Research in Educational Administration • 329 3. เพือ่ ใช้รปู แบบและศกึ ษาสภาพปญั หาการใช้รปู แบบการบรหิ ารจดั การงานระบบดูแล ช่วยเหลอื นกั เรียนด้านการคดั กรองนักเรยี นของโรงเรยี นพร้าววทิ ยาคม จงั หวดั เชียงใหม่ 4. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจในรูปแบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือ นกั เรียนด้านการคัดกรองนกั เรยี นของโรงเรยี นพรา้ ววทิ ยาคม จงั หวดั เชียงใหม่ วิธีด�ำเนนิ การวิจัย ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ด้านการคัดกรองนักเรียนของโรงเรียนพร้าววิทยาคม จังหวัดเชียงใหม่ คร้ังน้ี ผู้วิจัยได้ก�ำหนด ขั้นตอนการดำ� เนินการวิจัย 4 ข้ันตอน ดงั น้ี ตอนที่ 1 การศึกษาสภาพและปัญหาระบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือ นกั เรียนดา้ นการคดั กรองนกั เรียนของโรงเรยี นพรา้ ววิทยาคม จงั หวดั เชียงใหม่ 1. ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี หลกั การและงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การบรหิ ารจดั การงานระบบ ดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน 2. วเิ คราะห์สภาพแวดลอ้ ม (SWOT Analysis) 3. สมั ภาษณ์ครูท่ีปรกึ ษา ตอนที่ 2 การสร้างรูปแบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านการ คดั กรองนกั เรยี นของโรงเรยี นพร้าววิทยาคม จงั หวดั เชียงใหม่ 1. ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี หลกั การและงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การบรหิ ารสถานศกึ ษาและ การท�ำงานอยา่ งเป็นระบบตามวงจรคุณภาพของเดมมงิ (Deming Cycle) 2. ร่างรูปแบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือด้านการคัดกรองนักเรียน โดยผนวกข้อมูลจากการศึกษาสภาพและปญั หาในขั้นตอนท่ี 1 และแนวคดิ ทฤษฎี ทางการบริหาร สถานศึกษา โดยใช้การท�ำงานอย่างเปน็ ระบบตามวงจรคุณภาพของเดมมงิ 3. ตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ด้านการคัดกรองนักเรยี น 4. น�ำรูปแบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านการคัดกรอง นกั เรยี นไปปรบั ปรุงแกไ้ ข ตอนท่ี 3 การด�ำเนินการใช้รูปแบบและศึกษาสภาพปัญหาการใช้รูปแบบการบริหาร จัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านการคัดกรองนักเรียนของโรงเรียนพร้าววิทยาคม จงั หวัดเชียงใหม่ 1. ทดลองใชร้ ปู แบบการบรหิ ารจดั การงานระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี นดา้ นการคดั กรอง นักเรยี น 2. ใช้รูปแบบและศึกษาสภาพปัญหาการใช้รูปแบบการบริหารจัดการงานระบบดูแล ช่วยเหลอื นักเรียนด้านการคัดกรองนักเรียน
330 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา ตอนที่ 4 การศึกษาความพึงพอใจในรูปแบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรยี นด้านการคัดกรองนักเรยี นของโรงเรยี นพรา้ ววิทยาคม จงั หวัดเชยี งใหม่ ศึกษาความพึงพอใจในรูปแบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ดา้ นการคดั กรองนกั เรยี น ในการวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้ออกแบบการวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย ครูที่ใช้รูปแบบการบริหารจัดการงานระบบ ดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านการคัดกรองนักเรียนของโรงเรียนพร้าววิทยาคม จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ คณะครูกล่มุ บริหารงานกจิ การนกั เรียน จ�ำนวน 15 คน หวั หน้าระดบั จ�ำนวน 6 คน และครู ท่ีปรึกษาจ�ำนวน 39 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย คือ แบบศึกษาสภาพแวดล้อม แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน แลว้ น�ำเสนอผลการวิจยั โดยใช้วธิ กี ารพรรณนา ผลการวจิ ัย สรปุ ได้ดงั นี้ 1. การศึกษาสภาพและปัญหาระบบบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้าน การคัดกรองนักเรียนของโรงเรียนพร้าววิทยาคม จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า เกิดจากเคร่ืองมือที่ใช้ ในกระบวนการคัดกรองนักเรียน ไดแ้ ก่ แบบคดั กรองนกั เรยี นและการใช้โปรแกรม Scan Tool 3 ในการประมวลผล เพื่อจ�ำแนกนักเรียนเป็นสามกลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มปกติ กลุ่มเส่ียง และ กลมุ่ มปี ญั หา 2. การสรา้ งรปู แบบการบรหิ ารจดั การงานระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น ดา้ นการคดั กรอง นักเรียนของโรงเรียนพร้าววิทยาคม จังหวัดเชียงใหม่ จากสภาพและปัญหาที่พบจึงด�ำเนินการ แก้ปัญหา โดยใช้กระบวนการท�ำงานอย่างเป็นระบบตามวงจรพัฒนาคุณภาพของเดมม่ิง ซ่ึงได้ รูปแบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การวางแผนสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพและปัญหารูปแบบการบริหารจัดการงานระบบ ดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านการคัดกรองนักเรียน โดยการประชุมครูท่ีปรึกษาพร้อมทั้งด�ำเนินการ แตง่ ต้งั คณะกรรมการดำ� เนนิ การแกไ้ ขปัญหา และประชุมครเู พ่อื วางแผนแกป้ ญั หา โดยจัดท�ำเปน็ แผนปฏิบัติงานสร้างรูปแบบระบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) การ ด�ำเนินการตามแผนปฏิบัติงานซึ่งประกอบด้วยการสร้างนวัตกรรม เพื่อใช้ในการพัฒนารูปแบบ จ�ำนวน 3 นวัตกรรม ได้แก่ การสร้างเกณฑ์การคัดกรองและแบบคัดกรอง โปรแกรมพร้าว คัดกรอง และคู่มือการใช้งานโปรแกรมพร้าวคัดกรอง 3) การตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการ บริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านการคัดกรองนักเรียน และ 4) การปรับปรุง แกไ้ ขเพื่อใหร้ ปู แบบมีประสิทธิภาพ 3. การใช้รูปแบบและศึกษาสภาพปัญหาการใช้รูปแบบการบริหารจัดการงานระบบดูแล ช่วยเหลือนักเรียนด้านการคัดกรองนักเรียนของโรงเรียนพร้าววิทยาคม จังหวัดเชียงใหม่ 1) การ ทดลองใช้รูปแบบโดยครูหัวหน้าระดับ พบว่า รูปแบบมีความเป็นระบบ เหมาะสมกับบริบทของ โรงเรยี น มคี วามชดั เจน ตรงกบั ความตอ้ งการ กระชบั เวลา เออ้ื ตอ่ การทำ� งานของครู แตค่ มู่ อื การใช้
Research in Educational Administration • 331 ไพคมัดร่เาก้อวร้ือคอตดั ง่อกโผดรสู้ยอรงูงววโดยัมยอ2รย)วรู่ กมะาอดรยบั ใรู่ ชมะร้าดกปู บั ทแมบ่ีสาดุบกโท(ดส่ีXยดุค=ร( ูท4X.ี่ป5=7ร4)กึ .แ7ษ3ลา)พะมมบคี คี ววว่าาามมมพคี พวงึ งึ พาพมออพใใจึงจตพตอ่ อ่อกใกจาารตรใอ่ใชชกค้ ้รามู่ รปู อืใแชโบปง้ บารนแกโกาปรรบรมแรพกิหรราา้ มวร จ( ัXดก=าร4ง.8า2น)ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านการคัดกรองนักเรียน โดยรวม อยู่ระดับมากที่สุด 4. การศกึ ษาความพงึ พอใจในรปู แบบการบรหิ ารจดั การงานระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น ด้านการคัดกรองนักเรียนของโรงเรียนพร้าววิทยาคม จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ครูกลุ่มบริหารงาน ดกิา้จนกการารนคักัดเรกียรนองมนีคกั วเราียมนพโึงดพยอรวใจมตอ่อยรู่รูปะดแบับมบากกาทรี่สบุดริห( าXรจ=ัด4ก.7า4ร)งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน สรุปท้ายบท การวิจัยและพัฒนาที่น�ำเสนอในบทท่ี 9 นี้ ประกอบด้วยสาระส�ำคัญที่ผู้วิจัยหรือ นักศึกษาในทางการบริหารการศึกษาควรศึกษาและท�ำความเข้าใจให้ละเอียดและชัดเจน โดยอาจ สรปุ สาระสำ� คญั ดังกลา่ วได้ ดังน้ี การวิจัยและพัฒนา เป็นลักษณะของการวิจัยแบบหนึ่งท่ีผสานกระบวนการวิจัยกับ กระบวนการพัฒนาเข้าด้วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างหรือพัฒนานวัตกรรม ที่อาจเป็น หลักการ แนวคิด หรือทฤษฎี เปน็ แนวทาง วิธีปฏบิ ัติ วธิ ีการ หรือกระบวนการ เป็นระบบปฏิบตั ิ หรือรูปแบบ หรือเป็นผลผลิต หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ จนมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพอันเป็น ประโยชน์ตอ่ บคุ คล หน่วยงาน องคก์ าร สถาบัน หรือสงั คม โดยมีกลยทุ ธใ์ นการตรวจสอบยืนยัน ความถกู ตอ้ งและน่าเชื่อถอื ของหลักการ แนวคิด หรือทฤษฎี ฯลฯ ทส่ี ร้างหรือพัฒนาข้ึนเหลา่ นนั้ ประเภทและเหตุผลของการพัฒนานวัตกรรม ประเภทของนวัตกรรมหรือผลลัพธ์ของ การวิจัยและพัฒนา (R&D) อาจแบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ 1) นวัตกรรมประเภทวัตถุท่ีเป็น ชิน้ อนั ซง่ึ เป็นผลผลติ หรอื สิ่งประดษิ ฐ์ทีอ่ าจเป็นวสั ดุ อปุ กรณ์ หรือชิน้ งาน เชน่ รถยนต์ สื่อการ สอน ชุดกิจกรรมเสริมความรู้ คู่มือประกอบการท�ำงาน ฯลฯ และ 2) นวัตกรรมประเภทที่เป็น หลักการ แนวคิด หรือทฤษฎี หรือเป็นแนวทาง วิธีปฏิบัติ วิธีการ กระบวนการ หรือเป็นระบบ ปฏบิ ตั ิ หรือรปู แบบ เช่น รูปแบบการบริหารจัดการ รปู แบบการสอน รูปแบบวธิ ีการสอน ระบบ การท�ำงาน ฯลฯ ซงึ่ ในทางการศึกษา นวัตกรรมทีพ่ ฒั นาได้ มักจะเปน็ นวตั กรรมประเภทหลังนี้ พัฒนาการของการวิจัยและพัฒนา การวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) มปี ระวตั คิ วามเปน็ มาและพฒั นาการในการสรา้ งนวตั กรรม (Innovation) และประดษิ ฐกรรม (Invention) อยา่ งยาวนานจากอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั โดยมบี ทบาทในการสรา้ งนวตั กรรม (Innovation) และประดิษฐกรรม (Invention) ทางด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และธุรกิจของโลกตะวันตก ท�ำให้เกิดผลผลิตส�ำคัญของโลกมากมาย ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ และ การเปลีย่ นแปลงโลกอย่างต่อเนอ่ื ง ลกั ษณะของการวิจยั และพัฒนา อาจแบ่งได้ 5 ประการ ไดแ้ ก่ 1) เปน็ การแสวงหาหรือ สร้างสรรค์ภูมิปัญญาใหม่โดยการพัฒนาต่อยอดให้ได้ต้นแบบที่สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ได้
332 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา 2) ดำ� เนนิ การอยา่ งเปน็ ระบบโดยมขี น้ั ตอนและกระบวนการอยา่ งตอ่ เนอ่ื งโดยมจี ดุ เดน่ ทก่ี ารทำ� วจิ ยั การพฒั นา และการเผยแพร่ 3) การทำ� วิจยั และพฒั นาทกุ ขัน้ ตอนมีการตรวจสอบและติดตามจน ผลผลิตขั้นสุดทา้ ยอยู่ในรูปของผลติ ภัณฑ์ที่เชือ่ ถอื ไดแ้ ละตรงตามมาตรฐานทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง 4) ท�ำการ วิจัยอย่างผสมผสานทั้งด้านปริมาณและคุณภาพและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ และ 5) ผลการวจิ ยั เปน็ ผลติ ภณั ฑจ์ ากภมู ปิ ญั ญาทม่ี คี ณุ คา่ หรอื มลู คา่ ทสี่ ามารถจดทะเบยี นคมุ้ ครองสทิ ธ์ิ กระบวนการวิจัยและพัฒนา อาจก�ำหนดข้ันตอนท่ีส�ำคัญของกระบวนการวิจัยและ พฒั นาได้ 6 ขนั้ ตอน ไดแ้ ก่ 1) การศึกษาสภาวะแวดลอ้ ม วเิ คราะหส์ ภาพปญั หา และประเมินความ ต้องการจ�ำเป็น 2) การก�ำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการพัฒนา 3) การส�ำรวจหรือ สังเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการ การออกแบบนวัตกรรมเบ้ืองต้น และการทดลอง น�ำร่องและประเมินผล 4) การปรับปรุงการออกแบบ ทดลองซ้�ำและประเมินผล และปรับปรุง เพิม่ เติม 5) การสรปุ ผลและจดั ท�ำรายงานการวิจยั และ 6) การเผยแพรแ่ ละขยายผล การออกแบบวิจัยและพัฒนา ผูว้ จิ ัยจะตอ้ งก�ำหนดวตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะของการวจิ ัยอย่าง ชัดเจน จากน้ัน ออกแบบประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ออกแบบการวัดตัวแปรหรือการเก็บข้อมูล และออกแบบสถติ ิวเิ คราะห์ขอ้ มูล ในงานวิจัยและพัฒนาทางการศึกษา ตัวแปรต้น (Independent Variable) คือ ตัว นวตั กรรมหรอื ปฏบิ ตั กิ าร (Treatment) ทนี่ กั วจิ ยั ใหก้ บั กลมุ่ ตวั อยา่ ง ซง่ึ อาจหมายถงึ สอ่ื / ชดุ สอ่ื หรอื วธิ กี ารใหม่ ๆ ในการจดั การศกึ ษา สว่ นตวั แปรตาม (Dependent Variable) คอื ตวั แปรทเ่ี ปน็ ผลลพั ธ์ ทเี่ กดิ จากการใสป่ ฏบิ ตั กิ าร เชน่ ความรู้ ความพอใจ เจตคติ ทกั ษะ หรอื สภาพการเปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ ฯลฯ ส่วนเคร่อื งมือ ประกอบดว้ ย 2 สว่ นทส่ี �ำคัญ คือ 1) เครือ่ งมือทดลอง หรือชดุ นวตั กรรม หรือ ชุดปฏิบัติการ และ 2) เครอื่ งมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลหรอื เคร่ืองมอื วัดตัวแปร การวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยและพัฒนา เป็นการเลือกใช้วิธีการทางสถิติ เพ่ือการ วิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยและพัฒนาซ่ึงจะขึ้นอยู่กับชนิดของตัวแปร หรือตัวชี้วัดท่ีท�ำการศึกษา ซงึ่ โดยทัว่ ไป มกั จะใช้สถติ ิ เชน่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน การทดสอบ ค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวน ฯลฯ และจะใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเน้ือหา (Content Analysis) ส�ำหรับข้อค�ำถามประเภทปลายเปิด หรือใช้เขียนแสดงความคิดเห็น หรือบรรยาย สภาพความเปลย่ี นแปลงหลังการใชน้ วัตกรรม การเขียนรายงานการวิจัยและพัฒนา มีจุดเน้นที่การบอกเล่ากระบวนการพัฒนาและผล การใชน้ วตั กรรมอยา่ งชดั เจน โดยมลี กั ษณะการนำ� เสนอผลงานโดยทว่ั ไปสองลกั ษณะ คอื 1) ผลงาน ประเภทผลผลติ หรอื สงิ่ ประดษิ ฐท์ อี่ าจเปน็ วสั ดุ อปุ กรณ์ หรอื ชน้ิ งาน เชน่ สอ่ื การสอน ชดุ กจิ กรรม เสริมความรู้ คู่มือประกอบการท�ำงาน ฯลฯ ซึ่งจะน�ำเสนอสองส่วนส�ำคัญ คือ 1.1) นวัตกรรม/ ตัวส่ือ/สิ่งประดิษฐ์ และ 1.2) รายงานการพัฒนาหรือรายงานผลการทดลองใช้ และ 2) ผลงาน ประเภทหลักการ แนวคิด หรอื ทฤษฎี หรอื ประเภทแนวทาง วธิ ีปฏิบัติ วธิ ีการ กระบวนการ หรอื ประเภทระบบปฏบิ ตั ิ หรอื รปู แบบ เชน่ รปู แบบการบรหิ ารจดั การ รปู แบบการสอน รปู แบบวธิ กี าร สอน ระบบการท�ำงาน ฯลฯ ซ่ึงมักน�ำเสนอเป็นเล่มเดียว ในลักษณะของรายงานการพัฒนาหรือ รายงานการทดลองใช้ โดยจะต้องอธิบายใหเ้ หน็ รูปแบบของนวตั กรรมอยา่ งเป็นรปู ธรรมชดั เจน
Research in Educational Administration • 333 ส�ำหรับการประยุกต์ใช้การวิจัยและพัฒนาทางการศึกษา ผู้วิจัยสามารถประยุกต์หลัก การวจิ ยั และพฒั นา (R&D) ทางวทิ ยาศาสตร์ มาใชท้ างการศกึ ษา ซง่ึ ประกอบดว้ ยกระบวนการวจิ ยั สำ� คัญ 6 ข้นั ตอน เชน่ เดียวกนั ดังน้ี 1. การศกึ ษาสภาวะแวดลอ้ มวเิ คราะหส์ ภาพปญั หาและประเมนิ ความตอ้ งการจำ� เปน็ 2. การก�ำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการพัฒนา 3. การส�ำรวจหรือการสังเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการ (R1 = วิจัยเชิง สำ� รวจ/วเิ คราะห/์ สงั เคราะห)์ การออกแบบนวตั กรรมเบอ้ื งตน้ (D1=สรา้ งและตรวจสอบนวตั กรรม) และการทดลองน�ำร่องและประเมินผล (R2 = วิจัยเชิงทดลองใช้นวัตกรรม เมื่อทดลองใช้และ ประเมินผลแล้ว พบว่า ไมไ่ ดผ้ ล กใ็ ห้กลับไปทบทวน D1 ใหม่ หากพบวา่ ไดผ้ ล กใ็ หไ้ ปพัฒนา เพิ่ม/ปรับปรุง/แก้ไขใน D2 ต่อไป) 4. การปรับปรุงการออกแบบ (D2 = พัฒนาเพ่ิม/ปรับปรุง/แก้ไข) ทดลองซ�้ำ และประเมินผล (R3 = วิจัยเชิงประเมิน) และปรับปรุงเพ่ิมเติม (D3 = พัฒนา/ปรับปรุง/แก้ไข อกี ครงั้ หน่งึ ) 5. การสรปุ ผลและจดั ท�ำรายงานการวิจยั 6. การเผยแพร่และขยายผล
บทที่ การวิจัยทฤษฎีฐานราก 10 GROUNDED THEORY STUDY การวิจัยทฤษฎีฐานราก เป็นการวิจัยอีกรูปแบบหน่ึงที่ต้องการทราบถึงทฤษฎีหรือ คำ� อธิบายอยา่ งกว้าง ๆ เกี่ยวกบั กระบวนการใดกระบวนการหน่งึ เป็นทฤษฎีระดับกลาง (Middle range theory) ไมเ่ ทยี บเท่ากับทฤษฎีใหญ่ (Grand theory) เช่น ทฤษฎี X ทฤษฎี Y ทฤษฎีพฤติกรรม ของ Skinner ทฤษฎีการจงู ใจของ Maslow ฯลฯ ค�ำว่า Grounded Theory มีค�ำท่ีใช้เรียกในภาษาไทยอย่างหลากหลาย เช่น ทฤษฎี ฐานราก ทฤษฎจี ากขอ้ มลู ทฤษฎีตดิ ดนิ ทฤษฎตี ิดพื้น ฯลฯ แตใ่ นทน่ี ้ี ขอใช้ค�ำว่า “ทฤษฎีฐานราก” ซึ่งค�ำว่า “ฐานราก” น้ี มาจากความคิดท่ีว่า ทฤษฎีจะปรากฏจากการศึกษา และมีรากฐาน มาจากข้อมูลทเ่ี กบ็ มาจากภาคสนาม มากกว่าจากวรรณคดีทีเ่ ก่ยี วข้องกับการวจิ ัย ในบทน้ี จะน�ำเสนอการวิจัยทฤษฎีฐานราก ซึ่งประกอบด้วยเน้ือหาสาระท่ีส�ำคัญ 2 เรอื่ ง ไดแ้ ก่ 1) แนวคดิ เกย่ี วกบั การวจิ ยั ทฤษฎฐี านราก 2) กระบวนการสำ� คญั ของการวจิ ยั ทฤษฎี ฐานราก และ 3) กรณีตัวอย่างงานวิจัยทฤษฎฐี านราก โดยมรี ายละเอยี ด ดังตอ่ ไปนี้ 10.1 แนวคดิ เกย่ี วกับการวิจัยทฤษฎฐี านราก ในสว่ นนี้ ผวู้ จิ ยั ควรศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจเรอื่ งแนวคดิ เกย่ี วกบั การวจิ ยั ทฤษฎฐี านราก ซง่ึ ประกอบดว้ ยความหมายของการวจิ ยั ทฤษฎฐี านราก พฒั นาการของการวจิ ยั ทฤษฎฐี านราก และ หลักการส�ำคญั ของการสร้างทฤษฎีฐานราก โดยมีรายละเอียด ดงั น้ี 1. ความหมายของการวิจยั ทฤษฎีฐานราก ไดม้ นี กั วชิ าการทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศใหค้ วามหมายของการวจิ ยั ทฤษฎฐี านราก ไว้หลากหลาย โดยนักวิชาการในต่างประเทศได้ให้ความหมายของการวิจัยทฤษฎีฐานรากไว้ ดังตัวอย่างตอ่ ไปน้ี Glaser and Strauss (1967) กล่าวว่า การวิจัยทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory Study) เป็นการศึกษาปรากฏการณ์จากมุมมองและการให้ความหมายของคนจากปรากฏการณ์ นำ� ขอ้ มลู ทไี่ ดม้ าสร้างมโนทศั น์ (Concept) และหาความเชือ่ มโยงจากมโนทัศน์ตา่ ง ๆ ใหไ้ ด้ข้อสรุป เชงิ ทฤษฎีสำ� หรับอธิบายและท�ำความเขา้ ใจปรากฏการณท์ เี่ กิดข้นึ ต่อมาอีก 33 ปี Charmaz (2000, อ้างจาก Strauss and Corbin, 1998) กล่าวว่า ทฤษฎี ในความหมายของวิธีการวิจัยนี้ประกอบด้วยความสัมพันธ์ท่ีน่าจะมีหรือน่าจะเป็นระหว่าง มโนทัศน์หรือชุดของมโนทัศน์ ทฤษฎีท่ีสร้างขึ้นมาเช่นนี้จัดเป็นทฤษฎีระดับกลาง (Middle range theory) ซง่ึ ใช้อธิบายปรากฏการณใ์ นขอบเขตที่จำ� กัด จากนน้ั อีก 1 ปี Leedy and Ormrod (2001) กลา่ ววา่ ทฤษฎฐี านราก (Grounded theory) คอื ทฤษฎที ไี่ ดจ้ ากการศกึ ษาปรากฏการณท์ างสงั คม เปน็ ทฤษฎที ม่ี คี ณุ ลกั ษณะเฉพาะทถ่ี กู สรา้ งขน้ึ
336 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา มาจากข้อมูลทเี่ ปน็ ไปตามปรากฏการณ์จริงมากทสี่ ดุ โดยทฤษฎนี ้ี ถูกคน้ พบ พฒั นา และไดร้ ับการ ตรวจสอบ (Verify) จากการเกบ็ ข้อมูลและวเิ คราะหข์ ้อมลู ทเี่ ก่ียวขอ้ งกับปรากฏการณ์นน้ั ๆ อยา่ ง เปน็ ระบบ ทฤษฎจี ะประกอบไปดว้ ยชดุ ของมโนทศั น์ (Concept) ของปรากฏการณ์จรงิ มโนทัศน์ จะถกู เช่ือมโยงกนั ในรปู ของข้อเสนอท่ีแสดงถงึ ความเก่ียวพันกนั ในรูปแบบต่าง ๆ คำ� ว่า “ทฤษฎ”ี ในความหมายของวธิ กี ารวจิ ยั นค้ี อ่ นขา้ งจะกนิ ความกวา้ ง คอื หมายรวมถงึ มโนทศั น์ หรอื กรอบแนว ความคดิ ส�ำหรับการอธิบายปรากฏการณ์ท่นี ักวิจยั ท�ำการศึกษา ในปีเดยี วกัน Schwandt (2001) และอกี 7 ปี ต่อมา Creswell (2008) ได้ให้ความหมาย อย่างสอดคล้องกนั ว่า การวจิ ยั ทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory Study หรือ Grounded Theory Research : GTR) เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพอย่างเป็นระบบของการรวบรวมข้อมูล การจ�ำแนก ข้อมูลออกเป็นหมวดหมู่ และการเช่ือมโยงหมวดหมู่เหล่านั้น เพ่ือน�ำเสนอเป็นทฤษฎีที่เป็น กรอบแนวคิดกว้าง ๆ ส�ำหรับอธิบายกระบวนการของเหตุการณ์ (Event) กิจกรรม (Activities) การกระทำ� (Actions) หรอื การมีปฏสิ มั พนั ธ์ (Interactions) ในประเดน็ ทีว่ ิจยั ดังนนั้ ทฤษฎีที่เป็น ผลจากการวิจัยทฤษฎีฐานราก จึงเป็นทฤษฎีเชิงกระบวนการ (Process theory) ท่ีอธิบายถึง กระบวนการของเหตุการณ์ กจิ กรรม การกระท�ำ หรอื การมีปฏิสัมพันธท์ ่ีเกดิ ขนึ้ สว่ นนกั วชิ าการในประเทศ กไ็ ดใ้ หค้ วามหมายของการวจิ ยั ทฤษฎฐี านรากไวห้ ลากหลาย เช่นเดยี วกัน ดังตวั อย่างต่อไปนี้ นภาภรณ์ หะวานนท์ และคณะ (2543) อธิบายว่า ทฤษฎีฐานราก คือ ทฤษฎีที่ได้จาก การศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคม โดยทฤษฎีจะถูกสร้าง (Construct) และได้รับการตรวจสอบ (Verify)โดยการเกบ็ ขอ้ มลู และวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ปรากฏการณท์ างสงั คมอยา่ งเปน็ ระบบ ตอ่ มาอกี 4 ปี พิทกั ษ์ ศิรวิ งศ์ (2547, หนา้ 14) อธบิ ายทฤษฎฐี านรากไว้ว่า เป็นวิธวี ทิ ยา รูปแบบหนึ่งของการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีแนวความคิดหลักว่า การศึกษาเพ่ือการเรียนรู้ และ ท�ำความเข้าใจเรอ่ื งทเ่ี กย่ี วข้องกับพฤติกรรมของมนุษยแ์ ละการอยรู่ ว่ มกันของมนษุ ย์ จ�ำเปน็ ท่ีต้อง เขา้ ใจในกระบวนการทีบ่ ุคคลได้สร้างความหมายในสง่ิ ตา่ ง ๆ ตามโลกทัศน์ของตนเอง จากนั้นอีก 1 ปี กัญญา โพธิวัฒน์ และคณะ (2548) กล่าวว่า การวิจัยเพ่ือสร้างทฤษฎี ฐานรากเป็นวิธีวิทยาการวิจัยเชิงคุณภาพแบบหนึ่งซ่ึงไม่เหมือนงานวิจัยเชิงคุณภาพแบบอ่ืน ๆ โดยเป็นการเร่ิมต้นจากข้อมูลแล้วไปสู่สมมติฐาน และจบลงด้วยทฤษฎีที่เป็นค�ำอธิบายส�ำหรับ ปรากฏการณ์ท่ีศึกษา นักวิจัยจะต้องสร้างมโนทัศน์ สมมติฐานและกรอบแนวคิดส�ำหรับอธิบาย ปรากฏการณท์ ศ่ี กึ ษา กระบวนการเกบ็ ข้อมลู และวิเคราะหข์ อ้ มลู จะดำ� เนนิ ไปพร้อม ๆ กัน ขอ้ มูล ที่น�ำมาใช้วิเคราะห์อย่างเป็นระบบเพื่อสร้างทฤษฎีฐานรากจะต้องเป็นข้อมูลที่ให้รายละเอียด เก่ียวกับปรากฏการณ์ทางสังคมในเรื่องที่ศึกษาอย่างรอบด้าน ทฤษฎีท่ีสร้างขึ้นมาสามารถใช้ อธิบายปรากฏการณ์ที่เฉพาะเจาะจง การวิจัยเพ่ือสร้างทฤษฎีฐานรากจึงเป็นกระบวนการศึกษา ท่ีมีความท้าทายและเป็นประโยชน์อย่างย่ิงในการสร้างองค์ความรู้ใหม่หรือขยายองค์ความรู้เดิม ทีม่ อี ยู่ก่อนแลว้ กลา่ วโดยสรปุ การวจิ ยั ทฤษฎฐี านราก (Grounded Theory Study) เปน็ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ เก่ียวกับปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างเป็นระบบโดยเร่ิมต้นจากการรวบรวมข้อมูล แล้วน�ำข้อมูล
Research in Educational Administration • 337 ที่ได้มาสร้างมโนทัศน์ (Concept) ไปสู่สมมติฐาน และจบลงด้วยข้อสรุปเชิงทฤษฎีระดับกลาง (Middle range theory ) ซึง่ ใช้อธบิ ายปรากฏการณ์ทศี่ ึกษาในขอบเขตที่จำ� กัด 2. พฒั นาการของการวจิ ยั ทฤษฎฐี านราก การวจิ ยั ทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory Research : GTR) เป็นการวิจยั เชงิ คณุ ภาพ แบบสร้างทฤษฎีจากข้อมูล ได้รับการพัฒนาข้ึนในช่วงคร่ึงหลังของศตวรรษที่ 20 (1960) โดย นักสังคมวทิ ยาชอ่ื Barney Glaser กบั Anselm Strauss (1967) ซึ่งขณะนน้ั ประจ�ำอยทู่ ี่มหาวิทยาลัย แคลิฟอรเ์ นยี ซานฟรานซสิ โก (University of California, San Francisco) หนังสอื สำ� คญั ซึ่งเปน็ หมุดหมายของการเกิดแนวทางในการวิจัยเชิงคุณภาพแบบน้ี คือ The Discovery of Grounded Theory : Strategies for Qualitative Research (Glaser and Strauss, 1967) นักวชิ าการบางทา่ นกล่าว วา่ การเกดิ ขน้ึ ของ GTR เปน็ การปฏวิ ตั ทิ างระเบยี บวธิ ขี องการวจิ ยั ทางสงั คมศาสตร์ เพราะไดเ้ สนอ ระเบียบวิธีในการด�ำเนินการวิจัยท่ีมีรายละเอียดและเป็นระบบ ท้ังในกระบวนการเก็บข้อมูลและ การวิเคราะห์ขอ้ มลู นบั แตเ่ ร่ิมตน้ มาจนถงึ ปจั จบุ นั การท�ำ GTR มีการพัฒนาไปมาก ทำ� ใหม้ แี นวทางในการ ทำ� วจิ ยั หลายแบบเกดิ ข้ึน แตโ่ ดยรวมแล้ว กระบวนการสรา้ งทฤษฎจี ากข้อมูลของแนวทางการวิจยั แบบนก้ี ค็ ลา้ ยกนั นนั่ คอื ประกอบดว้ ย 1) การเกบ็ ขอ้ มลู และวเิ คราะหข์ อ้ มลู ไปพรอ้ มกนั 2) การสมุ่ ตัวอยา่ งเชิงทฤษฎี 3) การใหร้ หัสขอ้ มูล 4) การเปรียบเทียบ และ 5) การเขยี นบันทกึ เชิงวเิ คราะห์ ตั้งแต่ราว ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา GTR ได้รับความนิยมมากขึ้นเร่ือย ๆ ประมาณ ค.ศ. 2010 นักวชิ าการแห่งมหาวิทยาลัยฮดั เดอร์สฟลิ ด์ (University of Huddersfield) ในอังกฤษ ไดท้ ำ� การส�ำรวจนักวิจัยที่ใช้วิธีการเชิงคุณภาพ ผู้ตอบค�ำถามมีทั้งนักศึกษา อาจารย์ และนักวิจัยอาชีพ การส�ำรวจน้ีพบว่า มากกว่าคร่ึงหน่ึงของผู้ตอบค�ำถาม บอกว่า ตนใช้ GTR เป็นวิธีการวิจัย น่แี สดงใหเ้ ห็นวา่ GTR ได้รบั ความนยิ มมาก 3. หลักการสำ� คญั ของการสร้างทฤษฎีฐานราก หลักการส�ำคัญของการสร้างทฤษฎีฐานราก คือ ผู้วิจัยจะต้องมีความไวต่อการคิด และศึกษาข้อมูล (Theoretical Sensitivity) ในลักษณะที่จะน�ำไปสู่การสร้างมโนทัศน์และทฤษฎี ความไวดังกล่าวนี้จะต้องมีอยู่ในทุกขั้นตอนของการวิจัย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตัวอย่างเชิงทฤษฎี (Theoretical Sampling) การสร้างมโนทัศน์เชิงทฤษฎี (Theoretical Coding) และการหาข้อสรุป เชิงทฤษฎี (Theoretical Generating) โดยอาศัยกระบวนการน้ี ทฤษฎีฐานรากจึงเป็นทฤษฎีที่ มีลักษณะเฉพาะ คือ เป็นทฤษฎีท่ีถูกสร้างขึ้นมาจากข้อมูลที่เป็นไปตามปรากฏการณ์จริงมาก ท่ีสุด การสร้างมโนทัศน์เชิงทฤษฎี เป็นการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับทฤษฎี อาจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ ขนั้ ตอนของการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในการสรา้ งมโนทศั นน์ น้ั ขอ้ มลู ทม่ี อี ยเู่ ปจ็ ำ� นวน มากจะถกู นำ� มาแยกสว่ น หรอื จดั หมวดหมตู่ ามคณุ สมบตั ิ (Properties) โดยการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ตอ้ ง อาศยั การตคี วาม (Interpretation) ของผวู้ จิ ยั ดงั น้นั มโนทัศนจ์ งึ มใิ ช่สงิ่ ทพี่ บอย่ใู นปรากฏการณ์จริง แตเ่ ป็นส่งิ ท่ีผูว้ ิจยั ต้องสร้าง (Construct) ขึน้ มาจากข้อมูล (Strauss and Corbin, 1998, pp. 123-161)
338 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษา 10.2 กระบวนการสำ� คญั ของการวจิ ัยทฤษฎฐี านราก การวิจัยทฤษฎีฐานราก มีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างทฤษฎี โมเดลทางทฤษฎี หรือแนวคิด โดยใช้วิธีอุปนัย (Inductive approach) ซ่ึงมีกระบวนการที่ส�ำคัญ ๆ อาจสรุปได้ดังน้ี (วรรณี แกมเกต,ุ 2551; ชาย โพธิสิตา, 2554) 1. การเก็บขอ้ มูล นักวจิ ัยอาจใช้ทั้งขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพและข้อมลู เชิงปรมิ าณ และอาจใช้ เทคนคิ ทกุ อยา่ งทีเ่ หมาะสมและเขา้ ขา่ ยเพอ่ื การรวบรวมข้อมูล เชน่ เดียวกนั กับการวิจยั เชิงคณุ ภาพ ทั่ว ๆ ไป จึงต้องอาศัยกระบวนการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบด้วยวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์ เช่น การสังเกต การสัมภาษณเ์ ชงิ ลึก การจดั สนทนากลุ่ม การวเิ คราะหเ์ อกสาร ฯลฯ 2. การสร้างสมมติฐาน ในกระบวนการเก็บข้อมูล เมื่อได้ข้อมูลชุดแรก ซ่ึงอาจได้ มาจากการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้วิจัยจะต้องเร่ิมศึกษาข้อมูลที่ได้มา สร้างมโนทัศน์จากข้อมูล และ เชื่อมโยง มโนทัศนต์ า่ ง ๆ ตามท่ีปรากฏในข้อมูล แลว้ สร้างเป็นแนวคิดทางทฤษฎหี รอื สมมติฐาน ชวั่ คราวจากนนั้ นำ� แนวคดิ ทางทฤษฎหี รอื สมมตฐิ านชวั่ คราวนไี้ ปใชก้ บั ขอ้ มลู กลา่ วคอื การเลอื กเกบ็ ขอ้ มลู ตอ่ ไปจะเกดิ จากขอ้ คำ� ถามทผ่ี วู้ จิ ยั มตี อ่ ขอ้ สรปุ เชงิ แนวคดิ ทางทฤษฎหี รอื สมมตฐิ านชวั่ คราว ท่ีได้มาในตอนแรก อาศัยความไวเชิงทฤษฎีของผู้วิจัย จะช่วยให้ผู้วิจัยตัดสินใจได้ว่า ควรจะเก็บ ขอ้ มูลใดต่อไป จากใคร ทีจ่ ะใหข้ อ้ มูลและมโนทัศนท์ แี่ ตกตา่ งไปจากทไ่ี ด้มาแล้ว (Negative case) การสร้างแนวคิดทางทฤษฎีหรือสมมติฐานช่ัวคราวเป็นขั้นตอนส�ำคัญของการวิจัย แบบน้ี เป็นความพยายามท่ีจะตรวจสอบกรอบของแนวคิดทางทฤษฎีหรือสมมติฐานชั่วคราว ทไี่ ด้มาวา่ มคี วามสมบูรณเ์ พียงพอหรือไม่ 3. การเก็บข้อมูล/ทดสอบสมมติฐาน เมื่อผู้วิจัยได้แนวคิดทางทฤษฎีหรือสมมติฐาน ช่ัวคราวแล้ว ต้องย้อนกลับไปเก็บข้อมูลชุดใหม่หรือเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเพ่ือน�ำมาทดสอบหรือ ตรวจสอบแนวคิดทางทฤษฎีหรือสมมติฐานช่ัวคราวที่ได้ ซึ่งข้อมูลชุดใหม่ในขั้นนี้ เป็นข้อมูลที่ นักวิจัยต้องรวบรวมมาจากกลุ่มตัวอย่างท่ีจะเลือกมาเพ่ือการตรวจสอบและปรับปรุงแนวคิดทาง ทฤษฎีหรอื สมมตฐิ านช่วั คราวดังกลา่ ว 4. การปรับสมมติฐาน ข้อมูลท่ีรวบรวมมาจากกลุ่มตัวอย่างที่เลือกมาเพื่อการ ทดสอบ/ตรวจสอบและปรบั ปรงุ แนวคดิ ทางทฤษฎหี รอื สมมตฐิ านชว่ั คราวทไ่ี ดใ้ นเบอื้ งตน้ นน้ั อาจ จะส่งผลให้ต้องปรับแนวคิดทางทฤษฎีหรือสมมติฐานช่ัวคราวไปด้วย ซึ่งแนวคิดทางทฤษฎีหรือ สมมติฐานชั่วคราวท่ีปรับใหม่นี้จะต้องถูกน�ำไปตรวจสอบกับข้อมูล ท่ีจะต้องรวบรวมมาใหม่อีก ท�ำอย่างน้ีไปเรื่อย ๆ จนไม่มีความจ�ำเป็นท่ีจะต้องปรับปรุงแนวคิดทางทฤษฎีหรือสมมติฐาน ชัว่ คราวอกี ต่อไป เรียกได้วา่ ถึงจดุ อ่มิ ตัว (Salutation) เม่ือถึงจุดอ่ิมตัวแล้วหรือกล่าวอีกนัยหน่ึงก็คือ สมมติฐานไม่ได้ถูกท้าทายจากข้อมูล ใหม่และไม่มีความจ�ำเป็นท่ีจะต้องปรับอีกต่อไป นักวิจัยจึงจะหยุดการเก็บข้อมูลและเร่ิมขั้นตอน ต่อไปในกระบวนการวิจัย คือ การหาข้อสรุปเป็นทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) หรือ ค�ำอธิบายเชิงทฤษฎีของสิ่งท่ีศึกษา (Creswell, 1998) ซึ่งอาจจะเป็นค�ำอธิบายหรือกรอบความ คิดทางทฤษฎี และน่ันคือจุดจบของการวิจัยแบบน้ี จะเห็นได้ว่า ลักษณะสำ� คัญของวิธีด�ำเนินการ วิจัยแบบน้ี คอื “วิธอี ปุ นัย” (Inductive approach) โดยเร่มิ จากข้อมลู จากตัวอยา่ งทีเ่ จาะจงเลอื กมา
Research in Educational Administration • 339 จ�ำนวนหนึง่ แลว้ จึงวเิ คราะหห์ าขอ้ สรปุ หรือค�ำอธบิ ายเชงิ ทฤษฎีท่ีมลี ักษณะท่ัวไปจากข้อมูลนน้ั กล่าวโดยสรปุ กระบวนการท่สี �ำคญั ๆ ของการวิจัยทฤษฎฐี านราก (Grounded Theory Study) อาจสรุปได้ 4 กระบวนการ ได้แก่ 1) การเก็บข้อมูล 2) การสร้างสมมติฐาน 3) การเก็บ ขอ้ มูล/ทดสอบสมมติฐาน และ 4) การปรับสมมตฐิ าน 10.3 กรณตี ัวอย่างงานวิจัยทฤษฎฐี านราก ชือ่ เร่ือง : ทฤษฎีฐานรากของโรงเรียนผู้น�ำการเปล่ียนแปลงในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ในโรงเรียนและชุมชน ผู้วิจัย : ปฐมเกียรติ ไชยคำ� ปีทท่ี �ำวิจยั : 2554 ความเปน็ มาของการวจิ ยั การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน จะประสบผลส�ำเร็จได้น้ัน จ�ำเป็น ต้องอาศัยภาวะผู้น�ำของผู้บริหารและความร่วมมือของสมาชิกในองค์การ การมีภาวะผู้น�ำ การ มีความรู้ความเข้าใจ ในการก�ำหนดทิศทางองค์การ การส่งเสริมการเรียนรู้ของบุคลากรทั้ง ภายนอกและภายในโรงเรียน เกี่ยวกับการบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชนของผู้ บรหิ าร จงึ มีความส�ำคัญและจำ� เป็นอย่างยงิ่ ส�ำหรบั โรงเรยี นท่ตี ้องการจะด�ำเนนิ การเกยี่ วกบั เร่อื งน้ี เพราะเป็นการบริหารการเปลี่ยนแปลง หรืออาจเรียกได้ว่า เป็นโรงเรียนผู้น�ำการเปล่ียนแปลงใน การบรหิ ารจดั การสงิ่ แวดลอ้ มในโรงเรยี นและชมุ ชน และเปน็ การดำ� เนนิ งานทต่ี อบสนองหลกั สตู ร ท้องถิ่นท่ีโรงเรียนด�ำเนินการเอง อีกทั้งยังเป็นการบริหารท่ีจะท�ำให้บรรลุเป้าหมายที่ก�ำหนด ไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 และนอกจากน้ี ผู้เรียนยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายส่ิงแวดล้อม แผนการจัดการส่ิงแวดล้อมและ ตอบสนองต่อแผนพัฒนาสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ 10 ท่ีเน้นการด�ำเนินงานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง ที่เน้นความสมดุล การสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน บนรากฐานการพัฒนาของ ความสมดุลใน 3 มิติ คือ เศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยใช้แนวทาง การบูรณาการที่สอดคล้องกับระบบนิเวศของแต่ละพื้นที่ รวมท้ังผสมผสานการใช้ภูมิปัญญา ทอ้ งถน่ิ กับการใช้เทคโนโลยที ี่เหมาะสมและกลมกลืน โรงเรียนผู้น�ำการเปล่ียนแปลงในการบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน จึง เปน็ องคป์ ระกอบสำ� คญั ทจี่ ะทำ� ใหบ้ รรลผุ ลตามเปา้ หมาย และโรงเรยี นทเี่ ปน็ ตวั อยา่ งเชงิ ทฤษฎที ใ่ี ช้ ในการศึกษา ถอื ว่าเป็นตัวอย่างของประชากรโรงเรียนทีม่ ีจำ� นวนมากทีส่ ดุ ในประเทศไทย คือ เป็น โรงเรียนขนาดกลาง (นักเรยี น 121-500 คน) เปิดท�ำการสอนระดบั อนบุ าลถึงระดับประถมศึกษา มคี วามน่าเชอ่ื ถอื ได้ถึงรปู แบบในการบริหารจดั การสงิ่ แวดล้อมในโรงเรียนและชมุ ชน คือ ด�ำเนิน การต่อเน่อื งไมน่ ้อยกว่า 10 ปี มวี ธิ กี ารปฏิบัตทิ ีด่ ี ดว้ ยเหตุนี้หนว่ ยงานระดับชาติ คอื กรมส่งเสรมิ คุณภาพสิ่งแวดล้อมจึงประกาศรับรองให้เป็นแหล่งเรียนรู้กับเก่ียวโครงการธนาคารวัสดุรีไซเคิล ระดบั ประเทศประเภทโรงเรยี นประถมศกึ ษาและไดร้ บั รางวลั ชนะเลศิ ในการประกวดแขง่ ขนั ระดบั
340 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา ภมู ภิ าค จากโครงการโรงเรยี นสรา้ งสรรคส์ ง่ิ แวดลอ้ มดเี ดน่ เฉลมิ พระเกยี รติ และระดบั ประเทศ จาก การประกวดโครงการธนาคารวสั ดรุ ไี ซเคลิ และจากความสำ� เรจ็ ดงั กลา่ วทำ� ใหม้ ผี ใู้ หค้ วามสนใจทง้ั ชาวไทย และชาวต่างประเทศมาศึกษาดงู าน และเชิญเป็นวทิ ยากร นับจากปีที่ได้รบั รางวัล (2549) ถึง ปจั จบุ นั (2554) จำ� นวนมากกว่า 250 คณะ อยา่ งไรก็ตาม ถงึ แมโ้ รงเรยี นดงั กลา่ วจะมกี ารด�ำเนินการบรหิ ารจัดการจนเป็นวธิ ปี ฏิบัตทิ ่ี ดี และ เปน็ ที่ยอมรับ แตจ่ ากการศึกษาข้อมูลเบอ้ื งต้น พบว่า ยงั ไม่มกี ารศึกษา วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และรวบรวม เพ่ือจัดท�ำเป็นบทเรียน หรือส่ือท่ีเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการ สงิ่ แวดลอ้ มในโรงเรยี น และชมุ ชน และจากการวเิ คราะหง์ านวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง ยงั ไมพ่ บวา่ มกี ารศกึ ษา ในบริบทโรงเรียนประถมศึกษาในประเทศไทย ผู้วิจัยจึงเกิดแนวคิดว่า หากได้มีการศึกษาวิจัยใน เร่ืองน้ี ท่ีเน้นการเสนอข้อสรุปเชิงทฤษฎี โดยอาศัยวิธีวิทยาการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research methodology) เพ่ือสร้างทฤษฎีฐานราก (Grounded theory study) และน�ำข้อเสนอ เชิงทฤษฎีดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญยืนยัน และตรวจสอบความเป็นไปได้จากโรงเรียนท่ีมีการ ด�ำเนินกิจกรรมด้านส่ิงแวดล้อม โดยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quality research methodology) ซึ่งจะได้องค์ความรู้ใหม่ในเชิงทฤษฎีจากบริบทแบบไทย ท่ีจะเป็นประโยชน์ในการท�ำให้การ บริหารจดั การสง่ิ แวดล้อมในโรงเรียนและชุมชนมปี ระสิทธภิ าพและประสทิ ธิผลสูงขึน้ ระเบยี บวธิ ีวิจยั การวจิ ัยครั้งนี้ ใช้การวจิ ัยแบบผสมผสาน (Mixed research methodology) เป็นการน�ำวิธี วิทยาการวิจัยเชิงคุณภาพและเทคนิควิธีการวิจัยเชิงปริมาณ มาผสมผสานกันในการสร้างทฤษฎี ฐานรากและการศกึ ษาความเปน็ ไปไดข้ องการนำ� ทฤษฎไี ปใช้สำ� หรบั การเกบ็ ขอ้ มลู และการวเิ คราะห์ ข้อมลู ดำ� เนนิ การเปน็ 3 ขน้ั ตอน ดงั น้ี ขัน้ ตอนท่ี 1 การเก็บข้อมลู และการตรวจสอบความนา่ เชอ่ื ถือของขอ้ มูล 1. การเก็บขอ้ มูล การวิจัยคร้ังนี้ เป็นการศึกษาปรากฏการณ์เพ่ือสร้างทฤษฎีฐานราก การเก็บข้อมูลจึงใช้ วิธีการที่หลากหลายและใช้วิธีการทางสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย การถอดบทเรียน การสนทนา กลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการวิเคราะห์ส่ิงบันทึก ซึ่งข้อมูลท่ีน�ำ มาวิเคราะห์เป็นข้อมูลที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมในเร่ืองการบริหารจัดการ สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชนท่ีศึกษาอย่างรอบด้าน และการบันทึกข้อมูลในงานวิจัย ใช้การ บรรยายเหตกุ ารณ์ ประสบการณข์ องคน เรอ่ื งเลา่ สภาพสังคมอย่างละเอียด เพ่อื ท่จี ะทำ� ความเขา้ ใจ ถึงความหมาย ประสบการณ์ หรอื เหตุการณต์ า่ ง ๆ และจะชว่ ยให้ผู้วิจัยตีความปรากฏการณ์นั้น ๆ ไดต้ รงตามความหมายของสงิ่ ท่ีเกดิ ขนึ้ อนั จะน�ำไปสู่ความเขา้ ใจปรากฏการณ์นน้ั อยา่ งแท้จรงิ 2. การตรวจสอบเพอ่ื ยืนยันความนา่ เช่ือถอื ของข้อมูล ในการตรวจสอบเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของข้อมูลใช้เทคนิค Triangulation ประกอบ ด้วย 1) การใชน้ ักวิจยั หลายคนในสนาม (Fieldwork) แทนการใชผ้ ูว้ ิจยั เพยี งคนเดียว 2) การเปรยี บ เทียบข้อมูลที่ได้มาจากเทคนิคการเก็บข้อมูลหลายวิธีการเพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีสมบูรณ์ 3) การเปรียบ เทียบและตรวจสอบความแน่นอนของข้อมูล (Consistency) และ 4) การให้บุคคลต่าง ๆ ซ่ึงเป็น
Research in Educational Administration • 341 ผู้ให้ข้อมูลหลักท�ำการทบทวนข้อค้นพบจากการวิเคราะห์ของคณะวิจัย ทั้งนี้ เพื่อตรวจสอบ ด้านความแม่นย�ำ (Accuracy) ความสมบูรณ์ (Completeness) ความเป็นธรรม (Fairness) และ ความนา่ เช่อื ถือ (Credibility) ในประเดน็ ตา่ ง ๆ 3. การประมวลผลการวิจัย และวิเคราะหข์ อ้ มลู ในการประมวลผลการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยด�ำเนินการเป็นระยะ ๆ ในช่วงการ เกบ็ ขอ้ มลู โดยใช้โปรแกรม Nvivo รุ่น 8 ช่วยในการจดั ระบบข้อมลู และจะอาศัยความไวเชิงทฤษฎี (Theoretical sensitivity) ในการท�ำความเข้าใจและวเิ คราะหข์ อ้ มูล ซึง่ การวิเคราะหข์ ้อมูลประกอบ ดว้ ย 4 ข้ันตอน คือ 1) การเปิดรหสั (Open coding) เปน็ การนำ� เอาข้อมลู ที่ได้จากแหล่งต่าง ๆ มา จำ� แนกเปน็ หมวด (Category) หรอื กลมุ่ ทม่ี คี วามหมาย (Meaningful group) ซง่ึ ประกอบดว้ ยหมวด หลกั และหมวดยอ่ ยหลาย ๆ หมวด 2) หาแกน่ ของรหสั (Axial coding) เปน็ การเลอื ก (Select) หมวด หลกั จากหมวดใดหมวดหนงึ่ เพอื่ กำ� หนดใหเ้ ปน็ ปรากฏการณห์ ลกั (Corephenomenon)ของโรงเรยี น ผนู้ ำ� การเปลย่ี นแปลงในการบรหิ ารจดั การสงิ่ แวดลอ้ มในโรงเรยี นและชมุ ชน จากนน้ั กำ� หนดความ สัมพนั ธ์ของหมวดหลกั อื่น โดยจะเน้นไปทเี่ งอื่ นไขกลยุทธ์ที่น�ำมาใชเ้ พ่ือจดั การ และผลลัพธ์ที่เกดิ จากการใชก้ ลยทุ ธน์ น้ั ผวู้ จิ ยั จะใชว้ ธิ กี ารสลบั ไปมา (Zigzag approach) ระหวา่ งการเกบ็ ขอ้ มลู กบั การ เปดิ รหสั และการหาแกน่ ของรหสั 3) การเลือกรหัส (Selective coding) และ 4) การพฒั นารูปแบบ ความสมั พันธ์เชิงเหตุผลหรอื แผนภาพของทฤษฎี (Development of logic paradigm or picture of theorygenerated)เปน็ การเขยี นทฤษฎจี ากรปู แบบความสมั พนั ธเ์ ชงิ เหตผุ ลหรอื แผนภาพของทฤษฎี หรอื รปู แบบความสมั พนั ธ์เชิงเหตุผลระหว่างเงอ่ื นไข สาเหตุ ปรากฏการณ์หลัก กลยทุ ธ์ และผลที่ ตดิ ตามมา ซึ่งเป็นการอธิบายวา่ อะไรเกดิ ขึน้ ในปรากฏการณท์ ศี่ ึกษา ขัน้ ตอนท่ี 2 การตรวจสอบเพือ่ ยืนยันความน่าเช่ือถอื ของข้อสรุปเชงิ ทฤษฎี ในการตรวจสอบเพ่ือยืนยันความน่าเชื่อถือของข้อสรุปเชิงทฤษฎี ด�ำเนินการโดยให้ ผู้เชี่ยวชาญ (Expert audit review) ท�ำการตรวจสอบภายหลังจากการสร้างข้อสรุปเชิงทฤษฎี การตรวจสอบดังกล่าวต้องกระท�ำโดยกรอบ (Framework) และเกณฑ์บรรทัดฐาน (Criteria) ทเี่ หมาะสม ด้วยการหาคา่ IOC เพอ่ื ยืนยันความน่าเชื่อถือของข้อสรุปเชิงทฤษฎี ขน้ั ตอนที่ 3 การศกึ ษาความเป็นไปได้ในการน�ำข้อสรุปเชงิ ทฤษฎีไปใช้ การศกึ ษาความเปน็ ไปไดใ้ นการนำ� ขอ้ สรปุ เชงิ ทฤษฎไี ปใช้ ดำ� เนนิ การโดยใชแ้ บบสอบถาม ผบู้ รหิ ารโรงเรยี น ทเ่ี ปน็ โรงเรยี นแกนนำ� เครอื ขา่ ยดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม โดยการเลอื กแบบเจาะจง จำ� นวน 30 โรงเรยี น ประกอบดว้ ยโรงเรียนขนาดเลก็ (นกั เรียน 120 คนลงมา) จำ� นวน 10 โรงเรียน โรงเรียน ขนาดกลาง (นกั เรียน 121-500 คน) จ�ำนวน 15 โรงเรียน และโรงเรยี นขนาดใหญ่ (นกั เรยี น 501 คน ขึ้นไป) จ�ำนวน 5 โรงเรียน โดยโรงเรยี นท้งั หมดมคี ณุ สมบัติดังนี้ คอื 1) เป็นโรงเรียนท่มี กี ารด�ำเนิน กจิ กรรมเกย่ี วกบั การบรหิ ารจดั การสงิ่ แวดลอ้ มในโรงเรยี นและชมุ ชน 2) เปน็ โรงเรยี นทยี่ งั ไมเ่ คยได้ รบั รางวลั ในระดบั ชาติ และ 3) เปน็ โรงเรยี น ทหี่ นว่ ยงานราชการซง่ึ มหี นา้ ทเี่ กยี่ วกบั การสง่ เสรมิ การ จัดกจิ กรรมดา้ นส่งิ แวดลอ้ ม พิจารณาและเจาะจงเลอื กตามคณุ สมบตั ดิ งั กล่าว
342 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา สรปุ และอภปิ รายผลการวจิ ยั การวิจัยคร้ังน้ี ได้สร้างมโนทัศน์ เช่ือมโยงมโนทัศน์ เสนอเป็นข้อสรุปเชิงทฤษฎี ยืนยัน ขอ้ สรุปเชงิ ทฤษฎโี ดยผเู้ ช่ยี วชาญ และตรวจสอบความเป็นไปได้ของขอ้ สรุปเชงิ ทฤษฎีกับโรงเรียน แกนน�ำเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อม ผลการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนท่ี 1 ขอ้ สรปุ เชงิ ทฤษฎี ทฤษฎีฐานรากของโรงเรียนผู้น�ำการเปล่ียนแปลงในการบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมใน โรงเรียนและชมุ ชน กำ� หนดเป็น 4 หมวดหลัก คอื 1) ลกั ษณะของโรงเรียนผู้นำ� การเปลย่ี นแปลงใน การบรหิ ารจดั การส่งิ แวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน ประกอบด้วย 6 มโนทัศนห์ ลัก และ 10 มโน ทศั น์ยอ่ ย 2) เงือ่ นไขและกระบวนการเกิดของโรงเรียนผ้นู ำ� การเปลย่ี นแปลงในการบริหารจดั การ สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน ประกอบด้วย 3 มโนทัศน์หลัก และ 8 มโนทัศน์ย่อย 3) การ ด�ำรงอยขู่ องโรงเรียนผนู้ ำ� การเปลีย่ นแปลงในการบริหารจัดการสิง่ แวดลอ้ มในโรงเรยี นและชุมชน ประกอบด้วย 4 มโนทัศน์หลัก และ 12 มโนทัศนย์ ่อย และ 4) ผลท่เี กดิ ตามมาจากการเปน็ โรงเรยี น ผนู้ ำ� การเปลย่ี นแปลงในการบรหิ ารจดั การสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน ประกอบดว้ ย 2 มโน ทศั น์หลกั และ 6 มโนทัศนย์ ่อย โดยมรี ายละเอียด ดงั น้ี 1. ลกั ษณะของโรงเรยี นผนู้ ำ� การเปลย่ี นแปลงในการบรหิ ารจดั การสง่ิ แวดลอ้ มในโรงเรยี น และชมุ ชน ประกอบดว้ ย 1) นิยามและความหมายของโรงเรียนผู้น�ำการเปล่ียนแปลงในการบริหารจัดการ สงิ่ แวดลอ้ มในโรงเรยี นและชมุ ชนตามมมุ มองของผทู้ อ่ี ยใู่ นปรากฏการณ์ คอื เปน็ โรงเรยี นทมี่ คี วาม สะอาด บคุ ลากร มคี วามสนใจ ใส่ใจ กระตือรอื รน้ และมีสว่ นรว่ มในกิจกรรมทดี่ �ำเนนิ การเกีย่ วกบั การบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมท้ังในโรงเรียนและชุมชนเชิงระบบ มีความต่อเน่ือง ยั่งยืน มีแหล่ง เรยี นรู้ และสามารถเป็นแบบอย่างแกโ่ รงเรียนและหน่วยงานอืน่ 2) การกอ่ ตวั ขนึ้ เปน็ โรงเรียนผูน้ ำ� การเปลี่ยนแปลงในการบรหิ ารจัดการสง่ิ แวดลอ้ ม ในโรงเรยี นและชมุ ชน มี 2 ปจั จยั หลกั คอื ปจั จยั ภายนอกและปจั จยั ภายใน สำ� หรบั ปจั จยั ภายนอกเกดิ จากกระแสปญั หาสงิ่ แวดล้อม นโยบายของรฐั บาล การประสานนโยบายสกู่ ารปฏิบตั ิ และกลยุทธ์ การจัดการขยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนปัจจัยภายในพัฒนามาจากพื้นฐานเดิมใน การรักษาเกียรติประวัติของโรงเรียนที่มีความโดดเด่นทางวิชาการมาแต่อดีต รวมถึงการตระหนัก ในปัญหาและการเห็นประโยชน์จากการแก้ปัญหาของผู้บริหาร รวมถึงการมีส่วนร่วมของครูและ บุคลากร ในการค้นหาและวิเคราะห์ปัญหา การค้นหาสาเหตุปัญหา การก�ำหนดเป้าหมายและวิธี การแกป้ ญั หา โดยบคุ ลากรในโรงเรยี นและชมุ ชนไดร้ ว่ มกนั กำ� หนดเปา้ หมายและวธิ กี ารทำ� งานของ โรงเรียนไว้ชดั เจน โดยเป้าหมายหลักทก่ี ำ� หนดไว้ คือ Zero waste school ส่วนวิธกี ารการทำ� งานที่ จะไปสู่เปา้ หมายดงั กลา่ ว กำ� หนดไว้ 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ริเรมิ่ เตรียมการ ทดลองและหาวธิ กี าร ระยะท่ี 2 สร้างความตระหนกั การสื่อสาร การพัฒนาบุคลากร การวางยทุ ธศาสตร์การดำ� เนนิ งาน และการประเมนิ ความสำ� เรจ็ ระยะที่ 3 สรา้ งเครอื ขา่ ยและขยายผล 3) การบริหารจัดการเชิงระบบที่เน้นความย่ังยืน มีการออกแบบระบบอนุรักษ์ พลังงานและสง่ิ แวดลอ้ ม ทม่ี กี ารกำ� หนดวธิ กี ารมาตรฐานการทำ� งานสคู่ วามสำ� เรจ็ มดี ชั นชี ว้ี ดั คอื
Research in Educational Administration • 343 การบรู ณาการเข้าสู่ระบบงาน การจัดการที่ครบวงจร การพัฒนาที่ครอบคลุมทุกส่วนของระบบ โรงเรียน จากน้ันด�ำเนินการตามระบบที่ได้ออกแบบไว้ และมีการประเมินทบทวนระบบเป็น ระยะ ๆ โดยมกี ารน�ำกระบวนการวจิ ยั มาใช้ ในการปรบั ปรุงระบบเพอื่ การพฒั นาตอ่ เนอ่ื งส่ยู ่งั ยืน 4) พฤติกรรมของบุคลากร บคุ ลากรจะท�ำงานตามระบบโดยยึดมัน่ ในเป้าหมายของ โรงเรยี น ชอบการประชมุ และแกป้ ญั หาในทป่ี ระชมุ มกี ารเรยี นรรู้ ว่ มกนั และเคารพในปจั เจกบคุ คล มีการทำ� งานเป็นทีม โดยแบง่ เป็น 3 ทีม คือ ทมี น�ำ ทีมคณุ ภาพ และทีมปฏิบตั ิการ ส�ำหรับทีมนำ� ประกอบดว้ ยผบู้ รหิ ารและครแู กนนำ� ซง่ึ ทปี่ ระชมุ ยอมรบั สว่ นทมี อน่ื ๆ จะทำ� หนา้ ทที่ งั้ การเปน็ ผนู้ ำ� และผู้ตาม โดยสมาชกิ คนหนง่ึ ๆ อาจเขา้ ไปร่วมเป็นสมาชิกในทีมอ่นื ๆ ได้หลายทมี ตามพื้นฐาน ความสามารถ และความสนใจ รวมท้ังการเปน็ หวั หน้าทีม 5) การเปน็ ศนู ยก์ ารเรยี นรู้คอื โรงเรยี นและชมุ ชนเปน็ แหลง่ เรยี นรเู้ กย่ี วกบั การจดั การ ขยะและสิ่งแวดลอ้ ม โดยในโรงเรียนมีแหลง่ เรียนรู้และมีการฝกึ อบรมหรอื การถา่ ยทอดความรูแ้ ก่ ผู้สนใจ ส่วนชุมชนมีพื้นที่ต้นแบบท่ีเป็นแหล่งเรียนรู้และมีกิจกรรมท่ีส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยว กับการจัดการขยะและส่ิงแวดล้อม และนอกจากนี้ ยังมีกระบวนการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้สนใจ ทั้งในและนอกชมุ ชน 6) การเชอ่ื มโยงเปน็ เครอื ขา่ ย คอื การเชอ่ื มโยงกบั องคก์ รตา่ ง ๆ ทด่ี ำ� เนนิ การเกยี่ วกบั การจัดการสิ่งแวดล้อม ท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม หรือองค์กรชุมชนอื่น เพ่ือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พัฒนาบุคลากร และสร้างความร่วมมือด้านการเรียนรู้ การสนับสนุนงบ ประมาณเพือ่ การพฒั นาท่ตี ่อเนื่อง 2. เงื่อนไขและกระบวนการเกิดเป็นโรงเรียนผู้น�ำการเปล่ียนแปลงในการบริหารจัดการ สงิ่ แวดล้อมในโรงเรยี นและชมุ ชน จำ� แนกได้เปน็ 1) เงอื่ นไขผบู้ รหิ ารคอื ผบู้ รหิ ารโรงเรยี นจะมลี กั ษณะเฉพาะตวั ซง่ึ ประกอบดว้ ยการมี ภาวะผนู้ ำ� การเปลยี่ นแปลง ทมี่ คี วามเปน็ ผนู้ ำ� ทางวชิ าการ มคี วามมงุ่ มนั่ ในการทำ� งานใหส้ ำ� เรจ็ ตาม เปา้ หมายดา้ นการบรหิ ารจดั การสงิ่ แวดลอ้ มในโรงเรยี นและชมุ ชน มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั การ บรหิ ารจัดการส่งิ แวดลอ้ มในโรงเรียนและชุมชน ใช้การบรหิ ารจดั การเชิงกลยทุ ธ์ มีความสามารถ ในการส่ือสารและการจูงใจในเป้าหมายขององค์กรด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน และชมุ ชน มคี วามสามารถในการประสานกบั องคก์ รอนื่ ๆ เพอ่ื ขอรบั การสนบั สนุนดา้ นวิชาการ การบริหารจัดการ และงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน มีการสร้างผู้น�ำร่วม แบบหุ้นส่วนให้เกิดข้ึนแต่ละระดับของการบริหาร มีการพัฒนาศักยภาพการเป็นผู้น�ำของครูและ บคุ ลากรด้านการบรหิ ารจดั การสิ่งแวดลอ้ มในโรงเรียนและชุมชน โดยการใหอ้ ิสระในการคดิ และ สร้างสรรค์งานด้านการจัดการเรียนรู้เก่ียวกับสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน นอกจากน้ี ยังมี การส่งเสรมิ การเรียนรแู้ ละทำ� งานเป็นทมี โดยใชก้ ระบวนการวจิ ัยและพฒั นา 2) เงอื่ นไขภายในเปน็ เงอื่ นไขทมี่ าจากสภาพปญั หาการจดั การสง่ิ แวดลอ้ มในโรงเรยี น และความตอ้ งการในการแกป้ ญั หา โดยบคุ ลากรทกุ คนมคี วามชดั เจนในนโยบาย และมกี ารประชมุ เพ่อื แลกเปลย่ี นเรียนรู้ภายในโรงเรียนอยู่เสมอ โดยมีรายละเอยี ดของเง่อื นไข คือ มีบริบทโรงเรยี น ท่เี อื้อต่อการบริหารจัดการส่งิ แวดล้อมในโรงเรียนและชมุ ชน ทีม่ ดี ชั นชี วี้ ัด คอื เป็นโรงเรยี นท่ีเปน็
344 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา เอกเทศจากชุมชน เป็นโรงเรียนที่มีครูเพียงพอกับจ�ำนวนนักเรียน เป็นโรงเรียนที่ไม่มีปัญหาด้าน งบประมาณ เปน็ โรงเรยี นทม่ี พี นื้ ทที่ สี่ ามารถจดั กจิ กรรมการจดั การขยะได้ สว่ นการมสี ว่ นรว่ มของ บุคลากร มีดัชนีชี้วัด คือ เป็นโรงเรียนที่มีปัญหาการจัดการขยะที่ทุกฝ่ายเห็นปัญหาร่วมกัน เป็น โรงเรยี นทบี่ คุ ลากรรว่ มกนั แสวงหาทางออก/การพฒั นางานรว่ มกนั และเปน็ โรงเรยี นทม่ี วี ฒั นธรรม การท�ำงานท่เี นน้ ความสำ� เร็จ ความต่อเนื่อง และการเปน็ แบบอยา่ งทด่ี ีของหนว่ ยงานอื่น 3) เง่ือนไขภายนอก เป็นเง่ือนไขที่มาจากกระแสภาวะโลกร้อนและการท�ำลาย ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม เครอื ขา่ ยความรว่ มมอื จากหนว่ ยงานนอกโรงเรยี นทป่ี ระสาน ความร่วมมือมายังหน่วยงานต้นสังกัดของโรงเรียนเพ่ือสร้างเครือข่ายในการจัดการขยะมูลฝอย โดยให้การส่งเสริม สนับสนุนงบประมาณ การอบรม การให้ความรู้และการพาไปศึกษาดูงาน ด้านสิ่งแวดล้อม เม่ือโรงเรียนประสบผลส�ำเร็จระดับหน่ึงจึงพาคณะต่าง ๆ มาศึกษาดูงานท�ำให้ โรงเรยี นเกดิ การตน่ื ตวั และพฒั นางานตอ่ เนอื่ งในสว่ นของชมุ ชนมบี รบิ ททเี่ ออื้ ตอ่ การบรหิ ารจดั การ สง่ิ แวดลอ้ มในโรงเรยี นและชมุ ชน คอื มเี สน้ ทางการคมนาคมทสี่ ะดวก เปน็ ชมุ ชนทส่ี ามารถจดั การ ขยะได้ด้วยตนเองภายในครัวเรือน ชุมชนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรท่ีมีรายได้น้อย มีรากเหง้าทาง วัฒนธรรมชนบท มีความสามัคคีและร่วมมือกันในการท�ำงาน และเป็นชุมชนท่ีมีความสัมพันธ์ ที่ดีกับโรงเรียน และให้การสนับสนุนโรงเรียนอย่างต่อเน่ือง และนอกจากนี้ โรงเรียนยังสร้าง เครือขา่ ยความร่วมมอื กบั ภาคีและองคก์ รอน่ื ภายนอกโรงเรียน ทั้งในระดบั พื้นท่ีและนอกพ้ืนที่ 3. การด�ำรงอยู่ของโรงเรียนผู้น�ำการเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมใน โรงเรียนและชุมชน แสดงให้เห็นได้จากระยะเวลาของโครงการท่ีด�ำรงอยู่มากกว่า 10 ปี และ กระบวนการทีแ่ สดงใหเ้ ห็นถึงการดำ� รงอยู่ ประกอบดว้ ย 1) การจัดท�ำเป็นแผนกลยุทธ์ มีการก�ำหนดให้การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมใน โรงเรียนและชุมชนเป็นเอกลักษณ์ของโรงเรียน และทุกขั้นตอนของการจัดท�ำแผน บุคลากร ทกุ ฝา่ ยมีสว่ นรว่ ม และตดั สินใจ 2) การสร้างกระบวนการเรียนรู้แบบพลวัต คือ มีความต่อเน่ืองและยกระดับ ประกอบดว้ ย (1) กระบวนการเรยี นรใู้ นโรงเรยี น มดี ชั นชี วี้ ดั คอื มกี ารจดั ทำ� หลกั สตู รทอ้ งถนิ่ เร่ืองการจัดการขยะในโรงเรียนและชุมชน การจัดการเรยี นรบู้ ูรณาการ ใน 8 กลมุ่ สาระ การจัดการ เรียนรู้บูรณาการในกิจกรรมประจ�ำวันของนักเรียน การสร้างแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมใน โรงเรยี น การสรา้ งแหลง่ เรยี นรดู้ า้ นพลงั งานทางเลอื กในโรงเรยี น และสอดแทรกกระบวนการกลมุ่ ในการเรียนและการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมของนักเรียน (2) กระบวนการเรียนรู้ในชุมชน มีดัชนีช้ีวัด คือ มีการรวมกลุ่มเพื่อจัดต้ัง ธนาคารวัสดุรีไซเคลิ ของชมุ ชน มกี ารเผาถา่ นดว้ ยเตาคุณภาพสูง มีการจดั เกบ็ และใชน้ �้ำส้มควันไม้ ในการเกษตร มีการจัดท�ำนำ้� หมกั ชวี ภาพเปน็ รายบุคคลหรือกลุม่ คนในชุมชนและมกี ารใช้น้�ำหมกั ชวี ภาพในการเกษตร มแี นวโนม้ การลดการเผาตอซังหลังฤดูเก็บเกี่ยว (3) การสอดแทรกปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีดัชนีชี้วัด คือ มีการจัดท�ำหรือ สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในแผนการจัดการเรียนรู้ มีการสอดแทรก
Research in Educational Administration • 345 ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงผ่านกิจกรรมในและนอกห้องเรียน มีเอกสาร/ข่าวสาร/กิจกรรมที่เกี่ยว กบั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งในชุมชน (4) การพัฒนาต่อยอดโครงการ มีดัชนีช้ีวัด คือ มีกระบวนการวิจัยและพัฒนา เก่ียวกับการบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน มีการขยายผลโครงการสู่ชุมชนใน รูปแบบต่าง ๆ มีการส่งโครงการท่ีเกี่ยวกับการบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน มกี ารประกวดในระดบั ต่าง ๆ 3) การสรา้ งความเขม้ แขง็ ของทมี งาน คอื มีกระบวนการพฒั นาบคุ ลากร การสร้าง ผ้นู ำ� ร่วมแบบหนุ้ สว่ น และการสร้างเครอื ข่าย โดยมีรายละเอียด ดังน้ี (1) กระบวนการพฒั นาบคุ ลากรมดี ชั นชี ว้ี ดั คอื มกี ารพฒั นาบคุ ลากรใหม้ คี วามรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านส่ิงแวดล้อม มีการส่งเสริมครูให้จัดท�ำคู่มือการด�ำเนินกิจกรรม เก่ียวกับส่ิงแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน การท�ำผลงานทางวิชาการจากการด�ำเนินงานเก่ียวกับ สิง่ แวดลอ้ มในโรงเรียนและชุมชน และมกี ารจดั ปจั จัยเก้ือหนนุ ในการปฏบิ ัตงิ านของบคุ ลากร (2) การสรา้ งผนู้ ำ� รว่ มมดี ชั นชี วี้ ดั คอื มกี ารประชมุ รว่ มกนั เกยี่ วกบั วธิ กี ารทำ� งาน เพื่อใหง้ านดา้ นสิง่ แวดล้อมบรรลตุ ามเป้าหมายท่รี ว่ มกนั ก�ำหนด โดยกำ� หนดบทบาท หน้าท่ี และ ความรับผิดชอบที่ชัดเจนและให้อิสระในการสร้างสรรค์งาน มีการมอบหมายให้ครูและนักเรียน เปน็ วทิ ยากรบรรยาย/สาธติ แกผ่ มู้ าดงู านในโครงการ/กจิ กรรมทรี่ บั ผดิ ชอบ นอกจากนี้ ยงั มกี ารเชญิ ปราชญ์ในชุมชนมาร่วมเป็นวิทยากรบรรยายแก่ผู้มาศึกษาดูงานและให้ความรู้หรือฝึกนักเรียนให้ ปฏิบัติในกิจกรรมดา้ นส่งิ แวดล้อมและพลังงาน (3) การสรา้ งเครอื ขา่ ยในชมุ ชน มดี ชั นชี วี้ ดั คอื มกี ารจดั ตงั้ วสิ าหกจิ ชมุ ชนหรอื การรวมกลุ่มชุมชนเพื่อรับซื้อของเก่า มีการจัดตั้งหรือประสานความร่วมมือกับกลุ่มปุ๋ยอินทรีย์ ชีวภาพ กลุม่ ผกั ปลอดสารพิษ และกลุ่มอ่ืน ๆ ภายในชมุ ชน (4) การขยายผลสู่หน่วยงานอ่ืน เป็นการขยายโครงการสู่หน่วยงานอ่ืน ทั้งใน รูปแบบท่ีโรงเรียนจัดการเอง และโครงการความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น อบจ. นอกจากนี้ ยังด�ำเนินการในรปู การรายงานผล การเสนอในรูปการวจิ ยั และการประชาสมั พนั ธ์โครงการ (5) การปรับวัฒนธรรมการท�ำงานของบุคลากรของโรงเรียน ประกอบด้วย การก�ำหนดวิธีการท�ำงานร่วมกัน การก�ำหนดบทบาทของผู้เก่ียวข้องชัดเจน และการด�ำเนินการ ที่ต่อเนื่องและยกระดับ โดยทุกคนมีการรับรู้และเข้าใจในวิสัยทัศน์และเป้าหมายของโรงเรียน มีความชัดเจนในพันธกิจ บทบาท และหน้าท่ีของตน มีความรับผิดชอบในบทบาทหน้าท่ีที่ได้รับ มอบหมายและทุม่ เทในการท�ำงาน 4. ผลท่ีติดตามมาจากการเป็นโรงเรียนผู้น�ำการเปล่ียนแปลงในการบริหารจัดการ สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน ผลที่ติดตามมามีท้ังผลกระทบทางบวกและผลกระทบทางลบ โดยมรี ายละเอยี ด ดังนี้ 1) ผลกระทบทางบวก คือ ผลดีท่ีเกิดจากการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน และชุมชน โดยมดี ชั นีชีว้ ัดคอื (1) โรงเรียนมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและเป็นแหล่งศึกษาดูงานด้านการบริหาร
346 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา จัดการส่ิงแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชนโดยมีดัชนีชี้วัด คือ โรงเรียนได้รับรางวัลชนะเลิศระดับ ประเทศเกยี่ วกบั การบรหิ ารจดั การสง่ิ แวดลอ้ มในโรงเรยี นและชมุ ชน มหี นว่ ยงานระดบั ชาตริ บั รอง การเปน็ แหลง่ เรยี นรู้ การได้รบั เชิญเป็นวิทยากรบอ่ ยครัง้ และมผี ูม้ าศึกษาดงู านจำ� นวนมาก (2) เกิดกระบวนการเรียนรู้ของบุคลากรในโรงเรียนและชุมชนโดยผู้บริหาร มีความรู้ความเข้าใจและมีทักษะในการบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชนสามารถ พัฒนาต่อยอดโครงการหรือกิจกรรมรวมถึงการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้อื่นได้ ส่วนครูเป็นนักจัดการ เรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการส่ิงแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน สามารถพัฒนาต่อยอดและถ่ายทอด ความรแู้ กน่ กั เรยี นและผอู้ นื่ ได้ สำ� หรบั นกั เรยี นมพี ฤตกิ รรมการเรยี นรดู้ า้ นการจดั การขยะ สามารถ พัฒนาตนเองเป็นวิทยากรเพ่ือน�ำเสนองานรวมถึงการเป็นนักบริการและการมีจิตสาธารณะ บุคลากรอ่ืนในโรงเรียนเกิดการเรียนรู้ในกระบวนการจัดการส่ิงแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน มที กั ษะในการปฏบิ ตั ิ สามารถแนะนำ� นกั เรยี นและบคุ คลอน่ื ได้ สว่ นผปู้ กครองและชมุ ชนสามารถ คัดแยกขยะในครัวเรือนได้ มีการจัดท�ำและใช้ปุ๋ยน้�ำหมักชีวภาพใช้เอง มีการระดมทุนเพ่ือจัด ต้ังวสิ าหกจิ ชุมชนเพื่อรบั ซ้อื วสั ดรุ ไี ซเคิลจากครัวเรือน (3) การสนับสนุนจากชุมชนและหนว่ ยงานอืน่ เกิดจากชุมชนรู้สกึ พงึ พอใจใน การดำ� เนนิ งานของโรงเรยี น จงึ มคี วามรกั และผูกพนั ต่อโรงเรยี น ร่วมมอื ในการสง่ เสรมิ สนบั สนนุ กิจกรรมของโรงเรียนและกิจกรรมของชุมชนเก่ียวกับการจัดการส่ิงแวดล้อม ส่วนหน่วยงานอ่ืน ยอมรับในการดำ� เนินงานของโรงเรยี น จึงให้การสนบั สนนุ งบประมาณ การพาคณะมาศึกษาดงู าน และการกลา่ วถงึ ในทางบวก 2) ส�ำหรับผลกระทบทางลบ เป็นผลท่ีเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาซึ่งเป็นผลจาก การด�ำเนินการเก่ียวกับการบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน โดยส่งผลต่อ ประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการ การจัดการเรียนการสอน และการเรียนของนักเรียนที่เป็น แกนนำ� เนอ่ื งจากการมาศกึ ษาดงู านของหนว่ ยงานนอกหรอื การไปเปน็ วทิ ยากรและจดั นทิ รรศการ นอกสถานศึกษา โดยผู้บริหารต้องท�ำงานนอกเหนือเวลาปกติ ครูต้องเสียเวลาในการสอน ตามเวลาปกติ และต้องรับภาระในการจัดสอนซ่อมเสริมนอกเวลาให้กับนักเรียน ทำ� ให้เหน่ือยล้า สว่ นนักเรยี นมีบางกิจกรรมทีไ่ ม่ได้ทำ� รว่ มกบั เพ่อื นในหอ้ งเรยี น ตอนทส่ี อง การยนื ยนั ความน่าเชอ่ื ถอื การยืนยันความน่าเช่ือถือของข้อสรุปเชิงทฤษฎีโดยผู้เช่ียวชาญ ปรากฏว่า ผู้เชี่ยวชาญ ท้ังหมด ให้ความเห็นสอดคล้อง และมีความเห็นตามข้อเสนอเชิงทฤษฎี โดยผู้เช่ียวชาญให้ข้อคิด เห็นเพ่ิมเตมิ ในทางบวก คอื ควรมีการเผยแพรท่ ฤษฎใี นรปู แบบที่คนทั่วไปสามารถเขา้ ถึงได้ง่าย ตอนท่ีสาม การตรวจสอบความเปน็ ไปได้ของข้อสรปุ เชงิ ทฤษฎี การตรวจสอบความเป็นไปได้ของข้อสรุปเชิงทฤษฎี ผู้บริหารโรงเรียนแกนน�ำเครือข่าย ด้านส่ิงแวดล้อมส่วนใหญ่ ให้ความเห็นตรงกันว่า โรงเรียนสามารถบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมใน โรงเรยี นและชมุ ชนไดต้ ามขอ้ สรปุ เชงิ ทฤษฎี และขอ้ สรปุ เชงิ ทฤษฎี มคี วามเปน็ ไปไดใ้ นทางปฏบิ ตั ิ สว่ นความแตกตา่ ง ทโ่ี รงเรียนแกนนำ� เครอื ข่ายดา้ นส่งิ แวดล้อมยงั ไม่ประสบผลส�ำเร็จตามขอ้ สรปุ เชงิ ทฤษฎี คอื ไมม่ กี ารจดั ทำ� แผนพฒั นาดา้ นการบรหิ ารจดั การสง่ิ แวดลอ้ มในโรงเรยี นและชมุ ชนท่ี
Research in Educational Administration • 347 เนน้ ความยงั่ ยนื ผนู้ ำ� ขาดจดุ เนน้ ในการสอ่ื สารถงึ เปา้ หมาย วสิ ยั ทศั นแ์ ละพนั ธกจิ ไมม่ กี ารสรา้ งการ มีส่วนร่วมแบบหุ้นส่วน ขาดการส่งเสริมการเรียนรู้แบบพลวัต และขาดการสร้างเครือข่ายความ รว่ มมอื สำ� หรบั ขอ้ เสนอแนะ ผบู้ รหิ ารทกุ โรงเรยี น ทต่ี อบแบบสอบถาม ใหค้ วามเหน็ สอดคลอ้ งกนั ว่า ผู้บริหารต้องสร้างกระบวนการเรยี นรู้และพฒั นาตนเองอย่างต่อเนื่อง ใหค้ วามสำ� คญั ส่งเสรมิ สนับสนุน ก�ำหนดเป็นแผนในการจัดการเรียนรู้และพัฒนาด้านส่ิงแวดล้อม โดยเน้นการสื่อสาร ท่ีให้ความส�ำคัญในการพัฒนาตามเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของโรงเรียน มีการจัดปัจจัยเก้ือหนุน มกี ารจูงใจและกระตนุ้ อย่างต่อเนือ่ ง ขอ้ เสนอแนะในการวิจัย ในการศึกษาเพื่อสร้างทฤษฎีฐานรากของโรงเรียนผู้น�ำการเปล่ียนแปลงในการบริหาร จัดการส่ิงแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน ครั้งน้ี เป็นการศึกษาที่มีข้อจ�ำกัดเร่ืองเวลา ส�ำหรับ ข้อเสนอแนะในการวิจัยคร้ังต่อไป ควรมีการน�ำมโนทัศน์และข้อสรุปเชิงทฤษฎีที่ได้ไปทดสอบ (Verify) กบั ปรากฏการณจ์ รงิ โดยพฒั นาแบบวดั เชงิ ปรมิ าณจากขนั้ ตอนทสี่ องและสาม ไปศกึ ษากบั โรงเรียนท่วั ไป เพือ่ คดั สรรดชั นที ี่มีอำ� นาจในการจำ� แนกและอธบิ ายโรงเรียนผูน้ ำ� การเปล่ียนแปลง ในการบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน โดยวิธีการทางสถิติเพ่ือน�ำทฤษฎีไป ทดสอบในระดบั กวา้ ง อาจจะชว่ ยใหท้ ราบวา่ ดชั นที เ่ี ปน็ เงอื่ นไข และกระบวนการตวั ใดมอี ำ� นาจใน การอธิบายโรงเรียนผู้น�ำการเปล่ียนแปลงในการบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน อย่างมีนัยส�ำคัญ โดยเฉพาะในบริบทที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยให้เกิดทางเลือกในการน�ำดัชนี ที่มีอ�ำนาจการอธิบายสูงไปใช้วัดโรงเรียนผู้น�ำการเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ในโรงเรยี นและชุมชนในบริบทท่ตี า่ งกัน ประโยชน์ของงานวจิ ยั 1. ประโยชน์โดยภาพรวม คือ ได้องค์ความรู้ใหม่ในเชิงทฤษฎีจากบริบทแบบไทย ท่ีจะ เป็นประโยชน์ในการท�ำให้การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชนมีประสิทธิภาพ โดยผู้เช่ียวชาญให้การยืนยันในความสอดคล้องของข้อสรุปเชิงทฤษฎีและได้รับการตรวจสอบ ความเป็นไปได้ในการนำ� ไปใชจ้ ากโรงเรียนเครอื ขา่ ยแกนน�ำดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม 2. ประโยชนเ์ ฉพาะกลมุ่ คอื โรงเรยี นทเ่ี ปน็ พนื้ ทศ่ี กึ ษาไดร้ บั การถอดบทเรยี นมกี ารทบทวน หลงั การปฏบิ ตั ิ เปน็ ผถู้ กู สมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ และมสี ว่ นรว่ มในการตรวจสอบขอ้ มลู หรอื ขอ้ คน้ พบของ นกั วิจัย จึงทำ� ให้เกดิ การเรยี นรูจ้ ากกระบวนการของการทำ� วิจยั ท�ำให้มกี ารจดั การความร้แู ละสรุป เปน็ ชดุ ความรทู้ ส่ี ามารถนำ� ไปเปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั งิ านได้ สว่ นโรงเรยี นเครอื ขา่ ยแกนนำ� ดา้ น สง่ิ แวดล้อม มกี ารประเมินตนเองจากแบบสอบถามซ่ึงมีโครงสรา้ งตามข้อสรุปเชงิ ทฤษฎี จงึ ท�ำให้ ผบู้ รหิ ารมแี นวทางในการพฒั นาตนเองและโรงเรยี นใหป้ ระสบผลสำ� เรจ็ ได้ โดยอาศยั กระบวนการ หรือเง่อื นไขของโรงเรียนผู้น�ำดงั กลา่ ว
348 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา สรุปทา้ ยบท การวิจัยทฤษฎีฐานรากที่น�ำเสนอในบทท่ี 10 น้ี ประกอบด้วยสาระส�ำคัญท่ีผู้วิจัย หรือนักศึกษาในทางการบริหารการศึกษาควรศึกษาและท�ำความเข้าใจให้ละเอียดและชัดเจน โดยอาจสรปุ สาระสำ� คญั ดังกลา่ วได้ ดงั น้ี การวิจัยทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory Study) เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างเป็นระบบโดยเริ่มต้นจากการรวบรวมข้อมูล แล้วน�ำข้อมูล ที่ได้มาสร้างมโนทัศน์ (Concept) ไปสู่สมมติฐาน และจบลงด้วยข้อสรุปเชิงทฤษฎีระดับกลาง (Middle range theory) ซง่ึ ใช้อธิบายปรากฏการณ์ทศี่ กึ ษาในขอบเขตทจี่ ำ� กดั พัฒนาการของการวจิ ัยทฤษฎฐี านราก (Grounded Theory Research : GTR) เป็นการ วิจัยเชงิ คุณภาพแบบสร้างทฤษฎจี ากขอ้ มลู ไดร้ ับการพฒั นาขน้ึ ในชว่ งครึง่ หลังของศตวรรษที่ 20 (1960) โดยนกั สังคมวิทยาช่อื Barney Glaser กบั Anselm Strauss (1967) และต้ังแตร่ าว ค.ศ. 2000 เปน็ ต้นมา GTR ได้รบั ความนิยมมากขึน้ เรอ่ื ย ๆ ประมาณ ค.ศ. 2010 นักวิชาการแหง่ มหาวทิ ยาลัย ฮัดเดอร์สฟิลด์ (University of Huddersfield) ในอังกฤษ ได้ท�ำการส�ำรวจนักวิจัยที่ใช้วิธีการ เชงิ คณุ ภาพ ผตู้ อบค�ำถามมที ้งั นักศกึ ษา อาจารย์ และนกั วิจยั อาชีพ การส�ำรวจนี้ พบวา่ มากกวา่ ครง่ึ หน่ึงของผตู้ อบค�ำถาม บอกวา่ ตนใช้ GTR เป็นวิธีการวิจัย นี่แสดงใหเ้ หน็ ว่า GTR ไดร้ บั ความ นิยมมาก หลักการส�ำคัญของการสร้างทฤษฎีฐานราก คือ ผู้วิจัยจะต้องมีความไวต่อการคิด และศึกษาข้อมูล (Theoretical Sensitivity) ในลักษณะท่ีจะน�ำไปสู่การสร้างมโนทัศน์และทฤษฎี ความไวดังกล่าวนี้จะต้องมีอยู่ในทุกขั้นตอนของการวิจัย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตัวอย่างเชิงทฤษฎี (Theoretical Sampling) การสร้างมโนทัศน์เชิงทฤษฎี (Theoretical Coding) และการหาข้อสรุป เชงิ ทฤษฎี (Theoretical Generating) ส�ำหรับกระบวนการท่ีส�ำคัญ ๆ ของการวิจัยทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory Study) อาจสรุปได้ 4 กระบวนการ ได้แก่ 1) การเก็บข้อมูล 2) การสร้างสมมติฐาน 3) การเก็บ ขอ้ มูล/ทดสอบสมมตฐิ าน และ 4) การปรบั สมมติฐาน
บทท่ี การวิจัยเชิงประเมิน 11 EVALUATIVE RESEARCH การวจิ ยั เชิงประเมิน (Evaluative research) อาจเรียกว่า การวจิ ัยประเมินผล (Evaluation research) หรอื บางคนเรยี กว่า การประเมนิ โครงการ (Project evaluation) ซึง่ คำ� วา่ “การประเมิน โครงการ” เปน็ การวจิ ยั อย่างหนง่ึ ตามแนวคดิ ของ Rossi and Freeman (2004, p. 16) ทไี่ ด้ให้ความ หมายของการประเมนิ โครงการโดยอิงกับแนวคิดของการวิจยั ทางสังคมศาสตรว์ ่า เปน็ การวจิ ัยเชิง ประยุกต์ท่ีมีการประยุกต์ใช้กระบวนการวิจัยทางสังคมศาสตร์อย่างเป็นระบบเพ่ือศึกษาเกี่ยวกับ ประสทิ ธผิ ลของโครงการสาธารณะทจี่ ดั ทำ� ขนึ้ เพอื่ นำ� ไปสกู่ ารปรบั ปรงุ สภาพแวดลอ้ มขององคก์ าร และการให้บริการแก่สังคม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเรียกช่ือการวิจัยประเภทน้ีแตกต่างกันไป แต่สาระส�ำคญั โดยทั่วไปไม่แตกตา่ งกนั กล่าวคอื การวิจยั ประเภทนเี้ ปน็ กระบวนการเกบ็ รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อน�ำผลที่ได้ไปใช้เป็นพื้นฐานประกอบการตัดสินใจ เกีย่ วกับโครงการหรอื แผนงานทางสงั คม โดยทัว่ ไป มกั กลา่ วกันวา่ “การวางแผนทดี่ ีก็เท่ากบั ว่างานส�ำเร็จไปแล้วครึง่ หน่ึง” แตใ่ น ความเปน็ จรงิ นนั้ การวางแผนทด่ี ี แมจ้ ะชว่ ยเพมิ่ โอกาสในความสำ� เรจ็ กต็ าม แตก่ ม็ ใิ ชว่ า่ จะเปน็ หลกั ประกนั ความสำ� เรจ็ แตอ่ ยา่ งใด เนอ่ื งจากความสำ� เรจ็ หรอื ความลม้ เหลวของโครงการตา่ ง ๆ ตอ้ งผา่ น กระบวนการตา่ ง ๆ อกี มาก โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ กระบวนการของการดำ� เนนิ งานและการประเมนิ ผล ถา้ จะกล่าวในเชิงเปรยี บเทียบใหเ้ ข้าใจงา่ ย ๆ อาจกล่าวไดว้ ่า การวางแผนกค็ ือ “การคดิ ” การด�ำเนนิ งานกค็ อื “การทำ� ” และการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ กค็ อื การเปรยี บเทยี บระหวา่ งการคดิ และการทำ� นน่ั เอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง การวิจัยเชิงประเมินเป็นการตอบค�ำถามที่ว่า ผลของการกระท�ำน้ัน ได้เกิดผลอ ย่างที่คิดไว้หรือไม่ และเพราะเหตุใด ดังน้ัน ถ้าการวางแผนได้กระท�ำอย่างรอบคอบและรอบรู้ และการด�ำเนินงานได้กระท�ำอย่างจริงใจและต่อเน่ืองแล้ว การประเมินผลก็น่าจะพบปัญหาและ อุปสรรคนอ้ ยลง แต่ในโลกแหง่ ความเปน็ จริงมกั ไม่ได้เปน็ ไปตามทค่ี าดหวงั ดงั คำ� กล่าวท่วี ่า “สิ่งท่ี แนน่ อนท่สี ุดคอื สิง่ ที่ไมแ่ นน่ อน” ซง่ึ เป็นไปตามหลักอนิจจตาทางพระพุทธศาสนา คอื หลกั ความ เปลย่ี นแปลง โดยเปน็ หลกั ธรรมชาตทิ ที่ กุ สงิ่ ทกุ อยา่ งยอ่ มมกี ารเปลยี่ นแปลงตลอดเวลา ไมม่ อี ะไรที่ จีรังย่ังยืนเท่ียงแท้แน่นอน ดังน้ัน ในกรณีที่โครงการเกิดการเปล่ียนแปลง อาจท�ำให้ผู้บริหาร โครงการต้องมีการวางแผนใหม่หรือวางแผนหลายคร้ัง ท�ำให้การประเมินผลมีความซับซ้อน มากขึ้น และท�ำให้นักวิจัยเชิงประเมินไม่สามารถสรุปเกี่ยวกับความส�ำเร็จหรือความล้มเหลวของ โครงการได้โดยง่าย ในบทนี้ จะนำ� เสนอการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ ซงึ่ ประกอบดว้ ยเนอื้ หาสาระทส่ี ำ� คญั 6 เรอ่ื ง ไดแ้ ก่ 1) แนวคดิ พนื้ ฐานของการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ 2) เทคนคิ วธิ กี ารวจิ ยั เชงิ ประเมนิ 3) กระบวนการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ 4) การวจิ ยั เชงิ ประเมนิ กบั การประกนั คณุ ภาพเพอื่ พฒั นาการศกึ ษา 5) การวจิ ยั แตกตา่ ง จากการประเมนิ อยา่ งไร และ 6) กรณตี วั อยา่ งการวจิ ัยเชิงประเมิน โดยมีรายละเอียด ดงั ต่อไปนี้
350 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา 11.1 แนวคดิ พ้นื ฐานเก่ยี วกบั การวิจัยเชิงประเมนิ ในส่วนนี้ ผู้วิจัยควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเร่ืองแนวคิดพ้ืนฐานเกี่ยวกับการวิจัยเชิง ประเมิน ซึ่งประกอบด้วยความหมายของการวิจัยเชิงประเมิน ลักษณะส�ำคัญของการวิจัยเชิง ประเมนิ ความสำ� คญั ของการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ และประเภท ของการวจิ ัยเชงิ ประเมนิ โดยมรี ายละเอียด ดังน้ี 1. ความหมายของการวิจัยเชงิ ประเมิน นักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้ให้ความหมายของการวิจัยเชิงประเมินไว้ หลากหลาย โดยนกั วิชาการในตา่ งประเทศไดใ้ หค้ วามหมายของการวิจัยเชงิ ประเมนิ ไว้ ดงั ตัวอย่าง ต่อไปนี้ Riecken (1952) ได้ให้ความหมายของการวิจัยเชิงประเมินโดยเน้นไปท่ีการวัดว่า การวิจัยเชิงประเมิน หมายถึง การวัดท้ังที่พึงปรารถนา และไม่พึงปรารถนา อันสืบเนื่องมาจาก การดำ� เนนิ งานทก่ี �ำลงั กระทำ� อยู่ เพอ่ื มงุ่ ไปส่เู ปา้ ประสงคท์ ่ตี ้องการ ต่อมาอีก 10 ปี Hyman (1962) ได้ให้ความหมายของการวิจัยเชิงประเมินโดยเน้นที่ ข้ันตอนว่า การวิจัยเชิงประเมิน หมายถึง ขั้นตอนของการแสวงหาความเป็นจริงซ่ึงเป็นผลจาก การดำ� เนินงานทางสงั คมท่ีไดว้ างแผนไวล้ ่วงหนา้ หลังจากนั้นอีก 5 ปี Suchman (1967) ได้ให้ความหมายของการวิจัยเชิงประเมินโดย ให้ความส�ำคัญกับการศึกษาผลลัพธ์ว่า การวิจัยเชิงประเมิน หมายถึง การศึกษาพิจารณาเกี่ยวกับ ผลลพั ธ์ ซึง่ เกดิ จากกิจกรรมบางประเภททม่ี งุ่ ใหบ้ รรลถุ งึ วตั ถปุ ระสงค์ หรือเป้าหมายที่ปรารถนา จากนั้นอีก 5 ปี Alkin (1972) ได้ให้ความหมายของการวิจัยเชิงประเมินโดยให้ความ ส�ำคัญกับการตัดสินใจว่า การวิจัยเชิงประเมิน หมายถึง กระบวนการท่ีเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ การเลอื กสรรขอ้ มลู ทเ่ี หมาะสม รวมทง้ั การรวบรวมและวเิ คราะหข์ อ้ มลู เพอ่ื รายงานสรปุ ผลในทาง ที่เปน็ ประโยชน์ตอ่ ผตู้ ดั สินใจในการก�ำหนดทางเลือก ถดั จากนน้ั อกี 10 ปี Rossi & Freeman (1982, p. 20) ไดใ้ ห้ความหมายของการวจิ ยั เชงิ ประเมินไว้โดยชีไ้ ปท่ีการประยกุ ตใ์ ชก้ ระบวนการวิจยั ทางสงั คมศาสตร์อย่างเป็นระบบว่า การวจิ ยั เชงิ ประเมนิ หมายถงึ การประยกุ ตใ์ ชก้ ระบวนการวจิ ยั ทางสงั คมศาสตรอ์ ยา่ งเปน็ ระบบเพอ่ื ประเมนิ กรอบความคิด รูปแบบการวิจัยประเมินผล การด�ำเนินงาน และประโยชน์ของแผนงานในการ เขา้ แทรกแซงทางสงั คม กลา่ วอกี นยั หนงึ่ การวจิ ยั เชงิ ประเมนิ เกยี่ วขอ้ งกบั การใชร้ ะเบยี บวธิ วี จิ ยั ทาง สงั คมศาสตร์ เพอื่ วนิ ิจฉยั และปรับปรุงการวางแผน การตดิ ตามผล ประสิทธผิ ลและประสทิ ธภิ าพ ของแผนงานทเี่ กย่ี วกบั สาธารณสขุ การศกึ ษา สงั คมสงเคราะห์ และงานบรกิ ารสาธารณะดา้ นอน่ื ๆ ส่วนนักวิชาการในประเทศ ก็ได้ให้ความหมายของการวิจัยเชิงประเมินไว้หลากหลาย เช่นเดียวกัน ดังตัวอย่างต่อไปน้ี รตั นะบวั สนธ์ิ(2553) ไดใ้ หค้ วามหมายของการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ โดยเนน้ ไปทกี่ ารประยกุ ต์ ใชก้ ระบวนการวิจยั ทางสังคมศาสตร์ซึง่ สอดคล้องกับ Rossi & Freeman (1982, p. 20) วา่ การวิจัย เชิงประเมิน หมายถึง การประยุกต์ใช้วิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์เพื่อการด�ำเนินงานและตรวจ สอบติดตามโครงการ แผนงาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดข้ึนส�ำหรับกลุ่มเป้าหมายผู้รับบริการว่า
Research in Educational Administration • 351 โครงการหรือแผนงาน เหล่านน้ั มีความเหมาะสมเป็นไปไดใ้ นการด�ำเนนิ งานเพยี งใด มกี ารดำ� เนิน งานเป็นไปตามกิจกรรมและทรัพยากรที่ก�ำหนดไว้หรือไม่ และผลของการด�ำเนินงานดังกล่าวนี้ ได้ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงกับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่มากน้อยเพียงใด รวมท้ังได้ก่อให้เกิดผล กระทบอ่ืน ๆ ตามมาอกี หรือไม่ โดยเฉพาะการประยกุ ต์ใช้แนวคิดการวจิ ยั เชิงทดลองสำ� หรับตรวจ สอบประสทิ ธผิ ลของโครงการหรอื แผนงาน ซง่ึ จะกำ� หนดใหโ้ ครงการหรอื แผนงานเปน็ ตวั แปรตน้ และผลจากโครงการหรือแผนงานดังกลา่ วเปน็ ตัวแปรตาม ตอ่ มาอกี 1 ปี สติ ะวนั (2554) ไดใ้ หค้ วามหมายของการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ โดยใหค้ วามสำ� คญั กบั กิจกรรมการประเมินเทียบเคยี งกบั กระบวนการวจิ ัยซงึ่ สอดคลอ้ งกับ Rossi & Freeman (1982, p. 20) และรัตนะ บัวสนธ์ (2553) วา่ การวจิ ยั เชงิ ประเมนิ เป็นมิตหิ น่งึ ของการพิจารณากจิ กรรม การประเมินเทียบเคียงกับกระบวนการวิจัย โดยเป็นการศึกษาค้นคว้าในเชิงประเมินท่ีเป็นระบบ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เน้นการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างครอบคลุม ครบถ้วน และเช่ือถือได้ การวิจยั เชิงประเมินดงั กล่าวนีม้ ีลกั ษณะท่แี ตกตา่ งจาก “การประเมิน” การประเมนิ มคี วามหมาย ทแ่ี ตกตา่ งกนั หลายลักษณะ เชน่ การประเมนิ การใหบ้ ริการ (Evaluation = Service หรือ E = S) เป็นการรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจของลูกค้าผู้เก่ียวข้องกลุ่มต่าง ๆ การประเมนิ ทีส่ อดคล้องกับกลมุ่ แนวคดิ นอี้ ยา่ งชดั เจน เช่น แนวคดิ ของ Stufflebeam (1968) ท่ใี ห้ ค�ำนิยามว่า “การประเมิน คือ การรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ” หรือ แนวคิดของ Patton (1978) ซ่ึงเป็นผู้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ “การประเมินโดยยึดประโยชน์ใช้สอย (Utilization-Focused Evaluation)” ฯลฯ หรอื การใหน้ ยิ ามวา่ การประเมนิ เปน็ การตดั สนิ คณุ คา่ ของ ส่งิ ตา่ ง ๆ (Evaluation = Judgement หรือ E = J) โดยตดั สนิ คุณคา่ วา่ ดี-เลว มีคณุ ภาพ-ไม่มีคณุ ภาพ ฯลฯ การปฏบิ ตั ทิ สี่ ะทอ้ นแนวคดิ นอี้ ยา่ งชดั เจน เชน่ การประเมนิ เพอื่ รบั รองวทิ ยฐานะในอดตี การ ตดั สินบคุ คลใด ๆ ว่า สวย-ไม่สวย โดยอาศัยความรู้สกึ ของตนเองเปน็ เกณฑ์ หรือการใหน้ ยิ ามวา่ การประเมินเปน็ กระบวนการทม่ี กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และตดั สนิ คณุ ค่าของส่งิ ต่าง ๆ โดยเทียบ กับเกณฑ์ที่ก�ำหนด กล่าวโดยสรุป การวิจัยเชิงประเมินเป็นกระบวนการเชิงระบบเพ่ือการตรวจสอบ หรือ บง่ ชถี้ งึ ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลของโครงการซงึ่ จะชว่ ยใหไ้ ดข้ อ้ มลู สารสนเทศทเ่ี ปน็ ประโยชน์ ตอ่ การตดั สนิ ใจเก่ียวกับการบรหิ ารจดั การ ปรับปรุงและพัฒนาโครงการ 2. ลกั ษณะส�ำคญั ของการวิจยั เชงิ ประเมิน การวจิ ัยเชิงประเมนิ มลี กั ษณะหรือจดุ เน้นทแ่ี ตกตา่ งจากงานวจิ ยั ทัว่ ไปในหลายลกั ษณะ ในสว่ นนี้ อาจก�ำหนดลกั ษณะท่ีสำ� คัญได้ 5 ลักษณะ ดงั นี้ (พชิ ติ ฤทธ์จิ รูญ, 2557) 2.1 มีวัตถุประสงค์มากกว่าการตรวจสอบการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย ของโครงการท่ีก�ำหนดไว้ล่วงหน้า แต่ยังครอบคลุมไปถึงการตรวจสอบผลกระทบที่อาจเกิดข้ึน โดยไม่ได้ตง้ั ใจ ขณะท่ีการวิจยั ท่ัวไปเนน้ การตรวจสอบการบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ 2.2 มิได้จ�ำกัดอยู่เพียงการตรวจสอบผลข้ันสุดท้ายท่ีเกิดข้ึนเมื่อด�ำเนินงาน โครงการได้เสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการประเมินความเหมาะสมและความพร้อมของ
352 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา การจดั ทำ� โครงการกอ่ นทจ่ี ะเรมิ่ ดำ� เนนิ งาน ตลอดจนการประเมนิ ความกา้ วหนา้ ในระหวา่ งทม่ี กี าร ด�ำเนินงานโครงการอกี ด้วย ขณะท่กี ารวจิ ัยท่ัวไปเนน้ การตรวจสอบผลขั้นสุดท้ายท่ไี ด้จากการวิจยั 2.3 มงุ่ หาสารสนเทศประกอบการตดั สนิ ใจ ซง่ึ เปน็ ขอ้ มลู ทมี่ ลี กั ษณะเฉพาะสงู ใน โครงการใดโครงการหนง่ึ ไมไ่ ดส้ นใจในเรอ่ื งการคน้ หาทฤษฎหี รอื หลกั เกณฑเ์ พอื่ นำ� ไปใชใ้ นการสรปุ อา้ งองิ ตอ่ ไป ขณะทกี่ ารวจิ ยั ทว่ั ไปมงุ่ เนน้ สรา้ งองคค์ วามรใู้ หมแ่ ละนำ� ไปใชใ้ นการสรปุ อา้ งองิ ตอ่ ไป 2.4 มงุ่ ตอบสนองความตอ้ งการสารสนเทศของผทู้ เี่ กยี่ วขอ้ งเพอ่ื ชว่ ยใหไ้ ดข้ อ้ มลู สารสนเทศป้อนกลับ เพื่อการตัดสินใจในการปรับปรุงพัฒนางานโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของโครงการ ขณะท่ีการวจิ ัยทวั่ ไปเน้นสนองความต้องการของผู้วิจัย 2.5 ใหค้ วามสำ� คญั กบั ผบู้ รหิ ารโครงการหรอื ผปู้ ฏบิ ตั งิ านในโครงการเพอื่ เปน็ ผรู้ บั ผิดชอบในการประเมินเอง (Insider evaluator)โดยมุ่งเน้นตัดสินคุณค่าของส่ิงท่ีต้องการประเมิน เทยี บกบั เกณฑท์ ก่ี ำ� หนดไวล้ ว่ งหนา้ ขณะทก่ี ารวจิ ยั ทว่ั ไปเนน้ หาขอ้ สรปุ เกยี่ วกบั ตวั แปรในลกั ษณะ ใดลักษณะหนึ่ง 3. ความสำ� คัญของการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ การวิจัยเชิงประเมินมีความส�ำคัญซ่ึงอาจกล่าวได้ว่า ขาดไม่ได้ในการบริหารจัดการ โครงการ เพราะจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างย่ิงต่อผู้บริหารและผู้รับผิดชอบโครงการ ซึ่งอาจ สรปุ ได้ ดงั น้ี (พิชติ ฤทธจ์ิ รญู , 2557) 3.1 ท�ำให้ได้ข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เก่ียวกับโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อการ ก�ำหนดนโยบาย หรือทิศทางการด�ำเนินงานขององค์การ 3.2 ท�ำให้ได้สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุง ส่ือหรือชิ้นงาน และ โครงการหรือแผนงาน ให้เหมาะสมก่อนน�ำไปปฏิบัติ ลดโอกาสเส่ียงในการเกิดปัญหาอุปสรรค ทจ่ี ะท�ำให้กิจกรรม หรอื การดำ� เนินงานโครงการใด ๆ ล้มเหลว 3.3 ทำ� ให้ไดส้ ารสนเทศเกี่ยวกบั ความก้าวหนา้ ของงานในความรบั ผดิ ชอบซง่ึ จะ ท�ำให้ผู้รับผิดชอบงาน/โครงการทราบจุดเด่นและจุดท่ีควรพัฒนาของงาน มีโอกาสที่จะปรับปรุง งานใหม้ ปี ระสิทธภิ าพมากยงิ่ ขึ้น เป็นการลดโอกาสความสญู เปล่าในการปฏิบตั งิ าน 3.4 ทำ� ใหไ้ ดส้ ารสนเทศเกย่ี วกบั ความสำ� เรจ็ ของงาน จะทำ� ใหท้ ราบวา่ การปฏบิ ตั ิ การใด ๆ ท่ลี งทุนไปแลว้ เกดิ ประโยชนค์ มุ้ คา่ หรือไม่ ชว่ ยลดโอกาสการสญู เปล่าในการดำ� เนนิ งาน 3.5 ท�ำให้ได้สารสนเทศโดยเฉพาะในกรณีของการประเมินตนเอง ซ่ึงจะท�ำให้ ผู้รับผิดชอบงานเห็นจุดท่ีควรพัฒนาของตน จะเกิดแรงจูงใจในการพัฒนางาน และเกิดการยก ระดับคุณภาพงานอย่างต่อเน่ืองเป็นระยะ ๆ รวมทั้งหากบุคคลได้มีโอกาสมองเห็นความส�ำเร็จใน การปฏิบัติงานก็จะท�ำให้เกิดแรงจูงใจ เป็นการสร้างขวัญและก�ำลังใจในการปฏิบัติงานได้อีก ลักษณะหนึง่ 4. วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัยเชิงประเมิน เนอ่ื งจากการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ มลี กั ษณะสำ� คญั ประการหนงึ่ คอื มวี ตั ถปุ ระสงคม์ ากกวา่
Research in Educational Administration • 353 การตรวจสอบการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของโครงการที่ก�ำหนดไว้ล่วงหน้า แต่ยัง ครอบคลุมไปถึงการตรวจสอบผลกระทบท่ีอาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้ต้ังใจ จึงอาจกำ� หนดวัตถุประสงค์ ทส่ี �ำคญั ๆ ได้ 4 ประการ ดังน้ี (รตั นะ บัวสนธ์, 2553) 4.1 เพือ่ ศึกษาความเปน็ ไปได้ของโครงการ เปน็ การศกึ ษาหาข้อมลู ว่า โครงการ หรอื แผนงานตา่ ง ๆ ทจี่ ะจดั ใหม้ ีข้ึนน้นั มคี วามเป็นไปไดท้ จ่ี ะกระท�ำมากนอ้ ยเพยี งใด เมอื่ พิจารณา จากบริบทต่าง ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ งไม่ว่าจะเปน็ เรือ่ งความตอ้ งการจำ� เป็นของสังคม กลมุ่ เป้าหมาย ตลอด จนกลุม่ ผมู้ สี ว่ นได้ส่วนเสีย (Stakeholders) อ่นื ๆ และทรัพยากรทจี่ �ำเปน็ ตอ้ งใชใ้ นการดำ� เนินงาน 4.2 เพ่ือก�ำกับติดตามการด�ำเนินงานของโครงการ เป็นการศึกษาหาข้อมูลว่า เม่ือโครงการหรือแผนงาน ได้เริ่มด�ำเนินงานหรือมีการด�ำเนินงานอยู่น้ัน การด�ำเนินกิจกรรมหรือ งานย่อย ๆ น้ัน สามารถด�ำเนินไปได้ตามก�ำหนดระยะเวลา ข้ันตอน และทรัพยากรอ่ืน ๆ ท่ีต้อง ใช้มากน้อยเพียงใด ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ก็จะน�ำไปใช้เพื่อการวางแผนปรับเปล่ียนกิจกรรม และทรพั ยากรดำ� เนนิ งานใหเ้ หมาะสมตอ่ ไป 4.3 เพ่ือประเมินประสิทธิผลและประสิทธิภาพของโครงการ/แผนงาน เป็น การศึกษาหาข้อมูลว่า เมื่อโครงการ แผนงาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ได้ด�ำเนินการเสร็จสิ้นตาม ระยะเวลาทก่ี ำ� หนดแลว้ ไดผ้ ลเปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการ แผนงาน หรอื กจิ กรรม หรอื ไม่ นั่นคือน�ำผลที่ได้มาพิจารณาเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์ ถ้าได้ตามวัตถุประสงค์ ก็คือเกิด ประสทิ ธผิ ล (Effectiveness) ขณะเดยี วกนั กย็ งั ศกึ ษาวา่ การดำ� เนนิ งานของโครงการหรอื แผนงานที่ กลา่ วน้ีใชท้ รพั ยากร(คนเงนิ เวลาสถานท่ีและวสั ดอุ ปุ กรณ)์ อยา่ งประหยดั และกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ คุ้มค่าเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับผลที่ได้รับกลับคืนมา ซึ่งก็คือประสิทธิภาพ (Efficiency) ของ โครงการหรือแผนงานนนั้ ๆ น่ันเอง 4.4 เพื่อศึกษาผลกระทบของโครงการ/แผนงาน เป็นการศึกษาหาข้อมูลว่า การดำ� เนนิ โครงการ แผนงาน หรอื กจิ กรรมตา่ ง ๆ นนั้ ไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ ผลอยา่ งอน่ื ตดิ ตามมานอกเหนอื จากท่ีก�ำหนดไว้ในวัตถุประสงค์หรือไม่ ซึ่งเป็นความต่อเนื่องจากผลที่เกิดตามวัตถุประสงค์ ของโครงการหรือแผนงานดังกล่าว ผลที่เกิดขึ้นตามที่กล่าวนี้ก็คือผลกระทบ (Impact) นั่นเอง ทั้งน้ีผลกระทบท่ีเกิดก็อาจจะเป็นไปได้ทั้งผลกระทบทางตรงหรือทางอ้อมและผลกระทบทั้ง ทางบวกและทางลบ 5. ประเภทของการวิจัยเชิงประเมนิ การวิจัยเชิงประเมินนั้น อาจแบ่งได้หลายประเภท ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับ “เกณฑ์” ท่ีใช้ใน การแบง่ ซึง่ ในทนี่ ี้ ใชเ้ กณฑ์ในการแบง่ ประเภท 4 เกณฑ์ ไดแ้ ก่ วัตถุประสงคข์ องโครงการ ลำ� ดับ เวลาในการบรหิ ารโครงการ สิง่ ท่ถี กู ประเมิน และหลักทย่ี ึดในการประเมิน โดยมีรายละเอยี ด ดังน้ี (พชิ ติ ฤทธจ์ิ รญู , 2557) 5.1 แบ่งตามวัตถปุ ระสงค์ของการประเมิน ได้การประเมินเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี 1) การประเมินความก้าวหน้าของโครงการ (Formative evaluation) เป็น การประเมินขณะที่โครงการก�ำลังด�ำเนินการอยู่ เพ่ือมุ่งตรวจสอบว่า งานเป็นไปตามแผนหรือไม่
354 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา มีปัญหาและอุปสรรคอย่างไรบ้าง ผลงานเริ่มเกิดข้ึนหรือไม่ หรือมีปัจจัยใดบ้างท่ีเกี่ยวข้องกับ ความสำ� เรจ็ ของงาน เพอื่ นำ� ผลการประเมนิ มาใชใ้ นการปรบั ปรงุ แกไ้ ขการดำ� เนนิ งานใหเ้ ปน็ ไปดว้ ย ความราบรืน่ บรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์และเป้าหมายของโครงการ 2) การประเมินเพ่ือสรุปผล (Summative evaluation) เป็นการประเมิน หลังจากเสร็จส้ินโครงการแล้ว เพ่ือมุ่งเน้นตรวจสอบผลลัพธ์ว่า เกิดผลดีหรือผลสัมฤทธ์ิ ตามวัตถุประสงค์หรือความคาดหวังของโครงการหรือไม่ บางครั้งอาจเน้นตรวจสอบผลท่ีเกิดขึ้น ในระยะเสรจ็ สน้ิ โครงการใหม่ ๆ หรืออาจเป็นการศึกษาผลทางตรงท่ีเกดิ ขนึ้ ในระยะยาวกไ็ ด้ 5.2 แบง่ ตามลำ� ดบั เวลาในการบรหิ ารโครงการ ไดก้ ารประเมนิ เปน็ 3ประเภทดงั นี้ 1) ประเมินก่อนเร่ิมการด�ำเนินงาน จ�ำแนกได้ 2 ลักษณะที่ส�ำคัญ ได้แก่ การประเมนิ ความตอ้ งการจำ� เปน็ (Needs assessment) เพอื่ ก�ำหนดนโยบาย ก�ำหนดแผนงานหรอื โครงการ และหลังจากมีแผนงาน/โครงการเกิดข้ึนแล้วจะมีการประเมินความเหมาะสมหรือความ เปน็ ไปได้ของโครงการ 2) การประเมินในระหว่างการด�ำเนินงาน เป็นการประเมินการด�ำเนินงาน เม่ือน�ำแผนงาน/โครงการ หรอื กิจกรรมทีว่ างแผนไว้ไปปฏิบตั ิ ทง้ั นี้เพอ่ื ศกึ ษาว่า มีจุดเดน่ จุดที่ควร พฒั นา ปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้าง การดำ� เนินงานเปน็ ไปตามแผนท่ีกำ� หนดไวห้ รือไม่ 3) การประเมินหลังการด�ำเนินงาน เป็นการประเมินเพ่ือตรวจสอบ หรือ ตอบค�ำถามว่า นโยบาย แผนงาน โครงการ หลักสูตรการเรียนการสอน หรือปฏิบัติการใด ๆ ที่ ดำ� เนนิ การแลว้ เสร็จไดป้ ระสบผลสำ� เร็จตามที่คาดหวงั ไวห้ รอื ไม่ ผลทเี่ กิดขน้ึ ได้จากการบรรลุตาม วัตถุประสงค์ของโครงการหรือไม่ คุ้มค่าหรือไม่ อาจแบ่งการประเมินผลงานออกเป็น 2 ลักษณะ ไดแ้ ก่ 1) ประเมนิ ทนั ทที ส่ี นิ้ สดุ โครงการ และ 2) ตดิ ตามผลหรอื ประเมนิ ผลกระทบจากการปฏบิ ตั ิ การ ซงึ่ ตอ้ งอาศยั การทิ้งช่วงระยะเวลาท่ีเหมาะสม 5.3 แบ่งตามสิ่งทีถ่ ูกประเมนิ ไดก้ ารประเมนิ เปน็ 4 ประเภท ดงั น้ี 1) การประเมินบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (Context Evaluation) เป็น การประเมินเก่ียวกับนโยบาย เป้าหมาย สภาพเศรษฐกิจและสังคม ปัญหาและความต้องการของ บคุ คลและหนว่ ยงาน ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั โครงการวา่ มคี วามสอดคลอ้ งเออ้ื ตอ่ การจดั ทำ� โครงการหรอื ไม่ ตลอดจนทรัพยากรและข้อจ�ำกัดต่าง ๆ ในการด�ำเนินโครงการ สารสนเทศท่ีได้น�ำมาใช้ประกอบ การตัดสินใจเพื่อก�ำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการให้มีความสอดคล้องกับนโยบาย ของหนว่ ยงานระดับสูงกว่าและบริบทหรือสภาพขององค์การทจ่ี ะจดั ทำ� โครงการ 2) การประเมินปัจจัยเบ้ืองต้น (Input Evaluation) เป็นการประเมินความ พร้อมทั้งในเชิงคุณภาพและความพอเพียงของทรัพยากรต่าง ๆ ก่อนเร่ิมโครงการว่า มีทรัพยากร พรอ้ มทจ่ี ะดำ� เนนิ โครงการไดห้ รอื ไม่ สารสนเทศทไ่ี ดน้ ำ� มาใชป้ ระกอบการตดั สนิ ใจเกย่ี วกบั วธิ กี าร ของการใชท้ รพั ยากรตา่ ง ๆ เพอื่ ใหก้ ารดำ� เนนิ โครงการสามารถบรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคท์ กี่ ำ� หนดไว้ 3) การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการประเมิน ขณะด�ำเนินงาน หรือประเมินความก้าวหน้าของโครงการ สารสนเทศที่ได้นำ� มาใช้ประกอบการ ตดั สินใจเพือ่ การปรบั ปรุงการดำ� เนินโครงการ
Research in Educational Administration • 355 4) การประเมนิ ผลผลติ หรอื ผลงาน (Product Evaluation) เป็นการประเมนิ หลังจากการด�ำเนินโครงการสิ้นสุดแล้ว ประกอบด้วยการประเมินผลลัพธ์ (Output Evaluation) โดยพิจารณาจากปริมาณและคุณภาพของผลผลิตเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์ของโครงการ และ การประเมินผลกระทบ (Impact Evaluation) โดยเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์ของแผนงานหรือ องค์การ สารสนเทศที่ได้น�ำมาใช้ประกอบการตัดสินคุณค่าของผลผลิตของโครงการ ทั้งใน ด้านปรมิ าณและคณุ ภาพเพื่อการตดั สนิ ใจวา่ ควรจะคงโครงการไว้ ปรบั ขยายหรือยกเลกิ โครงการ 5.4 แบ่งตามหลักที่ยดึ ในการประเมนิ ได้การประเมนิ เป็น 2 ประเภท ดงั น้ี 1) การประเมินท่ีอิงวัตถุประสงค์/เป้าหมายของโครงการเป็นเกณฑ์ (Goal Based Evaluation) เป็นการประเมินท่ีตัดสินคุณค่าของโครงการจากการเปรียบเทียบผล ของโครงการกับผลทค่ี าดหวังตามวตั ถปุ ระสงคห์ รอื เป้าหมายของโครงการ 2) การประเมินที่ไม่อิงวัตถุประสงค์/เป้าหมายของโครงการเป็นเกณฑ์ (Goal-free Evaluation) เป็นการประเมินที่ไม่จ�ำเป็นต้องก�ำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของ การประเมินให้สอดคล้องกับเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ของโครงการ กล่าวคือ การตัดสิน คุณค่าของโครงการควรเน้นที่การตีค่าของผลท้ังหมดท่ีเกิดขึ้น (Actual Outcomes) จากโครงการ ซ่ึงประกอบด้วยการประเมินผลที่คาดหวังตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของโครงการและผลท่ี มิได้คาดหวัง 11.2 เทคนิควธิ กี ารวิจยั เชงิ ประเมิน การวิจัยเชิงประเมินมีเทคนิควิธีการหลากหลาย ซึ่งในท่ีน้ี จะน�ำเสนอ 5 เทคนิค ได้แก่ การศึกษาความเป็นไปได้ การก�ำกับติดตาม การทดลอง การศึกษาภาคสนามหรือการเยี่ยม สถานท่ี และการศกึ ษาผลกระทบ โดยอาจสรปุ ได้ ดังน้ี (รัตนะ บวั สนธ์, 2553) 1. การศกึ ษาความเป็นไปได้ (Feasibility study) เป็นเทคนิควิธีการดำ� เนนิ งาน เพ่ือให้ ได้ค�ำตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงประเมิน ซ่ึงในการศึกษาความเป็นไปได้นี้อาจใช้แนวคิด การวิเคราะห์อัตราส่วนระหว่างผลตอบแทนและการลงทุน (B/C analysis) ท้ังที่คิดเป็นเม็ดเงิน ได้ชัดเจน (Tangible) และคิดได้ไม่ชัดเจน (Intangible) รวมท้ังท�ำการศึกษาหรือประเมินความ ตอ้ งการจำ� เปน็ (Need assessment) ของกลมุ่ ผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ทง้ั หมด ผลจากการศกึ ษาเหลา่ นจี้ ะ น�ำมาใช้เพือ่ เป็นสารสนเทศทส่ี �ำคัญตอ่ การสรปุ ตัดสนิ ใจวา่ โครงการ แผนงาน หรือ กจิ กรรมที่จะ จดั ใหม้ ขี นึ้ นนั้ มคี วามเปน็ ไปไดใ้ นทางปฏบิ ตั หิ รอื ไม่ คมุ้ คา่ ตอ่ การทมุ่ เทงบประมาณ ทรพั ยากรอน่ื ๆ เพอื่ ด�ำเนินการและจะได้รับการยอมรบั ตอบสนองจากผมู้ ีสว่ นเก่ียวข้องอยา่ งไร 2. การก�ำกับติดตาม (Monitoring) เป็นเทคนิควิธีท่ีใช้เพ่ือตรวจสอบว่า การ ด�ำเนินงานของโครงการ แผนงาน หรือกิจกรรมเป็นไปตามขั้นตอน สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย ท่ีแท้จริง และใช้ทรัพยากรอย่างถูกต้องมากน้อยเพียงไร ซ่ึงในการกำ� กับติดตามนี้ อาจใช้เทคนิค การทบทวนงานการด�ำเนินงานโดยพิจารณาจากเวลาที่ก�ำหนดไว้ ได้แก่ เทคนิค PERT (Program Evaluation and Review Technique) เทคนิค CPM (Critical Part Model) และใช้รูปแบบการ ประเมิน CIPP (Context, Input, Process, interim Products) ฯลฯ ซึ่งเทคนิควิธีการเหล่านี้
356 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา แท้ที่จริงก็คือ การประเมินความก้าวหน้าเป็นระยะ (formative evaluation) ท่ีมีวัตถุประสงค์ เพื่อการปรับปรุงทรัพยากร และกิจกรรมการด�ำเนินงานของโครงการหรือแผนงาน ให้เป็นไป ตามทีไ่ ดก้ ำ� หนดวางแผนไว้ 3. การทดลอง (Experiment) เปน็ เทคนิควิธที ี่ใช้เพอื่ ศกึ ษาวา่ โครงการ แผนงาน หรอื กิจกรรมต่าง ๆ เม่ือน�ำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายแล้วก่อให้เกิดผลเป็นไปตามวัตถุประสงค์ท่ีก�ำหนด ไว้หรือไม่ และการด�ำเนินงานของโครงการ หรือแผนงาน ดังกล่าวนั้น ใช้ทรัพยากรด�ำเนินงาน อย่างประหยัด และเกิดประโยชน์คุ้มค่าหรือไม่ ในการใช้เทคนิควิธีการทดลองน้ีจะเกี่ยวข้องกับ การออกแบบการทดลอง (Design of experiment) ซึ่งจะมีแบบแผนการทดลองต่าง ๆ ตั้งแต่ แบบแผนการทดลองที่ไม่ซับซ้อนจนกระท่ังซับซ้อนมาก ความซับซ้อนหรือไม่ซับซ้อนของ แผนการทดลองก็เป็นเร่ืองของการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน (Extraneous variable) ต่าง ๆ เพ่ือไม่ให้มีผลต่อผลท่ีเกิดจากการด�ำเนินโครงการหรือแผนงาน การออกแบบการทดลองนี้ โครงการหรือแผนงานจะมีสถานภาพเป็นเง่ือนไขการทดลอง (Treatment) หรือบางคร้ัง เรียกว่า Intervention เป็นตัวแปรสาเหตุ (Cause variable) และประสิทธิผลหรือผลท่ีเกิดข้ึนจากการ ดำ� เนินโครงการ หรอื แผนงาน กค็ ือ ตวั แปรผล หรือตวั แปรตาม (Effect or dependent variable) 4. การศึกษาภาคสนามหรือการเยี่ยมสถานท่ี (Field study or site visiting) เป็นการ ศกึ ษาการดำ� เนนิ งานของโครงการ แผนงาน หรือกจิ กรรมใด ๆ ท่ีกำ� ลงั ดำ� เนนิ อยู่กับกลุ่มเปา้ หมาย หนงึ่ ๆ ในสถานทแ่ี หง่ ใดแหง่ หนงึ่ เพอื่ ทำ� ใหไ้ ดร้ บั ขอ้ มลู จรงิ จากพนื้ ทจ่ี ากการสมั ผสั รบั รไู้ ดโ้ ดยตรง ของผู้ประเมิน ซึ่งเทคนิควิธีการศึกษาภาคสนามหรือการเย่ียมสถานที่น้ี จัดเป็นเทคนิควิธีการ วจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ (Qualitative research) ทง้ั นมี้ ักจะใชก้ ารสังเกต (Observation) และการสัมภาษณ์ (Interview) กล่มุ ผมู้ ีสว่ นได้สว่ นเสยี สำ� หรบั เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 5. การศกึ ษาผลกระทบ (Impact study) เป็นการศกึ ษาวา่ การด�ำเนินโครงการ แผนงาน หรือกิจกรรมน้ัน ก่อให้เกิดผลอื่น ๆ สืบเน่ืองตามมานอกเหนือจากที่ก�ำหนดไว้ในวัตถุประสงค์ หรอื ไม่ ผลอื่น ๆ ท่ีกล่าวนี้ กค็ ือ ผลกระทบซงึ่ อาจเกิดข้ึนในลักษณะเป็นผลกระทบทางตรงหรอื ทางออ้ ม และผลกระทบทางบวกหรือทางลบกไ็ ด้ 11.3 กระบวนการวิจัยเชิงประเมนิ ในการวิจัยเชิงประเมินให้ประสบผลส�ำเร็จน้ัน นักวิจัยจะต้องมีแนวปฏิบัติท่ีดีใน การประเมิน โดยก�ำหนดข้ันตอนของการประเมินให้สามารถมองเห็นภาพตลอดแนวของการ ประเมิน ขนั้ ตอนของการวิจัยเชิงประเมิน อาจกำ� หนดได้ 6 ข้ันตอน ดงั น้ี (รตั นะ บัวสนธ์, 2553; พชิ ติ ฤทธิ์จรูญ, 2557) ขน้ั ตอนท่ี 1 การกำ� หนดวัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั เชิงประเมนิ วัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงประเมิน เป็นกรอบหรือทิศทางที่ท�ำให้ทราบว่าการ ประเมินครั้งนี้มุ่งศึกษาหรือมุ่งประเมินในด้านใด ศึกษาตัวบ่งช้ีใดบ้าง จะเป็นการควบคุมทิศทาง การเก็บรวบรวมข้อมูลท้ังหมด และต้องไม่ลืมว่าจุดมุ่งหมายหลักของการประเมิน คือ หาข้อมูล ประกอบการตัดสินใจ ดังน้ัน การต้ังวัตถุประสงค์ของการประเมินจะต้องเขียนอย่างชัดเจน และ
Research in Educational Administration • 357 ชี้น�ำทิศทางในการประเมิน และต้องตรงกับความต้องการใช้ผลการประเมินของผู้บริหาร หรือ ลูกค้าที่เกี่ยวข้อง วัตถุประสงค์ต้องมีความหมายเฉพาะเจาะจง วัดได้ ประเมินได้เป็นปรนัย และ เป็นที่ยอมรับของผู้ถูกประเมินในการก�ำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน บ่อยครั้งท่ีใช้โมเดล หรอื แบบจำ� ลองการประเมนิ เปน็ กรอบในการกำ� หนดวตั ถปุ ระสงค์ ลกั ษณะของวัตถุประสงคข์ องการวิจัยเชิงประเมนิ เป็นสงิ่ ที่ผูป้ ระเมนิ ตอ้ งการศึกษา หรือตรวจสอบส่ิงท่เี กิดขึน้ จากการด�ำเนินโครงการ ซึง่ มลี กั ษณะ ดงั นี้ 1. เป็นกรอบหรือทิศทางในการตรวจสอบหรือประเมินโครงการว่า มุ่งศึกษา ตรวจสอบ หรอื ประเมินอะไรบา้ ง 2. เป็นลักษณะหนึ่งของวัตถุประสงค์ของการวิจัย (The Research Goal) ท่มี ุ่งค้นหาคำ� ตอบเก่ยี วกบั โครงการท่มี งุ่ ประเมิน 3. เป็นวัตถุประสงค์เพ่ือการตรวจสอบหรือค้นหาค�ำตอบในสิ่งท่ีผู้ประเมิน อยากรู้ ต้องทราบเกี่ยวกบั โครงการทีม่ ุง่ ประเมิน 4. ค�ำส�ำคัญในการเขียน มักข้ึนต้นด้วยค�ำว่า เพื่อประเมิน... เพื่อศึกษา ... เพื่อตรวจสอบ... เพื่อวิเคราะห์... หรือ เพื่อเปรียบเทียบ... เช่น เพ่ือประเมินโครงการธนาคาร ความดีของโรงเรียน... 2) เพื่อประเมินผลการด�ำเนินงานโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อพัฒนา เศรษฐกิจพอเพียง และ 3) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของ ครู ผู้ปกครองและนักเรียนต่อโครงการ พลงั เพ่อื นขบั เคล่อื นห่างไกลภัยยาเสพตดิ ฯลฯ ขัน้ ตอนท่ี 2 การระบุมาตรฐาน ตวั บง่ ชี้ และเกณฑ์ ในการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ โครงการจำ� เปน็ ตอ้ งระบมุ าตรฐาน ตวั บง่ ชี้ และเกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ คา่ ของโครงการนน้ั ๆ ถา้ ปราศจากสง่ิ เหลา่ นจ้ี ะทำ� ใหก้ ารเกบ็ ขอ้ มลู เกยี่ วกบั โครงการเปน็ ไปอยา่ ง สะเปะสะปะและตัดสินคุณค่าอย่างไม่น่าเช่ือถือ ซึ่งทั้งมาตรฐาน ตัวบ่งชี้และเกณฑ์ตัดสินคุณค่า ท้งั สามสิง่ ลว้ นมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกนั จะขาดสง่ิ ใดสิ่งหนึ่งมิได้ มาตรฐาน (Standard) หมายถึง ข้อก�ำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์และ ท่ีต้องการให้เกิดขึ้นเพ่ือใช้เป็นหลักในการเทียบเคียงส�ำหรับการส่งเสริม การก�ำกับดูแล การ ตรวจสอบ และการประเมนิ ผล ในการประเมิน การก�ำหนดตัวบ่งชี้และเกณฑ์ ถือเป็นเงื่อนไขส�ำคัญและเป็น เงอื่ นไขโดดเดน่ ทที่ ำ� ใหง้ านประเมนิ มลี กั ษณะทแ่ี ตกตา่ งไปจากงานวจิ ยั โดยทวั่ ไปซงึ่ ในการออกแบบ การประเมนิ นกั ประเมินจะตอ้ งก�ำหนดตวั บ่งชีแ้ ละเกณฑใ์ นการตดั สินคุณคา่ อย่างชัดเจน ตัวบ่งชี้ (Indicator) หมายถึง ตัวแปร หรือค่าที่สามารถวัดได้ และสังเกตได้ ซึ่งใช้ ตวั บง่ ชบ้ี อกสถานภาพหรอื สะทอ้ นลกั ษณะการดำ� เนนิ งานหรอื ผลการดำ� เนนิ งานเชน่ ตวั บง่ ชคี้ วาม ส�ำเรจ็ ในการเรียน คือ เกรดเฉลี่ย (GPA) ตัวบ่งช้ีความสำ� เรจ็ ในการฝึกอบรม คือ คะแนนทดสอบ ความรู้ ความพึงพอใจของผู้รับการอบรม พฤติกรรมหลังการอบรม ตัวบ่งช้ีของการรณรงค์ เพ่ือการป้องกันโรคไข้เลือดออก คือ ความรู้ความเข้าใจของประชาชนเก่ียวกับโรคไข้เลือดออก ความตระหนักในปัญหาไข้เลือดออก พฤติกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาเก่ียวกับโรค
358 • การวิจัยทางการบริหารการศกึ ษา ไข้เลือดออก ฯลฯ สว่ น เกณฑ์ (Criterion) หมายถงึ สง่ิ ทใ่ี ชใ้ นการตดั สนิ คณุ คา่ ของทรพั ยากร สอื่ /ชน้ิ งาน การ ปฏบิ ตั ิ หรอื คณุ ภาพของผลงาน เปน็ การกำ� หนดระดบั ของตวั บง่ ชว้ี า่ ควรเกดิ ขนึ้ หรอื ควรปรากฏใน ลักษณะใด หรือระดับใดจึงจะถือว่าเป็นท่ียอมรับตามเกณฑ์ที่ใช้ ซ่ึงอาจก�ำหนดแตกต่างกัน ไดห้ ลายวธิ ี โดยท่วั ไปจำ� แนกเกณฑใ์ นการประเมนิ ได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) เกณฑ์สมั บรู ณ์ ใช้สำ� หรบั ตัดสินคุณค่าตามมาตรฐานการปฏิบัติของโครงการ และ 2) เกณฑ์สัมพัทธ์ ใช้ส�ำหรับการตัดสิน คุณค่าของโครงการด้วยการเปรียบเทียบกับปกติวิสัยของประสิทธิผล และ/หรือประสิทธิภาพ ของโครงการเดิม หรอื โครงการอืน่ ทีม่ ธี รรมชาตคิ ล้ายคลงึ กัน ขั้นตอนที่ 3 การออกแบบการวจิ ัยเชิงประเมิน การออกแบบการวิจัยเชิงประเมินที่มีประสิทธิภาพท่ีจะให้ได้ค�ำตอบตรงตาม วัตถุประสงค์ของการประเมินหรือได้ข้อมูลสารสนเทศท่ีเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ จะต้องมี องคป์ ระกอบที่ส�ำคัญ 3 ประการ ดังน้ี 1. การออกแบบการสุ่มตัวอย่าง (Sampling Design) เป็นการเลือกผู้ให้ข้อมูล หลัก (Key Informants) โดยเปน็ การวางแผนเพ่ือก�ำหนดวา่ ในประเดน็ การประเมิน ตวั แปรหรือ ตัวบ่งช้ีเหล่านั้น จะเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหรือกลุ่มตัวอย่างใด หรือใครจะเป็นผู้ให้ ข้อมูล ในบางกรณีอาจก�ำหนดผู้ให้ข้อมูลหลัก ซึ่งมักจะเป็นผู้เกี่ยวข้องที่รับรู้เกี่ยวกับโครงการ เป็นอยา่ งดี ที่สามารถจะให้ขอ้ มลู ได้อยา่ งชดั เจน ถูกตอ้ ง และตรงประเด็น 2. การออกแบบการวัดตัวแปร (Measurement Design) เป็นการวางแผน เพ่ือกำ� หนดวา่ ในการประเมนิ โครงการครั้งน้ี ม่งุ ศึกษาประเดน็ การประเมิน ตวั แปรหรือตวั บ่งชใ้ี ด บา้ ง และจะใช้เครื่องมือ และเทคนคิ วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลชนดิ ใดบ้าง 3. การออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis Design) เป็นการวางแผน เพอ่ื กำ� หนดว่า ข้อมลู ทเี่ ก็บรวบรวมมาไดจ้ ากเคร่อื งมือวดั แตล่ ะประเภทจะวเิ คราะห์ข้อมลู อยา่ งไร ใชว้ ิธีการทางสถิติ อย่างไร หรือวเิ คราะหข์ ้อมูลด้วยสถติ ชิ นดิ ใด กล่าวโดยสรุป ในการออกแบบการวิจัยเชิงประเมินโครงการ เป็นการก�ำหนด แนวทางการประเมนิ โครงการ โดยนกั วจิ ยั เชงิ ประเมนิ จะตอ้ งศกึ ษาวเิ คราะหใ์ นแตล่ ะวตั ถปุ ระสงค์ ของการประเมินวา่ จะมงุ่ ศึกษาประเดน็ การประเมนิ ตัวแปรหรือตัวบง่ ชี้อะไรบ้าง จะเกบ็ รวบรวม ขอ้ มูลจากแหลง่ ใด ใครเป็นผ้ใู หข้ อ้ มูลหลกั โดยใชเ้ ครื่องมือวัดชนิดใดและจะน�ำขอ้ มลู มาวเิ คราะห์ อยา่ งไร รวมทัง้ จะตัดสินผลการประเมนิ โดยใช้เกณฑ์อะไร ขนั้ ตอนที่ 4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการเก็บรวบรวมข้อมูล นักวิจัยต้องพิจารณาว่า ข้อมูลท่ีจะเก็บรวบรวมนั้นเป็น ข้อมูลเชิงปริมาณหรือข้อมูลเชิงคุณภาพ หลังจากนั้นจึงใช้เครื่องมือ เทคนิควิธีการต่าง ๆ ที่จัด เตรียมไว้ ท�ำการเก็บข้อมลู จากแหล่งข้อมลู นั้น ๆ หากเคร่ืองมอื เก็บรวบรวมข้อมลู มีจำ� นวนหลาย ฉบับ และต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้ให้ข้อมูลจ�ำนวนมาก ควรจัดท�ำคู่มือการ
Research in Educational Administration • 359 เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และปฏทิ นิ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยจะตอ้ งมกี ารวางแผนและประสานงานกบั แหล่งขอ้ มลู หรอื ผใู้ หข้ อ้ มลู หลกั ก�ำหนดช่วงระยะเวลา และวธิ กี ารดำ� เนินการเก็บรวบรวมข้อมลู ใหช้ ัดเจน เพอื่ ให้การเก็บรวบรวมข้อมลู มคี วามถูกตอ้ งและสมบรู ณค์ รบถ้วนมากท่ีสุด ในกรณีของการประเมินองค์กร หรือการประเมินบุคลากร ควรเน้นการเก็บรวบรวม ขอ้ มลู เกย่ี วกบั การพฒั นาระบบฐานขอ้ มลู เพอ่ื การประเมนิ ระบบฐานขอ้ มลู ทด่ี ี หรอื มกี ารจดั ระบบ แฟม้ สะสมงานทด่ี ี จะนำ� ไปสรู่ ะบบการประเมนิ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ จะทำ� ใหส้ ามารถสรปุ ประเมนิ ผล งานขององคก์ รหรือบุคลากรได้อย่างตอ่ เน่อื ง และเกิดประโยชน์ต่อการพฒั นาอย่างแทจ้ ริง ขนั้ ตอนที่ 5 การวิเคราะห์ข้อมลู การวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยเชิงประเมิน นักวิจัยไม่จ�ำเป็นต้องเน้นวิธีการทางสถิติ ทีห่ รูหราซับซ้อน ควรเลอื กใชว้ ธิ กี ารทางสถติ ิทีง่ ่ายตอ่ การสอ่ื ความหมาย แต่สามารถตอบคำ� ถาม ในการประเมนิ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน ซงึ่ ในขนั้ น้ี เปน็ ขนั้ ของการวเิ คราะหข์ อ้ มลู และแปลความหมายของ ขอ้ มลู ในการประเมนิ เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ คำ� ตอบตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการประเมนิ โครงการตามทไี่ ด้ ก�ำหนดไว้ วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับลักษณะของข้อมูลที่เก็บรวบรวม มาได้ ดังน้ี 1. ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวเลข การวิเคราะห์จะใช้สถิติ เป็นเคร่ืองมือช่วย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบนัยส�ำคัญทาง สถติ ดิ ้วยการทดสอบค่าที (t–test), การทดสอบคา่ เอฟ (F–test) ฯลฯ 2. ข้อมูลเชิงคุณภาพ เป็นข้อมูลท่ีไม่ได้วัดออกมาเป็นตัวเลขแต่อาจจะอยู่ใน รูปการบรรยายสถานการณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็นหรือคุณลักษณะของสิ่งต่าง ๆ การวิเคราะห์ ข้อมูลประเภทนี้ ส่วนมากใชเ้ ทคนิคการวเิ คราะหเ์ ชิงเนอื้ หา (Content Analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูล ส่ิงที่นักวิจัยเชิงประเมินโครงการต้องพิจารณาในการวิเคราะห์ และแปลความหมายของข้อมลู มีดังนี้ 1. เทคนคิ ท่ีใช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล ตอ้ งมคี วามเหมาะสม และสามารถทำ� ให้ ได้ข้อมลู สารสนเทศที่สอดคลอ้ งหรือตอบวัตถุประสงค์ของการประเมินโครงการ 2. การวิเคราะห์และแปลความหมายของข้อมูล ต้องไม่มีความล�ำเอียงหรือ มีอคติส่วนตัว การวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินส่วนใหญ่จะเป็นการเปรียบเทียบข้อมูลผล การประเมินกับเกณฑ์การประเมินว่า สอดคล้องหรือผ่านเกณฑ์ท่ีก�ำหนดไว้หรือไม่ เพ่ือตัดสิน คุณค่าและตัดสินใจเก่ียวกับโครงการที่มุ่งประเมิน เกณฑ์ในการประเมินจึงมีความส�ำคัญเพราะ ใช้เปน็ สง่ิ เปรยี บเทยี บกับข้อมลู ท่ไี ดจ้ ากการวเิ คราะห์ ขัน้ ตอนที่ 6 รายงานผลการวจิ ัยเชงิ ประเมนิ เปา้ หมายปลายทางของการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ คอื การนำ� ขอ้ มลู ผลการประเมนิ ไปใชเ้ พอ่ื การวนิ จิ ฉยั สง่ั การ หรอื ตดั สนิ ใจในการปรบั ปรงุ และพฒั นางาน และถอื เปน็ เปา้ หมายสงู สดุ ของการ ประเมนิ ดงั นนั้ ในขนั้ ตอนนนี้ กั วจิ ยั เชงิ ประเมนิ จะตอ้ งจดั ทำ� รายงานการประเมนิ เพอื่ นำ� เสนอใหผ้ ู้
360 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา บรหิ ารไดใ้ ชเ้ ปน็ ขอ้ มลู ประกอบการตดั สนิ ใจ รายงานการประเมนิ ดงั กลา่ วสามารถทำ� ไดโ้ ดยทำ� เปน็ รายงานสรปุ ส�ำหรับผ้บู ริหาร เป็นรายงานการสรปุ ผลการประเมนิ ทส่ี นั้ กะทัดรดั ปกติมคี วามยาว 1-5 หน้า ให้สารสนเทศที่ใช้ประกอบการตัดสินใจส�ำหรับผู้บริหารได้ ลักษณะของการรายงาน ประกอบดว้ ยสว่ นสำ� คญั 3สว่ นคอื วตั ถปุ ระสงคข์ องการประเมนิ ผลการประเมนิ และขอ้ เสนอแนะ 11.4 การวิจัยเชิงประเมนิ กบั การประกนั คณุ ภาพเพ่ือพัฒนาการศึกษา ในส่วนนี้ จะน�ำเสนอเน้ือหาสาระที่ส�ำคัญเก่ียวกับการวิจัยเชิงประเมินกับการประกัน คณุ ภาพเพือ่ พฒั นาการศกึ ษา ซึ่งประกอบด้วยความหมายของการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา ความ ส�ำคัญของการประกันคณุ ภาพการศึกษา ประเภทของการประกันคณุ ภาพของการศกึ ษา การวิจัย เชงิ ประเมนิ ในกระบวนการประกนั คณุ ภาพเพอ่ื พฒั นาการศกึ ษา และแนวปฏบิ ตั ใิ นการดำ� เนนิ งาน ประกนั คณุ ภาพเพ่ือพัฒนาการศกึ ษา โดยมีรายละเอยี ด ดงั น้ี 1. ความหมายของการประกนั คณุ ภาพการศึกษา อังกฤษเป็นประเทศแรกท่ีริเร่ิมแนวความคิดเรื่องการประกันคุณภาพการศึกษา โดยได้ น�ำแนวคิดเก่ียวกับการประกันคุณภาพไปใช้ในสถานศึกษาในปี ค.ศ. 1988 ต่อมาแนวคิดน้ีจึงได้ แพร่หลายไปยังประเทศต่าง ๆ ท่ัวโลก ในส่วนของประเทศไทย แนวคิดในเรื่องของการประกัน คุณภาพการศึกษายังถือว่าเป็นเร่ืองใหม่ เริ่มมีการด�ำเนินงานอย่างจริงจังในปี พ.ศ. 2537 เมื่อที่ ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยได้เสนอหลักการ แนวทาง และวิธีการในการประกันคุณภาพ ทางวชิ าการอยา่ งเปน็ ระบบในมหาวทิ ยาลยั เปน็ ครง้ั แรก และมผี ใู้ หค้ ำ� นยิ ามดา้ นการประกนั คณุ ภาพ การศึกษาไว้ในความหมายตา่ ง ๆ กนั ดังตวั อย่างต่อไปน้ี กรมวิชาการ (2539) ก�ำหนดว่า การประกันคุณภาพการศึกษาเป็นมาตรการหนึ่งที่จะ ทำ� ให้เกดิ ความเช่อื มั่นได้วา่ สถานศึกษาที่ไดร้ บั การรับรองมาตรฐานสามารถจดั การศึกษาไดอ้ ยา่ ง มีคณุ ภาพ ผจู้ บการศึกษามคี ณุ ภาพตามมาตรฐานท่ีกำ� หนดไว้ ส�ำนักมาตรฐานอุดมศึกษา ทบวงมหาวิทยาลัย (2541, หน้า 1) ให้ความหมายของการ ประกันคุณภาพการศึกษาว่า เป็นกิจกรรมหรือการปฏิบัติใด ๆ ท่ีหากได้ด�ำเนินการตามระบบ และแผนท่ีได้วางไว้แล้ว จะท�ำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่า จะได้บัณฑิตท่ีมีคุณภาพตามคุณลักษณะ ท่พี ึงประสงค์ สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ(2543)ใหค้ วามหมายของการประกนั คณุ ภาพ การศึกษาว่า เป็นการบริหารจดั การ และการดำ� เนินกิจกรรมตามภารกิจปกตขิ องสถานศึกษา เพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพของผเู้ รยี นอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ซง่ึ จะเปน็ การสรา้ งความมนั่ ใจใหผ้ รู้ บั บรกิ ารทางการศกึ ษา ทง้ั ผรู้ บั บรกิ ารโดยตรงและผรู้ บั บรกิ ารทางออ้ มวา่ การดำ� เนนิ งานของสถานศกึ ษาจะมปี ระสทิ ธภิ าพ และทำ� ให้ผเู้ รียนมีคุณภาพหรือคุณลักษณะท่พี ึงประสงค์ตามมาตรฐานการศึกษาท่ีกำ� หนด การประกันคุณภาพการศึกษา หมายถึง การบริหารจัดการและการด�ำเนินกิจกรรมตาม ภารกิจปกติของสถานศึกษา เพ่ือพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนอย่างต่อเน่ือง สร้างความม่ันใจให้ผู้รับ บรกิ ารทางการศกึ ษา ทงั้ ผรู้ บั บรกิ ารโดยตรง ไดแ้ ก่ ผเู้ รยี น ผปู้ กครอง และผรู้ บั บรกิ ารทางออ้ ม ไดแ้ ก่ สถานประกอบการประชาชนและสงั คมโดยรวม(สำ� นกั ประกนั คณุ ภาพการศกึ ษามทร.ธญั บรุ ,ี 2562)
Research in Educational Administration • 361 การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา หมายถงึ การทำ� กจิ กรรมหรอื การปฏบิ ตั ภิ ารกจิ หลกั อยา่ งมี ระบบตามแบบแผนทกี่ ำ� หนดไว้ โดยมกี ารควบคมุ คณุ ภาพ (Quality Control) การตรวจสอบคณุ ภาพ (Quality Auditing) และการประเมินคุณภาพ (Quality Assessment) จนท�ำให้เกิดความมั่นใจใน คุณภาพและมาตรฐานของดัชนีชี้วัด ระบบและกระบวนการผลิต ผลผลิตและผลลัพธ์ ของการ จดั การศกึ ษา ประกอบดว้ ยการประกนั คณุ ภาพภายใน และการประกนั คณุ ภาพภายนอก (สำ� นกั งาน ประกนั คุณภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล, 2562) โดยสรุป การประกันคุณภาพการศึกษา หมายถึง การมีระบบและกลไกในการควบคุม ตรวจสอบ และประเมินการด�ำเนินงานในแต่ละองค์ประกอบคุณภาพตามดัชนีบ่งชี้ท่ีก�ำหนด เพ่ือเป็นหลักประกันแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและสาธารณชนได้มั่นใจว่า สถาบันนั้น ๆ สามารถให้ ผลผลติ ทางการศกึ ษาท่มี คี ุณภาพ 2. ความส�ำคัญของการประกันคณุ ภาพการศึกษา การประกันคุณภาพการศึกษาเป็นเครื่องมือส�ำคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ได้ ตามมาตรฐานท่ีก�ำหนด และเม่ือมีการด�ำเนินการอย่างต่อเนื่อง จะท�ำให้คุณภาพการจัดการศึกษา มีมาตรฐานเปน็ ที่ยอมรับระดบั สากล หรอื กา้ วสูค่ วามเป็นเลิศได้ พระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (2542, 19 สงิ หาคม) ไดใ้ ห้ความสำ� คัญกบั การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา โดยกำ� หนดการประกนั คณุ ภาพไวใ้ นหมวดท่ี 6 วา่ ดว้ ยการมาตรฐาน และการประกันคุณภาพการศึกษา โดยได้ก�ำหนดให้มีระบบประกันคุณภาพการศึกษา เพื่อพัฒนา คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ ประกอบด้วยระบบประกันคุณภาพภายในและระบบ ประกนั คณุ ภาพภายนอก สำ� หรบั การประกนั คณุ ภาพภายใน ใหห้ นว่ ยงานตน้ สงั กดั และสถานศกึ ษา จดั ให้มีระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และให้ถือว่า การประกนั คุณภาพภายในเปน็ สว่ นหนง่ึ ของกระบวนการบรหิ ารการศกึ ษาทตี่ อ้ งดำ� เนนิ การอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยมกี ารจดั ทำ� รายงาน ประจ�ำปีเสนอต่อหนว่ ยงานต้นสงั กัด หนว่ ยงานทีเ่ ก่ียวขอ้ ง และเปดิ เผยต่อสาธารณชน เพ่ือนำ� ไป สู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา และเพอ่ื รองรบั การประกนั คณุ ภาพภายนอก โดยใน มาตรา49กำ� หนดใหม้ สี ำ� นกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษามฐี านะเปน็ องคก์ ร มหาชน ท�ำหน้าท่พี ฒั นาเกณฑ์ วิธกี ารประเมนิ คุณภาพภายนอก และท�ำการประเมินผลการจัดการ ศกึ ษา เพอื่ ใหม้ กี ารตรวจสอบคณุ ภาพของสถานศกึ ษา ใหม้ กี ารประเมนิ คณุ ภาพภายนอกของสถาน ศึกษาทุกแห่งอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกห้าปีนับตั้งแต่การประเมินคร้ังสุดท้าย และเสนอผลการ ประเมินตอ่ หนว่ ยงานท่เี กย่ี วขอ้ งและสาธารณชน อยา่ งไรกต็ าม มาตรา 49 แห่งพระราชบญั ญตั ิ การศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นี้ ได้ถูกยกเลิกโดยมาตรา 8 แห่งพระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับท่ี 4) พ.ศ. 2562 และให้ใช้ขอ้ ความต่อไปนแ้ี ทน “มาตรา 49 ให้มีสำ� นักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา มีฐานะเป็น องค์การมหาชน ท�ำหน้าท่ีพัฒนาเกณฑ์ วิธีการประเมินคุณภาพภายนอก และท�ำการประเมินผล การจัดการศึกษา ท่ีมิใช่การจัดการอุดมศึกษาซ่ึงอยู่ในอ�ำนาจหน้าท่ีของกระทรวงการอุดมศึกษา วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม หรอื กระทรวงอน่ื เพอื่ ใหม้ กี ารตรวจสอบคณุ ภาพของสถานศกึ ษา
362 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา โดยค�ำนึงถึง ความมุ่งหมาย หลักการ และแนวการจดั การศึกษาในแตล่ ะระดับตามทก่ี �ำหนดไวใ้ น พระราชบัญญัตินี้ ใหม้ กี ารประเมนิ สถานศกึ ษาทกุ แหง่ อยา่ งนอ้ ยหนง่ึ ครง้ั ในทกุ หา้ ปนี บั ตง้ั แตก่ ารประเมนิ คร้ังสดุ ทา้ ย และเสนอผลการประเมนิ ตอ่ หน่วยงานทเี่ ก่ียวขอ้ งและสาธารณชน” พฤทธ์ิ ศิริบรรณพทิ ักษ์ (2545) กลา่ ววา่ การประกันคณุ ภาพการศึกษา มีความสำ� คัญตอ่ ประชาชน ผู้รบั บรกิ าร และผู้รับผิดชอบ 3 ประการ ดังน้ี 1) ท�ำให้ประชาชนได้รับข้อมูลคุณภาพการศึกษาที่เชื่อถือได้ เกิดความเช่ือม่ัน และ สามารถตดั สินใจเลอื กใช้บริการทมี่ ีคณุ ภาพมาตรฐาน 2) ป้องกันการจัดการการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ ซ่ึงจะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค และ เกิดความเสมอภาคในโอกาสท่ีจะไดร้ ับการบรกิ ารการศกึ ษาทมี่ ีคุณภาพอย่างทัว่ ถึง 3) ท�ำให้ผู้รับผิดชอบในการจัดการศึกษามุ่งบริหารจัดการศึกษาสู่คุณภาพและ มาตรฐานอย่างจริงจัง ซึ่งมีผลให้การศึกษามีพลังที่จะพัฒนาประชากรให้มีคุณภาพอย่างเป็น รูปธรรมและต่อเน่ือง การประกันคุณภาพการศึกษาจึงเป็นการบริหารจัดการและการด�ำเนิน กจิ กรรมตามภารกจิ ปกตขิ องสถานศกึ ษาเพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพของผเู้ รยี นอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ซงึ่ จะเปน็ การ สร้างความมั่นใจให้ผู้รับบริการการศึกษา ทั้งยังเป็นการป้องกันการจัดการการศึกษาที่ด้อย คณุ ภาพ และสรา้ งสรรคก์ ารศกึ ษาใหเ้ ปน็ กลไกทมี่ พี ลงั ในการพฒั นาประชากรใหม้ คี ณุ ภาพสงู ยง่ิ ขน้ึ นอกจากนี้ ศูนย์เครือข่าย สมศ. มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (2560) กล่าวว่า การประกนั คุณภาพการศึกษามีความสำ� คญั ซึ่งอาจสรปุ ได้ 11 ประการ ดังน้ี 1) ท�ำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาอย่างต่อเน่ืองเพื่อเข้าสู่ มาตรฐานสากล 2) ท�ำให้การใช้ทรัพยากรในการบริหารจัดการของสถานศึกษาเป็นไปอย่าง มีประสทิ ธิภาพ 3) ท�ำให้การบริหารจัดการของสถานศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล อันจะท�ำให้ การผลิตผู้ส�ำเร็จการศึกษาทุกระดับ การสร้างผลงานวิจัย และการให้บริการทางวิชาการ เกิดประโยชน์สูงสุดและตรงกบั ความตอ้ งการของสงั คมและประเทศชาติ 4) ท�ำให้ผู้เรียน ผู้ปกครอง ผู้จ้างงาน และสาธารณชนมีข้อมูลส�ำหรับการตัดสินใจ ทถ่ี กู ตอ้ งและเป็นระบบ 5) ท�ำให้สถานศึกษา หน่วยงานบริการการศึกษา และรัฐบาลมีข้อมูลท่ีถูกต้อง และเปน็ ระบบในการก�ำหนดนโยบาย วางแผน และการจัดบรกิ ารการศกึ ษา 6) ทำ� ใหผ้ เู้ รยี นมผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นทกุ สาระวชิ าสงู และไดม้ าตรฐานสมำ�่ เสมอ 7) ท�ำให้ผู้เรียนรู้ล่วงหน้าว่าจะได้รับผลอะไรจากการเรียนในสถานศึกษาและได้ ผลตามความต้องการ 8) ทำ� ใหผ้ ปู้ กครอง ชุมชน ครู หน่วยงานการจัดการศกึ ษาในทอ้ งถิ่น มสี ่วนรว่ มใน การกำ� หนดมาตรฐานคณุ ภาพทผี่ สมกลมกลนื ระหวา่ งมาตรฐานสากล มาตรฐานชาตแิ ละมาตรฐาน ทอ้ งถ่นิ
Research in Educational Administration • 363 9) ท�ำใหผ้ ู้บริหารสถานศกึ ษาเปน็ ผ้นู ำ� การจัดการเพ่อื ควบคมุ คณุ ภาพการศึกษา โดย ผนึกก�ำลังกับครู คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน วางแผนการยกระดับคุณภาพการ จัดการเรียนการสอน เพือ่ ให้บังเกิดผลกบั ผูเ้ รียนตามมาตรฐาน 10) ท�ำใหค้ รูไดร้ บั การพัฒนาและจูงใจให้วางแผนการจดั การเรียนการสอนโดยยึดผู้ เรียนเป็นศูนย์กลาง เน้นกระบวนการปฏิบัติเพ่ือให้น�ำไปสู่การบรรลุมาตรฐานคุณภาพการเรียนรู้ อย่างครบถ้วน 11) ท�ำให้มีระบบการวัดประเมินผลตามสภาพจริง มุ่งตรงต่อการบรรลุมาตรฐาน คุณภาพ และบันทึกลงแฟ้มผลงานท่ีผู้บริหารและครูตรวจสอบผลการเรียนและบันทึกผล น�ำผล มาใชเ้ พอ่ื การพฒั นาและรายงานสชู่ มุ ชนสมำ่� เสมอวา่ การจดั การเรยี นการสอนทำ� ใหบ้ งั เกดิ ผลตาม เปา้ หมายคุณภาพการเรียนรทู้ ีก่ �ำหนดไวล้ ว่ งหน้าได้ดีเพยี งใด 3. ประเภทของการประกันคุณภาพการศกึ ษา ตามพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ(ฉบบั ท่ี4)พ.ศ.2562(2562,1ธนั วาคม)ไดก้ ำ� หนด เกยี่ วกบั เรอื่ งระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาไวใ้ นมาตรา 47 คอื ใหม้ รี ะบบการประกนั คณุ ภาพ การศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของการศึกษาข้ันพื้นฐาน และการศึกษา ระดับอุดมศึกษา ซ่งึ ระบบการประกนั คุณภาพการศกึ ษาดังกลา่ วอาจจำ� แนกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ ระบบการประกันคณุ ภาพภายใน และระบบการประกันคุณภาพภายนอก โดยอาจนยิ ามได้ ดงั น้ี 3.1 ระบบการประกันคุณภาพภายใน หมายถึง ระบบการควบคุมคุณภาพภายใน ของสถานศึกษา โดยการด�ำเนินการของสถานศึกษาเอง เพื่อให้มีความม่ันใจว่า สถานศึกษาได้ ด�ำเนินการตามภารกิจหลักอย่างมีคุณภาพ กระบวนการประกันคุณภาพภายใน ประกอบด้วย การควบคมุ คณุ ภาพ การตรวจสอบคณุ ภาพ และการประเมนิ คณุ ภาพ 3.2 ระบบการประกันคุณภาพภายนอก หมายถึง ระบบการควบคุมคุณภาพ พร้อมทั้งการตรวจสอบและการประเมินผลทั้งระบบ โดยหน่วยงานภายนอก เพื่อประกันว่า สถานศึกษาไดด้ ำ� เนนิ การตามภารกจิ หลกั ไดอ้ ย่างมคี ณุ ภาพ กระบวนการประกนั คณุ ภาพภายนอก ประกอบดว้ ยการตรวจสอบคณุ ภาพทผ่ี า่ นกระบวนการประกนั คณุ ภาพภายในการประเมนิ คณุ ภาพ และการใหก้ ารรบั รอง 4. การประกันคุณภาพภายในกบั การประเมินคุณภาพ การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาภายในเปน็ สว่ นหนง่ึ ของกระบวนการบรหิ ารการศกึ ษาตาม ปกตทิ ตี่ อ้ งดำ� เนินการอยา่ งตอ่ เน่อื ง โดยมกี ารควบคุมดูแลปจั จัยท่ีเก่ยี วขอ้ งกับคณุ ภาพ มีการตรวจ สอบ ตดิ ตามและประเมนิ ผลการดำ� เนนิ งาน เพอ่ื นำ� ไปสกู่ ารพฒั นาปรบั ปรงุ คณุ ภาพอยา่ งสมำ่� เสมอ ดว้ ยเหตนุ ้ี ระบบประกนั คุณภาพภายในจงึ ตอ้ งดแู ลทง้ั ปัจจยั น�ำเขา้ (Input) กระบวนการ (Process) และผลผลิตหรือผลลัพธ์ (Output/Outcome) ซ่ึงต่างจากการประเมินคุณภาพภายนอก ท่ีเน้นการ ประเมินผลการจัดการศึกษา ดังนั้น เมื่อสถานศึกษามีการด�ำเนินการประกันคุณภาพภายในแล้ว จ�ำเป็นต้องจัดท�ำรายงานประจ�ำปีที่เป็นรายงานประเมินคุณภาพภายในโดยใช้รูปแบบการจัดท�ำ
364 • การวิจัยทางการบริหารการศกึ ษา รายงานประจ�ำปีที่เป็นรายงานการประเมินคุณภาพภายในตามท่ีก�ำหนดในระบบฐานข้อมูลด้าน การประกันคุณภาพ (CHE QA Online) ซ่ึงเป็นการบันทึกผลการด�ำเนินงานประกันคุณภาพการ ศึกษาผ่านทางระบบออนไลน์ ต้ังแต่การจัดเก็บข้อมูลพ้ืนฐาน เอกสารอ้างอิง การประเมินตนเอง การประเมินของคณะกรรมการประเมินคุณภาพ เพ่ือน�ำเสนอหน่วยงานต้นสังกัด หน่วยงานท่ี เกี่ยวข้อง และเปิดเผยต่อสาธารณชน ซ่ึงข้อมูลดังกล่าวจะเป็นข้อมูลเชื่อมโยงต่อเน่ืองระหว่าง การประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา การติดตามตรวจสอบของต้นสังกัด (ส�ำนักงานคณะ กรรมการการอดุ มศกึ ษา, 2560) 5. กระบวนการประกันคณุ ภาพการศกึ ษาภายใน เพอื่ ใหก้ ารประกนั คณุ ภาพการศึกษาเกิดประโยชน์ จงึ ควรมีแนวทางการจดั กระบวนการ ประกันคุณภาพการศึกษาภายในตามวงจรคุณภาพ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การวางแผน (Plan) การด�ำเนินงานและเก็บข้อมูล (Do) การประเมินคุณภาพ (Check / Study) และการเสนอ แนวทางการปรบั ปรงุ (Act) โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้ (สำ� นกั งานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา, 2560) P = เร่ิมกระบวนการวางแผนการประเมินต้ังแต่ต้นปีการศึกษา โดยน�ำผลการ ประเมินปีก่อนหน้านี้มาใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนโดยต้องเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนมิถุนายน ใน กรณที ใี่ ชร้ ะบบเปดิ -ปดิ ภาคการศกึ ษาแบบเดมิ หรอื ตงั้ แตเ่ ดอื นสงิ หาคม ในกรณที ใี่ ชร้ ะบบเปดิ -ปดิ ภาคการศกึ ษาตามอาเซยี น D = ด�ำเนินงานและเก็บข้อมูลบันทึกผลการด�ำเนินงานต้ังแต่ต้นปีการศึกษา คือ เดือนที่ 1 – เดอื นท่ี 12 ของปีการศกึ ษา (เดอื นมถิ นุ ายน – พฤษภาคม ปีถัดไป หรอื เดือนสงิ หาคม – กรกฎาคม ปถี ดั ไป) C/S = ด�ำเนินการประเมินคุณภาพอย่างเป็นระบบ ในระหว่างเดือนมิถุนายน – สิงหาคม หรือเดือนสิงหาคม – ตุลาคม ของปีการศกึ ษา A = วางแผนปรบั ปรงุ และดำ� เนนิ การปรบั ปรงุ ตามผลการประเมนิ โดยนำ� ขอ้ เสนอ แนะและผลการประเมนิ ของคณะกรรมการประเมนิ คณุ ภาพภายในมาวางแผนปรบั ปรงุ การดำ� เนนิ งาน จดั ทำ� แผนปฏบิ ตั กิ ารประจำ� ปี และเสนอตงั้ งบประมาณปถี ดั ไป หรอื จดั ทำ� โครงการพฒั นาและ เสนอใช้งบประมาณกลางปี 6. การวิจยั เชงิ ประเมนิ ในกระบวนการประกนั คณุ ภาพเพอ่ื พฒั นาการศึกษา จากระบบการประกันคุณภาพภายในและกระบวนการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ดังกล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่า การประเมินคุณภาพเป็นการประเมินอย่างเป็นระบบด้วยวิธีการ ที่เช่ือถือได้ หรือการวิจัยเชิงประเมินถือเป็นกิจกรรมส�ำคัญในระบบประกันคุณภาพการศึกษา หรือหากวิเคราะหร์ ะบบประกนั คณุ ภาพการศึกษา จะพบวา่ มภี ารกจิ หลักทสี่ ำ� คัญ 4 ส่วน ซึ่งตอ้ ง แยกบทบาทหน้าทีใ่ ห้ชัดเจน ดงั น้ี 6.1 การก�ำหนดมาตรฐานหรือหลักเกณฑ์ของระบบการประกันคุณภาพ เป็น หน้าท่ีของส่วนกลาง เช่น ส�ำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.)
Research in Educational Administration • 365 กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ฯลฯ 6.2 การประเมินภายใน เป็นหน้าที่ของสถานศึกษา หรือหน่วยงานต้นสังกัดใน การพัฒนาระบบการประเมินภายใน โดยดึงชุมชนและผู้มีส่วนเก่ียวข้องเข้ามามีส่วนร่วม ท้ังน้ี ในการประเมินภายในน้ัน สถานศึกษาหรือหน่วยงานต้นสังกัดสามารถเพ่ิมเติมมาตรฐาน การจดั การศึกษาเพือ่ ความเป็นเอกลักษณข์ องตนเองได้ 6.3 การประเมินภายนอก ให้องค์กรอิสระในรูปองค์การมหาชนท�ำหน้าท่ีการ ประเมินภายนอก ตามมาตรา 49 ท่ีก�ำหนดให้มีส�ำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ การศกึ ษา มฐี านะเปน็ องคก์ ารมหาชน ทำ� หนา้ ทพ่ี ฒั นาเกณฑ์ วธิ กี ารประเมนิ คณุ ภาพภายนอก และ ทำ� การประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษา ทม่ี ใิ ชก่ ารจดั การอดุ มศกึ ษาซง่ึ อยใู่ นอำ� นาจหนา้ ทขี่ องกระทรวง การอุดมศึกษา วทิ ยาศาสตร์ วจิ ัยและนวัตกรรม หรอื กระทรวงอ่นื เพ่อื ให้มีการตรวจสอบคณุ ภาพ ของสถานศกึ ษา โดยคำ� นงึ ถงึ ความมงุ่ หมาย หลกั การ และแนวการจดั การศกึ ษาในแตล่ ะระดบั ตาม ทกี่ ำ� หนดไวใ้ นพระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ (ฉบบั ท่ี 4) พ.ศ. 2562 ในการประเมนิ ภายนอกดงั กลา่ วใหม้ กี ารประเมนิ สถานศกึ ษาทกุ แหง่ อยา่ งนอ้ ยหนงึ่ ครงั้ ในทกุ หา้ ปนี บั ตงั้ แตก่ ารประเมนิ ครง้ั สดุ ทา้ ย และเสนอผลการประเมนิ ตอ่ หนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง และสาธารณชน 6.4 การน�ำผลการประเมินไปใช้เพื่อการปรับปรุง เป็นหน้าท่ีของฝ่ายบริหารการ ศึกษาตามภารกิจของระบบดังกล่าวนี้ จะเห็นว่าการประเมินไม่ว่าจะเป็นการประเมินภายในหรือ การประเมินภายนอก ถอื เปน็ องคป์ ระกอบที่สำ� คญั ของระบบประกนั คุณภาพการศกึ ษา 11.5 การวจิ ัยแตกตา่ งจากการประเมนิ อย่างไร ในปัจจุบันแนวคิดเรื่องการประเมินเป็นประเด็นที่หลายหน่วยงานให้ความส�ำคัญ แต่ปัญหาท่ีพบนอกจากไม่รู้ว่า จะมีวิธีการประเมินอย่างไรแล้ว ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็น ผู้รับผิดชอบในการประเมินก็อาจมีหลายกลุ่มต้ังแต่ระดับผู้บริหาร นักวิจัย นักวิเคราะห์หรือ เจา้ หนา้ ที่ระดบั ปฏบิ ัติ คนทีไ่ มเ่ คยมีประสบการณใ์ นการประเมนิ หรือไม่ไดผ้ า่ นการเรยี นการสอน ทม่ี กี ารสอนเรอื่ งประเมนิ หลายคนจงึ เรมิ่ ตน้ ดว้ ยการคน้ ควา้ หาวา่ วธิ กี ารประเมนิ มแี นวทางอยา่ งไร และเกิดความสับสนวา่ การประเมินกับการวิจยั เหมือนหรอื ต่างกนั อยา่ งไร เพราะบางคร้ังมีการใช้ คำ� วา่ “วจิ ยั ประเมนิ โครงการ” ดงั นน้ั เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจทช่ี ดั เจนในเรอ่ื งนี้ ผเู้ ขยี นจงึ ขอสรปุ เรอ่ื ง ของความเหมือนและความต่างของการวิจัยและการประเมินโดยพิจารณาจากความหมายของการ วจิ ยั และการประเมนิ ดงั นี้ (วรางคณา จันทรค์ ง, 2558) 1. ความหมายของการวจิ ยั และการประเมนิ “การวิจัย” (Research) หมายถึง กระบวนการรวบรวมข้อมูล หรือค้นหาความรู้ที่เป็น ระบบ ด้วยวธิ กี ารทเี่ ช่ือถอื ได้ หรอื วิธกี ารทเ่ี ปน็ ทย่ี อมรบั ในศาสตร์นัน้ ๆ สว่ น “การประเมิน” หรอื “การประเมนิ ผล” (Evaluation) หมายถงึ กระบวนการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมลู เพ่อื การตดั สิน ใจดำ� เนินการส่ิงใดสิง่ หนึง่
366 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 2. ความเหมอื นและความตา่ งของการวจิ ัยและการประเมนิ จากความหมายขา้ งตน้ อาจจะยงั มองไมเ่ หน็ ความแตกตา่ งของคำ� ทง้ั สองอยา่ งชดั เจน การ วจิ ยั และการประเมนิ มคี วามแตกตา่ งกนั ในบางประเดน็ โดยจดุ ทเี่ หมอื นกนั หลกั ๆ คอื ทง้ั สองเรอื่ ง เป็นการหาค�ำตอบในประเด็นที่อยากรู้ และมีประเด็นที่ใกล้เคียงกันมาก คือ ในส่วนของระเบียบ วิธีและการวิเคราะห์ผล ส�ำหรับความแตกต่างที่เด่นชัด คือ การประเมินเน้นท่ีการน�ำผลของการ ประเมนิ มาพฒั นา/ปรบั ปรงุ /ตดั สนิ ใจ ในกระบวนการ ไมเ่ นน้ ระเบยี บวธิ เี ทา่ การวจิ ยั ลกั ษณะทแี่ ตก ตา่ งอีกอย่างหน่ึง คอื ในการประเมนิ ตอ้ งระบตุ วั บ่งช้ี (หรือตวั ช้ีวดั หรอื ประเดน็ การประเมนิ ) และ เกณฑใ์ นการตดั สนิ ขอ้ มลู ผลทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ มคี วามเฉพาะเจาะจงสงู กลา่ วคอื จะสรปุ เฉพาะ เรือ่ งท่ปี ระเมินเท่านน้ั ในขณะท่กี ารวิจยั เน้นทก่ี ารทดสอบ/สร้างทฤษฎหี รอื สมมติฐาน นอกจากน้ี การเสนอผลการประเมินจะน�ำเสนอต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือผู้เก่ียวข้องกับเรื่องท่ีประเมิน ส่วนการวิจัยจะน�ำเสนอต่อผู้สนใจไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นกลุ่มใด ทั้งนี้เม่ือวิเคราะห์ความหมาย จุดประสงค์ การออกแบบ และผลที่ได้รับจากการประเมินและการวิจัยแล้ว สามารถสรุปความ แตกตา่ งระหวา่ งการวิจยั และการประเมนิ โดยมีประเด็นเปรียบเทยี บ ดังแสดงในตารางที่ 11.1 ตารางที่ 11.1 ความแตกต่างระหวา่ งการวจิ ัยและการประเมิน ประเดน็ เปรียบเทียบ การวจิ ัย การประเมนิ 1. จดุ มงุ่ หมาย ค้นหาความจรงิ ตดั สนิ คณุ คา่ /ตดั สนิ ใจจากขอ้ คน้ พบ 2. การเลือกประเดน็ ท่ีศกึ ษา กำ� หนดจากผวู้ ิจยั กำ� หนดจากสิง่ ท่ถี กู ประเมนิ สถานการณ์และเงือ่ นไขตา่ ง ๆ 3. การคาดคะเนค�ำตอบ นยิ มก�ำหนดเป็นสมมติฐาน ไม่กำ� หนดลว่ งหนา้ 4. ตวั แปร ไดจ้ ากการทบทวนเอกสารที่ ก�ำหนดข้ึนจากประเดน็ ท่ีประเมิน เกย่ี วขอ้ ง เรียกวา่ ตวั บ่งช้ี 5. เกณฑ์หรอื มาตรฐานของ ไมก่ ำ� หนด แตม่ งุ่ ทีจ่ ะ กำ� หนดไว้เพ่อื น�ำผลของตัวบง่ ชี้ ตัวบ่งช้ี บรรยายตัวแปร มาเปรียบเทียบในการตัดสนิ คุณค่า 6. ประชากร ผูว้ จิ ัยเป็นผู้ก�ำหนดวา่ ในการ ข้ึนอยู่กบั ส่งิ ที่ถกู ประเมินวา่ วิจยั ใคร คอื ประชากร มีบคุ คล องคก์ ารท่ีมสี ่วน 7. การสุ่มตัวอยา่ ง เก่ยี วขอ้ งกับโครงการ คอื ใครบา้ ง นิยมสุม่ ตวั อย่างเพือ่ ให้ได้ สว่ นใหญ่จะเป็นการระบุกล่มุ ความเปน็ ตัวแทน เปา้ หมายของสงิ่ ท่ถี กู ประเมนิ 8. ข้อมูลท่ใี ช/้ การเก็บ โดยทั่วไปจะใช้ขอ้ มูลปฐม ใชท้ ้งั ข้อมลู ปฐมภมู แิ ละขอ้ มูล รวบรวมขอ้ มลู ภมู ิ ซ่งึ ก�ำหนดโดยปัญหาท่ี ทุตยิ ภูมซิ ่งึ ก�ำหนดโดยความเปน็ มุง่ วิจยั ไปได้เปน็ ส�ำคญั
Research in Educational Administration • 367 9. ประเภทของการวิจยั เป็นการวิจัยพ้นื ฐานหรอื การ เปน็ การวิจัยประยุกต์และนิยม วจิ ยั ประยกุ ต์ นิยมใช้การวจิ ัย ใช้การวจิ ยั เชิงปริมาณหรือการ เชิงปริมาณหรือการวจิ ัยเชงิ วิจยั เชงิ คณุ ภาพอย่างใดอย่างหน่งึ คณุ ภาพอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ หรอื หรอื ใชท้ งั้ 2 แบบ ในคราวเดยี วกนั ใชท้ ั้ง 2 แบบในคราวเดยี วกัน 10.ความคงทขี่ องผลเมอื่ ทำ� ซำ้� สูง ต่ำ� 11. ผลและการสรปุ อา้ งอิง ผลที่ไดน้ �ำไปสู่กฎ/ทฤษฎี ผล/การสรปุ เฉพาะเรือ่ งท่ปี ระเมิน หรอื การสรุปไปยังประชากร มใี นทกุ ขัน้ ตอนของโครงการ อ่นื ๆ 12. การตัดสินคุณคา่ มขี น้ั ตอนการเลอื กและจ�ำกดั - ขอบเขตของปัญหา ท่ีมา: ปรบั จาก James (2005) และ Stufflebeam (1983) จากตารางท่ี 11.1 จะเหน็ ไดว้ า่ การประเมินอาจไม่ใชก่ ารวจิ ัยทั้งหมดหรอื อาจกล่าวไดว้ ่า การประเมนิ เปน็ Sub-set ของการวจิ ยั ดงั นน้ั ถา้ ผปู้ ระเมนิ ตอ้ งการทจ่ี ะใหก้ ารประเมนิ เปน็ ทย่ี อมรบั วา่ เปน็ การวจิ ยั ผปู้ ระเมนิ ตอ้ งมรี ะบบคดิ ทจ่ี ะใหส้ ารสนเทศทไี่ ดจ้ ากการประเมนิ ใหอ้ ยใู่ นรปู “กฎ” หรอื “ทฤษฎี” ตามมิติของการวจิ ยั วธิ กี ารท่จี ะทำ� ได้ คือ การใชร้ ูปแบบการประเมินแบบ Theory based evaluation ซงึ่ จะนำ� ไปสกู่ ารไดส้ ารสนเทศเพอื่ การตดั สนิ ใจและไดอ้ งคค์ วามรใู้ นระดบั ทฤษฎี จากข้อมูลเชิงประจักษ์ นอกจากนี้ ผลการประเมินที่ได้ต้องลึกซ้ึงเข้าถึงความจริงแห่งคุณค่าหรือ ข้อความรู้แห่งคุณค่าในระดับผลกระทบของโครงการ และ/หรือ ความรู้ในระดับกฎหรือทฤษฎีนี้ อธิบายถึงสาเหตุแห่งความส�ำเร็จหรือไม่ส�ำเร็จของโครงการได้ จึงจะกล่าวได้ว่า การประเมินดัง กลา่ วเปน็ การวจิ ยั หรอื อาจสรปุ ไดว้ า่ การประเมนิ อาจเปน็ การวจิ ยั หรอื ไมก่ ไ็ ด้ ทง้ั นข้ี นึ้ อยกู่ บั ระดบั ความรู้และความถูกต้องเชื่อถือได้ รวมทั้งประโยชน์ของสารสนเทศและองค์ความรู้ใหม่ท่ีได้จาก การประเมนิ (สมหวงั พิธยิ านุวฒั น,์ 2553) 11.6 กรณีตวั อย่างการวจิ ัยเชงิ ประเมนิ ชื่อเรื่อง : การวจิ ยั เชงิ ประเมนิ โครงการเสรมิ ศกั ยภาพครสู อนตาดกี าในโรงเรยี น 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้โดยใช้รูปแบบการประเมนิ ของเคริ ก์ แพทริค ผวู้ จิ ยั : นาซีฟะ เจ๊ะมดู อ สาขาวิชา : การวิจยั และประเมนิ ผลการศึกษา ปีทท่ี ำ� วิจัยเสร็จ : 2559 วัตถุประสงคก์ ารวิจยั 1. เพื่อวิจัยเชิงประเมินโครงการเสริมศักยภาพครูสอนตาดีกาในโรงเรียนสามจังหวัด ชายแดนภาคใต้ โดยใช้รูปแบบการประเมินของเคิรก์ แพทรคิ ในด้านปฏกิ ริ ยิ า ด้านการเรยี นรู้ ด้าน
368 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษา พฤตกิ รรม และด้านผลลพั ธ์ 2. เพอื่ ประเมนิ ประสทิ ธภิ าพโรงเรยี นตาดกี าโดยวิธกี าร DEA 3. เพือ่ ศึกษาแนวทางในการเสริมศกั ยภาพครสู อนตาดีกาในโรงเรียนสามจังหวัด วธิ ดี �ำเนนิ การวจิ ยั การวิจัยคร้ังน้ีผู้วิจัยออกแบบเป็นการวิจัยเชิงประเมิน (Evaluative Research) โดยเก็บ รวบรวมข้อมูลท้ังเชิงปริมาณ (Quantitative Method) และเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) โดยใชข้ อ้ มลู ทตุ ยิ ภมู ิ (Secondary data) จากประเมนิ โครงการเสรมิ ศกั ยภาพครสู อนตาดกี า ประชากร ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ครง้ั นี้คอื ผเู้ ขา้ ฝกึ อบรมโครงการเสรมิ ศกั ยภาพครสู อนตาดกี า(ศนู ยก์ ารศกึ ษาอสิ ลาม ประจำ� มัสยิดที่จัดการศึกษาอบรมจรยิ ธรรม) ในสามจงั หวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จงั หวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จ�ำนวน 480 คน และประชากรท่ีใช้ในการประเมินประสิทธิภาพโรงเรียน ตาดีกา คือ โรงเรียนตาดีกา ท่ีมีผู้ผ่านการอบรมจากโครงการเสริมศักยภาพครูสอนตาดีกาในสาม จังหวัดชายแดนใต้ต้ังแต่ 3 คนขึ้นไป จ�ำนวน 25 แห่ง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เข้าฝึกอบรมจ�ำนวน 480 คน และโรงเรยี นตาดีกา จ�ำนวน 25 โรง เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการวจิ ัยประกอบดว้ ยแบบประเมิน ความพึงพอใจ แบบทดสอบ แบบประเมินทักษะการปฏิบัติ แบบประเมินทัศนคติต่อวิชาชีพครู แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ และแบบสำ� รวจ ส่วนสถิติท่ใี ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test dependent) คะแนนพัฒนาการ สมั พทั ธ์ และการวเิ คราะหป์ ระสทิ ธภิ าพดว้ ยวธิ ี DEA (Data Envelopment Analysis หมายถงึ วธิ กี าร วิเคราะหข์ ้อมูลเชงิ ปริมาณทีใ่ ชว้ ดั ประสิทธิภาพขององคก์ ร) และการวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงคณุ ภาพ ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) การวิจัยเชิงประเมินโครงการเสริมศักยภาพครูสอนตาดีกาในโรงเรียนสามจังหวัด ชายแดนภาคใต้โดยใชร้ ูปแบบการประเมนิ ของเคริ ์กแพทรคิ (Kirkpatrick’s Model) ด้านปฏกิ ริ ยิ า ของผู้เขา้ รบั การฝกึ อบรม ภาพรวมมคี วามพึงพอใจอยใู่ นระดับมาก ดา้ นการเรียนรูม้ คี ะแนนหลัง การอบรมมีคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนอบรม อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ี 0.05 ด้านพฤติกรรมที่ เปลีย่ นไป มีทกั ษะการปฏบิ ตั ภิ าพรวมอย่ใู นระดับปฏบิ ตั บิ อ่ ยครั้ง และทศั นคติหลังการอบรมภาพ รวมอยใู่ นระดบั ดมี าก และดา้ นผลลพั ธท์ เ่ี กดิ ขน้ึ หลงั อบรมภาพรวมมคี วามคดิ เหน็ อยใู่ นระดบั มาก 2) ผลการประเมนิ ประสทิ ธภิ าพของโรงเรยี นตาดกี าในสามจงั หวดั ชายแดนภาคใตด้ ว้ ย วธิ ีการ DEA โดยอาศยั ตวั แบบ CCR (Charnes Cooper, and Rhodes) และ BCC (Banker, Charnes, and Cooper) พบว่า มีการดำ� เนนิ งานท่มี ีประสิทธภิ าพถงึ 24 โรง จาก 25 โรง 3) แนวทางในการเสรมิ ศกั ยภาพครสู อนตาดกี าในโรงเรยี นสามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ พบว่า (1) ด้านผู้บริหารโรงเรียนตาดีกาควรมีหลักสูตร หรือโครงการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพ ของผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนตาดีกา (2) การพัฒนาครูตาดีกา เปิดโอกาสให้ครูตาดีกาได้ รบั การพฒั นาอยา่ งทวั่ ถงึ ครอบคลมุ ทกุ พนื้ ทโี่ ดยเฉพาะครตู าดกี าทย่ี งั ไมเ่ คยไดร้ บั การฝกึ อบรม และ (3) การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพครูสอนตาดีกา ควรมีการนิเทศติดตามการสอน อยา่ งตอ่ เน่ือง
Research in Educational Administration • 369 สรปุ ทา้ ยบท การวิจัยเชิงประเมินที่น�ำเสนอในบทท่ี 11 น้ี ประกอบด้วยสาระส�ำคัญท่ีผู้วิจัยหรือ นักศึกษาในทางการบริหารการศึกษาควรศึกษาและท�ำความเข้าใจให้ละเอียดและชัดเจน โดยอาจ สรุปสาระสำ� คัญดังกลา่ วได้ ดังน้ี การวจิ ยั เชงิ ประเมนิ เปน็ กระบวนการเชงิ ระบบเพอื่ การตรวจสอบหรอื บง่ ชถี้ งึ ประสทิ ธภิ าพ และประสิทธิผลของโครงการซ่ึงจะช่วยให้ได้ข้อมูลสารสนเทศท่ีเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ เกยี่ วกับการบรหิ ารจัดการ ปรบั ปรงุ และพัฒนาโครงการ ลักษณะส�ำคัญของการวิจัยเชิงประเมิน การวิจัยเชิงประเมินมีลักษณะหรือจุดเน้นที่ แตกต่างจากงานวิจัยท่ัวไปในหลายลักษณะ ซึ่งอาจก�ำหนดลักษณะที่ส�ำคัญได้ 5 ลักษณะ ได้แก่ 1) มีวัตถุประสงค์มากกว่าการตรวจสอบการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของโครงการท่ี ก�ำหนดไว้ล่วงหน้า 2) มิได้จ�ำกัดอยู่เพียงการตรวจสอบผลขั้นสุดท้ายท่ีเกิดข้ึนเม่ือด�ำเนินงาน โครงการไดเ้ สรจ็ สนิ้ แลว้ เทา่ นนั้ 3) มงุ่ หาสารสนเทศประกอบการตดั สนิ ใจ 4) มงุ่ ตอบสนองความ ตอ้ งการสารสนเทศของผทู้ เี่ กย่ี วขอ้ ง และ 5) ใหค้ วามสำ� คญั กบั ผบู้ รหิ ารโครงการหรอื ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน ในโครงการ ความสำ� คญั ของการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ การวิจัยเชงิ ประเมนิ มีความส�ำคญั เพราะจะกอ่ ให้ เกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้บริหารและผู้รับผิดชอบโครงการ 5 ประการ ได้แก่ 1) ท�ำให้ได้ข้อมูล สารสนเทศต่าง ๆ เก่ยี วกบั โครงการทเ่ี ป็นประโยชน์ตอ่ การกำ� หนดนโยบาย หรือทิศทางการดำ� เนิน งานขององค์การ 2) ท�ำให้ไดส้ ารสนเทศที่เปน็ ประโยชน์ต่อการปรบั ปรุง สอื่ /ชิน้ งาน โครงการหรอื แผนงาน 3) ท�ำให้ได้สารสนเทศเก่ียวกับความก้าวหน้าของงานในความรับผิดชอบ 4) ท�ำให้ได้ สารสนเทศเกย่ี วกบั ความสำ� เรจ็ ของงานซงึ่ จะทำ� ใหท้ ราบวา่ ลงทนุ ไปแลว้ เกดิ ประโยชนค์ มุ้ คา่ หรอื ไม่ และ 5) ท�ำให้ไดส้ ารสนเทศเกย่ี วกบั จุดทคี่ วรพัฒนา ซง่ึ จะเกิดแรงจงู ใจในการพัฒนางาน และ ท�ำให้มองเห็นความสำ� เรจ็ ในการปฏบิ ตั ิงานซงึ่ จะเปน็ การสร้างขวญั และก�ำลังใจในการปฏบิ ตั ิงาน วัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงประเมิน การวิจัยเชิงประเมินมีวัตถุประสงค์ที่ส�ำคัญ ๆ 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1) เพอื่ ศกึ ษาความเปน็ ไปไดข้ องโครงการ 2) เพอื่ กำ� กบั ตดิ ตามการดำ� เนนิ งานของ โครงการ 3) เพ่ือประเมนิ ประสทิ ธิผลและประสิทธิภาพของโครงการ/แผนงาน และ 4) เพือ่ ศกึ ษา ผลกระทบของโครงการ/แผนงาน ประเภทของการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ อาจแบง่ ประเภทตามเกณฑ์4เกณฑ์ ดงั นคี้ อื 1)แบง่ ตาม วตั ถปุ ระสงคข์ องการประเมนิ ไดก้ ารประเมนิ เปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1.1) การประเมนิ ความกา้ วหนา้ ของโครงการ (Formative evaluation) และ 1.2) การประเมินเพอื่ สรุปผล (Summative evaluation 2) แบง่ ตามลำ� ดบั เวลาในการบรหิ ารโครงการ ไดก้ ารประเมนิ เปน็ 3ประเภทไดแ้ ก่ 2.1) ประเมนิ กอ่ น เร่ิมการด�ำเนินงาน 2.2) การประเมินในระหว่างการด�ำเนินงาน และ 2.3) การประเมินหลัง การด�ำเนินงาน 3) แบง่ ตามสิ่งทีถ่ กู ประเมนิ ไดก้ ารประเมินเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 3.1) การประเมนิ บริบทหรือสภาวะแวดล้อม (Context Evaluation) 3.2) การประเมินปัจจัยเบื้องต้น (Input Evaluation) 3.3) การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation) และ 3.4) การประเมินผลผลติ หรือผลงาน (Product Evaluation) 4) แบ่งตามหลักที่ยึดในการประเมิน ได้การประเมิน
370 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 4.1) การประเมินที่อิงวัตถุประสงค์/เป้าหมายของโครงการเป็นเกณฑ์ (Goal-Based Evaluation) และ 4.2) การประเมินท่ีไม่อิงวัตถุประสงค์/เป้าหมายของโครงการ เป็นเกณฑ์ (Goal-free Evaluation) เทคนิควิธีการวิจัยเชิงประเมิน อาจจ�ำแนกได้ 5 เทคนิค ได้แก่ 1) การศึกษาความ เป็นไปได้ (Feasibility study) 2) การก�ำกับติดตาม (Monitoring) 3) การทดลอง (Experiment) 4) การศกึ ษาภาคสนามหรือการเยีย่ มสถานท่ี (Field study or site visiting) และ 5) การศกึ ษาผล กระทบ (Impact study) กระบวนการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ อาจกำ� หนดได้6ขน้ั ตอน ไดแ้ ก่ขน้ั ท่ี1กำ� หนดวตั ถปุ ระสงค์ ของการวิจัยเชิงประเมิน ข้ันท่ี 2 ระบุมาตรฐาน ตัวบ่งช้ี และเกณฑ์ ข้ันท่ี 3 การออกแบบการ วจิ ัยเชงิ ประเมนิ ขนั้ ที่ 4 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ขน้ั ที่ 5 การวิเคราะห์ข้อมลู และข้นั ท่ี 6 รายงาน ผลการวจิ ัยเชิงประเมนิ การวิจัยเชิงประเมินกับการประกันคุณภาพเพ่ือพัฒนาการศึกษา มีความเก่ียวข้อง สมั พนั ธก์ นั คอื ลกั ษณะสำ� คญั ของระบบประกนั คณุ ภาพการศกึ ษามกี ารกำ� หนดมาตรฐานคณุ ภาพ การจัดการศึกษา มีการพัฒนางานให้ได้ตามมาตรฐาน มีการควบคุมคุณภาพ ตรวจสอบคุณภาพ และประเมินผลการพัฒนาเป็นระยะ ๆ เพ่ือตรวจสอบว่า ได้เกิดคุณภาพตามมาตรฐานท่ีก�ำหนด หรือไม่ ตามนัยนี้ จะเห็นว่า เป็นการประเมินอย่างเป็นระบบด้วยวิธีการท่ีเชื่อถือได้ หรือการวิจัย เชงิ ประเมินถอื เปน็ กจิ กรรมสำ� คญั ในระบบประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา การวิจัยแตกต่างจากการประเมิน การวิจัย (Research) หมายถึง กระบวนการรวบรวม ข้อมูล หรือค้นหาความรทู้ ่ีเป็นระบบ ด้วยวธิ ีการทเ่ี ชือ่ ถอื ได้ หรอื วิธกี ารทเ่ี ปน็ ทย่ี อมรบั ในศาสตร์ นน้ั ๆ สว่ น “การประเมนิ ” หรอื “การประเมนิ ผล” (Evaluation) หมายถงึ กระบวนการรวบรวมและ วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจด�ำเนินการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ส�ำหรับความแตกต่างที่เด่นชัด คือ การ ประเมนิ เน้นทีก่ ารน�ำผลการประเมนิ มาพฒั นา/ปรบั ปรุง/ตัดสินใจ ในกระบวนการ ไม่เน้นระเบยี บ วิธีเท่าการวิจัย ลักษณะที่แตกต่างอีกอย่างหน่ึง คือ ในการประเมินต้องระบุตัวบ่งชี้ (หรือตัวช้ีวัด หรอื ประเดน็ การประเมนิ ) และเกณฑใ์ นการตดั สนิ ขอ้ มลู ผลทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ มลี กั ษณะเฉพาะ เจาะจงสงู กลา่ วคอื จะสรปุ เฉพาะเรอ่ื งทป่ี ระเมนิ เทา่ นนั้ ในขณะทก่ี ารวจิ ยั เนน้ ทกี่ ารทดสอบ/สรา้ ง ทฤษฎีหรือสมมตฐิ าน
บทที่ การวจิ ยั เชิงทดลอง 12 EXPERIMENTAL RESEARCH นวัตกรรมใหม่ ๆ ท่ีมนุษย์ได้คิดค้นและพัฒนาข้ึน เพ่ือใช้ในการประกอบอาชีพ หรือ ใช้ในการด�ำรงชีวิตประจ�ำวันในสมัยปัจจุบัน ล้วนเกิดจากการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ท่ีอาศัย กระบวนการทดลองที่เป็นระบบและสามารถพิสูจน์ได้เชิงเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบทางการ แพทย์ ที่ต้องอาศัยกระบวนการวิจัยเชิงทดลองอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาอันยาวนาน เพื่อพัฒนา วัคซีนใหม่ ๆ ท่หี ยดุ ย้ังการแพร่ระบาดของเชือ้ โรคสมัยใหม่ที่ไม่เคยปรากฏในตำ� ราทางการแพทย์ มาก่อน หรือการค้นคว้าเทคโนโลยีทางการทหารเพ่ือพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ในการใช้ เพอ่ื สนั ตภิ าพของการอยรู่ ว่ มกนั ของมนษุ ยโลก รวมทงั้ การค้นพบทางด้านเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ สมัยใหม่ ที่ส่งผลใหม้ นษุ ยท์ ุกคนมีคุณภาพชีวติ ท่ดี ีขึน้ ล้วนเกิดจากการวิจยั เชิงทดลองทง้ั สนิ้ ในทางดา้ นพระพทุ ธศาสนากเ็ ชน่ เดยี วกนั สจั ธรรมหรอื นวตั กรรมทเ่ี รยี กวา่ “อรยิ สจั ส”ี่ เปน็ ผลงานการวจิ ยั ชนั้ เลศิ ของพระพทุ ธเจา้ ทไี่ ดอ้ าศยั กระบวนการทดลองอยา่ งเปน็ ระบบเมอ่ื 2560 ปีกว่ามาแล้ว และเป็นสัจธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้เชิงเหตุและผล ตัวสัจธรรมหรือนวัตกรรมท่ี เรียกวา่ “อริยสัจส่”ี น้ัน เปน็ เรอ่ื งของเหตุและผล กล่าวคอื สมุทยั และมรรคเปน็ เหตุ สว่ นทกุ ข์และ นโิ รธเปน็ ผล หรอื กลา่ วในแงข่ องตวั แปรทางการวจิ ยั เชงิ ทดลองวา่ สมทุ ยั เปน็ ตวั แปรเหตุ (ตวั แปร ตน้ ) ทกุ ข์เป็นตัวแปรผล (ตวั แปรตาม) และมรรคเป็นตวั แปรเหตุ (ตัวแปรต้น) นิโรธ เปน็ ตัวแปร ผล (ตวั แปรตาม) อรยิ สจั สด่ี งั กลา่ ว ชาวพทุ ธโดยทว่ั ไปทราบกนั ดวี า่ เปน็ ผลงานจากการตรสั รหู้ รอื การวิจัยของพระพุทธเจ้าโดยผ่านกระบวนการทดลองอย่างเป็นข้ันตอนและถือว่าเป็นหัวใจของ พระพทุ ธศาสนาตราบเท่าปัจจบุ นั การทดลองในพระพทุ ธศาสนานนั้ จะมงุ่ เนน้ ทปี่ ระสบการณต์ รงและเนน้ การทดลองทาง จติ (Mind Experiment) หรอื ทางความคดิ (Thought Experiment) มากกวา่ การทดลองเชิงประจกั ษ์ (Empirical Experiment) ดังจะเห็นได้จากการที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติเป็นตัวอย่างต้ังแต่เสด็จ ออกผนวชใหม่ ๆ เพอื่ แสวงหาสจั ธรรมทเี่ รยี กว่า “โมกขธรรม” หรอื ทางพ้นทกุ ข์ โดยทรงเร่ิมจาก การเขา้ ศกึ ษาในสำ� นกั ของอาฬารดาบสและอทุ กดาบสไดเ้ รยี นวธิ ฝี กึ ฝนอบรมจติ จนไดฌ้ านสมาบตั ิ และเน้นหนกั โยควธิ ี แตก่ พ็ บว่า ยงั ไม่ใช่ทางพ้นทุกขห์ รอื ทางแก้ปัญหาท่ีแทจ้ รงิ จึงทรงใช้วธิ ีใหม่ โดยทรงทดลองปฏิบัติการบ�ำเพ็ญตบะหรือการทรมานตนเองด้วยการอดพระกระยาหารและวิธี อืน่ ๆ แตก่ ย็ ังมองไม่เหน็ ทางท่ีจะตรสั รหู้ รือทางแกป้ ัญหา จงึ ทรงเลกิ และทรงใช้ทางสายกลาง คือ กลบั มาเสวยพระกระยาหารตามเดมิ แลว้ ทรงเนน้ การทดลองดว้ ยการบำ� เพญ็ เพยี รทางจติ เพอื่ คน้ หา สัจธรรม และในท่ีสุดก็ทรงตรัสรู้ด้วยการค้นพบสัจธรรมด้วยพระองค์เอง ดังน้ัน สัจธรรมใน พระพุทธศาสนาจึงเป็นอัตวิสัย (Subjectivity) คือ มุมมองหรือความรู้จริงเห็นจริงส่วนบุคคลท่ีรู้ ไดเ้ ฉพาะตน (ปัจจัตตงั ) น่ีแสดงให้เหน็ วา่ การทดลองมคี วามสำ� คญั อย่างยง่ิ ต่อการฝกึ ปฏิบัตธิ รรม เพ่อื การค้นพบสจั ธรรมในพระพุทธศาสนา
372 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา ในบทน้ี จะน�ำเสนอการวิจัยเชิงทดลอง ซ่ึงประกอบด้วยเนอื้ หาสาระทสี่ �ำคญั 5 เรอ่ื ง ไดแ้ ก่ 1) แนวคิดเกยี่ วกับการวิจยั เชิงทดลอง 2) การมกี ลุ่มควบคุมและการสมุ่ ในแบบการวจิ ยั เชงิ ทดลอง 3) การควบคมุ ตัวแปรแทรกซ้อน 4) ระเบยี บวิธีวจิ ัยเชงิ ทดลอง และ 5) กรณีตวั อย่าง งานวจิ ยั เชงิ ทดลอง โดยมีรายละเอยี ด ดงั ต่อไปนี้ 12.1 แนวคิดเก่ยี วกับการวจิ ยั เชิงทดลอง ในส่วนเบ้ืองต้นน้ี ผู้วิจัยควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเรื่องแนวคิดเก่ียวกับการวิจัยเชิง ทดลอง ซงึ่ ประกอบดว้ ยความหมายของการวจิ ยั เชงิ ทดลอง ลกั ษณะสำ� คญั ของการวจิ ยั เชงิ ทดลอง ประเภทของการวจิ ยั เชงิ ทดลอง แบบของการวจิ ยั เชงิ ทดลอง จดุ หมงุ่ หมายของการวจิ ยั เชงิ ทดลอง หลกั การออกแบบการวิจัยเชิงทดลอง และลกั ษณะของแบบการวิจัยท่ดี ี โดยมรี ายละเอียด ดังน้ี 1. ความหมายของการวจิ ัยเชิงทดลอง นักการศึกษา นักวิชาการ หรือนักวิจัยจ�ำนวนมากท้ังในประเทศและต่างประเทศได้ให้ ความหมายของการวจิ ยั เชงิ ทดลองไวอ้ ยา่ งหลากหลาย โดยนกั วชิ าการตา่ งประเทศไดใ้ หค้ วามหมาย ของการวจิ ัยเชิงทดลองไว้ ดังตวั อย่างต่อไปนี้ Best and Kahn (1993, p. 125) กล่าวว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยที่มุ่งบรรยาย และวิเคราะห์ส่ิงทค่ี วรเกดิ ข้ึนภายใตส้ ภาวการณ์ทค่ี วบคุมอย่างระมดั ระวงั ตอ่ มาอกี 2 ปี Kirk (1995) และจากนน้ั อีก 8 ปี Gravetter and Forzano (2003) ได้ให้ความ หมายของการวจิ ยั เชิงทดลองอย่างสอดคล้องกนั วา่ เป็นวธิ ีการแสวงหาความรู้ความจริงอยา่ งเปน็ ระบบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โดยที่ผู้วิจัยเป็นผู้จัดกระท�ำ (Manipulate) ตัวแปรอิสระหรือ ตวั แปรจดั กระทำ� (Treatment variable) ภายใตก้ ารควบคมุ ตวั แปรแทรกซอ้ น (Extraneous variable) แลว้ วดั ผลการเปลยี่ นแปลงในตวั แปรตาม (Dependent variable) เพอ่ื มงุ่ ศกึ ษาความสมั พนั ธเ์ ชงิ เหตุ และผล (Cause-and-effect relationships) สว่ นนกั วชิ าการในประเทศ กไ็ ดใ้ หค้ วามหมายของการวจิ ยั เชงิ ทดลองไวห้ ลากหลายเชน่ เดยี วกัน ดังตัวอย่างตอ่ ไปนี้ พวงรตั น์ ทวีรัตน์ (2543, หนา้ 31) กลา่ วว่า การวจิ ยั เชงิ ทดลอง เป็นการวิจยั ท่ีศึกษาถึง ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลของตัวแปรของปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยมีการจัดกระท�ำกับตัวแปร ท่ีเป็นเหตุ แล้วสังเกตดูว่าจะเกิดผลเช่นไร นอกจากน้ี ยังมีการควบคุมสภาพการณ์บางอย่างที่ไม่ เกี่ยวขอ้ งให้หมดไปตามวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ต่อมาอีก 8 ปี บุญธรรม กจิ ปรีดาบรสิ ุทธ์ิ (2551, หน้า 131) กล่าววา่ การวิจยั เชงิ ทดลอง เป็นการคน้ หาขอ้ เท็จจรงิ ซง่ึ เปน็ ความสมั พันธ์ระหวา่ งเหตแุ ละผล (Cause and effect relationship) ที่เกดิ ขน้ึ ภายใต้สภาวการณท์ คี่ วบคุม ในปีเดียวกัน วรรณี แกมเกตุ (2551, หน้า 135) ได้ให้ความหมายวา่ การวิจยั เชงิ ทดลอง หมายถึง วิธีการแสวงหาความรู้ความจริงอย่างเป็นระบบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โดยการ จัดกระท�ำตัวแปรอิสระหรือตัวแปรจัดกระท�ำ (Treatment variable) ภายใต้การควบคุมตัวแปร แทรกซอ้ น (Extraneous variables) แลว้ วดั ผลการเปลยี่ นแปลงในตวั แปรตาม (Dependent variable)
Research in Educational Administration • 373 เพ่อื มุ่งศกึ ษาความสัมพนั ธ์เชิงเหตุและผล (Cause-and-effect relationships) กลา่ วโดยสรปุ การวจิ ยั เชงิ ทดลอง หมายถงึ การวจิ ยั ทศี่ กึ ษาหาความรคู้ วามจรงิ และความ สัมพนั ธ์เชงิ เหตุและผลของตวั แปรอย่างเปน็ ระบบดว้ ยวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ โดยผู้วิจัยเป็นผจู้ ดั กระทำ� ตวั แปรอสิ ระ (Independent variable) หรอื ตัวแปรจัดกระทำ� (Treatment variable) ภายใต้ การควบคมุ ตวั แปรแทรกซอ้ น แลว้ วดั ผลในตวั แปรตาม (Dependent variable) 2. ลักษณะสำ� คัญของการวจิ ัยเชงิ ทดลอง การวิจัยเชิงทดลอง มีลกั ษณะหรือองค์ประกอบท่สี �ำคญั 4 ประการ ดงั น้ี (Gravetter and Forzano, 2003; Kirk, 1995) 2.1 การจัดกระท�ำ (Manipulation) หมายถึง การจัดกระท�ำตัวแปรอิสระหรือ ตัวแปรทดลองเพื่อก�ำหนดชุดของเงื่อนไขการจัดกระท�ำให้กับหน่วยตัวอย่าง กล่าวอีกอย่างหน่ึง เป็นการให้สิ่งทดลอง (Treatment) อย่างน้อย 1 อย่าง แก่กลุ่มตัวอย่าง โดยสิ่งทดลองท่ีให้กลุ่ม ตัวอย่าง จะต้องเป็นสิ่งทดลองที่ไม่มีปัญหาทางจริยธรรมและไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของกลุ่ม ตวั อย่าง ซ่งึ ครอบคลมุ ท้งั มนุษย์และสตั ว์ทดลอง 2.2 การสังเกตหรือวดั ผล (Observation or measurement) หมายถงึ การสงั เกต หรือการวัดผลในตวั แปรตามจากการจดั กระท�ำ หรอื การใหส้ ิง่ ทดลองในแตล่ ะเง่ือนไข 2.3 การเปรียบเทียบ (Comparison) หมายถึง การเปรียบเทียบผลการวัดค่าตัว แปรตาม อันเนอ่ื งมาจากเงอ่ื นไขท่ีจัดกระทำ� ตา่ งกัน ถ้าผลต่างกนั กแ็ สดงวา่ การจดั กระท�ำเป็นเหตุ ใหเ้ กิดการเปลีย่ นแปลงในผลการวดั ทีไ่ ด้ 2.4 การควบคุม (Control) หมายถึง การควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ท่ีไม่สนใจศึกษา เพ่ือไมใ่ ห้มีผลตอ่ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอสิ ระและตัวแปรตามที่ตอ้ งการศึกษา การควบคุมในแบบการวิจัยเชิงทดลอง ครอบคลุมถึงการควบคุมตัวแปร แทรกซ้อน (Extraneous Variables Control) การควบคุมส่ิงทดลอง (Treatment Control) และ การมกี ล่มุ ควบคุม (Control Group) ดงั นี้ (บุญใจ ศรสี ถิตยน์ รากูร, 2553, หนา้ 120-121) 1) การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน ในแบบการวิจัยเชิงทดลอง จ�ำเป็น ต้องควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนทุกตัวแปรที่มีผลต่อการเปล่ียนแปลงค่าของตัวแปรตาม และ ต้องควบคุมอย่างเคร่งครัด เพ่ือให้ผลการวิจัยมีสูงสุดและมีอ�ำนวจการทดสอบสูงสุดส�ำหรับการ ตรวจสอบความเปน็ เหตุและผลของตัวแปรต้นและตวั แปรตาม 2) การควบคุมส่ิงทดลอง ในแบบการวิจัยเชิงทดลอง จ�ำเป็นต้องควบคุม สงิ่ ทดลองอยา่ งเครง่ ครดั โดยการจดั กระทำ� สงิ่ ทดลองในหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารทดลอง ซงึ่ สามารถควบคมุ สภาพการทดลองให้ปราศจากการปนเปอ้ื นได้ดีท่สี ดุ 3) การมกี ลมุ่ ควบคมุ ในแบบการวจิ ยั เชงิ ทดลอง จำ� เปน็ ตอ้ งมกี ลมุ่ ควบคมุ อยา่ งนอ้ ย 1 กลมุ่ สำ� หรบั เปน็ พนื้ ฐานในการเปรยี บเทยี บกบั กลมุ่ ทดลอง ซง่ึ ตวั อยา่ งในกลมุ่ ทดลอง และตัวอย่างในกลุ่มควบคุมจ�ำเป็นต้องมีความเท่าเทียมกันในด้านปัจจัยภายในของกลุ่มตัวอย่าง ที่มีผลต่อค่าของตัวแปรตามต้งั แตก่ อ่ นเริ่มให้สงิ่ ทดลอง เพ่ือให้ผลการวจิ ัยทพ่ี บว่า คา่ ของตวั แปร
374 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา ตามของกลุ่มทดลองแตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิตินั้น เป็นผลจากสิ่งทดลอง ไม่ใช่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากตัวแปรแทรกซ้อนซ่ึงเป็นปัจจัยภายในของกลุ่มตัวอย่างและตัวแปร แทรกซอ้ นอน่ื ๆ เช่น วฒุ ภิ าวะ (Maturation) เหตุการณ์ (History) หรือการทดสอบ (Testing) ฯลฯ กลา่ วโดยสรปุ การวจิ ัยเชิงทดลอง มีลักษณะหรอื องค์ประกอบท่สี ำ� คญั 4 ประการ ได้แก่ การจัดกระท�ำ (Manipulation) การสังเกตหรือการวัดผล (Observation or measurement) การเปรียบเทียบ (Comparison) และการควบคุม (Control) ซึ่งครอบคลุมถึงการควบคุมตัวแปร แทรกซอ้ น (Extraneous Variables Control) การควบคมุ ส่ิงทดลอง (Treatment Control) และการ มีกลมุ่ ควบคุม (Control Group) 3. ประเภทของการวจิ ยั เชิงทดลอง การวิจัยเชิงทดลอง อาจแบ่งประเภทตามเกณฑ์สภาพแวดล้อมในการจัดการทดลองได้ 2 ประเภท โดยอาจสรุปได้ ดังน้ี (Kerling and Lee, 2000, อ้างถึงใน บุญใจ ศรีสถิตย์นรากูร, 2553, หน้า 137-138) 3.1 การวิจัยเชิงทดลองในห้องปฏิบัติการ (Laboratory experimental research) เปน็ การวจิ ยั ทแ่ี ยกสถานการณก์ ารวจิ ยั ออกจากสถานการณใ์ นชวี ติ ปกติและจดั กระทำ� ตวั แปรอสิ ระ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน เปน็ ไปตามนยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร ภายใตก้ ารควบคมุ เงอ่ื นไขตา่ ง ๆ อยา่ งเครง่ ครดั เพอื่ ใหค้ วามแปรปรวนของตัวแปรตามเป็นผลมาจากตวั แปรอสิ ระหรือตวั แปรจดั กระทำ� ใหม้ ากที่สุด การวิจัยเชิงทดลองในห้องปฏิบัติการมีท้ังจุดแข็งและจุดอ่อน โดยมีจุดแข็ง คือ 1) สามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ค่อนข้างสมบูรณ์ ท�ำให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลง ในตัวแปรตามเป็นผลเนื่องมาจากอิทธิพลของตัวแปรอิสระเพียงอย่างเดียว และ 2) ผลการวิจัย มีความตรงภายใน (Internal validity) สูง ท�ำให้การสรุปความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล มีความ ถูกต้องน่าเช่ือถือ แต่มีจุดอ่อน คือ มีความตรงภายนอก (External validity) ต�่ำ เพราะมีการ ควบคุมเง่ือนไขต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์ปกติในโลกแห่งความเป็นจริง จงึ ท�ำให้ผลการวจิ ยั ทไี่ ดม้ ีขอ้ จ�ำกดั ในการสรุปอา้ งองิ ไปใชก้ ับสถานการณ์ทว่ั ไป 3.2 การวิจัยเชิงทดลองในภาคสนาม (Field experimental research) เป็น การทดลองในสถานการณ์จรงิ โดยนักวจิ ยั จัดกระท�ำตวั แปรอสิ ระภายใต้การควบคมุ เงอ่ื นไขต่าง ๆ เทา่ ทสี่ ถานการณ์จะอ�ำนวยและเป็นไปได้ การวจิ ยั เชงิ ทดลองในภาคสนามกม็ ที ง้ั จดุ แขง็ และจดุ ออ่ นเชน่ เดยี วกนั โดยมจี ดุ แขง็ คอื มีความตรงภายนอก (External validity) สูง เพราะเปน็ การวจิ ยั ในสถานการณ์จรงิ ซงึ่ จะท�ำให้ เกิดผลการทดลองท่เี ป็นไปในสภาพการณ์ธรรมชาติ และสามารถน�ำไปประยุกต์ใชใ้ นสถานการณ์ ทัว่ ไปได้ แตม่ ีจดุ อ่อน คือ ผลการวจิ ยั มีความตรงภายใน (Internal validity) ตำ่� เพราะเป็นการ จดั สถานการณท์ ดลองในโลกแหง่ ความเปน็ จรงิ ซง่ึ ทำ� ใหก้ ารควบคมุ ตวั แปรแทรกซอ้ นเปน็ ไดย้ าก จึงอาจมอี ิทธพิ ลของตวั แปรแทรกซ้อนเขา้ ไปรว่ มสง่ ผลให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงในตวั แปรตามได้ กล่าวโดยสรุป การวิจัยเชิงทดลอง อาจแบ่งประเภทตามเกณฑ์สภาพแวดล้อมใน การจัดการทดลองได้ 2 ประเภท ได้แก่ 1) การวิจัยเชิงทดลองในห้องปฏิบัติการ (Laboratory
Research in Educational Administration • 375 experimental research) เป็นการวิจัยท่ีมีจุดแข็ง คือ สามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ค่อนข้างสมบูรณ์ และผลการวิจัยมีความตรงภายใน (Internal validity) สูง แต่มีจุดอ่อน คือ มีความตรงภายนอก (External validity) ต�่ำ และ 2) การวิจัยเชิงทดลองในภาคสนาม (Field experimental research) เป็นการวิจัยท่ีมีจุดแข็ง คือ มีความตรงภายนอก (External validity) สูง แตม่ ีจุดออ่ น คือ ผลการวจิ ัยมีความตรงภายใน (Internal validity) ต่ำ� 4. แบบของการวิจยั เชิงทดลอง ในการวจิ ยั เชงิ ทดลองนน้ั แบง่ การทดลองได้ 3 แบบ ได้แก่ 1) แบบการวิจยั เชิงทดลอง เบอื้ งตน้ (Pre-experimental design) 2) แบบการวจิ ัยเชงิ ก่งึ ทดลอง (Quasi-experimental design) และ 3) แบบการวิจัยเชิงทดลองแท้จริง (True-experimental design) ซ่ึงแต่ละแบบอาจแยก เป็นแบบย่อย ๆ พร้อมตัวอย่างประกอบ โดยมีรายละเอียดดังจะกล่าวต่อไปนี้ (Neuman, 2000; วรรณี แกมเกตุ, 2551) แต่กอ่ นจะกลา่ วถึงการวิจัยเชิงทดลองแบบตา่ ง ๆ ดงั กลา่ วน้นั ควรทราบ สญั ลกั ษณ์ทใี่ ชใ้ นการแสดงแบบการทดลอง ดงั น้ี สญั ลักษณท์ ใี่ ช้ในแบบการวิจัยเชงิ ทดลอง X แทน สิ่งทดลอง/ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรทดลอง/ตัวแปรจัดกระท�ำ (Treatment variable) E แทน กล่มุ ทดลอง (Experimental group) C แทน กลมุ่ ควบคมุ (Control group) R แทน การกำ� หนดกล่มุ ตัวอยา่ งเขา้ สกู่ ลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคมุ แบบส่มุ Oi หแทนน้าเ ครก่ือางรหวมัดาคย่าต–ัวหแปมราตยถามึงคกรา้ังรทวี่ ั1ด,ค2่า,ต..ัว.,แiปโดรตยาOมiกท่อ่ปี นรกาการฏทกด่อลนอหงน(้าPXreหteรstอื ) ตแลามะหOลiงั กทา่ีปรรทาดกลฏอหงล(ังPoXsttหesรt)ือหลังเคร่ืองหมาย – หมายถึง การวัดค่าตัวแปร O คือ การสังเกตหรือการวัดผลในตัวแปรตาม (Observation or Measurement) OOO1121 คอื Pretest observation คือ Posttest observation O12 O13 … คอื Time series observation 4.1 แบบการวจิ ัยเชิงทดลองเบ้ืองต้น (Pre-experimental design) (Rx Cx) แบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองเบอ้ื งตน้ มลี กั ษณะทสี่ ำ� คญั คอื เปน็ การออกแบบการทดลอง ที่ไม่มีการจัดกระท�ำแบบสุ่มหรือการสุ่ม (Randomization) ไม่มีกลุ่มควบคุม (Control group) หรือกลุ่มที่ใช้ในการเปรียบเทียบ (Comparison group) จึงมักเป็นการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างเพียง กลมุ่ เดียว การทดลองแบบน้ีไม่สามารถใช้หลัก “MAX-MIN-CON” (หลักการออกแบบการวิจัย เชิงทดลอง) ในการควบคมุ ตัวแปรแทรกซอ้ นได้ เนอื่ งจากมีจุดออ่ นในเรือ่ งการควบคุม ไม่มกี ล่มุ เปรียบเทียบ และไม่มีการสุ่มตัวอย่าง ท�ำให้ผลการวิจัยขาดความตรงภายใน (Internal validity)
376 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา และความตรงภายนอก (External validity) การจะลงขอ้ สรปุ เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชงิ สาเหตุและ ผลของตวั แปรอิสระทม่ี ตี ่อตัวแปรตาม แทบกระท�ำไมไ่ ด้เลย ดงั น้นั นกั วิจยั จึงไม่ควรเลือกใชแ้ บบ การวิจัยเชิงทดลองเบ้ืองต้นนี้ถ้าไม่จ�ำเป็น แบบการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้นที่มีลักษณะดังกล่าว ขา้ งตน้ น้ี มี 3 แบบ (Design) ดงั น้ี แบบท่ี 1: แบบกลุม่ เดยี ว วัดครัง้ เดียว แบบการทดลองน้ี เปน็ แบบกลมุ่ เดยี ว วดั ครงั้ เดยี ว(The Single Group, Posttest-Only Design) มวี ิธีดำ� เนนิ การโดยเลือกกลุ่มตัวอย่างมาศกึ ษาเพยี ง 1 กล่มุ เทา่ น้นั จากนน้ั ทำ� การทดลอง โดยให้สิ่งทดลอง (Treatment) กับสิ่งทดลอง แล้ววัดตัวแปรตามหลังจากท่ีให้สิ่งทดลองแล้ว ซง่ึ อาจแสดงได้ดว้ ยแผนผังที่ 12.1 E : X O2 แผนผงั ท่ี 12.1 แบบกลมุ่ เดยี ว วดั คร้งั เดยี ว จากแผนผังท่ี 12.1 ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยสามารถด�ำเนินการโดยใช้สถิติ เชิงบรรยาย เช่น ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ค่าท่ีใช้วัดการกระจาย ฯลฯ ซ่ึงข้ึนอยู่กับระดับการวัด ของตวั แปรตาม นกั วจิ ัยต้องการศึกษาผลของการทดลองสอนรายวชิ าการปฏิบัติกรรมฐานโดยใช้วดี ิทศั น์ เปน็ ส่อื ประกอบการสอน ดำ� เนินการโดยเลือกนกั เรยี นมา 1 ห้อง แลว้ ด�ำเนินการสอนโดยใช้วีดิ ทศั น์ (X) เปน็ ระยะเวลา 5 คาบ ๆ ละ 50 นาที หลงั จากการสอนเสรจ็ สน้ิ ลง นกั วจิ ยั ทำ� การทดสอบ ผวัดลคกวารามสรอู้เบรื่อแงลกะาหรปาคฏ่าิบรัต้อิกยรลระมขฐอางนนัก(Oเร2ีย)นแทล่ีไะดว้คิเคะรแานะนหส์ขอ้อบมมูลากโดกยวก่าาครรหึ่งหาคน่า่ึงเฉขลอ่ียงคคะะแแนนนนจเตา็มก (ปรบั จาก วรรณี แกมเกตุ, 2551, หนา้ 140) ขอ้ ดแี ละขอ้ จำ� กดั แบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองแบบกลมุ่ เดยี ว วดั ครง้ั เดยี ว น้ี มขี อ้ จำ� กดั มากกวา่ ขอ้ ดี โดยอาจจำ� แนกใหเ้ หน็ ไดอ้ ย่างชดั เจน ดงั น้ี 1. ขอ้ ดี 1.1 ง่ายและสะดวกในการทดลอง 1.2 ใชเ้ ปน็ การศกึ ษานำ� รอ่ ง (Pilot study) เพื่อศกึ ษาปัญหาตา่ ง ๆ อันเปน็ แนวทางในการปรับปรงุ แกไ้ ขตอ่ ไป 1.3 ผลการวจิ ยั ทไี่ ด้อาจใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู พนื้ ฐานเพอ่ื การศกึ ษาคน้ ควา้ ในขน้ั ตอ่ ไป 2. ขอ้ จ�ำกดั 2.1 ไมม่ กี ลุม่ เปรยี บเทยี บ 2.2 ไม่มกี ารสุ่มตัวอยา่ ง 2.3 มปี ัญหาเร่อื งการควบคุมตัวแปรแทรกซอ้ น
Research in Educational Administration • 377 2.4 ผลการวจิ ัยขาดความตรงภายในและความตรงภายนอก 2.5 มีปัจจัยท่ีอาจส่งผลกระทบต่อความตรงภายใน เช่น เหตุการณ์พ้อง วุฒิภาวะ ความล�ำเอยี งในการเลือกตวั อย่าง และการขาดหายของตัวอยา่ ง 2.6 มีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อความตรงภายนอก คือ ปฏิสัมพันธ์ ระหวา่ งการเลือกตัวอย่างกบั สิ่งทดลอง 2.7 ผลการทดลองไมส่ ามารถสรุปได้ชดั เจน สรปุ แบบการทดลองน้ี เป็นแบบกลมุ่ เดียว วดั ครง้ั เดยี ว มขี ้อจ�ำกดั มากกว่าข้อดี แบบที่ 2: แบบกลมุ่ เดยี ว วดั สองครัง้ แบบการทดลองนี้ เป็นแบบศึกษากลุ่มเดียว วัดสองคร้ัง (The Single Group, Pretest-Posttest-Design) มีวิธีด�ำเนินการโดยเลือกกลุ่มตัวอย่างมาศึกษา 1 กลุ่ม และมีการวัด ตวั แปรตามกอ่ นการใหส้ งิ่ ทดลองกบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง หลงั จากใหส้ งิ่ ทดลองแลว้ ทำ� การวดั ตวั แปรตาม อกี ครง้ั หนงึ่ แบบการทดลองน้แี ตกต่างจากแบบที่ 1 ตรงท่ีมกี ารวดั ตวั แปรตามกอ่ นให้ส่ิงทดลอง เพอ่ื ประโยชนใ์ นการเปรยี บเทยี บการเปลย่ี นแปลงในตวั แปรตาม ซง่ึ อาจแสดงไดด้ ว้ ยแผนผงั ท่ี 12.2 E : O1 X O2 แผนผงั ที่ 12.2 แบบกล่มุ เดียว วดั สองครั้ง จากแผนผังท่ี 12.2 ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยสามารถด�ำเนินการโดยเปรียบ เอทยียูใ่ บนมOาต1 รกาับเรียOง2อนั โดดบั ยใ(ชO้ rtd-tiensatl for dependent samples (Paired t-test) ในกรณีตัวแปรตามวัด scale) ลงมา ดตู วั อย่างงานวจิ ัยแบบกลมุ่ เดยี ว วดั สองครั้ง ดงั นี้ ตวั อย่าง: งานวจิ ัยแบบกลุ่มเดยี ว วัดสองครง้ั นกั วจิ ยั ดำ� เนนิ การโดยกำ� หนดกลมุ่ ตวั อยา่ งเปน็ นกั ศกึ ษาพยาบาลชนั้ ปที ่ี 1 วทิ ยาลยั พยาบาล กองทัพเรอื ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2542 จำ� นวน 39 คน นักศกึ ษาทุกคนได้รับการทดสอบวัด กเชลาาวงนแ์อลาะรตมำ่� ณห์กลอ่ งั นจากกานรทน้ั ดใหลอก้ งลมุ่(Oต1วั)อแยลา่ ว้ งจท�ำงั้แหนมกดอเอขกา้ โเปปรน็ แ3กกรมลุ่มพตฒั านมารเะชดาวบั นเชอ์ าาวรนมอ์ณาแ์ รบมบณกส์ จิ งู กปรรานม กลมุ่ 12 โปรแกรม ๆ ละ 50 นาที (X) หลงั การทดลองใหก้ ลุม่ ตวั อย่างทงั้ หมดได้รบั การทดสอบ วคดัะเแชนาวนนเช์อาาวรนม์อณา์อรกีมคณร์ร้ังะหหนวึ่ง่า(งOก2่อ)นวแเิ ลคะรหาะลหัง์ขกอ้ารมทูลดโดลยอใงช้ t-test เปรยี บเทียบความแตกต่างของ จ�ำแนกตามระดับเชาวน์อารมณ์ของ นักศึกษา และใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวเพ่ือเปรียบเทียบคะแนนเชาวน์อารมณ์ หลังการทดลองระหวา่ งกล่มุ นักศกึ ษาท่มี ีระดับเชาวน์อารมณส์ งู ปานกลาง และต่ำ�
378 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาท่ีมีระดับเชาวน์อารมณ์สูง ก่อนและหลังการทดลองไม่ แตกตา่ งกนั 2) นกั ศกึ ษาทม่ี รี ะดบั เชาวนอ์ ารมณป์ านกลางและตำ�่ หลงั การทดลอง มรี ะดบั เชาวน์ อารมณส์ งู กวา่ กอ่ นการทดลองอยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ิทรี่ ะดบั .01 3)นกั ศกึ ษาทมี่ รี ะดบั เชาวน์ อารมณต์ ำ่� มคี ะแนนความแตกตา่ งของเชาวนอ์ ารมณร์ ะหวา่ งหลงั การทดลองกบั กอ่ นการทดลอง สูงกวา่ นกั ศึกษาทม่ี รี ะดับเชาวนอ์ ารมณ์สูง อยา่ งมนี ัยสำ� คญั ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .01 4) นักศกึ ษาที่ มีระดับเชาวน์อารมณ์ต่�ำ มีคะแนนความแตกต่างของเชาวน์อารมณ์ระหว่างหลังการทดลองกับ ก่อนการทดลอง สูงกว่านักศึกษาที่มีระดับเชาวน์อารมณ์ปานกลาง อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ี ระดบั .015)นกั ศกึ ษาทมี่ รี ะดบั เชาวนอ์ ารมณป์ านกลางและสงู มคี ะแนนความแตกตา่ งของเชาวน์ อารมณ์ระหว่างหลังการทดลองกับก่อนการทดลอง ไม่แตกตา่ งกัน (นริ ดา อดุลยพเิ ชฏฐ,์ 2542 ข้อดีและข้อจ�ำกัด แบบการวิจัยเชิงทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดสองคร้ังนี้ มีข้อ จำ� กดั มากกวา่ ข้อดี โดยอาจจำ� แนกให้เห็นได้อย่างชดั เจน ดงั นี้ 1. ข้อดี - มีผลการทดสอบครั้งแรกเป็นฐานในการเปรียบเทียบว่า ผลการ ทดสอบหลังการทดลองเปลย่ี นแปลงไปหรอื ไม่ 2. ข้อจ�ำกดั 2.1 มีปัจจัยแทรกซ้อนทม่ี ีผลกระทบตอ่ ความตรงภายใน คอื เหตกุ ารณ์ พอ้ ง วุฒิภาวะ การวัดครงั้ แรก เครือ่ งมอื ทีใ่ ชว้ ดั 2.2 มปี จั จยั ทส่ี ง่ ผลกระทบตอ่ ความตรงภายนอกคอื ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ ง การทดสอบคร้ังแรกกับสิ่งทดลอง และปฏิสัมพันธ์ระหว่างความล�ำเอียงในการเลือกตัวอย่างกับ สิ่งทดลอง 2.3 ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นเป็น ผลมาจากสง่ิ ทดลอง สรุป แบบการทดลองนี้ เป็นแบบกลุ่มเดียว วัดสองคร้ัง มีข้อจ�ำกัดมากกว่า ข้อดี แต่ดีกว่า แบบที่ 1: แบบกลุ่มเดียว วัดครั้งเดียว ดังแสดงข้างต้น เน่ืองจากมีผลการทดสอบ คร้งั แรกเป็นฐานในการเปรยี บเทียบว่า ผลการทดสอบหลังการทดลองเปลย่ี นแปลงไปหรอื ไม่ แบบที่ 3: แบบกล่มุ เดยี ว วดั หลายครัง้ แบบอนุกรมเวลา แบบการทดลองน้ี เป็นแบบศึกษากลุ่มเดียว วัดหลายคร้ัง แบบอนุกรมเวลา (The Single Group, Pretest-Posttest Time Series Design) มีวธิ ีดำ� เนินการคล้ายกับแบบที่ 2 เพียงแต่ มีการวดั ตวั แปรตามกอ่ นและหลังการให้ส่งิ ทดลองหลายครงั้ ซ่ึงอาจแสดงไดด้ ว้ ยแผนผงั ที่ 12.3 E : O11 O12 O13 X O21 O22 O23 แผนผงั ที่ 12.3 แบบกลุม่ เดยี ว วดั หลายครงั้ แบบอนกุ รมเวลา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 631
Pages: