546 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๑๙. เทวธาวิตักกสตู ร (สูตรว่าดว้ ยความตรกึ สองทาง) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายถึงความนึกคิด ที่เกิดข้ึนในสมัยท่ีทรงเป็นพระโพธิสัตว์ยังมิได้ตรัสรู้ ทรงแบ่งความคิดนึก (วิตกความตรึก) ออกเป็น ๒ สว่ น คอื ฝ่ายชัว่ ได้แก่คิดนกึ ในกาม คิดนกึ ปองรา้ ย คิดนกึ เบยี ดเบียน ฝา่ ยดี ไดแ้ กค่ ดิ นกึ ออกจากกาม คิดนกึ ไม่ปองรา้ ย คดิ นึกไม่เบียดเบียน เม่ือความคิดนึกฝ่ายช่ัวเกิดข้ึนและทรงรู้เท่าทันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ พระองค์จึงทรงละ ทรงบนั เทา ทรงทำ� ใหส้ ิ้นสุดซง่ึ ความคิดนกึ ฝา่ ยช่ัวได้ ๒. ตรัสต่อไปวา่ ภิกษตุ รกึ ตรองถงึ เรือ่ งใดมาก จติ กจ็ ะน้อมไปทางน้นั (ท้งั ทางคิดชัว่ และคิดดี) พระองค์ทรงเห็นโทษของอกุศลธรรม เห็นอานิสงส์ (ผลดี) ของกุศลธรรม เม่ือทรง ทราบวา่ ความคดิ ฝ่ายดกี �ำลังเกดิ ข้นึ กไ็ ม่ทรงเห็นภยั จากการคดิ นั้น ไม่ว่าในกลางคืนกลางวัน หรือทงั้ กลางคนื กลางวนั แต่ถ้าตรึกตรอง (วิตกวจิ าร) นานเกนิ ไป กายลำ� บาก จิตก็จะฟุง้ สร้าน เมื่อจิตฟุ้งสร้านก็จะห่างจากสมาธิ พระองค์จึงทรงตั้งจิตไว้ภายใน ท�ำให้มีอารมณ์เป็นหน่ึง ท�ำให้เปน็ สมาธิ ทรงเปรียบการเห็นโทษของความช่ัว เห็นคุณของความดี เหมือนคนเล้ียงโคที่ ต้อนโคไปให้พ้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวกล้า เพราะเห็นโทษ (ซึ่งจะเกิดข้ึนเม่ือโคไปกินข้าวกล้า ของคนอื่น) ทรงเปรียบการท�ำสติถึงธรรมเหล่านั้น เหมือนคนเล้ียงโคที่พัก ณ โคนไม้หรือ กลางแจง้ ทำ� สติถงึ โคเหลา่ น้นั ๓. ตรัสต่อไปถึงการท่ีทรงมีความเพียร ต้ังสติม่ัน มีกายสงบระงับ มีจิตตั้งมั่น มีอารมณเ์ ปน็ หนงึ่ เขา้ ฌานท่ี ๑ จนถงึ ฌานท่ี ๔ ระลึกชาติไดใ้ นยามแรก ได้จุตูปปาตญาณ (ญาณเห็นความตายความเกิดของสัตว์) หรือทิพยจักษุ (ตาทิพย์) ในยามกลาง ได้อาสวักขยญาณ (ญาณอันท�ำอาสวะให้ส้ิน) รู้อริยสัจจ์ ๔ ตามเป็นจริง รู้จักอาสวะ เหตเุ กดิ อาสวะ ความดับอาสวะ และข้อปฏบิ ตั ใิ ห้ถงึ ความดับอาสวะ ตามเป็นจริงในยามสดุ ท้าย แห่งราตรี ๔. ทรงเปรยี บมารเหมอื นผูค้ ดิ รา้ ย ปดิ ทางดี เปดิ ทางไมด่ ี ให้หมู่เนอ้ื ไปสู่ความพินาศ และเปรียบพระตถาคตเหมือนผู้มุ่งดี ท่ีปิดทางร้าย เปิดทางดีให้เน้ือเดินทางไปสู่ความเจริญ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 546 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สีหนาทวรรค 547 แล้วตรัสว่า ได้ทรงท�ำหน้าที่ของศาสดาแล้ว น่ันโคนไม้ น่ันเรือนว่าง จงเพ่งเถิด อย่าประมาท ัมช ิฌม ินกาย อยา่ เดือดรอ้ นภายหลงั เลย นี่แหละคอื ค�ำสอนของเรา ๒๐. วิตกั กสณั ฐานสตู ร (สตู รวา่ ดว้ ยทต่ี ัง้ ของความตรกึ หรอื ความคดิ ) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ตรัสสอนว่า ภิกษุผู้ท�ำสมาธิ (ประกอบ อธจิ ติ ) พึงใสใ่ จเครอ่ื งหมาย ๕ ประการอยู่เสมอ คอื ๑. เมื่อใส่ใจถึงเคร่ืองหมาย๑ ใด เกิดความคิดฝ่ายชั่ว๒ ข้ึน ให้เปลี่ยนเครื่องหมาย นน้ั ไปสเู่ ครอ่ื งหมายอน่ื อนั ประกอบดว้ ยกศุ ล ซง่ึ จะเปน็ เหตใุ หล้ ะความคดิ ฝา่ ยชวั่ ทำ� จติ ใหเ้ ปน็ สมาธไิ ด้ เปรยี บเหมอื นนายชา่ ง เอาลมิ่ เนอ้ื ละเอยี ดมาตอกเอาลม่ิ เนอ้ื หยาบออกไปฉะน้ัน ๒. เมื่อใส่ใจถึงเคร่ืองหมายอื่น อันประกอบด้วยกุศล ความคิดฝ่ายช่ัวยังเกิดขึ้น กพ็ งึ พจิ ารณาโทษของความคดิ ฝา่ ยชว่ั กจ็ ะละความคดิ ฝา่ ยชว่ั ทำ� จติ ใหเ้ ปน็ สมาธิ ได้ เปรียบเหมือนชายหนุ่มหญิงสาวที่รักสวยรักงาม รังเกียจซากศพสัตว์ต่าง ๆ ท่ีมาคล้องอยู่ทค่ี อฉะนัน้ ๓. เม่ือพิจารณาโทษของความคิดฝ่ายชั่วเหล่าน้ัน ความคิดฝ่ายชั่วยังเกิดข้ึน ก็พึง ไม่ระลึกไม่ใส่ใจความคิดฝ่ายชั่วเหล่านั้น ก็จะละความคิดฝ่ายช่ัว ท�ำจิตให้เป็น สมาธิได้ เปรียบเหมือนคนตาดี ไม่ต้องการเห็นรูป ก็หลับตาเสีย หรือมองไป ทางอ่นื ๔. เม่ือไม่ระลึก ไม่ใส่ใจความคิดฝ่ายช่ัวเหล่านั้น ความคิดฝ่ายช่ัวยังเกิดขึ้น ก็พึง ใสใ่ จถงึ ทตี่ งั้ แหง่ เหตขุ องความคดิ (วติ กั กสงั ขารสณั ฐานะ คอื ใหด้ วู า่ อะไรเปน็ เหตุ ใหค้ วามคิดฝา่ ยชวั่ เกดิ ขนึ้ ) กจ็ ะละความคดิ ฝา่ ยชว่ั ท�ำจติ ให้เป็นสมาธิได้ เปรยี บ เหมอื นคนเดินเรว็ เดินช้าลง หยุด ยืน นงั่ นอน สละอริ ยิ าบถหยาบ ๆ ลง ส�ำเร็จ อิรยิ าบถละเอยี ดขน้ึ ๑๒ คำ� วา่ เครอื่ งหมาย หรอื นมิ ติ กค็ อื อารมณ์ทจ่ี ะให้จติ กำ� หนดนัน้ เอง โทสะ โมหะ ตามธรรมดากิเลสฝ่ายชั่วเคย มีข้อน่าสังเกตในท่ีน้ี คือแสดงความคิดฝ่ายช่ัวว่าประกอบด้วยฉันทะ เรยี งราคะ โทสะ โมหะ หรอื โลภะ โทสะ โมหะ แต่ในทนี่ ้ีใช้ ฉนั ทะ ความพอใจมาแทนราคะ หรอื โลภะ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 547 5/4/18 2:25 PM
548 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๕. เมื่อใส่ใจถึงท่ีตั้งแห่งเหตุของความคิดฝ่ายช่ัวเหล่าน้ัน ความคิดฝ่ายช่ัวยังเกิดข้ึน ก็พงึ เอาฟันกดฟัน เอาลิ้นกดเพดาน ขม่ ข่ีบีบคั้นจติ เปรยี บเหมอื นคนมกี ำ� ลังกว่า จบั คอคนมีกำ� ลงั นอ้ ยกว่า ข่มขี่บบี ค้นั ฉะนั้น สรูป เมื่อท�ำได้อย่างนี้ ภิกษุน้ีก็ชื่อว่าช�ำนาญในทางท่ีเก่ียวกับความคิด (วิตก ความตรึก) ประสงค์จะคิดเร่ืองอะไร ก็คิดได้ ไม่ประสงค์จะคิดเรื่องอะไร ก็ไม่คิดได้ นับว่าตัดตัณหา ได้ คลายเครอ่ื งรดั ได้ ท�ำความทกุ ข์ใหถ้ ึงที่สดุ ได้ ดว้ ยการตรสั รู้เรื่องของจิตใจโดยชอบ โอปัมมวรรค คือวรรคที่กล่าวถงึ ข้ออปุ มา มี ๑๐ สูตร ๒๑. กกจูปมสูตร (สูตรเปรียบดว้ ยเลอื่ ย) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ตรัสสอนภิกษุชื่อโมลิยผัคคุ ผู้คลุกคลี ด้วยนางภิกษุณีท้ังหลายจนเกินขอบเขต เมื่อมีใครติเตียนนางภิกษุณีต่อหน้าเธอ เธอก็ โกรธเคืองก่ออธิกรณ์ หรือเมื่อมีใครติเตียนเธอต่อหน้าภิกษุณีท้ังหลาย นางภิกษุณีท้ังหลาย กโ็ กรธเคอื งก่ออธิกรณ์ โดยทรงส่งั สอนใหล้ ะความพอใจแบบชาวบ้าน (เคหสิตะ = อาศยั บา้ น) เม่ือมีใครติเตียนหรือท�ำร้ายด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วยไม้พลอง ด้วยศัสตรา ซ่ึงนางภิกษุณี ท้ังหลายหรือแม้ซ่ึงตัวเธอเอง ก็ให้ส�ำเหนียกว่า จักไม่ให้จิตปรวนแปร จักไม่เปล่งวาจาช่ัวร้าย จกั มีเมตตาจิต หวังอนเุ คราะห์ ไมต่ กอยใู่ นระหวา่ งแหง่ โทสะ ๒. ตรัสเรียกภิกษุท้ังหลาย เล่าให้ฟังถึงเรื่องท่ีภิกษุท้ังหลายเคยยังพระหฤทัยของ พระองค์ให้ยินดีมาแล้วในสมัยหน่ึง๑ คือทรงแนะเรื่องฉันอาหารมื้อเดียว๒ ไม่ต้องส่ังสอน เพียงแต่แนะให้เกิดสติ เปรียบเหมือนสารถีข้ึนสู่รถท่ีเทียมไว้ดีแล้ว ให้รถแล่นไปแล่นกลับได้ ตามปรารถนา (ไม่ต้องเฆี่ยนตีม้า) คร้ันแล้วตรัสสอนให้ละอกุศล ท�ำความเพียรในกุศลธรรม ก็จะเจริญงอกงามในพระธรรมวินัยน้ี เปรียบเหมือนคนปรารถนาดี ถางป่าไม้สาละ ที่เต็ม ๑ หมายถงึ สมัยแรก ๆ ภกิ ษชุ นั้ ดีมมี าก ไม่ตอ้ งว่ากลา่ วกนั มาก เพียงแนะกร็ บั ไปปฏิบตั ิ อรรถกถาเล่าเพอื่ ชีใ้ ห้เห็นวา่ ๒ พระโมลยิ ผัคคุเปน็ พระดื้อว่ายาก อรรถกถาแก้ว่า หมายถึงก�ำหนดเวลาฉันอาหารเชา้ ชวั่ เทยี่ ง จะฉนั สกั ๑๐ เอกาสนโภชนํ (การฉนั บนอาสนะเดียว) ครงั้ ในกำ� หนดนัน้ กช็ อ่ื วา่ ฉันมือ้ เดยี ว เปน็ เรื่องน่าพิจารณา PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 548 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ โอปัมมวรรค 549 ไปด้วยละหุ่ง (อันเป็นภัยต่อไม้สาละ) ตัดต้นสาละหนุ่มท่ีคดออก บ�ำรุงด้วยดีซ่ึงต้นสาละหนุ่ม ัมช ิฌม ินกาย ท่ตี รง ทเ่ี กิดดีแล้ว ป่าน้นั กจ็ ะเจรญิ งอกงาม ๓. ตรัสเล่าเรื่อง แม่เจ้าเรือน ชื่อเวเทหิกา ซึ่งมีช่ือเสียงว่าสงบเสง่ียม แต่ถูกนางทาสี ลองดี กต็ ศี รี ษะนางทาสีแตก เลยกลายเป็นคนมีช่อื เสียงว่าโหดร้าย แลว้ ตรัสสอนว่า จะพงึ ร้ไู ด้ ว่า ภิกษุสงบเสงี่ยมหรือไม่ ก็ต่อเม่ือมีถ้อยค�ำที่ไม่พอใจมากระทบ และตรัสว่า ยังไม่ตรัสว่า ภิกษุเป็นผู้ว่าง่ายเพราะเห็นแก่ปัจจัย ๔ เพราะถ้าไม่ได้ปัจจัย ๔ ก็ไม่ว่าง่าย แล้วตรัสสอนว่า เม่อื เคารพนบนอบธรรมกค็ วรเปน็ คนวา่ งา่ ย ๔. ตรสั ถึงถอ้ ยค�ำ (ศพั ท์เต็ม วจนปถา = ทางแหง่ ถ้อยคำ� ) ๕ ประเภท คือ (๑) ถกู กาละ หรือไมถ่ ูกกาละ (๒) จรงิ หรือไม่จริง (๓) ออ่ นหวาน หรอื หยาบคาย (๔) ประกอบด้วยประโยชน์ หรือไมป่ ระกอบด้วยประโยชน์ (๕) พูดดว้ ยจติ เมตตา หรอื อยู่ในระหวา่ งโทสะ ที่คนอื่นมาว่ากล่าวก็พึงส�ำเหนียกว่าจักคุมจิตไม่ให้ปรวนแปร จักไม่เปล่งวาจาหยาบ คาย จกั มเี มตตาจติ หวงั อนเุ คราะห์ ไมต่ กอยใู่ นระหวา่ งแหง่ โทสะ แผจ่ ติ อนั ประกอบดว้ ยเมตตา ไปยังบุคคลน้ันและสัตว์อืน่ ทัว่ ท้งั โลก ๕. ตรสั สอนใหค้ วบคมุ จติ ใหม้ คี ณุ ธรรมดงั กลา่ วขา้ งตน้ แลว้ ใหท้ ำ� จติ เสมอดว้ ยแผน่ ดนิ ซง่ึ ใครจะขดุ ใหห้ มดไปจากโลกไมไ่ ด ้ เสมอดว้ ยอากาศ ซง่ึ ใครจะเขยี นรปู ใหป้ รากฏไมไ่ ด้ เสมอ ด้วยแม่น้�ำคงคาซึ่งใครจะเอาคบหญ้ามาเผาให้แห้งไม่ได้ เสมอด้วยถุงที่ท�ำด้วยหนังแมวฟอก ดีแลว้ ออ่ นนมุ่ ซึ่งใครจะเอาไม้เอาก้อนกรวดมาท�ำใหเ้ กดิ เสียงไม่ได้ ๖. ตรสั วา่ โจรเอาเลอ่ื ยมคี ม ๒ ขา้ งมาเลอ่ื ยตดั อวยั วะนอ้ ยใหญ่ ผใู้ ดมใี จคดิ ประทษุ รา้ ย ในโจรนน้ั ผนู้ น้ั ไมช่ อ่ื วา่ ทำ� ตามคำ� สอนของพระองค์ แลว้ ตรสั สอนใหค้ วบคมุ จติ ใหม้ คี ณุ ธรรมดงั่ กล่าวขา้ งตน้ ๗. ตรัสสรูปในที่สุดให้ภิกษุทั้งหลายใส่ใจเนือง ๆ ถึงพระโอวาทอันเปรียบด้วยเรื่อง เล่ือยน้ี อนั จะทำ� ให้ไม่มถี ้อยคำ� ที่อดทนไมไ่ ด้ เป็นไปเพอื่ ประโยชน์ ความสุขสิ้นกาลนาน PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 549 5/4/18 2:25 PM
550 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๒๒. อลคทั ทูปมสูตร (สูตรแสดงขอ้ เปรียบเทียบดว้ ยงพู ิษ) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ภิกษุชื่ออริฏฐะ ผู้สืบสกุลที่เคยฆ่าแร้ง มีความเห็นผิดเกิดขึ้นว่า ธรรมะท่ีพระผู้มีพระภาคแสดงว่ามีอันตรายนั้น ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ ส้องเสพจริง ภิกษุทั้งหลายตักเตือนก็ไม่ฟัง ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค ทรงเรียกไปช้ีแจง ก็น่ังนิ่งเกอ้ เขินถอนใจ ไม่มปี ฏภิ าณ ๒. จงึ ตรสั ตอ่ ไปถงึ บางคนผเู้ รยี นธรรม๑ แตไ่ มพ่ จิ ารณาความหมายของธรรมเหลา่ นน้ั ดว้ ยปญั ญา เม่อื ไมพ่ ิจารณาความหมาย ธรรมะของคนเหลา่ นน้ั ก็ไม่ทนตอ่ การเพง่ คนเหล่านั้น เรียนธรรมะเพียงเพื่อจะยกโทษผู้อื่นและเพ่ือเปล้ืองวาทะของผู้อื่น จึงไม่ได้รับประโยชน์ของ การเรียน ธรรมะท่ีเรียนไม่ดี จึงเป็นไปเพื่อส่ิงไม่เป็นประโยชน์ เพ่ือความทุกข์ เปรียบเหมือน คนต้องการงูพิษ แต่จับไม่ดี ก็อาจถูกงูกัดตายหรือปางตาย ส่วนคนที่เรียนดี พิจารณา ความหมาย เป็นตน้ ก็ได้รับประโยชน์จากการเรียน เหมือนคนตอ้ งการงพู ษิ จับงพู ษิ ดี กไ็ ม่ถงึ แก่ความตาย ไมไ่ ด้รบั ทุกขป์ างตายฉะนัน้ ๓. ตรัสถามท่ีส�ำคัญต่อไปว่า เพราะฉะนั้น พึงเข้าใจความหมายแห่งภาษิตของเรา แล้วทรงจ�ำไว้ ถ้าไม่เข้าใจ ก็พึงไต่ถามเราหรือภิกษุผู้ฉลาด เราแสดงธรรมมีอุปมาด้วยเเพ เพื่อ ให้ถอนตัว (นิตถรณะ) ไม่ใช่เพ่ือให้ยึดถือ (คหณะ) เปรียบเหมือนคนข้ามฝั่งน้�ำด้วยอาศัยเเพ เมื่อถึงฝั่งแล้วไม่จ�ำเป็นต้องแบกแพไปด้วย เม่ือรู้ธรรมะที่เราแสดงเปรียบด้วยเเพ ก็พึงละแม้ ธรรมะ จะกล่าวไยถึงอธรรมว่าจะไมต่ ้องละ ๔. ทรงแสดงที่ต้ังแห่งความเห็น ๖ อย่าง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ส่ิงที่เห็น ที่ฟัง ที่ทราบ ที่รู้ ที่ค้นหาด้วยใจ (รวม ๕ อย่าง) ที่บุคคลเห็นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา กับ (อย่างท่ี ๖) ยึดถือความเห็นที่ว่า โลกหรืออัตตาเที่ยง ว่าเป็นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา อริยสาวกผู้ได้สดับย่อมเห็นว่า สิ่งเหล่าน้ันมิใช่ของเรา เรา ไม่เปน็ นนั่ นั่นมิใช่ตวั ตนของเรา เมอ่ื เห็นอย่างนนั้ ก็ไมส่ ะดุ้งดนิ้ รนในเมือ่ ส่งิ นัน้ ไมม่ ี ๕. เมื่อภิกษุรูปหนึ่งกราบทูลถามถึงความสะดุ้งดิ้นรน และความไม่สะดุ้งด้ินรนใน สิง่ ท่ไี มม่ ีท้งั ภายนอกทัง้ ภายใน๒ เป็นล�ำดับ จึงตรัสชีแ้ จงท้งั ส่ีประการ ๑ ในรายละเอียดได้แจกออกไปด้วยว่า ธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เป็นต้น โดยใจความก็คือ ธรรมะในที่นี้ หมายถึง ๒ คำ� สอนของพระพุทธเจ้า ๙ อยา่ ง มีสูตร เป็นตน้ หรือส่วนประกอบท่รี วมเป็นกายใจ อรรถกถาชี้วา่ ภายนอก เชน่ เคร่ืองใช้ ภายใน ไดแ้ ก่ขนั ธ์ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 550 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ โอปัมมวรรค 551 ๖. ตรัสแสดงว่า เม่ือยังหวงแหน ยังมีวาทะว่าตัวตน ยังอาศัยทิฏฐิ (ที่ผิด) ก็จะต้อง ัมช ิฌม ินกาย เกดิ ความโศกความคร�ำ่ ครวญ ทุกขก์ าย ทกุ ขใ์ จ และคับแคน้ ใจ ๗. ตรัสว่า เมื่อมีตน ก็มีการยึดว่า ส่ิงที่เน่ืองด้วยตนของเรามีอยู่ เม่ือมีส่ิงท่ี เนื่องด้วยตน ก็มีการยึดว่าตนของเรามีอยู่ เม่ือไม่ได้ตนหรือส่ิงท่ีเน่ืองด้วยตนโดยแท้จริง ความเห็นว่าโลกเท่ียง อัตตาเท่ียง จึงเป็นธรรมะของคนพาลอันบริบูรณ์ คร้ันแล้วตรัสถาม ภิกษุทั้งหลายให้เห็นด้วยตนเองว่า ขันธ์ ๕ ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรยึดถือ อริยสาวกผู้รู้เห็นอย่างน้ี ย่อมเบ่ือหน่าย คลายก�ำหนัด และหลุดพ้น ต่อจากนั้นทรงแสดง ข้อเปรียบเทยี บภิกษผุ ้หู ลุดพ้นในท�ำนองผูช้ นะศึกทต่ี เี มอื งอนื่ ได้ ๘. ตรัสว่า พระองค์ทรงบัญญัติทุกข์และความดับทุกข์ทั้งในกาลก่อนและในปัจจุบัน แต่สมณพราหมณ์บางพวกก็ยังกล่าวหาว่าทรงสอนขาดสูญ แล้วทรงแสดงต่อไปว่า ไม่ทรง อาฆาตหรือเสียใจเพราะมีผู้อ่ืนด่า ไม่ทรงชื่นชมโสมนัสเพราะมีผู้อื่นสักการะเคารพนับถือ บูชา แล้วตรัสสอนภิกษุให้ท�ำเช่นนั้นบ้าง กับได้ตรัสสรูปว่า สิ่งที่ไม่ใช่ของท่าน จงละเสีย สิ่งที่ ไม่ใช่ของทา่ นคอื ขนั ธ์ ๕ (ความมงุ่ หมายคือเพ่ือคลายความยดึ ถอื ) ๙. ทรงแสดงถงึ ผปู้ ฏบิ ตั ไิ ดผ้ ลในพระธรรมวนิ ยั ทต่ี รสั ไวด้ แี ลว้ ตงั้ แตเ่ ปน็ พระอรหนั ต์ ลงมาถงึ ช้ันต�ำ่ สุด คอื ผมู้ ีศรัทธา มีความรักในพระองค์ ๒๓. วัมมิกสูตร (สูตรแสดงขอ้ เปรียบเทยี บด้วยจอมปลวก) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม พระกุมารกัสสปน�ำปัญหาของเทวดา ๑๕ ข้อ ติดต่อกนั ไปทลู ถามวา่ ได้แกอ่ ะไร ปัญหานั้นโดยใจความว่า พราหมณส์ ั่งศิษย์ใหข้ ุดจอมปลวก ซึ่งเป็นควันในเวลากลางคืน เป็นเปลวไฟในเวลากลางวัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงเฉลยว่า จอมปลวก ได้แก่กาย (ของมนุษย์) เป็นควันในเวลากลางคืน เพราะคิดเรื่องราวต่าง ๆ เปน็ เปลวไฟในเวลากลางวัน คือวุ่นวง่ิ ทำ� การงานดว้ ยกาย ดว้ ยวาจา ในเวลากลางวนั พราหมณ์ ที่ส่ังให้ขุด คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศิษย์ผู้ขุด คือพระเสขะ (ท่านผู้ยังศึกษา) ศัสตราที่ขุด คือปัญญา PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 551 5/4/18 2:25 PM
552 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๒๔. รถวนิ ีตสูตร (สูตรแสดงข้อเปรียบเทียบดว้ ยรถ ๗ ผลดั ) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เวฬุวนาราม ใกล้กรุงราชคฤห์ พระปุณณะ มันตานีบุตร เป็นผู้ได้รับสรรเสริญจากภิกษุท้ังหลายท่ีอยู่ในชาติภูมิ (เป็นท่ีแห่งหนึ่งในสักกชนบท ข้ึนแก่ กรงุ กบลิ พสั ด์ุ) พระสาริบตุ รจึงถือโอกาสที่ทา่ นมาเฝา้ พระผู้มพี ระภาค แล้วไปพักกลางวันในปา่ เขา้ ไปพบสนทนาธรรมะกัน ธรรมะที่สนทนากันนั้น คือเรื่องวิสุทธิ (ความบริสุทธิ์หรือความหมดจด) ๗ อย่าง มีความหมดจดแห่งศีลเป็นข้อแรก มีความหมดจดแห่งญาณทัสสนะ (ความเห็นด้วยญาณ) เป็นข้อท่ี ๗๑ ซ่ึงพระปุณณะกล่าวว่า ท่านมิได้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อวิสุทธิเพียงข้อใด ข้อหน่ึง แต่ประพฤติเพื่อความดับโดยไม่มีเช้ือเหลือ เพราะวิสุทธิเหล่าน้ีเป็นเพียงเหมือนรถ ๗ ผลัดทส่ี ง่ ใหถ้ งึ ที่หมาย (รถจงึ มใิ ชท่ หี่ มาย แตส่ ง่ ใหถ้ งึ ทีห่ มายได)้ ทัง้ สองท่านต่างชนื่ ชมภาษติ ของกนั และกัน ๒๕. นิวาปสูตร (สูตรแสดงขอ้ เปรยี บเทียบด้วยเหย่ือหรืออาหารสัตว์) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายถึง สมณพราหมณ์ ๔ ประเภท ที่ตกอยใู่ นเงอ้ื มมือของมาร ๓ ประเภท พ้นไปได้เพียง ๑ ประเภท เปรียบเหมือนเน้ือ ๔ ประเภทที่ตกอยู่ในเง้ือมมือของนายพรานผู้เอาเหย่ือล่อ ๓ ประเภท พ้นไปได้เพียงประเภทเดียว ทรงเปรียบโลกามิส (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือ กามคุณ ๕) ด้วยเหย่ือล่อ เปรียบมารด้วยนายพราน เปรียบบริษัทของมารด้วยบริษัทของ นายพราน เปรียบสมณพราหมณ์ดว้ ยหมูเ่ น้ือ ๑. สมณพราหมณ์พวกแรก ติดโลกามิส ไม่พ้นเง้ือมมือมาร จึงเปรียบเหมือนเน้ือ พวกแรกทเี่ ห็นแกเ่ หยือ่ ล่อของนายพราน ๒. สมณพราหมณ์พวกท่ีสอง ไม่ติดตอนแรก แต่ไปติดในตอนหลัง (ไม่อดทนต่อ ความอดอยาก) เปรียบเหมือนเนือ้ พวกที่สองที่หนเี หยอ่ื ตอนแรก แตท่ นอดไมไ่ ด้ ต้องมาหาเหย่อื ในภายหลงั ๑ ดูข้อความละเอียดในทสุตตรสูตรที่ ๑๑ แห่งพระไตรปิฎก เล่ม ๑๑ ซึ่งย่อไว้ในเล่มน้ีแล้ว ล�ำดับแห่งวิสุทธิ ๗ มี ในหมวด ๙ โปรดดูหนา้ ๕๒๐ ซ่งึ ในทนี่ น้ั แสดงวิสทุ ธิ ๙ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 552 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ โอปัมมวรรค 553 ๓. สมณพราหมณ์พวกที่สาม ไม่ติดอามิส แต่ติดทิฏฐิความเห็นผิด เปรียบเหมือน ัมช ิฌม ินกาย เนื้อพวกท่สี ามท่ไี มต่ ิดเหย่ือล่อ แตถ่ ูกล้อมจบั ด้วยเครื่องมือจับสัตว์ ๔. สมณพราหมณ์พวกที่สี่ ซึ่งไม่ติดอามิส ไม่ติดทิฏฐิ ไม่ประมาท จึงพ้นจาก เงอ้ื มมอื มาร เปรียบเหมอื นเนอ้ื พวกทส่ี ่ี ซึ่งไม่ติดเหยือ่ ล่อ และไมถ่ กู ล้อมจับได้ ตรัสแสดงข้อปฏิบัติ คือรูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยิตนิโรธ๑ ว่ามิใช่ คติของมารและบริษทั ของมาร มารมองไมเ่ ห็น ๒๖. ปาสราสิสูตร๒ (สูตรแสดงข้อเปรียบเทียบด้วยบ่วงดักสัตว)์ พระผ้มู พี ระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ทรงแสดงธรรมแก่ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ณ อาศรม ของพราหมณ์ช่ือรัมมกะ แสดงการแสวงหาว่ามี ๒ อย่าง คือการแสวงหาไม่ประเสริฐ กับ การแสวงหาอนั ประเสริฐ ๑. การแสวงหาไม่ประเสริฐ คือแสวงหาสิ่งที่มีความเกิด ความแก่ ความตาย ความ โศก ความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ส่วนการแสวงหาอันประเสริฐ คือแสวงหา พระนพิ พาน อนั ไมม่ ีความเกดิ เปน็ ต้น เป็นธรรมดา ๒. ตรัสเล่าเหตุการณ์ในสมัยที่พระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ว่า ทรงมี ความเกดิ เปน็ ตน้ เปน็ ธรรมดา แตก่ แ็ สวงหาสงิ่ ทมี่ คี วามเกดิ เปน็ ตน้ เปน็ ธรรมดา จึงทรงพระดำ� รทิ ่ีจะแสวงหาพระนพิ พาน ๓. ตรัสเล่าเร่ืองที่เสด็จออกผนวช เมื่อยังอยู่ในวัยหนุ่ม เสด็จไปศึกษาในส�ำนัก ของอาฬารดาบสกาลามโคตร ทรงศึกษาปฏิบัติสมาบัติช่ืออากิญจัญญายตนะ (นับเป็นสมาบัติท่ี ๗ ซ่ึงเพ่งอารมณ์เห็นว่าไม่มีอะไร) เมื่อทรงเห็นว่ายังมิใช่ทาง พระนิพพาน จึงเสด็จออกจากส�ำนักน้ัน ไปศึกษาในส�ำนักของอุททกดาบส รามบุตร ทรงศึกษาปฏิบัติสมาบัติชื่อเนวสัญญานาสัญญายตนะ (นับเป็นสมาบัติ ท่ี ๘ ทีล่ ะเอยี ดถงึ ขนาดว่ามีสญั ญากไ็ มใ่ ช่ ไม่มสี ัญญากไ็ มใ่ ช)่ ซงึ่ ก็ทรงเห็นว่ายงั มใิ ช่ทางพระนพิ พาน ๑๒ ธรรมะเป็นเคร่ืองอยูแ่ หง่ ใจ ๙ ประการน้ี มแี ปลและอธบิ ายไวแ้ ล้ว หน้า ๑๗๙ หมายเลข ๑๙๙ ๒๐๐ ฉบบั ยุโรปเรยี กอรยิ ปริเยสนสูตร แปลวา่ สูตรว่าดว้ ยการแสวงหาอันประเสริฐ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 553 5/4/18 2:25 PM
554 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๔. จึงเสด็จไปสู่ต�ำบลอุรุเวลาเสนานิคม ทรงท�ำความเพียรจนได้ค้นพบพระนิพพาน และเห็นว่า ธรรมะน้ีลุ่มลึก จึงคิดจะไม่ทรงแสดงธรรม ต่อท้าวสหัมบดีพรหมมา อาราธนา จงึ ทรงตกลงพระหฤทยั จะแสดงธรรม ๕. คร้ังแรกทรงคิดถึงดาบสท้ังสองท่ีเคยทรงศึกษาด้วย แต่ก็ทรงทราบว่าตาย เสียแลว้ จึงทรงร�ำลกึ ถงึ พระปัญจวคั คยี ์ (ภกิ ษุ ๕ รูป) ซึ่งเคยรับใช้พระองค์มาใน ระหว่างทรงท�ำความเพียร ในระหว่างทางท่ีเสด็จไปสู่กรุงพาราณสีได้ทรงพบ อุปกาชีวก แต่อุปกาชีวกไม่เลื่อมใสท่ีทรงตอบค�ำถามว่า ทรงตรัสรู้ได้เอง จึง หลกี ไป ครนั้ แลว้ ไดแ้ สดงธรรมโปรดภกิ ษปุ ญั จวคั คยี เ์ มอื่ เสดจ็ ไปถงึ ทพี่ กั ของเธอ ๖. ใจความในพระธรรมเทศนา (เป็นเชิงเตือนใจก่อนแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) วา่ กามคณุ ๕ คอื รปู เสยี ง กลนิ่ รส โผฏฐพั พะ ทน่ี า่ ปรารถนารกั ใครช่ อบใจ ทำ� ให้ สมณพราหมณ์ผตู้ ดิ อยถู่ งึ ความพินาศเหมือนเน้อื ตดิ บ่วง ๗. ทรงแสดงข้อปฏิบัติ ตั้งแต่ฌานท่ี ๑ ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ รวม ๙ ข้อ เหมือน ในนวิ าปสูตรว่า ไม่ไปสู่ทางของมาร ๒๗. จูฬหัตถิปโทปมสตู ร (สตู รแสดงข้อเปรียบเทยี บดว้ ยรอยเท้าชา้ ง สูตรเลก็ ) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ชาณุสโสณิพราหมณ์ได้ฟังปริพพาชก ผู้นุ่งผ้าท่อนเก่า สรรเสริญพระพุทธเจ้า ๔ ข้อ (จ�ำแนกตามประเภทบุคคล) คือ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี ผู้เป็นบัณฑิตแต่งปัญหาเตรียมยกวาทะ พอได้พบปะชื่นชมด้วยธรรมกถา ก็เลยไม่ถาม เลยไม่ได้ยกวาทะ กลายมาเป็นสาวกของพระสมณโคดมไป และ สมณะ ผู้เป็น บัณฑิตก็เช่นกัน แต่งปัญหาเตรียมยกวาทะ พอได้พบปะชื่นชมด้วยธรรมกถา ก็เลยไม่ถาม เลยไม่ได้ยกวาทะ ขอโอกาสออกบวช ท�ำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อยู่ในปัจจุบัน สมณะ เหล่าน้ันย่อมกล่าวว่า เมื่อก่อนไม่ได้เป็นสมณะ ไม่เป็นพราหมณ์ ไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ปฏิญญาตนว่าเป็น แต่บัดน้ีเป็นสมณะ เป็นพราหมณ์ เป็นพระอรหันต์ (จริง ๆ แล้ว) ชาณุสโสณิพราหมณ์ก็เล่ือมใส ลงจากรถขาว เทียมด้วยม้าขาว ท�ำผ้าห่มเฉวียงบ่า เปล่งวาจา นมสั การพระผู้มพี ระภาคเจา้ (นโม ตสสฺ ฯ ล ฯ) ๒. ชาณสุ โสณพิ ราหมณไ์ ปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาค กราบทลู ความทไี่ ดส้ ดบั จากปรพิ พาชก ผู้นุ่งผ้าท่อนเก่าน้ันทุกประการ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบ พรรณนาถึงการท่ีพระตถาคต เกิดขึ้นในโลก ทรงแสดงธรรมแล้ว คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีได้สดับธรรมออกบวช เว้นจาก PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 554 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ โอปัมมวรรค 555 ความช่ัวต่าง ๆ มีศีล ส�ำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะ เสพเสนาสนะอันสงัด ช�ำระจิตจาก ัมช ิฌม ินกาย นีวรณ์๑ ๕ บ�ำเพ็ญสมาธิจนได้ฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ญาณ อันท�ำให้ระลึกชาติได้) ได้จุตูปปาตญาณ (ญาณเห็นความตาย ความเกิด หรือทิพยจักษุญาณ ก็เรียก) ได้อาสวักขยญาณ (ญาณอันท�ำอาสวะคือกิเลสที่ดองสันดานให้ส้ิน) แต่ละขั้นท่ี บ�ำเพ็ญมาต้ังแต่ได้ฌาณที่ ๑ จนถึงได้อาสวักขยญาณ ก็ยังไม่ปลงใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้ดีโดยชอบ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มี พระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ต่อเมื่อจิตพ้นจากอาสวะ และเกิดญาณรู้ว่าพ้นแล้ว ชาติสิ้นสุด แล้ว จบพรหมจรรย์แล้ว ท�ำหน้าท่ีเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอ่ืนที่จะพึงท�ำเพ่ือความเป็นอย่างนี้อีก ท่ี เทียบด้วยร่องรอยของตถาคต ธรรมะที่ตถาคตส้องเสพ และหักรานแล้ว๒ จึงถึงความปลงใจ ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ดีโดยชอบ เป็นต้น เปรียบเหมือนคนที่เข้าไปสู่ป่าท่ีช้างอยู่ เห็นรอยเท้าช้างใหญ่ ยาว กว้าง เห็นท่ีซึ่งช้างเสียดสีในเบ้ืองสูง ถ้าเป็นผู้ฉลาดก็ยังไม่ปลงใจ ทีเดียวว่า ช้างตัวนี้ใหญ่ เพราะมีช้างพัง (ช้างตัวเมีย) ชื่ออุจจากฬาริกา ที่มีรอยเท้าใหญ่ อาจ เป็นรอยเท้าของช้างพังนั้นก็ได้ หรือเห็นรอยเท้าช้างใหญ่ ยาว กว้าง เห็นท่ีซึ่งช้างเสียดสีใน เบ้อื งสงู เหน็ รอยงาระในเบ้อื งสูง ถ้าเปน็ ผฉู้ ลาด ก็ยงั ไมป่ ลงใจทีเดียวว่า ชา้ งตวั นีใ้ หญ่ เพราะมี ช้างพังชื่ออุจจากเรณุกา ท่ีมีรอยเท้าใหญ่ อาจเป็นรอยเท้าของช้างพังนั้นก็ได้ ต่อเมื่อเห็น รอยเท้าช้างใหญ่ ยาว กว้าง เห็นที่ซ่ึงช้างเสียดสีในเบ้ืองสูง เห็นรอยงาระในเบื้องสูง และเห็น พญาช้างน้นั ซ่ึงกำ� ลังไปสูโ่ คนไม้หรอื กลางแจ้ง หรอื ยืน หรือเทา (นั่ง) หรอื นอน เขาจงึ ปลงใจว่า น้แี หละคอื ช้างใหญ่ฉะน้ัน ชาณุสโสณิพราหมณ์ก็เลื่อมใสพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะตลอดชีวติ ๑ พึงสังเกตอย่างหนึ่งว่า นีวรณ์ ๕ ที่กล่าวถึงในสูตรน้ี และในหลายสูตร เช่น สามัญญผลสูตร ดูหน้า ๔๑๔ ๒ และสตู รอ่ืน ๆ ในพระไตรปฎิ ก เลม่ ๙ ใชอ้ ภชิ ฌาแทนกามฉันท์ในข้อแรกเสมอ (ดหู น้า ๔๙๐ ข้อ ๕ (๑)) ความจริงตรงนี้ใช้ส�ำนวนอุปมาเกี่ยวกับช้าง คือรอยเท้าช้าง เทียบด้วยร่องรอยของพระตถาคต ที่ที่ช้างเสียดสี เทียบด้วยธรรมะท่ีพระตถาคตส้องเสพ ก่ิงใบไม้ท่ีช้างเอางาระ เทียบด้วยธรรมะ (ฝ่ายชั่ว) ท่ีพระตถาคตหักราน อรรถกถาอธิบายวา่ เปรยี บเหมือนเสยี ดสีหรอื เคีย้ วดว้ ยญาณ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 555 5/4/18 2:25 PM
556 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๒๘. มหาหัตถปิ โทปมสูตร (สตู รแสดงขอ้ เปรียบเทียบด้วยรอยเทา้ ช้าง สูตรใหญ่) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม พระสาริบุตรแสดงธรรมแก่ภิกษุท้ังหลาย ใจความว่า กุศลธรรมทุกอย่าง ย่อมรวมลงในอริยสัจจ์ ๔ เหมือนรอยเท้าสัตว์ทุกชนิดรวมลง ในรอยเทา้ ชา้ ง ๒. ครั้นแล้วได้อธิบายรายละเอียดเฉพาะทุกขอริยสัจจ์ข้อแรก โดยแสดงความเกิด แก่ตาย เป็นต้น ว่าเป็นทุกข์ และกล่าวโดยรวบยอดอุปาทานขันธ์ (กองแห่งรูปนามท่ียึดถือ) ๕ อย่างว่าเป็นทุกข์ และได้อธิบายโดยพิเศษ เฉพาะกองรูปซึ่งแยกออกเป็นรูปใหญ่ (มหาภูตรูป) คือรูปท่ีประกอบด้วยธาตุ ๔ กับอุปาทารูป (รูปอาศัย คือต้องอาศัยธาตุ ๔ จึงปรากฏ) แล้วได้ แจกรายละเอียดเรอ่ื งธาตดุ นิ นำ�้ ไฟ ลม ทีละข้อจนจบ โดยสรปู ทา้ ยในตอนจบวา่ ความพอใจ ความอาลัยในอุปาทานขันธ์ ๕ เป็นเหตุให้ทุกข์เกิด น�ำออกเสีย ละเสีย ซ่ึงความพอใจ ในอุปาทานขันธ์ ๕ เป็นความดับทุกข์ ส่วนข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ไม่ได้แสดงโดยตรง หากได้พดู ไวท้ ้ายการแจกรายละเอยี ดเร่ืองทุกขแ์ ต่ละข้อ ๒๙. มหาสาโรปมสตู ร (สตู รแสดงข้อเปรียบเทียบด้วยแก่นไม้ สูตรใหญ)่ พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ ตรัสแสดงธรรมแก่ภิกษุ ทั้งหลาย ถึงการท่ีผู้ออกบวชได้ผลดีบางอย่าง หรือท�ำความดีบางอย่างให้เกิดแล้วมัวเมา ประมาท ยกตนข่มผู้อื่น เพราะเหตุแห่งผลดีหรือความดีนั้น ๆ เทียบด้วยผู้ถือเอาส่ิงที่มิใช่ แก่นไม้ว่าเป็นแก่นไม้ ในท่ีสุดได้ทรงแสดงความหลุดพ้นแห่งใจที่ไม่ก�ำเริบว่าเป็นเหมือน แกน่ ไม้ ต่อไปน้เี ปน็ ข้อเปรียบเทียบท่ีทรงแสดง ๑. ลาภสกั การะชอื่ เสียง เปรียบเหมือนกิ่งและใบไม้ ๒. ความสมบรู ณ์ด้วยศลี เปรียบเหมือนสะเก็ดไม้ ๓. ความสมบรู ณด์ ว้ ยสมาธิ เปรยี บเหมือนเปลอื กไม้ ๔. ญาณทัสสนะ (ความเห็นด้วยปัญญา) เปรยี บเหมือนกะพไ้ี ม้ ๕. อกุปปา เจโตวมิ ตุ ิ (ความหลุดพน้ แหง่ ใจทีไ่ ม่กลับกำ� เรบิ ) เปรียบเหมอื นแกน่ ไม้ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 556 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค 557 ๓๐. จูฬสาโรปมสูตร ัมช ิฌม ินกาย (สตู รแสดงขอ้ เปรียบเทียบดว้ ยแกน่ ไม้ สตู รเลก็ ) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย มีใจความ คล้ายคลึงกับสูตรที่ ๒๙ ข้างบนนี้ โดยเฉพาะจูฬสาโรปมสูตรน้ีแปลไว้อย่างละเอียดแล้ว ในหน้า ๘๑ หมายเลข ๑ มหายมกวรรค คอื วรรคท่ีมีสูตรคขู่ นาดใหญ่ มี ๑๐ สตู ร (คกู่ บั จูฬยมกวรรค คือวรรคท่มี สี ตู รคู่ขนาดเลก็ ซึง่ อยู่ถดั ไป) ๓๑. จฬู โคสงิ คสาลสูตร (สตู รว่าด้วยปา่ ไม้สาละชือ่ โคสิงคะ สตู รเลก็ ) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ที่พักแรมท�ำด้วยอิฐในนาทิกคาม เสด็จไปเย่ียม พระอนุรุทธ์ พระนันทิยะ พระกิมพิละ ณ ป่าโคสิงคสาลวัน๑ แต่ผู้เฝ้าป่าไม่รู้จัก จึงไม่อนุญาต ให้เสด็จเข้าไป พระอนุรุทธ์พูดกับผู้เฝ้าป่าแนะให้รู้จักว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จมา แล้วชวน พระนนั ทยิ ะและพระกิมพลิ ะมาเฝา้ รบั บาตรจวี ร ปอู าสนะถวาย ๒. ตรัสถามถึงความอยู่เป็นผาสุก ก็กราบทูลว่า ต่างอยู่กันอย่างตั้งเมตตาทางกาย วาจา ใจ ต่อกัน พยายามไม่ท�ำอะไรตามใจตน แต่รู้จักท�ำตามใจผู้อ่ืน แม้จะมีกายต่างกัน แตม่ ีจิตเสมือนเปน็ อนั เดียวกนั ๓. ตรัสถามถึงการอยู่อย่างไม่ประมาท มีความเพียร ก็กราบทูลถึงพฤติการณ์ท่ีได้ อยู่กนั อย่างไมป่ ระมาท มีความเพียร ๔. ตรัสถามถึงการบรรลุคุณพิเศษ ก็กราบทูลถึงคุณพิเศษท่ีได้เริ่มต้นแต่รูปฌาน ๔ จนถึงอรูปฌาน ๔ และคุณพิเศษที่สูงข้ึนไปกว่านั้นอีกข้อหน่ึง คือสัญญาเวทยิตนิโรธ (สมาบัติ ทด่ี ับสัญญาและเวทนา) ๕. พระผู้มีพระภาคทรงสนทนาด้วยธรรมิกถากับพระเถระเหล่านั้นพอสมควรแล้ว ก็เสด็จหลีกไป ต่อจากนั้นก็มีเสียงสดุดีจากยักษ์ชื่อทีฆปรชนถึงพระเถระทั้งสามรูปน้ัน เม่ือไป ๑ พึงสงั เกตว่า ในภาษาบาลเี องใชค้ �ำวา่ โคสงิ คสาลวนทายะ คำ� วา่ วนะ กบั ทายะ แปลว่า ปา่ ดว้ ยกนั จึงแปลวา่ ปา่ ค�ำหน่ึง แปลทับศัพท์ค�ำหน่ึงว่า ป่าช่ือโคสิงคสาลวัน คือป่าไม้สาละท่ีมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีลักษณะเหมือน เขาโค เขาจงึ ถือเครอื่ งหมายนัน้ ตงั้ ชอื่ ปา่ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 557 5/4/18 2:25 PM
558 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ เฝ้ากราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า เป็นลาภของชาววัชชี (นาทิกคามอยู่ในแคว้นวัชชี) ท่ีพระผู้มี พระภาคเสด็จมาประทับอยู่พร้อมด้วยพระอนุรุทธ์ พระนันทิยะ และพระกิมพิละ และเสียง สดดุ ีน้นั ก็กล่าวตอ่ กันไปถึงพรหมโลก ๓๒. มหาโคสิงคสาลสูตร (สตู รวา่ ด้วยปา่ ไม้สาละช่ือโคสงิ คะ สูตรใหญ)่ ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ป่าโคสิงคสาลวัน พร้อมด้วยพระเถระผู้ใหญ่ท่ีมี ชื่อเสียง คือ พระสาริบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสป พระอนุรุทธ์ พระเรวตะ พระอานนท์ และพระสาวกผู้ใหญ่ท่มี ีชอื่ เสียงอ่นื ๆ ๒. เวลาเยน็ พระมหาโมคคลั ลานะชวนพระมหากสั สปเพอ่ื ไปฟงั ธรรมของพระสารบิ ตุ ร พระอานนท์ก็ชวนพระเรวตะไปหาพระสาริบุตรเพื่อฟังธรรมเช่นกัน เม่ือไปประชุมพร้อมกัน แล้ว พระสาริบุตรก็ตั้งปัญหาถามพระอานนท์ก่อนว่า ป่าโคสิงคสาลวันนี้งามแก่ภิกษุเช่นไร พระอานนท์ตอบว่า งามส�ำหรับภิกษุผู้สดับตรับฟังมาก เม่ือถามพระเถระอื่น ๆ ต่างก็ตอบว่า งามส�ำหรับภิกษุผู้มีคุณธรรมนั้น ๆ ตามที่ท่านพอใจ คือ พระเรวตะ ว่างามส�ำหรับภิกษุ ผู้หลีกเร้น ประกอบเจโตสมถะ (ความสงบแห่งจิต) ในภายใน พระอนุรุทธ์ ว่างามส�ำหรับภิกษุ ผู้มีทิพยจักษุ พระมหากัสสป ว่างามส�ำหรับภิกษุผู้อยู่ป่า เท่ียวบิณฑบาต นุ่งห่มผ้าบังสุกุล (ผ้าเปื้อนฝุ่นที่เก็บตกน�ำมาปะติดปะต่อเป็นจีวร) จนถึงสมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุตติญาณทัสสนะ พระโมคคัลลานะ ว่างามในเมื่อภิกษุ ๒ รูป สนทนาถามตอบอภิธัมมกถา กัน เม่ือพระมหาโมคคัลลานะย้อนถามพระสาริบุตรบ้าง พระสาริบุตร จึงตอบว่า งามส�ำหรับ ภิกษุผู้คุมจิตไว้ในอ�ำนาจได้ ปรารถนาจะอยู่ด้วยธรรมะเป็นเคร่ืองอยู่อันใดในเวลาไหน ก็อยู่ ได้ดงั ประสงค์ ๓. คร้ันแล้วพระสาริบุตรจึงชวนพระเถระเหล่านั้นไปเฝ้า กราบทูลพระผู้มีพระภาค ให้ทรงทราบ ตรัสรับรองค�ำกล่าวของพระเถระทุกรูป แต่เม่ือกราบทูลถามว่า ภาษิตของรูปใด จะช่ือว่ากล่าวดีแล้ว ตรัสตอบว่า กล่าวดีทุกรูปโดยปริยาย (คือในแง่ใดแง่หนึ่ง) พระองค์เอง ตรัสว่า ป่าน้งี ามส�ำหรบั ภิกษผุ ู้กลบั จากบิณฑบาต นง่ั คบู้ ัลลงั ก์ (ขดั สมาธิ) ตัง้ กายตรง ดำ� รงสติ เฉพาะหนา้ ตั้งใจวา่ จะไมเ่ ลกิ น่งั สมาธติ ราบใดทีจ่ ติ ไม่พน้ จากอาสวะ ไม่ถือมน่ั ดว้ ยอปุ าทาน (หมายเหตุ : เร่ืองนี้เห็นชัดว่า พระเถระทั้งหลายกล่าวว่า ป่านี้งามส�ำหรับผู้มีคุณพิเศษ ต่าง ๆ ซึ่งเป็นผู้เลอเลิศอยู่แล้ว แต่พระผู้มีพระภาคกลับตรัสว่า ป่านี้งามส�ำหรับภิกษุผู้ยังไม่มี คุณพิเศษอะไรเลย แต่เพียรพยายาม มีความต้ังใจม่ันว่า ถ้ายังไม่หมดอาสวะจะไม่ลุกขึ้น PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 558 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค 559 นับเป็นข้อเฉลยท่ีน่าเล่ือมใสว่า พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงมองเฉพาะภิกษุผู้วิเศษด้วยคุณธรรม ัมช ิฌม ินกาย แล้ว แต่ทรงถือว่าผู้ยังไม่บรรลุอะไรเลยก็ส�ำคัญอยู่มากเป็นพิเศษ สมกับการท่ีพระพุทธศาสนา ต้ังข้ึนมใิ ช่เพอื่ ผ้มู คี ุณธรรมสูงแลว้ เทา่ นั้น แตเ่ พือ่ คนเดนิ ถนนหรอื สามัญชนธรรมดานเ้ี อง) ๓๓. มหาโคปาลสตู ร (สูตรแสดงขอ้ เปรียบเทยี บดว้ ยคนเล้ียงโค สตู รใหญ่) ๑. พระผู้มีพระภาคประทบั ณ เชตวนาราม ตรัสแสดงถงึ การขาดและความสมบรู ณ์ ด้วยคุณธรรมของภิกษุ ๑๑ อย่าง เทียบเคียงด้วยการขาดหรือการมีความสมบูรณ์ด้วย คุณสมบัติของคนเล้ียงโค ๑๑ ข้อ ว่าจะท�ำให้ภิกษุไม่ควรถึงหรือควรถึงความเจริญงอกงามใน พระธรรมวนิ ยั นี้ ๒. คุณสมบัติของคนเล้ียงโค เทียบด้วยคุณธรรมของภิกษุดังต่อไปน้ี (การขาด คุณสมบัติ พึงรู้โดยตรงกันข้าม) (๑) รูจ้ ักรปู เทยี บด้วยรจู้ ักรปู ใหญแ่ ละรูปอาศัย๑ (๒) รู้จักลักษณะ เทียบด้วยรู้จักลักษณะพาล ลักษณะบัณฑิต เพราะการกระท�ำ ของคนเหลา่ นนั้ (๓) เข่ียไข่ขัง (เม่ือแมลงวนั หยอดไขข่ งั ทแี่ ผลโค) เทยี บด้วยละ บนั เทา ทำ� ให้สิน้ ไป ซึ่งความคิดฝา่ ยชวั่ (อกุศลวิตก) (๔) ปิดแผล เทียบด้วยส�ำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู เป็นต้น มิให้อกุศลบาปธรรม ท่วมทบั จิต (๕) สุมควนั เทยี บด้วยแสดงธรรมทีฟ่ งั แล้ว เลา่ เรยี นแลว้ แก่ผอู้ ืน่ ได้โดยพสิ ดาร (๖) ร้จู กั ท่าน�้ำ เทียบดว้ ยรจู้ กั เขา้ ไปหาภกิ ษผุ เู้ ช่ยี วชาญทางต่าง ๆ เชน่ ทรงธรรม ทรงวนิ ยั ทรงมาตกิ า (แมบ่ ทของธรรมะ เชน่ บทตง้ั ของอภธิ รรม) แลว้ ไตถ่ าม (๗) รู้จักน�้ำดื่ม เทียบด้วยรู้อรรถรู้ธรรม เมื่อมีผู้แสดงธรรมท่ีพระตถาคต ประกาศแล้ว (๘) รู้ทาง (วิถี) เทยี บด้วยรู้จักอริยมรรคมีองค์ ๘ (มีความเห็นชอบเป็นต้น) ตาม เปน็ จรงิ ๑ มหาภูตรูป รูปใหญ่ คือประกอบด้วยธาตุท้ังส่ี อุปาทารูป รูปอาศัย คือรูปท่ีปรากฏได้เพราะอาศัยรูปใหญ่ อปุ าทายรปู ก็เรยี ก PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 559 5/4/18 2:25 PM
560 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๙) ฉลาดในโคจร (ทำ� เลที่โคควรเท่ยี วไป) เทยี บดว้ ยรูจ้ กั สตปิ ัฏฐาน (การตงั้ สต)ิ ๔ อยา่ ง ตามความจริง (ดหู นา้ ๔๗๓) (๑๐) ไมร่ ีดนมจนหมด เทียบด้วยรจู้ กั ประมาณในการรบั เมือ่ ผูม้ ศี รทั ธาอนุญาตให้ น�ำปจั จัย ๔ ไปได้ (๑๑) บชู าโคผู้ ทเี่ ปน็ พอ่ โค เปน็ ผนู้ ำ� ฝงู เทยี บดว้ ยแสดงความเคารพนบั ถอื พระภกิ ษุ ผ้เู ปน็ เถระบวชนาน เปน็ บิดาสงฆ์ เป็นผู้น�ำของสงฆ์ ๓๔. จูฬโคปาลสูตร (สูตรแสดงข้อเปรียบเทียบด้วยคนเล้ยี งโค สตู รเลก็ ) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ริมฝั่งแม่น้�ำคงคา ใกล้นครอุกกเวลา แคว้นวัชชี ตรัสเล่าเรื่องคนเล้ียงโคชาวมคธผู้ไม่ฉลาด ไม่พิจารณาฝั่งนี้ฝั่งโน้นของแม่น้�ำคงคา พาโค ข้ามผิดท่าน้�ำ ทางฝั่งด้านเหนือของแคว้นวิเทหะในฤดูสารทท้ายพรรษา โคท้ังหลายก็ว่ายเวียน ในกระแสน�้ำ จมน้�ำตายกลางแม่น�้ำคงคา เทียบด้วยสมณพราหมณ์ผู้ไม่ฉลาดในเร่ืองต่าง ๆ คือโลกนี้ โลกหนา้ บ่วงมาร มใิ ช่บ่วงมาร บ่วงมจั จุ มิใช่บว่ งมจั จุ พลอยใหค้ นท่ีเชือ่ ฟังปราศจาก ประโยชน์ ไดร้ บั ความทกุ ข์ไปดว้ ยตลอดกาลนาน ๒. คร้ันแล้วทรงแสดงถึงคนเล้ียงโคชาวมคธ ผู้ฉลาดให้โคผู้ ที่เป็นพ่อโค เป็นผู้น�ำ ฝูงข้ามน้�ำก่อนแล้วจึงให้โคท่ีมีก�ำลัง โคฝึก ลูกโคตัวผู้ตัวเมีย และลูกโคท่ีอ่อนก�ำลังข้าม ตามไป ตรสั วา่ แมล้ กู โคทคี่ ลอดในขณะนนั้ กว็ า่ ยนำ�้ ตามแมโ่ ค ตดั กระแสนำ�้ ไปได้ สมณพราหมณ์ ผฉู้ ลาดก็ฉนั น้ัน ทำ� ใหค้ นทเี่ ช่อื ฟงั ไดร้ บั ประโยชนค์ วามสุขไปดว้ ยตลอดกาลนาน ๓. ทรงเปรียบโคผู้ พ่อโค ผู้น�ำฝูง ด้วยพระอรหันต์ขีณาสพ ที่ตัดกระแสของมาร ข้ามไปได้ เปรียบโคมีก�ำลังโคฝึก ด้วยพระอนาคามี ผู้ละสัญโญชน์เบ้ืองต�่ำ ๕ ประการได้ เปรียบลูกโคตัวผู้ ตัวเมีย ด้วยพระสกทาคามี เปรียบลูกโคอ่อนก�ำลัง ด้วยพระโสดาบัน เปรียบโคท่ีเกิดในขณะน้ัน ด้วยผู้ตั้งอยู่ในมรรค๑ ที่เรียกว่า ธัมมานุสารี (ผู้แล่นไปตามธรรมะ) และสทั ธานสุ ารี (ผเู้ เล่นไปตามศรทั ธา) ๑ คือท่านผู้ก�ำลังท�ำหน้าท่ีละกิเลสด้วยมรรค ยังไม่เป็นพระโสดาบัน หรือผู้ตั้งอยู่ในผลโดยสมบูรณ์ นับเป็น ก้าวแรกของพระอริยบุคคล PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 560 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค 561 ๓๕. จฬู สัจจกสูตร ัมช ิฌม ินกาย (สูตรวา่ ดว้ ยสัจจกนคิ รนถ์ สตู รเลก็ ) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ศาลาเรือนยอดในป่าใหญ่ ใกล้กรุงเวสาลี (แคว้น วัชชี) ในสมัยน้ัน สัจจกนิครนถ์ก็อาศัยอยู่ในกรุงเวลาลี เป็นผู้ชอบโต้เถียง ยกตนว่าฉลาด ชนหมู่ใหญย่ กยอ่ งวา่ ดี สัจจนคิ รนถพ์ ูดในทีป่ ระชมุ ชนกรุงเวสาลวี ่า ไม่เห็นใครแมท้ จี่ ะปฏญิ ญา ตนวา่ เปน็ พระอรหนั ต์ ตรัสรู้ชอบดว้ ยตนเอง ทตี่ นโตต้ อบด้วยแล้วจะไม่หวน่ั ไหว ไมม่ ีเหงอ่ื ไหล ออกมาจากรักแร้ อยา่ วา่ แตม่ นษุ ยเ์ ลย แมต้ นจะโตต้ อบกบั ต้นเสา ตน้ เสาก็ยังหวัน่ ไหว ๒. สัจจกนิครนถ์พบพระอัสสชิเถระ เช้าวันหน่ึง จึงเข้าไปหาปราศรัยแล้วถามว่า พระสมณโคดมแนะน�ำสาวกอย่างไร ค�ำสอนส่วนใหญ่คืออะไร พระอัสสชิตอบว่า ทรงสอนว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน สังขารท้ังปวงไม่ใช่ ตัวตน สัจจนิครนถ์ก็กล่าวว่า ท่านฟังมาไม่ดีแล้ว ท่ีได้ฟังพระสมณโคดมผู้มีวาทะอย่างนี้ ตนพบพระสมณโคดมคราวใดคราวหนึ่งก็จะถ่ายถอนเสียจากความเห็นอันชั่วน้ีให้ได้ สัจจกนิครนถ์จึงเข้าไปยังท่ีประชุมชนของเจ้าลิจฉวีประมาณ ๕๐๐ เล่าความที่โต้ตอบกับ พระอัสสชิให้ฟัง และอวดอ้างว่าจะฟัดฟาดพระสมณโคดมเสียด้วยวาทะเหมือนดึงขนแกะเล่น เปน็ ต้น ๓. สัจจกนิครนถ์จึงพร้อมด้วยเจ้าลิจฉวี ๕๐๐ ไปยังศาลาเรือนยอดป่ามหาวัน เม่ือ พบพระพทุ ธเจ้าแล้วก็กลา่ วขอโอกาสเพอ่ื ใหต้ อบปญั หา พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตใหถ้ ามได้ ก็ถามว่า ทรงแนะน�ำสาวกอย่างไร ค�ำสอนส่วนใหญ่คืออะไร ตรัสตอบอย่างท่ีพระอัสสชิเถระ ตอบ สัจจกนิครนถ์แย้งว่า พืชพันธุ์ไม้และคนสัตว์อาศัยแผ่นดินฉันใด คนเราก็อาศัยรูปเวทนา เป็นต้น ได้ประสบบุญและมิใช่บุญ (เท่ากับว่า ถ้าปฏิเสธขันธ์ ๕ ว่าเป็นอัตตาเสียแล้ว ก็คล้าย กับไมม่ ีมูลฐาน เหมอื นคน สัตว์ ตน้ ไม้ เมอ่ื ไมม่ ีดินกไ็ ม่มที ตี่ ัง้ ) ๔. ตรัสย้อนถามว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านกล่าวว่า ขันธ์ ๕ เป็นตนของท่านใช่ไหม สัจจกนิครนถ์ตอบว่า ใช่ ประชุมชนใหญ่น้ีก็ว่าอย่างน้ัน ตรัสตอบว่า ประชุมชนใหญ่น้ีจะท�ำ อะไร ท่านจงแก้วาทะของตนเองเถิด สัจจกนิครนถ์จึงยืนยันว่า ข้าพเจ้ากล่าวว่า ขันธ์ ๕ เป็น ตนของข้าพเจ้า ๕. ตรัสถามว่า กษัตริย์ผู้ได้รับมูรธาภิเษก มีอ�ำนาจต่าง ๆ ในแว่นแคว้นของพระองค์ เช่น การฆ่า การริบทรัพย์ การเนรเทศใช่หรือไม่ ทูลรับว่า ใช่ ตรัสถามว่า ท่านกล่าวว่า รูป (ส่วน ๑ ใน ๕ ส่วนของขันธ์ ๕) เป็นตัวตนของท่าน ท่านจะมีอ�ำนาจในรูปนั้นว่า จงเป็น PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 561 5/4/18 2:25 PM
562 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ อย่างน้ีเถิด อย่าเป็นอย่างน้ันเลยได้หรือไม่ สัจจกนิครนถ์น่ิง ตรัสถามย้�ำถึง ๓ ครั้งก็น่ิง ในที่สุดก็ยอมรับว่าไม่มีอ�ำนาจให้รูปเป็นอย่างนั้นอย่างน้ี จึงตรัสถามไปทีละข้อจนถึงวิญญาณ ซง่ึ สจั จกนคิ รนถ์ก็ยอมรบั วา่ ไม่มอี ำ� นาจใหเ้ ปน็ อยา่ งนน้ั อย่างน้ีเช่นเดยี วกันทุกขอ้ ๖. ตรสั ถามวา่ ขันธ์ ๕ เทยี่ งหรอื ไม่เท่ียง ตอบวา่ ไมเ่ ทย่ี ง ตรัสถามวา่ สง่ิ ใดไม่เที่ยง ส่ิงน้ันเป็นทุกข์หรือสุข ตอบว่า เป็นทุกข์ ตรัสถามว่า ส่ิงใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความ แปรปรวนไปเปน็ ธรรมดา ควรหรือท่ีจะตามเห็นวา่ นนั่ ของเรา เราเปน็ นั่น นัน่ เป็นตัวตนของเรา ตอบว่า ไม่ควร ตรัสถามว่า ผู้ใดติดทุกข์ ยึดทุกข์ ตามเห็นว่า ทุกข์น้ันเป็นของเรา เราเป็นน่ัน นั่นเป็นตัวตนของเรา ผู้น้ันจะก�ำหนดรู้ทุกข์ หรือท�ำทุกข์ให้ส้ินไปได้หรือไม่ ตอบว่า ไม่ได้ ตรัสถามว่า ท่านติดทุกข์ ยึดทุกข์ ตามเห็นว่าทุกข์น้ันเป็นของเรา เป็นตนใช่หรือไม่ สจั จกนคิ รนถย์ อมรบั ว่าเปน็ เช่นนั้น ๗. ตรัสเปรียบว่า คนที่ต้องการแก่นไม้ แต่ไปตัดต้นกล้วย จึงไม่ได้แม้แต่กะพี้ไม้ จึงไม่จ�ำเป็นต้องกล่าวถึงแก่น ตัวท่านที่อวดตนในเรื่องการโต้ตอบว่า ผู้ที่พูดกับท่านจะต้อง หวั่นไหว เหงื่อแตก แม้แต่เสาก็หวั่นไหว บัดนี้เหง่ือของท่านไหลเอง ตถาคตไม่มีเหง่ือไหลเลย สัจจกนิครนถ์ก็นั่งน่ิงเก้อเขิน บุตรเจ้าลิจฉวีชื่อทุมมุขะ ก็กราบทูลพระผู้มีพระภาคถึง สัจจกนิครนถ์ว่าเหมือนปูถูกหักก้าม สัจจกนิครนถ์ก็ว่าบุตรเจ้าลิจฉวีว่าเป็นเร่ืองของ การสนทนาระหว่างพระสมณโคดมกับตน (คนอืน่ ไมค่ วรเกยี่ ว) ๘. แล้วสัจจกนิครนถ์จึงทูลถามว่า สาวกของพระองค์จะข้ามความสงสัย ไม่ต้องพ่ึง ผู้อ่ืน (ในเร่ืองความเช่ือ) ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ตรัสตอบว่า สาวกน้ันเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงวา่ ขนั ธ์ ๕ ทกุ ชนิด ไม่เปน็ ของเรา เราไมเ่ ป็นนัน่ น่นั ไม่เปน็ ตัวตนของเรา ทลู ถาม ว่า ภิกษุจะเป็นพระอรหันต์ขีณาสพด้วยเหตุเพียงเท่าไร ก็ตรัสตอบอย่างเดียวกับตอนแรก คือ ไม่ยึดถือขันธ์ ๕ ว่าเป็นของเรา เป็นต้น แล้วตรัสสรูปว่า ภิกษุผู้หลุดพ้นแล้วอย่างน้ี ย่อม ประกอบด้วยอนุตตริยะ (ส่ิงยอดเย่ียม) ๓ ประการ คือ ทัสสนานุตตริยะ (ความเห็นอย่าง ยอดเย่ียม) ปฏิปทานุตตริยะ (ความปฏิบัติอย่างยอดเยี่ยม) วิมุตตานุตตริยะ (ความหลุดพ้น อย่างยอดเย่ียม) ย่อมเคารพบูชาตถาคตว่า ตรัสรู้ ฝึกพระองค์ ข้ามพ้น ดับเย็น ด้วยพระองค์ เองแลว้ จงึ แสดงธรรมเพ่อื ใหผ้ ้อู ืน่ เป็นเชน่ นน้ั ๙. สัจจกนิครนถ์กราบทูลยอมรับว่าตนผิด และนิมนต์พระผู้มีพระภาค พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหาร ซ่ึงพระผู้มีพระภาคก็ทรงรับนิมนต์และเสด็จไปฉัน ณ อารามของ นิครนถ์นั้นในวนั รุง่ ขนึ้ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 562 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค 563 ๓๖. มหาสัจจกสูตร ัมช ิฌม ินกาย (สตู รว่าด้วยสจั จกนิครนถ์ สูตรใหญ่) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ศาลาเรือนยอด ในป่าใหญ่ ใกล้กรุงเวสาลี เช้าวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเตรียมเสด็จเข้าสู่กรุงเวสาลีเพ่ือบิณฑบาต พระอานนท์เห็นสัจจกนิครนถ์ เดินมาแต่ไกล ก็อาราธนาพระผู้มีพระภาคให้ประทับนั่งอยู่ครู่หน่ึงก่อนเพื่อสงเคราะห์เขา สจั จกนคิ รนถก์ ็เข้ามาเฝา้ กลา่ วปราศัยแลว้ ตงั้ กระทขู้ ึน้ ว่า ๒. มีสมณพราหมณ์บางพวกประกอบการอบรมกาย แต่ไม่ประกอบการอบรมจิต เม่ือได้รับทุกขเวทนาทางกายก็อาจเป็นโรคขาแข็ง (อัมพาต) หัวใจแตก (น่าจะได้แก่โรคหัวใจวาย หรือเส้นโลหิตในสมองแตกอย่างใดอย่างหน่ึง) อาเจียนเป็นโลหิต จิตฟุ้งสร้าน เป็นบ้า จิตของ คนเหล่านั้นเป็นไปตามกาย เป็นไปตามอ�ำนาจของกาย เพราะมิได้อบรมจิต ส่วนสมณพราหมณ์ อีกพวกหนึ่งประกอบการอบรมจิต แต่ไม่ประกอบการอบรมกาย เม่ือได้รับทุกขเวทนา ทางจิต เจตสิก ก็อาจเป็นโรคขาแข็ง หัวใจแตก อาเจียนเป็นโลหิต จิตฟุ้งสร้าน เป็นบ้า กายของคนเหล่านั้นเป็นไปตามจิต เป็นไปตามอ�ำนาจของจิต เพราะมิได้อบรมกาย ข้าพเจ้า คิดวา่ สาวกของพระสมณโคดมคงประกอบการอบรมจิต ไมป่ ระกอบการอบรมกาย ๓. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า การอบรมกายที่ท่านได้ฟังมา (ตามค�ำพูดของท่าน) เป็นอย่างไร สัจจกนิครนถ์อ้างช่ือนันทะ วัจฉโคตร กิสะ สังกิจจโคตร มักขลิ โคสาล ซ่ึงเปลอื ยกาย ยืนถา่ ยอุจจาระปัสสาวะ และกินอาหารเลยี มอื เป็นตน้ จนถึงกินอาหารวันละครั้ง ๒ วันคร้ัง จนถึงกึ่งเดือนครั้ง ตรัสถามว่า ยังชีพด้วยอาหารเพียงเท่าน้ันเองหรือ ทูลตอบว่า บางคราวก็กินดม่ื อาหารดี ๆ ใหเ้ กดิ ก�ำลงั กาย ตรัสตอบวา่ ร่างกายของสมณพราหมณ์พวกน้ัน ทล่ี ะท้ิงการทรมานตนในเบื้องแรก มาสะสมในภายหลัง จึงเจริญบา้ ง เส่ือมบา้ ง หมายเหตุ : ประเด็นส�ำคัญตอนน้ี คือการตีความหมายถ้อยค�ำว่า อบรมกายเป็น อย่างไร อบรมจิตเป็นอย่างไร เฉพาะการอบรมกาย พวกนิครนถ์ถือว่า คือการทรมานร่างกาย แต่แล้วก็กลับช้ีให้เห็นความย่อหย่อนในภายหลัง พระผู้มีพระภาคจึงทรงติงไว้ในตอนท้าย อรรถกถาแก้ว่า ความหมายของฝ่ายพระพุทธศาสนาไม่เหมือนกัน โดยช้ีว่า อบรมกาย ได้แก่ วิปัสสนา (ปัญญา) อบรมจิต ได้แก่สมถะ (สมาธิ) จึงควรเข้าใจว่า ค�ำว่า กาย น้ัน ไม่ได้ หมายถึงร่างกายเสมอไป หากหมายถึงนามกายหรือธรรมะท่ีเกิดกับจิต คือเจตสิกซ่ึงมีท่ีใช้ อยู่หลายแห่ง แต่ก็น่าพอใจว่าพระผู้มีพระภาคทรงย้อนถามให้นิครนถ์ตีความถ้อยค�ำของ ตนเองเสียกอ่ นเพอ่ื จะได้ไมย่ งุ่ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 563 5/4/18 2:25 PM
564 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๔. ตรัสถามต่อไปว่า การอบรมจิตท่ีท่านได้ฟังมาเป็นอย่างไร สัจจกนิครนถ์ไม่ สามารถตอบได้ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า การอบรมกายข้างต้น (ตามที่เขาเข้าใจ) มิใช่การ อบรมกายในอริยวินัย ก็เมื่อไม่รู้การอบรมกายแล้ว จะรู้การอบรมจิตอย่างไร คร้ันแล้วจึงตรัส บอกใหค้ อยฟงั ๕. ผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมจิต คือบุถุชนผู้มิได้สดับ เมื่อสุขเวทนา (ความรู้สึก เป็นสุข) ถูกต้องก็ก�ำหนัดในสุข เมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้นเพราะสุขเวทนาดับไป ก็เศร้าโศก คร่�ำครวญ หลงเลอะ สุขเวทนาเกดิ ขึน้ ครอบง�ำจิตของผู้นน้ั ได้ ก็เพราะมไิ ดอ้ บรมกาย ทกุ ขเวทนาเกดิ ข้นึ ครอบง�ำจติ ของผนู้ น้ั ได้ ก็เพราะมิไดอ้ บรมจติ ๑ สุขเวทนาและทุกขเวทนาเกิดข้ึนท้ังสองฝ่าย ครอบง�ำจิต เพราะมิได้อบรมกาย มไิ ด้อบรมจิตอย่างน้ี ๖. ผอู้ บรมกาย อบรมจติ คอื อรยิ สาวก (สาวกของพระอรยิ เจา้ ) ผไู้ ดส้ ดบั ทต่ี รงกนั ขา้ ม กบั บถุ ุชนผมู้ ไิ ด้สดับ สุขเวทนา ทุกขเวทนา ไมค่ รอบง�ำจิตของผนู้ ัน้ ได้ ๗. สัจจกนิครนถ์กล่าวแสดงความพอใจเห็นด้วยกับพระด�ำรัสอธิบาย พระผู้มี พระภาคจึงตรัสว่า ภายหลังที่เสด็จออกผนวชแล้ว ก็มิใช่ฐานะท่ีสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา จะครอบง�ำพระหฤทัยของพระองค์ตั้งอยู่ได้ ซ่ึงสัจจกนิครนถ์ก็แสดงความเชื่อมั่นว่าเป็นเช่นน้ัน ๘. ครั้นแล้วตรัสเล่าเรื่องที่ทรงเห็นการครองเรือนเป็นเหมือนทางท่ีเต็มไปด้วยฝุ่น ส่วนการบรรพชาเหมือนที่กลางแจ้ง จึงเสด็จออกบรรพชา ท้ัง ๆ ที่พระมารดาบิดาทรงกันแสง ไม่ปรารถนาให้ออก ตั้งแต่อยู่ในปฐมวัยพระเกสาด�ำสนิท แล้วตรัสเล่าต่อไปถึงการแสวงหา สันติวรบท (ทางอันประเสริฐไปสู่สันติ) ทรงศึกษาในส�ำนักอาฬารดาบส กาลามโคตร และ อุททกดาบส รามบุตร เมื่อไม่ทรงพอพระหฤทัยว่าจะเป็นไปเพ่ือพระนิพพาน จึงเสด็จออก จากส�ำนักของสองดาบสนนั้ จารกิ ไปโดยลำ� ดบั ถึงต�ำบลอุรุเวลาเสนานคิ ม ๑ อรรถกถาแก้ว่า อบรมกาย ได้แก่วิปัสสนา เพราะวิปัสสนาใกล้ข้างทุกขเวทนา จะสังเกตว่า ผู้เจริญวิปัสสนานาน มักมีเหงื่อแตก รู้สึกร้อนบนศีรษะ ส่วนอบรมจิต ได้แก่สมถะ (คือสมาธิ) เพราะผู้เจริญสมาธิเข้าสมาบัติ ความทกุ ข์จะหายไป PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 564 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค 565 ๙. ตรสั เลา่ ถงึ อุปมา ๓ ขอ้ ท่ีปรากฏแกพ่ ระองค์ คอื ัมช ิฌม ินกาย (๑) ไม้สดชุ่มด้วยยาง แช่ในน้�ำ ไม่สามารถจะสีให้ไฟติดได้ เปรียบเหมือน สมณพราหมณ์ท่ีมีกายไม่หลีกจากกาม มีความพอใจในกาม แม้จะ บ�ำเพ็ญเพียรไดร้ ับทกุ ขเวทนากลา้ ก็ไมค่ วรไดต้ รัสรู้ (๒) ไม้สดชุ่มด้วยยาง วางอยู่บนบก ไม่สามารถจะสีไฟให้ติดได้ เปรียบเหมือน สมณพราหมณ์ท่ีมีกายหลีกจากกาม แต่ยังมีความพอใจในกาม แม้จะ บำ� เพญ็ เพียรไดร้ บั ทุกขเวทนากลา้ กไ็ ม่ควรไดต้ รัสรู้ (๓) ไม้แห้งวางอยู่บนบก สามารถจะสีไฟให้ติดได้ เปรียบเหมือนสมณพราหมณ์ ผู้มีกายออกจากกาม ละความพอใจในกามเสียได้ดี แม้จะไม่บ�ำเพ็ญเพียร ไดร้ ับทกุ ขเวทนากล้า กค็ วรตรสั รู้ได้ ๑๐. ตรัสเล่าถึงการทรมานพระกาย เช่น กดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุด้วย พระชิวหา๑ จนกระทั่งพระเสโทไหลออกจากพระกัจฉะ การกล้ันพระอัสสาสะปัสสาสะ๒ ทางพระโอษฐ์และพระนาสิก จนเกิดเสียงเมื่อลมออกทางช่องพระกรรณ การกล้ันพระอัสสาสะ ทั้งทางพระโอษฐ์ ทางพระนาสิก และทางพระกรรณจนมีความรู้สึกท่ีพระเศียรคล้ายคนเอา ของแหลมคมมากดลงไป จนลมเสียดพระอุทรคล้ายเอามีดเชือด จนพระกายเร่าร้อนเหมือน ถูกย่างบนหลุมถ่านเพลิง ทุกขเวทนาก็มิได้ครอบง�ำ พระหฤหัยต้ังอยู่ได้ ทรงแสดงการอด พระกระยาหารด้วยประการท้ังปวง การกลับเสวยพระกระยาหารอ่อน ประเภทเย่ือถั่วต่าง ๆ ทีละน้อยประมาณฟายมือหน่ึง จนกระทั่งซูบผอม แล้วทรงแสดงว่า สมณพราหมณ์ที่บ�ำเพ็ญ เพียรไดร้ ับทกุ ขเวทนากลา้ ก็อย่างย่งิ เพยี งเทา่ น้ี ไม่ย่ิงไปกว่าน้ี ๑๑. ตรัสถึงการที่ทรงระลึกถึงการสงัดจากกาม ได้ฌานท่ี ๑ ที่ร่มเงาไม้หว้าในสมัยที่ ยังทรงพระเยาว์ ว่าจะเป็นทางตรัสรู้ได้ จึงกลับเสวยพระกระยาหารหยาบ ซึ่งเป็นเหตุให้ ภิกษุ ๕ รูปหาว่า พระองค์ทรงมักมากคลายความเพียร จึงพากันหลีกไป พระองค์จึงทรง บ�ำเพญ็ ฌาน ได้ฌานท่ี ๑ ถงึ ๔ สุขเวทนาก็ไม่ครอบงำ� พระหฤทัยของพระองคต์ ัง้ อย่ไู ด้ ทรงไดป้ ุพเพนวิ าสานสุ สติญาณ (ญาณระลกึ ชาตกิ ่อนได้) ในยามแรก ทรงได้จตุ ูปปาตญาณ (ญาณเหน็ ความตายความเกิด) ในยามกลาง และ ๑๒ ใช้ฟันกดฟัน ใช้ลิ้นกดเพดาน จนเหง่อื ไหลออกจากรกั แร้ กลั้นลมหายใจเข้าออกทางจมูก จนลมออกทางหู PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 565 5/4/18 2:25 PM
566 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ทรงไดอ้ าสวกั ขยญาณ (ญาณอนั ท�ำอาสวะใหส้ นิ้ ) ในยามสดุ ท้ายแหง่ ราตรี สขุ เวทนาเหน็ ปานนี้ ไม่ครอบง�ำ พระหฤทัยของพระองค์ตั้งอยไู่ ด้ ๑๒. ตรสั ถงึ การทรงแสดงธรรมในบรษิ ทั หลายรอ้ ย ซง่ึ แตล่ ะคนกค็ ดิ วา่ ทรงแสดงธรรม ปรารภเขาคนเดียว ซ่ึงไม่ควรเห็นอย่างนั้น ทรงแสดงธรรมด้วยดีแก่เขาทั้งหลาย เพ่ือให้รู้แจ้ง พอแสดงจบ กท็ รงตง้ั พระมนสั ในนมิ ติ กอ่ นหนา้ (การแสดง) นน้ั ทำ� ใหม้ อี ารมณเ์ ปน็ หนง่ึ ในภายใน อยเู่ ป็นนติ ยด์ ้วยสมาธจิ ิต ๑๓. สัจจกนิครนถ์ยอมรับว่า เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น แล้วทูลถามว่า เคยทรงนอนหลับ กลางวันหรือไม่ ตรัสตอบว่า ทรงระลึกได้ว่า ในเดือนสุดท้ายฤดูร้อนเสด็จกลับจากบิณฑบาต เมื่อเสวยเสร็จแล้ว ทรงปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ช้ัน ทรงเอนข้าง มีสติสัมปชัญญะก้าวลงสู่ความหลับ สัจจกนิครนถ์กล่าวว่า สมณพราหมณ์บางพวกกล่าวถึงการนอนหลับกลางวันว่าเป็นการอยู่ ด้วยความหลง ตรัสตอบว่า เพียงเท่าน้ันยังไม่นับว่าหลง หรือไม่หลง แต่หลงเป็นอย่างไร ไม่หลงเป็นอยา่ งไร จักทรงแสดงใหฟ้ ัง ๑๔. ทรงแสดงว่า ผู้ใดยังละอาสวะ (กิเลสที่ดองสันดาน) อันท�ำให้เศร้าหมอง ท�ำให้ เกิดอีกไม่ได้ ผู้นั้นช่ือว่าผู้หลง ถ้าละได้ก็เรียกว่าผู้ไม่หลง ตถาคตละอาสวะได้แล้ว เหมือน ตาลยอดด้วนที่จะไม่งอกงามขึน้ มาได้อกี ๑๕. สัจจกนิครนถ์ชมเชยพระผู้มีพระภาคว่า น่าอัศจรรย์ที่เมื่อถูกถ้อยค�ำกระทบ กระทั้ง ยังมีพระฉวีวรรณผ่องแผ้ว มีสีพระพักตร์ผ่องใสดังพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า๑ พร้อมทั้งเล่าให้ฟังว่า ตนเคยโต้ตอบกับครูทั้งหก คือ ปูรณะ กัสสปะ มักขลิ โคสาล อชิตะ เกสกัมพล ปกุธะ กัจจายนะ สัญชัย เวลัฏฐบุตร และนิครนถนาฏบุตร พอตนเริ่มวาทะด้วย ก็พูดเล่ียงไปเสียนอกเรื่อง แสดงความโกรธ ความคิดประทุษร้าย และความไม่พอใจให้ ปรากฏ สว่ นพระผู้มีพระภาคกลับมีพระฉวีวรรณผอ่ งแผว้ มพี ระพักตรผ์ อ่ งใส คร้ันแล้วสัจจกนิครนถก์ ท็ ูลลากลบั ไป ๑ แสดงว่าสัจจกนิครนถ์มิได้ถือว่า พระผู้มีพระภาคเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ชมเชยว่ามีลีลา เปน็ เชน่ นัน้ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 566 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค 567 ๓๗. จฬู ตัณหาสงั ขยสูตร ัมช ิฌม ินกาย (สตู รว่าดว้ ยความส้ินไปแห่งตณั หา สตู รเลก็ ) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ปราสาทของนางวิสาขาในบุพพาราม ใกล้กรุงสาวัตถี ท้าวสักกะมาเฝ้ากราบทูลถามว่า กล่าวโดยย่อด้วยเหตุเพียงเท่าไร ภิกษุช่ือว่าพ้นเพราะส้ิน ตัณหา มีความส�ำเร็จ ปลอดโปร่งจากธรรมะที่ผูกมัด เป็นพรหมจารี มีท่ีสุดล่วงส่วน (คือ แน่นอนเด็ดขาด) เปน็ ผู้ประเสริฐกวา่ เทวดาและมนุษย์ท้งั หลาย ๒. ตรัสตอบว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมได้สดับว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควร ยึดถือ เธอจึงรู้ยิ่ง ก�ำหนดรู้ธรรมะทั้งปวง เธอเสวยเวทนาใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ หรือ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง พิจารณาเห็นด้วยความคลายก�ำหนัด พิจารณาเห็น ความดับ พิจารณาเห็นด้วยการปล่อยวางในเวทนาเหล่านั้น ไม่ถือมั่นส่ิงใด ๆ ในโลก เม่ือ ไม่ถือม่ันก็ไม่สะดุ้งดิ้นรน เมื่อไม่สะดุ้งดิ้นรนก็ดับเย็น (ปรินิพพาน) เฉพาะตน รู้ว่าส้ินชาติ อยู่จบพรหมจรรย์ ท�ำหน้าที่เสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นท่ีจะพึงท�ำเพื่อความเป็นอย่างน้ีอีก ด้วยเหตุ เพียงเท่าน้ี ภิกษุชื่อว่าพ้นเพราะสิ้นตัณหา ฯ ล ฯ ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ท้ังหลาย ท้าวสกั กะกช็ ่ืนชมภาษิต และกราบทูลลากลบั ๓. พระมหาโมคคัลลานะไปปรากฏกายในชั้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะก็ต้อนรับเป็นอันดี เม่ือท่านถามถึงค�ำเฉลยปัญหาที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ย่อ ๆ เก่ียวกับความหลุดพ้นเพราะ ส้ินตัณหา ท้าวสักกะกลับพูดเล่ียงไปเร่ืองอ่ืน และชวนพระมหาโมคคัลลานะไปชมปราสาท ช่ือเวชยันต์ ซ่ึงสร้างข้ึนภายหลังชนะสงครามระหว่างเทวดากับอสูรอย่างวิจิตรพิสดาร พระมหาโมคคลั ลานะเหน็ ทา้ วสกั กะเปน็ ผปู้ ระมาท กแ็ สดงฤทธเิ์ อาหวั แมเ่ ทา้ เขย่ี ปราสาทเวชยนั ต์ ให้หว่ันไหว ซ่ึงท�ำให้ท้าวสักกะ ท้าวเวสสวัณ และเทพชั้นดาวดึงส์ พากันอัศจรรย์ในฤทธ์ิ อานุภาพของพระเถระเปน็ อันมาก๑ ๔. เมอื่ พระเถระเหน็ เชน่ นน้ั จงึ ถามยำ้� อกี ถงึ พระดำ� รสั เฉลยปญั หาเรอื่ งความหลดุ พน้ เพราะส้นิ ตณั หาของพระผมู้ ีพระภาค คราวนที้ ้าวสักกะเลา่ ถวายเป็นอันดี พระเถระจงึ ลากลบั มา เฝ้าพระผมู้ ีพระภาค กราบทูลถามเร่อื งการทท่ี รงตอบปญั หาน้นั ซึ่งก็ตรัสเลา่ ความใหฟ้ ังตรงกัน ๑ เร่ืองน้ีถ้าถอดเป็นธรรมะจะเห็นได้ว่า มีคติเตือนใจว่า มีปราสาทที่เลอเลิศขนาดนั้น ก็อย่ามัวเมาประมาทเเป็น เคร่ืองเหน่ียวรั้งมใิ ห้คนฟุ้งเฟอ้ เหอ่ เหิมดีมาก PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 567 5/4/18 2:25 PM
568 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๓๘. มหาตัณหาสงั ขยสตู ร (สตู รวา่ ดว้ ยความสิน้ ไปแห่งตัณหา สูตรใหญ่) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม สมัยน้ันภิกษุช่ือสาติ ผู้เป็นบุตรของ ชาวประมงเกิดความเห็นผิดขึ้นว่า วิญญาณดวงน้ันน่ันแหละแล่นไป ท่องเที่ยวไป มิใช่ดวงอ่ืน (ถือว่าวิญญาณเท่ียง เป็นตัวยืนในการเวียนว่ายตายเกิด) ภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวตักเตือนว่า พระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสเช่นนั้น ก็ไม่เช่ือฟัง ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงตรัสสั่งให้ เรียกตัวภิกษุชื่อสาติมาสอบถาม และชี้ให้เห็นว่าเป็นการกล่าวตู่พระองค์ เพราะพระองค์ตรัส อยู่โดยปริยายเป็นอเนกว่า วิญญาณเกิดข้ึนเพราะอาศัยปัจจัย เว้นจากปัจจัย ความเกิดข้ึน แห่งวิญญาณย่อมไม่มี (เมื่อเกิดเพราะอาศัยเหตุปัจจัย จึงดับได้ ไม่ใช่ของย่ังยืนดังที่เข้าใจผิด ไปน้ัน) ภกิ ษชุ อ่ื สาตกิ ็นัง่ ก้มหนา้ เกอ้ เขิน ถอนใจ ๒. พระผู้มีพระภาคตรัสสอบถามความเข้าใจของภิกษุท้ังหลาย ก็กราบทูลตอบตรง ตามหลัก คือวญิ ญาณเกิดข้ึนเพราะอาศัยปัจจัย อื่นจากปจั จยั ความเกิดแหง่ วิญญาณ ย่อมไม่มี คร้ันแล้วจึงทรงแสดงการที่วิญญาณอาศัยปัจจัยเกิดข้ึน อันท�ำให้มีชื่อเรียก คือ อาศัยตา อาศัยรูป วิญญาณเกิดขึ้น เรียกว่าจักขุวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางตา) เป็นต้น จนถึงอาศัยใจ อาศัยธรรมะ วิญญาณเกิดข้ึน เรียกว่ามโนวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางใจ) เปรียบเหมือนไฟ เกิดจากไม้ กเ็ รยี กวา่ ไฟไม้ เป็นตน้ ๓. แล้วตรัสแสดงหลักการเร่ืองภูตะ (ส่ิงท่ีมีที่เป็น) ว่า เกิดข้ึนเพราะอาหาร ดับไป เพราะดับอาหาร ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ด้วยปัญญาอันชอบ ก็จะละความสงสัยเสียได้ แม้ ความเห็นอันบริสุทธ์ิผ่องแผ้วนี้ ก็ไม่ควรยึดไม่ควรติด เพราะทรงแสดงธรรมอุปมาด้วยแพ เพื่อใหถ้ อนตวั มใิ ชเ่ พื่อให้ยึดถือ ๔. ทรงแสดงอาหาร ๔ อย่าง คือ (๑) กวฬิงการาหาร อาหารท่กี ลนื กนิ (๒) ผัสสาหาร อาหารคอื ผสั สะ ความถกู ต้อง (๓) มโนสัญเจตนาหาร อาหารคอื เจตนาทจ่ี ะท�ำความดคี วามชัว่ (๔) วิญญาณาหาร อาหารคอื วิญญาณ ครน้ั แลว้ ตรสั วา่ อาหารทงั้ สเี่ หลา่ นี้ เกดิ จากตณั หา (ความทะยานอยาก) ตณั หาเกดิ จาก เวทนา (เรอื่ ยไปตามหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท) จนถงึ สงั ขารเกดิ จากอวชิ ชาเปน็ ปจั จยั และตรสั สรปู วา่ อวิชชาเป็นตน้ เหตใุ ห้เกิดกองทกุ ข์ (เป็นลกู โซ่ไปโดยล�ำดับ) PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 568 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค 569 ๕. ตรัสถามให้ภิกษุทั้งหลายตอบว่า ความแก่ ความตาย มีชาติเป็นปัจจัย สาวหา ัมช ิฌม ินกาย ต้นเหตุขึ้นไปโดยล�ำดับจนถึงอวิชชาอีก แล้วทรงช้ีให้เห็นทั้งสายเกิดสายดับ สายเกิด คือ เพราะมีสิ่งท่ีเป็นปัจจัยจึงเกิดส่ิงน้ี และสายดับก็ท�ำนองเดียวกัน เพราะดับอวิชชาโดยไม่เหลือ สง่ิ อืน่ ๆ กด็ บั ไปโดยลำ� ดับ ๖. ตรัสถามให้เห็นว่า เม่ือรู้เห็นอย่างนี้ ก็จะไม่คิดไปถึงที่สุดเบื้องต้น ว่าได้เคยมี เคยเป็น หรือไม่มีไม่เป็น หรือไม่ อย่างไร เป็นอย่างนี้แล้วเป็นอะไรต่อไป ไม่คิดไปถึงท่ีสุด เบ้ืองปลายคืออนาคตว่า จักมีจักเป็นหรือไม่ เป็นต้น ไม่สงสัยปรารภปัจจุบัน ว่าเรามีเราเป็น หรือไม่ เป็นต้น เมื่อรู้เห็นอย่างน้ีก็จะไม่อุทิศศาสดาอื่น ไม่ถือเอาเรื่องข้อวัตรและเร่ืองมงคล ต่ืนข่าวของสมณพราหมณ์ทั้งหลายว่าเป็นสาระ และตรัสสรูปในที่สุดว่า น่ีแหละเป็นธรรมะ ท่ีเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชน พึงรูจ้ �ำเพาะตน ๗. ตรสั ตอ่ ไปวา่ เพราะประชุมเหตุ ๓ อย่าง คอื (๑) มารดาบดิ าอยู่รว่ มกัน (๒) มารดามรี ะดู (๓) คนธรรพป์ รากฏ จึงมกี ารต้ังครรภ์ ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่ง ก็ไม่มีการตั้งครรภ์ (ค�ำว่า ตั้งครรภ์ แปลหักจากค�ำว่า การก้าว ลงของสัตว์ในครรภ์) มารดาบริหารครรภ์ อันนับเป็นภาระหนักด้วยความสงสัยอันใหญ่ ตลอดเวลา ๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้าง แล้วก็คลอดและเล้ียงเด็กท่ีเกิดนั้นด้วยโลหิตของตน ดว้ ยความสงสยั อนั ใหญ่ แลว้ ตรสั ว่า ค�ำวา่ โลหติ ในอริยวนิ ยั คอื น้�ำนมของมารดา ๘. คร้ันแล้วทรงแสดงถึงการท่ีเด็กน้ันเจริญวัยขึ้น เล่นของเล่นต่าง ๆ ของเด็ก จนกระท่ังเติบใหญ่ข้ึนพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ท่ีน่า ปรารถนา รักใคร่ชอบใจ เห็นรูปเป็นต้น ก็ก�ำหนัดในรูปที่น่ารัก ขัดเคืองในรูปท่ีไม่น่ารัก ไม่มี สติต้ังมั่น ไม่รู้เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับแห่งอกุศลธรรมท้ังปวง เมื่อละความยินดี ยินร้ายไม่ได้ เสวยเวทนาเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุข ก็ชื่นชม ยึดถือเวทนา จึงเกิด ความพอใจ ความยึดม่ันถือมั่น เกิดภพเกิดชาติโดยล�ำดับ จนถึงเกิดความคับแค้นใจ น้ีเป็น ความเกิดขน้ึ แหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั ปวง ๙. ทรงแสดงถึงการที่พระตถาคตทรงเกิดขึ้นในโลก มีผู้สดับธรรมออกบวช ตั้งอยู่ ในศลี สมาธิ จนไดฌ้ านท่ี ๑ ถงึ ท่ี ๔ (ท�ำนองเดียวกับขอ้ ความในสามญั ญผลสตู ร ดูหน้า ๔๑๔) ผู้น้ันไม่ก�ำหนัดในรูปท่ีน่ารัก ไม่ขัดใจในรูปท่ีไม่น่ารัก มีสติตั้งมั่น รู้เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 569 5/4/18 2:25 PM
570 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ อันเป็นท่ีดับแห่งอกุศลธรรมท้ังปวง เม่ือละความยินดียินร้ายได้ เสวยเวทนาก็ไม่ชื่นชม ยึดถือเวทนา ความพอใจ ความยึดมั่นถือม่ันจึงดับไป เป็นเหตุให้ดับภพดับชาติโดยล�ำดับ จนถงึ ดับความคับแคน้ ใจ น้ีเป็นความดบั แห่งกองทกุ ขท์ ั้งปวง ๓๙. มหาอสั สปรุ สูตร (สตู รวา่ ดว้ ยคำ� สอนในนคิ มชอื่ อัสสปุระ สูตรใหญ่) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับในนิคมแห่งแคว้นอังคะช่ืออัสสปุระ ตรัสสอนภิกษุ ท้ังหลาย มีใจความว่า คนเข้าใจพวกท่านว่าเป็นสมณะ พวกท่านก็มีชื่อว่าสมณะ ปฏิญญาตน ว่าสมณะ จึงควรส�ำเหนียกที่จักสมาทานประพฤติธรรม อันท�ำให้เป็นสมณะ ท�ำให้เป็น พราหมณ์ ซึ่งจะท�ำให้ช่ือเป็นจริง ค�ำปฏิญญาเป็นจริง ท�ำให้การบริโภคปัจจัย ๔ ของคฤหัสถ์ มผี ลมาก มอี านิสงสม์ ากแก่เขา การบวชกจ็ ะไม่เปน็ หมนั มผี ล มกี ำ� ไร ๒. ทรงขยายความของธรรมท่ีท�ำให้เป็นสมณะ ท�ำให้เป็นพราหมณ์ โดยสอนให้ สำ� เหนียกวา่ (๑) จักมีความละอาย ความเกรงกลัว (ต่อความชั่ว) และมีสิ่งท่ีพึงท�ำย่ิงข้ึนไป อีก คือ (๒) จกั มคี วามประพฤตทิ างกาย บรสิ ทุ ธิ์ เปดิ เผย ไมม่ ชี อ่ ง เปน็ ผสู้ ำ� รวม ไมย่ กตน ข่มผอู้ นื่ เพราะความบรสิ ุทธิท์ างกายนัน้ และมสี ่งิ ทพ่ี งึ ทำ� ยิ่งขน้ึ ไปอกี คอื (๓) จักมคี วามประพฤตทิ างวาจาบรสิ ุทธ ์ิ ฯ ล ฯ๑ (๔) จกั มคี วามประพฤติทางใจบริสุทธ ์ิ ฯ ล ฯ (๕) จักมอี าชวี ะ (การเล้ยี งชพี ) อันบรสิ ุทธิ์ ฯ ล ฯ (๖) จกั ส�ำรวมอินทรยี ์ คือ ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ (๗) จักร้ปู ระมาณในการบริโภค (๘) จักประกอบเนือง ๆ ซ่ึงความเป็นผู้ต่ืน (ไมเ่ ห็นแก่นอนมากนกั ) (๙) จกั ประกอบด้วยสติ (ความระลกึ ได้) สัมปชัญญะ (ความรูต้ ัว) และมีสิง่ ท่พี ึง ท�ำยงิ่ ขึ้นไปอกี คือ ๑ เคร่อื งหมาย ฯ ล ฯ ในทน่ี ี้ หมายถึงซ�้ำกบั ขอ้ ความในขอ้ ๒ ตั้งแต่ ”เปดิ เผย„ จนถึง ”ย่ิงขึ้นไปอกี คอื „ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 570 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค 571 (๑๐) เสพเสนาสนะอนั สงัด นั่งคูบ้ ลั ลังก์ (น่ังขดั สมาธ)ิ ตง้ั กายตรง ดำ� รงสตเิ ฉพาะ ัมช ิฌม ินกาย หน้า ช�ำระจิตจากนวี รณ์ ๕๑ ๓. ทรงเปรียบการละนีวรณ์ ๕ อย่าง เหมือนคนเป็นหน้ีพ้นหนี้ คนมีโรคหายจาก โรค คนถูกจองจ�ำพ้นจากการจองจ�ำ คนเป็นทาสพ้นจากความเป็นทาส คนเดินทางไกลข้าม ทางกันดารไดส้ ำ� เร็จ ย่อมมคี วามปราโมทยโ์ สมนัส ๔. ทรงแสดงถึงภิกษุนั้นผู้ได้บรรลุรูปฌาน ๔ ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ญาณ อันท�ำให้ระลึกชาติได้) ได้จุตูปปาตญาณ (ญาณเห็นความตายความเกิด) และอาสวักขยญาณ (ญาณอันท�ำอาสวะให้สิ้น) มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว เป็นต้น เธอ เห็นอริยสัจจ์ ๔ ตามเปน็ จริง เหมือนคนเหน็ หอยเห็นก้อนกรวดและฝูงปลาในนำ้� ใสฉะนน้ั ๕. ภิกษุน้ี เรียกว่าสมณะก็ได้ พราหมณ์ก็ได้ ผู้อาบน้�ำแล้วก็ได้ ผู้ถึงเวทก็ได้ ผู้มี กิเลสไหลออกก็ได้๒ ผู้เป็นพระอริยเจ้าก็ได้ ผู้เป็นพระอรหันต์ก็ได้ แล้วทรงขยายความ ถ้อยค�ำเป็นค�ำ ๆ ไป คือท่ีช่ือว่าสมณะ เพราะสงบอกุศลบาปธรรมแล้ว ชื่อว่าพราหมณ์ เพราะลอยอกุศลบาปธรรมแล้ว ช่ือว่าผู้อาบน้�ำแล้ว เพราะอาบน�้ำช�ำระอกุศลบาปธรรมแล้ว ชื่อว่าผู้ถึงเวท (ผู้รู้พระเวทจบ) เพราะรู้จบอกุศลบาปธรรมแล้ว ช่ือว่าผู้มีกิเลสไหลออก เพราะ อกุศลบาปธรรมไหลออกแล้ว ช่ือว่าพระอริยเจ้า เพราะไกลจากอกุศลบาปธรรม ชื่อว่า พระอรหันต์ เพราะไกลจากอกศุ ลบาปธรรม ๔๐. จฬู อสั สปรุ สูตร (สูตรว่าด้วยเหตุการณ์ทเ่ี กิดขน้ึ ในนคิ มช่อื อสั สปุระ สตู รเล็ก) ๑. พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ นิคมชอ่ื อสั สปรุ ะ แควน้ อังคะ ตรัสสอนภกิ ษทุ ้ังหลาย ให้ส�ำเหนียก ในเร่ืองช่ือ และค�ำปฏิญญาว่าเป็นสมณะเหมือนสูตรก่อน แต่แสดงข้อปฏิบัติ ตา่ งออกไปว่า พงึ ส�ำเหนยี กวา่ จกั ปฏิบัติขอ้ ปฏบิ ตั อิ ันชอบของสมณะ ๑ เร่ืองของนีวรณ์ ดูหน้า ๔๙๐ หมายเลข ๕ หน้า ๕๐๒ (พระสาริบุตรแสดงความแน่ใจ) และ หน้า ๑๑๒ ๒ หมายเลข ๖๘ ผมู้ กี ารสดบั ตรับฟังไดอ้ ีกอย่างหนึง่ ฝร่งั แปลวา่ well versed in sacred learning. โสตติยะ แปลตามศพั ท์วา่ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 571 5/4/18 2:25 PM
572 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๒. ทรงไขความว่า ปฏิบัติข้อปฏิบัติอันชอบของสมณะ คือตราบใดยังละมลทิน ของสมณะ (๑๒ อย่าง) ไม่ได้ พระองค์ก็ไม่ตรัสว่า ปฏิบัติข้อปฏิบัติอันชอบของสมณะ มลทิน ของสมณะ (๑๒ อยา่ ง) คอื (๑) อภชิ ฌา (เพง่ อยากได้) (๒) พยาบาท (ปองรา้ ย) (๓) โกรธ (๔) ผูกโกรธ (๕) ลบหล่บู ญุ คุณท่าน (๖) ตีเสมอ (๗) รษิ ยา (๘) ตระหน่ี (๙) มกั อวด (๑๐) มายา (๑๑) ปรารถนาลามก (๑๒) เห็นผิด ทรงเปรียบการบวชของภิกษุนี้ (ผู้ละมลทินของสมณะไม่ได้) ว่าเป็นเช่นเดียวกับเอา ปลอกใส่อาวุธช่อื มตชะ มคี มสองข้างไว้ (ซ่อนความคมไวข้ า้ งใน เท่ากับซ่อนมลทินไว้ข้างใน) ๓. ทรงแสดงว่าไม่ตรัสถึงความเป็นสมณะด้วยเหตุสักว่าการทรงผ้าสังฆาฏิ เพียง การเปลือยกาย เพียงเอาฝุ่นทาตัว เพียงลงอาบน้�ำ เพียงอยู่โคนไม้ เพียงอยู่กลางแจ้ง เพียง ยืนแหงนหน้า เพียงกินอาหารโดยก�ำหนดเวียนรอบ (คือ ๑ เดือน หรือก่ึงเดือนกินคร้ังหนึ่ง) เพียงสาธยายมนต์ เพียงทรงชฎา (แบบฤษี) (ทั้งหมดนี้เป็นลัทธิของสมณะภายนอกพระพุทธ ศาสนา ซงึ่ พระผมู้ พี ระภาคตรัสว่า เพียงเท่านั้นยงั ไม่ตรสั วา่ เปน็ สมณะ) ๔. ตรัสว่า ถ้าเพียงทรงผ้าสังฆาฏิ (ผ้าซ้อน) เป็นต้น จะท�ำให้บุคคลผู้มีมลทิน ละมลทิน (ท้ังสิบสองอย่าง) น้ันได้ ญาติมิตรก็จะพากันชักชวนให้ทรงผ้าสังฆาฏิ เป็นต้น ดว้ ยเขา้ ใจวา่ จะทำ� ใหล้ ะมลทนิ ได้ แตเ่ พราะทรงเหน็ ผทู้ รงผา้ สงั ฆาฏิ เปน็ ตน้ ยงั มมี ลทนิ เหลา่ นน้ั จงึ ไมต่ รัสถึงความเปน็ สมณะเพียงทรงผ้าสงั ฆาฏิ เป็นตน้ ๕. ทรงแสดงถึงภิกษุผู้ปฏิบัติข้อปฏิบัติชอบของสมณะ คือละมลทิน (ทั้งสิบสอง อย่าง) ได้ พิจารณาเห็นตนบริสุทธ์ิ พ้นจากอกุศลบาปธรรมท้ังหลาย จึงเกิดปราโมทย์ปีติ มีกายระงับ เสวยสุข มีจิตต้ังม่ัน แผ่จิตอันประกอบด้วยพรหมวิหาร ๔ หาประมาณมิได้ไปยัง โลกทั้งสิ้น ทุกทิศทาง เปรียบเหมือนสระน�้ำใส เย็นสนิท มีท่าเป็นท่ีลงอาบอันน่าร่ืนรมย์ คน เดินทางมาแต่ ๔ ทิศ ถูกความร้อนเผา ล�ำบาก อยากน้�ำ ระหายน้�ำ มาถึงสระนั้น ก็จะน�ำ ความระหายน�้ำ ความกระวนกระวายเพราะความร้อนออกเสียได้ บุคคลออกบวชจาก สกลุ กษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู ร มาถงึ พระธรรมวนิ ยั ทพี่ ระตถาคตประกาศแลว้ เจรญิ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ย่อมได้ความสงบระงับภายใน ผู้เช่นนี้ ตรัสว่า ปฏิบัติข้อปฏิบัติ อนั ชอบของสมณะ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 572 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค 573 ๖. ผู้ท่ีออกบวชจากสกุลกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ท�ำให้แจ้งเจโตวิมุติ ัมช ิฌม ินกาย (ความหลุดพ้นเพราะสมาธิ) ปัญญาวิมุติ (ความหลุดพ้นเพราะปัญญา) อันไม่มีอาสวะอยู่ใน ปจั จุบนั ตรัสวา่ เปน็ สมณะเพราะส้นิ อาสวะ จฬู ยมกวรรค คอื วรรคท่ีมสี ตู รคู่ขนาดเล็ก มี ๑๐ สูตร ๔๑. สาเลยยกสูตร (สูตรวา่ ด้วยพราหมณค์ ฤหบดชี าวบา้ นสาละ) ๑. พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล เสด็จแวะพัก ณ หมู่บ้านพราหมณ์ ชื่อสาละ พวกพราหมณ์คฤหบดีชาวบ้านสาละ (สาเลยยกะ) ได้ยินกิตติศัพท์ ก็พากันไปเฝ้า กราบทูลถามถึงเหตุปัจจัย ท่ีท�ำให้สัตว์บางพวกตายแล้วเข้าถึงอบาย ทุคคติ วินิบาต นรก และสัตว์บางพวกตายแล้ว เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ตรัสตอบว่า พวกท่ีเข้าถึงอบาย ทุคคติ วินิบาต นรก เพราะประพฤติอธรรม เพราะประพฤติไม่สม�่ำเสมอ ส่วนพวกท่ีเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ เพราะประพฤตธิ รรม เพราะประพฤตสิ มำ่� เสมอ ๒. ทรงขยายความแห่งค�ำว่า ประพฤติอธรรม ประพฤติไม่สม่�ำเสมอ โดยแจก ออกเป็นทางกาย ๓ ทางวาจา ๔ ทางใจ ๓ (ทุจจริต ๓ ซ่ึงแจกออกเป็น ๑๐ อย่าง เรียก อกศุ ลกรรมบถ หรอื ทางแห่งอกศุ ล) ซง่ึ เป็นเหตุใหเ้ ขา้ ถึงอบาย ทคุ คติ วนิ ิบาต นรก ๓. ทรงขยายความแห่งค�ำว่า ประพฤติธรรม ประพฤติสม่�ำเสมอ โดยแยกออกเป็น ทางกาย ๓ ทางวาจา ๔ ทางใจ ๓ (สุจริต ๓ ซ่ึงแจกออกเป็น ๑๐ อย่าง เรียกกุศลกรรมบถ หรือทางแห่งกศุ ล) ซง่ึ เปน็ เหตใุ หเ้ ข้าถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค์ ๔. ทรงแสดงว่า ผูป้ ระพฤติธรรม ประพฤตสิ ม�่ำเสมอ หวงั จะเขา้ ถงึ ฐานะใด ๆ ไดแ้ ก่ กษัตริย์มหาศาล พราหมณมหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทพช้ันจาตุมมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามะ ช้ันดุสิต ช้ันนิมมานรดี ช้ันปรนิมมิตวสวัตตี ช้ันพรหม เทพพวกอาภะ (มีแสงสว่าง) พวกปริตตาภะ พวกอัปปมาณาภะ พวกอาภัสสระ พวกปริตตสุภะ อัปปมาณสุภะ พวก สุภกิณหกะ พวกเวหัปผละ พวกอวิหะ พวกอตัปปะ พวกสุทัสสะ พวกสุทัสสี พวกอกนิฏฐกะ พวกอากาสานัญจายตนะ พวกวิญญาณัญจายตนะ พวกอากิญจัญญายตนะ พวกเนวสัญญา นาสัญญายตนะ หรือหวังท�ำให้แจ้งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะอยู่ในปัจจุบัน ก็มี ฐานะทเี่ ปน็ ไปได้ เพราะผู้น้ันประพฤตธิ รรม ประพฤติสม�ำ่ เสมอ พราหมณ์คฤหบดีชาวบ้านสาละ เลื่อมใสพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสกถึง พระรัตนตรยั เป็นสรณะตลอดชวี ิต PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 573 5/4/18 2:25 PM
574 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (หมายเหตุ : ในพระสูตรนี้ มปี ญั หาเร่ืองศัพท์อยหู่ ลายแห่ง (๑) คำ� วา่ สจุ รติ ทุจจรติ กุศลกรรมบถ อกุศลกรรมบถ แจกออกเป็นอะไรบ้าง ควรดูหนังสือนวโกวาท หน้า ๓๒ ๕๙ และ ๖๐ (๒) ค�ำว่า มหาศาลท่ีน�ำมาต่อท้ายกษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี หมายความว่ามี ทรัพย์มาก (๓) เทพชั้นจาตุมมหาราช ถึงชั้นปรนิมมิตวสวัตตี รวม ๖ ช้ัน เรียกว่าสวรรค์ ช้ันกามาวจร คือยังอยู่ในช้ันกาม ควรดูค�ำอธิบายในหนังสือธรรมวิภาค ปริจเฉทท่ี ๒ หนา้ ๗๙ หนงั สือที่อ้างท้งั สองเล่ม โปรดดใู นภาค ๕ ดว้ ย ส่วนล�ำดับเทพช้ันพรหมท่ีกล่าวถึงในที่น้ี ต่างจากที่กล่าวไว้ในท่ีอื่นเล็กน้อย เพ่ือ สะดวกแก่การเทียบเคียง ขอกล่าวถึงเทพช้ันพรหมที่ปรากฏในค�ำอธิบายของอรรถกถาท่ัวไป คอื ชนั้ รูปพรหม (พรหมมีรปู ) มี ๑๖ ช้ัน คอื ๑. พรหมปาริสชั ชะ (๓ พวกนีเ้ ป็นพวกได้ฌานท่ี ๑) ๒. พรหมปโุ รหติ ๓. มหาพรหม ๔. ปรติ ตาภะ ๕. อัปปมาณาภะ (๓ พวกน้ีเป็นพวกได้ฌานท่ี ๒ และที่ ๓) ๖. อาภสั สระ ๗. ปริตตสภุ ะ ๘. อัปปมาณสภุ ะ (๓ พวกนเ้ี ป็นพวกได้ฌานที่ ๔) ๙. สุภกิณหะ ๑๐. เวหัปผละ (พวกนี้บ�ำเพ็ญฌานที่ ๕ ฌานนี้แยกออกไปจากฌานที่ ๔ จัดตามวิธี ของอภิธรรม) ๑๑. อสัญญีสัตว์ (เป็นพรหมท่ีมาจากพวกเดียรถีย์ ท่ีบ�ำเพ็ญฌานท่ี ๕ น่ันแหละ แต่ หน่ายหรือรงั เกยี จจิตใจ จงึ เปน็ พวกมแี ตร่ ูป ไมม่ นี าม) ๑๒. อวิหะ ๑๓. อตปั ปะ (๕ ประเภทน้ีเป็นชั้นสุทธาวาส เป็นที่อยู่โดยเฉพาะของ ๑๔. สุทสั สะ พระอนาคามี คอื พระอรยิ บคุ คลรองลงมาจากพระอรหนั ต)์ ๑๕. สุทสั สี ๑๖. อกนิฏฐะ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 574 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค 575 สว่ นอรูปพรหม (พรหมไม่มีรูป) ๔ ช้นั คือ ัมช ิฌม ินกาย ๑. อากาสานัญจายตนะ ๒. วิญญาณญั จายตนะ ๓. อากิญจญั ญายตนะ ๔. เนวสัญญานาสญั ญายตนะ รวมทั้งรูปพรหมและอรูปพรหมจึงเป็น ๒๑ ชั้น แต่ในพระสูตรน้ี ค�ำว่าชั้นพรหม อรรถกถาอธิบายว่า หมายถึงพรหม ๓ ประเภทแรกท่ีได้ปฐมฌาน ค�ำว่า เทพพวกอาภะ (มีแสงสว่าง) อรรถกถาว่า มิได้หมายความถึงเทพหรือพรหมพวกอื่น หากหมายถึงเทพหรือ พรหมอีก ๓ ประเภทถัดไป คือ ปริตตาภะ อัปปมาณาภะ อาภัสสระ จึงเท่ากับพวกอาภะ เป็นการกล่าวรวม ๆ ส่วนปริตตาภะถึงอาภัสสระเป็นการขยายความ ในพระสูตรนี้ไม่กล่าวถึง อสัญญีสัตว์ เพราะแม้จะเป็นเทพชั้นพรหม แต่ทางพระพุทธศาสนาไม่ยกย่อง จึงเป็นอันว่า เมื่ออธิบายแล้วก็เข้ากันได้กับล�ำดับในที่อื่น การแสดงหลักฐาน เพื่อประดับความรู้ในที่น้ี เพียงขั้นต�ำรา ไม่ใช่ขั้นวิจาร ว่ามีจริงหรือไม่ หรือจะถอดความอย่างไร เพราะจะต้องใช้ หน้ากระดาษมาก และได้เขียนวิจารไว้บ้างแล้วในหนังสือเล่มอ่ืน เช่น คุณลักษณะพิเศษ แหง่ พระพทุ ธศาสนา) ๔๒. เวรญั ชกสูตร (สูตรวา่ ดว้ ยพราหมณค์ ฤหบดชี าวเมืองเวรญั ชา) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ตรัสตอบปัญหาของพราหมณ์คฤหบดี ชาวเมืองเวรัญชาที่มาถามเช่นเดียวกับสาเลยยกสูตร จึงตรัสตอบเช่นเดียวกับสาเลยยกสูตร ผลของการแสดงธรรม พราหมณ์คฤหบดีพวกน้ันเลื่อมใสพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็น อบุ าสกถงึ พระรตั นตรัยเป็นสรณะตลอดชีวติ ๔๓. มหาเวทลั ลสูตร (สตู รว่าดว้ ยเวทัลละคือการโตต้ อบด้วยใชค้ วามรู้ สตู รใหญ่) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม พระมหาโกฏฐิตะไปหาพระสาริบุตรถาม ปัญหาตา่ ง ๆ ซงึ่ พระสาริบตุ รกไ็ ดต้ อบชแ้ี จงดงั ต่อไปน้ี ๑. ความหมายของคำ� วา่ ผ้มู ปี ญั ญาทราม คอื ผูไ้ ม่รู้อรยิ สัจจ์ ๔ ตามเปน็ จรงิ ๒. ความหมายของค�ำว่า ผมู้ ีปัญญา คอื ผรู้ ้อู รยิ สัจจ์ ๔ ตามเปน็ จรงิ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 575 5/4/18 2:25 PM
576 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๓. ความหมายของคำ� วา่ วิญญาณ คอื รู้แจง้ ได้แก่รู้แจ้งสขุ ทุกข์ ไม่ทกุ ขไ์ มส่ ุข ๔. ปัญญา กับ วิญญาณ ปนกันหรอื แยกกนั ตอบว่า เปน็ ธรรมปนกนั ยากที่จะแยกบญั ญตั ทิ �ำให้ตา่ งกันได้ ๕. ปัญญา กับ วญิ ญาณ ปนกัน จะต่างกันอย่างไร ตอบว่า ปัญญาควรเจริญ (ทำ� ใหเ้ กดิ ม)ี สว่ นวญิ ญาณควรก�ำหนดรู้ (ปริญเญยยะ) ๖. ทเ่ี รยี กว่าเวทนา เพราะเสวยสขุ บา้ ง ทกุ ข์บา้ ง ไม่ทกุ ขไ์ ม่สขุ บ้าง ๗. ที่เรยี กวา่ สัญญา เพราะจำ� ได้ เช่น จำ� สีเขียว เหลอื ง แดง ขาวได้ ๘. เวทนา สญั ญา วญิ ญาณ ปนกนั หรอื แยกกนั ตอบว่า เปน็ ธรรมปนกัน ยากท่ีจะแยกบญั ญัตทิ ำ� ให้ต่างกนั ได้ เพราะเสวยรู้สึก สง่ิ ใดกจ็ ำ� สงิ่ นนั้ ได้ จำ� สงิ่ ใดไดก้ ร็ แู้ จง้ สง่ิ นน้ั จงึ แยกบญั ญตั ทิ ำ� ใหต้ า่ งกนั ไมไ่ ด้ ๙. มโนวิญญาณ๑ อันบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวกับอินทรีย์ ๕ (ไม่ปนกับเร่ืองของตา หู จมูก ลิน้ กาย) พงึ ร้อู ะไรได้ ตอบว่า พงึ รอู้ ากาสานญั จายตนะไดว้ า่ อากาศหาทสี่ ดุ มไิ ด ้ พงึ รวู้ ญิ ญาณญั จายตนะ ได้ว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ พึงรู้อากิญจัญญายตนะได้ว่า สิ่งใด ส่ิงหน่ึงไม่มี ถามวา่ บคุ คลย่อมรธู้ รรมทค่ี วรรไู้ ดด้ ้วยอะไร ตอบวา่ ด้วยปัญญาจักษุ (ดวงตาคอื ปัญญา) ถามวา่ ปัญญามีอะไรเป็นประโยชน์ ตอบว่า มีการรูย้ ิง่ การก�ำหนดรู้ การละเปน็ ประโยชน์ ๑๐. ปัจจัยในการเกิดข้ึนแห่งสัมมาทฏิ ฐมิ ีก่ีอยา่ ง ตอบวา่ มี ๒ อย่าง คอื การประกาศของผอู้ ื่น กับการทำ� ไวใ้ นใจโดยแยบคาย ๑ มโนวิญญาณอันบริสุทธ์ิ ในท่ีนี้ อรรถกถาแก้ว่า ได้แก่จิต ในรูปาวจรจตุตถฌาน (ฌานที่ ๔ อันท่องเท่ียวในรูป คอื ยงั มรี ูปเป็นอารมณ)์ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 576 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค 577 ถามว่า สัมมาทิฏฐิ อันองค์ (ประกอบ) เท่าไรอนุเคราะห์ จึงมีเจโตวิมุติ ัมช ิฌม ินกาย ปัญญาวิมุติเปน็ ผล เปน็ อานสิ งส์ ตอบว่า องค์ ๕ คอื ศลี การสดบั ฟงั การสนทนา สมถะ (ความสงบระงับ) และ วิปัสสนา (ความเห็นแจ้ง) ๑๑. ภพมีเท่าไร ตอบวา่ มี ๓ คอื กามภพ รปู ภพ อรูปภพ ถามวา่ การเกดิ ในภพอีกตอ่ ไปนน้ั มีไดอ้ ย่างไร ตอบว่า มีได้เพราะความยินดีในภพนั้น ๆ ของสัตว์ ผู้มีอวิชชาเป็นนีวรณ์ (เครอ่ื งก้ัน) มีตณั หาเปน็ สญั โญชน์ (เครอื่ งผูกมดั ) ถามวา่ การเกดิ ในภพอีกต่อไปจะไมม่ ีไดอ้ ย่างไร ตอบว่า ไมม่ ไี ดเ้ พราะคลายอวชิ ชา (ความไมร่ )ู้ เพราะเกดิ วชิ ชา (ความร)ู้ เพราะ ดบั ตัณหาเสยี ได้ ๑๒. ฌานที่ ๑ เปน็ อยา่ งไร ตอบว่า ภิกษุสงดั จากกาม สงดั จากอกุศลธรรม เขา้ ฌานที่ ๑ อันมีวติ ก (ความ ตรึก) วิจาร (ความตรอง) มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก (ความสงัด) ฌานที่ ๑ มีองค์ ๕ คือ วติ ก วิจาร ปตี ิ (ความอ่ิมใจ) สุข และเอกัคคตา (ความเปน็ ผู้มีอารมณเ์ ปน็ หน่งึ ) ฌานที่ ๑ ละองค์ ๕ ได้ ประกอบด้วย องค์ ๕ ละองค์ ๕ คอื ละนวี รณ์ ๕ ประกอบดว้ ยองค์ ๕ คอื มวี ติ ก เปน็ ตน้ ๑๓. อินทรีย์ ๕ คือ ตา หู จมกู ลนิ้ กาย มอี ารมณ์ตา่ งกัน มีทีเ่ ที่ยวไปตา่ งกัน ไม่เสวย อารมณใ์ นทเ่ี ทย่ี วไปของกนั และกนั (เชน่ ตาฟงั เสยี งไมไ่ ด้ หเู หน็ รปู ไมไ่ ด)้ อะไรเลา่ เปน็ ท่ีอาศยั และเปน็ ตวั เสวยอารมณ์ในทเ่ี ทยี่ วไปของอนิ ทรีย์ ๕ เหล่าน้ัน ตอบวา่ ใจ (มโน) ๑๔. อินทรยี ์ ๕ อาศยั อะไรตงั้ อยู่ ตอบว่า อาศยั อายุ ถามวา่ อายอุ าศยั อะไร ตอบว่า อาศัยไออุ่น ถามวา่ ไออุ่นอาศัยอะไร ตอบว่า อาศัยอายุ อายุอาศัยไออุ่น ไออุ่นอาศัยอายุ เปรียบเหมือนแสงสว่าง อาศยั เปลวไฟจึงปรากฏ เปลวไฟอาศยั แสงสวา่ งจงึ ปรากฏ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 577 5/4/18 2:25 PM
578 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ถามว่า อายุสังขาร (ธรรมท่ีปรุงแต่งคืออายุ) กับเวทนียธรรม (ธรรมท่ีพึงรู้สึก ได้)๑ เป็นอันเดียวกัน หรืออนื่ จากกัน ตอบว่า ไมเ่ ปน็ อนั เดียวกัน ถา้ เปน็ อันเดยี วกัน การออก (จากสมาบัต)ิ ของภิกษุ ผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ (สมาบัติอันดับสัญญาและเวทนา) ก็ไม่พึง ปรากฏ แต่เพราะเปน็ ส่ิงอื่นจากกนั จงึ ปรากฏได้ ๑๕. ธรรมก่อี ยา่ งละกาย กายจึงนอนเหมอื นท่อนไม้ไร้เจตนา ตอบวา่ ธรรม ๓ อยา่ ง คือ อายุ ไออ่นุ วิญญาณ ถามวา่ คนตายกับภกิ ษผุ ู้เขา้ สัญญาเวทยติ นิโรธต่างกนั อย่างไร ตอบวา่ คนตายสิง่ ที่ปรุงกาย วาจา จิตดบั อายุสนิ้ ไออ่นุ ดับ (วูปสนั ตะ = สงบ ระงับ) และอนิ ทรียแ์ ตก (ตา หู เป็นตน้ ใชก้ ารไม่ได)้ สว่ นภิกษผุ ู้เขา้ สัญญาเวทยติ นิโรธ สงิ่ ทป่ี รงุ กาย วาจา จิตดับ แต่อายยุ ังไม่สน้ิ ไออนุ่ ยังไมด่ ับ อินทรียย์ ังผอ่ งใส ๑๖. ปจั จยั แห่งการเข้าเจโตวมิ ตุ ๒ิ อันไม่มที กุ ข์ ไม่มสี ุขนน้ั มกี ี่อยา่ ง ตอบว่า มี ๔ อยา่ ง คือเพราะละสขุ กาย ทกุ ขก์ าย เพราะสุขใจ ทุกขใ์ จดับ ภกิ ษุ จึงเข้าฌานที่ ๔ อนั ไมม่ สี ุข ไม่มที ุกข์ มีแต่ความบริสุทธ์แิ ห่งสตอิ ันเกดิ จากอุเบกขา ถามว่า ปัจจัยแห่ง ”การเข้า„ เจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต (เคร่ืองก�ำหนดหมาย) มีกีอ่ ย่าง ตอบวา่ มี ๒ อย่าง คือการไมใ่ ส่ใจนิมิตทัง้ ปวง และการใส่ใจธาตุอนั ไม่มีนิมติ ถามว่า ปัจจัยแหง่ ”การตงั้ อย„ู่ ในเจโตวมิ ตุ ิอนั ไมม่ ีนิมติ มีกี่อย่าง ตอบวา่ มี ๓ อย่าง คือการไม่ใส่ใจนิมิตท้ังปวง การใส่ใจธาตุอันไม่มีนิมิต และการปรุงแต่งในกาลก่อน (ปุพฺเพ อภิสงฺขาโร น่าจะหมายความว่า ตงั้ ใจไว้ก่อนว่าจะอยใู่ นสมาธินน้ั นานเทา่ ไร) ถามว่า ปัจจยั แหง่ ”การออก„ จากเจโตวิมตุ อิ ันไมม่ ีนมิ ติ มีก่อี ย่าง ตอบวา่ มี ๒ อย่าง คอื การใสใ่ จนมิ ติ ทง้ั ปวง และการไม่ใส่ใจธาตทุ ี่ไม่มนี มิ ิต ๑ อรรถกถาแกว้ า่ อายสุ ังขาร ก็คืออายนุ ัน่ เอง สว่ นเวทนียธรรม ไดแ้ ก่เวทนา คือความรูส้ กึ อารมณ์เป็นสขุ เป็นทกุ ข์ ๒ ไม่ทุกขไ์ ม่สุข คือหลุดพ้นจากกเิ ลสดว้ ยอำ� นาจสมาธิ เจโตวิมุติ ความหลดุ พ้นเพราะสมาธิ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 578 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค 579 ๑๗. เจโตวิมุติอันไม่มีประมาณ เจโตวิมุติอันมีความไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ เจโตวิมุติ ัมช ิฌม ินกาย อันมีความสูญเป็นอารมณ์ และเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มีอรรถะและพยัญชนะ ตา่ งกัน หรอื เหมือนกัน ตอบวา่ มีปริยายที่ธรรมเหล่านี้อาศัยแล้วมีอรรถะและพยัญชนะต่างกัน มีอรรถะอันเดียวกนั มีพยญั ชนะตา่ งกัน คอื เจโตวิมุติอันไม่มีประมาณ ได้แก่การท่ีภิกษุมีจิตประกอบด้วย พรหมวิหาร ๔ มีเมตตา เป็นต้น อันไม่มีประมาณ ไม่มีเวร แผ่ไปยัง โลกท้ังปวง ทุกทิศ เจโตวิมุติอันมีความไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ ได้แก่การที่ภิกษุ ก้าวล่วง (อรูปฌาณชื่อ) วิญญาณัญจายตนะ เข้าสู่ (อรูปฌานช่ือ) อากญิ จัญญายตนะ เจโตวิมุติอันมีความสูญเป็นอารมณ์ ได้แก่การที่ภิกษุไปสู่ป่าก็ตาม สู่โคนไม้ก็ตาม สู่เรือนว่างเปล่าก็ตาม พิจารณาว่าสิ่งน้ีสูญจากตัวตน หรอื จากสงิ่ ท่เี น่ืองด้วยตวั ตน เจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต ได้แก่การที่ภิกษุเข้าเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต (เครื่องกำ� หนดหมาย) เพราะไมใ่ สใ่ จนมิ ติ ท้ังปวง น้ีเป็นปริยายที่ธรรมเหล่าน้ีอาศัยแล้ว มีอรรถะและพยัญชนะต่างกัน ส่วนปริยายท่ี ธรรมเหลา่ น้ีอาศยั แล้ว มีอรรถะอันเดยี วกนั มพี ยญั ชนะต่างกัน คอื ราคะ โทสะ โมหะ ชอ่ื ว่าเป็นเครือ่ งท�ำให้ ”มีประมาณ„ ภกิ ษุผเู้ ปน็ พระขณี าสพ ละราคะ โทสะ โมหะ ได้เด็ดขาดแล้ว บรรดาเจโตวิมุติที่ ”ไม่มีประมาณ„ ท้ังหลาย เจโตวิมุติที่ไม่ก�ำเริบ เปน็ ยอด เจโตวิมุติท่ีไมก่ �ำเรบิ นนั้ แหละสูญ คือวา่ งจากราคะ โทสะ โมหะ ราคะ โทสะ โมหะ ชื่อว่าเป็น ”กิญจนะ„ คือกิเลสเครือ่ งกังวล๑ ภิกษผุ เู้ ป็นพระขีณาสพ ละราคะ โทสะ โมหะ ไดเ้ ดด็ ขาดแล้ว บรรดาเจโตวิมุตทิ ่ี ”ไม่มีกิญจนะ„ ท้งั หลาย เจโตวิมตุ ิที่ไม่ ก�ำเรบิ เปน็ ยอด เจโตวมิ ตุ ทิ ีไ่ ม่กำ� เริบนั้นแหละเปน็ สญู คือวา่ งจากราคะ โทสะ โมหะ ๑ โดยปกติ ค�ำวา่ อากิญจัญญายตนะ อนั เป็นชือ่ ของอรูปฌานท่ี ๓ แปลว่า มคี วามไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ แต่ในที่นี้ ค�ำว่า ไม่มีอะไรน้ัน อาจแปลได้ว่า ไม่มีกิเลสเครื่องกังวลได้ด้วย เป็นการอธิบาย เพ่ือให้อรรถะ คือเนื้อความ ลงรอยเดยี วกนั PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 579 5/4/18 2:25 PM
580 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ราคะ โทสะ โมหะ ชอ่ื วา่ เปน็ เครอ่ื งกระทำ� ให้ ”มนี มิ ติ „ ภกิ ษผุ เู้ ปน็ พระขณี าสพ ละราคะ โทสะ โมหะ ได้เด็ดขาดแล้ว บรรดาเจโตวิมุติที่ ”ไม่มีนิมิต„ ท้ังหลาย เจโตวิมุติท่ีไม่ก�ำเริบ เป็นยอด เจโตวมิ ุติที่ไม่กำ� เริบนน้ั แหละสูญ คือวา่ งจากราคะ โทสะ โมหะ น้ีคอื ปรยิ ายทีธ่ รรมเหลา่ นน้ั อาศัยแล้ว มอี รรถะเปน็ อันเดยี วกัน มพี ยัญชนะต่างกัน พระมหาโกฏฐิตะก็ชน่ื ชมภาษติ ของพระสารบิ ตุ รเถระ (หมายเหตุ : สูตรนี้เป็นหลักวิชาอย่างส�ำคัญ จึงย่อไว้ค่อนข้างพิสดาร ในกรณีท่ี อธิบายวิญญาณว่า รู้แจ้งสุข ทุกข์ ไม่ทุกข์ไม่สุขนั้น นับว่าแปลกกว่าท่ีอ่ืน ซ่ึงอธิบาย วิญญาณว่า รแู้ จง้ อารมณท์ างตา หู เป็นต้น แตถ่ า้ ดูในธาตุวภิ งั คสตู ร ในพระไตรปฎิ ก เล่ม ๑๔ ซง่ึ จะกลา่ วข้างหน้า กจ็ ะเหน็ วา่ มีเคา้ อนั เดยี วกนั ) ๔๔. จฬู เวทัลลสตู ร (สูตรว่าด้วยเวทลั ละคือการโตต้ อบดว้ ยใชค้ วามรู้ สูตรเลก็ ) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เวฬุวนาราม ใกล้กรุงราชคฤห์ วิสาขอุบาสก (ผู้เป็น อดีตสามี) เข้าไปหานางธัมมทินนาภิกษุณี (ผู้เป็นอดีตภริยา) ต้ังค�ำถามต่าง ๆ ซ่ึงนางธัมมทินนา ภกิ ษณุ ีกต็ อบชแี้ จงดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. ค�ำว่า สักกายะ (กายของตน) คืออะไร ตอบว่า ขันธ์ ๕ ทค่ี นยึดถือ คอื รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ พระผู้มี พระภาคตรสั ว่า กายของตน ถามวา่ เหตุใหเ้ กดิ กายของตนคืออะไร ตอบว่า ตัณหา ความทะยานอยาก คือทะยานอยากในกาม ในความมี ความเปน็ ในความไมม่ ไี มเ่ ป็น ถามว่า ความดับแหง่ กายของตนคืออะไร ตอบวา่ คอื การดับตณั หาโดยไม่เหลอื ถามวา่ ขอ้ ปฏบิ ัตใิ หถ้ งึ ความดับกายของตนคืออะไร ตอบว่า มรรคมีองค์ ๘ อันประเสรฐิ มคี วามเหน็ ชอบ เป็นตน้ ถามว่า อปุ าทาน (ความยดึ มนั่ ถอื มน่ั ) กบั อปุ าทานขนั ธ์ ๕ (ขนั ธ์ ๕ ทคี่ นยดึ ถอื ) เป็นอนั เดียวกัน หรอื ว่าอุปาทานอนื่ จากอปุ าทานขันธ์ ๕ ตอบว่า อปุ าทาน กบั อปุ าทานขันธ์ ๕ มใิ ช่เปน็ อันเดยี วกนั แตอ่ ุปาทานกไ็ มอ่ น่ื ไปจากอุปาทานขันธ์ ๕ คือความก�ำหนัดด้วยความพอใจในอุปาทาน ขันธ์ ๕ อนั ใด อนั นั้นคอื อุปาทาน PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 580 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค 581 ๒. สักกายทฏิ ฐิ (ความเหน็ ทย่ี ดึ ในกายของตน) เปน็ อยา่ งไร ัมช ิฌม ินกาย ตอบว่า บุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไมไ่ ดร้ ับแนะน�ำในธรรมของพระอรยิ ะ ไม่เห็นสัตบุรษุ (คนด)ี ไม่ฉลาด ในธรรมของสัตบุรษุ ไม่ไดร้ บั แนะน�ำในธรรมของสตั บรุ ุษ ย่อมเห็นรปู เป็นตน เห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน เห็นตนในรูป (เห็นเวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ เช่นเดียวกัน จึงรวมเปน็ ๔ x ๕ = ๒๐ ขอ้ ) ถามวา่ สักกายทฏิ ฐจิ ะไมม่ ีไดอ้ ยา่ งไร ตอบว่า อรยิ สาวกผไู้ ด้สดบั ที่ตรงกันขา้ มกับบุถชุ น และไม่เห็นอยา่ งน้ัน ๓. อริยมรรคมีองค์ ๘ คอื อะไร ตอบวา่ มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ เป็นตน้ ถามว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นสังขตะ (ปัจจัยปรุงแต่ง) หรือเป็นอสังขตะ (ปจั จยั มไิ ด้ปรงุ แตง่ ) ตอบว่า เปน็ สงั ขตะ ถามวา่ ขันธ์๑ ๓ สงเคราะห์เข้าด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็แต่ว่าอริยมรรคมี องค์ ๘ สงเคราะห์เข้าดว้ ยขันธ์ ๓ ตอบวา่ ขันธ์ ๓ ไม่สงเคราะห์เข้าด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็แต่ว่าอริยมรรคมี องค์ ๘ สงเคราะห์เข้าด้วยขนั ธ์ ๓ คือ การเจรจาชอบ การกระท�ำชอบ การเล้ียงชีวิตชอบ สงเคราะห์เข้าด้วย ศีลขันธ์ (กองศลี ) พยายามชอบ ตั้งสติชอบ ต้ังใจม่ันชอบ สงเคราะห์เข้าด้วยสมาธิขันธ์ (กองสมาธิ) เหน็ ชอบ ดำ� รชิ อบ สงเคราะหเ์ ข้าด้วยปญั ญาขันธ์ (กองปัญญา) ถามวา่ สมาธิ สมาธนิ มิ ติ (เครอ่ื งกำ� หนดหมายของสมาธ)ิ สมาธปิ รกิ ขาร (เครอ่ื ง ประกอบของสมาธิ) และสมาธิภาวนา (การเจริญหรืออบรมสมาธิ) คอื อะไร ตอบวา่ ความท่จี ิตมอี ารมณ์เปน็ หนึ่ง คือ สมาธิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ คอื สมาธินมิ ิต ๑ ขนั ธ์ ๓ คือ สีลขนั ธ์ กองศีล สมาธิขันธ์ กองสมาธิ และปัญญาขันธ์ กองปัญญา PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 581 5/4/18 2:25 PM
582 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สัมมัปปธาน ๔ (ความเพียรชอบ) คือ สมาธปิ ริกขาร และ การเสพ การทำ� ใหม้ าก ซงึ่ ธรรมเหลา่ นน้ั (ทง้ั สตปิ ฏั ฐาน และสมั มปั ปธาน) คือ สมาธภิ าวนา ๔. สงั ขาร ๓ คอื กายสงั ขาร (เครอื่ งปรงุ กาย) วจสี งั ขาร (เครอื่ งปรงุ วาจา) จติ ตสงั ขาร (เครอ่ื งปรุงจิต) คืออะไร ตอบว่า ลมหายใจเข้าออก เป็นกายสังขาร ความตรกึ ความตรอง (วติ ก วจิ าร) เปน็ วจีสังขาร ความจำ� ได้หมายรู้ และ ความรสู้ กึ อารมณ์ (สญั ญา เวทนา) เปน็ จติ ตสงั ขาร ถามวา่ เพราะเหตไุ รจงึ เปน็ เช่นนัน้ ตอบวา่ เพราะลมหายใจเข้าออก เป็นไปทางกาย เนื่องด้วยกาย จึงเป็นเคร่ือง ปรุงกาย คนตรึกแล้ว ตรองแล้วก่อน จึงเปล่งวาจา ความตรึก ความตรอง จึงเป็นเครื่องปรุงวาจา สัญญา เวทนา เป็นไปทางจิต เนือ่ งด้วยจติ จงึ เป็นเครอื่ งปรงุ จติ ๕. การเขา้ สญั ญาเวทยติ นโิ รธสมาบตั ิ (สมาบตั อิ นั ดบั สญั ญาและเวทนา) เปน็ อยา่ งไร ตอบว่า ภิกษผุ ู้เข้าสญั ญาเวทยติ นิโรธสมาบัติ ไม่ต้องคิดว่า เราจักเข้า เราก�ำลัง เข้า หรือเราเข้าแล้ว สู่สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เป็นแต่ว่าอบรมจิต เช่นนั้นไวก้ อ่ นนอ้ มจติ ไปเพื่อความเปน็ เชน่ นัน้ ถามว่า ภกิ ษผุ เู้ ขา้ สัญญาเวทยติ นโิ รธสมาบัติ สังขารอะไรดับก่อน ตอบว่า วจสี ังขารดับก่อน ต่อจากน้นั กายสงั ขาร ต่อจากน้ันจติ ตสงั ขารจงึ ดบั ถามว่า การออกจากสญั ญาเวทยิตนโิ รธสมาบตั เิ ปน็ อยา่ งไร ตอบว่า ภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยติ นโิ รธสมาบตั ไิ ม่ต้องคดิ วา่ เราจกั ออก เรา กำ� ลงั ออก เราออกแลว้ จากสญั ญาเวทยติ นโิ รธสมาบตั ิ เปน็ แตว่ า่ อบรม จิตเช่นน้นั ไว้กอ่ นนอ้ มจติ เพ่ือความเปน็ เช่นนั้น ถามวา่ เมอ่ื ภกิ ษุออกจากสัญญาเวทยติ นโิ รธสมาบัติ สงั ขารอะไรเกดิ กอ่ น ตอบวา่ จิตตสังขารเกิดก่อน ต่อจากน้ันกายสงั ขาร ต่อจากนัน้ วจสี ังขารจึงเกิด PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 582 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค 583 ถามว่า ผัสสะอะไรบ้าง ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธ ัมช ิฌม ินกาย สมาบัติ ตอบวา่ ผัสสะ ๓ คือสุญญตผัสสะ (ความถูกต้องความสูญหรือความว่าง) อนิมิตตผัสสะ (ความถูกต้องที่ไม่มีนิมิตหรือเครื่องก�ำหนดหมาย) อัปปณิหติ ผสั สะ (ความถูกตอ้ งท่ไี ม่มที ตี่ ั้ง) ถามว่า จิตของภกิ ษุผูอ้ อกจากสญั ญาเวทยิตนิโรธสมาบตั นิ อ้ มโน้มไปหาอะไร ตอบว่า น้อมโนม้ ไปหาวิเวก (ความสงัด) ๖. เวทนา ๓ คือ สุข ทกุ ข์ ไม่ทุกข์ไม่สุข สขุ เวทนา คอื ความสุข ความส�ำราญ ท่ีเปน็ ไปทางกาย เป็นไปทางจิต ทกุ ขเวทนา คอื ความทกุ ข์ ความไมส่ ำ� ราญกไ็ มใ่ ช่ ทเ่ี ปน็ ไปทางกาย เปน็ ไปทางจติ อทุกขมสุขเวทนา คือความส�ำราญก็ไม่ใช่ ความไม่ส�ำราญก็ไม่ใช่ ที่เป็นไป ทางกาย เป็นไปทางจิต ถามว่า สขุ เวทนามีอะไรเปน็ สุข มีอะไรเป็นทกุ ข์ ตอบว่า สุขเวทนา มคี วามต้งั อย่เู ป็นสุข มคี วามแปรปรวนเปน็ ทุกข์ ทุกขเวทนา มีความต้งั อยูเ่ ป็นทุกข์ มคี วามแปรปรวนเป็นสุข อทกุ ขมสขุ เวทนา มคี วามรเู้ ป็นสุข มคี วามไมร่ เู้ ป็นทกุ ข์ ถามว่า อนสุ ยั อะไรแฝงตวั ตาม๑ เวทนาอะไร ตอบวา่ อนสุ ัยคือราคะ (ความกำ� หนดั ยินด)ี แฝงตวั ตามสุขเวทนา อนสุ ัยคอื ปฏิฆะ (ความขดั ใจ) แฝงตัวตามทุกขเวทนา อนุสยั คอื อวิชชา (ความไมร่ ู)้ แฝงตวั ตามอทกุ ขมสขุ เวทนา ถามวา่ อนสุ ัยดงั่ กลา่ วแฝงตวั ตามเวทนาดง่ั กลา่ วทง้ั หมดหรอื ตอบว่า ไมท่ ้งั หมด ถามวา่ อะไรพึงละไดด้ ว้ ยเวทนาอะไร ตอบว่า ราคานสุ ัย (อนุสัยคอื ความกำ� หนดั ยนิ ดี) พงึ ละได้ดว้ ยสุขเวทนา ปฏิฆานสุ ยั (อนุสยั คอื ความขดั ใจ) พึงละได้ด้วยทกุ ขเวทนา อวชิ ชานุสยั (อนสุ ยั คือความไมร่ ู้) พึงละได้ดว้ ยอทกุ ขมสขุ เวทนา ๑ อนุเสนฺติ นอนทับ อน่ึง ค�ำว่า อนุสัย หมายถึงกิเลสที่มีอยู่อย่างแฝงตัวคล้ายตะกอนก้นตุ่ม เม่ือมีอะไรมากวน จงึ ขุ่นข้ึนมา PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 583 5/4/18 2:25 PM
584 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ถามว่า อนสุ ยั ดงั กลา่ ว พึงละได้ดว้ ยเวทนาดงั กล่าวทั้งหมดหรอื ตอบว่า ไมท่ ้ังหมด (ค�ำว่า ทงั้ หมด ไมท่ ้งั หมด ใช้ประกอบค�ำว่า เวทนา) อธิบายว่า ภิกษุเข้าฌานท่ี ๑ ย่อมละราคะได้ด้วยฌานที่ ๑ น้ัน ราคานุสัยย่อมไม่แฝงตัวตามในฌานท่ี ๑ นั้น ภิกษุพิจารณาว่า ”เมื่อไรหนอ เราจะเข้าสู่อายตนะท่ีพระอริยเจ้าเข้าอยู่ได้„ ท�ำความ ปรารถนาให้เกิดในวิโมกข์อันยอดเยี่ยม ก็เกิดโทมนัส (ความเสียใจ) เพราะความปรารถนาน้ัน เธอย่อมละปฏิฆะได้ด้วยโทมนัสนั้น ปฏฆิ านสุ ยั ยอ่ มไมแ่ ฝงตวั ตามในโทมนสั นน้ั (ขอ้ ความตรงนี้ อรรถกถา อธิบายไว้ละเอียดดี ผู้ต้องการค้นคว้าละเอียด โปรดดูอรรถกถา ป.ส.ู ๒/๖๑๐) ภกิ ษเุ ข้าฌานท่ี ๔ ยอ่ มละอวชิ ชาไดด้ ้วยฌานที่ ๔ นั้น อวิชชานุสัยย่อมไม่แฝงตัวตามในฌานท่ี ๔ น้ัน (อรรถกถาชี้ฌานที่ ๑ ไปทอี่ นาคามมิ รรค ชฌ้ี านที่ ๔ ไปทอี่ รหัตตมรรค) ๗. อะไรมีส่วนเปรียบดว้ ยเวทนาอะไร ตอบว่า ราคะมสี ว่ นเปรียบด้วยสขุ เวทนา ปฏิฆะมสี ่วนเปรียบดว้ ยทุกขเวทนา อวิชชามสี ว่ นเปรยี บดว้ ยอทกุ ขมสขุ เวทนา ถามวา่ อะไรมีสว่ นเปรยี บดว้ ยอวิชชา ตอบว่า วชิ ชา (ความร้)ู ถามวา่ อะไรมีสว่ นเปรียบดว้ ยวิชชา ตอบวา่ วมิ ุติ (ความหลุดพน้ ) ถามว่า อะไรมสี ว่ นเปรียบดว้ ยวิมุติ ตอบวา่ นิพพาน ถามวา่ อะไรมีส่วนเปรยี บด้วยนิพพาน ตอบวา่ ท่านถามปัญหาเกิน (ก�ำหนด) ไป ไม่อาจจะจับที่สุดแห่งปัญหาได้ เพราะพรหมจรรยม์ นี พิ พานเป็นที่มุง่ หมาย มีนพิ พานเป็นท่สี ดุ ถา้ ทา่ น หวงั จะทราบ กพ็ งึ เขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาคกราบทลู ถามเถดิ จงทรงจำ� ไวต้ ามท่ีตรสั ตอบเถดิ (คำ� วา่ มสี ่วนเปรยี บ หมายทงั้ ส่วนเปรียบในทาง เดยี วกันและทัง้ ตรงข้าม) PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 584 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค 585 วิสาขอุบาสกไหว้นางธัมมทินนาภิกษุณีท�ำประทักษิณแล้วไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ัมช ิฌม ินกาย กราบทูลค�ำถามค�ำตอบให้ทรงทราบทุกประการ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า นางธัมมทินนา ภิกษุณีเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก ถ้าท่านจะถามเรา เราก็จะตอบอย่างท่ีนางธัมมทินนาภิกษุณี ตอบแลว้ ทา่ นจงทรงจ�ำเน้อื ความนนั้ ไว้เถิด ๔๕. จูฬธมั มสมาทานสูตร (สตู รว่าด้วยการสมาทานธรรมะ สตู รเล็ก) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ตรัสสอนภิกษุท้ังหลาย ถึงการสมาทาน ธรรมะ (รับธรรมะมาประพฤตปิ ฏบิ ตั )ิ ๔ ประการ คอื (๑) การสมาทานธรรมะทีม่ สี ุขในปจั จบุ ัน มีทกุ ขเ์ ปน็ วบิ าก (ผล) ต่อไป (๒) การสมาทานธรรมะที่มีทกุ ขใ์ นปจั จุบัน มีทุกข์เป็นวบิ ากต่อไป (๓) การสมาทานธรรมะท่ีมที ุกข์ในปจั จุบนั มสี ุขเปน็ วิบากตอ่ ไป (๔) การสมาทานธรรมะท่มี สี ุขในปจั จุบัน มีสขุ เป็นวบิ ากตอ่ ไป ๒. ตรสั ขยายความการสมาทานธรรมะทงั้ สข่ี อ้ นัน้ ดังนี้ ข้อ ๑ การสมาทานธรรมะที่มีสุขในปัจจุบัน มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป คือสมณ พราหมณบ์ างพวกมวี าทะ มคี วามเหน็ วา่ โทษในกามทงั้ หลายไมม่ ี จงึ ดมื่ ดำ�่ ในกามทั้งหลาย เม่ือตายไปก็เข้าถึงอบาย ทุคคติ วินิบาต นรก ได้รับ ทุกขเวทนา ข้อ ๒ การสมาทานธรรมะท่ีมีทุกข์ในปัจจุบัน มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป คือสมณ พราหมณ์บางพวกที่ประพฤติพรตทรมานกายต่าง ๆ เช่น เปลือยกาย เป็นตน้ จนถึงลงอาบน้�ำวันละ ๓ ครงั้ (มเี วลาเย็นเป็นครง้ั ท่ี ๓) เม่อื ตาย ไปกเ็ ข้าถงึ อบาย ทคุ คติ วนิ ิบาต นรก ข้อที่ ๓ การสมาทานธรรมะทมี่ ที กุ ขใ์ นปจั จบุ นั มสี ขุ เปน็ วบิ ากตอ่ ไป คอื บคุ คลบาง คนเปน็ คนมรี าคะกลา้ เสวยทกุ ขโ์ ทมนสั อนั เกดิ แตร่ าคะเนอื ง ๆ เปน็ คนมี โทสะกล้า เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนือง ๆ เป็นคนมีโมหะกล้า เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดเเต่โมหะเนือง ๆ ผู้นั้นอันความทุกข์โทมนัส ถูกต้องมนี �ำ้ ตานองหน้า ร้องไห้ ประพฤตพิ รหมจรรย์ เมอื่ ตายไปก็เขา้ ถึง สุคตโิ ลกสวรรค์ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 585 5/4/18 2:25 PM
586 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ขอ้ ที่ ๔ การสมาทานธรรมะที่มีสุขในปัจจุบัน มีสุขเป็นวิบากต่อไป คือบุคคลบาง คนไม่เป็นคนมีราคะ โทสะ โมหะกล้า ไมไ่ ด้เสวยทกุ ขโ์ ทมนัส อันเกิดแต่ ราคะ โทสะ โมหะ เนอื ง ๆ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เขา้ ฌาน ท่ี ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ท่ี ๔ เมอ่ื ตายไปกเ็ ขา้ ถงึ สุคตโิ ลกสวรรค์ ๔๖. มหาธัมมสมาทานสูตร (สูตรวา่ ดว้ ยการสมาทานธรรมะ สูตรใหญ)่ ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ตรัสถามภิกษุท้ังหลายว่า โดยมากสัตว์ ท้ังหลายมีความใคร่ ความพอใจ ความประสงค์ ให้สิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เส่ือมไป ให้ส่ิงที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจเจริญยิ่ง แต่ทั้งท่ีประสงค์อย่างนั้น ส่ิงท่ีไม่น่า ปรารถนา เป็นต้น ก็เจริญย่ิง ส่ิงที่น่าปรารถนา เป็นต้น ก็เสื่อมไป ท้ังนี้เพราะอะไร ภิกษุ ทงั้ หลายกราบทูลขอใหพ้ ระผ้มู ีพระภาคตรัสตอบเอง ๒. พระผ้มู พี ระภาคจงึ ตรสั ตอบวา่ บุถชุ นผูม้ ิได้สดบั ไม่รธู้ รรมท่คี วรเสพไมค่ วรเสพ ควรคบไม่ควรคบ เม่ือไม่รู้จึงเสพธรรมท่ีไม่ควรเสพ ไม่เสพธรรมท่ีควรเสพ คบธรรมท่ี ไมค่ วรคบ ไมค่ บธรรมที่ควรคบ เม่ือเป็นเชน่ น้ี สิ่งทไี่ มน่ ่าปรารถนา เปน็ ตน้ จงึ เจริญย่ิง สง่ิ ท่ีนา่ ปรารถนา เป็นต้น จึงเสื่อมไป ท้ังนี้เพราะการท�ำเช่นนั้น เป็นการกระท�ำของผู้ไม่รู้ (ผู้ไม่ฉลาด) ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับ รู้และท�ำในทางท่ีตรงกันข้ามจึงได้รับผลดี เพราะการท�ำเช่นน้ัน เป็นการกระท�ำของผรู้ ู้ (ผ้ฉู ลาด) ๓. ตรัสถงึ การสมาทานธรรมะ ๔ อยา่ ง ดั่งในสตู รก่อน เปน็ แต่เรยี งลำ� ดบั ใหม่ดังน้ี (๑) มที กุ ข์ในปัจจบุ นั มีทกุ ขเ์ ปน็ วิบากต่อไป (๒) มีสขุ ในปจั จบุ นั มที ุกข์เปน็ วิบากต่อไป (๓) มีทกุ ขใ์ นปจั จบุ ัน มีสขุ เปน็ วบิ ากตอ่ ไป (๔) มีสขุ ในปจั จบุ ัน มสี ุขเป็นวบิ ากตอ่ ไป ๔. ตรัสอธิบาย ในตอนแรกโดยชี้ความส�ำคัญไปที่ความไม่รู้หรือความรู้ ถ้าไม่รู้ การสมาทานธรรมะทั้งส่ีอย่างตามเป็นจริง ก็เป็นเหตุให้เสพส่ิงน้ัน ไม่เว้นส่ิงน้ัน (ในทางท่ีผิด) ท�ำให้ธรรมะที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจเจริญขึ้น ธรรมะท่ีน่าปรารถนา น่าใคร่ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 586 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค 587 น่าพอใจเส่ือมไป แล้วทรงแสดงว่า ถ้ารู้การสมาทานธรรมะท้ังสี่อย่างตามเป็นจริง ก็จะเป็นเหตุ ัมช ิฌม ินกาย ให้ไม่เสพส่ิงน้ัน (อันเป็นทางถูก) ท�ำให้ธรรมะท่ีไม่น่าปรารถนา เป็นต้น เสื่อมไป ธรรมะท่ีน่า ปรารถนา เป็นต้น เจริญขึ้น ๕. ตรสั อธบิ ายถึงการสมาทานธรรมะทัง้ สี่ข้อ ทลี ะขอ้ อีก โดยชว้ี า่ (๑) การสมาทานธรรมะทมี่ ที กุ ขใ์ นปจั จบุ นั มที กุ ขเ์ ปน็ วบิ ากตอ่ ไป คอื ประพฤตชิ ว่ั (อกุศลกรรมบถ ๑๐) อย่างมีทกุ ข์ (ไมส่ บายกาย) มโี ทมนัส (ไม่สบายใจ) เมอื่ ตายไปก็เขา้ ถึง อบาย ทุคคติ วินบิ าต นรก (๒) การสมาทานธรรมะท่ีมีสุขในปัจจุบัน มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป คือประพฤติชั่ว อย่างมสี ุข (สบายกาย) มโี สมนัส (สบายใจ) เมอื่ ตายไปกเ็ ข้าถึงอบายเป็นตน้ (๓) การสมาทานธรรมะท่ีมีทุกข์ในปัจจุบัน มีสุขเป็นวิบากต่อไป คือเว้นจาก ความชวั่ อยา่ งมที กุ ขโ์ ทมนสั เมอ่ื ตายไปกเ็ ขา้ ถึงสคุ ติโลกสวรรค์ (๔) การสมาทานธรรมะท่ีมีความสุขในปัจจุบัน มีสุขเป็นวิบากต่อไป คือเว้นจาก ความช่ัวอยา่ งมคี วามสขุ โสมนสั เมือ่ ตายไปก็เข้าถงึ สุคติโลกสวรรค์ ๖. ตรสั เปรยี บ ข้อที่ ๑ ดว้ ยกะโหลกนำ้� เตา้ ขมทร่ี ะคนยาพิษ ดื่มแล้วท�ำใหต้ ายหรอื ปางตาย ขอ้ ท่ี ๒ ดว้ ยขนั นำ�้ ดม่ื ทำ� ดว้ ยสำ� รดิ มสี กี ลน่ิ ดี แตร่ ะคนยาพษิ ดม่ื แลว้ ทำ� ใหต้ าย หรอื ปางตาย ขอ้ ท่ี ๓ ด้วยน�้ำมูตรเนา่ ผสมด้วยยาต่าง ๆ คนเปน็ โรคผอมเหลืองดื่มแล้วทำ� ให้ เปน็ สุขได้ ข้อที่ ๔ ดว้ ยนมสม้ นำ้� ผง้ึ เนยใส นำ�้ ออ้ ย ระคนเขา้ ดว้ ยกนั คนเปน็ โรคลงโลหติ ดม่ื แลว้ เปน็ สุขได้ ๗. ตรัสสรูปในท่ีสุดว่า การสมาทานธรรมะที่มีสุขในปัจจุบัน มีสุขเป็นวิบากต่อไป ย่อมรุ่งเรืองรุ่งโรจน์เหนือสมณพราหมณ์ผู้มีวาทะอื่นเป็นอันมาก เหมือนดวงอาทิตย์ในฤดู สารทในเดือนท้ายพรรษา เม่ือหมดฝน รุ่งเรืองรุ่งโรจน์เหนือความมืดท้ังปวงที่มีอยู่ในอากาศ ฉะนัน้ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 587 5/4/18 2:25 PM
588 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๔๗. วีมงั สกสูตร๑ (สูตรว่าดว้ ยภกิ ษผุ ู้พิจารณาสอบสวน) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ตรัสถึงภิกษุผู้ไม่รู้เรื่องจิตใจของผู้อ่ืน ควรท�ำการสอบสวนในตถาคตเพ่ือรู้ว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงหรือไม่ ภิกษุท้ังหลาย ขอร้องให้ทรงอธิบาย จงึ ตรสั ขยายความต่อไปว่า ๒. ภิกษุผู้พิจารณาสอบสวน เมื่อไม่รู้เร่ืองจิตใจของผู้อ่ืน (คือไม่มีอ�ำนาจจิตท่ีจะรู้ จิตใจของผู้อื่นได้) ควรท�ำการสอบสวนในตถาคต ในธรรม ๒ อย่าง คือในธรรมที่พึงรู้แจ้ง ทางตาและทางหู (กิริยาอาการหรือถ้อยค�ำใด ๆ ท่ีพึงใช้ตาใช้หูสังเกตสอบสวนได้) ว่าธรรมะ ท่ีพึงรู้แจ้งทางตาและทางหู ท่ีเศร้าหมอง ท่ีปนกัน (คือดีบ้าง ชั่วบ้าง) ของตถาคตมีหรือไม่มี ก็จะทราบว่าไม่มี เมื่อสอบสวนย่ิง ๆ ข้ึนไปว่า ท่านผู้น้ีสมบูรณ์ด้วยกุศลธรรมนี้มานานแล้ว หรือเพิ่งสมบูรณ์ด้วยกุศลธรรมน้ีเมื่อเร็ว ๆ น้ีเอง ก็จะทราบว่าสมบูรณ์มานานแล้ว มิใช่เพ่ิง สมบูรณเ์ มอื่ เรว็ ๆ น้ี เมื่อสอบสวนย่งิ ๆ ขนึ้ ไปวา่ ภกิ ษุ (ผเู้ ปน็ ศาสดาของเรา) น้ี ถงึ ความเปน็ ผู้มีคนรู้จัก มียศ ในการนี้ท่านมีโทษบางอย่างหรือไม่ ภิกษุ (บางรูป) ยังไม่มีโทษเกิดข้ึน ตราบเท่าที่ยังไม่ถึงความเป็นผู้มีคนรู้จัก มียศ พอถึงความเป็นผู้มีคนรู้จัก มียศ ก็มีโทษ บางอย่างเกิดข้ึน (เช่น เห่อเหิม ถือตัว) เธอสอบสวนอยู่ย่อมรู้อย่างน้ีว่า ภิกษุนี้ถึงความเป็น ผูม้ คี นรจู้ ัก มียศ แต่กไ็ มม่ โี ทษบางอย่าง เมือ่ สอบสวนยิง่ ๆ ขนึ้ ไปวา่ ทา่ นผู้นี้เวน้ ความชวั่ มใิ ช่ เพราะกลัว เว้นความช่ัวเพราะกลัวก็หามิได้ (เว้นโดยอัธยาศัยสูง คุณธรรมสูง มิใช่เพราะกลัว ถูกติเตียน เป็นต้น) ย่อมไม่เสพกาม เพราะเป็นผู้ปราศจากราคะ เพราะส้ินไปแห่งราคะใช่ หรือไม่ ก็จะรู้ว่า ท่านผู้นี้เว้นความชั่วมิใช่เพราะกลัว เว้นความช่ัวเพราะกลัวก็หามิได้ ย่อม ไมเ่ สพกามเพราะเปน็ ผูป้ ราศจากราคะ เพราะสิ้นไปแห่งราคะ ถา้ มผี อู้ ่นื ถามภกิ ษุ (ผู้สอบสวน) ว่า มีอาการอะไร มีข้อท่ีรู้ได้อะไรที่ท�ำให้กล่าวว่า ท่านผู้น้ีเว้นความช่ัวมิใช่เพราะกลัว เป็นต้น ถ้าเธอจะตอบให้ชอบก็ตอบว่า ท่านผู้นี้อยู่ในสงฆ์หรืออยู่แต่ผู้ดียว ท่านก็ไม่ดูหม่ินภิกษุที่ดี ท่ีช่ัว ท่ีบริหารหมู่คณะ ที่ติดอามิส ท่ีไม่ติดอามิส อนึ่ง ข้าพเจ้าได้ฟังมาในที่เฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาค ถึงพระด�ำรัสท่ีว่า เราเว้นความชั่วมิใช่เพราะกลัว เราเว้นความช่ัวเพราะกลัว ๑ พระสูตรนี้ นับเป็นสูตรประหลาด เพราะสอนสาวกให้สอบสวนพิจารณาในพระผู้มีพระภาคเอง หรือพูดอีก อย่างหน่ึงก็คือ สอนให้คอยจับผิดพระองค์เอง ซึ่งเเสดงว่าพระองค์ทรงเปิดเผยและแน่พระหฤทัยในความ บรสิ ทุ ธผิ์ ุดผอ่ งจรงิ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 588 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค 589 ก็หาไม่ เราไม่เสพกามเพราะปราศจากราคะ เพราะสิ้นไปแห่งราคะดังนี้ (ข้อท่ีว่าไม่ดูหม่ินภิกษุ ัมช ิฌม ินกาย ทุกประเภท ไม่ว่าดีหรือเลวนั้น อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคมีพระหฤทัยสม�่ำเสมอในบุคคล ท้งั ปวง เช่นในพระเทวทตั ผ้คู ิดฆ่าและในพระราหลุ ผเู้ ป็นโอรส) ๓. เธอพึงถามตถาคตถึงธรรมะท่ีพึงรู้แจ้งทางตาและทางหูอันเศร้าหมอง อันปนกัน (ดีบ้าง ชั่วบ้าง) อันผ่องแผ้วว่า ธรรมเหล่านี้ของตถาคตมีหรือไม่ เมื่อตถาคตจะตอบ ก็พึง ตอบว่า ”ไม่มีธรรมท่ีเศร้าหมองและที่ปนกัน แต่มีธรรมท่ีผ่องแผ้ว น่ันเป็นทางเป็นที่โคจร ของเรา แต่เราก็มิได้มีความทะยานอยาก เพราะคุณธรรมนั้น„ สาวกจึงควรเข้าไปหาศาสดา ผู้กล่าวอย่างน้ีเพ่ือฟังธรรม ศาสดาย่อมแสดงธรรมฝ่ายด�ำฝ่ายขาว ฝ่ายที่มีส่วนเปรียบเทียบ ประณีตยิ่ง ๆ ข้ึนไปแก่เธอ เธอรู้ยิ่งธรรมบางอย่างในธรรมท่ีแสดงนั้น ย่อมถึงความตกลงใจ ในธรรมทั้งหลาย เล่ือมใสในศาสดาว่า ”พระผู้มีพระภาคเป็นผู้ตรัสรู้ดีโดยชอบ พระธรรม อันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว„ ถ้ามีผู้ถามภิกษุ (ผู้สอบสวนนั้น) ว่า มีอาการอะไร มีข้อที่รู้ได้อะไรเป็นเหตุให้กล่าว (สรรเสริญพระรัตนตรัย) อย่างนั้น จะตอบ ให้ชอบ ก็พึงตอบว่า เพราะเข้าไปฟังธรรมและได้รู้ยิ่งธรรมบางอย่างในธรรมที่แสดงนั้น ดังกล่าวแลว้ ๔. ตรัสว่า ผูม้ ีศรทั ธาต้งั ลงในตถาคต เป็นศรัทธาทม่ี รี าก เป็นศรัทธาอนั ตั้งมนั่ ด้วย อาการดว้ ยบท ด้วยพยญั ชนะเหลา่ นี้ ศรทั ธาของผ้นู นั้ เรยี กวา่ มีอาการ (อันด)ี มคี วามเห็นจรงิ เป็นมูล เป็นศรัทธาอันม่ัน ซ่ึงสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก พึงน�ำไป (หรือจูงไปที่อื่น) ไม่ได้ นี้แหละคือการสอบสวนธรรมในตถาคต และตถาคตก็เป็นอัน สอบสวนดแี ลว้ โดยธรรม (หมายเหตุ : สูตรน้ีอีกสูตรหนึ่งท่ีท้าให้สอบสวนคุณความดีหรือข้อบกพร่องของ พระพุทธเจ้า พึงดูหน้า ๑๙๘ ข้อ ๒๑๗ ท่ีแสดงถึงพระพุทธเจ้าทรงปวารณาพระองค์ให้ภิกษุ ทั้งหลายว่ากล่าวได้ดว้ ย) ๔๘. โกสมั พิยสตู ร (สูตรว่าด้วยภกิ ษุชาวกรงุ โกสัมพี) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ โฆสิตาราม ใกล้กรุงโกสัมพี สมัยนั้นภิกษุในกรุง โกสัมพรี า้ วฉานทะเลาะววิ าทกนั ใชว้ าจาทิม่ แทงกนั ไม่ (สามารถ) ทำ� ความเขา้ ใจกันได้ พระผูม้ ี พระภาคจึงตรัสส่ังภิกษุรูปหน่ึงให้เรียกภิกษุเหล่าน้ันมาประชุมกัน ตรัสสอบถาม เธอท้ังหลาย รับว่าทะเลาะวิวาทกันจริง จึงตรัสถามว่า ในสมัยที่ทะเลาะวิวาทกันนั้น เธอได้ตั้งกายกรรม PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 589 5/4/18 2:25 PM
590 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ วจีกรรม มโนกรรม อันประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจารีทั้งในท่ีแจ้งที่ลับบ้างหรือเปล่า เมื่อกราบทูลว่า เปล่า จึงตรัสว่า พวกเธอรู้อะไรเห็นอะไรจึงทะเลาะวิวาทกัน ข้อน้ันย่อม เป็นไปเพอื่ มใิ ช่ประโยชน์ เพ่ือความทุกขต์ ลอดกาลนาน ๒. ตอ่ ไปไดต้ รัสถงึ สาราณิยธรรม (ธรรมอันทำ� ให้ระลึกถงึ กนั ) ๖ ประการ คอื (๑) ตัง้ กายกรรมอนั ประกอบดว้ ยเมตตา (๒) ตงั้ วจีกรรมอนั ประกอบด้วยเมตตา (๓) ต้งั มโนกรรมอนั ประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนพรหมจารที ั้งในที่แจง้ ท่ีลบั (๔) แบ่งปนั ลาภแก่เพ่ือนพรหมจารี (๕) มศี ีลอนั ดีเสมอด้วยเพื่อนพรหมจารี (๖) มีทฏิ ฐิความเหน็ อันประเสรฐิ เสมอด้วยเพื่อนพรหมจารี ธรรมทั้ง ๖ อย่างน้ีท�ำให้ระลึกถึงกัน ท�ำให้เป็นที่รัก เป็นที่เคารพ เป็นไปเพ่ือ สงเคราะห์กนั เพ่อื ไมว่ วิ าทกนั เพือ่ สามัคคีกัน เพือ่ เป็นอนั หนึ่งอันเดียวกนั ในธรรม ๖ อย่างนี้ ขอ้ ทเ่ี ปน็ ยอด คอื ทิฏฐคิ วามเหน็ อันประเสรฐิ อันนำ� ออกจากทุกขไ์ ด้ ๓. คร้ันแล้วได้ทรงไขความของทิฏฐิอันประเสริฐ อันน�ำออกจากทุกข์ได้ โดยช้ีไป ถึงญาณท่ี ๑ ถึงญาณที่ ๗ อันเป็นอริยะ เป็นโลกุตตระ (ข้ามโลก) ไม่ท่ัวไปแก่บุถุชนทั้งหลาย ซ่ึงเรียกว่าเป็นองค์ ๗ ท่ีท�ำให้ผู้ประกอบด้วยองค์ ๗ เหล่าน้ี ประกอบด้วยโสดาปัตติผล ญาณท้งั ๗ มดี ังนี้ ญาณที่ ๑ ภกิ ษไุ ปสปู่ า่ สโู่ คนไม้ หรอื สเู่ รอื นวา่ ง พจิ ารณาวา่ ปรยิ ฏุ ฐานะ (กเิ ลส ท่ีครอบง�ำจิต) ในภายใน ที่เป็นเหตุให้ไม่รู้เห็นตามเป็นจริง ท่ียังละ ไม่ได้ มีอยู่หรือไม่ คือถ้าภิกษุถูกความก�ำหนัดในกาม (กามราคะ) ความพยาบาท ความหดหงู่ ว่ งงนุ ความฟงุ้ สรา้ นรำ� คาญใจ ความลงั เล สงสัย ความคดิ ท่เี วียนอยใู่ นโลกนี้ (อิธโลกจนิ ตฺ า) การทะเลาะวิวาท ครอบงำ� จติ แลว้ มารวู้ า่ ปรยิ ฏุ ฐานะทย่ี งั ละไมไ่ ดไ้ มม่ ี จติ ของเราตง้ั ไว้ ดีแล้ว เพ่ือตรัสรู้สัจจธรรม เธอก็ได้บรรลุญาณที่ ๑ อันเป็นอริยะ เปน็ โลกุตตระ เป็นอสาธารณะแก่บุถุชนท้ังหลาย ญาณที่ ๒ อรยิ สาวกพจิ ารณาวา่ เราสอ้ งเสพ เจรญิ ทำ� ใหม้ ากซง่ึ ทฏิ ฐนิ หี้ รอื เปลา่ ซึ่งเราจะได้ความสงบระงับ ได้ความดับเย็น (นิพพุติ) เฉพาะตน เธอรวู้ า่ สอ้ งเสพ เจรญิ ทำ� ใหม้ ากทฏิ ฐนิ ี้ เธอกไ็ ดบ้ รรลญุ าณที่ ๒ ฯ ล ฯ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 590 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค 591 ญาณท่ี ๓ อริยสาวกพิจารณาว่า มีสมณพราหมณ์อื่นในภายนอกศาสนานี้ท่ี ประกอบดว้ ยทฏิ ฐอิ ยา่ งทเ่ี รามหี รอื ไมห่ นอ เธอรวู้ า่ ไมม่ ี เธอกไ็ ดบ้ รรลุ ญาณที่ ๓ ฯ ล ฯ ญาณท่ี ๔ อริยสาวกพิจารณาว่า เราประกอบดว้ ยธรรมดา เช่นเดยี วกบั บุคคล ผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิประกอบด้วยธรรมดาชนิดน้ันหรือไม่ ธรรมดา สำ� หรบั บคุ คลเชน่ นน้ั คอื ตอ้ งอาบตั ิ กแ็ สดงเปดิ เผย ทำ� ใหป้ รากฏใน ศาสดาหรือในเพ่ือนพรหมจารีผู้รู้โดยพลัน แล้วส�ำรวมระวังต่อไป เธอรวู้ า่ เธอประกอบดว้ ยธรรมดาเชน่ นนั้ เธอกไ็ ดบ้ รรลญุ าณที่ ๔ ฯ ล ฯ ญาณท่ี ๕ อริยสาวกพิจารณาวา่ เราประกอบด้วยธรรมดา เช่นเดียวกบั บคุ คล ผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิประกอบด้วยธรรมดาชนิดน้ันหรือไม่ ธรรมดา ส�ำหรับบุคคลเช่นนั้น คือการขวนขวายในกิจน้อยใหญ่ของเพ่ือน พรหมจารี การเพ่งเล็งอย่างแรงกล้า เพ่ือการศึกษาอธิศีล อธิจิต อธปิ ญั ญา (ศลี สมาธิ ปญั ญาอนั ยงิ่ ) เธอรวู้ า่ เธอประกอบดว้ ยปญั ญา เช่นนั้น เธอก็ไดบ้ รรลญุ าณที่ ๕ ฯ ล ฯ ญาณที่ ๖ อริยสาวกพิจารณาว่า เราประกอบดว้ ยความเปน็ ผู้มีก�ำลัง เชน่ เดยี ว กับบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยความเป็นผู้มีกำ� ลังชนิด ัมช ิฌม ินกาย นน้ั หรอื ไม่ ความเปน็ ผมู้ กี ำ� ลงั สำ� หรบั บคุ คลเชน่ นน้ั คอื เมอื่ มผี แู้ สดง ธรรมที่พระตถาคตประกาศแล้ว เขาย่อมต้ังใจเงี่ยโสตสดับธรรม เธอรู้ว่า เธอประกอบด้วยความเป็นผู้มีก�ำลังเช่นนั้น เธอก็ได้บรรลุ ญาณท่ี ๖ ฯ ล ฯ ญาณท่ี ๗ อรยิ สาวกพิจารณาวา่ เราประกอบด้วยความเป็นผู้มีกำ� ลัง เช่นเดยี ว กับบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยความเป็นผู้มีกำ� ลังชนิด นนั้ หรอื ไม่ ความเปน็ ผมู้ กี ำ� ลงั สำ� หรบั บคุ คลเชน่ นนั้ คอื เมอื่ มผี แู้ สดง ธรรมทพ่ี ระตถาคตประกาศแลว้ เขายอ่ มไดค้ วามรอู้ รรถ ความรธู้ รรม ไดค้ วามปราโมทย์ อนั ประกอบด้วยธรรม เธอร้วู า่ เธอประกอบดว้ ย ความเป็นผมู้ กี ำ� ลงั เช่นนั้น เธอกไ็ ด้บรรลญุ าณที่ ๗ ฯ ล ฯ ตรัสสรูปว่า ธรรมดาของอริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์ ๗ เป็นอันสอบสวนด้วยดี เพ่ือท�ำให้แจ้งโสดาปัตติผลอย่างน้ี อริยสาวกผู้ประกอบด้วยองค์ ๗ อย่างน้ี ย่อมประกอบ ด้วยโสดาปัตติผล PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 591 5/4/18 2:25 PM
592 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๔๙. พรหมนิมันตนิกสตู ร (สตู รวา่ ดว้ ยการเชือ้ เชิญของพรหม) ๑. พระผู้มพี ระภาคประทบั ณ เชตวนาราม ตรสั เลา่ ให้ภกิ ษทุ ้ังหลายฟังถึงเหตกุ ารณ์ สมัยหน่ึงที่ประทับ ณ โคนพญาไม้สาละในป่าสุภควัน ใกล้เมืองอุกกัฏฐา ครั้งน้ันพกาพรหม เกิดความเห็นผิดขึ้นว่า น้ีเท่ียง ยั่งยืน ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่เคล่ือน ไม่อุปบัติ๑ ไม่มีความ หลุดพ้น (นิสสรณะ = แล่นออก) อื่นท่ียิ่งกว่าน้ี พระองค์จึงเสด็จไปปรากฏในพรหมโลก พกาพรหมเห็นก็ทูลเชิญและแสดงทิฏฐิความเห็นของตนในเรื่องเท่ียง พระองค์ตรัสตอบว่า พกาพรหมมีอวิชชา (ความไม่รู้) จึงกล่าวถึงสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเท่ียง ส่ิงที่ไม่ยั่งยืนว่าย่ังยืน เป็นต้น ๒. ล�ำดับนั้น มารผู้มีบาปก็สิงพรหมปาริสัชชะ๒ ตนหนึ่ง ให้พูดห้ามปราม พระผมู้ พี ระภาคมใิ หว้ า่ กลา่ วพกาพรหม เพราะพกาพรหมคอื ผเู้ ปน็ ใหญ่ เปน็ ผสู้ รา้ ง และไดพ้ ดู จา อย่างอื่นอีกเป็นเชิงว่าผู้ติเตียนธาตุ ๔ ภูต เทวดา ประชาบดี พรหม ตายไปจะเกิดในกาย อันต่�ำทราม ผู้สรรเสริญธาตุ ๔ เป็นต้น ตายไปจะเกิดในกายอันประณีต พร้อมท้ังห้ามพูด ล่วงเกินพระพรหม พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป เรารู้จักท่าน ท่านอย่า นกึ วา่ เราไมร่ จู้ กั พระพรหม บริษัทของพระพรหม พรหมปาริสัชชะ ล้วนแต่อยู่ในมือของท่าน ล้วนแต่อยู่ในอ�ำนาจของท่าน ท่านจึงคิดว่า ผู้น้ันอยู่ในมือ อยู่ในอ�ำนาจของเรา๓ ดูก่อนมาร ผมู้ บี าป แตเ่ รา๔ นีแ่ หละไมอ่ ยู่ในมอื ไม่อยูใ่ นอำ� นาจของทา่ น ๓. ต่อจากนั้นพกาพรหมก็กล่าวยืนยันทิฏฐิของตนอีก ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ตรัส โต้ตอบเป็นเชิงเตือนว่า ทรงรู้จักคติและชุติ (อานุภาพ) ของพกาพรหม แล้วทรงแสดงว่า พกาพรหมยังไม่รู้ไม่เห็นพรหมอีก ๓ พวก คือ พวกอาภัสสระ พวกสุภกิณหะ และพวก เวหัปผละ ซึ่งพกาพรหมเคยเคล่ือนมาจากน้ัน แต่มาอยู่ในท่ีน้ีนานเกินไปก็เลยหลงลืมไป พกาพรหมแสดงความประสงค์ว่า จะหายตัวไปจากพระผู้มีพระภาค แต่ก็หายไปไม่ได้ พระผู้มีพระภาคแสดงฤทธ์ิหายไปได้ ให้พรหม บริษัทของพรหม และพรหมปาริสัชชะ ได้ยินพระดำ� รัส แต่ไมเ่ หน็ พระกาย พวกพรหมทง้ั น้ันกอ็ ัศจรรยใ์ จในพทุ ธานภุ าพ ๔. มารผู้มีบาปก็สิงพรหมปาริสัชชะตนหนึ่ง ให้พูดห้ามปราบพระองค์อย่าให้แสดง ธรรมแก่สาวก แก่บรรพชิต อย่าติดในสาวก ในบรรพชิต พร้อมทั้งเล่าว่า สมณพราหมณ์ ๒๓๑๔ อ่านวา่ อปุ ะบัติ เป็นคำ� คู่กบั จุติ ซ่ึงแปลวา่ เคลื่อน อปุ บัติ แปลว่า เขา้ ถงึ หมายถึงการเกดิ เปน็ พรหมชัน้ ตำ่� สดุ ของรูปพรหม (พรหมมีรปู ) ๑๖ ช้นั ดหู น้า ๕๗๔ เรา ในขอ้ ความนหี้ มายถึง มาร - ม.พ.ป. เรา ในข้อความนี้หมายถึง พระพทุ ธเจา้ - ม.พ.ป. PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 592 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ จูฬยมกวรรค 593 ก่อนหน้าพระองค์ที่ปฏิญญาตนว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แนะน�ำสาวก บรรพชิต ัมช ิฌม ินกาย แสดงธรรมแก่สาวก แก่บรรพชิต ติดในสาวก ในบรรพชิต ตายไปก็เกิดในกายอันต�่ำทราม แต่สมณพรามณ์ที่ตรงกันข้าม (คือไม่สอนสาวก ไม่สอนบรรพชิต) ตายไปกลับเกิดในกายอัน ประณีต ข้าพเจ้าขอบอกกับท่านว่า จงมีความปรารถนาน้อย หาความสุขในปัจจุบันเถิด การไมบ่ อกเป็นการดี ท่านจงอย่าสงั่ สอนคนอืน่ เลย ๕. พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป เรารู้จักท่าน ท่านอย่าส�ำคัญว่า เราไม่รู้ ท่านไม่มุ่งประโยชน์แก่เราจึงกล่าวอย่างนี้ ท่านคิดว่า พระสมณโคดมแสดงธรรม แก่ใคร ผู้น้ันจักพ้นอ�ำนาจแห่งเรา สมณพราหมณ์ (ท่ีกล่าวถึง) เหล่าน้ันมิได้ตรัสรู้เองโดยชอบ แต่ปฏิญญาตนว่าตรัสรู้เองโดยชอบ ส่วนตัวเราตรัสรู้เองโดยชอบ จึงปฏิญญาว่าตรัสรู้เอง โดยชอบ จะแสดงธรรมหรือไม่แสดงแก่สาวกท้ังหลาย จะแนะน�ำหรือไม่แนะน�ำสาวก ท้ังหลาย ตถาคตก็เป็นเช่นน้ันเท่านั้น (ไม่ดีไม่ชั่วไปกว่าเดิม) ท้ังนี้เพราะละอาสวะได้ เด็ดขาดแลว้ เหมือนตาลยอดด้วนไมค่ วรงอกข้ึนอีก๑ ๕๐. มารตชั ชนยี สตู ร (สตู รวา่ ด้วยมารถกู คกุ คาม) พระผูม้ พี ระภาคประทบั ณ ปา่ เนื้อช่อื เภสกฬาวัน ใกลน้ ครสุงสุมารคิระ แคว้นภคั คะ สมัยน้นั พระมหาโมคคัลลานะจงกรม (เดนิ ไปมา) ในท่แี จง้ มารเขา้ ไปในท้อง เข้าไปในไส้ใหญ่ ของพระเถระ พระเถระรู้สึกหนัก ๆ จึงน่ังพิจารณาดูก็ทราบ จึงไล่ให้มารออก มารก็ออกมา จากปาก ยนื พงิ บานประตู (แหง่ บรรณศาลา) พระมหาโมคคัลลานะก็กล่าวแสดงความรู้ทันและเล่าประวัติต่าง ๆ ซึ่งแสดงว่า องค์ท่านเคยเป็นมารมาแล้วชื่อทูสี มีน้องสาวชื่อกาฬี ตัวมารที่มาปรากฏนี้เป็นลูกของนางกาฬี จึงนบั เป็นหลานของทา่ น เมื่อรู้วา่ พระเถระรู้จักก็อนั ตรธานหายไปในทีน่ นั้ จบความยอ่ แหง่ พระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ ๑ สูตรนี้บ่งชัดถึงคติทางพระพุทธศาสนา ที่ถือว่า ช้ันพรหมยังตกอยู่ในอ�ำนาจมาร คือพรหมก็ยังติดในฌาน ซ่ึงจัดเป็นภวตัณหาหรือวิภวตัณหา มารในที่นี้ เมื่อถอดความ ก็ได้แก่กิเลสมาร และอภิสังขารมาร ถ้าไม่ ถอดความ กไ็ ด้แก่เทวปุตตมาร PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 593 5/4/18 2:25 PM
เล่ม ๑๓ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปณั ณาสก์ พระไตรปิฎก เล่ม ๑๓ นี้ ยงั อยู่ในประเภทมัชฌิมนกิ าย คอื พระสตู รขนาดปานกลาง ไม่ยาวและไมส่ ั้นเกินไป ได้กลา่ วแล้วว่า สูตรขนาดกลางมี ๓ เล่ม ไดแ้ ก่ เลม่ ๑๒ คือ มชั ฌิมนกิ าย มูลปัณณาสก์ หมวดขนาดกลาง หมวด ๕๐ ทเี่ ปน็ ตอนตน้ หรือเปน็ มูล เลม่ ๑๓ คอื เลม่ น้ี มชั ฌมิ นกิ าย มชั ฌมิ ปณั ณาสก์ หมวดขนาดกลาง หมวด ๕๐ ทเี่ ปน็ ตอนกลาง ส่วนเล่ม ๑๔ คือ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ หมวดขนาดกลาง หมวด ๕๐ ท่ีเป็น ตอนปลาย เฉพาะเล่มน้ี มี ๕๐ สูตร มี ๕ วรรค ๆ ละ ๑๐ สูตร แต่มีที่สังเกตได้ง่าย คือเล่มนี้ แบ่งวรรคเป็นเรือ่ งบุคคลท้งั ส้ิน กลา่ วคอื วรรคท่ี ๑ ชือ่ คหปตวิ รรค ว่าด้วยคฤหบดี คือผ้คู รองเรือน วรรคที่ ๒ ช่ือภกิ ขุวรรค ว่าดว้ ยภิกษุ วรรคที่ ๓ ชอ่ื ปรพิ พาชกวรรค วา่ ดว้ ยปรพิ พาชกหรอื นกั บวชนอกพระพทุ ธศาสนา ประเภทหน่งึ วรรคท่ี ๔ ชอ่ื ราชวรรค ว่าด้วยพระราชา และ วรรคท่ี ๕ ชอื่ พราหมณวรรค วา่ ดว้ ยพราหมณ์ ขยายความ คหปตวิ รรค คือวรรคทว่ี า่ ด้วยคฤหบดี คือผู้ครองเรอื น มี ๑๐ สูตร ๑. กันทรกสูตร (สูตรว่าดว้ ยกนั ทรกปริพพาชก) ๑. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ฝั่งสระน�้ำช่ือคัคครา ใกล้กรุงจัมปา พร้อมด้วยภิกษุ สงฆ์หมู่ใหญ่ บุตรแห่งนายควาญช้างชื่อเปสสะ และปริพพาชกช่ือกันทรกะ เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ปริพพาชกช่ือกันทรกะ กราบทูลสรรเสริญว่า ทรงควบคุมพระสงฆ์ได้ดี เพราะเห็นภิกษุสงฆ์เป็นผู้นิ่ง พระผู้มีพระภาคตรัสรับว่าเป็นจริง เพราะในภิกษุสงฆ์น้ี มีพระอรหันต์ขีณาสพ ผู้หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ มีพระเสขะ (พระอริยบุคคลผู้ยังศึกษา PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 594 5/4/18 2:25 PM
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๓ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ คหปติวรรค 595 คือยังไม่บรรลุอรหัตตผล) ผู้มีศีล มีความประพฤติสงบระงับ มีจิตต้ังมั่นดีในสติปัฏฐาน ๔ ัมช ิฌม ินกาย (ดหู น้า ๔๗๓) ๒. บุตรนายควาญช้างช่ือเปสสะกราบทูลสรรเสริญว่า ทรงบัญญัติสติปัฏฐาน ๔ ไว้ ดีมาก ตนเองเป็นคฤหัสถ์นุ่งผ้าขาว ยังเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นครั้งคราว เป็นการน่าอัศจรรย์ ที่พระผู้มีพระภาคทรงทราบประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ของสัตว์ท้ังหลาย ในเมื่อป่าชัฏคือ มนุษย์ กากขยะคือมนุษย์ และความโอ้อวดของมนุษย์เป็นไปอยู่อย่างนี้ แล้วได้แสดงความ คิดเห็นต่อไปว่า มนุษย์เป็นเหมือนป่าชัฏ (รกและดูยาก) แต่สัตว์ท้ังหลายเป็นผู้ตื้น (เปิดเผย ดูง่าย) ตนสามารถท�ำช้างฝึกให้ไปได้ตามต้องการ ช้างย่อมแสดงความด้ือ ความโกง ความงอ ความคดให้ปรากฏ ส่วนพวกท่ีเป็นทาส เป็นคนรับใช้ เป็นกรรมกร ประพฤติทางกายอย่างหน่ึง ทางวาจาอย่างหน่งึ แต่จติ ใจไปอีกอยา่ งหนึ่ง ๓. พระผู้มีพระภาคตรัสรับรองว่า มุนษย์เป็นผู้เสมือนรกชัฏ (ดูยาก) ส่วนสัตว์ ท้ังหลายเป็นผูต้ ืน้ (เปิดเผยดูง่าย) จรงิ แล้วตรัสถึงบุคคล ๔ ประเภทท่ีมีอยู่ในโลก คือ (๑) ท�ำตัวเองใหเ้ ดอื ดร้อน ประกอบเนือง ๆ ในการทำ� ตนเองใหเ้ ดอื ดรอ้ น (๒) ท�ำผ้อู ืน่ ให้เดอื ดร้อน ประกอบเนอื ง ๆ ในการท�ำผ้อู นื่ ใหเ้ ดอื ดรอ้ น (๓) ท�ำตัวเองให้เดือดร้อน ประกอบเนือง ๆ ในการท�ำตนเองให้เดือดร้อนด้วย ทำ� ผอู้ ื่นใหเ้ ดือดร้อน ประกอบเนือง ๆ ในการท�ำผูอ้ ื่นให้เดอื ดร้อนดว้ ย (๔) ไม่ทำ� ทง้ั สองอย่างน้นั ซึ่งเป็นผู้หมดความกระหาย ดับเยน็ ในปจั จุบัน แลว้ ตรสั ถามวา่ บตุ รนายควาญชา้ งชอบบคุ คลประเภทไหน บตุ รนายควาญชา้ งตอบวา่ ชอบใจบคุ คลประเภทหลงั เมอื่ ตรสั ถามถงึ เหตผุ ล กก็ ราบทลู วา่ ทงั้ ตนและผอู้ นื่ กใ็ ครส่ ขุ เกลยี ด ทุกข์ ตนจงึ ชอบใจพวกท่ไี มท่ �ำตนไม่ทำ� ผู้อืน่ ให้เดือดรอ้ น แล้วกราบทูลลากลบั ๔. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ถ้าบุตรนายควาญช้างช่ือเปสสะจะน่ังอยู่สักครู่จนกว่า เราจะอธิบายแจกบุคคล ๔ ประเภทนี้โดยพิสดาร ก็จะได้ประโยชน์อย่างใหญ่ แต่แม้เพียง เทา่ นีก้ ็ได้ประโยนชใ์ หญ่แล้ว ภกิ ษทุ ้งั หลายขอใหท้ รงแจกอธิบายโดยพสิ ดาร จงึ ตรัสว่า (๑) พวกท�ำตนให้เดือดร้อน ประกอบเนือง ๆ ในการท�ำตนให้เดือดร้อน ได้แก่ พวกถอื วัตรในการเปลือยกาย ในเร่อื งอาหาร ทรมานตน (๒) พวกท�ำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบเนือง ๆ ในการท�ำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไดแ้ ก่พวกพราน พวกโจร พวกฆ่าโจร พวกผคู้ มุ เรอื นจ�ำ๑ หรือพวกประกอบ กรรมอันโหดร้ายอ่ืน ๆ ๑ ผูค้ มุ สมัยก่อนมหี น้าท่ลี งโทษทรมานต่าง ๆ ด้วย PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 595 5/4/18 2:25 PM
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 622
Pages: