้ินรน เม่ือไม่สะดุ้งดิ้นรน ก็ดับสนิทเฉพาะตน รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว ได้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ได้ท�ำหน้าที่เสร็จแล้ว กิจอ่ืนเพ่ือความเป็นอย่างน้ีไม่มีอีก ภิกษุผู้หลุดพ้นแล้วเช่นนี้ ไม่ควร ท่ีใคร ๆ จะกล่าวว่า ท่านมีความเห็นว่าสัตว์ตายแล้วเกิด สัตว์ตายแล้วไม่เกิด สัตว์ตายแล้ว ทัง้ เกิดและไม่เกดิ และสตั ว์ตายแลว้ เกดิ กไ็ ม่ใช่ ไมเ่ กดิ ก็ไมใ่ ช่ ข้อนน้ั เพราะเหตไุ ร เพราะวฏั ฏะ ย่อมหมุนเวียนไปตราบเท่าท่ียังมีทางแห่งค�ำเรียกช่ือ มีทางแห่งค�ำพูดจา มีบัญญัติ มีทาง แหง่ การบัญญตั ิ มกี ารนดั กนั รู้ มกี ารรู้ไดด้ ว้ ยปญั ญา และยังมีการหมนุ เวียนอยู่ ภิกษผุ ู้หลดุ พ้น เพราะรคู้ วามจรงิ นัน้ ไม่ควรที่ใคร ๆ จะมคี วามเห็นวา่ ท่านไม่ร้ไู ม่เห็น (หมายเหตุ : การท่ีพระอรหันต์ไม่ติดอยู่ในความเห็นข้อใดข้อหน่ึง ที่ว่าสัตว์ตายแล้ว เกิดหรือไม่นั้น เป็นเพราะไม่ติดอยู่ในสมมติบัญญัติเก่ียวกับกระแสหมุนเวียน เมื่อรู้เท่า กระแสหมนุ เวียนและหลดุ พ้นได้ จงึ ไมค่ วรทจ่ี ะกล่าวว่าทา่ นไมร่ ไู้ มเ่ ห็น) ทีต่ งั้ แห่งวิญาณ ๗ อย่าง ต่อจากน้นั ทรงแสดงวิญญาณฐติ ิ (ท่ีตง้ั แห่งวญิ ญาณ) ๗ อยา่ ง คือ ๑. สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญา (ความจ�ำได้หมายรู้) ต่างกัน เช่น มนุษย์ เทวดาบางพวก และเปรตบางพวก๑ ๒ . สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เทพ พวกพรหม ท่ีเกิด ดว้ ยปฐมฌานและสตั ว์ทอี่ ยูใ่ นอบาย ๔ ๓. สัตวเ์ หลา่ หนึ่งมีกายอยา่ งเดียวกนั มีสัญญาตา่ งกัน เชน่ เทพพวกอาภัสสรพรหม ๔. สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เทพพวก สภุ กณิ หพรหม ๕. สัตว์เหล่าหน่ึงก้าวล่วงความก�ำหนดหมายในรูป ท�ำในใจว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ (เป็นพรหมไมม่ รี ปู พวกที่ ๑) ๖. สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะ ท�ำในใจว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เข้าถึงวญิ ญาณัญจายตนะ (เปน็ พรหมไมม่ รี ปู พวกที่ ๒) ๗ . สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะ ท�ำในใจว่า ไม่มีอะไร เข้าถึง อากญิ จญั ญายตนะ (เปน็ พรหมไม่มีรปู พวกที่ ๓) ๑ อรรถกถาอธิบายว่า ได้แก่พวกเวมานิกเปรต คือเปรตที่ได้วิมาน ซึ่งได้รับความสุขความทุกข์สลับกันไป เปรตพวกนี้ ไมจ่ ัดอยใู่ นอบายภมู ิ ดอู รรถกถา สุ.วิ. ๒/๑๗๖ (สมุ งฺคลวิลาสนิ )ี PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 453 5/4/18 2:25 PM

454 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ อายตนะ ๒ (พวกมวี ญิ ญาณไม่ปรากฏ กบั ปรากฏแตไ่ มช่ ดั ) ครน้ั แล้วทรงแสดงอายตนะ ๒ คอื ๑. อสัญญีสัตตายตนะ อายตนะ หรือที่ต่อ คืออสัญญีสัตว์ (อสัญญีสัตว์เป็นพวกมี แต่รปู ไมม่ ีวิญญาณ จงึ ไม่จดั เขา้ ในวิญญาณฐิติ ๗ อยา่ ง แต่เรียกวา่ อายตนะ) ๒. เนวสัญญานาสญั ญายตนะ อายตนะ หรอื ท่ีตอ่ คือทม่ี สี ญั ญากไ็ ม่ใช่ ไมม่ ีสัญญา ก็ไม่ใช่ (นี้เป็นพรหมไม่มีรูป พวกท่ี ๔ เพราะเหตุที่วิญญาณในอรูปพรหมชั้นนี้ สุขุมละเอียดอ่อนมาก จึงไม่ควรกล่าวว่ามีวิญญาณ หรือไม่มีวิญญาณ ฉะน้ัน จึงไม่จัดเข้าในวิญญาณฐิติ ๗ แต่เรียกว่าอายตนะ เป็นอันว่า ต้องกล่าวว่า วญิ ญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ จงึ จะครอบคลมุ สัตวโลกไดห้ มดทกุ ชนิด) ผู้หลดุ พ้นดว้ ยปญั ญา ตรัสสรูปเฉพาะตอนนี้อีกว่า ผู้ใดรู้วิญญาณฐิติท้ัง ๗ รู้อายตนะท้ัง ๒ รู้ความเกิดข้ึน รู้ความดับไป รู้ความพอใจ รู้โทษ และรู้การแล่นออก (หลุดพ้น) จากวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ แล้ว ควรหรือท่ีจะชื่นชมยินดีวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ น้ัน พระอานนท์กราบทูลว่า ไม่ควร จึงตรัสว่า ภิกษุผู้รู้ตามความเป็นจริงอย่างน้ี ย่อมหลุดพ้น เพราะไม่ถอื ม่นั (ดว้ ยอปุ าทาน) เรียกว่าเป็นปัญญาวิมุติ (ผหู้ ลดุ พ้นดว้ ยปญั ญา) วโิ มกข์ (ความหลดุ พน้ ) ๘ ทรงแสดงวิโมกข์ ๘ แกพ่ ระอานนท์ต่อไป คอื ๑. บคุ คลมรี ปู เห็นรูป ๒ . บุคคลมคี วามก�ำหนดหมายในสงิ่ ไมม่ ีรูป เห็นรปู ภายนอก ๓ . บุคคลนอ้ มใจวา่ ”งาม„ ๔. บคุ คลทำ� ไวใ้ นใจวา่ อากาศไมม่ ีท่สี ุด เขา้ ถึงอากาสานญั จายตนะ ๕. บุคคลทำ� ไวใ้ นใจวา่ วิญญาณไม่มที ่ีสดุ เข้าถึงวญิ ญาณญั จายตนะ ๖. บคุ คลท�ำไว้ในใจว่า ไม่มีอะไร เข้าถึงอากญิ จัญญายตนะ ๗ . บุคคลกา้ วล่วงอากิญจญั ญายตนะ เขา้ ถงึ เนวสัญญานาสญั ญายตนะ ๘. บุคคลกา้ วล่วงเนวสญั ญานาสญั ญายตนะ เข้าถึงสญั ญาเวทยติ นิโรธ๑ ๑ คำ� แปลศัพท์ ดูการบญั ญตั ิความสุขในพระพุทธศาสนา หน้า ๑๙๓ - ๑๙๕ ขอ้ (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) - ม.พ.ป. PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 454 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ มหาปรินิพพานสูตร 455 สรูปเก่ยี วกับวโิ มกข์ ๘ ทีฆนิกาย ภิกษุผู้เข้าสู่วิโมกข์ ๘ น้ี ได้ท้ังอนุโลม (ตามล�ำดับ) และปฏิโลม (ถอยกลับจากหลัง ไปหาหน้า) เข้าได้ออกได้ตามต้องการ ย่อมท�ำให้แจ้ง (บรรลุ) ความหลุดพ้นด้วยสมาธิ (เจโตวิมุติ) และความหลุดพ้นด้วยปัญญา (ปัญญาวิมุติ) อันไม่มีอาสวะ เพราะส้ินอาสวะได้ ในปัจจุบัน ภิกษุน้ี เรียกว่าอุภโตภาควิมุต (ผู้พ้นท้ังสองทาง) ไม่มีอุภโตภาควิมุตอย่างอ่ืน ยอดเยย่ี มกว่า ประณีตกว่า เม่อื จบพระธรรมเทศนา พระอานนท์ก็ชน่ื ชมภาษติ ของพระผ้มู พี ระภาค (หมายเหตุ : มหานิทานสูตรนี้ เป็นการแสดงเรื่องความเวียนว่ายตายเกิด โดยเเสดง เง่ือนต้น ท่ีวิญญาณและนามรูป ต่างเป็นปัจจัยของกันและกัน ท�ำให้เวียนว่ายตายเกิด และ เป็นเหตุให้มีการบัญญัติอัตตาตัวตน ผู้รู้แจ้งความจริงย่อมไม่ติดในบัญญัตินั้น ๆ ในท่ีสุดได้ แสดงถึงวิญญาณฐิติ คือท่ีตั้งแห่งวิญญาณ หรือประเภทแห่งสัตวโลก ๗ กับแสดงอายตนะ ๒ คือพวกท่ีวิญญาณไม่ปรากฏ กับปรากฏ แต่ไม่ชัด ๒ พวก ในที่สุดได้แสดงวิโมกข์ คือ ความหลุดพ้น ๘ ประการ ท่ีผู้เข้าออกได้คล่องแคล่ว จะชื่อว่าผู้พ้นด้วยสมาธิและปัญญา ความจริงควรจะได้อธิบายรายละเอียดว่า ข้อไหนมีความพิสดารอย่างไร แต่ถ้าท�ำอย่างน้ัน จะไมจ่ บตามกำ� หนด จงึ ตอ้ งขอผา่ นไป เสนอแต่ความสำ� คญั ) ๓. มหาปรินิพพานสูตร (สตู รว่าดว้ ยมหาปรนิ ิพพานของพระพุทธเจ้า) เริ่มเร่ืองเล่าว่า พระพุทธเจ้าประทับ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ พระเจ้า อชาตศัตรูกษัตริย์แคว้นมคธ ต้องการจะตีแคว้นวัชชีไว้ในอ�ำนาจ๑ จึงส่งวัสสการพราหมณ์ ให้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค เล่าความให้ทรงทราบแล้ว ให้วัสสการพราหมณ์ฟังดูว่าจะทรง พยากรณ์อย่างไร เพราะเชอ่ื วา่ จะไม่ตรสั ผิดความจริง วัสสการพราหมณ์เข้าไปเฝ้ากราบทูลเรื่องนั้น พระผู้มีพระภาคก็ตรัสถามพระอานนท์ ทีละข้อถึงธรรมะ ๗ ประการท่ีชาววัชชีประพฤติกัน อันจะหวังความเจริญได้โดยส่วนเดียว ไม่มีเสื่อม ว่าพระอานนท์เคยได้ฟังบ้างหรือเปล่า พระอานนท์ก็กราบทูลว่า เคยได้ฟัง ธรรมะ ๗ ประการนน้ั คือชาววชั ชี ๑ แควน้ มคธ มีกรุงราชคฤหเ์ ปน็ ราชธาน ี แคว้นวัชชี มกี รงุ เวสาลีเปน็ ราชธานี PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 455 5/4/18 2:25 PM

456 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๑. จะหมน่ั ประชมุ กันเนอื งนติ ย์ ๒. จะพร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันท�ำกิจ ของชาววชั ชี ๓. จะไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ จะไม่ถอนสิ่งท่ีบัญญัติไว้แล้ว จะประพฤติ ปฏิบัติในวัชชีธรรมอนั เป็นของเก่า ๔. จะเคารพเชอ่ื ฟังชาววัชชีผ้แู กเ่ ฒา่ ๕. จะไม่ก้าวล่วงข่มเหงกุลสตรี (หญิงที่มีสามีแล้ว) และกุลกุมารี (หญิงสาวที่ยัง ไม่มีสาม)ี ๖. จะเคารพนับถือเจดีย์ของชาววัชชีทั้งภายในและภายนอก ไม่ละเลยพลีกรรมอัน เปน็ ธรรมที่เคยให้เคยทำ� ๗. จะจัดการรักษาคุ้มครองอันเป็นธรรมในพระอรหันต์ของชาววัชชี จะต้ังใจว่า พระอรหนั ต์ท่ยี งั ไมม่ า ขอให้มา ทม่ี าแลว้ ขอใหเ้ ป็นสุข ครั้นแล้วได้ตรัสแก่วัสสการพราหมณ์ว่า พระองค์เคยตรัสแสดงวัชชีอปริหานิยธรรม (ธรรมะอนั เปน็ ทต่ี ้ังแห่งความไมเ่ สื่อมของชาววชั ช)ี ๗ ประการ เมอ่ื ประทับ ณ สารันทเจดีย์ วัสสการพราหมณ์ก็กราบทูลว่า เพียงข้อใดข้อหน่ึงก็หวังความเจริญได้ ไม่มีเสื่อม จะกล่าวไยถึง ๗ ข้อ พระเจ้าอชาตศัตรูไม่ควรท�ำการรบกับชาววัชชี เว้นไว้แต่ใช้วิธียุและ ทำ� ใหแ้ ตกกัน แล้วกราบทลู ลากลับไป เม่ือวัสสการพราหมณ์กลับไปแล้ว จึงตรัสให้เรียกประชุมภิกษุที่อยู่กรุงราชคฤห์ ท้ังหมด แล้วทรงแสดงธรรมอันเป็นที่ต้ังแห่งความไม่เส่ือมของภิกษุ ๗ อย่าง รวม ๕ นัย ๖ อย่าง ๑ นัย (รวมเป็น ๔๑ ขอ้ ) ระหว่างที่ประทับ ณ เขาคิชฌกูฏใกล้กรุงราชคฤห์นั้น ทรงแสดงเร่ืองศีล สมาธิ ปัญญา โดยมาก เสด็จสวนมะม่วงหนุ่มและเมืองนาฬนั ทา ต่อจากน้ันเสด็จสวนมะม่วงหนุ่ม แสดงธรรมเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา โดยมาก แล้วเสด็จเมืองนาฬันทา พระสาริบุตรเข้าไปเฝ้ากราบทูลสรรเสริญพระผู้มีพระภาค พระองค์ ตรัสโตต้ อบดว้ ย และในที่นนั้ กท็ รงแสดงธรรมเรอื่ งศลี สมาธิ ปัญญา โดยมาก PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 456 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ มหาปรินิพพานสูตร 457 เสดจ็ ปาฏลคิ าม ทีฆนิกาย คร้ันแล้วเสด็จสู่ปาฏลิคาม อุบาสกชาวปาฏลิคาม มาเฝ้ากราบทูลเชิญให้เข้าพักใน ทพ่ี กั ทรงแสดงโทษของความวบิ ตั ิจากศีล ๕ ประการ คอื ๑. เส่อื มทรัพย์ ๒. มีกติ ติศพั ท์ในทางชัว่ ๓. เม่ือเข้าสู่บริษทั ไมอ่ งอาจ มอี าการเกอ้ เขิน ๔. เป็นผู้หลง ถึงแก่ความตาย ๕. เม่ือตายแลว้ กเ็ ข้าถึงอบาย ทคุ คติ วินบิ าต๑ นรก แล้วทรงแสดงอานิสงส์แห่งความสมบูรณ์ด้วยศีล ๕ ประการ ในทางตรงกันข้ามกับ ศีลวิบัติ กล่าวถึงสุนิธพราหมณ์และวัสสการพราหมณ์ มหาอ�ำมาตย์ชาวมคธ มาสร้างเมือง ในปาฏลิคามเพื่อป้องกันชาววัชชี (ชายแดนมคธกับวัชชี ตรงนั้นมีแม่น้�ำคงคากั้นเป็นเขตแดน ทางมคธจึงสร้างเมืองยุทธศาสตร์ไว้ท่ีปาฏลิคาม) และได้นิมนต์พระผู้มีพระภาค พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ฉันภัตตาหาร ณ ที่อยู่ของตน เม่ือพระผู้มีพระภาคเสด็จไปฉันเสร็จแล้ว ทรง อนุโมทนา และเสด็จเดินทางต่อไป มหาอ�ำมาตย์ท้ังสองตามส่งเสด็จ และตั้งชื่อประตูที่เสด็จ ผา่ นว่า ประตโู คดม ต้งั ช่อื ทา่ น�ำ้ ที่เสด็จข้ามแมน่ ้ำ� คงคาว่า ท่าโคดม เสด็จโกฏิคามและนาทิกคาม เม่ือเสด็จข้ามแม่น�้ำคงคาแล้ว ได้เสด็จต่อไป (ในแคว้นวัชชี) สู่โกฏิคาม ณ ท่ีนั้นทรง แสดงธรรมเร่ืองอริยสัจจ์ ๔ และแสดงเร่ืองศีล สมาธิ ปัญญา โดยมาก ต่อจากนั้นได้เสด็จไป พัก ณ โรงพักคนเดินทางท�ำด้วยอิฐ ในนาทิกคาม ณ ท่ีนั้นทรงแสดงธรรมปรารภค�ำถาม ของพระอานนท์ท่ีวา่ ผ้นู ัน้ ผู้นี้ตายไป มีคติเปน็ อย่างไร โดยแสดงหลักธรรมท่ผี ้ปู ระพฤตปิ ฏิบัติ อาจพยากรณ์ตนเองได้ว่า จะพ้นคติท่ีตกต�่ำหรือไม่ และแม้ ณ นาทิกคามน้ัน ก็ทรงแสดง เรอ่ื งศลี สมาธิ ปัญญา โดยมาก ๑ ค�ำว่า วินิบาต หมายถึงไปเกิดเป็นเวมานิกเปรต มีสุขทุกข์สลับกัน คืออาจอยู่วิมานสมัยหน่ึง ทนทุกข์ทรมาน สมัยหนึ่ง PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 457 5/4/18 2:25 PM

458 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ เสด็จปา่ มะมว่ งของนางอมั พปาลี จากนาทิกคามได้เสด็จไปพัก ณ ป่ามะม่วงของนางอัมพปาลี และได้แสดงธรรมแก่ ภกิ ษุทงั้ หลายให้มสี ตสิ ัมปชัญญะ และโดยเฉพาะได้แสดงการตง้ั สติ (สติปฏั ฐาน) ๔ ประการ นางอัมพปาลี ซึ่งเป็นหญิงนครโสเภณี ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จมาประทับ ณ ป่ามะม่วงของตน ก็ส่ังเตรียมยานอย่างดี เดินทางไปเฝ้า และนิมนต์พระผู้มีพระภาคไปฉัน ทีบ่ ้านของตน พรอ้ มด้วยภิกษสุ งฆใ์ นวนั ร่งุ ขึ้น ฝ่ายกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายทราบว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จมาประทับ ณ ป่ามะม่วง ของนางอัมพปาลีใกล้กรุงเวสาลี ก็สั่งเตรียมยานอย่างดี แต่งกายงดงาม ออกเดินทางไป สวนทางกับยานของนางอัมพปาลี ถามทราบความว่า นางอัมพปาลีนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อม ด้วยภิกษุสงฆ์ฉันในวันรุ่งข้ึน จึงขอร้องให้มอบให้ตนเป็นผู้ถวายอาหารแทน โดยจะให้เงิน แสนหนึ่ง นางอัมพปาลีตอบว่า แม้จะให้เมืองเวสาลี พร้อมทั้งอาหารก็ไม่ยอมให้ถวายอาหาร แทนตน เม่ือกษัตริย์ลิจฉวีไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ก็กราบทูลนิมนต์ฉันในวันรุ่งขึ้น พระผู้มี พระภาคตรสั ตอบว่า นางอัมพปาลีนมิ นต์ไวแ้ ล้ว กด็ ดี มือแสดงความเสียดาย เมื่อไปฉันท่ีบ้านนางอัมพปาลีในวันรุ่งขึ้น นางอัมพปาลีก็ได้ถวายป่ามะม่วงแก่ ภิกษุสงฆ์ ณ ป่ามะมว่ งนนั้ ทรงแสดงธรรมเรือ่ งศลี สมาธิ ปัญญา โดยมาก เสดจ็ จำ� พรรษา ณ เวฬวุ คาม ต่อจากน้ันได้เสด็จไปยังเวฬุวคาม (หมู่บ้านไม้มะตูม) และตรัสอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ จ�ำพรรษารอบเมืองเวสาลีได้ตามอัธยาศัย ในระหว่างพรรษาทรงประชวร แต่ทรงเห็นว่า ยังไม่ได้ลาอุปฐาก (ผู้รับใช้) ยังไม่ได้ลาภิกษุสงฆ์ ยังไม่สมควรปรินิพพาน จึงทรงขับไล่อาพาธ ด้วยความเพียร อธิษฐานชีวิตสังขาร (ต้ังพระหฤทัยให้ด�ำรงชีวิตอยู่) เมื่อหายประชวรแล้ว พระอานนท์เข้าเฝ้ากราบทูลความกังวลใจท่ีเห็นทรงประชวร ตรัสตอบว่า พระองค์ได้ทรง แสดงธรรมไมม่ ภี ายใน ไมม่ ภี ายนอก ไมม่ กี ำ� มอื ของอาจารยใ์ นธรรมทงั้ หลาย (ไมป่ ดิ บงั ธรรมะ) ไม่ได้ทรงยึดถือว่าบริหารภิกษุสงฆ์ และมิได้ทรงยึดถือว่าภิกษุสงฆ์เป็นผู้เล่าเรียนจากพระองค์ ทรงเปรียบพระองค์ซ่ึงแก่เฒ่าล่วงวัย มีพระชนมายุถึง ๘๐ ปีว่า เหมือนเกวียนเก่าท่ีซ่อมด้วย ไม้ไผ่ ตรสั เตอื นใหพ้ ง่ึ ตน พง่ึ ธรรมะ และตรสั สอนสตปิ ฏั ฐาน ๔ ทรงปลงอายสุ ังขาร เม่ือเสด็จพักผ่อนกลางวัน ณ ปาวาลเจดีย์ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนิมิตโอภาส อันชัดเจน (บอกใบ้อย่างชัดเจน) แก่พระอานนท์ว่า ผู้ใดเจริญอิทธิบาท (ธรรมที่ให้บรรลุ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 458 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ มหาปรินิพพานสูตร 459 ความส�ำเร็จผล) ๔ ประการดีแล้ว ถ้าปรารถนาก็อาจมีอายุยืนอยู่ได้ถึงกัปป์หรือเกินกัปป์๑ ทีฆนิกาย แต่พระอานนทน์ ึกไมถ่ งึ จึงมไิ ด้กราบทลู อาราธนา เม่ือพระอานนท์ออกไปจากท่ีเฝ้า มาร๒ จึงมาอาราธนาให้นิพพาน พระองค์ทรงมี สติสัมปชัญญะปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์นั้น (ปลงพระหฤทัยว่า ต่อไปน้ีอีก ๓ เดือน จะเสด็จปรนิ พิ พาน) ก็เกดิ แผ่นดนิ ไหวมหศั จรรย์ เป็นตน้ พระอานนท์กราบทูลถาม จึงตรัสตอบถึงเหตุแห่งแผ่นดินไหว แล้วทรงแสดงบริษัท ๘ มีขัตติยบริษัท เป็นต้น และการท่ีพระองค์เคยเสด็จเข้าไปสู่บริษัทเหล่าน้ัน ท�ำพระองค์ให้ เข้ากันได้กับบริษัทเหล่านั้นแล้วทรงแสดงอภิภายตนะ (อารมณ์อันครอบง�ำธรรมะที่เป็นข้าศึก หรือธรรมะฝ่ายต่�ำ) ๘ ประการ วิโมกข์ (ธรรมะเป็นเคร่ืองหลุดพ้นจากธรรมะที่เป็นข้าศึก) ๘ ประการ แล้วตรัสเล่าเรื่องท่ีทรงปลงอายุสังขาร พระอานนท์จึงกราบทูลอาราธนาให้ทรง พระชนมชีพอยู่อีก ตรสั วา่ มิใชก่ าลทจี่ ะขอร้องเสียแลว้ เพราะไดท้ รงแสดงนิมิต (เครือ่ งหมาย) แสดงโอภาส (แสงสว่าง – หมายถึงการบอกใบ้) อย่างชัดเจนแล้วหลายคร้ัง คือท่ีกรุงราชคฤห์ ๑๐ แห่ง ทก่ี รุงเวสาลี ๖ แหง่ แต่พระอานนท์กม็ ไิ ด้อาราธนา บัดน้พี ระองคท์ รงปลงอายสุ ังขาร เสียแล้ว จึงมใิ ช่ฐานะท่จี ะทรงคืนความต้งั พระหฤทยั เสด็จป่ามหาวนั ประชมุ ภกิ ษุสงฆ์ ต่อจากนั้นเสด็จสู่เรือนยอด ณ ป่ามหาวัน ทรงเรียกประชุมภิกษุสงฆ์ที่อยู่ใน กรุงเวสาลีทั้งหมด ณ ที่น้ัน แล้วทรงแสดงสติปัฏฐาน (การตั้งสติ) ๔ อย่าง สัมมัปปธาน (ความเพยี รชอบ) ๔ อย่าง อิทธิบาท (ธรรมอนั ให้บรรลคุ วามส�ำเร็จ) ๔ อย่าง อนิ ทรยี ์ (ธรรมอนั เป็นใหญ่ในหนา้ ท่ขี องตน) ๕ อย่าง พละ (ธรรมอนั เป็นกำ� ลัง) ๕ อยา่ ง โพชฌงค์ (ธรรมอันเป็น องค์ประกอบให้ได้ตรัสรู้) ๗ อย่าง และมรรค (ข้อปฏิบัติหรือทางด�ำเนิน) ๘ อย่าง (รวม ๓๗ ประการ) ว่าเป็นอภิญญาเทสิตธรรม (ธรรมที่ทรงแสดงแล้วด้วยความรู้ยิ่ง) แล้วตรัสเตือน ภิกษทุ ัง้ หลายใหต้ ้งั อยใู่ นความไมป่ ระมาท อีก ๓ เดือนตอ่ แต่นี้ พระองคจ์ ะปรนิ ิพพาน ๑๒ อรรถกถาแก้วา่ อยู่ได้อกี รอ้ ยปหี รอื ย่ิงกวา่ สุดแต่จะอธิบายให้เหมาะสมเป็นปุคคลาธิษฐาน คำ� ว่า มาร อาจหมายได้หลายอย่าง ทั้งเทวปุตตมารและมัจจุมาร คอื แสดงบคุ คลเป็นท่ตี งั้ หรอื ธรรมาธษิ ฐาน แสดงธรรมะเป็นท่ีต้งั PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 459 5/4/18 2:25 PM

460 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ เสดจ็ ภัณฑคามและที่อ่นื ๆ แล้วเสด็จจากกรุงเวสาลีสู่ภัณฑคาม ทรงแสดงอริยธรรม (ธรรมอันประเสริฐ) ๔ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา และวิมุติ (ความหลุดพ้น) และทรงแสดงเร่ืองศีล สมาธิ ปญั ญา โดยมาก ต่อจากนน้ั เสดจ็ สหู่ ัตถิคาม อมั พคาม ชัมพคุ าม และโภคนคร โดยล�ำดบั ณ โภคนคร ทรงแสดงมหาปเทส (หลักอ้างอิงส�ำหรับสอบสวนข้อกล่าวอ้างของผู้อื่นที่ว่า เป็นธรรมเป็นวินัย เปน็ คำ� สอนของพระพุทธเจ้า) ๔ ประการ โดยใหส้ อบกบั พระสูตรเทียบกับพระวนิ ัยก่อน เสดจ็ กรุงปาวา ฉนั อาหารของนายจนุ ทะ ครั้นแล้วเสด็จสู่กรุงปาวา นายจุนทะบุตรช่างทองนิมนต์ฉัน ก็เสด็จไปฉัน พร้อมด้วย ภิกษุท้ังหลาย ตรัสเรียกให้น�ำสูกรมัททวะ (มีผู้แปลว่า มังสะสุกรอ่อนบ้าง เห็ดชนิดหนึ่งบ้าง) มาที่พระองค์ให้ถวายอาหารอ่ืนแด่พระสงฆ์ เมื่อฉันแล้วตรัสส่ังให้น�ำสูกรมัททวะน้ันไปฝังเสีย ต่อมาทรงประชวรลงพระโลหิตมีเวทนากล้า แต่ก็ทรงมีสติสัมปชัญญะอดกล้ันอาพาธนั้น ไมท่ รงเดือดร้อน ระหวา่ งทเ่ี สดจ็ ส่กู รงุ กุสินารา ทรงเดินทางต่อไปยังกรุงกุสินารา ทรงแวะจากทาง ให้พระอานนท์ปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้น ถวาย แล้วตรัสส่ังพระอานนท์ให้ไปตักน�้ำมา ครั้งแรกน้�ำขุ่นเพราะเกวียนประมาณ ๕๐๐ ผ่านไป พระอานนท์จึงไม่ตักกราบทูลเชิญให้เสด็จต่อไปยังกกุธานที แต่ตรัสซ�้ำให้ไปตักน้�ำมา คราวนี้กลับไดน้ �ำ้ ใส ณ ท่ีนั้น ปุกกุสะ มัลลบุตร เดินทางจะไปกรุงปาวา เข้าไปเฝ้าสนทนาด้วย พระองค์ ก็รับสั่งโต้ตอบด้วย เมื่อจะจากไปได้ถวายผ้าเนื้อเกล้ียงสีทองคู่หน่ึงแด่พระผู้มีพระภาค ตรัสแนะให้ถวายพระองค์ผืนหน่ึง ถวายพระอานนท์ผืนหน่ึง เมื่อปุกกุสะไปแล้ว พระอานนท์ ก็น�ำผ้าผืนท่ีได้รับไปถวายพระผู้มีพระภาค และกราบทูลว่า พระฉวีวรรณผ่องใสย่ิงนัก ตรัสตอบว่า พระฉวีวรรณของพระองค์ย่อมผ่องใสเป็นพิเศษ ๒ คราว คือในคืนที่จะตรัสรู้ กบั ในคืนทจ่ี ะปรินิพพาน ต่อจากนั้นเสด็จข้ามแม่น�้ำกกุธา ตรัสสั่งพระอานนท์ให้บอกแก่นายจุนทะ อย่าให้ เดือดร้อนว่าพระองค์ฉันอาหารของเขาแล้วปรินิพพาน ให้ชี้แจงว่า บิณฑบาตที่ถวายก่อน ตรสั รู้และก่อนปรนิ พิ พานน้ันมีผลมาก มีอานิสงสม์ าก ครั้นแล้วเสด็จเลียบฝั่งนอกของแม่น้�ำหิรัญญวดี สู่ป่าไม้สาละของมัลลกษัตริย์ ใกล้กรุงกุสินารา ให้ตั้งเตียงผินพระเศียรไปทางทิศอุดร ทรงบรรทมมีสติสัมปชัญญะ ตรสั ปรารภการบูชาด้วยการประพฤตธิ รรมวา่ ยอดเย่ียม PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 460 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ มหาปรินิพพานสูตร 461 สถานท่ีควรสังเวช ๔ แห่ง ทีฆนิกาย ทรงแสดงสังเวชนียสถาน คือสถานที่ควรสังเวช ๔ คือที่ท่ีพระตถาคตประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักร และปรินิพพาน ว่าเม่ือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จาริกไป มจี ิตเล่ือมใส และตายลง กจ็ ะเขา้ สู่สุคติโลกสวรรค์ วธิ ปี ฏิบตั ิในสตรแี ละพระพุทธสรีระ ทรงแสดงวธิ ีปฏบิ ัตใิ นสตรี (มาตุคาม) ตามทพ่ี ระอานนทก์ ราบทลู ถามวา่ ไมค่ วรมอง ถ้าจ�ำเป็นจะมอง ก็ไม่ควรพูดด้วย ถ้าจ�ำเป็นจะพูดด้วย ก็ให้ตั้งสติ แล้วทรงแสดงวิธีปฏิบัติ ตอ่ พระพทุ ธสรรี ะ เชน่ เดยี วกบั พระสรรี ะของพระเจา้ จกั รพรรดิ ในเมอ่ื พระอานนทก์ ราบทลู ถาม โดยทรงแสดงว่า ให้ห่อด้วยผ้าใหม่ แล้วห่อด้วยส�ำลี แล้วห่อด้วยผ้าใหม่ แล้วห่อด้วยส�ำลี รวม ๕๐๐ ช้ัน แล้วใส่ในรางเหล็กเต็มด้วยน�้ำมัน ปิดด้วยรางเหล็ก ท�ำจิตกาธานด้วย ของหอมแล้ว ท�ำการเผา สรา้ งสตปู ไว้ในทางส่ีแพร่ง ผู้ควรแก่สตปู ทรงแสดงถึงบุคคลผู้เป็นถูปารหะ (ผู้ควรแก่สตูป) ๔ คือ พระพุทธเจ้า พระปัจเจก พทุ ธเจา้ สาวกของพระพุทธเจ้า และพระเจ้าจกั รพรรดิ ตรสั สรรเสรญิ พระอานนท์ พระอานนท์เข้าไปสู่วิหารเหนี่ยวสลักเพชร (หัวลิ่มประตู ท�ำรูปเป็นศีรษะวานร) ยืนร้องไห้ ด้วยคิดว่า ท่านยังเป็นเสขะ (ผู้ยังต้องศึกษา คือเป็นเพียงพระโสดาบัน ยังไม่ บรรลอุ รหตั ตผล) แต่พระผ้มู ีพระภาคผูท้ รงอนุเคราะหท์ ่าน จักปรนิ ิพพานเสยี แลว้ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ ตรัสเรียกให้เข้าเฝ้า แล้วตรัสปลอบใจว่า เป็นธรรมดา ท่ีจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ จะปรารถนาให้สิ่งท่ีมีความทรุดโทรมเป็นธรรมดา มใิ ห้ทรุดโทรม ยอ่ มเปน็ ไปไม่ได้ แล้วตรัสสรรเสริญพระอานนท์ว่า ตงั้ เมตตาทางกาย วาจา ใจ ในพระองค์มาตลอดกาลนาน ได้ชื่อว่าท�ำบุญไว้แล้ว จงเริ่มต้ังความเพียรเถิด จะเป็นผู้สิ้น อาสวะโดยพลนั ครน้ั แลว้ ตรสั เรยี กภกิ ษทุ งั้ หลายมา ตรสั สรรเสรญิ พระอานนทว์ า่ ภกิ ษผุ อู้ ปุ ฐาก (รบั ใช)้ พระพุทธเจ้าทั้งในอดีตและในอนาคต ก็อย่างย่ิงเพียงเท่าพระอานนท์ ทรงสรรเสริญว่า พระอานนท์เป็นบัณฑิต รู้กาลท่ีควรจะจัดให้ใครเข้าเฝ้า และเป็นท่ีพอใจใคร่สดับธรรมของ บริษทั ๔ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 461 5/4/18 2:25 PM

462 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ตรัสเร่อื งกรงุ กุสนิ ารา พระอานนท์กราบทูลว่า อย่าปรินิพพานในกรุงกุสินารานี้ ซ่ึงเป็นเมืองเล็ก เมือง ดอย เป็นก่ิงเมือง ขอให้เสด็จไปปรินิพพานในเมืองใหญ่ ๆ เช่น จัมปา ราชคฤห์ สาวัตถี โกสัมพี พาราณสี แต่ตรัสตอบว่า กรุงกุสินารา เคยเป็นราชธานีนามว่า กุสาวตี ซึ่งพระเจ้า มหาสุทัสสนะจักรพรรดิทรงปกครอง เคยเจริญรุ่งเรืองย่ิงมาแล้ว ครั้นแล้วตรัสส่ังให้ พระอานนท์ไปแจ้งข่าวที่จะปรินิพพานแก่มัลลกษัตริย์ซึ่งพากันเศร้าโศก และมาเฝ้าในราตรีน้ัน พระอานนทก์ จ็ ดั ใหเ้ ข้าถวายบงั คมเปน็ ครอบครัวไป เสร็จสน้ิ ภายในยามแรกแห่งราตรี โปรดสุภัททปริพพาชก ครั้งน้ัน ปริพพาชก (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) คนหนึ่ง ชื่อสุภัททะ มาเฝ้า พระอานนท์จะไม่ให้เข้าเฝ้า แต่พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าได้ เมื่อ กราบทูลถาม ทรงโต้ตอบแสดงธรรมให้ฟัง ก็ขอบวชและเพียรพยายามจนได้บรรลุอรหัตตผล ในไม่ชา้ นบั เป็นพระสาวกองค์สดุ ทา้ ยที่ทนั เห็นพระพุทธเจ้า พระดำ� รัสตรสั ส่งั ครนั้ แลว้ ตรัสสง่ั ความแกพ่ ระอานนท์ ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. ธรรมและวินัยท่ีเราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว จักเป็นพระศาสดาของท่านท้ังหลาย เมื่อเราลว่ งลบั ไป ๒ . เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ภิกษุท้ังหลายไม่พึงเรียกกันด้วยค�ำว่า อาวุโส เช่น ที่ เรยี กกนั อยใู่ นบดั นี้ พงึ เรยี กภกิ ษอุ อ่ นกวา่ โดยชอื่ โดยโคตร หรอื ดว้ ยคำ� วา่ อาวโุ ส (ผู้มีอายุ) พึงเรียกภกิ ษุผ้แู ก่กว่า ภนั เต (ท่านผ้เู จริญ) หรอื อายสั มา (ท่านผ้มู ีอาย)ุ ๓. เม่อื เราล่วงลับไปแลว้ เมือ่ สงฆ์ปรารถนากจ็ งถอนสกิ ขาบทเล็กนอ้ ยเสียได้ ๔. เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์พึงลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ คือปล่อยให้ท�ำอะไร ตามชอบใจ ไม่พึงว่ากลา่ วตักเตอื น ทรงเปดิ โอกาสใหซ้ ักถาม ตรัสเรียกภิกษุท้ังหลายแล้ว ทรงเปิดโอกาสว่า ถ้าภิกษุแม้รูปหนึ่งมีความสงสัย เคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในมรรค หรือในข้อปฏิบัติ ก็ให้ถามได้ อย่า เดือดร้อนใจว่า ศาสดาอยู่ต่อหน้า แต่มิได้ถามในท่ีต่อหน้า แต่ก็ไม่มีผู้ใดถาม พระอานนท์ จึงกราบทูลแสดงความอัศจรรย์ ตรัสตอบว่า เพราะภิกษุที่ประชุมกันอยู่ถึง ๕๐๐ นี้ อย่างต�่ำ ก็เปน็ พระโสดาบัน PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 462 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ มหาปรินิพพานสูตร 463 ปัจฉิมโอวาท ทีฆนิกาย ครั้นแล้วตรัสว่า ”ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่าน สังขารท้ังหลายมี ความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านท้ังหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม (สมบรูณ์) เถิด„ น้เี ปน็ ปจั ฉิมวาจาของพระตถาคต ลีลาในการปรนิ ิพพาน ครั้นแล้วทรงเข้าฌานที่ ๑ ออกจากฌานท่ี ๑ เข้าสู่ฌานท่ี ๒ เป็นล�ำดับไปจนครบ รูปฌาน (ฌานมีรูปเป็นอารมณ์) ๔ อรูปฌาน (ฌานมีสิ่งมิใช่รูปเป็นอารมณ์) ๔ และสัญญา เวทยิตนิโรธ (สมาบัติที่ดับสัญญาความก�ำหนดหมาย และเวทนา ความรู้สึกสุข ทุกข์ ไม่ทุกข์ ไม่สุข)๑ ต่อจากน้ันทรงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธ ย้อนกลับเข้าสู่อรูปฌานที่ ๔ (คล้ายกับ ออกจากตึกช้ันท่ี ๙ ย้อนลงสู่ช้ันท่ี ๘) โดยนัยนี้ ทรงย้อนกลับไปถึงฌานที่ ๑ ออกจากฌาน ท่ี ๑ เข้าสู่ฌานท่ี ๒ เร่ือยไปจนถึงฌานท่ี ๔ เม่ือออกจากฌานท่ี ๔ แล้วก็ปรินิพพาน (เป็น การไมต่ ดิ ในรูปฌานหรือในอรปู ฌาน เพราะนิพพานในระหว่างแหง่ รูปฌานและอรูปฌาน) เม่ือพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ก็เกิดแผ่นดินไหว และมีหลายท่านกล่าว ภาษิตในทางธรรม เหตุการณ์นี้ยังความโศกสลดให้เกิดแก่ภิกษุผู้ยังไม่ปราศจากราคะ และยังธรรมสงั เวชให้เกดิ แกภ่ กิ ษผุ ู้ปราศจากราคะแลว้ การถวายพระเพลงิ มัลลกษัตริย์ก็จัดการถวายพระเพลิงพระศพพระผู้มีพระภาค ภายหลังที่ต้ังพระศพ จัดเคร่ืองสักการะบูชาครบ ๗ วัน และภายหลังท่ีพระมหากัสสปเถระ พร้อมด้วยภิกษุบริษัท มาถวายบังคมพระศพเสร็จแล้ว อนึ่ง ในบริษัทของพระมหากัสสปน้ัน ขณะท่ีภิกษุทั้งหลาย ก�ำลังร้องไห้คร่�ำครวญในข่าวปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค ก็มีภิกษุรูปหน่ึงผู้บวชเมื่อแก่ ช่ือสุภัททะ กล่าวห้ามภิกษุเหล่านั้นมิให้เศร้าโศก ควรจะดีใจว่า ต่อไปจะไม่มีใครมาห้ามท�ำ อย่างนั้นอย่างนี้ ปรารถนาจะท�ำอะไรก็ท�ำได้ตามพอใจ (ซึ่งพระมหากัสสปได้ปรารภเป็นเหตุ เสนอให้สงฆ์ท�ำสังคายนา ดังปรากฏในหน้า ๓๙๓ หมายเลข ๗) เมื่อถวายพระเพลิงแล้ว ก็มีกษัตริย์และพราหมณ์จากแคว้นต่าง ๆ มาขอ พระสารีริกธาตุ (พระอัฏฐิ) ครั้งแรกมัลลกษัตริย์จะไม่ให้ แต่โทณพราหมณ์พูดเกลี้ยกล่อมให้ เหน็ แกค่ วามสงบ จงึ ไดต้ กลงแบง่ ใหไ้ ป ตา่ งกน็ ำ� ไปทำ� สตปู บรรจแุ ละทำ� การฉลองในนครของตน ๑ รวมท้ัง ๙ ข้อน้ี เรียกอนุบุพพวิหาร คือธรรมเป็นเคร่ืองอยู่แห่งจิตใจโดยล�ำดับ คล้ายวิหาร ๙ ชั้น แต่ละชั้นมี อารมณ์แหง่ จิตต่างกันไป PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 463 5/4/18 2:25 PM

464 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๔. มหาสทุ ัสสนสูตร (สตู รว่าดว้ ยพระเจา้ มหาสทุ ัสสนะจกั รพรรด)ิ (พระสตู รนเี้ ทา่ กบั เปน็ การขยายความในมหาปรนิ พิ พานสตู ร ตอนทตี่ รสั ตอบพระอานนท์ เรอ่ื งกรงุ กสุ นิ าราเคยเปน็ ราชธานนี ามวา่ กสุ าวตี ซงึ่ พระเจา้ มหาสทุ สั สนะจกั รพรรดทิ รงปกครอง) พระผู้มีพระภาคทรงพรรณนาความม่ังค่ังสมบูรณ์ของกรุงกุสาวตี และทรงพรรณนา ถงึ รตั นะ ๗ ประการ ท่ีเกิดขึ้นแกพ่ ระเจา้ มหาสุทสั สนะจักรพรรดิ คอื ๑. จักรแกว้ ซ่ึงหมุนไปในทิศต่าง ๆ ได้ นำ� ชัยชนะมาสู่ ๒. ช้างแกว้ เปน็ ชา้ งเผอื ก ชื่ออุโบสถ ๓. ม้าแกว้ สีขาวลว้ น ชื่อวลาหก ๔. แกว้ มณี เป็นแก้วไพฑรู ย์ ๕. นางแก้ว รปู รา่ งงดงาม มสี มั ผสั น่ิมนวล ๖. ขนุ คลงั แก้ว (คหปติรตนะ) ชว่ ยจดั การทรัพยส์ ินอย่างดเี ลิศ ๗ . ขนุ พลแกว้ (ปรณิ ายกรตนะ)๑ บณั ฑติ ผู้สั่งสอนแนะนำ� อนึง่ พระเจา้ มหาสทุ ัสสนะจักรพรรดิ ทรงมีความส�ำเรจ็ (ฤทธ)์ิ ๔ ประการ คอื ๑. รปู งาม ๒. อายยุ นื ๓ . มีโรคน้อย ๔. เป็นท่รี กั ของพราหมณแ์ ละคฤหบดี (ประชาชน) นอกจากนั้นยังทรงพรรณนาถึงสระโบกขรณี ทรัพย์สิน ปราสาท อันวิจิตรงดงาม นา่ ช่นื ชม การบำ� เพ็ญฌานและพรหมวิหาร ครั้นแล้วทรงแสดงว่าพระเจ้ามหาสุทัสสนะจักรพรรดิทรงเห็นว่า ผลดีต่าง ๆ เหล่านั้น เกิดขน้ึ เพราะผลแห่งกรรมดีคอื ทาน (การให้) ทมะ (การฝกึ จติ ) และ สญั ญมะ (การส�ำรวมจิต) จึงทรงบ�ำเพ็ญฌานสงบความตรึกทางกาม ความตรึกทางพยาบาท และความตรึกทาง เบียดเบียน ได้บรรลุฌานที่ ๑ ถึงฌานที่ ๔ ทรงแผ่พระมนัสอันประกอบด้วยเมตตา (คิดให้ เป็นสุข) กรุณา (คิดให้พ้นทุกข์) มุทิตา (พลอยยินดีเมื่อผู้อ่ืนได้ดี) และอุเบกขา (วางใจ เปน็ กลาง) ไปทั้งสี่ทิศ ๑ คำ� วา่ ขนุ พลแกว้ ในทนี่ ใี้ ชต้ ามทโี่ บราณเคยใชม้ า ตามคำ� อธบิ ายแท้ ๆ หมายถงึ บณั ฑติ ผเู้ ปน็ ทปี่ รกึ ษาทฉี่ ลาดสามารถ แตใ่ นตอนตอ่ ไปแสดงว่าเปน็ ผจู้ ดั กองทพั ในการไปไหนดว้ ย คำ� โบราณทีใ่ ชว้ า่ ขุนพลแกว้ จงึ มีทางเปน็ ไปได้ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 464 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ มหาสุทัสสนสูตร 465 ทรงส่ังลดการเข้าเฝ้าให้น้อยลง (เพื่อทรงมีเวลาอบรมทางจิตใจได้มากขึ้น) ภายหลัง ทีฆนิกาย พระราชเทวีพระนามว่า สุภัททา ส่ังจัดจตุรังคินีเสนา (ทัพช้าง ทัพม้า ทัพรถ ทัพเดินเท้า) ซึ่งขุนพลแก้วก็จัดให้ พระนางเดินทางไปเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ขอให้ทรงเห็นแก่สมบัติ เห็นแก่ชีวิต แต่กลับตรัสตอบขอให้พระราชเทวีทรงขอร้องใหม่ในทางตรงกันข้าม คืออย่า เห็นแก่สมบัติ อย่าเห็นแก่ชีวิต เพราะการพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นของ ธรรมดา การตายของผู้มีความกังวล หว่ งใย เป็นทุกข์ และถูกติเตยี น พระราชเทวีก็ทรงพระกันเเสง และฝืนพระหฤทัย เช็ดน�้ำพระเนตร ขอร้องใหม่ ตามที่พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงแนะน�ำนั้น และต่อมาไม่ช้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะก็สวรรคต และเขา้ ถึงพรหมโลก เพราะทรงเจรญิ พรหมวิหาร ตรสั สรปู เป็นคำ� สอน คร้ันแล้วพระผู้มีพระภาคตรัสสรูปว่า พระองค์เองได้เป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนะ จักรพรรดิน้ัน พรั่งพร้อมสมบูรณ์ด้วยสมบัตินานาประการ แม้จะมีนครอยู่ในปกครอง มากหลาย๑ ก็อยู่ครอบครองได้เพียงนครเดียว คือนครกุสาวตี แม้จะมีปราสาทมากหลาย แต่ก็อยู่ครอบครองได้เพียงปราสาทเดียว คือธัมมปราสาท แม้จะมีเรือนยอดมากหลาย แต่ก็ อยู่ครอบครองได้เพียงหลังเดียว คือเรือนยอดชื่อมหาวิยูหะ แม้จะมีบัลลังก์มากหลาย แต่ก็ ได้ใช้คราวละเพียงบัลลังก์เดียว แม้มีช้างมากหลาย แต่ก็ข้ึนขี่ได้เพียงคราวละตัวเดียว คือ พญาช้างอุโบสถ แม้จะมีม้ามากหลาย แต่ก็ข้ึนข่ีได้เพียงคราวละตัวเดียว คือพญาม้าวลาหก แมจ้ ะมีรถมากหลาย แต่ก็ข้นึ สู่ไดเ้ พียงคราวละคันเดียว คอื รถเวชยันต์ แมจ้ ะมีสตรมี ากหลาย แต่ก็มีสตรีท่ีปฏิบัติรับใช้เพียงคราวละคนเดียว แม้จะมีคู่ผ้า (ผ้านุ่งผ้าห่ม) มากหลาย แต่ก็ นุ่งห่มเพียงคราวละคู่เดียว แม้จะมีถาดอาหารมากหลาย แต่ก็บริโภคได้อย่างมากเพียง จุทะนานเดยี ว พรอ้ มทั้งกบั ข้าว ดูเถิด อานนท์ สังขารทั้งปวงเหล่าน้ัน ล่วงไปแล้ว ดับแล้ว ปรวนแปรแล้ว สังขาร ไม่เท่ียง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าวางใจอย่างน้ี จึงควรที่จะเบื่อหน่ายในสังขารท้ังปวง ควรเพื่อจะ คลายกำ� หนัด ควรเพ่ือจะพ้นไปเสยี ๑ ค�ำว่า มากหลาย เป็นการถือเอาความจากค�ำว่า แปดหม่ืนสี่พัน คือไม่จ�ำเป็นต้องมีตัวเลขเท่านั้น ใช้เป็นส�ำนวน สำ� หรับหมายความว่ามาก PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 465 5/4/18 2:25 PM

466 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๕. ชนวสภสูตร (สตู รวา่ ดว้ ยยกั ษช์ อ่ื ชนวสภะ) (พระสูตรน้ีก็มีข้อความขยายความแห่งมหาปรินิพพานสูตรเช่นเดียวกัน คือเล่าเร่ือง ที่พระผู้มีพระภาคตรัสเม่ือประทับ ณ โรงพักคนเดินทาง ท�ำด้วยอิฐท่ีนาทิกคาม ระหว่างเสด็จ สกู่ รุงเวสาลี) พระอานนท์กราบทูลถามถึงว่า ผู้นั้นผู้น้ีตายไปเกิดที่ไหน และพระผู้มีพระภาคตรัส ตอบเปน็ ราย ๆ ไป ในส่วนที่เก่ียวกับพระเจ้าพิมพิสาร พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าว่า ได้มาปรากฏต่อ พระองค์ ประกาศตนว่าไปเกิดเป็นยักษ์๑ ชื่อชนวสภะ และว่าตนมีความหวังจะได้บรรลุความ เป็นพระสกทาคามี (คือพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันอยู่แล้ว จึงหวังจะได้บรรลุขั้นต่อไป คือการเป็นพระสกทาคามี ได้แก่พระอริยบุคคลผู้จะมาเกิดเพียงคร้ังเดียว) แล้วเล่าว่า ตนได้ เคยไปประชุมท่ีธรรมสภาในดาวดึงสเทวโลก ได้เห็นว่าผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค ซ่ึงไปเกิดในที่นั้นรุ่งเรืองเหนือเทพอ่ืน ๆ ท้ังโดยผิวพรรณ และโดยยศ พร้อมทั้งได้เล่าถึง ภาษิตตา่ ง ๆ ของสนังกุมารพรหม ซงึ่ กล่าวในธรรมสภา มีใจความดังตอ่ ไปนี้ ๑. ผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ท�ำให้บริบูรณ์ในศีล ย่อมเข้าถึง ความเป็นสหายของเทพช้ันปรนิมมิตวสวัตตี (สูงสุดในชั้นกาม) ลงมาถึงชั้น จาตมุ มหาราช (เทพประจำ� ทศิ ทงั้ ส)ี่ อยา่ งตำ่� ทส่ี ดุ กเ็ ปน็ คนธรรพ์ (เทพทส่ี งิ อยู่ ณ ตน้ ไม)้ ๒ . อิทธิบาท (คุณให้บรรลุความส�ำเร็จ ๔ อย่าง) ท�ำให้สมณพราหมณ์ในอดีต อนาคต ปจั จุบนั แสดงฤทธไิ์ ดด้ ้วยประการต่าง ๆ ๓. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้โดยล�ำดับ ซึ่งการบรรลุโอกาส ๓ เพื่อบรรลุความสุข โอกาส ๓ คือ (๑) คนท่ีเคยคลุกคลีด้วยกาม ด้วยอกุศลธรรม ภายหลังไม่คลุกคลี ย่อมได้ สุขโสมนัส (สขุ กาย สุขใจ หมายถงึ บรรลุฌานที่ ๑) (๒) คนท่ีมีเครื่องปรุงกาย เครื่องปรุงวาจา เคร่ืองปรุงจิตอันหยาบ อันไม่สงบ ระงับ ภายหลังสงบระงับได้ ย่อมได้สุขโสมนัสย่ิงข้ึน (หมายถึงได้บรรลุ ฌานท่ี ๒ ถงึ ที่ ๔) ๑ ค�ำว่า ยักษ์ ในที่นี้ หมายถึงเทวดาชั้นจาตุมหาราช โดยปกติค�ำว่า ยักษ์ แปลได้หลายอย่าง เช่น สัตว์ เทพ พระขณี าสพ รากษส สุดแต่ความหมายในที่นั้น ๆ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 466 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ มหาโควินทสูตร 467 (๓) คนที่ไม่รู้จักส่ิงท่ีเป็นกุศล อกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ ควรเสพ ไม่ควรเสพ ทีฆนิกาย เลว ประณีต ด�ำ ขาว และมีส่วนเปรียบ๑ ตามความเป็นจริง ภายหลังได้ สดบั อรยิ ธรรม ปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธ่ รรม จงึ รจู้ กั สง่ิ เหลา่ นน้ั ตามความจรงิ ก็จะละอวิชาเสียได้ วิชชาก็จะเกิดข้ึน เมื่อเป็นเช่นน้ีก็จะมีสุขโสมนัสย่ิงข้ึน (หมายถงึ ไดบ้ รรลุอรหัตตมรรคอรหตั ตผล) ๔. พระผู้มพี ระภาคทรงบญั ญัตสิ ตปิ ัฏฐาน (การตัง้ สติ) ๔ อย่างไวด้ ีแลว้ (ทรงแสดง การตั้งสตพิ จิ ารณากาย เวทนา จิต ธรรม ท้งั ภายในภายนอก) ๕. ธรรม ๗ ประการ คือ ความเห็นชอบ ความด�ำริชอบ การเจรจาชอบ การกระท�ำ ชอบ การเลี้ยงชีพชอบ ความเพียรชอบ การตั้งสติชอบ เป็นบริขารของสมาธิ เป็นไปเพ่ือเจริญสมาธิ ท�ำสมาธิให้บริบูรณ์ ความท่ีจิตมีอารมณ์เป็นหน่ึง อัน แวดลอ้ มด้วยองค์ ๗ เหล่านี้ ชอ่ื วา่ อริยสมาธิ อนั เรียกวา่ มอี ปุ นิสัย (บรวิ าร) บ้าง มีบริขาร (เครอื่ งประกอบ) บ้าง (หมายเหตุ : ในพระสูตรนี้ เร่ืองท่ีเกี่ยวกับเทวดาและสวรรค์เป็นเรื่องที่พึงศึกษาและ พจิ ารณา แตส่ าระสำ� คัญเหน็ ได้ว่า อยทู่ ีข่ อ้ ธรรมอนั พงึ ปฏิบัตทิ ี่ยอ่ ไว้ รวม ๕ ขอ้ ดังกลา่ วมาแล้ว) ๖. มหาโควินทสูตร (สูตรวา่ ดว้ ยมหาโควินทพราหมณ)์ พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ บุตรแห่งคนธรรพ์ ช่ือปัญจสิขะเข้าไปเฝ้ากราบทูลเล่าเรื่องท่ีได้พบเห็นมาจากเทพช้ันดาวดึงส์ ในท่ีประชุม ชื่อสุธมั มสภา ท้าวสักกะได้กล่าวพรรณนาพระคุณของพระพทุ ธเจา้ ๘ ประการ คอื ๑. ทรงปฏิบัติเพ่ือประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพ่ืออนุเคราะห์โลก เพอื่ ประโยชนเ์ กอื้ กลู และความสขุ แก่เทวาและมนษุ ย์ ๒. ทรงแสดงธรรมอันเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกมาดู ควร น้อมเข้ามาในตนเปน็ ตน้ ๓. ทรงแสดงธรรมอันเป็นกุศล อกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ ควรเสพ ไม่ควรเสพ เลว ประณีต ด�ำ ขาว และมีสว่ นเปรียบ ๑ มีส่วนเปรียบ หมายความว่า เป็นธรรมที่เปรียบกันได้ เทียบกันได้ ยกเว้นนิพพาน ซ่ึงเปรียบหรือเทียบกับอะไร ไม่ได้ - ม.พ.ป. PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 467 5/4/18 2:25 PM

468 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๔. ทรงบัญญัติด้วยดี ซ่ึงข้อปฏิบัติอันจะน�ำไปสู่พระนิพพานแก่พระสาวก พระนิพพานและขอ้ ปฏบิ ัติก็เข้ากันได้เหมอื นนำ้� ในแมน่ �ำ้ คงคากบั ยมนุ า ๕. ทรงได้สหาย คือพระเสขะ๑ ผู้ปฏิบัติ และพระอรหันต์ผู้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว แต่ก็ทรงปลีกพระองค์จากสหายเหล่าน้ัน ทรงประกอบความยินดีในการอยู่ แตพ่ ระองค์เดยี ว๒ ๖. ทรงมีลาภ และช่ือเสียงอันเพียบพร้อม มีกษัตริย์ เป็นต้น รักใคร่ แต่ก็เสวย กระยาหารอย่างปราศจากความเมา ๗. ทรงพูดอยา่ งใดท�ำอย่างนัน้ ท�ำอย่างใดพูดอยา่ งนน้ั ๘. ทรงข้ามความสงสัย ปราศจากความเคลือบแคลง มีความด�ำริอันส�ำเร็จสมบูรณ์ (ไมต่ ดิ อยู่เพียงขั้นใดข้ันหนึ่ง) ทั้งแปดข้อนี้ ท้าวสักกะกล่าวว่า ไม่มีศาสดาใดเทียบพระผู้มีพระภาคทั้งในอดีตและ ปัจจุบนั ต่อมามีแสงสว่างอันโอฬารปรากฏข้ึน สนังกุมารพรหมก็นิรมิตอัตตภาพอันหยาบให้ ปรากฏแก่เทพช้ันดาวดึงส์ ถามทราบความว่า ก�ำลังสนทนากันเรื่องอะไร แล้วสนังกุมารพรหม ก็เล่าเร่ืองโชติปาลมาณพผู้เป็นบุตรของโควินทพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าทิสัมปติ ผู้ได้รับ แต่งต้ังให้เป็นปุโรหิตแทนบิดาของตน เม่ือท่านถึงแก่กรรม เมื่อได้รับแต่งต้ังแล้วก็ท�ำหน้าท่ี เจริญรอยตามบิดา จนคนทงั้ หลายขนานนามว่า มหาโควินทพราหมณ์ ต่อมาเมื่อพระเจ้าทิสัมปติสวรรคต เรณุราชกุมารผู้เป็นพระราชโอรส และเป็น พระสหายของมหาโควินทพราหมณ์ขึ้นเสวยราชย์ ก็ตรัสส่ังโควินทพราหมณ์ให้แบ่งราชสมบัติ ออกเป็น ๗ ส่วน ส่วนหนึ่งเพื่อพระองค์ อีก ๖ ส่วนเพ่ือกษัตริย์ราชกุมารอื่น ๆ ท่ีเป็น พระสหายรกั ใคร่ จึงมี ๗ แควน้ ๗ ราชธานี ดงั นี้ ๑. แคว้นกาลิงคะ ราชธานี ชื่อทันตปรุ ะ ๒. แคว้นอัสสกะ ราชธานี ชือ่ โปตนะ ๓. แควน้ อวนั ตี ราชธานี ชอ่ื มาหสิ สต๓ิ ๒๓๑ พระเสขะ คือพระอรยิ บคุ คลช้นั ตำ�่ กวา่ พระอรหันต์ ยงั ต้องศึกษาเพือ่ บรรลธุ รรมอันสูงข้นึ ไป อรรถกถาแก้ว่า แม้จะอยูใ่ นท่ามกลางสาวกเหล่านั้น กท็ รงเข้าผลสมาบตั ิ ไมต่ ิดหม่คู ณะ ในอรรถกถาว่า มเหสยะ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 468 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ มหาสมยสูตร 469 ๔. แควน้ โสจิระ๑ ราชธานี ชื่อโรรุกะ๒ ทีฆนิกาย ๕. แคว้นวเิ ทหะ ราชธานี ช่ือมถิ ิลา ๖. แคว้นองั คะ ราชธานี ชอื่ จมั ปา ๗. แคว้นกาสี ราชธานี ช่ือพาราณสี มหาโควินทพราหมณ์เป็นปุโรหิตถวายอนุสาสน์แด่พระมหากษัตริย์ท้ังเจ็ดแคว้นน้ัน ต่อมาได้กราบทูลลาพระมหากษัตริย์ทั้งเจ็ดออกบวช ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นท่ีเคารพนับถือ ของคนท้ังหลาย เป็นราชาของราชาท้ังหลาย เป็นพรหมของพวกพราหมณ์ และเป็นเทวดาของ พวกคฤหบดี ใครไอ จาม หรือพลาดหกล้มก็เปล่งวาจาว่า ขอนมัสการมหาโควินทพราหมณ์ บ้าง สัตตปุโรหิต (ปุโรหิตของพระราชาท้ังเจ็ด) บ้าง มหาโควินทพราหมณ์ได้เจริญฌานมี พรหมวิหาร ๔ เป็นอารมณ์ มีสาวกปฏิบัติตามได้ผลเป็นอันมาก นี้เป็นเร่ืองเล่าของสนังกุมาร พรหมในเทวสภาในดาวดงึ ส์ ปัญจสิขะ บุตรแห่งคนธรรพ์ เล่าถวายพระผู้มีพระภาคอกี ต่อหน่ึง พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พระองค์เองได้เสวยพระชาติเป็นมหาโควินทพราหมณ์ ในครั้งน้ัน แต่ในครั้งน้ัน ทรงช้ีทางแก่สาวกเพียงแค่ท่ีจะไปอยู่ร่วมกับพรหมได้ แต่ในชาตินี้ ทรงแสดงมรรค ๘ อันเป็นไปเพอ่ื พระนิพพาน (สูงกวา่ พรหมโลก) ๗. มหาสมยสูตร (สูตรว่าดว้ ยการประชมุ ใหญ่) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ป่ามหาวัน ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ พร้อมด้วย ภิกษสุ งฆ์หม่ใู หญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ครั้งนั้น เทพชั้นสุทธาวาส ๔ ตน คิดว่า เทวดาจาก ๑๐ โลกธาตุประชุมกันเพ่ือเฝ้า พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ น่าที่พวกตนจะไปเฝ้า และกล่าวคาถาคนละบทในส�ำนัก พระผูม้ พี ระภาค คิดแล้วจึงไปปรากฏเบ้ืองพระพักตร์พระผู้มีพระภาค แล้วกล่าวคาถากันคนละบท โดยใจความพรรณนาความประสงค์ที่มา ความประพฤติชอบของพระสงฆ์ และพรรณนาว่า ผถู้ ึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะยอ่ มไม่ไปสอู่ บาย ๑๒ หมายเหตุในอรรถกถาว่า โสวรี ะ เรอื่ งชือ่ แคว้น ชอ่ื เมอื ง น�ำมากล่าวไวใ้ นท่ีนีเ้ พ่อื ประโยชน์ทางโบราณคดีด้วย หมายเหตุในอรรถกถาวา่ โรทกุ ะ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 469 5/4/18 2:25 PM

470 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ต่อจากน้ันพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุท้ังหลาย ตรัสเล่าว่า เทวดามาประชุม คร้ังใหญ่ แล้วตรัสประกาศชอ่ื ของเทวดาเหลา่ น้ันโดยละเอยี ด (หมายเหตุ : พระสูตรน้ีแสดงหลักทางพระพุทธศาสนาว่า พุทธะ คือท่านผู้ตรัสรู้นั้น เป็นผู้สูงกว่าเทวดาทุกประเภท ไม่ว่าเทวดาชั้นต�่ำสุด หรือสูงสุด ถึงชั้นพรหมก็พากัน นอบน้อมต่อพุทธะหรือพระพุทธเจ้า เพราะพุทธะเป็นสัญญลักขณ์ของความบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองท้ังปวง และเป็นสัญญลักขณ์แห่งปัญญาความรู้เท่าทัน ความจรงิ ท่เี ปน็ เหตุใหห้ ลุดพ้นจากทุกขไ์ ด)้ ๘. สักกปัญหสตู ร (สตู รวา่ ด้วยปญั หาของท้าวสักกะ) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ถ�้ำอินทสาละ ใกล้เวทิยกบรรพต ทางทิศเหนือของ หมู่บ้านพราหมณ์ ช่อื อัมพสณฑ์ ซึง่ ตั้งอยทู่ างดา้ นตะวนั ออกของกรงุ ราชคฤห์ แควน้ มคธ ทา้ วสักกะใครจ่ ะไปเฝา้ พระผู้มีพระภาค จงึ เรยี กปัญจสิขะบตุ รคนธรรพม์ า ชวนใหไ้ ป เฝ้าพระผู้มีพระภาคด้วยกัน ปัญจสิขะถือพิณมีสีเหลืองเหมือนผลมะตูมไปด้วย เมื่อไปถึง ท่ีประทับแล้ว ท้าวสักกะจึงให้ปัญจสิขะบุตรคนธรรพ์หาทางท�ำความพอพระทัยให้ พระผูม้ พี ระภาคกอ่ นท่จี ะไดเ้ ข้าเฝา้ ปัญจสิขะบุตรคนธรรพ์ถือพิณเข้าไปยืน ณ ท่ีควรส่วนหน่ึง ไม่ไกลหรือใกล้เกินไป ดีดพิณ กลา่ วคาถาเกี่ยวด้วยพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ พระอรหนั ต์ และกาม พระผู้มีพระภาคตรัสชมแก่ปัญจสิขะบุตรคนธรรพ์ว่า เสียงพิณกับเสียงเพลงขับเข้า กนั ดี แลว้ ตรสั ถามวา่ คาถาอนั เกยี่ วดว้ ยพระพทุ ธ เปน็ ตน้ น้ี แตง่ ไวแ้ ตค่ รง้ั ไร ปญั จสขิ ะกราบทลู ว่า ตั้งแต่ครงั้ พระผมู้ พี ระภาคตรสั รูใ้ หม่ ๆ ประทบั ทต่ี น้ อชปาลนิโครธ ใกลฝ้ ่ังน้�ำเนรัญชรา ครั้นได้โอกาส ท้าวสักกะพร้อมด้วยบริวารก็เข้าไปเฝ้า เม่ือได้ตรัสสัมโมทนียกถา พอสมควรแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ทรงเปิดโอกาสให้ท้าวสักกะกราบทูลถามปัญหาได้ ต่อไปนี้ เปน็ ค�ำถามและพระพทุ ธดำ� รัสตอบ ๑. ถาม เทวา มนษุ ย์ อสูร นาค คนธรรพ์ และหมสู่ ตั ว์เปน็ อันมากอื่น ๆ ถกู อะไร ผูกมัดแม้ต้งั ใจวา่ จะไมจ่ องเวร ไม่ใช้อาชญา ไม่มศี ตั รู ไมเ่ บียดเบียน อยู่ อยา่ งไมม่ เี วร แตก่ ต็ อ้ งจองเวร ใชอ้ าชญา มศี ตั รู เบยี ดเบยี น และอยอู่ ยา่ งมเี วร ตอบ มีความรษิ ยาและความตระหนี่ เปน็ เครอ่ื งผกู มัด PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 470 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ สักกปัญหสูตร 471 ๒. ถาม ความริษยาและความตระหน่ี เกิดจากอะไร ทีฆนิกาย ตอบ เกิดจากส่ิงเป็นที่รักและส่ิงอันไม่เป็นที่รัก เม่ือไม่มีสิ่งเป็นที่รักและไม่เป็น ท่รี กั กไ็ ม่มคี วามริษยาและความตระหน่ี ๓ . ถาม สิ่งเปน็ ทีร่ กั และไมเ่ ป็นท่รี กั เกดิ จากอะไร ตอบ เกิดจากความพอใจ เมื่อไม่มีความพอใจ ก็ไม่มีสิ่งที่เป็นที่รักและไม่เป็น ท่ีรัก๑ ๔. ถาม ความพอใจ เกดิ จากอะไร ตอบ เกดิ จากความตรกึ (วติ ก) เม่ือไมม่ ีความตรึก ก็ไมม่ คี วามพอใจ ๕. ถาม ความตรึก เกดิ จากอะไร ตอบ เกิดจากปปัญจสัญญาสังขานิทาน คือส่วนแห่งความก�ำหนดหมายกิเลส (ตณั หา ความทะยานอยาก มานะ ความถอื ตวั ทฏิ ฐิ ความเหน็ ) เปน็ เหตใุ ห้ เน่นิ ชา้ ๒ ๖. ถาม ภิกษุปฏิบัติอย่างไร จึงชื่อว่าปฏิบัติข้อปฏิบัติที่สมควร ที่ให้ถึงความดับ สว่ นแห่งความก�ำหนดหมายกิเลสเปน็ เหตใุ ห้เนนิ่ ช้า ตอบ โสมนัส (ความดีใจ) โทมนัส (ความเสียใจ) อุเบกขา (ความวางเฉย) มอี ยู่ ๒ อยา่ ง อยา่ งหนงึ่ ควรสอ้ งเสพ อกี อยา่ งหนงึ่ ไมค่ วรสอ้ งเสพ คอื เมอื่ สอ้ งเสพโสมนสั เปน็ ตน้ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ กศุ ลธรรมเสอ่ื มไป อกศุ ลธรรม เจรญิ ขนึ้ สง่ิ นนั้ กไ็ มค่ วรสอ้ งเสพ ถา้ อกศุ ลธรรมเสอื่ มไป กศุ ลธรรมเจรญิ ข้ึนสิ่งน้ันก็ควรส้องเสพ ธรรมท่ีควรส้องเสพน้ัน คือท่ีมีวิตก (ความตรึก) มีวิจาร (ความตรอง) ท่ีไม่มีวิตก วิจาร ท่ีไม่มีวิตก วิจาร แต่ประณีต ขึ้นไปกว่า (หมายถึงโสมนัส เป็นต้น อันเกิดเพราะเนกขัมมะบ้าง เพราะ วปิ สั สนาบา้ ง เพราะอนสุ สตบิ า้ ง เพราะปฐมฌาน เปน็ ตน้ บา้ ง - อรรถกถา) ภิกษุปฏิบัติอย่างน้ี ชื่อว่าปฏิบัติข้อปฏิบัติที่สมควร ที่ให้ถึงความดับส่วน แห่งความกำ� หนดหมายกิเลสเป็นเหตุให้เนิน่ ชา้ ๑ คำ� วา่ ความพอใจ แปลจากคำ� วา่ ฉนั ทะ อรรถกถาอธบิ ายวา่ ฉนั ทะมี ๕ ประการ คอื (๑) ปรเิ ยสนฉนั ทะ ความพอใจ ในการแสวงหา (๒) ปฏิลาภฉันทะ ความพอใจในการได้มา (๓) ปริโภคฉันทะ ความพอใจในการบริโภค หรือ ๒ ใชส้ อย (๔) สนั นธิ ฉิ ันทะ ความพอใจในการสะสม (๕) วิสชั ชนฉันทะ ความพอใจในการสละ ทิฏฐิ - ม.พ.ป. คำ� วา่ เน่นิ ช้า อรรถกถาแก้วา่ ท�ำใหม้ วั เมาประมาท ซ่ึงหมายถงึ กิเลส ๓ ชนดิ คือ ตัณหา มานะ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 471 5/4/18 2:25 PM

472 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๗. ถาม ภกิ ษปุ ฏบิ ตั อิ ยา่ งไร จงึ ชอื่ วา่ ปฏบิ ตั เิ พอื่ สำ� รวมปาฏโิ มกข์ (ศลี ทเ่ี ปน็ ใหญเ่ ปน็ ประธาน) ตอบ ความประพฤตทิ างกาย (กายสมาจาร) ความประพฤตทิ างวาจา (วจีสมาจาร) และการแสวงหา (ปรเิ ยสนา) อย่างหนง่ึ ควรส้องเสพ อีกอยา่ งหนึ่งไม่ควร สอ้ งเสพ คอื เมอ่ื สอ้ งเสพความประพฤตทิ างกาย เปน็ ตน้ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ กศุ ลธรรมเสอ่ื มไป อกศุ ลธรรมเจรญิ ขนึ้ สง่ิ นน้ั กไ็ มค่ วรสอ้ งเสพ ถา้ อกศุ ล ธรรมเส่ือมไป กุศลธรรมเจริญขึ้น ส่ิงนั้นก็ควรส้องเสพ ภิกษุผู้ปฏิบัติ อยา่ งน้ี ชอื่ ว่าปฏิบตั ิเพ่อื ส�ำรวมปาฏิโมกข์ ๘. ถาม ภิกษุปฏิบัติอย่างไร จึงชื่อว่าปฏิบัติเพื่อส�ำรวมอินทรีย์ (คือ ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ) ตอบ อารมณท์ ่พี งึ รแู้ จง้ ทางตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ น้นั มี ๒ อย่าง อยา่ งหน่งึ ควรส้องเสพ อีกอย่างหน่ึงไม่ควรส้องเสพ (พอตรัสถึงเพียงน้ี ท้าวสักกะ ก็กราบทูลว่า เข้าใจความหมายว่า ท่ีไม่ควรส้องเสพ และควรส้องเสพ นั้น ก�ำหนดด้วย เมื่อส้องเสพแล้วอกุศลธรรมหรือกุศลธรรมจะเจริญ กนั แน)่ ๙. ถาม สมณพราหมณ์ท้ังปวง มีวาทะ มีศีล มีฉันทะ มีจุดหมายปลายทาง อยา่ งเดียวกนั ใชห่ รือไม่ ตอบ ไม่ใช่ เพราะโลกมีธาตุเป็นอเนก มีธาตุต่าง ๆ กัน สัตว์ยึดถือธาตุอันใด กก็ ล่าวเพราะความยดึ ถือธาตุน้ันวา่ นแี้ ลจริง อย่างอ่ืนเป็นโมฆะ ๑๐. ถาม สมณพราหมณ์ทั้งปวง มีความส�ำเร็จ มีความปลอดโปร่งจากกิเลส เครื่องยึด (โยคักเขมี) เป็นพรหมจารี มีที่สุดล่วงส่วน ใช่หรือไม่ (ค�ำว่า ลว่ งสว่ น หมายความวา่ เด็ดขาด ไม่กลบั ก�ำเริบหรือแปรปรวนอีก) ตอบ ไม่ใช่ จะมีความส�ำเร็จ เป็นต้น ล่วงส่วน ก็เฉพาะผู้ที่พ้นแล้วจากตัณหา (ความทะยานอยาก) เท่านนั้ ท้าวสักกะจึงกราบทูลว่า ตัณหาอันท�ำให้หว่ันไหว เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร ย่อม ฉุดคร่า บุรุษเพ่ือให้เกิดในภพนั้น ๆ ถึงความสูงบ้าง ต�่ำบ้าง ครั้นแล้วได้แสดงความพอใจ ที่พระผู้มีพระภาคทรงตอบปัญหาแก้ความสงสัยได้ เท่าที่เคยไปถามสมณพราหมณ์เหล่าอื่น แทนท่ีจะตอบ กลับมาย้อนถามว่า เป็นใคร คร้ันรู้ว่าเป็นท้าวสักกะ ก็กลับถามปัญหายิ่ง ๆ ขึ้น PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 472 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ มหาสติปัฏฐานสูตร 473 ว่า ท�ำกรรมอะไรไว้จึงเกิดเป็นท้าวสักกะ ท้าวสักกะก็ตอบไปตามท่ีได้ฟัง ท่ีเล่าเรียนมา ทีฆนิกาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น ก็อิ่มเอิบใจ ว่าได้เห็นท้าวสักกะ ได้ถามปัญหา และท้าวสักกะได้ตอบ แก่เรา กลายมาเปน็ สาวกของขา้ พระองค์ไป คร้ันแล้วได้กล่าววาจาสุภาษิตอีกหลายประการ ในที่สุดได้เอามือลูบแผ่นดิน แล้วเปล่งอุทานวา่ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ุทธฺ สฺส รวม ๓ คร้ัง หมายเหตุ : พระสูตรนี้ มีท่วงท�ำนอง จะแก้ความเคารพบูชาเทวดาส�ำคัญ ๆ เช่น พระอินทร์หรือท้าวสักกะของบุคคลส่วนใหญ่ โดยช้ีให้เห็นว่าในพระพุทธศาสนา เทวดา เหล่านั้น ยังต�่ำกว่าพระพุทธเจ้า ผู้มีพระปัญญาตรัสรู้ เท่ากับเป็นหลักการอันหนึ่งที่แสดงว่า ทา่ นผเู้ ป็นพทุ ธะ เปน็ ผตู้ รสั รู้หมดกเิ ลส มคี วามบริสุทธ์สิ ะอาดสูงกวา่ เทวดาทั้งปวง ๙. มหาสติปฏั ฐานสูตร (สตู รวา่ ดว้ ยการตง้ั สติอยา่ งใหญ่) พระผูม้ ีพระภาคประทบั ณ นิคม ชอ่ื กัมมาสธัมมะ แควน้ กุรุ ตรสั สอนภกิ ษุทั้งหลาย ว่า หนทางเป็นท่ีไปอันเอกเพ่ือความบริสุทธิ์ของสัตว์ เพ่ือก้าวล่วงความโศก ความคร�่ำครวญ เพ่อื ใหค้ วามทุกขก์ ายทกุ ข์ใจต้ังอยูไ่ มไ่ ด้ เพือ่ บรรลธุ รรมทถี่ กู ต้อง เพ่ือทำ� ให้แจง้ ซ่งึ พระนพิ พาน คอื การตัง้ สติ ๔ อย่างไดแ้ ก่ ๑. ตง้ั สติก�ำหนดพิจารณา กายในกาย (กายสว่ นย่อยในกายส่วนใหญ๑่ ) ๒. ตัง้ สติก�ำหนดพิจารณา เวทนาในเวทนา (ความรสู้ กึ อารมณส์ ่วนยอ่ ยในความรสู้ ึก อารมณส์ ว่ นใหญ่) ๓. ต้ังสติก�ำหนดพิจารณา จิตในจิต (จิตส่วนย่อยในจิตส่วนใหญ่ คือจิตดวงใด ดวงหนึ่ง ในจติ ที่เกิดขึ้นดบั ไปมากดวง) ๔. ต้งั สตกิ �ำหนดพิจารณา ธรรมในธรรม (ธรรมส่วนย่อยในธรรมส่วนใหญ่) การพิจารณากายแบง่ ออกเป็น ๖ ส่วน ๑. พจิ ารณากำ� หนดลมหายใจเขา้ ออก (อานาปานบรรพ) ๒. พจิ ารณาอิรยิ าบถของกาย เช่น ยืน เดนิ นั่ง นอน (อิริยาปถบรรพ) ๑ การอธิบายไว้ในวงเล็บอย่างน้ี เป็นไปตามบาลีพุทธภาษิต ในพระไตรปิฎก สํ.มหา.๑๙/๑๓๕๘/๓๔๑ พิจารณากายในกาย เพียงพิจารณาลมหายใจเข้าออก ก็ถือว่าลมหายใจเป็นกายอย่างหนึ่ง ลมหายใจจึงเป็นกาย สว่ นยอ่ ยในกายส่วนใหญ่ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 473 5/4/18 2:25 PM

474 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๓. พิจารณารู้ตัวในความเคล่ือนไหว เช่น ก้าวไป ก้าวมา คู้แขน เหยียดแขน กิน ดม่ื เป็นต้น (สัมปชัญญบรรพ) ๔. พิจารณาความน่าเกลียดของร่างกาย ซ่ึงแบ่งออกเป็นส่วนย่อยต่าง ๆ มีผม ขน เป็นต้น (ปฏิกลู มนสกิ ารบรรพ) ๕. พิจารณารา่ งกายโดยความเปน็ ธาตุ (ธาตุบรรพ) ๖. พจิ ารณารา่ งกายทเ่ี ป็นศพ มลี ักษณะตา่ ง ๆ ๙ อยา่ ง (นวสีวถิกาบรรพ) การพิจารณาเวทนา (ความรูส้ กึ อารมณ)์ ๙ อยา่ ง (๑) สขุ (๒) ทกุ ข์ (๓) ไม่ทกุ ข์ไม่สุข (๔) สขุ ประกอบด้วยอามสิ (เหย่อื ล่อมีรปู เสียง เป็นต้น) (๕) สุขไม่ประกอบด้วยอามิส (๖) ทุกข์ประกอบด้วยอามิส (๗) ทุกข์ไม่ประกอบด้วย อามิส (๘) ไม่ทุกข์ไม่สุขประกอบด้วยอามสิ (๙) ไมท่ กุ ขไ์ ม่สุขไม่ประกอบดว้ ยอามสิ การพจิ ารณาจิต ๑๖ อยา่ ง (๑) จติ มีราคะ (๒) จติ ปราศจากราคะ (๓) จิตมโี ทสะ (๔) จติ ปราศจากโทสะ (๕) จิตมี โมหะ (๖) จติ ปราศจากโมหะ (๗) จติ หดหู่ (๘) จิตฟงุ้ สรา้ น (๙) จติ ใหญ่ (จิตในฌาน) (๑๐) จติ ไม่ใหญ่ (จิตที่ไม่ถึงฌาน) (๑๑) จิตมีจิตอื่นย่ิงกว่า (๑๒) จิตไม่มีจิตอ่ืนย่ิงกว่า (๑๓) จิตต้ังมั่น (๑๔) จิตไม่ต้งั ม่ัน (๑๕) จิตหลดุ พ้น (๑๖) จิตไมห่ ลุดพ้น การพจิ ารณาธรรมแบ่งออกเป็น ๕ สว่ น ๑. พจิ ารณาธรรมท่ีก้ันจิตมิใหบ้ รรลุสมาธิ ท่เี รยี กวา่ นีวรณ์ ๕ (นีวรณบรรพ) ๒ . พิจารณาขนั ธ์ ๕ คือ รปู เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ (ขันธบรรพ) ๓ . พจิ ารณาอายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ (อายตนบรรพ) ๔. พจิ ารณาธรรมทเี่ ป็นองคแ์ หง่ การตรัสรู้ ๗ ทเี่ รียกว่าโพชฌงค์ (โพชฌงคบรรพ) ๕. พจิ ารณาอรยิ สัจจ์ ๔ (สัจจบรรพ) อน่ึง การพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ท้ังสี่ข้อนี้ นอกจากมีรายการพิเศษดังกล่าว มาแลว้ ยังมรี ายการพิจารณาท่ตี รงกนั อีก ๖ ประการ คือ ๑. ทอ่ี ย่ภู ายใน ๒. ทีอ่ ยภู่ ายนอก ๓. ท่ีอยทู่ ้งั ภายในภายนอก ๔. ทมี่ คี วามเกดิ ข้นึ เป็นธรรมดา ๕. ทม่ี คี วามเสอ่ื มไปเปน็ ธรรมดา ๖. ทมี่ ีทงั้ ความเกิดข้ึนและความเสอื่ มไปเป็นธรรมดา PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 474 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ ปายาสิราชัญญสูตร 475 อานสิ งสส์ ตปิ ัฏฐาน ทีฆนิกาย คร้ันแล้วทรงสรูปผลของการปฏิบัติ ในการต้ังสติ ๔ อย่างน้ีว่า จะเป็นเหตุให้ได้ บรรลุผลอย่างใดอย่างหน่ึง คือบรรลุอรหัตตผลในปัจจุบัน ถ้ายังมีเชื้อเหลือ ก็จะได้บรรลุ ความเป็นพระอนาคามี (ผู้ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก) ภายใน ๗ ปี หรือลดลงมาโดยล�ำดับถึง ภายใน ๗ วัน ๑๐. ปายาสริ าชญั ญสตู ร (สูตรว่าดว้ ยพระเจ้าปายาส)ิ เหตุการณ์เกิดขึ้นในแคว้นโกศล พระกุมารกัสสป พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป จาริกไปในแคว้นน้ัน แวะพัก ณ ป่าไม้สีเสียด อันต้ังอยู่ทิศเหนือของ เสตัพยนคร สมัยน้ัน พระเจ้าปายาสิ (เป็นเพียงราชัญญะ คือพระราชาที่มิได้อภิเษก) ได้รับ พระราชทานจากพระเจ้าปเสนทโิ กศลให้ครอบครองเสตัพยนคร พระเจ้าปายาสิมคี วามเห็นผิดเกดิ ขน้ึ ว่า โลกอื่นไมม่ ี สัตวเ์ ปน็ อปุ ปาตกิ ะ (เกิดใหญโ่ ต ข้นึ ทันที เชน่ เทพ) ไมม่ ี ผลของกรรมดีกรรมช่ัวไมม่ ี เมื่อได้สดับกิตติศัพท์อันงามของพระกุมารกัสสป พราหมณ์คฤหบดีท้ังหลายก็พากัน เดินทางไปหาเป็นกลุ่ม ๆ พระเจ้าปายาสิทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ตรัสถามทราบความก็เสด็จ ไปด้วย เม่ือผู้ท่ีไปกล่าวสัมโมทนียกถาปราศรัยตามสมควรแล้ว พระเจ้าปายาสิก็ประกาศทิฏฐิ ของพระองคด์ งั กลา่ วแลว้ แกพ่ ระเถระ ซึ่งจะยอ่ ค�ำโต้ตอบเป็นขอ้ ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. พระเถระถามว่า ที่ทรงเห็นว่าโลกอื่นไม่มี เป็นต้นนั้น พระจันทร์พระอาทิตย์เป็น เทวดาหรือมนุษย์ ในโลกนี้หรือโลกอ่ืน ตรัสตอบว่า พระจันทร์พระอาทิตย์อยู่ใน โลกอืน่ มิใช่เทวดาหรอื มนษุ ยใ์ นโลกน้ี ๒. ตรัสเล่าว่า มีมิตรอ�ำมาตย์ญาติสาโลหิตของพระองค์ที่ประพฤติช่ัวมีประการ ตา่ ง ๆ เมอ่ื บคุ คลเหลา่ นน้ั เจบ็ ไข้ ซงึ่ พระองคเ์ หน็ วา่ จะไมห่ ายแน่ กเ็ สดจ็ ไปหา และ สั่งวา่ ถา้ ไปตกนรก เพราะประพฤตชิ วั่ ตามค�ำของสมณพราหมณแ์ ลว้ ขอใหก้ ลับ มาบอก พวกเหลา่ นนั้ รับค�ำแล้ว ก็ไม่มใี ครมาบอกเลย พระองคจ์ งึ ไม่เช่อื โลกอน่ื มี พระเถระกล่าวว่า เปรียบเหมือนโจรที่ท�ำผิดราชบุรุษจับได้ ก็น�ำตระเวนไปสู่ที่ ประหารชีวิต โจรเหล่านั้นจะขอผัดผ่อนให้ไปบอกพวกพ้องก่อนจะได้หรือไม่ ตรสั ตอบวา่ ไมไ่ ด้ พระเถระจงึ กลา่ ววา่ พวกทท่ี ำ� ชวั่ กเ็ ชน่ กนั ถา้ ไปตกนรก กค็ งไม่ ไดร้ ับอนุญาตจากนายนริ ยบาลให้มาบอก PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 475 5/4/18 2:25 PM

476 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๓. ตรสั เลา่ วา่ พระองคเ์ คยสง่ั คนทท่ี ำ� ความดวี า่ ถา้ ตายไดไ้ ปสสู่ คุ ตโิ ลกสวรรค์ เพราะ ประพฤตดิ ตี ามคำ� ของสมณพราหมณแ์ ลว้ ขอใหก้ ลบั มาบอก พวกนนั้ รบั คำ� กไ็ มม่ ี ใครมาบอกเลย พระองค์จึงไม่เชื่อว่าโลกอื่นมี พระเถระทูลว่า เปรียบเหมือนคน ตกลงไปในหลุมอุจจาระมิดศีรษะ พระองค์ส่ังให้ราชบุรุษช่วยยกขึ้นจากหลุมน้ัน เอาซไี่ มไ้ ผป่ าดอจุ จาระออก ทำ� ความสะอาดหมดจดแลว้ นำ� พวงมาลยั เครอื่ งลบู ไล้ และผา้ มีราคาแพงมาให้นุ่งหม่ พาขนึ้ สปู่ ราสาท บำ� เรอดว้ ยกามคณุ ๕ บรุ ษุ นัน้ จะ อยากลงไปอยู่ในหลุมอุจจาระอีกหรือไม่ ตรัสตอบว่า ไม่อยาก ถามว่า เพราะ เหตไุ ร ตรสั ตอบวา่ เพราะหลมุ อจุ จาระไมส่ ะอาด มกี ลนิ่ เหมน็ ปฏกิ ลู พระเถระทลู ว่า มนุษย์ก็เป็นผู้ไม่สะอาด มีกล่ินเหม็น ปฏิกูล ส�ำหรับเทวดาทั้งหลาย พวกท�ำ ความดีที่ไปสู่สคุ ติโลกสวรรค์ จะกลับมาบอกอย่างไร ๔. ตรัสเล่าว่า พระองค์เคยส่ังคนที่ท�ำความดีว่า สมณพราหมณ์บางพวกกล่าวว่า ผู้ท�ำความดีจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายของเทพชั้นดาวดึงส์ เม่ือ ทา่ นทั้งหลายไปเกิดเชน่ นั้นแล้ว ขอใหก้ ลับมาบอกด้วย พวกน้นั รับค�ำแล้ว ก็ไมม่ ี ใครมาบอกเลย พระองคจ์ งึ ไมเ่ ชอ่ื วา่ โลกอนื่ มี พระเถระทลู วา่ รอ้ ยปขี องมนษุ ยเ์ ปน็ คืนหน่ึงกับวันหน่ึงของเทพช้ันดาวดึงส์ ๓๐ ราตรี เป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือน เป็น ๑ ปี ๑ พันปีทิพย์เป็นประมาณแห่งอายุของเทพช้ันดาวดึงส์ ผู้ท�ำความดีที่ไป เกิดในที่นั้นคิดว่า อีกสัก ๒ - ๓ วัน จะไปบอกพระเจ้าปายาสิ จะมาบอกได้ หรือไม่ ตรสั ตอบว่า มาไมไ่ ด้ เพราะข้าพเจา้ คงตายไปนานแล้ว แตก่ ็ใครบอกแก่ ท่านเล่าว่า เทพชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนขนาดนั้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อเลย พระเถระทูลว่า เปรียบเหมือนคนท่ีเสียจักษุแต่ก�ำเนิด มองไม่เห็นอะไรเลย จึงกล่าวว่า สีด�ำ ขาว เขยี ว เหลอื ง แดง แสดไมม่ ี คนทเี่ หน็ สเี ชน่ นนั้ กไ็ มม่ ี ดวงดาว พระจนั ทร์ พระอาทติ ย์ ไมม่ ี ผู้เหน็ ดวงดาว พระจนั ทร์ พระอาทติ ยก์ ็ไมม่ ี เพราะขา้ พเจา้ ไมร่ ไู้ มเ่ หน็ สง่ิ นัน้ จงึ ไมม่ ดี งั น ี้ ผนู้ น้ั จะชอื่ วา่ กลา่ วชอบหรอื ไม่ ตรสั ตอบวา่ กลา่ วไมช่ อบ พระเถระจงึ ทลู วา่ พระองคท์ ป่ี ฏเิ สธเรอ่ื งเทพชน้ั ดาวดงึ สก์ เ็ ปน็ เชน่ นนั้ สมณพราหมณบ์ างพวก ท่ีเสพเสนาสนะป่าอันสงัด ไม่ประมาท ท�ำความเพียร ช�ำระทิพยจักษุ มองเห็น โลกนี้โลกอื่นและสัตว์อุปปาติกะด้วยจักษุอันเป็นทิพย์ เหนือจักษุของมนุษย์มีอยู่ เรื่องของปรโลกพึงเหน็ อยา่ งน้ี ไมพ่ งึ เข้าใจว่าจะเหน็ ได้ดว้ ยตาเนอ้ื นี้ ๕. ตรัสเล่าว่า พระองค์เคยเห็นสมณพราหมณ์ที่มีศีลมีธรรมอันงาม ใคร่มีชีวิต ไม่อยากตาย ใคร่ความสุข เกลียดทุกข์ จึงทรงคิดว่า ถ้าสมณพราหมณ์ผู้มีศีล PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 476 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ ปายาสิราชัญญสูตร 477 มีธรรมอันงามเหล่าน้ี รู้ตัวว่าตายไปแล้ว จะดีกว่าชาตินี้ ก็ควรจะกินยาพิษ ทีฆนิกาย เชือดคอตาย ผูกคอตาย หรือโดดเหวตาย แต่เพราะไม่รู้ว่าตายไปแล้วจะดีกว่า ชาตนิ ี้ จึงรกั ชวี ติ ไมอ่ ยากตาย ใคร่ความสุข เกลยี ดทุกข์ ข้อน้ีเปน็ เหตุให้พระองค์ ไมท่ รงเชอ่ื วา่ โลกอนื่ มี สตั วอ์ ปุ ปาตกิ ะ (เกดิ เตบิ โตขนึ้ ทนั ท)ี มี ผลแหง่ กรรมดกี รรม ช่ัวมี พระเถระทูลเปรียบเทียบถวายว่าพราหมณ์คนหน่ึงมีภริยา ๒ คน คนหนึ่ง มีบุตรอายุ ๑๐ หรือ ๑๒ ปี อีกคนหน่ึงมีครรภ์จวนคลอด พราหมณ์น้ันถึง แก่กรรม มาณพผู้เป็นบุตรจึงพูดกับมารดาเล้ียงว่า ทรัพย์สมบัติท้ังปวงนี้ ตกเป็นของข้าพเจ้าทั้งหมดของท่านไม่มีเลย ขอท่านจงมอบความเป็นทายาท ของบิดาแก่ข้าพเจ้า นางพราหมณีผู้เป็นมารดาเล้ียงตอบว่า เจ้าจงรอก่อนจนกว่า เราจะคลอด ถา้ คลอดเปน็ ชาย กจ็ ะไดส้ ว่ นแบง่ สว่ นหนงึ่ ถา้ เปน็ หญงิ แมน้ อ้ งหญงิ นั้นก็จะต้องตกเป็นของเจ้า๑ แต่มาณพน้ันก็เซ้าซี้อย่างเดิม แม้คร้ังที่ ๒ แม้ ครงั้ ที่ ๓ นางพราหมณจี งึ ถอื มดี เขา้ ไปในหอ้ ง ผา่ ทอ้ งเพอ่ื จะรวู้ า่ เดก็ ในทอ้ งเปน็ ชาย หรอื หญงิ เปน็ การทำ� ลายตวั เอง ทำ� ลายชวี ติ ทำ� ลายเดก็ ในครรภ์ และทำ� ลายทรพั ย์ สมบัติ เพราะเป็นผู้เขลา แสวงหาสมบัติโดยไม่แยบคาย จึงถึงความพินาศ สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีธรรมอันดี ที่เป็นบัณฑิต ย่อมไม่ชิงสุกก่อนสุก ย่อมรอ จนกวา่ จะสกุ สมณพราหมณ์เหลา่ นดี้ ำ� รงชวี ติ อยนู่ านเพยี งใด ผอู้ น่ื กไ็ ดป้ ระสบบญุ มากเพียงนั้น และท่านก็ปฏิบัติเพ่ือประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพ่ืออนุเคราะห์โลก เพ่ือประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวาและมนุษย์ ทั้งหลาย ๖. ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรท่ีจับได้ โดยให้ใส่ลงไปในหม้อทั้งเป็น ปิดผาแล้วเอาหนังสดรัด เอาดินเหนียวท่ีเปียกยาให้แน่น ยกขึ้นสู่เตาแล้วจุดไฟ เม่ือรู้ว่าผู้นั้นตายแล้ว ก็ให้ยกหม้อลง กะเทาะดินที่ยาออก เปิดฝาค่อย ๆ มองดู เพื่อจะได้เห็นชีวะของโจรนั้นออกไปก็ไม่เห็นเลย จึงท�ำให้ไม่เช่ือว่ามีโลกอ่ืน พระเถระทูลถามว่า ทรงระลึกไดห้ รือไม่วา่ เคยบรรทมหลบั กลางวัน แล้วทรงฝัน เห็นสวน ป่า ภูมิสถานและสระน�้ำอันน่าร่ืนรมย์หรือไม่ ตรัสว่า ระลึกได้ ถามว่า ในสมัยน้ัน คนค่อม คนเตี้ย หรือเด็กหญิง เด็กสาว เฝ้าพระองค์อยู่ใช่หรือไม่ ๑ พึงสังเกตว่า วัฒธรรมเกี่ยวกับการจัดมรดกตามคตินี้ หญิงไม่มีสิทธิอะไรในทรัพย์สินของบิดาเลย สุดแต่ชาย ผเู้ ป็นพจี่ ะจัด เพราะตัวเองกต็ กอยู่ในฐานะทพี่ ี่ชายจะใชส้ อย หรือถือเอาเป็นภริยาได้ (ถ้าเป็นน้องตา่ งมารดา) PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 477 5/4/18 2:25 PM

478 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ตรสั ตอบวา่ ใช่ ถามวา่ พวกเหลา่ นนั้ เหน็ ชวี ะของพระองคเ์ ขา้ ออกหรอื ไม่ ตรสั ตอบ ว่า ไม่เห็น พระเถระจึงทูลว่า คนมีชีวิต ยังไม่เห็นชีวะของพระองค์ผู้ทรง พระชนมชพี อย่เู ขา้ ออก เหตไุ ฉนพระองคจ์ ะทรงเหน็ ชีวะของคนตายเข้าออกเล่า ๗. ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ ให้ช่ังน�้ำหนักดูเมื่อเป็น แล้ว ให้เอาเชือกรัดคอให้ตายแล้วช่ังดูอีก ในขณะที่เป็นมีน�้ำหนักเบากว่า อ่อนกว่า ใช้ การงานได้ดกี ว่าเม่ือตายแลว้ เหตนุ จ้ี งึ ไมท่ รงเช่ือเร่อื งโลกอืน่ พระเถระทลู ถามว่า พึงช่ังก้อนเหล็กท่ีเผาไฟตลอดวัน ร้อนลุกโพลง กับก้อนเหล็กที่เย็นเทียบกันดู อยา่ งไหนจะเบากวา่ ออ่ นกวา่ ใชก้ ารงานไดด้ กี วา่ ตรสั ตอบวา่ กอ้ นเหลก็ ทปี่ ระกอบ กับธาตุไฟ ธาตุลม ร้อนลุกโพลง เบากว่า อ่อนกว่า ใช้การงานไดด้ กี ว่า พระเถระ ทลู ตอ่ ไปวา่ รา่ งกายกเ็ หมอื นกนั ประกอบดว้ ยอายุ (เครอ่ื งสบื ตอ่ หลอ่ เลย้ี ง) ประกอบ ด้วยไออนุ่ ประกอบด้วยวิญญาณ กเ็ บากวา่ ออ่ นกวา่ ใชก้ ารงานไดด้ กี ว่า ๘. ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสส่ังให้ลงโทษโจรที่จับได้ ให้ฆ่าโดยไม่กระทบกระทั่ง ผวิ หนงั เนอื้ เอน็ กระดกู เยอ่ื ในกระดกู เพอื่ จะดชู วี ะออกไป (จากรา่ ง) เมอื่ เขาทำ� อย่างนัน้ และเมื่อโจรนัน้ จะตายแนก่ ส็ ั่งจบั ใหน้ อนหงาย เพ่ือจะดชู ีวะออกไป กไ็ ม่ เหน็ ชีวะออกไป ส่งั ให้จบั นอนตะแคงทลี ะขา้ ง ใหย้ กข้นึ ใหเ้ อาศีรษะลง ใหใ้ ช้ฝา่ มอื กอ้ นดนิ ท่อนไม้ ศสั ตราเคาะดู ใหด้ งึ เขา้ ให้ผลักออก ใหพ้ ลกิ ไปมา เพือ่ จะดูชวี ะ ออกไป ก็ไม่เห็นชีวะออกไป โจรน้ันมีตา หู จมูก ล้ิน กาย มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ก็ไม่รู้สึกอายตนะน้ัน ๆ (คือไม่รู้สึกเห็นรูป ฟังเสียง ดมกล่ิน ล้ิมรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ) พระเถระทูลเปรียบเทียบถวายว่า เปรียบเหมือนคน เป่าสังข์เดินทางไปชนบทชายแดนแห่งหนึ่ง เป่าสังข์ข้ึน ๓ คร้ัง แล้ววางสังข์ไว้ บนดิน ชาวบ้านได้ยินเสียงสังข์ชอบใจก็พากันมารุมถามว่าเสียงอะไร เขาตอบว่า เสียงสังข์นั้น ชาวบ้านก็จับสังข์หงาย พร้อมท้ังพูดว่า ”สังข์เอ๋ยจงเปล่งเสียง„ แต่สังข์ก็ไม่เปล่งเสียง จึงจับคว่�ำ จับตะแคงยกขึ้น เอาหัวลง เอาฝ่ามือ ก้อนดิน ท่อนไม้ ศัสตราเคาะ ดึงเข้ามา ผลักออกไป จับพลิกไปมา เพื่อจะให้สังข์น้ัน เปลง่ เสียง สงั ขน์ นั้ กไ็ มเ่ ปลง่ เสยี ง คนเปา่ สังขเ์ ห็นวา่ คนเหลา่ นัน้ เป็นคนบ้านนอก เป็นคนเขลาหาเสียงสังข์โดยไม่แยบคาย จึงหยิบสงั ขข์ ึน้ มาเปา่ ๓ คร้ังให้เหน็ แลว้ กห็ ลกี ไป คนเหลา่ นนั้ จงึ รู้วา่ สังข์น้ปี ระกอบด้วยคน ประกอบด้วยความพยายาม ประกอบด้วยลม จึงเปล่งเสียงได้ ถ้าไม่ประกอบด้วยเหตุเหล่าน้ันก็เปล่งเสียง ไม่ได้ กายก็เช่นเดียวกัน ประกอบด้วยอายุ ประกอบด้วยไออุ่น ประกอบด้วย วิญญาณ จึงก้าวเดินถอยหลัง ยืน นั่ง นอนได้ เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 478 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ ปายาสิราชัญญสูตร 479 ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมะ (อารมณ์ที่เกิดกับใจ) ได้ ถ้าไม่ประกอบด้วยส่ิง ทีฆนิกาย เหลา่ น้ัน กท็ �ำอะไรไม่ได้ ๙. ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรท่ีจับได้ โดยให้ตัดผิวหนัง ตัดหนัง เนอื้ เอน็ กระดูก เยือ่ ในกระดกู เพอื่ จะดชู วี ะ กไ็ มเ่ หน็ ชวี ะ จงึ ไมท่ รงเชื่อวา่ โลกอนื่ มี เป็นต้น พระเถระทูลเปรียบเทียบถวายว่า มีชฎิล (นักบวชเกล้าผมเป็นเชิง) ผู้ บูชาไฟรูปหนึ่ง อยใู่ นกุฎี มุงด้วยใบไมใ้ นปา่ พวกเดินทางพกั แรมชาวชนบทคณะ หนงึ่ ๑ ออกเดนิ ทางมาพกั แรมคนื รอบอาศรมของชฎลิ ผบู้ ชู าไฟนนั้ แลว้ จากไป ชฎลิ จึงเดินไปในท่ีท่ีเขาพักแรมด้วยหวังว่าจะได้เคร่ืองใช้อะไรบ้างในที่น้ัน (ที่เขาท้ิง แตอ่ าจเปน็ ประโยชนแ์ กช่ ฎลิ ผอู้ ยปู่ า่ ) เมอ่ื เขา้ ไปกเ็ หน็ เดก็ แดง ๆ คนหนงึ่ เปน็ เดก็ ชายนอนหงายอยู่ จึงน�ำมาเลี้ยงไว้จนเติบโต มีอายุได้ ๑๐ ปี หรือ ๑๒ ปี ต่อมา ชฎิลมีธุระท่ีจะต้องไปในชนบท จึงเรียกเด็กมาสั่งให้บูชาไฟ (คอยเอาไฟใส่ใน กองไฟ) อย่าใหด้ ับได้ ถา้ ไฟดบั มีดอย่นู ี่ ไม้อยู่น่ี ไมส้ ีไฟอยู่น่ี จงจดุ ไฟใหต้ ิด บชู า ไฟต่อไป เม่ือสั่งเสร็จและไปแล้ว เด็กมัวเลน่ เพลินไป ไฟก็ดับ เดก็ คดิ ถงึ คำ� ส่งั จงึ เอามีดมาถากไม้สีไฟด้วยหวังจะได้ไฟ ก็ไม่ได้ไฟ จึงผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซีก ๓ ซกี จนถึง ๒๐ ซีก ทำ� เป็นช้ิน ๆ ใสค่ รกต�ำ แล้วเอามาโรยทล่ี มด้วยหวังจะไดไ้ ฟ แต่ก็ไม่ได้ ชฎิลกลับมาเห็นเช่นนั้น ถามทราบความแล้ว จึงคิดว่า เด็กน้ียังอ่อน ไม่ฉลาด จะหาไฟโดยวิธีท่ีไม่ถูกได้อย่างไร จึงเอาไม้สีไฟมาสีให้เด็กดูถึงวิธีท�ำไฟ ให้ติด พระองค์ก็เช่นเดียวกัน ทรงหาโลกอื่นโดยวิธีท่ีไม่ถูก ในที่สุดได้แนะให้ พระเจา้ ปายาสิทรงสละความเหน็ ผิดนัน้ เสีย แต่พระเจ้าปายาสิทรงอ้างว่า ทรงสละไม่ได้ เพราะพระเจ้าปเสนทิโกศล และพระราชา ในรัฏฐะอ่ืน ๆ ก็ทรงทราบกันท่ัวไปว่า พระองค์มีความเห็นอย่างน้ี ก็จะพากันติเตียนได้ พระกุมารกัสสปเถระจึงยกอุปมา เพื่อจูงใจให้ทรงละความเห็นผิดน้ัน ๆ แต่เม่ือยังไม่ทรงยอม ก็ยกอปุ มาอนื่ อกี โดยนยั น้ีเป็นอุปมา ๔ ข้อดังต่อไปนี้ ๑. เปรียบเหมือนพ่อค้าเกวียนหมู่ใหญ่ เดินทางจากภาคตะวันออกไปภาคตะวันตก แลว้ ได้แบ่งกองเกวียนออกเป็น ๒ กอง กองละประมาณ ๕๐๐ เล่ม ใหข้ บวนหนึง่ ๑ อาจจะเปน็ พวกเรร่ ่อน กางเตน๊ ทพ์ ักแรมในทต่ี า่ ง ๆ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 479 5/4/18 2:25 PM

480 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ล่วงหน้าไปก่อน อีกขบวนหน่ึงจะตามไปภายหลัง ขบวนที่ล่วงหน้าไปก่อนถูกคน เดินสวนทางหลอกให้ท้ิงหญ้าท้ิงน้�ำ เล่าว่าข้างหน้าฝนตกในทางกันดาร พุ่มไม้ หญ้า ไม้ และน้�ำบริบูรณ์ หัวหน้ากองเกวียนหลงเชื่อจึงพาพวกไปตายหมดสิ้น เพราะทิ้งหญ้าท้ิงน้�ำแล้วก็หาน้�ำและหญ้าข้างหน้าไม่ได้ พวกไปทีหลังไม่ยอมเชื่อ คนหลอก ไมย่ อมท้งิ หญ้าทงิ้ น้�ำ จงึ เดินทางข้ามทางกนั ดารโดยสวสั ดี แล้วเปรียบ ว่าพระองค์แสวงหาโลกอื่นโดยไม่แยบคาย จะพลอยให้คนท่ีเชื่อถือพากันถึง ความพนิ าศไปด้วย เหมอื นนายกองเกวยี นคณะแรก ๒. เปรยี บเหมอื นชายเลยี้ งหมูคนหนง่ึ ไปสูห่ มู่บ้านอ่ืน เหน็ คถู (อจุ จาระ) แหง้ ทเี่ ขา ทง้ิ ไวเ้ ปน็ อนั มากกค็ ลผ่ี า้ หม่ ออก เอาคถู แหง้ ใสแ่ ลว้ หอ่ ทนู เหนอื ศรี ษะมา ในระหวา่ ง ทางฝนตก คูถนั้นก็ไหลเลอะเปรอะไป คนท้ังหลายจึงพากันติเตียนว่า เป็นบ้า หรือไปแบกห่อคูถมาท�ำไม เขากลับตอบว่า ท่านต่างหากเป็นบ้าเพราะ ของที่แบกมาน่ีเป็นอาหารของหมู พระองค์ก็เปรียบเหมือนอย่างน้ัน ขอจงทรง สละความเหน็ ผดิ นน้ั เสียเถิด ๓. เปรียบเหมือนนักเลงสกา ๒ คนเล่นสกากัน คนหนึ่งย่อมกลืนลูกโทษท่ีมาถึงตัว๑ (หมายถงึ ลกู สกาท่ีจะท�ำให้แพ)้ อกี คนหน่ึงบอกวา่ ท่านชนะเรอื่ ยขา้ งเดียว ขอลกู สกาใหข้ ้าพเจา้ ทำ� พิธบี ้าง คนชนะจงึ สง่ ให้ไป นกั เลงคนที่ ๒ จึงเอายาพิษทาลกู สกา เม่ือเล่นคร้ังท่ี ๒ นักเลงสกาคนแรกก็กลืนลูกโทษที่มาถึงน้ันอีก (และตายเพราะ กลนื ยาพษิ เขา้ ไปดว้ ย) พระองคก์ เ็ ปรยี บเหมอื นนกั เลงสกา (ทกี่ ลนื ยาพษิ ไปกบั ลกู สกาด้วย) ขอจงทรงสละความเห็นผิดนั้นเสยี เถิด ๔. เปรียบเหมือนชาย ๒ คนชวนกันไปยังชนบทเพื่อหาทรัพย์ ไปพบป่านในระหว่าง ทางกห็ ่อปา่ นเดนิ ทางไป คร้ันไปพบด้ายทท่ี อจากป่าน คนหนึง่ เห็นดา้ ยมรี าคากวา่ ก็ทิ้งป่านห่อด้ายไป อีกคนหนึ่งไม่ยอมทิ้ง ด้วยถือว่าแบกมาไกลแล้ว ผูกรัดไว้ดี แล้ว โดยนัยน้ีไปพบผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย เหล็ก โลหะ ดีบุก ตะก่ัว เงิน ทอง ๑ แสดงว่าลกู สกาเปน็ แบบลูกเต๋า ในอรรถกถาแกว้ า่ เล่นด้วยลูกสเ่ี หล่ียม (ลกู เตา่ ) กม็ ี เลน่ ดว้ ยลูกขลุบ หรือลกู คลี (คุล) ก็มี การกลืนลูกสกา อาจเป็นเคล็ดให้ได้ชัยชนะเรอ่ื ย ๆ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 480 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวัคค์ ปายาสิราชัญญสูตร 481 คนหน่ึงท้ิงของเก่าถือเอาของใหม่ที่มีราคากว่า แต่อีกคนหนึ่งไม่ยอมทิ้ง ถือว่า แบกมาไกลแลว้ ผกู รดั ไวด้ แี ลว้ เมอ่ื กลบั ไปถงึ บา้ น บตุ ร ภรยิ า เพอ่ื นฝงู ของผแู้ บก ห่อป่าน ก็ไม่ช่ืนชม แต่บุตร ภริยาเพื่อนฝูงของผู้แบกห่อทองกลับมา ต่างช่ืนชม พระองคจ์ ะเป็นอยา่ งผ้แู บกห่อปา่ น ขอจงทรงสละความเหน็ ผิดนัน้ สียเถิด พระเจ้าปายาสิทรงเล่ือมใสในพระกุมารกัสสปเถระ สรรเสริญภาษิต ประกาศ พระองค์เป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดพระชนมชีพ แล้วทรงถามถึงวิธีบูชายัญ ซึ่งพระเถระก็ถวายค�ำแนะน�ำให้บูชาโดยไม่มีการฆ่าสัตว์ พระเจ้าปายาสิก็ทรงปฏิบัติตาม โดย ให้มีการแจกทาน (ทำ� งานสังคมสงเคราะห์) แลว้ เพิม่ ของที่ใหด้ ีขน้ึ โดยลำ� ดับ จบความยอ่ แห่งพระไตรปฎิ ก เลม่ ๑๐ ทีฆนิกาย PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 481 5/4/18 2:25 PM

เลม่ ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏกิ วัคค์ พระไตรปิฎกเล่มนี้ ยังอยู่ในประเภท ‘ทีฆนิกาย’ คือ ‘หมวดพระสูตรขนาดยาว’ และปาฏิกวัคค์ คอื วรรคที่เร่ิมตน้ ดว้ ยปาฏิกสูตร ในวรรคนีม้ ี ๑๑ สูตร ตามล�ำดับดงั นี้ ๑. ปาฏิกสูตร ว่าด้วย ‘ชีเปลือยบุตรแห่งปาฏิกะ (ช่างท�ำถาด)’ ผู้คุยโอ่ยกตนเสมอ ด้วยพระพุทธเจ้า ๒ . อุทุมพริกสูตร๑ ว่าด้วย ‘เหตุการณ์ในปริพพาชการาม ซ่ึงพระนางอุทุมพริกา สร้างถวาย’ กล่าวถึงการโต้ตอบระหว่างพระพุทธเจ้า กับนิโครธปริพพาชก เรื่อง นกั บวช ๓. จักกวัตติสูตร๒ ว่าด้วย ‘พระเจ้าจักรพรรดิ’ และความเส่ือม ความเจริญแห่ง ศีลธรรม และเรอื่ งพระเมตไตรยพทุ ธเจา้ ๔. อัคคัญญสูตร ว่าด้วย ‘บุคคลผู้เลิศกว่าคนอ่ืน’ ด้วยความรู้และความประพฤติ แสดงถึงเรือ่ งวรรณะ หรือช้ันแหง่ บคุ คล ๔ ประเภท รวมท้ังทีม่ าเดิมของโลก ซ่งึ เป็นตน้ เรอ่ื งของวรรณะ ๔ ๕. สัมปสาทนียสูตร ว่าด้วย ‘คุณธรรมที่น่าเล่ือมใส’ กล่าวถึงค�ำพรรณนาพระคุณ อันนา่ เลอื่ มใสของพระพทุ ธเจา้ ซึ่งพระสารบิ ตุ รได้กราบทูลพระผมู้ พี ระภาค ๖. ปาสาทิกสูตร ว่าด้วย ‘พระธรรมเทศนาท่ีน่าเล่ือมใส’ กล่าวถึงธรรมวินัยที่กล่าว ไว้ไมด่ ี และทก่ี ล่าวไว้ดี พร้อมท้ังขอ้ ปฏิบัตขิ องสาวก ๗. ลักขณสูตร ว่าด้วย ‘มหาปรุ ิสลักษณะ ๓๒ ประการ’ พรอ้ มดว้ ยเหตผุ ลทีใ่ ห้เกิด ลักษณะนน้ั ๆ ๘. สิงคาลกสูตร๓ ว่าด้วย ‘สิงคาลกมาณพ’ ส่วนใหญ่เป็นการสอนธรรมะของผู้ ครองเรือน และเร่อื งทศิ ๖ ท่ีอปุ มาดว้ ยบคุ คล ๖ ประเภท ๙. อาฏานาฏิยสูตร ว่าด้วย ‘การรักษาในอาฏานาฏานคร’ ซึ่งท้าวจาตุมหาราช กราบทูลพระผู้มีพระภาค ๒๑๓ ฉบับยุโรป ช่อื อุทุมพริก สีหนาทสูตร ฉบบั ยโุ รป ชอื่ จักกวัตติ สหี นาทสตู ร ฉบับยโุ รป ชอื่ สงิ คาโลวาทสูตร สตู รว่าดว้ ยการประทานโอวาทแกม่ าณพชือ่ สงิ คาลกะ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 482 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค์ ปาฏิกสูตร 483 ๑ ๐. สังคีติสูตร ว่าด้วย ‘การร้อยกรองหรือสังคายนาค�ำสอน’ พระสาริบุตรได้แสดง ทีฆนิกาย ธรรมเป็นตวั อย่าง ในการจดั ประเภทค�ำสอนของพระพุทธเจา้ ให้เปน็ หมวดหมู่ ซง่ึ เป็นแบบอย่างของการสงั คายนาในภายหลงั ๑ ๑. ทสุตตรสูตร ว่าด้วย ‘หมวดธรรมอันยิ่งข้ึนไปจนถึงสิบ’ เป็นการแสดงธรรมของ พระสาริบุตรจำ� แนกธรรมหมวดหนงึ่ หมวดสอง จนถงึ หมวดสิบ ซ่งึ เป็นตวั อย่าง แห่งการร้อยกรองพระธรรมวนิ ยั ได้ดี เช่น สังคตี ิสูตร ขยายความ ๑. ปาฏิกสตู ร (สตู รว่าด้วยชเี ปลือยบตุ รเเห่งปาฏกิ ะ ช่างท�ำถาด) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ นิคมช่ืออนุปปิยะ แคว้นมัลละ เช้าวันหนึ่งเสด็จออก บิณฑบาต แต่ยังเช้าอยู่ จึงเสด็จแวะไปยังอารามของภัคควโคตรปริพพาชก ตรัสสนทนากับ ภัคควโคตรปริพพาชก ผู้ทูลถามเรื่องบุตรลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ผู้เข้ามาบวชแล้วสึกไป โดยให้ เหตุผลว่า ๑. ตนจะไม่อยอู่ ุทศิ พระผมู้ ีพระภาคต่อไป ๒. เพราะพระผู้มีพระภาคไมท่ รงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้ดู ๓. เพราะไม่ทรงบัญญัติสิ่งที่เป็นเลิศ (ไม่ชี้ส่ิงประเสริฐสุด หรือสิ่งท่ีเป็นต้นเดิม ของสง่ิ ท้ังหลายว่าได้แก่อะไร) ซึง่ พระผ้มู พี ระภาคไดต้ รัสเลา่ วา่ ในขอ้ ๑ พระองค์ได้ตรัสถามเขาว่า พระองค์ได้เคย ขอร้องให้เขามาอยู่อุทิศพระองค์๑ หรือว่าเขาเคยเข้ามากราบทูลว่า จะอยู่อุทิศพระองค์บ้าง หรือเปล่า เขาตอบว่า เปลา่ เมอื่ เปน็ เรอ่ื งเปลา่ จงึ มไิ ช่เรอ่ื งที่ใครจะบอกเลิกใคร ในข้อ ๒ ตรัสถามเขาว่า พระองค์เคยตรัสหรือไม่ว่าจงมาอยู่อุทิศพระองค์เถิด แล้ว พระองค์จะทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้ดู ก็ตอบว่า เปล่า ตรัสถามต่อไปว่า ถ้าแสดงฤทธ์ิให้ดู หรือไม่แสดงก็ตาม จะท�ำให้ส้ินทุกข์ได้หรือไม่ ตอบว่า ไม่ท�ำให้ส้ินทุกข์ได้ จึงตรัสว่า ถ้า อย่างนั้น การแสดงฤทธจ์ิ ะทำ� อะไรได้ ๑ เป็นสำ� นวน หมายความวา่ มาบวช PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 483 5/4/18 2:25 PM

484 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ในข้อ ๓ ตรัสถามเขาว่า พระองค์เคยตรัสหรือไม่ว่าจงมาอยู่อุทิศพระองค์เถิด แล้ว พระองค์จะทรงบัญญัติส่ิงท่ีเลิศเเก่เขา เขาตอบว่า เปล่า ตรัสถามต่อไปว่า จะบัญญัติสิ่งที่เลิศ หรือไม่ก็ตาม จะท�ำให้ส้ินทุกข์ได้หรือไม่ ตอบว่า ไม่ท�ำให้ส้ินทุกข์ได้ จึงตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น การบัญญัติส่ิงที่เลิศจะท�ำอะไรได้ อนึ่ง ได้ตรัส (เป็นเชิงทบทวนความทรงจ�ำ) ว่า สุนักขัตตะ เคยกล่าวพรรณนาคณุ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆไ์ ว้ เป็นอเนกประการในวชั ชีคาม เร่อื งชีเปลอื ยชอื่ โกรักขตั ติยะ ตรัสเล่าต่อไปว่า เคยตรัสแก่สุนักขัตตลิจฉวีบุตร ถึงชีเปลือยช่ือโกรักขัตติยะ ผู้ ประพฤติวัตรด่ังลูกสุนัข คือลงคลาน ๔ เท้า กินอาหารท่ีตกอยู่บนพื้นดิน ด้วยใช้ปากงับ (ไม่ใช้มือหยิบเข้าปาก) ว่าจะตายด้วยโรคท้องอืดในวันท่ี ๗ แล้วถูกน�ำไปท้ิงในป่าช้า ซึ่งมี กอหญ้าคมบาง สุนักขัตตลิจฉวีจึงไปหาชีเปลือยช่ือโกรักขัตติยะเล่าค�ำของเราให้ฟัง และ แนะน�ำให้บริโภคอาหารพอประมาณ ด่ืมน�้ำพอประมาณ เพื่อจะให้ถ้อยค�ำของเราคลาดเคล่ือน คร้ันในวันท่ี ๗ ชีเปลือยน้ันก็ตายและถูกน�ำไปทิ้งไว้ในป่าช้า ซ่ึงมีกอหญ้าคมบาง เราจึงย้อน ถามสุนักขัตตลิจฉวีว่า ที่เป็นอย่างนี้ ช่ือว่าเราแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แล้วหรือยัง สุนักขัตตลิจฉวี ก็รบั วา่ แสดงแลว้ เร่ืองชเี ปลือยชอื่ กฬารมัชฌกะ ตรัสเล่าถึงชีเปลือยชื่อกฬารมัชฌกะ ผู้เลิศด้วยลาภ ยศ อาศัยอยู่ในวัชชีคาม ใกล้ กรุงเวสาลี เป็นผู้ถือข้อปฏิบัติ ๗ ประการ คือ (๑) เปลือยกาย (๒) ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ เสพเมถุนธรรม (๓) ด่ืมสุราและกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต ไม่กินข้าวสุก ขนมสด (๔) ไม่ล่วงเกิน อุเทนเจดีย์ ซึ่งตั้งอยู่ทิศบูรพา (ตะวันออก) (๕) ไม่ล่วงเกินโคตมกเจดีย์ ซึ่งตั้งอยู่ทิศทักษิณ (ใต)้ (๖) ไม่ล่วงเกนิ สตั ตัมพเจดีย์ ซง่ึ ตัง้ อยทู่ ิศประจมิ (ตะวนั ตก) (๗) ไม่ลว่ งเกินพหุปตุ ตกเจดีย์ ซึ่งตั้งอยู่ทิศอุดร (เหนือ) ของกรุงเวสาลี๑ เราเคยกล่าวกะสุนักขัตตลิจฉวีว่า กฬารมัชฌกะ จะนุ่งผ้า มีภริยา กินข้าวสุก ขนมสด (เพ่ิมข้ึนจากสุรา และเนื้อสัตว์) ล่วงเกินเจดีย์ทั้งปวงใน กรุงเวสาลี เสื่อมจากยศและตาย เหตุการณ์ก็เป็นจริงดั่งที่เรากล่าว เราจึงถามสุนักขัตตลิจฉวี ว่า ท่เี ปน็ อยา่ งนี้ ช่ือวา่ เราแสดงอิทธิปาฏิหาริยแ์ ล้วหรอื ยงั สุนกั ขตั ตลจิ ฉวีกร็ บั วา่ แสดงแลว้ ๑ เรอ่ื งนมี้ ปี ระโยชน์ทางภมู ิศาสตร์ จึงนำ� รายละเอยี ดมาลงไวด้ ้วย PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 484 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค์ ปาฏิกสูตร 485 เร่ืองชีเปลือยช่อื ปาฏกิ บุตร (บตุ รชา่ งท�ำถาด) ทีฆนิกาย ตรัสเล่าถึงชีเปลือยช่ือปาฏิกบุตร ผู้เลิศด้วยลาภ ยศ อาศัยอยู่ในวัชชีคาม ใกล้ กรงุ เวสาลี ชเี ปลอื ยผนู้ เี้ ปลง่ วาจาในทา่ มกลางบรษิ ทั วา่ พระโคดมเปน็ ญาณวาทะ (ผกู้ ลา่ วรบั รอง ญาณความรู้) ตนก็เป็นญาณวาทะ ควรจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ด้วยกันได้ พระสมณโคดมมา คร่ึงทาง ตนจะไปครึ่งทาง พระสมณโคดมแสดงอิทธิปาฏิหาริย์กี่อย่าง ตนก็จะแสดงเพิ่มขึ้น เป็นทวีคูณ เมื่อสุนักขัตตลิจฉวีมาเล่าให้ฟัง เราจึงกล่าวชีเปลือยชื่อปาฏิกบุตรไม่ละท้ิงถ้อยค�ำ นั้นความคิดนั้น ไม่สละความเห็นนั้น ก็ไม่ควรมาอยู่ต่อหน้าเรา ถ้าขืนมาศีรษะก็จะแตก สุนักขัตตลิจฉวีขอให้เรารักษาถ้อยค�ำที่เราพูดไว้ เราจึงให้สุนักขัตตลิจฉวีไปบอกแก่ชีเปลือย ชื่อปาฏิกบุตร เช้าวันรุ่งข้ึน เม่ือกลับจากบิณฑบาตในกรุงเวสาลี เราจึงเข้าไปพักกลางวันใน อารามของชีเปลือยช่ือปาฏิกบุตร สุนักขัตตลิจฉวีก็รีบเที่ยวไปบอกพวกกษัตริย์ลิจฉวี รวมท้ัง พราหมณมหาศาล๑ คฤหบดีมหาศาล และสมณพราหมณ์ เจ้าลัทธิต่าง ๆ ให้รีบไปดูการแสดง อทิ ธิปาฏิหาริย์ระหว่างเรากับชีเปลือยชือ่ ปาฏิกบุตร เม่ือชีเปลือยช่ือปาฏิกบุตรทราบว่ามีคนมาประชุมเพ่ือจะคอยดู ก็ตกใจกลัว จึงเดินทางไปยังอารามของปริพพาชกช่ือติณฑุกขานุ (ตอไม้มะพลับ) พวกบริษัทก็ไปตาม พูดขอร้องให้ไปแสดงตัว ชีเปลือยผู้น้ันก็พูดว่า จะไป แต่กระเสือกกระสนอยู่ในท่ีน้ัน ลุกขึ้น ไม่ได้ มหาอ�ำมาตย์ของเจ้าลิจฉวีไปตาม เขาก็พูดอย่างนั้น แต่ลุกข้ึนไม่ได้ ชาลิยะศิษย์ของ ปริพพาชกผู้ใช้บาตรไม้ จึงไปตาม และพูดว่าอย่างเจ็บ ๆ แต่ก็ไม่ส�ำเร็จ ชีเปลือยไม่ยอมไป แสดงตวั เราจงึ แสดงธรรมแกบ่ รษิ ทั ทไ่ี ปประชมุ นน้ั แลว้ กลบั ทพี่ กั และเราไดถ้ ามสนุ กั ขตั ตลจิ ฉวี วา่ ทีเ่ ป็นอยา่ งนี้ ชือ่ ว่าเราแสดงอทิ ธปิ าฏิหาริยแ์ ล้วหรอื ยัง สุนกั ขตั ตลิจฉวีก็รับวา่ แสดงแล้ว เรื่องของส่ิงท่เี ลิศหรือเปน็ ต้นเดิม (อัคคัญญะ) ตรัสต่อไปว่า ”เรารู้จักส่ิงท่ีเลิศ รู้จักส่ิงท่ีเลิศยิ่งขึ้นไปกว่านั้น แต่รู้แล้วก็ไม่ยึดถือ เมื่อไม่ยึดถือก็รู้แจ้งนิพพานเฉพาะตน เมื่อรู้จึงไม่ประสบความเส่ือม„ คร้ันแล้วทรงแสดงส่ิงท่ี เลศิ ตามทัศนะของศาสนาอืน่ ต่อไปว่า ๑ ค�ำว่า มหาศาล หมายความวา่ มีทรพั ยม์ าก PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 485 5/4/18 2:25 PM

486 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๑. สมณพราหมณ์บางพวกบัญญัติสิ่งที่เลิศอันเป็นค�ำสอนของอาจารย์ คือเร่ืองท่ี พระอศิ วร๑สรา้ ง (อสิ สรกตุ ตะ) พระพรหมสรา้ ง (พรหมกตุ ตะ) คอื เมอื่ โลกหมนุ เวยี น เปล่ียนไป บางครั้งพรหมวิมานว่างไม่มีใคร ผู้ท่ีไปเกิดในที่นั้นคนแรกก็นึกว่าตน เป็นมหาพรหมผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ไปเกิดทีหลังก็นึกว่าตนเป็นผู้ท่ีมหาพรหมสร้างข้ึน ต่อมาพวกเหลา่ นัน้ มาเกดิ ในโลกนี้ ออกบวชบำ� เพญ็ เพียร ระลกึ ชาติได้ กเ็ อาความ เขา้ ใจสมัยทเี่ กิดในพรหมโลกน้ันมากล่าววา่ มีผสู้ ร้างและผู้ถูกสรา้ ง ๒ . สมณพราหมณ์บางพวกบัญญัติสิ่งท่ีเลิศอันเป็นค�ำสอนของอาจารย์เกี่ยวกับเทพ พวกขฑิ ฑาปโทสกิ ะ (ผเู้ สยี หายหรอื มโี ทษเพราะการเลน่ ) คอื เมอ่ื มาออกบวชบำ� เพญ็ เพยี ร ระลกึ ชาตไิ ดว้ า่ ตนเคยเปน็ เทพพวกขฑิ ฑาปโทสกิ ะ ตอ้ งจตุ ิ คอื พน้ ฐานะเดมิ เพราะการเลน่ สนกุ สนาน จงึ เหน็ วา่ เทวดาพวกอนื่ เทย่ี ง พวกขฑิ ฑาปโทสกิ ะไมเ่ ทย่ี ง ๓ . สมณพราหมณ์บางพวกบัญญัติส่ิงท่ีเลิศอันเป็นค�ำสอนของอาจารย์เกี่ยวกับเทพ พวกมโนปโทสิกะ (ผู้เสียหายหรือมีโทษเพราะคิดร้ายผู้อ่ืน) คือเมื่อมาออกบวช บำ� เพญ็ เพยี ร ระลกึ ชาตไิ ดว้ า่ ตนเคยเปน็ เทพพวกมโนปโทสกิ ะ ตอ้ งจตุ ิ คอื พน้ จาก ฐานะเดมิ เพราะคดิ รา้ ยผอู้ น่ื จงึ เหน็ เทวดาพวกอน่ื เทย่ี ง พวกมโนปโทสกิ ะไมเ่ ทยี่ ง ๔. สมณพราหมณ์บางพวก บัญญตั สิ ่ิงท่เี ลิศ อันเป็นคำ� สอนของอาจารย์เก่ยี วกับการ มีเป็นข้ึนเอง โดยไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนะ) คือเม่ือมาออกบวชบ�ำเพ็ญเพียร ระลึกชาติได้ว่า ตนเคยมีสัญญาเกิดขึ้น ขณะเป็นอสัญญีสัตว์ ไม่มีสัญญา พอเกิดสัญญาขึ้นก็จุติ จึงระลึกได้ สิ้นสุดลงเพียงเมื่อจะจุติเท่าน้ัน ย้อนหลังไป กวา่ นัน้ ไม่เหน็ มอี ะไร จงึ เห็นว่าสงิ่ ตา่ ง ๆ มีข้ึนเองโดยไมม่ ีเหตุ (ขอ้ บญั ญตั ทิ งั้ ๔ น้ี เปน็ ทฏิ ฐคิ วามเหน็ ทมี่ มี ลู ฐานมาจากความรเู้ พยี งเปลาะใดเปลาะหนง่ึ ไม่รูต้ ลอดสาย ทำ� ให้เข้าใจผดิ ดพู รหมชาลสตู รประกอบ ซึ่งย่อไว้แลว้ ใน หน้า ๔๑๐ - ๓๑๓) คร้ันแล้วตรัสเร่ืองสุภวิโมกข์ (ซึ่งอรรถกถาอธิบายว่า การบ�ำเพ็ญกสิณ คือการเพ่ง รูปนิมิต แบบใช้สีเป็นอารมณ์) เมื่อจบพระพุทธด�ำรัส ภัคควโคตรปริพพาชกช่ืนชมภาษิต ของพระผูม้ ีพระภาค (หมายเหตุ : เป็นอันทรงตอบข้อกล่าวหาของสุนักขัตตลิจฉวี ที่ว่าไม่ทรงแสดง อิทธิปาฏิหาริย์ และไม่แสดงสิ่งที่เลิศ หรือส่ิงท่ีเป็นต้นเดิมของส่ิงทั้งหลายว่าได้ทรงแสดงแล้ว อย่างไร) ๑ อรรถกถาแกว้ ่า ได้แกพ่ ระพรหม เพราะคำ� วา่ อสิ สระ แปลวา่ ผเู้ ป็นใหญ่ ในท่นี ไี้ ด้แปลตามศพั ทท์ ่ีน่าจะเปน็ ไปได้ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 486 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค์ อุทุมพริกสูตร 487 ๒. อทุ มุ พรกิ สูตร ทีฆนิกาย (สูตรว่าดว้ ยเหตุการณใ์ นปริพพาชการาม ซง่ึ นางอุทุมพริกาสร้างถวาย) พระผู้มพี ระภาคประทับ ณ เขาคชิ ฌกฏู ใกลก้ รงุ ราชคฤห์ สันธานคฤหบดี๑ ออกจาก กรุงราชคฤห์จะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคในเวลากลางวัน และแวะไปหานิโครธปริพพาชก ซ่ึง ก�ำลังอยู่กับบริษัทใหญ่ประมาณ ๓ พันคนก�ำลังกล่าวถ้อยค�ำ ที่เป็นเร่ืองภายนอกของสมณะ (ติรัจฉานกถา) ด้วยเสียงอันดัง เมื่อเห็นสันธานคฤหบดีเข้ามา ก็สั่งกันและกันให้สงบเสียง เพราะคฤหบดีผู้น้ีเป็นสาวกฝ่ายคฤหัสถ์ท่ีอยู่ในกรุงราชคฤห์คนหน่ึงของพระสมณโคดม และ เป็นพวกท่ีไม่ชอบเสียงดัง พรรณนาคุณของความเป็นผู้มีเสียงน้อย เม่ือรู้ว่าบริษัทมีเสียงน้อย ก็จะพงึ เขา้ มาหา เมื่อสันธานคฤหบดีเข้าไปหานิโครธปริพพาชก กล่าวสัมโมทนียกถาปราศรัยกัน เสร็จแล้ว ก็กล่าวว่า นักบวชลัทธิอื่น (อัญญเดียรถีย์ปริพพาชก) ท่ีประชุมกัน ส่งเสียงอ้ืออึง เป็นคนละอย่างกับพระผู้มพี ระภาค ผ้เู สพเสนาสนะอนั สงัด นิโครธปริพพาชกจึงตอบว่า พระสมณโคดมจะสนทนาโต้ตอบ แสดงความสามารถ ทางปัญญากับใครได้ ปัญญาของพระสมณโคดมถูกก�ำจัดเสียแล้วในเรือนว่าง จึงไม่กล้า ก้าวลงสู่บริษัท ไม่ควรที่จะโต้ตอบ ได้แต่เสพเสนาสนะอันสงัด เหมือนโคตาบอดที่หนีไปอยู่ ป่าลึก เสพเสนาสนะอันสงัด (โดยใจความว่า การที่เสพเสนาสนะอันสงัด ก็เพราะไม่มีปัญญา จะโต้ตอบกับใคร จึงต้องเลี่ยงหนีประชุมชน เหมือนโคตาบอดที่กลัวถูกท�ำร้าย ต้อง หลบซ่อนตัวอยู่ในท่ีเปล่ียว) ขอให้สมณโคดมมาสู่บริษัทน้ีเถิด เราจะสนทนาด้วยสักปัญหา หนง่ึ จะหมุนเสยี ใหเ้ หมือนหม้อเปลา่ ทเี ดียว๒ พระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับถ้อยค�ำสนทนาของท้ังสองฝ่ายด้วยพระโสตธาตุอัน เปน็ ทพิ ย์ จงึ เสด็จลงจากเขาคิชฌกฏู เสด็จจงกรมในท่แี จง้ ริมฝ่ังนำ้� สมุ าคธา นิโครธปรพิ พาชก เห็นเช่นน้ันก็เตือนบริษัทให้สงบเสียงแล้วกล่าวว่า ถ้าพระสมณโคดมเสด็จมา ตนจะถาม ปัญหาเรื่องธรรมะที่ทรงแสดงแก่สาวกให้มีความปลอดโปร่งใจในการประพฤติพรหมจรรย์ เบอื้ งตน้ ๑ สันธานคฤหบดีผู้นี้เป็นคนส�ำคัญ มีบริวารมาก เป็นอนาคามีบุคคล คือพระอริยบุคคลช้ันท่ี ๓ รองลงมาจาก พระอรหันต์ พระผู้มีพระภาคตรัสสรรเสริญ ปรากฏในพระไตรปิฏก องฺ.ฉกฺก. ๒๒/๓๙๖/๔๒๖ ว่าประกอบด้วย คุณธรรม ๖ อย่าง คือ มีความเล่ือมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างไม่หวั่นไหว มีศีลอันประเสริฐ ๑ มีญาณความรูอ้ นั ประเสริฐ มวี ิมตุ คิ วามหลุดพ้นอนั ประเสรฐิ จะท�ำให้หวั หมนุ มึนงง - ม.พ.ป. PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 487 5/4/18 2:25 PM

488 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๑. พระผู้มีพระภาคเสด็จมาหานิโครธปริพพาชก ได้รับการต้อนรับปราศรัยเป็นอันดี ไดร้ บั นมิ นตใ์ หน้ ง่ั บนอาสนะ สว่ นนโิ ครธปรพิ พาชกนงั่ บนอาสนะทตี่ ำ�่ กวา่ ๑ เมอ่ื พระ ผมู้ พี ระภาคตรสั ไตถ่ ามวา่ สนทนาอะไรคา้ งอยู่ ปรพิ พาชกจงึ กราบทลู วา่ พดู กนั วา่ ถา้ พระองคเ์ สดจ็ มา จะถามเรอื่ งธรรมทแี่ สดงแกส่ าวก ใหม้ คี วามปลอดโปรง่ ใจใน การประพฤติพรหมจรรย์เบื้องต้น ตรัสตอบว่า เป็นการยากที่ท่านผู้มีความเห็น อย่างอ่ืน มีความพอใจอย่างอื่น มีความประพฤติอย่างอื่น มีอาจารย์อย่างอ่ืน จะ เขา้ ใจได้ ทา่ นจงถามปญั หาในลทั ธอิ าจารยข์ องทา่ นเอง อนั เกย่ี วดว้ ยการเกลยี ดชงั ความชวั่ โดยการบำ� เพญ็ ตบะดกี วา่ พวกปรพิ พาชกกอ็ อ้ื องึ ขน้ึ กลา่ วกนั วา่ นา่ อศั จรรย์ ทพ่ี ระสมณโคดมเปน็ ผมู้ ฤี ทธม์ิ าก มอี านภุ าพมาก ไมต่ อบปญั หาในลทั ธขิ องตนแต่ กลับปวารณา (ขอใหถ้ าม) ในลทั ธขิ องผ้อู ื่น ๒ . นิโครธปริพพาชกส่ังให้ปริพพาชกเหล่านั้นสงบเสียงแล้วถามว่า พวกข้าพเจ้ามี วาทะเกลยี ดชงั ความชวั่ โดยการบำ� เพญ็ ตบะ (ตโปชคิ จุ ฉวาทะ) ยดึ ความเกลยี ดชงั ความช่ัวโดยใช้ตบะหรอื ความเพยี รอยู่ ประพฤติอยา่ งไรจงึ จะสมบูรณ์ อยา่ งไรจงึ ไม่สมบูรณ์ พระผู้มีพระภาคก็ตรัสตอบตามลัทธิของเขา เช่น เปลือยกายยืนถ่าย อจุ จาระปสั สาวะ และกนิ อาหารเลยี มอื ทเ่ี ลอะอาหารแทนการลา้ ง เปน็ ตน้ แลว้ ตรสั ถามว่า ประพฤตอิ ยา่ งน้ี ช่อื ว่าบรบิ ูรณห์ รอื ยงั ปรพิ พาชกกราบทลู วา่ บริบูรณ์แล้ว แต่กลับตรัสว่า จะทรงชี้ข้อเศร้าหมองในการปฏิบัติอย่างนี้ท่ี (ถือกันว่า) บริบูรณ์ แลว้ ให้ฟงั ๓ . ปริพพาชกถามว่า จะทรงชี้ข้อเศรา้ หมองในการปฏิบัตินี้อย่างไร ตรสั ตอบว่า (๑) การทีบ่ �ำเพ็ญตบะแล้วอ่มิ เอิบใจ เต็มความปรารถนาดว้ ยตบะน้นั (๒) ยกตน ข่มผอู้ ื่น เพราะตบะนั้น (๓) มัวเมา เพราะตบะนัน้ (๔) ท�ำลาภสักการะและชื่อเสียงให้เกิด เพราะตบะนั้น แล้วอ่ิมเอิบใจ เต็มความ ปรารถนาด้วยลาภสกั การะและชอื่ เสยี งนั้น (๕) ยกตน ข่มผู้อื่น เพราะลาภสกั การะและชือ่ เสยี งนั้น ๑ มีหลายสูตรที่เจ้าส�ำนักปริพพาชกเชิญให้พระพุทธเจ้าประทับบนอาสนะ แล้วตนเองน่ังบนอาสนะต�่ำกว่า จะเป็นด้วยถือว่าทรงเป็นกษัตริย์หรืออย่างไร เป็นเรื่องน่าสังเกต เท่าที่ย่อมาแล้ว มีโปฏฐปาทสูตร (หน้า ๔๓๑) และปาฏิกสตู ร กอ่ นสตู รหนา้ นี้ (หน้า ๔๘๓) PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 488 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค์ อุทุมพริกสูตร 489 (๖) มัวเมา เพราะลาภสักการะและชื่อเสียงนัน้ ทีฆนิกาย (๗) แบ่งแยกในเร่ืองอาหารว่า นี้ชอบใจ นี้ไม่ชอบใจ อันไหนไม่ชอบใจก็เพ่งเล็ง ละท้ิง อันไหนชอบใจก็ติดใจ ไม่เห็นโทษ (๘) บำ� เพญ็ ตบะเพราะใครจ่ ะไดล้ าภชอื่ เสยี ง เพอื่ ใหพ้ ระราชา มหาอำ� มาตย์ กษตั รยิ ์ พราหมณ์ คฤหบดี เดยี รถยี ์สกั การะตน (๙) รกุ รานสมณพราหมณบ์ างพวกดว้ ยเร่อื งการบริโภคพชื ผลไม้ (๑๐) ริษยาและตระหนี่ในสกุล๑ เม่ือเห็นสมณพราหมณ์บางพวกมีผู้สักการะ เคารพนบั ถือ (๑๑) น่ังแสดงตนในทาง (ทค่ี นผ่านไปมา) (๑๒) พูดไมต่ รงความจริง ชอบวา่ ไม่ชอบ ไมช่ อบว่าชอบ (๑๓) เมอ่ื ตถาคตหรอื สาวกของตถาคตแสดงธรรม ไมย่ อมรบั ปรยิ ายทคี่ วรยอมรบั ๒ (๑๔) เป็นคนมักโกรธ และผกู โกรธ (๑๕) เปน็ คนมักลบหลู่บุญคุณท่านและตีเสมอ (๑๖) เป็นคนมักรษิ ยาและตระหน่ี (๑๗) เปน็ คนโอ้อวดและมีมายา (๑๘) เปน็ คนกระดา้ งและดูหม่นิ ท่าน (๑๙) มคี วามปรารถนาลามก ตกอยู่ใตอ้ �ำนาจของความปรารถนาลามก (๒๐) มคี วามเห็นผดิ ประกอบด้วยความเห็นยดึ ส่วนสุด (๒๑) ยดึ แต่ความเห็นของตน ถอื มนั่ สลัดยาก แตล่ ะอย่างนเ้ี ปน็ ความเศร้าหมองของผู้บ�ำเพญ็ ตบะ คร้ันแล้วตรัสถามว่า การเกลียดชังความช่ัวโดยบ�ำเพ็ญตบะดังกล่าวมาน้ี จะนับว่า เศร้าหมองหรือไม่ นิโครธปริพพาชกยอมรับว่าเป็นความเศร้าหมอง มีฐานะท่ีผู้บ�ำเพ็ญตบะ บางคนอาจประกอบด้วยความเศร้าหมองครบทุกข้อ จึงไม่ต้องกล่าวถึง เพียงข้อใดข้อหน่ึง (ว่าจะมีใครไมม่ คี วามเศร้าหมองนีบ้ า้ งเลย) ๒๑ หมายความวา่ หวง หรือไม่อยากให้ใครอนื่ มาเก่ียวขอ้ ง - ม.พ.ป. ไม่มีการปฏิเสธความจริงเพียงเพราะ ในพระพุทธศาสนา ถ้าใครกล่าวถูกตรงตามความจริง ก็ถือว่ากล่าวถูกต้อง ผู้พดู เปน็ คนในศาสนาอืน่ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 489 5/4/18 2:25 PM

490 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๔. ต่อจากน้ันทรงแสดงการบ�ำเพ็ญตบะท่ีบริสุทธิ์ คือที่ตรงกันข้ามกับ ๒๑ ข้อ ขา้ งต้น นิโครธปรพิ พาชกยอมรับว่าเป็นการเกลยี ดชังความชว่ั โดยบำ� เพญ็ ตบะท่ี บรสิ ทุ ธิ์ ถงึ ความเปน็ ยอดและสาระ แตพ่ ระผมู้ พี ระภาคกต็ รสั ว่า ยงั ไมใ่ ชถ่ งึ ความ เป็นยอดหรอื สาระ แต่ถงึ ความเป็นสะเก็ดเท่านน้ั ๕. นิโครธปริพพาชกขอให้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงวิธีบ�ำเพ็ญตบะ ที่ถึงความเป็น ยอดหรือเป็นแกน่ จงึ ทรงแสดงความสังวร ๔ ประการ คอื (๑) ไมฆ่ า่ สตั ว์ ไม่ใชใ้ หฆ้ ่า ไมย่ นิ ดตี ่อผูฆ้ ่า (๒) ไมล่ กั ทรัพย์ ไมใ่ ช้ใหล้ ัก ไม่ยินดตี อ่ ผลู้ กั (๓) ไมพ่ ดู ปด ไมใ่ ชใ้ หพ้ ูดปด ไมย่ นิ ดีตอ่ ผูพ้ ดู ปด (๔) ไมเ่ สพกามคุณ ไม่ใชใ้ ห้ผูอ้ ืน่ เสพ ไมย่ นิ ดตี อ่ ผ้เู สพ และทรงแสดงการเสพเสนาสนะ (ทน่ี อนทนี่ ง่ั หรือท่อี ย่อู าศยั ) อันสงัด นง่ั ท�ำ สติก�ำจดั นีวรณ์ ๕ คือ (๑) อภชิ ฌา๑ (ความอยากได)้ (๒) พยาบาท (ความปองร้าย) (๓) ถนี มทิ ธะ (ความหดหู่ง่วงงุน) (๔) อทุ ธจั จกุกกจุ จะ (ความฟงุ้ สร้านร�ำคาญใจ) (๕) วจิ กิ จิ ฉา (ความลงั เลสงสยั ) เมอ่ื ละนีวรณ์ ๕ ได้ เม่อื ความเศรา้ หมองแหง่ จิตลดน้อยลงเพราะปญั ญาแล้ว กเ็ จรญิ พรหมวหิ าร ๔ แผ่ไปทั่วทกุ ทศิ สูโ่ ลก ทง้ั สิ้น ครน้ั แล้วตรสั ถามวา่ เท่าน้ี การบำ� เพ็ญตบะจะชอื่ ว่า บริสุทธ์ิหรือไม่ กราบทูลว่า บริสุทธิ์ ถึงความเป็นยอดเป็นสาระ แต่ตรัสตอบว่า ยังไม่ถึงความ เป็นยอดเปน็ สาระ ถึงเพยี งแค่เปลอื กเท่านนั้ ๖. นิโครธปริพพาชกขอให้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงวิธีบ�ำเพ็ญตบะที่ถึงความ เป็นยอดหรือเป็นแก่น จึงตรัสแสดงข้อปฏิบัติต่อไป โดยเท้าความการปฏิบัติข้าง ต้น แล้วแสดงการได้ผล คือการระลึกชาติได้ ตั้งแต่ ๑ ชาติถึงแสนชาติและ หลายกปั ป์ แล้วตรัสว่า เป็นเพยี งกะพี้ ๗. เม่ือทรงถูกขอร้องให้แสดงต่อไปอีก จึงตรัสถึงการได้ผล คือทิพยจักษุ แล้วทรง สรปุ วา่ การบำ� เพญ็ ตบะอย่างนี้ ถึงความเปน็ ยอดเป็นแกน่ ๑ พงึ สังเกตวา่ ในที่นี้ ไมใ่ ชค้ ำ� ว่า กามฉันท์ ความพอใจในกาม แต่ใช้ อภิชฌา แทน PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 490 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค์ อุทุมพริกสูตร 491 แล้วทรงสรูปต่อไปว่า เป็นอันตอบปัญหาคร้ังแรกที่นิโครธปริพพาชกทูลถามท่ีว่า ทีฆนิกาย ทรงแนะน�ำสาวกด้วยธรรมอะไร ให้มีความปลอดโปร่งใจในการปฏิบัติพรหมจรรย์เบ้ืองต้น คอื ทรงแนะน�ำถงึ ฐานะอนั ย่ิงกว่า ประณีตกวา่ ทีแ่ สดงไว้น้อี ีก ปริพพาชกท้ังหลายก็แสดงความประหลาดใจที่ตนไม่เห็นไม่รู้ฐานะที่ยิ่งขึ้นไปกว่าน้ี (ย่ิงกว่าการไดท้ ิพยจกั ษุทวี่ า่ เปน็ ยอด แลว้ ยังมีอะไรยอดขึ้นไปอกี ๑) สันธานคฤหบดีจึงกราบทูลทบทวนถึงข้อท่ีนิโครธปริพพาชกกล่าวกระทบกระทั่ง พระผู้มีพระภาคในตอนแรก ซ่ึงท�ำให้นิโครธปริพพาชกนั่งน่ิงเก้อเขิน พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า กล่าวไว้อย่างนั้นจริงหรือไม่ นิโครธปริพพาชกรับว่าจริง และกราบทูลขออภัย จึงตรัสถามให้ตอบด้วยความจริงใจ ถึงถ้อยค�ำของพวกปริพพาชกเก่า ๆ ว่า เขากล่าวถึง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตว่าชอบส่งเสียงดัง พูดเร่ืองไร้สาระหรือว่าชอบสงบอยู่ เสนาสนะอันสงัด นิโครธปริพพาชกก็ยอมรับว่าเคยได้ยินได้ฟังมาว่า พระอรหันต สัมมาสัมพทุ ธเจ้าในอดตี ทรงปฏิบัตเิ หมอื นอยา่ งพระผ้มู พี ระภาคในปัจจุบนั นี้ จึงตรัสสรปู วา่ วิญญชู นผ้สู ูงอายนุ ัน้ (หมายถงึ ปรพิ พาชกโบราณ) มไิ ด้คดิ วา่ ”พระผู้มีพระภาคทรงตรัสร้แู ลว้ ทรงแสดงธรรมเพ่ือความตรสั รู้ ทรงฝกึ พระองค์แล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อการฝกึ (ให้ผู้อืน่ ฝกึ ตนเอง) ทรงสงบระงับแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อความสงบระงับ ทรงข้ามพ้นแล้ว ทรงแสดงธรรมเพ่อื การขา้ มพน้ ทรงดับเย็นแล้ว ทรงแสดงธรรมเพือ่ ความดับเยน็ „ นิโครธปริพพาชกจึงกราบทูลขออภัยซ้�ำอีก พระผู้มีพระภาคตรัสประทานอภัยแล้ว จงึ ทรงแสดงการปฏิบตั อิ ยา่ งไดผ้ ลในพระธรรมวินยั นี้ภายใน ๗ ปี ถึง ๗ วนั แลว้ ตรสั ว่า มิได้ ทรงประสงค์จะได้เขามาเป็นศิษย์ มิได้ทรงประสงค์จะให้เขาเลิกเรียน (แบบปริพพาชก) จะให้ เลิกจากอาชีวะ (การด�ำรงชีวิตแบบปริพพาชก) มิได้ทรงประสงค์จะให้ตั้งอยู่ในอกุศลธรรม ถ่ายถอนจากกุศลธรรม หากทรงแสดงธรรมเพ่ือให้ละอกุศลธรรม เมื่อปฏิบัติอย่างไรจะ ละอกศุ ลธรรมได้ ธรรมอนั ผอ่ งแผว้ จะเจรญิ ขนึ้ กจ็ งทำ� ใหป้ ญั ญาบรบิ รู ณ์ ทำ� ใหแ้ จง้ ความไพบลู อยู่ในปัจจบุ ันเถิด ๑ เร่ืองนี้เป็นการตอบปัญหาทีเดียวได้ผล ๒ ทาง คือตอบปัญหาแบบช้ีให้เห็นความบกพร่องในลัทธิของปริพพาชก น้ันด้วยความรับรองของพวกเขาเองอย่างหนึ่ง อีกอย่างหน่ึงเป็นการตอบปัญหาเดิมที่เขาถามเกี่ยวกับ พระพทุ ธศาสนาด้วย PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 491 5/4/18 2:25 PM

492 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๓. จกั กวัตติสตู ร (สูตรว่าด้วยพระเจ้าจักรพรรด)ิ พระผมู้ พี ระภาคประทับ ณ นครมาตลุ า แควน้ มคธ ตรัสสอนภิกษทุ ้งั หลายใหพ้ ง่ึ ตน พ่ึงธรรมและเจริญสติปัฏฐาน ๔๑ แล้วตรัสเล่าเรื่องรัตนะ ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ พระนามวา่ ทฬั หเนมิ คอื ๑. จักร (ลกู ล้อรถ) แก้ว (จกั กรัตนะ) ๒. ชา้ งแก้ว (หตั ถิรตั นะ) ๓. มา้ แกว้ (อสั สรตั นะ) ๔. แก้วมณี (มณรี ัตนะ) ๕. นางแก้ว (อติ ถีรัตนะ) ๖. ขนุ คลังแกว้ (คหปตริ ตั นะ) ๗. ขนุ พลแกว้ (ปรณิ ายกรัตนะ) พระเจ้าทัฬหเนมิตรัสสั่งบุรุษคนหน่ึงให้คอยดูว่า จักรแก้วเคลื่อนจากฐานเมื่อไร ให้มาบอก จ�ำเนียรกาลล่วงมา เม่ือจักรแก้วเคลื่อนจากที่ บุรุษนั้นก็ไปกราบทูล พระองค์จึง ตรัสเรียกพระราชบุตรองค์ใหญ่มอบราชสมบัติให้แล้วปลงพระเกสาเเละพระมัสสุ ทรงผ้า กาสายะ (ผ้าย้อมฝาด) ออกผนวชเป็นบรรพชิต เม่ือออกผนวชเป็นราชฤษีได้ ๗ วัน จักรแก้ว ก็อนั ตรธานหายไป พระราชา (พระองค์ใหม่) ก็ทรงเสียพระราชหฤทัยเข้าไปเฝ้าพระราชฤษี เล่าความ ถวาย พระราชฤษีก็ตรัสปลอบว่า จักรแก้วเป็นของให้กันไม่ได้ และทรงแนะน�ำให้บ�ำเพ็ญ จักกวัตติวัตร คือข้อปฏิบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ มีฐานะอยู่ที่เมื่อปฏิบัติแล้ว จักรแก้วอัน เปน็ ทพิ ย์ มกี ำ� ตงั้ พนั มกี ง ดมุ สมบรู ณด์ ว้ ยอาการทง้ั ปวง จกั ปรากฏขนึ้ แกพ่ ระราชาผรู้ กั ษาอโุ บสถ ในวันอุโบสถ ๑๕ ค่�ำ ผู้ขึ้นสู่ช้ันบนปราสาท กราบทูลถามว่า วัตรอันประเสริฐของพระเจ้า จกั รพรรดิเปน็ อยา่ งไร ตรัสตอบว่า ๑. จงอาศยั ธรรมสกั การะเคารพนบั ถือธรรม ให้ความคมุ้ ครองอนั เปน็ ธรรมแกม่ นุษย์ แลสตั ว์ ไม่ยอมใหผ้ ้ทู ำ� การอันเปน็ อธรรมเป็นไปได้ในแวน่ แคว้น๒ ๑๒ โปรดดมู หาสติปฏั ฐานสตู ร หนา้ ๔๗๓ เพอ่ื เข้าใจว่าเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ นั้นทำ� อยา่ งไร ข้อนเ้ี กบ็ ใจความจรงิ ๆ สำ� นวนบาลียาวมาก PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 492 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค์ จักกวัตติสูตร 493 ๒. ผใู้ ดไม่มีทรพั ยก์ ม็ อบทรพั ย์ให้ ทีฆนิกาย ๓. เขา้ ไปหาสมณพราหมณ์ผู้เว้นจากความเมา ประมาท ตัง้ อยใู่ นขนั ติ (ความอดทน) โสรัจจะ (ความสงบเสงี่ยม) และถามถึงส่ิงเป็นกุศล อกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ ควรเสพ ไมค่ วรเสพ อะไรทำ� เข้าเปน็ ไปเพือ่ เสยี ประโยชน์ เพอ่ื ทุกข์ตลอดกาลนาน อะไรท�ำเข้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพ่ือสุขตลอดกาลนาน เม่ือฟังแล้ว ก็รับเอาส่ิงท่ี เปน็ กุศลมาประพฤติ นแ้ี ลคอื วตั รอันประเสริฐของพระเจ้าจกั รพรรดินั้น„ (หมายเหตุ : ข้าพเจ้าย่อวัตรของพระเจ้าจักรพรรดิได้ ๓ อย่าง แต่ในอรรถกถาแจก ไปตามพยัญชนะได้ถึง ๑๐ อยา่ ง คือ ให้อารกั ขาอันเปน็ ธรรมแก่ ๑ . พลกาย หรือกองทหารทอ่ี ยู่ใกล้ชดิ (เปน็ อันโตชน) ๒. กษัตรยิ ์ (น่าจะหมายถงึ พระราชวงศ์และกษตั รยิ เ์ มอื งขึน้ ) ๓. ผู้ติดตาม ๔ . พราหมณ์ คฤหบดี ๕ . ชาวนิคมชนบท ๖. สมณพราหมณ์ ๗. เนือ้ และนก ๘. ขัดขวางผู้ท�ำการทไ่ี ม่เปน็ ธรรม ๙. เพิม่ ใหท้ รัพยแ์ กผ่ ้ไู มม่ ที ัรพย์ ๑๐ . เขา้ ไปหาสมณพราหมณ์แล้วถามปัญหา และแล้วอธิบายต่อไปว่า แยกเป็น ๑๒ ข้อก็ได้ คือแยก คฤหบดีออกจากพราหมณ์ และแยกนกออกจากเนื้อ แต่ที่ข้าพเจ้าย่อเหลือเพียง ๓ ก็เพราะประเด็นแรกมุ่งในทางเคารพธรรม ให้ความ คุม้ ครองอนั เป็นธรรม และปราบอธรรม จดั เป็นขอ้ ท ี่ ๑ - ผจู้ ัดทำ� ) เมื่อพระราชา (ผู้เป็นราชบุตร) กระท�ำตาม จักรแก้วก็ปรากฏขึ้นตามท่ีพระราชฤษี ทรงกล่าวไว้ พระราชาจึงทรงถือเต้าน�้ำด้วยพระหัตถ์ซ้าย ทรงหมุนจักรแก้วไปด้วยพระหัตถ์ เบ้ืองขวา รับส่ังว่า จักรแก้วอันเจริญจงหมุนไปเถิด จงมีชัยเถิด แล้วยกกองทัพมีองค์ ๔ ติดตามไปท้ังส่ีทิศจนจดสมุทร สั่งสอนพระราชาในทิศนั้น ๆ ให้ต้ังอยู่ในศีล ๕ แล้วมอบให้ ครอบครองสมบัติต่อไปตามเดิม (เพียงให้ยอมแพ้เท่าน้ัน) เมื่อได้ชัยชนะท้ังส่ีทิศแล้ว ก็เสด็จ กลับสู่ราชธานตี ามเดิม PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 493 5/4/18 2:25 PM

494 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ พระเจ้าจักรพรรดิ พระองค์ที่ ๒ - ๓ - ๔ - ๕ - ๖ และท่ี ๗ ก็เป็นอย่างนี้ พระเจ้า จักรพรรดิท่ี ๗ เม่ือออกผนวชและมอบราชสมบัติแก่พระราชโอรสแล้ว จักรแก้วก็อันตรธาน หายไป พวกอำ� มาตย์ราชบรพิ ารก็ถวายคำ� แนะน�ำเรอ่ื งวตั รของพระเจา้ จกั รพรรดิ ความผิดพลาดในพระราชาองค์ที่ ๘ พระราชาสดับแล้ว ก็ทรงจัดการรักษาคุ้มครองอันเป็นธรรม แต่ไม่พระราชทาน ทรัพย์แก่ผู้ไม่มีทรัพย์ (ในข้อน้ีเม่ือเทียบกับเหตุการณ์ในปัจจุบันก็คือ ไม่จัดการด้านสังคม สงเคราะห์ ไม่มีการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก) ความยากจนก็ไพบูล เมื่อความยากจนไพบูล คนก็ลักทรัพย์ของผู้อื่น ราชบุรุษจับได้ก็น�ำมาถวายให้ทรงจัดการ เม่ือทรงไต่ส่วนได้ความ เป็นสัตย์ และทราบว่าเพราะไม่มีอาชีพ ก็พระราชทานทรัพย์ให้ไปเล้ียงตน เล้ียงมารดาบิดา บุตรภรรยา ประกอบการงานและบ�ำรุงสมณพราหมณ์ ต่อมามีคนลักทรัพย์ของผู้อ่ืนและ ถูกจับได้อีก ทรงไต่สวนได้ความเป็นสัตย์อย่างเดิม ก็พระราชทานทรัพย์อีก ข่าวก็ลือกันไปว่า ถา้ ใครลกั ทรัพย์ก็จะได้พระราชทานทรัพย์ คนกป็ รารถนาจะลักทรพั ย์กันมากขึ้น ตอ่ มา ราชบรุ ษุ จบั คนลกั ทรพั ยไ์ ดอ้ กี แตค่ ราวนพี้ ระราชาทรงเกรงวา่ ถา้ พระราชทานทรพั ย์ การลักทรัพย์ก็จักเพิ่มย่ิงขึ้น จึงตรัสส่ังให้มัด โกนศีรษะ พาตระเวนไปตามถนนหนทาง ด้วยบัณเฑาะว์เสียงกร้าว๑ น�ำออกทางประตูพระนครด้านใต้ ปราบกันอย่างถอนราก ตดั ศรี ษะเสีย เม่ือมนุษย์ได้ทราบข่าว ก็พากันสร้างศัสตราอันคมข้ึน และคิดว่า ถ้าลักทรัพย์ใคร กจ็ ะต้องตดั ศรี ษะเจ้าทรัพย์บา้ ง จงึ เกิดการปล้นหมบู่ ้านนิคมนครและการปลน้ ในหนทาง อายุลด อธรรมเพม่ิ จากการที่ไม่ให้ทรัพย์แก่ผู้ไร้ทรัพย์ ก็มากด้วยความยากจน มากด้วยการลักทรัพย์ มากด้วยการใช้ศัสตรา มากด้วยการฆ่า มากด้วยการพูดปด อายุผิวพรรณของสัตว์ท้ังหลาย ก็เส่ือมลง คือมนุษย์มีอายุ ๘ หม่ืนปี บุตรมีอายุเพียง ๔ หมื่นปี และลดลงเร่ือย ๆ ในเม่ือ ความช่ัวเกิดมากข้ึน เช่น การพูดเท็จอย่างจงใจ การพูดส่อเสียด การประพฤติผิดในกาม เมื่ออายุลดลงเหลือ ๕ พันปี มากไปด้วยธรรม ๒ อย่าง คือการพูดค�ำหยาบ และการพูด เพ้อเจ้อ เมื่ออายุลดลงมาถึง ๒๕๐๐ ปี มากไปด้วยธรรม ๒ อย่าง คือโลภอยากได้ของเขา ๑ แปลจากค�ำวา่ ขรสฺสเรน ปณเวน อรรถกถาอธบิ ายว่า ดว้ ยใชก้ ลองเสยี งหยาบ ที่ใช้ส�ำหรบั คนจะถกู ฆ่า บณั เฑาะว์ เป็นกลองชนิดหนึง่ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 494 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค์ จักกวัตติสูตร 495 และพยาบาทปองร้ายเขา เม่ืออายุลดลงมาถึง ๑ พันปี มากไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ทีฆนิกาย คลองธรรม เมอ่ื อายลุ ดลงมาถึง ๕๐๐ ปี มากไปดว้ ยธรรม ๓ อย่าง คือ ๑. ความก�ำหนดั ทผี่ ิดธรรม๑ (อธมมฺ ราค) ๒. ความโลภรนุ แรง (วิสมโลภ) ๓. ธรรมะท่ีผิด (อรรถกถาอธิบายว่า ความก�ำหนัดพอใจผิดปกติ เช่น ชายในชาย หญิงในหญงิ ) เมอ่ื อายุลดลงมาถงึ ๒๕๐ ปี มากไปดว้ ยธรรม๒ คือการไมป่ ฏิบัตชิ อบในมารดา บิดา ในสมณะ ในพราหมณ์ การไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล เมื่อเส่ือมลงอย่างน้ีท้ังอายุและ ผวิ พรรณ มนษุ ย์มีอายุ ๒๕๐ ปี บุตรกม็ ีอายุเพียง ๑๐๐ ปี เหลืออายุ ๑๐ ปี เกดิ มิคสัญญี จักมีสมยั ทบี่ ตุ รของมนุษยม์ อี ายุ ๑๐ ปี หญงิ สาวอายุ ๕ ปี กม็ สี ามีได้ รสเหลา่ นีจ้ ะอันตรธานไป คือ เนยใส เนยขน้ นำ้� มนั น�้ำผึ้ง น�ำ้ อ้อย รสเค็ม เมลด็ พืช ชอื่ กทุ รสุ กะ (ไทยแปลกันว่า ขา้ วหญ้ากับแก)้ จะเป็นโภชนะอันเลิศ เสมือน หน่ึงข้าวสุกแห่งข้าวสาลีและเนื้อสัตว์เป็นโภชนะอันเลิศในสมัยนี้ (คือของเลวสมัยนี้กลาย เปน็ ของดีในสมัยเสือ่ ม) กสุ ลกัมมบถ (ทางแห่งกศุ ล) ๑๐ ประการ จะอันตรธาน อกุสลกัมมบถ (ทางแหง่ อกุศล) ๑๐ ประการ จะรงุ่ เรอื งยงิ่ แม้คำ� วา่ กศุ ล ก็ไม่มี ผทู้ �ำกุศลจะมีแต่ทไี่ หน การไม่ปฏิบัติชอบในมารดาบิดา ในสมณะ ในพราหมณ์ การไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ในสกุล จะได้รบั การบชู าสรรเสรญิ ซงึ่ ตรงกันขา้ มกับปัจจุบันนี้ จะไมม่ ีค�ำวา่ มารดา นา้ บิดา ปา้ อา ภริยาของอาจารย์ ภริยาของครู โลกจะเจือปนกัน เหมอื นสัตว์ เช่น แพะ ไก่ สุกร จักมีอาฆาต พยาบาท มุ่งร้ายกัน คิดฆ่ากันอย่างรุนแรง แม่คิดต่อลูก ลูกคิดต่อแม่ พ่อคิดต่อลูก ลกู คิดตอ่ พ่อ พช่ี ายคดิ ตอ่ นอ้ งหญงิ น้องหญิงคิดต่อพช่ี าย ๒๑ เชน่ ไม่เลอื กว่าเปน็ มารดา ป้า นา้ บิดา ลงุ อา เปน็ ตน้ - อรรถกถา ธรรม ในท่ีน้ีหมายถงึ เรื่องราว หรือการกระทำ� ทั่ว ๆ ไป - ม.พ.ป. PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 495 5/4/18 2:25 PM


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook