Research in Educational Administration • 79 ตารางท่ี … ค่าไอเกน (eigen values) ค่าร้อยละของความผันแปร (% of Variance) และ คา่ รอ้ ยละของความผนั แปรสะสม (Comulative %) ของ 8 องคป์ ระกอบแรกของรปู แบบการบรหิ าร สถานศึกษา ก. องคป์ ระกอบท่ี คา่ ไอเกน คา่ ร้อยละของความผันแปร คา่ ร้อยละของความผันแปรสะสม (Eigen values) (% of Variance) (Cumulative %) 1. 5.413 11.767 11.767 2. 5.408 11.757 23.523 3. 4.463 9.701 33.225 4. 4.404 9.574 42.799 5. 4.077 8.863 51.662 6. 3.738 8.126 59.788 7. 2.112 4.592 64.381 8. 1.124 2.444 66.825 จากตาราง … พบว่า องค์ประกอบที่ 1 มีค่าไอเกน (Initial eigen values) = 5.413 องค์ ประกอบท่ี 2 มีค่าไอเกน (Initial eigen values) = 5.408 องคป์ ระกอบท่ี 3 มีค่าไอเกน (Initial eigen values) = 4.463 องค์ประกอบที่ 4 มีคา่ ไอเกน (Initial eigen values) = 4.404 องคป์ ระกอบที่ 5 มคี ่า ไอเกน (Initial eigen values) = 4.077 องค์ประกอบท่ี 6 มีคา่ ไอเกน (Initial eigen values) = 3.738 องคป์ ระกอบที่ 7 มคี ่าไอเกน (Initial eigen values) = 2.112 และ องคป์ ระกอบท่ี 8 มคี ่าไอเกน (Initial eigen values) = 1.124 โดยมคี า่ รอ้ ยละของความผนั แปรสะสมของทกุ องคป์ ระกอบ = 66.825 ในการพิจารณาว่าตัวแปรใดสมควรอยู่ในองค์ประกอบใดนั้นจะพิจารณาจากค่าน้�ำหนัก องค์ประกอบ (Factor loading) ของแต่ละตัวแปรยอ่ ย ดังแสดงในตารางที…่ …. สรุปผลการวเิ คราะห์องค์ประกอบเชิงส�ำรวจ จากผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลท�ำให้ไดค้ า่ น้ำ� หนักองค์ประกอบ ( Factor loading) ของตัวแปร ของรปู แบบการบรหิ ารสถานศกึ ษา ก. และไดท้ ำ� การรวมตวั แปรแลว้ แบง่ ออกเปน็ 8 องคป์ ระกอบ หลักพร้อมชื่อองค์ประกอบหลักดังกล่าว คือ 1).................. (2) .................. (3) .................. (4) .................. (5) .................. (6) .................. (7) .................. และ (8) .................. ตอนที่ 3 การประเมินและรบั รองรปู แบบการบริหารสถานศกึ ษา ก. เพ่ือตอบค�ำถามการวิจัยข้อที่ 3 ผู้วิจัยด�ำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีได้จากการพิจารณา ประเมินโครงร่างของรูปแบบการบริหารสถานศึกษา ก.โดยผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ ใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ ความถูกต้อง (Accuracy) ความเหมาะสม (Propriety) ความเป็นไปได้ (Feasibility) และความเป็นประโยชน์ (Utility) ซง่ึ อาจสรุปได้ ดังนี้
80 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา ขอ้ มลู ทวั่ ไปของผู้ประเมิน ผปู้ ระเมนิ เปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญและผทู้ รงคณุ วฒุ ิ จำ� นวน 17 คน โดยจำ� แนกเปน็ ผทู้ รงคณุ วฒุ จิ าก สถานศึกษาทีเ่ ปน็ ผู้มปี ระสบการณเ์ ก่ยี วกบั การประเมนิ รปู แบบการบรหิ ารสถานศกึ ษา ก. จำ� นวน 12 คน เปน็ ผเู้ ชยี่ วชาญทเี่ ปน็ ผบู้ รหิ ารเขตการศกึ ษา จำ� นวน 5 คน มรี ายนามดงั ปรากฏในภาคผนวก ..... ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู จากการประเมินโครงร่างของรูปแบบการบริหารสถานศึกษา ก. ท่ีผู้วิจัยได้พัฒนาข้ึน ได้ คะแนนในประเดน็ ต่าง ๆ ท้งั 4 ดา้ น ดังปรากฏในตาราง ….. ตารางที่ .... คะแนนประเมนิ จากผ้เู ช่ยี วชาญและผทู้ รงคณุ วุฒใิ นประเด็นตา่ ง ๆ (คะแนนเตม็ 10) ลำ�ดบั ด้านความ ดา้ นความ ดา้ นความ ดา้ นความ ถกู ตอ้ ง เหมาะสม เป็นไปได้ เป็นประโยชน์ คนที่ 1 10 9 9 10 คนที่ 2 9 8 89 คนท่ี 3 8 9 7 10 คนท่ี 4 10 9 9 10 คนที่ 5 10 9 10 10 คนที่ 6 9 9 99 คนที่ 7 9 10 9 10 คนที่ 8 8 8 88 คนที่ 9 6 7 77 คนที่ 10 9 9 99 คนที่ 11 7 6 78 คนที่ 12 8 7 88 คนที่ 13 9 9 10 10 คนที่ 14 9 10 10 10 คนที่ 15 9 9 9 10 คนที่ 16 8 8 88 คนท่ี 17 10 9 9 10 รวม 148 145 146 156
Research in Educational Administration • 81 จากตารางที่ … พบวา่ คะแนนการประเมินในดา้ นความเป็นประโยชน์ ไดค้ ะแนนรวม มากทส่ี ดุ คอื 156 คะแนน รองลงมา คือ ดา้ นความถกู ต้อง ไดค้ ะแนนรวม 148 คะแนน ด้านความ เปน็ ไปได้ ได้คะแนนรวม 146 คะแนน และดา้ นความเหมาะสม ไดค้ ะแนนรวม 145 คะแนน และ มคี า่ คะแนนเฉลีย่ รวมทกุ ดา้ นเท่ากบั 149 คะแนน เม่อื น�ำคะแนนแต่ละดา้ นตามประเด็นการประเมินมาหาคา่ เฉลี่ย (X ) และส่วนเบีย่ งเบน มาตรฐาน (SD) ไดค้ ่าเฉล่ยี และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ดังปรากฏในตาราง ... ตารางที่ …. ค่าเฉลย่ี (X) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ของคะแนนการประเมินโครงร่างของ รปู แบบการบรหิ ารสถานศึกษา ก. ประเดน็ การประเมิน คา่ เฉลีย่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ความถกู ต้อง 8.71 1.11 ความเหมาะสม 8.53 1.07 ความเปน็ ไปได้ 8.59 1.00 ความเป็นประโยชน์ 9.18 1.02 รวมเฉล่ีย 8.75 0.95 จากตารางที่ .... พบว่า คะแนนรวมเฉลี่ยเท่ากับ 8.75 ซึ่งไม่ต�่ำกว่า 7.50 จากคะแนน เต็ม 10 ตามประเด็นการประเมิน 4 ด้านดังกล่าว แสดงว่ารูปแบบการบริหารสถานศึกษา ก. ทพี่ ฒั นาขึน้ ไดร้ ับการรบั รอง เมอื่ พิจารณาเป็นรายดา้ น พบวา่ คะแนนเฉลี่ยสงู สุด คอื ดา้ นความ เป็นประโยชน์ (9.18) รองลงมา คือ ด้านความถูกต้อง (8.71) โดยมีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานรวม เท่ากบั 0.95 ซึ่งเข้าใกล้หนึง่ (1) แสดงวา่ การกระจายของขอ้ มูลน้อยมาก (ใกลเ้ คียงโคง้ ปกต)ิ จากนั้นผู้วิจัยน�ำผลคะแนนการประเมินของผู้เช่ียวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิมาวิเคราะห์ หาค่าความเช่ือม่ัน (Reliability) โดยค่าสถิติแอลฟ่าของครอนบาค (Cronbach’s alpha) ได้ค่า ดังปรากฏในตาราง …. ตารางที่….. ค่าสถิตแิ อลฟ่าของครอนบาค (Cronbach’s alpha) Reliability Coefficients Cronbach’s alpha N of Cases N of Items 0.929 17 4 จากตารางที่ …. พบวา่ คา่ สถิตแิ อลฟ่าของครอนบาค (Cronbach’s alpha) เท่ากับ 0.929 ซึ่งมีค่ามากกว่า 0.75 และเข้าใกล้หน่ึง (1) แสดงว่าการประเมินมีความน่าเชื่อถือ และเมื่อหาค่า ความสอดคลอ้ งของคะแนนการประเมนิ ของผเู้ ชยี่ วชาญและผทู้ รงคณุ วฒุ โิ ดยคา่ สถติ คิ อนคอแดนส์ (Concordance) ไดค้ ่าดังปรากฏในตารางท่ี …..
82 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา ตารางที่ .... คา่ สถติ คิ อนคอแดนส์ (Concordance) Kendall’s Coefficient of Concordance N of Cases 17 N of Items 4 Kendall’s w (a) .813 Chi – Square 52.003 df Asymp. Sig. 16 .000* จากตารางท.ี่ ... พบวา่ ค่าสถิติคอนคอแดนส์ (Concordance) หรือคา่ สัมประสทิ ธค์ิ วาม สอดคล้องมีค่าเท่ากับ 0.813 ซึ่งเม่ือทดสอบนัยส�ำคัญด้วยสถิติไค-สแควร์แล้วได้ค่า 52.003 ที่ df เท่ากับ 16 มีนัยสำ� คัญทางสถติ ิที่ .000 โดยมีค่าน้อยกวา่ ระดบั นยั สำ� คญั ที่ 0.05 น่นั คือ ผลการ ประเมนิ ของผเู้ ชยี่ วชาญและผทู้ รงคณุ วฒุ มิ คี วามสอดคลอ้ งกนั อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั 0.05 ความคิดเหน็ และข้อเสนอแนะของผู้ประเมนิ จากการสัมภาษณ์ผู้ประเมินซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิเพ่ือประกอบการ ประเมินและรับรอง (ร่าง) รูปแบบการบริหารสถานศึกษา ก.ในด้านความถูกต้อง (Accuracy) ความเหมาะสม (Propriety) ความเป็นไปได้ (Feasibility) และความเปน็ ประโยชน์ (Utility) โดยใช้ แบบสัมภาษณ์ประกอบการพิจารณา มีความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเติมเพิ่ม ซ่ึงสามารถสรุป ได้ดังน้ี............และความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะในภาพรวมของประเด็นการแสดงความคิดเห็น ทง้ั 4ดา้ นผเู้ ชย่ี วชาญและผทู้ รงคณุ วฒุ สิ ว่ นใหญม่ คี วามเหน็ ไปในแนวทางทสี่ นบั สนนุ (รา่ ง)รปู แบบ การบรหิ ารสถานศกึ ษา ก.ทค่ี น้ พบ ซง่ึ เปน็ การประเมนิ และใหก้ ารรบั รองรปู แบบทผ่ี วู้ จิ ยั พฒั นาขน้ึ กลา่ วโดยสรปุ การจดั การขอ้ มลู ดว้ ยวธิ วี เิ คราะหข์ อ้ มลู เพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลลพั ธต์ ามวตั ถปุ ระสงค์ น้นั นบั ว่าเปน็ อกี ข้ันตอนหนึง่ ท่สี �ำคญั ดงั นนั้ ในสว่ นของผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผู้วิจยั ควรศึกษา และท�ำความเขา้ ใจในเน้อื หาสาระท่สี �ำคัญ 4 เร่อื ง ไดแ้ ก่ 1) การออกแบบตาราง 2) การน�ำเสนอ ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 3) แนวทางการเขยี นรายงานผลการวจิ ยั และ 4) ตัวอย่างการเขียนรายงาน ผลการวจิ ัย ตอนท่ี 2.6 การสรุป อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ ในตอนท่ี 2.6 น้ี เป็นตอนที่มคี วามสำ� คญั และเปน็ หวั ใจของรายงานผลการวจิ ยั ซึง่ โดย ท่วั ไป จะรายงานไวใ้ นบทที่ 5 ของรายงานการวจิ ัย น่ันคอื ผู้อ่านทกุ คนทอี่ ่านบทท่ี 5 ของรายงาน การวจิ ยั แลว้ จะทราบไดท้ ง้ั หมดวา่ เปน็ การทำ� วจิ ยั เพอ่ื อะไร ทำ� กบั ใคร ทไ่ี หน เมอื่ ไร และทำ� อยา่ งไร และมขี อ้ คน้ พบ รวมทงั้ มีข้อเสนอแนะอะไรบา้ ง ฯลฯ ในตอนสุดทา้ ยของบทท่ีว่าดว้ ยการวจิ ัยเชิง ปรมิ าณน้ี ผวู้ จิ ยั ควรศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจเนอื้ หาสาระทส่ี ำ� คญั 4 เรอ่ื ง ประกอบดว้ ย 1) การสรปุ ผลการวจิ ยั 2) การอภปิ รายผลการวจิ ยั 3) การใหข้ อ้ เสนอแนะ และ 4) แนวทางการเขยี นรายงาน การวจิ ยั เพอื่ การสรปุ อภปิ รายผลและเสนอแนะ โดยอาจสรปุ ไดด้ งั นี้ (Campbell and Ballon, 1974; Christensen, 1988; วรรณี แกมเกตุ, 2551; บญุ ใจ ศรีสถิตย์นรากรู ; สุวมิ ล ตริ กานันท์, 2557)
Research in Educational Administration • 83 1. การสรปุ ผลการวิจัย การสรปุ ผลการวิจยั (Research conclusion) มหี ลักการเขียนดงั น้ี 1.1 ใหผ้ วู้ จิ ยั สรปุ ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในบททมี่ กี ารวเิ คราะหข์ อ้ มลู ไวแ้ ลว้ โดยเขยี น สรปุ ตามลำ� ดบั ของวตั ถปุ ระสงคแ์ ละสมมตฐิ านของการวจิ ยั 1.2 สรุปไดใ้ จความกะทัดรดั ชัดเจน และตรงไปตรงมา 1.3 ไม่เพมิ่ เตมิ ความคดิ เห็นของผู้วิจยั 2. การอภปิ รายผลการวจิ ยั การอภิปรายผลการวจิ ยั (Research discussion) มีหลักการเขยี น ดงั น้ี 2.1 เขียนอภิปราย ตีความ หรือประเมินข้อค้นพบที่ได้จากการวิจัย เพื่ออธิบาย และยืนยันความสอดคล้องหรือความแตกต่างระหว่างข้อค้นพบกับแนวคิดทฤษฎี และงานวิจัยที่ เกย่ี วขอ้ ง 2.2 ถา้ สอดคลอ้ ง กช็ ถ้ี งึ ประโยชน์ เชน่ หนว่ ยงานตน้ สงั กดั สามารถนำ� ไปกำ� หนด เปน็ นโยบายการด�ำเนินงานอยา่ งไร 2.3 ถา้ ไมส่ อดคลอ้ ง กช็ ใ้ี หเ้ หน็ ถงึ จดุ ออ่ น ซงึ่ อาจจะเปน็ สว่ นของแนวคดิ การสมุ่ ตวั อยา่ ง เครอื่ งมอื ตวั แปรแทรกซ้อน ฯลฯ 3. การให้ขอ้ เสนอแนะ การใหข้ ้อเสนอแนะ (Recommendation) มหี ลักการเขยี น ดังน้ี 3.1 ให้ผู้วิจัยเขียนตามผลการวิจัย มิใช่เขียนตามข้อคิดเห็นหรือความรู้สึกใด ๆ ของผวู้ จิ ัย 3.2 ตอ้ งเขียนใหม้ คี วามต่อเนอ่ื งกับงานวจิ ยั หรอื เป็นการต่อยอดงานวจิ ยั ไม่ควร นำ� เรอื่ งท่นี อกเหนือจากผลการวิจยั มาเสนอแนะไว้ 3.3 ต้องเขยี นให้อยู่ภายใต้ขอบเขตหรือเง่ือนไขทกี่ ำ� หนดไว้ เชน่ ขอบเขตความ สามารถ เงนิ และเวลา ฯลฯ 3.4 ตอ้ งเสนอแนะส่งิ ท่เี ปน็ เรอ่ื งใหม่ ไม่ใชเ่ รอื่ งทท่ี ราบกันอยู่ทั่วไป 4. แนวทางการเขยี นรายงานการวิจัยเพ่ือการสรุป อภปิ รายผลและเสนอแนะ โดยปกติ หลังจากด�ำเนินการเขียนรายงานการวิจัยเกี่ยวกับผลการวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จ แลว้ ผวู้ จิ ยั กจ็ ะเขยี นรายงานการวจิ ยั เพอ่ื การสรปุ อภปิ รายและเสนอแนะในบทสดุ ทา้ ยของรายงาน ฉะนั้น ในข้ันตอนนี้ ถือว่าเป็นบทที่มีความส�ำคัญและเป็นหัวใจของรายงานผลการวิจัย นั่นคือ ผู้อ่านทุกคนที่อ่านบทน้ีแล้ว จะทราบได้ท้ังหมดว่า เป็นการท�ำวิจัยเพื่ออะไร ท�ำกับใคร ท่ีไหน เม่ือไร และท�ำอย่างไร และมีข้อค้นพบ รวมทั้งข้อเสนอแนะอะไรบ้าง ฯลฯ ในบทสุดท้ายนี้ ผูว้ จิ ัยตอ้ งเขียน 3 ส่วน ดังนี้ 4. การสรปุ ผลการวิจยั ในส่วนนี้ผู้วิจัยต้องเขียนสรุปโดยรวมต้ังแต่บทที่ 1-4 ในลักษณะข้อสรุปหรือ ยอ่ ลงซง่ึ ตรงกบั ภาษาองั กฤษวา่ “Summary” นนั่ คอื เปน็ การกลา่ วถงึ สภาพของปญั หาความเปน็ มา เป็นไป ทีเ่ ลือกท�ำวจิ ัยเรอื่ งน้ี แลว้ ตอ่ ดว้ ยวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย มกี ีข่ อ้ เขยี นไวใ้ ห้ครบถ้วน แลว้
84 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา ตามดว้ ยการออกแบบการวิจยั วา่ เป็นการวิจยั ประเภทใดและแบบใด มีใครเปน็ ประชากร มีวธิ ีการ สุ่มตวั อย่างหรอื ไม่อย่างไร มีขนาดตัวอย่างเท่าไร มีเครอ่ื งมืออะไรท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู มี การสร้างแบบสอบถามอยา่ งไร มกี ารตรวจความตรงเชิงเนอ้ื หา (Content validity) หรอื ไม่ มกี าร ทดลองใชก้ บั ใครและอยา่ งไร และหาความเชอ่ื มน่ั (Reliability) วา่ มคี า่ สมั ประสทิ ธแ์ิ อลฟา (Alpha) เทา่ ไร รวมท้ังวิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยวา่ ผ้วู ิจัยเก็บเองหรอื ใหใ้ ครเปน็ ผอู้ อกไปเก็บ และเมอ่ื เกบ็ รวบรวมแบบสอบถามมาแลว้ นำ� มาดำ� เนนิ การวเิ คราะหแ์ ละประมวลผลดว้ ยเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ อยา่ งไร (ซงึ่ ในสว่ นนี้ความยาวประมาณ 1 หนา้ กระดาษ A4) หลังจากน้ีก็จะเป็นการสรปุ ผลการวจิ ัย ซ่งึ อาจเขียนออกเปน็ ขอ้ ๆ หรือเขียนต่อเนื่องเป็น เนอ้ื เดยี วกนั กไ็ ด้ ตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัยท่ีก�ำหนดไว้ และในกรณที ่ีมีการทดสอบสมมติฐาน การวิจัย (Research hypothesis) ผู้วิจัยก็ต้องสรุปในลักษณะเป็นทฤษฎี (Theories) ท่ีจะต้ังเป็น ทฤษฎีใหม่หรือหักล้างทฤษฎีเก่าหรือเสริมทฤษฎีเก่าให้หนักแน่นยิ่งข้ึน ซ่ึงตรงกับภาษาอังกฤษ ว่า “Conclusion” ซ่ึงเปรียบเสมือนการเล่านิทานมาแล้ว ในตอนสุดท้ายก็สรุปขมวดรวบยอด เป็นสุภาษิตว่า.....นิทานเร่ืองนี้สอนให้รู้ว่า “โลภมากลาภหาย” “ความยึดมั่นถือม่ัน ท�ำให้เกิด ความทุกข์” ฯลฯ การสรุปผลงานวิจัยในส่วนน้ี ผู้วิจัยต้องบอกค่าสถิติไว้ด้วย เช่น เป็นเพศชาย ร้อยละ 62.5 (ไม่ต้องบอกเพศหญิงว่า เป็นเพศหญิงร้อยละ 37.5 เพราะก�ำหนดไว้เพียง 2 เพศ เท่านั้น ยกเว้นก�ำหนดไว้หลายเพศในแบบสอบถาม) เพราะเป็นการสรุป มิใช่อธิบายตาราง ซึ่งแนวทาง ในการเขียนสรปุ ผลการวิจยั มดี ังน้ี 1) เป็นการเขียนสรุปผลการด�ำเนินงานวิจัยตั้งแต่บทที่ 1-4 ในลักษณะ ภาพรวมใหเ้ ป็นเนอ้ื เดียวกนั แบบ Summary 2) เขียนสรุปตามค�ำถามวิจัยหรือวัตถุประสงค์การวิจัย ซ่ึงก�ำหนดไว้กี่ข้อ ก็ต้องสรปุ ให้ครอบคลมุ ทุกข้อ 3) ถ้ามีการตั้งสมมติฐานการวิจัยไว้ ต้องสรุปแบบ Conclusion ในลักษณะ ท่เี ปน็ เชงิ ทฤษฎสี �ำหรับการน�ำไปใช้ตอ่ ไป 4) สรุปเฉพาะท่ีเปน็ ประเด็นหลกั ๆ สำ� คัญ ๆ หรือทเ่ี ป็นจุดเด่น (Highlight) 5) บอกค่าสถิติเทา่ ท่ีจำ� เป็นเท่านนั้ 6) เขียนสรุปให้ผู้อ่านเข้าใจได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องย้อนไปเปิดอ่าน บทที่ 1-4 อีก
Research in Educational Administration • 85 จากแนวทางในการเขยี นสรปุ ผลการวจิ ยั ดงั กลา่ วขา้ งตน้ อาจแสดงโครงสรา้ งการเขยี นสรปุ ผลการวิจัยได้ดงั แสดงในภาพท่ี 2.8 โครงสร้างการเขียนสรปุ ผลการวจิ ยั สรปุ ผลการวจิ ัย กล่าวถึงสภาพของปัญหาว่ามีอะไรบ้าง (กล่าวน�ำความเป็นมา-เป็นไป ที่เลือกท�ำ วิจัยเร่ืองน้ี.......แล้วบอกวัตถุประสงค์ของการวิจัย.........................อาจเขียนเป็นข้อ ๆ ย่อหน้า หรอื เขยี นแบบรอ้ ยแกว้ กไ็ ด.้ ....................เขยี นวธิ ดี ำ� เนนิ การวจิ ยั วา่ เปน็ การวจิ ยั ประเภทและแบบ ใด................ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง...................การสร้างเคร่ืองมือ..............เก็บรวบรวม ข้อมูลภาคสนาม...............การวิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผล..............ซึ่งสามารถสรุปผลการ วิจยั ตามข้อค้นพบ (Fact Findings) ได้ดังตอ่ ไปน้ี ผลการวจิ ัยพบวา่ 1. ผู้ตอบแบบสอบถามเปน็ เพศชาย รอ้ ยละ 62.5 มอี ายรุ ะหว่าง 20-30 ปี ............. ................................................................................................................................................. 2. ............................................................................................................................. ................................................................................................................................................... 3.............................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ภาพที่ 2.8 โครงสร้างการเขยี นสรุปผลการวจิ ยั 4.2 การอภิปรายผลการวิจยั ในส่วนน้ี เป็นเร่ืองท่ีท้าทายความสามารถของผู้วิจัย เพราะเป็นเร่ืองค่อนข้าง ยาก การอภปิ รายผล คอื อะไร คือการนำ� ขอ้ ค้นพบ (Fact findings) ทไี่ ดจ้ ากผลการวิจัยมาอธบิ าย/ อรรถาธิบาย/ขยายผลว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง หรือท�ำไมจึงเป็นอย่างน้ัน โดยใช้หลักตรรกวิทยา (Logic) ช่วยในการอธิบาย ถามว่าไม่มีการอภิปรายผลการวิจัย จะได้หรือ ไม่ ตอบว่าไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีการอภิปรายผลการวิจัย ท่านผู้รู้หรือนักวิชาการทางด้านการวิจัย กลา่ วว่า นน่ั ไมใ่ ชง่ านวจิ ัย ในการอภปิ รายผลการวจิ ยั นั้นมหี ลักและวธิ กี าร ดงั นี้ 1) ให้น�ำข้อคน้ พบเฉพาะทเี่ ด่น ๆ และส�ำคญั ๆ ในบทที่ 4 มาอภิปราย ซง่ึ ใน บทท่ี 4 เป็นการวิเคราะห์ขอ้ มูล ทผ่ี ้วู จิ ัยตอ้ งพจิ ารณาและกำ� หนดว่า มขี ้อคน้ พบอะไรบ้างทเ่ี ดน่ ๆ ทัง้ ในด้านบวกและดา้ นลบ เพ่อื นำ� มาอภิปรายในบทที่ 5 2) ใหน้ ำ� ความร/ู้ ประสบการณ/์ วฒั นธรรม/ขนบธรรมเนยี มประเพณ/ี วถิ ชี วี ติ / สภาพแวดลอ้ ม และ/หรอื ความจรงิ ในสงั คมนน้ั มาใหเ้ หต-ุ ผลประกอบกอ่ น (ตอ้ งมใิ ชค่ วามคดิ เหน็ ของผูว้ จิ ัย)
86 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 3) ให้น�ำแนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยต่าง ๆ ตามที่มีอยู่ในบทที่ 2 มาให้ เหตุผลประกอบใน 2 ลกั ษณะ คือ 1) สอดคล้อง/สนับสนุน และ 2) ไมส่ อดคล้อง/ขดั แย้ง 4) ผู้วจิ ัยสรุปประเด็นรวมในตอนสุดท้าย จากแนวทางในการเขยี นการอภปิ รายผลการวจิ ยั ดงั กลา่ วขา้ งตน้ อาจแสดงโครงสรา้ งการ อภปิ รายผลการวจิ ยั ได้ดงั ภาพท่ี 2.9 โครงสร้างการเขยี นอภปิ รายผลการวิจัย ผลการวจิ ัยพบว่า.......................................................................................... ท้ังนี้อาจเปน็ เพราะ.................(ผูว้ จิ ัยให้เหต-ุ ผลก่อน).........ซึง่ สอดคล้องกับแนวความคดิ ของ...................... (อา้ งแนวคดิ ในบทท่ี 2) ............ และสอดคลอ้ งกับทฤษฎีของ............................. แตข่ ัดแยง้ กบั กับผลการวิจัยของ.............................................................................................................ดังน้ัน .....................................................................(ผู้วจิ ัยสรปุ ประเด็นรวบยอด).................................. ภาพท่ี 2.9 โครงสรา้ งการอภปิ รายผลการวจิ ยั 4.3 การให้ข้อเสนอแนะ ในส่วนที่ 3 น้ี เป็นธรรมเนียมท่ีผู้วิจัย ซึ่งเม่ือได้ท�ำวิจัยเรื่องน้ีมาต้ังแต่ต้นและ ย่อมทราบดีกว่าผู้อื่น จึงได้ก�ำหนดให้ผู้วิจัย เมื่อท�ำวิจัยเรื่องใดก็ต้องจัดท�ำข้อเสนอแนะไว้ด้วย ซึ่งมีคนจ�ำนวนมาก โดยเฉพาะนักการเมืองและนักปกครองพูดไว้ว่า ข้อเสนอแนะของผู้วิจัย เมอ่ื อา่ นแลว้ คลา้ ยกบั วา่ ไมต่ อ้ งทำ� วจิ ยั กเ็ สนอแนะได้ ทงั้ นอี้ าจเปน็ เพราะ ผวู้ จิ ยั บางทา่ นยงั ไมท่ ราบ หลักเกณฑ์และวิธกี ารเขยี นขอ้ เสนอแนะกไ็ ด้ ซ่งึ ถา้ เป็นในลกั ษณะน้ี ผู้บริหารราชการแผ่นดินไทย อาจไม่ใช้ผลงานวิจัยก็ได้ ดังน้ัน จึงควรมาท�ำความเข้าใจเก่ียวกับวิธีการเขียนข้อเสนอแนะท่ีดีถูก ตอ้ งและสามารถนำ� ไปปฏบิ ตั ไิ ด้ ขอ้ เสนอแนะในวงการวจิ ยั หมายถงึ การนำ� ผลการวจิ ยั หรอื ขอ้ คน้ พบจากการวิจัยมาเสนอแนะ เพื่อน�ำไปใช้ประโยชน์ มิใช่เป็นข้อเสนอแนะท่ีผู้วิจัยคิดขึ้นมาเอง การเขยี นขอ้ เสนอแนะ ควรเขยี นแบง่ ออกเปน็ 3 ระดับ ดงั นี้ 1) ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบายหรือข้อเสนอแนะส�ำหรับผู้บริหาร 2) ข้อเสนอแนะส�ำหรับผู้ปฏบิ ัติ 3) ข้อเสนอแนะส�ำหรบั การศกึ ษาวิจัยตอ่ ไป ในการเขียนข้อเสนอแนะดังกล่าวข้างต้น นับว่ามีความส�ำคัญมากเพราะจะเป็น แนวทางในการน�ำผลการวจิ ัยไปสู่การใชป้ ระโยชน์จริง ผู้วจิ ัยจึงควรมหี ลกั เกณฑใ์ นการเขียนดงั น้ี 1) น�ำผลการวจิ ยั หรอื ขอ้ คน้ พบทั้งทางบวกและทางลบมาใช้ในการเขียนเป็น ขอ้ เสนอแนะ 2) เขียนข้อเสนอแนะให้อยู่ในกรอบ/ขอบเขตของเร่ือง/เน้ือหาท่ีท�ำวิจัย คือ อย่าเกนิ ขอบเขต
Research in Educational Administration • 87 3) ถ้ามีการสุ่มตัวอย่างถูกต้องตามวิธีการสุ่มท่ีดีแล้ว ก็สามารถอ้างอิงถึง ประชากรทั้งหมดได้ 4) อา้ งผลงานวิจัยมาก่อนแลว้ จึงเสนอแนะ 5) เขียนเป็นข้อเสนอแนะแล้ว ต้องสามารถท�ำตามได้ หรือสามารถน�ำไป ปฏบิ ตั ไิ ด้ 6) เขียนให้ชัดเจนและเป็นระบบ โดยให้ระบุหน่วยงาน/องค์กรท่ีจะน�ำไป ปฏิบัติ จะให้ท�ำอะไร ท�ำอย่างไรหรือท�ำวิธีใด ใช้เวลา เงิน บุคลากร วัสดุและอุปกรณ์อะไรบ้าง มเี งอ่ื นไขอืน่ ๆ อะไรบ้าง จากแนวทางในการเขียนข้อเสนอแนะดังกล่าวข้างต้น อาจแสดงโครงสร้างการเขียน ข้อเสนอแนะไดด้ ังแสดงในภาพท่ี 2.10 โครงสร้างการเขียนขอ้ เสนอแนะ ผลการวจิ ัย พบวา่ ......................................................................................................... .................................................................................................................... จงึ มขี ้อเสนอแนะว่า .................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ผลการวจิ ยั พบวา่ .............................................................................................................. ........................................................................................................................................................ ................................................................................................... จงึ มขี อ้ เสนอแนะวา่ ................... ........................................................................................................................................................ .................................................................................................................................................. ภาพท่ี 2.10 โครงสร้างการเขียนข้อเสนอแนะ กล่าวโดยสรุป การสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ โดยปกติจะเขียนไว้ในรายงาน การวิจัยบทท่ี 5 ซึ่งเป็นบทสุดท้ายของรายงานการวิจัย นับได้ว่าเป็นขั้นตอนที่มีความส�ำคัญและ เปน็ หัวใจของรายงานการวิจัย เพราะผ้อู ่านทุกคนที่อ่านบทที่ 5 ของรายงานการวจิ ัยแล้ว จะทราบ ได้ทั้งหมดว่า เป็นการท�ำวิจัยเพื่ออะไร ท�ำกับใคร ท่ีไหน เม่ือไร และท�ำอย่างไร และมีข้อค้นพบ รวมทัง้ มขี อ้ เสนอแนะอะไรบ้าง ฯลฯ ดงั น้ัน ผู้วจิ ัย จึงควรศกึ ษาและท�ำความเข้าใจเน้อื หาสาระ ที่สำ� คญั 3 เรอ่ื ง ประกอบดว้ ย 1) การสรปุ ผลการวิจัย 2) การอภิปรายผลการวิจัย และ 3) การ ให้ข้อเสนอแนะ นอกจากน้ี ควรศึกษาตัวอย่างแนวทางการเขียนรายงานการวิจัยเพ่ือการสรุป อภิปรายผลและเสนอแนะดว้ ย
88 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา ตอนที่ 2.7 กรณีตวั อย่างงานวิจัยเชิงปริมาณ ชอ่ื เรือ่ ง: ความพึงพอใจของบุคลากรต่อปัจจัยสนับสนุนการวิจัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ประจ�ำปีการศกึ ษา 2555 ผ้วู จิ ยั : นิรชรา ไชยแสง และศศิธร ดลปัดชา ปที ีว่ จิ ัย: 2555 วตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจยั เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของบุคลากรต่อปัจจัยสนับสนุนการวิจัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจำ� ปกี ารศกึ ษา 2555 วิธีดำ� เนินการวิจยั ผวู้ จิ ยั ออกแบบการวจิ ยั เปน็ การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ (Quantitative Research) หรอื การศกึ ษา เชิงส�ำรวจความคิดเหน็ ของนักศึกษาและบคุ ลากร คณะศกึ ษาศาสตร์ เกี่ยวกบั ปจั จัยสนับสนนุ การ วิจยั คอื ดา้ นนโยบายและการบรหิ ารงานวจิ ยั ของคณะศึกษาศาสตร์ ด้านความรแู้ ละประสบการณ์ ดา้ นการวิจัยของผ้ตู อบแบบส�ำรวจ ด้านแหลง่ คน้ คว้าขอ้ มูล ด้านเงินทุนและงบประมาณ ด้าน การวิจัย ด้านทรัพยากรและส่ิงอ�ำนวยความสะดวกเพ่ือส่งเสริมการวิจัย ด้านเวลาส�ำหรับการวิจัย ด้านผลตอบแทนท่ีได้รับจากการทำ� วจิ ัย กลุ่มตัวอยา่ งประกอบดว้ ยนักศึกษาและบคุ ลากร จำ� นวน ทั้งสนิ้ 120 คน เคร่อื งมือทีใ่ ช้ในการวิจยั คอื แบบประเมนิ มีลกั ษณะเปน็ แบบตรวจสอบรายการ เตมิ ขอ้ ความในชอ่ งวา่ ง และแบบมาตราสว่ นประมาณคา่ วเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยใชโ้ ปรแกรมสำ� เรจ็ รปู ทางสถติ ิ สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ คอื การแจกแจงความถี่ คา่ เฉลยี่ คา่ รอ้ ยละ และคา่ สว่ นเบย่ี งเบน มาตรฐาน สรปุ ผลการวิจยั ผลการวิจัยพบว่า ระดับความพึงพอใจของบุคลากรต่อปัจจัยสนับสนุนการวิจัย โดยภาพรวม มีระดับความคิดเห็นอยูใ่ นระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 3.84 คา่ ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน 0.52 สามารถจ�ำแนกระดับความพงึ พอใจตามรายด้านไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี 1) ดา้ นนโยบายและการบรหิ ารงานวจิ ยั ของคณะศกึ ษาศาสตร์ ภาพรวม มรี ะดบั ความ คิดเห็นอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.28 มีค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.58 ด้านที่มีความพึงพอใจสูงสุด คือ คณะศึกษาศาสตร์มีนโยบายสนับสนุนการท�ำวิจัยของบุคลากรอย่างชัดเจน มีระดับความคิด เหน็ อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลย่ี 4.41 มีค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน 0.61 สว่ นด้านทีม่ คี วามพึงพอใจตำ�่ สดุ คือ คณะศึกษาศาสตร์จัดโครงการพัฒนาศักยภาพทางการวิจัยแก่บุคลากรอย่างสม่�ำเสมอ มีระดับ ความคดิ เหน็ อย่ใู นระดบั มาก คา่ เฉลีย่ 4.12 มีค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน 0.63 2) ด้านความรู้และประสบการณ์ด้านการวิจัย ภาพรวม มีระดับความคิดเห็นอยู่ใน ระดบั ปานกลาง คา่ เฉล่ีย 3.55 มีคา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐานอยทู่ ี่ 0.77 ดา้ นท่ีมีความพงึ พอใจสูงสดุ คือ คณะศกึ ษาศาสตรม์ ีกจิ กรรมวิชาการสำ� หรับการทำ� วิจัย เช่น จัดประชุมวิชาการ การจัดแสดงงาน
Research in Educational Administration • 89 สรา้ งสรรค์ การจดั ใหม้ ศี าสตราจารย์อาคนั ตุกะ หรอื ศาสตราจารย์รับเชิญ มีระดบั ความคิดเห็นอยู่ ในระดบั ปานกลาง ค่าเฉลย่ี 3.92 มคี ่าเบี่ยงเบนมาตรฐานอยทู่ ี่ 0.88 สว่ นด้านท่ีมีความพึงพอใจต�่ำ สุด คือมีความรู้ด้านระเบียบวิธีการวิจัย มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 3.34 มคี ่าเบ่ยี งเบนมาตรฐานอยูท่ ่ี 0.98 3) ด้านแหล่งค้นคว้าข้อมูล ภาพรวม มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.15 มีคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐานอย่ทู ่ี 0.78 ด้านทม่ี ีความพงึ พอใจสูงสดุ คือ คณะศกึ ษาศาสตร์ของ ทา่ นมรี ะบบฐานขอ้ มลู พรอ้ มทจ่ี ะนำ� มาใชใ้ นการวจิ ยั มรี ะดบั ความคดิ เหน็ อยใู่ นระดบั มาก คา่ เฉลยี่ 4.01 มีค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานอยู่ท่ี 0.79 ส่วนด้านท่ีมีความพึงพอใจต่�ำสุด คือ คณะศึกษาศาสตร์ มีห้องสมุดหรือแหล่งค้นคว้าข้อมูลสนับสนุนการวิจัย มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก คา่ เฉล่ีย 3.77 มคี ่าเบ่ียงเบนมาตรฐานอยทู่ ่ี 0.73 4) ดา้ นเงนิ ทนุ และงบประมาณดา้ นการวจิ ยั ภาพรวม มรี ะดบั ความคดิ เหน็ อยใู่ นระดบั ปานกลาง ค่าเฉลย่ี 3.70 มีค่าเบย่ี งเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.64 ด้านทม่ี คี วามพึงพอใจสงู สดุ คือ มีการ แตง่ ตง้ั คณะกรรมการจดั หาทนุ อดุ หนนุ การทำ� วจิ ยั จากบคุ คลหรอื หนว่ ยงานภายนอก มรี ะดบั ความ คิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉล่ีย 3.80 มีค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานอยู่ท่ี 0.82 ส่วนด้านที่มีความ พึงพอใจต่�ำสุด คือ คณะศึกษาศาสตร์จัดสรรงบประมาณด้านการวิจัยหรืองานสร้างสรรค์อย่าง เพยี งพอ มรี ะดบั ความคดิ เหน็ อยใู่ นระดบั ปานกลาง คา่ เฉลย่ี 3.59 มคี า่ เบยี่ งเบนมาตรฐานอยทู่ ่ี 0.83 5) ด้านทรัพยากรและสิ่งอ�ำนวยความสะดวกเพ่ือส่งเสริมการวิจัย ภาพรวม มีระดับ ความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 3.72 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.79 ด้านท่ีมี ความพึงพอใจสงู สดุ คือ คณะศกึ ษาศาสตร์มมี าตรการรักษาความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการวิจยั มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 3.80 มีค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานอยู่ท่ี 0.67 ส่วนด้านที่มีความพึงพอใจต�่ำสุด คือ คณะศึกษาศาสตร์มีหน่วยงานให้การช่วยเหลือ ปรึกษาการ ท�ำวิจัย (คลินิกวิจัย) มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 3.62 มีค่าเบี่ยงเบน มาตรฐานอยทู่ ี่ 0.81 6) ด้านเวลาส�ำหรับการวิจัย ภาพรวม มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ค่าเฉล่ีย 3.76 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.72 ด้านท่ีมีความพึงพอใจสูงสุด คือ คณะศึกษาศาสตร์ได้จัดเวลา ให้บุคลากท�ำวิจัยอย่างเหมาะสม มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 3.88 มี ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.85 ส่วนด้านที่มีความพึงพอใจต่�ำสุด คือ ภาระงานสอนหรืองาน อื่น ๆ ท�ำให้ท่านมีเวลาในการท�ำวิจัยน้อยลง มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ค่าเฉล่ีย 3.68 มสี ่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานอยูท่ ่ี 0.79 7) ด้านผลตอบแทนทไ่ี ด้รบั จากการท�ำวจิ ยั ภาพรวม มรี ะดบั ความคดิ เห็นอยใู่ นระดบั มาก คา่ เฉลย่ี 3.83 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.68 ดา้ นที่มคี วามพึงพอใจสูงสุด คอื คณะศึกษา ศาสตร์ให้รางวัลหรือประกาศเกียรติคุณแก่ผู้มีผลงานวิจัยดีเด่น มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับ ปานกลาง ค่าเฉล่ีย 3.96 มสี ว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานอย่ทู ่ี 0.74 ส่วนดา้ นท่มี คี วามพึงพอใจตำ่� สดุ คือ คณะศกึ ษาศาสตรใ์ ชผ้ ลงานวจิ ยั ประกอบการพจิ ารณาเลอ่ื นขน้ั เลอื่ นตำ� แหนง่ มรี ะดบั ความคดิ เหน็ อยใู่ นระดับปานกลาง คา่ เฉล่ีย 3.90 มคี ่าเบยี่ งเบนมาตรฐานอย่ทู ี่ 0.79
90 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา นอกจากน้ัน ยังมีข้อเสนอแนะเพ่ือเป็นแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาปัจจัย สนับสนุนการวิจัยของคณะฯ คือ อยากให้คณะฯ มีการจัดกิจกรรมเสริมความรู้ด้านการท�ำวิจัย ให้มากข้ึน เพื่อเพ่ิมพูนประสบการณ์ และทักษะจากการท�ำวิจัยอย่างสม่�ำเสมอ ควรมีการ สนับสนุนด้านงบประมาณให้มากขึ้น เพราะบุคลากรจะได้มีแรงจูงใจในการท�ำวิจัยมากข้ึน อยากให้บุคลากรสายสนับสนุนมีโอกาสได้เผยแพร่งานวิจัยในที่ประชุมระดับชาติ และนานาชาติ ปัญหาของการท�ำวิจัยอย่างหนึ่ง คือ จ�ำนวนคาบสอนมาก ท�ำให้อาจารย์มีเวลาในการท�ำวิจัย น้อยลง ควรมีการจัดกลุ่มย่อยด้านวิจัยในกลุ่มบุคลากรสายสนับสนุนให้สม�่ำเสมอ มีผู้เช่ียวชาญ สอนด้วย กระตุ้นให้บุคลากรสายสนับสนุนท�ำวิจัยเพ่ือพัฒนางานอย่างสม�่ำเสมอ ควรมีวิทยากร ใหค้ วามรู้ และพ่เี ลี้ยงดูแล แตท่ ุกคนมภี าระงานประจ�ำมาก ทัง้ วทิ ยากรและผู้ท�ำวิจัย งานนคี้ งยาก งานสอนมีความส�ำคัญ จึงไม่ใช่ภาระ ควรมีการประชาสัมพันธ์ด้านเงินทุนและงบประมาณ ด้านการวิจัย และดา้ นผลตอบแทนที่ได้รับจากการท�ำวจิ ยั ใหม้ ากข้ึน สรุปทา้ ยบท การวิจัยเชิงปริมาณที่น�ำเสนอในบทที่ 2 น้ี มีท้ังหมด 6 ตอน ซึ่งแต่ละตอน ผู้วิจัย ควรศึกษาและท�ำความเข้าใจให้ละเอียดและชัดเจน โดยมีสาระส�ำคัญของแต่ละตอน อาจสรุป ได้ดงั น้ี ตอนท่ี 1 เป็นเร่ืองเกี่ยวกับแนวคิดของการวิจัยเชิงปริมาณ 3 เร่ือง ได้แก่ แนวคิดพื้น ฐานของการวิจัยเชิงปริมาณ ความหมายของการวิจัยเชิงปริมาณ และลักษณะส�ำคัญของการวิจัย เชงิ ปรมิ าณ ตอนที่ 2 เป็นเร่ืองเกี่ยวกับการต้ังช่ือเรื่องและบทน�ำ ซ่ึงผู้วิจัยควรศึกษาและท�ำความ เข้าใจเก่ียวกับชื่อเรื่องและบทน�ำท่ีผู้วิจัยจะต้องเขียนออกมาเป็นรายงานการวิจัยในบทท่ี 1 อย่าง ถูกต้องและมีคุณภาพ ประกอบด้วยเน้ือหาสาระที่ส�ำคัญ 18 เรื่อง ได้แก่ 1) การต้ังช่ือเรื่อง วจิ ยั 2) การก�ำหนดปญั หาการวจิ ัย 3) ปญั หาการวิจยั อยทู่ ี่ไหน 4) ลักษณะของปญั หาการวิจัยทีด่ ี 5) ตัวอย่างปัญหาการวิจัย 6) การก�ำหนดเร่ืองเพ่ือการท�ำวิจัย 7) หลักเกณฑ์การต้ังช่ือเร่ืองวิจัย 8) ความเป็นมาและความส�ำคัญของปัญหาการวจิ ัย 9) วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัย 10) ค�ำถามการวิจยั (หรือโจทย์วิจัย) 11) สมมตฐิ านการวจิ ยั 12) กรอบแนวคิดการวิจัย 13) ขอบเขตของการวิจัย 14) นิยามศัพท์เฉพาะ 15) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 16) แนวทางการเขียนความเป็นมา และ ความส�ำคัญของปัญหาการวิจัย 17) ค�ำถามที่ผู้วิจัยต้องตอบ และ 18) ตัวอย่างการเขียนความ เปน็ มาและความสำ� คัญของปญั หา ตอนท่ี 3 เป็นเร่ืองเก่ียวกับการทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง ประกอบด้วยเนื้อหา สาระทส่ี �ำคัญ 5 เรื่อง ได้แก่ 1) ความหมายของการทบทวนวรรณกรรม 2) ประโยชน์ของการ ทบทวนวรรณกรรม 3) จุดเนน้ ในการทบทวนวรรณกรรม 4) การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และสรปุ ตวั แปรทศ่ี ึกษา และ 5) แนวทางการเขียนรายงานการวิจัยที่ไดจ้ ากการทบทวนวรรณกรรม ผวู้ จิ ัย ควรศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจ ทงั้ นี้ เพราะการทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กยี่ วขอ้ งในการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ มีความส�ำคัญและเป็นประโยชน์ต่อผู้วิจัยเป็นอย่างมากในแง่ที่จะช่วยให้ผู้วิจัยได้รวบรวมเน้ือหาท่ี
Research in Educational Administration • 91 ได้จากการทบทวนวรรณกรรมมาวิเคราะห์ สงั เคราะห์ และสรุป สำ� หรับนำ� มาใชเ้ ป็นแนวทางหรือ ทิศทางในการดำ� เนินการวจิ ยั อย่างมีประสิทธิภาพ ตอนที่ 4 เปน็ เรือ่ งเกย่ี วกบั วธิ ีด�ำเนนิ การวิจยั คอื การกำ� หนดวธิ กี าร กจิ กรรมตา่ ง ๆ และ รายละเอียดการวิจัยที่ผู้วิจัยจะต้องท�ำ เพ่ือให้ได้มาซ่ึงข้อมูลท่ีถูกต้องและครบถ้วน การเขียนวิธี ดำ� เนนิ การวจิ ยั มีเปา้ หมายทสี่ ำ� คัญ คือ การได้มาซ่งึ ขอ้ มลู ท่ีจะสามารถตอบวตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัยที่ ก�ำหนดไว ้ จึงถอื วา่ มคี วามสำ� คัญเปน็ อยา่ งมาก เพราะมีเนื้อหาสาระที่ส�ำคญั ท่ผี ู้วจิ ัยควรศกึ ษาและ ท�ำความเขา้ ใจก่อนดำ� เนินการวจิ ยั จ�ำนวน 6 เรอ่ื ง ไดแ้ ก่ 1) ขั้นตอนการวิจยั 2) การออกแบบการ วิจยั 3) ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง 4) เคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ัย 5) การเก็บรวบรวมข้อมูล และ 6) การวเิ คราะห์ข้อมูลและสถิติท่ีใช้ ตอนที่ 5 เปน็ เร่ืองเกีย่ วกบั ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู คอื การจัดการขอ้ มลู ด้วยวธิ วี เิ คราะห์ ข้อมูลเพ่ือให้ได้ผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์น้ัน นับว่าเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งท่ีสำ� คัญ ดังน้ัน ในส่วน ของผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยควรศึกษาและท�ำความเข้าใจในเน้ือหาสาระท่ีส�ำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่ 1) การออกแบบตาราง 2) การน�ำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู 3) แนวทางการเขยี นรายงาน ผลการวจิ ัย และ 4) ตวั อย่างการเขียนรายงานผลการวิจัย ตอนที่ 6 เป็นเร่ืองเกี่ยวกับการสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ โดยปกติจะเขียนไว้ ในรายงานการวิจัยบทที่ 5 ซึ่งเป็นบทสุดท้ายของรายงานการวิจัย นับได้ว่าเป็นข้ันตอนท่ีมีความ ส�ำคัญและเป็นหัวใจของรายงานการวิจัย เพราะผู้อ่านทุกคนที่อ่านบทที่ 5 ของรายงานการวิจัย แลว้ จะทราบไดท้ งั้ หมดว่า เป็นการท�ำวจิ ัยเพอ่ื อะไร ทำ� กับใคร ที่ไหน เมื่อไร และท�ำอยา่ งไร และ มีข้อค้นพบ รวมท้ังมีข้อเสนอแนะอะไรบ้าง ฯลฯ ดังนั้น ผู้วิจัย จึงควรศึกษาและท�ำความเข้าใจ เน้ือหาสาระที่ส�ำคัญ 3 เร่ือง ประกอบด้วย 1) การสรุปผลการวิจัย 2) การอภิปรายผลการวิจัย และ 3) การให้ข้อเสนอแนะ นอกจากนี้ ควรศึกษาตัวอย่างแนวทางการเขียนรายงานการวิจัย เพอื่ การสรุป อภปิ ราย และเสนอแนะด้วย
บทท่ี การวิจัยเชิงคุณภาพ 3 QUALITATIVE RESEARCH จากบทที่ 2 ผู้เขยี นไดน้ �ำเสนอเรอ่ื งการวิจัยเชงิ ปริมาณไว้โดยละเอียดพอสมควรแล้ว ใน บทท่ี 3 น้ี จะน�ำเสนอเร่ืองการวจิ ัยเชงิ คุณภาพเพ่ือเปรยี บเทียบ เพมิ่ เติม หรอื ขยายความรู้เกีย่ วกบั การวิจัย ซ่งึ การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษในปัจจุบนั น้ี การวิจัยเชิงคุณภาพถือว่า เป็นที่นิยมของ นกั วจิ ยั เพราะไดน้ ำ� มาใชเ้ พอ่ื แสวงหาคำ� ตอบของการวจิ ยั อยา่ งแพรห่ ลายมากขนึ้ ดงั นนั้ ในบทน้ี จะ น�ำเสนอการวิจยั เชงิ คุณภาพ ประกอบด้วยเนื้อหาสาระที่ส�ำคัญ 7 ตอน ได้แก่ ตอนท่ี 1 แนวคดิ เกยี่ วกบั การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ตอนท่ี 2 ระเบยี บวธิ วี จิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ตอนท่ี 3 กระบวนการทส่ี ำ� คญั ของ ระเบยี บวธิ วี จิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ตอนท่ี 4 กระบวนการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพในการบรหิ ารการศกึ ษา ตอนท่ี 5 การเขียนรายงานการวิจัยเชิงคุณภาพ ตอนที่ 6 ข้อควรค�ำนึงถึงในการวิจัยเชิงคุณภาพทางการ บริหารการศกึ ษา และ ตอนท่ี 7 กรณีตัวอย่างงานวิจยั เชงิ คณุ ภาพ ท้งั นเ้ี พอ่ื เป็นแนวทางสำ� หรบั นักศึกษาที่จะได้น�ำมาประยุกต์ใช้ในการวิจัยทางการบริหารการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมรี ายละเอียด ดังตอ่ ไปน้ี ตอนท่ี 3.1 แนวคดิ เกย่ี วกับการวิจัยเชิงคุณภาพ ในส่วนนี้ ผู้วิจัยควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเร่ืองแนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งในทางการบริหารการศึกษาจ�ำเป็นต้องเข้าใจในเนื้อหาสาระที่ส�ำคัญ 13 เรื่อง ได้แก่ 1) ความ หมายของการวิจัยเชิงคุณภาพ 2) ปรัชญาและแนวคิดทฤษฎีท่ีมีอิทธิพลต่อการวิจัยเชิงคุณภาพ 3) วัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงคุณภาพ 4) พัฒนาการของการวิจัยเชิงคุณภาพ 5) ลักษณะของ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ 6)ประเภทของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ 7) หวั ใจของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ 8) การเนน้ แบบองค์รวม 9) ข้อมลู ของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ 10) การเน้นรังสรรคว์ ิทยา 11) การเปรยี บเทยี บ การวิจยั เชงิ คุณภาพกบั การวจิ ยั เชงิ ปริมาณ 12) ระบบคดิ ของการวิจัยเชิงคณุ ภาพ และ 13) ทำ� ไม และเมอ่ื ใดควรใชก้ ารวจิ ยั เชิงคุณภาพ โดยมีรายละเอยี ด ดังน้ี 1. ความหมายของการวิจยั เชงิ คณุ ภาพ นักวิชาการท้ังในประเทศและต่างประเทศจ�ำนวนมาก ได้ให้ความหมายของการวิจัย เชิงคณุ ภาพซง่ึ เปน็ ความหมายทแี่ ตกตา่ งจากการวิจัยเชิงปริมาณอยา่ งชัดเจน นักวิชาการในต่างประเทศ ได้ให้ความหมายของการวิจัยเชิงคุณภาพไว้หลากหลาย ดงั ตวั อย่างต่อไปนี้ Denzin and Lincoln (2000, p. 3) ให้ความหมายของการวิจัยเชิงคุณภาพว่า เป็นการ แสวงหาความรู้ในสถานการณ์ท่ีนักวิจัยต้องเข้าไปอยู่ในสนามที่ตนศึกษาโดยอาศัยวิธีการท่ีเป็น ธรรมชาติ เกบ็ ขอ้ มลู เพอ่ื การตคี วามสง่ิ ทศ่ี กึ ษาหรอื ตคี วามปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ใหอ้ อกมาเปน็ บนั ทกึ ภาคสนาม ข้อมลู จากการสมั ภาษณ์ การสนทนา และรปู ภาพ
94 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา ตอ่ มาอกี 13 ปี Creswell (2013, p. 43) ใหค้ วามหมายของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพซง่ึ สอดคลอ้ ง กับ Denzin and Lincoln ว่า เปน็ กิจกรรมทีก่ �ำหนดขึน้ เพ่ือให้เกิดการสงั เกตปรากฏการณใ์ นโลก โดยการศึกษาปรากฏการณ์หรือสิ่งต่าง ๆ ในสภาพที่เป็นธรรมชาติ มีการตีความเพื่อช่วยให้เห็น โลกได้อย่างชัดเจน ซ่ึงเป็นการเปลี่ยนแปลงโลกให้เข้าสู่ชุดของตัวแทนต่าง ๆ รวมทั้งการบันทึก ภาคสนาม การสัมภาษณ์ การสนทนา ภาพถา่ ย การบนั ทึกเสียง และการบันทกึ ความจ�ำของตนเอง สว่ นนกั วชิ าการในประเทศ กไ็ ดใ้ หค้ วามหมายของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพไวห้ ลากหลายเชน่ เดียวกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้ วรรณี แกมเกตุ (2551, หนา้ 185) ใหค้ วามหมายของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพวา่ เปน็ กระบวน การในการแสวงหาความรจู้ ากการพจิ ารณาปรากฏการณท์ างสงั คมในสภาพแวดลอ้ มตามความเปน็ จรงิ ทกุ มติ ิ เพอื่ อธิบายความสมั พันธ์ของปรากฏการณก์ บั สภาพแวดล้อมน้ัน ในแงข่ องพฤตกิ รรม ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสังคมอย่างลึกซึ้ง โดยให้ความส�ำคัญกับข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด ความหมาย คา่ นยิ ม หรอื อดุ มการณข์ องบคุ คลมากกวา่ การใหค้ วามสำ� คญั กบั ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณเพยี ง อยา่ งเดียว มักใชเ้ วลาในการตดิ ตามระยะยาว ใชก้ ารสังเกตแบบมีสว่ นร่วมและการสมั ภาษณ์อย่าง ไม่เป็นทางการเป็นวิธีหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูล และเน้นการสร้างข้อสรุปแบบอุปนัยในการ วเิ คราะหข์ อ้ มูลเปน็ ส�ำคัญ ตอ่ มาอกี 6ปีเกจ็ กนก เออ้ื วงศ์(2557)ใหค้ วามหมายของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพซง่ึ สอดคลอ้ ง กบั วรรณี แกมเกตุ วา่ เป็นการแสวงหาความรโู้ ดยการพจิ ารณาปรากฏการณท์ างสงั คมในสภาพ แวดล้อมตามความเป็นจริงทุกมิติ เน้นข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด ความหมาย ค่านิยม เน้นการ วเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยการตคี วามสรา้ งขอ้ สรปุ แบบอปุ นยั การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพสามารถจำ� แนกไดห้ ลาย ประเภท เชน่ การวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพพืน้ ฐาน การศกึ ษาเฉพาะกรณี การวจิ ัยแบบปรากฏการณว์ ิทยา การวจิ ยั แบบทฤษฎีฐานราก การวิจัยแบบชาตพิ นั ธ์วุ รรณนา ฯลฯ การวิจัยเชิงคุณภาพในทางการบริหารการศึกษา ส่วนใหญ่เน้นการวิจัยเชิงคุณภาพ พนื้ ฐานมขี นั้ ตอนทส่ี ำ� คญั ๆคลา้ ยกบั กระบวนการวจิ ยั ทวั่ ๆไปประกอบดว้ ยการศกึ ษาประเดน็ การ วจิ ยั การกำ� หนดปญั หาการวจิ ยั การกำ� หนดกรอบแนวคดิ ทฤษฎี การเลอื กสนามหรอื กลมุ่ เปา้ หมาย ทศ่ี กึ ษา การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ภาคสนาม การวิเคราะห์ข้อมลู และการเขยี นรายงานการวจิ ัย กลา่ วโดยสรปุ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพเปน็ การแสวงหาความรโู้ ดยการพจิ ารณาปรากฏการณ์ ทางสังคมในสภาพแวดล้อมท่ีเป็นธรรมชาติทุกมิติ เน้นข้อมูลด้านความรู้สึกนึกคิด ความหมาย คา่ นยิ ม เนน้ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยการตคี วามสรา้ งขอ้ สรปุ แบบอปุ นยั วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ท่ีส�ำคัญ ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม และการใช้ข้อมูลเอกสาร นักวิจัยเชิง คุณภาพท่ีดีควรมีความรู้กว้าง มีมนุษยสัมพันธ์ เคารพและให้เกียรติผู้อ่ืน เป็นผู้เขียนและผู้บันทึก ที่ดี เป็นนักฟังที่ดี มีวิธีคิดแบบอุปนัย และต้องยึดถือจริยธรรมในการวิจัยเชิงคุณภาพอย่าง เครง่ ครดั โดยควบคุมจากภายใน คือ ตัวนักวิจัยเองเป็นสำ� คัญ 2. ปรัชญาและแนวคิดทฤษฎที ่มี ีอิทธพิ ลต่อการวิจยั เชิงคณุ ภาพ การวจิ ยั ทว่ั ไป คอื การศกึ ษาคน้ ควา้ วเิ คราะหห์ รอื ทดลองอยา่ งมรี ะบบ โดยอาศยั อปุ กรณ์
Research in Educational Administration • 95 หรือวิธีการเพ่ือให้พบข้อเท็จจริง หรือหลักการน�ำไปใช้ในการตั้งกฎ ทฤษฎี หรือแนวทางในการ ปฏบิ ัติ โดยมพี ื้นฐานทางปรชั ญา 2 อยา่ ง ดังนี้ 2.1 ปฏฐิ านนิยม (Positivism) คำ� วา่ ปฏฐิ านนยิ ม มาจากค�ำว่า Positivism ค�ำวา่ Positive แปลวา่ บวก ค�ำวา่ ปฏิฐานนิยม จึงหมายถึง แนวคิดเชงิ บวกท่สี ามารถพิสจู นไ์ ดท้ ุกเรื่อง ปรากฏการณห์ รอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ทางสงั คม เปน็ ไปตามกฎธรรมชาตซิ งึ่ เปน็ สากล นนั่ คอื สามารถพสิ จู น์ ได้ แตใ่ นการพิสจู น์ ต้องก�ำหนดผงั หรอื กรอบแนวคดิ ขึ้นมากอ่ นและตอ้ งทำ� ไปตามน้ันดว้ ย ถ้าผดิ จากหลกั การ สง่ิ นน้ั จะไมเ่ กดิ ขนึ้ เชน่ เราจะทอดไขเ่ จยี ว เราตอ้ งไดไ้ ขม่ ากอ่ น และกอ่ นไดไ้ ขก่ ต็ อ้ งได้ ไก่ตวั เมยี พนั ธ์ุไข่มา ถา้ ได้ไกต่ วั เมยี เปน็ ไก่บ้าน ก็ต้องไดไ้ กต่ วั ผู้มาผสมพนั ธ์ุกอ่ นจงึ จะไดไ้ ข่ หากได้ ไกต่ วั ผมู้ ากจ็ ะไมไ่ ดไ้ ข่ นค่ี อื “กรอบ” ซง่ึ ตอ้ งชดั เจน อะไรมากอ่ นมาหลงั อะไรเปน็ เหตุ อะไรเปน็ ผล 2.2 ปรากฏการณน์ ยิ ม (Phenomenalism) ปรากฏการณน์ ยิ มเชอ่ื วา่ สงั คมมนษุ ยน์ น้ั มลี กั ษณะเคลื่อนไหวอยูต่ ลอดเวลา อยา่ งเช่น ผู้ชายบางคนใกลเ้ กษียณแล้วกย็ ังตัดผม ถามว่าท�ำไม ตอ้ งตัดใกล้เกษียณแล้ว ไมต่ ัดก็ไดน้ ะ เขาอาจตอบว่า ใกล้จะเกษยี ณ ดแู ก่แลว้ ไปเดนิ หา้ ง ภรรยาก็ แยกไปเดนิ หา่ ง ๆ ไมก่ ลา้ เดนิ ตามใกล้ ๆ แลว้ กเ็ ลยตอ้ งตดั ผมบอ่ ย ๆ เพอื่ ใหด้ ดู ี ไมแ่ กม่ าก นค่ี อื ความ เปลีย่ นแปลงตลอดเวลา ซ่งึ สอดคล้องกบั หลกั “อนจิ จตา” ทางพระพทุ ธศาสนา อย่างไรก็ตาม โยธิน แสวงดี (2557) ซ่งึ เปน็ นักวิจยั เชิงคุณภาพ กลา่ ววา่ ปรัชญาและ แนวคดิ ทฤษฎที มี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ประกอบดว้ ย 1) ปรากฏการณว์ ทิ ยา 2) นฤมติ นยิ ม (รังสรรคว์ ทิ ยา) และนยั นยิ ม 3) ทฤษฎีวพิ ากษ์ และ 4) แนวคิดหลังนวยคุ นิยม (Post modernism) อาจสรุปได้ ดังนี้ 1) ปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ปรากฏการณ์วิทยา มีแนวคิดและ ความเช่ือ ดังนี้คือ ปรากฏการณ์วิทยามีแนวคิดในลักษณะเป็นแนวคิดของการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึง่ ใชว้ ธิ กี ารแสวงหาความร้หู รอื ความจรงิ โดยการใชเ้ หตผุ ลแบบอปุ นัย (Inductive reasoning) คอื เรมิ่ จากการที่ผู้วิจัยเกบ็ รวบรวมข้อมูลโดยอาจจะใช้วิธสี ังเกตหรือสมั ภาษณ์ แล้วน�ำขอ้ มลู ทไ่ี ด้เกบ็ รวบรวมมานั้นสรุปเป็นทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) และสามารถพัฒนาเป็นทฤษฎีหลัก (Grand Theory) ได้ (บางตำ� รา อาจเรียกชื่อวา่ ทฤษฎมี หภาค/มหาทฤษฎ/ี ทฤษฎใี หญ่/ทฤษฎีขนาด ใหญ่) และมีความเชื่อวา่ การวจิ ัยท่ีอาศัยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์เพียงอยา่ งเดยี ว ไม่สามารถอธบิ าย งานวจิ ยั ทางสงั คมศาสตรใ์ นบางเรอื่ งได้ มองวา่ การศกึ ษาพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ เปน็ การศกึ ษาความรู้ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ซง่ึ ซบั ซอ้ นเกนิ กว่าจะอธบิ ายออกมาเป็นตวั เลขในทางวทิ ยาศาสตร์ได้ 2) นฤมิตนยิ มและนัยนิยม นฤมิตนยิ ม (Constructionism) อาจเรียกอีกอย่างหนง่ึ วา่ “รงั สรรคว์ ทิ ยา”(Constructionology)หมายถงึ การใหค้ วามสำ� คญั กบั ความคดิ รวบยอดทส่ี รปุ ออก มาว่า มีเน้ือความท่ีส�ำคัญท่ีสุดจากประเด็นที่ปรากฏอย่างไรบ้าง ในการแยกประเด็น อาจจ�ำแนก เป็นข้อ ๆ ตามเนื้อหา เน้นค�ำหลัก ค�ำส�ำคัญ สัญลักษณ์ เครื่องหมาย ฯลฯ ไว้ก่อน ส่วนค�ำว่า “นัยนิยม” (Interpretivism) แปลว่า นิยมความจริง หมายถึง การตีความตามความเป็นจริง หรือ ตามที่คาดวา่ มีนยั (อา่ นวา่ ไน-ยะ) หรือส่อเคา้ ว่า จะเป็นไปตามแนวคดิ หรือทฤษฎี เช่น ตามทฤษฎี คนอว้ นมโี อกาสเป็นโรคหวั ใจหลอดเลอื ดสูง ดงั น้ัน ในการตีความ จะพจิ ารณาถึงนยั (ความหมาย/ ขอ้ ส�ำคญั /แง่) ทส่ี ่อเคา้ คอื “ความอ้วน”
96 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา 3) ทฤษฎีวพิ ากษ์ (Critical theory) ทฤษฎวี ิพากษ์ หมายความว่า ในการตีความ หมายของการวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลค่านั้น นักวิจัยจะต้องน�ำทฤษฎีมาทาบตลอด คือ น�ำทฤษฎีไปทาบปรากฏการณ์อันน้ัน ยกตัวอย่างเช่น เป็นผู้น�ำในเชิงบารมีอ�ำนาจ (Charismatic leader) เน่ืองจากการเลือกผู้น�ำในสมัยก่อนจะให้ความสำ� คัญกับคนดีท่ีมีความดีความชอบมากจน ไดร้ ับการยกยอ่ งนบั ถอื ในเชงิ บารมี เชน่ ครบู าศรวี ิชัย มหาตามะคานธี ฯลฯ เป็นตัวอย่างผู้นำ� ที่มี บารมอี �ำนาจ ถ้าไม่มบี ารมอี �ำนาจ จะไม่ประสบความส�ำเรจ็ ในการทำ� งาน 4) แนวคดิ หลงั นวยุคนยิ ม (Post modernism) แนวคดิ หลังนวยุคนิยม ก็คอื หลัง Post modernism หมายความวา่ พอสังคมเจรญิ เป็นสงั คมอุตสาหกรรม มคี วามเปน็ เมอื ง มีความ รงุ่ เรอื ง มคี วามศิวิไลซ์ (Civilization = ความรงุ่ เรอื ง, ความเจรญิ ) สงิ่ ใหม่ ๆ แปลก ๆ จะเกดิ ขนึ้ ใน สงั คมมนษุ ยแ์ ละพฤตกิ รรมมนษุ ยก์ จ็ ะไปเชอ่ื มโยงกบั พฤตกิ รรมสตั ว์ไมว่ า่ จะเปน็ นกสนุ ขั แมวฯลฯ ให้มีการปรบั ตัว หรือมีพฤตกิ รรมตามมนษุ ย์ไปด้วย ลทั ธคิ วามเชือ่ ต่าง ๆ กจ็ ะเสือ่ มคลายไปหมด ยกตัวอย่าง สมัยก่อนนวยุคนิยม คนกลัวผีมาก จะไม่กล้าปลูกบ้านใกล้ ๆ ป่าช้า แต่พอเป็นสังคม หลังนวยุคนิยมแล้ว คนก็กล้าปลูกบ้านใกล้ป่าช้า หรือเบียดกับป่าช้าได้ เพราะ ไม่กลัวอะไรแล้ว เนื่องจากมีไฟสวา่ ง มถี นนหนทางใหม่ ๆ มีน�ำ้ ประปาไหลทส่ี ามารถใช้ได้สะดวก สบาย ฯลฯ จึงไม่น่ากลัวอะไรอีกต่อไป สามารถอยู่ใกล้ผี หรืออยู่ติดกับผีได้แล้ว กลายเป็นเร่ือง ปกตไิ ป ตวั อยา่ งพฤตกิ รรมของมนษุ ยท์ เี่ ปลยี่ นไปนี้ ยงั มอี กี มาก เชน่ เดก็ วยั ใสคดิ มเี พศสมั พนั ธโ์ ดย ไมเ่ กรงกลัวอะไร หญิงรกั ชาย ชายรกั หญิง หญิงรักหญิง หรอื ชายรักชาย สบั สนไปหมด สงิ่ เหล่าน้ี เป็นพฤตกิ รรมหลังนวยุคนยิ มทง้ั สนิ้ 3. วัตถุประสงค์ของการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ วัตถุประสงค์ที่เป็นหัวใจส�ำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ ก็เพื่อค้นหาองค์ความรู้ใหม่ ทดสอบทฤษฎี และน�ำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ความรู้เดิมแม้ที่เปิดเผยแล้ว ท่ีเรียกว่า ความรู้ชัด แจง้ (Explicit knowledge) ในสมยั ก่อน อาจเป็นความรจู้ ริงหรอื เปน็ ความร้ทู ีถ่ กู ต้อง แต่พอมาถึง สมัยน้ี มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาก มีข้อมูลข่าวสารมากขึ้นและดีขึ้น เม่ือพิสูจน์ใหม่ อาจจะไม่จริง หรอื ไม่ใชค่ วามรทู้ ่ถี กู ต้องก็ได้ นอกจากน้ี มวี ัตถปุ ระสงค์เพื่อทดสอบทฤษฎี การวจิ ยั เชงิ คุณภาพ ใช้พิสูจน์ทฤษฎีได้ โดยการน�ำหลักฐานมายืนยันหรือน�ำปรากฏการณ์มายืนยัน เช่นบอกว่า เขา มีความเชื่อแบบนี้ เขามีธรรมเนียมปฏิบัติแบบน้ี เขามีข้อห้ามแบบน้ี ป่าไม้จึงอยู่ได้ รักษาไว้ได้ หรือเขามีความเช่ือแบบน้ี เขามีวัฒนธรรมการกินแบบนี้ ร่างกายของเขาจึงมีโรคน้อยมาก น่ีคือ การที่สามารถพิสูจน์ได้โดยการน�ำปรากฏการณ์มายืนยัน และเม่ือได้ความรู้มาแล้ว ก็น�ำความรู้ ไปประยุกต์ใชเ้ พอ่ื การพรรณนา (Description) การอธิบาย (Explanation) การทำ� นาย (Prediction) และการควบคุม (Control) โดยมีรายละเอยี ด ดงั น้ี 3.1 การพรรณนา (Description) คือ การเล่าให้ฟัง การเขียนเป็นรายงานวิจัยให้ ผู้อ่นื อ่าน 3.2 การอธิบาย (Explanation) คือ การเล่าด้วยการเขียนพร้อมท้ังแสดง ปรากฏการณใ์ หเ้ หน็ เชน่ เอารูปภาพ ตาราง ตวั เลข เศษผา้ วสั ดุอปุ กรณ์ ฯลฯ ทั้งหมดมายนื ยัน
Research in Educational Administration • 97 ยกตัวอย่าง ประเทศไทยน้ันเป็นประเทศอุตสาหกรรมมานานแล้ว เช่น ในยุคกรุงสุโขทัย มีการ ก่อสร้างวัดวาอารามและวหิ ารด้วยอิฐ เชน่ วัดกลางทจี่ งั หวดั สโุ ขทัย องคพ์ ระปรางคม์ ีการกอ่ สรา้ ง ดว้ ยอฐิ และปนู และผวู้ จิ ยั ถา่ ยรปู มายนื ยนั อฐิ นกี่ แ็ สดงถงึ โรงงานอตุ สาหกรรมแลว้ นคี่ อื การอธบิ าย กล่าวโดยสรุป การอธิบายก็คือ การพรรณนา แต่มีหลักฐาน หรือปรากฏการณ์มาแสดงให้เห็น ชดั เจนยิง่ ขน้ึ การอธิบายจงึ ลึกซ้งึ กวา่ การพรรณนา เพราะพูดอะไรกม็ หี ลักฐานมายนื ยนั ด้วย 3.3 การท�ำนาย (Prediction) คือ การใช้ผลการวิจัยเชิงคุณภาพท�ำนาย โดยเป็น การท�ำนายปรากฏการณ์ท่ีคาดว่าจะเกิดข้ึนในอนาคต ไม่ใช่ท�ำนายด้วยสมการพยากรณ์แบบการ ถดถอยพหุ (Multiple Regression) ตัวอย่างเช่น เด็ก ๆ ทุกวันน้ีมีความเช่ือว่า การมีเพศสัมพันธ์ เป็นการเช่ือมโยงระหว่างความรัก เป็นการบอกถึงว่าร่างกายเจริญเติบโตสอดคล้องกับพัฒนาการ ทางจติ วทิ ยาแล้ว ซึง่ เปน็ พัฒนาการทางกายภาพ พัฒนาการทางอารมณ์ ดงั น้ัน จงึ ไมผ่ ิดอะไรท่ีจะ มีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก เพราะเป็นการผูกพันสานรักซึ่งกันและกัน เม่ือเด็กมีความเชื่ออย่างนี้เรา ก็สามารถท�ำนายปรากฏการณ์ในอนาคตได้ว่า ถ้าหากเด็กไม่ใช้ถุงยางอนามัยและถ้าเปลี่ยน คู่นอนไปเรื่อย ๆ การแพร่ระบาดของเอดส์ (SIV) การแพร่ระบาดของโรคทางเพศสัมพันธ์ การท�ำแท้ง การตั้งครรภ์ และการออกจากโรงเรียนก่อนวัยอันควร ก็จะมีมากข้ึน เป็นการท�ำนาย ปรากฏการณแ์ ละไม่ใช่การทำ� นายด้วยตัวเลข 3.4 การควบคุม (Control) คือ การน�ำผลการวิจัยไปใช้แก้ปัญหา ตัวอย่างเช่น เมื่อผลการวิจัย พบว่า นักเที่ยวผับบาร์ ไม่ใช่ผู้ใหญ่และไม่ใช่วัย 20 ปีข้ึนไป แต่เป็นเด็ก ๆ วัยรุ่น จ�ำนวนมาก จากผลการวิจยั ทไี่ ด้เช่นนี้ จึงออกมาตรการกำ� กบั หรอื ควบคมุ วา่ ถา้ เดก็ อายไุ มถ่ ึง 20 ปี หา้ มเขา้ สถานบรกิ ารประเภทนั้น อีกตวั อย่างหนงึ่ (งานวจิ ัยของ สสส.) เปน็ การวจิ ยั แบบ Mixed Methods Research (เชงิ ปรมิ าณ+เชงิ คณุ ภาพ) ผลการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณพบแลว้ วา่ คนไทยไมค่ อ่ ยออก กำ� ลังกาย แตไ่ มท่ ราบสาเหตทุ แี่ ทจ้ รงิ วา่ ท�ำไมคนไทยจึงไมค่ ่อยออกก�ำลงั กายทง้ั ๆ ที่มลี านกีฬา มี เครือ่ งเล่นจดั ไว้ใหใ้ นท่ตี ่าง ๆ ตามชนบท ดว้ ยหวังว่าจะใหช้ าวบา้ นมาโยกซ้าย โยกขวา ยดื เส้น ยืด สาย ลานกฬี าละหนงึ่ ลา้ น หลงั จากสรา้ งทวั่ ประเทศแลว้ คนไทยเหอ่ อยเู่ พยี งแคอ่ าทติ ยเ์ ดยี วเทา่ นนั้ ทง้ั เดก็ และผใู้ หญเ่ ตม็ ไปหมด หลงั จากนนั้ ทภี่ าคอสี านมคี วายเอาไหลม่ าถขู ด้ื ๆ คอื ไมม่ กี ารใชอ้ กี เลย จงึ ใช้วิธวี จิ ยั เชิงคณุ ภาพ ด้วยวธิ ีการสังเกตชว่ งกลางวนั พบว่า ไมม่ ีใครมาเลน่ เครอ่ื งเลน่ เลย เพราะ แดดมันร้อน ช่วงเย็น ๆ ก็มีเด็กมาเลน่ บ้าง โดยใชเ้ วลาไมน่ านก็เลกิ เลน่ สงั เกตไปเรื่อย ๆ ตามลาน กฬี าต่าง ๆ ทม่ี อี ยใู่ นหมูบ่ า้ นและในชุมชน ใชว้ ิธีรวบรวมขอ้ มลู ด้วยการสนทนากลุ่มแบบเจาะจง (Focus group discussion) การสนทนากลุ่มย่อย (Small group discussion) และการสัมภาษณ์ เชิงลึก (In-depth interview) ผลการวิจัย พบว่า การที่คนไทยไม่ใช้เคร่ืองเล่นในลานกีฬานั้น อีกเลย เพราะว่า 1) น็อตหลุดไม่มีใครมาซ่อม 2) โซ่ขาด ไม่มีใครมาเปลี่ยน 3) สนิมจับ ไม่มีใคร มาขัดล้าง หรือมาถอดออก ต่างคนก็ต่างบอกว่าไม่ใช่หน้าท่ีของตน ดังน้ัน จึงออกกฎข้ึนมาว่า เมอื่ มอี ปุ กรณเ์ ครอ่ื งมอื ในหมบู่ า้ นเสยี หรอื ชำ� รดุ คนทที่ ำ� หนา้ ทด่ี แู ลรกั ษาตอ้ งเปน็ กรรมการหมบู่ า้ น ก่อนหน้านัน้ ไมม่ กี ฎ ไมม่ ขี อ้ ตกลงอะไร อยากได้ก็สร้างให้ไป แลว้ ปลอ่ ยใหเ้ ปน็ หนา้ ทีข่ ององค์การ บรหิ ารสว่ นตำ� บล(อบต.)บา้ งคนนนั้ คนนบ้ี า้ งซงึ่ เปน็ หนา้ ทที่ เี่ ลอ่ื นลอยไมม่ ใี ครรบั ผดิ ชอบโดยตรง ไม่มีจิตอาสาและผู้เสียสละ ต่อมา พอมีผู้รับผิดชอบ หรือหน่วยงานรับผิดชอบ ก็เกี่ยวกับเงินอีก เพราะการเปลี่ยนนอ็ ต เปลยี่ นโซ่ กต็ อ้ งใชเ้ งินทั้งส้ิน
98 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา 4. พฒั นาการของการวิจยั เชงิ คุณภาพ การวิจัยเชิงคุณภาพเกิดในศตวรรษที่ 19 มีพัฒนาการมาจากสาขาวิชาวัฒนธรรม มานุษยวทิ ยา และ สาขาวชิ ากายภาพมานุษยวทิ ยา หรอื ชีวภาพมานษุ ยวทิ ยา แต่ส่วนใหญแ่ ล้วจะ ได้รบั อทิ ธพิ ลจากสาขาวฒั นธรรมมานษุ ยวทิ ยา นกั วจิ ยั เชงิ คุณภาพท่ีสงั กดั บางศาสตร์ ท�ำการวิจัย แบบ Armchair scholars ซึ่งอาจสรุปได้ดังน้ี (โยธิน แสวงดี, 2557, 2561) 4.1 ก�ำเนดิ การวจิ ัยเชงิ คุณภาพ การวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ เกิดในศตวรรษที่ 19 คือ ใน ช่วงปฏวิ ัตอิ ุตสาหกรรม เพราะว่าใช้ศึกษาพฤตกิ รรมใหม่ ๆ ท่เี กิดขน้ึ ลัทธคิ วามเช่อื ใหม่ ๆ ทง้ั ท่ี เกี่ยวกับคนและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ สาขาวิชาทม่ี อี ิทธพิ ลตอ่ วิธวี จิ ัยเชิงคณุ ภาพ ก็คือ สาขาวชิ าวฒั นธรรมมานุษยวทิ ยา และอีกสาขากค็ ือ สาขาวิชากายภาพมานษุ ยวทิ ยา หรอื ชวี ภาพมานุษยวทิ ยา คำ� วา่ Culture เป็นคำ� ท่ใี หญ่มาก ครอบคลุมวฒั นธรรมดา้ นตา่ ง ๆ มากมาย เชน่ วัฒนธรรมการแต่งกาย วัฒนธรรมการพูด วัฒนธรรมการแต่งงาน วัฒนธรรมการครองเรือน วัฒนธรรมการจดั การเรยี นการสอน ฯลฯ เป็นสิ่งที่ยงิ่ ใหญ่จริง ๆ ค�ำวา่ Physical หมายถงึ รปู ร่าง หรือลักษณะรปู ร่าง หนา้ ตา เชน่ คนท่ีอย่ทู างภาค เหนือ จะเปน็ คนผวิ ขาว สูง เตี้ย ลกั ษณะทา่ ทางวาจา จะเป็นแบบเฉพาะของพวกเขา ทีอ่ ยูท่ างภาค ใต้ รปู ร่างหน้าตาคล้ายแขก ผิวเข้ม ๆ พดู เร็ว ๆ ส่วนคนทอ่ี ยู่ทางภาคอีสาน อาจจะมรี ปู รา่ ง หรอื ลักษณะรูปร่าง และหน้าตา อีกแบบหนง่ึ เช่น กรามใหญ่ ๆ ดั้งหกั ฯลฯ ค�ำว่า Biological หมายถึง ลักษณะตัวตนของคนที่อยู่ข้างในและถ่ายทอดออกมา ข้างนอก ตัวอย่างเช่น ถ้ากินข้าวเหนียวมาก กรามต้องใหญ่ หรือถ้าชาติพันธุ์เป็นเขมร เป็นลาวก็ จะแสดงหน้าตาออกมาเองเป็นลักษณะเฉพาะ ถ้าชาติพันธุ์เป็นมลายู โครงสร้างหน้าตาก็เป็นรูป แบบเฉพาะของเขา ดังน้ัน สาขากายภาพหรอื ชีวภาพมานุษยวิทยา ก็จะศึกษาพฤตกิ รรมของคนท่ี แตกต่างกันตามแต่ละชาติพันธ์ุ อย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิงคุณภาพ ส่วนใหญ่แล้วจะได้รับอิทธิพลจากสาขา วฒั นธรรมมานษุ ยวทิ ยา เพราะเมอ่ื ใชศ้ าสตรท์ างดา้ นวฒั นธรรมมานษุ ยวทิ ยาเพอ่ื ศกึ ษา ลทั ธิ ความ เชอ่ื แนวคดิ ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาศาสตร์ อักษรศาสตร์ การแต่งกาย อาหาร การอยอู่ าศยั แลว้ ก็จะไดเ้ ข้าใจทางพนั ธุศาสตร์ หรอื พนั ธกุ รรมเหมอื นกนั ว่า ออ๋ ชาตพิ นั ธุ์น้ี ถ้าเป็นชาตพิ ันธม์ุ ง้ บ้านจะเป็นอย่างน้ี เขามีลัทธิความเชื่ออย่างน้ี การแต่งกายแบบน้ี การแต่งงานจะเป็นอย่างนี้ ซ่ึง เปน็ การไดค้ วามรมู้ าพรอ้ ม ๆ กนั ทงั้ วฒั นธรรมและชาตพิ นั ธ์ุ ดงั นน้ั การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ สว่ นใหญ่ จงึ ได้รับอทิ ธิพลจากสาขาวัฒนธรรมมานุษยวทิ ยามาก 4.2 เน้นแหล่งข้อมูลที่เป็นปฐมภูมิ การวิจัยเชิงคุณภาพ เน้นแหล่งข้อมูลที่เป็น ปฐมภูมิ โดยมีปรัชญาของการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ เน้นการค้นหาความรู้ท่ีเป็นจริงจากแหล่งราก เหง้า หรอื ต้นตอของข้อมลู ดงั น้นั การรวบรวมข้อมลู ในการวจิ ัยเชงิ คุณภาพ จะเน้นวิธรี วบรวม ข้อมูลลงไปที่ “แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ” ตัวอย่างเช่น อยากรู้เรื่อง “เวียงกุมกาม” ก็ต้องตามไปดูท่ี เวียงกุมกามด้วยตัวเองหรอื อยากจะร้เู ร่ืองวัฒนธรรมของอาหารทางเหนอื เป็นอย่างไร ก็ต้องไปรับ ประทานอาหารทีล่ านวฒั นธรรมทางภาคเหนอื ฯลฯ
Research in Educational Administration • 99 4.3 นักวิจัยเชิงคุณภาพที่เป็น Armchair scholars นักวิจัยเชิงคุณภาพที่สังกัด บางศาสตร์ ท�ำการวิจัยแบบ Armchair scholars ค�ำว่า Armchair ก็คือ เก้าอ้ีท่ีมีแขน (หมายถึง ห้องสมุด) นักวิจัยที่เป็น Armchair scholars ก็ได้แก่ พวกนักประวัติศาสตร์ที่มี แหลง่ ขอ้ มูลอยู่ในห้องสมดุ แหล่งขอ้ มูลก็เป็นจดหมายเหตุ บันทึก หนงั สือเดินทาง หรือมแี หล่ง ขอ้ มูลอยใู่ นพิพิธภณั ฑ์ นักวิจัยที่เป็น Armchair scholars นอกจากพวกนักประวัติศาสตร์แล้ว ยังมี พวกนักภาษาศาสตรห์ รือพวก Linguists ทมี่ ีเนอื้ หาภาษาศาสตรซ์ ่งึ เปน็ ขอ้ มลู ท่เี กบ็ ไวใ้ นหอ้ งสมดุ หรอื ในจดหมายเหตุ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็น Armchair scholar ก็ต้องค้นหาข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิ ท้ังสิ้น เช่น ข้อมูลในจดหมายเหตุเก่า ๆ ขาด ๆ ในห้องสมุด ถ้านักวิจัยน�ำมาถ่ายเอกสาร และ ใชข้ ้อมลู ในเอกสารนน้ั ก็ถอื วา่ เป็นขอ้ มลู จากแหลง่ ขอ้ มลู ปฐมภมู นิ ัน่ เอง ส่วนข้อมูลที่เป็นอักษรในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะได้รับการจัดพิมพ์ข้ึนก่ีครั้งในภายหลัง ก็ถือว่าเป็นข้อมลู จากแหล่งปฐมภูมิ คอื เป็นขอ้ มลู จากพระโอษฐ์ เป็นพทุ ธวจนะ เปน็ ปฐม 4.4 วิธีการคน้ หาความรทู้ างการวิจัย ในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ มีวธิ กี ารคน้ หาความ รูท้ างการวิจยั 2 วิธี ไดแ้ ก่ 1) วธิ ีการอนุมาน (Deductive Approach) และ 2) วธิ ีอุปมาน (Inductive Approach) ซึ่งมีรายละเอียดดงั ต่อไปน้ี 1) วิธีการอนุมาน (Deductive Approach) เป็นวิธีท่ีเร่ิมจากต้ังทฤษฎีแล้ว พิสูจน์ ส่วนใหญ่จะพบเห็นมากในการวิจัยเชิงปริมาณ ค�ำว่า “อนุมาน” หมายถึง การพยากรณ์ หมายความวา่ ใหต้ งั้ แนว หรอื ทฤษฎขี นึ้ กอ่ น แลว้ พสิ จู นว์ า่ มนั จรงิ หรอื ไมจ่ รงิ อยา่ งเชน่ ในทฤษฎี วางหลกั ไวว้ า่ อายมุ ผี ลทางตรงตอ่ การตาย นัน่ คอื เมือ่ อายุเพิม่ ขึน้ โอกาสตายก็จะสงู ข้นึ เราก็จะ พยากรณไ์ ปตามนนั้ นีค่ อื การอนุมานตามทฤษฎี 2) วิธีอุปมาน (Inductive Approach) เป็นวิธีที่เร่ิมจากข้อมูล ข้อเท็จจริง ปรากฏการณ์ หรือเหตกุ ารณ์ ท่ีเกดิ ขน้ึ แล้วคน้ หาความจริงเพอ่ื พสิ จู น์ หรืออาจกลา่ วไดว้ า่ เป็น วธิ คี น้ หาความรโู้ ดยเรมิ่ ตน้ จากการตงั้ ประเดน็ หรอื แนวคดิ ตามปรากฏการณ์ หรอื ขอ้ มลู ทเ่ี กดิ ขน้ึ อย่างเช่นตั้งประเด็นจะศึกษาว่า ชนช้ันท่ีแตกต่างกัน จะมีผลต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพ แตกต่างกนั หรือไม่ ค�ำวา่ “In-” ในคำ� ว่า “Inductive” หมายถึง เข้าไปศกึ ษาเม่อื มปี รากฏการณ์ เพ่ือค้นหาความจริง และความจริง กค็ ือ ทฤษฎี นน่ั เอง ซึ่งเปน็ การสร้างทฤษฎีจากข้อมูลพน้ื ฐาน (Grounded Theory) หมายความว่า การวิจัยเชิงคุณภาพ ถ้าเราทำ� ถูกต้อง กจ็ ะได้ทฤษฎี คอื เปน็ การ สรา้ งทฤษฎีจากข้อมลู พืน้ ฐาน หรือทเี่ รยี กว่า “ทฤษฎีฐานราก” (Grounded Theory) นัน่ เอง 5. ลกั ษณะของการวิจยั เชงิ คณุ ภาพ ลักษณะของการวิจยั เชงิ คุณภาพตามทัศนะของ Merriam (2009) และ Creswell (2013) อาจสรปุ ได้ ดังนี้ 5.1 เน้นการพรรณนา (Descriptive focus) เป็นการวิจัยที่ออกแบบมาเพ่ือศึกษา ปรากฏการณต์ ่าง ๆ ท่ีเกิดข้นึ ในทกุ แงท่ กุ มมุ ผลของการศกึ ษากจ็ ะได้ขอ้ ความเชิงพรรณนา ซ่ึงอาจ
100 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา ใช้ถ้อยค�ำ และรูปภาพประกอบมากกว่าการใช้ตัวเลข ท้ังนี้เพ่ือจะแสดงให้เห็นถึงส่ิงที่นักวิจัย เรียนรูเ้ ก่ยี วกับปรากฏการณน์ ้ัน ๆ 5.2 มีความยืดหยุ่นในการออกแบบการวิจัย (Design flexibility) เป็นการวิจัยที่ มองวา่ การออกแบบการวิจัยทที่ �ำไวใ้ นตอนเริ่มต้น ถา้ จ�ำเปน็ ต้องปรับ กย็ งั สามารถปรบั ไดเ้ ม่ือเรม่ิ เกบ็ ขอ้ มูลในสนามและเมือ่ ไดค้ วามเขา้ ใจในส่ิงทศ่ี ึกษาพอสมควรแล้ว เปน็ การออกแบบการวิจัย ทม่ี คี วามยืดหยุ่นในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ตัวอย่างเช่น ถา้ นกั วจิ ยั ใช้การสนทนากลมุ่ แบบเจาะจง (Focus group discussion) ไม่ได้ ก็ใช้วิธีการสนทนากลุ่มย่อย (Small group discussion) หรือ ถ้าใช้วิธีการสนทนากลุ่มย่อยไม่ได้ ก็ให้ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) หรือถ้าใช้ การสัมภาษณ์เชิงลึกก็ไม่ได้อีก ก็ให้พักยก แล้วจึงค่อยเริ่มต้นใหม่ หรือในบางกรณี เขาห้ามไม่ให้ ถ่ายรปู นกั วจิ ยั ก็อาจสเกต็ ช์ (Sketch) คอื ร่างหรือวาดเอาก็ได้ นีค่ อื ความยืดหยุน่ นอกจากนี้ เป็นการออกแบบการวจิ ยั ทม่ี ีการเปดิ กว้างส�ำหรับแนวความคดิ ขอ้ มลู หรือ วิธีการใด ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น หรือท่ีอาจจะช่วยให้เข้าใจส่ิงที่ศึกษาได้ดี ลึก และรอบด้าน มากขึ้น โดยไม่ยึดติดกับการออกแบบที่เคร่งครัดอย่างตายตัวอันจะท�ำให้เสียโอกาสที่จะได้ความรู้ ความเขา้ ใจทีด่ ขี ึ้น 5.3 เลือกกลุ่มตัวอย่างที่ยึดวัตถุประสงค์ของการศึกษาเป็นหลัก (Purposive sample) เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาให้มีความเหมาะสม เพ่ือตอบวัตถุประสงค์ ของการศึกษา ซ่ึงอาจจะเป็นบุคคล หรือสภาพแวดล้อมที่เก่ียวข้องในการศึกษา เช่น โรงเรียน หรือองคก์ ร ฯลฯ กลมุ่ ตัวอย่างดังกลา่ วน้ี อาจก�ำหนดอย่างคร่าว ๆ กอ่ นในเบอ้ื งต้นวา่ มแี นวโน้ม เป็นไปได้ในการศึกษามากน้อยแค่ไหน หลังจากนั้น เมื่อศึกษาไปได้ระยะหน่ึงแล้วอาจต้อง ขยายจ�ำนวนกลมุ่ ตัวอย่างท่ศี กึ ษาออกไปอีกเพอื่ ใหม้ คี วามเป็นตัวแทนของขอ้ มูลมากขนึ้ 5.4 เก็บรวบรวมข้อมูลในสภาพธรรมชาติ (Data collection in the natural setting) เป็นการวจิ ยั ในสภาพทเ่ี ปน็ ธรรมชาติ กลา่ วคือ ในสถานการณ์ท่เี ปน็ ปฐมภูมิ ถ้าเป็นแหล่ง เอกสาร ก็ต้องเป็นเอกสารจริง ๆ แม้ว่าจะถ่ายเอกสารมาก็ยังเรียกว่า “ของจริง” เป็นการศึกษา ปรากฏการณท์ ีเ่ กิดขนึ้ และด�ำเนนิ ไปในสถานการณจ์ ริง โดยไมม่ กี าร “จัดฉาก” ของปรากฏการณท์ ี่ ศกึ ษา และไมม่ กี าร “ควบคมุ ” สถานการณใ์ นการศกึ ษา (แบบทนี่ กั วทิ ยาศาสตรท์ ำ� ในหอ้ งทดลอง) 5.5 นักวิจัยเป็นเครื่องมือที่ส�ำคัญท่ีสุด (Researcher as an important research instrument) ในการวิจัยเชิงคุณภาพ ต้องใช้เคร่ืองมือหลายอย่างในการเก็บข้อมูล เช่น ใช้กล้อง ถา่ ยรูป เทปบันทึกเสยี ง สมุด ปากกา วดิ ีโอ แปรง ลวด และ/หรือสง่ิ ทจี่ �ำเปน็ ในการเก็บขอ้ มลู นัน้ ๆ ฯลฯ แตท่ ส่ี �ำคญั ทส่ี ุดหรอื ทล่ี กึ จรงิ ๆ ก็คือ นกั วจิ ัย นัน่ เอง เปน็ เครื่องมอื สำ� คญั ในการเกบ็ ขอ้ มูล โดยปกติแหล่งข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพมีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น เครื่องมือชนิดที่มีโครงสร้างเคร่งครัด หรือที่สร้างข้ึนมาให้มีมาตรฐานเดียวกัน (Structured or standardized instrument) อาจไม่ใช่เคร่ืองมือท่ีดีท่ีสุดท่ีจะช่วยให้เข้าถึงข้อมูล เชิงคุณภาพ ดังน้ัน นักวิจัยในฐานะเป็นเครื่องมือเชิงมนุษย์ (Human instrument) ซึ่งเป็นผู้ใช้ เครอ่ื งมอื นน้ั มคี วามสำ� คญั กวา่ เพราะเปน็ ผใู้ ชว้ จิ ารณญาณวา่ จะทำ� อยา่ งไรในแตล่ ะกรณี บนพน้ื ฐาน ของการได้รบั การฝึกฝน และประสบการณข์ องตน รวมทง้ั ประสบการณ์ทีไ่ ดเ้ รยี นรจู้ ากผ้อู ่นื
Research in Educational Administration • 101 5.6 ใช้วิธกี ารเชิงคณุ ภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูล (Qualitative methods of data collection) ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพสว่ นใหญจ่ ะเปน็ ขอ้ มลู เกยี่ วกบั คำ� พดู และการกระทำ� ของคน ซงึ่ นกั วจิ ยั จำ� เปน็ ตอ้ งหาวธิ กี ารทจ่ี ะสามารถจบั ทา่ ทางและพฤตกิ รรมทเ่ี กดิ ขน้ึ เหลา่ นนั้ โดย วธิ กี ารทเี่ ปน็ ประโยชนท์ สี่ ดุ ในการเกบ็ ขอ้ มลู ประเภทนี้ คอื การสงั เกตแบบมสี ว่ นรว่ ม การสมั ภาษณ์ เชงิ ลกึ การสนทนากลุม่ และการเก็บขอ้ มลู จากเอกสารทเ่ี กย่ี วข้อง 5.7 ใชต้ รรกะแบบอปุ นยั เปน็ หลกั (Inductive approach) เปน็ การวจิ ยั ทกี่ ระบวนการ วิจัยไม่ได้เร่ิมด้วยการต้ังกรอบแนวคิด ทฤษฎี หรือสมมติฐาน จนกว่าจะได้พิจารณาข้อมูลอย่าง เพียงพอ แต่เร่ิมด้วยการเข้าไปสัมผัสข้อมูล เพื่อค้นหารูปแบบความสัมพันธ์และความหมายของ ปรากฏการณ์ท่ศี ึกษา ซ่ึงสามารถจะนำ� มาสร้างเป็นสมมตฐิ าน เพ่อื การคน้ คว้าท่ีลึกลงไป เปน็ การ วิจัยที่ด�ำเนินไปแบบอุปนัย เปิดกว้างส�ำหรับทุกแนวคิดที่เป็นไปได้และท่ีอาจเกิดขึ้นจากข้อมูล อยา่ งไรกต็ าม ในทางปฏบิ ตั ิ หลายทา่ นดำ� เนนิ การวจิ ยั ดว้ ยวธิ กี ารแบบนริ นยั (Deductive approach) คอื เริม่ จากกรอบแนวคิดทฤษฎี และสมมติฐาน แลว้ จึงลงสู่การเก็บข้อมูล (แบบเดียวกบั ทีน่ ักวจิ ัย เชิงปริมาณท�ำกันโดยท่ัวไป) ข้อแตกต่างอยู่ท่ีนักวิจัยเชิงคุณภาพเปิดกว้างให้ปรับแนวคิด ทฤษฎี และสมมตฐิ านได้เท่าท่ีจ�ำเปน็ แม้การวิจัยจะไดด้ �ำเนนิ ไปแลว้ ก็ตาม (ยืดหยุ่นได้) 5.8 ศกึ ษาโดยใช้กล่มุ ขนาดเล็กเพอ่ื รายงานผลการวิจยั (A case study approach to reporting research outcomes) เปน็ การวจิ ยั ทม่ี กั ทำ� กบั กลมุ่ ตวั อยา่ งทมี่ ขี นาดเลก็ ซงึ่ อาจจะเปน็ การ ศึกษาเพียงกรณีเดียว หรือหลายกรณีก็ได้ ข้ึนอยู่กับเร่ืองท่ีต้องการศึกษา ท้ังนี้เพ่ือนำ� เสนอผลการ วิจัยในรูปของการบรรยายอย่างละเอียดทั้งในรูปของค�ำพูดและการกระท�ำที่เกิดข้ึน เพ่ือให้ผู้อ่าน มีข้อมูลเพียงพอที่จะท�ำความเข้าใจกับผลการวิจัย ตลอดจนมีข้อมูลเพียงพอส�ำหรับการตัดสินใจ วา่ ขอ้ มลู ทม่ี กี ารคน้ พบเหลา่ นน้ั มคี วามเปน็ ไปไดม้ ากนอ้ ยแคไ่ หนในการนำ� ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ ขา้ กบั บคุ คล หรอื สิ่งแวดล้อมอนื่ ๆ ตอ่ ไป 5.9 เน้นการท�ำความเข้าใจแบบองค์รวม (Holistic perspective) เป็นการวิจัยที่ มองส่ิงทีศ่ ึกษาว่าเป็นระบบอันซับซ้อนเกี่ยวข้องกบั ปัจจยั หลายด้าน องค์รวมเปน็ อะไรทมี่ ากกว่า ผลบวกของส่วนประกอบทั้งหมด ทุกส่วนประกอบขององค์รวมต่างอิงอาศัยซ่ึงกันและกัน การ เปล่ียนแปลงของส่วนหน่ึงมีผลกระทบต่อส่วนอ่ืน ๆ การวิจัยจึงไม่ใช่ การ “ลด” ความส�ำคัญแต่ ละส่วนลงใหม้ ีคา่ เป็นเพยี ง “ตวั แปร” ที่เปน็ อยู่ได้เดย่ี ว ๆ โดยลำ� พัง มงุ่ ทำ� ความเข้าใจความสมั พันธ์ ท่ีส่วนต่าง ๆ เหล่าน้ันมีต่อกัน มากกว่ามุ่งท�ำความเข้าใจความเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกันในเชิง เส้นตรง 5.10 สะท้อนความเป็นตัวตนของนกั วิจัย (Reflexivity) นักวจิ ยั จะระบุหรือแสดง ตวั ตนพนื้ เพเดมิ ของตนประสบการณก์ ารทำ� งานและประสบการณท์ างวฒั นธรรมซง่ึ ประสบการณ์ เหล่านี้จะเปน็ สิ่งก�ำหนดการตคี วามข้อมลู ในการวิจยั นอกจากนี้ โยธนิ แสวงดี (2557, 2561) กลา่ วถึงลกั ษณะของการวิจัยเชงิ คุณภาพ ไว้ใกล้เคยี งกับท่ี Maykut, Morehouse, Merriam, และ Creswell กล่าวไว้ ซึ่งเปน็ ลักษณะท่อี าจ เพิม่ เติมได้ดังน้ี
102 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 1) ใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นหลัก (Qualitative data) เป็นการวิจัยที่ใช้ข้อมูลเชิง คณุ ภาพ โดยเป็นขอ้ ความเชิงพรรณนาท่ใี หร้ ายละเอียด ลงลกึ และรอบด้าน และมีการยึดความคดิ ความเห็น และการตีความของผู้ใหข้ อ้ มูลเปน็ ส�ำคญั ค�ำว่า ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยท่ัวไป จะเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “Content Data” เปน็ ขอ้ มลู ที่ไมส่ ามารถบอกไดว้ ่า มีคา่ มากหรอื น้อย แตจ่ ะสามารถบอกได้ว่าดหี รือไม่ดี หรือบอก ลกั ษณะความเป็นกล่มุ ของ ขอ้ มลู เชน่ เพศ ศาสนา สีผม คณุ ภาพสินค้า ความพึงพอใจ ฯลฯ 2) นักวิจัยติดต่อโดยตรงกับกลุ่มเป้าหมายในการวิจัย (Direct contact with participants) นักวิจัยเชงิ คณุ ภาพติดตอ่ โดยตรงกับประชากรเป้าหมายของการศึกษา ตอ้ งลงสนาม ด้วยตวั ของนกั วิจยั เอง เฝา้ สังเกตปรากฏการณ์ที่ศึกษาอยา่ งใกลช้ ิด ประสบการณ์และความเข้าใจ เก่ียวกับเร่ืองที่ศึกษามีความสำ� คัญมากต่อข้อมูลที่จะได้ หรือถ้าจะใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลท่ีเป็น หนังสือ ปรากฏการณ์ พิพธิ ภัณฑ์ หรือหอ้ งสมดุ ฯลฯ ตวั นักวิจยั ต้องไปหาเอง เพราะไมม่ ใี ครทีจ่ ะ รู้ลึกเท่ากบั ตัวนกั วิจยั เองวา่ ขอ้ มลู อันไหนทคี่ วรเก็บ อนั ไหนท่ีไมค่ วรเก็บ 3) ใหค้ วามส�ำคญั ตอ่ พลวตั ของส่งิ ที่ศึกษา (Dynamic perspective) เป็นการวจิ ยั ท่ี มองวา่ สิง่ ที่ศึกษามีความเปลย่ี นแปลงอย่ตู ลอดเวลา ในระหว่างเก็บรวบรวมขอ้ มลู ทกุ ส่งิ ทกุ อยา่ ง ทม่ี นั เคล่อื นไหวหรอื เปลีย่ นแปลง ต้องใสใ่ จท้งั หมดเลย ไม่วา่ จะเปน็ เร่ืองของคน องคก์ ร สังคม วัฒนธรรม หรอื ปรากฏการณใ์ ด ๆ กต็ าม 4) ให้ความส�ำคัญต่อการศึกษาเฉพาะกรณี (Unique case orientation) เป็นการ วิจยั ท่ีให้ความสำ� คัญกบั กรณศี กึ ษา (Case study) งานวจิ ยั เชิงคณุ ภาพทัง้ หมด เป็นกรณีศึกษา คือ เป็นการศกึ ษาเฉพาะกรณี เพราะเน้นการทำ� ความเข้าใจโดยเจาะลกึ เปน็ องค์รวมครบทุกมิติ ดงั น้ัน ทุกเร่ือง ทุกกรณี ที่น�ำมาศึกษา มีความส�ำคัญต่อการท�ำความเข้าใจในประเด็นการวิจัย การศึกษา เริ่มด้วยการให้รายละเอียดเก่ียวกับกรณีแต่ละกรณีอย่างเพียงพอ การวิเคราะห์ท่ีจะตามมาขึ้นอยู่ กับคุณภาพของรายละเอียดทีไ่ ด้ และการวิเคราะห์เป็นการเปรียบเทยี บระหวา่ งกรณีตา่ ง ๆ เพือ่ หา รูปแบบ ความสัมพนั ธ์ และความหมายที่จะช่วยอธิบายประเดน็ การวิจัย 5) ให้ความส�ำคัญต่อบริบทของสิ่งที่ศึกษา (Context sensitivity) เป็นการวิจัยที่ มองวา่ สง่ิ ทศ่ี กึ ษา (ปรากฏการณ์ พฤตกิ รรม ฯลฯ) จะมคี วามหมายตอ่ ผกู้ ระทำ� กเ็ ฉพาะภายในบรบิ ท ทเี่ ขาเปน็ อยเู่ ทา่ นน้ั ถา้ บรบิ ทเปลย่ี นไป ความหมายมกั จะเปลยี่ นไปดว้ ย หรอื มองวา่ คนมพี ฤตกิ รรม แบบน้ีมลี ทั ธคิ วามเชอ่ื เปน็ แบบนี้เพราะเขาเกยี่ วขอ้ งกบั ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งทรี่ ายรอบซงึ่ เปน็ สงิ่ แวดลอ้ ม ดังนัน้ นกั วิจัยจึงตอ้ งนำ� เอาปจั จัยดา้ นบรบิ ทของส่ิงท่ีศกึ ษามาพจิ ารณาดว้ ย เมื่อเป็นเช่นนี้ “สามัญการ” (Generalization) คือ การน�ำเอาผลจากท่ีอื่น เวลาอ่ืน มาใชใ้ นการศกึ ษาของเรา อาจเปน็ ไปไม่ได้ หรอื ไมม่ คี วามหมายกไ็ ด้ กล่าวโดยสรุป ลักษณะที่ส�ำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ เป็นการวิจัยท่ีเน้น การพรรณนาซ่ึงอาจใช้ถ้อยค�ำและรูปภาพประกอบมากกว่าการใช้ตัวเลข มีความยืดหยุ่นในการ ออกแบบการวจิ ยั เลอื กกลุ่มตัวอย่างทย่ี ึดวัตถุประสงค์ของการศกึ ษาเป็นหลัก เกบ็ รวบรวมข้อมลู ในสภาพธรรมชาติ นักวิจัยเป็นเคร่ืองมือท่ีส�ำคัญท่ีสุดส�ำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลและการ วิเคราะห์ข้อมูล ใช้วิธีการเชิงคุณภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้วิธีการอุปนัยเป็นหลัก คือ เร่ิม
Research in Educational Administration • 103 ด้วยการเข้าไปสัมผัสข้อมูลแทนที่จะเร่ิมด้วยการตั้งกรอบแนวคิด ทฤษฎี หรือสมมติฐาน ศึกษา โดยใชก้ ลุ่มขนาดเล็กเพอ่ื รายงานผลการวิจัย โดยเน้นการท�ำความเขา้ ใจแบบองค์รวม เป็นการวจิ ยั ทส่ี ะทอ้ นความเปน็ ตวั ตนของนกั วจิ ยั ออกมาอยา่ งชดั เจน นกั วจิ ยั ใชข้ อ้ มลู เชงิ คณุ ภาพเปน็ หลกั และ ติดต่อโดยตรงกบั กล่มุ เปา้ หมายในการวิจยั มีการใหค้ วามส�ำคญั ต่อพลวัตของสง่ิ ท่ศี ึกษา ใหค้ วาม สำ� คญั ต่อการศึกษาเฉพาะกรณี และให้ความส�ำคญั ตอ่ บริบทของสิ่งทศี่ ึกษา 6. ประเภทของการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ การวจิ ัยเชิงคุณภาพทนี่ ิยมน�ำมาใชใ้ นงานด้านการศกึ ษา มีอยู่ 8 ประเภท ได้แก่ 1) การวิจัย เชิงคุณภาพพื้นฐาน (Basic Qualitative Research) 2) การศึกษาเฉพาะกรณี (Basic Qualitative Research) 3) การวิเคราะห์เชิงเน้ือหา (Content Analysis) 4) การวิจัยแบบชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnographic Research) 5) การวิจัยแบบทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory Research) 6) การ วิจยั เชิงประวัติศาสตร์ (Historical Research) 7) การวจิ ยั แบบเลา่ เร่ือง (Narrative Research) และ 8) การวิจัยแบบปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology Research) (Ary, Jacobs and Sorensen, 2010, pp. 452-453) อย่างไรก็ตาม ในที่นี้จะกล่าวถึงประเภทของการวิจัยเชิงคุณภาพ 5 ประเภท ซึ่งมักนิยมน�ำมาประยุกต์ใช้ในการวิจัยทางการบริหารการศึกษา คือ การวิจัยเชิงคุณภาพพ้ืนฐาน การศึกษาเฉพาะกรณี การวจิ ัยแบบปรากฏการณว์ ทิ ยา การวจิ ยั แบบทฤษฎีฐานราก และการวิจัย แบบชาติพันธุว์ รรณนา โดยมรี ายละเอียด ดงั น้ี 6.1 การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพพนื้ ฐาน (Basic qualitative research) การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพพน้ื ฐานนี้ เปน็ ลกั ษณะของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพทวั่ ๆ ไป ซง่ึ นำ� มาใชใ้ นสาขาตา่ ง ๆ รวมทงั้ สาขาทางการ ศึกษา โดยเป็นการวจิ ัยแบบงา่ ย ๆ เมอื่ เปรียบเทียบกับการวจิ ยั เชงิ คุณภาพแบบอนื่ ๆ ทง้ั นเี้ พราะ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพพนื้ ฐานนจ้ี ะไมจ่ ำ� กดั ปรากฏการณใ์ ดปรากฏการณห์ นง่ึ เหมอื นการศกึ ษาเฉพาะ กรณี ไมพ่ ยายามอธบิ ายถงึ มติ ดิ า้ นสงั คมวฒั นธรรมเหมอื นการวจิ ยั แบบชาตพิ นั ธว์ุ รรณนา ไมเ่ ขา้ ไป ศึกษาในโลกทางความคิดของกรณีใดเพื่ออธิบายถึงแก่นแท้เหมือนกับการวิจัยแบบปรากฏการณ์ วทิ ยา และไมพ่ ยายามกำ� หนดทฤษฎขี นึ้ เหมอื นกบั การวจิ ยั แบบทฤษฎฐี านราก แตเ่ ปน็ พน้ื ฐานทจี่ ะ อธิบายหรอื พยายามตคี วามประสบการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ (Ary, Jacobs and Sorensen, 2010, p. 453) การ วิจัยเชิงคุณภาพพ้ืนฐานนี้อาจใช้เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลที่หลากหลาย ตั้งแต่การสัมภาษณ์ การสงั เกต การสนทนากลมุ่ หรอื การทบทวนเอกสาร และการวจิ ยั อาจตอ้ งมาจากการศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎีที่หลากหลาย นอกจากนี้ เป็นการวิจัยท่ีใช้ระยะเวลาที่ส้ันกว่าการวิจัยเชิงคุณภาพแบบ อื่น ๆ และนักวิจัยก็อาจไม่เข้าไปสัมผัสกับบริบทนั้น ๆ อย่างเต็มรูปแบบ (Ary, Jacobs and Sorensen, 2010, pp. 453-454) แต่เริ่มต้นท�ำการศึกษาโดยการใช้การตีความจากค�ำถามการวิจัย เชน่ “ครมู คี วามรสู้ กึ อยา่ งไรตอ่ หลกั สตู รใหม”่ หรอื “ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาเหน็ คณุ คา่ ของการนเิ ทศ การศึกษาอย่างไร” 6.2 การศึกษาเฉพาะกรณี (Case study research) เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพประเภท หน่ึงท่ีออกแบบการวจิ ัยเป็นแบบการศึกษาเฉพาะกรณี หรือแบบกรณศี กึ ษา (Case study) โดยเป็น การวิจัยที่ครอบคลุมการวิจัยเชิงคุณภาพทั้งหมด เพราะแบบการวิจัยเชิงคุณภาพทั้งหมด เป็น
104 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา เร่ืองกรณีศึกษาที่จะต้องเน้นหรือเจาะลึกเป็นกรณี ๆ เพื่อให้รู้จริงครบทุกมิติ 360 องศา จริง ๆ เช่น เจาะจงชุมชน กลุ่มสังคม กลุ่มคน ฯลฯ โดยมีประเด็นเร่ืองเฉพาะ เช่น การบริหารองค์กร การพฒั นาชมุ ชน คน (บุคคล) ฯลฯ Yin (2008, อา้ งถงึ ใน Merriam, 2009, p. 40) ใหค้ วามหมายของการศึกษาเฉพาะกรณี วา่ เปน็ การแสวงหาความรทู้ คี่ น้ หาปรากฏการณป์ จั จบุ นั ในบรบิ ททเี่ ปน็ วถิ ชี วี ติ จรงิ โดยเฉพาะอยา่ ง ยิง่ เมอ่ื ปรากฏการณแ์ ละบริบทไม่สามารถแยกจากกนั ไดช้ ดั เจน ส่วน Creswell (2013, p. 97) ได้กล่าวสรุปของการศึกษาเพาะกรณีไว้ว่า เป็นวิธี วิทยาการวิจัยลักษณะหนึ่งหรือเป็นประเภทของการออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพที่อาจจะเป็น วัตถุประสงค์ของการศึกษา รวมท้ังเป็นผลของการแสวงหาค�ำตอบ การศึกษาเฉพาะกรณีเป็น วิธีการเชิงคุณภาพซึ่งนักวิจัยจะเข้าไปศึกษาส�ำรวจจากชีวิตจริง หรือระบบปัจจุบันที่มีขอบเขต เฉพาะ (Bounded system) หรือระบบหลาย ๆ ระบบ ในช่วงระยะเวลาหนงึ่ ๆ โดยใชว้ ิธกี ารเก็บ รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งข้อมูลท่ีหลากหลาย ท้ังน้ี อาจศึกษาวิเคราะห์จากหลายกรณี หรือกรณศี กึ ษาเดียวก็ได้ สำ� หรบั หนว่ ยหรอื สงิ่ ทจี่ ะศกึ ษาในการศกึ ษาเฉพาะกรณนี น้ั Ary Jacobs and Sorensen (2010, p. 454) อธิบายว่า หน่วยที่จะศึกษาเป็นสิ่งหรือปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนซึ่งผู้วิจัยสนใจที่จะ ศึกษาโดยอาจจะเป็นบุคคล กลุ่มบุคคล พื้นที่ ชั้นเรียน นโยบาย โครงการ กระบวนการ สถาบัน หรือ ชุมชนใดชุมชนหน่ึง หน่วยท่ีได้รับเลือกศึกษาอาจเป็นเพราะมีลักษณะเฉพาะหรือมีลักษณะ เป็นตัวแบบ หรอื อาจมเี หตุผลอ่ืน ๆ กล่าวโดยสรุป การศึกษาเฉพาะกรณี หรือกรณีศึกษา (Case study) เป็นการวิจัยเชิง คุณภาพประเภทหน่งึ ทีอ่ อกแบบเพอ่ื การศึกษาเฉพาะเจาะจงหนว่ ยใดหนว่ ยหนงึ่ อยา่ งละเอียด มี วัตถุประสงค์เพื่อให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างภูมิหลัง หรือพ้ืนฐานที่ส�ำคัญของบุคคล หรือ หน่วยการวิเคราะห์อย่างอ่ืนที่ใช้เป็นกรณีศึกษากับพฤติกรรม หรือสถานการณ์ปัจจุบัน โดยใช้วิธี การเกบ็ ขอ้ มลู ทหี่ ลากหลาย ซงึ่ ตอ้ งนำ� มาใชว้ เิ คราะหร์ ว่ มกนั สว่ นหนว่ ยของการวเิ คราะห์ (Unit of analysis) อาจเปน็ หนว่ ยงาน บคุ คล หรอื สถานการณ์ กไ็ ด้ เชน่ โรงเรยี นหนง่ึ แหง่ เปน็ หนว่ ยวเิ คราะห์ หลกั (Main unit of analysis) ของหนง่ึ กรณศี กึ ษา ในขณะเดยี วกนั ภายใตห้ นงึ่ หนว่ ยหลกั ยงั มหี นว่ ย วิเคราะห์ย่อย (Subunit of analysis) เชน่ ผู้บริหาร ครู นักเรยี น ผปู้ กครอง ฯลฯ 6.3 การวิจัยแบบปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology Research) ความหมายโดย รวมคอื “การศึกษาปรากฏการณ”์ ซ่งึ อาจหมายถึง สถานการณ์ หรือประสบการณท์ แ่ี วดลอ้ มผใู้ ห้ ข้อมูลอยู่ แต่ยังไมม่ คี วามเข้าใจถอ่ งแทว้ า่ สถานการณ์หรอื ปรากฏการณเ์ หล่านนั้ เกดิ ขึ้นไดอ้ ย่างไร และมีผลต่อความคิด ความเช่ือ และพฤติกรรมของคนอย่างไร รวมท้ังเป็นการวิจัยเพื่อค้นหา ประสบการณ์หรือเรอ่ื งราวเพือ่ บรรยายหรอื ฉายภาพชวี ิตของผู้คน (ทน่ี ักวจิ ัยศึกษา) งานวิจัยเชิงคุณภาพทุกประเภทล้วนมีรากฐานมาจากปรัชญาปรากฏการณ์นิยม ทั้งสิ้น (Phenomenalism) งานวิจัยแบบปรากฏการณ์วิทยาก็เป็นประเภทหนึ่งที่มีรากฐานมาจาก ปรชั ญาปรากฏการณน์ ยิ ม แนวคดิ ของปรากฏการณน์ ยิ ม ถอื วา่ มหี ลากหลายวธิ กี ารในการตคี วาม ประสบการณ์เดียวกัน โดยประสบการณ์เดียวกันอาจตีความได้หลากหลาย และความหมายของ
Research in Educational Administration • 105 ประสบการณข์ องแตล่ ะบคุ คลเปน็ สงิ่ ทจ่ี ะประกอบขนึ้ มาเปน็ ความจรงิ ความเชอื่ นเี้ ปน็ คณุ ลกั ษณะ ของการวิจัยเชิงคุณภาพ แต่สิ่งท่ีท�ำให้การวิจัยแบบปรากฏการณ์วิทยาแตกต่างจากงานวิจัยเชิง คุณภาพอ่นื ๆ คอื ปรากฏการณว์ ทิ ยาถอื วา่ ประสบการณ์เชงิ อตั วิสยั (Subjective) เป็นหัวใจของ การสืบคน้ โดยปรากฏการณว์ ิทยาแยกแยะใหเ้ ห็นชัดเจนระหว่างภาพภายนอก (Appearance) ของ สง่ิ ตา่ ง ๆ กบั แก่นแท้ (Essence) ของสงิ่ นน้ั คำ� ถามการวจิ ัยหลกั มักจะมุ่งเปา้ ศึกษาเก่ยี วกับแก่นแท้ ของประสบการณท์ เี่ ปน็ “การรบั รขู้ องผเู้ กยี่ วขอ้ ง” ปรากฏการณว์ ทิ ยาอาจศกึ ษาประสบการณข์ อง บคุ คลเพอื่ ทจี่ ะใหเ้ ขา้ ใจแกน่ แทข้ องประสบการณโ์ ดยจะสอบถามถงึ ธรรมชาตหิ รอื ความหมายของ ส่ิงต่าง ๆ ซึ่งอาจใชก้ ารสัมภาษณบ์ คุ คลหลาย ๆ คน (เก็จกนก เออ้ื วงศ์, 2557) นกั วจิ ยั แนวปรากฏการณว์ ทิ ยาใชก้ ารสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ เปน็ เครอ่ื งมอื สำ� คญั ในการเกบ็ ข้อมลู นกั วจิ ัยบางทา่ นอาจใช้การสงั เกตร่วมด้วย ลักษณะส�ำคัญของการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ นัน้ อยูท่ ี่ การดำ� เนนิ การสนทนาไปอยา่ งธรรมชาติ คอื ดำ� เนนิ ไปเหมอื นกบั การ “คยุ กนั อยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการ” (ชาย โพธิสิตา, 2554, หน้า 185) 6.4 การวจิ ยั แบบทฤษฎฐี านราก (Grounded Theory Research) เปน็ การวจิ ยั เพอ่ื คน้ หา ประสบการณ์รวมของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลเพ่ือพัฒนาทฤษฎี และมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา ทฤษฎี อย่างไรก็ตาม ค�ำว่า “ทฤษฎี” ในท่ีน้ี ไม่จ�ำเป็นต้องเป็นทฤษฎีหลัก (Grand theory) เสมอ ไป อาจเป็นทฤษฎีระดับกลาง หรอื ระดบั ลา่ ง หรือเปน็ การพฒั นาแบบจำ� ลอง (Model) และการต้ัง สมมตฐิ านชว่ั คราวกส็ ามารถทำ� ไดเ้ ชน่ เดยี วกนั การวจิ ยั แบบทฤษฎฐี านรากน้ี มสี าระหลกั ๆ อยวู่ า่ ทฤษฎีท่ีใช้อธิบายปรากฏการณ์ หรือสถานการณ์ท่ีผู้วิจัยศึกษาน่าจะได้มาจากการวิเคราะห์เปรียบ เทียบข้อมูลภาคสนามจากโครงการน้นั ๆ นน่ั เอง (มใิ ช่เป็นการต้ังทฤษฎหี รือสมมติฐานล่วงหนา้ ) ทฤษฎกี ารวิจัยแบบฐานรากนี้ มีลักษณะทั่วไปคลา้ ยกับการวิจยั เชิงคณุ ภาพอน่ื ๆ แต่ สง่ิ ท่กี ารวจิ ัยแบบน้ีตา่ งจากการวจิ ัยเชิงคุณภาพแบบอน่ื ๆ อาจสรุปได้ ดงั นี้ (ชาย โพธสิ ิตา, 2554, หนา้ 167) 1) ไมเ่ รม่ิ ตน้ การวจิ ยั ดว้ ยกรอบแนวคดิ ทฤษฎหี รอื สมมตฐิ านทมี่ อี ยกู่ อ่ น แตล่ ะทฤษฎี และสมมติฐานซึ่งเป็นเป้าหมายของการวิจัยจะสร้างข้ึนหลังจากท่ีนักวิจัยได้เร่ิมท�ำการรวบรวม ขอ้ มูลและวเิ คราะหข์ อ้ มลู แลว้ 2) กระบวนการรวบรวมขอ้ มลู และการวิเคราะห์ขอ้ มูลด�ำเนินการไปพรอ้ ม ๆ กนั 3) มีกระบวนการวเิ คราะห์ข้อมลู ทคี่ ่อนขา้ งเข้มงวด สว่ นวรรณีแกมเกตุ(2551,หนา้ 191)กลา่ ววา่ การวจิ ยั แบบทฤษฎฐี านรากมวี ตั ถปุ ระสงค์ เพื่อสร้างทฤษฎี โมเดลทางทฤษฎี หรือแนวคิด โดยใช้กระบวนการอุปนัย ซึ่งเริ่มต้นจาก 1) การ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล (ผา่ นการสงั เกต การสัมภาษณ์ หรือการบันทกึ ) ท่ีเกี่ยวข้องกบั เหตุการณ์ การ กระท�ำ หรือกลุ่มคน 2) สร้างกรอบแนวคิดทางทฤษฎีหรือสมมติฐานช่ัวคราวจากข้อมูล จากนั้น ก็ย้อนกลับไป 3) เก็บข้อมูลเพ่ิมเติมอย่างต่อเนื่องเพ่ือทดสอบแนวคิดทางทฤษฎีหรือสมมติฐาน ดังกล่าวจากข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ 4) ปรับแนวคิดทฤษฎีหรือสมมติฐาน ซ่ึงนักวิจัยจะดำ� เนิน การตามกระบวนการน้ีเป็นวงจรไปเร่ือย ๆ จนกระท่ังว่าทฤษฎีหรือสมมติฐานท่ีสร้างขึ้นน้ันถึง จดุ อมิ่ ตวั สามารถอธบิ ายไดอ้ ยา่ งลกึ ซง้ึ ภายใตก้ รอบทตี่ อ้ งการศกึ ษา แลว้ จงึ สรปุ เปน็ ทฤษฎฐี านราก
เก็บรวบรวมได้ 4) ปรับแนวคิดทฤษฎีหรือสมมติฐาน ซ่ึงนกั วิจยั จะดาเนินการตามกระบวนการน้ีเป็น ลวงึกจ1ซร0้ึงไ6ภป•าเรยกื่อาใรยตวิจ้กๆัยรทจอานงบกกาทรรบี่ตะร้อทหิ างง่ั รกวก่าาารทรศศฤกึ ึษกษาษฎีหา รแือลส้วมจึงมสตริฐุปานเปท็ นี่สทร้าฤงษข้ฎึนีฐนา้ันนถรึงาจกุดอ(Gิ่มrตoวuั nสdาeมdาthรeถoอryธ)ิบาซย่ึงไจดะอ้ เยป่า็ นง ขปอ้รมะ(หGโูลรrยใือoชนuทนnบฤd์อรษeิยบdฎา่ tทีทhงอeยี่ตoงื่ิ่น้อrใyงนๆ)กกซาตรางึ่่อศรจไึนกะปเษาปไาน็ จปกปาใกรรชะะขอ้ โบ้อยา้ วมชงนอูลนิงใกอ์ นใายนรบา่ งดเรบยงัิบง่ิ้ือกทใงลนอตา่กื่นวน้ามรใๆนานนำ� ตกไ้ีแป่อาสรไใชปสดอ้งรกา้ไ้างรงดอะแด้ งิ บนงัในวภวนเคาบพกิดอ้ื าทหงรี่ตรด3ืน้อัง.ใท1กนลฤก่าษาวรฎมสีทารนี่ตา้ ี้แงอ้ แสงนกดวางครไดดศิ ้ึกษาจาก ดังภาพท่ี 3.1 เกบ็ ขอ้ มลู สร้าง เก็บขอ้ มลู / ปรับ เกบ็ ขอ้ มูล/ สมมติฐาน ทดสอบ สมมติฐาน ทดสอบ สมมติฐาน เกบ็ ข้อมูล/ สมมติฐาน ทดสอบ สรุปความรู้ที่ สมมติฐาน สมมตฐิ าน ปรับ ได/้ จบการ นิ่ง/ไมป่ รับ สมมติฐาน วจิ ยั ทภทภาม่ีาีม่ พพาา.ท.ทชชี่ ี่3า3า.ย.1ย1โโพกกพรธระธิสะบิสิตบวิตาวนา(น2ก(5ก2า4ร5า7วร4,ิจว7หยั,จิ แนหยั บแ้านบบ1า้ 8ทบ11ฤท8)ษ1ฤ)ฎษีฐฎาีฐนารนากราก 6.5 การวิจัยแบบชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnographic Research) เป็นการศึกษา ใคชวช้าปเขวขมีวฒัอรา้ เิตะงใปนจชขช็ธนภุมอารอกาชงรพรยผนมทกขู่ ูค้ค6เาีศ่อพนว.ร5กึงา่ือใใกมษชนใกเลาหช้ ปกาุ่มวีกเ้รน็ลขติาควอาุ้่มรขนิจใยศศอจัยขู่แกึึกแงอแลษผบษงบะคู้าบากเชบนชแลโุมชใิงผมุ่ดนชชานคยกาตนนกกตลิพทาแาพิมุ่ รรัล่ีนศันทดเะึกขธำ�ธศ่ี ชษ์เุวา้ว์ุกึนมุไรารษนิชปอรรานชณยณคโวีทา่ดลนนงติ ศ่ียุกาลทากกึ คจะม่ีาษ(ลึงเรEีผอาเีอเปอtขลียhยย็นา้ตดnใู่า่ไ่อกoถปนงgคาลี่ถคชรrวะว้ลaคุมาเนpอกุน้มชhยีคคหนทiดลcดิาาถอีแRใคถี่ยบลหeวว้ใู่ ะsบน้ผานeเมแชอูป้aทผเrมุ็่าชนำ�cนนช่อืใhสกหนม)่แวาผ้อเแรลนปอู้งลดะ็หา่นเะำ�พหนนเเกนฤป็มน่ึงาตินนอ็แรขิกงชสลศอเรวีหว่ะึกงรตินเน็ชษมขหหุมแขาา้ ลนวรใอชอืจะฒังง่ึนภนเาพธพื่อรกรใาหมร้ เข้าวใฒัจแนบธรบรแมผทนมี่ กรี ว่ามรกดนัาเขนอินงกชลีวมุ่ ิตคทน่ีมีผลต่อความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมของประชากรที่ศึกษา ขกอารงแdศกeสsึกลcวษุม่rงiคาpหเtนชiาoคิงnชว) าขามนตอริงัพกกู้ตวนั ลิาจธมุ่มัยุ์วชแจราะนรตตวณพิ ้อชนันงาธใตาช์ุ ซิพจ้เง่ึวัึงนกเลธปาาุ์ร็วนคพร่กอรรนารณรณขนค้านน้างายหลคากัาือวแษนบกณาาบนะรเแอชพผยน่รนู่กนรับกณจ้ี ากะนรเลกดาุ่มดิลาทขักเนนึ้่ีศษินึไกณดชษก้ะีวาดว็ เิตัพฒว้ ยหื่อนกใรธาหือรร้ไศวรดกึฒัม้ผษนล(าCธใขนรuอสรlงtมนuกrทาาaมรี่มl ีร่วมกนั อยา่ งใกล้ชิดในลกั ษณะของการฝังตัว ลมุ่ ลกึ ยาวนาน โดยนกั วิจยั จะเป็นผู้เกบ็ ข้อมูลดว้ ยตนเองใน กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน และที่ส�ำคัญท่ีสุดนักวิจัยต้องสร้างให้เกิดความไว้วางใจอย่างลึกซ้ึง ใน การเข้าร่วมกจิ กรรมตา่ ง ๆ กับผู้ใหข้ อ้ มลู (Van Maanen, 1982, อ้างถงึ ใน Merriam, 2009, p. 28) การวิจัยแบบชาติพันธุ์วรรณนา เน้นการท�ำความเข้าใจแบบองค์รวม คือ การท่ีต้อง บูรณาการมิติต่าง ๆ ของชุมชน ทั้งสังคม วัฒนธรรม บุคคล ซึ่งทุกส่วนอยู่ร่วมกันแบบองค์รวม และมีความเป็นหน่ึงเดียว ดังนั้น ในการท�ำความเข้าใจในสิ่งท่ีศึกษาจึงไม่สามารถท�ำความเข้าใจ เพียงมิติใดมิติหน่ึง แต่ต้องใช้การอธิบายท่ีกว้างและลึก วิธีการเก็บข้อมูลจึงต้องเก็บข้อมูลหลาย ชนดิ และหลายมมุ มอง
Research in Educational Administration • 107 วธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ ของนกั วจิ ยั แบบชาตพิ นั ธว์ุ รรณนาคอื การฝงั ตวั อยใู่ นสนาม ในฐานะทเี่ ปน็ ผสู้ งั เกตแบบมสี ว่ นรว่ ม (Participant observer) และใชว้ ธิ กี ารสมั ภาษณท์ งั้ แบบทเ่ี ปน็ ทางการและไม่เป็นทางการ การวเิ คราะห์เอกสาร บนั ทึกข้อมูลประวตั ศิ าสตรจ์ ากการบอกเลา่ ของ ผูร้ ู้ และวตั ถุส่งิ ของตา่ ง ๆ ในชมุ ชน จะเห็นได้ว่า ประเภทของการวิจัยเชิงคุณภาพที่กล่าวมาข้างต้นน้ัน มีลักษณะร่วม หลายประการ ไดแ้ ก่ การมงุ่ เนน้ เขา้ ใจปรากฏการณห์ รอื เหตกุ ารณ์ การใชว้ ธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ที่ หลากหลาย การใชว้ ธิ กี ารอปุ นยั และเนน้ การพรรณนาอยา่ งลมุ่ ลกึ และรอบดา้ น อยา่ งไรกต็ าม การ วิจยั เชิงคณุ ภาพซึ่งแยกประเภทตา่ ง ๆ ออกไปนั้น กย็ งั คงมีลกั ษณะเฉพาะและจุดเน้นท่แี ตกตา่ งกนั 7. หัวใจส�ำคญั ของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ หัวใจส�ำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ มี 5 อย่าง ประกอบด้วย 1) เช่ือในหลักการ ปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology approach) 2) ใช้หลักการค้นหาความรู้ที่เป็นจริงจากแหล่ง รากเหงา้ ของขอ้ มลู (Grounded Theory approach) 3) เนน้ ทำ� ความเขา้ ใจและรจู้ รงิ รลู้ กึ ละเอยี ดแบบ องคร์ วมทุกมติ ทิ กุ ส่วนของประเด็นเรือ่ งท่ีท�ำการศึกษา (Holistic) 4) ข้อมลู ต้องมคี ณุ ภาพ และมี ความน่าเชื่อถือว่า ถูกต้องตามปรากฏการณ์ ลักษณะพฤติกรรมท่ีแสดงออก สัญลักษณ์ที่พบเห็น เน้ือหาท่ีบรรยาย ฯลฯ ท่ีต้องผ่านการตรวจสอบแบบสามเส้า (Triangular Check) และ 5) เน้น หลกั การรงั สรรคว์ ทิ ยา (Constructionism) ในการวเิ คราะหเ์ พอื่ ตคี วามของปรากฏการณ์ สญั ลกั ษณ์ พฤติกรรม เนอ้ื หาของข้อมลู ฯลฯ ขึ้นมาเป็นขอ้ คน้ พบแล้วอภิปรายผล ซ่ึงแตล่ ะอย่างอาจสรุปได้ ดังน้ี (โยธิน แสวงดี, 2557, 2561) 7.1 เช่ือในหลักการปรากฏการณ์วิทยา การวิจัยเชิงคุณภาพเชื่อในหลักการ ปรากฏการณ์วิทยา โดยต้องมีหลักฐานให้ตรวจสอบแบบสามเส้าได้ การพูดอะไรต้องมีหลักฐาน หรอื มปี รากฏการณ์มายืนยันเสมอ 7.2 ใช้หลักการคน้ หาความรู้ทีเ่ ปน็ จรงิ การวิจัยเชิงคณุ ภาพจะใช้หลกั การค้นหา ความรทู้ เ่ี ปน็ จรงิ จากแหลง่ รากเหงา้ ของขอ้ มลู โดยใชท้ ฤษฎฐี านรากและวธิ กี ารเขา้ ถงึ ความรทู้ เ่ี ปน็ แหล่งตน้ ตอของข้อมลู ดังน้ี 1) ทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) เปน็ การใชห้ ลักฐานทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) ค�ำวา่ “ฐานราก” มาจากคำ� วา่ Ground ทแ่ี ปลว่า ต้นตอ ดิน รากเหง้า ดังนั้น คำ� ว่า Grounded Theory ก็คือ ทฤษฎฐี านราก รากเหง้า หรอื ตน้ ตอ มิใชท่ ฤษฎีทใ่ี ชใ้ นการวิจัยเชงิ คุณภาพอย่างเดียว แต่น�ำไปประยุกต์ใช้ในทุกเรื่อง เพราะนักวิจัย ต้องค้นหาข้อมูลจากแหล่งราก เหงา้ หรอื ต้นตอ 2) วิธีการเข้าถึงความรู้ท่ีเป็นแหล่งต้นตอ (Grounded Theory approach) เป็นวิธีการเข้าถึงความรู้ท่ีเป็นแหล่งต้นตอของข้อมูล ในการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพนั้น ต้องมี ปรากฏการณห์ รอื เหตกุ ารณม์ ากอ่ น ถา้ ไมม่ ปี รากฏการณห์ รอื เหตกุ ารณ์ นกั วจิ ยั กไ็ มส่ ามารถไปเกบ็ ขอ้ มลู ได้ ดงั นน้ั ผทู้ จ่ี ะทำ� วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ถา้ ยงั มองไมเ่ หน็ ปรากฏการณห์ รอื เหตกุ ารณ์ หา้ มถามวา่ “ฉนั ตอ้ งการทำ� วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ จะทำ� เรือ่ งอะไรด”ี แตถ่ า้ มองเหน็ ปรากฏการณ์ หรือเหตกุ ารณแ์ ลว้ ถามวา่ “ฉนั เหน็ ปรากฏการณห์ รอื เหตกุ ารณอ์ ยา่ งนแ้ี ลว้ จะทำ� วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพไดไ้ หม” ตอบวา่ “ได”้
108 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา 8. การเนน้ แบบองค์รวม ในการวิจยั เชงิ คณุ ภาพ นักวิจยั ต้องเน้นทำ� ความเข้าใจและรู้จริง รู้ลกึ ละเอียดแบบองค์ รวมทุกมติ ทิ กุ สว่ นของประเดน็ เรอ่ื งท่ีท�ำการศกึ ษา (Holistic) โดยต้องตรวจสอบขอ้ มลู แบบสาม เส้า คำ� ว่า “สามเสา้ ” แปลว่า ไขวไ้ ปไขว้มา หรือเชค็ ไปเช็คมาอยา่ งละเอียด จนกระทง่ั มั่นใจว่า มนั ใช่ มนั เป็นอยา่ งนัน้ จรงิ ๆ 9. ข้อมูลของการวจิ ัยคุณภาพ ในการวิจัยเชิงคุณภาพ ข้อมูลต้องมีคุณภาพและมีความน่าเช่ือถือว่าถูกต้องตาม ปรากฏการณ์ ลักษณะพฤติกรรมที่แสดงออก สัญลักษณ์ที่พบเห็น เนื้อหาท่ีบรรยาย ที่ผ่านการ ตรวจสอบแบบสามเสา้ มาแลว้ 10. การเนน้ รังสรรคว์ ทิ ยา ในการวเิ คราะห์เชงิ คณุ ภาพ นกั วจิ ยั ต้องเนน้ รงั สรรคว์ ิทยาเพอื่ ตีความของปรากฏการณ์ สญั ลักษณ์ พฤตกิ รรม เนอื้ หาขอ้ มูล ฯลฯ ข้นึ มาเปน็ ข้อค้นพบแลว้ อภิปรายผล ค�ำว่า “รงั สรรค์วทิ ยา” (Constructionology) หมายถึง เมอ่ื นักวิจัยมองเห็นปรากฏการณ์ หรอื เหตกุ ารณ์หรอื ขอ้ มลู หลงั จากนนั้ คอ่ ยๆคดิ คอ่ ยๆประมวลหรอื รงั สรรคข์ นึ้ มาวา่ ปรากฏการณ์ ท่ีตัวเองมองเห็นน้ัน แท้ที่จริงแล้วคืออะไร คือ ให้ค่อย ๆ คิด เพื่อให้มองเห็นความจริง อย่างไร กต็ าม คำ� วา่ “รงั สรรคว์ ทิ ยา” นี้ นกั วจิ ัยบางคนอาจใช้ค�ำวา่ นฤมติ นยิ ม (Constructionism) ซึ่งกม็ ี ความหมายเชน่ เดยี วกนั หลักการรังสรรค์วิทยาดังกล่าวมานี้ โอกาสผิดก็มี โอกาสถูกก็มาก ซ่ึงก็ข้ึนอยู่กับ ปรากฏการณห์ รอื หลักฐานขอ้ มูล ดงั นัน้ ถา้ ไดข้ อ้ มูลทีเ่ ป็นความเหน็ มา กอ็ าจจะผิด แต่ถ้าได้ข้อมลู ที่เป็นความจริงมา ก็จะถูกแน่นอน 11. การเปรยี บเทียบการวิจยั เชงิ คุณภาพกับการวิจัยเชงิ ปริมาณ การวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพแตกต่างจากการวจิ ัยเชิงปรมิ าณ โดยอาจเปรียบเทียบให้เหน็ ไดอ้ ย่าง ชัดเจนใน 6 เรื่อง ได้แก่ 1) ธรรมชาตขิ องความเปน็ จริงหรือความรู้ 2) ความสมั พนั ธ์ระหว่าง ผ้รู ู้ หรอื ผรู้ จู้ รงิ (Key informant) กับส่งิ ที่ถกู รู้ 3) วธิ ีวทิ ยา 4) ความสัมพนั ธ์เชงิ เหตผุ ล 5) ค่านิยม กบั การวิจยั และ 6) สามัญการ ซงึ่ มีรายละเอยี ด ดงั นี้ 11.1 ธรรมชาติของความเป็นจริงหรือความรู้ การวิจัยเชิงปริมาณบางครั้งได้แค่ ความรแู้ ละเหตผุ ล เพราะว่าเกดิ จากการสุ่มตวั อย่างล�ำเอยี ง เชน่ สุม่ ได้วา่ แหล่งน้ำ� ตรงนม้ี ปี ลาตาย มนี ำ�้ เสยี แตพ่ อจะไปจมุ่ เพอื่ พสิ จู น์ มนั ลงไมไ่ ดเ้ พราะมนั เปน็ ดนิ ขเ้ี ลนขโ้ี คลน จงึ ตอ้ งขยบั จดุ พอขยบั จดุ ไป มนั กค็ ลาดเคลอ่ื นแลว้ ดงั นน้ั การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณนนั้ ไมแ่ นน่ อน บางครงั้ หรอื หลายครงั้ อาจ จะไดแ้ ตค่ วามรู้ แต่ไม่ได้ความจรงิ นอกจากน้ี อาจจะคลาดเคลอื่ นจากปจั จยั อืน่ ๆ อกี หลายประการ เชน่ เคร่อื งมือที่ไม่มคี ุณภาพ ชำ� รดุ หรือลา้ หลัง เมอื่ นำ� ไปใชก้ ็อาจไมไ่ ด้ความจริงที่ถูกต้องเลย ส่วน การวิจยั ในเชิงคุณภาพ นักวจิ ัยยดึ ปรชั ญาที่วา่ มนั เปน็ การคน้ หาความรู้ทเ่ี ปน็ ความจริง ต้องคน้ หา
Research in Educational Administration • 109 จากแหล่งปรากฏการณท์ ี่มีอยู่จรงิ ๆ ดังตวั อยา่ งต่อไปนี้ ตัวอย่างที่ 1 ถ้าจะศึกษาเรื่องหญิงบริการทางเพศ ระหว่างหญิงบริการทางเพศ ท่ีจังหวัดนครปฐมกับที่เมืองพัทยา ถามนักวิจัยว่า จะเลือกศึกษาจากแหล่งปรากฏการณ์ท่ีไหน ตอบวา่ ตอ้ งเลือกศึกษาทีเ่ มอื งพัทยา ตัวอย่างที่ 2 มีแหล่งปรากฏการณ์ท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ตและที่จังหวัดปัตตานี ถามนักวจิ ัยว่า จะเลอื กศึกษาทีไ่ หน ตอบว่า ตอ้ งเลือกศึกษาทจี่ ังหวดั ภูเกต็ ตัวอย่างที่ 3 มีแหล่งปรากฏการณ์ท่ีจังหวัดเชียงใหม่และท่ีจังหวัดลำ� พูน ถามนัก วิจัยว่า จะเลือกศึกษาทีไ่ หน ตอบวา่ ตอ้ งเลือกศกึ ษาทีจ่ งั หวัดเชยี งใหม่ ท้งั น้ี เพราะทง้ั 3 ตัวอยา่ งดงั กลา่ วมาข้างตน้ มีแหลง่ ปรากฏการณท์ ี่ชดั เจนและมอี ยู่ จรงิ ๆ ซึ่งเปน็ แหลง่ ปรากฏการณท์ ีโ่ ดดเดน่ มาก 11.2 ความสัมพันธ์ระหว่างผู้รู้กับส่ิงท่ีถูกรู้ ค�ำว่า “ผู้รู้” ในภาษาอังกฤษใช้ค�ำว่า “Key informant” ซึ่งหมายถงึ ผ้รู ้จู ริง หรอื ผรู้ ้หู ลกั ทร่ี ูเ้ รอื่ งท่ีนักวิจยั ตอ้ งการศึกษาจรงิ ๆ นิยมใช้ใน การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ วธิ เี ลอื กผรู้ จู้ รงิ ดงั กลา่ วนนั้ นกั วจิ ยั ตอ้ งใชว้ ธิ ี Snowball คอื สบื หาตอ่ ไป เพอ่ื หา ผ้รู ู้จรงิ ๆ เม่อื พูดคยุ กบั คนใดแลว้ พบวา่ เขาไม่รเู้ ร่ือง หรอื รไู้ มจ่ ริง นกั วจิ ัยก็ตอ้ งสืบหาหรอื คน้ หา ต่อไป โดยต้องหาคนท่ีรู้เร่ืองให้ได้ ซ่ึงจะแตกต่างกับการวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงปริมาณน้ัน จะเกย่ี วกับผ้รู ้จู ริงหรอื ผรู้ ูไ้ มจ่ รงิ ก็เก็บขอ้ มลู มาก่อน แลว้ น�ำมาวเิ คราะห์ หาค่า Determinant (ผลท่ี แสดงออกมา) 11.3 วิธีวิทยา หัวใจของการวิจัยเชิงปริมาณ คือ การสุ่มตัวอย่าง ให้มีความเป็น ตัวแทน มกี ารสร้างเครือ่ งมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู มกี ารอบรมพนกั งานท่ีทำ� หน้าทส่ี มั ภาษณ์ แต่การวิจัยเชิงคุณภาพ มีนักวิจัยคนเดียว เก็บข้อมูลในทุ่ง ในป่า ในเขา ในชุมชนแออัดหรือใน ยา่ นชุมชนที่ไหน ๆ กไ็ ด้ ถา้ เป็นการวจิ ยั เชงิ คุณภาพแบบประยุกตท์ ่เี กบ็ รวบรวมข้อมลู โดยใช้วธิ ที ี่ เรยี กวา่ “การสนทนากลมุ่ แบบเจาะจงทเี่ ปน็ การจดั ตง้ั ” “การสนทนากลมุ่ ยอ่ ยทเี่ ปน็ การจดั ตงั้ ” หรอื “การสมั ภาษณ์เชงิ ลกึ ทเ่ี ปน็ การจัดต้งั ” จะมกี ารออกแบบและกำ� หนดเกณฑ์การจดั ตง้ั ข้นึ ว่า มใี คร เปน็ ผรู้ สู้ ำ� หรบั เรอ่ื งน้ี เชน่ เปน็ ผหู้ ญงิ อายเุ ทา่ นี้ การศกึ ษาระดบั น้ี ลกั ษณะบา้ นทอี่ ยอู่ าศยั เปน็ แบบนี้ รายได้ครอบครัวต่อเดือนเทา่ น้ี มลี ูกเทา่ นี้คน เคยมีอาการแบบน้ี ฯลฯ แตถ่ ้าเปน็ แบบมานษุ ยวทิ ยา ซหงึ่รอือาแจบทบ�ำแชนาตวิพค�ำันถธาุ์วมรแรบณบนคราา่ นวักๆวไิจปัยดจ้วะยลดุยังเขน้าัน้ ไปจะในเหช็นุมวช่านมีคลวุยามเขแ้าตไปกตในา่ งสกังนั คอมยเา่พงื่อชเัดกเ็บจนข้อกมารูลวเลิจยัย 136 เชิงปริมาณจะอาศัยการสุ่มตัวอย่างอย่างเป็นระบบและเก็บข้อมูลมา แต่การวิจัยเชิงคุณภาพ จะมี ความยืดหย่นุ ในการ1เก1็บ.4ขค้อวมาลู มตสลัมอพดนั ตธ์เอ้ ชงิงหเหาตผุแ้รู ลทู้ ะ่รี ผู้จลรกงิ ใาหรวไ้ ิจดยั้ เชิงปริมาณน้นั มีความสมั พนั ธเ์ ชิงเหตุและผล ตวั อยา่ งเช่น11X.4 เปค็นวตามน้ สเหมั ตพุ (ันCaธu์เsชeงิ)เทห่ีนตาแุ ไลปะสผู่ผลลก(Eาfรfวecิจtยั)เชดงิงั ภปารพิมตา่อณไนปน้ัน้ีมีความสัมพันธ์เชิงเหตุ และผล ตัวอย่างเชน่ X เป็นต้นเหตุ (Cause) ทีน่ ำ� ไปสผู่ ล (Effect) ดงั ภาพตอ่ ไปน้ี XY ตวั แปรตน้ (เหตุ) ตวั แปรตาม (ตวั แปรเหตุ) (ตวั แปรผล)
110 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา จากภาพขา้ งต้น ถ้าเราจะวดั วา่ X สง่ ผลต่อ Y หรอื Y ข้นึ อยูก่ ับ X หรือไม่อย่างไร เราก็ใช้ค่าสถิติ เพื่อใช้วัด… น่ีคือการวิจัยเชิงปริมาณ แต่การวิจัยเชิงคุณภาพนั้น จะพิจารณาจาก ปรากฏการณ์ แล้วก็อธิบายปรากฏการณ์ตามหลักตรรกะวิทยา เช่น เม่ือพิจารณาความสัมพันธ์ ระหวา่ งผนู้ ำ� กบั ชุมชนดว้ ยลักษณะการปกครองแบบภูมิภาค อนั ได้แก่ เปน็ ก�ำนนั เป็นผใู้ หญบ่ ้าน กระบวนการเข้าส่กู ารเมอื งในช่วงสมัย พ.ศ. 2476-2479 พบไดช้ ดั เจน คอื การใชบ้ ทบาทในการ เป็นผ้นู ำ� ชุมชน อันมีบารมีอ�ำนาจช่วยสง่ เสริม บารมอี �ำนาจน้ี มักจะได้แก่ การได้รับเลอื กเปน็ ผนู้ �ำ หมู่บ้าน ด้วยเสียงข้างมากของประชากรในชุมชนทั้งหมด และบุคคลที่จะได้ด�ำรงต�ำแหน่งก�ำนัน หรือผู้ใหญบ่ า้ น จะตอ้ งได้รบั การนยิ มยกย่องในมติ ิของการเปน็ คนดี ซงึ่ บารมดี ังกลา่ ว เช่ือมโยงมา จากการกระท�ำความดีในอดีตมาก่อน มิใช่บารมีเชงิ นักเลง ดงั นัน้ ความสัมพนั ธ์เชงิ เหตแุ ละผลใน การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพนนั้ จะเปน็ การดปู รากฏการณ์ แลว้ คอ่ ย ๆ สอื่ ออกมาแบบตรรกะ คอื หลกั เหตผุ ล 11.5 ค่านิยมกับการวิจัย การวิจัยเชิงปริมาณดูเหมือนว่าจะท�ำการวิจัยไปตาม ค่านิยม มีวิธีการสุ่มตัวอย่าง มีการทดลอง มีการค้นหาความรู้คล้าย ๆ กับค่านิยม แต่การวิจัย เชิงคุณภาพ จะให้ความส�ำคัญกับการวิจยั อยา่ งแท้จริง เพราะวา่ มนั เป็นการคน้ หา สบื ค้น ติดตาม รอ่ งรอย หรือเปน็ การค้นหาความจรงิ อย่างแทจ้ ริงใหไ้ ด้ 11.6 สามัญการ การวิจัยเชิงปริมาณมีหัวใจท่ีส�ำคัญยิ่ง คือ “ความเป็นตัวแทน” สว่ นการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ มีหัวใจสำ� คญั ยง่ิ คอื “ความรูท้ เ่ี ป็นความจริง” ทส่ี ามารถนำ� มากล่าวอ้าง ได้ท้ังโลก ท้งั สงั คม ท่เี ขาเรียกกันวา่ “สามญั การ” ค�ำว่า “สามัญการ” มาจากภาษาอังกฤษว่า Generalization (General = ทั่วไป, ize = กล่าวอ้างได้, Action = พฤติกรรมที่แสดงออก รวมเป็น Generalization) แปลวา่ พฤตกิ รรมที่ พบเห็นได้ทัว่ ไปหรอื พฤตกิ รรมทส่ี ามารถนำ� มากลา่ วอ้างได้ทวั่ ไป สามัญการ (สามญั + อาการ) คำ� วา่ สามัญ แปลว่า ท่วั ไป ส่วนค�ำว่า “อาการ” หมาย ถึงพฤติกรรมหรอื อาการทีแ่ สดงออกเปน็ สามัญพฤตกิ รรม ความเชือ่ ปรากฏการณ์ การวิจัยเชิงปริมาณ ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง แต่การวิจัยเชิงคุณภาพศึกษาจาก ปรากฏการณ์ (และเปน็ ปรากฏการณ์ท่พี บทวั่ ไปในชมุ ชนเช่นนี้ ๆ จงึ เปน็ สามัญการ) การวจิ ยั เชิงปริมาณ: ยกตวั อย่าง ประชากร 100,000 คน สุ่มมา 380 คน ถ้าสุ่มไดด้ ี ตามโอกาสทน่ี า่ จะเปน็ ตามหลกั เกณฑก์ ารสมุ่ ตวั อยา่ ง มีความเปน็ ตัวแทน (Representative) และมี ขนาดตวั อยา่ ง (Sample size) ทเ่ี หมาะสม ขอ้ คน้ พบทไ่ี ดจ้ งึ อาจกลา่ วอา้ งองิ ไปยงั ประชากร 100,000 คน หรือกลา่ วได้วา่ เป็นสากล (Universal) หรือเปน็ จกั รวาล หรอื เปน็ สามญั การ น่ีคือหวั ใจของการ วิจยั เชงิ ปรมิ าณ ซ่งึ ก็คอื การสุม่ ตวั อย่างให้มีความเปน็ ตัวแทนที่ดีนั่นเอง แต่การวิจัยเชิงคุณภาพ: ยกตัวอย่าง นักวิจัยท�ำการศึกษาในชุมชนม้ง โดยศึกษา เกี่ยวกบั ลทั ธิ ความเช่อื การคุมก�ำเนิด การวางแผนครอบครวั ของชาวเขาเผ่ามง้ ในภาคเหนือของ ประเทศไทย ไดข้ อ้ คน้ พบ คอื ความรทู้ เ่ี ปน็ ความจรงิ หรอื ไดค้ �ำตอบทเี่ ปน็ ปรากฏการณท์ เี่ ปน็ ความ ร้แู ละความจริง นักวิจัยท่ีมีภูมิหลังการวิจัยเชิงปริมาณมาก่อน จะเชื่อในระบบคิดของการสุ่ม ตวั อยา่ ง พอให้ไปประเมินงานวิจยั เชงิ คณุ ภาพ เขาจะไมเ่ ขา้ ใจ คำ� วา่ “ค้นหาความรทู้ เ่ี ป็นความจรงิ ”
Research in Educational Administration • 111 จากแหล่งรากเหง้า ตน้ ตอของข้อมูล เรอื่ งการนยิ ามศพั ทเ์ พื่อปฏบิ ตั กิ ารวจิ ัย การวิจัยเชิงปริมาณในสายสงั คมศาสตร์ จะ ต้องมนี ิยามศพั ท์เพื่อปฏบิ ตั ิการวจิ ัย แต่การวจิ ยั เชิงปริมาณในสายวทิ ยาศาสตร์ จะไม่มนี ิยามศพั ท์ เพ่ือปฏิบัติการวิจัย เน่ืองจากมันเป็นจริง (Fact) อยู่แล้ว ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ไม่มีนิยามศัพท์ เพ่ือปฏิบัติการวิจัยเพราะการนิยามจะกลายเป็นกรอบ จะบังคับให้ศึกษาตามกรอบ ซึ่งจะขัดกับ ปรัชญาการวิจยั เชิงคณุ ภาพทีเ่ น้นศกึ ษาค้นหาความจริงจากเรือ่ งนน้ั ๆ ครบทุกมติ ิ 360 องศา เร่อื งกลุ่มตัวอย่าง การวิจยั เชิงปริมาณในสายสังคมศาสตร์ จะต้องสุ่มมาเพอื่ ใหไ้ ด้ “ความเปน็ ตวั แทน” แตก่ ารวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ไมม่ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ งแบบเจาะจงหรอื เลอื กตวั อยา่ งแบบ เจาะจง แตเ่ ปน็ การเลอื กปรากฏการณท์ โี่ ดดเดน่ เพอื่ ศกึ ษาคน้ หาความรทู้ เี่ ปน็ จรงิ หรอื ถา้ จะใชค้ ำ� วา่ การเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งกไ็ ด้ เพราะคำ� วา่ กลมุ่ ตวั อยา่ งในทน่ี ไ้ี มใ่ ชก่ ลมุ่ ตวั อยา่ งทส่ี มุ่ มาเหมอื นการวจิ ยั เชิงปรมิ าณ แต่เป็นการเลอื กกลมุ่ กรณศี ึกษาน่ันเอง 12. ระบบคิดของการวิจยั เชิงคณุ ภาพ ระบบคดิ ของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ประกอบดว้ ย 1) กระบวนทศั น์ (Paradigm) 2) ภววทิ ยา (Ontology) 3) ญาณวทิ ยา (Epistermology) และ 4) แบบองค์รวม (Holistic) โดยอาจสรุปสาระ สำ� คญั ได้ ดงั น้ี (โยธิน แสวงด,ี 2562) 12.1 กระบวนทัศน์ (Paradigm) หมายถึง กระบวนทศั น์ทเี่ ก่ยี วข้องกบั ความรู้ มี 2 อยา่ ง คอื 1) ความรู้ทีช่ ัดแจ้ง (Explicit knowledge) และ 2) ความรู้ที่ซอ่ นเร้น (Tacit knowledge) กระบวนทัศน์ในกระบวนการวจิ ัยเชงิ คุณภาพ ไม่ถอื วา่ ความร้ทู ่ชี ดั แจ้ง หรอื ความรูท้ ี่เปดิ เผยแล้ว เปน็ ความจรงิ นกั วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพสามารถศกึ ษาใหมไ่ ด้ สว่ นความรทู้ ซี่ อ่ นเรน้ กเ็ ปน็ สง่ิ ทนี่ กั วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพตอ้ งศกึ ษา กระบวนทศั นข์ องการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ จะเนน้ ไปทก่ี ารคน้ หาความรทู้ เ่ี ปน็ ความ จรงิ จากแหลง่ ตน้ ตอท่ีเปน็ รากเหง้าของข้อมูลและต้องมีหลักฐานหรือปรากฏการณ์มายนื ยันด้วย 12.2 ภววิทยา (Ontology) ค�ำว่า “ภววิทยา” มาจากภาษาสนั สกฤตสองคำ� คอื “ภว” แปลว่า มีอยู่ หรือ เป็นอยู่ และ “วิทยา” หมายถงึ วิชา หรือ ศาสตร์ ส�ำหรบั คำ� ภาษาองั กฤษ ว่า “Ontology” มาจากรากศัพท์ภาษากรกี สองค�ำ คือ Onto แปลว่า Being และ Logos แปลว่า Science ดงั นั้น คำ� ว่า “ภววทิ ยา” หรือ “Ontology” จึงหมายถงึ วิชา หรือศาสตรว์ า่ ดว้ ยความมี อยู่ หรือเป็นอยู่ ซ่งึ เป็นศาสตรท์ ม่ี คี วามล้�ำลึกอย่างยิ่ง หรอื เปน็ ศาสตร์ คอื “ความรทู้ ี่มอี ยู่ หรือเปน็ อยู่อย่างล�ำ้ ลึก รอเวลาที่มนษุ ยไ์ ปค้นพบ” การวิจัยเชิงปริมาณ มีความล้�ำลึกโดยเน้นไปที่ความเป็นตัวแทน (Representative) เลอื กสมุ่ ตวั อยา่ งทเี่ ปน็ ตวั แทนประชากรทเี่ ปน็ เปา้ หมายในการเกบ็ ขอ้ มลู จากนนั้ สรา้ งเครอื่ งมอื และ น�ำไปเก็บข้อมูล เมือ่ ไดข้ อ้ มลู แลว้ น�ำมาวิเคราะห์โดยเลอื กใชส้ ถิตทิ ีเ่ หมาะสมกับวตั ถุประสงคข์ อง การวิจัยเชงิ ปริมาณ ดังน้ัน การวจิ ยั เชิงปริมาณ จึงอยู่ทเ่ี ทคนคิ ทางสถิติ อย่ทู กี่ ารสุม่ ตวั อย่าง อย่ทู ่ี เคร่ืองมือท่มี นษุ ยส์ ร้างขึน้ ท้งั สน้ิ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ มีความล�้ำลึก สุดท่ีจะหยั่งถึง ยากแท้หยั่งถึง ดังน้ัน ส่ิงส�ำคัญในการวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อที่จะให้เข้าถึงความล้�ำลึกดังกล่าว ต้องข้ึนอยู่กับ 2 สิ่ง คือ 1) นักวิจัยต้องขยันค้นหาเพื่อเข้าถึงความรู้ที่เป็นจริง และ 2) ปรากฏการณ์วิทยา ซ่ึงหมายถึง
112 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา หลกั ฐานข้อมูลทเี่ ปน็ ความจริง 12.3 ญาณวิทยา (Epistemology) ค�ำว่า “ญาณวิทยา” มาจากค�ำว่า “ญาณ” แปลว่า ความรู้ และค�ำว่า “วิทยา” หมายถึง วิชา หรือศาสตร์ ดังน้ัน ค�ำว่า “ญาณวิทยา” จึง หมายถงึ ศาสตรแ์ หง่ ความรู้ หรอื ศาสตรแ์ หง่ องคค์ วามรทู้ แี่ ทจ้ รงิ หรอื เปน็ ศาสตร์ คอื “องคค์ วามรู้ ที่เป็นจรงิ ไมใ่ ชค่ วามรู้ทเ่ี ป็นเท็จหรอื เป็นความเหน็ ” ปรัชญาของการวิจัยเชิงคุณภาพ เน้นความรู้ท่ีเป็นจริง หรือความรู้ท่ีแท้จริง จาก แหลง่ รากเหงา้ หรอื ตน้ ตอของขอ้ มลู และมปี รากฏการณม์ ายนื ยนั ความรทู้ เี่ ปน็ ความจรงิ จะแตกตา่ ง จากความรูท้ ่เี ป็นเท็จ ดงั น้ัน เวลาเราไปทำ� การสนทนากล่มุ แบบเจาะจง (Focus group discussion) หรือ การสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ (In-depth interview) เราตอ้ งฟงั และคิดพจิ ารณาให้ดีวา่ ได้ความร้ทู ่ีเป็น ความเหน็ หรือความจรงิ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ เนน้ ไดค้ วามรทู้ เ่ี ปน็ ความจรงิ นกั มานษุ วทิ ยาจงึ ใช้วธิ กี ารเขา้ ไป สงั เกตและมสี ว่ นรว่ ม เพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามรทู้ เ่ี ปน็ ความจรงิ เขา้ ไปอยู่ ไปฝงั ตวั ลมุ่ ลกึ ยาวนาน ไปสงิ สถติ อย่ใู หไ้ ด้รู้ และใหไ้ ด้เห็นด้วยตวั ของผู้วจิ ัยเอง ตอ้ งมกี ารตรวจสอบความรู้ หรอื ข้อมลู แบบสามเส้า ดว้ ย มิฉะนั้น นกั วจิ ยั อาจจะได้ความเหน็ มาแทนท่ีจะไดค้ วามจริงมา คำ� ว่า “สามเสา้ ” ไมใ่ ช่ตัวเลข 3 หรอื แคเ่ ลข3แตโ่ ดยความหมาย คอื การตรวจสอบไขวไ้ ปไขวม้ าเพอื่ ใหไ้ ดค้ วามจรงิ ไมใ่ ชค่ วามเหน็ 12.4 แบบองคร์ วม (Holistic) นกั วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ตอ้ งไดค้ วามรทู้ เ่ี ปน็ จรงิ อยา่ งเปน็ องค์รวม 360 องศาจริง ๆ คือ ตอ้ งร้จู ริง ๆ ไดค้ วามรู้มาครบทุกมิติ เชน่ ถา้ จะรูเ้ รอื่ งมหาวทิ ยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย ก็ต้องรู้จริง รู้ทุกมิติ รู้ลึก 360 องศา หรือเราสังเกตเห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ประมาณ 6-7 คน ยนื อยหู่ า่ งจากเราประมาณ 1 กโิ ลเมตร แตง่ ชดุ ขาว หากนกั วจิ ยั รไู้ มจ่ รงิ ไมค่ รบทกุ มติ ิ อาจจะตคี วามว่า เขามาพธิ กี งเต๊ก หรือเขาเปน็ พยาบาล หรอื เป็นแมช่ …ี ซ่ึงไม่ใชเ่ ลย แตพ่ อจับ หมนุ 360 องศา คอื ศึกษาจนรูจ้ รงิ ครบทกุ มติ ิ พบว่า พวกเขา คอื พนักงานขายแว่นทอ็ ปเจริญ ฯลฯ 13. ท�ำไมและเมื่อใดควรใชก้ ารวิจัยเชงิ คุณภาพ โยธิน แสวงดี (2557, 2561) ได้กล่าวถึงสาเหตุสำ� คัญทผี่ วู้ ิจยั ควรใช้การวิจัยเชิงคณุ ภาพ และควรใชเ้ ม่ือใดจงึ จะเหมาะสม อาจสรปุ ประเดน็ สำ� คญั ได้ ดังนี้ สาเหตสุ ำ� คญั ทผ่ี วู้ จิ ยั สว่ นใหญต่ อ้ งใชก้ ารวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ไดแ้ ก่ 1) การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ ให้ความส�ำคัญกับผลในบ้ันปลายมากกว่ากระบวนการไปสู่ผลลัพธ์ 2) การวิจัยเชิงปริมาณไม่ให้ ความสนใจกับบริบทที่เกี่ยวข้องกับส่ิงท่ีศึกษา ท�ำให้ผลการวิจัยไม่ค่อยเชื่อมโยงกับสถานการณ์ท่ี ศกึ ษา 3) การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณละเลยความเปน็ อตั วสิ ยั (Subjective) ของมนษุ ย์ และมองไมเ่ หน็ ความ สำ� คญั ของความหมาย (Meaning) วา่ มบี ทบาทตอ่ พฤตกิ รรมทมี่ นษุ ยแ์ สดงออก 4) วธิ กี ารทางสถติ ิ ไม่ให้ความส�ำคัญแก่ตัวบุคคลเท่ากับตัวแปร ความเป็นบุคคลของแต่ละคนไม่มีโอกาสได้ “พูด” แตต่ วั แปรเทา่ นนั้ ทไี่ ด้ “พดู ” และ 5) นกั วจิ ยั ตอ้ งการขอ้ มลู ทท่ี ำ� ใหเ้ ขา้ ใจพลวตั ของการเปลย่ี นแปลง ทง้ั ในระดับบุคคล ระดบั สถาบัน และระดบั สังคม ผู้วิจัยควรใช้การวิจัยเชิงคุณภาพเม่ือ 1) ต้องการค้นหาประเด็นใหม่ในเรื่องที่ไม่มี ใครศึกษามาก่อน 2) ต้องการข้อมูลเชิงลึกของเฉพาะกลุ่มประชากร / เฉพาะชุมชน 3) กลุ่ม
Research in Educational Administration • 113 ประชากรท่ีศกึ ษามกี ารศกึ ษาน้อย หรือใช้ภาษาทตี่ า่ งออกไป 4) ตอ้ งการหาค�ำอธบิ ายปรากฏการณ์ หรือกระบวนการที่เกิดขึ้นให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง 5) ต้องการค�ำอธิบายเพ่ิมเติมจากข้อค้น พบที่ไดจ้ ากการวจิ ยั เชงิ ปริมาณ และ 6) ต้องการหาความรเู้ บ้ืองตน้ เพอื่ สร้างสมมตฐิ านหรือสร้าง แบบสอบถามส�ำหรับการวจิ ยั เชงิ ปริมาณ กล่าวโดยสรุป แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งผู้วิจัยหรือนักศึกษาในทางการ บริหารการศึกษาควรศึกษาและท�ำความเข้าใจ ประกอบด้วยเนื้อหาสาระที่ส�ำคัญ 13 เรื่อง ได้แก่ 1) ความหมายของการวิจัยเชิงคุณภาพ 2) ปรัชญาและแนวคิดท่ีมีอิทธิพลต่อการวิจัยเชิงคุณภาพ 3) วัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงคุณภาพ 4) พัฒนาการของการวิจัยเชิงคุณภาพ 5) ลักษณะของ การวิจัยเชิงคุณภาพ 6) ประเภทของการวิจัยเชิงคุณภาพ 7) หัวใจส�ำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ 8) การเน้นแบบองค์รวม 9) ข้อมูลของการวิจัยเชิงคุณภาพ 10) การเน้นรังสรรค์วิทยา 11) การ เปรยี บเทยี บการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพกบั การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ 12) ระบบคดิ ของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ และ 13) ทำ� ไมและเมื่อใดควรใช้การวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ ตอนท่ี 3.2 ระเบยี บวธิ วี จิ ยั เชิงคุณภาพ ในการวิจัยเชิงคุณภาพ มีระเบียบวิธีวิจัย (Methodology) ที่แตกต่างจากระเบียบวิธีวิจัย ในเชิงปริมาณ เนื่องจากการวิจัยเชิงคุณภาพ ต้องค้นหาความรู้ท่ีเป็นจริงจากแหล่งรากเหง้า หรือ ตน้ ตอของขอ้ มลู โดยมีปรากฏการณ์ หรือหลักฐานยืนยัน ดงั นนั้ ภายใตร้ ะเบยี บวิธวี จิ ัยเชงิ คุณภาพ นักวิจัยต้องออกแบบการวิจัยโดยค�ำนึงถึงเร่ืองท่ีส�ำคัญอย่างน้อย 3 เร่ือง ได้แก่ 1) ความยืดหยุ่น 2) การจดหรอื เขยี นของนกั วิจยั และ 3) การตคี วามของนักวิจัย โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ความยดื หยนุ่ คำ� วา่ “ความยดื หยนุ่ ” หมายถงึ การทนี่ กั วจิ ยั รจู้ กั วางแผนและมยี ทุ ธวธิ ี ไว้ว่า จะเข้าไปในสนามวิจัยเม่ือไร สัมภาษณ์และสังเกตเวลาใด แต่เม่ือเข้าไปจริง ๆ แล้วหากพบ ปญั หากต็ อ้ งมคี วามไว รบี แกไ้ ข ปรบั แผน ปรบั เปลย่ี นวธิ กี ารรวบรวมขอ้ มลู หรอื ใชว้ ธิ กี ารหาขอ้ มลู หลาย ๆ วธิ ี จนกว่าจะได้ขอ้ มูลทีม่ คี วามหมายนัน่ เอง เช่น เม่อื ใช้วธิ ีการสังเกตแบบมีสว่ นรว่ มไม่ ได้ กเ็ ปล่ยี นเปน็ การสนทนากลมุ่ แบบเจาะจง (Focus group discussion) ซง่ึ ในการท�ำการสนทนา กลุ่มแบบเจาะจงน้ัน ต้องมีผู้ให้ข้อมูลตามท่ีนัดไว้มา 7-10 คน หากถึงวันนัดจริงมีมาแค่ 4 คน นกั วจิ ยั กต็ อ้ งใช้วิธกี ารท่ีเรยี กวา่ “ยดื หยุ่นได้” โดยทำ� การสนทนากบั คน 4 คน ท่มี าตามนัด แต่ไม่ เรียกว่า การสนทนากลุ่มแบบเจาะจง จะเรยี กวา่ การสนทนากลุ่มยอ่ ย (Small group discussion) แทน ดงั น้นั การวิจยั เชิงคุณภาพจะใช้หลกั การ “ยดื หยุ่นได้” ตลอด ไมใ่ ช้หลักการวิจยั ที่แข็งหรอื เคร่งครัดเหมือนการวิจัยเชิงปริมาณ เพราะในการวิจัยเชิงคุณภาพถ้าไม่ยืดหยุ่น นักวิจัยก็จะไม่ได้ ความรูท้ ีเ่ ป็นจริงจากแหลง่ รากเหงา้ หรือต้นตอของข้อมูล 2. การจดหรือเขียนของนักวิจัย ในการวิจัยเชิงคุณภาพ นักวิจัยจะเกี่ยวข้องกับ ปรากฏการณห์ รือขอ้ มูล นักวจิ ยั ตอ้ งท�ำดว้ ยตัวของนักวิจัยเอง ตอ้ งเป็นคนจดเอง เขยี นเอง บันทึก เอง เพราะเป็นคนฝังตัวอยู่เองและเห็นเอง การจดบันทึกของนักวิจัย แม้เห็นด้วยตัวเอง แต่การ จดบันทึกนั้นก็ยังมีโอกาสจะผิดเพ้ียนไปได้ เน่ืองจากนักวิจัยไม่ทราบในอากัปกิริยา วัฒนธรรม ความเช่ือ หรือประเพณีของผู้ตอบจริง ๆ ดังน้ัน การท่ีนักวิจัยเป็นคนจด เป็นคนเขียน หรือ
114 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา เป็นคนบันทึกท่ีผิดเพี้ยนไปจากความหมายท่ีแท้จริงน้ี จึงเรียกกันว่า “Etic” (Etic มาจากค�ำว่า Phonetic ซ่ึงเป็นมุมมองของคนนอก หรืออาจเรียกว่า Outsider,s view คือ มุมมองของคนนอก ซงึ่ เปน็ มมุ มองของนักวจิ ยั เอง ท่ีผดิ เพยี้ นไปจากความหมายท่แี ทจ้ รงิ ) (โยธิน แสวงดี, 2557, 2561) 3. การตคี วามของนักวิจยั เมอ่ื นักวิจัยไดข้ อ้ มลู มาแลว้ นักวิจยั ก็เปน็ คนจด เปน็ คนเขียน เปน็ คนวเิ คราะหข์ อ้ มลู เปน็ คนตคี วามของปรากฏการณน์ น้ั ๆ ดว้ ยตวั เอง ซง่ึ บางครงั้ อาจจะตคี วาม เกินจริง ที่เรียกว่า “Over statement” ซ่ึงเป็นการตีความท่ีเกินไปจากมุมมองของชาวบ้านที่ถูก วิจัย ท่เี รยี กว่า “Emic” (Emic มาจากคำ� วา่ Phonemic ซง่ึ เป็นมมุ มองของคนใน หรืออาจเรยี กว่า Insider,s view คอื มุมมองของคนในซ่งึ เป็นผู้ถกู วิจยั เป็นมุมมองทไี่ มเ่ กนิ ความเปน็ จริง แตน่ ักวิจัย ตคี วามเกนิ ความเปน็ จริง) ฉะนน้ั นักวจิ ยั เชิงคณุ ภาพต้องระมัดระวัง ตอ้ งใส่ใจในรายละเอียด ให้ พิจารณาดูให้ดวี า่ สำ� นวนกลอนหรอื สำ� นวนท่ีชาวบา้ นพดู นน้ั มันมีความหมายจรงิ ๆ อย่างไร อยา่ ตีความใหม้ ันเกนิ จริง แนวปฏิบัตทิ ดี่ ใี นเรื่องนี้ คือ สมมติวา่ มเี หตกุ ารณ์หนง่ึ เกดิ ขนึ้ ผู้ถกู วิจยั หรือ ชาวบา้ น ให้ความหมายว่าอย่างไร อธิบายอย่างไร กเ็ อาอย่างนั้น เอาแบบเดิม ๆ (บรสิ ทุ ธิ์) ออกมา อยา่ ใสห่ รอื เพม่ิ เตมิ อะไรไปกอ่ น จากนน้ั นกั วจิ ยั จงึ คอ่ ยตคี วามโดยใชค้ วามรอบรอู้ ยา่ งเปน็ องคร์ วม และมีวิธคี ิดอย่างเป็นระบบ เพ่ือใหก้ ารตีความไมก่ ลายเปน็ Over statement คอื เกนิ ความเปน็ จรงิ กล่าวโดยสรุป ภายใต้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มีเร่ืองท่ีผู้วิจัยจะต้องค�ำนึงถึงอยู่ อย่างน้อย 3 เรื่อง ได้แก่ 1) ความยดื หยุ่น 2) การจดหรือเขียนของนกั วจิ ยั และ 3) การตีความของ นกั วิจัย ซง่ึ ภายใต้ระเบยี บวิธวี ิจัยดังกล่าวน้ี นกั วจิ ยั จะตอ้ งออกแบบการวจิ ยั ให้มีความยดื หยนุ่ โดย เป็นแบบที่สามารถปรับเปล่ียนได้ตามข้อมูลเชิงประจักษ์ในขณะท่ีเก็บรวบรวมข้อมูล จะต้องจด หรือเขียนข้อมูลท่ีได้รับไม่ให้ผิดเพี้ยนไปจากความหมายที่แท้จริง จนกลายเป็นมุมมองของ คนนอกทเี่ รียกวา่ “Etic” และจะต้องไม่ตีความขอ้ มูลที่ได้รับจากผู้ถูกวิจยั ซึ่งเปน็ มมุ มองของคนใน ที่เรียกว่า “Emic” จนเกินความเป็นจริง ที่เรียกว่า “Over statement” (ค�ำว่า “Etic” และ “Emic” เป็นแนวคิดใหม่ท่ีนักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกัน คือ Kenneth Pike (1967) น�ำมาใช้ คร้ังแรก เพอ่ื อ้างอิงพฤติกรรมทางสงั คมที่เกดิ ขึ้นและเข้าใจได้อยา่ งไร โดยคำ� ว่า “Etic” มาจากคำ� เตม็ ว่า Phonetic ส่วนคำ� ว่า “Emic” มาจากค�ำเต็มวา่ Phonemic) ตอนท่ี 3.3 กระบวนการทส่ี ำ� คญั ของระเบียบวธิ ีวิจัยเชงิ คณุ ภาพ กระบวนการตา่ ง ๆ ทสี่ �ำคญั ของระเบียบวธิ ีวิจัยเชงิ คณุ ภาพ นัน้ มี 4 กระบวนการ ประ กอบด้วย 1) การออกแบบการวจิ ัย 2) การเลอื กสนามหรือกลุม่ เปา้ หมายที่ศึกษา (การเลือกชุมชน ที่ศึกษา/ กลมุ่ ตัวอยา่ ง/กลุ่มผ้ใู หข้ อ้ มลู สำ� คญั ) 3) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล และ 4) การวเิ คราะห์ ขอ้ มูล โดยมรี ายละเอียดดงั จะน�ำเสนอตอ่ ไปนี้ 1. การออกแบบการวจิ ยั เชงิ คุณภาพ หลกั การสำ� คญั ในการออกแบบการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ มี 2 อยา่ ง คอื 1) ปรากฏการณห์ รอื เรอื่ ง ต้องมีจริงขึ้นมากอ่ น แล้วสนใจศึกษาเพ่อื คน้ หาความรู้ น้ันมาเปิดเผย 2) วิธีการออกแบบการวิจัย ซ่ึงการจะออกแบบเป็นแบบใด ขึ้นอยู่กับความล�้ำลึก ของความรู้และความจริงที่จะศึกษา ท่ีส�ำคัญ คือ ขึ้นอยู่กับแหล่งข้อมูลและผู้รู้จริงด้วย เช่น การ วิจัยเอกสารท่ีเน้นแหล่งข้อมูล คือ เอกสาร (Documentary research/Explanatory research) การ
Research in Educational Administration • 115 วจิ ยั จากขอ้ มูลเร่อื งเลา่ (Narrative research) การวิจัยแบบมานษุ ยวทิ ยา (Anthropological research) การวิจยั แบบชาติพนั ธ์วุ รรณนา (Ethnographic research) ฯลฯ โดยมรี ายละเดียด ดังนี้ 1.1 ปรากฏการณห์ รือเรือ่ ง หลักการสำ� คัญอย่างแรกในการออกแบบการวิจยั เชงิ คุณภาพ คือ ปรากฏการณ์ เหตุการณ์ หลักฐาน สัญลักษณ์หรือเรื่อง ต้องมีจริง ต้องมีขึ้นมาก่อน เพราะถา้ ปรากฏการณห์ รอื เรอ่ื งทจ่ี ะศกึ ษาไมม่ ี นกั วจิ ยั กศ็ กึ ษาไมไ่ ด้ จะไปหาใคร จะไปหาผรู้ ทู้ ไ่ี หน จะได้ข้อมูลอย่างไร เน่ืองจากไม่มีเหตุการณ์ ไม่มีหมู่บ้าน ฯลฯ ดังน้ัน ต้องมีปรากฏการณ์หรือ เร่ืองข้นึ มากอ่ น จากนั้นถ้าสนใจศกึ ษากไ็ ปคน้ หาความรู้มาเปดิ เผย 1.2 วิธีการออกแบบการวิจัย วิธีการออกแบบการวิจัยในการออกแบบการวิจัย เชิงคุณภาพนั้น จะออกแบบเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบใด ขึ้นอยู่กับความล�้ำลึกของความรู้ และความจริงท่ีนักวิจัยจะศึกษา ที่ส�ำคัญ คือ ข้ึนอยู่กับแหล่งข้อมูลซ่ึงอาจเป็นกระดาษหรือเป็น ผูร้ ู้จริง ดงั ตวั อย่างต่อไปนี้ (โยธนิ แสวงดี, 2557, 2561) ตวั อยา่ งท่ี 1 : การวิจัยเอกสาร ถ้าแหล่งขอ้ มลู มาจากเอกสาร นกั วจิ ยั ก็ตอ้ งคิดแลว้ วา่ เรื่องของตนเกย่ี วกับเอกสาร ดงั นนั้ นักวิจยั จึงต้องออกแบบการวิจยั เชิงคณุ ภาพนั้นว่า เป็นการวจิ ัยเอกสาร โดยเขียนดงั นี้ “การวิจัยน้ีเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ออกแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเอกสาร (Documentary research) ทั้งน้ีเพราะวา่ ข้อมลู สว่ นใหญ่มาจากเอกสาร เชน่ จดหมายเหตุ ......... ฯลฯ” (ต้องระบุให้ไดว้ า่ ศกึ ษาจากเอกสารอะไร อย่าเขยี นว่า ศึกษาจากเอกสาร ต�ำราตา่ ง ๆ เพราะ ไมช่ ดั เจน ต้องระบุช่ือเอกสารใหไ้ ด้ จงึ ชัดเจนหรือตอ้ งระบทุ ัง้ ชื่อเอกสาร และผู้เขียน ในช่วงนัน้ ๆ ในยุคสมยั นั้น ๆ จึงชัดเจน) การวิจัยเอกสารดังกล่าวน้ี มีการเก็บข้อมูลหลักมาจากเอกสาร แต่สามารถท�ำการ สัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) หรือท�ำการสนทนากลุ่ม (Group discussion) เสริมได้ (ไมไ่ ด้ห้าม) ตวั อยา่ งท่ี 2 : การวิจยั จากขอ้ มลู เร่ืองเล่า ถ้ามีปรากฏการณ์เกิดข้ึนในที่แห่งใด นักวิจัยอาจใช้วิธีรวบรวมข้อมูลโดยการ สัมภาษณ์เชิงลึก หรือสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth interview) เพื่อให้รู้ลึก รู้จริง 360 องศา ท�ำการสนทนากลุ่มแบบเจาะจง (Focus group discussion) และ/หรือ ท�ำการสนทนากลุ่มย่อย (Small group discussion) แบบจัดต้ังและแบบธรรมชาติ แสดงว่าเร่อื งนเี้ ปน็ การวจิ ยั เชิงคุณภาพ โดยเป็นการวิจัยจากข้อมูลเร่ืองเล่า ดังนั้น นักวิจัยจึงต้องออกแบบการวิจัยเชิงคุณภาพดังกล่าวให้ เป็นการวิจยั จากขอ้ มูลเร่ืองเลา่ โดยเขยี นดังนี้ “การวิจยั นีเ้ ป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ออกแบบการวิจยั เป็นการวจิ ัยจากข้อมลู เรอ่ื ง เล่า (Narrative research) ทั้งน้ีเพราะว่า ข้อมูลส่วนใหญ่มาจากลมปากหรือการเล่าเรื่องของผู้รู้ คือ......................” (ควรระบชุ ่ือ หรอื ต�ำแหน่ง ของผู้รใู้ ห้ชัดเจนว่า เปน็ ใคร มใี ครบ้าง)
116 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา ตวั อย่างท่ี 3 : การวจิ ยั แบบมานุษยวิทยา ถ้าเปน็ การวิจยั แบบมานษุ ยวิทยา ที่เน้นการค้นหาข้อมูลจากแหลง่ ปฐมภมู ิเชงิ ชมุ ชน สังคม ทม่ี ีปรากฏการณ์ ให้เขียนการออกแบบการวจิ ัย ดงั น้ี “การวจิ ัยนี้เป็นการวจิ ัยเชิงคุณภาพ ได้ออกแบบการวิจัยเป็นการวิจยั แบบมานุษยวทิ ยา (Anthropological research) ทงั้ นีเ้ พราะวา่ ข้อมลู ส่วนใหญ่ (หรือแหล่งขอ้ มลู หลกั ) มาจากแหล่ง ข้อมูลปฐมภูมิท่ีเป็นบริบททางสังคม ชุมชน ลัทธิ ความเชื่อ ศาสนาและปรากฏการณ์ต่าง ๆ ใน ชุมชนอยา่ งละเอยี ด ชุมชนที่ศกึ ษานี้ คือ ชุมชนบ้านหนองโคก อ. แม่ริม จงั หวัดเชียงใหม่ เป็น ชุมชนทโี่ ดดเด่นในการรกั ษาทรัพยากรธรรมชาต”ิ ดงั นนั้ การวจิ ัยแบบมานษุ ยวิทยา มีประเดน็ หลกั ในการศกึ ษาวัฒนธรรม ความเช่ือ ประเพณี วิถีชีวิต ค่านิยม คติชน (Folklore) และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย โดยวิธีการรวบรวม ข้อมลู ทส่ี �ำคญั คอื การเขา้ ไปสงั เกตแบบมีสว่ นรว่ ม อาศัยสายตา อาศยั จมกู อาศยั มอื เขา้ ไปสมั ผสั เมื่อเห็นปรากฏการณ์แล้ว ต้องการจะเจาะลึก แต่ก็เกรงว่าจะเกิด Etic คือ บันทึกข้อมูลพลาด หรือคลาดเคลื่อน ก็ให้ไปท�ำการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) ต่อว่า ปรากฏการณ์นี้ คืออะไร ยกตัวอย่างเช่น นักวิจัยอยู่ในชุมชน เห็นหมอผีก�ำลังท�ำพิธีอย่างนี้ ๆ แต่เกรงว่าจะจด บันทึกพฤติกรรมของหมอผีคลาดเคล่ือน นักวิจัยก็ไปท�ำการสัมภาษณ์เชิงลึกต่อว่า ท�ำไมหมอผี จึงใชผ้ ้าแดงปดิ ตา ทำ� ไมหมอผีนง่ั สงู กว่าผี เพราะอะไร ทำ� ไมอยา่ งไร อนั นีต้ อ้ งไปเจาะลึกต่อ น่คี อื การวิจัยแบบมานุษยวิทยา คือ อยู่ในชุมชนและสังเกตพฤติกรรมท้ังหมดด้วยตัวเอง ถ่ายภาพไว้ สเกต็ ชภ์ าพไว้ บันทึกเสยี งไว้ ตวั อย่างท่ี 4 : การวจิ ัยแบบชาตพิ นั ธุว์ รรณนา ถ้าการวิจัยแบบชาติพันธว์ุ รรณนา ใหเ้ ขยี นเรื่องการออกแบบการวิจัย ดงั นี้ “การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ออกแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบ ชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnographic research) ท้ังน้ีเพราะว่าข้อมูลส่วนใหญ่มาจากแหล่งข้อมูล ปฐมภูมิ ท่ีเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้งผู้มีลัทธิความเช่ือเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว แตกต่างจาก กลุ่มมุสลมิ ใน 4 จังหวดั ภาคใต้ ไดแ้ ก่ สงขลา ปตั ตานี ยะลา และ นราธิวาส” คำ� วา่ “ชาตพิ นั ธ”์ุ มาจากภาษาองั กฤษวา่ Ethnography หมายถงึ คน ตวั ตนของคนที่ มวี ฒั นธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษาพดู เดียวกนั และสบื เชือ้ สายมาจากกล่มุ เดียวกัน หรือ หมายถึง คน ตวั ตนของคน เช่น ชาติพนั ธ์มุ ้ง ชาตพิ ันธุไ์ ทลือ้ ชาตพิ นั ธุล์ าว ชาตพิ ันธ์ุเขมร ชาติพนั ธ์ุ มลายู ชาตพิ นั ธไ์ุ ทใหญ่ ชาตพิ นั ธก์ุ ะเหรย่ี ง ชาตพิ นั ธม์ุ อญ สว่ นคำ� วา่ “วรรณนา” มาจากภาษาองั กฤษ วา่ “Study” เมื่อรวม “ชาติพนั ธ”ุ์ กับ “วรรณนา” เปน็ “ชาติพนั ธวุ์ รรณนา” ก็จะเป็น Ethnographic study หมายถึง การวิจัยท่ีมุ่งเน้นให้ความส�ำคัญกับกลุ่มคนท่ีมีชาติพันธุ์ต่าง ๆ เป็นของตนเองอยู่ บนฐานที่ว่า กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้มีลัทธิความเช่ือเป็นแบบเฉพาะของตนเอง ซึ่งจะมีลัทธิความเชื่อ เป็นอย่างไร ซึ่งหากนักวจิ ัยสนใจศกึ ษากใ็ ห้ไปศกึ ษาดู
Research in Educational Administration • 117 2. การเลอื กสนามหรอื กล่มุ เปา้ หมายทศี่ ึกษา สนามในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ คอื ปรากฏการณท์ เี่ ปน็ จรงิ โดยธรรมชาติ อาจเปน็ สถานศกึ ษา หนว่ ยงาน หอ้ งเรยี น หมู่บา้ น หรอื ชมุ ชน หรอื พนื้ ที่ หรอื เหตุการณ์ หรอื กจิ กรรมใดกจิ กรรมหน่ึง ทจี่ ะเข้าไปศกึ ษาวิจยั ส�ำหรบั กลุ่มเปา้ หมายทีศ่ กึ ษา คือ กลมุ่ ตวั อยา่ ง กลุม่ ผู้ให้ขอ้ มูลสำ� คญั กลุม่ คน หรอื บคุ คลทนี่ กั วจิ ยั เลอื กแบบเจาะจงทจ่ี ะเขา้ ไปศกึ ษา สำ� หรบั แนวทางในการเลอื กสนามหรอื กลุ่มเปา้ หมายทศ่ี กึ ษาส�ำหรับการวจิ ยั เชงิ คุณภาพนั้น มีดังน้ี (เก็จกนก เอ้อื วงศ์, 2557) 2.1 สนามหรือกลุ่มเป้าหมายที่ตอบปัญหาการวิจัยได้ ผู้วิจัยต้องเลือกสนามหรือ กลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา เพ่ือให้สามารถจะตอบปัญหาการวิจัยท่ีก�ำหนดไว้ได้ เช่น ถ้าต้องการศึกษา เกย่ี วกบั “แนวปฏบิ ตั เิ พอ่ื สง่ เสรมิ คณุ ภาพการเรยี นการสอนของครเู ชย่ี วชาญในสถานศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน” นกั วจิ ัยตอ้ งเข้าไปศกึ ษาในสถานศึกษาทตี่ อ้ งมีครูเชย่ี วชาญปฏิบัตงิ านอยู่ 2.2 เข้าไปเก็บข้อมูลได้ สนามหรือกลมุ่ เปา้ หมายทศ่ี ึกษานัน้ นกั วจิ ัยสามารถเขา้ ไป เกบ็ ขอ้ มลู เพอื่ ศกึ ษาได้ หากเปน็ สนามปดิ ทน่ี กั วจิ ยั จะเขา้ ไป กต็ อ้ งวางบทบาทของตนเองใหช้ ดั เจน 2.3 ไมใ่ หญเ่ กนิ ไป เปน็ สนามหรอื กลมุ่ เปา้ หมายทไี่ มใ่ หญเ่ กนิ ไปสำ� หรบั การวจิ ยั และ ระยะเวลาในการวจิ ยั นกั วจิ ยั สามารถเขา้ ไปสงั เกต สมั ภาษณ์ หรอื เขา้ ไปศกึ ษาเอกสารทเ่ี กยี่ วขอ้ งได้ อยา่ งไรก็ตาม ในการศึกษาภาคสนามนั้น นักวจิ ยั เชิงคุณภาพไม่สามารถจะสังเกตใน ทุกกิจกรรมหรือพูดคุยกับทุกคนท่ีเก่ียวข้องกับปัญหาการวิจัยได้ ดังนั้น จึงจำ� เป็นต้องเลือกกลุ่ม ตัวอย่างหรือผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญ (Key informants) ที่เช่ือได้ว่าจะเป็นตัวแทนพ้ืนที่ กิจกรรม หรือ บุคคลที่ศกึ ษาได้ ซง่ึ เรามกั จะใช้วิธีการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive sampling/selection) เพราะจะ ท�ำให้เกิดความเข้าใจถึงส่ิงท่ีเราศึกษามากที่สุด นักวิจัยจะใช้ประสบการณ์และความรู้ในการเลือก ผู้ให้ข้อมูลท่ีสามารถจะให้ข้อมูลเก่ียวกับประเด็นต่าง ๆ หรือข้อมูลเกี่ยวกับสนามน้ัน ๆ เพ่ือ ตอบโจทย์หรือสิ่งที่นักวิจัยต้องการค�ำตอบได้ ตัวอย่างเช่น การวิจัยท่ีต้องการศึกษาเกี่ยวกับวินัย ในโรงเรียน นักวิจัยต้องพิจารณาว่าจะสัมภาษณ์ใครบ้าง เช่น ผู้อ�ำนวยการ รองผู้อ�ำนวยการ ครู ผู้ปกครอง หรือนักเรียน และจะเข้าไปสังเกตในพ้ืนท่ีใดบ้าง เช่น ห้องเรียน สนามหญ้า หรือ โรงอาหาร ฯลฯ นกั วิจยั ตอ้ งวางแผนทจ่ี ะสัมภาษณแ์ ละเขา้ ไปสงั เกตในพน้ื ที่อย่างเหมาะสม ส�ำหรับการพิจารณาจ�ำนวนที่เหมาะสมในการเลือกกลุ่มท่ีให้ข้อมูลน้ัน ในการวิจัย เชิงคุณภาพไม่มีการก�ำหนดท่ีชัดเจนว่า ควรมีจ�ำนวนเท่าไร แต่อาจต้องพิจารณาถึงระยะเวลา งบประมาณ และความสะดวกของผู้ให้ข้อมูล อย่างไรก็ตาม เกณฑ์เบ้ืองต้นที่ใช้ในการกำ� หนด ขนาดกลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ การพิจารณาถึงการอ่ิมตัวของข้อมูล (Data saturation) ซึ่งเป็นการที่ นักวิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลและพบว่า ข้อมูลที่ได้จากกลุ่มต่าง ๆ หรือจากเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็น ขอ้ มลู ที่ซ้ำ� ๆ นกั วิจัยจะหยุดการเก็บรวบรวมขอ้ มลู (Ary, Jacobs and Sorensen, 2010, p. 429) ในการเลือกกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น นักวิจัยจะเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ซึง่ มวี ธิ ที ่นี ิยมใช้กัน ดงั นี้ (Patton, 2002; Merriam, 2009; Ary, Jacobs and Sorensen, 2010 และ Creswell, 2013, อ้างถึงใน เกจ็ กนก เอือ้ วงศ,์ 2557) 1) การเลือกกลุ่มทั้งหมด (Comprehensive sampling) ทุกหน่วยจะได้รับการเลือก ใหเ้ ขา้ มาเปน็ กลมุ่ ทศี่ กึ ษาทง้ั หมด เชน่ ศกึ ษานกั เรยี นทงั้ โรงเรยี น การเลอื กกลมุ่ ทง้ั หมดนี้ จะใชเ้ มอื่
118 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา จ�ำนวนของหน่วยทีศ่ กึ ษามีจำ� นวนน้อย 2) การเลอื กกรณที ี่มลี กั ษณะทวั่ ไป (Typical sampling) เปน็ กลมุ่ ทส่ี ะท้อนลักษณะ ทั่วไปของกลมุ่ ทศ่ี กึ ษา มคี วามเป็นแบบอย่างหรือตัวแทนประชากรท่ีต้องศกึ ษา จะไมเ่ ป็นกลุม่ ทีม่ ี ลักษณะผิดปกติหรือมีลักษณะสุดโต่งไปในทางสูงสุดหรือต�่ำสุด เช่น เลือกสัมภาษณ์นักเรียนที่มี ผลการเรยี นปานกลางหรือเลอื กศึกษาโรงเรยี นท่วั ๆ ไป ที่ไม่มีลักษณะเฉพาะ 3) การเลือกกรณที ม่ี ีความแตกตา่ งสูง (Maximum variation sampling) เปน็ กลมุ่ ที่มี ความแตกต่างมากท่ีสุดในประเด็นท่ีสนใจ หรือปรากฏการณ์ที่ต้องการหาค�ำตอบ เช่น การศึกษา ประสิทธิภาพการจัดการศึกษาในสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน อาจศึกษาจากโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ ขนาดใหญ่ ขนาดกลางหรือขนาดเล็ก หรือการศึกษาสถานศึกษาท่ีอยู่ในชุมชนที่มีความแตกต่าง หลากหลาย 4) การเลือกกรณีที่มีลักษณะเฉพาะ (Unique sampling) เป็นกลุ่มท่ีมีความเป็น เอกลักษณ์ มลี กั ษณะพิเศษเฉพาะตัว หรอื เปน็ ปรากฏการณ์ทม่ี กั ไม่คอ่ ยเกิดข้นึ เช่น โรงเรยี นกฬี า หรือการศึกษากับกลุ่มนักเรียนท่ีมีความสามารถเฉพาะอย่าง เช่น ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ ความสามารถทางภาษา ฯลฯ 5) การเลือกกรณีวิกฤติ (Critical case sampling) วิธีน้ีเหมาะส�ำหรับการน�ำมา ใช้ทดสอบหรือยืนยันแนวคิดทฤษฎีหรือโปรแกรม ตัวอย่างเช่น การเลือกโรงเรียนหน่ึงแห่งท่ี ด�ำเนินการตามโครงการพัฒนาคุณลักษณะเพื่อการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของโรงเรียน เพอื่ ศกึ ษาผลกระทบตอ่ พฤตกิ รรมและปฏสิ มั พนั ธต์ า่ ง ๆ ในโรงเรยี น การศกึ ษาโดยเลอื กกลมุ่ วกิ ฤติ นี้ จะชว่ ยสนับสนุนให้สามารถประยกุ ต์ใช้ในกรณอี ืน่ ๆ ได้ 6) การเลือกกรณที ี่มคี วามเบี่ยงเบนผดิ ปกติ (Deviate case sampling) เป็นกรณที ่ีมี คณุ สมบตั หิ รอื คณุ ลกั ษณะทผ่ี ดิ แผกแตกตา่ งไปจากสภาพทวั่ ไปอยา่ งมาก ทง้ั ในทางบวกและทางลบ มกั นยิ มเรยี กวา่ เปน็ กรณสี ดุ โตง่ (Extreme case) เชน่ เลอื กศกึ ษาสถานศกึ ษาทม่ี ผี ลการประเมนิ คณุ ภาพ การศึกษาในระดับดีมาก หรือได้รับการยอมรับ หรือได้รับรางวัลคุณภาพ หรือเลือกสถานศึกษา ทีม่ ผี ลการประเมินคณุ ภาพการศกึ ษาในระดบั ปรบั ปรุง หรือไม่ได้รบั การรับรองคุณภาพการศกึ ษา 7) การเลอื กกรณแี บบลกู โซห่ รอื แบบเครอื ขา่ ย (Chainornetworksampling) เปน็ วธิ ที ี่ นยิ มมากในการวจิ ยั ภาคสนามทใ่ี ชก้ ารสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ นกั วจิ ยั จะเรมิ่ จากการคน้ หาผใู้ หข้ อ้ มลู สำ� คญั (Key informants) ท่ีจะตอบประเด็นปัญหาการวิจัยได้ละเอียดและลุ่มลึก เม่ือสัมภาษณ์เสร็จส้ิน ผู้วิจัยจะขอให้ผู้ให้ข้อมูลแนะน�ำบุคคล หรือกลุ่มบุคคลอ่ืน ๆ ที่จะให้ข้อมูลในประเด็นที่นักวิจัย สนใจเพ่ิมเติม เพ่ือให้ได้รายละเอียดมากย่ิงข้ึนต่อไป วิธีการสัมภาษณ์นี้เรียกว่า “Snowball” ซ่ึง คล้ายกับก้อนหิมะกลมทเ่ี พิ่มขนาดโตขนึ้ เร่อื ย ๆ ขณะทก่ี ลง้ิ ทบั ถมบนหิมะ จนเพ่ิมขนาดใหญข่ น้ึ 8) การเลอื กกรณแี บบองิ ทฤษฎี (Theoretical sampling) เป็นกระบวนการเก็บขอ้ มูล เพอื่ สร้างทฤษฎี นักวิจัยจะรวบรวมข้อมลู จากผใู้ ห้ข้อมลู ส�ำคัญ แล้วนำ� มาวเิ คราะห์ ใหร้ หสั สร้าง ขอ้ สรปุ ช่ัวคราวแลว้ พจิ ารณาตอ่ วา่ ควรจะเกบ็ ขอ้ มลู อะไร จากใครเพ่ิมเตมิ เพอ่ื เสรมิ ขอ้ มลู ทไ่ี ดร้ บั มา หรอื อาจใชก้ ารเก็บข้อมูลเอกสาร สัมภาษณ์ผู้เกยี่ วข้อง เพ่ือใหไ้ ดข้ อ้ มลู เพิม่ ขึ้นที่จะนำ� มาปรับ แต่งข้อสรุป จนทำ� ให้เกดิ ความอ่ิมตวั เชิงทฤษฎี (Theoretical saturation)
Research in Educational Administration • 119 3. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล หลังจากท่ผี ้วู จิ ัยได้เลือกสนามหรือกลุ่มเป้าหมายท่ีศกึ ษาแลว้ ผวู้ จิ ัยจะเก็บรวบรวมข้อมลู ตามแผนทไ่ี ดก้ ำ� หนดไว้ เพอื่ จะตอบคำ� ถามการวจิ ยั ทตี่ งั้ ไวแ้ ลว้ อยา่ งครบถว้ น การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จะเกิดข้ึนเม่ือนักวิจัยได้เข้าสู่สนาม และด�ำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการท่ีเหมาะสม อยา่ งไรก็ตาม ก่อนเก็บรวบรวมข้อมลู ผวู้ ิจยั ควรจะศกึ ษาลกั ษณะขอ้ มลู กระบวนการเกบ็ รวบรวม ขอ้ มลู และวธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งชดั เจน ดงั น้ี 3.1 ลกั ษณะข้อมูล ลักษณะข้อมูลในการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพมหี ลายอย่าง ซ่ึงในที่นี้ จะ แสดงลักษณะขอ้ มูลในการวิจยั เชิงคุณภาพทสี่ �ำคญั ๆ 5 ประเดน็ ไดแ้ ก่ 1) อักษร 2) รปู ภาพ 3) ภาพวาด 4) เรือ่ งเลา่ และ 5) วตั ถหุ รอื สงิ่ ของ โดยมรี ายละเอยี ด ดงั นี้ (โยธนิ แสวงดี, 2557) 1) อักษร ข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ มีลักษณะเป็นอักษรซึ่งอาจจะ ได้จากผู้ที่เรียนอักษร ผู้ที่เรียนภาษา ผู้ที่เรียนวรรณคดี ผู้ท่ีเรียนกฎหมาย ฯลฯ หรือเป็นเอกสาร ทเี่ รยี กวา่ Document และขอ้ มลู ทม่ี าจากจดหมายเหตุ การบนั ทกึ ของหมอพราหมณ์ การบนั ทกึ ของ หมอดู การบันทึกของนักเดินทาง การบันทึกของพระสงฆ์ หรือข้อมูลจากการสัมภาษณ์พ่อหมอ แมห่ มอ หรือจากการสมั ภาษณใ์ ครกไ็ ด้ แลว้ เราถอดเทปออกมา และขดี เขยี นเรยี งความออกมา ก็ ลว้ นแลว้ แต่เป็นขอ้ มลู ท่ีอย่ใู นลักษณะทเี่ ป็นอกั ษรทง้ั สนิ้ 2) รปู ภาพ ขอ้ มลู ในการวิจัยเชิงคณุ ภาพ มลี กั ษณะเป็นรปู ภาพ ซ่งึ อาจจะ ไดม้ าจากการถ่ายมา เชน่ เราไปเดนิ ท่ผี าแตม้ ไปท่ถี ้ำ� จังหวดั กาญจนบุรี หรอื ไปถ�ำ้ ท่ีโน่นทน่ี ี่ หรือ ไปท่ีเวียงกุมกาม จะมีภาพแกะสลัก เจดีย์ ฯลฯ แล้วเราถ่ายภาพมา ลักษณะข้อมูลในการวิจัยเชิง คุณภาพ ก็จะเปน็ รูปภาพ 3) ภาพวาด ข้อมูลในการวจิ ัยเชงิ คุณภาพ มีลักษณะเป็นภาพวาด ตัวอยา่ ง เชน่ ภาพวาดที่ Franz Boas (1886) ไดม้ าจากการสงั เกตแบบมสี ว่ นรว่ ม (Participation Observation) ฯลฯ Franz Boas เป็นนกั มานษุ ยวทิ ยาชาวฝรัง่ เศสยา้ ยถ่ินจากยโุ รปเข้าสูอ่ เมริกาประมาณปี 1886 ซึง่ เป็นชว่ งปฏวิ ตั ิอตุ สาหกรรม Boas เห็นพฤตกิ รรมของชาวพ้นื เมือง คือ ชาวอินเดยี นแดง ผู้ชาย แต่งตัวแปลก ๆ มีขนนกบนหัว มีลูกประค�ำ และมีส่ิงอ่ืน ๆ อีกเต็มไปหมด อยากจะรู้ความจริง วา่ เขาเปน็ ใคร มวี ิถชี ีวติ เป็นอย่างไร ใครเป็นใหญเ่ ปน็ โต ใครเป็นลกู นอ้ ง มลี ูกก่คี น กินอยอู่ ย่างไร เสอ้ื ผา้ ทำ� ไมมแี ตข่ นนก ทำ� ไมผชู้ ายเปดิ หนา้ อก ทำ� ไมผหู้ ญงิ ใสเ่ สอ้ื รมุ่ รา่ ม สงิ่ เหลา่ นใี้ หเ้ หตผุ ลอะไร บา้ ง จงึ พยายามเข้าไปท�ำความร้จู ักกบั หวั หน้าเผ่าโดยดูจากบคุ ลกิ ท่าทางวา่ คนน้แี หละเป็นหัวหน้า เผา่ แน่ ส่ือความหมายดว้ ยภาษาตา ภาษากาย ภาษามอื และรอยยม้ิ จนกระทัง่ หัวหนา้ เผา่ เข้าใจและ อนญุ าตใหอ้ ยใู่ นชมุ ชน… เราจงึ ยกยอ่ งให้ Franz Boas เปน็ คนเรม่ิ ตน้ ทใี่ ชว้ ธิ กี ารรวบรวมขอ้ มลู ดว้ ย วิธีการสงั เกตแบบมีส่วนรว่ ม ในระหวา่ งที่ Franz Boas รวบรวมขอ้ มลู อยูน่ นั้ เป็นยุคท่ีไม่มกี ล้อง ถ่ายรปู วธิ กี ารท่ี Boas ทำ� กค็ ือ การ สเก็ตช์ (Sketch) คือ ร่างหรอื วาดลงในสมดุ บนั ทกึ ด้วยลักษณะ นีเ้ อง ขอ้ มลู ในการวจิ ยั เชิงคุณภาพกไ็ ด้แก่ ภาพวาด ซึ่งตา่ งจากภาพถ่ายทีเ่ ราถา่ ยมาด้วยกลอ้ งหรือ โทรศัพท์มอื ถือ บางคร้งั แม้ถ่ายได้ แต่เขาห้ามถา่ ย นกั มานษุ ยวิทยาจึงใช้วิธีวาด ซ่งึ เขาไมไ่ ดห้ ้าม 4) เรอื่ งเลา่ ขอ้ มลู ในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ มลี ักษณะเป็นเรอื่ งเล่า เช่น ข้อมลู ท่ไี ด้จากการบนั ทึกเทป ซง่ึ อาจเปน็ เสยี ง เปน็ ค�ำพดู เปน็ เรอื่ งเลา่ เปน็ ลมปาก แตถ่ ้าเราถอดเทปออก
120 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา มา ข้อมูลก็จะกลายเปน็ อักษร 5) วัตถุหรือส่ิงของ ข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ มีลักษณะเป็นวัตถุหรือ สิ่งของ เช่น ฟัน ดอกไม้ เศษผา้ ก�ำไล ฟิล์มหนงั ฯลฯ โดยสรปุ ขอ้ มลู ในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพทงั้ หมดเราเรยี กวา่ เปน็ ขอ้ มลู ทม่ี ลี กั ษณะเปน็ เนอื้ หา คือ Content data สว่ นข้อมูลในการวิจยั เชงิ ปริมาณ จะเป็นตัวเลข เชน่ เลข 1, 2, 3 ฯลฯ การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชงิ คุณภาพ กค็ ือ การวเิ คราะหข์ ้อมูลเชงิ เนอื้ หาซึ่งเปน็ หลกั ฐานหรอื ปรากฏการณห์ รอื เหตุการณน์ ั่นเอง แลว้ ตคี วามออกมา 3.2 กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมลู ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เชิงคุณภาพนน้ั เปน็ กิจกรรมต่าง ๆ ท่มี คี วามสมั พันธ์กัน โดยมีเป้าหมายเพื่อเก็บรวบรวมให้ได้ข้อมูลที่ดีเพ่ือตอบปัญหาการวิจัย Creswell (2013, pp. 146- 147) ไดน้ �ำเสนอกระบวนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพ 7 กระบวนการ โดยสรุปได้ ดงั น้ี 1) การก�ำหนดสนามหรือบุคคลที่จะเก็บข้อมูล (Locating site/individual) ซึ่งเปน็ สนามหรือบคุ คลที่มปี ระสบการณท์ จ่ี ะตอบค�ำถามการวิจยั 2) การเขา้ ถึงสนามและการสรา้ งสมั พนั ธภาพ (Access and rapport) เปน็ การ สร้างการยอมรับใหเ้ ข้าเกบ็ ขอ้ มลู โดยการขออนญุ าตผเู้ กีย่ วขอ้ ง และการสร้างสัมพนั ธภาพเพ่ือให้ เกดิ ความไวว้ างใจ 3) การเลือกแบบเจาะจง (Purposefully sampling) เป็นการเลือกผู้รู้ที่เช่ือว่า จะสามารถให้ขอ้ มูลได้ถกู ต้อง เป็นจรงิ และครบถ้วน 4) การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data collection) มีแนวทางหรือวิธีการต่าง ๆ เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การศกึ ษาเอกสาร ฯลฯ 5) การบันทึกข้อมูล (Recording information) นักวิจัยจะต้องออกแบบ การบันทึกข้อมลู ไว้ 6) การแกป้ ัญหาทเ่ี กิดขนึ้ ในสนาม (Resolving field issues) ในการเกบ็ ข้อมลู อาจมปี ญั หา เชน่ ข้อมูลยงั ไมเ่ พยี งพอ ตอ้ งออกจากสนามกอ่ นกำ� หนด หรอื ข้อมลู มกี ารสูญหาย 7) การเก็บรักษาข้อมูล (Storing data) เป็นการเก็บรักษาข้อมูลโดยการท�ำ สำ� เนา การจัดท�ำรายการขอ้ มูล การจัดตารางข้อมลู รวมทง้ั การปดิ บงั ชื่อของผู้ใหข้ ้อมูล 3.3 วิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผู้วิจัยต้องศึกษาวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพให้เข้าใจ เพราะเป็นหัวใจ ท่สี ำ� คัญมากในการวิจัยเชิงคุณภาพ ท้ังนเ้ี พราะว่านกั วจิ ยั เปน็ คนรวบรวมข้อมูลเอง ดังนนั้ ขอ้ มูลที่ ได้มา จะลึก จะตน้ื จะชว่ ยใหเ้ ราได้ข้อมูลละเอยี ดและเชอื่ ถอื ไดม้ าใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูลได้หรือ ไมอ่ ยา่ งไร ขึ้นอยกู่ บั วธิ กี ารในการรวบรวมขอ้ มูล โดยวิธีการดังกล่าวน้ี ต้องไมข่ ดั กบั จรรยาบรรณ ในการวิจัย อย่างไรก็ตาม การรู้วัฒนธรรมและพูดภาษาท้องถ่ินของประชากรที่จะศึกษาก่อน เก็บขอ้ มูลจะเปน็ ประโยชน์มาก โดยท่ัวไป ในการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ มีวธิ ีในการรวบรวมขอ้ มูล 4 วิธี ได้แก่ 1) การสังเกต (Observation) 2) การสัมภาษณ์ (Interview) 3) การสนทนากลุ่ม (Group
Research in Educational Administration • 121 discussion) และ 4) การศกึ ษาจากเอกสาร (Documentary studies)โดยมีรายละเอยี ด ดังน้ี 3.3.1 การสังเกต (Observation) เป็นกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิง คุณภาพข้ันพ้ืนฐานและเก่าแก่ท่ีสุดในการแสวงหาความรู้ มีบทบาทในฐานะเป็นเครื่องแสวงหา ความรู้ท่ีส�ำคัญรูปแบบหนึ่งในการวิจัยเชิงคุณภาพ และสามารถน�ำมาใช้ควบคู่ไปกับการเก็บ รวบรวมขอ้ มูลอืน่ ๆ เชน่ การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม ฯลฯ 1) ความหมายของการสังเกต การสังเกตในการวิจัยเชิงคุณภาพ หมายถงึ กระบวนการที่นกั วจิ ัยเรยี นรู้ ด้วยการเฝา้ ดสู ่งิ ท่ีเกดิ ข้ึนหรอื ปรากฏข้นึ และดำ� เนนิ ไปตาม ธรรมชาติอยา่ งตั้งใจโดยไม่เข้าไปแทรกแซง ในระยะเวลาหนึ่ง ๆ ตามระเบียบวธิ ีท่ีกำ� หนดขน้ึ 2) ประเภทของการสงั เกต การสงั เกตแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คอื การ สงั เกตแบบมสี ว่ นรว่ ม (Participant observation) และการสงั เกตแบบไมม่ สี ว่ นรว่ ม (non-participant observation) โดยมสี าระส�ำคัญ ดงั น้ี 2.1) การสงั เกตแบบมีส่วนร่วม คอื การท่นี ักวจิ ยั เขา้ ไปใชช้ วี ิต อยู่ในสนามการวิจัยหรือชุมชนหรือกลุ่มที่ศึกษาในสภาพท่ีเป็นธรรมชาติ โดยใช้ชีวิตร่วมกับกลุ่ม คนที่ศึกษา มีการกระท�ำกิจกรรมด้วยกันจนกระท่ังเข้าใจความรู้สึกนึกคิดและความหมาย ที่คน เหลา่ นน้ั ใหต้ อ่ ปรากฏการณท์ างสงั คมทผ่ี วู้ จิ ยั กำ� ลงั ศกึ ษาอยู่ ซง่ึ เมอื่ สงั เกตแลว้ จะตอ้ งมกี ารซกั ถาม และการจดบนั ทกึ ขอ้ มลู (Note-taking) ดว้ ย โดยอาจจดบนั ทกึ ในระหวา่ งการสงั เกตหรอื ในภายหลงั กไ็ ด้ การสงั เกตแบบมสี ว่ นรว่ มดงั กลา่ ว เปน็ การสงั เกตดว้ ยตาและแสดงพฤตกิ รรมรว่ มกบั ชมุ ชน ท่ีศึกษาด้วย แม้กระนั้น นักวิจัยก็ยังได้ข้อมูลไม่ลึก ไม่รู้ว่าการท่ีเขาแสดงพฤติกรรมแบบน้ัน ๆ เปน็ เพราะอะไร ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งใชล้ มปากอกี ครงั้ หนง่ึ คอื การสมั ภาษณเ์ ดย่ี ว หรอื การสมั ภาษณก์ ลมุ่ โดยอาจเปน็ การสัมภาษณเ์ ชงิ ลึก (In-depth interview) หรอื ใช้การสนทนากลมุ่ แบบเจาะจง (Focus group discussion) หรอื การสนทนากลุ่มยอ่ ย (Small group discussion) ก็ได้ 2.2) การสงั เกตแบบไม่มสี ว่ นรว่ ม คอื การสังเกตท่นี กั วจิ ยั เฝ้า สงั เกตอยวู่ งนอก โดยอยหู่ า่ ง ๆ แลว้ สงั เกตดว้ ยตา โดยไมไ่ ดเ้ ขา้ รว่ มกจิ กรรมกบั เขา ไมม่ ปี ฏสิ มั พนั ธ์ กับผู้ที่นักวิจัยก�ำลังสังเกต นักวิจัยมักใช้การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมในกรณีที่ไม่ต้องการให้ผู้ที่ ตนสงั เกตรู้สกึ ถกู รบกวน หรอื ไมต่ อ้ งการให้ผทู้ ี่ตนสังเกตรู้ตวั วา่ มีคนคอยสังเกต เพราะอาจสง่ ผล ให้พฤติกรรมไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เช่น การสังเกตการเรียนการสอนในห้องเรียน การสังเกต พฤตกิ รรมกา้ วร้าวของเดก็ ในชุมชน ฯลฯ อย่างไรกต็ าม การสงั เกตแบบไมม่ สี ว่ นรว่ ม สามารถ เกบ็ ขอ้ มลู ในระยะเวลาทสี่ น้ั กวา่ และสนิ้ เปลอื งทนุ ทรพั ยน์ อ้ ยกวา่ การสงั เกตแบบมสี ว่ นรว่ ม แตไ่ ม่ อาจเกบ็ ขอ้ มูลได้ละเอยี ดสมบูรณเ์ ท่ากับการสงั เกตแบบมีส่วนรว่ ม 3) หลักการในการสังเกต มีหลักการสังเกต ดังนี้ 1) สังเกตในมุม มองของผู้ท่ีนักวิจัยศึกษา 2) สังเกตรายละเอียดโดยบันทึกและพรรณนารายละเอียดของส่ิงที่เกิด ขน้ึ อย่างครบถว้ นสมบรู ณ์ 3) ให้ความสำ� คัญกบั บรบิ ทของสิ่งทส่ี งั เกตเพราะเหตุการณ์ การกระท�ำ หรอื พฤตกิ รรมท่ีสังเกตจะมีความหมาย (เหตผุ ล/ทีม่ า) กเ็ ฉพาะในบริบททด่ี ำ� รงอย่เู ทา่ นน้ั 4) ให้ ความสำ� คญั กับกระบวนการของสิ่งท่สี ังเกต โดยมองการกระทำ� ในฐานะเปน็ กระบวนการพลวัตที่ มคี วามเกีย่ วข้องเชือ่ มโยงกับสงิ่ อ่นื ด้วย 5) เปิดกว้าง โดยไม่ด่วนสรุปหรอื อธิบายปรากฏการณ์โดย
122 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา ไมม่ หี ลกั ฐานเพยี งพอ ตลอดถงึ เปดิ กวา้ งสำ� หรบั แนวคดิ อนื่ ๆ หรอื การปรบั กรอบแนวคดิ ตามความ เหมาะสม 6) ฝึกผูส้ ังเกต คือ ตวั นักวจิ ัยเองในฐานะเปน็ เครอื่ งมอื ในการสงั เกตใหม้ ปี ระสบการณ์ เพื่อจะช่วยให้ตีความปรากฏการณ์ได้อย่างมีเหตุผลตามความเหมาะสมกับแหล่งข้อมูลและ สภาพแวดลอ้ ม และ 7) ใชว้ ิธอี ่ืนควบคไู่ ปด้วยได้โดยไม่มขี ดี จ�ำกัด เชน่ การสัมภาษณ์ การสำ� รวจ และการเกบ็ ข้อมูลเอกสารทุกรปู แบบ ฯลฯ (ชาย โพธสิ ิตา, 2554, หน้า 292-295) 4) ส่ิงที่ต้องสังเกต ในการสังเกต นักวิจัยคงไม่สามารถสังเกตทุกส่ิง ทุกอย่างท่ีเกิดข้ึนในปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ที่สังเกตได้ท้ังหมด ดังน้ัน นักวิจัยควรก�ำหนด กรอบของสิ่งที่จะสังเกตให้ชัดเจนว่า จะสังเกตอะไร กรอบของการสังเกตตามที่นักวิชาการใช้ เพือ่ กำ� หนดสิ่งที่จะสงั เกตนั้น สามารถแบ่งออกได้ 6 ประการ ดังน้ี (Lofland and Lofland, 1995; สภุ างค์ จนั ทวานชิ , 2548; และนศิ า ชโู ต, 2551) 4.1) การกระท�ำ(Acts)หรอื พฤตกิ รรมตา่ งๆของคนหรอื มนษุ ย์ ในชวี ิตประจำ� วันหรือในเหตกุ ารณ์หน่งึ ๆ เชน่ การเตรียมการสอนของครู การรับประทานอาหาร กลางวันของนกั เรียน ฯลฯ เปน็ การตอบค�ำถามว่า ใคร ทำ� อะไร เม่ือใด 4.2) กจิ กรรม (Activities) คือ การกระทำ� หรอื พฤตกิ รมที่เป็น กระบวนการ มีขน้ั ตอนและลกั ษณะต่อเนอ่ื งของบุคคลหรอื กลมุ่ บคุ คล ท้ังในระดบั ครอบครวั และ ชุมชน เชน่ กิจกรรมประกอบอาชีพ การทำ� นา การแหเ่ ทยี นพรรษา ฯลฯ เป็นการตอบคำ� ถามวา่ ใคร ทำ� อะไร อย่างไร และเมอ่ื ใด 4.3) ความหมาย (Meaning) คือ การให้ความหมายของการ กระท�ำหรอื กจิ กรรมทีเ่ กดิ ขน้ึ ว่า เปน็ การแสดงถงึ ความเช่อื ทศั นคติ การใหค้ ุณคา่ ของผู้กระทำ� ตอ่ สังคม หรือชุมชนน้ัน เช่น ครูปฏิเสธไม่ให้ผู้นิเทศก์สังเกตการสอน การกระท�ำของครูย่อมแสดง ถึงทัศนคติต่อการนิเทศหรือผู้นิเทศก์ทางใดทางหนึ่ง หรือการที่ครูในกลุ่มสาระประชุมกันอย่าง จริงจังเพ่ือเตรียมแผนการสอนก่อนเปิดเทอม ย่อมแสดงถึงการให้คุณค่าต่องานสอนเพ่ือคุณภาพ การศึกษา ฯลฯ เป็นการตอบค�ำถามว่า บุคคลในเหตุการณ์มองตนเองอย่างไร มีเหตุผลในการ กระทำ� หรอื ไม่กระทำ� อย่างไร 4.4) ความสมั พนั ธ์ (Relationship) เป็นความสัมพนั ธร์ ะหว่าง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลในปรากฏการณ์ทางสังคม ซ่ึงอาจเป็นความสัมพันธ์ที่ราบร่ืนหรือท่ีขัดแย้ง เช่น ความสมั พนั ธร์ ะหว่างผบู้ ริหารกบั ครู ครกู บั นกั เรยี นหรอื ผู้ปกครอง ฯลฯ เป็นการตอบค�ำถาม วา่ มใี ครบา้ งเป็นผู้เกย่ี วข้องกับเหตุการณแ์ ละมีความสัมพันธก์ ันอยา่ งไร 4.5) การมีส่วนร่วม (Participation) เป็นการมีส่วนร่วมของ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลในปรากฏการณ์ทางสังคม ซ่ึงเป็นการสังเกตว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเข้า ไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์หรือไม่ อย่างไร เป็นการตอบค�ำถามว่า มีใครบ้าง ร่วมหรือไมร่ ว่ มในกิจกรรมอะไร กับใคร และอยา่ งไร 4.6) สภาพสังคมหรือสถานที่ (Setting) เป็นสภาพแวดล้อมที่ นักวิจัยใช้เป็นพ้ืนที่ในการศึกษา ซึ่งอาจจะเป็นครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน โรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ การสงั เกตสภาพแวดลอ้ มจะทำ� ใหน้ กั วจิ ยั สามารถกำ� หนดขอ้ มลู ทางสงั คมของบคุ คล เพอื่ ให้
Research in Educational Administration • 123 เกิดความเขา้ ใจในสภาพการณไ์ ดท้ กุ แง่ทกุ มมุ เป็นการตอบคำ� ถามวา่ ใคร ที่ไหน และเม่อื ไร ในการสังเกตปรากฏการณ์ทางสังคมที่ต้องการศึกษา นักวิจัยอาจน�ำหลักการสุ่มมา ใช้เพื่อสุ่มเหตุการณ์หรือสุ่มเวลาในการสังเกตก็ได้ เช่น นักวิจัยอาจสุ่มสังเกตบางกิจกรรม และ บางช่วงเวลาเพื่อศึกษากระบวนการมีส่วนร่วมของชาวบ้านในกิจกรรมต่าง ๆ ก็ได้ โดยค�ำนึงถึง ความเป็นตัวแทนของกิจกรรมและชว่ งเวลา ในการสังเกตปรากฏการณ์ดังกลา่ ว ผสู้ งั เกตอาจแบ่งช่วงเวลาสงั เกตออกเปน็ 3 ชว่ ง คอื ช่วงแรก เปน็ การสงั เกตรายละเอียดทวั่ ไปของทกุ ส่งิ ทุกอย่างในพนื้ ทท่ี ีส่ งั เกต ชว่ งทสี่ อง เป็น การสังเกตแบบมีจุดสนใจ โดยมุ่งประเด็นสังเกตเฉพาะบางกิจกรรมท่ีสนใจตามที่ได้วางแผน ไว้เท่าน้ัน และช่วงท่ีสาม เป็นการสังเกตแบบเลือกเฟ้น โดยมุ่งประเด็นเร่ืองความแตกต่างของ กิจกรรมเพอ่ื ตรวจสอบใหเ้ กิดความชัดเจนยง่ิ ข้นึ (Spradley, 1980; นศิ า ชโู ต, 2545) 5) การบันทึกส่ิงท่ีได้จากการสังเกต เป็นการบันทึกภาคสนาม (Field notes)โดยมีวัตถุประสงคเ์ พื่อช่วยเก็บความทรงจ�ำเก่ียวกับเรื่องท่ีสังเกต และช่วยให้ผู้วิจัย เรียบเรียงข้อมูลส�ำหรับใช้ในการวางแผนการเก็บข้อมูลและการต้ังสมมติฐานชั่วคราวในการ วิเคราะห์ข้อมลู การบันทกึ ดงั กลา่ ว มีการดำ� เนินการ 2 ขน้ั ตอน ดงั นี้ (เกจ็ กนก เอ้อื วงศ์, 2557) 5.1) การบนั ทกึ ยอ่ เปน็ การบนั ทกึ ขอ้ มลู เฉพาะขอ้ ความทสี่ ำ� คญั โดยใชค้ ำ� ยอ่ เพอ่ื เปน็ การเตอื นความจำ� สำ� หรบั นกั วจิ ยั เนอื่ งจากเมอ่ื สงั เกตในสนาม การบนั ทกึ อยา่ ง โจ่งแจ้งอาจท�ำให้ผู้ที่นักวิจัยสังเกตรู้สึกตัวว่า ก�ำลังมีผู้สังเกตและอาจแสดงพฤติกรรมที่ไม่เป็น ธรรมชาติ 5.2) บันทึกภาคสนาม เป็นบันทึกท่ีเรียบเรียงถ้อยค�ำเก่ียวกับ เหตกุ ารณ์ทสี่ ังเกตขนึ้ มาโดยละเอยี ด ซึ่งโดยปกตนิ กั วิจยั จะนำ� บันทึกยอ่ มาเขียนขยายรายละเอยี ด 6) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการสังเกต เครื่องมือที่ใช้ในการสังเกต ได้แก่ อุปกรณ์ที่ช่วยผู้สังเกตให้ท�ำการรวบรวมข้อมูลด้วยการสังเกตได้ดีขึ้น เช่น เครื่องบันทึกเสียง เครื่องบันทึกภาพ ฯลฯ จะช่วยบันทึกเหตุการณ์ให้นักวิจัยสามารถสังเกตซ้�ำได้ แบบบันทึก การสังเกตซึ่งอาจอยู่ในรูปของแบบส�ำรวจรายการสังเกต (Checklist) หรือมาตราประมาณค่า (Rating scales) จะช่วยในการบนั ทึกขอ้ มลู 3.3.2 การสัมภาษณ์ (Interview) เป็นเทคนิควิธีในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทางสงั คมศาสตร์ ซงึ่ เปน็ กจิ กรรมทตี่ อ้ งดำ� เนนิ การอยา่ งมรี ะเบยี บแบบแผนเพอ่ื ใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพ ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 1) ความหมายของการสมั ภาษณ์ การสมั ภาษณ์ หมายถงึ ปฏสิ มั พนั ธ์ ของการสนทนา ซักถาม โต้ตอบแบบเผชิญหน้า (Face-to-face) อย่างมีจุดมุ่งหมายระหว่าง คนสองฝ่าย คือ นักวิจัยหรือผู้สัมภาษณ์ (Interviewer) กับผู้ท่ีนักวิจัยสัมภาษณ์ (Interviewee) โดยใช้ประเด็นค�ำถามที่ได้ออกแบบไว้เพื่อรวบรวมข้อมูลส�ำหรับตอบปัญหาการวิจัย (Kerlinger and Lee, 2000) 2) ประเภทของการสัมภาษณ์ ประเภทของการสัมภาษณ์อาจแบ่ง ตามโครงสรา้ งของการสมั ภาษณไ์ ด้ 3 ประเภท ดงั น้ี (Merriam, 2009, p. 89)
124 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา 2.1) การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Highly structured interview) เป็นการสัมภาษณ์ท่ีมีการวางแผน จัดเตรียมชุดค�ำถาม และวิธีการสัมภาษณ์อย่าง เป็นระบบและมีขั้นตอนล่วงหน้าแบบเข้มงวด มีการด�ำเนินงานแบบเป็นทางการภายใต้กฎเกณฑ์ หรือมาตรฐานเดียวกนั การสมั ภาษณแ์ บบน้ี อาจจ�ำแนกประเดน็ ได้ 3 ประเด็น ได้แก่ 1) ขอ้ ค�ำถาม ได้ถูกก�ำหนดไว้ล่วงหน้า 2) มีการจัดเรียงล�ำดับข้อค�ำถามไว้ล่วงหน้า และ 3) การสัมภาษณ์เป็น รปู แบบการสอบถามดว้ ยวาจาจากแบบส�ำรวจทเ่ี ขยี นไว้ 2.2) การสัมภาษณ์แบบก่ึงโครงสร้าง (Semi-structured interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่มีการวางแผนการสัมภาษณ์ไว้อย่างเป็นขั้นตอนล่วงหน้า แบบ เข้มงวดพอประมาณ และขอ้ คำ� ถามในการสมั ภาษณ์มีโครงสรา้ งแบบหลวม ๆ (Loosely structure) อาจจำ� แนกประเด็นได้ 3 ประเดน็ ไดแ้ ก่ 1) ข้อคำ� ถามทุกข้อก�ำหนดไวอ้ ย่างยดื หยุ่น 2) ไม่มีการ จดั เรียงลำ� ดบั ข้อคำ� ถามไว้ล่วงหนา้ และ 3) ขอ้ คำ� ถามทุกขอ้ เปน็ ค�ำถามกว้าง ๆ 2.3) การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่มีความยืดหยุ่นสูงและเปิดกว้าง ไม่มีการก�ำหนดข้อค�ำถามท่ี แน่นอนตายตัวไว้ล่วงหน้า จะถามเน้ือหาสาระอะไรก่อนหลัง จะใช้ค�ำ และใช้ภาษาอย่างไรใน การถามกไ็ ด้ อาจจำ� แนกประเด็นได้ 5 ประเด็น ไดแ้ ก่ 1) ใช้ข้อค�ำถามปลายเปดิ 2) เปน็ การเกบ็ ข้อมูลอย่างยืดหยุ่น 3) มีลักษณะเป็นการสนทนา 4) ใช้ในกรณีท่ีนักวิจัยขาดความรู้ที่มากพอ เกยี่ วกบั ปรากฏการณจ์ นไมส่ ามารถถามคำ� ถามทีเ่ กีย่ วข้องได้ และ 5) เปน็ การสมั ภาษณเ์ พ่อื เรียนรู้ และนำ� ผลจากการสมั ภาษณไ์ ปสรา้ งขอ้ คำ� ถามในการสมั ภาษณค์ รั้งตอ่ ไป การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้างน้ี อาจแบ่งย่อยออกได้ 2 แบบ ได้แก่ 1) การสมั ภาษณ์แบบเปิดกวา้ งไม่จำ� กัดค�ำตอบ และ 2) การสมั ภาษณเ์ ชงิ ลึก (In-depth interview) โดยมรี ายละเอียด ดงั น้ี (1) การสัมภาษณ์แบบเปิดกว้างไม่จ�ำกัดค�ำตอบ เป็นการสัมภาษณ์ที่มี วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ที่นักวิจัยสัมภาษณ์มีอิสระที่จะแสดงความคิดเห็นหรืออธิบายแนวคิดของ ตนเองเกยี่ วกบั เรอื่ งใดเรอ่ื งหนงึ่ ทนี่ กั วจิ ยั ตอ้ งการศกึ ษาออกมาอยา่ งเตม็ ท่ี โดยทนี่ กั วจิ ยั ไมไ่ ดก้ ำ� หนด กรอบหรอื ประเดน็ เฉพาะเจาะจงในเรอื่ งนน้ั ๆ การสมั ภาษณแ์ บบนี้ เหมาะทจ่ี ะใชใ้ นกรณที น่ี กั วจิ ยั ยังไม่มแี นวคดิ ท่เี ฉพาะเจาะจงเกยี่ กบั ข้อมลู ทจ่ี ะได้รบั ส�ำหรับเรอ่ื งนั้น ๆ หากแตม่ ีแนวคิดทางด้าน ทฤษฎีในเรื่องนัน้ ๆ อยูแ่ ลว้ (สภุ างค์ จนั ทวานชิ , 2548) (2) การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) เป็นการซักถามพูดคุย กันระหว่างผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์ เป็นการถามเจาะลึกล้วงค�ำตอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน การถามนอกจากจะให้อธิบายแล้ว จะต้องถามถึงเหตุผลด้วย การสัมภาษณ์แบบน้ี จะใช้ได้ดีกับ การศึกษาวิจยั ในเร่ืองท่ีเกยี่ วกบั พฤติกรรมของบุคคล เจตคติ ความต้องการ ความเช่อื และสามารถ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นรายบุคคล (Individual in-depth interview) หรือการสัมภาษณ์เชิงลึก เปน็ กลุ่ม (Group in-depth interview) ก็ได้ แต่การสัมภาษณเ์ ชงิ ลึกเปน็ รายบคุ คลจะทำ� ใหน้ ักวจิ ัย ไดข้ อ้ มลู ท่ีมาจากหลายทาง
Research in Educational Administration • 125 ค�ำว่า “In-depth” คือ เชิงลึก หรอื เจาะลึกถึง 360 องศา รลู้ กึ รรู้ อบ และร้จู ริง นักวิจัยต้องใช้เวลาเจาะให้รู้ลึกจริง ๆ ไม่ใช่แค่ 4-5 นาที แล้วเสร็จ และอย่าเช่ือคนใดคนหนึ่ง เสียทีเดียว ต้องไขว้หา หรือควานหาคนอ่ืน ๆ อีก ท่ีสามารถน�ำมาตรวจสอบแบบสามเส้าได้ การตรวจสอบแบบสามเส้าน้ี ไม่ใช่แค่น�ำข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) มาตรวจสอบอย่างเดียว นักวิจัยอาจน�ำข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกแล้วประมาณ 3-4 คน มา ไขว้กับข้อมูลที่ได้จากการสนทนากลุ่มแบบเจาะจง (Focus group discussion) หรือน�ำข้อมูลจาก การสนทนากลุ่มแบบเจาะจงมาไขวก้ บั ข้อมูลจากการสังเกต หรือนำ� ขอ้ มลู จากการสังเกต มาไขว้ กับขอ้ มลู จากเอกสาร ฯลฯ ซึ่งผู้วจิ ยั สามารถนำ� มาไขวก้ นั ได้หมด ไม่ควรไปยึดติดกับรูปแบบใด รปู แบบหน่ึง เพราะมันสามารถยืดหยุน่ ได้ การสมั ภาษณด์ ังกลา่ วข้างต้นน้ี จะไมม่ ีการก�ำหนดกฎเกณฑ์เกีย่ วกบั คำ� ถาม และล�ำดับข้ันตอนของการสัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้า เป็นการพูดคุยในบรรยากาศท่ีเป็นธรรมชาติ (Naturalistic Inquiry) ถ้านักวิจัยเลือกสัมภาษณ์ผู้รู้จริงเป็นรายบุคคล เช่น เห็นหมอผีมาท�ำพิธีไล่ ผีออกจากร่างคน แค่เห็นอย่างเดียว มันไม่ลึก เราต้องสัมภาษณ์เชิงลึก หรือสัมภาษณ์เด่ียวแบบ เจาะลึกกบั หมอผคี นนน้ั หรืออาจสมั ภาษณก์ บั หมอผที ่ที ำ� พธิ ีไลผ่ ีในลกั ษณะเดียวกันหลาย ๆ คน ได้ เพราะนกั วิจัยตอ้ งศึกษาใหค้ รบทุกมิติแบบ 360 องศา ถ้าข้อมลู มาหลายทางตรงกัน ก็สามารถ ฟันธงได้ว่า เป็นข้อมูลท่ีเป็นจริง การคัดเลือกผู้รู้จริงในการสัมภาษณ์เชิงลึกน้ัน นักวิจัยต้อง ต้ังเกณฑ์ ดังตัวอย่างในตารางท่ี 3.1 (โยธนิ แสวงดี, 2557, 2561) ตารางท่ี 3.1 ตวั อย่างการตั้งเกณฑ์การคดั เลอื กผรู้ ้จู ริงในการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลึก เกณฑ์ SES (Social-economic status) ผูร้ ูจ้ รงิ หรือผ้รู ู้หลัก (Key informant) 1. เพศ เมื่อตั้งเกณฑ์ SES และปรากฏการณ์ทจ่ี ะศึกษา 2. อายุ ไดแ้ ล้ว ให้ผ้วู ิจัยกำ�หนด/คัดเลอื กผรู้ ้หู ลกั 3. อาชีพ สำ�หรบั การสมั ภาษณ์เชิงลึกไดเ้ ลย 4. รายได้ ฯลฯ ปรากฏการณ์ทผี่ ู้วจิ ยั ศึกษา ไดแ้ ก.่ ............. จากตารางท่ี 3.1 เปน็ ตวั อยา่ งการต้ังเกณฑก์ ารคดั เลือกผรู้ ู้จริงในการสัมภาษณเ์ ชงิ ลึก เพือ่ ช่วยให้การสมั ภาษณ์บรรลุเปา้ หมาย นอกจากนี้ ในการสัมภาษณ์เชงิ ลกึ นักวจิ ัยควรค�ำนงึ ถงึ สิง่ ต่อไปน้ี คอื 1) ความเห็นอกเหน็ ใจ 2) การท�ำใหม้ ่นั ใจ 3) การให้ความเหน็ ชอบ 4) อารมณ์ ขนั และ 5) การพิจารณาใชอ้ ุปกรณ์ประกอบการสัมภาษณ์ 3) ขั้นตอนการสัมภาษณ์ ในการสัมภาษณ์ มีข้ันตอนการสัมภาษณ์ อาจ สรุปได้ 3 ข้ันตอนหลัก ดังนี้ (สุภางค์ จันทวานิช, 2546, หน้า 82-85; บุญใจ ศรีสถิตย์นรากูร, 2553; Creswell, 2013, pp. 163-166)
126 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา 3.1) ขน้ั เตรยี มการสัมภาษณ์ (1) กำ� หนดจดุ มงุ่ หมายของการสมั ภาษณท์ ต่ี อ้ งการรวบรวมจากผู้ ให้สมั ภาษณ์ (2) เตรียมแบบสัมภาษณ์พร้อมก�ำหนดค�ำถามเพ่ือให้ได้ค�ำตอบ ซงึ่ อาจจะเป็นค�ำถามปลายเปดิ ค�ำถามท่วั ไป และคำ� ถามทเี่ นน้ เพือ่ ให้เกิดความเข้าใจปรากฏการณ์ ท่ีศึกษา (3) เลอื กผใู้ หข้ อ้ มลู หรอื ผใู้ หส้ มั ภาษณท์ สี่ ามารถจะใหค้ ำ� ตอบการ วิจยั ท่ีกำ� หนดเพอ่ื ให้ไดค้ �ำตอบท่ีดีทสี่ ดุ (4) พิจารณาเลือกใช้ประเภทของการสัมภาษณ์เพ่ือให้เหมาะสม กับค�ำถามและผู้ให้ข้อมูล (5) ออกแบบบันทึกการสัมภาษณ์ ซึ่งควรมีข้อมูลเกี่ยวกับ วัน เวลา และสถานท่ใี นการสัมภาษณ์ ระบผุ ้สู ัมภาษณ์ ผูใ้ หข้ อ้ มูลและต�ำแหนง่ รวมทง้ั ค�ำถามในการ สมั ภาษณ์และมีพ้นื ท่สี ำ� หรับการบันทึกค�ำตอบการสมั ภาษณ์ (6) ทดลองสมั ภาษณโ์ ดยใชแ้ นวคำ� ถามในการสมั ภาษณก์ บั กลมุ่ ที่ มลี กั ษณะใกลเ้ คียงเพ่อื ปรับแนวคำ� ถามและกระบวนการให้เหมาะสม (7) นดั หมายวนั เวลาและสถานทท่ี จ่ี ะสมั ภาษณ์ ซงึ่ ควรตอ้ งคำ� นงึ ถงึ ความสะดวกของผู้ให้สมั ภาษณเ์ ป็นหลกั (8) เตรียมสถานท่ีส�ำหรับการสัมภาษณ์ โดยจัดสถานท่ีให้มี บรรยากาศท่ีผอ่ นคลาย อากาศถ่ายท�ำได้สะดวก ปราศจากสิง่ รบกวน และสามารถบนั ทกึ เสยี งได้ (9) เตรียมสื่อ วัสดุ และอุปกรณ์ส�ำหรับบันทึกค�ำสัมภาษณ์ เช่น ปากกา กระดาษ ตลบั เทป และเครอ่ื งบนั ทกึ เสียง ฯลฯ 3.2) ขนั้ ดำ� เนนิ การสัมภาษณ์ ชว่ งเร่ิมสมั ภาษณ์ (1) กล่าวทักทายและแนะนำ� ตนเองต่อผใู้ ห้สัมภาษณ์ (2) ชแี้ จงวตั ถปุ ระสงคใ์ นการสมั ภาษณพ์ รอ้ มทง้ั ใหค้ ำ� สญั ญาวา่ จะ เกบ็ เป็นความลับ โดยจะไมเ่ ปิดเผยชือ่ สกุล ของผใู้ ห้สมั ภาษณ์ (3) กรณีท่ีจ�ำเป็นต้องจดบันทึกหรือใช้เครื่องบันทึกเสียงขณะ สมั ภาษณ์ ต้องขออนุญาตผู้ใหส้ มั ภาษณก์ ่อน (4) พูดคยุ เป็นการอ่นุ เครื่องกอ่ นท่จี ะเริม่ สัมภาษณ์จรงิ ๆ ชว่ งสมั ภาษณ์ (1) สัมภาษณ์ตามรายการค�ำถามท่ีก�ำหนดไว้ในแบบสัมภาษณ์ ซึง่ เตรยี มไวล้ ่วงหนา้ (2) สร้างบรรยากาศให้ผู้ให้สัมภาษณ์รู้สึกเป็นกันเอง สบายใจ และเตม็ ใจท่จี ะให้ข้อมลู ตามความเปน็ จรงิ โดยไม่ปกปดิ
Research in Educational Administration • 127 (3) ใช้ภาษาที่สุภาพ เข้าใจง่าย ระวังเป็นพิเศษในกรณีท่ีผู้วิจัย ไม่รภู้ าษาของผูต้ อบดพี อและในกรณที ต่ี ้องใช้ลา่ ม (4) ทำ� ใหผ้ ใู้ หส้ มั ภาษณร์ สู้ กึ วา่ เรอ่ื งทเ่ี ปดิ เผยระหวา่ งการสมั ภาษณ์ เป็นเรือ่ งพเิ ศษเฉพาะตวั เพ่ือทำ� ให้ผูใ้ หส้ มั ภาษณ์เกิดความเตม็ ใจท่จี ะใหข้ อ้ เทจ็ จรงิ ตา่ ง ๆ (5) ควบคุมผู้ให้สัมภาษณ์ให้แสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อมูล ทต่ี รงกับประเด็นทสี่ ัมภาษณ์ (6) วางตัวเปน็ กลาง ไม่มอี คติ และหลีกเลยี่ งการใช้ค�ำถามช้นี �ำ (7) ไมแ่ สดงปฏกิ ริ ยิ าหรอื พฤตกิ รรมทแี่ สดงความสงสยั ประหลาด ใจ หรือไม่ยอมรับคำ� ตอบและความคดิ เห็นของผ้ใู หส้ มั ภาษณ์ (8) กระตุ้นให้ผู้ให้สัมภาษณ์ได้พูด หรือแสดงความคิดเห็นใน ประเดน็ ทส่ี ัมภาษณ์ เพอื่ รวบรวมขอ้ มลู ให้ได้มากทส่ี ุด (9) ฟังด้วยความต้ังใจ ไม่แสดงพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความ เบื่อหน่ายหรอื ไม่สนใจ และรจู้ กั ปอ้ นคำ� ถามให้เหมาะสมกับจังหวะของผู้ตอบ (10) ขณะสมั ภาษณ์หากมเี หตกุ ารณท์ ที่ ำ� ใหผ้ ใู้ หส้ มั ภาษณไ์ มพ่ รอ้ ม จะให้สมั ภาษณ์ เชน่ มีงานเรง่ ด่วน บตุ รตื่นและรอ้ งไห้ ฯลฯ ผสู้ มั ภาษณ์ก็ควรยุติการสัมภาษณ์ไว้ ช่ัวขณะ รอจนกระท่งั ผใู้ ห้สัมภาษณ์พร้อมจึงท�ำการสัมภาษณ์ต่อ (11) ควบคมุ เวลาการสมั ภาษณต์ ามที่ไดแ้ จ้งแก่ผใู้ ห้สัมภาษณ์ (12) จดบนั ทกึ คำ� ใหส้ มั ภาษณต์ ามความเปน็ จรงิ ไมบ่ ดิ เบอื นขอ้ มลู และจดเฉพาะใจความส�ำคัญ (13) ถา้ พิจารณาเห็นวา่ การจดบันทึกทำ� ใหผ้ ตู้ อบมปี ฏกิ ิริยา ซึ่งจะ เปน็ ผลเสยี ตอ่ การสัมภาษณ์ ต้องงดการจดบนั ทกึ แลว้ ใช้ความจ�ำแทน ชว่ งสนิ้ สุดการสมั ภาษณ์ (1) ตรวจดูความครบถว้ นและความถกู ตอ้ งของขอ้ มูล หากพบวา่ ข้อมลู ใดขาดความชัดเจนหรอื ไมค่ รบถ้วน ควรสมั ภาษณเ์ พ่มิ เติม (2) กล่าวค�ำขอบคุณและค�ำอ�ำลาผู้ให้การสัมภาษณ์ รวมทั้งมอบ ของทีร่ ะลึกพร้อมทง้ั ถา่ ยรปู รว่ มกนั ตามความเหมาะสม (3) รีบท�ำบันทึกการสัมภาษณ์ให้สมบูรณ์หลังจากการสัมภาษณ์ เสร็จสิน้ โดยไม่ปลอ่ ยทงิ้ ไวเ้ ปน็ เวลานาน (4) รวบรวมขอ้ มูลและเอกสารตา่ ง ๆ ทีไ่ ด้จากการสัมภาษณ์แนบ ไวก้ บั บนั ทึกการสมั ภาษณ์ 3.3.3 การสนทนากลมุ่ (Group discussion) ไดเ้ รม่ิ นำ� มาใชใ้ นปี ค.ศ. 1941 โดย Robert Merton ซึ่งได้เชิญผ้ฟู งั รายการวทิ ยุมาร่วมวงสนทนาเพ่อื ประเมินการจดั รายการ ตอ่ มาได้มี การนำ� เทคนคิ การสนทนากลมุ่ ไปใชใ้ นการวจิ ยั ทางการตลาด เพอื่ รวบรวมขอ้ มลู ความพงึ พอใจ และ มลู เหตุจูงใจของผูบ้ รโิ ภคทม่ี ีตอ่ สินคา้ ต่อจากนัน้ เทคนิคการสนทนากลุ่มไดร้ ับความสนใจและนำ�
128 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการรวบรวมขอ้ มลู ของสาขาตา่ ง ๆ เชน่ สาขาสงั คมศาสตร์ สาขาการศกึ ษา สาขา วทิ ยาศาสตร์สุขภาพ ฯลฯ นอกจากน้ี ยังนิยมน�ำมาใช้ในงานวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพของสาขาพฤตกิ รรม ศาสตร์และสาขาสงั คมศาสตร์ (บญุ ใจ ศรสี ถติ ย์นรากูร, 2553, หนา้ 268) 1) ความหมายของการสนทนากลุ่ม การสนทนากลุ่ม หมายถึง เทคนิคใน การรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพจากกลุ่มบุคคลที่มีภูมิหลังและคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน ท้ังในด้าน ภมู หิ ลังทางสังคม ความรู้ และประสบการณ์ทีเ่ กย่ี วข้องกับประเดน็ ท่นี �ำมาสนทนากล่มุ โดยกลมุ่ บุคคลเหล่าน้ันจะเป็นกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key informants) ท่ีได้มาจากการคัดเลือกตามเกณฑ์ ทนี่ กั วิจยั กำ� หนด มารว่ มวงสนทนาแสดงความคดิ เหน็ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสามารถให้ คำ� ตอบตรงประเดน็ ไดม้ ากทสี่ ดุ ในการสนทนากลมุ่ ดงั กลา่ วนี้จะมผี ดู้ ำ� เนนิ การสนทนา(Moderator) เป็นผู้ตั้งประเด็นค�ำถามตามประเด็นการวิจัยให้กลุ่มตอบและแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ซงึ่ ทกุ คนในกลมุ่ จะไดย้ นิ คำ� ตอบและการแสดงความคดิ เหน็ ของคนอน่ื ๆ และจะใหค้ ำ� ตอบเพมิ่ เตมิ ท่ีอาจเป็นค�ำตอบท่ีเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ ขณะท่ีมีการด�ำเนินการสนทนากลุ่มอยู่น้ัน จะมี ผบู้ นั ทกึ การสนทนากลมุ่ (Note taker) โดยบนั ทกึ คำ� สนทนาอยา่ งละเอยี ด บนั ทกึ บรรยากาศระหวา่ ง การสนทนากลมุ่ บนั ทกึ พฤตกิ รรมและสหี นา้ ทา่ ทางของผรู้ ว่ มสนทนากลมุ่ นอกจากน้ี จะมผี คู้ อย ให้บริการ (Providers) 1-3 คน ส�ำหรับบริการความสะดวกแก่ผู้ร่วมสนทนากลุ่มและจัดเตรียม สง่ิ เอ้ืออำ� นวยความสะดวกส�ำหรบั การสนทนากลุม่ ด้วย 2) ลักษณะส�ำคัญของการสนทนากลุ่ม ในปัจจุบันการสนทนากลุ่มเป็นท่ี นิยมและได้มีการน�ำมาใช้กันในลักษณะท่ีแตกต่างกัน จนท�ำให้เกิดความสับสนว่า การสนทนา กลุ่มท่ีน�ำมาใช้น้ัน เป็นการสนทนากลุ่มตามแนวคิดที่นักวิจัยเชิงคุณภาพใช้หรือไม่ ส�ำหรับ เรื่องนี้ Morgan (1998, อ้างถึงใน เก็จกนก เอื้อวงศ์, 2557) ได้อธิบายแจกแจงเพ่ือท�ำให้เข้าใจถึง ลักษณะของการสนทนากลมุ่ ไว้ ดังนี้ 2.1) เป็นการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ การสนทนากลุ่มเป็นวิธีการในการ เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ กลุ่มท่ีมีการพบปะกันเพื่อวัตถุประสงค์อ่ืน ๆ จะไม่ใช่การสนทนากลุ่ม เช่น กลุ่มครูนัดประชุมและสนทนากันเป็นกลุ่มเกี่ยวกับการจัดท�ำแผนการจัดการเรียนรู้ใน กลุ่มสาระ เพอ่ื ใหไ้ ด้ขอ้ สรุปเกีย่ วกบั การจดั ท�ำแผนการสอนท่ดี ี 2.2) เป็นการวางแผนอย่างรอบคอบ การสนทนากลุ่มต้องเป็นการ ด�ำเนินการที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบที่จะเชิญผู้เกี่ยวข้องหรือผู้ให้ข้อมูลที่เหมาะสม และเตรยี มคำ� ถามในการสนทนาเพอ่ื ใหไ้ ดค้ ำ� ตอบในการวจิ ยั โดยจะตอ้ งมผี ดู้ ำ� เนนิ การทรี่ บั ผดิ ชอบ ในการดแู ลใหก้ ลมุ่ ได้สนทนาตรงประเด็นที่ก�ำหนดไว้ 2.3) เปน็ การอภปิ รายกนั ในกลมุ่ ในการสนทนากลมุ่ จะมกี ารอภปิ รายกนั ในกลมุ่ ซึง่ จะท�ำให้ได้ขอ้ มูล ดงั น้นั กลุ่มประเภทอน่ื ๆ มารวมกลุ่มกนั เพ่อื การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ดว้ ยวธิ กี ารใดวธิ กี ารหนงึ่ โดยไมใ่ ชก้ ารอภปิ รายจงึ ไมใ่ ชก่ ารสนทนากลมุ่ เชน่ Nominal groups หรอื Delphi groups ฯลฯ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 631
Pages: