Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

Published by supasit.kon, 2022-12-29 03:14:00

Description: การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

Search

Read the Text Version

การเกบ็ ขอ มูลและการวเิ คราะหข อมูล Research in Educational Administration • 179 เชงิ ปริมาณหรอื เชงิ คณุ ภาพ ขอาอจงเภปาลพย่ี ทนี่ แ4.ป5กข(ลกาอซงอรม่งึกนเกลูแาบ็เรสรชะขอิงดหอคองวมณุ กถาลู ภงแึงแาแแบลพลบะบหะกบกหราทอืารลรเวีส่งัชิเว)คงิาจิปรมยัาราะไมิรดหาถต้ณเาปมลค่ยี วนาแมปเหลมงาไดะส้ ดมังจนงึ ้ันใชแจ้ บดุ บไกขกาป่ารรลตวคีาจิ ลวัยาอ้ มอมารจอเปบ็นในลกักรษอณบะทใี่ด5 ลักษณะหนึ่งก็ได้ และตัวแปรท่ีศึกษาโดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องเฉพาะเจาะจงบางเรื่อง เช่น สทิ ธิสตรี กล่มุ ผพู้ ิการ ประเด็นทางเศรษฐกจิ และสังคม ดังแสดงในภาพที่ 4.5 5. แบบเปล่ยี นแปลง (Transformative design) การเก็บขอ มลู และ ตามดวย การเกบ็ ขอมูลและ การตคี วาม การวเิ คราะหขอ มลู การวิเคราะหขอมูล เชิงปรมิ าณ เชงิ คณุ ภาพ ภาพที่ 4.5 แบบการวิจยั แบบผสมผสานวธิ ี: แบบเปลี่ยนแปลง Source. C6r.esแwบelบl (ห2ล01า3ย,ขpน้ั .ต7อ0)น (Multiphase design) จากภาพที่ 4.5 แบบเปลย่ี นแปลง (Transformative design) เปน็ แบบการวิจัยท่นี กั วิจัย ตตอ่้อดงก้วายรอใกี หว้เิธก6หี.ิด6เชกกนกริงาาะแาง่ึครรยรบศศณุ ะแเกึกึบทปภบษษี่หาล1บาาพ่ียลไนหายแนขปกั้นลอ่ ตตงนออกดกนรวไ็ อดย(บMอ้ แยuนา่ lงtวiอpคเิสhชกกริดaงิาาระจsรรปยะeศศาระเกกึึกพมิทdษษผeา่ี่ือ2ณsาาลตigก้อnาง)รกวาเิจปรตัยใน็ อหแดเ้ บวกเยปดิบ็นคกวการาามวรจิรวกกแ่วยัริจบาาะทมัยรรยบดมศศ่ีมะผึกึก้วอืทีหสษษยี่ ลม3าาวาิธยีวชิจว่ ัยงหหนลึ่งายแรลูป้ว แบบ อาจมที งั้ แบบเปน็ ขนั้ ตอนและแบบพรอ้ มกนั เพอื่ ตอบปญั หาการวจิ ยั อยา่ งเปน็ ระบบ สำ� หรบั โครงการวจิ ยั ขนาดใหญ่ อาจตอ้ งอาศยั การทำ� งานรว่ มกนั ของนกั วจิ ยั เปน็ กลมุ่ ใหญ่ สำ� หรบั การเกบ็ ข้อมูลจะเก็บข้อมูลตามล�ำดับต่อเน่ือง และเก็บข้อมูลพร้อม ๆ กันไว้ด้วยกัน โดยมีการแบ่งระยะ การดำ� เนนิ การหรอื การเกบ็ ขอ้ มลู วจิ ยั ไวห้ ลายระยะ และใหน้ ำ้� หนกั หรอื ใหค้ วามสำ� คญั ของการเกบ็ ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเท่าเทียมกัน แบบการวิจัยแบบหลายข้ันตอนน้ี มีลักษณะดังน้ี คอื 1) เป็นการศึกษาในเรอ่ื งทม่ี ขี อบขา่ ยกว้าง (Large-scale) 2) เปน็ การศกึ ษาที่มคี วามซับซ้อน และมีหลายระดับ (Mutilevel statewide) เชน่ ศึกษาในระดับท้องถิ่น ระดับจงั หวัด ระดบั ภมู ภิ าค และระดบั ประเทศ ฯลฯ และ 3) เปน็ การวิจยั แบบผสมผสานแบบเดียวท่ีประกอบด้วยระยะการ เก็บข้อมูลทงั้ แบบพรอ้ มกันและแบบเป็นลำ� ดบั ข้นั ตอ่ เน่อื งกนั ไป ซ่งึ อาจใช้วิธีการเชงิ ปรมิ าณหรือ เชิงคุณภาพสลับกันไปมาในแต่ละระยะ และในบางระยะก็อาจใช้ทั้งวิธีวิจัยเชิงปริมาณและ วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ แบบการวิจัยแบบหลายขั้นตอนนี้ นิยมใช้กันมากในการวิจัยพัฒนาและ ประเมินโครงการ ดังแสดงตัวอยา่ งในภาพที่ 4.6

เชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ 180 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา 6. แบบหลายข้นั ตอน (Multiphase design) การศึกษา ตอดวย การศึกษา ตอ ดวย การศกึ ษา ระยะท่ี 1 ระยะท่ี 2 ระยะที่ 3 การศึกษา การศึกษา การศึกษา เชิงคณุ ภาพ เชิงปริมาณ แบบผสม ภาพที่ 4.6 แบบการวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ :ี แบบหลายขัน้ ตอน Source. Creswell (2013, p. 70) จากภาพที่ 4.6 แบบหลายขนั้ ตอน (Multiphase design) เปน็ แบบการวิจยั ทีม่ ีหลายชว่ ง หลายรปู แบบ อาจมที งั้ แบบเปน็ ขน้ั ตอนและแบบพรอ้ มกนั เพอื่ ตอบปญั หาการวจิ ยั อยา่ งเปน็ ระบบ 7. ข้อจำ� กัดในการใชว้ ิธกี ารวิจยั แบบผสมผสานวธิ ี ในทางปฏบิ ตั ิ  พบวา่ การวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี มขี อ้ พงึ ระวงั และมขี อ้ จำ� กดั บางประการ คอื วิธกี ารวิจัยเชิงปรมิ าณนั้นเปน็ วิธีการท่เี ข้มงวด เป็นระบบและเป็นแบบแผน สว่ นการวิจัยเชิง คุณภาพนั้นเป็นวิธีการท่ีแนบเนียน ละเอียดอ่อน และยืดหยุ่น เม่ือน�ำวิธีทั้งสองมาใช้ในการวิจัย เร่ืองเดียวกันจะต้องใช้ให้เหมาะสม อย่าปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดเชิงคุณภาพไปผ่อนคลายความ เข้มงวดและความเป็นแบบแผนของวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ในขณะเดียวกันก็อย่าปล่อยให้ความ รสู้ กึ นกึ คดิ เชงิ ปรมิ าณมอี ทิ ธพิ ลทำ� ใหว้ ธิ กี ารเชงิ คณุ ภาพกลายเปน็ การสำ� รวจหาขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ อยา่ ง ฉาบฉวย  ซงึ่ จะเปน็ ผลทำ� ใหค้ ณุ ภาพของงานวจิ ยั เรอื่ งนนั้ ลดลง นอกจากนี้ ยงั พบวา่ งานวจิ ยั แบบ ผสมผสานวธิ ี มขี ้อจำ� กัดทีส่ �ำคัญ  ดงั น้ี   7.1 ผู้วิจัยโดยเฉพาะหัวหน้าโครงการวิจัย ต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการ ท�ำวิจัยท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่ถูกต้องตามหลักวิธี ไม่เช่นน้ันจะได้งานวิจัยที่ไม่เข้มแข็ง เท่าทค่ี วร   7.2 ในการวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งใชเ้ วลาและทรพั ยากรในการเกบ็ และ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณมากกว่าการท�ำวิจัยเชิงเด่ียว ดังนั้น โครงการท่ีถูกจ�ำกัดด้วยเวลาและ งบประมาณจงึ ไมส่ ามารถใชก้ ลยทุ ธโ์ ดยวธิ วี จิ ยั แบบผสมผสานวธิ ไี ด้ ยกเวน้ เปน็ ขอ้ มลู เสรมิ บางสว่ น  7.3 ผวู้ จิ ยั บางรายอาจมกี ารใชว้ ธิ กี ารวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ตี ามสมยั นยิ ม โดยเปน็ การใช้แบบผิด ๆ ตามที่ตนเข้าใจ หรือใช้โดยมักง่าย เช่น นักวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลโดยการ สัมภาษณ์แบบผิวเผิน หรือนักวิจัยเชิงคุณภาพคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยการสุ่มตามหลักสถิติโดย ไมพ่ จิ ารณาหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม  ฯลฯ

Research in Educational Administration • 181 8. เกณฑก์ ารวัดคุณภาพของการวิจัยแบบผสมผสานวิธี จากการทกี่ ารวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี ใชว้ ธิ เี กบ็ ขอ้ มลู ทง้ั เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพหลาย วธิ ีรว่ มกัน จึงเกดิ ปญั หาวา่ ควรใช้เกณฑ์ใดในการตัดสนิ คุณภาพของการวจิ ยั แบบนี้ โดยทว่ั ไปหาก เปน็ การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณจะใชก้ ารตดั สนิ จากความตรงภายใน (Internal Validity) ความตรงภายนอก (External Validity) และความเชื่อถือได้ (Reliability) แต่ถ้าเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพก็จะใช้การ ตัดสินจากความน่าเชื่อถือ (Credibility/Trustworthiness) ความเหมาะสมเข้ากันได้ (Fittingness) และการตรวจสอบได้ (Auditability) (Brannen, 2005) ในทัศนะของ Brannen เขาเสนอว่า ควรใช้เกณฑ์ที่ตรงกับวิธีเก็บข้อมูลหลัก เช่น ถ้าเป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธีที่ใช้วิธีเชิงปริมาณเป็นวิธีหลัก ก็ควรพิจารณาโดยใช้เกณฑ์ คือ ความตรงภายใน ความตรงภายนอก และความเชื่อถือได้ แต่ถ้าเป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี ท่ีใช้วิธีเชิงคุณภาพเป็นวิธีหลัก ก็ควรพิจารณาโดยใช้เกณฑ์ คือ ความน่าเชื่อถือ ความเหมาะสม เขา้ กนั ได้และการตรวจสอบได้และถา้ การวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ บี างแบบ ใหค้ วามสำ� คญั กบั วธิ เี ชงิ ปรมิ าณและวธิ เี ชงิ คณุ ภาพอยา่ งเทา่ เทยี มกนั กค็ วรใชเ้ กณฑท์ ย่ี อมรบั รว่ มกนั (Convergent Criteria) ขณะท่ี Onwuegbuzie & Johnson (2006, cited in Ihatola & Kihn, 2011) เสนอใหใ้ ช้ เกณฑ์ความตรงพหุ โดยเรียกเกณฑ์ดังกล่าวว่า “Multiple Validities” ซ่ึงหมายถึง การท่ีนักวิจัย ใช้และแก้ไขปัญหาเรื่องความตรงได้ทุกชนิด ท้ังความตรงในการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซึ่งหากแก้ปัญหาเรื่องความตรงได้ จะช่วยให้นักวิจัยสามารถสรุปอ้างอิงผลการวิจัยได้อย่างดี หรอื มคี วามนา่ เชอ่ื ถอื ดังนน้ั Multiple Validities จงึ มีความส�ำคญั ทสี่ ุด (Johnson, 2014, p. 56) สว่ น Tashakkorri & Teddlie (2008) เสนอวา่ ควรสรา้ งคำ� ศพั ทเ์ ฉพาะขนึ้ ใหมเ่ พอ่ื ใชแ้ ทน ค�ำศพั ทเ์ ดมิ ทีแ่ ตล่ ะวิธวี จิ ัยใชจ้ นเคยชิน เช่น ใช้คำ� ว่า “Inference Quality” แทนคำ� ว่า “Validity” ท่ี หมายถงึ ความตรงในการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ หรอื “Trustworthiness” ทห่ี มายถงึ ความนา่ เชอ่ื ถอื ในการ วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ฯลฯ ทงั้ นเี้ พอ่ื หลกี เลยี่ งการถกเถยี งและความขดั แยง้ ซงึ่ จะมผี ลทำ� ใหห้ าขอ้ ยตุ ไิ มไ่ ด้ เกณฑ์วัดคุณภาพของการวิจัยแบบผสมผสานวิธี จึงเก่ียวข้องกับมาตรฐานของแต่ละ วิธีวิจัยทั้งความตรงและความเชื่อถือได้ ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นในทุกระยะของการวิจัยต้ังแต่การ ออกแบบการวิจัย การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการแปลความหมายข้อมูล เพราะถา้ การดำ� เนนิ การวจิ ยั ในระยะใดขาดความตรงกจ็ ะมผี ลกระทบไปถงึ การดำ� เนนิ การในระยะ อื่น ๆ รวมถงึ ความนา่ เชอื่ ถือของผลการวจิ ยั ในทสี่ ดุ 9. ประเภทของความตรงในการวิจัยแบบผสมผสานวธิ ี จากการท่ีการวิจัยแบบผสมผสานวิธีเป็นการบูรณาการวิธีวิจัยท้ังเชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพ ดงั นนั้ คุณภาพของผลการวิจยั จงึ ข้ึนอยู่กับทัง้ ความตรงและความเชื่อถือได้ แต่ความ ตรงจะตอ้ งเกิดขน้ึ กอ่ น เป็นอย่างแรก ในเรือ่ งดังกล่าวนี้ Johnson (2014) ไดก้ ลา่ วถึงประเภทของ ความตรงในการวิจัยแบบผสมผสานวธิ ีซงึ่ มี 10 ประเภท ดงั น้ี 9.1 ความตรงขา้ งใน-ข้างนอก (Inside-outside Validity) หมายถึง ความตรงทเ่ี กดิ จากความสมดลุ ระหวา่ งมุมมองของคนในหรอื ผูใ้ หข้ อ้ มลู (Insider) และมมุ มองของผวู้ จิ ยั ในฐานะ

182 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา ที่เป็นคนนอก (Outsider) 9.2 ความตรงทางกระบวนทัศน์/ปรัชญา (Paradigmatic/Philosophical Validity) หมายถึง ความตรงที่เกิดจากการที่นักวิจัยมีความเข้าใจอย่างชัดเจนในกระบวนทัศน์การวิจัย หรือปรัชญา ท่ีเป็นพื้นฐานของวิธีวิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพและน�ำมาใช้เพ่ือสนับสนุน หรอื เสริมซง่ึ กันและกนั อย่างมเี หตุผล 9.3 ความตรงในการอธิบายปรากฏการณ์ (Commensurability Validity) หมายถึง ความตรงที่เกิดจากการทนี่ ักวจิ ยั อธบิ ายปรากฏการณ์ท่ศี กึ ษาแบบองค์รวม สามารถสลบั และบูรณาการวิธีคดิ ท้ังแบบการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณและเชิงคุณภาพเขา้ ดว้ ยกนั 9.4 ความตรงในการลดจุดอ่อน (Weakness Minimization Validity) หมายถึง ความตรงทเี่ กดิ จากการทน่ี กั วจิ ยั วางแผน ออกแบบและเลอื กใชว้ ธิ วี ทิ ยาทตี่ รงกบั ความมงุ่ หมายของ การวิจัย ทง้ั น้ีเพื่อท�ำให้จุดอ่อนของแตล่ ะวิธีวทิ ยามีนอ้ ยท่ีสดุ 9.5 ความตรงตามล�ำดับ (Sequential Validity) หมายถึง ความตรงที่เกิดจาก การท่ีนักวิจัยสร้างความรู้ความเข้าใจหรือข้อค้นพบจากการใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จากระยะท่ดี �ำเนินการก่อนหนา้ น้นั 9.6 ความตรงในการแปลงข้อมูล (Conversion Validity) หมายถึง ความตรง ที่เกิดจากการท่ีนักวิจัยแปลงข้อมูลและแปลความหมายข้อมูลที่ดัดแปลงมาอย่างเหมาะสม เช่น การตัง้ ชอื่ ตัวแปรและการจดั ประเภทของข้อมลู ฯลฯ 9.7 ความตรงในการเช่ือมโยงกลุ่มตัวอย่าง (Sample Integration Validity) หมายถึง ความตรงท่ีเกิดจากการที่นักวิจัยสร้างข้อสรุปจากการใช้หลักเหตุผลและหลักฐานที่เป็น ขอ้ เท็จจรงิ อย่างหลากหลายจากกลุ่มตวั อยา่ งหรอื กล่มุ เป้าหมายเพือ่ อา้ งอิงไปยังประชากร 9.8 ความตรงเชิงบูรณาการ (Integrative Validity) หมายถึง ความตรงที่เกิดจาก การที่นักวิจัยสามารถบูรณาการข้อมูล การวิเคราะห์ และการสรุปผลเข้าด้วยกันเพื่อท�ำให้เกิด การอนุมานทสี่ มบูรณ์ บางครงั้ นักวชิ าการเรยี กว่า Meta-inferences 9.9 ความตรงเชงิ สงั คม-การเมอื ง ( Socio-political Validity) หมายถงึ ความตรงที่ เกิดจากการท่นี ักวิจยั สามารถสะทอ้ นความสนใจ ค่านิยม และมุมมองจากจุดยนื ทหี่ ลากหลายและ จากผทู้ ม่ี สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งตา่ ง ๆ ในกระบวนการวจิ ยั จนทำ� ใหผ้ อู้ า่ นงานวจิ ยั เหน็ คณุ คา่ ของการอนมุ าน 9.10 ความตรงพหุ (Multiple Validities) หมายถงึ ความตรงหลาย ๆ ดา้ น ทงั้ ภายใน และภายนอกส�ำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ และความตรงเชิงบริบท (Contextual Validity) ความ สามารถในการสรปุ อา้ งอิง (Generalizability) และความสามารถในการถา่ ยโอน (Transferability) ส�ำหรับการวิจยั เชงิ คณุ ภาพ ทน่ี ักวจิ ยั สามารถเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ เหลา่ นัน้ เข้าด้วยกนั จากความตรงในดา้ นตา่ ง ๆ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ เหน็ ไดว้ า่ การใชเ้ กณฑเ์ พยี งเกณฑใ์ ดเกณฑ์ หนึ่งย่อมไม่เพยี งพอส�ำหรบั การวจิ ัยแบบผสมผสานวธิ ี (Ihantola & Kihn, 2011)

Research in Educational Administration • 183 4.2 หน่วยพ้นื ทีท่ ศ่ี กึ ษา ในการวิจยั โดยใช้วิธีวิจยั แบบผสมผสานวิธี ผู้วิจยั ตอ้ งเข้าใจในเร่ืองหน่วยพน้ื ทที่ ่ีศึกษา และขนาดของหน่วย ดังนี้ (โยธนิ แสวงด,ี 2557) 1. ขนาดของหน่วย (Scale) จะเป็นระดับประเทศก็ได้ หรือจะเป็นชุมชนก็ได้ เช่น อ�ำเภอ ต�ำบล หมู่บ้าน ฯลฯ แต่ต้องมีจ�ำนวนกลุ่ม (Cluster) เช่น ในกรณีท่ีเป็นหมู่บ้านต้อง 30 หมบู่ ้านขน้ึ ไป หรอื อีกนัยหนง่ึ ตอ้ งมีอยา่ งน้อย 30 บริบท ตวั เลขน้นี �ำมาจากจำ� นวนตวั อย่าง ขน้ั ต่�ำของการตรวจสอบดว้ ย t-test 2. หากเป็นโรงเรียนต้อง 30 โรง แต่ถ้าเป็นโรงเรียนเดียวกันและเชื่อว่าบริบทของ แต่ละหอ้ งแตกตา่ งกัน อาจเปน็ 30 ห้องเรยี นกไ็ ด้ แตก่ รณีเชน่ น้ยี ังไมม่ ใี ครทำ� 3. การค้นหาปรากฏการณห์ รอื หลกั ฐานทีซ่ อ่ นเรน้ (Tacit knowledge) ในการค้นหา ปรากฏการณ์หรือหลักฐานท่ีซ่อนเร้นท่ีเป็นการวิจัยในเชิงคุณภาพน้ัน นักวิจัยต้องลงไปค้นหาใน หมู่บา้ น หรอื สังคม ท่มี ปี รากฏการณจ์ รงิ ท่เี ป็นตวั อย่างของการวจิ ยั เชิงปริมาณนน้ั ๆ 4.3 หลกั ในการเลือกแบบการวิจยั แบบผสมผสานวิธี ในการเลอื กแบบการวจิ ยั แบบผสมผสานวิธีซ่งึ มอี ยู่ 6 แบบ ดงั กล่าวมาแลว้ ข้างต้นนั้น นักวิจัยจำ� เปน็ ตอ้ งมีหลกั เกณฑใ์ นการเลอื กว่า จะใชแ้ บบการวจิ ัยแบบผสมผสานวิธีแบบใด จงึ จะ เหมาะสมกับงานวิจัยและเง่ือนไขของการวิจัยของตน โดยหลักในการเลือกควรต้องพิจารณาถึง ประเดน็ ดังต่อไปนี้ (Creswell and Plano Clark, 2011, pp. 65-67) 1. ปฏิสัมพันธ์ นักวิจัยต้องพิจารณาถึงระดับของปฏิสัมพันธ์ระหว่างขอบเขตของ การวจิ ัยเชิงปริมาณและเชงิ คณุ ภาพว่า ขอบเขตของการวจิ ัยท้ังสองส่วน เป็นอิสระ (Independent) หรอื มคี วามเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั (Dependent) หรอื ไม่ คำ� วา่ “เปน็ อสิ ระ” คอื ขอบเขตของการวจิ ยั ทง้ั สองสว่ น แตกตา่ งกนั อยา่ งชดั เจน และนกั วจิ ยั กม็ คี ำ� ถามการวจิ ยั การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และการ วเิ คราะห์ข้อมูลแยกออกจากกัน นกั วจิ ยั เพียงน�ำขอ้ มูลจากทัง้ สองส่วนมาวเิ คราะหร์ ่วมกนั ในตอน ท้ายของการวิจัย ส่วนค�ำวา่ “มคี วามเก่ยี วข้องสัมพันธก์ นั ” คอื ขอบเขตของการวจิ ยั ทง้ั สองสว่ น มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน โดยน�ำวิธีการท้ังวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพมาใช้ผสมผสานใน กระบวนการต่าง ๆ ของการวิจัยกอ่ นทจ่ี ะตีความสุดท้าย (Final interpretation) เชน่ การออกแบบ การวิจัยแบบหน่ึงอาจต้องมาจากผลการวิจัยอีกแบบหน่ึง หรือข้อมูลจากการวิจัยแบบหนึ่งอาจน�ำ มาปรบั เปลีย่ นใชใ้ นการวจิ ัยอีกแบบหนง่ึ ฯลฯ 2. นำ้� หนกั นกั วจิ ยั ตอ้ งพจิ ารณาถงึ นำ�้ หนกั ของการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพวา่ ควรใหน้ ำ้� หนกั หรอื ความสำ� คญั ของการวจิ ยั ทง้ั สองอยา่ งไรซง่ึ โดยทวั่ ไปจะใหน้ ำ�้ หนกั เปน็ 3ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ 1) การใหน้ �ำ้ หนกั ของการวิจยั ทั้งสองส่วนเท่ากัน 2) การให้น�้ำหนักของการวจิ ัยเชงิ ปริมาณ มากกว่า และ 3) การให้นำ้� หนักของการวิจยั เชิงคุณภาพมากกว่า 3. ชว่ งเวลา นักวิจยั ตอ้ งพจิ ารณาถงึ ชว่ งเวลาของการวจิ ยั เชงิ ปริมาณและเชงิ คณุ ภาพ โดยเฉพาะช่วงเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งนักวิจัยต้องพิจารณาเก่ียวกับล�ำดับก่อนหลัง โดยแบง่ ลักษณะของการกำ� หนดแบบการวจิ ัยออกเปน็ 3 แบบ คือ 1) การด�ำเนนิ การในช่วงเวลา

184 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา พรอ้ ม ๆ กนั 2) การดำ� เนินการตามล�ำดับกอ่ นหลัง และ 3) การด�ำเนินการแบบผสมผสานทงั้ สองสว่ นในหลาย ๆ ระยะ 4. ลกั ษณะการผสมผสาน นกั วจิ ัยต้องพจิ ารณาถึงลักษณะการผสมผสานของการวิจยั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซง่ึ อาจแบง่ ออกได้ 4 ลักษณะ ไดแ้ ก่ 1) การผสมผสานชุดของข้อมลู สองชดุ 2) การดำ� เนนิ การตอ่ เนอ่ื งจากการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ชดุ ทห่ี นงึ่ ไปสกู่ ารเกบ็ ขอ้ มลู ในชดุ ทสี่ อง 3) การจดั ระดบั ขอ้ มลู วา่ ข้อมูลใดเปน็ ข้อมูลรองรบั ทอ่ี ยภู่ ายใต้ข้อมูลอีกชุดหนงึ่ และ 4) การใช้ กรอบแนวคิดเพื่อการรอ้ ยเรียงชดุ ของข้อมลู เข้าดว้ ยกนั กล่าวโดยสรุป หลักเกณฑ์ในการเลือกว่าจะใช้แบบการวิจัยแบบผสมผสานวิธีแบบ ใด จึงจะเหมาะสมกับงานวิจัยและเง่ือนไขของการวิจัยของตน ให้นักวิจัยพิจารณาถึงประเด็น ด้านปฏสิ ัมพันธ์ น้�ำหนัก ชว่ งเวลา และลกั ษณะการผสมผสาน 4.4 ข้นั ตอนการวิจยั แบบผสมผสานวิธี ในการวิจัยแบบผสมผสานวิธี มีข้ันตอนท่ีถือเป็นแนวทางทั่วไปที่จะช่วยให้นักวิจัย เร่มิ ต้นการวิจัยและด�ำเนนิ การวิจยั ได้ตามล�ำดับ ซึ่งประกอบดว้ ย 7 ขน้ั ตอน ดังน้ี (Creswell, 2008, pp. 567-569) ข้ันตอนท่ี 1 การพจิ ารณาวา่ การวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ สี ามารถใชไ้ ด้ เปน็ การประเมนิ ความเป็นไปได้ในการใช้การวิจัยแบบผสมผสานวิธี ซ่ึงจะต้องเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและ เชงิ คณุ ภาพ จะตอ้ งใชเ้ วลามากขนึ้ และจะต้องเก่ยี วข้องกบั ความพร้อมของทีมงานวิจัย ขั้นตอนที่ 2 การใหเ้ หตผุ ลในการเลอื กใชก้ ารวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี ผวู้ จิ ยั ควรใหเ้ หตผุ ล ดว้ ยวา่ เพราะเหตใุ ดจงึ เลอื กใชก้ ารวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี รวมทง้ั เลอื กทจ่ี ะเกบ็ ขอ้ มลู ทง้ั เชงิ ปรมิ าณ และเชิงคุณภาพ แบบการวิจัยแบบผสมผสานวิธีแต่ละแบบ มีความเหมาะสมกับปัญหา และ วัตถุประสงค์การวิจัยทางการศึกษาที่แตกต่างกันออกไป การเลือกใช้แบบการวิจัยใด ๆ จึงจําเป็น ตอ้ งคาํ นงึ ถงึ การตอบปัญหาและวัตถปุ ระสงค์การวจิ ัยเป็นหลัก ข้นั ตอนที่ 3 การก�ำหนดยุทธศาสตร์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นการวางแผนการ เก็บรวบรวมข้อมูล โดยตัดสินใจว่าจะเก็บข้อมูลเชิงปริมาณก่อนหรือข้อมูลเชิงคุณภาพก่อน หรือ จะเกบ็ ข้อมลู พร้อมกนั ข้ันตอนท่ี 4 การพฒั นาคำ� ถามการวจิ ยั ผวู้ จิ ยั ควรพฒั นาคำ� ถามการวจิ ยั ตามประเภทหรอื วิธีการวิจัย ซึ่งอาจเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยแบบผสมผสานวิธี โดยอาจก�ำหนดค�ำถามที่จะใช้ในการวิจัยก่อนการวิจัย หรือค�ำถามการวิจัยอาจผุดขึ้นมาระหว่าง การเก็บรวบรวมข้อมลู เช่น คำ� ถามการวจิ ยั ในระยะที่ 2 จะไม่ระบไุ ว้ในระยะที่ 1 หรอื ตอนตน้ ของ การศึกษา แต่จะเกิดข้ึนมาในระยะที่ 2 หรอื ระหว่างกระบวนการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ฯลฯ ข้ันตอนที่ 5 การเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เป็นการเก็บรวบรวม ข้อมูลในการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซ่ึงมีล�ำดับการเก็บตามประเภทของการออกแบบ ทเ่ี ลอื ก

Research in Educational Administration • 185 ขั้นตอนท่ี 6 การวิเคราะห์ข้อมูลแบบแยกจากกันหรือแบบบูรณาการ เป็นการ วิเคราะห์ข้อมูลที่ข้ึนอยู่กับแบบของการวิจัยที่ใช้ โดยอาจจะวิเคราะห์ข้อมูลแยกจากกันหาก เป็นการวิจัยแบบการอธิบายตามล�ำดับ (Explanatory sequential design) หรือการส�ำรวจบุกเบิก ตามลำ� ดับ (Exploratory sequential design) และจะใช้การวเิ คราะห์แบบบูรณาการเม่ือใชก้ ารวจิ ยั แบบค่ขู นาน (Convergent parallel design) ขน้ั ตอนท่ี 7 การเขยี นรายงาน รายงานในส่วนของการเก็บรวบรวมข้อมูล เมื่อนักวิจัย ได้วเิ คราะหข์ อ้ มลู และตคี วามขอ้ มลู แล้ว อาจเขียนแยกเปน็ 2 ลักษณะ คือ 1) เขยี นเปน็ 2 ระยะ โดยแยกออกจากกันระหว่างการศึกษาเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และ 2) เขียนเชิงบูรณาการ ทัง้ เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเข้าด้วยกัน กล่าวโดยสรุป ขนั้ ตอนทถี่ ือเป็นแนวทางท่วั ไปในการวิจัยแบบผสมผสานวธิ ี ประกอบ ดว้ ย 7 ขนั้ ตอน ไดแ้ ก่ 1) การพจิ ารณาวา่ การวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ สี ามารถใชไ้ ด้ 2) การใหเ้ หตผุ ล ในการเลือกใช้การวิจัยแบบผสมผสานวิธี 3) การก�ำหนดยุทธศาสตร์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 4) การพฒั นาคำ� ถามการวจิ ยั 5) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพ 6) การวเิ คราะห์ ข้อมูลแบบแยกจากกันหรอื แบบบูรณาการ และ 7) การเขียนรายงาน 4.5 กรณีตวั อย่างการวจิ ยั แบบผสมผสานวิธี ตัวอย่างของการวิจัยแบบผสมผสานวิธีต่อไปน้ี เป็นตัวอย่างท่ีสมมติข้ึนท้ังในด้าน ตัวเลข จํานวน ประชากรและกลุ่มตัวอย่างในตัวอย่างของแต่ละแบบการวิจัย เพื่อประกอบการ อธิบายแบบการวิจยั แบบผสมผสานวิธแี บบตา่ ง ๆ ดงั นี้ (รัตนะ บัวสนธ,์ ม.ป.ป) ตวั อยา่ ง 1: แบบคูข่ นาน (Convergent parallel design) แบบคู่ขนาน ค�ำถามการวิจัย : สาเหตุท่ีทําให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนในสังกัด เขตพ้นื ท่ีการศกึ ษา เขต 1 จังหวัดพษิ ณุโลก ลาออกกลางคันและตกซ�้ำชน้ั เปน็ เพราะเหตุใด วตั ถุประสงค์การวิจยั : เพ่อื ศึกษาและจัดลาํ ดบั สาเหตทุ ี่ทาํ ให้นกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 ในเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษา เขต 1 จังหวัดพษิ ณุโลก ลาออกกลางคนั และตกซำ้� ช้ัน วิธดี าํ เนินการวิจัย 1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง 1.1 ประชากร ไดแ้ ก่ 1.1.1 ครปู ระจําชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ของโรงเรยี นในสังกัดเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษา เขต 1 จงั หวัดพิษณุโลก ปีการศึกษา 2553 ทม่ี ีเด็กนกั เรียนลาออก และ/หรือตกซ้�ำชั้น จํานวน 250 คน 1.1.2 นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 ของโรงเรียนในสังกัดเขตพ้ืนท่ีการศึกษา เขต 1 จังหวัดพษิ ณโุ ลก ปีการศกึ ษา 2553 ท่ีลาออก และ/หรือตกซ้ำ� ชน้ั จาํ นวน 420 คน 1.1.3 ผปู้ กครองนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ทลี่ าออก และ/หรอื ตกซำ�้ ชนั้ ของ โรงเรียนในสังกัดเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษา เขต 1 จงั หวัดพิษณโุ ลก ปีการศึกษา 2553 จํานวน 420 คน

186 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา 1.2 กลุม่ ตัวอย่าง แบ่งเปน็ ก. กลมุ่ ตัวอยา่ งของวิธวี จิ ัยเชงิ ปรมิ าณ ไดแ้ ก่ 1. ครปู ระจาํ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 ของโรงเรยี นในสงั กดั เขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษา เขต 1 จงั หวดั พษิ ณุโลก ปกี ารศกึ ษา 2553 ทมี่ ีเดก็ นักเรียนลาออก และ/หรอื ตกซำ�้ ช้ัน จาํ นวน 120 คน 2. นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนในสงั กดั เขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษา เขต 1 จงั หวดั พิษณโุ ลก ปกี ารศกึ ษา 2553 ทล่ี าออก และ/หรือตกซำ้� ชนั้ จาํ นวน 250 คน 3. ผู้ปกครองนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ท่ีลาออก และ/หรือตกซ�้ำช้ัน ของโรงเรยี นในสงั กดั เขตพน้ื ที่การศึกษา เขต 1 จงั หวดั พิษณุโลก ปกี ารศกึ ษา 2553 จาํ นวน 200 คน กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย ซ่ึงมีข้ันตอนในการได้มาของกลุ่ม ตวั อยา่ ง ดงั นี้ 1. สาํ รวจโรงเรยี นระดบั ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6 ที่มเี ดก็ นักเรียนลาออกกลาง คัน และ/หรอื ตกซ�ำ้ ช้นั 2. จากการสํารวจโรงเรียนจะทําให้พบว่า มีจํานวนโรงเรียน 250 โรงเรียน และกจ็ ะทําให้ไดค้ รปู ระจําชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนดังกลา่ ว รวมทั้งส้นิ 250 คน 3. จากครจู าํ นวน 250 คน จงึ กาํ หนดขนาดตวั อยา่ ง สมมตวิ า่ ใชข้ นาดตวั อยา่ ง 120 คน หลังจากนัน้ กําหนดหมายเลขให้กับครูทั้ง 250 คน แลว้ จงึ สมุ่ อยา่ งง่าย โดยการจับฉลาก แบบ ไม่ใส่คืนได้ครูทั้งส้นิ 120 คน ซง่ึ มาจากโรงเรียนตา่ งกนั 4. เมอ่ื ไดจ้ าํ นวนครู 120 คน กจ็ ะทาํ ใหไ้ ดน้ กั เรยี นระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ทล่ี าออก และ/หรอื ตกซำ�้ ชนั้ จากชน้ั เรยี นทีค่ รคู นนัน้ ๆ เป็นครปู ระจําชัน้ จํานวนทง้ั สน้ิ 200 คน 5. เมื่อได้นักเรียน 200 คน ก็ใช้ผู้ปกครองของนักเรียนกลุ่มน้ี เป็นกลุ่ม ตัวอย่างด้วย ซง่ึ จะได้ 200 คน เช่นกนั ข. กลุ่มตัวอย่างของวิธกี ารเชงิ คณุ ภาพ ใชว้ ธิ ีการเลอื กแบบเจาะจง ดงั นี้ 1. จากครูที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 120 คน ข้างต้น เลือกมาจํานวน 10 คน ซึง่ ครูทงั้ 10 คน น้ี เลือกโดยใชเ้ กณฑ์ใหเ้ ป็นครทู ี่ได้มาจากโรงเรียนทง้ั 3 ขนาด คือโรงเรียนขนาดใหญ่ กลาง และเลก็ และเป็นครูประจาํ ช้นั ในโรงเรียนนัน้ ๆ ไม่ต่ำ� กว่า 1 ปี 2. นักเรียน เลือกมาจํานวน 20 คน โดยพิจารณาเลือกจากนักเรียนท่ีอยู่ใน โรงเรียนต่างขนาดกนั และผู้ปกครองมีฐานะเศรษฐกจิ ต่างกนั 3. ผู้ปกครอง ใช้ผปู้ กครอง 20 คน ของนักเรียนท่ีเลือกมาในขอ้ 2 2. เครอ่ื งมอื และวธิ กี ารเก็บขอ้ มลู ก. วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสํารวจและแบบสอบถามเก่ียวกับข้อมูลส่วนตัว และสาเหตุทค่ี าดว่าทําให้นกั เรียนลาออกและ/หรอื ตกซ้�ำช้นั เครือ่ งมอื แบ่งเป็น 3 ฉบับ คอื สาํ หรับครู นกั เรียน และผ้ปู กครอง ท้งั นี้ประเดน็ ขอ้ คาํ ถาม (Item) ในแบบสอบถาม ใช้ประเดน็ ทีส่ อดคลอ้ งกับ คุณลักษณะกลุ่มผตู้ อบทสี่ ามารถตอบได้

Research in Educational Administration • 187 ข. วธิ กี ารวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ กรณผี ปู้ กครองใชว้ ธิ กี ารเยย่ี มบา้ นผปู้ กครองและสมั ภาษณ์ แบบไม่มีโครงสร้าง โดยประเด็นท่ีสัมภาษณ์จะเป็นประเด็นกว้าง ๆ เก่ียวกับสาเหตุท่ีผู้ปกครองคิดว่า นักเรียนที่เป็นบุตรหลานของตนลาออกหรือตกซ�้ำชั้น สําหรับนักเรียนใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก เป็น รายบคุ คลเกยี่ วกบั สาเหตหุ รอื ความรสู้ กึ นกึ คดิ ทน่ี กั เรยี นลาออกและ/หรอื ตกซำ�้ ชนั้ วา่ เปน็ เพราะเหตใุ ด กรณีครูประจําชั้นก็ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง และใช้ประเด็นเดียวกันกับการสัมภาษณ์ ผปู้ กครองนกั เรียน 3. การวเิ คราะหข์ อ้ มูล ก. วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้สถิติท่ีสอดคล้องกับลักษณะข้อมูล ได้แก่ X, SD., % ข. วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์สรุปแบบอุปนัยและการ วเิ คราะหส์ ่วนประกอบ การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล นาํ เสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูลเชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพแบบควบคู่ไปด้วยกัน โดยยึดประเด็นหรือสาเหตุการลาออก และ/หรือการตกซ้�ำช้ันที่ได้ เป็นหลักในการสรุปตีความรว่ มกัน ตัวอย่าง 2: แบบอธิบายตามลำ� ดับ (Explanatory sequential design) แบบอธบิ ายตามลำ� ดบั (กรณีวิธวี จิ ยั เชิงคณุ ภาพเป็นวิธีการหลัก) ค�ำถามการวจิ ัย : ปัจจยั หรือตัวแปรใดบ้างทีม่ ผี ลตอ่ ประสทิ ธภิ าพการสอนของครู และเพราะ เหตุใดปัจจัยหรอื ตวั แปรน้ันจงึ สง่ ผลตอ่ ประสทิ ธภิ าพการสอนของครู วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั : 1. เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ กับประสิทธิภาพการสอน ของครู 2. เพอื่ ศกึ ษาและสรา้ งแนวคดิ อธบิ ายถงึ ปจั จยั หรอื ตวั แปรใด ๆ ทส่ี ง่ ผลตอ่ ประสทิ ธภิ าพ การสอนของครู วธิ ีดําเนนิ การวจิ ยั ระยะที่ 1 : วธิ ีวจิ ัยเชงิ ปริมาณ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ไดแ้ ก่ ข้าราชการครใู นโรงเรยี นสังกัดสาํ นักงานการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน เขตพื้นทกี่ ารศกึ ษา เขต 2 พิษณุโลก ปีการศึกษา 2553 จาํ นวน 1,800 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครูในโรงเรียนสังกัดสํานักงานการศึกษาข้ัน พ้นื ฐาน เขตพ้ืนท่ีการศกึ ษา เขต 2 พษิ ณุโลก ปีการศกึ ษา 2553 จาํ นวน 850 คน ซง่ึ ไดม้ าโดยการสุ่ม อยา่ งงา่ ย แบบใชต้ ารางเลขสมุ่ 2. เครื่องมือเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามและมาตรประมาณค่าปัจจัย หรือตัวแปร พยากรณต์ ่าง ๆ และตวั แปรเกณฑ์ (ประสทิ ธิภาพการสอน)

188 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา 3. การวิเคราะห์ขอ้ มลู ใชส้ ถิติ X, สSDม,มrตxyิวแ่าไลดะ้ผMลกRาAรว(ิเMครuาltะipหle์ข้อRมegูลrพesบsiวo่าn Analysis) จากการดําเนินงานวิจัยเชิงปริมาณ ปัจจัยทาง ด้านฐานะเศรษฐกิจหรือรายได้และภาวะหนี้สิน มีความสัมพันธ์อย่างมากกับประสิทธิภาพการสอน ของครู กลา่ วคอื ถา้ ครมู รี ายไดม้ าก มแี นวโนม้ จะมปี ระสทิ ธภิ าพการสอนดี แตถ่ า้ ครมู ภี าวะหนสี้ นิ มาก ประสทิ ธภิ าพการสอนจะต่�ำ จากขอ้ ค้นพบนี้ จงึ นําไปสกู่ ารดาํ เนนิ งานวจิ ยั เชงิ คุณภาพ ดังน้ี ระยะที่ 2 : วธิ ีการวิจัยเชงิ คณุ ภาพ 1. ผใู้ หข้ อ้ มลู หรอื ผเู้ ขา้ รว่ มการวจิ ยั เลอื กเจาะจงครทู ม่ี ฐี านะเศรษฐกจิ ดี และครทู ม่ี ภี าวะ หน้ีสนิ มากอย่างละ 4 คน เพื่อเป็นพหุกรณีศกึ ษา (Multi-case studies) 2. วิธีการเก็บข้อมูล ใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์เชิงลึกเกี่ยวกับ พฤตกิ รรมการสอน การปฏิบตั หิ นา้ ทค่ี รู แรงจงู ใจ ขวญั และกาํ ลงั ใจในการทาํ งาน ฯลฯ เหลา่ นี้ เปน็ ตน้ 3. การวิเคราะหข์ อ้ มลู ใช้การวเิ คราะหแ์ ยกสว่ นประกอบและการวเิ คราะหส์ รปุ อปุ นัย การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล นําเสนอผลการวิเคราะหเ์ ชิงปริมาณกอ่ น แลว้ ใชผ้ ลการ วิเคราะห์เชิงคุณภาพ อธิบายถึงบริบทและเงอ่ื นไขตา่ ง ๆ ของฐานะเศรษฐกจิ และภาวะหนีส้ นิ ของครู ท่ีสง่ ผลต่อประสิทธภิ าพการสอน ตวั อยา่ ง 3: แบบส�ำรวจบุกเบกิ ตามลำ� ดบั (Exploratory sequential design) แบบส�ำรวจบุกเบกิ ตามลำ� ดับ (กรณีท่ตี ้องการคน้ หาตัวแปรใหม่ ๆ หรอื เพ่ือสรา้ งเครอื่ งมือวัดตวั แปร : วธิ วี ิจยั เชิงปริมาณเป็นวิธกี ารหลัก) ค�ำถามการวิจัย : การรับรู้ตนเองของกลุ่มวัยรุ่นที่มีต่อความสัมพันธ์เชิงเสน่หากับเพ่ือนต่าง เพศมลี กั ษณะอยา่ งไร และมปี จั จยั ใดสง่ ผลตอ่ การรบั รตู้ นเองของกลมุ่ วยั รนุ่ ในความสมั พนั ธเ์ ชงิ เสนห่ า กบั เพ่อื นตา่ งเพศ วัตถุประสงคก์ ารวิจัย : 1. เพ่ือศึกษาลักษณะการรับรู้ตนเองของกลุ่มวัยรุ่นท่ีมีต่อความสัมพันธ์เชิงเสน่หากับ เพือ่ นต่างเพศ 2. เพ่ือศึกษาและค้นหาปัจจัยท่ีส่งผลต่อการรับรู้ตนเองของกลุ่มวัยรุ่นในความสัมพันธ์ เชิงเสนห่ ากับเพอ่ื นต่างเพศ วธิ ดี ําเนินการวิจัย ระยะที่ 1 : วธิ กี ารวิจยั เชิงคุณภาพ 1. ผู้ให้ข้อมูลหรือผู้เข้าร่วมการวิจัย ใช้วิธีการเลือกผู้ให้ข้อมูลด้วยวิธีตามแบบท่ัวไป (Typical case) โดยให้มีกลมุ่ วยั รนุ่ ท้ังเพศชายและเพศหญิง และเปน็ กลมุ่ วยั รนุ่ ตอนต้น (อายปุ ระมาณ 13-15 ปี) วัยรุ่นตอนกลาง (อายุประมาณ 16-18 ปี) และวัยรุ่นตอนปลาย (อายุประมาณ 19-21 ปี) กลุ่มละ 6 คน (แต่ละกลุ่ม เป็นเพศหญิงและชาย อย่างละ 3 คน) รวมจํานวนทั้งส้ิน 18 คน ซึ่งเป็น กลมุ่ วัยรุน่ ท่ีสมคั รใจให้ขอ้ มูล

Research in Educational Administration • 189 2. วธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู ใชก้ ารสนทนากลมุ่ โดยกาํ หนดประเดน็ ใหส้ นทนาแลกเปลย่ี นความ คดิ เหน็ เกย่ี วกบั การรบั รตู้ นเองทมี่ ตี อ่ ความสมั พนั ธเ์ ชงิ เสนห่ ากบั เพอื่ นตา่ งเพศ และปจั จยั ทมี่ ตี อ่ การรบั รู้ ตนเองในดา้ นนี้การสนทนากลมุ่ จดั ใหส้ นทนาทลี ะกลมุ่ ตามชว่ งอายุรวมจดั สนทนากลมุ่ 3ครงั้ (หรอื 3กลมุ่ ) 3. การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้วิธีการวิเคราะห์สรุปแบบอุปนัยเก่ียวกับตัวแปรหรือปัจจัย ต่าง ๆ ท่เี ก่ยี วกับการรับรูต้ นเองท่ีมตี อ่ ความสมั พนั ธเ์ ชิงเสน่หากบั เพอ่ื นตา่ งเพศของกลุ่มวัยรุ่น การเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู นาํ เสนอผลโดยชใ้ี หเ้ หน็ ตวั แปรหรอื ปจั จยั ตา่ ง ๆ เกย่ี วกบั การรบั รตู้ นเองของกลมุ่ วยั รนุ่ ทมี่ ตี อ่ ความสมั พนั ธเ์ ชงิ เสนห่ ากบั เพอื่ นตา่ งเพศ พรอ้ มทง้ั อธบิ ายลกั ษณะ หรอื บริบททเี่ กย่ี วขอ้ งกับตัวแปรหรอื ปัจจัยน้ัน ระยะที่ 2 : วิธีการวิจยั เชิงปริมาณ 1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง 1.1 ประชากร ได้แก่ นักเรียนและนิสิต นักศึกษา ท่ีเรียนหรือศึกษาต่อในระดับช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 2 – ระดับช้ันปริญญาตรีช้ันปีท่ี 2 ของโรงเรียนในสังกัดสํานักงานการมัธยมศึกษา เขตจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง และในสถาบันอุดมศึกษาท้ังของรัฐและเอกชน เขตจังหวัดภาคเหนือ ตอนล่าง ในปีการศึกษา 2553 รวมจํานวนทัง้ สิน้ 70,000 คน โดยจาํ แนกเป็นดังนี้ 1.1.1 นกั เรยี นในระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 – ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 จาํ นวน 46,000 คน 1.1.2 นกั ศกึ ษาในระดบั ชน้ั ปรญิ ญาตรชี นั้ ปที ี่1–2ของสถาบนั อดุ มศกึ ษาของรฐั จํานวน 24,000 คน 1.2 กลมุ่ ตวั อยา่ ง จาํ นวนทง้ั สนิ้ 2,300 คน ไดม้ าโดยวธิ กี ารสมุ่ แบบแบง่ ชน้ั คดั เป็น สัดส่วน โดยใชร้ ะดับช้ันเรยี นเป็นเกณฑก์ ารแบง่ ชัน้ ในการสมุ่ กลุ่มตวั อยา่ งจาํ แนกได้ ดงั นี้ 1.2.1 นักเรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 – ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 จํานวน 1,500 คน 1.2.2 นักศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรีชั้นปีท่ี 2 ของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ จาํ นวน 800 คน 2. เครอ่ื งมือเกบ็ ขอ้ มลู ได้แก่ แบบวดั ตัวแปรตา่ ง ๆ ท่ไี ด้จากการศกึ ษาในระยะท่ี 1 และ จากการทบทวนวรรณกรรมทเี่ กย่ี วขอ้ ง ทงั้ นตี้ วั แปรทไี่ ดน้ นั้ จะนาํ มานยิ ามใหค้ วามหมายในเชงิ ปฏบิ ตั ิ การและสรา้ งแบบวัดตามนยิ ามดงั กลา่ ว 3. วิธกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เกบ็ ข้อมูลตามตวั แปรที่คดั เลือกมา โดยนําแบบวดั ตัวแปร ไปให้กล่มุ ตัวอย่างตอบ โดยผู้วิจยั หรือทีมงานดําเนินการเก็บขอ้ มูลดว้ ยตนเอง 4. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล วเิ คราะห์โดยใช้สถิติพื้นฐานและสถิตอิ ้างอิงไดแ้ ก่ X, SD,% และ การวเิ คราะห์เสน้ ทาง (Path analysis) การนําเสนอผลการวิจัย นําเสนอผลการวิจัยโดยเน้นผลการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (ค้นหา ปัจจยั ) แล้วอธบิ ายเสรมิ เพ่มิ เตมิ ดว้ ยผลการวเิ คราะห์เชงิ คณุ ภาพ

190 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา ตัวอย่าง 4: แบบฝังตัวอยภู่ ายใน (Embedded design) แบบฝังตวั อยภู่ ายใน (รูปแบบการทดลองระยะเดยี ว: วธิ วี ิจัยเชิงปริมาณเป็นวิธกี ารหลัก) ค�ำถามการวิจัย : วิธีสอนโดยใช้สื่อทางการเรียนที่พัฒนาข้ึน จะทําให้นักเรียนมีการ เปลี่ยนแปลงผลการเรียนรู้วชิ าภาษาไทยอยา่ งไร วัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั : 1) เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนรู้วิชาภาษาไทยของนักเรียนระหว่าง ก่อนและหลัง การใช้สื่อทางการเรยี น 2) เพ่ือศกึ ษาพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ของนกั เรียนขณะใช้ส่ือการเรยี น วธิ ดี าํ เนินการวจิ ยั 1. ผู้เข้ารับการทดลอง (Subjects or participants) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 (มี 1 ห้องเรียน) ของโรงเรียนบ้านหนองหัวยาง อําเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ปีการศึกษา 2553 จํานวน 35 คน ซ่ึงเลอื กมาแบบเจาะจง 2. เครือ่ งมอื และวิธีการเก็บขอ้ มูล 2.1 เครื่องมอื วจิ ยั ไดแ้ ก่ ส่งิ ที่พฒั นาข้นึ 2.2 เครื่องมือเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วชิ าภาษาไทย ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4 ทค่ี รูพัฒนาขนึ้ 2.3 เครอ่ื งมอื เกบ็ ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ ไดแ้ ก่ แบบบนั ทกึ การสงั เกตพฤตกิ รรมการเรยี น รู้ของนักเรียนเป็นรายบุคคล และประเด็นการสัมภาษณ์แบบก่ึงมีโครงสร้างโดยสัมภาษณ์นักเรียน เกย่ี วกับการเรยี นจากสอื่ 3. ขั้นตอนการทดลองและเก็บรวบรวมขอ้ มูล 3.1 นําแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาไทยมาทดสอบกับนักเรียน ผู้เข้ารับการทดลองก่อนทดลองใช้สื่อ 3.2 เรม่ิ นาํ สอ่ื การเรยี นมาทดลองใชก้ บั นกั เรยี นกลมุ่ ดงั กลา่ วโดยใชต้ ามแผนการเรยี น ทกี่ าํ หนดไว้ 3.3 ในขณะที่ทดลองใช้สื่อการเรียนก็สังเกตพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนเป็น รายบุคคล พร้อมทั้งเลือกนักเรียน เพื่อสัมภาษณ์เป็นกลุ่ม ๆ ละประมาณ 5-8 คน เกี่ยวกับความรู้ ความคดิ เห็น ทม่ี ีตอ่ สื่อการเรียน โดยเลอื กสัมภาษณเ์ ป็นระยะ ๆ ทีละกลุ่ม (ประมาณ 7 กลมุ่ ) จนครบ ท้ัง 35 คน 3.4 เมื่อสิ้นสุดการทดลองใช้สื่อ นําแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฉบับเดิมมา สอบนักเรยี นกล่มุ เดมิ อีกครง้ั 4. การวเิ คราะห์ข้อมูล 4.1 ข้อมูลเชิงปริมาณ วิเคราะห์โดยใช้สถิติพ้ืนฐาน คือ X, SD. และสถิติอ้างอิง สําหรับทดสอบเปรยี บเทียบคา่ เฉลย่ี กอ่ น-หลงั เรียน คือ การทดสอบทแี บบไม่อิสระ (t-test dependent) 4.2 ข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์โดยใช้การวิเคราะห์สรุปแบบอุปนัยและการเปรียบ เทยี บเหตุการณ์

Research in Educational Administration • 191 การเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู นาํ เสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ ปรมิ าณเปน็ หลกั และ นําผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพมาเสริมให้เห็นภาพพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนขณะใช้ส่ือ การเรียน นอกจากกรณีตัวอย่างการวิจัยแบบผสมผสานวิธีที่นักวิชาการได้สมมติขึ้นท้ัง 4 ตวั อยา่ งดงั กลา่ วแลว้ ขา้ งตน้ ผเู้ ขยี นขอยกกรณตี วั อยา่ งทไี่ ดม้ กี ารดำ� เนนิ การวจิ ยั จรงิ ซง่ึ เปน็ งานวจิ ยั ของอาชัญญา รัตนอุบล และคณะ โดยมีลักษณะงานวิจัยเป็นแบบการวิจัยแบบหลายข้ันตอน (Multiphase design) โดยมีรายละเอยี ด ดงั นี้ (อาชัญญา รตั นอบุ ล และคณะ, 2552) ตวั อย่าง 5: แบบหลายขน้ั ตอน (Multiphase design) แบบหลายขั้นตอน (Multiphase design) ช่อื เรอ่ื ง: การศึกษาสภาพ ปญั หา ความต้องการ และรปู แบบการจดั กจิ กรรม การศกึ ษานอก ระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั  เพอื่ สง่ เสรมิ การเรยี นรดู้ า้ นการเตรยี มความพรอ้ มเมอ่ื เขา้ สวู่ ยั ผสู้ งู อายุ ของผูใ้ หญว่ ยั แรงงาน วัตถุประสงค:์ 1. เพ่อื ศกึ ษาสภาพ ปญั หาและความตอ้ งการดา้ นการเตรียมความพร้อมเมื่อเข้าสู่วัยผูส้ ูง อายุของผู้ใหญว่ ัยแรงงานในเขตเมอื งและเขตชนบท 2. เพ่ือน�ำเสนอรูปแบบการจัดกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพอ่ื ส่งเสรมิ การเรียนร้ดู า้ นการเตรียมความพรอ้ มเมอ่ื เข้าสวู่ ยั ผู้สงู อายุของผู้ใหญ่วยั แรงงาน 3. เพอื่ จดั ทำ� ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบายการนำ� รปู แบบการจดั กจิ กรรมการศกึ ษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเตรียมความพร้อมเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุของ ผูใ้ หญ่วัยแรงงานไปสู่ภาคปฏิบตั ิ วิธีด�ำเนินการวิจัย: 1. ข้ันตอนการวจิ ยั แบ่งออกเป็น 2 ขน้ั ตอน คือ 1.1 การศึกษาเอกสารเก่ียวกับสภาพของการเตรียมความพร้อมเม่ือเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ของผู้ใหญ่วัยแรงงานในเขตเมืองและเขตชนบท เป็นการศึกษาเก่ียวกับสภาพการเตรียมความพร้อม เมอื่ เขา้ สวู่ ยั ผสู้ งู อายขุ องผใู้ หญว่ ยั แรงงานในเขตเมอื งและเขตชนบท โดยมเี ครอ่ื งมอื ในการเกบ็ รวบรวม ขอ้ มลู ไดแ้ ก่ กรอบแนวคิดในการศึกษาเอกสาร และแบบศึกษาเอกสาร 1.2 การสำ� รวจปญั หา และความตอ้ งการการจดั กจิ กรรมการศกึ ษานอกระบบและการ ศึกษาตามอัธยาศัยเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเตรียมความพร้อมเม่ือเข้าสู่วัยผู้สูงอายุของผู้ใหญ่วัย แรงงานในเขตเมอื งและเขตชนบท โดยมีเครื่องมือในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ไดแ้ ก่ แบบสอบถามการ ศกึ ษาปัญหาและความต้องการเตรียมความพรอ้ มเม่ือเข้าสวู่ ัยผู้สงู อายุ

192 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา 2. ขั้นตอนการพัฒนา แบง่ ออกเปน็ 4 ขน้ั ตอน ประกอบด้วย 2.1 การสังเคราะห์รูปแบบการจัดกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศยั เพอ่ื ส่งเสรมิ การเรียนรดู้ า้ นการเตรียมความพรอ้ มเม่ือเขา้ สูว่ ยั ผสู้ ูงอายขุ องผใู้ หญ่วัยแรงงาน 2.2 การศึกษากรณตี ัวอย่างที่ดี 2.3 การร่างรูปแบบการจัดกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพอ่ื สง่ เสริมการเรยี นรู้ดา้ นการเตรียมความพรอ้ มเมื่อเขา้ สู่วัยผสู้ งู อายุของผู้ใหญว่ ัยแรงงาน 2.4 การตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบ และขอความคดิ เหน็ เชงิ นโยบาย เครอ่ื งมอื ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในขนั้ ตอนนี้ ประกอบดว้ ยตารางสงั เคราะหข์ อ้ มลู กรณี ตวั อยา่ งทด่ี ี แบบสำ� รวจและแบบสมั ภาษณก์ รณตี วั อยา่ งทด่ี ี แนวทางการสนทนากลมุ่ และนำ� ผลขอ้ มลู ที่ได้มาวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรม SPSS น�ำเสนอข้อมูลรูปแบบตารางและค�ำบรรยาย วิเคราะห์ความ แปรปรวน (ANOVA) และการเปรยี บเทียบเปน็ รายคู่โดยใช้วิธกี ารของ Scheffé ผลการวจิ ยั สรปุ ไดด้ งั นี้ 1. ผลการศกึ ษาสภาพ ปญั หาและความตอ้ งการดา้ นการเตรียมความพร้อมเมอ่ื เข้าสู่วยั ผู้สงู อายขุ องผู้ใหญว่ ยั แรงงานในเขตเมืองและเขตชนบท 1.1 ผลการศึกษาสภาพด้านการเตรียมความพร้อมเม่ือเข้าสู่วัยผู้สูงอายุของผู้ใหญ่วัย แรงงานในเขตเมืองและเขตชนบท จากผลการศึกษาเอกสารและผลจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ ขอ้ มลู กรณศี กึ ษาทดี่ ี พบวา่ ประเทศไทยจดั อยใู่ นกลมุ่ ประเทศทม่ี อี ตั ราการเขา้ สสู่ งั คมผสู้ งู อายทุ ร่ี วดเรว็ นอกจากน้ี พบว่า รูปแบบการจัดกิจกรรมการเตรียมความพร้อมเม่ือเข้าสู่วัยผู้สูงอายุของผู้ใหญ่วัย แรงงานในเขตเมอื งและเขตชนบท มี 2 รปู แบบหลกั คอื การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั 1.2 ผลการส�ำรวจปญั หาและความตอ้ งการการจดั กจิ กรรมการศกึ ษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอธั ยาศยั เพอ่ื สง่ เสรมิ การเรยี นรดู้ า้ นการเตรยี มความพรอ้ มเมอื่ เขา้ สวู่ ยั ผสู้ งู อายขุ องผใู้ หญ่ วยั แรงงานในเขตเมอื งและเขตชนบท จากการสำ� รวจ พบวา่ ปญั หาและความตอ้ งการในการเตรยี มความ พรอ้ มเมอ่ื เข้าสู่วัยผสู้ ูงอายุ มี 4 ด้าน ดังนี้ 1) การเตรยี มความพร้อมดา้ นสขุ ภาพอนามัย พบว่า ผ้ใู หญ่ วยั แรงงานมปี ญั หาอยใู่ นระดบั นอ้ ย และมคี วามตอ้ งการอยใู่ นระดบั มาก 2) การเตรยี มความพรอ้ มดา้ น การปรบั ตัวทางสงั คมและจิตใจ พบวา่ ผ้ใู หญ่วยั แรงงานมปี ญั หาอยูใ่ นระดับน้อย และมคี วามตอ้ งการ อยู่ในระดบั มาก 3) การเตรียมความพรอ้ มด้านพฤติกรรมการออม พบว่า ผใู้ หญว่ ัยแรงงานมีปัญหาอยู่ ในระดบั น้อย และมีความตอ้ งการอยู่ในระดบั มาก และ 4) การเตรียมความพร้อมด้านพฤติกรรมการ เรียนรู้ พบว่า ผู้ใหญ่วยั แรงงานมปี ญั หาอยใู่ นระดับน้อย และมคี วามตอ้ งการอยใู่ นระดับนอ้ ย ผลการเปรียบเทยี บ พบว่า ปญั หา และความต้องการการจดั กจิ กรรมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเตรียมความพร้อมเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุของ ผู้ใหญ่วัยแรงงาน จ�ำแนกตามอายุ พ้ืนท่ที อี่ ย่อู าศยั กลมุ่ อาชีพ มีความแตกตา่ งกนั อย่างมนี ยั สำ� คัญทาง สถติ ทิ ่รี ะดับ .05

Research in Educational Administration • 193 2. ผลการนำ� เสนอรปู แบบการจดั กจิ กรรมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั เพื่อสง่ เสรมิ การเรยี นรดู้ ้านการเตรียมความพร้อมเม่ือเขา้ สู่วัยผูส้ งู อายขุ องผู้ใหญ่วยั แรงงาน รูปแบบการจัดกิจกรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเพ่ือส่งเสริมการ เรยี นรดู้ า้ นการเตรยี มความพร้อมเมอื่ เขา้ สวู่ ยั ผสู้ งู อายุ ประกอบด้วย 2.1 หลกั การการจดั กจิ กรรม ประกอบดว้ ยการบรู ณาการแบบองคร์ วม การสนบั สนนุ เครือข่ายการจัดกิจกรรมอย่างร่วมมือร่วมใจและการส่งเสริมให้เกิดความต่อเนื่อง การเรียนรู้จาก ประสบการณ์ การเรียนรู้เพ่ือการแก้ปัญหาอย่างต่อเน่ือง การเรียนรู้เพ่ือการปรับเปลี่ยนสู่การใช้ชีวิต อยา่ งเปน็ สขุ 2.2 การบวนการจัดกจิ กรรม จดั แบ่งเปน็ 6 ขนั้ ตอน ดงั นี้ 1) การสำ� รวจสภาพ ปญั หา และความต้องการของการเตรียมความพร้อมเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ 2) การกำ� หนดวัตถุประสงค์การ เรยี นรู้ 3) การก�ำหนดเนอ้ื หาสาระ 4) การกำ� หนดกระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 5) การวัดและ ประเมินผล และ 6) การถอดบทเรยี น 3. ผลการจัดท�ำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการน�ำรูปแบบการจัดกิจกรรมการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการเตรียมความพร้อมเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูง อายุของผู้ใหญว่ ยั แรงงานไปสภู่ าคปฏบิ ตั ิ ผลการจดั ทำ� ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย มี 4 ด้าน ดงั น้ี 3.1 ด้านการก�ำหนดนโยบาย โดยจัดกิจกรรมรณรงค์ให้ผู้ใหญ่วัยแรงงานและสังคม เกดิ จติ สำ� นกึ และตระหนกั ถงึ คณุ คา่ ของการเตรยี มความพรอ้ มเมอ่ื เขา้ สวู่ ยั ผสู้ งู อายุ เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ผสู้ งู อายุ ทีม่ ีพลงั โดยอยู่ในความรบั ผดิ ชอบดูแลของกระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงสาธารณสขุ กระทรวงการ พฒั นาสังคมและความมน่ั คงของมนษุ ย์ องคก์ ารปกครองสว่ นท้องถนิ่ หนว่ ยงานวสิ าหกจิ และเอกชน 3.2 ดา้ นกระบวนการมสี ว่ นรว่ ม โดยสนบั สนนุ ใหผ้ ใู้ หญว่ ยั แรงงานมโี อกาสไดแ้ สดง บทบาท ในการเผยแพรค่ วามรคู้ วามสามารถตามความถนดั และประสบการณ์ รวมทง้ั สง่ เสรมิ การเขา้ ไป มสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ดา้ นตา่ ง ๆ ของสังคม โดยอยูใ่ น ความรบั ผิดชอบดูแลของหนว่ ยงานตน้ สังกดั องค์การปกครองสว่ นท้องถ่นิ ชมุ ชน และครอบครวั 3.3 ด้านการบูรณาการสู่การจัดการศึกษา โดยส่งเสริมและจัดบริการการศึกษาต่อ เนอ่ื งตลอดชีวิต ท้งั การศึกษาในระบบ การศกึ ษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอัธยาศยั โดยการสรา้ ง หลักสูตรการเตรียมความพร้อมเม่ือเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ เพิ่มเติมความรู้ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ให้ทันต่อ การเปลย่ี นแปลงของโลก ประสานภาคีเครือขา่ ยทเ่ี กี่ยวข้องในการจดั การศึกษา 3.4 ดา้ นงบประมาณ โดยสนบั สนนุ งบประมาณทางดา้ นการจดั กจิ กรรมการศกึ ษานอก ระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั เพอื่ สง่ เสรมิ การเรยี นรดู้ า้ นการเตรยี มความพรอ้ มเมอื่ เขา้ สวู่ ยั ผสู้ งู อายุ ของผ้ใู หญ่วัยแรงงาน เพ่ือใหค้ วามรู้ความเขา้ ใจ และทักษะการเตรยี มความพร้อมเมือ่ เขา้ สู่วัยผ้สู ูงอายุ โดยการดแู ลรบั ผดิ ชอบของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงสาธารณสขุ กระทรวงการพฒั นาสงั คมและ ความมน่ั คงของมนษุ ย์ กระทรวงแรงงาน องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ หนว่ ยงานวสิ าหกจิ และเอกชน

194 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา สรุปท้ายบท การวิจยั แบบผสมผสานวิธี ท่นี �ำเสนอในบทท่ี 4 น้ี ประกอบด้วยสาระสำ� คัญทผี่ ูว้ ิจัย หรือนักศึกษาในทางการบริหารการศึกษาควรศึกษาและท�ำความเข้าใจให้ละเอียดและชัดเจน โดยอาจสรุปสาระส�ำคัญดังกลา่ วได้ ดังน้ี การวิจยั แบบผสมผสานวธิ ี เป็นการแสวงหาความรู้ความจรงิ ดว้ ยการใชว้ ธิ เี ชงิ ปรมิ าณ และวธิ เี ชงิ คณุ ภาพรว่ มกนั ในระยะใดระยะหนงึ่ หรอื ใชต้ อ่ เนอื่ งกนั ในระยะทต่ี า่ งกนั แลว้ นำ� ผลทไี่ ด้ จากแต่ละวิธีมาสรุปรว่ มกนั ซึง่ จะทำ� ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจอยา่ งลกึ ซงึ้ ในสง่ิ ท่ศี ึกษา การวิจยั แบบผสม ผสานวธิ ดี ังกล่าวน้ี เกดิ ขึน้ ครัง้ แรกใน ค.ศ.1959 หรือ พ.ศ. 2502 และไดร้ บั การยอมรบั จากนักวิจัย ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน เป็นการวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือเป็นการแก้จุดอ่อนของแต่ละวิธีด้วย การเสริมจุดแข็ง โดยลักษณะส�ำคัญของการวิจัยแบบผสมผสานวิธี เรียกว่า “การผสมผสาน วิธีวิทยา” (Methodological Eclecticism) ซึ่งหมายถึง การเลือกสรรและการบูรณาการวิธีวิทยา ท่ีเหมาะสมทส่ี ุดจากการวิจยั เชิงปริมาณและเชิงคณุ ภาพมาใชเ้ พ่ือศึกษาปรากฏการณ์ทสี่ นใจ ความส�ำคญั ของการวิจยั แบบผสมผสานวธิ ี คือ 1)  ผลการวิจัยจากวธิ ีการวจิ ัยแบบผสม ผสานวธิ ี สามารถเสรมิ ตอ่ กนั โดยใชผ้ ลการวจิ ยั จากวธิ หี นง่ึ อธบิ ายขยายความผลการวจิ ยั อกี วธิ หี นง่ึ ช่วยให้การตอบค�ำถามการวิจัยได้ละเอียดชัดเจนมากกว่าการใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณหรือ เชิงคุณภาพเพียงรูปแบบเดียว 2) การใช้ผลการวิจัยจากวิธีหนึ่งไปช่วยพัฒนาการวิจัยอีกวิธีหนึ่ง หรือการใช้ผลการวิจัยวิธีหนึ่งไปต้ังค�ำถามการวิจัยอีกวิธีหน่ึง 3) การวิจัยเชิงปริมาณและการ วิจัยเชงิ คุณภาพตา่ งก็มจี ดุ เดน่ จุดด้อย โดยผวู้ จิ ัยสามารถใช้จดุ เดน่ ของการวจิ ยั เชงิ ปริมาณ มาแกไ้ ข จุดด้อยของการวิจัยเชิงคุณภาพ ขณะเดียวกันอาจใช้จุดเด่นของการวิจัยเชิงคุณภาพมาใช้แก้ไข จุดด้อยของการวิจัยเชิงปริมาณ 4) สามารถน�ำผลผลิตจากการวิจัยแบบผสมผสานวิธีมาสร้าง ความรูค้ วามจรงิ ท่สี มบรู ณส์ ำ� หรบั ใช้ในการปรับเปลย่ี นทฤษฎหี รอื การปฏิบตั งิ าน แบบการวิจัยแบบผสมผสานวิธี อาจแบ่งออกได้ตามเวลาการด�ำเนินการวิจัยและ ความส�ำคัญของการวิจัยแตล่ ะวธิ ี เปน็ 6 แบบใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ 1) แบบคขู่ นาน (Convergent parallel design) 2) แบบอธบิ ายตามลำ� ดบั (Explanatory sequential design) 3) แบบสำ� รวจบกุ เบกิ ตามลำ� ดบั (Exploratory sequential design) 4) แบบฝงั ตวั อยภู่ ายใน (Embedded design) 5) แบบเปลยี่ นแปลง (Transformative design) และ 6) แบบหลายขัน้ ตอน (Multiphase design) อย่างไรก็ตาม การใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานวิธี มีข้อจ�ำกัดในทางปฏิบัติท่ีผู้วิจัย พึงระวัง คือ วิธีการวิจัยเชิงปริมาณนั้นเป็นวิธีการท่ีเข้มงวด เป็นระบบและเป็นแบบแผน ส่วน การวิจัยเชิงคุณภาพน้ันเป็นวิธีการท่ีแนบเนียน ละเอียดอ่อน และยืดหยุ่น  เม่ือน�ำวิธีท้ังสองมาใช้ ในการวจิ ยั เรอ่ื งเดยี วกนั จะตอ้ งใชใ้ หเ้ หมาะสม  โดยไมป่ ลอ่ ยใหค้ วามรสู้ กึ นกึ คดิ เชงิ คณุ ภาพไปผอ่ น คลายความเขม้ งวดและความเป็นแบบแผนของวธิ กี ารวจิ ยั เชงิ ปริมาณ  ในขณะเดยี วกนั ก็ไมป่ ลอ่ ย ใหค้ วามรสู้ กึ นกึ คดิ เชงิ ปรมิ าณมอี ทิ ธพิ ลทำ� ใหว้ ธิ กี ารเชงิ คณุ ภาพกลายเปน็ การสำ� รวจหาขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ อยา่ งฉาบฉวย ซ่ึงจะเปน็ ผลทำ� ให้คุณภาพของงานวจิ ัยเรื่องนน้ั ลดลง นอกจากน้ี ในการวจิ ัยโดยใช้วิธีวิจยั แบบผสมผสานวธิ ี ผู้วจิ ยั ต้องเขา้ ใจในเร่ืองหน่วย พื้นท่ีที่ศึกษาและขนาดของหน่วย ต้องเข้าใจเกณฑ์การวัดคุณภาพของการวิจัยแบบผสมผสาน

Research in Educational Administration • 195 วิธี ที่ใช้วิธีเก็บข้อมูลท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพหลายวิธีร่วมกัน รวมท้ังต้องเข้าใจประเภท ของความตรงในการวิจยั แบบผสมผสานวธิ ี ซ่ึงมอี ยู่ 10 ประเภท อาทิ ความตรงขา้ งใน-ขา้ งนอก (Inside-outside Validity) ความตรงทางกระบวนทัศน์/ปรัชญา (Paradigmatic/Philosophical Validity) สว่ นหลกั เกณฑใ์ นการเลอื กวา่ จะใชแ้ บบการวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ แี บบใดจงึ จะเหมาะ สมกับงานวิจัยและเง่ือนไขของการวิจัยของตน ให้นักวิจัยพิจารณาถึงประเด็น ด้านปฏิสัมพันธ์ น้�ำหนัก ช่วงเวลา และลักษณะการผสมผสาน ส�ำหรับข้ันตอนที่ถือเป็นแนวทางท่ัวไปในการวิจัยแบบผสมผสานวิธี ประกอบด้วย 7 ข้ันตอน ได้แก่ 1) การพิจารณาว่าการวิจัยแบบผสมผสานวิธีสามารถใช้ได้ 2) การให้เหตุผล ในการเลือกใช้การวิจัยแบบผสมผสานวิธี 3) การก�ำหนดยุทธศาสตร์ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล 4) การพัฒนาค�ำถามการวิจัย 5) การเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ 6) การวิเคราะหข์ ้อมลู แบบแยกจากกนั หรอื แบบบรู ณาการ และ 7) การเขยี นรายงาน



บทท่ี การวิจยั สถาบัน 5 INSTITUTIONAL RESEARCH ในแวดวงนักวิจัยทางการศึกษา คงจะมีความคุ้นเคยกันอยู่บ้างพอสมควรกับการวิจัย สถาบนั แตส่ ำ� หรบั นกั วชิ าการทว่ั ๆไปผเู้ ขยี นคดิ วา่ นอ้ ยคนนกั ทจ่ี ะรจู้ กั การวจิ ยั สถาบนั อยา่ งไรกต็ าม ส�ำหรับสถาบันต่าง ๆ ไม่อาจจะละเลยการท�ำวิจัยสถาบันได้ เพราะการวิจัยสถาบันจะน�ำผลไปสู่ การแก้ปัญหาเฉพาะ และมุ่งนำ� ผลการวิจัยมาแก้ปญั หา / ปรบั ปรุงพฒั นาการดำ� เนนิ งานในเร่ืองใด เรือ่ งหนง่ึ เปน็ ส�ำคัญ ซึง่ เปน็ การวจิ ยั ทม่ี ีลักษณะเก่ียวพันกับการวิจัยเชิงปฏิบตั ิการ ในบทน้ี จะนำ� เสนอการวจิ ยั สถาบนั ซง่ึ ประกอบดว้ ยเนอ้ื หาสาระทสี่ ำ� คญั 2 เรอื่ ง ไดแ้ ก่ 1) แนวคิดพืน้ ฐานของการวิจยั สถาบัน 2) เทคนิคของการวจิ ัยสถาบนั และ 3) ระดับการปฏบิ ตั ิ ของการวิจยั สถาบันและกรณตี ัวอยา่ ง โดยมีรายละเอียด ดงั ตอ่ ไปน้ี 5.1 แนวคดิ พืน้ ฐานของการวิจยั สถาบนั ในส่วนแนวคิดพ้ืนฐานของการวิจัยสถาบันนี้ ผู้วิจัยควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเรื่อง ความหมายของการวิจัยสถาบัน ลักษณะและเป้าหมายของการวิจัยสถาบัน ประวัติความเป็นมา ของการวิจัยสถาบัน คุณค่าของการวิจัยสถาบัน ประเภทของการวิจัยสถาบัน และแบบของการ วิจัยสถาบนั โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ความหมายของการวิจยั สถาบนั การวจิ ยั สถาบนั (Institutional Research) เปน็ การวจิ ยั ประเภทหนง่ึ ทม่ี งุ่ จะศกึ ษาปญั หาท่ี เก่ยี วขอ้ งโดยตรงกับแตล่ ะสถาบนั เพือ่ น�ำข้อคน้ พบตา่ ง ๆ ไปประยุกต์ใช้ประกอบการวางแผน ได้ มีนกั วชิ าการจ�ำนวนมากใหค้ วามหมายของการวิจยั สถาบนั ไว้ ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี Fincher (1978) ไดก้ ลา่ ววา่ การวจิ ัยสถาบัน เป็นภมู ิปัญญาขององค์การ (Organizational intelligences) ตอ่ มาอกี 6 ปี Knowles (1984) กลา่ ววา่ การวจิ ยั สถาบนั คอื การศกึ ษาและวเิ คราะห์ เก่ยี วกับการดำ� เนนิ งาน สภาพแวดล้อม และกระบวนการของสถาบนั อดุ มศกึ ษา หลังจากนั้นอีก 6 ปี Saupe (1990) ได้กล่าวว่า การวิจัยสถาบัน เป็นเครื่องมือในการ สนบั สนนุ การตดั สนิ ใจ ซงึ่ การวจิ ยั สถาบนั เปน็ ชดุ ของกจิ กรรมทจ่ี ะสนบั สนนุ สำ� หรบั การวางแผน สถาบนั การก�ำหนดสถาบนั และการตัดสนิ ใจ และอกี 3 ปตี ่อมา Terenzini (1993) ไดก้ ลา่ วถงึ การวจิ ยั สถาบันซ่งึ เปน็ การขยายแนวคดิ ของ Fincher (1978) โดยอธิบายถึงภมู ิปัญญาขององค์การ (Organizational intelligence) ว่า การวิจยั สถาบนั เกดิ จากการพัฒนาทกั ษะสามดา้ น จึงจะสามารถ สร้างงานทเ่ี ป็นภูมิปัญญาสถาบันได้ (Organizational intelligence) ซง่ึ จำ� เปน็ ต้องมีภมู ปิ ัญญาเชงิ วเิ คราะห์ (Analytical intelligence) ภมู ปิ ญั ญาเชงิ เลอื กประเดน็ (Issues intelligence) และภมู ปิ ญั ญา ดา้ นบรบิ ท (Contextual intelligence)

198 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา สว่ น สุพักตร์ พิบูลย์ (2554) กล่าวว่า การวจิ ัยสถาบัน เป็นการศกึ ษาคน้ คว้าอยา่ งเป็น ระบบ มจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ศกึ ษาสภาพปจั จบุ นั หรอื ปญั หาเพอ่ื พฒั นางานของหนว่ ยงานหรอื องคก์ าร กล่าวโดยสรุป การวิจัยสถาบันเป็นการศึกษาปัญหาท่ีเก่ียวข้องกับสถาบัน เพื่อน�ำผล การวจิ ยั ไปประยุกตใ์ ชใ้ นการวางแผน การก�ำหนดนโยบาย รวมท้งั การตัดสินใจ / แกป้ ญั หาทีอ่ าจ จะเกดิ ขึน้ ในแตล่ ะสถาบนั 2. ลักษณะและเปา้ หมายของการวิจัยสถาบัน จากนยิ าม / ความหมายของการวจิ ยั สถาบนั ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ ในเบอ้ื งตน้ จะทำ� ใหเ้ หน็ ภาพของลักษณะและเป้าหมายของการวจิ ยั สถาบันได้ชัดเจน ดังน้ี การวิจัยสถาบัน เป็นการวิจัยที่ด�ำเนินการภายในสถาบันอุดมศึกษาท่ีมีเป้าหมายต่างไป จากการวจิ ยั พนื้ ฐานทวั่ ไป (Basic Research) ซง่ึ มเี ปา้ หมายเพอื่ บกุ เบกิ / แสวงหาความรใู้ หม่ แตก่ าร วจิ ยั สถาบนั เปน็ การวจิ ยั ทมี่ เี ปา้ หมายเฉพาะเพอ่ื จดั หาขอ้ มลู / ขอ้ คน้ พบของสถาบนั ใหผ้ บู้ รหิ ารได้ น�ำไปใช้แก้ปัญหาของสถาบัน หรือเพื่อน�ำไปใช้พิจารณาประกอบการตัดสินใจในการด�ำเนินงาน และพัฒนาสถาบัน 3. ประวตั คิ วามเป็นมาของการวิจยั สถาบัน เม่ือ ค.ศ. 1820 ได้มีการน�ำแนวความคิดการวิจัยสถาบันจากงานเขียนของ Professor W.H. Cowley แห่งมหาวทิ ยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) มาน�ำเสนอต่อทปี่ ระชมุ ของ คณะกรรมการปฏิบัติงานประเมินผลของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) จึงก่อให้ เกดิ การวิจยั ทเ่ี กี่ยวกับสถาบนั เพอ่ื ตดิ ตามประเมนิ ผลระยะสนั้ ๆ โดยคณะผูว้ จิ ยั ในสถาบันนน้ั เอง บางครงั้ จงึ เรยี กว่า การวจิ ัยตนเอง (Self Study) ตอ่ มาหลงั จากสงครามโลกครง้ั ที่ 2 สน้ิ สดุ ลง การวจิ ยั สถาบนั ไดเ้ รม่ิ ขน้ึ อยา่ งเปน็ ทางการ ท่ีมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ (University of Illinois) และที่มหาวิทยาลัยมินเนโซตา (University of Minnesota) แหง่ ประเทศสหรฐั อเมรกิ า และไดแ้ พรห่ ลายไปยังมหาวิทยาลยั ต่าง ๆ อยา่ งกว้างขวาง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1974 (พ.ศ.2517) ได้มีการจัดตั้งสมาคมวิจัยสถาบัน (Institutional Research Association)ขนึ้ เปน็ ครงั้ แรกในประเทศสหรฐั อเมรกิ าเพอ่ื เปน็ ศนู ยก์ ลางในการกระตนุ้ และสง่ เสรมิ ให้มีการวิจัยสถาบันในระดับอุดมศึกษาทั้งในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยต่าง ๆ ของประเทศ สหรฐั อเมรกิ า และประเทศอื่น ๆ การวจิ ัยสถาบันในสถาบนั อดุ มศกึ ษาระยะแรก ยังขาดความเป็นระบบและผรู้ บั ผดิ ชอบ โดยตรง ทำ� ให้เกิดการซ�้ำซอ้ นและข้อมลู กระจดั กระจาย ปัจจบุ ันการวจิ ัยสถาบันในสถาบนั อุดมศึกษา ไดร้ บั การสนับสนุนและสง่ เสริมเพม่ิ มาก ขนึ้ โดยมหี นว่ ยงานรบั ผดิ ชอบในการทำ� วจิ ยั สถาบนั โดยตรง ทำ� ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทเ่ี ปน็ สารสนเทศทเ่ี ปน็ ระบบและทนั ตอ่ ความตอ้ งการของผบู้ รหิ าร เพอ่ื ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจสภาพของสถาบนั ตลอดจนสามารถ มองเห็นทิศทางและแนวปฏบิ ตั ใิ นการบรหิ ารงานของสถาบนั ได้อยา่ งชัดเจน

Research in Educational Administration • 199 สำ� หรบั ประเทศไทยนนั้ ไดม้ กี ารจดั ตงั้ หนว่ ยวจิ ยั สถาบนั ขน้ึ เปน็ ครง้ั แรกทจี่ ฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เมือ่ ปี พ.ศ. 2514 โดยมีหนา้ ท่ีสำ� คัญ 3 ประการ ดังน้ี 1) รวบรวมขอ้ มลู ทจี่ ำ� เปน็ สำ� หรบั การวางแผนพฒั นาและการบรหิ ารมหาวทิ ยาลยั 2) ท�ำการวิจัยตามความต้องการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และท�ำการวิจัย อื่น ๆ ท่เี ปน็ ไปตามภาระหน้าทป่ี ระจำ� ตามปกติ 3) ท�ำการเผยแพร่ข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ โดยมีระบบข้อมูลเพ่ือการบริหาร ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University Management Information System: Cu – MIS) เป็นเคร่อื งมือในการจดั การขอ้ มูล ข้อมูลเบ้ืองต้นในระบบท่ีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้พัฒนาขึ้น ประกอบด้วยข้อมูล 5 ประเภท ดงั นี้ (เยาวดี วบิ ูลยศ์ รี, 2534) 1) ขอ้ มูลดา้ นโปรแกรมการศกึ ษา 2) ขอ้ มูลดา้ นอาจารย์ ข้าราชการ และเจ้าหนา้ ที่ 3) ข้อมลู ดา้ นนิสติ 4) ข้อมูลดา้ นการเงนิ 5) ขอ้ มลู ด้านอาคารสถานท่ี และสง่ิ อำ� นวยความสะดวก ส�ำหรับตัวอย่างงานวิจัยสถาบันของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ผ่านมา อาจศึกษาได้ จากงานวิจยั 8 เร่ือง ดงั ต่อไปนี้ 1) รายงานการส�ำรวจและวิจัยลักษณะหน้าที่และปริมาณงานของอาจารย์ประจ�ำ ในจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั 2) การใช้เวลานอกเวลาเรยี นของนสิ ติ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3) ประเมนิ โครงการทนุ การศกึ ษาของจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั เพอื่ ไปศกึ ษาระดบั ปริญญาชัน้ สงู ณ ต่างประเทศ 4) รายงานการส�ำรวจสภาวะการหางานท�ำของบัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุน่ ปกี ารศกึ ษา 2530 - 2534 5) โครงการวเิ คราะหส์ ภาวะกำ� ลงั คนของจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั 6) รายงานวิจัยสถาบัน เรื่อง ประสิทธิภาพในการผลิตบัณฑิตจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย รุน่ ปีการศึกษา 2520 - 2524 7) รายงานการวจิ ัย เร่ือง การวิจัยพน้ื ทว่ี า่ งในมหาวทิ ยาลัยเพอื่ การสันทนาการ 8) รายงานวิจัยสถาบัน เรื่อง การติดตามประเมินผลโครงการให้คณาจารย์ยืมเงิน เพอ่ื ซือ้ เครือ่ งไมโครคอมพิวเตอร์ 4. คณุ คา่ ของการวจิ ัยสถาบัน การวิจัยสถาบันท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนางานขององค์การหรือสถาบัน จะก่อให้เกิด คณุ ค่าหรือประโยชน์ 3 ประการ ดงั น้ี (ภาวิณี ศรสี ขุ วัฒนานนท์ และกุลชลี จงเจรญิ , 2557)

200 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา 4.1 คณุ คา่ ของการวจิ ยั สถาบนั กบั การพฒั นาการเรยี นรู้ซงึ่ เปน็ คณุ คา่ เพอ่ื การเรยี นรู้ ขององค์การแบบมีส่วนร่วม โดยคุณค่าหรือประโยชน์ของการเรียนรู้องค์การแบบมีส่วนร่วมใน กระบวนการวิจัยเชิงสถาบัน มี 3 ประการ ได้แก่ 1.1) การมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้จะ สามารถสร้างการเรียนรู้ใหเ้ กดิ ขน้ึ แก่บุคคลทีเ่ กี่ยวขอ้ ง 1.2) การมีสว่ นรว่ มเกิดประโยชนใ์ นการ รวบรวมศักยภาพของภูมิปัญญาของกลุ่มที่มีความรู้ท่ีท�ำงานร่วมกัน และ 1.3) การที่แต่ละคน เข้ามามีส่วนร่วมจะก่อให้เกิดโอกาสที่บุคคลแต่ละคนในการตั้งค�ำถามหรือก�ำหนดปัญหา หรือ สมมติฐานขององค์การได้ เม่ือมีข้อมูลของกลุ่มแล้ว กลุ่มก็จะสร้างระบบความเช่ือของกลุ่มและ จะพัฒนาความคิดของกลุ่ม หรือจดั การภายใต้สมมตฐิ านทีต่ ้ังขึน้ 4.2 คณุ คา่ ของการวจิ ยั สถาบนั กบั การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา การวจิ ยั สถาบนั ในความหมายเพอ่ื การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาเปน็ การดำ� เนนิ งานวจิ ยั เชงิ ประเมนิ เกยี่ วกบั องคก์ าร เพ่ือใช้ผลการวิจัยเชิงประเมินนั้น มาประกอบการตัดสินใจในการจัดท�ำนโยบายและแผนตาม พนั ธกจิ ขององคก์ ารนนั้ 4.3 คุณค่าของการวิจัยสถาบันกับการบริหารการศึกษา การวิจัยสถาบันซ่ึงจะ สามารถกอ่ ใหเ้ กดิ คุณค่าต่อการบริหารการศึกษาของสถาบนั มอี ยู่ 5 ลกั ษณะ ได้แก่ 1) การประเมิน สภาพปัจจบุ ัน/ปญั หา หรือความต้องการจ�ำเป็น โดยจะเน้นการวิเคราะห์สภาพปัจจบุ ันและปญั หา เร่งด่วนขององค์การ การวิจัยสถาบันลักษณะน้ี จะก่อให้เกิดคุณค่าด้านสารสนเทศที่จะน�ำมาใช้ ประกอบการวางแผนพฒั นางานของสถาบนั 2) การวจิ ยั และพฒั นานวตั กรรมตา่ ง ๆ เปน็ การคน้ หา หรือพฒั นาทางเลือกใหม่ ๆ เพอ่ื น�ำมาใชใ้ นการพัฒนางาน เชน่ พฒั นาส่ือ อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ เพือ่ ใช้ ในการท�ำงาน การจัดท�ำคู่มือการปฏิบัติงาน พัฒนาระบบฐานข้อมูลเพ่ือสนับสนุนการตัดสินใจ ทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการใหม่ ๆ วิธีการ/เทคนิคการท�ำงานใหม่ ๆ วิธีการสอนใหม่ ๆ ฯลฯ การวจิ ัยสถาบนั ลกั ษณะนี้ จะก่อให้เกิดคณุ ค่าด้านแนวปฏิบัตทิ ด่ี ี ๆ (Best practices) เพอื่ น�ำมา ใชใ้ นการพฒั นางานในโอกาสตอ่ ๆ ไป 3) การประเมนิ ความเหมาะสม ความเปน็ ไปไดข้ องนโยบาย แผนงาน หรือโครงการ เป็นงานวิจัยที่เกิดข้ึนในข้ันของการวางแผน/จัดท�ำแผนงาน โครงการ การวิจัยสถาบันลักษณะน้ี จะก่อให้เกิดคุณค่าด้านเป็นข้อมูลเพ่ือการตัดสินใจเป็นการเฉพาะของ สถาบนั 4) การวจิ ยั /ประเมนิ ความกา้ วหน้าของนโยบาย แผนงาน หรือโครงการ เปน็ การวจิ ยั ที่เกิด ข้นึ ในขณะทีน่ โยบาย แผนงาน หรือโครงการใด ๆ ไดม้ ีการนำ� ไปปฏบิ ัติ หรอื อยู่ระหวา่ งด�ำเนินการ การวิจัยสถาบันลักษณะนี้ จะก่อให้เกิดคุณค่าด้านสารสนเทศเพื่อประกอบการตัดสินใจในการ ปรบั ปรงุ งานของสถาบนั เปน็ การเฉพาะและ5) การวจิ ยั /ประเมนิ สรปุ ผลการดำ� เนนิ งานการตดิ ตาม ผล และประเมินผลกระทบต่าง ๆ เป็นการวิจัยที่เกิดขึ้นเมื่อองค์การใด ๆ ได้ด�ำเนินงานเสร็จสิ้น ระยะส�ำคัญ ๆ เช่น สิ้นปีงบประมาณ ส้ินปีการศึกษา ส้ินแผนพัฒนา 5 ปี ฯลฯ การวิจัยสถาบัน ลกั ษณะนี้ จะกอ่ ให้เกดิ คุณค่าดา้ นผลการตรวจสอบว่า การดำ� เนินงานไดป้ ระสบความสำ� เร็จตามท่ี คาดหวงั หรือไม่ เกิดผลกระทบในลักษณะใดบ้าง มากน้อยเพยี งใด เพือ่ น�ำไปสกู่ ารตัดสนิ ใจวา่ ควร จะขยายขอบข่ายการด�ำเนินงานในวงกว้างมากขึน้ หรอื ไม่ หรือควรจะยุตกิ ารดำ� เนนิ งาน/โครงการ หรอื ไม่

Research in Educational Administration • 201 กลา่ วโดยสรปุ การวิจัยสถาบนั ทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับการพฒั นางานขององคก์ ารหรือสถาบัน จะก่อให้เกิดคุณค่าหรือประโยชน์สามด้าน คือ คุณค่าด้านการพัฒนาการเรียนรู้ คุณค่าด้านการ ประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา และคุณค่าดา้ นการบรหิ ารการศกึ ษา 5. ประเภทของการวิจัยสถาบัน การวจิ ยั สถาบัน สามารถจ�ำแนกออกไดส้ ามประเภทใหญ่ ๆ คอื การวจิ ยั สถาบนั ที่เปน็ วธิ กี ารวทิ ยาศาสตร์การวจิ ยั สถาบนั ตามธรรมชาตขิ องการทำ� หนา้ ทข่ี องการวจิ ยั และการวจิ ยั สถาบนั ตามวัตถุประสงค์และบทบาทของการวิจัย โดยมีรายละเอียดอาจสรุปได้ ดังนี้ (Delaney, 2006; Saupe,1990; Volkwein, 2008) 5.1 การวจิ ยั สถาบันทีเ่ ปน็ วธิ กี ารวทิ ยาศาสตร์ เปน็ การวิจยั เพื่อคน้ หาคำ� ตอบและ สร้างสารสนเทศเพื่อสนองความต้องการในการตัดสินใจของผู้ท่ีเก่ียวข้องเป็นกรณี ๆ ไป ข้อค้น พบจะเปน็ ประโยชน์โดยตรงกับสถาบนั นั้น ๆ Delaney (2006) กลา่ วว่า องคป์ ระกอบส�ำคญั ของ แนวคดิ การวจิ ยั สถาบนั มี 4 องคป์ ระกอบ ดงั นคี้ อื 1) มโนทศั นห์ ลกั (Key concepts) เปน็ การกำ� หนด คำ� ถามส�ำคัญ (Crucial questions) ของสถาบันท่ีต้องการศกึ ษา คน้ คว้า 2) ขอ้ มลู (Data) ส�ำหรบั ใน ด้านขอ้ มูลที่ศกึ ษาวิจัย โดยทั่วไปไม่มกี ารสุ่ม (Usually non-random) 3) จดุ เน้น (Focus) มีจดุ เน้น อยู่ทก่ี ารตัดสนิ ใจ (Decisions) และ 4) การวเิ คราะห์ขอ้ มลู (Data analysis) ขอ้ มูลสว่ นใหญ่จะเปน็ การบรรยายสิง่ ท่ีค้นพบมากกว่าการยืนยนั ข้อค้นพบหรอื สมมติฐานใด ๆ 5.2 การวจิ ยั สถาบนั ตามธรรมชาตขิ องการทำ� หนา้ ทขี่ องการวจิ ยั การวจิ ยั สถาบนั เปน็ การวจิ ยั ทมี่ คี วามหลากหลายตามธรรมชาตขิ องการทำ� หนา้ ทขี่ องการวจิ ยั สถาบนั ซงึ่ อาจจดั เปน็ ประเภทยอ่ ย ๆ ได้ 5 ประเภท ดงั น้ี 1) การวิจัยสถาบันในลักษณะเป็นวิจัยประยุกต์ เป็นการวิจัยที่แตกต่างจาก การวิจัยการศึกษาระดับสถานศึกษาโดยตรง มีจุดหมายเพ่ือการหาความก้าวหน้าของความรู้และ การฝึกฝน ขณะเดียวกัน ข้อมูลท่ีน�ำมาใช้และวิเคราะห์สามารถสร้างสรรค์ความรู้ได้กว้างขวาง สามารถแสดงใหเ้ หน็ วา่ สถาบนั จะทำ� หนา้ ทแี่ ตล่ ะอยา่ งของตนอยา่ งไร ผลการวจิ ยั แบบนี้ จะสนอง ความต้องการเฉพาะสถาบันของตนเท่านั้น เช่น จะต้องเปิดบริการวิชานี้กี่กลุ่ม ค่าเรียนจะต้อง เพ่ิมข้ึนเท่าใดจึงจะจัดการสอนอย่างมีคุณภาพตามท่ีตั้งเป้าหมายไว้ ฯลฯ การออกแบบการวิจัย เพื่อตอบคำ� ถามเหล่านี้ เป็นลักษณะของการวจิ ัยประยุกต์แบบหนึ่ง 2) การวิจัยสถาบันในลักษณะเป็นวิจัยประเมินโครงการ เป็นการน�ำ สารสนเทศเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณมาใช้ในการวิเคราะห์โครงการหรือหน่วยงานในองค์การ เป็นระยะ ๆ ตามก�ำหนดหรือเฉพาะกิจตามความต้องการ แล้วน�ำเสนอในรูปแบบของการวิจัย สถาบนั การวจิ ยั ลกั ษณะนี้ มลี กั ษณะเปน็ การประเมนิ ผลการวจิ ยั จะไดส้ ารสนเทศทต่ี อบคำ� ถามถงึ ประสทิ ธภิ าพของผลผลติ และคณุ ภาพ อนั จะนำ� ไปสกู่ ารตดั สนิ ใจเพอื่ การสรา้ ง พฒั นาและปรบั ปรงุ โครงการตา่ ง ๆ ของสถาบัน 3) การวิจัยสถาบนั ในลักษณะเปน็ วิจยั พืน้ ฐาน เปน็ การวจิ ัยทใี่ หส้ ารสนเทศ ทั่วไปเก่ียวกับสถาบันและส่ิงแวดล้อมของสถาบันและอธิบายให้เห็นภาพของสถาบันในด้านการ

202 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา วางแผน การก�ำหนดนโยบาย และการตัดสนิ ใจต่าง ๆ ในลักษณะค�ำถามเฉพาะ เชน่ การศึกษาการ เข้าเรียนและการออกจากระบบของนักเรยี นเพ่อื น�ำเสนอประมาณการจำ� นวนผเู้ รียน ฯลฯ ผลการ วจิ ยั ลกั ษณะน้ีจะเปน็ ขอ้ คน้ พบทมี่ ปี ระโยชนต์ อ่ การตดั สนิ ใจของผบู้ รหิ าร งานวจิ ยั สถาบนั ลกั ษณะน้ี เป็นลกั ษณะของการวจิ ัยพื้นฐาน 4) การวิจัยสถาบันในลักษณะเป็นวิจัยปฏิบัติการ เป็นการวิจัยที่นักวิจัยกับ ผู้ปฏิบัติเข้าใจร่วมกันในการก�ำหนดนิยามของปัญหา การออกแบบการวิจัย การเก็บข้อมูล การ วเิ คราะห์ การแปลผล และการใชผ้ ลสกู่ ารปฏบิ ตั ิ นกั วจิ ยั สถาบนั ในงานวจิ ยั ลกั ษณะนเี้ ปรยี บเสมอื น เป็นฐานการปฏิบัติการท�ำการศึกษาเร่ืองใดเรื่องหนึ่งและเสนอต่อผู้ปฏิบัติการอย่างใกล้ชิดจน สามารถตดิ ตามผลหลงั การปฏบิ ตั ไิ ดท้ นั ที การวจิ ยั ลกั ษณะน้ี เปน็ การวจิ ยั สถาบนั ทสี่ รา้ งคณุ คา่ ตอ่ การเปลย่ี นแปลงทีด่ แี ละมีประสิทธภิ าพตอ่ สถาบนั 5) การวิจัยสถาบันในลักษณะเป็นวิจัยเชิงนโยบาย การวิจัยเชิงนโยบาย เป็นอีกแบบหนึ่งของการวิจัยท่ีประยุกต์ใช้ในการวิจัยสถาบัน การพิจารณาเร่ืองท่ีมีความละเอียด รอบคอบและมีผลกระทบตอ่ ประชาชน เชน่ เรอ่ื งทเี่ กี่ยวกับทางการเมอื ง เศรษฐกิจ ฯลฯ ควรใช้ สารสนเทศจากการวิจัยสถาบัน เช่น การพิจารณานโยบายการรับนักศึกษาอาจต้องวิเคราะห์ผล กระทบที่มีต่อศักยภาพของประชากรท่ีมีในภาคส่วนต่าง ๆ เช่นเดียวกับขนาดของประชากร และตัวแปรด้านลักษณะของนักศกึ ษา ฯลฯ 5.3 การวจิ ัยสถาบันตามวตั ถุประสงค์และบทบาทของการวิจัย การวจิ ัยสถาบันอาจ แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ตามวัตถุประสงค์และบทบาทที่นักวิจัยจะตอบสนองต่อสถาบันการ ศึกษา โดยมีรายละเอียดอาจสรุปได้ ดังน้ี (Volkwein, 2008) 1) การวิจัยสถาบันในฐานะผู้รับผิดชอบทางสารสนเทศ เป็นการวิจัยที่มี บทบาทส�ำคัญในการสนับสนุนวัตถุประสงค์ของการบริหารภายในสถาบัน นักวิจัยสถาบันเป็น ฝ่ายให้ความรู้แก่สมาชิกเพ่ือให้เรียนรู้ถึงสังคมและสถาบันของตนเองด้วยข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับ ภารกจิ และกจิ กรรมที่สำ� คัญ ๆ ตามยทุ ธศาสตรใ์ นการบรหิ ารสถาบนั ขอ้ มลู พนื้ ฐาน ได้แก่ การรบั นักศึกษาเขา้ การลงทะเบียน คณาจารย์ ปริญญาบัตร และรางวัลทส่ี ถาบันได้รับ รายงานการวจิ ัย ประเภทน้ี จะแสดงถึงสารสนเทศทีส่ ามารถน�ำเสนอเพ่อื การตัดสนิ ใจของผูบ้ รหิ ารโดยจะน�ำเสนอ ให้เหน็ ลกั ษณะและปรมิ าณผเู้ รียน ผ้สู อน และกจิ กรรมของสถานศึกษา 2) การวิจัยสถาบันในฐานะนกั วเิ คราะหน์ โยบาย เปน็ การวิจยั ท่ีเกยี่ วกับงาน วิเคราะห์ทางการบริหารจัดการ ผลการวิเคราะห์จะเป็นประโยชน์ต่อการสนับสนุนการตัดสินใจ ด้านการวางแผน และการจัดสรรงบประมาณ การทบทวนนโยบาย การปรบั โครงสรา้ งการบริหาร หรอื การเปลยี่ นแปลงทจ่ี ำ� เป็นในด้านอ่ืน ๆ รายงานการวิจยั ประเภทนจ้ี ะน�ำเสนอแนวทางการลง ทะเบยี นในรปู แบบตา่ ง ๆ และจะนำ� เสนอผลทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ ตามเงอ่ื นไขทกี่ ำ� หนดเมอื่ จำ� นวนนกั ศกึ ษา ท่ีเปน็ ตัวป้อนเขา้ มจี �ำนวนลดลงหรอื เพมิ่ ขนึ้ 3) การวจิ ัยสถาบนั ในฐานะผู้น�ำเสนอภาพลกั ษณ์ขององคก์ ร เป็นการวจิ ยั ที่ นำ� เสนอผลการวจิ ยั ทปี่ ระสบความสำ� เรจ็ ของสถาบนั ใหส้ าธารณชนไดร้ บั รู้ โดยมขี อ้ มลู ทเ่ี ปน็ ความ สำ� เร็จทีส่ ถาบันสามารถปฏบิ ัติไดจ้ ริง

Research in Educational Administration • 203 4) การวจิ ยั สถาบันในฐานะนกั วิจัยและนักวิชาการ เปน็ การศึกษาเพอ่ื ตอบ สนองการตรวจสอบจากฝา่ ยรบั รองคณุ ภาพของสถาบนั รายงานการวจิ ยั จะเปน็ หลกั ฐานสำ� คญั เพอื่ ตัดสินประสิทธิผลของสถาบัน การด�ำเนินการอย่างถูกต้องตามระเบียบ และการบรรลุเป้าหมาย ของสถาบัน รายงานการวจิ ัยประเภทน้ี มลี ักษณะเปน็ ไปเพอ่ื การตรวจสอบภาระงานตามระเบยี บ ทกี่ �ำหนดและตามแผนยทุ ธศาสตร์ของสถาบัน กลา่ วโดยสรปุ การวจิ ยั สถาบนั สามารถจ�ำแนกออกไดส้ ามประเภทใหญ่ ๆ คอื การวิจัย สถาบันที่เป็นวิธีการวิทยาศาสตร์ การวิจัยสถาบันตามธรรมชาติของการท�ำหน้าที่ของการวิจัย และการวิจัยสถาบันตามวัตถุประสงค์และบทบาทของการวิจัย การวิจัยสถาบันทั้งสามประเภท ดังกล่าว เป็นการศึกษาเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสถาบันเพ่ือหาค�ำตอบ และแนวทางพัฒนาหรือ แกป้ ัญหาเกี่ยวกับการวางแผน การพัฒนานโยบาย และการตดั สินใจของสถาบนั น้นั ๆ เป็นสำ� คัญ 6. แบบของการวิจยั สถาบัน ในการด�ำเนินการวิจัยสถาบัน ผู้วิจัยควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับแบบของ การวจิ ัยสถาบัน ซ่งึ มีรายละเอียด ดงั น้ี แบบของการวจิ ัยสถาบันสามารถใชไ้ ดเ้ หมอื นกับการวิจัยในลักษณะอน่ื ๆ ทัง้ การวิจัย เชิงปรมิ าณ การวิจยั เชิงคุณภาพ และการวิจยั แบบผสมผสานวิธี (Cresswell, 2003, 2005; Gall, M., Gall, J. and Borg, 2003; Johnson and Christensen, 2004; Neuman, 2003) ทัง้ นกี้ ารเลือกใช้แบบ ใดจะขึน้ อยูก่ บั หลกั เกณฑ์ทผี่ ู้วจิ ัยจะพจิ ารณา ซึง่ อาจต้องพจิ ารณาถงึ ปญั หาการวิจยั ประสบการณ์ สว่ นตน หรือลกั ษณะของผู้อ่านหรือผสู้ นใจงานวจิ ยั ส�ำหรับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาแบบการวิจัยน้ัน จะขึ้นอยู่กับประเด็นต่าง ๆ สามประเดน็ คอื ปัญหาการวจิ ยั ประสบการณส์ ว่ นตน และลกั ษณะของผอู้ า่ นหรอื ผสู้ นใจงานวจิ ยั โดยมีรายละเอยี ดอาจสรุปได้ ดังน้ี (Creswell, 2009, pp. 18-20) 1) ปญั หาการวจิ ยั (Research problem) เปน็ ปญั หาทางสงั คมโดยจะมลี กั ษณะและ แบบการวจิ ยั เฉพาะ เชน่ ปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ อาจตอ้ งการทราบถงึ ปจั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ ผลลพั ธ์ หรอื ตอ้ งการ ที่จะเขา้ ใจถงึ ตวั บ่งช้ีท่ดี ที ีส่ ุดของผลลัพธ์ ซ่งึ จากปัญหาดงั กล่าว วธิ ีเชิงปรมิ าณจะเปน็ วธิ ีที่ดีที่สดุ 2) ประสบการณ์ส่วนตน (Personal experiences) เป็นประสบการณ์และการฝึก อบรมของแต่ละคนของผู้วิจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกแบบการวิจัย กล่าวคือ ถ้าบุคคลได้รับการ ฝึกฝนอบรมในเชิงเทคนคิ การเขียนทางวทิ ยาศาสตร์ สถิติ และโปรแกรมสถติ ิคอมพวิ เตอร์ มกั จะ เลอื กใชก้ ารวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ ในขณะทบ่ี คุ คลทนี่ ยิ มการเขยี น หรอื การสมั ภาษณผ์ คู้ น หรอื การสงั เกต จะมีแนวโน้มในการเลือกการวิจัยเชิงคุณภาพ ส่วนบุคคลที่มีประสบการณ์หรือคุ้นเคยท้ังการวิจัย เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คุณภาพ จะเลือกการวิจยั แบบผสมผสานวธิ ี 3) ลักษณะของผู้อ่านหรือผู้สนใจงานวิจัย (Audience) เป็นเกณฑ์ท่ีผู้วิจัยค�ำนึงถึง ลักษณะของบุคคลที่เป็นผู้อ่าน ประเมิน หรือสนใจงานวิจัยท่ีนักวิจัยจะท�ำว่า มีแนวโน้มยอมรับ หรือให้การสนับสนุนการท�ำงานวิจัยในรูปแบบใด เช่น ถ้าผู้อ่านหรือประเมินงานวิจัยมีความ คนุ้ เคยและใหค้ ณุ คา่ กบั งานวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณมากกวา่ งานวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ โอกาสทงี่ านวจิ ยั ไดร้ บั การ ออกแบบเป็นการวจิ ยั เชิงปริมาณย่อมเปน็ ไปไดส้ ูง

204 • การวิจัยทางการบริหารการศกึ ษา 5.2 เทคนิคของการวิจยั สถาบัน เทคนคิ ของการวจิ ยั สถาบนั มอี ยหู่ ลากหลายวธิ ี ในทน่ี ี้ จะนำ� เสนอเทคนคิ สำ� หรบั การวาง กลยทุ ธข์ องสถาบนั เทคนคิ สำ� หรบั การนำ� กลยทุ ธไ์ ปใช้และเทคนคิ สำ� หรบั การปรบั ปรงุ ประสทิ ธผิ ล ของสถาบนั (Lyddon and others, 2012) โดยมีรายละเอียดอาจสรปุ ได้ ดังน้ี 1. เทคนิคการวางกลยทุ ธ์ของสถาบนั เทคนิคแรกนี้อาจแบง่ ออกเปน็ เทคนิคการ ประเมนิ สภาพแวดลอ้ มภายนอก และเทคนคิ การประเมนิ และการกำ� หนดกลยทุ ธ์ ดงั น้ี 1.1 เทคนิคการประเมินสภาพแวดล้อมภายนอก กลยุทธ์เป็นส่ิงส�ำคัญ ในขนั้ ตน้ ของกระบวนการวางแผนของสถาบนั ซงึ่ กอ่ นทจ่ี ะไดม้ าซง่ึ กลยทุ ธ์ สถาบนั จะตอ้ งทำ� การ วิเคราะห์หรือประเมินสภาพแวดล้อมภายนอกเพื่อพิจารณาองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องในภาพรวม โดยใชเ้ ทคนคิ การประเมนิ สภาพแวดลอ้ มภายนอก ทเ่ี รยี กวา่ “การวเิ คราะห์ PESTLE (เพสทเ์ ทลิ )” หรือ “PESTLE Analysis” การวเิ คราะห์ PESTLE คือ เครื่องมอื ทีเ่ ปน็ ประโยชนใ์ นการวเิ คราะหแ์ ละ ทำ� ความเขา้ ใจ “ภาพรวม” ของสภาพแวดลอ้ มภายนอกหรอื พนื้ ทท่ี ก่ี ำ� ลงั จะเขา้ ไปดำ� เนนิ งานและคดิ เกย่ี วกับโอกาส และภยั คุกคามท่อี ยูภ่ ายในพืน้ ทซ่ี ่งึ จะต้องท�ำการคน้ คว้าขอ้ มูลตา่ ง ๆ เพ่ือทำ� ความ เขา้ ใจเกีย่ วกับสภาพแวดล้อมในพื้นทใี่ หม่ และจะตอ้ งคิดวางแผนเพอื่ หาประโยชน์จากโอกาสและ พยายามลดภัยคกุ คามลงใหไ้ ด้ การวเิ คราะห์ PESTLE จะชว่ ยในการวเิ คราะหด์ า้ นองคป์ ระกอบภายนอก ของสถาบันที่ส�ำคัญ 6 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบด้านการเมือง (Political) เศรษฐกิจ (Economic) สงั คม (Social) เทคโนโลยี (Technological) สภาพแวดล้อม (Environmental) และ กฎระเบียบ (Legal) ซ่ึงองค์ประกอบเหล่านี้จะใช้ในขั้นตอนแรกเพื่อระดมความคิด หลังจาก นั้น น�ำข้อมูลที่ได้ผ่านการวิเคราะห์แล้วมาสรุปผล เพ่ือใช้ประกอบการตัดสินใจที่ส�ำคัญของการ เปลีย่ นแปลงการด�ำเนนิ งานภายในสถาบนั 1.2 เทคนิคการประเมินและการก�ำหนดกลยุทธ์ การวางแผนกลยุทธ์ เปน็ การวางแผนที่มกี ารกำ� หนดวิสยั ทศั น์ มกี ารกำ� หนดเป้าหมายระยะยาวที่แนช่ ดั มกี ารวเิ คราะห์ อนาคตและคิดเชิงการแข่งขันซ่ึงต้องการระบบการท�ำงานท่ีมีความสามารถในการปรับตัวสูง ท่ามกลางส่ิงแวดล้อมท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพ่ือให้ทันและสามารถเผชิญกับการ เปลย่ี นแปลงทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ ในอนาคตได้ และในการวางแผนกลยทุ ธน์ นั้ สงิ่ ทสี่ ำ� คญั และจำ� เปน็ สำ� หรบั สถาบนั คอื “การกำ� หนดกลยทุ ธ”์ สำ� หรบั ใชใ้ นการทำ� งานเพอื่ การบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ องงาน โดย กลยทุ ธท์ จ่ี ะสามารถกำ� หนดไดน้ นั้ จะตอ้ งผา่ นวธิ กี ารวเิ คราะหส์ ภาพของสถาบนั เพอื่ ใหร้ สู้ ถานภาพ หรือสภาพของสถาบันเสียก่อน ซ่ึงมีอยู่หลายวิธี และหน่ึงในวิธีการเหล่านี้คือ การวิเคราะห์ SWOT หรือ SWOT Analysis ซ่ึงเป็นวิธีการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในฐานะเคร่ืองมือในการ ประเมินหรือวิเคราะห์สถาบันเพ่ือการวางแผนและการก�ำหนดกลยุทธ์ของสถาบัน ดังแสดงใน ตารางที่ 5.1

Research in Educational Administration • 205 ตารางท่ี 5.1 การวเิ คราะห์ SWOT หรือ SWOT Analysis W (Weaknesses) จุดออ่ น S (Strengths) จดุ แขง็ T (Threats) ภยั คุคาม O (Opportunities) โอกาส จากตารางที่ 5.1 การวิเคราะห์ SWOT เป็นเคร่ืองมือการบริหารที่น�ำมาใช้วิเคราะห์ สภาพแวดล้อม วิเคราะห์ศักยภาพของสถาบันเพ่ือประเมินสถานการณ์ จากน้ันน�ำข้อมูลที่ได้มา ก�ำหนดเป้าหมายหรอื กำ� หนดทศิ ทางการทำ� งาน ซึ่งนยิ มเรียกกนั ว่า “กลยทุ ธ์การบริหาร” SWOT เป็นอกั ษรยอ่ ซง่ึ แต่ละคำ� มีความหมาย ดังนี้ S หรือ Strengths หมายถึง ปจั จัยตา่ ง ๆ ภายในสถาบัน ทที่ ำ� ให้เกิดความเขม้ แขง็ หรือเป็นจุดแข็งของสถาบันที่จะน�ำไปสู่การได้เปรียบคู่แข่งขัน เป็นข้อดีท่ีเกิดจากสภาพแวดล้อม ภายใน เช่น จุดแข็งด้านการเงิน ด้านการผลิต ด้านทรัพยากรบุคคล ด้านคุณภาพของสินค้า ฯลฯ ผู้บริหารสถาบนั ต้องใชป้ ระโยชนจ์ ากจดุ แขง็ เหล่าน้ใี นการกำ� หนดกลยทุ ธ์ W หรอื Weaknesses หมายถงึ ปจั จยั ตา่ ง ๆ ภายในสถาบนั ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ ความออ่ นแอ หรือเป็นจุดอ่อน น�ำไปสู่การเสียเปรียบคู่แข่ง เป็นปัญหาหรือข้อบกพร่องท่ีเกิดจากสภาพภายใน ซึ่งผูบ้ รหิ ารสถาบนั จะตอ้ งหาวธิ ีแกไ้ ขปัญหานั้นให้ได้ O หรอื Opportunities หมายถงึ ปัจจยั ต่าง ๆ ภายนอกสถาบันทเ่ี ออ้ื ประโยชนใ์ ห้ ซง่ึ เปน็ โอกาสทชี่ ว่ ยสง่ เสรมิ การดำ� เนนิ งาน เชน่ สภาพเศรษฐกจิ ทข่ี ยายตวั ฯลฯ ขอ้ แตกตา่ งระหวา่ ง จุดแข็งกับโอกาสในการด�ำเนินงานก็คือ จุดแข็งเป็นปัจจัยท่ีเกิดจากสภาพแวดล้อมภายใน ส่วน โอกาสน้ันเป็นผลจากสภาพแวดล้อมภายนอก ผู้บริหารสถาบันที่ดีจะต้องเสาะแสวงหาโอกาสอยู่ เสมอเพื่อใช้ประโยชนจ์ ากโอกาสนนั้ T หรือ Threats หมายถึง ปัจจัยต่าง ๆ ภายนอกสถาบันท่ีเป็นอุปสรรคต่อการ ด�ำเนินงาน เป็นข้อจ�ำกัดที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอก ผู้บริหารสถาบันต้องปรับกลยุทธ์ให้ สอดคลอ้ งและพยายามขจดั ปญั หาอุปสรรคท่ีเกดิ ข้ึนให้หมดไป ในการวิเคราะห์ SWOT ดังกลา่ ว มกี ลยุทธท์ ตี่ ้องพจิ ารณา 4 กลยุทธ์ ดังน้ี (1) กลยทุ ธ์เพิ่มศักยภาพ หรือกลยทุ ธเ์ ชิงรกุ (S+O) ใชป้ ระโยชน์จากจุดแข็ง ทส่ี ถาบันมีอย่แู ละโอกาสภายนอกท่เี ออ้ื อำ� นวยให้เพม่ิ ศกั ยภาพของสถาบัน (2) กลยุทธ์สร้างภูมิคุ้มกัน หรือกลยุทธ์เชิงแก้ไข (S+T) ใช้ประโยชน์จาก จุดแข็งท่ีสถาบันมีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพ่ือบรรเทาผลกระทบจากภัยคุกคามหรือ สภาพแวดลอ้ มภายนอกทีเ่ ปน็ อุปสรรคต่อการท�ำงาน (3) กลยทุ ธเ์ รง่ พฒั นาหรอื กลยทุ ธเ์ ชงิ ปอ้ งกนั (W+O) ใชป้ ระโยชนจ์ ากโอกาส หรอื สภาพแวดลอ้ มภายนอกทเี่ ออื้ อำ� นวยผลกั ดนั ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงภายในสถาบนั ทมี่ จี ดุ ออ่ น รอคอยการแก้ไขอยู่

206 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา (4) กลยทุ ธแ์ กว้ ิกฤติ หรอื กลยทุ ธเ์ ชงิ รบั (W+T) ใช้ประโยชน์จากจดุ อ่อนของ สถาบนั เพอ่ื หาแนวทางใหม่ ๆ มาชว่ ยในการพฒั นาสถาบนั โดยปรบั รอ้ื ระบบการทำ� งานใหต้ า่ งจาก เดมิ เพอ่ื หาทางอยรู่ อดให้ได้ภายใตส้ ภาพแวดล้อมภายนอกที่ไม่เอ้อื อำ� นวย กลา่ วโดยสรปุ SWOT กค็ อื กลยุทธ์การบริหาร 4 ดา้ น ซึง่ ได้แก่ จุดแขง็ ซึ่งเป็นจุด เด่นของสถาบัน จุดอ่อนท่ีเป็นข้อเสียเปรียบของสถาบัน โอกาสท่ีเอื้อประโยชน์ให้สถาบัน และ ปัญหาอุปสรรคที่อาจมีผลกระทบต่อสถาบัน โดยแต่ละด้านสามารถจับคู่เป็นกลยุทธ์ที่ต้อง พจิ ารณา 4 กลยทุ ธ์ คอื กลยทุ ธเ์ พมิ่ ศกั ยภาพ (S+O) กลยทุ ธส์ รา้ งภมู คิ มุ้ กนั (S+T) กลยทุ ธเ์ รง่ พฒั นา (W+O) และกลยทุ ธแ์ กว้ ิกฤติ (W+T) 2. เทคนคิ การน�ำกลยุทธ์ไปปฏบิ ัติ การนำ� กลยทุ ธ์ไปส่กู ารปฏบิ ตั ิ เปน็ กระบวนการ จดั สรรทรพั ยากรเพอื่ การสนบั สนนุ กลยทุ ธ์ โดยถอื เปน็ กระบวนการทสี่ ำ� คญั ทสี่ ดุ ของการบรหิ าร เชิงกลยุทธ์และเป็นกระบวนการท่ีมีโอกาสล้มเหลวมากท่ีสุดในทุกกระบวนการของการบริหาร เชิงกลยุทธ์ ดังน้ัน จึงมีความจ�ำเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องมีเทคนิคเพ่ือการน�ำกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ ซงึ่ เทคนคิ สว่ นใหญจ่ ะใชใ้ นแวดวงธรุ กจิ ในสว่ นของการศกึ ษา ไดน้ ำ� เทคนคิ หนง่ึ ทเ่ี ปน็ ทน่ี ยิ มและ มีความเหมาะสม คือ เทคนิคการน�ำกลยุทธไ์ ปสู่การปฏิบตั ติ ามแนวคดิ การบริหารแบบสมดลุ หรอื ก20า1ร 2ป)ร ะเมนิ แบบสมดุล (Balanced Scorecard: BSC) ดังแสดงตามภาพที่ 5.1 (LyndonϮϱaϱnd others, FINANCIAL “To succeed financially, how should we appear to our shareholder?”  CUSTOMER Vision INTERNAL BUSINESS “To achieve our vision, and PROCESSES how should we appear to Strategy “To satisfy our share holders our customers?” and customers, what business processes must we excel at?”  LEARNING AND GROWTH “To achieve our vision, how will we sustain our ability to change and improve?”  ภาพที่ ภ5.า1พทก่ี 5า.ร1บกราิหรบารริหแาบรแบบสบมสดมดุลุล  SourceS.oKuracpe.laKnapalnandaNndoNrtoornto(n1(9199922)) จาจกาภกาพภทาี่พ5.1ทกี่ า5ร.บ1ริหกาารรแบบบรสิหมาดรุลแหบรบือสBaมlaดncุลe d SหcoรrือecaBrdaเปla็นnรcะeบdบหSรcือoกrรeะcบaวrนdก เาปร ็นระบบ หรหือรกือรกะลยบุทวธน์ในกกาารรหบรริหือากรลงายนุทสธมยั์ใในหกมา่ แรลบะรไดิหร้ าับรคงวาานมนสิยมมัยไปใหทวมั่ โ่ ลแกลรวะมไทด้งั้รปับรคะเวทาศมไทนยิยBมaไlaปncทe่ัdวโลกรวม Scorecard ได้พัฒนาข้ึนเม่ือปี 1990 โดย Robert Kaplan จาก Harvard Business School และ David Norton จาก Balanced Scorecard Collaborative โดยต้ังชื่อระบบน้ีว่า “Balanced Scorecard” เพ่ือท่ี

Research in Educational Administration • 207 ท้งั ประเทศไทย Balanced Scorecard ไดพ้ ฒั นาขึ้นเม่ือปี 1990 โดย  Robert Kaplan จาก Harvard Business School และ David Norton จาก Balanced Scorecard Collaborative โดยต้งั ช่อื ระบบนว้ี ่า “Balanced Scorecard” เพอื่ ทผี่ บู้ รหิ ารของสถาบนั /องคก์ ารจะไดร้ บั รถู้ งึ จดุ ออ่ น และความไมช่ ดั เจน ของการบริหารงานที่ผ่านมา Balanced Scorecard จะช่วยในการก�ำหนดกลยุทธ์ในการจัดการ สถาบนั /องคก์ ารไดช้ ดั เจน โดยดจู ากผลของการวดั คา่ ไดจ้ ากทกุ มมุ มอง เพอื่ ใหเ้ กดิ ดลุ ยภาพในทกุ ๆ ดา้ น มากกวา่ ท่จี ะใชม้ มุ มองดา้ นการเงนิ เพยี งด้านเดียว อย่างทีอ่ งค์กรธุรกิจสว่ นใหญค่ ำ� นงึ ถึง เชน่ รายได้ ก�ำไร ผลตอบแทนจากเงินปนั ผล และราคาหุ้นในตลาด ฯลฯ การน�ำ Balanced Scorecard มาใช้ จะท�ำใหผ้ บู้ ริหารมองเห็นภาพของสถาบนั /องค์การชดั เจนยิ่งขึ้น Balanced Scorecard คือ ระบบการบรหิ ารงานและประเมินผลทว่ั ทัง้ สถาบัน/องค์การ และไม่ใช่เฉพาะเป็นระบบการวัดผลเพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นการก�ำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) และแผนกลยทุ ธ์ (Strategic plan) แลว้ แปลผลลงไปสทู่ กุ จดุ ของสถาบนั /องคก์ ารเพอื่ ใชเ้ ปน็ แนวทาง ในการดำ� เนินงานของแต่ละฝา่ ยงานและแตล่ ะคน โดยระบบของ Balanced Scorecard จะเปน็ การ จัดหาแนวทางแก้ไขและปรับปรุงการด�ำเนินงาน โดยพิจารณาจากผลท่ีเกิดข้ึนของกระบวนการ ท�ำงานภายในสถาบัน/องค์การ และผลกระทบจากลกู คา้ ภายนอกสถาบัน/องคก์ าร น�ำมาปรบั ปรงุ สร้างกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพดีและประสิทธิผลดียิ่งขึ้น เม่ือสถาบัน/องค์การได้ปรับเปลี่ยนเข้า สูร่ ะบบ Balanced Scorecard เตม็ ระบบแล้ว Balanced Scorecard จะชว่ ยปรับเปลย่ี นแผนกลยทุ ธ์ ของสถาบนั /องคก์ ารจากระบบ “การทำ� งานตามคำ� สงั่ หรอื สงิ่ ทไี่ ดเ้ รยี นรสู้ บื ทอดกนั มา (Academic exercise)” ไปสรู่ ะบบ “การรว่ มใจเปน็ หนงึ่ เดยี วของสถาบนั /องคก์ าร (Nerve center of an enterprise) Kaplan and Norton (2000) ได้ศึกษาและส�ำรวจถึงสาเหตุของการท่ีตลาดหุ้นของ สหรฐั อเมรกิ าประสบปญั หาในปี 1987 และพบวา่ สถาบนั /องคก์ ารสว่ นใหญใ่ นสหรฐั อเมรกิ านยิ ม ใชแ้ ตต่ วั ชวี้ ดั ดา้ นการเงนิ เปน็ หลกั เขาทง้ั สองจงึ ไดเ้ สนอแนวคดิ การประเมนิ ผลองคก์ ารโดยพจิ ารณา ตัวชี้วัดในสี่มุมมองแทนการพิจารณาเฉพาะมุมมองด้านการเงินอย่างเดียวและได้อธิบายถึงระบบ Balanced Scorecard ทีค่ ิดค้นขนึ้ มาใหมน่ ี้ ดงั น้ี Balanced Scorecard จะยังคงค�ำนึงถึงมุมมองของการวัดผลทางการเงิน (Financial measures) อยเู่ หมอื นเดมิ แตผ่ ลลพั ธท์ างการเงนิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ จะบอกถงึ สงิ่ ทเ่ี กดิ ขนึ้ กบั สถาบนั /องคก์ าร ในช่วงที่ผ่านมา บอกถึงเร่ืองราวของความสามารถกับอายุของบริษัทท่ีอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ แต่ มนั ไม่ไดบ้ อกถงึ ความส�ำเร็จของสถาบนั /องค์การ ทจี่ ะมีต่อผลู้ งทนุ ที่จะมาลงทุนระยะยาวโดยการ ซื้อหุ้นของบริษัท และความสัมพันธ์ของลูกค้า (Customer Relationships) แต่อย่างใด จะเห็นได้ วา่ เพียงการวัดผลทางการเงินด้านเดียวไม่เพยี งพอ อย่างไรก็ตาม มันกใ็ ช้เป็นแนวทางและการตีค่า ของผลการประกอบการของสถาบนั /องค์การ ใช้เป็นข้อมลู ทีจ่ ะเพม่ิ มูลค่าของสถาบนั /องค์การใน อนาคตและสร้างแนวทางสำ� หรับลกู ค้า (Customers) ผูข้ ายวตั ถุดิบหรือสินคา้ (Suppliers) ลกู จา้ ง (Employees) การปฏบิ ตั งิ าน (Processes) เทคโนโลยี (Technology) และการคดิ คน้ นวตั กรรมใหม่ ๆ Balance Scorecard จะท�ำให้เราได้เห็นภาพของสถาบนั /องคก์ ารใน 4 มุมมอง และนำ� ไปสู่การพัฒนาเคร่ืองมือวัดผลโดยวิธีการรวบรวมข้อมูลและน�ำผลท่ีได้มาวิเคราะห์ มุมมองทั้ง 4 ดังกลา่ ว มีดงั น้ี

208 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา 1)  มุมมองด้านการเงิน (Financial Perspective: F)  เช่น การเพ่ิมรายได้ ประสิทธิภาพในการผลิตท่ีมีต้นทุนต่�ำและมีการสูญเสียระหว่างผลิตน้อย การหาแหล่งเงินทุนท่ี มตี น้ ทนุ ต�่ำ ฯลฯ  2)  มุมมองด้านลูกค้า (Customer Perspective: C)  เช่น ความพึงพอใจของลูกคา้ ภาพลกั ษณ์ กระบวนการด้านการตลาด การจดั การด้านลูกค้าสมั พนั ธ์ ฯลฯ 3)  มุมมองด้านการด�ำเนินการภายใน (Internal Perspective: I) เป็นมุมมอง ดา้ นกระบวนการทำ� งานภายในสถาบนั /องคก์ ารเอง เชน่ การคดิ คน้ นวตั กรรมใหม่ๆการจดั โครงสรา้ ง องคก์ ารทีม่ ีประสทิ ธภิ าพ การประสานงานภายในสถาบนั /องค์การ การจัดการด้านสายงานผลิต ที่มีประสิทธิภาพ ฯลฯ 4)   มมุ มองดา้ นการเรยี นรแู้ ละการเตบิ โต (LearningandGrowthPerspective: L)  เช่น การพฒั นาความร้คู วามสามารถของพนกั งาน ความพึงพอใจของพนกั งาน การพัฒนาระบบ อำ� นวยความสะดวกในการท�ำงาน ฯลฯ Balance Scorecard (BSC) นั้น ไดร้ ับการพฒั นามาโดยตลอด ทำ� ให้ภาพของ BSC จาก เพยี งเครอ่ื งมอื ทใี่ ชเ้ พอ่ื วดั และประเมนิ ผลสถาบนั /องคก์ ารไปสกู่ ารเปน็ เครอื่ งมอื เชงิ ระบบสำ� หรบั การวางแผนและบริหารยุทธศาสตร์ (Strategic Planning) โดยผู้พัฒนาเครื่องมือน้ี (Norton และ Kaplan) ยนื ยนั หนกั แน่นวา่ ความสมดลุ (Balance) ในการพฒั นาสถาบัน/องคก์ ารนั้น สามารถวดั และประเมินได้จากการมองผ่านมุมมองของระบบการวัดและประเมินผลใน 4 ด้านหลักดังกล่าว ข้างต้น ดังนั้น BSC จึงเป็นเสมือนเครื่องมือหรือกลไกในการวางแผนและบริหารกลยุทธ์ท่ีมีการ ก�ำหนดมุมมองท้ัง 4 ด้าน เพ่ือให้เกิดความสมดุลในการพัฒนาสถาบัน/องค์การ จนบรรลุแผน กลยทุ ธ์ท่ไี ดว้ างไวใ้ นที่สุด  ค�ำว่า สมดุล (Balance) ใน BSC มิได้หมายถึง การเติมเต็มมุมมองการพัฒนาทั้ง 4 ด้าน (C-L-I-F) เท่านั้น แต่หมายถึง ความสมดุลตามความมุ่งมาดคาดหมายของ BSC คือ ความสมดุล (Balance) ระหว่าง 1) จุดมุ่งหมาย (Objective) ระยะส้ันและระยะยาว  2) การวัด ผล (Measure) ทางด้านการเงินและไม่ใช่การเงิน 3) ดัชนีช้ีวัด (Indicator)  เพื่อการติดตามและ การผลกั ดัน และ 4) มมุ มอง (Perspective)  ภายในและภายนอก  ซ่ึงหาก BSC ทท่ี �ำการพฒั นาข้ึน และใชใ้ นสถาบนั /องคก์ าร ไมไ่ ดพ้ ยายามทำ� ใหเ้ กดิ ความสมดลุ ดงั กลา่ ว กย็ อ่ มคาดหวงั ผลประโยชน์ จากการทำ� BSC ไมไ่ ดอ้ ยา่ งเตม็ เม็ดเต็มหนว่ ย 3. เทคนิคการปรับปรุงประสิทธิผลของสถาบัน ในการปรับปรุงประสิทธิผลของ สถาบันน้ัน อาจใช้เทคนิคเฉพาะส�ำหรับการปรับปรุงซ่ึงสามารถจ�ำแนกออกได้ 3 ประการ ดังนี้ (ภาวณิ ี ศรีสุขวัฒนานนท์ และกุลชลี จงเจริญ, 2557) 3.1 เทคนิคการจ�ำแนกจดุ เร่มิ ต้นของการด�ำเนนิ งาน เปน็ เทคนคิ ทชี่ ่วยในการ พจิ ารณากระบวนการและการตดั สนิ ใจใหเ้ หมาะสมเพอื่ นำ� ไปสคู่ า่ นยิ มหลกั วสิ ยั ทศั นแ์ ละพนั ธกจิ ของสถาบนั ซึง่ เทคนคิ ดงั กลา่ วมีอยู่หลายชนิด เช่น การประเมินฐานข้อมูล (Baseline assessment) การวเิ คราะห์ขอบเขตที่รับผิดชอบ (Constituency analysis) ฯลฯ

Research in Educational Administration • 209 3.2 เทคนิคการพิจารณากระบวนการ มีเทคนิคส�ำคัญหลายชนิดท่ีช่วยใน การพิจารณากระบวนการดำ� เนินงาน เช่น การวเิ คราะห์ภายใน (Internal unit dependency analysis) การจดั แผนทสี่ าเหตแุ ละผล (Cause and effect mapping) การวเิ คราะหร์ ายละเอยี ด (Detail analysis) ซึ่งในการวเิ คราะหร์ ายละเอยี ด จะแยกออกเป็นเทคนิคย่อย ๆ อีก 4 เทคนิค ได้แก่ การระดมสมอง (Brainstorming) แผนภูมิกา้ งปลา (Fishbone diagram) แผนภูมิต้นไม้ (Decision tree) และแผนภูมิ ระบบ (System diagram) 3.3 เทคนิคการวิเคราะห์การบริหารจัดกระบวนการอื่น ๆ ซ่ึงมีเทคนิคย่อย หลายเทคนิคที่น�ำมาใช้ประโยชน์ เช่น แผนภูมิการควบคุม (Control chart) กราฟแสดงค่าสถิติ (Histogram) ผังงาน (Flowchart) ฯลฯ กล่าวโดยสรปุ เทคนิคการวิจยั สถาบนั ทั้ง 3 เทคนิค ได้แก่ เทคนิคการวางกลยทุ ธ์ของ สถาบัน เทคนิคการน�ำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ และเทคนิคการปรับปรุงประสิทธิผลของสถาบัน เป็น เทคนิคท่ีส�ำคัญในการสนับสนุนการด�ำเนินงานของสถาบัน โดยเฉพาะในด้านข้อมูลเพ่ือการ สนับสนุนการตดั สินใจและการพฒั นาสถาบัน 5.3 ระดับการปฏิบัตขิ องการวจิ ยั สถาบนั และกรณีตวั อย่าง สถาบนั เปน็ หนว่ ยวเิ คราะห์ (Unit) ของการบรหิ ารองคก์ ารซง่ึ มอี ยหู่ ลายระดบั ทแี่ ตกตา่ ง กนั อยา่ งไรกต็ าม การวจิ ยั สถาบนั สามารถจำ� แนกระดบั การปฏบิ ตั ไิ ดใ้ นทกุ ระดบั โดยอาจแบง่ ออก เป็น 3 ระดบั ดังนี้ 1. การวิจัยสถาบันระดับสถาบันอุดมศึกษา เป็นการวิจัยท่ีมีการด�ำเนินการใน สถาบนั อดุ มศกึ ษา โดยผบู้ รหิ ารระดบั สงู หรอื นกั วจิ ยั สถาบนั ในหนว่ ยงานทรี่ บั ผดิ ชอบโดยตรงเปน็ ผู้พิจารณาปัญหาและความต้องการจำ� เป็นของสถาบัน ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับนักศึกษา หลักสูตร งบประมาณ บุคลากร อาคารสถานท่ี ฯลฯ ดังกรณีตัวอย่างงานวิจัยสถาบันระดับสถาบันอุดม ศกึ ษาทจี่ ะนำ� เสนอ ดงั นี้ ตัวอย่าง : กรณีงานวจิ ยั สถาบันระดบั สถาบันอดุ มศึกษา ชื่อเรื่อง : การพัฒนาระบบการบริหารงานการประกันคุณภาพการศึกษาของ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (ด�ำเนินการวิจัยโดย ธีรศักด์ิ อุ่นอารมณ์เลิศ และคณะ ปี 2555) วัตถุประสงค์: เพ่ือ 1) เทียบเคียงสมรรถนะ (Benchmarking) ด้านกระบวนการ บริหาร และด้านผลการประกันคุณภาพการศึกษาของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กบั คณะศกึ ษาศาสตร์ ทีม่ วี ธิ กี ารปฏิบตั ิทเ่ี ป็นเลศิ (Best Practice) 2) ศกึ ษาวธิ ีการปฏบิ ตั ทิ ี่เป็นเลิศ (Best Practice) ในการประกันคุณภาพการศึกษา ของคณะศึกษาศาสตร์ และ 3) ศกึ ษาแนวทางการ พัฒนาระบบการบรหิ ารการประกนั คณุ ภาพการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร วิธีด�ำเนินการวิจัย : ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมุ่งศึกษาองค์กรท่ีมีวิธีการ ปฏิบัติที่เป็นเลิศในด้านการประกันคุณภาพการศึกษา ได้แก่ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย

210 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา มหาสารคาม และคณะศกึ ษาศาสตรม์ หาวทิ ยาลยั นเรศวร เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยวธิ กี ารสงั เกตแบบ ไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม และการวิเคราะห์เอกสาร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการ จ�ำแนกประเภทของขอ้ มลู (Typological Analysis) การเปรยี บเทียบขอ้ มลู (Costant Comparison) การวิเคราะห์แบบอุปนัย (Analytic Induction) การวิเคราะห์เชิงเน้ือหา (Content Analysis) และ การวเิ คราะห์ชว่ งห่าง (Gap Analysis) ผลการวิจยั พบวา่ 1. การเทียบเคยี งสมรรถนะดา้ นปรัชญา ปณธิ าน วสิ ัยทศั น์ พันธกิจ พบวา่ คณะ ศึกษาศาสตร์ทงั้ สามมหาวทิ ยาลยั มปี รัชญา ปณธิ าน วสิ ัยทัศน์ และพันธกิจ ท่สี อดคลอ้ งกันในการ ผลิตบัณฑิตครูที่มีความเป็นเลิศในวิชาชีพ และจัดการศึกษาทุกระดับอย่างมีคุณภาพได้มาตรฐาน เปน็ ทยี่ อมรบั ในระดบั สากล การเทยี บเคยี งสมรรถนะดา้ นผลการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาพจิ ารณา จากคะแนนการประเมินตามเกณฑ์ สกอ. และ สมศ. พบว่า มีคะแนนรายตัวบ่งช้ีซึ่งเป็นคะแนน การประเมินเท่ากันเป็นส่วนใหญ่ โดยตัวบ่งชี้ที่มีคะแนนแตกต่างกันอย่างชัดเจน ร้อยละ 40 ข้ึน ไป ได้แก่ ตัวบ่งชี้อาจารย์ประจ�ำท่ีด�ำรงต�ำแหน่งทางวิชาการ ตัวบ่งช้ีระบบและกลไกการพัฒนา และบริหารหลักสูตร ตัวบ่งชี้ระบบและกลไกการจัดการเรียนการสอน และตัวบ่งช้ีผลงานของ ผู้ส�ำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกที่ได้รับการตีพิมพ์หรือเผยแพร่ การเทียบเคียงสมรรถนะ กระบวนการประกันคุณภาพ ดา้ นปจั จยั น�ำเข้า พบว่า ตวั บ่งชีท้ ม่ี คี วามแตกตา่ งกนั ได้แก่ ตวั บ่งช้ี อาจารย์ประจ�ำที่มีคุณวุฒิปริญญาเอก ตัวบ่งช้ีอาจารย์ประจ�ำท่ีด�ำรงต�ำแหน่งทางวิชาการ ตัวบ่งช้ี ห้องสมดุ อปุ กรณ์การศกึ ษา และสภาพแวดล้อมการเรยี นรู้ การจัดการและใหบ้ ริการคอมพวิ เตอร์ และตัวบ่งชี้เงินสนับสนุนงานวิจัย ด้านกระบวนการ มีความแตกต่างกันในตัวบ่งชี้การพัฒนา แผน ตัวบ่งชี้ระบบและกลไกการพัฒนาและบริหารหลักสูตร ตัวบ่งชี้ระบบและกลไกการจัดการ เรียนการสอน ตัวบ่งช้ีระบบและกลไกการพัฒนาสัมฤทธิผลการเรียนตามคุณลักษณะของบัณฑิต ตวั บง่ ช้รี ะบบและกลไกการพฒั นางานวจิ ยั หรอื งานสรา้ งสรรค์ ตัวบ่งชร้ี ะบบและกลไกการจัดการ ความรจู้ ากงานวจิ ยั หรอื งานสรา้ งสรรค์ตวั บง่ ชร้ี ะบบและกลไกการบรกิ ารทางวชิ าการแกส่ งั คมตวั บง่ ชี้ กระบวนการบริการทางวิชาการให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ตัวบ่งช้ีระบบและกลไกการท�ำนุบ�ำรุง ศิลปะและวัฒนธรรม ตัวบ่งชี้ภาวะผนู้ �ำของสภาสถาบันและผู้บริหารทุกระดับ ตวั บง่ ชี้การพฒั นา สถาบันสู่สถาบันเรียนรู้ ตัวบ่งช้ีระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารและการตัดสินใจ ตัวบ่งช้ีระบบ บริหารความเส่ียง ตัวบ่งชี้ระบบและกลไกการเงินและงบประมาณ ตัวบ่งช้ีระบบและกลไกการ ประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาภายในและตวั บง่ ชที้ สี่ ะทอ้ นอตั ลกั ษณ์สำ� หรบั ตวั บง่ ชรี้ ะบบและกลไกการ ให้ค�ำปรึกษาและบริการด้านขอ้ มูลขา่ วสาร ตัวบง่ ช้รี ะบบและกลไกการสง่ เสริมกจิ กรรมนกั ศกึ ษา มคี วามสอดคลอ้ งกนั และดา้ นผลลพั ธ์ ตวั บง่ ชร้ี ะดบั ความสำ� เรจ็ ของนกั ศกึ ษามคี วามสอดคลอ้ งกนั 2. วิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศในการด�ำเนินการประกันคุณภาพการศึกษา ประกอบ ดว้ ยกระบวนการมสี ว่ นรว่ มของบคุ ลากรการเสรมิ สรา้ งภาวะผนู้ ำ� เขม้ แขง็ ทม่ี กี ารเตรยี มความพรอ้ ม และสรา้ งความตระหนกั ใหบ้ ุคลากรโดยการจัดการความรู้ (KM) เพื่อการเข้าส่คู วามเปน็ มาตรฐาน สากล สรา้ งกระบวนการดำ� เนนิ งานทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพไดม้ าตรฐานโดยการวางแผนทดี่ ี กำ� หนดและ กระจายความรบั ผดิ ชอบบคุ ลากรรว่ มกนั ดำ� เนนิ การตามแผนอยา่ งรดั กมุ เปน็ ระบบมกี ารตรวจสอบ

Research in Educational Administration • 211 ที่น่าเชื่อถือและปรับปรุงการปฏิบัติงานเพ่ือจัดท�ำข้อมูลสารสนเทศท่ีเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา คณุ ภาพการศกึ ษา 3. แนวทางการพัฒนาระบบการบริหารการประกันคุณภาพการศึกษา คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ประกอบด้วย 1) ข้ันการวางแผนและเตรียมความพร้อมด้วย การมีส่วนร่วมสร้างความเข้าใจและความตระหนักถึงความส�ำคัญจากทุกภาคส่วน วิเคราะห์แผน กลยุทธ์และแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติการโดยจัดท�ำแผนท่ียุทธศาสตร์ (Strategic map) ด�ำเนิน การเขียนโครงการท่ีสอดคล้องกับการประกันคุณภาพการศึกษา 2) ขั้นการดำ� เนินงาน ได้แก่ การ ปฏบิ ตั ิตามแผนแบบมีส่วนร่วมของบุคลากรในสถาบนั พฒั นาระบบและกลไกการจัดการศกึ ษาท่ี มปี ระสิทธิภาพครอบคลุมงานทกุ ด้านใหม้ กี ารเชื่อมโยง (Link) 3) ขั้นการตรวจสอบ ขน้ั ปรับปรุง พบว่า กระบวนการตรวจสอบควรมาจากภาควิชาและคณะ โดยพิจารณาความสอดคล้องของ ยทุ ธศาสตร์และตัวช้ีวัด (KPI) มกี ารนำ� เสนอผลต่อผูเ้ กีย่ วขอ้ งและจดั ท�ำเป็นขอ้ มลู สารสนเทศเพือ่ สะทอ้ นการประกันคุณภาพ และ 4) ประเด็นสนับสนุนอ่ืน ๆ ไดแ้ ก่ ภาวะผูน้ �ำที่เข้มแขง็ ของสภา สถาบนั และผู้บริหารให้ความส�ำคัญกบั การประกันคณุ ภาพการศึกษาและมีวสิ ัยทัศนใ์ นการเตรยี ม ความพรอ้ มเขา้ สปู่ ระชาคมอาเซยี น โดยควรกำ� หนดระบบกลไกการบรหิ ารและการประกนั คณุ ภาพ การศึกษาในรูปแบบทิศทางเดียวกัน รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพ่ิม สมรรถนะการปฏิบัติงานแก่บุคลากรท่ีจะช่วยสนับสนุนการพัฒนางานประกันคุณภาพการศึกษา ของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร 2. การวิจัยสถาบันระดับโรงเรียน เป็นการวิจัยในโรงเรียน ซึ่งทีมผู้บริหารหรือ นักวิจัยสถาบันจะวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการจ�ำเป็นเพ่ือก�ำหนดนโยบาย เป้าหมายและ มาตรการในภาพรวม โดยอาจมาจากปัญหาและความต้องการจ�ำเป็นของฝ่ายงาน หรือหมวดวิชา ตา่ ง ๆ ดงั กรณีตัวอยา่ งงานวจิ ัยสถาบันระดบั โรงเรยี นที่จะนำ� เสนอ ดังน้ี ตัวอยา่ ง : กรณีงานวิจยั สถาบนั ระดับโรงเรยี น ชอื่ เรอ่ื ง : การพฒั นาระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี นในโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษาโดยใช้ การวิจัยเชิงปฏิบัตกิ ารแบบมีสว่ นรว่ ม (ดำ� เนนิ การวจิ ัยโดย ธงชาติ วงษส์ วรรค์ ปี 2553) วตั ถปุ ระสงค:์ เพอ่ื พฒั นาระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี นของโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา โดยใช้การวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั ิการแบบมสี ่วนร่วม วิธีด�ำเนนิ การวจิ ยั : ดำ� เนนิ การวิจยั ในลกั ษณะของการวิจยั และพฒั นาโดยประยุกต์ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยด�ำเนินการท่ีโรงเรียนวัดราชาธิวาส โรงเรียน บางกะปิ และโรงเรยี นวดั อนิ ทาราม สงั กดั เขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษากรงุ เทพมหานคร เขต 1, 2 และ 3 ตาม ลำ� ดบั ในปกี ารศกึ ษา2551-2552กลมุ่ ผเู้ กย่ี วขอ้ งในการวจิ ยั ไดแ้ ก่ผบู้ รหิ ารครูนกั เรยี นคณะกรรมการ สถานศึกษาขัน้ พืน้ ฐานและผปู้ กครอง ขนั้ ตอนการวิจัยมี 6 ขัน้ ตอน คือ ขัน้ ที่ 1 การศึกษาสภาพ ปจั จบุ นั ปญั หาและความตอ้ งการของการพฒั นาระบบการดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี นขน้ั ท่ี2การพฒั นา ระบบการดแู ลช่วยเหลือนักเรยี น ขั้นที่ 3 การทดลองใช้ระบบการดแู ลชว่ ยเหลือนกั เรยี นรอบที่ 1

212 • การวิจัยทางการบริหารการศกึ ษา ขัน้ ที่ 4 การประเมินและปรับปรงุ ระบบการดูแลช่วยเหลอื นกั เรียนรอบที่ 1 ขนั้ ท่ี 5 การทดลองใช้ ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนรอบท่ี 2 และข้ันที่ 6 การประเมินและปรับปรุงระบบการดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรยี นรอบที่2ในการดำ� เนนิ การวจิ ยั ผเู้ กยี่ วขอ้ งมสี ว่ นรว่ มในการดำ� เนนิ การในทกุ ขน้ั ตอน ผลการวิจยั สรปุ ได้ ดังนี้ 1. ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่พัฒนาข้ึนมีช่ือว่า “ระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียนแบบมสี ่วนร่วม” (PSSS) ประกอบด้วยระบบยอ่ ย 4 ระบบ ไดแ้ ก่ ระบบวางแผน (Plan) ระบบปฏิบตั ิการ (Act) ระบบตรวจสอบ (Observe) และระบบสะทอ้ นผล (Reflect) ทุกระบบมีข้ันตอนการด�ำเนินงาน 4 ขั้นตอน คือ ขั้นวางแผน ข้ันปฏิบัติการ ข้ันตรวจ สอบ และข้นั สะท้อนผล 2. ผลการทดลองใช้ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบมีส่วนร่วม พบว่า ด้านการใช้ประโยชน์ของระบบ ตอบสนองต่อความต้องการของทุกฝ่าย ซึ่งท�ำให้เกิดการดูแล ช่วยเหลอื สง่ เสรมิ พัฒนา ป้องกัน และแกไ้ ขปัญหานกั เรยี น ภายใตก้ ารมสี ่วนร่วมของบุคคลท่มี ี สว่ นเกยี่ วขอ้ ง ดา้ นความเปน็ ไปไดใ้ นการปฏบิ ตั จิ รงิ เปน็ ทยี่ อมรบั เหมาะสมกบั การปฏบิ ตั งิ านของ ทุกฝ่าย ด้านความเหมาะสม พัฒนาระบบโดยให้ผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในทุกข้ันตอน ค�ำนึงถึง ประโยชน์ของนักเรียนเป็นหลัก ด�ำเนินการด้วยความรับผิดชอบและมีจรรยาบรรณ ด้านความ ถกู ตอ้ งนา่ เชอื่ ถอื สอดคล้องกบั ความสำ� คญั และจ�ำเปน็ ของระบบ มกี ารกำ� หนดบทบาทหนา้ ท่ขี อง หน่วยงานและบุคลากรท่ีเกี่ยวข้องไว้อย่างชัดเจน ด้านผลที่เกิดข้ึนกับผู้เก่ียวข้อง ทุกฝ่ายมีความ พึงพอใจท่ีมีส่วนร่วมในการพัฒนาผู้เรียน ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางท่ีดีขึ้นทั้ง ด้านนักเรียน ผู้บริหาร ครู ผู้ปกครองและชุมชน ด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน นักเรียนได้รู้จัก ตนเอง สามารถปรับตัวมีทักษะทางสังคม และอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข ครูผู้สอนน�ำผลการ ดำ� เนนิ งานไปพฒั นาการจดั การเรยี นรู้ ผบู้ รหิ ารโรงเรยี นนำ� ขอ้ มลู พนื้ ฐานของนกั เรยี นไปใชก้ ำ� หนด แนวทางในการพัฒนานกั เรียน หลกั สตู ร และคณุ ภาพการจดั การศกึ ษา โรงเรียนได้รับการยอมรบั การสนบั สนนุ และการรว่ มมือจากผปู้ กครอง ชุมชน และองค์กรท่เี ก่ียวข้อง  3. การวจิ ยั สถาบนั ระดบั กลมุ่ งานหรอื ปฏบิ ตั กิ าร เปน็ การวจิ ยั ระดบั กลมุ่ งาน โดย ผทู้ มี่ อี ำ� นาจรองลงไปจากผบู้ รหิ ารโรงเรยี นหรอื นกั วจิ ยั จะรว่ มกนั วเิ คราะหป์ ญั หาและความตอ้ งการ จำ� เปน็ ของงานในฝา่ ยทรี่ บั ผดิ ชอบ เชน่ งานวชิ าการ งานธรุ การ งานปกครอง งานบรกิ าร งานความ สัมพันธก์ ับชุมชน ฯลฯ เพ่อื เปน็ ขอ้ มูลประกอบการก�ำหนดนโยบาย เปา้ หมาย และมาตรการของ ผู้บริหารโรงเรียน และเป็นพื้นฐานให้แต่ละกลุ่มงานหรือปฏิบัติการที่เก่ียวข้องสามารถน�ำไป วางแผนแกป้ ญั หาและพฒั นาตอ่ ไป ดงั กรณตี วั อยา่ งงานวจิ ยั สถาบนั ระดบั กลมุ่ งานหรอื ปฏบิ ตั กิ าร ทจี่ ะน�ำเสนอ ดงั นี้ ตวั อย่าง : กรณีงานวจิ ัยสถาบันระดับกลุ่มงานหรือปฏบิ ัตกิ าร ชื่อเรื่อง : การพัฒนาระบบสารสนเทศกลุ่มงานบุคคลโรงเรียนดอนไทรงาม พทิ ยาคม อำ� เภอกมลาไสย จงั หวัดกาฬสินธุ์ (ด�ำเนินการวิจยั โดย พฒั นรินทร์ จนั ทะรัตน์ ปี 2552)

Research in Educational Administration • 213 วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศกลุ่มงานบุคคลโรงเรียนดอนไทรงาม พิทยาคม อ�ำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสนิ ธุ์ ขอบเขตของการวิจัย: 1. กลุม่ ผรู้ ่วมวจิ ยั และผู้ใหข้ ้อมลู 1.1 กลุ่มผู้ร่วมวิจัยและผู้ให้ข้อมูล จ�ำนวน 4 คน ประกอบด้วย 1) ผู้วิจัย 2) ผบู้ รหิ าร จำ� นวน 1 คน 3) หวั หนา้ กลมุ่ บรหิ ารงานบคุ คล และ 4) เจา้ หนา้ ทกี่ ลมุ่ บรหิ ารงานบคุ คล 1.2 กลุ่มผใู้ ห้ข้อมลู เพ่มิ เติม จำ� นวน 23 คน ประกอบดว้ ย ครู และบคุ ลากร ในโรงเรียน จ�ำนวน 21 คน ผู้เช่ียวชาญภายนอก 2 คน ได้แก่ วิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียน โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ และผู้เชย่ี วชาญการประเมินระบบ 2. กรอบการศึกษาค้นควา้ 2.1 กรอบงานบริหารงานบุคคล ผู้ศึกษาค้นคว้าใช้กรอบงานบริหารงาน บุคคล ดังต่อไปนี้คือ การวางแผนอัตราก�ำลังและก�ำหนดต�ำแหน่ง การสรรหา และการบรรจุ แตง่ ตง้ั งานบำ� เหน็จบำ� นาญ ความชอบ และทะเบียนประวัติ การพัฒนาบุคลากร และวินัยและ การรักษาวินยั 2.2 กรอบกลยทุ ธก์ ารพฒั นาระบบสารสนเทศ ใชก้ ระบวนการพฒั นาระบบ สารสนเทศ ซ่ึงประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้คือ การศึกษาระบบ (Systems investigation) การวิเคราะห์ระบบ (Systems analysis) การออกแบบระบบ (Systems design) การนำ� ระบบไปใช้ (Systems implementation) และการบ�ำรุงรักษาและการตรวจสอบระบบ (Systems maintenance and review) 2.3 กรอบกลยทุ ธก์ ารพฒั นา ไดแ้ ก่ การประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารและการนเิ ทศ 3. วธิ ีดำ� เนนิ การวจิ ยั ใชห้ ลักการวจิ ัยเชิงปฏิบตั กิ าร (Action research principle) ตามแนวคดิ ของ Kemmis และ McTaggart (1988, pp. 11-15) ซ่งึ ประกอบดว้ ยขัน้ ตอนการดำ� เนนิ งาน 4 ข้นั ตอน ได้แก่ การวางแผน (Planning) การปฏบิ ตั ิ (Action) การสังเกต (Observation) และการสะทอ้ นผล (Reflection) โดยมีข้นั ตอนการวิจัย 4 ขน้ั ตอน ดงั นี้ ขนั้ ตอนการวจิ ยั ขั้นท่ี 1 การวางแผน (Planning) 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน เป็นการศึกษาปัญหาโดยการส�ำรวจสภาพการ ดำ� เนนิ งานในการจดั ทำ� ระบบสารสนเทศงานกลมุ่ บรหิ ารงานบคุ คลของโรงเรยี นทผี่ า่ นมา โดยการ สังเกต สมั ภาษณ์ และสอบถามครใู นโรงเรียน จากนน้ั ผู้วจิ ัยไดร้ ่วมกบั ผรู้ ่วมวิจยั เพื่อศกึ ษาปัญหา และความจ�ำเป็นซึ่งต้องการพัฒนาระบบสารสนเทศงานกลุ่มบริหารงานบุคคลของโรงเรียนดอน ไทรงามพิทยาคม โดยร่วมกันวางแผน ประชุม ปรกึ ษา หาแนวทาง และร่วมกนั ในการด�ำเนินการ จดั ทำ� ระบบสารสนเทศ และรวบรวมขอ้ มลู งานสารสนเทศงานกลมุ่ บรหิ ารงานบคุ คลใหเ้ ปน็ ระบบ โดยการสรา้ งแบบเก็บรวบรวมขอ้ มลู จดั หาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพ่ือประเมินผล

214 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา 2) กลยุทธ์การพัฒนา ผู้วิจัยร่วมกับผู้ร่วมวิจัย วางแผนประชุม ปรึกษา หารือ ก�ำหนดแนวทาง เป้าหมาย ในการพัฒนาระบบสารสนเทศงานกลุ่มบริหารงานบุคคลให้มี ประสทิ ธภิ าพ ครอบคลมุ กลมุ่ ขอบขา่ ยงาน ประชมุ กำ� หนดกลยทุ ธแ์ ละกจิ กรรมดว้ ยการเสนอทาง เลอื กทหี่ ลากหลายกอ่ นการเลอื กกจิ กรรมในการพฒั นา แลว้ ไดข้ อ้ ตกลง ซง่ึ ประกอบดว้ ยกลยทุ ธก์ าร พฒั นา 2 กิจกรรม ไดแ้ ก่ 1) การประชุมปฏบิ ัติการ และ 2) การนิเทศภายใน ตามวงจรการพฒั นา ระบบ5ขน้ั ประกอบดว้ ย1)การศกึ ษาระบบ(Systemsinvestigation) ประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั กิ าร ประชมุ ปฏบิ ตั กิ ารผรู้ ว่ มวจิ ยั และผใู้ หข้ อ้ มลู เตรยี มการวเิ คราะหเ์ อกสาร วเิ คราะหแ์ บบสอบถาม และความ เป็นได้ของการพัฒนาระบบสารสนเทศให้ครอบคลุม 2) การวิเคราะห์ระบบ (Systems analysis) 3) การออกแบบระบบ (Systems design) 4) การนำ� ระบบไปใช้ (Systems implementation) และ 5) การบำ� รงุ รักษาและการตรวจสอบระบบ (Systems maintenance and review) 3) แผนการปฏบิ ตั ิ (Action plan) ผวู้ จิ ยั ไดว้ างแผนการพฒั นาระบบสารสนเทศ ขน้ั ที่ 2 การปฏบิ ัติ (Action) 1) การปฏิบัติงานด้วยการประชุมปฏิบัติการ การมอบหมายงานให้ปฏิบัติ และการนิเทศ ผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยจัดประชุมปฏิบัติการ ให้ปฏิบัติงานและมีการนิเทศซึ่งความรู้ ทนี่ ำ� มาจดั สรา้ งแบบเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ใหก้ ารศกึ ษาระบบโปรแกรม แลว้ ใหก้ รอกขอ้ มลู บคุ ลากร ลงในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อประเมินผลในการวิเคราะห์ระบบ พร้อมท้ังตรวจสอบความถูกต้อง และความสมบูรณ์ เพ่อื ให้บรรลตุ ามเป้าหมายของการใช้งานของผู้ทเ่ี กยี่ วข้อง 2) การแลกเปล่ียนประสบการณ์ ผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัยด�ำเนินการตาม กิจกรรมการพฒั นาระบบสารสนเทศงานบรหิ ารงานบคุ คลตามวงจรพฒั นาระบบ 5 ด้าน ขนั้ ที่ 3 การสงั เกต (Observation) บนั ทกึ การประชมุ วเิ คราะหส์ ภาพปจั จบุ นั ของระบบสารสนเทศ บนั ทกึ สรปุ การ สงั เกตการศกึ ษาระบบ การออกแบบระบบสารสนเทศ สงั เกตการจดั ทำ� โปรแกรมระบบสารสนเทศ และประเมินผลการตรวจสอบประสิทธิภาพของการทดลองใช้ระบบสารสนเทศจากผู้เก่ียวข้อง ประเมินความพึงพอใจในการพัฒนาระบบสารสนเทศงานบริหารงานบุคคล (ครู-อาจารย์) โดยในข้ันตอนต่าง ๆ ของการเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้เทคนิคการตรวจสอบข้อมูลหลายมิติ (Triangulation technique) ขั้นที่ 4 การสะท้อนผล (Reflection) ผวู้ จิ ยั และผรู้ ว่ มวจิ ยั รวบรวมขอ้ มลู จากการบนั ทกึ การสงั เกต การสมั ภาษณ์ และ ผลการประเมินผลการทดลองใช้ระบบสารสนเทศ ข้อเสนอแนะของผู้เกี่ยวข้อง พิจารณาผลสรุป ในการด�ำเนนิ ทุกกิจกรรม โดยอิงกรอบการศึกษาวา่ บรรลเุ ป้าหมายของการพฒั นาหรือไมอ่ ยา่ งไร โดยสะท้อนผลด้วยวิธีการประชุมสรุปผลการพัฒนา เพื่อน�ำไปสู่การตัดสินใจร่วมกันของผู้วิจัย และผู้ร่วมวิจัยในการปรับแผนใหม่ (Planning revision) ท้ังท่ีเป็นจุดอ่อนท่ีต้องแก้ไขและจุดแข็ง ทตี่ ้องการเสริมและพัฒนาอยา่ งตอ่ เนือ่ ง เพื่อให้ได้แผนใหม่ (Revised plan) เพ่อื นำ� ไปสู่การปฏิบตั ิ (Action) การสังเกต (Observation) และการสะทอ้ นผล (Reflection) ตอ่ ไป

Research in Educational Administration • 215 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 1) การขอความร่วมมือจากคณะครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยท�ำ หนงั สือถงึ ผู้อำ� นวยการโรงเรยี นเพอ่ื ขอความร่วมมือในการดำ� เนนิ การวิจยั 2) ผวู้ จิ ยั นำ� แบบประเมนิ ระบบ และแบบสมั ภาษณผ์ ใู้ หข้ อ้ มลู และผใู้ ชข้ อ้ มลู ไปใช้เกบ็ ข้อมูลระหว่างการด�ำเนนิ กจิ กรรมตามแผนการปฏิบตั ิในการวจิ ัย โดยเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยตนเองจากกจิ กรรมและพฤติกรรมการปฏบิ ตั งิ านของผ้รู ว่ มปฏิบตั กิ ารวิจัย ตามขน้ั ตอน ดังน้ี 2.1) ผวู้ ิจัยรวบรวมขอ้ มลู จากแบบประเมิน แบบสมั ภาษณ์ผู้ใหข้ ้อมลู และผู้ใชข้ อ้ มลู และแบบบันทึกการวิเคราะหเ์ อกสาร ท้งั กอ่ นการดำ� เนนิ การ ขณะดำ� เนินการ และ หลังด�ำเนินการตามกิจกรรม รวมท้ังความต้องการของผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องกับการใช้ระบบ สารสนเทศโดยดำ� เนินการในชว่ งภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2551 2.2) ผูร้ ว่ มวจิ ัยและผ้เู ชย่ี วชาญ ประชมุ แลกเปลย่ี นความคิดเหน็ ตอ่ การ พัฒนาระบบสารสนเทศ เพ่ือประเมินสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึนแต่ละคร้ังเป็นระยะ ๆ และรวบรวม ข้อมลู ทไ่ี ด้นำ� มาปรับปรุงใหมใ่ หม้ ปี ระสิทธิภาพและสอดคลอ้ งกับความต้องการของผู้ท่เี กี่ยวขอ้ ง การวเิ คราะห์ขอ้ มลู 1) การจัดกระท�ำข้อมูล ผู้วิจัยตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลในแบบ ประเมินระบบ แบบสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลและผู้ใช้ข้อมูล และแบบบันทึกการวิเคราะห์เอกสาร จำ� แนกขอ้ มลู เป็นหมวดหม่ตู ามประเดน็ ทงั้ ในสว่ นของกรอบสารสนเทศ และกลยุทธท์ ีใ่ ช้ในการ พฒั นา แลว้ วเิ คราะห์ข้อมลู โดยอาศยั เทคนคิ สามเส้า (Triangulation technique) 2) วเิ คราะห์ข้อมลู ผู้วิจัยศึกษาข้อมูลท่ีไดจ้ ากเครอ่ื งมอื ประกอบดว้ ยแบบ ประเมินระบบ แบบสมั ภาษณผ์ ้ใู ห้ขอ้ มูลและผูใ้ ช้ขอ้ มลู และแบบบนั ทึกการวิเคราะหเ์ อกสาร นำ� มาหาความสัมพันธข์ องข้อมูลในลกั ษณะใดลักษณะหนึ่ง เพื่อการแปลความหมาย และเรยี บเรียง นำ� เสนอในรปู แบบของความเรยี งเก่ยี วกบั การพัฒนาระบบสารสนเทศงานกลุม่ บริหารงานบคุ คล 3) สรุปผลการศึกษาค้นคว้า ผู้วิจัยสรุปผลการศึกษาค้นคว้าและน�ำเสนอ รายงานการศึกษาให้กลุ่มผู้เก่ียวข้องพิจารณาเพ่ือสะท้อนให้เห็นถึงความส�ำเร็จและข้อบกพร่องท่ี ยังไม่บรรลุตามกรอบของการศึกษาค้นคว้าและเขยี นรายงานผลโดยวิธีการบรรยายตอ่ ไป สรปุ ผลการวจิ ัย ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาระบบสารสนเทศกลุ่มงานบุคคลที่จัดเก็บข้อมูล ระบบมอื (Manual) เปน็ แฟม้ เอกสารทำ� ใหส้ ารสนเทศไมเ่ ปน็ ระบบไมเ่ ปน็ หมวดหมู่ไมเ่ ปน็ ปจั จบุ นั เสียเวลาในการตรวจสอบ เมื่อค้นหาเกิดความล่าช้า ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ สารสนเทศ ซึ่งส่งผลกระทบในการบริหารจัดการ จึงได้ด�ำเนินการพัฒนาระบบสารสนเทศกลุ่ม บรหิ ารงานบุคคลในวงรอบที่ 1 โดยใชก้ ลยทุ ธก์ ารประชุมปฏิบัติการ และการนิเทศภายใน ทำ� ให้ ระบบสารสนเทศกลุ่มบริหารงานบุคคลของโรงเรียนเปลี่ยนแปลงไปในทางท่ีดีขึ้น ผู้ร่วมศึกษา คน้ ควา้ ทกุ คนสามารถตดิ ตงั้ และใชโ้ ปรแกรมเกยี่ วกบั ระบบสารสนเทศกลมุ่ บรหิ ารงานบคุ คลไดถ้ กู ต้อง แตย่ ังขาดทักษะการใชโ้ ปรแกรม Microsoft Access 2003 และโปรแกรมส�ำเร็จรูป จงึ ท�ำให้

216 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา การประมวลผลการแสดงข้อมลู ทห่ี น้าจอไม่ถูกต้องสมบรู ณ์ จึงไดด้ �ำเนนิ การพัฒนาในวงรอบที่ 2 โดยใช้กิจกรรมการนิเทศภายใน ผลการด�ำเนินการพัฒนา พบว่า กลุ่มผู้ร่วมวิจัยหรือผู้ร่วมศึกษา ค้นคว้าทุกคนสามารถพัฒนาระบบสารสนเทศกลุ่มบริหารงานบุคคลได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ เป็นปัจจุบัน และสืบค้นได้ง่าย แต่ก็ยังมีจุดท่ีต้องพัฒนาอย่างต่อเน่ือง คือ การเชื่อมโยงข้อมูลกับ เครอื ขา่ ยภายในโรงเรยี น และพฒั นาโปรแกรมอยา่ งตอ่ เนอ่ื งเพอ่ื สนองความตอ้ งการของผรู้ บั บรกิ าร และขององค์การ สรุปทา้ ยบท การวิจัยสถาบันที่น�ำเสนอในบทท่ี 5 นี้ ประกอบด้วยสาระส�ำคัญที่ผู้วิจัยหรือนักศึกษา ในทางการบรหิ ารการศกึ ษาควรศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจใหล้ ะเอยี ดและชดั เจน โดยอาจสรปุ สาระ ส�ำคัญดังกล่าวได้ ดงั น้ี การวจิ ยั สถาบนั เปน็ การศกึ ษาปญั หาทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั สถาบนั เพอื่ นำ� ผลการวจิ ยั ไปประยกุ ต์ ใช้ในการวางแผน การก�ำหนดนโยบาย รวมทั้งการตัดสินใจ / แก้ปัญหาที่อาจจะเกิดข้ึนในแต่ละ สถาบนั ลักษณะและเปา้ หมายของการวิจัยสถาบนั คอื การวิจยั สถาบันเปน็ การวิจัยท่ดี ำ� เนินการ ภายในสถาบันอุดมศึกษาท่ีมีเป้าหมายต่างไปจากการวิจัยพื้นฐานท่ัวไป (Basic Research) ซ่ึงมี เป้าหมายเพ่ือบุกเบิก / แสวงหาความรู้ใหม่ แต่การวิจัยสถาบันเป็นการวิจัยที่มีเป้าหมายเฉพาะ เพื่อจัดหาข้อมูล / ข้อค้นพบของสถาบัน ให้ผู้บริหารได้น�ำไปใช้แก้ปัญหาของสถาบัน หรือเพ่ือ น�ำไปใช้พิจารณาประกอบการตัดสินใจในการด�ำเนนิ งานและพัฒนาสถาบนั การวิจยั สถาบัน หรืออาจเรยี กวา่ การวิจยั ตนเอง (Self Study) ได้เร่มิ ตน้ ตัง้ แต่ ค.ศ. 1820 ตามแนวความคิดการวิจัยสถาบันจากงานเขียนของ Professor W.H. Cowley แห่งมหาวิทยาลัย สแตนฟอรด์ (Stanford University) ตอ่ มาหลังจากสงครามโลกครัง้ ท่ี 2 สิน้ สุดลง การวิจัยสถาบนั ไดเ้ รมิ่ ขน้ึ อยา่ งเปน็ ทางการทมี่ หาวทิ ยาลยั ตา่ ง ๆ อยา่ งกวา้ งขวาง ปจั จบุ นั การวจิ ยั สถาบนั ในสถาบนั อุดมศึกษา ได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมเพ่ิมมากข้ึน โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบในการทำ� วิจัย สถาบนั โดยตรง ทำ� ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทเี่ ปน็ สารสนเทศทเี่ ปน็ ระบบและทนั ตอ่ ความตอ้ งการของผบู้ รหิ าร เพอื่ ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจสภาพของสถาบนั ตลอดจนสามารถมองเหน็ ทศิ ทางและแนวปฏบิ ตั ใิ นการบรหิ าร งานของสถาบนั ไดอ้ ย่างชัดเจน การวจิ ยั สถาบนั ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การพฒั นางานขององคก์ ารหรอื สถาบนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ คณุ คา่ หรอื ประโยชน์ 3 ดา้ น คอื คณุ คา่ ดา้ นการพฒั นาการเรยี นรู้ คณุ คา่ ดา้ นการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา และคุณค่าด้านการบริหารการศกึ ษา ส�ำหรับประเภทของการวิจัยสถาบัน อาจแบ่งออกได้สามประเภทใหญ่ ๆ คือ การวิจัย สถาบันที่เป็นวิธีการวิทยาศาสตร์ การวิจัยสถาบันตามธรรมชาติของการท�ำหน้าท่ีของการวิจัย และการวจิ ัยสถาบนั ตามวตั ถุประสงค์และบทบาทของการวิจยั ส่วนแนวทางในการด�ำเนินการวิจัยสถาบันนั้น ประกอบด้วยแบบของการวิจัยสถาบัน เทคนิคของการวิจัยสถาบนั และระดบั การปฏิบตั ิของการวิจัยสถาบนั

บทท่ี การวิจัยเชงิ นโยบาย 6 POLICY RESEARCH การขับเคล่ือนการบริหารประเทศเป็นหน้าท่ีส�ำคัญของภาครัฐและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ เก่ียวข้อง เพ่ือให้ภาคประชาชนมีความเข้มแข็งและมีคุณภาพชีวิตท่ีดีขึ้น แต่เดิมการจัดการและ การควบคุมการบริหารใด ๆ ก็ตาม มกั จะมาจากแนวคิดหรือประสบการณข์ องผู้บริหารเป็นส�ำคญั แต่เมื่อศาสตร์ด้านการวิจัยมีความเข้มแข็งและได้รับการยอมรับมากย่ิงขึ้น ผู้บริหารงานในระดับ ตา่ ง ๆ จงึ ใหค้ วามสนใจกบั การนำ� ขอ้ มลู จากการวจิ ยั มาใชใ้ นการออกนโยบายหรอื ดำ� เนนิ งานตา่ ง ๆ ดังน้ัน การวิจัยเชิงนโยบาย (Policy Research) จึงมีความส�ำคัญส�ำหรับการบริหารสถาบันหรือ หนว่ ยงานต่าง ๆ ในบทน้ี จะน�ำเสนอการวิจัยเชิงนโยบาย ซ่ึงประกอบด้วยเนื้อหาสาระท่ีส�ำคัญ 5 เรื่อง ได้แก่ 1) แนวคิดพ้ืนฐานเก่ียวกับนโยบายและการวิจัยเชิงนโยบาย 2) การออกแบบการวิจัย เชงิ นโยบาย 3) การดำ� เนนิ การวจิ ยั เชงิ นโยบาย 4) เทคนคิ การวจิ ยั เชงิ นโยบาย และ 5) กรณตี วั อยา่ ง การวจิ ยั เชิงนโยบายทางการบริหารการศกึ ษา โดยมีรายละเอยี ด ดงั ต่อไปน้ี 6.1 แนวคิดพื้นฐานเก่ยี วกบั นโยบายและการวิจัยเชิงนโยบาย ในสว่ นเบอ้ื งตน้ นี้ ผวู้ จิ ยั ควรศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจเรอื่ งแนวคดิ พน้ื ฐานเกย่ี วกบั นโยบาย และการวิจัยเชิงนโยบาย ซึ่งในทางการบริหารการศึกษาจ�ำเป็นต้องเข้าใจประเด็นด้านความหมาย ของนโยบาย องคป์ ระกอบของนโยบาย ลกั ษณะสำ� คญั ของนโยบาย การพฒั นานโยบาย ความหมาย ของการวจิ ยั เชงิ นโยบาย พฒั นาการของการวจิ ยั เชงิ นโยบาย ลกั ษณะสำ� คญั ของการวจิ ยั เชงิ นโยบาย ประเภทของการวจิ ยั เชงิ นโยบาย การบวนการจดั ทำ� การวจิ ยั เชงิ นโยบาย และประโยชนข์ องการวจิ ยั เชงิ นโยบาย โดยมรี ายละเอยี ด ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ความหมายของนโยบาย ตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 ไดก้ ำ� หนดความหมายของนโยบายไว้ ว่า นโยบาย หมายถงึ หลักการและวิธปี ฏบิ ตั ิซ่งึ ถือเป็นแนวดำ� เนนิ การ นอกจากนี้ ยังมีนกั วิชาการ ได้ใหค้ วามหมายของนโยบายไว้เพิม่ เตมิ ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปนี้ Haddad (1995. p. 18) ใหค้ วามหมายของนโยบายว่า นโยบาย เป็นชุดของการตัดสนิ ใจ ที่ก�ำหนดไว้อย่างชัดแจ้งหรือที่วางไว้เป็นนัย เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเพ่ือการสร้างสรรค์ หรอื เปน็ ขอ้ ห้าม หรือแนวในการด�ำเนนิ งานทจ่ี ะท�ำในอนาคต ต่อมาอีก 4 ปี Dessler (1999. p. 96) ให้ความหมายของนโยบายซ่ึงสอดคล้องกับ Haddad ว่า เป็นชุดของข้อความท่ีก�ำหนดไว้เป็นแนวทางในการด�ำเนินงานเฉพาะขององค์การ หรือหนว่ ยงาน

218 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา อีก 1 ปีต่อมา สุภาพร พิศาลบุตร (2543, หน้า 82) ได้ให้ความหมายของนโยบายซึ่ง สอดคลอ้ งกบั Haddad และ Dessler ว่า นโยบาย คอื ข้อความท่วั ๆ ไป หรอื สิ่งทีเ่ ข้าใจและเป็นท่ี ยอมรับโดยท่ัวไปว่า เป็นแนวทางส�ำหรับการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาหรือแนวทางที่ใช้ในการ แก้ปัญหาเพื่อการบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง กลา่ วโดยสรุป นโยบาย หมายถงึ ชดุ ของข้อความที่เปน็ แนวทางในการด�ำเนินงานของ บุคคล หรอื กลมุ่ บคุ คล เพอื่ ให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์และเป้าหมายขององค์การหรือหนว่ ยงาน 2. องค์ประกอบของนโยบาย นโยบายมีองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ 1) การก�ำหนดนโยบาย 2) การน�ำนโยบายไป สู่การปฏิบัติ และ 3) การประเมินนโยบาย โดยมีรายละเอียดอาจสรุปได้ ดังน้ี (Cochran and Malone, 1995 ; สมบัติ ธ�ำรงธญั วงศ,์ 2554, หน้า 413; สมบตั ิ สวุ รรณพิทกั ษ,์ 2545, หนา้ 55-56) 2.1 การกำ� หนดนโยบาย (Policy formulation) การกำ� หนดนโยบายตอ้ งมกี ารศกึ ษา ความต้องการจ�ำเป็นของนโยบาย (Need of policy) และก�ำหนดเป็นข้อความนโยบาย (Policy statement) รวมท้ังมีการเห็นชอบนโยบายกับการถอื เป็นแนวปฏบิ ตั ิ 2.2 การน�ำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ (Policy implementation) เป็นสิ่งส�ำคัญใน การผลักดันให้นโยบายได้รับการรับรู้ เข้าใจ ยอมรับและสร้างทัศนคติท่ีดีต่อผู้ปฏิบัติตามนโยบาย ซ่งึ จะเป็นเครือ่ งมอื ทจ่ี ะผลกั ดันใหน้ โยบายประสบความสำ� เรจ็ โดยในการนำ� นโยบายสู่การปฏิบตั ิ น้ันผมู้ อบและผู้รบั นโยบายจะต้องมคี วามเข้าใจท่ีชัดเจนและสามารถแปลความหมายของนโยบาย ได้อย่างถูกต้อง 2.3 การประเมินนโยบาย (Policy evaluation) เป็นการกระท�ำที่มีระบบต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบาย โดยเปรียบเทียบเป้าหมายท่ีก�ำหนดไว้กับผลผลิตและผลกระทบ ของการด�ำเนินการตามนโยบายท่ีมีต่อปัญหาสังคมท่ีเป็นเป้าหมายที่นโยบายน้ันมุ่งแก้ไข รวมทั้ง เพื่อตรวจสอบว่า ในแต่ละข้ันตอนมีอุปสรรคและปัญหาอะไรบ้างท่ีจะต้องเร่งรัดแก้ไข เพื่อให้ การปฏบิ ตั ิหรอื การด�ำเนินการตอ่ ไปเป็นไปไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ 3. ลักษณะส�ำคญั ของนโยบาย Richardson and Baldwin (1976, p. 122) กล่าวถึงลักษณะส�ำคัญของนโยบายไว้ 5 ประการ ประกอบดว้ ยลกั ษณะ ดงั ต่อไปน้ี 3.1 เปน็ การน�ำความรู้ความคิดที่มเี หตผุ ลไปใช้แกป้ ัญหา 3.2 เปน็ การกำ� หนดหลักเกณฑแ์ ละวธิ ีปฏิบตั ไิ ปใชใ้ นการตัดสินใจปฏิบัติ 3.3 เปน็ การกำ� หนดหรอื พยากรณแ์ นวทางปฏบิ ตั ใิ นอนาคตโดยพจิ ารณาครอบคลมุ ถึงทรัพยากรหรอื ปจั จยั ท่ีไมแ่ นน่ อน 3.4 เน้นเป้าหมาย วัตถุประสงค์ เปา้ ประสงค์ เงอื่ นไขและผลลัพธท์ จี่ ะเกิดข้ึน 3.5 เป็นการด�ำเนนิ การเพอ่ื ให้บรรลุผลต่อส่วนรวม

Research in Educational Administration • 219 4. การพัฒนานโยบาย การพัฒนานโยบายน้ัน อาจด�ำเนินการได้ในหลายลักษณะ อย่างไรก็ตาม Dye (1984) และ Sutton (1999) ได้กล่าววา่ ในการพฒั นานโยบายมีขั้นตอนท่สี �ำคญั ประกอบดว้ ย 6 ข้ันตอน ดงั น้ี 4.1 การระบปุ ญั หา เปน็ ขน้ั การแสดงออกของขอ้ เรยี กรอ้ งตอ้ งการ เชน่ ประชาชน ประสบปัญหามีความเดือดร้อนเร่ืองใด ฯลฯ 4.2 การก�ำหนดเป็นวาระส�ำหรับการตัดสินใจหรือการจัดท�ำข้อเสนอนโยบาย เปน็ ขัน้ การจดั ระเบยี บวาระเพ่ือให้มกี ารอภิปราย 4.3 การกำ� หนดขอ้ เสนอนโยบาย เมอ่ื ปญั หาไดร้ บั การยอมรบั จะถกู นำ� มาพจิ ารณา จัดท�ำเปน็ ข้อเสนอลักษณะของแผนงานหรือแนวทางเพ่ือแกไ้ ขปัญหานโยบาย 4.4 การอนุมัตินโยบายหรือการประกาศเป็นนโยบาย เป็นข้ันการคัดเลือก ข้อเสนอนโยบาย แสวงหาการสนบั สนนุ ทางการเมืองและประกาศใชเ้ ปน็ นโยบาย 4.5 การด�ำเนินนโยบาย นโยบายทไ่ี ด้รับการอนมุ ัติ จะน�ำไปปฏิบัติ มสี ว่ นราชการ และข้าราชการประจ�ำเป็นผรู้ บั ผิดชอบ 4.6 การประเมนิ ผลนโยบาย เมอื่ ดำ� เนนิ นโยบายแลว้ เสรจ็ ตอ้ งประเมนิ ผลนโยบาย เพ่ือจะรับทราบว่า การด�ำเนินนโยบายดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด ข้อมูลที่ได้ จากการประเมินผลจะน�ำไปใช้ประโยชน์ เพ่ือการตัดสินใจต่อไปว่า นโยบายน้ัน ๆ ควรได้รับการ ดำ� เนนิ การอย่างต่อเนอ่ื งตอ่ ไป หรอื ควรปรบั ปรุงแกไ้ ขอย่างไร หรอื ควรยตุ แิ ลว้ กำ� หนดนโยบายอ่นื ออกมาทดแทน 5. ความหมายของการวิจยั เชิงนโยบาย “การวิจัยเชิงนโยบาย” มีผู้ให้ความหมายไว้อย่างหลากหลาย แต่โดยทั่วไปยอมรับกัน ว่า การวิจัยเชิงนโยบาย  หมายถึง  กระบวนการศกึ ษารวบรวมขอ้ มลู อยา่ งเป็นระบบ เพ่อื ใหไ้ ด้ผล การวเิ คราะห์ข้อมลู   และข้อเสนอแนะต่าง ๆ  (Recommendations) ตลอดจนแนวทางปฏิบตั ิที่อาจ จะเปน็ ไปได้ ในการแกป้ ญั หาหรอื การพฒั นาในเรอ่ื งใดเรอื่ งหนง่ึ ในระดบั นโยบาย  ทผี่ วู้ จิ ยั จะสอ่ื สาร แกบ่ คุ ลากรท่ีทำ� หน้าที่ในการตัดสนิ ใจ (Decision-makers) เพ่อื ให้เกดิ การขับเคลอื่ น หรือปรับปรงุ แกไ้ ขนโยบาย กลยทุ ธ์ หรือโครงการตา่ ง ๆ ต่อไป  (Dukeshire and Thurlow, 2002, pp. 3-4) อย่างไรกต็ าม สคุ นธา คงศลี และ สุขุม เจยี มตน (2550, หนา้ 60)  ไดก้ �ำหนดความหมาย ของการวิจยั นโยบายจากบทบาท กล่าวคือ การวจิ ัยเชิงนโยบาย หมายถึง  การวิจยั ท่ีมีบทบาทหลัก ในการ 1)  วเิ คราะหต์ วั นโยบาย 2) วเิ คราะหผ์ ลการดำ� เนนิ งานตามนโยบาย และ  3)  วจิ ยั เพอื่ พฒั นา ต่อมาอีก 3 ปี วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ (2553, หน้า 3) กล่าวว่า การวิจัยเชิงนโยบาย เป็นการวิจัยที่มุ่งก�ำหนดแนวทางการด�ำเนินการของแต่ละสถาบันหรือหน่วยงานจากปัจจุบันไป สู่อนาคต เพ่ือมุ่งหวังให้การตัดสินใจในการด�ำเนินการดังกล่าว มีความถูกต้องเหมาะสมและเป็น ไปไดม้ ากทสี่ ุด

220 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา จากนยิ ามตา่ ง ๆ ดงั ทกี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่   การวจิ ยั เชงิ นโยบายนนั้ มใิ ชแ่ ตเ่ ฉพาะ การศึกษาสภาพปัจจุบันท่ีเป็นอยู่ก่อนการใช้นโยบายหรือหลังการใช้นโยบายเท่าน้ัน เพราะสิ่งท่ี ส�ำคัญมากในการวิจัยเชิงนโยบายก็คือ ผู้วิจัยจะต้องให้ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ (Action-oriented recommendations) อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติแก่ผู้ใช้ผลการวิจัยด้วย เพราะผู้ใช้ผลการ วิจัยจะน�ำมาใช้ในการตัดสินใจต่อไปว่า จะผลักดันหรือขับเคล่ือนนโยบาย ปรับปรุงหรือล้มเลิก เสยี  สำ� หรบั คำ� วา่ ผู้ใช้ผลการวจิ ยั ในที่นี้ เชน่ ผู้สร้างนโยบาย (Policy-makers)  รฐั บาลหรอื ภาครฐั (Government) องค์กรในสังคม  (Community organizations) หรืออาจจะเป็นหน่วยงานอ่ืน ๆ ที่ได้รับผลจากการใช้นโยบาย ฯลฯ  กล่าวโดยสรุป การวิจัยเชิงนโยบาย เป็นกระบวนการศึกษารวบรวมข้อมูลอย่าง เป็นระบบ เพื่อให้ได้ผลการวิเคราะห์ข้อมูล  และข้อเสนอแนะต่าง ๆ  ตลอดจนแนวทางปฏิบัติ ทอ่ี าจจะเปน็ ไปได้ในการแกป้ ญั หาหรอื การพฒั นาในเรอ่ื งใดเรอ่ื งหนง่ึ ในระดบั นโยบาย โดยเปน็ การ วิจัยที่มีบทบาทหลกั ในการวิเคราะหต์ วั นโยบาย วิเคราะห์ผลการด�ำเนินงานตามนโยบาย และวจิ ยั เพ่ือพัฒนา และเป็นการวิจัยท่ีมุ่งก�ำหนดแนวทางการด�ำเนินการของแต่ละสถาบันหรือหน่วยงาน จากปัจจุบันไปสู่อนาคต เพื่อมุ่งหวังให้การตัดสินใจในการด�ำเนินการดังกล่าว มีความถูกต้อง เหมาะสมและเป็นไปไดม้ ากทีส่ ุด 6. พฒั นาการของการวิจยั เชิงนโยบาย การวิจัยเชิงนโยบายได้เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน โดยอาจแบ่งระยะเวลาทาง ประวตั ศิ าสตรข์ องการวจิ ยั เชงิ นโยบายออกเปน็ 3 ระยะ ซง่ึ อาจสรปุ ไดด้ งั นี้ (Putt and Springer, 1989, อ้างถึงใน สนธิรกั เทพเรณู และกุลชลี จงเจริญ, 2557) ระยะที่ 1 การทดลองในการวจิ ยั เชงิ นโยบายระหวา่ งปี ค.ศ. 1930–1960 เปน็ การทดลอง การวิจัยในเชิงนโยบายที่ถือเป็นการเริ่มต้น โดยทัศนคติของนักวิชาการบางกลุ่มไม่เห็นด้วยกับ กระบวนการวิจัยเชิงนโยบาย ท�ำให้ไม่ได้รับการพัฒนาทักษะท้ังในการด�ำเนินการวิจัยและการน�ำ ผลการวจิ ยั ไปใช้ ระยะที่ 2 การค้นหาทางเลือกในเชิงนโยบาย ระหว่างปี ค.ศ. 1960–1980 เป็นการ ค้นหาทางเลือกในเชิงนโยบาย บุคลากรภาครัฐบางส่วนให้ความสนใจในการน�ำข้อมูลจากผล การวิจัยเชิงนโยบายไปวิเคราะห์เพ่ือค้นหาทางเลือกที่ดีท่ีสุดในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ แต่งานวิจัย ที่เกิดขึ้นในระยะดังกล่าว ยังไม่สามารถสะท้อนถึงวิธีการในเชิงเทคนิคที่จะน�ำไปสู่การแก้ไข ปญั หาไดอ้ ยา่ งชดั เจน ถงึ แมจ้ ะมกี ารพฒั นาโปรแกรมดา้ นเทคโนโลยคี อมพวิ เตอรข์ นึ้ มาชว่ ยในการ รวบรวม วิเคราะหแ์ ละแปรผลขอ้ มูลให้มีประสทิ ธภิ าพเพม่ิ ขน้ึ ก็ตาม ระยะที่ 3 การสนับสนุนกระบวนการเชิงนโยบาย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา เป็นระยะเวลาในการสนับสนุนการวิจัยเชิงนโยบายโดยการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หลายรูปแบบ ซึ่งผลงานวิจัยสามารถน�ำไปสู่การก�ำหนดนโยบายภาครัฐ รวมท้ังการก�ำหนด ตัวบ่งช้ีในการแกไ้ ขปัญหาทางสังคมได้ชดั เจน

Research in Educational Administration • 221 7. ลกั ษณะสำ� คัญของการวิจัยเชิงนโยบาย การวิจัยเชิงนโยบายมีลักษณะส�ำคัญซ่ึงมีท้ังความเหมือนและความแตกต่างกับการ วิจัยประเภทอนื่ ๆ ประยงค์ เนาวบุตร (2555) ไดก้ ลา่ ววา่ การวิจัยเชงิ นโยบายมีลักษณะท่ีสำ� คญั 4 ประการ ดงั น้ี 7.1 เป็นการศึกษาเกี่ยวกับองค์ประกอบหรือกระบวนการนโยบาย โดยใช้วิธีการ ศึกษาแบบอนมุ านเฉพาะเรือ่ ง 7.2 เป็นการศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นกับสังคม หรือปัญหาที่องค์การแห่งน้ันก�ำลัง เผชิญอยู่ ซึง่ เป็นประโยชนแ์ ละมีคุณคา่ ตอ่ องค์การน้ันอย่างชดั แจ้ง 7.3 ต้องอาศัยองค์ความรู้ท่ีหลากหลายสาขาวิชาหรือความรู้แบบสหวิทยาการ รวมท้งั มีขอบขา่ ยในการศึกษาแบบหลายมติ ิ 7.4 เป็นการศึกษาปัจจัย หรือตัวแปรท่ีสามารถเปลี่ยนแปลงได้และต้องตอบสนอง ความตอ้ งการขององค์การหรอื ผู้บริหารองค์การที่เกี่ยวข้องกบั นโยบายนน้ั โดยตรง Putt and Spring (1989, pp. 19-25) กล่าวว่า การวจิ ัยเชิงนโยบาย จะมีลกั ษณะทส่ี ำ� คัญ 6 ประการ โดยมีรายละเอยี ดอาจสรปุ ได้ ดังนี้ 1) มีจุดเนน้ ทีม่ นุษยเ์ ป็นศนู ยก์ ลาง (Human centered) คือ มจี ดุ เน้นอยู่ทีป่ ัญหาของ มนษุ ย์ โดยมหี นา้ ทช่ี ว่ ยใหม้ นษุ ยเ์ กดิ ศกั ดศ์ิ รแี ละไดร้ บั การพฒั นา และชว่ ยในการวเิ คราะหเ์ พอื่ แกไ้ ข ปญั หาดงั กล่าว 2) พหุนิยม (Pluralistic) เป็นการวิจัยที่ไม่สามารถแยกออกจากความขัดแย้งด้าน ค่านิยมและความสนใจ ซ่ึงเป็นลักษณะหนึ่งของกระบวนการทางสังคมและกระบวนการทาง การเมือง ข้อมูลการวิจัยเชิงนโยบายจึงต้องท้ังแก้ปัญหาสังคมที่เกิดข้ึนท่ามกลางบริบทท่ีมีความ ขัดแยง้ ทง้ั ในเร่อื งของค่านิยม และความคดิ เห็นของประชาชนในสงั คม 3) มุมมองแบบหลากหลาย (Multi-perspective) เป็นการวิจัยที่ต้องการวิจัยแบบ พหนุ ยิ ม โดยจะตอ้ งผสมผสานทงั้ มมุ มองแบบหลากหลายในประเดน็ ตา่ ง ๆ ซงึ่ นกั วจิ ยั เชงิ นโยบาย อาจตอ้ งใช้วิธีวจิ ยั หลายวิธแี ละเกบ็ ข้อมูลจากหลายแหล่ง 4) ระบบ (Systematic) เป็นการวิจัยที่ต้ังอยู่บนพื้นฐานของกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และตรรกะในเชิงเหตุผลเพ่ือจะท�ำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นนโยบายนั้น โดยผ่าน กระบวนการทเี่ ปน็ มาตรฐาน ข้อมลู ทไ่ี ดจ้ ะต้องเปน็ ขอ้ มูลทช่ี ดั เจน มคี วามเที่ยงตรง 5) ความสัมพันธ์กับการตัดสินใจ (Decision-relevant) ข้อมูลท่ีได้จากการวิจัย เชิงนโยบายจะช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งข้อมูลที่ได้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เกิดการตัดสินใจในระดับ บริหารเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียที่อยู่ในกระบวนการวิจัย ตัดสินใจใน การดำ� เนินการในทุกระยะของการด�ำเนนิ การดว้ ย 6) การสร้างสรรค์ (Creative) เป็นการวจิ ยั ท่ีสามารถสร้างสรรค์งานและท�ำให้เกิด จินตนาการในงาน ตลอดถงึ สามารถสรา้ งสรรคแ์ นวคิดในการสรปุ ผลการวิจยั เพือ่ การน�ำไปใชไ้ ด้ กลา่ วโดยสรปุ การวจิ ัยเชิงนโยบายมีลกั ษณะท่ีสำ� คัญ คอื เป็นการศกึ ษากระบวนการ แก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนกับสังคมมนุษย์หรือองค์การที่ก�ำลังเผชิญอยู่ โดยต้องอาศัยองค์ความรู้

222 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา หลากหลายสาขาวิชาหรือความรู้แบบสหวิทยาการ มีจุดเน้นที่กระบวนการแก้ปัญหาของ มนษุ ย์อย่างเป็นระบบ และมีความสมั พันธก์ ับการตดั สินใจในเชิงสร้างสรรค์ 8. ประเภทของการวิจยั เชิงนโยบาย Putt and Spring (1989, pp. 35-55) กล่าวว่า การวิจัยเชิงนโยบายมีความเก่ียวพันธ์ กับนโยบายในทุกข้ันตอนของกระบวนการจัดท�ำนโยบาย และได้แบ่งประเภทของนโยบายตาม กระบวนการนโยบายออกเปน็ 5 ประเภท โดยมีรายละเอียดอาจสรปุ ได้ ดังน้ี 8.1 การวิจยั เพอ่ื กระตุน้ ใหเ้ กดิ นโยบาย (Policy stimulation) เป็นประเภทการวจิ ยั ที่ ตระหนักถึงความส�ำคัญและการนิยามปัญหา ซึ่งความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ของการวิจัยเชิงนโยบาย กับการกระตุ้นให้เกิดนโยบายในลักษณะให้ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เกี่ยวกับความยุ่งยากหรือปัญหาที่ มอี ยูแ่ ละกระตุ้นความคิดสร้างสรรคใ์ นการนยิ ามปัญหาหรือทำ� ความเข้าใจปัญหาอย่างชัดเจน 8.2 การจดั ทำ� นโยบายใหช้ ดั เจน (Policyclarification) เปน็ ประเภทการวจิ ยั ทเ่ี ปน็ การ น�ำปัญหามาท�ำความชัดเจน รวมทั้งพัฒนาทางเลือกในการแก้ไขปัญหานโยบาย การประเมินผล ความเป็นไปได้ของทางเลือก และการประมาณการความคาดหวงั ของผมู้ สี ่วนได้ส่วนเสยี 8.3 การวิจัยเพื่อเร่ิมต้นนโยบาย (Policy initiation) เป็นประเภทการวิจัยที่มีการ พิจารณาว่า ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาใดเป็นทางเลือกที่จะน�ำลงไปสู่การปฏิบัติจริง รวมท้ัง พิจารณาปัจจัยและทรพั ยากรท่เี กย่ี วขอ้ งกับการที่จะน�ำทางเลือกไปปฏบิ ัติ 8.4 การวิจัยเพ่ือน�ำนโยบายไปปฏิบัติ (Policy implementation) เป็นประเภทการ วจิ ยั ทีเ่ ปน็ การนำ� ข้อความท่ีเปน็ นโยบายลงสกู่ ารปฏบิ ัติ ซง่ึ ในขัน้ น้ี ผู้ทีน่ ำ� นโยบายไปปฏิบัตจิ ะต้อง ดำ� เนนิ การอยา่ งรอบรอบ เนอื่ งจากการปฏบิ ตั ดิ งั กลา่ วมกี ฎ ระเบยี บ และแนวทางการปฏบิ ตั อิ ยเู่ ปน็ จำ� นวนมาก 8.5 การวิจัยเพ่ือประเมินผลนโยบาย (Policy evaluation) เป็นประเภทการวิจัยใน ขน้ั ตอนที่สำ� คญั มากของกระบวนการนโยบาย ซงึ่ ผลของการประเมนิ จะท�ำให้ทราบว่า กจิ กรรมท่ี ปฏบิ ตั ติ ามนโยบายประสบผลสำ� เรจ็ หรอื ลม้ เหลว รวมทงั้ เหตผุ ลสำ� คญั ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ผลลพั ธด์ งั กลา่ ว ส่วน Nagel (2002) ไดก้ ลา่ ววา่ การวิจยั เชิงนโยบาย มี 3 ประเภท โดยมีรายละเอียดอาจ สรปุ ได้ ดังน้ี 1) การศกึ ษานโยบาย (Policy studies) จะเป็นการวิจัยท่ีเนน้ การพรรณนานโยบาย อธบิ ายนโยบายท่เี ป็นอยู่ และประเมนิ ผลนโยบาย 2) การวิเคราะห์นโยบาย (Policy analysis) จะเป็นการวิเคราะห์นโยบายอย่างเป็น ระบบ ซ่ึงใช้ได้ท้งั วิธกี ารเชิงปริมาณและเชงิ คณุ ภาพ 3) การประเมนิ ผลนโยบาย (Policy evaluation) เปน็ การประเมนิ ผลทางเลอื กของ นโยบาย รวมถงึ การประเมินผลแผนงานและโครงการต่าง ๆ กลา่ วโดยสรปุ การวจิ ยั เชงิ นโยบายมหี ลายประเภท ซงึ่ ประเภทของการวจิ ยั เชงิ นโยบาย ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั กระบวนการนโยบายจะเกย่ี วขอ้ งตงั้ แตก่ ารกระตนุ้ ใหเ้ กดิ นโยบาย การทำ� นโยบายให้ ชัดเจน การเร่มิ ต้นของนโยบาย การน�ำนโยบายไปปฏิบัติ และการประเมนิ ผลนโยบาย

Research in Educational Administration • 223 9. กระบวนการจัดท�ำการวิจัยเชงิ นโยบาย การจัดท�ำการวิจัยเชิงนโยบายนั้น ค่อนข้างมีรูปแบบในการจัดท�ำที่หลากหลาย อยา่ งไรกต็ าม นกั วจิ ยั สามารถสรปุ ขน้ั ตอนของกระบวนการจดั ทำ� ได ้ 6 ขนั้ ตอน ดงั นี้ (สคุ นธา คงศลี และสขุ มุ เจียมตน, 2550, หน้า 62) 9.1 การระบปุ ญั หา เปน็ การศกึ ษาวา่ ในขณะนป้ี ระชาชนประสบปญั หาหรอื มคี วาม เดือดร้อนเรื่องอะไร การระบุปัญหาอาจท�ำได้โดยการศึกษาภาคสนามหรือการลงพ้ืนที่เพ่ือดูว่า ประชาชนเดือดร้อนเรื่องอะไรบ้าง หรือมีประเด็นใดที่สังคมต้องการพัฒนาอีกบ้าง ซ่ึงนักวิจัยจะ ตอ้ งพจิ ารณาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น สือ่ มวลผล หรอื ผลการวิจยั จากศาสตรส์ าขาตา่ ง ๆ ดงั ที่ ไดก้ ล่าวไว้ในเบ้อื งตน้ 9.2 การกำ� หนดเปน็ วาระสำ� หรบั การตดั สนิ ใจ เนอ่ื งจากปญั หาทเ่ี กดิ ขนึ้ กบั ประชาชน หรือประเด็นต่าง ๆ ในสังคมน้ันมีอยู่เป็นจ�ำนวนมาก หากปัญหาหน่ึงได้รับการแก้ไข อีกปัญหา หนงึ่ กอ็ าจจะเกดิ ขนึ้ ตามมา นกั วจิ ยั จงึ ตอ้ งกลนั่ กรองหรอื บางครงั้ อาจจะตอ้ งเลอื กปญั หาเพอื่ ศกึ ษา แตเ่ นื่องจากงานวิจยั สว่ นใหญ่จะเป็นคำ� สัง่ ของความต้องการเฉพาะของเจ้าของทุนวจิ ัย ด้วยเหตุนี้ นกั วจิ ยั จ�ำเป็นจะต้องกำ� หนดปญั หาให้ชดั เจน ตรงกบั ความต้องการของหนว่ ยงานผ้ใู ช้ผลการวิจยั ด้วยการจดั ลำ� ดบั ความสำ� คัญของปัญหาและกำ� หนดโจทย์วจิ ัยส�ำหรับคน้ หาคำ� ตอบใหถ้ กู ตอ้ ง 9.3 การก�ำหนดข้อเสนอนโยบาย เม่ือปัญหาได้รับการยอมรับจากนักวิจัยหรือจาก ผู้ท่ีจะใช้ผลการวิจัย  ก็จะถูกน�ำมาพิจารณาว่า มีแนวทางแก้ไขปัญหาได้ก่ีแนวทาง ซ่ึงเรียกว่า ข้อเสนอหรือทางเลือกนโยบายท่ีมีอยู่หลายทางเลือก โดยหลักการแล้วจะต้องวิเคราะห์แต่ละทาง เลอื กว่า มีประโยชน์อยา่ งไร 9.4 การอนุมัตินโยบาย ทางเลือก/ข้อเสนอนโยบายที่ให้ประโยชน์สูงสุดจะ ได้รบั การอนุมัตอิ อกมาเปน็ นโยบาย 9.5 การด�ำเนินนโยบาย นโยบายท่ีได้รับการอนุมัติจะถูกน�ำไปปฏิบัติ มีส่วน ราชการและข้าราชการประจ�ำเปน็ ผู้รบั ผิดชอบ 9.6 การประเมินผลนโยบาย เม่ือด�ำเนินนโยบายแล้วเสร็จต้องประเมินผลนโยบาย เพื่อจะรับทราบว่า การด�ำ เนินนโยบายดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด ข้อมูลที่ได้ จากการประเมินผลจะน�ำไปใช้ประโยชน์เพื่อการตัดสินใจต่อไปว่า นโยบายนั้น ๆ  ควรได้รับ การด�ำเนนิ การอยา่ งต่อเนอ่ื งตอ่ ไป ควรปรบั ปรุงแก้ไขอยา่ งไร หรอื ควรยตุ  ิ แลว้ ก�ำหนดนโยบายอืน่ ออกมาทดแทน โดยทว่ั ไปการวจิ ยั เชงิ นโยบายจะเรม่ิ จากการสำ� รวจขอ้ มลู ทตุ ยิ ภมู กิ อ่ นเพอ่ื พจิ ารณาวา่ ได้ข้อมูลที่ครบหรือเพียงพอต่อการท�ำวิจัยหรือไม่ ถ้ายังไม่เพียงพอก็จะต้องเก็บข้อมูลเพ่ิมเติม โดยการสำ� รวจ ลงพ้นื ทเ่ี ป้าหมาย ซ่งึ กเ็ ป็นการเก็บข้อมูลปฐมภมู ิ เช่น การสมั ภาษณก์ ลุม่ เปา้ หมาย นอกจากนี้  Dukeshire and Thurlow (2002, pp. 11-12) ได้กลา่ วถงึ บทบาทของการวิจัย เชิงนโยบายที่ไดเ้ ขา้ ไปในกระบวนการต่าง ๆ ของการขบั เคลือ่ นนโยบายโดยอาจสรุปได้ ดังนี้  1) การวจิ ยั เชงิ นโยบายชว่ ยในการระบปุ ญั หาและระบปุ ระเดน็ สำ� คญั  (Recognizing problems and identifying issues) ซึ่งการวิจัยสามารถที่จะท�ำให้เห็นประเด็นอันเป็นปัญหา

224 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา ที่ควรจะได้รับการปรับปรุงหรือแก้ไข โดยท่ัวไป ข้อมูลที่จะน�ำมาใช้มักถูกน�ำเสนอโดยองค์กร ภายนอกชมุ ชนทปี่ ระสบปญั หา เชน่ จากสอ่ื ผแู้ ทนของภาครฐั การศกึ ษาของนกั วชิ าการ โพล ฯลฯ ซึ่งนักวิจัยและนักนโยบายจะต้องร่วมกันพิจารณาเลือกประเด็นปัญหาที่เห็นว่ามีความจ�ำเป็น เรง่ ด่วน และเหน็ วา่ จะต้องมกี ารดำ� เนนิ นโยบายอยา่ งใดอย่างหนงึ่ เพ่ือแกไ้ ขปัญหา    2)  การวิจัยเชิงนโยบายจะช่วยสร้างความเข้าใจประเด็นส�ำคัญให้เกิดความกระจ่าง ชัดย่ิงขึ้น เมื่อนักนโยบายหรือผู้บริหารได้เลือกประเด็นปัญหาท่ีเห็นว่า ส�ำคัญและจ�ำเป็นจะต้อง ด�ำเนินนโยบายอย่างหน่ึงอย่างใดเพื่อแก้ไขแล้ว นักนโยบายจะต้องท�ำความเข้าใจปัญหาให้ชัดเจน ขน้ึ ดว้ ยการใชว้ ธิ กี ารวจิ ยั ในการเกบ็ ขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ เฉพาะทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ประเดน็ นนั้ เพอ่ื ใหส้ ามารถ อธบิ ายปญั หานนั้ ในมิติทีล่ มุ่ ลกึ ขึน้   3) การวิจัยเชิงนโยบายจะช่วยสนับสนุนและเลือกแผนการปฏิบัติที่เหมาะสม ท่ีสุด (Supporting a selected plan of action) เม่ือได้มีการระบุประเด็นปัญหาและตัดสินใจท่ีจะ ด�ำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือตัดสินใจแล้ว จ�ำเป็นอย่างยิ่งท่ีในการแก้ปัญหาหนึ่ง ๆ จะต้อง มีแผนส�ำหรับปฏิบัติการ (Action plan) เพื่อท่ีจะก�ำหนดยุทธศาสตร์ เทคนิคหรือวิธีการต่าง ๆ ต่อไป  ซึ่งในการเลือกหรือก�ำหนดแผนน้ัน สามารถใช้การวิจัยเข้ามามีบทบาทได้ โดยผู้บริหาร หรือนักนโยบายจะน�ำผลการวิจัยมาประกอบเพื่อพิจารณาคัดเลือกวิธี และน�ำเสนอเป็นโครงร่าง ของแผนปฏิบัติการหรือแผนงาน ซึ่งจะช่วยให้แผนงานนั้นได้รับความเช่ือถือและยอมรับจาก สงั คมมากยงิ่ ขน้ึ   ถอื ไดว้ า่ เปน็ การเพม่ิ โอกาสทแี่ ผนงานนน้ั จะไดร้ บั การคดั เลอื กใหน้ ำ� ไปปฏบิ ตั จิ รงิ   4) การวจิ ยั เชงิ นโยบายจะชว่ ยควบคมุ กระบวนการและประเมนิ ผลกระทบทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการด�ำเนนิ นโยบาย (Monitoring process and evaluating impact)  นักวิจยั เชิงนโยบายจะเขา้ มา มีบทบาทในการศึกษาผลท่ีเกิดข้ึนจากการน�ำแผนปฏิบัติการหรือแผนงานไปใช้  การวิจัยอาจจะ ด�ำเนินการในลักษณะการเก็บข้อมูลจากผู้ได้รับผลจากนโยบายหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคล่ือน นโยบาย  เช่น  สง่ิ ใดท่ีมีประสิทธภิ าพ หรอื ส่ิงใดทเี่ ปน็ ประโยชน์หรือไม่เกิดประโยชน์ หรืออาจจะ ท�ำใหเ้ กดิ โทษจากการดำ� เนนิ นโยบายน้ัน  โดยหากมีการวิจยั ตอ่ ไป กอ็ าจจะทำ� ให้ทราบถงึ สาเหตทุ ่ี ท�ำให้การขับเคลื่อนนโยบายประสบปัญหา หรือมีอุปสรรค  การวิจัยเพื่อตรวจสอบและประเมิน นโยบายนั้น จะท�ำให้ได้ข้อมูลส�ำหรับการตัดสินใจปรับปรุงนโยบาย แก้ไขหรือยุตินโยบาย หาก พบวา่ นโยบายดงั กล่าวไม่ก่อให้เกดิ ผลดงั ที่กำ� หนดไว้  การวจิ ยั เชงิ นโยบาย นกั วจิ ยั อาจจะมบี ทบาทรองในการนำ� ผลวจิ ยั ไปใช้ แตท่ ง้ั นที้ งั้ นน้ั โอกาสทจี่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ การขบั เคลอ่ื นนโยบายในวงกวา้ งยอ่ มมอี ยมู่ าก ดว้ ยเหตนุ ้ี นกั วจิ ยั จะตอ้ งศกึ ษา ข้อมูลท่ีปรากฏตามข้อเท็จจริง สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงานหรือองค์กรท่ีให้ท�ำวิจัย และเสนอข้อเสนอแนะในลักษณะท่ีสามารถปฏิบตั ไิ ดจ้ รงิ นอกจากนี้ นกั วิจยั เชงิ นโยบายจะต้องมี ความสามารถในการส่ือสาร  ซงึ่ จะชว่ ยใหส้ ่งิ ทศี่ กึ ษาวิจัยเปน็ ประโยชน์ตอ่ สังคมอย่างแท้จริง  10. ขอบข่ายของการวิจัยเชงิ นโยบาย Livingstone (2005, pp. 15-29) ไดน้ ำ� เสนอขอบขา่ ยของการวจิ ัยเชิงนโยบายที่เกย่ี วขอ้ ง กับการบรหิ ารการศึกษา โดยจ�ำแนกออกเปน็ 6 ประเด็น ดังนี้

Research in Educational Administration • 225 10.1 เป้าหมายการเรียนรู้และหลักสูตร (Learning goals and curriculum) ซึ่ง ประเด็นในการวิจัยเชิงนโยบายในสาระน้ี อาจได้แก่ การส�ำรวจเพื่อประเมินความต้องการจ�ำเป็น การพัฒนาหลกั สตู ร การประมาณการทรัพยากร นักเรียนทมี่ ีความตอ้ งการพเิ ศษ ฯลฯ 10.2 การประเมนิ ผล การแนะแนว และการคดั เลอื ก (Assessment, guidance and selection) ซ่งึ ประเด็นในการวิจัยเชงิ นโยบายในสาระนี้ อาจไดแ้ ก่ การทดสอบ การประเมนิ ในรูป แบบอืน่ ๆ การแนะแนว และการคดั เลอื ก ฯลฯ 10.3 ประชากรวยั เรยี น การเข้าเรียน และโครงสร้าง (Demography, enrolment and structure) ซึง่ ประเดน็ ในการวจิ ัยเชงิ นโยบายในสาระน้ี อาจไดแ้ ก่ สถติ ปิ ระชากรวัยเรยี นพืน้ ฐาน การเขา้ เรยี น โครงสรา้ งทางการศกึ ษา ฯลฯ 10.4 งบประมาณและการบรหิ ารจดั การ(Financeandadministration)ซง่ึ ประเดน็ ในการวจิ ยั เชงิ นโยบายในสาระนี้ อาจไดแ้ ก่ ตน้ ทุนตอ่ หน่วย การจัดสรรทรพั ยากร โครงสรา้ งทาง การบรหิ าร ฯลฯ 10.5 การคัดเลือกและการฝึกอบรมครู (Selection and training of educators) ซง่ึ ประเดน็ ในการวจิ ยั เชงิ นโยบายในสาระน้ี อาจไดแ้ ก่ การคดั เลอื กครู การพฒั นาครู ประสทิ ธภิ าพ ของครู ฯลฯ 10.6 การตดิ ตามระบบการศกึ ษา (Monitoring the education system) ซงึ่ ประเดน็ ในการวิจัยเชิงนโยบายในสาระน้ี อาจได้แก่ การติดตามผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน การประเมินผล เชิงเปรยี บเทยี บ การตรวจสอบ ฯลฯ กล่าวโดยสรุป ขอบข่ายของการวิจัยเชิงนโยบายที่เก่ียวข้องกับการบริหารการศึกษา อาจพิจารณาในประเด็นหลัก ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการเรียนรู้และหลักสูตร การประเมิน ผล การแนะแนวและการคัดเลือก ประชากรวัยเรียน การเข้าเรียนและโครงสร้างทางการศึกษา งบประมาณและการบรหิ ารจดั การ การคัดเลือกและการฝกึ อบรมครู การตดิ ตามระบบการศกึ ษา 11. ประโยชนข์ องการวจิ ัยเชิงนโยบาย Dukeshire and Thurlow (2002, pp. 11-12) ไดก้ ลา่ วถงึ ประโยชนข์ องการวจิ ยั เชงิ นโยบาย ซงึ่ อาจสรปุ ได้ ดงั นี้ คอื การวจิ ยั เชงิ นโยบายเปน็ เครอ่ื งมอื ในการกำ� หนดนโยบายสำ� หรบั การบรหิ าร จัดการ ซ่ึงจะช่วยระบุถึงประเด็นปัญหา สร้างความเข้าใจในสาระส�ำคัญของปัญหา แนวทางการ แก้ไข และสนับสนุนให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจเลือกแผนปฏิบัติการได้อย่างเหมาะสม รวมท้ัง ควบคุมกระบวนการในการแก้ไขปัญหาและประเมินผลกระทบท่ีจะเกิดขึ้นจากการขับเคล่ือน นโยบายได้เป็นการล่วงหน้า ซึ่งท�ำให้การตัดสินใจในเชิงบริหาร เพ่ือการพัฒนาปรับปรุงหรือ ยตุ นิ โยบายทไี่ มเ่ กิดผลในทางปฏิบตั เิ ป็นไปได้ทนั ตามสภาพการณท์ เี่ ปลี่ยนแปลงไป

226 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา 6.2 การออกแบบการวิจยั เชิงนโยบาย การออกแบบการวจิ ัยเชิงนโยบาย อาจด�ำเนินการไดใ้ นหลายรปู แบบ Putt and Spring (1989, pp. 86 -102) และสพุ กั ตร์ พบิ ลู ย์ (2554) ไดน้ ำ� เสนอรปู แบบการวจิ ยั เชงิ นโยบายวา่ ประกอบ ดว้ ย 5 แบบทสี่ �ำคัญ ไดแ้ ก่ การออกแบบการวจิ ยั เชิงส�ำรวจ การออกแบบการวิจัยเชงิ พรรณนา การ ออกแบบการวิจัยเชิงสาเหตุ การออกแบบการวิจยั เพอ่ื การประมาณค่า และ การออกแบบการวจิ ัย เชงิ ประเมิน โดยแบบการวจิ ยั ดังกลา่ ว มรี ายละเอียดอาจสรุปได้ ดังนี้ 1. การออกแบบการวิจยั เชิงส�ำรวจ (Exploratory research design) เปน็ การออกแบบ การวิจัยท่ีมุ่งเน้นการท�ำให้เกิดความเข้าใจในประเด็นปัญหา และท�ำให้ปัญหามีความชัดเจนขึ้น สามารถที่จะก�ำหนดลักษณะของปัญหาและกรอบของการศึกษา และสามารถพัฒนาไปเป็น สมมติฐานของการศึกษางานวิจัยต่อไป วิธีการท่ีเหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูลส�ำหรับการวิจัยแบบน้ี จะต้องท�ำการ รวบรวมขอ้ มลู จากหลายแหลง่ ขอ้ มลู ซง่ึ จะทำ� ใหม้ องเหน็ มมุ มองทห่ี ลากหลายในประเดน็ นโยบาย ที่ต้องการศึกษา โดยควรใชว้ ธิ กี ารเก็บรวบรวมข้อมูล ดงั นคี้ อื 1) การระดมสมอง (Brainstorming) คือ การเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายของกลุ่มบุคคลที่มีความรู้และความสนใจ 2) การสัมภาษณ์ (Interviews) คือ วธิ ีการถามท่จี ะท�ำใหไ้ ดข้ อ้ มูลท่เี ป็นประโยชนอ์ ยา่ งมาก ทั้งขอ้ มูลที่เป็นประเด็น นโยบายและประเดน็ ต่าง ๆ ที่เกีย่ วขอ้ ง 3) การศึกษาจากแหล่งข้อมลู ทห่ี าได้ (Available studies and records) คือ การค้นคว้างานเขียน บทความ งานวิจัยในเรื่องนั้น ๆ ข้อมูลสถิติต่าง ๆ ฯลฯ เปน็ วิธหี าขอ้ มูลหรอื ค�ำตอบท่ีเร็วที่สดุ และต้นทุนต�่ำ 2. การออกแบบการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive research design) เป็นการ ออกแบบการวิจัยที่มีวัตถุประสงค์ส�ำคัญ คือ เพื่ออธิบายหรือบรรยายปรากฏการณ์ในการพัฒนา ความเข้าใจปัญหาอย่างแจม่ ชดั ในรายละเอียด มกี ารระบุสมมติฐานและระบขุ อ้ มูลทต่ี อ้ งการ วิธีการท่ีเหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูลส�ำหรับการวิจัยแบบน้ี จะเน้นความตรง (Validity) และความเท่ียง (Reliability) ของข้อมูล ซึ่งมีอยู่ 2 มิติ คือ การเลือกกลุ่มตัวอย่าง และการวัดตัวแปร โดยต้องมีการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลจากประชากรในวงกว้างซึ่งข้อมูลท่ีได้จาก กลุม่ ตวั อย่างที่คดั เลือกจะตอ้ งสามารถเปน็ ตัวแทนของประชากรทัง้ หมดได้ 3. การออกแบบการวิจัยเชิงสาเหตุ (Causal research design) เป็นการออกแบบ การวิจัยท่ีเป็นเช่นเดียวกับแบบการวิจัยเชิงพรรณนาที่ต้องมีการวางแผนและมีเคร่ืองมือในการทำ� วจิ ยั ในขณะทแ่ี บบการวจิ ยั เชงิ พรรณนา ใชห้ าระดบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปร ไมไ่ ดใ้ ชท้ ดสอบ ความเป็นเหตุเป็นผล ส่วนการวิจัยเชิงสาเหตุ มีวัตถุประสงค์หลัก คือ หาความสัมพันธ์ของเหตุ และผลในเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น จึงเป็นการวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องการหาความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุและ เปน็ ผลกันของตวั แปรท่ตี อ้ งการศกึ ษา 4. การออกแบบการวิจยั เพื่อการประมาณคา่ (Estimation research design) เปน็ แบบ การวจิ ัยท่ีจะเป็นส่วนส�ำคัญในการตัดสินวา่ ขอ้ มูลในอดีตมคี วามถูกต้องแมน่ ย�ำเพยี งใดในการน�ำ มาใช้เพอ่ื การประมาณค่าถึงเหตกุ ารณท์ ตี่ อ้ งการให้เกดิ ขน้ึ ในอนาคต โดยเทคนิคของการประมาณ คา่ สามารถแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ลักษณะ คือ 1) การทำ� นาย (Forecasting) เปน็ การประมาณสถานการณ์ใน

Research in Educational Administration • 227 อนาคตซึ่งข้ึนอยู่กับข้อมูลในอดีตและแนวโน้มท่ีคาดว่าจะเกิดข้ึน อาทิ การคาดการณ์การสมัคร เข้าเรียนของนักเรียน 2) การน�ำเสนอแบบจ�ำลอง (Modeling) เป็นการคาดการณ์ผลกระทบใน อนาคตของการปฏิบัติตามนโยบาย โดยการสร้างรูปแบบน�ำเสนอผู้มีอ�ำนาจตัดสินใจในการ คาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นตามนโยบายนั้น ซึ่งรูปแบบดังกล่าวจะเป็นการจ�ำลองข้อเท็จจริงในรูป ของประโยค ท่ีแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงท่ีเข้าใจง่าย และ 3) การหย่ังรู้ของผู้เช่ียวชาญ (Expert intuition) เป็นเทคนิคท่ีขึ้นอยู่กับความรู้และความเช่ียวชาญของผู้เชี่ยวชาญในการท�ำนาย สถานการณ์ทจี่ ะเกิดข้ึนในอนาคต 5. การออกแบบการวจิ ยั เชงิ ประเมนิ (Evaluation research design) การวจิ ยั เชงิ ประเมนิ เปน็ รปู แบบหนง่ึ ของการวจิ ยั ประยกุ ต์ โดยมงุ่ แสวงหาสารสนเทศเพอ่ื การตดั สนิ ใจ มหี ลกั การของ การวิจัยเชิงประเมิน คือ เพ่ือมุ่งตัดสินคุณค่าของปฏิบัติการหรือเป้าหมายใด ๆ เทียบกับเกณฑ์ที่ กำ� หนดไวล้ ่วงหน้า โดยองิ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ สำ� หรับแนวทางในการออกแบบการวิจัยเชิงประเมิน คือ การออกแบบให้ครอบคลมุ ใน 3 ประการ ได้แก่ 1) การเลือกใช้กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย (Sampling design) การวัดตัวแปร และเก็บรวบรวมข้อมูล (Measurement design) และแนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลหรือสถิติท่ีใช้ (Statistical design) กลา่ วโดยสรปุ การออกแบบการวจิ ยั เชงิ นโยบาย มไี ดห้ ลายรปู แบบ แตร่ ปู แบบทสี่ ำ� คญั มี 5 แบบ ไดแ้ ก่ การวจิ ยั ทอ่ี อกแบบเพอื่ สำ� รวจ การวจิ ยั ทอี่ อกแบบเพอื่ พรรณนาหรอื อธบิ าย การวจิ ยั ท่ีออกแบบเพื่อหาสาเหตุและผล การวิจัยที่ออกแบบเพื่อการประมาณค่า และการวิจัยท่ีออกแบบ เพอื่ ประเมนิ 6.3 การด�ำเนินการวิจัยเชิงนโยบาย ในท่ีน้ี ขอน�ำเสนอการด�ำเนินการวิจัยเชิงนโยบายในส่วนท่ีเป็นข้ันตอนต่อเนื่องจาก การออกแบบการวิจัยเชิงนโยบาย คือ เครื่องมือและการพัฒนาเครื่องมือ การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล โดยอาจสรุปได้ ดงั น้ี (สนธิรัก เทพเรณู และกลุ ชลี จงเจริญ, 2557) 1. เคร่ืองมือในการวิจัยเชิงนโยบาย จะมีท้ังในส่วนที่นักวิจัยสร้างขึ้นเองและใน ส่วนท่ีเป็นเครื่องมือมาตรฐาน ทั้งน้ี การเลือกใช้เคร่ืองมือการวิจัยจะข้ึนอยู่กับชนิดของตัวแปร กลุ่มตัวอย่าง และระดับความสามารถของผู้เก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือการวิจัยเชิงนโยบายมี หลายชนดิ ซงึ่ กค็ ลา้ ย ๆ หรอื เหมอื นกบั การวจิ ยั ทวั่ ๆ ไป ไดแ้ ก่ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสมั ภาษณ์ 3) แบบสังเกต และ 4) แบบบันทึกการสนสนทนากลุ่ม ส่วนการพัฒนาเครื่องมือมีวิธีการคล้าย กับการวิจัยโดยทั่วไป 2. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู มอี ยหู่ ลายวธิ ี แตว่ ธิ ที นี่ ยิ มใชใ้ นการ วิจยั เชงิ นโยบาย อาจแบ่งเป็นวิธีการได้ 4 วธิ ี คอื การสอบถามซึ่งใชแ้ บบสอบถาม (Questionnaire) การสัมภาษณ์ซ่ึงใช้แบบสัมภาษณ์ (Interview form) การสังเกตซ่ึงใช้แบบสังเกต (Observation form) และการสนทนากลุ่มซงึ่ ใชแ้ บบบนั ทึกสนทนากลุ่ม (Focus group form) 3. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเชิงนโยบายเป็นเคร่ืองมือส�ำคัญของผู้บริหารและ

228 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา ผูก้ ำ� หนดนโยบายในการตัดสนิ ใจเชงิ นโยบายในปจั จบุ นั และในอนาคต ดังน้นั การวิเคราะห์ข้อมูล และการสื่อสารรายงานผลการวิจัยเชิงนโยบายจึงเป็นข้ันตอนที่ส�ำคัญย่ิง ส�ำหรับสถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูลก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลว่า เป็นข้อมูลเชิงปริมาณหรือข้อมูลเชิงคุณภาพ ถ้าเป็น ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) ก็ใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) และสถิติ เชิงอ้างอิง (Inferential Statistics) แต่ถ้าเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data) ก็ใช้เทคนิค ที่เรียกว่า การจ�ำแนกกลุ่มข้อมูลเชิงคุณภาพซึ่งเป็นกระบวนการ ประกอบด้วยการจ�ำแนกและ จดั ระบบขอ้ มลู และการหาความสมั พนั ธข์ องขอ้ มลู อยา่ งไรกต็ าม โดยทว่ั ไป วธิ กี ารวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในงานวิจัยเชิงคุณภาพ จะใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบสร้างข้อสรุปอุปนัย (Inductive analysis) หรอื การวเิ คราะห์เชิงเน้อื หา (Content analysis) 6.4 เทคนคิ การวิจยั เชงิ นโยบาย การวิจัยเชิงนโยบายนิยมใช้เทคนิคการวิจัยอนาคตซ่ึงมีอยู่หลายวิธี แต่วิธีที่เป็นที่ รู้จักและนิยมน�ำมาใช้ในการวิจัยเชิงนโยบาย มีอยู่ 3 วิธี ได้แก่ 1) การวิจัยอนาคตแบบ Delphi (Delphi Technique) 2) การวจิ ยั อนาคตแบบ EFR (Ethnographic Futures Research: EFR) และ 3) การวิจัยอนาคตแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research: EDFR) เทคนคิ การ วิจัยอนาคตดังกล่าว สามารถใช้การวิจัยทั้งในรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ ท้ังน้ี ขน้ึ อย่กู ับวตั ถุประสงคใ์ นการวจิ ยั ดรู ายละเอียดเกยี่ วกับเทคนิคการวจิ ยั อนาคตในบทท่ี 8 6.5 กรณีตวั อยา่ งการวจิ ยั เชิงนโยบายทางการบรหิ ารการศกึ ษา ตัวอย่างที่ 1: การวิจยั เพือ่ ก�ำหนดนโยบาย ชื่อเร่อื ง : การวจิ ยั และพัฒนานโยบายการพฒั นาครแู ละบุคลากรทางการศึกษา ช่ือผู้วจิ ยั : พิชิต ฤทธจิ์ รูญ และคณะ ปีทวี่ จิ ยั : 2555 วตั ถุประสงค:์ เพอื่ พฒั นานโยบายการพฒั นาครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษาในระดบั การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน วิธดี �ำเนนิ การวิจัย: ใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา 3 ข้ันตอน ได้แก่ 1) การระบุประเด็นปัญหาข้อเสนอ เชิงนโยบาย โดยศึกษาจากเอกสารและเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสนทนากลุ่มกับครู ผู้บริหาร สถานศึกษา ศึกษานเิ ทศก์ ผูป้ กครองและนกั เรียน รวมทัง้ สน้ิ 314 คน แล้วสังเคราะห์เป็นประเดน็ ปัญหาการพัฒนา 2) การพัฒนาทางเลือกขอ้ เสนอเชงิ นโยบาย ใชผ้ ลการสงั เคราะหย์ กร่างขอ้ เสนอ เชิงนโยบาย และประเมินเชิงวิพากษ์โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และบุคลากรทางการศึกษาท่ีเก่ียวข้องแล้ว ปรับร่างข้อเสนอเชิงนโยบาย และ 3) การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย ประเมินเชิงวิพากษ์ร่าง ขอ้ เสนอเชิงนโยบายโดยบุคลากรทางการศกึ ษาท่เี ก่ียวข้อง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook