Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore suttantapitaka

suttantapitaka

Published by pim, 2019-11-02 02:56:34

Description: suttantapitaka

Search

Read the Text Version

(86) ๙๑๓ ๙๑๓ (๗) ภาษติ ของพระอุตตรเถระ ๙๑๓ (๘) ภาษติ ของพระปณุ ณมาสเถระ ๙๑๓ (๙) ภาษติ ของพระหารติ เถระ ๙๑๓ (๑๐) ภาษติ ของพระนทกี สั สปเถระ ๙๑๔ ๔. เถรีคาถา ภาษติ ของพระเถร ี ๙๑๔ (๑) ภาษิตของพระนางปณุ ณาเถรี ๙๑๔ (๒) ภาษติ ของพระนางตสิ สาเถรี ๙๑๔ (๓) ภาษติ ของพระนางมิตตาเถร ี ๙๑๔ (๔) ภาษิตของพระนางอุปสมาเถรี ๙๑๔ (๕) ภาษิตของพระนางสมุ นาเถร ี ๙๑๔ (๖) ภาษิตของพระอุตตราเถร ี ๙๑๕ (๗) ภาษติ ของพระนางธัมมาเถร ี ๙๑๕ (๘) ภาษิตของพระนางสังฆาเถรี ๙๑๕ (๙) ภาษิตของพระนางอภยมาตาเถรี (๑๐) ภาษิตของพระนางทันติกาเถร ี ๙๑๖ เล่ม ๒๗ ขทุ ทกนกิ าย ชาดก ภาค ๑ ๙๑๗ คำ� อธบิ ายเร่ืองชาดก ๙๑๗ ๑. อปณั ณกชาดก ๙๑๗ ๒. วณั ณปุ ถชาดก ๙๑๗ ๓. จลุ ลกเสฏฐชิ าดก ๙๑๗ ๔. มตกภตั ตชาดก ๙๑๘ ๕. ตติ ถชาดก ๙๑๘ ๖. นนั ทิวิสาลชาดก ๙๑๘ ๗. สมั โมทมานชาดก ๙๑๘ ๘. ทมุ เมธชาดก ๙๑๘ ๙. สวุ ัณณหังสชาดก ๑๐. อุภโตภัฏฐชาดก 5/4/18 2:19 PM PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 86

เล่ม ๒๘ ขทุ ทกนิกาย ชาดก ภาค ๒ (87) สารบาญ ค�ำอธบิ ายเรอื่ งชาดก ๑. เตมยิ ชาดก ๙๑๙ ๒. มหาชนกชาดก ๙๑๙ ๓. สุวณั ณสามชาดก ๙๑๙ ๔. เนมิราชชาดก ๙๒๐ ๕. มโหสธชาดก ๙๒๐ ๖. ภรู ทิ ัตตชาดก ๙๒๐ ๗. จันทกุมารชาดก ๙๒๑ ๘. นารทชาดก ๙๒๑ ๙. วิธุรชาดก ๙๒๑ ๑๐. เวสสันดรชาดก ๙๒๑ เล่ม ๒๙ ขุททกนกิ าย มหานิทเทส ๙๒๒ เลม่ ๓๐ ขุททกนิกาย จูฬนทิ เทส ๙๒๓ เลม่ ๓๑ ขทุ ทกนกิ าย ปฏสิ ัมภทิ ามรรค (ทางแหง่ ความแตกฉาน) ๙๒๔ ขยายความ ๙๒๕ คำ� อธบิ ายศัพท์ในวรรคที่ ๑ ๑. ญาณะ (ความร้)ู ๗๓ ประการ ๙๒๖ ญาณ ๖ เฉพาะพระพุทธเจา้ ๙๒๘ ๒. ทฏิ ฐิ (ความเหน็ ) ๙๒๘ ๓. อานาปานะ (ลมหายใจเข้าออก) ๙๒๘ ๔. อินทรยี ์ (ธรรมอันเป็นใหญใ่ นหนา้ ท่ขี องตน) ๙๒๘ ๕. วิโมกข์ (ความหลดุ พ้น) ๙๒๘ ๖. คติ (ที่ไปหรอื ทางไป) ๙๒๙ ๗. กัมมะ (การกระทำ� ) ๙๒๙ ๘. วปิ ลั ลาสะ (ความคลาดเคล่ือนวปิ รติ ) ๙๒๙ ๙. มัคคะ (หนทาง) ๙๒๙ ๑๐. มณั ฑเปยยะ (ของใสทคี่ วรดม่ื เทยี บด้วยคณุ ธรรม) 5/4/18 2:19 PM PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 87

(88) ค�ำอธบิ ายศัพทใ์ นวรรคท่ี ๒ ๑๑. ยคุ นัทธะ (ธรรมทเี่ ทียมคู่) ๙๒๙ ๑๒. สจั จะ (ความจริง) ๙๓๐ ๑๓. โพชฌงค์ (องค์แห่งการตรัสร้)ู ๙๓๐ ๑๔. เมตตา (ไมตรีจติ คดิ ให้เปน็ สขุ ) ๙๓๐ ๑๕. วริ าคะ (ความคลายกำ� หนัด) ๙๓๐ ๑๖. ปฏสิ มั ภทิ า (ความแตกฉาน) ๙๓๐ ๑๗. ธมั มจกั กะ (ล้อรถคอื พระธรรม) ๙๓๐ ๑๘. โลกุตตระ (ธรรมท่ขี ้ามพน้ จากโลก) ๙๓๑ ๑๙. พละ (ธรรมอนั เปน็ ก�ำลัง) ๙๓๑ ๒๐. สุญญะ (ความว่างเปล่า) ๙๓๑ คำ� อธิบายศัพทใ์ นวรรคที่ ๓ ๙๓๑ ๒๑. มหาปญั ญา (ปญั ญาใหญ)่ ๙๓๒ ๒๒. อทิ ธิ (ฤทธห์ิ รือความส�ำเรจ็ ) ๙๓๒ ๒๓. อภิสมยะ (การตรัสร)ู้ ๙๓๒ ๒๔. วิเวกะ (ความสงดั ) ๙๓๓ ๒๕. จริยา (ความประพฤติ) ๙๓๓ ๒๖. ปาฏิหารยิ ะ (ปาฏหิ าริย์ - การนำ� ไปเสีย) ๙๓๓ ๒๗. สมสีสะ (ส่ิงท่สี งบและสิ่งที่มีศีร์ษะ) ๙๓๔ ๒๘. สตปิ ฏั ฐาน (การตง้ั สติ) ๙๓๔ ๒๙. วิปัสสนา (ความเหน็ แจ้ง) ๙๓๔ ๓๐. มาตกิ า (แมบ่ ท) ๙๓๕ สรปู ๙๓๖ เลม่ ๓๒ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ ๙๓๖ ข ยายความ ๙๓๗ อปทาน ภาค ๑ ๑. พุทธาปทาน (ข้ออา้ งหรือประวัติของพระพทุ ธเจา้ ) ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน (ขอ้ อ้างหรือประวตั ิของพระปจั เจกพทุ ธเจา้ ) PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 88 5/4/18 2:19 PM

(89) ๓. สาริปุตตเถราปทาน (ข้ออา้ งหรอื ประวัตขิ องพระสารบิ ุตร) ๙๓๗ สารบาญ ๔. มหาโมคคลั ลานเถราปทาน (ข้ออ้างหรือประวตั ขิ องพระมหาโมคคัลลานเถระ) ๙๓๘ ๕. มหากัสสปเถราปทาน (ข้ออ้างหรือประวัตขิ องพระมหากสั สปเถระ) ๙๓๘ ๖. พทุ ธาปทาน (ขอ้ อา้ งหรือประวตั ิของพระพุทธเจา้ ) ๙๓๘ เลม่ ๓๓ ขุททกนกิ าย อปทาน ภาค ๒ - พุทธวังสะ จริยาปิฎก ๙๔๒ ข ยายความ อ ปทาน ภาค ๒ ป ระวัติพระเถระ ๕ รปู ๑. มหากัจจายนเถราปทาน (ข้ออ้างหรือประวตั ขิ องพระมหากัจจายนเถระ) ๙๔๒ ๒. มหากปั ปินเถราปทาน (ข้ออ้างหรอื ประวัตขิ องพระมหากัปปินเถระ) ๙๔๓ ๓. ทพั พมลั ลปตุ ตเถราปทาน (ขอ้ อา้ งหรอื ประวัติของพระทพั พมลั ลบตุ รเถระ) ๙๔๓ ๔. กุมารกัสสปเถราปทาน (ขอ้ อ้างหรือประวตั ิของพระกุมารกัสสปเถระ) ๙๔๔ ๕. มหาโกฏฐิตเถราปทาน (ข้ออา้ งหรือประวัตขิ องพระมหาโกฏฐิตเถระ) ๙๔๔ ป ระวัตพิ ระเถรี ๕ รูป ๑. มหาปชาบดโี คตมเี ถรยิ าปทาน (ขอ้ อา้ งหรอื ประวตั ขิ องพระนางมหาปชาบดเี ถร)ี ๙๔๕ ๒. เขมาเถรยิ าปทาน (ขอ้ อ้างหรอื ประวตั ิของพระนางเขมาเถร)ี ๙๔๖ ๓. อปุ ปลวณั ณาเถริยาปทาน (ขอ้ อ้างหรอื ประวัตขิ องพระนางอุปปลวณั ณาเถร)ี ๙๔๖ ๔. ปฏาจาราเถรยิ าปทาน (ข้ออา้ งหรอื ประวตั ิของพระนางปฏาจาราเถร)ี ๙๔๖ ๕. กุณฑลเกสีเถริยาปทาน (ข้ออ้างหรอื ประวตั ขิ องพระนางกุณฑลเกสีเถร)ี ๙๔๗ พ ุทธวงั สะ (วงศ์แหง่ พระพุทธเจา้ ) ๙๔๗ ๑. รตนจงั กมนกณั ฑ์ (วา่ ดว้ ยที่จงกรมแก้ว) ๙๔๗ ๒. ทีปังกรพทุ ธวงศ์ (ที่ ๑) ๙๔๘ ๓. โกณฑัญญพุทธวงศ์ (ท่ี ๒) ๙๔๘ ๔. มงั คลพทุ ธวงศ์ (ที่ ๓) ๙๔๘ ๕. สุมนพทุ ธวงศ์ (ท่ี ๔) ๙๔๘ ๖. เรวตพุทธวงศ์ (ท่ี ๕) ๙๔๘ ๗. โสภิตพุทธวงศ์ (ที่ ๖) PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 89 5/4/18 2:19 PM

(90) ๘. อโนมทสั สพิ ทุ ธวงศ์ (ที่ ๗) ๙๔๘ ๙. ปทมุ พทุ ธวงศ์ (ที่ ๘) ๙๔๘ ๑๐. นารทพทุ ธวงศ์ (ท่ี ๙) ๙๔๘ ๑๑. ปทุมตุ ตรพทุ ธวงศ์ (ท่ี ๑๐) ๙๔๘ ๑๒. สเุ มธพุทธวงศ์ (ท่ี ๑๑) ๙๔๘ ๑๓. สชุ าตพทุ ธวงศ์ (ท่ี ๑๒) ๙๔๙ ๑๔. ปิยทสั สิพทุ ธวงศ์ (ท่ี ๑๓) ๙๔๙ ๑๕. อตั ถทัสสพิ ุทธวงศ์ (ที่ ๑๔) ๙๔๙ ๑๖. ธัมมทัสสพิ ทุ ธวงศ์ (ท่ี ๑๕) ๙๔๙ ๑๗. สิทธตั ถพทุ ธวงศ์ (ที่ ๑๖) ๙๔๙ (มใิ ช่พระโคดมพทุ ธเจา้ ) ๙๔๙ ๑๘. ตสิ สพทุ ธวงศ์ (ที่ ๑๗) ๙๔๙ ๑๙. ปสุ สพุทธวงศ์ (ที่ ๑๘) ๙๔๙ ๒๐. วิปสั สิพุทธวงศ์ (ท่ี ๑๙) ๙๔๙ ๒๑. สิขพิ ทุ ธวงศ์ (ท่ี ๒๐) ๙๔๙ ๒๒. เวสสภูพุทธวงศ์ (ที่ ๒๑) ๙๔๙ ๒๓. กุกกุสนั ธพทุ ธวงศ์ (ที่ ๒๒) ๙๔๙ ๒๔. โกนาคมนพุทธวงศ์ (ท่ี ๒๓) ๙๔๙ ๒๕. กสั สปพทุ ธวงศ์ (ท่ี ๒๔) ๙๔๙ ๒๖. โคตมพุทธวงศ์ (ท่ี ๒๕) ๙๔๙ (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจบุ นั ) ๙๕๐ ๒๗. พทุ ธปกิณณกกณั ฑ์ ๒๘. ธาตภุ าชนยี กถา ๙๕๒ จริยาปฎิ ก (คัมภรี ว์ า่ ด้วยพระพทุ ธจริยา) ๙๕๒ ๑. ทานบารมี ๑๐ เรอื่ ง ๙๕๒ (๑) อกติ ตจิ รยิ า (ความประพฤตหิ รือประวตั ิครัง้ เปน็ อกิตติดาบส) ๙๕๒ (๒) สังขพราหมณจริยา (ประวตั คิ ร้ังเป็นสังขพราหมณ)์ ๙๕๓ (๓) กรุ ธุ ัมมจรยิ า (ประวัติเนอื่ งด้วยธรรมของชาวกรุ ุ) (๔) มหาสุทัสสนจรยิ า (ประวตั คิ รง้ั เป็นพระเจา้ มหาสทุ ัสสนะ) PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 90 5/4/18 2:19 PM

(91) (๕) มหาโควินทจริยา (ประวัติครง้ั เปน็ มหาโควนิ ทพราหมณ์) ๙๕๓ สารบาญ (๖) เนมริ าชจรยิ า (ประวัตคิ รั้งเป็นพระเจ้าเนมิ) ๙๕๓ (๗) จนั ทกมุ ารจรยิ า (ประวัตคิ รัง้ เป็นจนั ทกมุ าร) ๙๕๔ (๘) สิวิราชจริยา (ประวัติคร้ังเป็นพระเจ้าสพี ี) ๙๕๔ (๙) เวสสนั ตรจริยา (ประวัติคร้ังเป็นพระเวสสนั ดร) ๙๕๔ (๑๐) สสปัณฑิตจรยิ า (ประวัติครั้งเป็นสสบณั ฑติ ) ๙๕๔ ๒. ศลี บารมี ๑๐ เร่อื ง ๙๕๕ (๑) สลี วนาคจริยา (ประวัติครัง้ เป็นช้างผมู้ ีศีล) ๙๕๕ (๒) ภรู ทิ ัตตจรยิ า (ประวัตคิ รง้ั เปน็ ภรู ิทตั ตนาคราช) ๙๕๕ (๓) จัมเปยยจริยา (ประวัติคร้งั เปน็ จมั เปยยนาคราช) ๙๕๕ (๔) จฬู โพธิจรยิ า (ประวตั ิคร้ังเป็นจฬู โพธิพราหมณ)์ ๙๕๕ (๕) มหิสราชจรยิ า (ประวตั ิครั้งเปน็ พญากระบือ) ๙๕๖ (๖) รุรุมคิ จรยิ า (ประวตั ิครั้งเป็นพญาเนือ้ ชอื่ รุรุ) ๙๕๖ (๗) มาตังคจริยา (ประวัตคิ รัง้ เปน็ ชฎิลชอื่ มาตงั คะ) ๙๕๖ (๘) ธัมมเทวปตุ ตจรยิ า (ประวัตคิ รั้งเป็นธัมมเทพบุตร) ๙๕๗ (๙) ชยทสิ จรยิ า (ประวตั คิ ร้ังเป็นโอรสพระเจ้าชยทศิ ะ) ๙๕๗ (๑๐) สงั ขปาลจริยา (ประวตั คิ รัง้ เป็นพญานาคชือ่ สงั ขปาละ) ๙๕๘ ๓. เนกขมั มบารมี เป็นตน้ ๙๕๘ เนกขัมมบารมี ๖ เร่อื ง (๑) ยุธัญชยจริยา (ประวัติครง้ั เป็นราชบุตรช่ือยุธัญชยั ) ๙๕๘ (๒) โสมนสั สจรยิ า (ประวัติครั้งเป็นโสมนสั สราชกุมาร) ๙๕๘ (๓) อโยฆรจริยา (ประวัติครั้งเปน็ อโยฆรราชกมุ าร) ๙๕๙ (๔) ภิงสจริยา (ประวัตคิ รงั้ เปน็ ดาบสกนิ เหง้าบวั ) ๙๕๙ (๕) โสณนนั ทบัณฑติ จรยิ า (ประวัติครั้งเปน็ โสณบัณฑิตคู่กบั นนั ทบณั ฑติ ) ๙๕๙ (๖) มูคผกั ขจริยา (ประวัติคร้ังเปน็ เตมยิ ราชกมุ ารผเู้ ป็นใบ้และเปน็ งอ่ ย) ๙๖๐ สัจจบารมี ๖ เรื่อง (๗) กปลิ ราชจรยิ า (ประวตั คิ รงั้ เป็นพญาลิง) ๙๖๐ (๘) สัจจสวหยปัณฑิตจริยา (ประวัติครัง้ เป็นดาบสชอ่ื สจั จะ) ๙๖๐ (๙) วฏั ฏกโปตกจรยิ า (ประวตั ิครัง้ เปน็ ลูกนกกระจาบ) ๙๖๐ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 91 5/4/18 2:19 PM

(92) (๑๐) มจั ฉราชจริยา (ประวตั คิ ร้ังเปน็ พญาปลา) ๙๖๐ (๑๑) กณั หทปี ายนจริยา (ประวตั ิคร้ังเป็นกณั หทปี ายนฤษ)ี ๙๖๑ (๑๒) สุตโสมจริยา (ประวตั คิ รั้งเป็นพระเจ้าสุตโสม) ๙๖๑ เมตตาบารมี ๒ เรอื่ ง ๙๖๒ (๑๓) สุวณั ณสามจรยิ า (ประวัติครงั้ เป็นสุวรรณสาม) ๙๖๒ (๑๔) เอกราชจรยิ า (ประวัติคร้งั เป็นพระเจา้ เอกราช) อุเบกขาบารมี ๑ เร่อื ง (๑๕) ม หาโลมหงั สจริยา ๙๖๒ (ประวตั คิ รัง้ เป็นนกั บวช ผูม้ ีความเป็นอยอู่ ย่างนา่ กลัว) ๙๖๒ สโมธานกถา กล่าวคำ� สรูป ค�ำอธบิ ายอภธิ รรมปิฎก อภิธัมมปิฎก ๙๖๙ อภธิ รรม ๗ คมั ภีร์ ๙๗๑ เล่ม ๓๔ ธมั มสงั คณี (รวมกลุ่มธรรมะ) ๙๗๒ ขยายความ ๑. แมบ่ ทหรือมาติกา ๙๗๒ ก. แมบ่ ทหรือบทตั้งฝา่ ยอภิธรรม (อภิธมั มมาติกา) ๙๗๓ ๑. แมบ่ ท วา่ ด้วยการจัดธรรมะเป็นหมวดละ ๓ ข้อ รวม ๒๒ หมวด (พาวสี ติติกมาติกา) ๙๗๓ ๒. แมบ่ ทหรอื บทตงั้ วา่ ดว้ ยกลมุ่ เหตุ (เหตุโคจฉกะ) ๙๗๕ ๓. แมบ่ ทหรือบทตงั้ หมวดสองขอ้ ไมส่ มั พนั ธ์กัน คู่น้อย (จูฬันตรทุกะ) ๙๗๕ ๔. แม่บทหรือบทต้งั วา่ ดว้ ยกลุม่ อาสวะ (อาสวโคจฉกะ) ๙๗๕ ๕. แม่บทหรือบทตั้ง วา่ ด้วยกลมุ่ สัญโญชน์ (สญั โญชนโคจฉกะ) ๙๗๕ ๖. แม่บทหรือบทต้ัง วา่ ดว้ ยกลุ่มคนั ถะ (คันถโคจฉกะ) ๙๗๕ ๗. แมบ่ ทหรอื บทต้ัง วา่ ด้วยกลมุ่ โอฆะ (โอฆโคจฉกะ) ๙๗๕ ๘. แม่บทหรือบทตง้ั วา่ ด้วยกลมุ่ โยคะ (โยคโคจฉกะ) ๙๗๕ ๙. แม่บทหรือบทต้ัง ว่าด้วยกลุ่มนวี รณ์ (นีวรณโคจฉกะ) ๙๗๕ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 92 5/4/18 2:19 PM

สตุ ตันตปฎิ ก PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 403 5/4/18 2:25 PM

. PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 404 5/4/18 2:25 PM

สุตตนั ตปฎิ ก๑ ทีฆนกิ าย มัชฌมิ นกิ าย สงั ยุตตนกิ าย องั คุตตรนิกาย ขทุ ทกนิกาย • สลี ขนั ธวคั ค์ • มูลปัณณาสก์ • สคาถวรรค • เอกนบิ าต • ขุททกปาฐะ • มหาวคั ค์ • มัชฌิมปัณณาสก์ • นทิ านวรรค • ทุกนบิ าต • ธมั มปทคาถา • ปาฏกิ วัคค์ • อุปริปัณณาสก์ • ขนั ธวารวรรค • ตกิ นบิ าต • อทุ าน • สฬายตนวรรค • จตุกกนบิ าต • อิติวุตตกะ • มหาวารวรรค • ปัญจกนบิ าต • สุตตนิบาต • ฉักกนิบาต • วมิ านวตั ถุ • สตั ตกนบิ าต • เปตวตั ถุ • อัฏฐกนบิ าต • เถรคาถา • นวกนบิ าต • เถรคี าถา • ทสกนบิ าต • ชาดก • เอกาทสกนิบาต • มหานิทเทส จูฬนทิ เทส • ปฏิสมั ภทิ ามรรค • อปทาน • พทุ ธวงั สะ • จริยาปฎิ ก ๑ สตุ ตนั ตปฎิ ก มี ๕ คมั ภรี ์ จดั พมิ พเ์ ปน็ คมั ภรี ์ ๒๕ เลม่ เรยี กยอ่ ๆ วา่ ท ี ม สงั องั ข ุ (ดคู ำ� อธบิ ายเพมิ่ ทหี่ นา้ ๓๑) PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 405 5/4/18 2:25 PM

สลี ขันธวคั ค์ ทฆี นิกาย๑ ปาฏิกวคั ค์ • พรหมชาลสูตร มหาวัคค์ • ปาฏกิ สตู ร • สามัญญผลสูตร • อทุ ุมพริกสูตร • อมั พัฏฐสตู ร • มหาปทานสูตร • จักกวัตติสตู ร • โสณทัณฑสตู ร • มหานทิ านสูตร • อคั คญั ญสูตร • กฏู ทนั ตสูตร • มหาปรนิ พิ พานสตู ร • สัมปสาทนียสตู ร • มหาลิสูตร • มหาสุทสั สนสูตร • ปาสาทกิ สตู ร • ชาลยิ สตู ร • ชนวสภสูตร • ลักขณสูตร • มหาสีหนาทสตู ร • มหาโควินทสตู ร • สงิ คาลกสตู ร • โปฏฐปาทสูตร • มหาสมยสูตร • อาฏานาฏิยสตู ร • สภุ สูตร • สกั กปญั หสูตร • สงั คีตสิ ูตร • เกวัฏฏสูตร • มหาสตปิ ัฏฐานสูตร • ทสุตตรสตู ร • โลหิจจสูตร • ปายาสิราชญั ญสูตร • เตวชิ ชสตู ร ๑ ทีฆนิกาย เป็น นิกายแรกในสุตตันตปิฎก เป็นพระสูตรหรือพระเทศนาขนาดยาว มีพระสูตรทั้งหมด ๓๔ สูตร จดั พิมพ์เปน็ คมั ภรี ์ ๓ เล่ม คอื พระไตรปฎิ ก เล่ม ๙ ถงึ เล่ม ๑๑ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 406 5/4/18 2:25 PM

สตุ ตนั ตปฎิ ก เลม่ ๙ ทฆี นกิ าย สีลขันธวคั ค์ ทีฆนิกาย แปลว่า ”หมวดหรือพวกขนาดยาว„ ได้แก่พระสูตรหรือพระธรรมเทศนา ท่ยี าว นำ� มาจดั ไว้เปน็ หมวดหรือพวกไว้ในทีน่ ้ี ค�ำว่า สีลขันธวัคค์ แปลว่า ”วรรคทว่ี า่ ดว้ ยกองศีล„ ทีฆนิกาย หรือหมวดยาวนี้มี ๓ วรรค คือสีลขันธวัคค์ (มี ๑๓ สูตร) มหาวัคค์ (มี ๑๐ สูตร) ปาฏิกวัคค์ (มี ๑๑ สูตร) แต่ละวรรคตั้งช่ือตามข้อความในสูตรบ้าง ตามชื่อของสูตรบ้าง คือ ในสีลขนั ธวคั ค์ สตู รแรกมีเรอ่ื งศลี จงึ ต้งั ชอ่ื สีลขนั ธวัคค์ ในมหาวัคค์ สูตรแรก ช่อื มหาปทานสตู ร จึงตั้งชื่อมหาวัคค์ ในปาฏิกวัคค์ สูตรแรก ช่ือปาฏิกสูตร จึงตั้งชื่อปาฏิกวัคค์ พระไตรปิฎก ทีฆนกิ ายนีม้ ี ๓ เลม่ เลม่ ละวรรค ตามชื่อทีก่ ลา่ วมาแลว้ รวมท้ังสนิ้ มี ๓๔ สูตร พระสูตรในเลม่ ๙ หรอื ในทฆี นิกาย สลี ขนั ธวคั ค์มี ๑๓ สูตร ตามลำ� ดับดงั ต่อไปนี้ ๑. พรหมชาลสูตร สูตรที่เปรียบเหมือนข่ายอันประเสริฐท่ีครอบคลุมอย่าง กว้างขวาง คือกลา่ วถึงลทั ธิ ศาสนาตา่ ง ๆ ท่มี ใี นครงั้ นัน้ ทเ่ี รยี กว่าทิฏฐิ ๖๒ เป็น การช้ีใหเ้ ห็นว่า พระพุทธศาสนามีหลักธรรมแผกจาก ๖๒ ลทั ธิน้ันอย่างละเอยี ด ๒. สามัญญผลสตู ร วา่ ด้วย ”ผลของความเป็นสมณะ„ หรอื ผลของการบวช ๓. อัมพัฏฐสูตร ว่าด้วย ”การโต้ตอบกับอัมพัฏฐมาณพ„ มีข้อความกล่าวถึง ประวตั ศิ าสตร์ ศากยวงศ์ ๔. โสณทัณฑสูตร ว่าด้วย ”การโต้ตอบกับโสณทัณฑพราหมณ์„ มีข้อความกล่าวถึง คณุ ลักษณะ ๕ อยา่ ง ของพราหมณ์ ๕. กูฏทันตสูตร ว่าดว้ ย ”การโตต้ อบกบั กฏู ทนั ตพราหมณ์„ เร่ืองการบูชายญั โดยวธิ ี สงั คมสงั เคราะหด์ กี วา่ การบชู ายญั ดว้ ยฆา่ สตั ว์ รวมทงั้ ปญั หาการปกครองประเทศ ใหไ้ ดผ้ ลดีทางเศรษฐกิจ ลดจ�ำนวนโจรผรู้ า้ ย ๖. มหาลิสูตร ว่าด้วย ”การโต้ตอบกับเจ้าลิจฉวีชื่อมหาลิ„ เร่ืองตาทิพย์ หูทิพย์ และความสามารถทส่ี ูงขนึ้ ไปกว่านน้ั คอื การทำ� กิเลสอาสวะให้หมดส้ินไป ๗. ชาลิยสูตร ว่าด้วย ”การโต้ตอบกับนักบวช ๒ คน คนหน่ึงชื่อชาลิยะ„ เรื่องชีวะ กับสรรี ะ ๘. มหาสหี นาทสูตร๑ ว่าด้วย ”การบรรลือสีหนาท„ ของพระพุทธเจ้าโดยมีคุณธรรม เปน็ พืน้ รองรับ ๑ ฉบบั ยุโรปเรียกชอื่ สูตรน้วี า่ กสั สปสหี นาทสตู ร แปลว่า สูตรอนั วา่ ด้วยการบรรลอื สีหนาท กบั กัสสปผู้เป็นนักบวช พวกชเี ปลอื ย PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 407 5/4/18 2:25 PM

408 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๙. โปฏฐปาทสตู ร วา่ ดว้ ย ”การโตต้ อบกบั โปฏฐปาทปรพิ พาชก„ เรอื่ งอตั ตาและธรรมะ ช้ันสูงอ่นื ๆ ๑๐. สภุ สูตร ว่าดว้ ย ”การโต้ตอบระหว่างพระอานนทเถระกบั สุภมาณพ โตเทยยบตุ ร„ ๑๑. เกวัฏฏสตู ร วา่ ด้วย ”การแสดงธรรม„ เรอ่ื งปาฏิหาริย์ ๓ แกค่ ฤหบดี ชอ่ื เกวัฏฏะ ๑๒. โลหจิ จสตู ร วา่ ดว้ ย ”การโตต้ อบกบั โลหจิ จพราหมณ„์ ถงึ เรอื่ งมจิ ฉาทฏิ ฐแิ ละศาสดา ทีค่ วรตไิ ม่ควรติ ๑๓. เตวชิ ชสตู ร วา่ ดว้ ย ”พราหมณผ์ รู้ ไู้ ตรวทิ ยาเคยเหน็ พระพรหมหรอื ไม„่ และวา่ ดว้ ย ”วิธีเขา้ อยู่รว่ มกับพระพรหม„ ขยายความ ๑. พรหมชาลสตู ร (สูตรว่าดว้ ยข่ายอนั ประเสรฐิ ) พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เดินทางอยู่ระหว่างกรุงราชคฤห์กับ เมืองนาฬันทา มีปริพพาชก (นักบวชนอกศาสนา) ช่ือสุปปิยะ พร้อมด้วยศิษย์ช่ือพรหมทัตมาณพ เดินทางมาข้างหลัง สุปปิยะ ปริพพาชก ติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ศิษย์กล่าว สรรเสริญ เมื่อถึงเวลากลางคืนภิกษุทั้งหลายได้สนทนากันถึงเรื่องศิษย์อาจารย์กล่าวแย้งกัน เร่ืองสรรเสริญ ติเตียน พระรัตนตรัย พระผู้มีพระภาคทรงทราบจึงตรัสเตือนมิให้โกรธเมื่อมี ผู้ติเตียนพระรัตนตรัย มิให้ยินดีหรือเหลิงเมื่อมีผู้สรรเสริญ๑ แล้วตรัสว่า ”คนอาจกล่าวชมเชย พระองคด์ ว้ ยศีล ๓ ชั้น คือศลี อยา่ งเลก็ นอ้ ย ศีลอย่างกลาง ศีลอยา่ งใหญ๒่ „ ศีลอยา่ งเลก็ นอ้ ย (จูฬศลี ) ๑. เวน้ จากฆ่าสัตว์ ลกั ทรพั ย์ ประพฤตลิ ว่ งพรหมจรรย์ ๒. เวน้ จากพดู ปด พูดส่อเสียด (ยุให้แตกกัน) พูดค�ำหยาบ พูดเพ้อเจอ้ ๓. เว้นจากท�ำลายพืชและตน้ ไม้ ๑๒ แปลไว้ละเอียดแล้ว หนา้ ๒๐๕ หมายเลข ๒๒๕ ฝร่งั ใชค้ �ำว่า ความประพฤติอย่างส้นั อย่างกลาง อย่างยาว คำ� วา่ ศลี อยา่ งเลก็ น้อย อย่างกลาง และอย่างใหญน่ ้ี PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 408 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ พรหมชาลสูตร 409 ๔. ฉันม้ือเดียว เว้นจากการฉันอาหารในเวลากลางคืน เว้นการฉันในเวลาวิกาล ทีฆนิกาย เว้นจากฟ้อนร�ำขับร้อง ประโคม และดูการเล่น เว้นจากทัดทรง ประดับประดาร่างกายด้วย ระเบียบดอกไม้ของหอม เครื่องทา เคร่ืองย้อมผัดผิวต่าง ๆ เว้นจากที่นั่งท่ีนอนอันสูงใหญ่ มีภายในใส่นุ่นหรอื ส�ำล ี เวน้ จากการรับทองและเงิน ๕. เว้นจากการรับข้าวเปลือกดิบ เน้ือดิบ เว้นจากการรับหญิง หรือหญิงรุ่นสาว เว้นจากการรับทาสี ทาสา เว้นจากการรับแพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา เว้นจากการ รบั นา สวน ๖. เว้นจากการชักส่ือ การค้าขาย การโกงด้วยตาชั่ง ด้วยเงินเหรียญ (ส�ำริด) และดว้ ยการนับ (ช่งั ตวง วดั ) เวน้ จากการใช้วธิ ีโกงด้วยใหส้ ินบน หลอกลวงและปลอมแปลง เว้นจากการตัด (มือ เทา้ ) การฆ่า การมัด การซ่มุ ชิงทรพั ย์ (ในทาง) การปล้น การจู่โจมทำ� ร้าย ศลี อยา่ งกลาง (มชั ฌิมศีล) ๑. เว้นจากการทำ� ลายพืช ๒. เวน้ จากการสะสมอาหารและผา้ เป็นตน้ ๓. เวน้ จากดกู ารเล่นหลากชนดิ เชน่ ฟอ้ นรำ� เป็นตน้ ๔. เว้นจากเลน่ การพนันต่างชนิด ๕. เว้นจากทนี่ ่ังที่นอนอันสูงใหญ่ ๖. เว้นจากประดบั ประดาตกแต่งรา่ งกาย ๗. เวน้ จากติรจั ฉานกถา (พูดเรื่องไร้ประโยชนห์ รือทีข่ ัดกับสมณเพศ) ๘. เว้นจากการพดู แข่งดหี รอื ข่มขู่กัน ๙. เวน้ จากชกั สอ่ื ๑๐. เว้นจากการพูดปด การพูดประจบ การพูดอ้อมค้อม (เพ่ือหวังลาภ) การพูดกด การพดู เอาลาภแลกลาภ (หวังของมากดว้ ยของนอ้ ย) (ในแต่ละขอ้ น้มี กี ารแจกรายละเอยี ดออกไปมาก) ศลี อย่างใหญ่ (มหาศลี ) ๑. เวน้ จากด�ำรงชีวิตด้วยมจิ ฉาชีพ ดว้ ยตริ จั ฉานวชิ า เชน่ ทายนมิ ติ ทายฝนั ทายหนู กัดผ้า เป็นต้น ๒. เว้นจากดำ� รงชวี ติ ด้วยมจิ ฉาชีพ ด้วยติรัจฉานวิชา เช่น ดูลักษณะแก้วมณี ลกั ษณะไม้ถอื ลกั ษณะผ้า ลกั ษณะศสั ตรา เป็นต้น PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 409 5/4/18 2:25 PM

410 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๓. เวน้ จากด�ำรงชีวติ ด้วยมิจฉาชีพ ดว้ ยตริ ัจฉานวิชา เช่น ทายทักเกี่ยวกับ พระราชา ด้วยพิจารณาดาวฤกษ์ ๔. เวน้ จากดำ� รงชีวติ ด้วยมิจฉาชีพ ด้วยตริ จั ฉานวิชา เช่น ทายจันทรุปราคา สรุ ิยปุ ราคา เปน็ ต้น ๕. เวน้ จากด�ำรงชีวติ ด้วยมิจฉาชพี ดว้ ยตริ ัจฉานวิชา เช่น ทายฝนชุก ฝนแล้ง เป็นต้น ๖. เว้นจากดำ� รงชวี ิตดว้ ยมิจฉาชีพ ดว้ ยติรัจฉานวิชา เช่น การบน การแก้บน การประกอบยา เปน็ ต้น (ในท่ีนี้มีค�ำว่า ติรัจฉานวิชา อย่างพิสดาร ฝรั่งใช้ค�ำว่า low arts เมื่อพิจารณา ตามศัพท์ ”ติรัจฉาน„ ซึ่งแปลว่า ”ไปขวาง„ ก็หมายความว่า วิชาเหล่าน้ีขวาง หรือไม่เข้ากับ ความเป็นสมณะ มิได้หมายความว่าเป็นวิชาของสัตว์ดิรัจฉาน เพราะฉะน้ัน ถ้อยค�ำท่ีพระ ไม่ควรพูด จึงจัดเป็นติรัจฉานกถา คือถ้อยค�ำท่ีขวาง หรือขัดกับสมณสารูป วิชาท่ีพระไม่ควร เก่ียวจึงจัดเป็นติรัจฉานวิชา คือวิชาที่ขวาง หรือขัดกับความเป็นพระ ส่วนสัตว์ดิรัจฉานท่ีมี ช่ืออย่างน้ัน เพราะเพ่งกิริยาท่ีไม่ได้ตั้งตัวตรง เดินไปอย่างคน แต่เอาตัวลง เอาศีรษะไปก่อน เม่ือไมไ่ ดไ้ ปตรง ก็ชือ่ วา่ ไปขวาง) ทฏิ ฐิ ๖๒ ประการ ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคทรงแสดงถึงความคิดเห็น ๖๒ ประการของสมณพราหมณ์ ในครงั้ นน้ั คอื พวกทมี่ คี วามเหน็ ปรารภเบอ้ื งตน้ ของสง่ิ ตา่ ง ๆ วา่ เปน็ มาอยา่ งไร (ปพุ พนั ตกปั ปกิ ะ) ๑๘ ประเภท กับพวกท่ีมีความเห็นปรารภเบื้องปลายของสิ่งต่าง ๆ ว่าจะลงสุดท้ายอย่างไร (อปรันตกัปปกิ ะ) ๔๔ ประเภท (รวมเปน็ ๖๒) ดงั ตอ่ ไปนี้ ความเหน็ ปรารภเบอ้ื งต้น ๑๘ ทิฏฐหิ รือความเหน็ ประเภทน้ี (ปพุ พันตกัปปิกะ) ทีม่ ี ๑๘ น้ัน แบง่ ออกเป็น ๕ หมวด คอื หมวดทเ่ี หน็ วา่ เทย่ี ง (สสั สตวาทะ) ๔ เหน็ วา่ บางอยา่ งเทย่ี ง บางอยา่ งไมเ่ ทยี่ ง (เอกจั จสสั สตกิ ะ เอกัจจอสัสสติกะ) ๔ เห็นว่ามีท่ีสุดและไม่มีที่สุด (อันตานันติกะ) ๔ พูดซัดส่ายไม่ตายตัว เหมือนปลาไหล (อมราวิกเขปิกะ) ๔ เห็นว่าส่ิงต่าง ๆ มีข้ึนเองโดยไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนะ) ๒ รวมเป็น ๑๘ ดงั รายละเอียด คอื ๑. หมวดเหน็ วา่ เทยี่ ง (สัสสตวาทะ) ๔ (๑) เหน็ วา่ ตวั ตน (อตั ตา) และโลกเทย่ี ง เพราะระลกึ ชาตไิ ด้ ตงั้ แตช่ าตเิ ดยี ว จนถงึ แสนชาติ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 410 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ พรหมชาลสูตร 411 (๒) เห็นว่าตัวตน และโลกเท่ียง เพราะระลึกชาติได้เป็นกัปป์ ๆ ตั้งแต่กัปป์เดียว ทีฆนิกาย ถึง ๑๐ กปั ป์ (๓) เห็นว่าตัวตน และโลกเท่ียง เพราะระลึกชาติได้มากกัปป์ ตั้งแต่ ๑๐ กัปป์ ถงึ ๔๐ กัปป์ (๔) นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนวา่ โลกเท่ยี ง ๒. หมวดเหน็ วา่ บางอยา่ งเทย่ี ง บางอยา่ งไมเ่ ทย่ี ง (เอกจั จสสั สตกิ ะ เอกจั จอสสั สตกิ ะ) ๔ (๑) เห็นว่าพระพรหมเทย่ี ง แตพ่ วกเราที่พระพรหมสรา้ งไมเ่ ทย่ี ง (๒) เหน็ วา่ เทวดาพวกอน่ื เทยี่ ง พวกทมี่ โี ทษเพราะเลน่ สนกุ สนาน (ขฑิ ฑาปโทสกิ า) ไมเ่ ท่ียง (๓) เห็นว่าเทวดาพวกอ่ืนเท่ียง พวกท่ีมีโทษเพราะคิดร้ายผู้อ่ืน (มโนปโทสิกา) ไม่เทย่ี ง (๔) นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า ตัวตนฝ่ายกายไม่เท่ียง ตัวตนฝ่าย จติ เทยี่ ง ๓. หมวดเหน็ ว่ามที ่ีสุดและไม่มีท่ีสุด (อันตานนั ตกิ ะ) ๔ (๑) เห็นว่าโลกมที ่สี ดุ (๒) เหน็ วา่ โลกไม่มที ่สี ดุ (๓) เหน็ วา่ โลกมที สี่ ดุ เฉพาะดา้ นบนกบั ดา้ นลา่ ง สว่ นดา้ นกวา้ งหรอื ดา้ นขวางไมม่ ี ทีส่ ุด (๔) นกั เดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า โลกมีทส่ี ุดกไ็ มใ่ ช่ ไมม่ ที ่สี ดุ กไ็ มใ่ ช่ ๔. หมวดพูดซดั สา่ ยไมต่ ายตวั แบบปลาไหล (อมราวิกเขปกิ ะ) ๔ (๑) เกรงว่าจะพูดปด จึงพูดปฏิเสธว่า อย่างน้ีก็ไม่ใช่ อย่างน้ันก็ไม่ใช่ อย่างอื่นก็ ไม่ใช่ มิใช่ (อะไร) ก็ไมใ่ ช่ (๒) เกรงว่าจะยึดถือ จงึ พูดปฏิเสธแบบข้อ ๑ (๓) เกรงวา่ จะถูกซักถาม จงึ พดู ปฏิเสธแบบข้อ ๑ (๔) เพราะโงเ่ ขลา จงึ พูดปฏเิ สธแบบข้อ ๑ และไมย่ อมรบั หรอื ยนื ยันอะไรเลย ๕. หมวดเหน็ วา่ ส่งิ ต่าง ๆ มีข้ึนเอง ไม่มีเหตุ (อธิจจสมปุ ปันนะ) ๒ (๑) เห็นวา่ สิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเองโดยไมม่ ีเหตุ เพราะเคยเกิดเป็นอสัญญีสตั ว์ (๒) นักเดา เดาเอาตามความคดิ คาดคะเนว่า สง่ิ ต่าง ๆ มีขน้ึ เองโดยไมม่ ีเหตุ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 411 5/4/18 2:25 PM

412 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ความเห็นปรารภเบื้องปลาย ๔๔ ทิฏฐิ หรือความเห็นปรารภเบื้องปลาย (อปรันตกัปปิกะ) ท่ีมี ๔๔ นั้น แบ่งออกเป็น ๕ หมวด หมวดที่เหน็ ว่ามสี ญั ญาความจ�ำไดห้ มายรู้ (สญั ญีวาทะ) ๑๖ หมวดท่ีเหน็ วา่ ไมม่ สี ญั ญา (อสัญญีวาทะ) ๘ หมวดทีเ่ ห็นวา่ มสี ญั ญากไ็ ม่ใช่ ไมม่ สี ญั ญากไ็ มใ่ ช่ (เนวสัญญีนาสัญญวี าทะ) ๘ หมวดท่เี ห็นว่าขาดสูญ (อุจเฉทวาทะ) ๗ หมวดท่เี หน็ วา่ สภาพบางอย่างเป็นนพิ พานในปัจจุบัน (ทฏิ ฐธัมมนิพพานวาทะ) ๕ รวมเป็น ๔๔ ดงั รายละเอยี ด คอื ๑. หมวดเหน็ วา่ มสี ัญญา (สญั ญวี าทะ) ๑๖ (๑) ตนมรี ปู (๒) ตนไมม่ ีรปู (๓) ตนทั้งมีรปู ทัง้ ไมม่ รี ูป (๔) ตนมีรูปกม็ ิใช่ ไมม่ รี ปู ก็มใิ ช่ (๕) ตนมที ่สี ดุ (๖) ตนไม่มีที่สุด (๗) ตนทัง้ มีทส่ี ดุ ท้ังไม่มที ่สี ุด (๘) ตนมีทีส่ ดุ ก็มใิ ช่ ไมม่ ที ่สี ดุ กม็ ใิ ช่ (๙) ตนมีสัญญา (ความจำ� ได้หมายรู้) เป็นอันเดยี วกนั (๑๐) ตนมสี ัญญาต่างกนั (๑๑) ตนมีสญั ญาเล็กน้อย (๑๒) ตนมสี ญั ญาหาประมาณมไิ ด้ (๑๓) ตนมสี ขุ โดยส่วนเดยี ว (๑๔) ตนมที ุกขโ์ ดยสว่ นเดยี ว (๑๕) ตนมที ัง้ สุขทง้ั ทกุ ข์ (๑๖) ตนไมม่ ที กุ ข์ไม่มีสขุ ตนทั้ง ๑๖ ประเภทน้ี ตายไปแล้ว กม็ ีสัญญา คือความจำ� ได้หมายร้ทู ั้งส้ิน ๒. หมวดเห็นวา่ ไมม่ สี ญั ญา (อสัญญวี าทะ) ๘ เห็นว่าตั้งแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๘ ข้างต้น คือตนมีรูป จนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีท่ีสุด ก็มิใช่ ท้ัง ๘ ประเภทน้ี ตายไปแล้ว กไ็ มม่ สี ัญญา คือไม่มคี วามจำ� ได้หมายรู้ ๓. หมวดเห็นวา่ มสี ัญญากม็ ิใช่ ไมม่ ีสญั ญากม็ ใิ ช่ (เนวสญั ญนี าสัญญวี าทะ) ๘ เห็นว่าตั้งแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๘ ข้างต้น คือตนมีรูป จนถึงตนมีท่ีสุดก็มิใช่ ไม่มีท่ีสุด ก็มิใช่ ทงั้ ๘ ประเภทนี้ ตายไปแลว้ มสี ัญญากม็ ิใช่ ไมม่ สี ัญญากม็ ใิ ช่ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 412 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ พรหมชาลสูตร 413 ทั้งสามหมวดน้ี รวมเรียกว่า อุทธมาฆตนิกา แปลว่า พวกที่มีความเห็นเกี่ยวกับ ทีฆนิกาย สภาพเมือ่ ตายไปแลว้ จะเป็นอยา่ งไร ๔. หมวดเหน็ วา่ ขาดสูญ (อุจเฉทวาทะ) ๗ (๑) ตนท่ีเปน็ ของมนุษยแ์ ละสตั ว ์ (๒) ตนท่เี ปน็ ของทิพย์ มรี ปู กินอาหารหยาบ (๓) ตนทเ่ี ป็นของทพิ ย์ มีรูป สำ� เร็จจากใจ (๔) ตนที่เป็นอากาสานญั จายตนะ๑ (๕) ตนที่เปน็ วญิ ญาณัญจายตนะ (๖) ตนทเ่ี ปน็ อากจิ จญั ญายตนะ (๗) ตนที่เป็นเนวสญั ญานาสญั ญายตนะ ทง้ั เจด็ ประเภทนี้ เมื่อส้นิ ชพี แล้ว กข็ าดสูญ ไม่เกดิ อีก ๕. หมวดเหน็ สภาพบางอย่างเปน็ นิพพานในปัจจบุ นั (ทิฏฐธมั มนิพพานวาทะ) ๕ (๑) เห็นวา่ การเพียบพรอ้ มด้วยกามคุณ ๕ เปน็ นิพพานอย่างยอดในปจั จบุ นั (๒) (๓) (๔) (๕) เห็นวา่ การเพียบพรอ้ มด้วยฌานท่ี ๑ ท่ี ๒ ท่ี ๓ ที่ ๔ เป็นนพิ พาน อยา่ งยอดในปจั จบุ นั สรปู ในที่สุดได้ตรัสสรูปว่า สมณพราหมณ์ทุกพวกที่มีทิฏฐิความเห็นต่าง ๆ รวม ๖๒ ประการเหล่านี้ ย่อมได้เสวยอารมณ์ เพราะอาศัยอายตนะส�ำหรับถูกต้อง ๖ อย่าง (คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ) เพราะเหตุท่ีเสวยอารมณ์จึงเกิดตัณหาความทะยานอยาก เพราะเหตุท่ีมี ความทะยานอยาก จึงมีความยึดมั่นถือม่ัน เพราะเหตุที่มีความยึดม่ันถือม่ัน จึงมีภพ คือ ความมีความเป็น เพราะเหตุท่ีมีความมีความเป็น (ภพ) จึงมีชาติ คือความเกิด เพราะเหตุท่ีมี ความเกิด จึงมีความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก คร�่ำครวญ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ และความคับแค้นใจ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมติดอยู่ในข่ายแห่งความเห็นท้ัง ๖๒ น้ี เหมอื นปลาตดิ ข่ายฉะนัน้ ส่วนตถาคตเป็นผู้ถอนตัณหาอันจะน�ำให้เวียนอยู่ในภพได้แล้ว กายยังด�ำรงอยู่ ตราบใด ก็มีผู้แลเหน็ เมอื่ กายทำ� ลายไปแล้ว กไ็ ม่มีผูแ้ ลเหน็ ๑ ไดอ้ ธิบายศัพทไ์ ว้แลว้ หน้า ๑๙๓ - ๑๙๔ ข้อ ๒๑๓ หมายเลข (๗) ถึง (๙) PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 413 5/4/18 2:25 PM

414 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๒. สามัญญผลสูตร (สตู รวา่ ด้วยผลของความเป็นสมณะ) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ป่ามะม่วงของหมอชีวก ใกล้กรุงราชคฤห์ พร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ คืนวันเพ็ญ ๑๕ ค่�ำ อันเป็นวันอุโบสถ เดือน ๑๒ พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จ ไปเฝ้า ทูลถามถึงผลดีของความเป็นสมณะที่เห็นได้ในปัจจุบัน และตรัสเล่าว่า เคยไปถาม ครู๑ ท้ัง ๖ มาแล้ว แต่ตอบไม่ตรงค�ำถาม เปรียบเหมือนถามถึงเรื่องมะม่วง แต่ไปตอบ เร่อื งขนนุ ๒ จงึ ตอ้ งกลับ พระผู้มีพระภาคตรสั ตอบเปน็ ข้อ ๆ ดงั น้ี ๑. ผู้เคยเป็นทาสหรือกรรมกรของพระเจ้าอชาตศัตรู เม่ือออกบวชประพฤติตน ดีงามแล้ว จะทรงเรียกร้องให้กลับไปเป็นทาสหรือกรรมกรตามเดิมหรือไม่ พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสตอบว่า ไม่เรียกกลับ แต่จะแสดงความเคารพถวาย ปัจจัย ๔ และถวายความคุ้มครองอันเป็นธรรม ตรัสสรุปว่า นี่เป็นผลของ ความเป็นสมณะทเี่ ห็นไดใ้ นปัจจบุ ัน ๒. คนท�ำนาของพระเจ้าอชาตศัตรู เม่ือออกบวชประพฤติตนดีงามแล้ว จะทรง เรียกร้องให้กลับไปท�ำนาให้ตามเดิมหรือไม่ ตรัสตอบเหมือนข้อแรก จึงนับ เป็นผลของความเปน็ สมณะท่ีเห็นได้ในปัจจุบัน ๓. คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี ฟังธรรมเลื่อมใสแล้วออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ สมบรูณ์ด้วยศีล (พรรณนาศีลอย่างเล็กน้อย อย่างกลาง อย่างใหญ่ เหมือนใน พรหมชาลสูตร) ส�ำรวมอินทรีย์ คือตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ มใิ หบ้ าปอกุศลเกดิ ขน้ึ ท่วมทับจิต มีสติสัมปชัญญะ มีความสันโดษ ยินดีด้วยปัจจัย ๔ ตามมีตามได้ ออกป่าบ�ำเพ็ญสมาธิ ละกิเลสที่เรียกว่านีวรณ์ ๕ เสียได้ จึงได้บรรลุฌานที่ ๑ น้ี กเ็ ป็นผลของความเปน็ สมณะท่เี หน็ ไดใ้ นปจั จุบัน ๑ ครทู ง้ั หกคือ (๑) ปรู ณะ กัสสป (๒) มักขลิ โคสาละ (๓) อชติ ะ เกสกมั พล ๒ (๔) ปกธุ ะ กัจจายนะ (๕) นิคณั ฐะ นาฏบตุ ร (๖) สญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร ฝรงั่ แปลวา่ สาเก (bread fruit tree) ไทยแปลว่า ขนนุ บ้าง ขนนุ ส�ำมะลอบ้าง PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 414 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ สามัญญผลสูตร 415 ๔. ไดบ้ รรลุฌานที่ ๒ ทีฆนิกาย ๕. ได้บรรลุฌานท่ี ๓ ๖. ไดบ้ รรลุฌานที่ ๔ (ความเป็นไปแห่งฌานทั้งสี่มีรายละเอียดอย่างไร ได้แปลไว้แล้วในหน้า ๑๙๑ ขอ้ ๒๑๓ หมายเลข ๒ ถึง ๕) ๗. น้อมจิตไปเพื่อเกิดความรู้เห็นด้วยปัญญา (ญาณทัสสนะ) ว่า กายมีความแตก ท�ำลายไปเป็นธรรมดา วิญญาณก็อาศัยและเน่ืองในกายนี้ (วิปัสสนาญาณ ญาณ อนั ทำ� ใหเ้ หน็ แจง้ ) ๘. นริ มติ รา่ งกายอ่นื จากกายนีไ้ ด้ (มโนมยทิ ธิ คือฤทธท์ิ างใจ) ๙. แสดงฤทธิไ์ ด้ เชน่ น้อยคนทำ� ให้เปน็ มากคน มากคนท�ำใหเ้ ปน็ น้อยคน เดนิ บนน�ำ้ ด�ำดนิ เปน็ ตน้ (อทิ ธวิ ิธิ) ๑๐. มีหทู พิ ย์ ไดย้ นิ เสยี งใกล้ไกล ที่เกินวสิ ยั หูของมนุษย์ธรรมดา (ทพิ ยโสต) ๑๑. ก�ำหนดรูใ้ จผู้อ่ืนได้ (เจโตปริยญาณ) ๑๒. ระลึกชาตใิ นอดีตได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ) ๑๓. เห็นสัตว์อ่ืนตายเกิดด้วยตาทิพย์ (เรียกว่าทิพยจักษุ หรือจุตูปปาตญาณ คือ ญาณรู้ความตายและความเกดิ ของสัตว)์ ๑๔. รู้จักท�ำอาสวะ คือกิเลสที่หมักหมมหรือหมักดองในสันดานให้ส้ินไป (อาสวักขย ญาณ) แล้วตรัสสรูปในที่สุดแห่งทุกข้อว่า เป็นผลแห่งความเป็นสมณะท่ีเห็นได้ ในปจั จุบันสูงกว่ากันเป็นลำ� ดับ (เมอื่ จะย่อผลแห่งความเป็นสมณะทเ่ี หน็ ไดใ้ นปจั จุบันทั้ง ๑๔ ขอ้ นี้เปน็ หมวด ๆ ก็อาจ ยอ่ ได้ ๓ หมวด คือ หมวดที่ ๑ ท�ำให้พ้นจากฐานะเดิม คือพ้นจากความเป็นทาส เป็นกรรมกร พ้นจาก ความเป็นชาวนา ได้รับการปฏิบัติด้วยดี แม้จากพระมหากษัตริย์ คือ ผลขอ้ ๑ กับขอ้ ๒ หมวดที่ ๒ เม่ืออบรมจิตใจจนเป็นสมาธิ ก็เป็นเหตุให้ได้ฌานท่ี ๑ ถึง ๔ อันท�ำให้ ละกเิ ลสอย่างกลางได้ คอื ผลขอ้ ๓ ๔ ๕ และ ๖ หมวดที่ ๓ ท�ำให้ได้วิชชา ๘ อันเร่ิมแต่ข้อ ๗ ได้วิปัสสนาญาณ จนถึงข้อ ๑๔ ได้ อาสวักขยญาณ) PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 415 5/4/18 2:25 PM

416 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเล่ือมใส ปฏิญญาพระองค์เป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะตลอดชีวิต แล้วกราบทูลขอขมาในการที่ปลงพระชนมชีพพระราชบิดา (คือ พระเจ้าพิมพสิ าร) ซงึ่ พระผมู้ ีพระภาคก็ตรัสรบั ขมา เม่ือพระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จกลับแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสกับภิกษุท้ังหลายว่า ถา้ พระเจา้ อชาตศัตรูไม่ปลงพระชนมพ์ ระราชบดิ า กจ็ ะได้ดวงตาเห็นธรรม (เป็นพระโสดาบัน) ๓. อมั พฏั ฐสูตร (สตู รวา่ ดว้ ยการโต้ตอบกับอมั พฏั ฐมาณพ) พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จ แวะพัก ณ หมู่บ้านพราหมณ์ช่ืออิจฉานังคละ ใกล้เมืองอุกกัฏฐา ซึ่งโปกขรสาติพราหมณ์ ได้รับมอบหมายจากพระเจา้ ปเสนทใิ หเ้ ป็นผคู้ รอบครอง โปกขรสาติพราหมณ์ได้ยินกิตติศัพท์สรรเสริญพระพุทธเจ้า จึงใช้อัมพัฏฐมาณพ ผเู้ ป็นศษิ ย์ให้ไปเฝา้ เพอ่ื สงั เกตดวู า่ จะมีมหาปุริสลกั ษณะครบตามคัมภีร์มนต์ของตนหรือไม่ อัมพัฏฐมาณพไปแสดงอาการอวดดี คือพระผู้มีพระภาคประทับนั่ง แต่ตนเดินบ้าง ยืนบ้าง สนทนาด้วย เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเตือน จึงประกาศตนว่าเป็นพราหมณ์ ควร แสดงอาการอย่างนี้ต่อคนชั้นไพร่ศีรษะโล้น ซึ่งเกิดจากเท้าของพระพรหม (เป็นความนิยม ของพวกพราหมณ์ว่า ถ้าโกนศีรษะจะถูกเหยียดหยามเป็นคนชั้นต่�ำ) และเพิ่มความโกรธเคือง ยิ่งขึ้น เม่ือพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ‘อัมพัฏฐมาณพยังไม่จบพรหมจรรย์ของพราหมณ์ แต่สำ� คญั ตนว่าจบแล้ว’ จึงด่าสกุลศากยะว่าเปน็ สกลุ ทาสสกลุ ไพร่ ไมเ่ คารพพราหมณ์ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ศากยสกุลเคยท�ำผิดอะไรไว้ จึงเล่าว่า คร้ังหน่ึงตน เดินทางไปกรุงกบิลพัสดุ์ด้วยธุระบางอย่างของโปกขรสาติพราหมณ์ ได้เข้าไปสู่อาคารโถง ของเจา้ ศากยะ เจา้ ศากยะและศากยกมุ ารมากหลายนง่ั บนอาสนะสงู ในอาคารโถง ตา่ งซกิ ซจี้ กี้ นั ด้วยนิ้วมือ ชะรอยจะหัวเราะตนก็เป็นได้ ไม่มีใครสักคนหนึ่งกล่าวเชิญตนด้วยอาสนะ การไม่เคารพนับถือ ไม่อ่อนน้อมพราหมณ์ ของเจ้าศากยะไพร่ ๆ อย่างนั้นเป็นการไม่สมควร นเ่ี ป็นการประณามศากยสกุลวา่ เป็นไพรค่ รงั้ ที่ ๒ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า แม้นกไส้ เม่ืออยู่ในรังของตนก็ยังส่งเสียงร้องตามชอบใจ เจ้าศากยะเหล่าน้ันถือว่ากรุงกบิลพัสดุ์เป็นของตน จึงยังไม่น่าจะถือโทษด้วยเหตุเพียง เลก็ น้อยเทา่ นี้ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 416 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ อัมพัฏฐสูตร 417 อัมพัฏฐมาณพอ้างเหตุผลต่อไปว่า ในวรรณะทั้งส่ีนั้น วรรณะทั้งสาม คือ กษัตริย์ ทีฆนิกาย แพศย์ (พ่อค้า) และศูทร (คนงาน) ย่อมตกอยู่ในฐานะเป็นผู้บ�ำเรอพวกพราหมณ์ การท่ี เจ้าศากยะไพร่ ๆ ไม่เคารพนับถือไม่อ่อนน้อมพราหมณ์ จึงเป็นการไม่สมควร น่ีเป็น การประณามศากยสกุลวา่ เปน็ ไพรค่ ร้งั ท่ี ๓ พระผู้มีพระภาคเห็นอัมพัฏฐมาณพกล่าวรุกรานศากยสกุลอย่างหนักเช่นน้ัน จึงตรัส ถามว่า ท่านสกุล (โคตร) อะไร เม่ืออัมพัฏฐมาณพกราบทูลว่า กัณหายนโคตร พระองค์จึง ตรัสเตือนให้ระลึก (ประวัติศาสตร์) ว่า ต้นสกุลของศากยะ คือพระเจ้าโอกกากราช ซึ่งเป็น กษัตริย์ แต่ต้นสกุลของกัณหายนะ คือนางทาสีของพระเจ้าโอกกากราชผู้มีนามว่า ทิสา ก็เม่ือ ต้นสกุลศากยะเป็นลูกกษัตริย์ ต้นสกุลกัณหายนะ เป็นลูกนางทาสีเช่นนั้น ก็จงระลึกถึง สกุลดงั้ เดมิ ดเู ถิด มาณพทั้งหลายที่ตามมาด้วย ก็พูดอ้ืออึง ห้ามพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระโคดมอย่า ได้กล่าวหาว่าอัมพัฏฐมาณพเป็นลูกทาสีเลย เพราะอัมพัฏฐมาณพมีชาติอันดี สดับตรับฟังมาก มถี อ้ ยค�ำอันดงี าม และเป็นบัณฑิต พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามอัมพัฏฐมาณพว่า ที่พระองค์ตรัสอย่างนี้ เป็นความจริง หรือไม่ อัมพัฏฐมาณพนิ่งอ้ึง พระผู้มีพระภาคตรัสย้�ำถามถึงคร้ังที่ ๓ จึงยอมตอบรับว่าเป็น ความจริง มาณพท่ีมาด้วย จึงอ้ืออึง ประณามว่า อัมพัฏฐมาณพเป็นลูกทาสี มีชาติไม่ดี พระสมณโคดมพดู เป็นธรรม เราหลงรกุ รานวา่ พดู ไม่ถกู พระผู้มีพระภาคทรงเห็นมาณพเหล่าน้ันกลับไปรุกรานอัมพัฏฐมาณพเช่นน้ัน ก็ตรัสห้าม และทรงเล่าถึงความย่ิงใหญ่ของกัณหะ (บุตรทาสี) ผู้เดินทางไปเรียนพรหมมนต์ ณ ชนบทภาคใต้ แล้วกลับมาขอพระราชธิดาของพระเจ้าโอกกากราชนามว่า มัททรูปี คร้ังแรก พระเจ้าโอกกากราชไม่พระราชทาน ในท่ีสุดก็พระราชทาน เพราะเกรงฤทธิ์ของกัณหะ (เปน็ การตรสั ชว่ ยแก้หนา้ ใหแ้ ก่อัมพัฏฐมาณพ) ต่อจากนั้นตรัสถามถึงประเพณีนิยม เพื่อให้อัมพัฏฐมาณพตอบเป็นข้อ ๆ เกี่ยวกับ กษตั รยิ ์ กบั พราหมณใ์ ครจะสงู กว่ากัน (เพือ่ ใหค้ ลายความถอื ด)ี คือ ๑. บุตรท่ีเกิดจากบิดาเป็นกษัตริย์ มารดาเป็นพราหมณ์ จะได้อาสนะ (ที่น่ัง) และน�้ำ ในพวกพราหมณ์หรอื ไม ่ ตอบวา่ ได้ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 417 5/4/18 2:25 PM

418 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ พวกพราหมณ์จะยอมให้บริโภคอาหารในพิธีสารท (อาหารอุทิศให้ผู้ตาย) ใน พิธีถาลิปากะ (อาหารเน่ืองในงานมงคล) ในยัญญพิธี (อาหารในการบูชายัญ) และในปาหุนะ (อาหารตอ้ นรบั แขก) หรือไม ่ ตอบว่า ย่อมให้บรโิ ภค พวกพราหมณ์จะสอนมนต์ให้หรอื ไม่ ตอบวา่ สอน จะหา้ มผู้นน้ั แตง่ งานกับสตรีพราหมณ์หรอื ไม ่ ตอบวา่ ไมห่ า้ ม จะไดร้ บั อภิเษกเป็นกษตั รยิ ห์ รือไม ่ ตอบวา่ ไม่ เพราะเหตไุ ร ตอบวา่ เพราะยงั ไมบ่ ริสุทธฝ์ิ ่ายมารดา ๒. บุตรท่ีเกิดจากบิดาเป็นพราหมณ์ มารดาเป็นกษัตริย์ จะได้ท่ีนั่ง ได้น้�ำ เป็นต้น หรอื ไม ่ ตอบวา่ ได้ จะหา้ มผู้น้ันแต่งงานกับสตรพี ราหมณห์ รอื ไม ่ ตอบว่า ไมห่ า้ ม จะไดอ้ ภเิ ษกเปน็ กษตั ริยห์ รอื ไม่ ตอบว่า ไม่ เพราะเหตไุ ร ตอบว่า เพราะยังไม่บริสทุ ธิฝ์ ่ายบิดา (ตรสั สรุปเพียงชัน้ นกี้ อ่ นวา่ ) นี่แหละเมือ่ เปรียบหญิงกับหญิง เปรียบชายกบั ชาย กนั แลว้ กษตั รยิ ก์ ป็ ระเสรฐิ กวา่ และพราหมณเ์ ลวกวา่ (เพราะอมั พฏั ฐมาณพยอม รับรองตามประเพณีนิยมว่า กษัตริย์มาเก่ียวข้องกับพราหมณ์ ท�ำให้กษัตริย์ไม่ บริสทุ ธิ)์ ครัน้ แลว้ ตรัสถามต่อไปอกี ว่า ๓. พราหมณ์ท่ีถูกลงโทษโกนศีรษะ ถูกเอาข้ีเถ้าโรยศีรษะ ถูกเนรเทศจากรัฏฐะ หรือจากนคร จะได้ทน่ี ัง่ และน้�ำ ในพวกพราหมณห์ รือไม ่ ตอบว่า ไมไ่ ด้ จะร่วมบรโิ ภคอาหารในพธิ ีกรรมตา่ ง ๆ หรือไม ่ ตอบวา่ ไม่ได้ พราหมณ์จะสอนมนต์ให้หรอื ไม ่ ตอบว่า ไม่ จะถูกห้ามแตง่ งานกับสตรีพราหมณ์หรือไม ่ ตอบว่า ถูกหา้ ม ๔. กษัตริย์ที่ถูกลงโทษโกนศีรษะ ถูกเอาข้ีเถ้าโรยบนศีรษะ ถูกเนรเทศจากรัฏฐะ หรือจากนคร จะไดท้ น่ี ง่ั และนำ�้ ในพวกพราหมณห์ รือไม ่ ตอบวา่ ได้ จะได้รว่ มบริโภคอาหารในพิธกี รรมต่าง ๆ หรอื ไม่ ตอบวา่ ได้ พราหมณ์จะสอนมนตใ์ หห้ รือไม ่ ตอบวา่ สอน จะถูกหา้ มแตง่ งานกับสตรีพราหมณห์ รอื ไม ่ ตอบวา่ ไมห่ า้ ม จึงตรัสสรูปให้เห็นว่ากษัตริย์ประเสริฐกว่าพราหมณ์ แล้วตรัสรับรองภาษิตของ พรหมชอื่ สนงั กมุ ารที่ว่า PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 418 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ อัมพัฏฐสูตร 419 ”ในหมู่ชนที่ถือโคตร กษัตริย์ประเสริฐสุด แต่ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ทีฆนิกาย (ความรู้และความประพฤติ) ผู้น้ันประเสริฐสุดในเทวดาและมนุษย์„ (สุภาษิตนี้ ถือว่าความรู้ ความประพฤติสำ� คญั กวา่ ชาติสกลุ ) เมื่ออัมพัฏฐมาณพกราบทูลถามว่า ความประพฤติและความรู้น้ันเป็นอย่างไร จึงตรัสตอบเป็นใจความวา่ ”ใครก็ตามยังถือชาติ ถือโคตร ถือตัว ถืออาวาหะ วิวาหะ คนเหล่าน้ันย่อมอยู่ ห่างไกลจากความรู้และความประพฤติอันยอดเย่ียม ต่อเมื่อละความถือชาติ ถือโคตร ถือตัว ถอื อาวาหะ ววิ าหะได้ จึงจะทำ� ให้แจ้งไดซ้ ่งึ ความรู้และความประพฤติอันยอดเยยี่ ม„ คร้ันแล้วตรัสอธิบายถึงการที่กุลบุตรออกบวชตั้งอยู่ในศีลธรรม บ�ำเพ็ญฌาน ๔ และวชิ ชา ๘ (ดงั ทก่ี ลา่ วแลว้ ในสามญั ญผลสตู ร) วา่ ”ชอ่ื วา่ สมบรู ณด์ ว้ ยความรแู้ ละความประพฤติ อยา่ งยอดเยี่ยม ไมม่ คี วามรู้ความประพฤติอนื่ ย่ิงกวา่ „ ครั้นแล้วได้ทรงแสดงปากทางแห่งความเสื่อม ๔ ประการของความสมบูรณ์ด้วย ความรแู้ ละความประพฤตินั้น คอื สมณพราหมณ์ผมู้ ิไดบ้ รรลคุ วามร้แู ละความประพฤตินั้น ๑. หาบบรขิ ารของนักบวชออกปา่ กินผลไมท้ ี่ตก ๒. ท�ำอยา่ งขอ้ ๑ ไมไ่ ด้ จึงถอื จอบและตะกรา้ ออกป่ากนิ เผอื กมนั ผลไม้ ๓. ท�ำอย่างข้อ ๑ - ๒ ไม่ได้ จึงสร้างโรงบูชาไฟขึ้นที่ท้ายคามหรือนิคม บ�ำเรอไฟอยู่ (คอยหาเชือ้ เพลิงใสไ่ ฟมิใหด้ บั เปน็ การบำ� เรอไฟหรืออัคนีเทพ) ๔. ท�ำอยา่ งขอ้ ๑ - ๒ - ๓ ไม่ได้ ก็ปลูกบ้านมปี ระตู ๔ ดา้ น ในถนน ๔ แยก เพือ่ คอย บูชาสมณพราหมณ์ซ่ึงเดินทางมาแต่ ๔ ทิศ ตามก�ำลังความสามารถ (อรรถกถา อธิบายว่า เอาดที างคณุ ธรรมชั้นสูงไมไ่ ด้ ก็เอาดที างบวชเปน็ ดาบส) คร้ันแล้วตรสั ถามอัมพฏั ฐมาณพวา่ ตวั อัมพัฏฐมาณพพรอ้ มทงั้ อาจารย์ สมบรู ณด์ ว้ ย ความรู้และความประพฤติดังกล่าวแล้วหรือเปล่า เม่ือตอบว่า เปล่า และว่ายังห่างไกลจาก คุณสมบัติเช่นนั้น จึงตรัสถามต่อไปว่า เพียงกระท�ำแบบดาบส ๔ ประเภทน้ัน ท�ำได้หรือเปล่า ตอบว่า ท�ำไม่ได้ จึงตรัสสรูปให้ฟังว่า ตัวอัมพัฏฐมาณพพร้อมท้ังอาจารย์ เส่ือมจากความ สมบูรณ์ด้วยความรู้ความประพฤติ (วิชชาจรณะ) อันยอดเย่ียม และเส่ือมจากปากทางแห่ง ความเสอ่ื ม ๔ อย่าง ของความร้แู ละความประพฤตนิ น้ั (เป็นการเตอื นให้เห็นวา่ ที่ทนงตนมาแต่ เดิมนั้น ท่ีแท้ก็ไม่มีอะไรเป็นช้ินเป็นอันเลย แม้ขนาดคุณสมบัติชั้นเลว ๆ ของผู้ไม่สามารถมี ความรคู้ วามประพฤติอนั ยอดเย่ยี มน้นั คอื เพยี งแคท่ ำ� อยา่ งดาบส ก็ท�ำไมไ่ ด้) PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 419 5/4/18 2:25 PM

420 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ คร้ันแล้วทรงแสดงถึงความผิดพลาดของโปกขรสาติพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ของอัมพัฏฐ มาณพ (๒ ประการ) คอื (๑) พูดว่า ”สมณะศรี ษะโล้นเป็นไพร่ เปน็ พวกดำ� เป็นผเู้ กิดจากเทา้ พรหม จะเจรจากับพราหมณ์ ผู้รู้วิชชา ๓ (รู้ไตรเพท) ได้อย่างไร„ แต่ตัวเองก็เสื่อมหรือไม่มีวิชชาน้ัน บรบิ รู ณ์อะไรเลย (๒) บริโภคของพระราชทานจากพระเจา้ ปเสนทิโกศล แต่พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ไม่โปรดให้โปกขรสาติพราหมณ์น้ันอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์ เม่ือจะทรงปรึกษาอะไรด้วย ก็ทรงปรึกษาโดยมีม่านก้ัน โปกขรสาติพราหมณ์รับภิกษาท่ีเป็นของพระราชทานโดยธรรม แต่ทำ� ไมเลา่ พระเจ้าปเสนทโิ กศลจึงไมท่ รงอนุญาตใหพ้ ราหมณ์นน้ั อยู่ในท่ีเฉพาะพระพกั ตร์๑ แล้วตรัสถามอัมพัฏฐมาณพว่า เพียงที่คนวรรณะศูทรหรือทาสของศูทรยืนในที่ซ่ึง พระเจ้าปเสนทิประทับบนคอช้าง หรือประทับยืนบนเครื่องลาดเพื่อเสด็จขึ้นสู่รถ หรือในท่ีซึ่ง ทรงปรึกษาเร่ืองอะไร ๆ กับมหาอ�ำมาตย์ผู้ใหญ่หรือกับเจ้านาย แล้วคนวรรณะศูทรหรือทาส ของศูทรเหล่านั้นกล่าวถ้อยค�ำว่า ”พระเจ้าปเสนทิโกศลมีพระราชด�ำรัสอย่างน้ี ๆ„ (พูดเลียน พระราชด�ำรัส) จะท�ำให้ศูทรหรือทาสของศูทร กลายเป็นพระราชาหรือราชมหาอ�ำมาตย์ไปได้ หรอื ไม่ เมอื่ อัมพฏั ฐมาณพตอบวา่ เปน็ ไมไ่ ด้ จึงตรสั เปรยี บเทียบใหฟ้ งั ว่า พวกพราหมณ์สมัยนี้พากันสวดหรือกล่าวตามบทแห่งมนต์เก่าแก่ ซ่ึงพวกฤษี รุ่นก่อน ๆ ได้เคยสวดมาแล้ว เช่น ฤษีอัฏฐกะ วามกะ วามเทพ เวสสามิตต์ (วิศวามิตร) ยมตัคคี อังคีรส ภารทวาชะ วาเสฏฐะ กัสสปะ ภคุ ตัวอัมพัฏฐมาณพ พร้อมด้วยอาจารย์ก็ เรียนมนต์เหล่านั้น เพียงเท่าน้ันจะท�ำให้อัมพัฏฐมาณพเป็นฤษีหรือผู้ปฏิบัติเพ่ือเป็นฤษี ไดห้ รอื ไม่ อัมพัฏฐมาณพตอบว่า เป็นไม่ได้ แล้วตรสั ถามวา่ พวกฤษีรนุ่ กอ่ น ๆ เพียบพรอ้ มไปดว้ ยกามคณุ ๕ บรโิ ภคอาหารดี ๆ มีสตรีผู้ประดับด้วยผ้าและสายรัดเอวคอยบ�ำเรอ ขี่รถเทียมด้วยม้า ใช้ปฏักยาว ๆ แทง สตั ว์พาหนะ เทย่ี วไปในที่ตา่ ง ๆ มบี ุรุษผูกสอดดาบยาวคอยอารกั ขาในนคร ซึง่ มเี ครอ่ื งอปุ กรณ์ พร้อมสรรพ มีคูอันขุดไว้ มีซ่ีเหล็กอันยกข้ึนไว้ (ที่ประตู) เหมือนอย่างตัวท่าน พร้อมด้วย อาจารย์ในสมัยนี้หรือไม่ อัมพัฏฐมาณพตอบว่า ฤษีรุ่นก่อน ๆ ไม่ท�ำอย่างน้ี จึงตรัสสรูป ใหเ้ หน็ วา่ อัมพัฏฐมาณพ พรอ้ มท้ังอาจารยม์ ไิ ด้เป็นฤษี หรอื ผ้ปู ฏบิ ตั เิ พ่ือเปน็ ฤษี ๑ แสดงว่าความจริงพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงปฏิบัติต่อพราหมณ์ไม่ใช่ในฐานะสูงศักดิ์กว่าพระองค์อย่างไรเลย แมเ้ ช่นนัน้ พราหมณ์นั้นก็ยังยกย่องตัวเองว่าสงู กวา่ กษตั รยิ ์ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 420 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ โสณทัณฑสูตร 421 อัมพัฏฐมาณพได้สังเกตพระพุทธลักษณะ แต่ยังมีอยู่บางข้อที่เห็นไม่ได้ เช่น ทีฆนิกาย พระคุยหฐาน ต้ังอยู่ในฝัก และพระชิวหา (ใหญ่ยาว) พอจะปิดพระพักตร์และช่องพระนาสิก พระโสตได้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงอิทธาภิสังขาร (แสดงฤทธิ์) และทรงกระท�ำให้เห็นได้ อัมพัฏฐมาณพกลับไปเล่าให้โปกขรสาติพราหมณ์ฟังทุกประการ โปกขรสาติพราหมณ์ โกรธที่อัมพัฏฐมาณพไปรุกรานพระผู้มีพระภาค จึงใช้เท้าเตะ และใคร่จะไปเฝ้า แต่พวก พราหมณ์คา้ นวา่ ค�่ำแล้วควรไปในวันรงุ่ ขนึ้ แต่โปกขรสาติพราหมณ์คงไปจนได้ โดยให้จุดคบเพลิง เม่ือไปเฝ้ากราบทูลถามเรื่อง ท่ีโต้ตอบกับอัมพัฏฐมาณพแล้ว จึงกราบทูลขอโทษแทนอัมพัฏฐมาณพ ซึ่งพระผู้มีพระภาค กม็ ีพระพุทธดำ� รัสวา่ อัมพัฏฐมาณพจงเป็นสขุ เถิด โปกขรสาติพราหมณ์พิจารณาพระพุทธลักษณะและได้เห็นครบ ๓๒ (ต้องตาม ลักษณะมนต์ของตน) แต่ ๒ ข้อเห็นไม่ได้ พระผู้มีพระภาคต้องทรงแสดงฤทธิ์และท�ำให้เห็น แล้วจึงอาราธนาพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ไปฉันในวันรุ่งขึ้น และเช้าวันรุ่งขึ้น เม่ือถวายภัตตาหารเสร็จแล้ว ได้สดับพระธรรมเทศนาเร่ืองอนุบุพพิกถา๑ และอริยสัจจ์ ๔ ได้ดวงตาเห็นธรรม จึงประกาศตน พร้อมทั้งบุตร ภริยา บริษัทและอ�ำมาตย์ เป็นอุบาสกถึง พระรตั นตรยั เปน็ สรณะตลอดชวี ติ ๔. โสณทณั ฑสตู ร (สูตรวา่ ด้วยพราหมณช์ ื่อโสณทณั ฑะ) พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นอังคะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสดจ็ แวะพัก ณ กรงุ จัมปา ประทบั ท่ีรมิ ฝง่ั สระน้ำ� ชอื่ คคั ครา คร้ังนั้นพราหมณ์ชื่อโสณทัณฑะได้รับพระราชทานจากพระเจ้าพิมพิสารให้ครอง กรุงจัมปา พราหมณ์คฤหบดีชาวกรุงจัมปาได้ทราบว่าพระผู้มีพระภาคประทับ ณ ริมสระน้�ำ ช่ือคัคครา และพระองค์เป็นผู้มีกิตติศัพท์ขจรขจายไปว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และอืน่ ๆ อีก จงึ ชวนกันเดินทางไปเพื่อจะเฝา้ เป็นกลมุ่ ๆ โสณฑัณฑพราหมณ์ซึ่งเข้านอนกลางวันชั้นบนปราสาท มองเห็นพราหมณ์คฤหบดี ชาวกรุงจัมปาเดินทางไปเปน็ กลมุ่ ๆ เชน่ น้นั จงึ เรยี กมหาอ�ำมาตย์ สนองโอฐ (ขตั ตะ)๒ มาถาม ทราบความแล้ว จึงสัง่ ใหค้ นเหล่าน้นั คอย เพ่อื ตนจะได้ร่วมเดนิ ทางไปด้วย ๒๑ การสอนเรอื่ งทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม และอานสิ งส์ในการออกบวช ฝร่ังแปลว่า คนเฝ้าประตู แต่อรรถกถาอธบิ ายวา่ เป็นมหาอ�ำมาตยผ์ ู้สามารถในการตอบคำ� ถาม PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 421 5/4/18 2:25 PM

422 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ พวกพราหมณ์ชาวต่างแดนประมาณ ๕๐๐ คน ท่ีมาพักในกรุงจัมปาด้วยกรณียกิจ บางอย่าง ทราบว่าโสณทัณฑพราหมณ์จะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ก็เข้าไปห้ามไว้ อ้างความ ยิ่งใหญ่ของโสณทัณฑพราหมณ์โดยชาติโดยทรัพย์ โดยความรู้ในไตรเพท โดยความเป็นผู้มี รูปงาม โดยศีล โดยมีวาจาไพเราะ โดยเป็นอาจารย์ของคนมาก โดยมีมาณพเป็นอันมาก มาจากต่างทิศ ต่างชนบท เพ่ือเรียนมนต์ โดยเป็นผู้แก่กว่าพระสมณโคดม โดยเป็นผู้ได้รับ ความเคารพนับถือจากพระเจ้าพิมพิสารและโปกขรสาติพราหมณ์ โดยเป็นผู้ครองกรุงจัมปา จงึ ไมค่ วรไปหาพระสมณโคดม ควรท่ีพระสมณโคดมจะมาหามากกว่า โสณทัณฑพราหมณ์ตอบอ้างความย่ิงใหญ่ของพระผู้มีพระภาคโดยพระชาติ โดย ละทรัพย์สมบัติออกผนวช โดยมีพระรูปงดงาม โดยมีศีล มีถ้อยค�ำไพเราะ โดยเป็นอาจารย์ ของคนมาก โดยเป็นผู้สิ้นกามราคะ โดยเป็นกัมมวาที กิริยวาที (กล่าวว่า ท�ำดีได้ดี ท�ำช่ัว ได้ชั่ว) โดยออกบวชจากสกุลกษัตริย์อันสูง ไม่เจือปน (สกุลอ่ืน) โดยออกบวชจากสกุลมั่งค่ัง มีทรัพย์มาก มีคนจากรัฐอ่ืน จากชนบทอ่ืน มากราบทูลถามปัญหา มีเทพดาอเนกนับหลายพัน พากันถึงพระสมณโคดมเป็นสรณะ มีกิตติศัพท์ขจรขจายไปว่า เป็นพระอรหันตสัมมา สมั พุทธเจ้า เป็นตน้ โดยประกอบดว้ ยมหาปรุ สิ ลักษณะ ๓๒ ประการ โดยทรงตอ้ นรับปราศรยั ให้บันเทิง มีบริษัท ๔ เคารพนับถือ มีเทวาและมนุษย์ทั้งหลายเลื่อมใสยิ่ง ประทับในคามนิคม ใด ๆ อมนุษย์ก็ไม่เบียดเบียนในที่น้ัน โดยมีผู้กล่าวว่า ทรงเป็นคณาจารย์เลิศกว่าเจ้าลัทธิ เป็นอันมาก มีพระยศเฟื่องฟุ้งไปเพราะความรู้ ความประพฤติ (วิชชา จรณะ) ไม่เหมือน สมณพราหมณ์เหล่านั้น พระเจ้าพิมพิสาร พร้อมทั้งโอรส มเหสี บริษัทและอ�ำมาตย์ พระเจ้า ปเสนทิโกศล พร้อมท้ังโอรส ฯ ล ฯ โปกขรสาติพราหมณ์ พร้อมทั้งบุตร ภริยา ฯ ล ฯ ก็ถึง พระสมณโคดมเป็นสรณะ เมื่อเสด็จมา จึงช่ือว่าเป็นแขกที่เราจะพึงถวายความเคารพสักการะ เพราะเหตุน้ี จึงไม่ควรท่ีจะให้พระองค์เสด็จมาหาเรา ควรท่ีเราจะไปเฝ้าพระองค์ เม่ือ โสณทัณฑพราหมณ์กล่าวพรรณนาพระพุทธคุณอย่างนี้ พราหมณ์ที่คัดค้านก็กล่าวว่า ถ้า พระสมณโคดมเป็นเช่นทีท่ ่านกล่าวน้ี แมอ้ ย่ไู กลรอ้ ยโยชน์กค็ วรจะสะพายเสบียงเดนิ ทางไปเฝ้า ขณะที่ไปเฝ้าน้ัน โสณทัณฑพราหมณ์เกิดความปริวิตกว่า ตนจะถามปัญหาไม่ได้ดีบ้าง จะตอบปญั หาไม่ได้ดบี า้ ง คร้ันจะไปพอใกลแ้ ล้วกลับเสีย ก็จะถกู หาวา่ เปน็ คนโง่ จงึ กลวั ไม่กล้า เข้าใกล้บ้าง ความผิดพลาดแต่ละข้อน้ีจะท�ำให้บริษัทจับผิด เป็นเหตุให้เสื่อมยศ เส่ือมทรัพย์ แต่พระผู้มีพระภาคทรงรู้วาระจิตของพราหมณ์ จึงทรงเลือกถามปัญหาท่ี โสณทัณฑพราหมณ์เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ คือปัญหาไตรเพท ซ่ึงท�ำให้โสณทัณฑพราหมณ์ ดีใจมาก คือตรัสถามว่า ผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติกี่อย่างจึงบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ได้ และ ควรเรียกตัวเองไดว้ ่าเป็นพราหมณ์ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 422 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ โสณทัณฑสูตร 423 โสณทณั ฑพราหมณต์ อบวา่ ทีฆนิกาย ๑. มีชาติดี คอื เกดิ จากมารดาบิดาเป็นพราหมณ์ สืบสายมา ๗ ช่วั บรรพบุรุษ ๒. ท่องจำ� มนต์ในพระเวทได้ ๓. มีรูปงาม ๔. มศี ีล ๕. เปน็ ผูฉ้ ลาดมปี ัญญา ตรัสถามว่า ใน ๕ อย่างนี้ ถ้าลดลงเสีย ๑ เหลือ ๔ พอจะก�ำหนดคุณสมบัติของ ผู้ควรเป็นพราหมณไ์ ดห้ รือไม่ โสณทณั ฑพราหมณต์ อบวา่ ตัดขอ้ มีผิวพรรณดอี อก ตรัสถามว่า ถ้าลดลงเสียอีก ๑ เหลือ ๓ จะลดอะไร โสณทัณฑพราหมณ์ลดข้อ ทอ่ งจ�ำมนต์ ตรัสถามว่า ถ้าลดลงเสียอีก ๑ เหลือ ๒ จะลดอะไร โสณทัณฑพราหมณ์ลดข้อท่ี เกี่ยวกับชาติ คอื ก�ำเนิดจากมารดาบิดาเปณ็ พราหมณ์ พอลดข้อนี้ พวกพราหมณ์ท่ีมาด้วย ก็ช่วยกันขอร้องว่า อย่ากล่าวอย่างน้ัน เพราะ เปน็ การกล่าวกระทบผวิ พรรณ กระทบมนต์ กระทบชาติ จะเสยี ทแี กพ่ ระสมณโคดม โสณทัณฑพราหมณ์ก็โต้ตอบว่า หลานของตนคืออังคกะมาณพท่ีน่ังอยู่ในที่ประชุมน้ี มีผิวพรรณดี ท่องจ�ำมนต์ได้ดี เกิดดีจากมารดาบิดาท้ังสองฝ่าย ซึ่งเป็นพราหมณ์สืบต่อมา ๗ ช่ัวบรรพบุรุษ แต่ก็ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ด่ืมน�้ำเมา ผิวพรรณ มนต์ ชาติ จะท�ำอะไรได้ เมื่อใดพราหมณ์เป็นผู้มีศีล มีปัญญา รวม ๒ คุณสมบัตินี้ จึงควร บัญญตั ิวา่ เป็นพราหมณ์ และควรเรยี กตัวเองว่าเป็นพราหมณ์ พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ถ้าลดเสีย ๑ เหลือ ๑ พอจะก�ำหนดคุณสมบัติของ ผู้ควรเป็นพราหมณ์ได้หรือไม่ โสณทัณฑพราหมณ์กราบทูลว่า ลดไม่ได้ เพราะศีลช�ำระปัญญา ปัญญาช�ำระศีล ในที่ใดมีศีลในที่นั้นมีปัญญา ในท่ีใดมีปัญญาในที่น้ันมีศีล ศีลกับปัญญา กล่าวได้ว่าเป็นยอดในโลก เปรียบเหมือนใช้มือล้างมือใช้เท้าล้างเท้า ศีลกับปัญญาก็ช�ำระกัน และกันฉันนนั้ พระผู้มีพระภาคตรัสรับรองภาษิตของโสณทัณฑพราหมณ์ว่าถูกต้อง และตรัสถาม ต่อไปว่า ศีลเป็นอย่างไร ปัญญาเป็นอย่างไร โสณทัณฑพราหมณ์จึงกราบทูลให้พระผู้มีพระภาค ตรัสอธิบาย พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถึงการที่บุคคลเลื่อมใสในพระองค์ ออกบวชประพฤติ พรหมจรรย์ ตั้งอยู่ในศีล ๓ ชั้น (ด่ังในสามัญญผลสูตร) บ�ำเพ็ญสมาธิจนได้บรรลุฌานที่ ๑ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 423 5/4/18 2:25 PM

424 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ท่ี ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และไดว้ ชิ ชา ๘ มวี ิปัสสนาญาณ เปน็ ตน้ มีอาสวักขยญาณเป็นทส่ี ดุ (ด่ังไดก้ ล่าว ไวแ้ ล้วในสามัญญผลสตู ร) เป็นอันตรัสอธิบายถงึ ศลี และอธบิ ายถึงปญั ญา (รวบยอดท่ปี ญั ญา อันท�ำให้สิน้ อาสวะคือกเิ ลสทีห่ มกั ดองในสันดาน) เมื่อพระผู้มีพระภาคแสดงธรรมจบ โสณทัณฑพราหมณ์กราบทูลสรรเสริญ พระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต แล้วอาราธนา พระผมู้ ีพระภาค พรอ้ มดว้ ยภิกษุสงฆ์ฉันในวันรุง่ ขึน้ ครั้นรุ่งขึ้นถวายภัตตาหารเสร็จแล้ว จึงกราบทูลว่า ถ้าตนอยู่ในบริษัท ลุกขึ้นจาก อาสนะกราบถวายบังคมก็ตาม ถ้าไปในยาน ลงจากยานกราบถวายบังคมก็ตาม พวกบริษัท ก็จะจับผิดได้ เป็นเหตุให้เสื่อมยศ เม่ือยศเส่ือมก็จะท�ำให้เสื่อมทรัพย์ เพราะได้ทรัพย์มา เพราะยศ ถ้าตนไปในบริษัทประคองอัญชลี ขอให้ทรงถือว่าตนลุกข้ึนจากอาสนะ ถ้าไปในยาน ยกปฏักข้ึน ขอให้ทรงถือว่าตนลงจากยาน ถ้าเบี่ยงร่ม๑ ขอให้ทรงถือว่าตนกราบถวายบังคม ด้วยเศยี รเกลา้ (หมายเหตุ : พระสูตรนีแ้ สดงวา่ โสณทัณฑพราหมณ์ยอมตดั ความสำ� คญั เร่ืองผวิ พรรณ เรอ่ื งมนต์ เรอื่ งชาตกิ ำ� เนดิ ของพราหมณท์ ง้ิ ใหเ้ หลอื แตศ่ ลี กบั ปญั ญา กท็ ำ� ใหค้ นเปน็ พราหมณไ์ ด้ อันเข้ากับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคจึงประทานสาธุการรับรองภาษิตของ พราหมณ์น้ัน ศาสตราจารย์ ริดส์ เดวิดส์ เห็นว่า แม้ทางพระพุทธศาสนาจะเสนอหลักการ แบบนี้ ก็ท�ำการเลิกล้มความคิดเห็นของพราหมณ์ไม่ส�ำเร็จ พราหมณ์ยังคงถือชาติเป็นส�ำคัญ ตลอดมา แต่ผู้เขียนเห็นว่า พระพุทธเจ้ามิได้ทรงแทรกแซงความเช่ือถือของพราหมณ์ ใครจะ ถือก็ถือไป แต่หลักธรรมมีอยู่อย่างน้ี ก็ทรงแสดงให้ฟัง ผลที่ปรากฏก็มีอยู่คือพราหมณ์ที่ เข้ามานับถือพระพุทธศาสนามาใช่น้อย พากันถือตามหลักธรรมพระพุทธศาสนา เข้าท�ำนองว่า เมื่อเราไม่สามารถจะเก่ียวหญ้ามามุงทุ่งทั้งทุ่งได้ อย่างน้อยเอามามุงหลังคาเฉพาะของเราเอง ก็ยังดีกว่าตากแดดตากฝนไปตามคนอื่น ย่ิงในสมัยนี้ รัฐธรรมนูญอินเดียไม่ยอมรับรอง สิทธิพิเศษของชาติช้ันวรรณะ ผู้น�ำอินเดียพากันสดุดีหลักธรรมเร่ืองน้ีของพระพุทธเจ้า ก็ย่ิง เห็นกันขนึ้ วา่ หลกั ธรรมน้ีประเสริฐอยา่ งไร) ๑ ตรงนี้ฉบับแปลภาษาอังกฤษของศาสตราจารย์ ริดส์ เดวิดส์ ผิดไปอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าน้อมปฏักลง ให้ถือว่าลง จากยาน ถ้าโบกมอื ใหถ้ อื ว่าก้มลงถวายบงั คม โปรดดฉู บับองั กฤษ หนา้ ๑๕๘ และ ๑๕๙ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 424 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ กูฏทันตสูตร 425 ๕. กูฏทันตสูตร ทีฆนิกาย (สตู รวา่ ด้วยพราหมณ์ฟนั เขยนิ ) พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นมคธ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จ แวะพกั ณ บา้ นพราหมณ์ชอื่ ขานมุ ตั ตะ ประทบั ณ อมั พลัฏฐกิ า (สวนมะมว่ งหนุม่ ) สมัยนั้น กูฏทันตพราหมณ์๑ ครอบครองหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อขานุมัตตะ ซึ่งพระเจ้า พิมพิสารพระราชทานให้ อน่ึง กูฏทันตพราหมณ์เตรียมประกอบยัญญพิธี เอาโคผู้ ๗๐๐ ลูกโคผู้ ๗๐๐ ลูกโคเมยี ๗๐๐ แพะ ๗๐๐ แกะ ๗๐๐๒ ผูกตดิ ไวก้ บั เสา เพือ่ เตรยี มบชู ายัญ พราหมณ์คฤหบดีชาวขานุมัตตะได้ทราบเร่ืองว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จมา และเป็น ผู้มีกิตติศัพท์ขจรขจายไปว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น ก็เดินไปเป็นหมู่ ๆ เพื่อเฝ้า กูฏทันตพราหมณ์เห็นเข้า (เช่นเดียวกับเร่ืองโสณทัณฑพราหมณ์) ถามทราบเร่ือง ก็สั่งให้รอ ตนจะร่วมไปเฝ้าด้วย แต่ถูกพราหมณ์ท่ีเดินทางมา (เพื่อรับของถวาย) ในมหายัญ คัดค้าน และกูฏทันตพราหมณ์โต้ตอบ (เช่นเดียวกับเรื่องโสณทัณฑพราหมณ์) ในที่สุดจึง รว่ มกันไปเฝ้าทง้ั หมด กูฏทันตพราหมณ์จึงกราบทูลถามให้ทรงอธิบายถึงยัญญสัมปทา (ความถึงพร้อม คือสมบรู ณ์แหง่ ยัญ ๓ ประการ อนั มสี ่วนประกอบ (บรขิ าร) ๑๖ อย่าง) พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าถึงพระเจ้ามหาวิชิตะในอดีตกาลผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์ ได้ชัยชนะปฐพีมณฑลอันย่ิงใหญ่ ใคร่จะบูชามหายัญ เพื่อประโยชน์และความสุข จึงตรัส เรียกพราหมณ์ปโุ รหติ มาใหช้ ว่ ยสอนวิธบี ชู ามหายญั น้นั พราหมณ์ปุโรหิตแนะให้ปราบโจรผู้ร้ายก่อน แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีฆ่าหรือจองจ�ำ เพราะ พวกที่เหลือจากถูกฆ่าก็จะเบียดเบียนชนบทในภายหลัง (ตัวตายตัวแทน) โดยท่ีแท้ควร ถอนรากโจรผู้ร้าย (ด้วยวิธีจัดการทางเศรษฐกิจให้ดี) คือแจกพืชแก่กสิกรในชนบทท่ีอุตสาหะ ประกอบอาชีพ ให้ทุนแก่พ่อค้าท่ีอุตสาหะในการค้า ให้อาหารและค่าจ้างแก่ข้าราชการ (ให้ทุกคนมีอาชีพมีรายได้) พระราชทรัพย์ก็จะเพ่ิมพูน ชนบทก็จะไม่มีเสี้ยนหนาม มนุษย์ ท้งั หลายก็จะร่ืนเรงิ อ้มุ บุตรให้ฟ้อนอย่ทู ีอ่ ก ไมต่ ้องปดิ ประตเู รือน เม่ือพระเจ้ามหาวิชิตะทรงท�ำตามค�ำแนะน�ำนั้นก็ได้ผลดี จึงตรัสเรียกพราหมณ์ปุโรหิต มา ขอให้สอนเร่ืองการบูชามหายัญ พราหมณ์ปุโรหิตจึงแนะให้ขออนุญาตบูชามหายัญ โดย ๒๑ กฏู ทันต แปลว่า ฟนั เขยนิ - ม.พ.ป. ๑๐๐ ทุกประเภท ท้งั ๆ ท่พี ระไตรปิฎกฉบบั อกั ษรโรมนั ก็ว่า ๗๐๐ ค�ำแปลตวั เลขของฝรัง่ ผดิ เปน็ อยา่ งละ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 425 5/4/18 2:25 PM

426 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ แจ้งให้กษัตริย์ผู้น้อยกว่าท่ีอยู่ในนิคมชนบท อ�ำมาตย์ ข้าราชบริพารท่ีอยู่ในนิคมชนบท พราหมณมหาศาลท่ีอยู่ในนิคมชนบท คฤหบดีที่อยู่ในนิคมชนบทได้ทราบเรื่อง และอนุญาต ให้บูชามหายัญ เม่ือทรงปฏิบัติตามนั้นก็ได้รับอนุญาตจากบุคคลทั้งสี่ประเภทเหล่านั้น น้นี บั เป็นฝา่ ยอนุมัติ ๔ ซึง่ เปน็ เครื่องประกอบของยญั น้นั องค์พระเจ้ามหาวิชิตะเอง ประกอบด้วยคุณสมบัติ ๘ ประการ คือ (๑) มีชาติดี (๒) มีรูปงาม (๓) มีทรัพย์มาก (๔) มีก�ำลังรบ (๕) มีศรัทธาบริจาคทาน (๖) สดับตรับฟังมาก (มีการศึกษาดี) (๗) รู้ความหมายของภาษิตนั้น ๆ (อธิบายความหมายได้) (๘) เป็นผู้ฉลาด มีปัญญา คุณสมบตั ิ ๘ ประการนเี้ ปน็ เคร่อื งประกอบของยญั นน้ั คุณสมบัติของพราหมณ์ปโุ รหิตอกี ๔ คือ (๑) มีชาติดี (๒) ทอ่ งจ�ำมนตไ์ ด้ (๓) มศี ลี (๔) เป็นผู้ฉลาดมีปัญญา คณุ สมบัติ ๔ ประการน้ีเปน็ เครอ่ื งประกอบของยัญนัน้ (รวมเปน็ ๑๖ คือฝ่ายอนุมัติ ๔ คุณสมบัตขิ องพระราชา ๘ คณุ สมบตั ขิ องปโุ รหติ ๔) ต่อไปพราหมณ์ปุโรหิตจึงแสดงถึงยัญ ๓ ประการ คือต้องไม่มีความเดือดร้อนใจว่า โภคทรพั ย์เปน็ อนั มาก (๑) จกั หมดไป (๒) กำ� ลังหมดไป (๓) หมดไปแลว้ แลว้ พราหมณป์ โุ รหติ ไดแ้ สดงถงึ การบรรเทาความเดอื ดรอ้ นใจของผบู้ ชู ายญั ทจี่ ะพงึ มี ในฝ่ายผู้รับทาน ๑๐ ประการ คือผู้ฆ่าสัตว์ ผู้ลักทรัพย์ ผู้ประพฤติผิดในกาม ผู้พูดปด ผู้พูด ส่อเสียด ผู้พูดค�ำหยาบ ผู้พูดเพ้อเจ้อ ผู้ละโมบอยากได้ของคนอื่น ผู้พยาบาทปองร้ายผู้อื่น ผู้เห็นผิดท�ำนองคลองธรรม อาจมาสู่ยัญญพิธี โดยตั้งใจว่ายัญน้ีอุทิศผู้ที่ปฏิบัติดี ตรงกันข้าม กับฝ่ายชัว่ ๑๐ ประการ เมือ่ มีเครอ่ื งประกอบยญั ๑๖ ประการด่งั นี้ ก็จะไม่มผี ้ใู ดกลา่ วติเตยี นได้โดยธรรม ครั้นแล้วได้แสดงวิธีบูชายัญต่อไปว่า ในยัญนั้น ไม่มีการฆ่าโค แพะ แกะ ไก่ สุกร และสัตว์ต่าง ๆ ก็ไม่ต้องถึงความพินาศ ไม่มีการตัดต้นไม้ เพื่อสร้างปราสาท (ต้อนรับผู้มา ดูพิธี) ไม่ต้องเกี่ยวหญ้าคามาเพ่ือแวดวงประดับโรงพิธี หรือเพ่ือปูลาดกับพ้ืน พวกทาส กรรมกรก็ไม่ต้องถูกขู่เข็ญลงโทษ มีหน้านองด้วยน�้ำตาท�ำการงาน ใครปรารถนาจะท�ำก็ท�ำ ไมป่ รารถนาก็ไมต่ ้องทำ� เพราะยัญนั้นสำ� เร็จดว้ ยเนยใส น�้ำมัน เนยขน้ นมส้ม น้�ำผ้งึ น�ำ้ อ้อย ผู้ท่ีเดินทางมาในการนี้ น�ำเคร่ืองบรรณาการมาถวาย พระเจ้ามหาวิชิตะก็ไม่ทรงรับ กลับตรัสให้น�ำของพระองค์เพิ่มให้กลับไป แต่บุคคลเหล่านั้นไม่น�ำกลับ กลับสละตาม (คือแจกทานตามพระเจ้ามหาวิชิตะ) ต่างต้ังยัญศาลาข้ึน ๔ ทิศ (กษัตริย์ทิศบูรพา อ�ำมาตย์ ทศิ ทักษณิ พราหมณมหาศาลทิศประจมิ คฤหบดีทิศอดุ ร) แจกทานร่วมในการน้ี PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 426 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ มหาลิสูตร 427 กูฏทันตพราหมณ์กราบทูลถามว่า ยังมียัญอ่ืนท่ีมีการริเริ่มน้อยกว่า แต่มีผลมากกว่า ทีฆนิกาย ยัญ ๓ บริขาร ๑๖ ท่ีกล่าวแล้วหรือไม่ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า มี ก็ถามต่อไปอีก ถึงยัญที่มีการริเริ่มน้อยกว่า แต่มีผลมากกว่า เป็นการถามตอบหลายวาระ ส่ิงที่มีการริเร่ิม น้อยกว่า แตม่ ผี ลมากกว่ากันโดยล�ำดบั ซงึ่ ผมู้ ีพระภาคตรสั ตอบมีดังนี้ ๑. การให้ทานเป็นนติ ย์ อุทศิ ผมู้ ีศีล ๒. การสร้างวหิ าร (ท่อี ย่)ู อุทศิ สงฆท์ มี่ าจาก ๔ ทิศ ๓. การถงึ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เปน็ สรณะ ๔. การสมาทานศีล ๕ คือเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดปด และดื่มสรุ าเมรัย ๕. การออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ ตั้งอยู่ในศีล ๓ ประเภท บ�ำเพ็ญสมาธิจนได้ ฌาน ๔ บ�ำเพ็ญปญั ญาจนได้วชิ ชา ๘ (ด่งั กลา่ วไวแ้ ล้วในสามญั ญผลสูตร) กูฏทันตพราหมณ์มีความเล่ือมใสในพระธรรมเทศนา ประกาศตนเป็นอุบาสกถึง พระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ปล่อยสัตว์อย่างละ ๗๐๐ หลายประเภทน้ันให้เป็นอิสระ และเมื่อได้ฟังธรรมเทศนาต่อไป (อนุบุพพิกถาและอริยสัจจ์ ๔) ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม (เปน็ พระโสดาบนั ) (พระสูตรนี้ท�ำให้เห็นว่า เพียงการถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะหรือการรักษาศีล ๕ ก็ยัง มีผลมากกว่าการบ�ำเพ็ญมหายัญใหญ่โต จึงน่าจะเป็นเคร่ืองเตือนใจผู้คิดทำ� บุญซ่ึงมักจะบ่นว่า ไม่มีทุนจะท�ำบุญ ให้ทราบว่าบุญน้ันไม่จ�ำเป็นต้องลงทุนเอาทรัพย์แลกเสมอไป เพียงการรักษา ศลี ๕ ก็เป็นบญุ อนั สงู กว่านนั้ ) ๖. มหาลสิ ตู ร (สตู รวา่ ด้วยการโต้ตอบกับเจ้าลจิ ฉวชี ่อื มหาล)ิ พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ศาลาเรือนยอด ป่ามหาวัน กรุงไพศาลี พวกพราหมณ์ ท่ีเป็นทูตชาวโกศลและชาวมคธมากหลาย๑ มีธุระไปพักอยู่ในกรุงไพศาลี ได้ทราบข่าวจึงจะ พากันไปเฝา้ เจ้าลิจฉวีชอ่ื โอฏฐัทธะ (ปากแหวง่ )๒ พรอ้ มด้วยบริษัทก็ไปเฝา้ ดว้ ย ๒๑ แสดงวา่ กรุงไพศาลีนครหลวงของแควน้ ในขณะนัน้ เป็นศนู ย์กลางการทตู ทฝ่ี ่ายมคธและโกศลตดิ ต่อดว้ ย การตั้งชื่อคนตามลักษณะร่างกายดูจะนิยมกันมาก เช่น กูฏทันตะ (ฟันเขยิน) ลกุณฏกภัททิยะ (ภัททิยะค่อม) กาฬุทายี (อุทายดี �ำ) PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 427 5/4/18 2:25 PM

428 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สมัยนั้น พระนาคิตะ เป็นพุทธอุปฐาก ไม่ยอมให้เข้าเฝ้า อ้างว่าพระผู้มีพระภาค ก�ำลังทรงหลีกเร้น (ท�ำความสงบ) อยู่ สามเณรสีหะจึงเจรจากับพระนาคิตะให้บุคคลเหล่านั้น เข้าเฝา้ พระนาคติ ะเก่ียงใหส้ ามเณรสีหะไปกราบทลู เอง เม่ือสามเณรสีหะไปกราบทูล จึงตรัสส่ังให้ปูอาสนะท่ีร่มเงาด้านหลังวิหาร เสด็จไป ต้อนรบั บุคคลเหล่าน้นั เม่ือตรัสปราศรัยกับบุคคลทุกเหล่าท่ีเข้าเฝ้าแล้ว โอฏฐัทธะ ลิจฉวี ก็กราบทูลถาม เร่ืองตาทิพย์ หูทิพย์ ว่ามีหรือไม่ ตรัสตอบว่า มี แล้วทรงแสดงเหตุผลว่า สุดแต่ก�ำลังสมาธิท่ี เจริญให้มาก เพ่ือใหม้ ีตาทพิ ย์หรอื หูทพิ ย์ และตรัสวา่ ภกิ ษุท้ังหลายมไิ ดป้ ระพฤตพิ ราหมจรรย์ ในส�ำนักของพระองค์เพ่อื เจรญิ สมาธิ (ทเ่ี ป็นเหตุให้ไดต้ าทิพยห์ ูทพิ ยเ์ หล่านนั้ ) เพราะยังมีธรรม ที่สงู กว่านัน้ ทค่ี วรท�ำใหแ้ จ้ง คอื ๑. การทำ� สัญโญชน์ (กิเลสทีผ่ กู มัด) ให้สิ้นไป ๓ ประการ อันท�ำให้เป็นพระโสดาบัน ๒. ท�ำสัญโญชน์ ๓ ประการนั้นให้ส้ิน ท�ำระคะ โทสะ โมหะให้น้อยลง อันท�ำให้เป็น สกทาคามี ๓. ทำ� สญั โญชนเ์ บือ้ งต่�ำ ๕ ประการให้ส้นิ อันทำ� ให้เป็นพระอนาคามี ๔. ท�ำอาสวะให้สิ้น ท�ำให้แจ้งความหลุดพ้นเพราะสมาธิ (เจโตวิมุติ) และความ หลุดพ้นเพราะปญั ญา (ปญั ญาวิมุติ๑) เม่ือโอฏฐัทธะ ลิจฉวี กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติท่ีท�ำให้แจ้ง (บรรลุ) ธรรมเหล่าน้ัน ก็ตรัสแสดงมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) เป็นต้น มีสัมมาสมาธิ (ความต้ังใจ มน่ั ชอบ) เป็นที่สุด ครั้นแล้วตรัสเล่าเร่ืองมัณฑิยปริพพาชก กับชาลิยปริพพาชกไปทูลถามพระองค์ เร่ืองชีวะ กับ สรีระ มีข้อความอย่างเดียวกับข้อความในชาลิยสูตร ซ่ึงจะกล่าวต่อจากสูตรน้ี เมือ่ จบพระธรรมเทศนาโอฏฐทั ธะ ลจิ ฉวี กช็ ืน่ ชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค (หมายเหตุ : โอฏฐัทธะ ลิจฉวี มีช่ือเดิมว่า มหาลิ เวลาพระผู้มีพระภาคโต้ตอบด้วย ก็ทรงใชช้ ่อื มหาลิ) ๑ ในทนี่ เ้ี ป็นอนั พระผมู้ พี ระภาคทรงชใี้ หเ้ หน็ ว่า สิ่งท่สี ูงกวา่ หูทิพย์ ตาทิพย์ คือการท�ำกิเลสให้หมดเปน็ ขั้น ๆ ไดเ้ ปน็ พระอริยบุคคล ตั้งแต่อย่างต่�ำถึงสูงสุด คือเป็นพระอรหันต์ อันแสดงว่าฤทธิ์เดชมิใช่จุดประสงค์ทาง พระพทุ ธศาสนา PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 428 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ มหาสีหนาทสูตร 429 ๗. ชาลยิ สูตร ทีฆนิกาย (สตู รวา่ ดว้ ยข้อความทต่ี รสั โต้ตอบชาลิยปรพิ พาชก) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ โฆษิตาราม กรุงโกสัมพี นักบวช ๒ คน คือ มัณฑิย ปริพพาชกกับชาลิยะ ผู้เป็นศิษย์ของอาจารย์ผู้ใช้บาตรไม้ (ชาลิยะ ทารุปัตติกะ) ได้มาเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลถามปัญหาว่า ชีวะ (สภาพท่ีเป็นอยู่ หรือกล่าวอีกอย่างหน่ึงก็คือ สภาพท่ีครองสรีระ ในบางลัทธิเรียกจิตบ้าง อัตตาบ้าง) กับสรีระ (ร่างกาย) เป็นอันเดียวกัน หรือเปน็ คนละอัน พระผู้มีพระภาคตรัสตอบ บรรยายคุณลักษณะของผู้ออกบวช ตั้งอยู่ในศีล บ�ำเพ็ญ สมาธิจนได้ฌาน ต้ังแต่ที่ ๑ ถึง ๔ และได้วิชชา ๘ (ตามที่กล่าวไว้แล้วในสามัญญผลสูตร) แล้วตรัสว่า ภิกษุผู้รู้เห็นอย่างนี้ไม่ควรกล่าวว่า ชีวะ กับสรีระ เป็นอันเดียวกัน หรือกล่าวว่า ชีวะ กับสรีระ เป็นคนละอัน พระองค์เองทรงรู้ทรงเห็นอย่างน้ี จึงไม่ตรัสว่า ชีวะ กับสรีระ เปน็ อนั เดยี วกันหรอื ต่างกัน (มีค�ำอธิบายว่า การยืนยันว่า ชีวะ กับสรีระ เป็นอันเดียวกัน ย่อมตกไปในส่วนสุด ข้างสัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่า ส่ิงท้ังปวงเที่ยง การยืนยันว่า ชีวะ กับสรีระ เป็นคนละอัน ย่อมตกไปในฝา่ ยทีว่ ่า ชวี ะเท่ียง สรรี ะไม่เทีย่ ง ทง้ั สองขอ้ นี้ รวมอยู่ในทิฏฐิ ๖๒) เม่อื จบพระธรรมเทศนา นกั บวช ๒ คนช่ืนชมภาษติ ของพระผมู้ ีพระภาค ๘. มหาสีหนาทสูตร (สตู รว่าด้วยการบรรลอื สีหนาท) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ป่าที่ให้อภัยแก่เนื้อ ชื่อกัณณกถละ ใกล้เมืองอุชุญญา นักบวชชีเปลือย ช่ือกัสสปได้เข้าไปเฝ้า กราบทูลถามว่า ได้ยินเขาพูดกันว่า พระสมณโคดม ทรงตกิ ารบ�ำเพญ็ ตบะทกุ ชนดิ ทรงกล่าวโทษผบู้ �ำเพญ็ ตบะ มีชวี ติ อยอู่ ยา่ งปอน ๆ ใช่หรอื ไม่ พระผู้มีพระะภาคตรัสตอบปฏิเสธ และทรงช้ีแจงตามที่ทรงเห็นด้วยทิพยจักษุว่า ผู้บ�ำเพ็ญตบะมีชีวิตอยู่อย่างปอน ๆ บ้าง อยู่อย่างมีทุกข์น้อยบ้าง บางพวกตายไปแล้วเกิด ในนรกก็มี บางพวกตายไปแล้วเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ก็มี เมื่อทรงรู้เห็นตามเป็นจริงอย่างน้ี จะตรัสติการบ�ำเพ็ญตบะทุกชนิด และกล่าวโทษผู้บำ� เพ็ญตบะท่ีมีชีวิตอยู่อย่างปอน ๆ ท�ำไมกัน แล้วตรัสว่า สมณพราหมณ์บางคนที่เป็นบัณฑิตละเอียดอ่อน แตกฉานด้วยปัญญา ยอ่ มกล่าวตรงกนั กบั พระองค์ในบางฐานะ ไม่ตรงกนั ในบางฐานะ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 429 5/4/18 2:25 PM

430 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๑. บางข้อท่ีสมณพราหมณ์เหล่าน้ันกล่าวว่าดี เรากล่าวว่าดี บางข้อท่ีสมณพราหมณ์ เหล่าน้นั กล่าวว่าไม่ดี เรากล่าวว่าไมด่ ีก็มี ๒. บางขอ้ ทสี่ มณะพราหมณเ์ หลา่ นน้ั กลา่ ววา่ ดี เรากลา่ ววา่ ไมด่ ี บางขอ้ ทสี่ มณพราหมณ์ เหล่าน้ันกลา่ วว่าไม่ดี เรากล่าวว่าดีก็มี ๓. บางขอ้ ทเ่ี รากลา่ วว่าดี พวกอน่ื กลา่ วว่าดี บางขอ้ ที่เรากลา่ วว่าไมด่ ี พวกอื่นกลา่ ววา่ ไม่ดกี ม็ ี ๔. บางขอ้ เรากล่าวว่าดี พวกอ่นื กลา่ วว่าไมด่ ี บางขอ้ เรากลา่ ววา่ ไม่ดี พวกอืน่ กล่าวว่า ดีกม็ ี เราเคยเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้นแล้วกล่าวว่า ในฐานะท่ีกล่าวไม่ตรงกัน จงยกไว้ แตใ่ นขอ้ ใดทก่ี ลา่ วตรงกนั ขอใหว้ ญิ ญชู นสอบสวนเปรยี บเทยี บระหวา่ งศาสดากบั ศาสดา สงฆ์กับสงฆ์ดูเถิดว่า ธรรมเหล่าใดท่ีเป็นอกุศล มีโทษ ไม่ควรส้องเสพ ไม่ควรแก่อริยบุคคล เปน็ ธรรมฝา่ ยดำ� ใครเลา่ ละธรรมเหลา่ นไ้ี มใ่ หม้ เี หลอื มากกวา่ กนั พระสมณโคดมหรอื คณาจารย์ เหลา่ อน่ื มฐี านะอยทู่ ว่ี ญิ ญชู นสอบสวนแลว้ กส็ รรเสรญิ เรา (พระผมู้ พี ระภาค) ในขอ้ นน้ั โดยมาก แมใ้ นธรรมที่เปน็ กุศล ทว่ี ่าใครจะประพฤติปฏบิ ตั มิ ากกวา่ กัน กเ็ ป็นเชน่ นน้ั แมร้ ะหวา่ งสาวกกบั สาวก ในสว่ นทเี่ ก่ยี วกับละอกุศล ประพฤติกศุ ล กเ็ ปน็ เชน่ น้ัน คือวญิ ญูชนยอ่ มสรรเสริญสาวก ของเราโดยมาก๑ แล้วทรงแสดงมรรคมีองค์ ๘ ว่าเป็นขอ้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิทีจ่ ะทำ� ให้รเู้ องเห็นเอง ชีเปลือยชื่อกัสสปกราบทูลถึงข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ของสมณพราหมณ์เหล่านั้น ทจ่ี ดั เปน็ ความเป็นสมณะ ความเป็นผูป้ ระเสรฐิ ๒ เชน่ การเปลอื ยกาย ยืนถ่ายอจุ จาระปสั สาวะ และกนิ อาหารเลียมอื ท่ีเลอะอาหาร (แทนการลา้ ง) เป็นต้น พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ผู้ประพฤติเช่นน้ัน ถ้าไม่เจริญ ไม่ท�ำให้แจ้งซึ่งความ สมบูรณ์ด้วยศีล ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ และความสมบรูณ์ด้วยปัญญา ก็ช่ือว่าไกลจาก ความเป็นสมณะ ไกลจากความเป็นผู้ประเสริฐ ต่อเมื่อเจริญเมตตาจิต อันไม่มีเวร ไม่มีความ พยาบาท และท�ำให้แจ้งเจโตวมิ ตุ ิ (ความหลุดพน้ เพราะสมาธิ) และปญั ญาวิมุติ (ความหลุดพ้น เพราะปญั ญา) อันปราศจากอาสวะไดใ้ นปจั จบุ นั นบั เปน็ สมณะเป็นพราหมณ์ได้ ๑ เป็นพระด�ำรัสท่ีแน่ใจในความประพฤติปฏิบัติท่ีว่า ถ้าสอบสวนกันจริง ๆ ว่าจะปฏิบัติตามท่ีพูดหรือไม่ พระองค์ ๒ ทรงทา้ ให้สอบสวนทเี ดยี ว คอื การกระท�ำของสมณะ ของพราหมณ์ อรรถกถาแก้ว่า จัดเป็นกรรม PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 430 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ โปฏฐปาทสูตร 431 ชีเปลือยชื่อกัสสปกล่าวต่อไปว่า การประพฤติตบะ (แบบเปลือยกาย เป็นต้น) นั้น ทีฆนิกาย เป็นความเป็นสมณะ ความเป็นผู้ประเสริฐท่ีท�ำได้ยาก พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า เป็นปกติ หรือธรรมดาในโลกที่ท�ำได้ยาก ส่วนการท�ำแบบน้ัน คฤหบดี บุตรแห่งคฤหบดี หรือแม้ นางกุมภทาสี (นางทาสท่ีแบกหม้อน้�ำ) ก็ท�ำได้ ส่วนการเจริญเมตตาจิต อันไม่มีเวร ไม่มี พยาบาท และท�ำให้แจ้งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันปราศจากอาสวะได้ในปัจจุบัน เป็น ความเป็นสมณะ และความเปน็ ผูป้ ระเสรฐิ ทที่ �ำไดย้ ากกวา่ ชเี ปลอื ยชอื่ กสั สปกลา่ วตอ่ ไปวา่ สมณะและพราหมณเ์ ปน็ ผทู้ ร่ี ไู้ ดย้ าก๑ พระผมู้ พี ระภาค ตรัสตอบว่า เป็นปกติหรือธรรมดาในโลก ท่ีสมณะและพราหมณ์เป็นผู้รู้ได้ยาก แต่การ เจรญิ เมตตาจิตแบบที่กลา่ ว และท�ำใหแ้ จง้ เจโตวมิ ุติ ปัญญาวมิ ตุ ิ อนั ปราศจากอาสวะ รู้ได้ยาก ย่ิงกวา่ บำ� เพ็ญตบะแบบเปลือยกาย เปน็ ตน้ เม่ือชีเปลือยช่ือกัสสปกราบทูลถามถึงความสมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ว่าเป็น อย่างไร ก็ตรัสอธิบายถึงศีล ๓ ชั้น ฌาน ๔ และวิชชา ๘ (อย่างที่ตรัสในสามัญญผลสูตร) ว่าเป็นความถงึ พรอ้ มด้วยศลี สมาธิ ปญั ญา โดยลำ� ดับ คร้ันแล้วตรัสสรุปให้เห็นว่า พระองค์กล้าบันลือสีหนาทในท่ามกลางบริษัท กล้าตอบ ปัญหา และท�ำให้ผู้เล่ือมใสปฏิบัติตามได้ (เพราะทรงประพฤติปฏิบัติได้ผลมาเองในเรื่อง ศีล สมาธิ ปญั ญา ข้างบนนั้น) ชีเปลือยชื่นชมธรรมภาษิตของพระผู้มีพระภาค และขอบวช เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสตอบว่า จะต้องอบรมก่อน ๔ เดือนในฐานะท่ีเคยเป็นเดียรถีย์มาก่อน ก็กลับตอบว่า แม้จะอบรมถึง ๔ ปี กจ็ ะยอม ในท่ีสดุ เมอ่ื บวชแล้วไมน่ าน ก็ไดบ้ รรลอุ รหัตตผล๒ ๙. โปฏฐปาทสตู ร (สตู รวา่ ด้วยการโตต้ อบกบั โปฏฐปาทปริพพาชก) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี เช้าวันหน่ึง พระผู้มีพระภาค เสด็จสู่กรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต ทรงเห็นว่า ยังเช้านัก จึงเสด็จแวะไปท่ีมัลลิการาม อันเป็น ที่อยู่ของโปฏฐปาทปริพพาชก พร้อมด้วยบริษัทปริพพาชกประมาณ ๓,๐๐๐ คน โปฏฐปาทปริพพาชกไดก้ ล่าวต้อนรบั และนิมนต์ใหน้ ัง่ บนอาสนะ ตนเองนั่งเหนืออาสนะทต่ี ำ่� กวา่ ๑๒ เปน็ ผทู้ ่เี ข้าใจได้ยาก - ม.พ.ป. จึงท�ำให้พระผู้มีพระภาคทรงกล้าบันลือสีหนาท พระสูตรน้ีเห็นได้ว่า สาระส�ำคัญอยู่ท่ีประพฤติปฏิบัติได้จริงอย่างพูด โดยทา้ ให้สอบสวนเปรยี บเทยี บดว้ ยซ้�ำ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 431 5/4/18 2:25 PM

432 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ครั้นแล้วโปฏฐปาทปริพพาชกได้ตั้งค�ำถามเก่ียวกับอภิสัญญานิโรธ การดับความจ�ำได้ หมายรู้อันยิ่งใหญ่ (โปรดดูหน้า ๑๘๐ หมายเลข ๒๐๐ ประกอบด้วย) ซ่ึงเคยเป็นปัญหา ถกเถียงกันในหม่สู มณพราหมณ์เจ้าลัทธติ ่าง ๆ มาแล้ว รวม ๔ ประเดน็ คือ ๑. สมณพราหมณ์บางพวกเห็นว่า สัญญา (ความจ�ำได้หมายรู้ - ในท่ีน้ีพึงสังเกตว่า ในสมยั นน้ั บัญญตั เิ รียกสภาพทีค่ รองชีวติ รา่ งกายตา่ ง ๆ กนั เรียกว่าอัตตา ตัวตน บ้าง ชีวะ สภาพที่เป็นอยู่บ้าง สัตตะ สภาพที่มีที่เป็นบ้าง สัญญา ความจ�ำได้ หมายรูห้ รอื สภาพท่ีจำ� ได้หมายรบู้ ้าง) ของคน เกิดขน้ึ บ้าง ดับไปบา้ ง โดยไม่มีเหตุ ปัจจัย เมอ่ื เกดิ ข้ึนคนก็มีสัญญา เมอื่ ดับไปคนก็ไม่มีสัญญา ๒. พวกอื่นกล่าวคัดค้านว่าไม่เป็นเช่นนั้น สัญญานั่นแหละเป็นอัตตาตัวตนของคน อตั ตานน้ั เขา้ มาบา้ ง ออกไปบา้ ง เมอ่ื เขา้ มาคนกม็ สี ญั ญา เมอ่ื ออกไปคนกไ็ มม่ สี ญั ญา ๓. พวกอ่ืนคัดค้านว่าไม่เป็นเช่นน้ัน ท่ีแท้มีสมณพราหมณ์ที่มีฤทธ์ิมาก มีอานุภาพ มาก สมณพราหมณ์เหล่าน้ันน�ำเข้าได้ น�ำออกได้ซ่ึงสัญญาของคน เม่ือน�ำเข้าคน ก็มสี ญั ญา เม่อื น�ำออกคนก็ไมม่ สี ญั ญา ๔. พวกอ่ืนคัดค้านว่าไม่เป็นเช่นนั้น ท่ีแท้มีเทพผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เทพเหล่าน้ันน�ำเข้าได้ น�ำออกได้ซ่ึงสัญญาของคน เม่ือน�ำเข้าคนก็มีสัญญา เมอ่ื นำ� ออกคนกไ็ ม่มสี ัญญา โปฏฐปาทปริพพาชกกลา่ วตอ่ ไปวา่ (ระหว่างทีฟ่ ังเขาโตเ้ ถียงกนั นั้น) ข้าพระองค์ระลึก ถึงพระผู้มีพระภาคว่า เป็นผู้ฉลาดในธรรมเหล่านี้ เป็นผู้รู้ปกติของอภิสัญญานิโรธ อภิสัญญา นโิ รธเป็นอย่างไร พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า สมณพราหมณ์ที่กล่าวว่าสัญญาของคนเกิดข้ึนดับไป โดยไม่มีเหตุปัจจัยน้ัน นับว่ามีความผิดพลาดแต่เบื้องต้น เพราะสัญญาของคนเกิดขึ้นดับไป โดยมีเหตุปัจจัย คือสัญญาอันหน่ึงย่อมเกิดขึ้นเพราะสิกขา (การศึกษา หรือส�ำเหนียก ทาง พระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น ๓ คือ สีลสิกขา การศึกษาในศีล จิตตสิกขา การศึกษาในสมาธิ และปญั ญาสิกขา การศกึ ษาในปญั ญา) สัญญาอนั หนึ่งยอ่ มดับไปเพราะสกิ ขา ๑. คร้ันแล้วตรัสพรรณนาถึงการที่กุลบุตรออกบวช ตั้งอยู่ในศีล (๓ ช้ันตามที่ กลา่ วแลว้ ในสามญั ญผลสูตร) บำ� เพญ็ สมาธจิ นไดฌ้ านที่ ๑ เมอื่ ได้ฌานที่ ๑ แล้ว กามสัญญา (ความจ�ำได้หมายรู้ในกามคืออารมณ์ที่น่าใคร่) ท่ีเคยมีก็ย่อมดับไป สัญญาอันละเอียดอันเป็นจริงในปีติ (ความอ่ิมใจ) และสุขอันเกิดแต่ความสงัด ย่อมมีในสมัยนัน้ นีค้ ือสญั ญาอันหนึ่งเกดิ ขนึ้ เพราะสิกขา สัญญาอนั หนึง่ ย่อมดบั เพราะสกิ ขา PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 432 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ โปฏฐปาทสูตร 433 ๒. ในฌานที่ ๒ สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ (อันละเอียดเป็นจริง) ในปีติและสุข ทีฆนิกาย ย่อมดับไป สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ในปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิ ย่อมมีใน สมัยนั้น ๓. ในฌานท่ี ๓ สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ ในปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ ย่อม ดับไป สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ในอุเบกขา (ความวางเฉย) และสุขย่อมมีใน สมยั น้ัน ๔. ในฌานที่ ๔ สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ในอุเบกขา และสุข ย่อมดับไป สัญญา อันสุขุมอันเปน็ สจั จ์ในความไม่ทกุ ข์ไมส่ ุข ย่อมมีในสมยั น้ัน ๕. ในอรูปฌานท่ี ๑ (อากาสานัญจายตนะ) รูปสัญญา (ความจ�ำได้หมายรู้ในรูป) ยอ่ มดบั ไป สญั ญาอนั สขุ มุ อนั เปน็ สจั จใ์ นอากาสานญั จายตนะ (อรปู ฌานทมี่ อี ากาศ ไมม่ ที ี่สิ้นสุดเป็นอารมณ์) ย่อมมีในสมัยนน้ั ๖. ในอรูปฌานที่ ๒ (วิญญาณัญจายตนะ) สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ในอากาสา นัญจายตนะย่อมดับไป สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ในวิญญาณัญจายตนะ (อรูปฌานทม่ี ีวิญญาณไม่ส้นิ สุดเป็นอารมณ)์ ยอ่ มมีในสมัยนั้น ๗. ในอรูปฌานท่ี ๓ (อากิญจัญญายตนะ) สัญญาอันสุขุม อันเป็นสัจจ์ใน วญิ ญาณญั จายตนะ ยอ่ มดบั ไป สญั ญาอนั สขุ มุ อนั เปน็ สจั จใ์ นอากญิ จญั ญายตนะ (อรปู ฌานทมี่ คี วามคิดวา่ ไมม่ อี ะไรแมเ้ ล็กนอ้ ยเป็นอารมณ)์ ย่อมมีในสมัยนนั้ ๘. ภิกษุท่ีมีสัญญาของตน พ้นจากสัญญาน้ัน ๆ แล้วก็ถูกต้องสัญญาอันเลิศ (ข้ึนไป) โดยลำ� ดบั เมอ่ื ตง้ั อยใู่ นสญั ญาอนั เลศิ แลว้ กค็ ดิ วา่ การคดิ ไมด่ ี ไมค่ ดิ ดกี วา่ เพราะ เม่ือคิดปรุงแต่ง สัญญาอันเลิศก็จะดับไป สัญญาอันหยาบก็จะเกิดขึ้น เธอจึงไม่ คดิ ไมป่ รงุ แตง่ เมอื่ ไม่คิด ไม่ปรุงแต่ง สญั ญานั้น (หมายถงึ สญั ญาอนั เลศิ ) กด็ ับ ไป สญั ญาหยาบอนั อน่ื กไ็ มเ่ กดิ ขนึ้ เธอจงึ ชอ่ื วา่ ถกู ตอ้ ง (ไดบ้ รรล)ุ นโิ รธ (ความดบั ) (หมายเหตุ : ข้อความเป็นล�ำดับมาแต่ข้อ ๑ ถึง ๘ แสดงการที่สัญญาอันหนึ่งดับไป สัญญาอันหน่ึงเกิดข้ึนแทน ดีขึ้นกว่าสัญญาเดิมเร่ือย ๆ จนในท่ีสุด เมื่อเลิกคิด เลิกปรุงแต่ง สัญญาก็ดับไป เป็นอันตอบปัญหาของโปฏฐปาทปริพพาชกท่ีอยากรู้ความดับอภิสัญญา คือ สัญญาใหญ่ หมายถึงสัญญาชั้นสูง อย่างชัดเจน ตามหลักวิชาปฏิบัติทางรูปฌาน และ อรูปฌาน) PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 433 5/4/18 2:25 PM

434 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ เม่ือตรัสอธิบายอย่างน้ีแล้ว จึงตรัสถามโปฏฐปาทปริพพาชกว่า ท่านเคยได้ยินได้ฟัง มาก่อนหรือไม่ถึงการเข้าสมาบัติ ท้ัง ๆ ที่มีความรู้ตัว ในการดับอภิสัญญาตามล�ำดับชนิดน้ี ซ่ึงปริพพาชกตอบว่า ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เพ่ิงมาได้ทราบตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงอยา่ งนี้ ข้อซกั ถามเพ่มิ เติมเรอื่ งอนตั ตา สัญญา โปฏฐปาทปริพพาชกกราบทูลถามเพิ่มเติม และพระผู้มีพระภาคตรัสตอบเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปน้ี ๑. ทูลถามว่า ทรงบัญญัติสัญญาอันเลิศ อันเดียวหรือมาก ตรัสตอบว่า บัญญัติทั้ง อนั เดยี ว ทง้ั มาก ตาม (ความจริง) ท่ีจะถูกตอ้ ง (บรรลุ) นโิ รธได้ ๒. ทูลถามว่า สัญญา (ความจ�ำได้หมายรู้) เกิดก่อน ญาณ (ความรู้) เกิดทีหลัง หรือว่าญาณเกิดก่อนสัญญาเกิดทีหลัง หรือว่าสัญญากับญาณเกิดพร้อมกัน ตรัสตอบว่า สัญญาเกดิ ก่อน ญาณเกดิ ทีหลัง ๓. ทูลถามว่า สัญญาเป็นอัตตา (ตัวตน) ของคน หรือว่าสัญญากับอัตตาเป็น คนละอนั (ไมใ่ ชอ่ นั เดยี วกนั ) ตรสั ซกั วา่ อตั ตาตามทที่ า่ นเขา้ ใจเปน็ อยา่ งไร ทลู ตอบ วา่ อัตตาตามท่ตี นเข้าใจ คือมรี ปู ประกอบด้วยธาตุ ๔ กนิ อาหารเป็นค�ำ ๆ ตรสั วา่ อัตตาของท่านเปน็ อัตตาอยา่ งหยาบ ถา้ เป็นเช่นนน้ั สัญญากเ็ ป็นอยา่ งหน่งึ อตั ตา ก็เป็นอีกอย่างหน่ึง เพราะอัตตายังต้ังอยู่นั่นแหละ สัญญาอันหนึ่งเกิดขึ้น อีกอัน หนึ่งดับไป (ในข้อนี้ปริพพาชกชี้อัตตาไปท่ีร่างกาย จึงตรัสตอบตามท่ีเขาช้ีว่า ถ้า เป็นอย่างนนั้ สัญญา กบั อตั ตากค็ นละอนั ) ๔. ทูลต่อไปว่า ตนเข้าใจว่าสัญญาส�ำเร็จขึ้นจากใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งปวง มี อินทรีย์๑ อันไม่บกพร่อง ตรัสตอบว่า ถ้าอย่างน้ัน สัญญาก็เป็นอย่างอ่ืน อัตตาก็ เป็นอย่างอ่ืน เพราะอัตตาที่ส�ำเร็จด้วยใจยังตั้งอยู่นั่นแหละ สัญญาอันหนึ่ง เกิดข้ึน อีกอันหนึ่งก็ดับไป (ในข้อนี้ปริพพาชกพูดอธิบายเพ่ิมเติม ลักษณะ ของอัตตาตามความเข้าใจของตนว่า อัตตาเกิดจากใจ) ๑ อนิ ทรยี ์ในท่ีน้ี คอื ตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ แตล่ ะอยา่ งเป็นใหญ่ในหนา้ ทข่ี องตน PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 434 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ โปฏฐปาทสูตร 435 ๕. ทูลต่อไปว่า ตนเข้าใจว่าอัตตาไม่มีรูป เป็นของเกิดแต่สัญญา ตรัสตอบว่า ถ้า ทีฆนิกาย อย่างนั้นสัญญาก็เป็นอย่างอ่ืน อัตตาก็เป็นอย่างอ่ืน เพราะอัตตาไม่มีรูป เป็นของ เกิดแต่สญั ญา ยังต้งั อยู่นัน่ แหละ สัญญาอนั หนง่ึ เกิดข้นึ อกี อนั หนึง่ ก็ดับไป ๖. ทลู ถามวา่ ตน (ผู้ถาม) อาจหรือไม่ ทีจ่ ะร้วู า่ สัญญาเป็นอัตตาของคน หรือสญั ญา เป็นอย่างอ่ืน อัตตาเป็นอย่างอ่ืน ตรัสตอบว่า โปฏฐปาทปริพพาชกมีความเห็น อยา่ งอน่ื มคี วามชอบใจอยา่ งอนื่ (คนละศาสนา) จงึ ยากทจ่ี ะรไู้ ด้ ทลู ถามตอ่ ไปตาม แนวทฏิ ฐิ ๑๐ ทเี่ กยี่ วดว้ ยสว่ นสดุ วา่ ถา้ อยา่ งนนั้ โลกเทยี่ งหรอื ไมเ่ ทย่ี ง โลกมที สี่ ดุ หรือไม่มีท่ีสุด ชีวะ กับสรีระ เป็นอันเดียวกัน หรือเป็นคนละอัน สัตว์๑ ตายแล้ว เกิดหรือไม่เกิด สัตว์ตายแล้วท้ังเกิดท้ังไม่เกิด หรือว่าเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่ (แบง่ ออกเปน็ ๕ หมวด หมวดละ ๒ ขอ้ จงึ เปน็ ๑๐) ตรสั ตอบเปน็ ขอ้ ๆ วา่ พระองค์ ไม่ทรงพยากรณ๒์ ปัญหานัน้ เพราะไมม่ ีประโยชน์ ไมเ่ ป็นไปเพื่อนพิ พาน ๗. ทูลถามว่า ถ้าอย่างนั้น ทรงพยากรณ์อะไร ตรัสตอบว่า ทรงพยากรณ์เร่ืองทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เพราะมีประโยชน์ และเปน็ ไปเพื่อนพิ พาน แลว้ พระผมู้ พี ระภาคกเ็ สด็จลุกจากอาสนะไป ต่อมาอกี ๒ - ๓ วัน จิตตะผเู้ ปน็ บตุ รแหง่ นายควาญช้าง กับโปฏฐปาทปรพิ พาชก ได้ ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค โปฏฐปาทปริพพาชกกราบทูลเล่าว่า เม่ือพระองค์เสด็จกลับ (ในวันท่ี เสด็จไป ณ มัลลิการามนั้น) พวกปริพพาชกพากันกล่าวแดกดันข้าพระองค์ว่า ไม่ว่าพระองค์ ตรัสอะไร ข้าพระองค์กราบทูลรับรองไปหมดว่าอย่างน้ัน พระเจ้าข้า อย่างน้ี พระเจ้าข้า พวกเขาไม่เห็นเลยว่า พระองค์ทรงแสดงธรรมแง่เดียว (บอกยืนยันให้แน่ลงไปในแง่เดียว) ว่าโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง เป็นต้น ข้าพระองค์ตอบไปว่า เมื่อพระสมณโคดมแสดงปฏิปทา อันจริงแท้ ถูกต้องตามท�ำนองคลองธรรม วิญญูบุรุษเช่นข้าพเจ้า จะไม่รับรองสุภาษิต โดย ความเปน็ สภุ าษติ ไดอ้ ยา่ งไร ๑ ค�ำว่า สัตว์ ในท่ีน้ี แปลจากค�ำว่า ตถาคต ตามค�ำอธิบายของอรรถกถาที่กล่าวถึงทิฏฐิ ๑๐ แต่ในท่ีอื่น ค�ำว่า ๒ ตถาคต ใช้เปน็ พระนามเรียกพระพทุ ธเจา้ ค�ำว่า พยากรณ์ แปลว่า ทำ� ใหแ้ จง้ คอื ตอบหรอื อธบิ าย ไม่ใชท่ ำ� นาย อยา่ งทีใ่ ชใ่ นความหมายบางอย่างในภาษาไทย PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 435 5/4/18 2:25 PM

436 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ทรงช้ีแจงเรอ่ื งแสดงธรรมแง่เดยี ว หลายแง่ ตรัสตอบว่า ทรงแสดงธรรมแง่เดียว (เอกังสิกะ) ก็มี ทรงแสดงธรรมหลายเเง่ (อเนกังสิกะ) ก็มี ที่ทรงแสดงธรรมหลายแง่ก็คือ เร่ืองโลกเท่ียง ไม่เที่ยง โลกมีที่สุด ไม่มีท่ีสุด เป็นต้น ท่ีทรงแสดงธรรมแง่เดียวคือเร่ืองทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติ ใหถ้ ึงความดับทกุ ข์ ตรัสเล่าต่อไปว่า พระองค์เคยเสด็จเข้าไปหาสมณพราหมณ์พวกที่มีความเห็นมีวาทะ ว่า เมื่อตายไปแล้ว อัตตาจะมีความสุขโดยส่วนเดียว ไม่มีโรค แล้วซักถามว่า ท่านรู้เห็นโลก ซ่ึงมีความสุขโดยส่วนเดียวหรือเปล่า ก็ตอบว่า เปล่า ถามว่า ท่านรู้สึกอัตตาท่ีมีความสุข โดยส่วนเดียวสักคืนหน่ึง วันหน่ึง หรือ คร่ึงคืน คร่ึงวันหรือ ก็ตอบว่า เปล่า ถามว่า ท่านรู้จัก หนทาง หรือข้อปฏิบัติดีท่ีจะบรรลุถึงโลกท่ีมีความสุขโดยส่วนเดียว หรือเปล่า ก็ตอบว่า เปล่า ถามต่อไปอีกว่า ท่านได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพ่ือให้บรรลุโลกที่มีความสุขโดยส่วนเดียว หรือเปล่า ก็ตอบว่า เปล่าอีก ค�ำพูดของสมณพราหมณ์เหล่านั้น จึงชื่อว่าไม่มีปาฏิหาริย์๑ มใิ ชห่ รือ โปฏฐปาทปริพพาชกรบั ว่า ไมม่ ีปาฏิหาริย์ เลื่อนลอย ครนั้ แล้วทรงเปรยี บพวกทกี่ ลา่ วว่า เม่ือตายไปแลว้ อตั ตาจะมคี วามสขุ โดยสว่ นเดียว ไม่มีโรค แต่ไม่รู้อะไรจริงจังเลยเก่ียวกับข้อท่ีตนกล่าวนั้น ว่าเปรียบเหมือนคนท่ีรักหญิงงาม ชาวชนบท แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครชื่อไร สกุลอะไร อยู่ที่ไหน หรือเปรียบเหมือนคนตั้งบันไดขึ้นบน ทางสแ่ี พร่งเพือ่ จะขนึ้ ปราสาท แต่ไม่รู้วา่ ปราสาทอยู่ในทิศไหน สงู ต�ำ่ หรือปานกลางอยา่ งไร ต่อจากน้ันทรงแสดงการได้อัตตา ๓ ประเภท คือการได้อัตตาหยาบ ซ่ึงมีรูปประกอบ ด้วยธาตุ ๔ กินอาหารเป็นค�ำ ๆ การได้อัตตามีรูป ซ่ึงเกิดจากใจ การได้อัตตาที่ไม่มีรูป ซึ่งเกิด จากสัญญา (โดยใจความคือทรงแสดงการได้อัตตภาพในกามภพ เช่น มนุษย์และสัตว์ทั่วไป รวมท้ังเทพช้ันกามาวจร เป็นประเภทอัตตาหยาบ ทรงแสดงการได้อัตตภาพในรูปภพ คือ อัตตาของรูปพรหม และทรงแสดงการได้อัตตภาพในอรูปภพคืออัตตา๒ ของอรูปพรหม พรหมไม่มีรูป) แลว้ ทรงช้ีใหเ้ หน็ วา่ ทรงแสดงธรรม เพอ่ื ใหล้ ะอัตตา ๓ ประเภทน้ัน เมอ่ื ปฏิบัติ แล้ว ก็จะละธรรมท่ีท�ำให้เศร้าหมองและมีธรรมอันผ่องแผ้วเจริญย่ิง ท�ำให้บรรลุความเป็น ผู้สมบูรณ์ไพบูลด้วยปัญญาในปัจจุบัน และแม้จะมีใครกล่าวว่า การได้บรรลุสภาพเช่นน้ัน ๑๒ ไม่มีปาฏหิ าริย์ หมายถงึ เลอื่ นลอยไม่มีหลักฐาน - ม.พ.ป. หรือค�ำพูดของชาวโลก แต่ไม่ทรงยึดถือตามข้อความ ทรงใช้ค�ำว่า อัตตา ตามชาวโลก แต่ถือเพียงว่าเป็นโวหาร ทา้ ยพระสูตรน้ี PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 436 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ สุภสูตร 437 ท�ำให้เป็นทุกข์ก็ทรงแสดงได้ว่า มีความปราโมทย์ ความอิ่มใจ ความสงบ มีสติสัมปชัญญะ ทีฆนิกาย และความอยู่เป็นสุข (ประเด็นส�ำคัญในตอนนี้มีอยู่ว่า มีสมณพราหมณ์บางพวกกล่าวว่า เม่ือตายแล้วอัตตาจะเป็นสุข แต่ตัวเองไม่รู้ไม่เห็น และไม่ทราบข้อปฏิบัติ ส่วนทาง พระพุทธศาสนาแทนที่จะสอนให้บรรลุอัตตา กลับสอนให้ประพฤติปฏิบัติเพื่อละอัตตา แล้ว ช้ีได้ด้วยวา่ อตั ตามี ๓ ประเภท ถา้ ละได้ก็จะมีสุข) ทรงเปรียบให้ฟังว่า การสอนอย่างช้ีข้อปฏิบัติเพ่ือละอัตตาได้น้ี เปรียบเหมือน ต้ังบันไดขึน้ สูป่ ราสาทซึง่ มปี ราสาทอยจู่ ริง ๆ ไมใ่ ช่ชีไ้ มไ่ ด้ ต่อจากนั้นทรงอธิบายรับรองความเห็นของจิตตะ บุตรแห่งนายควาญช้าง (ซึ่งไป เฝ้าพร้อมกับโปฏฐปาทปริพพาชก) ที่ว่า เม่ืออยู่ในสภาพใดสภาพหน่ึง อัตตาก็ไม่อยู่ในสภาพอ่ืน เช่น เม่ือได้อัตตาหยาบก็ไม่อยู่ในสภาพอัตตา (ละเอียด) มีรูปเกิดจากใจ หรือไม่มีรูปเกิดจาก สัญญา เม่ืออยู่ในตอนไหนก็จริงในตอนนั้น ตอนอ่ืนไม่จริง เปรียบเหมือนน�้ำนม นมส้ม เนยข้น เนยใส ก้อนเนยใส ตอนไหนเป็นอะไรกไ็ มเ่ ปน็ อยา่ งอน่ื ทรงสรูปในท่ีสุดว่า ถ้อยค�ำเรื่องอัตตาเหล่านี้เป็นเพียงโลกสมัญญา (ช่ือทางโลก) โลกนิรุติ (ค�ำพูดของโลก) โลกโวหาร (โวหารทางโลก) และโลกบัญญัติ (บัญญัติทางโลก) ซงึ่ ตถาคตก็พดู ดว้ ยถอ้ ยคำ� เหลา่ นัน้ แตไ่ มย่ ดึ ถอื เมื่อจบพระธรรมเทศนา โปฏฐปาทปริพพาชกสรรเสริญพระธรรมเทศนา แสดงตน เป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ส่วนจิตตะ บุตรแห่งนายควาญช้างขอบวช แล้วไดส้ �ำเร็จเป็นพระอรหันต์ในกาลตอ่ มาไมน่ าน ๑๐. สภุ สตู ร (สูตรว่าดว้ ยการโตต้ อบกบั สุภมาณพ โตเทยยบตุ ร) สูตรนี้เป็นภาษิตของพระอานนท์ เล่าเร่ืองว่า พระอานนท์อยู่ในเชตวนารามของ อนาถปณิ ฑิกคฤหบดี ใกล้กรงุ สาวัตถี เมือ่ พระผูม้ พี ระภาคนิพพานแล้วไมน่ าน ครั้นน้ัน สุภมาณพผู้เป็นบุตรโตเทยยพราหมณ์ พักอาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี ด้วยธุระ บางอย่างและได้ส่งมาณพคนหน่ึงไปนิมนต์พระอานนท์ให้สงเคราะห์ไปเย่ียมตนถึงที่อยู่ พระอานนทอ์ ้างวา่ วันนที้ า่ นดม่ื ยา ต่อวนั รุง่ ข้ึนจึงจะไป ครั้นวันรุ่งข้ึนพระอานนท์ไปเยี่ยม สุภมาณพจึงถามว่า ท่านอุปฐากพระโคดมผู้เจริญ มานาน พระโคดมสรรเสริญธรรมอะไร และชักชวนประชุมชนให้ตั้งอยู่ในธรรมอะไร พระอานนท์ ตอบว่า พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญกองศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นอริยะ และทรงชักชวน PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 437 5/4/18 2:25 PM

438 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ประชุมชนให้ต้ังอยู่ในกองศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นอริยะนี้ สุภมาณพถามให้อธิบายถึง กองศีล (สลี ขันธ์) กองสมาธิ (สมาธขิ ันธ)์ และกองปัญญา (ปัญญาขันธ)์ อันเป็นอรยิ ะโดยล�ำดับ พระอานนท์อธิบายกองศีล โดยใจความว่า บุคคลมีศรัทธา ออกบวชแล้ว เว้นจาก ทางแห่งอกุศล ๑๐ ประการ และศีล ๓ ประเภท (ด่ังกล่าวแล้วในพรหมชาลสูตรและ สามญั ญผลสูตร) ส่วนกองสมาธิ อธบิ ายถงึ การส�ำรวม ตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ (ส�ำรวมอินทรีย์) ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ มีความสันโดษด้วยปัจจัย คือ จีวร บิณฑบาต ช�ำระจิตจาก นิวรณ์ (ธรรมอนั กน้ั จิตมิใหบ้ รรลคุ ณุ ความดี) ๕ ประการ ได้ฌานท่ี ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ สว่ น กองปัญญา อธิบายถึงวิชชา ๘ มีวิปัสสนาญาณ (ญาณเห็นแจ้งสภาวธรรมตามเป็นจริง) เป็นต้น จนถึงอาสวักขยญาณ (ญาณอันท�ำอาสวะคือกิเลสที่ดองสันดานให้สิ้นไป) เช่นเดียวกับที่ ปรากฏในสามัญญผลสูตร เม่ือแสดงธรรมจบ สุภมาณพ โตเทยยบุตร สรรเสริญธรรมเทศนา แสดงตน เป็นอุบาสกถงึ พระรตั นตรยั เปน็ สรณะตลอดชีวติ ๑๑. เกวฏั ฏสูตร (สตู รวา่ ดว้ ยการแสดงธรรมแกบ่ ุตรคฤหบดีชอื่ เกวฏั ฏะ) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ป่ามะม่วงของปาวาริกะ ใกล้เมืองนาฬันทา ณ ท่ีนั้น บุตรคฤหบดีช่ือเกวัฏฏะเข้าไปเฝ้า ขอให้ทรงชวนภิกษุผู้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้ให้แสดง ก็จะ มคี นเล่อื มใสในพระผมู้ ีพระภาคยิง่ ขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พระองค์มิได้แสดงธรรมว่า ภิกษุท้ังหลาย ท่านจง แสดงอิทธิปาฏหิ าริยแ์ ก่คฤหัสถผ์ ู้นงุ่ ผา้ ขาว แม้คร้ังที่ ๒ ครั้งท่ี ๓ บุตรคฤหบดีช่ือเกวัฏฏะ ก็ยังยืนยันจะให้ทรงชวนภิกษุ ผูแ้ สดงอิทธปิ าฏหิ าริยไ์ ด้ใหแ้ สดง กจ็ ะมีคนเลอื่ มใสในพระผูม้ พี ระภาคยิง่ ข้นึ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงช้ีแจงวา่ ปาฏหิ ารยิ ท์ ่ที รงท�ำใหแ้ จ้งด้วยความรูย้ ่งิ ดว้ ยพระองค์ เองและประกาศแลว้ มอี ยู่ ๓ อยา่ ง คอื ๑. อิทธิปาฏหิ ารยิ ์ แสดงฤทธไิ์ ด้เป็นอศั จรรย์ ๒. อาเทสนาปาฏหิ าริย์ ดักใจทายใจไดเ้ ปน็ อศั จรรย์ ๓. อนุสาสนีปาฏหิ าริย์ ส่งั สอน (มีเหตุผลดี) เปน็ อศั จรรย์ แล้วทรงอธิบายวิธีแสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ และสรูปในท่ีสุดว่า คนที่ไม่มีความเช่ือ ความเลอ่ื มใสกอ็ าจกลา่ วไดว้ า่ ภกิ ษทุ แ่ี สดงฤทธไิ์ ดน้ นั้ เพราะมคี นั ธารวชิ า (วชิ าของชาวคนั ธาระ) PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 438 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ โลหิจจสูตร 439 อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจทายใจของคนได้ คนท่ีไม่มีความเช่ือ ความเล่ือมใส ก็ ทีฆนิกาย อาจกลา่ วได้ว่า ภิกษทุ ่ีดกั ใจทายใจไดน้ นั้ ก็เพราะมมี ณกิ าวิชา คร้ันแล้วทรงแสดงถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือการส่ังสอนเป็นอัศจรรย์ ว่าควร ประพฤติปฏิบัติอย่างไร ตลอดจนการปฏิบัติได้ผลในศีล ๓ ประเภท ในฌาน ๔ ในวิชชา ๘ (ดง่ั กลา่ วไวแ้ ลว้ ในพรหมชาลสูตรและสามญั ญผลสตู ร) แล้วทรงเล่าถึงภิกษุรูปหนึ่งข้องใจในปัญหาท่ีว่า ธาตุ ๔ เป็นต้น จะดับโดยไม่เหลือ ในที่ไหน ภิกษุรูปน้ันเท่ียวตระเวนถามเทวดาต่าง ๆ จนกระท่ังถึงท้าวมหาพรหมก็ตอบไม่ได้ ในทส่ี ดุ ท้าวมหาพรหมขอให้มาถามพระพทุ ธเจ้า ซึ่งตรัสสอนเปน็ ใจความรวบยอดวา่ ดบั วิญญาณ เสียได้ ธาตุ ๔ เป็นต้น ก็ดับไม่เหลือในที่น้ัน (เป็นการแสดงว่าฤทธิ์ช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ ค�ำสัง่ สอนสำ� คัญกวา่ ) ๑๒. โลหจิ จสตู ร (สตู รว่าด้วยการโต้ตอบกบั โลหจิ จพราหมณ)์ พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ได้เสด็จ แวะพัก ณ ต�ำบลบ้านช่ือสาลวติกา ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานให้โลหิจจพราหมณ์ ครอบครอง ทรงแกค้ วามเหน็ ผดิ สมัยนั้น โลหิจจพราหมณ์มีความเห็นผิดเกิดขึ้นว่า สมณะหรือพราหมณ์ผู้บรรลุ กุศลธรรมแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอ่ืนจะท�ำอะไรแก่อีกคนหน่ึงได้ การบอกแก่คนอื่น จดั วา่ เป็นความโลภ (ความอยากได้) ทเี่ ปน็ บาปอนั หน่งึ เปรยี บเหมอื นคนตดั เครื่องพันธนาการ เกา่ ออกแล้ว กลับท�ำเครือ่ งพนั ธนาการใหม่ (ให้แกต่ วั เอง) อีก โลหิจจพราหมณ์ได้ข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึงต�ำบลบ้านชื่อสาลวติกา จึงใช้ ช่างกัลบก ช่ือโรสิกะ ให้ไปกราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์มาฉัน ในวันรงุ่ ขน้ึ รุ่งข้ึนเมื่อเสด็จไปฉันเสร็จแล้ว ก็ได้ทรงโต้ตอบกับโลหิจจพราหมณ์ถึงเรื่องความ เห็นผิดนั้น ทรงเปรียบเทียบให้เห็นว่า โลหิจจพราหมณ์ซ่ึงครอบครองต�ำบลบ้านสาลวติกา ก็ตาม พระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งทรงครอบครองแคว้นโกศลก็ตาม ถ้าบริโภคผลประโยชน์ท่ี เกิดข้ึนในดินแดนท่ีปกครองแต่ผู้เดียว ไม่ยอมแบ่งปันให้ผู้ใดเลยดังนี้ คนที่จะแสดงความ คิดเห็นไม่ให้แบ่งปันแก่ผู้อื่นอย่างน้ี จะช่ือว่าท�ำอันตรายแก่ผู้ที่ (เป็นข้าทาสบริวาร) อาศัยอยู่ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 439 5/4/18 2:25 PM

440 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ หรือไม่ โลหิจจพราหมณ์ยอมรับว่าเป็นการท�ำอันตรายแก่คนเหล่านั้น (เพราะเม่ือไม่ได้รับ ส่วนแบ่ง เช่น อาหาร เป็นต้น คนเหล่านั้นก็อยู่ไม่ได้) ตรัสถามต่อไปว่า จะเป็นการตั้งเมตตาจิต คิดอนุเคราะห์คนเหล่านั้น หรือว่าเป็นศัตรู กราบทูลตอบว่า เป็นศัตรู ตรัสถามต่อไปว่า เม่ือ ต้ังจิตเป็นศัตรูจะช่ือว่ามีความเห็นผิดหรือเห็นชอบ พราหมณ์กราบทูลว่า เป็นการเห็นผิด (อันนเ้ี ป็นการต้อนให้พราหมณน์ ้ันยอมรับว่าตนมคี วามเหน็ ผิด เพราะจ�ำนนตอ่ เหตุผล) จึงทรงเปรียบเทียบให้ฟังต่อไปว่า การกล่าวว่า ผู้ครอบครองบริโภคผลประโยชน์ที่ เกิดข้ึนแต่ผู้เดียวไม่แบ่งปันแก่ใครเลย ก็เช่นเดียวกับการกล่าวว่า ผู้บรรลุกุศลธรรมไม่ควร บอกแก่ใคร ๆ ซึ่งเป็นการท�ำอันตราย เป็นการต้ังจิตเป็นศัตรูต่อผู้ท่ีควรจะได้รับ และเป็น การมีความเห็นผิด ศาสดา ๓ ประเภท แล้วทรงแสดงถึงศาสดา (ผู้สอนศาสนา) ๓ ประเภทที่ควรโจทท้วง๑ และค�ำโจทท้วง กถ็ ูกตอ้ งตามธรรมคอื ๑. ศาสดาที่ออกบวชแล้ว ไม่ได้บรรลุประโยชน์ของความเป็นสมณะด้วยตนเอง ได้แต่แสดงธรรมสอนผู้อื่น (ดีแต่สอนผู้อ่ืน ตนเองปฏิบัติไม่ได้ หรือไม่ได้ผล) สาวกจึงไม่ตงั้ ใจฟัง พากนั เลี่ยงหนี ๒. ศาสดาท่ีออกบวชแล้ว ไม่ได้บรรลุประโยชน์ของความเป็นสมณะด้วยตนเอง ไดแ้ ตแ่ สดงธรรมสอนผูอ้ ืน่ แตส่ าวกต้ังใจฟังค�ำสอน ไมพ่ ากนั เล่ียงหนี ๓. ศาสดาท่ีออกบวชแล้ว ได้บรรลุประโยชน์ของความเป็นสมณะและแสดงธรรม สัง่ สอน แตส่ าวกไมต่ ง้ั ใจฟงั ค�ำสอน พากันเลย่ี งหนี ศาสดาท่ีไม่ควรติ โลหิจจพราหมณ์กราบทูลถามว่า ศาสดาท่ีไม่ควรติมีในโลกหรือไม่ ตรัสตอบว่า มี คือศาสดามีคุณสมบัติสมบูรณ์ในตัวเอง ท้ังมีสาวกที่ออกบวชแล้วต้ังอยู่ในศีล ได้บรรลุฌาน ท่ี ๑ ถึง ๔ และได้วิชชา ๘ ประการ (ตามท่ีกล่าวแล้วในสามัญญผลสูตร) ศาสดาประเภทน้ี ไม่ควรถูกติ (เพราะสั่งสอนได้ผลสมบูรณ์ คือ ตนเองก็ได้บรรลุคุณธรรม สาวกก็ได้บรรลุ คณุ ธรรม) โลหิจจพราหมณ์กราบทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสกถึง พระรัตนตรัยเปน็ สรณะตลอดชีวติ ๑ ท้วงติง หรอื คัดคา้ น - ม.พ.ป. PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 440 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ เตวิชชสูตร 441 ๑๓. เตวชิ ชสตู ร ทีฆนิกาย (สูตรว่าด้วยไตรเวท) พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ได้เสด็จ แวะพัก ณ ต�ำบลบ้านพราหมณ์ชื่อมนสากตะ ประทับ ณ ป่ามะม่วง ริมฝั่งแม่น้�ำอจิรวดี ดา้ นเหนอื ของตำ� บลบ้านพราหมณ์ ช่อื มนสากตะ สมัยนั้น พราหมณมหาศาล (พราหมณ์ที่เป็นเศรษฐี) มีชื่อเสียงหลายคนพักอาศัย อยู่ในต�ำบลบ้านนั้น เช่น วังกีสพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ ชาณุสโสนิ พราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์ และพราหมณท์ ีม่ ชี ่ือเสยี งอื่น ๆ ค�ำสนทนาของมาณพ ๒ คน มาณพ ๒ คน คนหน่ึงชื่อวาเสฏฐะ (ผู้สืบสกุลวสิษฐะ) อีกคนหนึ่งชื่อภารัทวาชะ (ผู้สืบสกุลภารัทวาชะ) เดินสนทนากันถึงเร่ืองทางตรงท่ีจะไปสู่ความเป็นผู้ร่วมกับพระพรหม มาณพช่ือวาเสฏฐะ อ้างถ้อยค�ำของโปกขรสาติพราหมณ์ มาณพชื่อภารัทวาชะ อ้างถ้อยค�ำ ของตารุกขพราหมณ์ เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ จึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลเล่าความ ท่ีตนโต้เถียงกัน เพื่อให้ทรงช้ีแจง และในการกราบทูลเพิ่มเติมได้กล่าวว่า แม้พราหมณ์ต่าง ๆ จะบัญญัติหนทางไว้ต่าง ๆ กัน แต่ก็น�ำผู้กระท�ำตามไปสู่ความเป็นผู้ร่วมกับพระพรหมได้ เปรยี บเหมอื นทางตา่ ง ๆ หลายสาย ซง่ึ อยไู่ มไ่ กลคาม นคิ ม ก็ไปรว่ มกันท่ีคาม (หมูบ่ า้ น) พระผู้มีพระภาคตรัสถามให้วาเสฏฐมาณพ ยืนยันถึง ๓ คร้ังว่า ทางต่าง ๆ เหล่านั้น นำ� ไปสู่ความเป็นผูร้ ่วมกบั พระพรหมได้ ขอ้ ตรัสชกั ถาม ๑. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า มีพราหมณ์ผู้รู้ไตรเวทสักคนหนึ่งไหม ท่ีเคยเห็น พระพรหม กราบทลู ว่า ไม่มี ๒ . ตรัสถามว่า อาจารย์ของพราหมณ์ผู้รู้ไตรเวทมีสักคนหน่ึงไหม ที่เคยเห็น พระพรหม กราบทลู วา่ ไม่มี ๓ . ตรัสถามว่า อาจารย์ของอาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้น มีสักคนหนึ่งไหม ที่เคย เห็นพระพรหม กราบทูลว่า ไมม่ ี ๔. ตรัสถามว่า ใครคนใดคนหน่ึง ๗ ชั่วยุคอาจารย์ของพราหมณ์ มีไหม ท่ีเคยเห็น พระพรหม กราบทูลว่า ไมม่ ี PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 441 5/4/18 2:25 PM

442 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๕. ตรัสถามว่า ฤษีรุ่นก่อน ๆ ท่ีแต่งมนต์ ร่ายมนต์ ซึ่งพวกพราหมณ์ผู้รู้ไตรเวทใน สมัยนีเ้ ล่าเรียนท่องบน่ ตามบทเเห่งมนตน์ ้ัน เชน่ อฏั ฐกะ วามกะ เปน็ ต้น มีใครบ้างเคยกลา่ ววา่ ตนรู้เหน็ ว่าพระพรหมอยู่ในทีใ่ ด อย่อู ยา่ งไร อยทู่ ไี่ หน กราบทูลวา่ ไมม่ ี จึงตรัสสรูปว่า เปรียบเหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอด ท้ังคนต้น คนกลาง และ คนสุดท้าย ตา่ งก็มองไม่เหน็ พราหมณ์ผู้รูไ้ ตรเวท ทง้ั คนต้น คนกลาง และคนสดุ ทา้ ยก็ไม่เคย เห็นพระพรหม ค�ำกล่าวของพราหมณ์เหลา่ นนั้ จงึ วา่ งเปลา่ ๖. ตรัสถามต่อไปว่า พราหมณ์ผู้รู้ไตรเวทและคนอ่ืน ๆ ต่างเห็นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ขึ้นและตกจึงพากันสรรเสริญ ประคองอัญชลี กราบไหว้ เพียงเท่านี้จะเพียงพอหรือไม่ ที่พราหมณ์ผู้รู้ไตรเวทน้ันจะชี้ทางที่จะไปสู่ความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกับดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ กราบทูลว่า ไมพ่ อ จึงตรัสสรูปในตอนนี้ว่า แม้เพียงมองเห็นก็ยังไม่พอที่จะช้ีทาง ก็พราหมณ์ผู้รู้ไตรเวท พร้อมท้ังอาจารย์ อาจารย์ของอาจารย์ เป็นต้น ไม่เคยเห็นพระพรหมเลย ก็ยังแสดงทาง ตรงไปสู่ความเปน็ ผ้รู ่วมกับพระพรหมได้ ๗ . จึงตรัสถามว่า เมื่อเป็นเช่นน้ี ถ้อยค�ำของพราหมณ์ผู้รู้ไตรเวท จึงช่ือว่าไม่มี ปาฏิหาริย์ (เล่ือนลอยไม่มีหลักฐาน) ใช่หรือไม่ กราบทูลว่า ใช่ จึงตรัสต่อไปว่า เม่ือไม่รู้ไม่เห็น แต่แสดงทางตรงเพือ่ ไปสู่ความอยู่ร่วมกบั พระพรหม จงึ มิใช่ฐานะที่จะเปน็ จริงได้ อุปมา ๕ ขอ้ ๑. ตรัสเปรียบการท่ีพราหมณ์ผู้รู้ไตรเวท ไม่เคยเห็นพระพรหม แต่แสดงทางไปสู่ ความอยู่ร่วมกับพระพรหมว่าเหมือนชายผู้รักหญิงงามชาวชนบท แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ช่ือไร รูปรา่ งเป็นอยา่ งไร อยู่ท่ีไหน ๒. หรือเปรียบเหมือนคนท่ีต้ังบันไดขึ้นสู่ปราสาท ในทางสี่แพร่ง แต่ไม่รู้ว่าปราสาท นนั้ อยูท่ ่ไี หน ๓. การที่พราหมณ์ผู้รู้ไตรเวท ละธรรมะที่ท�ำให้เป็นพราหมณ์ สมาทาน (ยึดถือ) ธรรมท่ีไม่ท�ำให้เป็นพราหมณ์ แล้วพากันออกนามพระอินทร์ พระโสมะ พระวรุณ พระอีสาน พระปชาบดี พระพรหม พระมหินทร์ การออกนาม การอ้อนวอน การปรารถนา การยินดี ก็ไม่ท�ำให้ไปอยู่ร่วมกับพระพรหมได้เมื่อตายไป เปรียบเหมือนคนอ้อนวอนฝั่งน�้ำให้เข้ามาหา ก็ย่อมเข้ามาไมไ่ ด้ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 442 5/4/18 2:25 PM

สุตตันตปิฎก เล่ม ๙ ทีฆนิกาย สีลขันธวัคค์ เตวิชชสูตร 443 ๔. การที่พราหมณผ์ รู้ ไู้ ตรเวท ยงั หมกมนุ่ สยบอยู่ บรโิ ภคกามคณุ ๕ (คอื รูป เสียง ทีฆนิกาย กล่ิน รส สัมผัส อันน่าปรารถนารักใคร่ชอบใจ) ซึ่งนับเป็นเคร่ืองจองจ�ำผูกมัดในอริยวินัย จะไปสู่ความเป็นผู้ร่วมกับพระพรหมย่อมเป็นไปไม่ได้ เปรียบเหมือนคนต้องการข้ามแม่น�้ำ แตเ่ อาเชอื กมดั มอื ไพล่หลังตัวเองอยา่ งแน่นหนาอย่ทู ีฝ่ ่งั น้ี จะขา้ มไปสฝู่ ่งั โน้นไม่ได้ ๕. การท่ีพราหมณ์ผู้รู้ไตรเวทถูกนีวรณ์ ๕ (กิเลสที่กั้นจิตมิให้บรรลุความดี อันเป็น กิเลสช้ันกลางคือความพอใจในกาม ความพยาบาท เป็นต้น) รัดรึงไว้ จะเข้าสู่ความเป็นผู้ร่วมกับ พระพรหม ย่อมเป็นไปไม่ได้ เปรียบเหมือนคนท่ีต้องการข้ามแม่น้�ำ แต่เอาผ้าคลุมศีรษะ นอนเสยี ทางฝั่งนี้ ก็จะข้ามไปสฝู่ ่ังโน้นไมไ่ ด้ คณุ สมบัตขิ องพระพรหมกบั พราหมณ์ ตรัสถามว่า พราหมณ์ผู้ใหญ่ผู้สูงอายุท่ีเป็นชั้นอาจารย์ของอาจารย์เคยกล่าวถึง พระพรหมวา่ ๑. มสี ง่ิ หวงแหน (เชน่ สตรี) หรอื ไม่ ๒. มีจติ ผกู เวรหรอื ไม่ ๓ . มจี ิตพยาบาทหรือไม่ ๔. มีจิตเศรา้ หมอง (ด้วยกิเลส) หรอื ไม่ ๕. ทำ� จติ ให้เปน็ ไปในอ�ำนาจไดห้ รอื ไม่ มาณพกราบทูลตอบว่า พระพรหมตามค�ำกล่าวของพราหมณ์ผู้ใหญ่ไม่เป็นเช่นน้ัน ๔ ข้อ ข้อที่ ๕ เป็นเช่นน้ัน (คือมีคุณสมบัติในทางดีงาม) แล้วตรัสถามว่า พราหมณ์ผู้รู้ไตรเวท เป็นอย่างพระพรหมหรือไม่ ก็ตอบในทางตรงกันข้าม คือยังมีส่ิงหวงแหน มีจิตผูกเวร มีจิต พยาบาท มีจิตเศร้าหมอง ไมส่ ามารถคุมจติ ไว้ในอำ� นาจได้ ตรัสถามต่อไปว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ พราหมณ์ผู้รู้ไตรเวทจะเปรียบเทียบเข้ากันได้กับ พระพรหมหรือไม่ ตอบว่า ไม่ได้ จึงตรัสสรูปว่า เม่ือเป็นเช่นนี้ เม่ือตายแล้ว พราหมณ์ผู้รู้ ไตรเวท จะเขา้ ถึงความเปน็ ผ้รู ่วมกบั พระพรหมนนั้ จึงมใิ ช่ฐานะทีเ่ ปน็ ไปได้ ตรัสต่อไปว่า พราหมณ์ผู้รู้ไตรเวท เข้าไปใกล้ จมลงไป ถึงความวิบัติ (ในทางที่ผิด) แต่ก็ส�ำคัญว่าข้ามไปสู่แดนที่มีความสุขย่ิงกว่า๑ เพราะฉะน้ัน เราจึงเรียกว่าเป็นป่าไตรเวท ทไี่ ม่มีบ้าน เปน็ ปา่ ไตรเวท ทีไ่ มม่ ีนำ�้ เป็นความเสอ่ื มแห่งไตรเวท ๑ เปรยี บเหมือนคนทถ่ี กู ภาพลวง เหน็ ทะเลทรายเปน็ นำ้� PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 443 5/4/18 2:25 PM

444 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ มาณพถามถงึ ทางไปสู่พระพรหม วาเสฏฐมาณพกราบทูลถามถึงทางที่จะไปสู่ความเป็นผู้ร่วมกับพระพรหม พระผู้มี พระภาคตรัสตอบว่า พระองค์ทรงรู้จักพระพรหม พรหมโลก ข้อปฏิบัติเพื่อให้ไปสู่พรหมโลก ตลอดจนพระพรหมผ้ปู ฏบิ ัตอิ ย่างไรจงึ จะเขา้ ถึงพรหมโลกได้ เมื่อมาณพขอให้ทรงแสดง จึงตรัสถึงการท่ีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก บุคคลฟัง ธรรมออกประพฤติพรหมจรรย์ ตั้งอยู่ในศีล (รายละเอียดด่ังที่กล่าวในพรหมชาลสูตรและ สามัญญผลสูตร) ละนีวรณ์ ๕ ได้ แผ่เมตตาจิตไปสู่ ๔ ทิศ นี้เป็นทางไปสู่ความเป็นผู้ร่วมกับ พระพรหม เม่ือปฏิบัติได้อย่างน้ี ก็ชื่อว่ามีคุณสมบัติเปรียบเทียบเข้ากันได้กับพระพรหม (เปน็ การถามตอบคณุ สมบตั ขิ องภกิ ษผุ ปู้ ระพฤตติ นดี เจรญิ เมตตาเจโตวมิ ตุ เิ ทยี บกบั คณุ สมบตั ิ ของพระพรหมตามต�ำรบั โบราณทลี ะข้อ ซง่ึ มาณพก็กราบทลู รบั รองว่าเขา้ กันได)้ จึงตรัสสรูปในท่ีสุดว่า ภิกษุเช่นนั้นเมื่อตายไป ย่อมมีฐานะที่จะเข้าสู่ความเป็นผู้ ร่วมกบั พระพรหมได้ มาณพ ๒ คนกราบทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสกถึง พระรตั นตรัยตลอดชวี ิต (หมายเหตุ : พระสูตรน้ี หรือหลาย ๆ สูตรท่ีแล้วมาแสดงว่า การถือศาสนา ตามต�ำรา เช่น เรื่องพระพรหมน้ันยังไม่พอ ควรเอาความรู้ความประพฤติเข้าจับด้วย หมายความว่า ต้องรู้ ต้องเข้าใจปฏิบัติให้เห็นผลได้จริง ๆ ไม่ใช่ท�ำอะไรตาม ๆ กัน โดยไม่รู้ อะไรจริง) จบความย่อแห่งพระไตรปฎิ ก เล่ม ๙ PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 444 5/4/18 2:25 PM

เลม่ ๑๐ ทฆี นิกาย มหาวัคค์ ได้กล่าวไว้แล้วว่า ทีฆนิกาย เป็นที่รวมแห่งพระสูตรขนาดยาว และค�ำว่า มหาวัคค์ ตั้งช่ือตามสูตรแรกท่ีมีค�ำว่า มหา อยู่หน้า คือมหาปทานสูตร อน่ึง ในวรรคนี้มีสูตรที่มีค�ำว่า มหา อยูห่ น้าหลายสูตรด้วยกนั และพระสูตรทง้ั สิบสูตรในเลม่ นม้ี ีลำ� ดับดังตอ่ ไปน้ ี ๑. มหาปทานสูตร ว่าด้วย ‘ข้ออ้างใหญ่’ กล่าวถึงประวัติและเรื่องเกี่ยวข้อง กับพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ และพระประวัติละเอียดของพระวิปัสสี สมั มาสัมพุทธเจ้า ๒. มหานทิ านสตู ร วา่ ดว้ ย ‘ตน้ เหตใุ หญ’่ กลา่ วถงึ ปฏจิ จสมปุ บาท หรอื กฎแหง่ เหตผุ ล ท่ีเกย่ี วโยงกนั เป็นลูกโซ่ รวมท้ังทฤษฎีเรือ่ งอัตตา ๓. มหาปรนิ พิ พานสตู ร วา่ ดว้ ย ‘มหาปรนิ พิ พานของพระพทุ ธเจา้ ’ เรม่ิ ดว้ ยเหตกุ ารณ์ ก่อนปรินพิ พานจนถงึ แจกพระบรมสารีริกธาตุ ๔. มหาสุทัสสนสูตร ว่าด้วย ‘ประวัติพระเจ้ามหาสุทัสสนะ จักรพรรดิ’ เป็นเร่ือง ตรัสเล่าแกพ่ ระอานนทใ์ นเวลาใกลป้ รินพิ พาน ๕. ชนวสภสูตร ว่าดว้ ย ‘ยักษ์ชอื่ ชนวสภะ’ กราบทูลเร่อื งราวต่าง ๆ แดพ่ ระพุทธเจา้ พระองคต์ รสั เล่าแกพ่ ระอานนทอ์ ีกตอ่ หน่ึง ๖. มหาโควนิ ทสูตร วา่ ดว้ ย ‘มหาโควินทพราหมณ’์ ๗. มหาสมยสูตร ว่าด้วย ‘การประชุมใหญ่’ เป็นการประชุมของเทวดาซึ่งมาเฝ้า พระพุทธเจา้ ๘. สักกปัญหสูตร ว่าดว้ ย ‘ปัญหาของท้าวสักกะ’ ๑๐ ขอ้ ๙. มหาสติปัฏฐานสตู ร ว่าด้วย ‘การต้งั สติแบบใหญ่’ ๔ อยา่ ง คอื การต้งั สตกิ ำ� หนด พิจารณา กาย เวทนา จติ และธรรม ๑๐. ปายาสริ าชญั ญสตู ร๑ วา่ ดว้ ย ‘พระเจา้ ปายาส’ิ ผไู้ มเ่ ชอื่ เรอื่ งตายแลว้ เกดิ แสดงการ โตต้ อบระหว่าง พระกมุ ารกสั สปกบั พระเจา้ ปายาสอิ ย่างละเอยี ด ๑ ฉบบั ยุโรปเปน็ ปายาสิสตู ร PTF-MRF new09. PART 4 ����������� ��� � p.403-964 OK.indd 445 5/4/18 2:25 PM