Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

Published by supasit.kon, 2022-12-29 03:14:00

Description: การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

Search

Read the Text Version

Research in Educational Administration • 429 อย่างไรก็ตาม การวิจัยเพื่อพัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างในบทนี้ มักจะ เก่ียวข้องกับการวิเคราะห์องค์ประกอบซึ่งถือกันว่า เป็นสถิติวิเคราะห์ขั้นสูงประเภทหน่ึง โดยเฉพาะการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยนั (Confirmatory Factor Analysis : CFA) ในขัน้ ตอน ของการวิเคราะห์ข้อมูล ดังน้ัน ในส่วนนี้ ผู้เขียนจึงขอน�ำเสนอเร่ืองการวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor analysis : FA) ไว้โดยสังเขป เพือ่ เป็นแนวทางใหผ้ ูว้ ิจยั ได้ศกึ ษาต่อไป 2. ความหมายของการวิเคราะหอ์ งค์ประกอบ ได้มีนกั วิชาการจ�ำนวนมากให้ความหมายของการวิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบ เช่น เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย (2549) กัลยา วานชิ บัญชา (2551) สุภมาส องั ศุโชติ (2557) ฯลฯ โดยอาจสรุปไดว้ า่ การวเิ คราะห์องค์ประกอบ (Factor analysis : FA) หมายถงึ เทคนิควิธีทางสถิตทิ จี่ ะจับกลุ่มหรือ รวมกลุ่ม หรือรวมตัวแปรท่ีมีความสัมพันธ์กันไว้ในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็น ไปได้ท้ังทางบวกและทางลบ ตัวแปรภายในองค์ประกอบเดียวกัน จะมีความสัมพันธ์กันสูง ส่วนตัวแปรที่อยู่ต่างองค์ประกอบกัน จะสัมพันธ์กันน้อยหรือไม่มีความสัมพันธ์กัน สามารถ ใช้ไดท้ ั้งการพฒั นาทฤษฎใี หม่ หรือการทดสอบหรือยืนยันทฤษฎีเดิม 3. ประเภทของการวเิ คราะหอ์ งค์ประกอบ การวิเคราะห์องค์ประกอบ อาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) การวิเคราะห์องค์ ประกอบเชิงส�ำรวจ (Exploratory Factor Analysis : EFA) และ 2) การวิเคราะห์องค์ประกอบ เชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis : CFA) โดยอธิบายว่า การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิง ส�ำรวจ จะใช้ในกรณีที่ผู้ศึกษาไม่มีความรู้ หรือมีความรู้น้อยมากเก่ียวกับโครงสร้างความสัมพันธ์ ของตัวแปรเพ่ือศึกษาโครงสร้างของตัวแปร และลดจ�ำนวนตัวแปรที่มีอยู่เดิมให้มีการรวมกันได้ สว่ นการวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเชงิ ยนื ยนั จะใชใ้ นกรณที ผี่ ศู้ กึ ษาทราบโครงสรา้ งความสมั พนั ธข์ อง ตัวแปร หรือคาดว่าโครงสร้างความสมั พนั ธ์ของตวั แปรควรจะเป็นรูปแบบใด หรือคาดว่า ตัวแปร ใดบา้ งที่มคี วามสัมพันธก์ ันมากและควรอยูใ่ นองคป์ ระกอบเดยี วกัน หรอื คาดวา่ มตี ัวแปรใดที่ไมม่ ี ความสัมพันธ์กัน ควรจะอยู่ต่างองค์ประกอบกัน หรือกล่าวได้ว่า ผู้ศึกษาทราบโครงสร้างความ สมั พนั ธข์ องตวั แปร หรอื คาดไวว้ า่ โครงสรา้ งความสมั พนั ธข์ องตวั แปรเปน็ อยา่ งไรและจะใชเ้ ทคนคิ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันมาตรวจสอบหรือยืนยันความสัมพันธ์ว่า เป็นอย่างท่ีคาดไว้ หรือไม่ โดยการวิเคราะห์หาความตรงเชิงโครงสรา้ งนั่นเอง 4. วตั ถุประสงค์ของการวเิ คราะหอ์ งค์ประกอบ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงส�ำรวจมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาว่า องค์ประกอบร่วมที่ จะสามารถอธบิ ายความสมั พนั ธร์ ว่ มกนั ระหวา่ งตวั แปรตา่ ง ๆ โดยทจี่ ำ� นวนองคป์ ระกอบรว่ มทหี่ า ไดจ้ ะมีจำ� นวนนอ้ ยกว่าจ�ำนวนตวั แปรนั้น จงึ ทำ� ให้ทราบว่า มีองค์ประกอบรว่ มอะไรบ้าง โมเดลน้ี เรียกว่า “Exploratory Factor Analysis Model” ส่วนการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันมี วตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ตอ้ งการทดสอบสมมตฐิ านเกยี่ วกบั โครงสรา้ งขององคป์ ระกอบวา่ องคป์ ระกอบ แต่ละองค์ประกอบ ควรประกอบด้วยตัวแปรอะไรบ้าง และตัวแปรแต่ละตัวควรมีน้�ำหนักหรือ อัตราความสัมพันธ์กับองค์ประกอบมากน้อยเพียงใด ตรงกับที่คาดคะเนไว้หรือไม่ หรือสรุปได้ ว่า เพ่ือต้องการทดสอบว่าองค์ประกอบอย่างนี้ตรงกับโมเดลหรือตรงกับทฤษฎีท่ีมีอยู่หรือไม่

430 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา โมเดลน้ีเรยี กว่า “Confirmatory Factor Analysis Model” 5. ประโยชนข์ องการวเิ คราะหอ์ งค์ประกอบ การวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor Analysis) มปี ระโยชนอ์ ยา่ งน้อย 3 ประการ ดังนี้ 5.1 ลดจ�ำนวนตัวแปรให้น้อยลง โดยการรวมตัวแปรหลาย ๆ ตัวให้อยู่ในองค์ ประกอบเดียวกัน องค์ประกอบทีไ่ ด้ถอื เป็นตัวแปรใหม่ ท่ีสามารถหาคา่ ข้อมลู ขององค์ประกอบที่ สร้างขึ้นได้ เรียกวา่ คะแนนองค์ประกอบ (Factor Score) ซง่ึ เปน็ ค่าของตวั เลขท่ีเป็นตัวแทนของ หนว่ ยตวั อยา่ งตา่ ง ๆ จงึ สามารถน�ำองคป์ ระกอบดังกล่าวไปเปน็ ตัวแปรสำ� หรบั การวเิ คราะห์ทาง สถติ ิตอ่ ไป เชน่ การวิเคราะหค์ วามถดถอยและสหสมั พนั ธ์ (Regression and Correlation Analysis) การวิเคราะหค์ วามแปรปรวน (ANOVA) 5.2 แก้ปญั หาภาวะรว่ มเสน้ ตรงพหุ (Multicollinearity) ใชใ้ นการแกป้ ญั หาอนั เน่ืองมาจากการท่ีตัวแปรอิสระในการวิเคราะห์ถดถอยมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งวิธีการอย่างหนึ่งใน การแกป้ ญั หานี้ คอื การรวมตวั แปรอสิ ระทม่ี คี วามสมั พนั ธไ์ วด้ ว้ ยกนั โดยการสรา้ งเปน็ ตวั แปรใหม่ หรอื เรียกว่า “องคป์ ระกอบ” โดยใช้เทคนคิ การวเิ คราะห์องค์ประกอบ (Factor Analysis) แลว้ น�ำ องค์ประกอบดังกลา่ วไปเป็นตัวแปรอสิ ระในการวเิ คราะห์ความถดถอยต่อไป 5.3 ท�ำให้เห็นโครงสร้างความสัมพันธ์ของตัวแปรท่ีศึกษา เนื่องจากเทคนิคการ วิเคราะห์องคป์ ระกอบ จะหาค่าสัมประสิทธิส์ หสมั พันธ์ (Correlation) ของตวั แปรทลี ะคู่ แล้วรวม ตัวแปรท่ีสัมพันธ์กันมากไว้ในองค์ประกอบเดียวกัน จึงสามารถวิเคราะห์โครงสร้างที่แสดงความ สัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ ท่ีอยู่ในองค์ประกอบเดียวกันได้ ท�ำให้สามารถอธิบายความหมายของ แตล่ ะองคป์ ระกอบไดต้ ามความหมายของตวั แปรตา่ ง ๆ ทอี่ ยใู่ นองคป์ ระกอบนนั้ และทำ� ใหส้ ามารถ น�ำไปใช้ในด้านการวางแผนได้ 6. ขอ้ ตกลงเบอ้ื งตน้ ของการใชส้ ถติ ิการวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบ สถติ ิการวิเคราะหอ์ งค์ประกอบ มีขอ้ ตกลงเบ้ืองต้น ซง่ึ อาจสรปุ ไดด้ ังนี้ (Stevens, 1992, 1996; Tabachnick & Fidell, 2001; Munro, 2001, p. 309, อ้างถงึ ใน เพชรน้อย สงิ ห์ช่างชัย, 2549; Field, 2005; Hair และคณะ, 2006, p. 114, อ้างถึงใน สุภมาส องั ศุโชติ, 2557, หน้า 97-98) 6.1 ตัวแปรต้องมีค่าต่อเนื่อง ตัวแปรที่คัดเลือกมาวิเคราะห์องค์ประกอบ ต้องเป็น ตัวแปรทีม่ ีคา่ ตอ่ เนื่อง หรอื มีคา่ ในมาตราระดบั ชว่ ง (Interval scale) และมาตราอัตราสว่ น (Ratio scale) เนื่องจากในการวิเคราะห์องค์ประกอบ ตัวแปรที่คัดเลือกมาวิเคราะห์องค์ประกอบควรมี ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั แปร 6.2 ตวั แปรตอ้ งมคี วามสมั พนั ธก์ นั การตรวจสอบในเบอ้ื งตน้ วา่ ขอ้ มลู ชดุ นนั้ จะนำ� มาวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบไดห้ รอื ไม่ คอื การพจิ ารณาเมทรกิ ซส์ หสมั พนั ธข์ องตวั แปรชดุ นน้ั ตวั แปร ท่ีคัดเลือกมาวเิ คราะห์องคป์ ระกอบจะต้องมีความสมั พนั ธก์ นั ไมน่ ้อยกว่า .30 และคา่ สมั ประสทิ ธิ์ สหสัมพนั ธ์ไม่ควรมีคา่ เท่ากันท้งั เมทรกิ ซ์ 6.3 ต้องใช้สถิติทดสอบสองตัว การทดสอบว่า ข้อมูลมีความเหมาะสมที่จะน�ำมา วเิ คราะห์องค์ประกอบหรอื ไม่ ตอ้ งใช้สถติ ทิ ดสอบสองตัว คือ KMO and Bartlett’s Test สถิติ ตัวแรก คือ Kaiser-Meyer-Olkin Measure of Sampling Adequacy มีค่าระหว่าง 0-1 ต้องได้ค่า

Research in Educational Administration • 431 มากกว่า .05 จึงจะถือว่า ข้อมูลมีความเหมาะสมที่จะวิเคราะห์องค์ประกอบ และสถิติตัวท่ี สอง คือ Bartlett’s Test of Sphericity ใช้ทดสอบว่า ตัวแปรต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กันหรือไม่ ถ้าค่า Bartlett’s Test มีนัยส�ำคัญ แสดงว่า ตัวแปรต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กันและสามารถน�ำไป วิเคราะหอ์ งค์ประกอบได้ 6.4 ต้องใช้ตัวแปรจ�ำนวนมาก จ�ำนวนตัวแปรท่ีคัดเลือกมาวิเคราะห์องค์ประกอบ ควรมจี �ำนวนมากกวา่ 30 ตัวแปร 6.5 ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ ในการวิเคราะองค์ประกอบ ต้องใช้กลุ่ม ตัวอย่างขนาดใหญ่และควรมีมากกว่าจ�ำนวนตัวแปร ซ่ึงมักมีค�ำถามว่า ควรมากกว่ากี่เท่า มีบางแนวคดิ ท่เี สนอแนะใหใ้ ช้จ�ำนวนขอ้ มูลมากกว่าจำ� นวนตัวแปรสงั เกตได้ อย่างน้อย 5 -10 เท่า และค่าความร่วมกัน (Communalities) หลังสกัดองค์ประกอบ (Factor Extraction) ควรมากกว่า 0.50 (Field, 2005) ซึ่งโดยปกตมิ คี ่าอยรู่ ะหว่าง 0 ถึง 1 หรอื อยา่ งน้อยทส่ี ุด สดั สว่ นจ�ำนวนตัวอยา่ ง 3 ราย ตอ่ 1 ตัวแปรสังเกตได้ 6.6 ตัวแปรแต่ละตัวไม่จ�ำเป็นต้องมีการแจกแจงแบบปกติ กรณีท่ีใช้เทคนิคการ วเิ คราะห์องค์ประกอบหลัก (Principle component analysis) ตัวแปรแต่ละตวั หรือขอ้ มลู ไม่จ�ำเปน็ ต้องมีการแจกแจงแบบปกติ แต่ถ้าตัวแปรบางตัวมีการแจกแจงเบ้ค่อนข้างมาก และมีค่าต�่ำสุด และคา่ สูงสุดผดิ ปกติ (Outlier) ผลลัพธท์ ่ไี ดอ้ าจจะไม่ถูกตอ้ ง 7. ขอ้ จ�ำกดั ของการใชส้ ถติ กิ ารวเิ คราะหอ์ งค์ประกอบ 7.1 ข้อจ�ำกัดเรื่องจ�ำนวนตัวอย่าง เนื่องจากการใช้สถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบ ต้องใช้จำ� นวนตวั อยา่ ง (Sample size) จำ� นวนมาก หากใชต้ วั อย่างนอ้ ย ค่าสัมประสทิ ธสิ์ หสัมพนั ธ์ จะตำ�่ 7.2 ขอ้ จ�ำกดั เกย่ี วกบั ระดบั ข้อมลู ในการวิเคราะหอ์ งคป์ ระกอบ ขอ้ มลู ต้องมรี ะดับ การวดั ประเภทมาตราวดั อนั ตรภาค (Interval scale) และมาตราอตั ราสว่ น (Ratio scale) สว่ นตวั แปร ทีม่ รี ะดับการวดั แบบกลุ่ม นักวจิ ัยตอ้ งท�ำให้เป็นตวั แปรหนุ่ (Dummy variable) เสยี ก่อน นอกจาก นล้ี กั ษณะข้อมูลต้องมีการกระจายเปน็ โคง้ ปกติ 8. ปญั หาของการใช้สถิตกิ ารวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบ ปัญหาของการใชส้ ถิตกิ ารวิเคราะห์องคป์ ระกอบ มี 3 ประการ ดังน้ี 8.1 ไม่มีตัวแปรตาม การวิเคราะห์องค์ประกอบไม่มีตัวแปรตาม ซึ่งแตกต่างกับ การทดสอบสถิติการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุแบบปกติ สถิติการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติค สถติ กิ ารวเิ คราะหจ์ ำ� แนกประเภท และการวเิ คราะหเ์ สน้ ทาง ดงั นนั้ สถติ กิ ารวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบ จงึ ไม่สามารถใช้แกป้ ัญหาการวจิ ยั ท่ตี อ้ งการหาตวั ทำ� นายได้ 8.2 ไม่สามารถระบุจ�ำนวนรอบของการสกัดได้ ขั้นตอนการสกัดองค์ประกอบ ไมส่ ามารถระบจุ ำ� นวนรอบของการสกดั ได้ ดงั นน้ั หลงั จากขนั้ ตอนการสกดั องคป์ ระกอบ นกั วจิ ยั จงึ ไม่สามารถระบุจ�ำนวนรอบของการสกดั องคป์ ระกอบไดว้ ่า มีกีร่ อบจงึ จะพอดี 8.3 มีเพียงสถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบเท่านั้น ในปัจจุบัน การวิจัยท่ีต้องการ ทดสอบเพอื่ ลดจำ� นวนตวั แปร มเี พยี งสถติ กิ ารวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเทา่ นน้ั ยงั ไมม่ วี ธิ กี ารทางสถติ ิ

432 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา วิธอี ่ืน ๆ จึงทำ� ให้นกั วจิ ัยต้องเลือกใช้วธิ ีการวเิ คราะห์องค์ประกอบทั้ง ๆ ทีว่ ิธีน้มี ีขอ้ จ�ำกดั ดังกล่าว ข้างตน้ 9. ขั้นตอนการวิเคราะห์องค์ประกอบ การวิเคราะห์องคป์ ระกอบมขี ้ันตอนตา่ ง ๆ อาจแบ่งได้ 6 ข้นั ตอน ดงั นี้ ขน้ั ตอนที่ 1 ก�ำหนดปัญหาการวิจัย ทบทวนองค์ประกอบและตัวแปร จากทฤษฎี เกบ็ ข้อมลู และเลือกวธิ วี เิ คราะหอ์ งค์ประกอบตามวตั ถปุ ระสงค์การวิจัย ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบขอ้ มลู ทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหว์ า่ เปน็ ไปตามขอ้ ตกลงหรอื ไม่และ สร้างเมทริกซ์สหสมั พนั ธ์ (Correlation Matrix) ข้นั ตอนท่ี 3 สกดั องคป์ ระกอบ (Factor Extraction) ขน้ั ตอนท่ี 4 หมุนแกนองคป์ ระกอบ (Factors Rotation) ขัน้ ตอนที่ 5 สร้างคะแนนองคป์ ระกอบ (Factors Score) ขั้นตอนท่ี 6 ตัง้ ชอื่ องคป์ ระกอบทวี่ เิ คราะหไ์ ด้ 10. การออกแบบการวจิ ัยและการประยุกตใ์ ช้สถิตกิ ารวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบ การออกแบบวิจัยและการประยุกต์ใช้สถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบ จ�ำแนกออกได้ 2 ประเด็น ดงั น้ี 10.1 การออกแบบการวจิ ยั สำ� หรบั การใชส้ ถติ กิ ารวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบ สว่ นใหญ่ นิยมออกแบบวิจัยแบบไม่ทดลอง (Non-Experimental Research Design) ท่ีเป็นการวิจัยแบบ อธิบายความสัมพันธ์ (Explanatory research) ท่มี ลี ักษณะค�ำถามการวิจัยท่ีต้องการคาดคะเนความ สัมพันธ์เพื่อใช้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรและใช้ตรวจสอบโครงสร้างของชุดตัวแปร ในรูปของจ�ำนวนที่น้อยที่สุดของตัวแปรแฝงท่ีสังเกตไม่ได้หรือวัดไม่ได้โดยตรง หรืออาจเรียกได้ ว่า เป็นตัวแปรแฝง หรอื องคป์ ระกอบ ซง่ึ ตัวแปรแฝงทส่ี ังเกตไม่ไดเ้ หล่าน้ี เรียกวา่ องคป์ ระกอบ (Jöreskog & Sorbom, 1993) 10.2 การประยกุ ต์ใชส้ ถิติการวิเคราะห์องคป์ ระกอบ มหี ลกั ในการประยกุ ต์ใช้ กล่าวคือ ส่วนใหญ่นักวิจัยใช้เทคนิคน้ีในการตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของเคร่ืองมือวิจัย โดยความตรงเชงิ โครงสรา้ งหรอื ทฤษฎี (Construct) ดังกลา่ ว หมายถึง คณุ ลกั ษณะทีส่ นั นิษฐานขนึ้ จากพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ เชน่ อตั มโนทศั น์ การรบั รู้ พลงั อำ� นาจ สมรรถนะแหง่ ตน ฯลฯ โดยทวั่ ไป แล้วไม่มีเคร่ืองมือใดท่ีสะท้อนให้เห็นโครงสร้างได้โดยตรง นอกจากการนิยามโครงสร้างให้เป็น มโนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อท่ีจะสามารถตรวจสอบอ้างอิงได้เท่าน้ัน การตัดสินว่า สิ่งใดมี “โครงสร้าง” เพยี งใด ทำ� ได้โดยการตรวจสอบความตรงเชงิ โครงสรา้ ง ความตรงเชงิ โครงสร้าง (Construct Validity) หมายถึง ขอบเขต ความหมาย หรือลักษณะ ประจ�ำตามทฤษฎีที่เคร่ืองมือวิจัยนั้น ๆ วัดได้ หรือ หมายถึง ความสามารถของเครื่องมือวิจัยท่ี สามารถวัดทฤษฎีหรือลักษณะของพฤติกรรมได้ตามสมมติฐานท่ีตั้งไว้ เคร่ืองวิจัยท่ีมีความตรง เชงิ โครงสรา้ งจะแสดงใหเ้ หน็ วา่ ผลทไ่ี ดจ้ ากการวดั มคี วามสมั พนั ธก์ บั ทฤษฎี หรอื ลกั ษณะทกี่ ำ� หนด มากน้อยเพียงไร การตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างจะต้องตรวจสอบทั้งเชิงเหตุผล (Logical) และการตรวจสอบเชงิ ประจกั ษ์ (Empirical)

Research in Educational Administration • 433 534  การวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบจงึ เป็นวธิ กี ารทางสถติ สิ �ำหรบั การตรวจสอบโครงสรา้ ง โดย การลดจ�ำนวนตัวแปรลงให้เป็นจ�ำนวนองค์ประกอบ หรือลักษณะร่วม ซ่ึงมีจ�ำนวนไม่ก่ีรายการ เทคปลนกัริคษะทกณอาะงบเสชเปน่ถน็ ิตนเิทีจ้ทะ่ีเคกชนี่ย่วคิวยทขใหาอ้ งค้ งส�ำกถบบั ิตรคทิรนยี่เกาย(่ยี หพวขรฤืออ้ตงผกิ กูใ้รับหรมค้ขนตอ้ ่าม(งหูลๆร)ืองจผา่ายู้ในหขวนึ้ข้ นอ้ หมมราูลอืก)อตจา�ำจวั นกแวลปน่ารวมจไาาดกนว้ า่ตวนวักแามรปาวรกิเจคแ�ำรนลาะวะหนอ์อมงคงาคกป์ ์ ระกอบ จานแวลนะมอางกค์ปกราะรกวอเิ คบรจาำ� ะนหว์อนงมคาป์กรกะากรอวเิบคจรึงามะหีลอ์าดงคบั ป์ ขร้นั ะดกงัอภบาจพึงทมี่ล1ำ� 3ด.ับ1ขน้ั ดังภาพที่ 13.1 (4) ทฤษฎ/ี นามธรรม (Construct) (3) ตัวแปรแฝง/องค์ประกอบ (Latent Variable/Factor) (2) ตวั แปรสังเกตได้/ตวั บ่งชี้ (Observed Variable/Indicator) (1) ข้อคาถาม (Item) ภาพภาทพี่ ท1่ี31.13.1ลาลด�ำบั ดขับ้นัขข้นั อขงอกงากราอรอธธิบบิ ายายเกเก่ียย่ี ววกกบั บั กกาารรววิเิเคครราาะะหหอ์อ์ งงคคป์ป์ รระะกกออบบ จากภาพที่ 13.1 แสดงให้เห็นความหมายว่า ล�ำดับข้ันของการอธิบายเกี่ยวกับการ อวิเธคิบราาะยหตจัว์อาแงกคปภ์ปรารสพะังทกเก่ีอ1ตบ3ไน.ด1ั้น้ (ตหแัวสมบดาย่งงคใชวหี้)าเ้ 1มหว็นต่าคัวขวต้อามัวคแห�ำถปมารามสยหวังลา่เกาลยตาไดๆดบั ้หขข้ลอ้นั าข(ยพอฤๆงตกติกาัรวรอรอมธธิบบิบ่งาชยายเ้ี/กตต่ียัวัววแแกปปบัรรยกแ่อาฝรยงว) ิเคราะห์ องค(อป์ งรคะ์ปกรอะบกนอ้บนั ) 1หตมวั า ย แคลวะาตมวั วแา่ ปขร้อแคฝางถหาลมายหๆลาตยวั ๆจึงขจ้อะออธธิบิบายาทยตฤัวษแฎปหี รสอื ันงเากมตธไรดร้ม1ไตด้ัว1 อยตา่ ัวงแ ป รสังเกต หไดร้ืหอ1นล3.าา4ยมธๆกกรราตรรณัวมทตีไอบดวัธท้ ิอบ1วยนาอย่าวยงตร่ากัวรงาแณรปกทรรบแรฝมทงขวอ(นองวงทรคอ์รปฝณรนั ะกกรกอรรบมอ)บ1ทตองัว และตัวแปรแฝงหลาย ๆ ตัว จึงจะอธิบายทฤษฎี (2560) จากการทบทวนแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับองค์ประกอบของภาวะผู้น�ำของครูเทคโนโลยี 13.เเส(4ปพผาน็ู้วื่อรกกจิกอสรยัา�ำงนรใณหคชเทปท์น้หตี บจรศดมัวาะทเปากผอกวย้วูอ็นกยนเิจลบ่อาาวยัขรตงงรนคทกา1ร�ำมป์-าบณม1กรร6าทกระทแอแรวกสบบรทอนดมทแบนแงนขใแวดนนวอหังนวคกงใลวนคดิรง่ทริอเดตอชอรบาท้างิ ฝรงณแทฤาอันนฤงษกงิ สวษทรฎกคังฎีผ่รีรเเดิ ีคก(ูว้มอสTริจี่ยบhำ�าัยวหeทะทกoหรอบrับับeท์งทtกอiี่ (1cวา2งa3นร5lค.ท2มf6์ปr0ำ�าตaวตร)mอ่ จิะาไeมัยปกwลนอ(oCำ� rี้บดโkoด)ับขnยทc)ออeผ่ี งpงวู้ ภtคจิuป์ายaั วlจระะfะrพกผamอจูิน้ าบeารwเขณหoอลาrkใง่าช)คนเ้ ตกร้ถี ู่อณเือทไวฑปค่า์ โนโลยี สารสนเทศ ผวู้ ิจยั นามาแสดงดงั ในตารางสงั เคราะห์ที่ 13.2 ต่อไปน้ี โดยองคป์ ระกอบเหล่าน้ีถือว่าเป็น องค์ประกอบตามกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี (Theoretical framework) ท่ีผูว้ ิจยั จะพิจารณาใช้เกณฑ์เพ่ือ กาหนดเป็นองคป์ ระกอบในกรอบแนวคิดสาหรับการทาวิจยั (Conceptual framework) ต่อไป (ผวู้ ิจยั ใช้ หมายเลข 1-16 แทนแหลง่ อา้ งอิงที่ผวู้ ิจยั ทบทวนมาตามลาดบั )

535 434 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา ตตาารราางงทท่ี ่ี 1133.2.2กการาสรงัสเคงั เรคาระาหะ์อหงค์อป์งคระป์ กรอะบกขออบงขภอาวงะภผานู้วาะขผอู้นง�ำคขรูอเทงคคโรนเู ทโลคยโสีนาโรลสยนสี เาทรศสนเทศ องค์ประกอบหลกั ของภาวะผ้นู า 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 รวม ของครูเทคโนโลยสี ารสนเทศ ความถี่ 1. ผนู้ าทางการสอนเทคโนโลยี ✓✓✓✓✓✓✓ ✓ ✓✓ 10 สารสนเทศ 2. การวเิ คราะห์ ✓ 1 3. ภาวะผนู้ าเทคโนโลยสี ารสนเทศ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓✓ 6 4. แนวคิดในการดาเนินการทาง ✓ 1 เทคโนโลยสี ารสนเทศ 5. การวางแผนและการออกแบบ ✓ 1 ประสบการณ์และส่ิงแวดลอ้ ม 7 6. การวดั ผลและการประเมินผล ✓ ✓ ✓✓ ✓ ✓ ✓ 7. การพฒั นาวิชาชีพดา้ นเทคโนโลยี ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 9 สารสนเทศ 8. การสนับสนุนส่งเสริมกิจกรรม ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓6 ดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ 9. วิสัยทศั น์ทางเทคโนโลยสี ารสนเทศ ✓ ✓✓✓ ✓ ✓✓✓✓ 9 10. มีความรับผิดชอบทางบวก ✓ 1 11. เป็นผเู้ ผยแพร่วสิ ัยทศั น์ของตน ✓ 1 12. การรู้เทคโนโลยีสารสนเทศ ✓1 การศึกษา 13. การจดั การดา้ นโครงสร้างพ้ืนฐาน ✓1 เทคโนโลยสี ารสนเทศ 14. ก า ร บู ร ณ า ก า ร เ ท ค โ น โ ล ยี ✓✓ 2 สารสนเทศเขา้ กบั การจดั การศึกษา 15. วฒั นธรรมการเรียนรู้ยคุ ดิจิตอล ✓1 16. สังคมดิจิตอล ✓1 17. จริยธรรมทางสังคม ✓ ✓ ✓✓ ✓✓ ✓ 7 18. ส ม ร ร ถ น ะ ท า ง เ ท ค โ น โ ล ยี ✓ ✓ ✓✓✓✓✓✓8 สารสนเทศ 19. แนวคิดและทักษะกระบวนการ ✓1 จดั การเทคโนโลยสี ารสนเทศ รวมความถ่ี 4 8 3 6 5 5 6 2 1 6 5 6 4 7 5 1 74 จากตารางท่ี 13.2 ผลการสังเคราะห์องค์ประกอบของภาวะผู้น�ำของครูเทคโนโลยี สารสนเทศ พบวา่ มอี งค์ประกอบเชิงทฤษฎี (Theoretical framework) จ�ำนวน 19 องคป์ ระกอบ แต่การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาจากความถ่ีขององค์ประกอบที่นัก วจิ ยั สว่ นใหญเ่ ลอื กเปน็ องคป์ ระกอบของภาวะผนู้ ำ� ของครเู ทคโนโลยสี ารสนเทศ (ในทนี่ ้ี คอื ความถี่ ตั้งแต่ 8 ขึ้นไป) พบวา่ สามารถคัดสรรองคป์ ระกอบของภาวะผู้นำ� ของครเู ทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ 4 องค์ประกอบท่ีจะใช้เป็นกรอบแนวคิดเพื่อการวิจัย (Conceptual framework) ในการวิจัยครั้งน้ี

พบวา่ สามารถคดั สรรองคป์ ระกอบของภาวะผนู้ าของครูเทคโนโลยสี ารสนเทศ ได้ 4 องคป์ ระกอบที่จะ ใช้เป็ นกรอบแนวคิดเพ่ือการวิจยั (Conceptual frameworRke)sใeaนrcกhาiรnวEิจdยัucคaรti้ัoงnนa้ีlจAาdนmวinนist4raอtioงnค•์ป4ร3ะ5กอบ ดงั น้ีคือ 1) ผ้นู าทางการสอนเทคโนโลยสี ารสนเทศ 2) มวี ิสัยทัศน์ทางเทคโนโลยสี ารสนเทศ 3) มกี าร พัฒจน�ำนาวินชา4ชีพอดง้คาน์ปเรทะคกโอนบโลดัยงนีสี้คารือส1น)เทผู้ศน�ำอทงาคง์ปการระสกอนบเท่ี คโแนลโะลย4ีส)ารมสีสนมเทรรศถ น2ะ)ทมาีวงิสเทัยคทโัศนโ์ ลยี สาทรสางนเทเทคศโนโลยีสารสนเทศ 3) มีการพฒั นาวชิ าชพี ดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ และ 4) มีสมรรถนะ สาทเรทสาคงนโเทเนทคโศจลโานยดกจีสโงอัลาาภกงยราคีสอสพป์างนทรครเสที่ะ์ป1นศกร3อเะ.ทด2บกศังขอภา้บางพขตท้น้า่ีงส1ตา3้นม.2สาราถมสารร้าถงสโรม้าเดงลโมอเงดคลป์ อรงะคก์ปอบระขกอองภบาขวอะงผภูน้ าาวขะอผงู้นค�รำูขเทอคงโคนรโู ลยี ผผนู้ นู้ ำ�าททาางงกกาารรสสออนน เเททคคโโนนโโลลยยสีสี าารรสสนนเเททศศ มมีวีวสิ ิสยั ัยททัศั นท์ าางง ภาวะผู้นาของครู เทเทคคโโนนโโลลยยีสสี าารรสสนนเเททศศ เทคโนโลยสี ารสนเทศ มมีกกี าารรพพฒั ัฒนนาวาวิชิชาชาีพชีพทาทงาง เร่ืองที่วจิ ยั เทเทคคโนโนโลโลยยสี ีสาราสรนสเนทเศทศ เเททคคมโสโีสนนมมโรโลลรรยถรยสีถนีสานะารรทะสสาทนงนาเทงเทศศ องค์ประกอบ ภาพภาทพี่ ท13่ี .123.โ2มโเดมลเดอลงอคงป์ คร์ปะรกะอกบอขบอขงอภงาภวาะวผะนู้ ผานู้ ขำ�อขงอคงรคูเทรคเู ทโคนโโนลโยลสี ยาสี ราสรนสเนทเศทศ จากภาพท่ี 13.2 แสดงโมเดลองคป์ ระกอบของภาวะผนู้ ำ� ของครเู ทคโนโลยสี ารสนเทศท่ี ไดจ้ ากการสงั เคราะหท์ ฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ซงึ่ ประกอบดว้ ย 1) ผนู้ ำ� ทางการสอนเทคโนโลยี 2) มวี สิ ยั ทศั นท์ างเทคโนโลยี 3) มกี ารพฒั นาวชิ าชพี เทคโนโลยี และ 4) มสี มรรถนะทางเทคโนโลยี ในล�ำดับต่อไป ผู้วิจัยศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพ่ือสังเคราะห์ตัวบ่งช้ีของ แต่ละองค์ประกอบ ซ่ึงเม่ือก�ำหนดได้ตัวบ่งชี้ของแต่ละองค์ประกอบแล้ว ผู้วิจัยศึกษาทฤษฎี และงานวิจัยเพ่ือสังเคราะห์ค�ำนิยามเชิงปฏิบัติการของตัวบ่งช้ีและพฤติกรรมบ่งชี้ของแต่ละ ตัวบง่ ชีต้ ่อไป เมื่อผู้วิจัยได้ศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวข้องและได้ก�ำหนดช่ือของตัวบ่งชี้ได้ 14 รายการ จากน้นั ผู้วจิ ยั น�ำมาแสดงดังในตารางสังเคราะห์ท่ี 13.3 ตอ่ ไปนี้ โดยท่ีตัวบง่ ชด้ี ังกลา่ ว เป็นตัวบ่งช้ีท่ีผู้วิจัยจะใช้พิจารณาเพ่ือก�ำหนดเป็นกรอบแนวคิด (Conceptual framework) ต่อไป (ผู้วิจยั ไดใ้ ช้หมายเลขของแหลง่ อ้างองิ 1-12)

ผวู้ ิจยั จะใชพ้ จิ ารณาเพอ่ื กาหนดเป็นกรอบแนวคิด (Conceptual framework) ต่อไป (ผวู้ ิจยั ไดใ้ ชห้ มายเลข ขอ43ง6แห•ลกง่ าอรา้วงจิ อยั ิทงา1ง-ก1า2ร)บรหิ ารการศึกษา ตตาราารงาทงี่ท1่ี 31.3.3กากรสารงั สเคงั รเาคะรหาะ์ตหวั บ์ต่งัวชบ้ีผ่งนู้ชาีผ้ ทู้นาำ�งทการงสกอารนสเทอคนโเนทโคลโยนสี โลารยสีสนาเรทสศนเทศ ตวั บ่งชี้ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 รวม ของผ้นู าทางการสอนเทคโนโลยสี ารสนเทศ ความถี่ 1. ทางานเป็นทีม ✓ ✓ ✓✓ ✓ 5 2. ใชว้ ธิ ีการสอนที่หลากหลาย 8 3. พฒั นาผเู้ รียน ✓ ✓✓✓ ✓✓ ✓ ✓ 5 4. สร้างความสัมพนั ธก์ บั ชุมชน 5 5. กระตือรือร้นในการสอน ✓✓ ✓✓ ✓ 2 6. มีความรู้ในเร่ืองท่ีสอนเป็นอยา่ งดี 7 7. สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ✓✓✓ ✓ ✓ 6 8. กาหนดวสิ ัยทศั นแ์ ละพนั ธกิจเกี่ยวกบั การเรียนรู้ 4 9. มีความรับผิดชอบสูง ✓✓ 4 10 มีการพฒั นาเพ่อื นร่วมงาน 4 11. การสร้างวฒั นธรรมและการเรียนรู้อยา่ งต่อเน่ือง ✓ ✓ ✓ ✓✓✓ ✓ 3 12. มีความยตุ ิธรรม ไมล่ าเอียง 1 13.แสดงเจตคติท่ีดี ✓✓✓ ✓✓ ✓ 1 14. มีความยดื หยนุ่ 1 รวมความถี่ ✓ ✓ ✓✓ 74 ✓ ✓✓ ✓ ✓ ✓✓✓ ✓✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 637454663 5 6 2 จากตารางที่ 13.3 ผลการสงั เคราะหต์ วั บง่ ชขี้ องผนู้ ำ� ทางการสอนเทคโนโลยสี ารสนเทศ พบวา่ มีตัวบ่งช้เี ชิงทฤษฎี (Theoretical framework) จ�ำนวน 14 ตัว แต่การศึกษาวจิ ยั คร้ังน้ี ผวู้ ิจยั ไดใ้ ชห้ ลกั เกณฑใ์ นการพจิ ารณาจากความถข่ี องตวั บง่ ชที้ นี่ กั วจิ ยั สว่ นใหญเ่ ลอื กเปน็ ตวั บง่ ชขี้ องผนู้ ำ� ทางการสอนเทคโนโลยีสารสนเทศ (ในท่ีนี้ คือ ความถีต่ ้งั แต่ 6 ขน้ึ ไป) ไดต้ วั บ่งชี้ จำ� นวน 3 ตัว ท่ี จะใชเ้ ปน็ กรอบแนวคดิ เพ่อื การวจิ ัย (Conceptual framework) ในการวิจยั ครัง้ น้ี ดงั นคี้ อื 1) ใช้วธิ ี การสอนทีห่ ลากหลาย 2) มคี วามรใู้ นเรอื่ งท่สี อนเป็นอยา่ งดี และ 3) สร้างบรรยากาศการเรยี นรู้ จากตัวบ่งชี้ข้างต้น สามารถน�ำมาสร้างโมเดลการวัดตัวบ่งชี้ของผู้น�ำทางการสอน เทคโนโลยสี ารสนเทศ ดงั ภาพท่ี 13.3

จากตวั บ่งช้ีขา้ งตน้ สามารถนามาสร้างโมเดลการวดั ตวั บ่งช้ีของผนู้ าทางการสอนเทคโนโลยี สารสนเทศ ดงั ภาพท่ี 13.3 Research in Educational Administration • 437 ใใชช้วว้ ธิ ิธีกีกาารรสสออนนททห่ีี่หลลาากกหหลลาายย ผนู้ าทางการสอน เทคโนโลยสี ารสนเทศ มมคี ีคววาามมรรใู้ ู้ในนเรเร่ือื่องงททีส่ ี่สออนนเเปปน็็นออยยา่ า่ งงดี ดี องค์ประกอบ สสรร้าางบรรยากาศการเรี ยนรู้ ู ตัวบ่งชี้ ภาพท่ี 13.3 ภโามพเดทลี่ ก1า3ร.3วดั โตมวั เบด่งลชก้ีขารอวงผดั นูต้ ัวาทบาง่ งชก้ขี าอรสงผอนู้นำ�เททคางโกนาโรลสยอสี นารเทสคนโเนทโศลยสี ารสนเทศ  จากภาพที่ 13.3 แสดงโมเดลการวดั ตวั บ่งชขี้ องผนู้ �ำทางการสอนเทคโนโลยีสารสนเทศที่ คจาวไแ2แกาด)ตลกมจ้มล่้วารารูีคะ้ใกผสนอวกู้วงัางเจใารเมิจคนรคาื่อัยป์รกใสรลงศนูใ้ภรางัทานึกะะลเาด่ีสคเหพษก�ำบรั รอดอ์ทาทอ่ืตานทบับงฤะ่ี่อเทฤต1หทษปไ3ษ่อ็ีส่ปฎทเ์่ีนห.ไ3ฎอีแฤอปผลลนีแษยวู้แอื ผะลา่เฎิจสปทงงวู้ะยัแีดดาง็น้ัจิงตลนีหงยัาออ้ะแโวนตมยงงมลจิ ้อดว่าศายะเังงนิจดึกทซดศัยลษว3่ีเีงกึ่ึเกจิกแ)าพเษยทัี่มยาลื่สอรทวาอื่ฤะสรวทขเ่ีกษก้3าดัังอ้ฤำ�ฎง)ยี่เตงหษบคีแวสวั นฎรรขลซรบารีแดอ้ะ้า่ึง่งะยลงงงไปชหาดาบะซ้กรีขนต้์คงระงึ่าอวาวัร�ำศปกงนิจนบยกอผรยัาวง่ิยาบะนู้ทกิจชรากดาา่ีเยัมเขี้กรอทศว้ทเอี่ียยบชยกาเี่งนวงกิางด1แขกรรปย่ีว้)ตูอ้้าเวยฏรใล่รงขชีย1ิบสะเอ้พนว้)ออัตงิธใื่อรงนิกชเีกสู้พคว้าเาทปง์ั่อืรธิรเคขรสคสกี ะโอราังอกนราเงนคะสอแโทรหบลอตา่ีห์ตยนท่ละสีลวัหะทเี่ หบาาตหต์ี่กรล่งัววัสลหชอืบบา้นีลขทก่งง่าอเง้ัชทหชยงหี้แข้ีศลแมลทอาต2ดยะง)่ีไ่ลดมะี้ องพคฤป์ ตริกะกรรอมบบทง่ีเหชลีข้ ือทงแ้งั หตล่มะดตวัซบ่ึงเ่งมชื่อใ้ี กนาแหตนล่ ดะไอดงต้ควัป์ บร่งะชก้ีขออบงตแอ่ตไ่ลปะองคป์ ระกอบที่เหลือท้งั หมดแลว้ ผวู้ จิ ยั เมื่อผู้วิจัยได้ศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวข้องและได้ก�ำหนดช่ือของตัวบ่งชี้ในแต่ละ องค์ประกอบแล้ว ผู้วิจัยน�ำมาแสดงดังในตารางสังเคราะห์และด�ำเนินการในท�ำนองเดียวกับที่ กล่าวมาข้างต้น บูรณาการและสังเคราะห์เน้ือหา ประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ และตัวบ่งช้ี 12 ตัว จากนั้น นำ� มาสร้างเปน็ โมเดลสมมตฐิ านเพื่อใช้เปน็ กรอบแนวคดิ (Conceptual framework) สำ� หรบั การท�ำวจิ ัยในคร้งั น้ี ดังภาพที่ 13.4

540 4 38 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา ใชว้ ธิ ีการสอนท่ีหลากหลาย ผนู้ าทางการ มีความรู้ในเร่ืองที่สอนเป็นอยา่ งดี สอนเทคโนโลยี สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ สารสนเทศ มีการสร้างวสิ ยั ทศั น์ทาง มีวสิ ยั ทศั นท์ าง ภาวะผ้นู าของครู เทคโเนทโคลโยนสี โาลรยสสี นาเทรสศสนาเทรสศนเทศ เทคโนโลยี เทคโนโลยสี ารสนเทศ สารสนเทศ มีการเผยแพร่วสิ ยั ทศั น์ทาง เร่ืองที่วจิ ัย เทคโนโลยสี ารสนเทศ มีการพฒั นา วิชาชีพทาง มีการปฏิบตั ิตามวสิ ัยทศั นท์ าง เทคโนโลยี เทคโเทนคโลโนยสี โลารยสีสนารเทสศนเทเทคศโนโลยี สารสนเทศ มีการฝึ กอบรมเทคโนโลยี มสสี มมรรรรถถนนะะททางาง สารสนเทศ เทคคโโนโลยี สสาารรสสนนเเททศศ มีการใชเ้ ทคโนโลยใี นการเรียน การสอน องค์ประกอบ มีการใชเ้ ทคโนโลยใี นการวดั ผล และประเมินผล มีความรู้ทางเทคโนโลยสี ารสนเทศ มีทกั ษะดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ มเี มจีตเจคตตคทิติดตี่ ่อตี เอ่ ทเทคโคนโนโลโลยสียสีาราสรสนนเทเศทศ ตวั บ่งชี้ ภาพที่ 13.4 โมเดลควาามมสสมั มั พพนั นั ธธ์เชเ์ ชิงโงิ คโครรงสงสร้ารงา้ ขงอขงอตงวั ตบวั ่งบชง่้ีภชาวภ้ี ะาผวนูะ้ ผาขนู้ อำ� งขคอรงูเทคครโเู ทนคโโลนยโสี ลายรสี นารเทสศนเทศ

Research in Educational Administration • 439 13.5 กรณีตัวอยา่ งงานวิจยั เพ่ือพัฒนาโมเดลความสัมพันธเ์ ชิงโครงสรา้ งของตัวบง่ ชี้ ชอื่ เร่ืองทว่ี จิ ยั : ตวั บ่งชีภ้ าวะผู้น�ำของครเู ทคโนโลยีสารสนเทศในสถานศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน ช่อื ผวู้ ิจยั : ทอฝนั กรอบทอง ปที ว่ี จิ ัย: 2560 วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั 1. เพ่ือพฒั นาตวั บ่งช้ภี าวะผนู้ ำ� ของครูเทคโนลยีสารสนเทศในสถานศึกษาข้ันพ้นื ฐาน 2. เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลตัวบ่งชี้ภาวะผู้น�ำของ ครเู ทคโนโลยีสารสนเทศในสถานศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน ท่พี ัฒนาข้นึ กับขอ้ มูลเชิงประจักษ์ 3. เพ่ือศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้น�ำของครูเทคโนลยีสารสนเทศในสถานศึกษา ขั้นพน้ื ฐาน วธิ ีด�ำเนินการวจิ ัย ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง ประชากรทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ ครเู ทคโนโลยสี ารสนเทศในสถานศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ยกเวน้ โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์และการศึกษาพิเศษ ปีการศึกษา 2558 รวมท้ังส้ินจ�ำนวน 30,719 คน (สำ� นกั งานคณะกรรมการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน, 2558) สว่ นกลมุ่ ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ ครเู ทคโนโลยสี ารสนเทศ ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ขนาดกลุ่มตัวอย่าง จ�ำนวน 640 คน โดยมีวิธีได้มาด้วยการสุ่มแบบ หลายข้ันตอน (Multi-stage random sampling) เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในการวิจยั เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี เป็นแบบสอบถามพฤติกรรม/การปฏิบัติเกี่ยวกับภาวะ ผนู้ �ำของครเู ทคโนโลยีสารสนเทศในสถานศกึ ษาขั้นพื้นฐาน แบ่งออกเปน็ 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 แบบสอบถามเก่ียวกับข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุ ขนาดโรงเรียน วฒุ ิการศกึ ษา และประสบการณ์ในการทำ� งาน ตอนที่ 2 แบบสอบถามความสอดคล้องของตัวบ่งช้ีภาวะผู้น�ำของครูเทคโนโลยี สารสนเทศในสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5ระดบั คอื มากทส่ี ดุ มากปานกลางนอ้ ยและนอ้ ยทส่ี ดุ จำ� แนกเนอ้ื หาตามองคป์ ระกอบและตวั บง่ ชี้ การวิเคราะห์ขอ้ มูล การวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส�ำเร็จรูป และได้ กำ� หนดการวเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยแบ่งออกเปน็ 3 ข้นั ตอน ดังนี้ ขั้นตอนท่ี 1 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู สถานภาพของผตู้ อบแบบสอบถามโดยวเิ คราะหเ์ พอ่ื ให้ ทราบลักษณะภูมหิ ลังของกลุ่มตัวอยา่ ง ไดแ้ ก่ เพศ อายุ ประสบการณ์สอน และขนาดสถานศึกษา โดยใช้คา่ ความถีแ่ ละคา่ รอ้ ยละ ข้ันตอนที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความเหมาะสมของตัวบ่งช้ีภาวะผู้น�ำของครู เทคโนโลยสี ารสนเทศในสถานศึกษาข้นั พนื้ ฐาน โดยการหาคา่ สถิตทิ ี่เกีย่ วขอ้ ง ดังน้ี

440 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา 1) คา่ เฉลยี่ (Mean) สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard deviation) คา่ สมั ประสทิ ธก์ิ าร กระจาย (Coefficient of variation) โดยใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกตัวบ่งชี้เพื่อก�ำหนดในโมเดลที่ จะนำ� ไปทดสอบ คอื คา่ เฉลย่ี เทา่ กบั หรอื มากกวา่ 3.00 และคา่ สมั ประสทิ ธกิ์ ารกระจายเทา่ กบั หรอื นอ้ ยกวา่ 20% 2) คา่ สมั ประสทิ ธส์ิ หสมั พนั ธ์ (Correlation co-efficiency) เปน็ การหาคา่ ความสมั พนั ธ์ ของขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ กอ่ นนำ� ไปวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบ กลา่ วคอื ตวั แปรทนี่ ำ� มาวเิ คราะหจ์ ะตอ้ งมคี วาม สมั พนั ธก์ นั หรอื มคี า่ นำ้� หนกั องคป์ ระกอบ (Factor loading) ไมน่ อ้ ยกวา่ .30 3) ค่าดัชนี KMO (Kaiser-Myer-Olkin measure of sampling adequacy) เปน็ การหา ค่าความเหมาะสมของขอ้ มูลเพอื่ วิเคราะห์องค์ประกอบ โดยมคี า่ ระหว่าง 0 ถึง 1 คา่ ท่เี หมาะสมจะ ต้องมากกว่า .50 และค่า KMO จะเทา่ กับ 1 เม่อื ตัวแปรแตล่ ะตัวสามารถทำ� นายได้ดว้ ยตวั แปรอ่นื โดยปราศจากความคลาดเคลอื่ น สว่ นคา่ ในชว่ งอื่น แปลความหมาย ดงั น้ี .80 ข้นึ ไป เหมาะสมทจ่ี ะวิเคราะห์องค์ประกอบดีมาก .70-.79 เหมาะสมท่ีจะวิเคราะห์องคป์ ระกอบดี .60-.69 เหมาะสมท่ีจะวิเคราะห์องค์ประกอบปานกลาง .50-.59 เหมาะสมที่จะวเิ คราะห์องคป์ ระกอบน้อย น้อยกวา่ .50 ไม่เหมาะสมที่จะวิเคราะหอ์ งค์ประกอบ 4) คา่ สถิติ Bartlett (Bartlett test of Sphericity) เป็นค่าทใี่ ชท้ ดสอบวา่ ตัวแปรต่าง ๆ มี ความสมั พนั ธก์ นั หรอื ไม่ ถา้ มนี ยั สำ� คญั แสดงวา่ ตวั แปรมคี วามสมั พนั ธก์ นั สามารถนำ� ไปวเิ คราะห์ องคป์ ระกอบได้ ข้ันตอนท่ี 3 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory factor analysis) เป็นการวิเคราะห์โดยใช้วิธีการประมาณค่าพารามิเตอร์ด้วยวิธีไลด์ล่ีฮูดสูงสุด (Maximum likelihood : ML) และหาค่าสถิติความสอดคล้องกลมกลืน ได้แก่ 1) ค่าไค-สแควร์ (Chi-square statistics) 2) ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืน (Goodness-of-fit index: GFI) 3) ค่าดัชนีวัดระดับ ความกลมกลืนท่ีปรับแก้แล้ว (Adjusted goodness-of-fit index: AGFI) 4) ค่ารากท่ีสองของค่า เฉล่ียความคลาดเคลื่อนก�ำลังสองของการประมาณค่าพารามิเตอร์ (Root mean square error or approximation : RMSEA) ผลการวิจัย พบว่า 1. ตวั บ่งชภ้ี าวะผนู้ ำ� ของครเู ทคโนลยสี ารสนเทศในสถานศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐานมี 12 ตวั บง่ ชี้ จำ� แนกตามมติ ขิ ององคป์ ระกอบในโมเดลความสมั พนั ธเ์ ชงิ โครงสรา้ งได้ 4 องคป์ ระกอบ ดงั น้คี ือ 1) องค์ประกอบดา้ นเป็นผนู้ ำ� ทางการสอนเทคโนโลยีสารสนเทศ มี 3 ตวั บ่งช้ี ไดแ้ ก่ (1) ใช้วธิ กี าร สอนที่หลากหลาย (2) มีความรู้ในเร่ืองท่ีสอนเป็นอย่างดี (3) สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ 2)องคป์ ระกอบดา้ นมวี สิ ยั ทศั นท์ างเทคโนโลยสี ารสนเทศ มี3ตวั บง่ ชี้ไดแ้ ก่(1)มกี ารสรา้ งวสิ ยั ทศั น์

Research in Educational Administration • 441 ทางเทคโนโลยสี ารสนเทศ (2) มกี ารเผยแพรว่ ิสยั ทศั น์เทคโนโลยสี ารสนเทศ (3) มีการปฏิบตั ติ าม วิสัยทัศน์ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ 3) องค์ประกอบด้านมีการพัฒนาวิชาชีพด้านเทคโนโลยี สารสนเทศมี3ตวั บง่ ชี้ไดแ้ ก่(1)มกี ารฝกึ อบรมเทคโนโลยสี ารสนเทศ(2)มกี ารใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ (3) มีการใช้เทคโนโลยีในการวัดผลและประเมินผล และ 4) องค์ประกอบการด้านมีสมรรถนะ ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ มี 3 ตวั บ่งช้ี ได้แก่ (1) มีความร้ดู า้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ (2) มีทกั ษะ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ 3) มีเจตคติที่ดีต่อเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมพี ฤตกิ รรมบง่ ชท้ี ใี่ ชใ้ น การวิจัย 54 พฤติกรรมบ่งช้ี มีค่าเฉล่ีย และค่าสัมประสิทธิ์การกระจาย เพื่อคัดสรรไว้ใน โมเดลความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างของตัวบ่งช้ีภาวะผนู้ ำ� ของครูเทคโนลยสี ารสนเทศในสถานศกึ ษา ขน้ั พน้ื ฐานท่ีเหมาะสมตามเกณฑท์ ก่ี ำ� หนดไว้ คอื มคี ่าเฉลี่ยสูงกว่า 3.00 และมีค่าสัมประสทิ ธิ์การ กระจายเทา่ กบั /นอ้ ยกว่า 20% 2. โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ดีมาก โดยพิจารณาจากค่าไค-สแควร์ (χ2) เท่ากับ 34.23 ค่าองศาอิสระ (df) เท่ากบั 27 (χ2/df = 1.27) คา่ นยั สำ� คญั ทางสถิติ (P-value) เท่ากับ 0.159 ไม่มีนัยส�ำคัญทางสถิติ และค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้อง (GFI) เท่ากับ 0.990 มีค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องท่ีปรับแก้แล้ว (AGFI) เท่ากับ 0.97 และค่าความคลาดเคล่ือน ในการประมาณค่าพารามิเตอร์ (RMSEA) เท่ากบั 0.020 องคป์ ระกอบมีค่าน�ำ้ หนกั องคป์ ระกอบ (Factor Loading) มาตรฐานสูงกวา่ เกณฑ์ 0.50 ทุกองค์ประกอบ ส่วนตัวบ่งชี้ และพฤติกรรมบ่งชี้มีค่าน้�ำหนักองค์ประกอบมาตรฐานสูงกว่า เกณฑ์ 0.30 ทกุ ตัวบ่งช้ี และทุกพฤติกรรมบง่ ชี้ 3. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้น�ำของครูเทคโนโลยสี ารสนเทศในสถานศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน มี 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการพัฒนาวิชาชีพทางเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) ด้านการพัฒนา วิสัยทัศน์ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ 3) ด้านการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และ 4) ดา้ นการพฒั นาใหเ้ ปน็ ผนู้ ำ� ทางการสอนเทคโนโลยสี ารสนเทศ สรุปทา้ ยบท การวจิ ยั เพอ่ื พฒั นาโมเดลความสมั พนั ธเ์ ชงิ โครงสรา้ งของตวั บง่ ชที้ น่ี ำ� เสนอในบทที่ 13 น้ี ประกอบด้วยเนื้อหาสาระส�ำคัญที่ผู้วิจัยหรือนักศึกษาในทางการบริหารการศึกษาควรศึกษาและ ท�ำความเข้าใจให้ละเอียดและชัดเจน โดยอาจสรปุ สาระสำ� คัญดังกลา่ วได้ ดังนี้ ตัวบง่ ชี้ หมายถึง สง่ิ ทบ่ี อกสภาพ หรือสภาวะในเชงิ ปรมิ าณหรือเชงิ คุณภาพ ณ ชว่ งเวลา ใดเวลาหนงึ่ เพอื่ บง่ บอกถงึ สง่ิ ทเ่ี ราตอ้ งการวดั โดยการนำ� เอาขอ้ มลู หรอื คา่ มาเปรยี บเทยี บกบั เกณฑ์ ท่ีก�ำหนดไว้ ลักษณะทส่ี �ำคัญของตัวบง่ ช้ี ตัวบง่ ชี้ทีด่ ีน้ันมลี กั ษณะทสี่ ำ� คญั ซง่ึ ประกอบดว้ ย 1) ตอ้ ง ระบสุ ารสนเทศเกย่ี วกบั สงิ่ หรอื สภาพทศ่ี กึ ษาอยา่ งกวา้ งๆ 2) มคี วามแตกตา่ งจากตวั แปร 3) จะตอ้ ง กำ� หนดเปน็ ปรมิ าณหรอื ตคี า่ เป็นตัวเลขได้ 4) มีค่าเปน็ คา่ ชวั่ คราวและคงท่ี ณ จุดนนั้ ชว่ งเวลาน้ัน

442 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา และ 5) เปน็ หนว่ ยพ้ืนฐานในการพัฒนาทฤษฎี เกณฑ์ในการคัดเลือกตัวบ่งช้ี (ซ่ึงสอดคล้องกับลักษณะที่ส�ำคัญของตัวบ่งชี้ท่ีดี) ไดแ้ ก่ 1) ความตรง 2) ความเทย่ี ง 3) ความเป็นกลาง 4) ความไว และ 5) ความสะดวกในการนำ� ไปใช ้ ประเภทของตัวบง่ ช้ี อาจจดั ประเภทได้  7 ประเภท ได้แก่ 1) ตัวบ่งชต้ี ามทฤษฎีระบบ 2) ตวั บง่ ชต้ี ามลกั ษณะนยิ ามของตวั บง่ ช้ี 3) ตวั บง่ ชตี้ ามวธิ กี ารสรา้ ง  4) ตวั บง่ ชต้ี ามลกั ษณะตวั แปร ทใ่ี ชส้ รา้ งตวั บง่ ช ี้ 5) ตวั บง่ ชตี้ ามลกั ษณะคา่ ของตวั บง่ ช้ี 6) ตวั บง่ ชต้ี ามฐานการเปรยี บเทยี บในการ แปลความหมาย และ 7)  ตัวบ่งช้ีตามลกั ษณะการใชต้ ัวบ่งช ี้ การพัฒนาตัวบ่งช้ี ในกระบวนการพัฒนาตัวบ่งชี้มีข้ันตอนที่ส�ำคัญ 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การก�ำหนดวัตถุประสงค์ 2) การนิยามตัวบ่งช้ี 3) การรวบรวมข้อมูล 4) การสร้างตัวบ่งชี้ 5) การตรวจสอบคณุ ภาพตัวบ่งช้ี และ 6) การน�ำเสนอรายงาน การพัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงโครสร้าง ในการพัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิง โครงสร้างนั้น ผู้วิจัยต้องอาศัยแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยเป็นพ้ืนฐานอย่างหนักแน่นเข้มแข็ง เพอ่ื นำ� มาสนบั สนนุ การสรา้ งโมเดลความสมั พนั ธเ์ ชงิ โครงสรา้ งดงั กลา่ วใหม้ คี วามตรงเชงิ โครงสรา้ ง (Construct validity) และความตรงเชงิ เนอื้ หา (Content validity) ตง้ั แตเ่ รม่ิ ตน้ ดงั นน้ั ในการทบทวน วรรณกรรม ผู้วิจัยต้องเน้นศึกษาและวิเคราะห์ในเรื่องแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับ เรอื่ งทท่ี ำ� วจิ ยั เพอื่ จะกำ� หนดองคป์ ระกอบ ตวั บง่ ชี้ นยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารของตวั บง่ ชี้ และพฤตกิ รรม บง่ ช้ขี องตัวบง่ ช้ี รวมทั้งน�ำไปสู่การสงั เคราะหอ์ งคป์ ระกอบและตัวบง่ ช้ีสำ� หรับใช้ในโมเดลความ สมั พนั ธเ์ ชงิ โครงสรา้ งเพอ่ื เปน็ กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั อยา่ งไรกต็ ามการพฒั นาโมเดลความสมั พนั ธ์ เชิงโครงสร้างของตัวบ่งช้ี มักจะเก่ียวข้องกับการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis : CFA) ดงั น้ัน ในข้ันตอนของการวเิ คราะห์ข้อมูล ผวู้ ิจยั จงึ ควรศึกษาและท�ำความ เข้าใจเรือ่ งการวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบดังกลา่ วดว้ ย

บทท่ี การวิจยั เพือ่ พฒั นาโมเดลสมการโครงสร้าง RESEARCH FOR DEVELOPING OF STRUCTURAL 14 EQUATION MODELING: SEM กล่าวกันว่า โมเดลการวิจัยยุคใหม่นี้มีลักษณะที่แตกต่างจากโมเดลการวิจัยยุคก่อน คือ ตวั แปรในการวจิ ัยมที ง้ั ตวั แปรสังเกตได้ (Observed variable) และตวั แปรแฝง (Latent variable) โดยท่ีตัวแปรแฝงเป็นตัวแปรที่ไม่มีความคลาดเคล่ือนในการวัด ซึ่งวัดได้จากตัวบ่งชี้ที่เป็นตัวแปร สงั เกตได้ เราเรยี กโมเดลการวิจยั ท่ีมีลักษณะดงั กล่าวนว้ี ่า “โมเดลสมการโครงสร้าง” (Structural Equation Modeling : SEM) ซ่ึงสาเหตุที่เรียกเช่นนี้ ก็เพราะว่า เมื่อจะท�ำการวิเคราะห์ จะต้อง เขียนเปน็ สมการ จึงเรยี กว่า โมเดลสมการโครงสร้าง ซงึ่ โมเดลดงั กล่าวนี้ มีองคป์ ระกอบท่ีสำ� คญั สองโมเดลย่อย ได้แก่ 1) โมเดลโครงสร้าง (Structural model) ซึ่งเป็นโมดลที่แสดงถึงความ สมั พนั ธเ์ ชิงสาเหตุ (Causal relationship) ระหวา่ งตวั แปรแฝงภายนอก (Exogenous variable) และ ตัวแปรแฝงภายใน (Endogenous variable) โดยอาจเป็นแบบทางเดียวและแบบเส้นเชิงบวก (Recursive and linear additive) หรือแบบสองทางและแบบเส้นเชิงบวก (Non-recursive and linear additive) และ 2) โมเดลการวดั (Measurement model) ซงึ่ เปน็ โมเดลทแี่ สดงถงึ ความสมั พนั ธ์ ระหว่างตัวแปรแฝงกับตัวแปรสังเกตได้ ดังน้ัน โมเดลสมการโครงสร้างจะสะท้อนให้เห็นถึงท้ัง การวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบ (Factor analysis) และการวเิ คราะหอ์ ทิ ธพิ ลหรอื เสน้ ทาง (Path analysis) ในบทนี้ จะน�ำเสนอการวิจัยเพื่อพัฒนาโมเดลสมการโครงสร้างซ่ึงประกอบด้วยเน้ือหา สาระที่ส�ำคญั 5 เรอ่ื ง ไดแ้ ก่ 1) แนวคิดเกีย่ วกบั โมเดลสมการโครงสรา้ ง 2) การศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 3) การกำ� หนดขนาดตวั อยา่ งในงานวจิ ยั ทใี่ ช้ SEM 4) ขน้ั ตอนการวเิ คราะห์ ข้อมูลด้วยเทคนิค SEM และ 5) กรณีตัวอย่างงานวิจัยเพ่ือพัฒนาโมเดลสมการโครงสร้าง โดยมี รายละเอียด ดังต่อไปนี้ 14.1 แนวคดิ เกี่ยวกบั โมเดลสมการโครงสรา้ ง ในสว่ นนี้ ผวู้ จิ ยั ควรศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจเรอื่ งแนวคดิ เกย่ี วกบั โมเดลสมการโครงสรา้ ง ซงึ่ ประกอบด้วยความหมายของโมเดลสมการโครงสร้าง ความสำ� คัญของโมเดลสมการโครงสร้าง โมเดลสมการโครงสร้าง สัญลักษณ์ในโมเดลสมการโครงสร้าง หรือ SEM ตัวแปรใน SEM ความคลาดเคล่ือนใน SEM ตัวแปรและความคลาดเคล่ือนใน SEM ส่วนประกอบของ SEM รปู เมทรกิ ซใ์ นโปรแกรม LISREL และการสร้างโมเดล SEM โดยมรี ายละเอยี ด ดงั นี้ 1. ความหมายของโมเดลสมการโครงสรา้ ง ค�ำวา่ โมเดลสมการโครงสรา้ ง หรอื เรยี กวา่ SEM มาจากค�ำเต็มวา่ Structural Equation Modeling แปลวา่ โมเดลสมการโครงสรา้ งไดม้ นี กั วชิ าการจำ� นวนมากทไ่ี ดใ้ หค้ วามหมายของโมเดล สมการโครงสรา้ ง หรอื SEM ไว้ เชน่ สวุ มิ ล ตริ กานันนท์ (2555) สุภมาส องั ศโุ ชติ (2557) ฯลฯ ซงึ่ อาจกลา่ วโดยสรปุ ไดว้ า่ “โมเดลสมการโครงสรา้ ง หรอื SEM ” หมายถงึ เทคนคิ ทางสถติ ทิ ใ่ี ชใ้ น

444 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา การทดสอบทฤษฎี (Theory test) หรือสร้างทฤษฎี (Theory building) และประมาณคา่ (Estimate) ความสัมพันธ์เชิงเหตุผล (Causal relationships) โมเดลสมการโครงสร้าง หรือ SEM ประกอบด้วยโมเดลโครงสร้าง (Structural model) และโมเดลการวัด (Measurement model) สาเหตุท่ีเรียกว่าโมเดลสมการโครงสร้าง ก็เพราะว่า ตวั แปรทง้ั หลายเมอ่ื จะทำ� การวเิ คราะหจ์ ะตอ้ งเขยี นเปน็ สมการจงึ เรยี กวา่ “โมเดลสมการโครงสรา้ ง” 2. ความสำ� คัญของโมเดลสมการโครงสร้าง จากปัญหาการใชส้ ถิติท่ีมกั องิ ทฤษฎีการวัดแบบด้งั เดมิ ซงึ่ ทำ� ให้โมเดลการวิเคราะหก์ ับ โมเดลการวิจยั ไมเ่ ปน็ โมเดลเดยี วกนั และปัญหาในกรณีท่ตี วั แปรแฝงในโมเดลการวจิ ัยเปน็ ตัวแปร ที่ไมส่ ามารถวัดไดโ้ ดยตรง Keesling (1972) J‎öreskog (1973) และ Wiley (1973) จึงไดบ้ ูรณาการ การวเิ คราะหอ์ งค์ประกอบ (Factor analysis : FA) การวเิ คราะหอ์ ิทธิพล (Path analysis : PA) และ การวิเคราะห์ประมาณค่าพารามิเตอร์ในการวิเคราะห์ถดถอยพหุ (Multiple Regression : MR) โดยใช้วิธีไลค์ลิฮูดสูงสุด (Maximum Likelihood : ML) แล้วสังเคราะห์เป็นสถิติวิเคราะห์ ตัวใหม่ เรียกกันต่อมาว่า โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) ซึ่งโมเดลสมการโครงสร้างหรือ SEM ดังกล่าว มีความส�ำคัญหรือมีความเหมาะสมในการ วเิ คราะห์ขอ้ มลู ดังน้ี 2.1 โมเดลการวเิ คราะหเ์ ปน็ โมเดลเดียวกับโมเดลการวิจยั 2.2 โมเดลการวิเคราะห์มีตัวแปรแฝง และเทอมความคลาดเคล่ือน สามารถ วิเคราะห์ได้ท้ังโมเดลพร้อมกัน และก�ำหนดให้การวัดตัวแปรสังเกตได้มีความคลาดเคล่ือนได้ ซึง่ เป็นการผ่อนคลายขอ้ ตกลงเบือ้ งต้นของการวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเชิงส�ำรวจแบบเดิม 2.3 เทอมความคลาดเคลื่อน (Error term) สัมพันธ์กันได้ เป็นการผ่อนคลาย ข้อตกลงเบื้องตน้ ของการวเิ คราะหแ์ บบเดมิ อีกประการหนึ่ง 2.4 สามารถทดสอบความตรงของโมเดลว่า สอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูล เชิงประจกั ษห์ รอื ไม่ 2.5 สามารถทดสอบความไมแ่ ปรเปลี่ยนของโมเดลเมื่อกลุ่มตัวอย่างเปลีย่ นไป 3. โมเดลสมการโครงสร้าง โมเดลสมการโครงสรา้ ง ซงึ่ ตอ่ ไปนจ้ี ะเรยี กสน้ั ๆ วา่ SEM มสี ญั ลกั ษณต์ า่ ง ๆ จำ� นวนมาก ดังน้ัน ในการวิเคราะห์ด้วย SEM ผู้วิจัยหรือนักศึกษาในสาขาวิชาการบริหารการศึกษา ระดับบัณฑิตศึกษา ควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับสัญลักษณ์ต่าง ๆ ดังกล่าว ดังแสดงใน ภาพที่ 14.1

ดังน้ัน ในการวิเคราะห์ดว้ ย SEM ผูว้ ิจยั ควรศึกษาและทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั สัญลกั ษณ์ต่าง ๆ ดงั กลา่ ว ดงั แสดงในภาพที่ 14.1 Research in Educational Administration • 445 d1 X1 K1 Z1 e1 d2 X2 e2 d3 X3  E1 Y1  Y2 d4 X4 K2 E2 Y3 e3 X5 Y4 e4    d5 Z2 ภาพที่ 14ภ.1า4โพ.มทเดสี่ ล1ัญ4.S1ลEกัMโษมเณดล์ในSEโมMเดลสมการโครงสร้าง หรือ SEM สญั ลกั ษณ์ต4จจ.า่าากงสกภัญๆภาลพากัดทพษงัี่ ณ1นท4ใ์้ีี่.น1โ1ม4ซเด.งึ่ 1ลเปสน็ มภซกา่าึงพรเโโปคม็รเนดงลสภสรามา้ พงกหาโรรมโอืคเรSดงEสลMรสา้ งมหกราอื รโมโเดคลรSงEสMร้าปงระหกอรบือดโ้วยมเดล SEM สญั ลักษณ์ตา่ ง ๆ ดังนี้ หหมมายาถยึงถึงตัวแตปวั รแสปังเกรตสไงัดเ้ (กOตbsไeดrv้e(dOvbarsieabrvlees)d variables) หหมมาายยถงึถึงตวั ตแปวั รแแปฝงร(แLฝatงen(tLvaartieabnltesv)ariables) หหมมาายยถถงึ ึงควคามวสาัมมพสันมั ธพ์เชนิงั สธาเเ์ หชติงุ สหราอืเหน�้ำตหุ นหกั รอืองคนป์ ้ารหะกนอกั บองคป์ ระกอบ หหมมาายยถถึงึงคควาวมาสมมั สพันมั ธพ์ หนั รธอื ค์ หวารมือแคปรวปารมวแนปร่วรมปขอรงวสนองรต่ววั มแปขรองสองตวั แปร แทน สัมประสิทธ์ิถดถอยของตัวแปรสังเกตได้บนตัว

หมายถึง ความสัมพนั ธ์ หรือความแปรปรวนร่วมของสองตวั แปร 446 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษา แแททนน สสัมัมปปรระะสสทิ ิทธธ์ิถ์ิถดดถถออยขยอขงอตงัวตแัวปแรปสรงั สเกังตเกไดตบ้ไดน้บตนวั แตปัวรแแปฝรงแหฝรงอื นห�ำ้รหือนกั นขปออ้งารหคงะอป์นกงอรกั คะบอป์ กงรอคะปบ์ กรอ(ะFบกacอtบor(LFaocatdoirnLgo)aขdอinงgต)วั ขแอปงรตสวั งัแเปกรตสไดงั เ้กหตรไอื ดส้ หญั รลือกั สษัญณลข์กั อษงณอ์ งค์ แทน สสมั มั ปปรระะสสิททิ ธ์ธิถิ์ถดดถอถยอขยอขงอตงวัตแวั ปแรปแรฝแงฝKง Kบนบตนวั ตแวัปแรปแฝรงแฝEง แEลแะลตะวั ตแปวั แรปร แหแสฝฝรัญืงงอลEสEกั ัญษบลบณนกันตข์ษตวัอณวัแงแ์ขปคปอรวรงแาคแมฝวฝสงางEัมมEพสหมัันรหพธอื รน์เัอืชอธงิงอค์เสชงป์ คิงารสเป์ หะารกตเะหอุ กตบอุ หบนหงึ่นบ่ึงนบอนกี ออีกงอคงป์ ครป์ ะรกะอกบอหบนหงึ่น่หึง รอื แแททนน คคววาามมคคลลาาดดเเคคลล่อื่ือนนใในนกกาารรววดััดขขอองงตตวั วั แแปปรรสสงั ังเกเกตตไไดด้ ้ เแแคททลนน่ือนคคในววาากมมาคครพลลาายดดาเกเคครลลณ่ือื่อนอ์ นงใในคนป์กการาระรพกพยอยาบากกรรณณ์ตต์วั แวั แปปรแรฝแงฝภงาภยาใยนในหรหือรคือวคามวคามลคาดลาด เคล่ือนในการพยากรณ์องคป์ ระกอบ 5. ตัวแปรใน SEM ตัวแปรใน SEM ประกอบดว้ ยตวั แปรสองประเภท ไดแ้ ก่ ตวั แปรแฝง (Latent variable) และตัวแปรสังเกตได้ (Observed variable) หรือ ตัวแปรเชิงประจักษ์ (Manifest variable) โดยมี รายละเอยี ด ดงั น้ี 5.1 ตวั แปรแฝง (Latent variable) ใน SEM แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ดงั น้ี 1) ตัวแปรแฝง (Latent variable) ท่ีเป็นสาเหตุ เรียกว่า ตัวแปรแฝง ภายนอก (Exogenous variable) นยิ มใช้สัญลักษณ์ K (อา่ นวา่ KSI) 2) ตัวแปรแฝง (Latent variable) ท่ีเป็นผล เรียกว่า ตัวแปรแฝงภายใน (Endogenous variable) นยิ มใช้สญั ลกั ษณ์ E (อ่านว่า ETA) 5.2 ตัวแปรสังเกตได้ (Observed variable) ใน SEM แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังน้ี 1) ตัวแปรสังเกตได้ (Observed variable) สำ� หรบั วัดตวั แปรแฝงภายนอก (Exogenous variable) นยิ มใช้สัญลักษณ์ X (อา่ นวา่ Eks) 2) ตัวแปรสังเกตได้ (Observed variable) ส�ำหรับวัดตัวแปรแฝงภายใน (Endogenous variable) นิยมใช้สญั ลักษณ์ Y (อา่ นว่า Wi) จากตวั แปรดงั กลา่ วขา้ งตน้ หากแบง่ ตามการวดั มสี องประเภท ไดแ้ ก่ ตวั แปรแฝง (Latent variable) และตวั แปรสงั เกตได้ (Observed variable) แตห่ ากแบง่ ตามโครงสรา้ งของโมเดล กม็ สี อง ประเภท ได้แก่ ตัวแปรแฝงภายนอก (Exogenous variable) และตวั แปรแฝงภายใน (Endogenous variable)

Research in Educational Administration • 447 6. ความคลาดเคลอื่ นใน SEM โมเดล SEM ยอมให้มคี วามคลาดเคลื่อนในการวัดตัวแปร จึงมีข้อตกลงนอ้ ยและมคี วาม เป็นไปไดท้ ี่ข้อมูลจะเป็นไปตามข้อตกลงเบ้อื งต้นมากกวา่ สถิตวิ เิ คราะห์ท่ัวไป ความคลาดเคลื่อนในการวัดของตัวแปรสังเกตได้ X ใช้สัญลักษณ์ d (อ่านว่า DELTA) ความคลาดเคลื่อนในการวัดของตัวแปรสังเกตได้ Y ใช้สัญลักษณ์ e (อ่านว่า EPSILON) ส่วน ความคลาดเคลื่อนในการพยากรณ์ตัวแปรแฝง E ใชส้ ัญลกั ษณ์ z (อ่านว่า ZETA) 7. ตัวแปรและความคลาดเคล่ือนใน SEM จากโมเดล SEM ในภาพที่ 14.1 พบว่า มีตัวแปรแฝงภายนอก ตัวแปรแฝงภายใน ตัวแปรสังเกตได้ภายนอก และตัวแปรสังเกตได้ภายใน มีความคลาดเคลื่อนในการวัดของตัวแปร และมคี วามคลาดเคลอื่ นในการพยากรณ์ตัวแปรดงั กลา่ ว ดงั น้ี 7.1 ตวั แปรแฝงภายนอกสองตวั ไดแ้ ก่ K1 และ K2 7.2 ตัวแปรแฝงภายในสองตัว ได้แก่ E1 และ E2 7.3 ตัวแปรสังเกตไดภ้ ายนอกห้าตัว ไดแ้ ก่ X1 X2 X3 X4 และ X5 โดยมี X1 X2 และ X3 เป็นตัวแปรสงั เกตได้ของ K1 และมี X4 และ X5 เปน็ ตวั แปรสังเกตได้ของ K2 7.4 ตัวแปรสังเกตได้ภายในส่ีตัว ไดแ้ ก่ Y1 Y2 Y3 และ Y4 โดยมี Y1 เป็น ตวั แปรสงั เกตได้ของ E1 และมี Y2 Y3 และ Y4 เปน็ ตวั แปรสังเกตไดข้ อง E2 7.5 d1 d2 d3 d4 และ d5 เปน็ ความคลาดเคลอื่ นในการวัดของตัวแปรสงั เกตได้ X1 X2 X3 X4 และ X5 ตามล�ำดบั 7.6 e1 e2 e3 และ e4 เป็นความคลาดเคลอ่ื นในการวัดของตวั แปรสงั เกตได้ Y1 Y2 Y3 และ Y4 ตามล�ำดบั 7.7 z1 และ z2 เป็นความคลาดเคลือ่ นในการพยากรณ์ตัวแปรแฝง E1 และ E2 8. ส่วนประกอบของ SEM SEM หรือโมเดลสมการโครงสร้าง ประกอบดว้ ยส่วนประกอบท่สี �ำคญั สองส่วน ไดแ้ ก่ โมเดลโครงสร้าง (Structural model) และโมเดลการวัด (Measurement model) โดยมรี ายละเอียด ดังน้ี 8.1 โมเดลโครงสร้าง (Structural model) เป็นโมเดลท่รี ะบุความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง ตวั แปรแฝงกบั ตวั แปรแฝง จากภาพที่ 14.1 โมเดลโครงสรา้ ง คอื โมเดลทรี่ ะบคุ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง K1 K2 กับ E1, K1 K2 กับ E2 และ E1 กบั E2 8.2 โมเดลการวดั (Measurement model) เป็นโมเดลทร่ี ะบุความสัมพนั ธ์เชงิ เสน้ ระหว่างตัวแปรแฝงกับตัวแปรสังเกตได้ มีสองประเภท ได้แก่ โมเดลการวัดส�ำหรับตัวแปรแฝง ภายนอก และโมเดลการวดั สำ� หรบั ตวั แปรแฝงภายใน หรอื เปน็ สว่ นของการวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบ เชิงยืนยัน จากภาพที่ 14.1 มีโมเดลการวัดตัวแปรแฝงภายนอก คือ โมเดลองค์ประกอบของ K1 และ K2 และมโี มเดลการวัดตวั แปรแฝงภายใน คอื โมเดลองคป์ ระกอบของ E1 และ E2

448 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 9. รปู เมทริกซใ์ นโปรแกรม LISREL ในโปรแกรมLISRELคา่ พารามเิ ตอรต์ า่ งๆในโมเดลจะแสดงในรปู เมทรกิ ซ์(ตารางทแ่ี สดง คา่ พารามเิ ตอรเ์ ปน็ ตัวเลขตา่ ง ๆ ในโมเดล) โดยมชี ื่อเมทริกซ์ 9 ประเภท ดงั แสดงในตารางท่ี 14.1 ตารางท่ี 14.1 ชอื่ เมทรกิ ซ์ท่แี สดงค่าพารามิเตอร์เป็นตวั เลขต่าง ๆ ในโมเดล ลำ� ดับ ชอ่ื เมทริกซ์ สญั ลกั ษณใ์ น แทน ขนาด ภาษาลิสเรล 1 Lambda-X LX เมทริกซส์ มั ประสทิ ธถิ์ ดถอยของ X บน K NX x NK 2 Lambda-Y LY เมทรกิ ซ์สัมประสทิ ธ์ิถดถอยของ Y บน E NY x NE 3 Gamma GA เมทริกซ์อทิ ธิพลเชงิ สาเหตจุ าก K ไป E NE x NK 4 Beta BE เมทรกิ ซ์อทิ ธิพลเชิงสาเหตจุ าก E ไป E NE x NE 5 Phi PH เมทริกซ์ความแปรปรวน-ความแปรปรวน NK x NK รว่ มระหวา่ งตวั แปรแฝงภายนอก K 6 Psi PS เมทริกซ์ความแปรปรวน-ความแปรปรวน NE x NE รว่ มระหว่างความคลาดเคลอ่ื น Z 7 Theta-Delta TD เมทริกซ์ความแปรปรวน-ความแปรปรวน NX x NX ร่วมระหวา่ งความคลาดเคลอ่ื น d 8 Theta-Epsilon TE เมทรกิ ซค์ วามแปรปรวน-ความแปรปรวน NY x NY ร่วมระหว่างความคลาดเคลือ่ น e 9 Theta-Delta- Epsilon TH เมทรกิ ซ์ ความแปรปรวนรว่ มระหว่าง NX x NY ความคลาดเคล่ือน d กับ e หมายเหต:ุ (1) NX = จำ� นวนตัวแปรสังเกตได้ภายนอก (2) NY = จำ� นวนตัวแปรสงั เกตไดภ้ ายใน (3) NK = จำ� นวนตวั แปรแฝงภายนอก (4) NE = จ�ำนวนตัวแปรแฝงภายใน 10. การสรา้ งโมเดล SEM การสรา้ งโมเดล SEM หรอื โมเดลสมการโครงสร้าง ประกอบดว้ ยตวั แปรแฝง (Latent variables) ซ่ึงเป็นตัวแปรที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง แต่จะประมาณค่าได้จากตัวแปรสังเกตได้ (Observed variables) ของแต่ละตัวแปรแฝง ดังน้ัน โมเดลสมการโครงสร้างจะสะท้อนให้เห็น ถึงท้ังการวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor analysis) และการวิเคราะห์อิทธิพลหรือเส้นทาง (Path analysis) องค์ประกอบที่ส�ำคัญของโมเดลสมการโครงสร้าง คือ โมเดลโครงสร้าง (Structural model) ซึ่งเป็นโมเดลที่แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ (Causal relationship) ระหว่างตัวแปร แฝงที่อาจเป็นแบบทางเดียวและแบบเส้นเชิงบวก (Recursive and linear additive)หรือแบบสอง ทางและแบบเส้นเชงิ บวก (Non-recursive and linear additive) และโมเดลการวดั (Measurement model) ซึ่งเป็นโมเดลท่ีแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรแฝงและตัวแปรสังเกตได้ โดย สัญลักษณ์ท่ีใช้ในโมเดลการวิจัยใช้รูปวงรีแทนตัวแปรแฝง และรูปสี่เหล่ียมแทนตัวแปรสังเกตได้ สมมตฐิ านการวจิ ยั มกั เขยี นเปน็ ขอ้ ความบรรยายอทิ ธพิ ลในโมเดลเปน็ ภาพรวมสถติ วิ เิ คราะหจ์ ำ� เปน็

Research in Educational Administration • 449 ตอ้ งใชส้ ถติ วิ เิ คราะหท์ ส่ี ามารถวเิ คราะหป์ ระมาณคา่ พารามเิ ตอรใ์ นโมเดลสมการถดถอยไปพรอ้ มกนั (Simultaneous equation model) และมกี ารทดสอบความสอดคล้องของโมเดล (Model goodness of fit test) ได้แก่ การวิเคราะห์ด้วยโมเดลสมการโครงสร้างซึ่งต้องใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทมี่ ีคณุ สมบัติเฉพาะในการวเิ คราะหข์ ้อมลู เช่น โปรแกรม LISREL (Jöreskog & Sörbom, 1996) โปรแกรม AMOS (Arbuckle, 1995) ฯลฯ จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ อาจกลา่ วไดว้ า่ ในการสรา้ งโมเดล SEM หรอื โมเดลสมการโครงสรา้ ง มีงานส�ำคัญทีผ่ ้วู ิจัยจะต้องดำ� เนินการ 2 ช่วง ดงั นี้ 1) การศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องเพ่ือสร้างโมเดล SEM ที่เป็นโมเดล การวิจัยหรือโมเดลสมมติฐาน โดยผลลัพธ์จะได้โมเดลสมมติฐานที่ประกอบด้วยโมเดลโครงสร้าง และโมเดลการวัด 2) การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติวิเคราะห์โมเดล SEM เพ่ือตอบค�ำถามการวิจัยว่า โมเดล SEM หรือโมเดลสมการโครงสร้างท่ีสร้างข้ึนโดยมีทฤษฎีและงานวิจัยสนับสนุนนั้น มีความสอดคลอ้ งกบั ข้อมูลเชงิ ประจักษห์ รือไม่ 14.2 การศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจัยท่เี ก่ยี วข้อง การศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั เรอื่ ง “โมเดลสมการโครงสรา้ ง” นน้ั มขี น้ั ตอนสำ� คญั ทผี่ วู้ จิ ยั ควรศกึ ษาตามลำ� ดบั ไดแ้ ก่1) การศกึ ษาแนวคดิ และทฤษฎขี องตวั แปรแฝงที่ เปน็ ชอ่ื เรอื่ งทศ่ี กึ ษา 2) การศกึ ษาตวั บง่ ชข้ี องตวั แปรแฝงทเี่ ปน็ ชอ่ื เรอื่ งทศ่ี กึ ษา 3) การศกึ ษานยิ าม เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารและพฤตกิ รรมบง่ ชข้ี องตวั บง่ ชว้ี ดั ตวั แปรแฝงทเ่ี ปน็ ชอ่ื เรอื่ งทศี่ กึ ษา4)การศกึ ษาปจั จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ ตวั แปรแฝงทเ่ี ปน็ ชอื่ เรอ่ื งทศ่ี กึ ษาและเสน้ ทางอทิ ธพิ ล 5) การศกึ ษาตวั บง่ ชใ้ี นแตล่ ะ ปัจจยั 6) การศึกษานยิ ามเชิงปฏบิ ัตกิ ารและพฤติกรรมบง่ ชขี้ องตวั บ่งชีว้ ัดตัวแปรแฝงที่เป็นปัจจยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ ตวั แปรแฝงทเ่ี ปน็ ชอ่ื เรอื่ งทศ่ี กึ ษา และ 7) การสรา้ งโมเดลสมมตฐิ านทป่ี ระกอบดว้ ย ตวั แปรแฝงและตวั แปรสงั เกตได้ทกุ ตวั ตามเส้นทางอทิ ธิพลของตวั แปรแฝงทีก่ �ำหนดได้ ตวั อยา่ งการศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎีและงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งจากงานวจิ ยั เรอื่ ง“โมเดลสมการ โครงสร้างภาวะผู้น�ำพลังบวกของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน” ของปุณยวีร์ อวยชัยสวัสด์ิ ซึ่งอาจสรุปได้ ดังน้ี (ปุณยวีร์ อวยชัยสวัสดิ์, 2561) 1. การศึกษาแนวคดิ และทฤษฎีของภาวะผนู้ ำ� พลงั บวก ภาวะผ้นู �ำพลงั บวก (Appreciative Leadership) เปน็ ท้ังทฤษฎภี าวะผู้นำ� และหลกั ปฏิบตั ิ ของผบู้ รหิ าร ทมี่ งุ่ สรา้ งพลงั เชงิ บวกใหก้ บั องคก์ าร โดยการทำ� ความเขา้ ใจเหตขุ องเรอื่ งราวทปี่ ระสบ ความส�ำเร็จผ่านกระบวนการค้นหาเชิงสร้างสรรค์และสามารถน�ำมาสร้างเป็นแรงบันดาลใจให้ กับสมาชิกในองคก์ ารและตวั ผนู้ �ำเอง เพ่ือการวางแผนการพัฒนาองคก์ าร พฒั นาความสามารถใน การสร้างนวัตกรรมของสมาชิกได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ อีกท้ังเป็นแนวทางในการ เพิ่มขวัญและก�ำลังใจให้กับสมาชิกทุกคนในองค์การ และช่วยเสริมสร้างความผูกพันของสมาชิก ใหม้ ีต่อองค์การมากยงิ่ ข้ึน

450 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา 2. การศกึ ษาตัวบง่ ช้ีของภาวะผนู้ �ำพลงั บวก จากการศึกษาตัวบ่งชี้ของภาวะผู้น�ำพลังบวกตามทัศนะของนักทฤษฎี และนักวิชาการ ต่าง ๆ ผู้วิจัยได้น�ำประเด็นต่าง ๆ มาสังเคราะห์เพื่อก�ำหนดตัวบ่งช้ีท่ีเป็นกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี (Theoretical framework) และที่เป็นกรอบแนวคิดการวิจัย (Conceptual framework) ตามล�ำดับ ดังแสดงในตารางที่ 14.2 ตารางที่ 14.2 การสงั เคราะหต์ วั บ่งช้ีส�ำหรบั การวัดภาวะผู้น�ำพลงั บวก ตวั บ่งชข้ี องภาวะผนู้ �ำพลงั บวก Schall et.al. (2004) Aslund et al. (2005) Bosch (2005) Whitney (2007) Saiduddin et al. (2009) Bushe (2010) Jansen et al. (2010) Verma (2011) Moore et al. (2013) ัอจฉ ิรยะ ุอปการกุล (2554) รวมความ ่ถี 1. การใชห้ ลกั การดา้ นสุนทรยี สาธก PP P P P 5 (Appreciative Inquiry) 4 2. การสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration) PP PP 4 3. การยึดมั่นในส่ิงท่ถี ูกต้องชอบธรรม 3 (Integrity) PPP P 3 4. การคิดเชงิ บวก (Positive thinking) 5. การใหค้ ุณค่ากบั ผลงาน PP P 2 (Value a contribution) 6. การรวบรวมความคิดและทศั นคติ (In- P PP 2 clusion) 2 7. ปฏิบตั ิการการมีภาวะผนู้ �ำร่วม PP 2 (Shared leadership practice) 8. การสร้างจุดแข็ง (Building on strengths) PP 1 9. การพฒั นาอยา่ งต่อเนื่อง PP (Continuous improvement) PP 1 10. การอธบิ ายให้ความกระจา่ ง 1 (Illumination) P 1 11. ความสามารถในการเข้าใจความรสู้ กึ 1 ของผู้อ่นื (Emphaty) P P 12. การโน้มน้าวจติ ใจ (Influence) P P 13. การรบั ฟงั (Being informed) 14. ความเขา้ ใจบทบาทของภาวะผู้นำ� (Knowledge the role of leader)

Research in Educational Administration • 451 ตัวบ่งช้ีของภาวะผนู้ �ำพลงั บวก Schall et.al. (2004) Aslund et al. (2005) Bosch (2005) Whitney (2007) Saiduddin et al. (2009) Bushe (2010) Jansen et al. (2010) Verma (2011) Moore et al. (2013) ัอจฉ ิรยะ ุอปการ ุกล (2554) รวมความ ่ถี 15. การปฏสิ ัมพนั ธท์ างสังคม P1 (Constructionist principle) 16. การเรียนรเู้ ชิงคาดการณ์ (Anticipatory principle) P1 17. หลกั การซ้อนผสาน P1 (Principle of simultaneity) 18. หลกั การของความเป็นเอกภาพ (Principle of wholeness) P1 19. การวางบคุ คลให้เหมาะสมกบั การท�ำ P1 หน้าที่อย่างมเี ปา้ ประสงค์และมีรปู ธรรม (Align and act) 20. การแสดงพลงั และการเปล่ยี นแปลง อยา่ งรวดเร็ว (Leverage and leap) P1 21. การท�ำใหเ้ ป็นสากลและการน�ำทาง P1 (Universalize and usher) 22. สร้างสงิ่ ท่ีแตกตา่ ง (Make a difference) P1 23. เปน็ ตวั อย่างและเคารพผอู้ ื่น P 1 (Demonstrates and live respect for others) 24. เช่อื มั่นในตนเองและความเช่อื ของผอู้ ่ืน (Confidence in self and one’s beliefs) P 1 25. รบั ผดิ ชอบต่อการกระท�ำ P 1 (Commitment to action) 26. มีความยดื หยนุ่ และสามารถเจรจาได้ (Flexible and negotiated) P1 รวมตัวบง่ ชี้ 3 6 5 5 5 5 5 4 3 4 45 จากตารางท่ี 14.2 เห็นได้ว่า ตัวบ่งช้ีของภาวะผู้น�ำพลังบวกที่เป็นกรอบแนวคิดเชิง ทฤษฎี ทไี่ ด้จากการสงั เคราะหม์ จี ำ� นวน 27 ตัวบ่งช้ี แตส่ ำ� หรบั การวจิ ยั ครง้ั นี้ ผูว้ จิ ัยไดใ้ ชเ้ กณฑ์การ พจิ ารณาจากตัวบ่งชท้ี ่มี ีความถ่ีสูง คอื ตัวบ่งช้ีที่มีค่ารวมความถ่ีตั้งแต่ 5 ขนึ้ ไป แต่เน่ืองจากเกณฑ์ ความถขี่ องตวั บง่ ชท้ี ม่ี คี า่ ตง้ั แต่ 5 ขนึ้ ไป มเี พยี ง 1 ตวั บง่ ชี้ ผวู้ จิ ยั จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งปรบั เกณฑก์ ารพจิ ารณา

ตวั บ่งช้ีท่ีมีความถ่ีสูง คือ ตวั บ่งช้ีท่ีมีค่ารวมความถ่ีต้งั แต่ 5 ข้ึนไป แต่เนื่องจากเกณฑค์ วามถ่ีของตวั บ่งช้ี ท่ีมีค45่า2ต้งั•แกตา่ร5วิจขัย้ึนทไางปกามรบีเพริหียางร1กาตรศวั กึบษ่งาช้ี ผูว้ ิจยั จึงจาเป็ นตอ้ งปรับเกณฑก์ ารพิจารณาใหเ้ หมาะสม (ในที่น้ี คือความถ่ีต้ังแต่ 4 ข้ึนไป) ได้ตัวบ่งช้ีจานวน 3 ตัวบ่งช้ี คือ 1) การใช้หลักการด้านสุนทรียสาธก (ธAรpรใมดpมห้าน่ัreนเ้(ใหIcนสniมatุนสetาigิ่งทะvrทสeรit่ถีียมiynสกู)q(ตาใuธนซอ้irก่ึงงทyชจ)(่ีนาAอ2ค้ีกบ)pอืตpธกควัrราeบวรรcา่งมiสมaชรtถ(้ีทiI้าvตี่n้งงัetงั้สแeiแgnราตrมqงi่uบtด4yiงนัrั)ขyกซด)ึน้ ลงึ่า2ไา่จลป)วาใก)กจอาไตรด(าัวIสจ้ตnบแรวัsง่สา้pบชงiด่งrแีท้aงชรt้งัใi้จีงoสน�ำบnานร)นัมูปวแดดนขลางั อละก3งใลโ3ตจา่ม)ัวว(เกบIดnอา่งลsารชpกจยiี้แาrคึดaรสือมtวiดoนั่ดั1งn)ไใใ)นดนกแ้าสรดลรูป่ิงงะัใทขภช3อี่าถห้ )พงูกลกโทตักมา่ีรอ้กเ1ดยงา4ึดลรช.2อบ การวัดได้ ดงั ภาพท่ี 14.2 ภภาพาพทท่ี 1ี่ 41.42.2โมโเมดเลดกลากราวรดั วภดั าภวาะวผะนู้ ผ�ำนู้ พาลพังลบงั วบกวก  จากภาพที่ 14.2 แสดงโมเดลการวดั ภาวะผนู้ ำ� พลงั บวกทไ่ี ดจ้ ากการสงั เคราะหท์ ศั นะของ นกั วชิ าจกาากรภตา่ พง ๆท่ีซ1ง่ึ 4ป.2ระกแอสบดดงว้ โยม3เดตลวั กบาง่ รชวี้ ไดั ดภแ้ ากว่ ะกผารูน้ ใาชพห้ ลลงั กั บกวากรดทา้ ี่ไนดสจ้ นุ าทกกรยีาสรสาธังกเค(รAาpะpหre์ทcศัiaนtivะeของ iนรnากัqยuวแโiลniดิชลrะqyยาะuเ)อมกพirกียีารyฤดารา)ตรตยขกกิสล่าอารรงะรงร้าเแสๆอมงตรแียบซ่ลา้รด่ง่งึงะงขชแปบตี้ขอรรวนัั งองะบบดแงก่งาแันตอชลต่ลด้ีบทใล่าะจด่ีจละตะ(ว้ตใัวIจนยnวั บsบา(3่pงIไ่งniชปตrชsa้ีทวpัส้ีตtiบี่iจู่กาroaะม่งาntนชรiล)o้สี�แำ�ำnไดไังล)ดปเับะแคแ้สกลรดกู่กาาะงั่ระากนกยรหา้ีดึาสร์เรมพยังในดึ่ัื่อเชคมกให้รน่ันาาลหสใะกันนิ่งหกทสด์เาพี่ถ่งินรทูก่ือิยดถ่ีตกาา้มกูอ้�นำหตเงสชชอ้นุิงนองปดทชบนฏอรธิบิยีบยราตสัรธมมิการเธารช(รกมIิงnแป((tลeIAฏnะgpิบtrพepiัตtgฤryreิกต)ictาิกโyiaรด)รtiรยvมมeี บ่งช้ีของแต่ละ3ต. วั กบา่งรชศ้ีตกึ าษมาลนาิยดาบัมเดชงังิ นป้ี ฏบิ ตั ิการและพฤติกรรมบง่ ช้ขี องตวั บง่ ช้ีวดั ภาวะผู้น�ำพลงั บวก จากการศกึ ษานิยามเชิงปฏิบตั ิการและพฤติกรรมบง่ ช้ขี องตัวบ่งชี้วัดภาวะผู้น�ำพลงั บวก ตามทศั นะของนกั ทฤษฎแี ละนกั วชิ าการตา่ ง ๆ ผวู้ จิ ยั ไดน้ ำ� ประเดน็ ตา่ ง ๆ มาสงั เคราะหเ์ พอ่ื กำ� หนด เปน็ นิยามเชงิ ปฏบิ ตั ิการทใ่ี ช้ในการวจิ ยั และพฤติกรรมบ่งช้ีเพอื่ การวัดภาวะผู้นำ� พลังบวก ดงั น้ี 3.1 นิยามเชิงปฏิบัติการและพฤติกรรมบ่งช้ีของตัวบ่งช้ี “การใช้หลักการด้าน สุนทรียสาธก” หมายถึง พฤติกรรมการแสดงออกของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานท่ีใช้ กระบวนการสร้างบทสนทนาเชิงบวก เพ่ือเก็บรวบรวมและแบ่งปันเรื่องราวท่ีประสบผลส�ำเร็จ และปลูกฝังเป็นองค์ความรู้และการสร้างนวัตกรรมให้กับองค์การ ซึ่งนิยามนี้เช่ือมโยงไปถึง พฤติกรรมบ่งช้ีของการใช้หลักการด้านสุนทรียสาธก (Appreciative inquiry) คือ การสร้างบท สนทนาเชิงบวก การเก็บรวบรวมและแบ่งปันเร่ืองราวที่ประสบความส�ำเร็จ และปลูกฝังองค์ ความรแู้ ละการสรา้ งนวัตกรรม 3.2 นิยามเชิงปฏิบัติการและพฤติกรรมบ่งช้ีของตัวบ่งช้ี “การสร้างแรงบันดาล ใจ”หมายถึง พฤติกรรมการแสดงออกของผู้บริหารสถานศึกษาข้ันพื้นฐานท่ีมีการสร้างพลังและ

Research in Educational Administration • 453 การกระท�ำให้เกิดการกระตุ้นการรับรู้ต่อสิ่งใหม่ ๆ และการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีการเรียนรู้ถึง ศกั ยภาพของตนเองและผอู้ น่ื การรถู้ งึ ความตอ้ งการและแรงจงู ใจของตนเองและผอู้ น่ื ทำ� ใหเ้ กดิ การ เปดิ กวา้ งและเปน็ กลางตอ่ ความคดิ เห็นของผอู้ ่นื ซึ่งนิยามน้เี ชอื่ มโยงไปถึงพฤติกรรมบ่งชี้ของการ สรา้ งแรงบันดาลใจ คอื การกระตุ้นการรับรู้ต่อส่ิงใหม่ และการเปลยี่ นแปลงอยู่เสมอ มกี ารเรียนรู้ ถึงศักยภาพของตนเองและผู้อื่น มีการรู้ถึงความต้องการของตนเองและผู้อื่น และมีการเปิดกว้าง และเป็นกลางต่อความคิดเห็นของผ้อู ่นื 3.3 นิยามเชิงปฏิบัติการและพฤติกรรมบ่งชี้ของตัวบ่งช้ี “การยึดม่ันในสิ่งท่ีถูก ต้องชอบธรรม” หมายถึง พฤติกรรมการแสดงออกของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานท่ีมีการ ยดึ มน่ั ในความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ความมสี จั จะเชอ่ื ถอื ได้ และความแนว่ แนม่ นั่ คงในหลกั ศลี ธรรมจรรยา ซ่ึงนยิ ามน้เี ชอื่ มโยงไปถึงพฤติกรรมบ่งช้ขี องการยดึ มน่ั ในส่ิงที่ถูกตอ้ งชอบธรรม คอื ความซื่อสัตย์ สจุ รติ ความมสี ัจจะเชอื่ ถอื ได้ และมีความแนว่ แน่มนั่ คงในหลักศลี ธรรมจรรยา จากการศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง สามารถสรุปนิยาม เชิงปฏิบัติการของ “ภาวะผู้น�ำพลังบวก” ได้ว่า หมายถึง พฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ขั้นพ้ืนฐานที่แสดงออกและวัดได้ด้วยตัวบ่งชี้ที่เป็นตัวแปรสังเกตได้ 3 ตัว คือ 1) การใช้หลักการ ดา้ นสุนทรียสาธก 2) การสรา้ งแรงบันดาลใจ และ 3) การยดึ มั่นในสิ่งท่ีถกู ตอ้ งชอบธรรม ดงั กลา่ ว แลว้ ขา้ งตน้ และผวู้ จิ ยั ไดน้ ำ� แนวคดิ และทฤษฎที ก่ี ลา่ วแลว้ ขา้ งตน้ มาวเิ คราะหเ์ พอ่ื นำ� ไปสกู่ ารกำ� หนด เปน็ นยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั และพฤตกิ รรมบง่ ชเ้ี พอื่ การวดั ภาวะผนู้ ำ� พลงั บวกดงั ทแ่ี สดง ในตารางที่ 14.3 ตารางท่ี 14.3 นิยามเชิงปฏบิ ัติการและพฤตกิ รรมบง่ ชเี้ พื่อการวดั ภาวะผูน้ ำ� พลงั บวก ตัวบ่งช้ี นยิ ามเชิงปฏบิ ัตกิ าร พฤติกรรมบง่ ช้ี 1. การใช้หลักการ พฤตกิ รรมการแสดงออกของผู้ 1. มีการสร้างกระบวนการสรา้ ง ด้านสุนทรียสาธก บรหิ ารสถานศึกษาขั้นพ้นื ฐานทใี่ ช้ บทสนทนาเชิงบวก กระบวนการสรา้ งบทสนทนาเชงิ 2. มกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และ บวก เพ่ือเกบ็ รวบรวมและแบง่ ปนั แบง่ ปนั เร่ืองราวทปี่ ระสบผล เรอ่ื งราวทีป่ ระสบผลสำ� เรจ็ และ สำ� เร็จ ปลกู ฝังองคค์ วามรแู้ ละการสร้าง 3. มีการปลกู ฝังองคค์ วามรู้ นวัตกรรมใหก้ ับองคก์ าร และการสร้างนวตั กรรมให้กบั องค์การ

454 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา ตัวบง่ ชี้ นยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั ิการ พฤตกิ รรมบ่งชี้ 2. การสรา้ งแรง พฤติกรรมการแสดงออกของผู้ 1. มีการสรา้ งพลังและการกระ บันดาลใจ บรหิ ารสถานศึกษาขัน้ พื้นฐานท่ีมี ทำ� ใหเ้ กิดการกระตุ้นการรบั ร้ตู อ่ การสร้างพลงั และการกระทำ� ให้เกิด สิ่งใหม่ ๆ และการเปล่ียนแปลง การกระตุ้นการรบั รู้ต่อสง่ิ ใหม่ ๆ อยเู่ สมอ และการเปลยี่ นแปลงอยเู่ สมอ มีการ 2. มีการสร้างพลังและการ เรยี นรถู้ งึ ศักยภาพของตนเองและผู้ กระท�ำใหเ้ กิดการเรียนรูถ้ งึ อื่น การรถู้ ึงความต้องการ และแรง ศกั ยภาพของตนเองและผอู้ ่ืน จูงใจของตนเองและผูอ้ ืน่ ทำ� ให้เกดิ 3. มีการสรา้ งพลังและการกระท�ำ การเปิดกวา้ งและเปน็ กลางต่อความ ใหเ้ กิดการรู้ถงึ ความตอ้ งการและ คิดเหน็ ของผูอ้ ืน่ แรงจงู ใจของตนเองและผอู้ ่ืน 4. มกี ารสร้างพลงั และการกระท�ำ ใหเ้ กดิ การเปิดกว้างและเป็นกลาง ตอ่ ความคิดเห็นของผู้อื่น 3. การยึดมั่นในสิ่งที่ พฤติกรรมการแสดงออกของผู้ 1. มีการยดึ มั่นในความซอื่ สตั ย์ ถกู ตอ้ งชอบธรรม บริหารสถานศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานที่มี สุจรติ การยดึ ม่ันในความซือ่ สัตยส์ จุ รติ 2. มีการยึดมนั่ ในความมสี ัจจะ ความมีสจั จะเชอ่ื ถอื ได้ และความ เชอ่ื ถือได้ แน่วแน่ม่นั คงในหลักศลี ธรรมจรรยา 3. มีการยดึ ม่นั ในความแน่วแน่ มัน่ คงในหลกั ศลี ธรรมจรรยา 4. การศกึ ษาปัจจยั ทีม่ อี ทิ ธพิ ลต่อภาวะผนู้ ำ� พลังบวกและเส้นทางอิทธิพล ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพ่ือก�ำหนดปัจจัย (หรือ องค์ประกอบ หรือตัวแปรแฝง)ในลักษณะเหตุและผล (Cause and effect) ซึ่งจะท�ำให้เห็น ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกลมุ่ ของปจั จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ ภาวะผนู้ ำ� พลงั บวก อนั จะนำ� ไปสกู่ รอบแนวคดิ ในการวิจัย (Conceptual framework) ท่ีชัดเจน มีความสมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือ โดยมี รายละเอียดตามล�ำดับจนครบถ้วน ดังนี้ 4.1 ปัจจยั ท่ีมอี ิทธพิ ลต่อภาวะผนู้ ำ� พลังบวก จากการศึกษาเอกสารแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้น�ำข้อมูลมา สังเคราะห์เพ่ือค้นหาปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อภาวะผู้น�ำพลังบวกอันน�ำไปสู่โมเดลสมการโครงสร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร (Model conceptualization) โดยคัดสรรตัวแปรที่ส�ำคัญ และน�ำมา จดั ระบบความสมั พันธข์ องปัจจยั เชงิ สาเหตุ ดงั แสดงในตารางท่ี 14.4

Research in Educational Administration • 455 ตารางท่ี 14.4 การสังเคราะห์ปจั จัยท่มี ีอทิ ธิพลตอ่ ภาวะผูน้ ำ� พลังบวก ปจั จยั ท่ีมอี ทิ ธิพลต่อ Bosch (2005) ภาวะผ้นู ำ� พลงั บวก Kelly (2011) Afshari et al. (2012) Allen (2012) Mullick et al. (2012) Fifield (2013) Uusiautti (2013) Weegar (2013) Bempah et al. (2014) Ingleton (2014) Stocker et al. (2014) รวมความ ่ีถ 1. ปฏิสมั พันธ์ทางสงั คม PPPP P PPP 8 (Social interaction) 2. ความรว่ มมอื ของบุคคลในองค์การ 4 (Collaboration) PPP P 4 3. ประสบการณภ์ าวะผู้น�ำ PP PP (Leadership experience) 4 4. ทักษะภาวะผนู้ �ำ (Leadership Skills) P P PP 3 3 5. ความร้แู ละความช�ำนาญ PP P 2 (Knowledge and expertise) 2 6. ความไวว้ างใจ (Trust) P PP 2 7. หลกั จริยธรรม (Ethical) PP 2 2 8. ทัศนคติในการใช้อำ� นาจร่วมกัน P P 2 (Power with perspective) 9. ความศรทั ธาของคนในองค์การ 1 (Belief – Based) PP 1 10. การพัฒนาอย่างต่อเนือ่ ง PP (Continuous improvement) 1 11. การเรียนรู้ (Learning) PP 1 12. การพฒั นาตนเอง PP (Self – development) 13. ทกั ษะในการพฒั นาอาชีพ (Professional development skill) P 14. การแก้ไขปญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ P (Creative problem sloving) 15. นโยบายของค์การ (Organization policy) P 16. โอกาสในการพฒั นา P (Opportunity to improve)

456 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา ปัจจยั ท่มี ีอทิ ธพิ ลตอ่ Bosch (2005) ภาวะผู้น�ำพลงั บวก Kelly (2011) Afshari et al. (2012) Allen (2012) Mullick et al. (2012) Fifield (2013) Uusiautti (2013) Weegar (2013) Bempah et al. (2014) Ingleton (2014) Stocker et al. (2014) รวมความ ่ีถ 17. ความฉลาดทางอารมณ์ P1 (Emotional Intelligence) 18. การกำ� หนดทิศทางของภาวะผูน้ �ำ (Determining direction leadership) P 1 19. การสนับสนนุ การพฒั นาวิชาชพี P 1 (Supporting professional development) 20. การออกแบบองคก์ าร (Designing the organization) P 1 21. การสนบั สนุนและความเคารพ P1 นบั ถือ (Support and respect) รวมปจั จัย 2 5 3 5 4 4 5 3 5 6 5 47 จากตารางที่ 14.4 แสดงผลจากการสังเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะผู้น�ำพลัง บวกที่เปน็ ปจั จยั ตามกรอบแนวคดิ เชงิ ทฤษฎี (Theoretical framework) พบวา่ มจี ำ� นวน 21 ปจั จยั แตก่ ารวจิ ยั ในครง้ั นผ้ี วู้ จิ ยั ไดก้ ำ� หนดปจั จยั ทเี่ ปน็ กรอบแนวคดิ เพอื่ การวจิ ยั (Conceptual framework) โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากปัจจัยที่มีความถี่ระดับสูง คือ ปัจจัยที่มีค่ารวมความถี่ตั้งแต่ 6 ขึ้นไป แตเ่ นอ่ื งจากเกณฑค์ วามถข่ี องปจั จยั ทมี่ คี า่ ตง้ั แต่6ขนึ้ ไปมเี พยี ง1ปจั จยั ผวู้ จิ ยั จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งปรบั เกณฑ์ การพจิ ารณาใหเ้ หมาะสม (ในทนี่ ี้ คอื คา่ ความถต่ี งั้ แต่ 4 ขน้ึ ไป) พบวา่ มี 4 ปจั จยั ไดแ้ ก่ 1) ปฏสิ มั พนั ธ์ ทางสงั คม(Socialinteraction) 2)ความรว่ มมอื ของบคุ คลในองคก์ าร(Collaboration) 3)ประสบการณ์ ภาวะผนู้ ำ� (Leadership experience) และ 4) ทกั ษะภาวะผนู้ ำ� (Leadership skills) 4.2 เสน้ ทางอทิ ธพิ ลของปจั จยั ท่ีมอี ิทธิพลตอ่ ภาวะผนู้ �ำพลังบวก จากปัจจัยที่มีอิทธิพลตอ่ ภาวะผนู้ ำ� พลงั บวก 4 ปจั จยั ดงั กลา่ วขา้ งตน้ ผู้วิจัยได้ศึกษา วรรณกรรมและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องเพื่อก�ำหนดเส้นทางอิทธิพลของปัจจัยจากแหล่งต่าง ๆ ตาม ล�ำดับจนครบถ้วน และสามารถสรุปเส้นทางอิทธิพลของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะผู้น�ำพลังบวก ดงั แสดงในตารางท่ี 14.5

Research in Educational Administration • 457 ตารางที่ 14.5 การสังเคราะห์เส้นทางอทิ ธิพลของปจั จัยทีม่ ีอทิ ธิพลตอ่ ภาวะผูน้ �ำพลงั บวก จำ� แนก ตามปัจจัยภายนอกและปจั จัยภายใน ปจั จัยภายนอก ปจั จัยภายใน ผู้ศึกษา / ผวู้ ิจยั ปฏิสมั พันธท์ างสังคม ความรว่ มมือของคนใน Mooney and Reiley (2004), (Social interaction) องคก์ าร (Collaboration) เสรมิ ศักด์ิ วศิ าลาภรณ์ (2520), ประยรู ทองสุวรรณ (2530) ทักษะภาวะผนู้ ำ� ความร่วมมือของคนใน ประพนั ธ์ ผาสุขยดื (2541), (Leadership skills) องค์การ (Collaboration) ศริ พิ ร พูนชัย (2546), ยาเบน็ เรืองจรูญศรี (2553) ประสบการณภ์ าวะผู้น�ำ ทักษะภาวะผ้นู �ำ Trewatha and Newport (1982), (Leadership experience) (Leadership skills) กลุ รศั มิ์ สิริกรวุฒพิ งศ์ (2553) จากตารางท่ี 14.5 แสดงเปน็ เสน้ ทางอทิ ธพิ ลของปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ ภาวะผนู้ ำ� พลงั บวก 564 ซ งึ่ เปน็ ผลจากการศึกษาแนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจยั ทเ่ี กย่ี วข้อง สามารถสรา้ งโมเดลความสมั พนั ธ์ เชิงสาเหตขุ องตวั แปรแฝง หรอื โมเดลโครงสร้าง ดังแสดงในภาพที่ 14.3 หมายเหตุ แทนความสัมพนั ธ์ท่เี ป็ นอทิ ธิพลทางตรง แทนความสัมพนั ธ์ทเ่ี ป็ นอิทธิพลทางอ้อม ภาพที่ 14.3 โมเดลความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตตุขขุ อองงปปัจจั จจยั ัยทที่มี่มีอีอิทิทธธิพพิ ลลตต่อ่อภภาาววะะผผนู้ ูน้ าำ�พพลลงั งับบววกก

458 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา 5. การศกึ ษาตวั บ่งชใี้ นแตล่ ะปัจจัย เมอ่ื ได้ศึกษาปจั จยั ทม่ี อี ิทธพิ ลต่อภาวะผ้นู ำ� พลังบวกและเสน้ ทางอทิ ธิพลแล้ว ผ้วู ิจัยจึงได้ ศกึ ษาตวั บง่ ชี้ (ตวั แปรสงั เกตได)้ ในแตล่ ะปจั จยั (ตวั แปรแฝง หรอื องคป์ ระกอบ) ตามลำ� ดบั จนครบ ถว้ น ทง้ั นเ้ี พอื่ นำ� ไปสกู่ ารสงั เคราะหแ์ ละกำ� หนดตวั บง่ ชส้ี ำ� หรบั การใชเ้ ปน็ กรอบแนวคดิ เชงิ ทฤษฎี (Theoretical framework) และทเ่ี ปน็ กรอบแนวคดิ เพอื่ การวจิ ยั (Conceptual framework) ตามลำ� ดบั ดงั ตวั อยา่ งตัวบ่งช้ขี องปฏสิ ัมพนั ธ์ทางสังคม ตามท่แี สดงในตารางท่ี 14.6 ตารางท่ี 14.6 (ตวั อย่าง) การสงั เคราะหต์ วั บ่งชี้ส�ำหรบั การวดั ปฏสิ มั พนั ธท์ างสังคม ตัวบง่ ชี้ของ Kelly & Thibaut (1959) ปฏสิ ัมพันธท์ างสงั คม Chung (2013) Martinez & Calvo (2014) วิ ิชต เทพประ ิสทธิ์ (2549) ค ิณต ัพน ์ธุ ทองสืบสาย (2552) มงคล บาลี (2553) ประหยัด ิจระวรพงศ์ (2553) ันนทิยา สีมา ัพนธ์ (2555) ีวระพง ์ศ จันทร์สนาม (2555) ินกร ยาสมร (2556) รวมความ ่ถี 1. ความไวว้ างใจ PPPP PPP 7 2. วัตถุประสงค์ทม่ี ีรว่ มกัน 6 3. แรงจูงใจทางสงั คม PP PPPP 5 4. ความพงึ พอใจรว่ มกนั 4 5. การได้รับการยอมรับจากผูอ้ น่ื PP PPP 4 6. การติดตอ่ สื่อสาร 4 7. บรรทดั ฐานและคา่ นิยม PP PP 3 8. ความเอื้อเฟื้อ 1 9. ความกระตอื รอื ร้น PP PP 1 10. ความต้องการการผกู พนั กับผอู้ ื่น 1 11. การใหค้ วามเคารพซ่งึ กันและกนั P PP P 1 12. ความสามคั คี 1 13. การเขา้ ร่วมกับบุคคลอ่ืน P PP 1 14. การแสดงตน 1 15. การชี้น�ำพฤติกรรมของบุคคล P 1 16. การคำ� นึงถงึ ผอู้ ่ืน 1 17. ความสามารถและความรู้ท่ีมีรว่ มกัน P 1 18. เครอื ขา่ ยทางสังคม 1 P P P P P P P P P

Kelly & Thibaut (1959) Chung (2013) Kelly & ThibautM(a1r9ti5n9)ez & Calvo (2014) Chung (2013) วิ ิชต เทพประ ิสท ์ิธ (2549) ิวMชิaตrtเiทneพzปร&ะCสิaทlคvิ์ธoณิ((2ต25พั0419น)4์ุธ)ทอง ืสบสาย (2552) ค ิณตพัน ุ์ธ ทองสืมบงสคาลย (บ2า5ลี5(22)553) มงคล บา ีล (2553ป)ระหยัด จิระวรพง ์ศ (2553) ปนัรนะทิหย ัยาด ีสจิมราะพัวนร ์ธันพ(งน2 ์ศิท5(ย52า5)5 ีส53ม)าพัน ์ธ (2555) ีวระพง ์ศ จันท ์รสวีนราะมพ(ง2 ์ศ55จั5น)ท ์รสนาม (2555) นิกร ยาสมร (255 ิน6ก)ร ยาสมร (2556) รวมความ ่ีถ รวมความ ี่ถ Research in Educational Administration • 459 ตวั บ่งชี้ของ ปฏิสัมพนั ธ์ทางสังคม ตวั บง่ ชีข้ อง 1 18. เครือขา่ ยทาปงฏสิสงั คัมมพันธ์ทางสังคม 19. บทบาทและหนา้ ท่ี 1 20. การทางานประสานกนั 1 รวม12ต09ัว..บบก่งาทรชบที้ าำ� ทงาแนลปะหระนสา้ าทน่ี กนั 5 5 5 4 4 5 4 6 5P P3 1146 รวมตวั จบาง่ กชตี้ ารางที่ 14.6 ผลการสังเครา5ะห์ตวั5บ่งช5้ีของ4ปฏิส4ัมพนั 5ธ์ทาง4สังค6มท่ีเป5็ นกร3อบแ4น6 วคิด เชิงท ฤษฎี (Theจoาrกetตicาaรlาfงraทmี่ 1e4w.o6rkผ)ลพกบารวสา่ ังมเีจคารนาะวหน์ต2ัว0บต่งวัชบ้ขี ่งอชง้ีปแฏต่ิสาัมหพรันับธก์ทารางศสึกังษคามวิจทยัี่เปคร็น้ังกนร้ี อผบวู้ จิแยันไวดใ้ ช้ เคปแกสวฏณาดิสแคไจคมฑงดำ�ัสรมิดไใน้ตง้ั์พพดเวนนชวัวิงจว้นัภนิงบี้เผาาปธาทงร่วงู้พ3์็นทใณฤชจิ ทจาโยตัษี้ขามงไ่ีวั2อตฎดสเ1บ)ดงวัีใ้4ังวง่ชป(ลบ.คTช4ตัเ้กฏ่กงมh้ีถาชิไสณeทรดุป้ีoคัม่ีฑเวแ้rปรวพดัeกพ์็ะานtไัน่iสมจิด1cกาธ)ถaง้ดรร์lทคี่ใคังอณนfแท์าวบrางสาี่รaมตแสมmะดีรวันไังด่งeวบววคใwับวม้ง่คนมาชoสกิดภงทrค้ีูนังใเkาี่เพวจปพ)คาแื่อ็น2มืทพอลก)ถกต่ีบะาวใ1ี่รวัรนตั43อบว่า.)รถบ4ิจ่งะมแปุ ยัแชดรีจร้นีทบ(ัง�ำะCวี่นจมสสoคูงีงูควงnใิดนคค่าcจเรe์ทอืพทpว2่มีตt่ือา0มuีรวังกaค่วบสlาตวมfง่รังrาัวชกวaคมบทmี้ันิจมถ่งัยม่ีe่ีตชแแwคี (้ลี้งัสา่oCแระrดoตkวงn)3ม่สเc5)จปค�ำeาแข็หวpนน้รึานtรโuมวงับไมaจนถปlกูงเต่ี ด3าใfง้ัไจrรลแตaดทศกmตวัต้ึกาา่บ5eงวัรษwส่งขบวาชนัง้ึoดวั่ง้ีคrิจไชไคkปมัย้ดีืขอ) ด้อ1งัง) ภาพภทาพ่ี 1ท4่ี .144.โ4มเโดมลเกดาลรกวาดั รปวฏดั ิสปัมฏพิสันมพธท์นั าธง์ทสาังงคสมงั คม จากภาพที่ 14.4 แสดงโมเดลการวดั ปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คมทไ่ี ดจ้ ากการสงั เคราะหแ์ นวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ประกอบดว้ ย 3 ตัวบง่ ช้ี ได้แก่ ความไวว้ างใจ (Trust) วตั ถุประสงค์ ท่ีมีร่วมกัน (Shared objectives) และ แรงจูงใจทางสังคม (Social motives) โดยมีรายละเอียด ของแต่ละตัวบ่งชี้ท่ีจะน�ำไปสู่การสังเคราะห์เพ่ือก�ำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการและพฤติกรรมบ่งช้ี ของแตล่ ะตัวบ่งชตี้ ามลำ� ดบั

460 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 6. การศกึ ษานยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารและพฤตกิ รรมบง่ ชขี้ องตวั บง่ ชว้ี ดั ปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม จากการศึกษานิยามเชิงปฏิบัติการและพฤติกรรมบ่งช้ีของตัวบ่งชี้วัดปฏิสัมพันธ์ทาง สังคมตามทัศนะของนักทฤษฎีและนักวิชาการต่าง ๆ ผู้วิจัยได้น�ำประเด็นต่าง ๆ มาสังเคราะห์ เพื่อก�ำหนดเป็นนิยามเชิงปฏิบัติการท่ีใช้ในการวิจัยและพฤติกรรมบ่งชี้เพ่ือการวัดปฏิสัมพันธ์ทาง สงั คม ดงั นี้ 6.1 นิยามเชงิ ปฏิบตั ิการและพฤตกิ รรมบง่ ชข้ี องตวั บง่ ช้ี “ความไว้วางใจ” หมายถงึ พฤติกรรมการแสดงออกของผู้บริหารสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานท่ีได้รับความคาดหวัง ความเช่ือม่ัน และการสนบั สนนุ จากบคุ คลอน่ื ทแ่ี สดงออกทางความรสู้ กึ และการกระทำ� โดยการเปน็ คนทย่ี ดึ ถอื หลักคุณธรรม มีความเมตตากรุณา และมีสมรรถนะในการท�ำงาน ซึ่งนิยามดังกล่าวเช่ือมโยงถึง พฤตกิ รรมบ่งชี้ของความไวว้ างใจ ประกอบดว้ ย 1) การยดึ ถือหลกั คุณธรรม ได้แก่ การเป็นคนเปดิ เผยและมคี วามซ่อื สตั ย์ มจี ติ ส�ำนึกที่ดี และมคี วามมนั่ คงในพฤติกรรม 2) ความเมตตากรุณา ไดแ้ ก่ ความไม่เหน็ แก่ตัวจากผลประโยชน์ และให้ความชว่ ยเหลอื แกผ่ ู้อื่นอยูเ่ สมอ และ 3) สมรรถนะใน การทำ� งาน ไดแ้ ก่ ความรคู้ วามสามารถทจ่ี ะนำ� ไปสผู่ ลสมั ฤทธใ์ิ นเปา้ หมายองคก์ าร รวมทง้ั การชว่ ย เหลือผอู้ ่ืนในการเรียนรู้ทกั ษะต่าง ๆ 6.2 นยิ ามเชิงปฏิบัติการและพฤติกรรมบ่งช้ขี องตวั บ่งชี้ “วตั ถุประสงค์ทม่ี รี ว่ มกัน” หมายถึง พฤตกิ รรมการแสดงออกของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาขั้นพ้นื ฐานทแี่ สดงออกถงึ การก�ำหนด เป้าหมายขององค์การที่ประสงค์ให้บุคคลในองค์การบรรลุร่วมกัน โดยเป็นเป้าหมายท่ีมีความ เฉพาะเจาะจง สามารถวัดผลส�ำเร็จได้ อยู่บนพ้ืนฐานความเป็นจริง มีการก�ำหนดกรอบเวลาท่ี แน่นอน และแนวทางการด�ำเนินงานที่ชัดเจน ซึ่งจากนิยามดังกล่าวเช่ือมโยงถึงพฤติกรรมบ่งชี้ ของวัตถุประสงค์ท่ีมีร่วมกันประกอบด้วย 1) เป้าหมายที่มีความเฉพาะเจาะจง 2) เป้าหมายที่ สามารถวดั ได้ 3) เปา้ หมายทอี่ ยบู่ นพน้ื ฐานความเปน็ จรงิ 4) เปา้ หมายทม่ี กี ำ� หนดเวลาทแ่ี นน่ อน และ 5) เป้าหมายท่มี ีแนวทางการดำ� เนินงานท่ีชดั เจน 6.3 นิยามเชิงปฏิบัติการและพฤติกรรมบ่งชี้ของตัวบ่งช้ี “แรงจูงใจทางสังคม” หมายถึง พฤติกรรมการแสดงออกของผู้บริหารสถานศึกษาข้ันพื้นฐานที่มีพลังในสังคม และ ผลักดันหรือกระตุ้นให้บุคคลอ่ืนแสดงออกถึงพฤติกรรมหรือการกระท�ำ เพื่อสนองตอบความ ต้องการการยอมรับในสังคมและความต้องการประสบผลส�ำเร็จ เป็นเป้าหมายส�ำคัญ ซึ่งจาก นิยามดังกล่าวเชื่อมโยงถึงพฤติกรรมบ่งชี้ของแรงจูงใจทางสังคม ประกอบด้วย การมีพลัง ผลักดันหรือกระตุ้นความต้องการให้เป็นท่ียอมรับในสังคม และการมีพลังผลักดันหรือ กระตุน้ ความต้องการให้เกิดผลส�ำเร็จในชีวิต จากผลการศึกษางานวิจัยและแนวคิดทฤษฎีท่ีเก่ียวข้อง สามารถสรุปนิยามเชิงปฏิบัติ การของ “ปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม” ไดว้ า่ หมายถงึ พฤตกิ รรมการแสดงออกของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ข้ึนพ้ืนฐานที่สามารถวัดได้จากตวั บง่ ชที้ เี่ ปน็ ตวั แปรสงั เกตได้ 3 ตวั ไดแ้ ก่ 1) ความไวว้ างใจ (Trust) 2) วัตถุประสงค์ท่ีมีร่วมกัน (Shared objectives) และ 3) แรงจูงใจทางสังคม (Social motives) ดงั แสดงในตารางท่ี 14.7

Research in Educational Administration • 461 ตารางที่ 14.7 นยิ ามเชิงปฏบิ ัติการและพฤตกิ รรมบง่ ช้ีเพอ่ื การวัดปฏสิ ัมพันธ์ทางสงั คม ตวั บ่งชี้ นยิ ามเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร พฤติกรรมบ่งชี้ 1. ความไวว้ างใจ พฤตกิ รรมการแสดงออกของผู้ การยึดถือหลกั คณุ ธรรม บรหิ ารสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน 1. เปน็ คนเปดิ เผยและมีความซอื่ สัตย์ ท่ีไดร้ ับความคาดหวงั ความเชือ่ 2. มีจติ ส�ำนึกที่ดี และมคี วามม่ันคงใน ม่ัน และการสนับสนุนจากบคุ คล พฤติกรรม อ่นื ที่แสดงออกทางความรู้สกึ ความเมตตากรุณา และการกระทำ� โดยการเป็นคน 3. ไมเ่ ห็นแกต่ วั จากผลประโยชน์ ท่ยี ดึ ถอื หลกั คุณธรรม มคี วาม 4. ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อน่ื อยเู่ สมอ เมตตากรณุ า และมสี มรรถนะใน สมรรถนะในการท�ำงาน การทำ� งาน 5. มคี วามรู้ความสามารถที่จะน�ำไปสู่ ผลสัมฤทธิใ์ นเป้าหมายองค์การ 6. มีการช่วยเหลอื ผ้อู ่นื ในการเรยี นรู้ ทกั ษะตา่ ง ๆ 2. วตั ถปุ ระสงค์ที่ พฤตกิ รรมการแสดงออกของผู้ 1. กำ� หนดเป้าหมายที่มคี วามฉพาะ มีร่วมกนั บริหารสถานศึกษาขน้ั พื้นฐาน เจาะจง ที่แสดงออกถึงการก�ำหนดเป้า 2. กำ� หนดเป้าหมายท่ีสามารถวัดได้ หมายขององค์การท่ีประสงคใ์ ห้ 3. ก�ำหนดเป้าหมายทอี่ ยู่บนพนื้ ฐาน บคุ คลในองคก์ ารบรรลุร่วมกัน ความเปน็ จริง โดยเป็นเปา้ หมายทม่ี ีความเฉพาะ 4. ก�ำหนดเป้าหมายทม่ี ีก�ำหนดเวลาที่ เจาะจง สามารถวัดผลส�ำเรจ็ ได้ แนน่ อน อยู่บนพนื้ ฐานความเปน็ จริง มี 5. กำ� หนดเป้าหมายทีม่ แี นวทางการ การกำ� หนดกรอบเวลาทแี่ น่นอน ดำ� เนินงานที่ชดั เจน และแนวทางการด�ำเนนิ งานท่ี ชัดเจน 3. แรงจงู ใจทาง พฤติกรรมการแสดงออกของผู้ 1. การมีพลังผลกั ดนั หรอื กระต้นุ ความ สงั คม บริหารสถานศกึ ษาขั้นพื้นฐานที่ ต้องการใหเ้ ป็นทยี่ อมรบั ในสงั คม มีพลังในสงั คม และผลกั ดันหรือ 2. การมพี ลังผลักดันหรือกระตนุ้ ความ กระต้นุ ใหบ้ ุคคลอื่นแสดงออกถงึ ตอ้ งการให้เกดิ ความประสบผลส�ำเรจ็ พฤติกรรมหรอื การกระท�ำ เพื่อ ในชีวติ สนองตอบความตอ้ งการการยอมรบั ในสงั คมและความตอ้ งการประสบ ผลสำ� เร็จ เปน็ เปา้ หมายส�ำคัญ

462 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา 7. การสรา้ งโมเดลสมมตฐิ านภาวะผ้นู ำ� พลงั บวก จากการทผ่ี วู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง พบวา่ ภาวะผนู้ ำ� พลงั บวก (Appreciative leadership) เปน็ ทัง้ ทฤษฎภี าวะผูน้ ำ� และหลกั ปฏบิ ตั ิของผ้บู รหิ าร ที่มุง่ สร้างพลังเชิง บวกใหก้ บั องคก์ าร โดยการทำ� ความเขา้ ใจเหตุของเรอ่ื งราวท่ปี ระสบความส�ำเรจ็ ผา่ นกระบวนการ ค้นหาเชิงสร้างสรรค์และสามารถน�ำมาสร้างเป็นแรงบันดาลใจให้กับสมาชิกในองค์การและตัว ผนู้ ำ� เอง เพอื่ การวางแผนการพฒั นาองคก์ าร พฒั นาความสามารถในการสรา้ งนวตั กรรมของสมาชกิ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและมปี ระสทิ ธภิ าพ อกี ทง้ั เปน็ แนวทางในการเพม่ิ ขวญั และกำ� ลงั ใจใหก้ บั สมาชกิ ทุกคนในองค์การและช่วยเสริมสร้างความผูกพันของสมาชิกให้มีต่อองค์การมากย่ิงข้ึน โดยมีตัว บ่งชี้ (ตัวแปรสังเกตได้) 3 ตัว ได้แก่ การใช้หลักการด้านสุนทรียสาธก การสร้างแรงบันดาลใจ และการยดึ มน่ั ในส่ิงทถี่ ูกตอ้ งชอบธรรม ส�ำหรับปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อภาวะผู้น�ำพลังบวกที่คัดสรรแล้ว 4 ปัจจัย คือ ปฏิสัมพันธ์ ทางสังคม ความร่วมมือของคนในองคก์ าร ประสบการณ์ภาวะผูน้ ำ� และทกั ษะภาวะผ้นู ำ� ซึ่งจาก ปัจจัยทม่ี อี ิทธพิ ลตอ่ ภาวะผนู้ ำ� พลังบวกดังกลา่ วน้นั ผวู้ ิจยั ไดศ้ ึกษาแนวคดิ และงานวิจัยท่เี กยี่ วขอ้ ง ในลักษณะเหตแุ ละผล (Cause and effect) ซงึ่ ชว่ ยให้เหน็ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งกลุ่มของปัจจยั ท่ีมี อทิ ธพิ ลตอ่ ภาวะผนู้ ำ� พลงั บวกเพอื่ นำ� ไปสกู่ ารกำ� หนดเสน้ ทางอทิ ธพิ ล พบวา่ ปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม ความรว่ มมอื ของคนในองคก์ าร ประสบการณภ์ าวะผนู้ ำ� และทกั ษะภาวะผนู้ ำ� มอี ทิ ธพิ ลโดยตรงตอ่ ภาวะผนู้ ำ� พลงั บวกและยงั พบวา่ ปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คมมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ความรว่ มมอื ของคนในองคก์ าร สว่ นประสบการณภ์ าวะผนู้ ำ� มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ทกั ษะภาวะผนู้ ำ� และทกั ษะภาวะผนู้ ำ� มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ความ ร่วมมอื ของคนในองคก์ าร นอกจากน้ัน ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับปัจจัยที่มีอิทธิพล ท้ังปัจจัย (Factor/องค์ประกอบหรือตัวแปรแฝง) นั้น เพื่อก�ำหนดตัวบ่งช้ี (Indicator/ตัวแปร สังเกตได้) ของแต่ละปัจจัย พบว่า ปัจจัย (ตัวแปรแฝง) แต่ละปัจจัย ประกอบด้วยตัวบ่งช้ี (ตัวแปรสังเกตได้) 3 ตวั โดยมีรายละเอียด ดงั นี้ 1. ปัจจยั ปฏิสมั พนั ธ์ทางสังคม คอื พฤติกรรมของผู้บริหารท่แี สดงออกถงึ การสรา้ ง ความสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลในองค์การ เพ่ือท�ำให้ได้รับความไว้วางใจ เกิดวัตถุประสงค์ ที่มีร่วมกัน และแรงจูงใจในสังคมให้กับบุคคลในองค์การ มีตัวบ่งชี้ 3 ตัว ได้แก่ ความไว้วางใจ วตั ถุประสงค์ ท่ีมรี ว่ มกัน และแรงจูงใจทางสังคม 2. ปัจจัยความร่วมมือของคนในองค์การ คือ พฤติกรรมการแสดงออกของผู้บริหาร ที่ท�ำให้บุคคลในองค์การมีการสร้างมาตรฐานการปฏิบัติงาน การใช้ทรัพยากร และการก�ำหนด อำ� นาจหนา้ ท่ี เพอื่ การปฏบิ ตั งิ านรว่ มกนั ได้ มตี วั บง่ ชี้ 3 ตวั ไดแ้ ก่ การสรา้ งมาตรฐานการปฏบิ ตั งิ าน การใช้ทรัพยากรรว่ มกัน และการกำ� หนดอ�ำนาจหนา้ ที่ 3. ปัจจัยประสบการณ์ภาวะผู้น�ำ คือ พฤติกรรมการแสดงออกของผู้บริหารสถาน ศึกษาข้ันพ้ืนฐานถึงความสามารถของผบู้ ริหารในการพฒั นาทักษะความรู้ การสรา้ งเชาวน์ปัญญา

Research in Educational Administration • 463 ความช�ำนาญงาน และการมีวิสัยทัศน์ เพื่อการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปตาม เป้าหมายท่ีก�ำหนดไว้ มีตัวบ่งช้ี 4 ตัว ได้แก่ การพัฒนาทักษะความรู้ การสร้างเชาวน์ปัญญา ความชำ� นาญงาน และ การมีวสิ ัยทัศน์ 4. ปจั จยั ทกั ษะภาวะผนู้ ำ� คอื พฤตกิ รรมการแสดงออกของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐานถึงความสามารถของผู้บริหารในการพัฒนาตนเอง มีทักษะในการส่ือสารเพื่อถ่ายทอด ข้อมูลและเป้าหมายให้กับบุคคลในองค์การคล้อยตามและน�ำไปปฏิบัติ และมีการฝึกปฏิบัติภาวะ ผู้น�ำจนเกิดเป็นทกั ษะอย่างสม่ำ� เสมอ มตี วั บ่งช้ี 3 ตวั ไดแ้ ก่ การพฒั นาตนเอง ทกั ษะในการส่ือสาร และการฝึกปฏบิ ตั ิ เม่ือผู้วิจัยได้ตัวบ่งชี้ครบทุกปัจจัย และก�ำหนดเส้นทางอิทธิพลแล้ว จึงน�ำมาสร้างเป็น โมเดลสมการโครงสรา้ งทปี่ ระกอบดว้ ยตวั แปรแฝงและตวั แปรสงั เกตไดท้ กุ ตวั ตามเสน้ ทางอทิ ธพิ ล ของตัวแปรแฝงท่ีก�ำหนดได้ เพื่อเป็นโมเดลสมมติฐานภาวะผู้น�ำพลังบวกของผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษา สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ท่ีจะใช้เป็นกรอบแนวคิด เพ่ือ การวิจัย (Conceptual framework)ในการศึกษาวิจัยคร้ังน้ี ดังแสดงในภาพท่ี 14.5

572  การสร้างมาตรฐานการปฏิบตั ิงาน การใชท้ รัพยากรร่วมกนั การกาหนดอานาจหนา้ ที่ 464 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา ปฏบิ ตั ิงาน ความไวว้ างใจ ปฏิสมั พนั ธ์ ความร่วมมือ ภาวะผู้นำ การใชห้ ลกั การ แรงจงู ใจทางสงั คม ทางสงั คม ของคนในองคก์ าร พลังบวก ดา้ นสุทรียสาธก วตั ถุประสงคท์ ี่มีร่วมกนั ประสบการณ์ ทกั ษะภาวะผนู้ า การสร้าง การพฒั นาทกั ษะความรู้ ภาวะผนู้ า แรงบนั ดาลใจ การสร้างเชาวป์ ัญญา ความชานาญงาน การยดึ มนั่ ในส่ิงท่ี ถูกตอ้ งชอบธรรม การมีวสิ ยั ทศั น์ การพฒั นาตนเอง ทักษะในการสื่อสาร การฝึกปฏิบตั ิ แทน ตวั แปรสงั เกตได้ แทน ตวั แปรแฝง แทน ความสมั พนั ธเ์ ชิงสาเหตุและผล ตวั แปรที่ตน้ ลูกศร (สาเหตุ) ทาใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงในตวั แปรที่หวั ลกู ศร (ผล) ภาพท่ี 14.5ภาพโมทเ่ีด1ล4ส.5มมโตมฐิเดาลนสภมามวตะิฐผาู้นน�ำภพาลวงัะบผนู้วกาพขลองังบผวู้บกรขิหอางรผโบู้ รรงิหเรายีรนโรมงัธเรยียมนศมึกธั ษยมาศสึกังษกาัดสสัง�ำกนดั ักสงาานนกั คงณานะคกณระรกมรกรามรกกาารรกศาึกรษศึกาขษั้นาขพ้นั ้ืนพฐ้ืนาฐนาน

573  573 Research in Educational Administration • 465 14.3 ก1า4ร.3กำ�กหารนกดาหขนนดาขดนตาวั ดอตยวั า่ องยใ่านงงในานงาวนจิ วยั ิจทัย่ีใทชี่ใ้ช้SSEEMM ในการใวนิจกยั าทรี่ใวชิจ้สัยถทติ่ีใิวชเิ้สคถริตาะิวหิเค์ รSาEะMห์ หSEรMอื โหมรเือดลโสมมเดกลาสรมโคกรางรสโคร้ารงงส(Sรt้าrงuc(tSutraulctEurqaulaEtqiounation ง (Structural EquatMioondeliMngo:deSliEnMg: )SEนMกั )วนจิ ัยกจวิจะยัพจบะปพบญั ปหัญาตหลาตอลดอมดามวา่าวคา่ วครวกรกำ� หาหนนดดขขนนาาดดตตวั อยา่ งงเเทท่าา่ ไไรรจจึงงึ จจะะถถือือววา่ เ่าปเ็ปนขน็ นาด ไรจึงจะถือวา่ เป็นขนขานดาดทที่เห่ีเหมมาาะสม ไไมม่ม่มาากกเกเกินินไปไปจจนนเปเ็ปนภ็นาภราะรหะนหกั นหักรือหไรมือ่นไอ้มย่นเก้อินยไเกปินจนไปไดจร้นับไกดา้รรับโตกแ้ารยงโ้ ตวา่้แนย่า้งจวะ่าไนม่าพจอะที่จะ Rราแuโรยlคศeง้ รึกวoงา่ษfสนาthร่าใu้จาดmงะยไนืb(Sม)ยE่พดนั Mงัอคนท)วไศ( (้ี ใ่ีRจSามึกนมะEuพ่ ษlMอeาใทo)ดเรมหfีจ่ ะใีผยะtมนยลืนhเมาะuใกรยะเผีหmวะสณนั ลลค้ยbมคฑใาา่ะ)หหวปทเเด์กกราวี่รผ้คืมอังณาะลา่่านไรมนเฑปาหมกาี้ทมรก์ณ่ม�ำา่ีะผาเมาหปมรม่าะ็ีอีคนกนนาสยวาปณดมหหู่มาัจมมขานลหจถมคีานุบดรูกยีอวขนอืัาปตายนดหไอ้รมูม่หาตระงถด่ือลักวเ(ตูกปไAาาอวัตมรย็นcยอ่้อcปแป่ยาuเงกตรา่งrจั aงณ่น(ะใจcใAนกักฑyบุนc)วงาด์งันcิจแราางัuหยลันนกrไแะaรวลวมตcอืิจนา่ิจ่มyวย่ันไ่าัย)น่ัรมทเักชทวแใี่ป่ ่ือมวเจลี่ปกรถิจวเะะรณรือา่ัยีนยยะถไฑกกุ(าู่กยมRวตเ์ดตุกชe่าม่ใ์ ังlอ้อ่ืตชiกั่นกaงถโ้์ฎใbหลใมชือlอจe่ารเย้โ)ดวืวอ(าม่Rล่ราไงถเสวมeงดl่ามูกม่ iยลaมกเตรbส(ีกา้อRยีlรามeกงuโร)กlหควศeาึ่ารกรoรงษือfกสโาtไฎคhรใมu้อาดร่mงยยงืนb(่าสมS)งยีกรEงดนั M้า่าางั คยรงน)ว้ี ใานม รสั งเกตได้ (1I9n6d7ic)aOtobr,servOedbsv12ea..rvrกกeia�ำ�ำdbหห21vlน..aeนกrก)ดดiดาาaใใหหbังหหlนนนe้ขข้ )ด้ันดนนดใใหางัขาหดนด้ขน้ ขต้ันตนานวััวดาขดอาอตนดตยยวัาตัวา่่าดองอังวตยยอ((วัา่่าSSยองงa่aาขยm(mง่Sาั้นpงap(ตขmSlleeaน้ัำ�่pmslsตคeiipzา่ือzsleeeiค)1z) sอืe 0 i ³)z³1เeท0)5า่1เท5ห0ข่า หรอ 1ขเอืรงท0ืออต³่างัวตเขทแ1ัวอ1่ป0าแ0ง ปร ขตเรสเทอทัวสังา่งแาังเตกปขเกัวตอรตแงไสงไปจดจดงั าร�ำ้้เ(น(กนสNNวตัวงuuนไเนnnกดพnnพต้าaa(ราไIllรllาnดyyมาd้,,มิเ(i11ตcI9ิเn9aอต6dt6รอo7i์7ทc)rร)a,ี่ต์t้oอrง, (Nunnally, นวนพารามิเตอร์ที่ตท้อ่ีตงอ้ งปปรระะมมาาณณคคา่ ่า((คคือือจ�ำานวนสัมประสิทิ ธธ์ิเ์ิ สส้ น้นททาางง())จจ�ำานนวน llooading () และจา�ำนวนสส่ว่วนนเเหหลลือือ() จานวนส่วนเหลือ () รวรมวกมันกัน) )ดดังังนน้ัน้ันขขนนาดตัวออยย่า่างงขขั้นั้นตต่า�่ำคือคือ³5 ห5รือหรือ 10³ขอ1ง0จขานอวงนจพ�ำนารวานมพิเตาอรรา์ทมี่ติเต้อองปร์ทระี่ตม้อางณค่า ตอร์ท่ีต้องประมาณปคร่าะมา(ณBeคn่าtl(eBr,e1n9t8le9r;,B1o9l8le9n;,B19o8ll9e)n, 1989) างหสนือดMโดuยltใivชa้กriฎatเeกdณกMaฑฎtuaเ์lกtivณทaanฑrั่วiaaไl์ทใytนปesั่วidปsไ(:aปGัจใAtaeนจn(gุaบปGelnorััจนaeabจllnayุบRlกespuนัrาieaslรer:กls)กApาRต�ำeรcหguากtlมliานoveหแbe)ดsนนaขตlดวสpนาขทอeมานงาrดแsวงาpิธนดตทeี ตัี่วดวcHวัtงอัทiaนอvยาi้ยeีr่างs่าeงทงtสสสa่ี l�Hำาอ.หหง(a2รวรi0rับธิับ1ีe0ดSt)SEังไEMนaดlMี้.น้เส(ิย2นนม0ิยอใ1ชมไ0้ววใ)ิธช้ใีไกน้วดาิธหร้เีกสกนาานังหรสอกนือไ�ำดวหMโ้ใดนนuยlดหtใivโชนaด้กrังยiฎaสใtเeชกือdณ้ aฑta์ ตวิธามีทว่ี 1ิวธธิ:ีทีทก่ี ่ีำ�11ห:นนกี้ดาใหขหนน้กดา�ำขดหนตนาวั ดดอตขยวั นา่ องายภด่าางตยภัวใาตอยใเ้ยงต่า่อื้เงงน่ือสไน�ำขไหขขรขอับองงกSกาEารรMสสุ่มุ่มหรือโมเดลสมการโครงสร้าง ภายใต้เง่อื นไขขอตงากมาวริธสีทุ่มี่ 1สนอ้ี งใปหร้กะากหานรดดขังนนา้ี ดตวั อย่างสาหรับ SEM หรือโมเดลสมการโครงสร้างภายใต้ มการโครงสร้างภายใต้ เง่ือนไข1ข.อ งตกัวาอรสยุ่มางสคอวงรปไรดะม้การดดว้ งัยนก้ี ารสุ่ม (Sample should be drawn randomly) 2. กา1ร.สตมุ่ ัวตอัวย่อางยคา่ วงรแไบดบ้มาไดม้วเ่ ปยกน็ าสรสดั ุ่มสว่(Sนamในplกeาsรhoอuอldกแbeบdบraบwลnอ็ rกaกndาoรmสlุ่มy)ตวั อย่าง แตล่ ะ mly) แต่ละบลdบอ็ eลกs็อigกnค,คeววaรรcมมhีขีขbนนloาาcดดkตต2ัsวัว.hอกอoยาuย่ารl่างdสงเุ่ทมเhท่าตaกv่าัวักนeอันยe(่าqกงu(าแกaรบlาสบรsุ่มaสไตmมุ่มัว่เpปตอl็ นeัวย่าสอsงiัดยzแส่าeบง่ว(บแนuไบnม-ใบp่นเปrไกoม็ นาp่เรสoปอrัด็นtอiสoกส่วnแัดนaบสl)บs่ว(บaIนnmล)rอ็paก(lniIกndnาgoรm)r)สain่zุมedตdoัวbmอloยicz่าkeงddแeตbs่iลlgoะncบ,keลaอ็ cกh สมตัวอย่าง zed block design, each blocภkาsยhใoตulเ้ dงอ่ื hนavไeขeสqอuaงlปsรamะกplาeรsขizา้ eง(ตuน้n-pกrาoรpกorำ� tหioนnaดlขsaนmาpดlตinวั gอ))ยา่ งสำ� หรบั การวเิ คราะหโ์ มเดล สมการโครงสรา้ ง (SEM) ต้องไม่ตำ�่ กวา่ 100 ตวั อยา่ ง และมีสัดส่วนจำ� นวนเท่าของขนาดตวั อย่าง ต่อจำ� นวนพารามิเตอร์ท่ีต้องการประมาณค่าเปน็ 10-20 ตวั อยา่ ง ต่อ 1 พารามิเตอร์ (Sample size a) should be greater than 100, and b) 10-20 samples per one parameter.)

466 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา วธิ ีที่ 2 : ก�ำหนดขนาดตัวอย่างภายใต้เงอื่ นไขของตวั แปรและคา่ ความร่วมกัน ตามวธิ ที ี่ 2 นี้ ใหก้ ำ� หนดขนาดตวั อยา่ งสำ� หรบั SEM หรอื โมเดลสมการโครงสรา้ งภายใต้ เงื่อนไขของจ�ำนวนตวั แปรแฝง ตัวแปรสงั เกตได้ และคา่ ความร่วมกนั (Communality) เพือ่ กำ� หนด ขนาดตวั อย่างต�ำ่ สุด สำ� หรับการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ดังแสดงในตารางที่ 14.8 ตารางท่ี 14.8 การกำ� หนดตวั อย่างต�่ำสดุ ภายใต้เงอื่ นไขของตัวแปรและคา่ ความรว่ มกนั ของ Hair จำ� นวนตัวแปรแฝง (Latent Variables) ค่าความร่วมกัน ขนาดตัวอยา่ งต่ำ� สุด และจำ� นวนตัวแปรสงั เกตได้ (Observed Variables) (Communalities) (Minimum Sample Size) ตวั แปรแฝง ≤ 5 ตัวแปร และแตล่ ะตัวแปรแฝงวดั ได้ Highest (> .6) 100 จากตัวแปรสังเกตได้ ≥ 3 ตวั แปร(ไม่มี Under identified ของตัวแปรแฝง) ตัวแปรแฝง ≤ 7 ตัวแปร และแต่ละตวั แปรแฝงวัดได้ Modest (= .5) 150 จากตวั แปรสงั เกตได้ ≥ 3 ตัวแปร (ไมม่ ี Under Identi- fied ของตัวแปรแฝง) ตวั แปรแฝง < 7 ตัวแปร และแตล่ ะตวั แปรแฝงวัดได้จาก Lower (<.45) 300 ตัวแปรสังเกตได้ < 3 ตัวแปร (มี Under Identified ของ ตวั แปรแฝง) ตัวแปรแฝง > 7 ตวั แปร และแตล่ ะตัวแปรแฝงวัดไดจ้ าก Lower (<.45) 500 ตวั แปรสงั เกตได้ < หรอื > 3 ตวั แปร (มี Under Identi- fied ของตัวแปรแฝงหลายตวั ) Source. Hair et al. (2010) จากตารางท่ี 14.8 การก�ำหนดขนาดตัวอย่างต�่ำสุด (Minimum Sample Size) สามารถ กระท�ำได้ ภายใต้เงอ่ื นไข ดังน้ี 1. ถ้ามีตัวแปรแฝง (Latent Variables/ Number of Constructs) ไม่เกิน 5 ตัว (1-5 ตวั ) และแต่ละตวั แปรแฝงวดั ได้จากตวั แปรสังเกตได้ (Observed Variables/ Number of Indicators Per Construct) ไม่นอ้ ยกวา่ 3 ตวั (ต้ังแต่ 3 ตวั ขึ้นไป) (ไมม่ ี Under identified ของตวั แปรแฝง) และ มีค่าความร่วมกัน (Communality) หรือค่าปริมาณความแปรปรวนของตัวแปรสังเกตได้ตัวหนึ่งท่ี แบ่งปนั ใหก้ ับองคป์ ระกอบ (Factor) อื่น ๆ หลงั สกัดองค์ประกอบแลว้ มากกวา่ .6 การกำ� หนด ขนาดตวั อยา่ งตำ่� สุด คือ 100 2. ถา้ มีตวั แปรแฝง (Latent Variables/ Number of Constructs) ไมเ่ กนิ 7 ตัว (1-7 ตวั ) และแตล่ ะตวั แปรแฝงวดั ได้จากตวั แปรสงั เกตได้ (Observed Variables/ Number of Indicators Per Construct) ไมน่ ้อยกว่า 3 ตวั (ตั้งแต่ 3 ตัว ข้ึนไป) (ไม่มี Under identified ของตวั แปรแฝง) และ มีค่าความร่วมกัน (Communality) หรือค่าปริมาณความแปรปรวนของตัวแปรสังเกตได้ตัวหน่ึง ที่แบ่งปันให้กับองค์ประกอบ (Factor) อื่น ๆ หลังสกัดองค์ประกอบแล้ว เท่ากับ .5 การก�ำหนด ขนาดตวั อยา่ งต่�ำสุด คือ 150

Research in Educational Administration • 467 3. ถ้ามีตวั แปรแฝง (Latent Variables/ Number of Constructs) นอ้ ยกว่า 7 ตวั (1-6 ตัว) และแตล่ ะตวั แปรแฝงวดั ได้จากตัวแปรสงั เกตได้ (Observed Variables/ Number of Indicators Per Construct) น้อยกวา่ 3 ตวั (1-2 ตวั ) (มี Under identified ของตัวแปรแฝง) และมคี า่ ความรว่ มกัน (Communality) หรือค่าปริมาณความแปรปรวนของตัวแปรสังเกตได้ตัวหน่ึงท่ีแบ่งปันให้กับองค์ ประกอบ (Factor) อื่น ๆ หลังสกัดองค์ประกอบแล้ว น้อยกว่า .45 การก�ำหนดขนาดตัวอย่าง ต่�ำสดุ คอื 300 4. ถ้ามตี ัวแปรแฝง (Latent Variables/ Number of Constructs) มากกวา่ 7 ตัว (8 ตัว ขึน้ ไป) และแตล่ ะตัวแปรแฝงวดั ได้จากตวั แปรสงั เกตได้ (Observed Variables/ Number of Indicators Per Construct) นอ้ ยกวา่ 3 ตัว (1-2 ตวั ) หรือมากกว่า 3 ตวั (4 ตวั ขน้ึ ไป) (มี Under identified ของตัวแปรแฝง) และมีค่าความร่วมกัน (Communality) หรือค่าปริมาณความแปรปรวนของ ตวั แปรสงั เกตได้ตัวหนึ่งทแี่ บง่ ปนั ใหก้ บั องค์ประกอบ (Factor) อน่ื ๆ หลงั สกดั องคป์ ระกอบแล้ว น้อยกว่า .45 การกำ� หนดขนาดตัวอยา่ งตำ่� สดุ คือ 500 14.4 ข้ันตอนการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ด้วยเทคนิค SEM การวเิ คราะห์ข้อมูลดว้ ยเทคนคิ SEM มขี ้ันตอนการด�ำเนินการ 5 ขัน้ ตอน ประกอบดว้ ย 1) การกำ� หนดขอ้ มูลเฉพาะของโมเดล (Model specification) 2) การระบคุ วามเปน็ ไปไดค้ ่าเดยี ว ของโมเดล (Model identification) 3) การประมาณค่าพารามิเตอร์ของโมเดล (Model parameter estimation) 4) การทดสอบความตรงของโมเดล (Model validation testing) และ 5) การปรับ โมเดล (Model modification) โดยมรี ายละเอยี ด ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การกำ� หนดข้อมูลเฉพาะของโมเดล (Model specification) เปน็ ข้นั ตอนการ ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง แลว้ พฒั นาโมเดลการวจิ ยั ถอื เปน็ ขนั้ ตอนทสี่ ำ� คญั ทสี่ ดุ หรือ เรยี กได้ว่า “เป็นหัวใจ” ของการวิเคราะห์ SEM ขัน้ ตอนท่ี 2 การระบุความเป็นไปไดค้ ่าเดียวของโมเดล (Model identification) การระบุ คา่ ความเปน็ ไปไดค้ า่ เดยี วของโมเดล คอื การระบวุ า่ โมเดลนนั้ สามารถนำ� มาประมาณคา่ พารามเิ ตอร์ ได้เป็นค่าเดียวหรือไม่ (นงลักษณ์ วิรัชชัย, 2542; Tenko & Marcoulides, 2000) เป็นการศึกษา ลักษณะการก�ำหนดค่าพารามิเตอร์ที่ยังไม่ทราบค่าในโมเดลการวิจัยว่า เป็นไปตามเง่ือนไขการ วิเคราะหห์ รอื ไม่ โดยการเปรยี บเทยี บค่า n(n+1)/2 กบั จ�ำนวนพารามิเตอรท์ ีต่ ้องการประมาณคา่ (n แทนจ�ำนวนตัวแปรสังเกตไดใ้ นโมเดลทั้งตัวแปรสังเกตได้ X และตัวแปรสงั เกตได้ Y) โดยมี เงอ่ื นไขการพิจารณา ดังน้ี 1) ถา้ n(n+1)/2 น้อยกวา่ จ�ำนวนพารามิเตอร์ท่ีตอ้ งการประมาณค่า ถือว่าเป็นภาวะ ระบไุ มพ่ อดี (Under identification) หรอื โมเดลระบไุ มพ่ อดี (Under-identified model) โปรแกรม จะรายงานว่า df เปน็ ลบ ไม่มีการประมาณค่าพารามเิ ตอร์ 2) ถ้า n(n+1)/2 เท่ากับจ�ำนวนพารามิเตอร์ที่ต้องการประมาณค่า ถือว่าเป็นภาวะ ระบุพอดี (Just identification) หรือโมเดลระบุพอดี (Just-identified model) โปรแกรมจะรายงานว่า df เป็น 0 (Fit perfect) ไมม่ ีการรายงานคา่ SE และ t-value

468 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 3) ถ้า n(n+1)/2 มากกวา่ จำ� นวนพารามเิ ตอร์ทต่ี อ้ งการประมาณค่า ถือว่าเป็นภาวะ ระบเุ กนิ พอดี (Over identification) หรอื โมเดลระบเุ กนิ พอด ี (Over-identified model) โปรแกรม จะรายงานว่า df เปน็ บวก จะมกี ารประมาณคา่ พารามิเตอรต์ ่าง ๆ ในโมเดล และรายงานคา่ SE และ t-value กอ่ นทำ� การประมาณคา่ พารามเิ ตอรว์ า่ จะเปน็ โมเดลระบไุ มพ่ อดี (Under-identified model) โมเดลระบพุ อดี (Just-identified model) หรอื โมเดลระบเุ กนิ พอดี (Over-identified model) นนั้ จะ พจิ ารณาจากค่าองศาอิสระ (Degree of freedom) โดยใช้สตู รค�ำนวณคา่ องศาอิสระ (Schumacker & Lomax, 2010) ดงั ภาพท่ี 14.6 (พูลพงศ์ สขุ สวา่ ง, 2556) Degree of freedom = [NI (NI+1)/2] – number of parameter estimation เม่ือกำ� หนดให้ NI หมายถงึ จ�ำนวนตัวแปรสงั เกตไดท้ ้งั หมดทใี่ ชใ้ นการประมาณค่า พารามเิ ตอร์ ถ้า Degree of freedom มีค่าน้อยกวา่ 0 แสดงวา่ โมเดลระบไุ มพ่ อดี (Under-identified model ถา้ Degree of freedom มคี า่ เท่ากบั 0 แสดงว่า โมเดลระบุพอดี (Just-identified model) ถา้ Degree of freedom มคี ่ามากกว่า 0 แสดงวา่ โมเดลระบเุ กินพอดี (Over-identified model) ภาพท่ี 14.6 สูตรคำ� นวณคา่ องศาอสิ ระ การระบุความเป็นไปไดค้ า่ เดียวของโมเดลน้ัน โปรแกรมจะทำ� การตรวจสอบ แลว้ รายงาน ใหผ้ วู้ จิ ัยทราบ ข้นั ตอนท่ี 3 การประมาณคา่ พารามเิ ตอร์ของโมเดล (Model parameter estimation) เป็น ข้ันตอนที่โปรแกรม LISREL ประมาณค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ของโมเดลตามที่ระบุค่าความเป็น ไปได้ค่าเดียวของโมเดล โดยสามารถเลือกใช้วิธีการต่าง ๆ ในการประมาณค่าได้ 6 วิธี ได้แก่ วิธี Instrumental variables (IV) วธิ ี Two-stage least squares (TS) วิธี Unweighted least squares (UL) วิธี Generalized least squares (GL) วธิ ี Generally Weighted least squares (WL) และวิธี Maximum likelihood (ML) (Jöreskog & Sörbom, 2012) แต่วิธีทนี่ ิยมมากท่สี ุด ได้แก่ วิธี Maximum like lihood (ML) เนอื่ งจากเปน็ วธิ ที โี่ ปรแกรม LISREL กำ� หนดใหเ้ ปน็ วธิ ตี ง้ั ตน้ ของโปรแกรม (Default) และเปน็ วธิ กี ารทเี่ หมาะสำ� หรบั ขอ้ มลู ทม่ี รี ะดบั การวดั แบบอนั ตรภาคชน้ั และแบบเรยี งอนั ดบั โดยท่ี การแจกแจงของขอ้ มูลเป็นแบบปกติหรือไมป่ กติเพยี งเลก็ น้อย (Schumacker & Lomax, 2010) เม่ือโปรแกรมตรวจสอบความเป็นไปได้ค่าเดียวแล้ว ปรากฏว่า อยู่ในภาวะระบุเกินพอดี (Over-identified model) โปรแกรมจะท�ำการประมาณค่าพารามิเตอร์ทุกค่าในโมเดล แล้วน�ำค่า พารามิเตอร์เหล่านั้นค�ำนวณกลับเป็นค่าความแปรปรวน-ความแปรปรวนร่วมของตัวแปรสังเกต ได้ในโมเดล แล้วแสดงในรูปของเมทริกซ์ เรียกเมทริกซ์น้ีว่า เมทริกซ์ความแปรปรวน-ความ

Research in Educational Administration • 469 แปรปรวนร่วมจากการประมาณคา่ ตามโมเดล (Computed covariance matrix) (สุภมาส อังศโุ ชติ และคณะ, 2557) ข้นั ตอนที่ 4 การทดสอบความตรงของโมเดล (Model validation testing) เปน็ การตรวจ สอบความสอดคล้องกลมกลืน (Goodness of fit test) ของโมเดลการวิจัยกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยโปรแกรมจะน�ำเมทริกซ์ความแปรปรวน-ความแปรปรวนร่วมจากการประมาณค่าตามโมเดล (Computed covariance matrix: Σ) ลบเมทริกซค์ วามแปรปรวน-ความแปรปรวนร่วมของข้อมูล ดิบ (Sample covariance matrix: S) และเรยี กเมทริกซผ์ ลต่างนว้ี า่ เมทริกซ์สว่ นท่ีเหลือ (Residual covariance matrix) จากน้ัน โปรแกรมจะใช้สถิติทดสอบ คือ สถิติทดสอบไค-สแควร์ (Chi-Square: χ2), ไค-สแควรส์ มั พัทธ์ ( χ2/df), CFI (Comparative Fit Index), GFI (Goodness of Fit Index), AGFI (Adjusted Goodness of Fit Index), RMSEA (Root Mean Square Error of Approximation), และ SRMR (Standardized Root Mean Square Residual) เพ่อื ตรวจสอบว่า เมทริกซค์ วามแปรปรวน- ความแปรปรวนร่วมจากการประมาณค่าตามโมเดล (Computed covariance matrix) ต่างจาก เมทรกิ ซค์ วามแปรปรวน-ความแปรปรวนรว่ มของขอ้ มูลดบิ (Sample covariance matrix) โดยท่ี ผลการทดสอบจะตอ้ งยอมรบั สมมตฐิ านหลกั (H0) ตามที่กำ� หนด ดังน้ี H0: โมเดลตามสมมติฐานสอดคลอ้ งกบั ข้อมูลเชิงประจักษ์ H1: โมเดลตามสมมตฐิ านไมส่ อดคลอ้ งกบั ข้อมลู เชงิ ประจกั ษ์ หรอื H0: เมทรกิ ซ ์ Σ = เมทรกิ ซ์ S H1: เมทริกซ ์ Σ ≠ เมทริกซ์ S ส�ำหรับสถิติหรือดัชนีและเกณฑ์ท่ีนิยมใช้ในการพิจารณาความสอดคล้องกลมกลืนของ โมเดลกับข้อมูลเชิงประจักษ์นั้น มีหลายประการ ดังแสดงในตารางท่ี 14.9 (สุภมาส อังศุโชติ, 2557, หนา้ 29) ตารางที่ 14.9 ดัชนีและเกณฑ์ท่ีใช้ในการพิจารณาความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลกับ ขอ้ มูลเชิงประจกั ษ์ สถติ ิ/ดัชนีความกลมกลนื เกณฑ์ อา้ งองิ χ2-test ไมม่ นี ยั ส�ำคัญ (p > 0.05) Diamantopoulos and χ2/df Siguaw (2000, p. 83) < 2.00 สอดคล้องกลมกลืนดี Bollen, (1989, p. 278) ; 2.00 – 5.00 สอดคล้องกลมกลนื พอใชไ้ ด้ Diamantopoulos and Siguaw (2000, p. 98)

470 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา CFI (Comparative Fit Index) ≥ 0.95 สอดคล้องกลมกลนื ดี Kaplan (2000, p. 110) 0.90 – 0.94 สอดคล้องกลมกลืนพอใช้ได้ Diamantopoulos and Siguaw (2000, p. 88) GFI (Goodness of Fit Index) ≥ 0.95 สอดคล้องกลมกลนื ดี Diamantopoulos and 0.90 – 0.94 สอดคล้องกลมกลืนพอใช้ได้ Siguaw (2000, p. 87) AGFI (Adjusted Goodness ≥ 0.95 สอดคลอ้ งกลมกลืนดี Diamantopoulos and of Fit Index) 0.90 – 0.94 สอดคลอ้ งกลมกลืนพอใชไ้ ด้ Siguaw (2000, p. 87) RMSEA (Root Mean Square < 0.05 สอดคล้องกลมกลนื ดี Diamantopoulos and Error of Approximation) 0.05 – 0.08 สอดคล้องกลมกลืนพอใชไ้ ด้ Siguaw (2000, p. 85) 0.09 – 0.10 สอดคลอ้ งกลมกลนื ไม่ค่อยดี > 0.10 สอดคลอ้ งกลมกลืนไมด่ ี SRMR (Standardized Root < 0.05 Diamantopoulos and Mean Square Residual) Siguaw (2000, p. 88) < 0.08 Hu and Bentler (1999) Largest/Smallest Standard- | 2.00 | นงลักษณ์ วริ ัชชัย ized Residual (2542: 55) Q-Plot ชันกว่าเสน้ ในแนวทแยง Jöreskog and Sörbom (Slope > 1.00) (1996: 110-111) นงลกั ษณ์ วริ ชั ชยั (2542: 57) ขนั้ ตอนที่ 5 การปรบั โมเดล (Model modification) เปน็ ขน้ั ตอนทกี่ ระทำ� กต็ อ่ เมอื่ โมเดล การวจิ ยั กบั ขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษย์ งั ไมส่ อดคลอ้ งกลมกลนื กนั ( χ2 มนี ยั สำ� คญั )ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งปรบั โมเดล แลว้ ทำ� การวเิ คราะหใ์ หมจ่ นกวา่ โมเดลการวจิ ยั กบั ขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษจ์ ะสอดคลอ้ งกลมกลนื กนั จาก น้ันจึงจะนำ� คา่ พารามเิ ตอร์ตา่ ง ๆ ในโมเดลไปเขยี นรายรานได้ ในการปรับโมเดล จะพจิ ารณาค่า Modification Index หรือ MI เพราะคา่ ของ MI จะ แสดงให้ทราบอยา่ งคร่าว ๆ วา่ หากมกี ารเพิ่มพารามิเตอร์ในโมเดลและทำ� การวิเคราะหใ์ หม่ ค่า χ2 จะลดลงเท่ากบั ค่า MI และควรเลอื กปรบั MI ท่ีมีคา่ มากท่สี ดุ แต่ผวู้ จิ ยั ต้องมเี หตผุ ลในการปรบั และสามารถอธบิ ายไดว้ ่า ทำ� ไมจึงตอ้ งปรับพารามิเตอร์นั้น โดยคา่ MI ทม่ี ากกว่า 3.84 ถือวา่ มาก เน่ืองจาก 3.84 เปน็ ค่าวิกฤตของไค-สแควร์ ท่ี df = 1 α = .05 (Diamantopoulos and Siguaw, 2000, p. 108) สำ� หรับหลักในการปรบั โมเดล มดี ังนี้ (สภุ มาส อังศโุ ชติ และคณะ, 2557) 1. ตอ้ งมเี หตผุ ลเชิงทฤษฎีและสามารถอธบิ ายได้ว่า ทำ� ไมจึงตอ้ งปรบั โมเดล 2. ปรบั ทลี ะ 1 พารามเิ ตอร์ แลว้ วิเคราะห์ใหม่ 3. พิจารณาร่วมกับ EPC (Expected parameter change) ซ่ึงเป็นค่าที่บอกขนาด และทิศทางของพารามิเตอร์ท่ีก�ำลังจะปรับ โดยพารามิเตอร์ท่ีควรจะปรับ ควรมีค่า EPC สูง ๆ และมี MI สูง ๆ ดว้ ย

Research in Educational Administration • 471 อย่างไรก็ตาม ในการปรับโมเดล หากพิจารณาค่า MI เพียงอย่างเดียว อาจท�ำให้เกิด ความผดิ พลาดได้ เพราะจากการศึกษา พบว่า คา่ MI มกั จะไมค่ น้ หาโมเดลท่ีถกู ต้องได้ (Hox and Bechger, 2000) นอกจากนี้ ยังมีดัชนีที่สามารถใช้พิจารณาในการปรับโมเดลโดยพิจารณาจากเมทริกซ์ ความคลาดเคลอื่ นมาตรฐาน (Standardized residual) คา่ ความคลาดเคลอื่ นมาตรฐานทมี่ ากกวา่ 2.58 เปน็ พารามเิ ตอรท์ คี่ วรพจิ ารณาเพม่ิ พารามเิ ตอรน์ น้ั แลว้ วเิ คราะหใ์ หม่ แตถ่ า้ มคี า่ นอ้ ยกวา่ -2.25 ควร พจิ ารณาตดั เสน้ นน้ั ออกจากโมเดลแลว้ วเิ คราะหใ์ หม่ (Diamantopoulos and Siguaw, 2000, p. 108) 14.5 กรณตี วั อย่างงานวิจัยเพือ่ พัฒนาโมเดลสมการโครงสรา้ ง ชื่อเรื่องที่วจิ ัย: โมเดลสมการโครงสรา้ งภาวะผนู้ ำ� พลงั บวกของผบู้ รหิ ารโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษาสงั กดั คณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน ชอื่ ผูว้ จิ ยั : ปณุ ยวีร์ อวยชยั สวสั ด์ิ ปที ่ีวิจยั : 2561 วตั ถุประสงค์การวิจยั การวิจัยเร่ืองโมเดลสมการโครงสร้างภาวะผู้น�ำพลังบวกของผู้บริหารโรงเรียน มธั ยมศกึ ษา สงั กัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน คร้งั น้ี มีวัตถุประสงค์ ดงั น้ี 1. เพอื่ ศกึ ษาและเปรยี บเทยี บระดบั ภาวะผนู้ ำ� พลงั บวกของผบู้ รหิ ารโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา สงั กดั สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานจำ� แนกตามเพศอายุประสบการณใ์ นการปฏบิ ตั ิ ราชการ และประสบการณ์การเปน็ ผูบ้ รหิ าร 2. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบระดับปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อภาวะผู้น�ำพลังบวกของ ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน 4 ปัจจัย คือ ปัจจัยปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ปัจจัยความร่วมมือของคนในองค์การ ปัจจัยประสบการณ์ของ ภาวะผู้น�ำ และปัจจัยทักษะภาวะผู้น�ำ จ�ำแนกตามเพศ อายุ ประสบการณ์ในการปฏิบัติราชการ และประสบการณก์ ารเป็นผู้บรหิ าร 3. เพอื่ ตรวจสอบความสอดคลอ้ งกลมกลนื ของโมเดลสมการโครงสรา้ งภาวะผนู้ ำ� พลงั บวกส�ำหรับผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ พัฒนาขึน้ กับขอ้ มูลเชิงประจกั ษ์ 4 . เพ่ือศึกษาน�้ำหนักอิทธิพลทางตรง อิทธิพลทางอ้อม และอิทธิพลรวมของปัจจัย เชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อภาวะผู้น�ำพลังบวกของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดส�ำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน

472 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา วิธีด�ำเนินการวิจัย ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง ประชากรทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั คอื ผบู้ รหิ ารโรงเรยี นมธั ยมทเี่ ปดิ การสอนในระดบั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 1 ถงึ 6 สงั กดั ส�ำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน ปีการศกึ ษา 2557 จ�ำนวน 2,358 คน (ศูนย์ปฏิบัติการ สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2557) โดยสามารถจ�ำแนก ตามขนาดโรงเรยี น ตามเกณฑก์ ารบรหิ ารจดั การสถานศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน ดงั นี้ 1) โรงเรยี นขนาดเลก็ ท่ีมีจ�ำนวนนกั เรยี นไม่เกนิ 120 คน มจี �ำนวนผู้บริหารรวม 85 คน 2) โรงเรยี นขนาดกลางทมี่ ีจำ� นวน นกั เรยี นตงั้ แต่ 121-300 คน มจี ำ� นวนผบู้ รหิ ารรวม 547 คน 3) โรงเรยี นขนาดใหญท่ ม่ี จี ำ� นวนนกั เรยี น ตั้งแต่ 301-499 คน มีจ�ำนวนผู้บริหารรวม 370 คน และ 4) โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษที่มีจ�ำนวน นกั เรียนตง้ั แต่ 500 คนขนึ้ ไป มจี �ำนวนผู้บริหารรวม 1,356 คน ส�ำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ก�ำหนดขึ้นจากประชากรดังกล่าวข้างต้น ได้จ�ำนวน 880 คน โดยสามารถจ�ำแนกตามขนาดโรงเรียนตามเกณฑ์การบริหารจัดการสถาน ศึกษาขั้นพ้ืนฐานได้กลุ่มตัวอย่าง ดังน้ี 1) โรงเรียนขนาดเล็ก มีจ�ำนวน 34 คน 2) โรงเรียนขนาด กลาง มีจำ� นวน 195 คน 3) โรงเรียนขนาดใหญ่ มจี �ำนวน 139 คน และ 4) โรงเรยี นขนาดใหญพ่ เิ ศษ มีจ�ำนวน 512 คน ซ่ึงการก�ำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างดังกล่าว ผู้วิจัยได้ค�ำนึงถึงลักษณะข้อมูล การวิจัยที่จะต้องใช้สถิติวิเคราะห์ข้ันสูง คือ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory factor analysis) และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural equation model: SEM) จึงจ�ำเปน็ ต้องกำ� หนดขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ งให้สอดคล้องกบั การใช้สถิติ เคร่ืองมอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ เป็นแบบสอบถามระดับพฤติกรรม/การปฏิบัติเกี่ยวกับ ภาวะผนู้ ำ� พลงั บวก แบบมาตราสว่ นประมาณคา่ ชนดิ 5 ตวั เลอื กของลเิ คริ ท์ (LikertScale)และระดบั การรบั รู้เกีย่ วกับปจั จัยทม่ี อี ทิ ธิพลตอ่ ภาวะผนู้ �ำพลงั บวก ใช้สอบถามผ้บู ริหารโรงเรยี นมัธยมศึกษา สงั กัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน แบ่งออกเป็น 3 ตอน รายละเอยี ดมดี งั นี้ ตอนท่ี 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการปฏิบัติราชการ และประสบการณ์การบริหาร ลักษณะ เครื่องมือเปน็ แบบตรวจสอบรายการ ตอนท่ี 2 แบบสอบถามวดั ระดับพฤติกรรม/การปฏิบัติเกี่ยวกับภาวะผนู้ ำ� พลงั บวกตาม การแสดงออกของตนเอง ลักษณะเคร่ืองมือเป็นมาตรวัดแบบประเมินค่า (Rating scales) โดยครอบคลุมเน้ือหาเก่ียวกับการใช้หลักการด้านสุนทรียสาธก การสร้างแรงบันดาลใจ และ การยึดม่ันในสง่ิ ทีถ่ ูกตอ้ งชอบธรรม จำ� นวน 10 ขอ้ ตอนที่ 3 แบบสอบถามวดั ระดบั การรับรเู้ กย่ี วกบั ปัจจยั เชงิ สาเหตทุ ม่ี อี ิทธพิ ลตอ่ ภาวะ ผู้น�ำพลังบวกตามการรับรู้ของตนเอง ลักษณะเครื่องมือเป็นมาตรวัดแบบประเมินค่า (Rating scales) ได้แก่

Research in Educational Administration • 473 1. ด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคม โดยครอบคลุมเน้ือหาเก่ียวกับ ความไว้วางใจ วตั ถปุ ระสงค์ทมี่ ีร่วมกัน และแรงจงู ใจทางสังคม จำ� นวน 13 ขอ้ 2. ด้านความร่วมมือของคนในองค์กร โดยครอบคลุมเนื้อหาเก่ียวกับ การสร้าง มาตรฐานการปฏิบตั งิ าน การใชท้ รพั ยากรรว่ มกนั และการกำ� หนดอำ� นาจหนา้ ที่ จ�ำนวน 15 ขอ้ 3. ดา้ นประสบการณภ์ าวะผนู้ ำ� โดยครอบคลมุ เนอื้ หาเกย่ี วกบั การพฒั นาทกั ษะความ รู้ การสรา้ งเชาวนป์ ัญญา ความช�ำนาญงาน และการมีวิสัยทัศน์ จำ� นวน 11 ข้อ 4. ด้านทักษะภาวะผู้น�ำ โดยครอบคลุมเน้ือหาเก่ียวกับ การพัฒนาตนเอง ทักษะใน การติดตอ่ ส่อื สาร และการฝึกปฏิบตั ิ จ�ำนวน 10 ขอ้ การวิเคราะหข์ อ้ มลู การวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดกระท�ำกับข้อมูลด้วย โปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ ำ� เรจ็ รปู และโปรแกรมลสิ เรลเพอื่ การวเิ คราะหโ์ มเดลสมการโครงสรา้ งหรอื ความสมั พนั ธโ์ ครงสรา้ งเชงิ เสน้ (Linear structural relationship: LISREL) เพอื่ หาคา่ สถติ ติ า่ ง ๆ ดงั นี้ 1. สถติ เิ ชงิ บรรยาย (Descriptive statistics) 1.1 การแจกแจงความถี่และค่าร้อยละ เป็นสถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเก่ียวกับ สถานภาพของผ้ตู อบแบบสอบถามทเ่ี ปน็ กลมุ่ ตัวอยา่ ง 1.2 การวิเคราะห์คา่ เฉลี่ย คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน ค่าพิสัย คา่ ความเบ้ และค่าความโดง่ เปน็ สถติ ทิ ใี่ ชใ้ นการวเิ คราะหร์ ะดบั การรบั รปู้ จั จยั เชงิ สาเหตุ ไดแ้ ก่ ปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม ความรว่ ม มือของคนในองค์การ ประสบการณ์ภาวะผู้น�ำ ทักษะภาวะผู้น�ำ และการวิเคราะห์ระดับการรับรู้ ภาวะผนู้ �ำพลงั บวก 2. สถิตเิ ชิงอ้างองิ (Inferential statistics) 2.1 การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) เป็นสถิติท่ีใช้ในการหาความสัมพันธ์ของตัวแปรต้ังแต่ 2 ตัว ข้ึนไป เพื่อศึกษาค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ภายในปัจจัยเชิงสาเหตุแต่ละตัวแปร และระหว่าง ปจั จยั เชงิ สาเหตกุ ับภาวะผนู้ �ำพลังบวก 2.2 การวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor analysis) เพื่อวิเคราะห์ความตรงเชิง โครงสรา้ ง (Construct validity) โดยใชว้ ธิ กี ารวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบเชงิ ยนื ยนั (Confirmatory factor analysis) ท้ังนี้ เพ่ือศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลและภาวะผู้น�ำพลังบวก ที่ตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ เปน็ จรงิ ตามขอ้ มูลเชิงประจักษ์หรอื ไม่ 2.3 การวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล (Path analysis) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนาโมเดล ความสมั พนั ธเ์ ชงิ สาเหตโุ ดยศกึ ษาปจั จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลทางตรงและอทิ ธพิ ลทางออ้ ม จากนนั้ วเิ คราะห์ ตรวจสอบความตรงของทฤษฎีหรือทดสอบความสอดคล้องระหว่างโมเดลท่ีพัฒนาข้ึนกับ ข้อมูลเชิงประจักษ์ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเป็นสถิติพรรณนา สถิติอ้างอิง โดยวิเคราะห์ด้วย โปรแกรมสำ� เรจ็ รปู ทางสถติ ิและโปรแกรมลสิ เรล

474 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา ผลการวิจยั สรปุ ได้ดังน้ี 1. ระดับภาวะผู้น�ำพลังบวกของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดส�ำนักงานคณะ กรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน มคี ่าเฉลีย่ อย่ใู นระดับมาก 2. ระดับปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อภาวะผู้น�ำพลังบวกของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานของตัวแปรปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ความร่วม มือของคนในองค์การ ประสบการณ์ภาวะผู้น�ำ และทักษะภาวะผู้น�ำ มีค่าเฉล่ียอยู่ในระดับมาก ถงึ มากท่ีสดุ อยา่ งมนี ัยสำ� คัญทางสถติ ิทร่ี ะดบั 0.05 3. โมเดลสมการโครงสร้างภาวะผู้น�ำพลังบวกของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สงั กดั สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน ทผี่ วู้ ิจยั พฒั นาขนึ้ มคี วามสอดคลอ้ งกับข้อมูล เชิงประจักษ์ ( c 2 = 49.45, df = 40, GIF = 0.99, AGFI = 0.98, CFI = 1.00, SRMR = 0.02, RMSEA = 0.02, CN = 1103.64) 4. ปจั จยั ปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คมมนี ำ�้ หนกั อทิ ธพิ ลรวมสงู สดุ ตอ่ ภาวะผนู้ ำ� พลงั บวกเทา่ กบั 0.54 มีนำ้� หนกั อิทธิพลทางตรง และอิทธพิ ลทางออ้ มเท่ากบั 0.78,-0.24 ตามลำ� ดบั รองลงมา คอื ปัจจัยทักษะภาวะผู้น�ำมีน้�ำหนักอิทธิพลรวมเท่ากับ 0.47 มีน้�ำหนักอิทธิพลทางตรง และอิทธิพล ทางอ้อม 0.60,-0.13 ตามล�ำดับ ปัจจัยประสบการณ์ภาวะผู้น�ำมีน้�ำหนักอิทธิพลรวมและอิทธิพล ทางตรงเท่ากับ 0.26,-0.12 และล�ำดับสุดท้าย คือ ปัจจัยความร่วมมือของคนในองค์การมีน้�ำหนัก อิทธิพลรวมและอิทธิพลทางตรงเท่ากับ -0.36 โดยสัดส่วนความเช่ือถือได้ของปัจจัยเชิงสาเหตุที่ อธิบายภาวะผู้น�ำพลังบวกของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการ ศึกษาข้นั พ้นื ฐานไดร้ อ้ ยละ 68 สรปุ ท้ายบท การวิจยั เพ่ือพฒั นาโมเดลสมการโครงสรา้ งที่นำ� เสนอในบทที่ 14 น้ี ประกอบด้วยสาระ ส�ำคัญที่ผู้วิจัยหรือนักศึกษาในทางการบริหารการศึกษาควรศึกษาและท�ำความเข้าใจให้ละเอียด และชัดเจน โดยอาจสรปุ สาระสำ� คัญดังกล่าวได้ ดงั น้ี โมเดลสมการโครงสร้าง หรือ SEM เป็นเทคนิคทางสถิติที่นิยมใช้ในการทดสอบ ทฤษฎี (Theory test) หรือสร้างทฤษฎี (Theory building) และประมาณค่า (Estimate) ความ สัมพันธ์เชิงเหตุผล (Causal relationships) มีความส�ำคัญหรือมีความเหมาะสมในการวิเคราะห์ ขอ้ มลู ในโมเดลการวจิ ยั ยุคใหมซ่ ่งึ มลี กั ษณะที่แตกต่างจากโมเดลการวจิ ยั ยคุ กอ่ น โมเดล SEM มีสัญลักษณ์ต่าง ๆ จ�ำนวนมาก ดังนั้น ในการวิเคราะห์ด้วย SEM ผู้วิจัย ควรศกึ ษาทำ� ความเข้าใจเกย่ี วกับสญั ลักษณต์ ่าง ๆ ให้เขา้ ใจอยา่ งชัดเจน ตัวแปรใน SEM ประกอบดว้ ยตัวแปร 2 ประเภท ได้แก่ ตวั แปรแฝง (Latent variable) และตัวแปรสงั เกตได้ (Observed variable) โมเดล SEM ยอมให้มีความคลาดเคลื่อนในการวัดตัวแปร จึงมีข้อตกลงน้อยและ มคี วามเป็นไปไดท้ ่ีขอ้ มลู จะเปน็ ไปตามขอ้ ตกลงเบ้ืองต้นมากกว่าสถติ ิวเิ คราะหท์ ว่ั ไป

Research in Educational Administration • 475 ความคลาดเคลอื่ นในการวดั ของตวั แปรสงั เกตได้ X ใชส้ ญั ลักษณ์ d ความคลาดเคลอ่ื น ในการวัดของตัวแปรสังเกตได้ Y ใช้สัญลักษณ์ e ส่วนความคลาดเคล่ือนในการพยากรณ์ตัวแปร แฝง E ใชส้ ัญลกั ษณ์ z โมเดล SEM มีตัวแปรแฝงภายนอก ตัวแปรแฝงภายใน ตัวแปรสังเกตได้ภายนอก และตัวแปรสังเกตได้ภายใน และมีความคลาดเคลื่อนในการวดั ตัวแปรดังกล่าว โมเดล SEM ประกอบด้วยส่วนประกอบท่ีส�ำคัญสองส่วน ได้แก่ โมเดลโครงสร้าง (Structural model) และโมเดลการวดั (Measurement model) ในโปรแกรม LISREL คา่ พารามเิ ตอร์ต่าง ๆ ในโมเดล จะแสดงในรูปเมทรกิ ซ์ (ตารางที่ แสดงคา่ พารามเิ ตอร์เป็นตัวเลขตา่ ง ๆ ในโมเดล) โดยมชี ่ือเมทริกซ์ ไดแ้ ก่ Lambda-X, Lambda-Y, Gamma, Beta, Phi, Psi, Theta-Delta, Theta-Epsilon และ Theta-Delta- Epsilon การสร้างโมเดล SEM หรอื โมเดลสมการโครงสร้าง ประกอบดว้ ยตัวแปรแฝง (Latent variables) ซงึ่ เปน็ ตวั แปรทผ่ี วู้ จิ ยั ไมส่ ามารถวดั ไดโ้ ดยตรง แตจ่ ะประมาณคา่ ไดจ้ ากตวั แปรสงั เกตได้ (Observed variables) ของแต่ละตัวแปรแฝง ดังนั้น ในการสร้างโมเดล SEM หรือโมเดล สมการโครงสร้าง จึงมีงานส�ำคัญที่ผู้วิจัยจะต้องด�ำเนินการสองช่วง ได้แก่ 1) การศึกษาทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งเพอ่ื สรา้ งโมเดล SEM ทเ่ี ปน็ โมเดลการวจิ ยั หรอื โมเดลสมมตฐิ าน โดยผลลพั ธ์ จะได้โมเดลสมมติฐานที่ประกอบด้วยโมเดลโครงสร้างและโมเดลการวัด และ 2) การวิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้สถิติวิเคราะห์โมเดล SEM เพื่อตอบค�ำถามการวิจัยว่า โมเดล SEM ท่ีสร้างข้ึนโดย มีทฤษฎีและงานวิจัยสนับสนุนน้ัน มคี วามสอดคลอ้ งกับข้อมูลเชิงประจักษ์หรือไม่ การศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยทเี่ ก่ียวขอ้ งกับงานวจิ ยั ท่เี กี่ยวขอ้ งกบั เร่ือง โมเดล สมการโครงสรา้ ง นน้ั มีข้นั ตอนสำ� คญั ท่ีผู้วจิ ยั ควรศึกษาตามลำ� ดบั ได้แก่ 1) การศกึ ษาแนวคิดและ ทฤษฎีของตัวแปรแฝงที่เป็นชื่อเรื่องที่ศึกษา 2) การศึกษาตัวบ่งช้ีของตัวแปรแฝงที่เป็นช่ือเร่ืองที่ ศกึ ษา 3) การศกึ ษานยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารและพฤตกิ รรมบง่ ชข้ี องตวั บง่ ชว้ี ดั ตวั แปรแฝงทเี่ ปน็ ชอื่ เรอ่ื ง ที่ศึกษา 4) การศึกษาปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อตัวแปรแฝงท่ีเป็นชื่อเร่ืองที่ศึกษาและเส้นทางอิทธิพล 5) การศึกษาตัวบ่งช้ีในแต่ละปัจจัย 6) การศึกษานิยามเชิงปฏิบัติการและพฤติกรรมบ่งช้ีของตัว บ่งช้ีวัดตัวแปรแฝงท่ีเป็นปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อตัวแปรแฝงที่เป็นช่ือเรื่องที่ศึกษา และ 7) การสร้าง โมเดลสมมติฐานที่ประกอบด้วยตัวแปรแฝงและตัวแปรสังเกตได้ทุกตัวตามเส้นทางอิทธิพล ของตัวแปรแฝงท่ีกำ� หนดได้ การก�ำหนดตัวอย่าง เกณฑ์การก�ำหนดขนาดตัวอย่างในงานวิจัยท่ีประยุกต์ใช้โมเดล สมการโครงสร้าง (SEM) ในระยะเวลาที่ผ่านมามีอยู่หลายประการ รวมท้ังเกณฑ์ท่ีเรียกว่า กฎอย่างง่าย (Rule of thumb) ดังนี้คือ 1) ก�ำหนดขนาดตัวอย่างข้ันต่�ำ คือ 10 เท่า ของของ ตวั แปรสงั เกตได้ หรอื 2) กำ� หนดขนาดตวั อยา่ งขนั้ ตำ�่ คอื ³ 5 หรอื ³ 10 ของจำ� นวนพารามเิ ตอร์ ทีต่ ้องประมาณคา่ ในปจั จบุ นั การก�ำหนดขนาดตัวอย่างส�ำหรบั SEM นยิ มใชว้ ิธกี ารกำ� หนดโดยใช้กฎเกณฑ์ ทวั่ ไป (General Rule) ตามแนวทางท่ี Hair, J. et al. (2010) ได้เสนอไวส้ องวธิ ี คือ วธิ ีแรก ก�ำหนด ขนาดตัวอย่างส�ำหรับ SEM ภายใตเ้ งอื่ นไขของการสมุ่ สองประการ ไดแ้ ก่ 1) ตวั อย่างควรได้มาดว้ ย

476 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา การส่มุ และ 2) การส่มุ ตัวอย่างแบบไม่เปน็ สัดสว่ น ซ่งึ ภายใต้เงอื่ นไขดังกลา่ ว การกำ� หนดขนาด ตัวอย่างส�ำหรับการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างต้องไม่ต่�ำกว่า 100 ตัวอย่าง และมีสัดส่วน จ�ำนวนเท่าของขนาดตัวอย่างต่อจ�ำนวนพารามิเตอร์ที่ต้องการประมาณค่าเป็น 10-20 ตัวอย่าง ต่อ 1 พารามิเตอร์ และวิธีท่ีสอง ก�ำหนดขนาดตัวอย่างภายใต้เงื่อนไขจ�ำนวนตัวแปรแฝง ตวั แปรสงั เกตได้ และคา่ ความรว่ มกนั (Communality) ซงึ่ ภายใตเ้ งอ่ื นไขในวธิ ที ส่ี องน้ี การกำ� หนด ขนาดตัวอย่างส�ำหรับการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างอย่างต่�ำสุด คือ 100 150 300 และ 500 ตามล�ำดับ ข้ันตอนการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิค SEM มี 5 ข้ันตอน ประกอบด้วย 1) การ ก�ำหนดข้อมูลเฉพาะของโมเดล (Model specification) 2) ระบุความเป็นไปได้ค่าเดียวของโมเดล (Model identification) 3) การประมาณคา่ พารามเิ ตอร์ของโมเดล (Model parameter estimation) 4) การทดสอบความตรงของโมเดล (Model validation testing) และ 5) การปรบั โมเดล (Model modification)

บทที่ การวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ 15 กบั การวจิ ยั ทางพระพทุ ธศาสนา RESEARCH IN SCIENCE AND BUDDHISM การวิจัยทางวิทยาศาสตร์กับการวิจัยทางพระพุทธศาสนา เป็นการวิจัยท่ีมีจุดมุ่งเน้น ต่างกันแต่มีความสอดคล้องกันท้ังด้านเป้าหมายท่ีต้องการแก้ปัญหาและด้านระเบียบวิธีการหรือ กระบวนการวิจัย กล่าวคือ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นการวิจัยท่ีมุ่งเน้นการแก้ปัญหาทางด้าน กายภาพหรือด้านวัตถุโดยอาศัยการประยุกต์ใช้ระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ส่วนการวิจัยทาง พระพุทธศาสนา เป็นการวิจัยท่ีมุ่งเน้นการแก้ปัญหาทางด้านจิตใจหรือนามธรรมโดยอาศัยการ ประยุกต์ใชก้ ระบวนการตามหลักอริยสจั ส่ี ในบทน้ี จะน�ำเสนอการวิจัยทางวิทยาศาสตร์กับการวิจัยทางพระพุทธศาสนา ซง่ึ ประกอบดว้ ยเน้อื หาสาระทสี่ ำ� คญั 7 เรอื่ ง ได้แก่ 1) การวจิ ัยของพระพุทธเจา้ กบั นกั วทิ ยาศาสตร์ 2) การวิจัยทางพระพุทธศาสนา 3) กระบวนการวิจัยทางพระพุทธศาสนากับวิธีการวิจัยทาง วทิ ยาศาสตร์ 4) การประยกุ ตใ์ ชอ้ รยิ สจั สเี่ ปน็ ตน้ แบบของกระบวนการวจิ ยั ทวั่ ไป 5) กจิ ในอรยิ สจั สี่ 6) ทกุ ข์ในอริยสัจสี่ และ 7) กระบวนการเกิดทุกขใ์ นชวี ิตประจำ� วัน โดยมรี ายละเอยี ด ดงั ตอ่ ไปน้ี 15.1 การวิจยั ของพระพุทธเจ้ากับนกั วิทยาศาสตร์ หากมคี ำ� ถามวา่ การวจิ ยั เปน็ การศกึ ษาคน้ ควา้ เพอื่ พฒั นาอะไรหรอื สงิ่ ใดในโลกนี้อาจตอบ ไดว้ า่ เปน็ การศกึ ษาคน้ ควา้ สองดา้ น คอื การวจิ ยั เปน็ การศกึ ษาคน้ ควา้ เพอ่ื พฒั นาดา้ นวตั ถแุ ละพฒั นา ด้านจิตใจ หรือเป็นการศึกษาค้นคว้าเพ่ือพัฒนาสิ่งท่ีเป็นรูปธรรมและพัฒนาสิ่งท่ีเป็นนามธรรม นกั วทิ ยาศาสตรข์ องโลกสว่ นใหญเ่ นน้ การศกึ ษาคน้ ควา้ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื พฒั นาทางดา้ นวตั ถุ แต่พระพุทธเจ้าทรงเน้นการศึกษาค้นคว้าโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทางด้านจิตใจให้สะอาด บรสิ ทุ ธ์ิ อกี อยา่ งหนงึ่ อาจกลา่ วไดว้ า่ นกั วทิ ยาศาสตรข์ องโลกสว่ นใหญเ่ นน้ การวจิ ยั หรอื การศกึ ษา ค้นคว้าเพ่ือพัฒนานวัตกรรมท่ีเป็นรูปธรรมจับต้องได้และน�ำนวัตกรรมท่ีได้น้ันไปใช้ส�ำหรับการ แก้ปัญหาทางด้านวัตถุธรรมของโลก สว่ นพระพทุ ธเจา้ ทรงเนน้ การวจิ ัยหรอื การศึกษาคน้ คว้าเพื่อ พฒั นานวตั กรรมทเี่ ปน็ รปู ธรรมจบั ตอ้ งไดแ้ ละนำ� นวตั กรรมทไี่ ดน้ นั้ ไปใชส้ ำ� หรบั การแกป้ ญั หาทาง ด้านจติ ใจซ่งึ เปน็ นามธรรมของมนษุ ยใ์ นโลก อย่างไรกต็ าม ไมว่ ่าพระพทุ ธเจ้าหรอื นกั วทิ ยาศาสตร์ กไ็ มไ่ ดล้ ะเลยการศกึ ษาคน้ ควา้ อกี ดา้ นหนง่ึ ทไี่ มไ่ ดเ้ นน้ ไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นจติ ใจทนี่ กั วทิ ยาศาสตรไ์ มไ่ ด้ เนน้ หรือไมว่ ่าจะเป็นดา้ นวตั ถทุ ีพ่ ระพทุ ธเจา้ มไิ ด้ทรงม่งุ เนน้ การศึกษาค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ อย่างเช่น ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นั้น ได้ ก่อให้เกิดผลงานและผลกระทบต่อโลกมากมาย โดยอาจสรุปได้ ดังน้ี (Coleman,1959; Dmc.tv., ม.ป.ป.)

478 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา ผลงานนวัตกรรมที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ที่เรียกกันว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ของนักวิทยาศาสตร์ท่ีช่ือ ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นับว่าเป็นผลงานท่ี น่าเกรงขาม เพราะไม่เพียงแต่สะท้อนถึงภูมิปัญญาที่เหนือมนุษย์ แต่ยังสะท้อนถึงความละเอียด อ่อนในการค�ำนวณทางคณิตศาสตร์ หลักการค�ำนวณของเขา สามารถน�ำไปพิสูจน์กฎทางฟิสิกส์ อืน่ ๆ ได้อยา่ งสอดคลอ้ ง ไอนส์ ไตน์ เปน็ นักวจิ ัยทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ เขาคดิ คน้ ทฤษฎสี มั พทั ธภาพ และทฤษฎที ่ี ส�ำคญั อืน่ ๆ อกี มากมายซง่ึ มีผลกระทบต่อการเปลีย่ นแปลงโลกไปเรยี บรอ้ ยแลว้ ทฤษฎีของไอน์สไตน์ ได้ก่อให้เกิดการปฏิวัติเทคโนโลยี มีการพัฒนาด้านคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร โทรคมนาคม ระบบดาวเทียม เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เคร่ืองเล่น DVD ระบบ GPS ไมโครเวฟ แสงเลเซอร์ จอภาพโทรทัศน์ เครื่องถา่ ยเอกสาร โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ หรือใครทส่ี ายตา ส้ันแล้วไปท�ำเลสิก (Lasik) ก็ต้องนึกขอบคุณไอน์สไตน์เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่าน้ีล้วนแล้วพัฒนา มาจากพน้ื ฐานทางทฤษฎขี องไอนส์ ไตนท์ ัง้ สนิ้ นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าโลกไม่มีไอน์สไตน์มาเกิด ความรู้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และส่ิงประดิษฐ์คิดค้นทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เห็นกันอยู่ อาจต้องใช้เวลาอีกหลายศตวรรษกว่าจะประสบความส�ำเร็จเช่นน้ี หรืออาจจะไม่ประสบความ สำ� เรจ็ เลยก็ได้ ในมิติด้านพระพุทธศาสนา แม้ว่าไอน์สไตน์จะไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่การ ค้นพบสัจธรรมบางอย่างของจักรวาลผ่านจินตนาการและทฤษฎีทางฟิสิกส์ของเขา เข้าใกล้และ เข้าถึงความจริงบางด้านของธรรมชาติ ซ่ึงพระพุทธองค์ทรงค้นพบและประกาศมาก่อนหน้า นับพันปี และเมื่อภายหลังไอน์สไตน์ได้ศึกษาเร่ืองราวของพระพุทธศาสนาแล้ว ไอน์สไตน์ ถงึ กับประหลาดใจที่การคน้ พบของเขาเปน็ เพียงสว่ นน้อยนดิ ของพระพุทธศาสนา    ความจริงของจักรวาลมีเพียงความจริงเดียว มีระบบระเบียบและความสมบูรณ์อยู่ใน ตัวเอง ซ่ึงนักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาค้นหา โดยใช้หลักทางตรรกะ เหตุผล พิสูจน์ออกมาเป็น ตัวเลขและทฤษฎีทางฟิสิกส์ ในขณะท่ีพระพุทธองค์ทรงใช้ปัญญาในการค้นคว้าความจริงแท้ แห่งจักรวาล ในเมื่อต่างฝ่ายต่างต้องการหาความจริงแท้อันเดียวกัน แต่วิถีทางต่างกัน ในท่ีสุด เมอ่ื เขา้ ใกลค้ วามจรงิ แท้ จะพบวา่ การคน้ พบของทง้ั สองวถิ ที างมคี วามสอดคลอ้ งกนั อยา่ งมหศั จรรย์ หลังจากน้ัน นักวิทยาศาสตร์ช้ันน�ำของโลกหลายคน หันมาศึกษาพระพุทธศาสนา อย่างจริงจัง ลึกซ้ึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิทยาศาสตร์สายควอนต้ัม  (Quantum = ส่ิงที่เล็กท่ีสุด หรืออนุภาคหรืออะตอม) เน่ืองจากพวกเขาได้ตระหนักว่า การค้นพบสัจธรรมความจริงของ พระพทุ ธศาสนา คอื จดุ มุง่ หมายเดียวกันกับการค้นหาความจรงิ แท้ของจักรวาลในทางฟิสกิ ส์ ส�ำหรับพระพุทธเจ้า ในขณะที่พระองค์ผนวชเป็นพระสิทธัตถะ ทรงเน้นการวิจัย เพื่อพัฒนาจิตใจซ่ึงเป็นนามธรรมและมีอยู่จริงโดยไม่อาจปฏิเสธได้ พระองค์ได้พยายามศึกษา ค้นคว้าเป็นระยะเวลายาวนานถึง 6 ปี จึงได้ผลการศึกษาค้นคว้า หรือได้ข้อค้นพบ (Finding) ซ่ึงเป็นสจั ธรรม ท่เี รียกว่า “อรยิ สัจส”ี่ (วนิ ย. 4/14/18; ส.ํ ม. 19/1665/528; อภ.ิ วิ. 35/145/127)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook