Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

Published by supasit.kon, 2022-12-29 03:14:00

Description: การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

Search

Read the Text Version

Research in Educational Administration • 479 อริยสัจส่ีเป็นผลงานนวัตกรรมที่เป็นรูปธรรม ซึ่งได้จากการศึกษาค้นคว้าหรือจากการ วิจัยของพระพุทธเจ้าในขณะท่ีผนวชเป็นพระสิทธัตถะ และเป็นผลงานที่เก่ียวข้องกับชีวิตของ มนษย์ทุกคนในโลก สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ส�ำหรับการแก้ปัญหาเรื่องทุกข์ของมนุษยชาติ นับว่าเป็นผลงานหลักธรรมที่เป็นอมตะ ไม่ล้าสมัย เพราะไม่เกี่ยวเนื่องด้วยกาลเวลา (อกาลิโก) ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคต แต่เป็นผลงานที่เป็นธรรมชาติที่เป็นจริงอยู่เช่นนั้น ตลอดเวลา ผวู้ ิจยั จึงสามารถอา้ งอิงได้ทุกยุคทกุ สมัย อริยสัจส่ีท่ีพระพุทธเจ้าทรงค้นพบน้ัน เป็นสัจจะหรือความจริงอย่างหน่ึงในบรรดา ความจริงท่ีมีอยู่มากมาย แต่อริยสัจสี่แตกต่างจากสัจจะทั่วไป การที่อริยสัจส่ีแตกต่างจากสัจจะ ท่ัวไป น้ัน มีอธิบายว่า สัจจะหรือความจริงทั่วไปน้ัน เมื่อใคร “รู้จัก” แล้ว ก็ไม่อาจทำ� ให้ดับทุกข์ ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตรงกันข้าม บางทีเม่ือรู้จักแล้ว อาจท�ำให้มีความทุกข์เพ่ิมข้ึนด้วย แต่อริยสจั สนี่ ั้น เมื่อใครกต็ าม “ร้จู ัก” (ดว้ ยการศกึ ษา)  และ “ร้แู จง้ ” (ดว้ ยการลงมือเจริญวปิ ัสสนา กรรมฐาน) แลว้ ก็จะท�ำให้ผนู้ ัน้ หรอื คนคนน้นั “สามารถดบั ทุกขใ์ นชีวิตไดอ้ ยา่ งส้นิ เชงิ ” ความแตกตา่ งดงั กลา่ วขา้ งตน้ มตี วั อยา่ งของนกั วทิ ยาศาสตรร์ ะดบั รางวลั โนเบลคนหนงึ่ เป็นตัวอย่าง กล่าวกันว่า นักวิทยาศาสตร์ทางด้านฟิสิกส์คนหน่ึง ค้นพบความจริงอันลึกซึ้งทาง ฟิสิกส์ว่า ปฏิสสารมีการสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา และในหนึ่งนาทีการส่ันสะเทือนนี้เกิดขึ้น นบั ลา้ น ๆ ครั้ง ซึ่งการค้นพบน้ี หากมองในมุมมองทางพระพทุ ธศาสนาเทา่ กบั ว่า นักวทิ ยาศาสตร์ คนดังกล่าวก�ำลังค้นพบกฎพระไตรลักษณ์ คือ ภาวะอนิจจัง (ไม่เท่ียง มีการแปรเปลี่ยนไป) ทุกขัง (ทนอยู่ในสภาพเดิมไมไ่ ด้) และอนัตตา (ไมใ่ ชต่ ัวตน ไมส่ ามารถบงั คับบัญชาให้เป็นไปตาม ต้องการได้) เขาค้นพบความจริงนี้ด้วยเคร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์ แต่ครั้นค้นพบแล้ว เขาก็ยังคง มีชีวิตที่มีความทุกข์ท่วมท้นมากมาย ซ่ึงต่างกับผู้เจริญวิปัสสนาคนหน่ึงซ่ึงค้นพบความจริง เดียวกันด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างเข้มข้น แต่เหตุการณ์กลับปรากฏว่า ผู้เจริญ วิปัสสนาเกิดการต่ืนรู้ คลายความยึดติดถือมั่นในกายและจิต เกิดความสว่างไสวในทาง ปัญญา และจิตหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างส้ินเชิง มีชีวิตที่มีความสุข สดช่ืน ร่ืนเย็น กลายเป็น บคุ คลคนใหม่ขึ้นมาในทนั ที (Senorita. diary, 2556) ในแง่ของประโยชน์ อริยสัจส่ีมีประโยชน์ทั่วไปท้ังทางโลกและทางธรรม ประโยชน์ใน ทางโลก อริยสัจสี่สามารถใช้เป็นวิธีคิด วิธีมอง วิธีแก้ปัญหาได้ทุกกรณี เช่น เมื่อเกิดปัญหาอะไร ขึ้นมา ก็สามารถพิจารณาด้วยวิธีคิดแบบอริยสัจสี่ว่า 1) น่ีคืออะไร (ทุกข์) 2) มาจากสาเหตุใด (สมทุ ยั ) 3) ทางออกคอื อยา่ งไร (นิโรธ) และ 4) จะแกป้ ญั หาอย่างไร (มรรค)  คนทมี่ องปญั หาต่าง ๆ ด้วยวิธีคิดแบบอริยสัจส่ี จะสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยสติปัญญาสามัญของมนุษย์ธรรมดา ๆ น่ีเอง ส่วนประโยชน์ในทางธรรม ใครก็ตามที่ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดสมบูรณ์ เขาย่อมมีสิทธ์ิ บรรลมุ รรค ผล นิพพานได้ ปัจจุบันนี้ หากถามว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ? หรือค้นพบอะไร ? ชาวพุทธโดย ทว่ั ไป ก็จะตอบตรงกนั โดยไมต่ อ้ งลังเลว่า พระพุทธเจา้ ตรัสรู้ “อริยสจั ส่”ี หรอื คน้ พบ “อริยสัจส่ี” ซึง่ มี 4 ประการ ได้แก่ 1) ทกุ ข์ 2) สมุทยั 3) นโิ รธ และ 4) มรรค ทัง้ นเี้ นือ่ งจากว่า อรยิ สจั ส่ี ดงั กลา่ วเป็นหลกั ธรรมระดับ “หวั ใจของพุทธศาสนา” ท่ชี าวพุทธโดยท่ัวไปรู้จักดี หลกั ธรรมหรือ

480 • การวิจัยทางการบริหารการศกึ ษา ธรรมทัง้ หมดท่พี ระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ สามารถประมวลลงในอริยสจั สี่ไดท้ ัง้ ส้นิ หากมองในแง่ ทฤษฎคี วามรู้อรยิ สจั สกี่ เ็ ปน็ องคค์ วามรทู้ สี่ มบรู ณแ์ บบดว้ ยเหตดุ ว้ ยผลหากมองในแงข่ องการปฏบิ ตั ิ เพอ่ื บรรลมุ รรคผลนพิ พาน อรยิ สจั สก่ี ถ็ งึ พรอ้ มดว้ ยภาคปรยิ ตั ิ (ความร)ู้ ภาคปฏบิ ตั ิ (ประสบการณ)์ ภาคปฏเิ วธ (ผลของการปฏบิ ตั )ิ หากมองในแงข่ องความเปน็ สจั ธรรมสากล (Cosmic law)  อรยิ สจั ส่ี ก็เป็นความจริงที่สมบูรณ์แบบอยู่ในตัวเองตลอดกาล ไม่ล้าสมัย เพราะเป็นหลักธรรมท่ีไม่เกี่ยว เน่ืองด้วยกาลเวลา (อกาลิโก) ไม่ต้องแก้ไข ไม่ต้องเพ่ิมเติม ไม่ต้องตัดออกแม้แต่ข้อเดียว เพราะ เป็นความจริง ซึ่งแตกต่างจากค�ำสอนหรือองค์ความรู้ของผู้รู้ทั่วไปท่ีเมื่อเวลาผ่านไปก็แสดงความ ล้าสมยั ออกมาให้ปรากฏ ต้องคอยปรบั คอยแก้กนั เปน็ ระยะ ๆ หรอื อาจจะมีผ้คู น้ พบทฤษฎใี หม่ ๆ ขึน้ มาลม้ ลา้ งทฤษฎีเกา่ ๆ ได้ แต่สำ� หรบั อรยิ สจั สี่แล้ว หาเป็นเช่นนนั้ ไม่ ไมว่ ่ากาลเวลาจะผ่านไป นานเพียงไรก็ตาม คุณค่าของอริยสัจส่ีก็มิได้ลดน้อยถอยลงไปเลย ตรงกันข้ามกลับยังคงทันสมัย หรือท้าทายกาลเวลาอยู่เสมอ (อกาลิโก) ท้าทายการตรวจสอบ การทดลอง หรือการพิสูจน์ (เอหิปัสสิโก) ใครก็ตามท่ีน�ำอริยสัจส่ีไปประพฤติปฏิบัติ ก็จะประจักษ์ผลนั้น ๆ อย่างชัดเจน ด้วยตนเอง (สันทิฏฐิโก) ความเป็นสัจธรรมสากลท่ีไม่ขึ้นต่อกาลเวลา และสถานที่ของอริยสัจสี่ ดังกล่าวมาน้ีเอง ท�ำให้นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างไอน์สไตน์ แม้เขาได้จากโลกน้ีไปโดยที่ยังไม่ สามารถค้นพบค�ำตอบตามท่ีเขาก�ำลังต้องการก็ตาม แต่ได้ท้ิงค�ำพูดที่เป็นปริศนาท่ีส�ำคัญมากให้ กับมนุษยชาติในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา โดยเขาได้เริ่มสงสัยแล้วว่า พระพุทธศาสนา อาจจะเป็นศาสนาที่ให้ค�ำตอบต่อค�ำถามที่เขาก�ำลังพยายามค้นหาในช่วงหน่ึงปีก่อนท่ีเขาจะเสีย ชีวิต และได้กล่าวท้ิงท้ายไว้ในงานเขียนช้ินหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง “The Human Side” เพ่ือให้เป็น ปรศิ นาแหง่ โลกอนาคตว่า “ศาสนาในอนาคตจะตอ้ งเปน็ ศาสนาแหง่ จกั รวาลศาสนานนั้ ควรอยเู่ หนอื พระเจา้ ทม่ี ตี วั ตน และควรจะเวน้ ค�ำสอนแบบสทิ ธันต์ (คือเปน็ แบบส�ำเร็จรูปทใ่ี ห้เชอ่ื ตามเพยี งอย่างเดยี ว) และแบบ เทววิทยา (คือพ่งึ เทวดาเปน็ หลกั ใหญ่) ศาสนาน้ัน เมื่อครอบคลุมทัง้ ธรรมชาติและจติ ใจ จึงควรมี รากฐานอยบู่ นสามญั สำ� นกึ ทางศาสนาทเ่ี กดิ ขนึ้ จากประสบการณต์ อ่ สง่ิ ทง้ั ปวงคอื ทงั้ ธรรมชาตแิ ละ จิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อก�ำหนดนี้ได้ ถ้าจะมีศาสนาใดที่ รบั มอื ไดก้ บั ความตอ้ งการทางวทิ ยาศาสตรส์ มยั ใหมป่ จั จบุ นั ศาสนานนั้ กค็ วรเปน็ พระพทุ ธศาสนา The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs, it would be Buddhism. “ (Einstein, 1989)  จากคำ� กลา่ วของไอนส์ ไตนข์ า้ งตน้ อาจถอดความไดว้ า่ “พระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนาแหง่ อนาคต เปน็ ศาสนาแหง่ จกั รวาล (Cosmic religion) เปน็ ศาสนาทตี่ ง้ั อยบู่ นประสบการณซ์ ง่ึ ปฏเิ สธ ความเช่ือท่ีไร้ข้อพิสูจน์ หากจะมีศาสนาใดศาสนาหน่ึงในอนาคต ที่พอจะรับมือกับความต้องการ ทางวิทยาศาสตรไ์ ด้ ศาสนานั้น คอื ศาสนาพทุ ธ” ซ่ึงถอื ได้วา่ เปน็ การกล่าวยกย่องพระพุทธศาสนา และเป็นการกล่าวท่ีสอดคล้องกับหลักความเป็นจริง เพราะหัวใจส�ำคัญของพระพุทธศาสนา คือ

Research in Educational Administration • 481 อริยสัจส่ีซ่ึงเป็นหลักธรรมค�ำสอนท่ีมีเหตุและผลและเป็นสัจธรรมสากลไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ครอบคลุมชีวิตจิตใจ เชื่อหลักเหตผุ ล พสิ ูจนไ์ ด้ ใครปฏบิ ัตกิ ย็ อ่ มได้รบั ผลอนั สมควรแก่การปฏิบัติ โดยไมม่ ีข้อยกเวน้ วา่ ผนู้ ้ันเปน็ คนชาติใดและศาสนาใดกต็ าม กล่าวโดยสรุป การวิจัยของพระพุทธเจ้ากับการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ มีเป้าหมาย เดยี วกนั กลา่ วคอื การวจิ ยั ของนกั วทิ ยาศาสตรข์ องโลกสว่ นใหญเ่ นน้ การวจิ ยั โดยมเี ปา้ หมายการนำ� ผลการวิจัยไปใช้ส�ำหรับการแก้ปัญหาทางด้านวัตถุธรรมของโลก ส่วนการวิจัยของพระพุทธเจ้า ทรงเน้นการวิจัยโดยมีเป้าหมายการน�ำผลการวิจัยไปใช้ส�ำหรับการแก้ปัญหาทางด้านจิตใจซึ่งเป็น นามธรรมของมนุษย์ในโลก อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือนักวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ได้ละเลย การศกึ ษาคน้ ควา้ อกี ดา้ นหนงึ่ ทไ่ี มไ่ ดเ้ นน้ ไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นจติ ใจทนี่ กั วทิ ยาศาสตรไ์ มไ่ ดเ้ นน้ หรอื ไม่ วา่ จะเป็นด้านวัตถทุ ี่พระพทุ ธเจา้ มิได้ทรงมงุ่ เนน้ 15.2 การวจิ ยั ทางพระพทุ ธศาสนา ในส่วนน้ี ผู้วิจัยควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดของการวิจัยทางพระพุทธ ศาสนา ซ่ึงประกอบดว้ ยความหมายของการวจิ ัยทางพระพุทธศาสนา วธิ วี จิ ัยทางพระพทุ ธศาสนา กระบวนการวจิ ยั ทางพระพทุ ธศาสนา และการจบั คเู่ หตผุ ลในอรยิ สจั สี่ โดยมรี ายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ความหมายของการวิจยั ทางพระพทุ ธศาสนา คำ� วา่ “การวจิ ยั ทางพระพทุ ธศาสนา”มาจากคำ� ภาษาบาลวี า่ “ธมมฺ วจิ ย”แปลตรงตวั อกั ษร วา่ ธรรมวจิ ยั คอื การเฟน้ ธรรม หรอื การสอดสอ่ งสบื คน้ ธรรม หมายถงึ การศกึ ษาคน้ ควา้ หลกั ธรรม ทางพระพทุ ธศาสนา เปน็ หลกั ธรรมองคห์ นงึ่ ในบรรดาหลกั ธรรมทเ่ี ปน็ องคแ์ หง่ การตรสั รู้ ซงึ่ เรยี ก ว่า “โพชฌงค์” ค�ำว่า ธรรมวิจัย ท่ีหมายถึง การศึกษาค้นคว้าหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา น้ัน จะประสบความสำ� เร็จหรอื บรรลุวัตถปุ ระสงค์ได้กต็ อ่ เม่อื ผู้ศึกษาไดอ้ าศัยปญั ญา ที่เรยี กว่า “โยนโิ ส มนสิการ” ตามแนวพระพุทธพจนด์ งั ตอ่ ไปนี้ (ที.ปา. 11/327/264; 464/310; อภิ.วิ. 35/542/306) ... ก็อะไรเล่า เป็นอาหารให้ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ท่ียังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือท่ีเกิดแล้ว ใหเ้ จริญบริบูรณ์ ... ธรรมท้ังหลายท่ีเป็นกุศลและอกุศล ท่ีมีโทษและไม่มีโทษ ที่เลวและประณีต ที่เป็น สว่ นข้างด�ำและขา้ งขาว มอี ยู่ การกระท�ำใหม้ ากซง่ึ โยนโิ สมนสกิ ารในธรรมเหล่านั้น น้ีเป็นอาหาร ให้ธัมมวิจยสัมโพชฌงคท์ ่ยี ังไมเ่ กดิ เกิดขน้ึ หรือท่ีเกดิ แลว้ ใหเ้ จรญิ บริบูรณ์ จากพระพุทธพจน์ข้างต้นน้ี จะเห็นว่า การวิจัยทางพระพุทธศาสนาจะเกิดขึ้นได้และ ด�ำเนินไปได้จนเสร็จสมบูรณ์ ต้องอาศัยปัญญา ที่เรียกว่า “โยนิโสมนสิการ” คือ การกระทำ� ในใจ โดยแยบคาย ซึ่งหมายถึง การใช้ความคิดท่ีถูกวิธี มองส่ิงท้ังหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้น ถึงต้นเค้า สาวหาเหตุผลจนตลอดสาย แยกแยะออก พิจารณาดูด้วยปัญญาท่ีคิดเป็นระเบียบ และ โดยอบุ ายวธิ เี พอื่ ใหเ้ หน็ สงิ่ นนั้ ๆ หรอื ปญั หานนั้ ๆ ตามสภาวะและตามความสมั พนั ธแ์ หง่ เหตปุ จั จยั ดังนนั้ แนวคิดการวจิ ยั ทางพระพุทธศาสนา จึงมุง่ เน้นไปทกี่ ารมีปญั ญาท่ีเรีกวา่ “โยนิโสมนสิการ” 2. วธิ ีวิจยั ทางพระพุทธศาสนา การวจิ ยั ทางพระพทุ ธศาสนาเปน็ การศกึ ษาคน้ ควา้ หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา(ธรรม

482 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา วิจัย) โดยการอาศัยปัญญาเปน็ พน้ื ฐาน และปญั ญาในพระพทุ ธศาสนา จะเกิดขนึ้ ได้ก็ตอ้ งอาศัยบอ่ เกดิ แหง่ ปญั ญา คอื “สตุ ะ” ทเี่ รยี กวา่ สตุ มยปญั ญา “จนิ ตา” ทเ่ี รยี กวา่ จนิ ตามยปญั ญา และ “ภาวนา” ท่เี รียกวา่ ภาวนามยปัญญา ดังน้ัน วธิ วี จิ ัยทางพระพุทธศาสนา อาจแบง่ ได้ 3 วธิ ี ตามบอ่ เกิดแหง่ ปัญญา ดงั น้ี (ท.ี ปา. 11/228/231; อภิ.ว.ิ  35/804/438.) 2.1) สตุ ธรรมวิจยั คอื การเฟ้นหรอื สบื คน้ ธรรมโดยการฟงั หมายถงึ การศกึ ษา คน้ คว้าหาความจริงโดยการรับมาจากผอู้ น่ื หรือสง่ิ อน่ื เชน่ ฟังมา อา่ นหนังสอื มา ศกึ ษาเอกสารมา สมั ภาษณม์ า ฯลฯ ขอ้ ดี คือ ได้งา่ ย ข้อเสีย คือ สงิ่ ทีร่ ูม้ าอาจไมจ่ รงิ ก็ได้ 2.2) จินตาธรรมวิจัย คือ การเฟ้นหรือสืบค้นธรรมโดยการคิด หมายถึง การ ศึกษาค้นคว้าหาความจริงโดยการคิด เช่น เห็นเก้าอี้ไม้ลอยน้�ำได้ เก้าอี้อีกตัวหน่ึงเป็นไม้ก็คิด ว่า ย่อมลอยน�้ำได้เหมือนกัน ฯลฯ ข้อดี คือ ไม่เสียเวลา ไม่ต้องพิสูจน์มาก แต่ข้อเสีย คือ อาจมี ความผิดพลาด เพราะระบบการคิดหาเหตุผลโดยใช้หลักเกณฑ์เพื่อยืนยันความคิดหรือความจริง ที่มีอยู่ (ระบบทางตรรกศาสตร์) มีข้อจ�ำกัด เช่น ไม่มีกิเลสคือพระอรหันต์ ดังนั้น ก้อนหินไม่มี กิเลส ก้อนหินก็คือพระอรหันต์ ส่ิงที่ใส่ดอกไม้คือแจกัน ดังน้ัน เมื่อเอากะละมังมาใส่ดอกไม้ กะละมงั กค็ อื แจกนั ฯลฯ ซึง่ เป็นสิง่ ทไี่ มถ่ กู ต้อง 2.3) ภาวนาธรรมวิจัย คือ การเฟ้นหรือสืบค้นธรรมโดยการพัฒนาให้เกิดขึ้น หรือให้มีขึ้น หมายถึง การศึกษาค้นคว้าหาความจริงโดยการทดลอง เช่น เอานิ้วจิ้มน�้ำแข็งจะ รู้สึกเย็น ทดลองกี่ครั้งก็เหมือนเดิม ข้อดีคือ ถูกต้องแน่นอน ข้อเสียคือ ช้า หรือ เสียเวลามาก ถา้ จะท�ำทกุ เรอ่ื ง ดังนนั้ เราจึงควรประยกุ ต์ใช้ให้เหมาะสมท้งั สามวธิ ีในแตล่ ะกรณี กล่าวโดยสรปุ วิธวี ิจยั ทางพระพทุ ธศาสนา มี 3 วิธี 1) สตุ ธรรมวิจัย 2) จนิ ตาธรรมวิจยั และ 3) ภาวนาธรรมวจิ ยั ผวู้ ิจัยควรประยุกต์ใชใ้ ห้เหมาะสมท้ัง 3 วิธี ในแต่ละกรณี หรือพจิ ารณา เลือกใชใ้ ห้เหมาะสมกบั การวิจัยเรื่องนน้ั ๆ 3. กระบวนการวิจยั ทางพระพทุ ธศาสนา ในการวิจัยทางพระพุทธศาสนา อาจก�ำหนดกระบวนการวิจัยตามแนวทางอริยสัจส่ี คือ ความจรงิ อนั ประเสริฐ โดยมีหลักปฏบิ ตั ิ 4 ประการ ดังนี้ (วนิ ย. 4/14/18; สํ.ม. 19/1665/528; อภ.ิ ว.ิ  35/145/127) 3.1) การก�ำหนดรทู้ กุ ข์หรอื ปัญหา (ปริญญากจิ ) เป็นการกำ� หนดวา่ ทกุ ขเ์ ป็นสิ่ง ที่ควรรู้ คือ การท�ำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เปน็ การเผชิญหนา้ กบั ปญั หา 3.2) การก�ำจัดเหตุแห่งทุกข์หรือปัญหา (ปหานกิจ) เป็นการก�ำหนดว่า สมุทัย เปน็ สิ่งทคี่ วรละ คอื การกำ� จัดสาเหตุทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ ทุกข์ เปน็ การแก้ปญั หาท่ีเหตุต้นตอ 3.3) การแก้ทุกข์หรือปัญหา (สัจฉิกิริยากิจ) เป็นการก�ำหนดว่า นิโรธเป็นส่ิง ที่ควรท�ำใหแ้ จง้ คอื การเข้าถงึ ภาวะดับทกุ ข์ หมายถึง ภาวะทไ่ี รป้ ญั หาซ่ึงเป็นจดุ มงุ่ หมาย 3.4) การด�ำเนินการแก้ทุกข์หรือปัญหา (ภาวนากิจ) เป็นการก�ำหนดว่า มรรค ควรเจริญ คอื การฝึกอบรมปฏิบตั ติ ามทางเพ่ือให้ถึงความดับแห่งทกุ ข์ หมายถึง วธิ กี ารหรือทางท่ี

Research in Educational Administration • 483 จะนำ� ไปสู่จดุ หมายทไ่ี รป้ ญั หา การรู้จักก�ำหนดรู้หรือท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับอริยสัจส่ีน้ีเรียกว่า “กิจญาณ” คือ หย่ังรู้ หน้าที่ต่ออริยสัจว่า ทุกข์ คือ สภาพท่ีทนได้ยากเป็นส่ิงที่ควรรู้ สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์เป็นสิ่งท่ี ควรละ นิโรธ คือ ความดับทุกข์เป็นส่ิงที่ควรท�ำให้ประจักษ์แจ้ง และมรรคคือทางแห่งความดับ ทุกข์เป็นสงิ่ ที่ควรปฏบิ ัติ อาจแสดงใหเ้ ห็นได้ชดั เจนยง่ิ ขน้ึ ดงั ตารางที่ 15.1 ตารางท่ี 15.1 การรู้จกั ก�ำหนดรหู้ รอื ท�ำความเข้าใจเกี่ยวกบั อรยิ สัจส่ี ข้นั อริยสจั ส่ี กจิ ที่จะต้องก�ำหนดร/ู้ ท�ำความเขา้ ใจ ความหมาย 1. ทุกข์ (ผล) ก�ำหนดรูท้ กุ ข์ สภาพทีท่ นได้ยาก/เปล่ียนแปลง/ (ปริญญากจิ ) ขนั ธ์ 5/ชวี ิต/กาย-ใจ (Y) ละ/กำ� จดั เหตุแหง่ ทุกข์ ตณั หา คือ ความอยาก ซึ่งเป็น 2. สมทุ ยั (เหตุ) (ปหานกิจ) สาเหตุทที่ �ำใหเ้ กิดทุกข์ (X) การแกท้ กุ ข์/ความดับทุกข/์ ทำ� ให้แจง้ ความดบั ทกุ ข์ คือ ดับสาเหตทุ ่ี ชดั (สัจฉิกิริยากจิ ) ทำ� ใหเ้ กดิ ทุกข/์ ดับตัณหา 3. นโิ รธ (ผล) วธิ ีแก้ทุกข์/วธิ ดี บั ทุกข/์ ขอ้ ปฏิบตั ิให้ แนวทาง/ข้อปฏบิ ัตทิ น่ี ำ� ไปสู่ (Y) ถึงความดบั ทกุ ข/์ ทำ� ใหม้ ีข้ึนในตน ความดบั ทุกข์/ดบั ตัณหา (ภาวนากจิ ) 4. มรรค (เหตุ) (X) จากตารางท่ี 15.1 จะเห็นว่า พระพุทธศาสนาสอนให้ก�ำหนดรู้หรือท�ำความเข้าใจ ในเรื่องเหตุผลตามหลักอริยสัจสี่ซ่ึงเป็นกระบวนการวิจัยทางพระพุทธศาสนาดังกล่าวข้างต้น การวิจัยหรือการศึกษาค้นคว้าทางพระพุทธศาสนานั้น ให้ความส�ำคัญกับเร่ืองเหตุผล การจะแก้ ปญั หาได้ตอ้ งเข้าใจเรื่องเหตุผล โดยเรมิ่ จากการกำ� หนดรผู้ ล คอื ทุกข์ ซง่ึ เป็นเสมือนการกำ� หนดรู้ หรอื การท�ำความเขา้ ใจกับปญั หา จากนนั้ วิเคราะหห์ าสาเหตุของปญั หา คือ สมุทยั เพือ่ ที่จะก�ำจัด ท่ีสาเหตุ จากน้ัน ท�ำความเข้าใจกับผล คือ นิโรธ ซึ่งเป็นเสมือนการตั้งสมมติฐานวิจัย คือ การ คาดคะเนค�ำตอบล่วงหน้า ต่อจากนั้นปฏิบัติตามมรรค คือ ทางปฏิบัติ ซึ่งเป็นเหตุที่จะน�ำไปสู่ การแกท้ กุ ขห์ รอื การแกป้ ญั หา เปน็ เสมอื นการดำ� เนนิ การวจิ ยั หรอื วธิ ดี ำ� เนนิ การวจิ ยั เพอ่ื หาคำ� ตอบ 4. การจบั คู่เหตผุ ลในอริยสจั ส่ี หากจะจับคู่เหตุผลในอริยสัจสี่เพื่อเปรียบเทียบกับตัวแปรในการวิจัยตามวิธีการวิจัย ทางวิทยาศาสตร์หรือวิธีการวิจัยทางการบริหารการศึกษา อาจจับคู่เปรียบเทียบได้ 2 คู่ ได้แก่ 1) คทู่ กุ ข์กบั สมทุ ยั และ 2) คนู่ โิ รธกบั มรรค ดังนี้ 4.1 คทู่ กุ ขก์ บั สมทุ ยั ทกุ ข์คอื ผลเปรยี บเหมอื นกบั ตวั แปรตามหรอื Yและสมทุ ยั คือ เหตุ เปรยี บเหมอื นกับตวั แปรอสิ ระ (ตัวแปรต้น/ตัวแปรต้นเหต)ุ หรือ X นีค่ ู่หน่ึง 4.2 ค่นู ิโรธกับมรรค นโิ รธ คือ ผล เปรยี บเหมอื นกับตัวแปรตาม หรอื Y และ

484 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา มรรค คือ เหตุ เปรียบเหมือนกบั ตัวแปรอิสระ (ตัวแปรตน้ /ตัวแปรต้นเหตุ) หรือ X นอ่ี ีกคู่หน่ึง กล่าวโดยสรุป อรยิ สัจสีใ่ หค้ วามส�ำคญั กับเร่ืองเหตุผล ตามหลกั อรยิ สัจสถี่ อื วา่ ทกุ ขห์ รอื ผล เปน็ สง่ิ ที่เกดิ มาจากสมทุ ัยหรอื เหตุ ดังนัน้ การจะแก้ทุกขห์ รอื ปัญหา ตอ้ งแกท้ ตี่ วั เหตุแหง่ ทกุ ข์ หรือเหตุแห่งปัญหา ไมใ่ ช่แกท้ ีต่ ัวทุกขห์ รือตวั ปัญหาโดยตรง โดยหลักการน้ี ในการทำ� วิจยั ทัว่ ไป ถ้าต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวแปรตาม ก็ต้องจัดกระท�ำที่ตัวแปรอิสระ หรือถ้าจะ ควบคุมให้ส่งผลต่อตัวแปรตาม ก็ต้องควบคมุ ทตี่ ัวแปรอสิ ระทเี่ ป็นสาเหตุ หรือตวั แปรแทรกซอ้ น อน่ื ๆ ทีเ่ ป็นสาเหตซุ งึ่ กเ็ ป็นเหมือนตัวแปรอิสระท่ีผวู้ จิ ยั ไม่ได้นำ� มาศกึ ษา 15.3 กระบวนการวจิ ัยทางพระพทุ ธศาสนากบั วธิ กี ารวิจยั ทางวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการวิจัยทางพระพุทธศาสนา คล้ายหรือสอดคล้องกับวิธีการวิจัยทาง วิทยาศาสตร์ กล่าวโดยเฉพาะกระบวนการวิจัยตามหลักอริยสัจส่ีที่ผู้วิจัยจะต้องก�ำหนดรู้ทุกข์ ก่อนในเบ้ืองต้น ซึ่งเป็นเสมือนกับให้ผู้วิจัยก�ำหนดรู้หรือท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการวิจัย (Research problem)ให้ชดั เจนก่อนการเริ่มต้ังหัวขอ้ วจิ ัย (Research topic) เพอื่ ทำ� วจิ ยั น่นั เอง หรอื ถา้ กล่าวถงึ ในแงข่ องตัวแปร ทุกขก์ ค็ ือตวั แปรตาม (Dependent variable) สว่ นสมุทัยกค็ ือตัวแปร อิสระ (Independent variable) ดงั น้นั ผ้วู จิ ยั ควรท�ำความเขา้ ใจหลักอริยสจั สรี่ วมทัง้ กิจท่จี ะตอ้ งท�ำ ในอริยสัจส่ีให้ชัดเจนเพ่ือประโยชน์ในการก�ำหนดกระบวนการวิจัยทางพระพุทธศาสนาได้อย่าง มปี ระสทิ ธิภาพ รายละเอยี ดดังแสดงในตารางท่ี 15.2 ตารางที่ 15.2 หลักอรยิ สจั สแ่ี ละกิจที่จะต้องท�ำในอรยิ สจั สี่ ขั้น อรยิ สัจส่ี กิจท่ีจะตอ้ งทำ� กรณตี วั อยา่ งในชวี ติ ประจำ� วนั 1 ทกุ ข์ (ผล) ก�ำหนดรูท้ ุกข์ ได้รับบาดเจบ็ จากการขบั ข่ี (Y) (ปรญิ ญากจิ ) จักรยานยนตล์ ้ม 2 สมุทัย (เหตุ) ละ/ก�ำจดั เหตแุ ห่งทุกข์ ขับรถด้วยความประมาท (X) (ปหานกจิ ) 3 นิโรธ (ผล) การแก้ทุกข/์ ความดบั ทกุ ข์/ท�ำให้แจง้ ชดั ขับข่รี ถอยา่ งปลอดภัย ไม่ (Y) (สจั ฉกิ ิริยากิจ) ประมาท 4 มรรค (เหตุ) วิธแี กท้ ุกข/์ วธิ ดี ับทุกข/์ ขอ้ ปฏิบตั ิ การมีสติอย่กู บั ตัวขณะขบั ขี่ (X) ใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์/ทำ� ใหม้ ีขึ้นในตน จักรยานยนต์ (สัมมาสต)ิ (ภาวนากจิ ) จากตารางที่ 15.2 หลักอริยสัจส่ีและกิจท่ีจะต้องท�ำในอริยสัจส่ี ซึ่งมีอยู่ 4 ขั้นตอน อาจก�ำหนดได้ว่าเป็นกระบวนการวิจัยทางพระพุทธศาสนาตามหลักอริยสัจสี่ 4 ขั้นตอน โดยมี ลกั ษณะคล้ายหรือสอดคล้องกบั วิธีการวิจยั ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีอยู่ 5 ขัน้ ตอน ดังนี้

Research in Educational Administration • 485 1) ขน้ั กำ� หนดปัญหา  คือ จะต้องค�ำนงึ ว่า ปัญหาเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร ปัญหาเกดิ จาก การสังเกต การสังเกตเป็นคุณสมบัติของนักวิทยาศาสตร์ การสังเกตอาจจะเร่ิมจากส่ิงแวดล้อม รอบตัวเรา 2) ขั้นตั้งสมมติฐาน  คือ สมมติฐานมีค�ำตอบท่ีอาจเป็นไปได้ และค�ำตอบที่ ยอมรับวา่ ถูกต้องเชอ่ื ถือได ้ เม่ือมกี ารพสิ ูจน์ หรือตรวจสอบหลาย ๆ ครัง้ 3) ขัน้ ตรวจสอบสมมตฐิ าน (หรือข้นั รวบรวมขอ้ มลู )  คอื  เมอื่ ต้ังสมมตฐิ านแล้ว หรือคาดเดาคำ� ตอบหลาย ๆ ค�ำตอบไว้แลว้ กระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ัน้ ตอ่ ไป คือ ตรวจสอบ สมมติฐาน ในการตรวจสอบสมมติฐานจะต้องยึดข้อก�ำหนดสมมติฐานไว้เป็นหลักส�ำคัญเสมอ (เน่ืองจากสมมติฐานท่ีดีได้แนะลู่ทางการตรวจสอบและออกแบบการตรวจสอบไว้แล้ว) โดยการ ตรวจสอบสมมตฐิ านนี้ ไดจ้ ากการสงั เกตและการรวบรวมขอ้ เทจ็ จรงิ ตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ จากประสบการณ์ ธรรมชาติ และการทดลอง เปน็ กระบวนการปฏิบัตเิ พ่ือตรวจสอบวา่ สมมตฐิ านข้อใดเปน็ คำ� ตอบ ท่ีถกู ตอ้ ง 4) ข้ันวิเคราะห์ข้อมูล  คือ  เป็นขั้นที่น�ำข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต การค้นคว้า การทดลอง หรอื การรวบรวมขอ้ มลู หรอื ขอ้ เท็จจริง มาท�ำการวิเคราะห์ผล อธบิ ายความหมายของ ข้อเทจ็ จรงิ แลว้ น�ำไปเปรยี บเทยี บกบั สมมตฐิ านทต่ี ้งั ไว้วา่ สอดคล้องกับสมมติฐานขอ้ ไหน 5) ข้นั สรปุ ผล คือ เปน็ ข้ันสรปุ ผลท่ีไดจ้ ากการทดลอง การคน้ ควา้ รวบรวมข้อมลู สรุปข้อมูลท่ีได้จากการสังเกตหรือการทดลองว่า สมมติฐานข้อใดถูก พร้อมทั้งสร้างทฤษฎีที่จะ ใช้เป็นแนวทางส�ำหรับอธิบายปรากฏการณ์อ่ืน ๆ ท่ีคล้ายกัน และน�ำไปใช้ปรับปรุงชีวิตความ เปน็ อย่ขู องมนุษยใ์ ห้ดขี ึ้น กล่าวโดยสรุป กิจท่ีจะต้องท�ำในอริยสัจส่ีท่ีก�ำหนดว่า เป็นกระบวนการวิจัยทาง พระพุทธศาสนาตามหลักอริยสัจส่ีดังกล่าวข้างต้น เป็นกระบวนการวิจัยท่ีน�ำไปสู่การแก้ปัญหา เช่นเดียวกบั วธิ กี ารวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตร์ กลา่ วคือ กระบวนการวิจยั ทางพระพทุ ธศาสนาตามหลัก อริยสจั สเี่ ปน็ กระบวนการวจิ ัยทีน่ �ำไปสู่การแกป้ ัญหา มี 4 ข้นั ตอน ไดแ้ ก่ 1) ข้นั การกำ� หนดรูท้ กุ ข์ หรือปัญหา (ปริญญากิจ) 2) ข้ันการก�ำจัดเหตุแห่งทุกข์หรือปัญหา (ปหานกิจ) 3) ข้ันการแก้ ทุกข์หรือปัญหา (สัจฉิกิริยากิจ) และ 4) ข้ันการด�ำเนินการแก้ทุกข์หรือปัญหา (ภาวนากิจ) ในขณะท่ีวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการวิจัยท่ีน�ำไปสู่การแก้ปัญหา มีอยู่ 5 ข้ันตอน ได้แก่ 1) ข้ันก�ำหนดปัญหา  2) ข้ันต้งั สมมตฐิ าน 3) ข้ันตรวจสอบสมมติฐาน (หรอื รวบรวมขอ้ มลู ) 4)  ขน้ั วเิ คราะห์ข้อมลู  และ 5)  ขั้นสรุปผล 15.4 การประยุกตใ์ ช้อริยสัจสี่เป็นต้นแบบของกระบวนการวจิ ยั ทว่ั ไป อริยสัจสี่มีประโยชน์ส�ำหรับผู้วิจัยเป็นอย่างมาก เพราะผู้วิจัยสามารถใช้เป็นต้นแบบ ของกระบวนการวิจัยทั่วไปได้ในแง่ของการก�ำหนดปัญหา การต้ังสมมติฐาน การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสรุปผล ดังนั้น ในกระบวนการท�ำวิจัย ผู้วิจัยสามารถก�ำหนด กระบวนการตามหลกั อริยสัจส่ี โดยแบง่ ออกเป็น 4 ขนั้ ตอน ดงั แสดงในตารางท่ี 15.3

486 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา ตารางที่ 15.3 กระบวนการวจิ ัยตามหลกั อริยสัจสี่ ขน้ั ตอนท่ี 1 กำ� หนดรู้ทกุ ข์หรอื ปัญหาการวิจัย คือ กำ� หนดให้รู้ ให้เขา้ ใจวา่ ทุกข์หรือปญั หา การวิจัยคอื อะไร อย่ทู ี่ไหน มีขอบเขตแคไ่ หน มีผลกระทบมากน้อยเพยี งใด ขั้นตอนท่ี 2 ก�ำจดั เหตุแห่งทกุ ข์ หรือเหตุแห่งปญั หาการวิจยั คือ วเิ คราะห์ว่า สาเหตุของทกุ ข์ หรอื ปญั หาการวจิ ยั มอี ะไรบา้ ง เพอื่ จะไดเ้ หน็ สาเหตทุ สี่ ำ� คญั หรอื สาเหตหุ ลกั ของ ทกุ ข์หรือปญั หาการวิจยั อันจะน�ำไปสกู่ ารละหรือการก�ำจดั ทส่ี าเหตุใหห้ มดไป ขน้ั ตอนที่ 3 แกท้ ุกข์ คือ คาดหวงั นิโรธหรือต้งั สมมติฐานการวจิ ัย หมายถงึ การคาดหวงั หรือ ขนั้ ตอนท่ี 4 ตง้ั สมมตฐิ านใหเ้ หน็ กระบวนการทแี่ สดงวา่ การดบั ทกุ ขห์ รอื แกป้ ญั หาเปน็ ไปได้ อย่างไร เปน็ การคาดหวงั ค�ำตอบทเี่ ป็นผลการวิจัยล่วงหน้า ดำ� เนนิ การแกท้ ุกข์ คอื ปฏบิ ัตติ ามมรรค หมายถงึ การแสวงหาขอ้ มูล (คเวสนา) หรือเก็บรวบรวมข้อมูล ด้วยการลงมือปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์แปด ตรวจสอบ แยกแยะ (วิมังสา) หรือวิเคราะห์ข้อมูล เพ่ือให้เห็นว่า ได้ผลการ วิเคราะห์ที่สามารถน�ำไปสู่การแก้ทุกข์หรือตอบปัญหาการวิจัยได้อย่างไร และ การได้ความรู้จริง (อนุโพธ) หรือการสรุปผลการวิจัย โดยสรุปผลที่ได้จาก การวเิ คราะหเ์ พอื่ นำ� ไปสกู่ ารแกป้ ญั หาได้ จากตารางที่ 15.3 จะเห็นว่า กระบวนการวิจัยตามหลักอริยสัจสี่ อาจแบ่งออกได้ 4 ข้ันตอน ได้แก่ 1) ก�ำหนดรู้ทุกข์หรือปัญหาการวิจัย 2) ก�ำจัดเหตุแห่งทุกข์หรือเหตุแห่งปัญหา การวิจัย 3) แก้ทุกข์ คือ คาดหวังนิโรธหรือต้ังสมมติฐานการวิจัย และ 4) ดำ� เนินการแก้ทุกข์ คือ ปฏิบัติตามมรรคหรือการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสรุปผล ซึ่งผู้วิจัย สามารถประยกุ ตใ์ ชเ้ ป็นตน้ แบบของกระบวนการวจิ ยั ทัว่ ไป กล่าวโดยสรุป อริยสัจสี่ในฐานะเป็นหลักธรรมที่เป็นสากลซ่ึงพระพุทธเจ้าได้ทรง ค้นพบมาก่อนเป็นเวลามากกว่า 2,560 ปีแล้ว จึงนับได้ว่า เป็นต้นแบบหรือเป็นพื้นฐาน ของกระบวนการวิจัยทั่วไป รวมท้ังกระบวนการวิจัยทางการบริหารการศึกษา โดยมี 4 ขั้นตอน ดงั นคี้ อื 1) กำ� หนดรทู้ กุ ข์ หรอื ปญั หาการวจิ ยั 2) กำ� จดั เหตแุ หง่ ทกุ ข์ หรอื สาเหตขุ องปญั หาการวจิ ยั 3) แก้ทุกข์ คือ คาดหวังนิโรธ หรือต้ังสมมติฐานการวิจัย และ 4) ดำ� เนินการแก้ทุกข์ คือ ปฏิบัติ ตามมรรค หรือการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสรุปผล ซึ่งนักวิจัยอาจ ประยุกต์ใช้หลักอริยสัจส่ีเป็นต้นแบบหรือแนวทางพ้ืนฐานในการวิจัยทั่วไปเพื่อสร้างองค์ความรู้ ใหม่ หรือแก้ปัญหาต่าง ๆ ของหน่วยงาน สังคม ตลอดถงึ ประเทศได้

Research in Educational Administration • 487 15.5 กจิ ในอริยสจั สี่ กิจในอริยสัจ คือ สิ่งท่ีต้องท�ำในอริยสัจสี่แต่ละข้อ อาจเรียกว่า “กระบวนการวิจัย เพื่อการแก้ทุกข์หรือแก้ปัญหา” กิจดังกล่าวน้ีจะต้องปฏิบัติให้ตรงกับมรรคแต่ละข้อให้ถูกต้อง การรู้จักกจิ ในอริยสจั สน่ี ี้เรยี กวา่ “กิจญาณ” มหี ลกั ปฏบิ ัติ 4 ประการ ดังนี้ 1. ปริญญากจิ คอื การก�ำหนดรู้ทุกข์หรอื ปัญหาการวิจยั ทุกขเ์ ป็นผลทีเ่ กดิ มาจาก เหตุ เปน็ สง่ิ ทคี่ วรกำ� หนดรหู้ รอื ควรทำ� ความเขา้ ใจใหช้ ดั เจนวา่ ทกุ ขห์ รอื ปญั หาการวจิ ยั คอื อะไร อยู่ ทไ่ี หน มีขอบเขตแค่ไหน มีผลกระทบมากน้อยเพยี งใด 2. ปหานกจิ คอื การละหรือก�ำจัดสมุทยั หรอื สาเหตุแหง่ ทุกข์หรือปญั หาการวจิ ยั เปน็ ส่ิงทคี่ วรละหรอื กำ� จัด เพราะเป็นสาเหตุอนั เป็นตน้ ตอของทุกขห์ รือปัญหาการวิจัย 3. สัจฉกิ ริ ยิ ากิจ คอื   การท�ำให้แจ้งนิโรธหรอื ตั้งสมมติฐานการวิจัย นิโรธเปน็ สิง่ ที่ ควรท�ำใหแ้ จ้ง เพราะเป็นการเข้าถึงภาวะการแก้ทกุ ข์ หรือตอบปัญหาการวิจยั ซึ่งเปน็ จุดม่งุ หมาย 4. ภาวนากิจ  คือ การเจรญิ หมายถงึ การฝึกอบรมปฏิบตั ิตามแนวมรรคเพื่อให้ถงึ ความดับแห่งทุกข์ หรือตอบปัญหาการวจิ ยั ซง่ึ เป็นจดุ ม่งุ หมาย กลา่ วโดยสรปุ กจิ หรอื สง่ิ ทตี่ อ้ งทำ� ในอรยิ สจั สี่ มหี ลกั ปฏบิ ตั ิ4ประการคอื 1)การกำ� หนด รูท้ ุกข์ 2) การละหรอื กำ� จัดสมุทยั หรอื สาเหตุแห่งทกุ ข์ 3) การทำ� ให้แจ้งนโิ รธ และ 4) การเจริญ ภาวนา ซงึ่ ผู้วิจยั อาจนำ� มาประยุกต์ใชเ้ ปน็ แนวทางในกระบวนการวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษาได้ 15.6 ทุกข์ในอรยิ สัจสี่ ทกุ ข์ในอรยิ สจั ส่ี ถอื เป็นความจริงอนั ประเสริฐข้อท่ี 1 ในอริยสจั ส่ี จึงเรยี กว่า “ทกุ ขสจั ” มี 11 ประการ ดงั แสดงในตารางที่ 15.4 (วินย. 4/14/18; ส.ํ ม. 19/1665/528; อภ.ิ วิ. 35/145/127.) ตารางที่ 15.4 ทกุ ข์ในอริยสัจสี่ 1. ความเกิด ทกุ ข์ 11 ประการ ในอริยสัจส่ี 2. ความแก่ 6. ความลำ� บากกาย 3. ความตาย 7. ความลำ� บากใจ 4. ความเศรา้ โศก 8. ความคับแคน้ ใจ 5. ความพร่�ำเพ้อรำ� พัน 9. ความประสบกับส่ิงทไ่ี มช่ อบ 6. ความล�ำบากกาย 10. ความพลัดพรากจากส่ิงทช่ี อบ 11. ความผดิ หวังไมไ่ ดต้ ามทต่ี อ้ งการ จากตารางที่ 15.4 ทกุ ขใ์ นอรยิ สัจส่มี ี 11 ประการ ซ่งึ คำ� วา่ “ทกุ ข์” ดังกลา่ ว แปลว่า ทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก โดยทั่วไปหมายถึง สังขารทั้งปวง อันได้แก่ ขันธ์ 5 ซ่ึงเป็นที่ตั้งของ กองทกุ ข์

488 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา การกำ� หนดทกุ ขถ์ อื เปน็ กจิ สำ� คญั ในอรยิ สจั สี่ ทช่ี าวพทุ ธตอ้ งทำ� เพราะการกำ� หนดรทู้ กุ ข์ กเ็ พ่ือท�ำความเข้าใจเรอื่ งทกุ ข์ใหช้ ัดเจน และเพอื่ คน้ หาสาเหตใุ นการดับทกุ ข์ (สมุทัย) แล้วจงึ ต้งั จดุ มงุ่ หมายในการดบั ทุกข์ (นโิ รธ) และด�ำเนนิ ตามเสน้ ทางสู่ความดบั ทุกข์ (มรรค) คือสละ ละ ปล่อย วาง ไม่ยึดติดในใจด้วยอ�ำนาจกิเลส หากชาวพุทธปฏิบัติได้เช่นนี้ก็ย่อมมีโอกาสท่ีจะดับทุกข์หรือ แกป้ ัญหาเกี่ยวกบั ชวี ิตได้ ในท�ำนองเดียวกัน ผู้ที่จะท�ำวิจัย ต้องก�ำหนดรู้ปัญหาการวิจัยก่อน คือ ต้องท�ำความ เข้าใจเรื่องปัญหาการวิจัยให้ชัดเจน ค้นหาสาเหตุแห่งปัญหาแล้วจึงต้ังสมมติฐานการวิจัย จากน้ัน จึงด�ำเนินการวิจัย โดยการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผล ดังน้ัน จุดเร่ิมต้นของ การวิจัย จึงควรอยู่ท่ี “ปัญหาการวิจัย” ซึ่งเป็นเร่ืองที่ต้องท�ำความเข้าใจในรายละเอียดให้ชัดเจน ก่อนด�ำเนินการเร่อื งอน่ื ๆ ตอ่ ไป เม่ือเร่ืองทุกข์เป็นเร่ืองส�ำคัญอันดับแรกท่ีจะต้องก�ำหนดรู้และท�ำความเข้าใจให้ชัดเจน เพ่ือเป็นต้นแบบในการก�ำหนดปัญหาการวิจัย ผู้วิจัยจึงควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเร่ืองทุกข์ใน รายละเอียด ดงั ต่อไปนี้ ทุกข์ถือเป็นความจริงอันประเสริฐข้อที่หนึ่งในอริยสัจสี่ จึงเรียกว่า “ทุกขสัจ” มี 11 ประการ ดังแสดงในตารางท่ี 15.4 ขา้ งต้น โดยทกุ ข์แตล่ ะประการ มคี วามหมายดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ชาติ คือ ความเกิด หมายถึง การท่ีบุคคลได้ก�ำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ในโลกน้ี โดยมีอวัยวะตา่ ง ๆ ครบ 2. ชรา คอื ความแก่ หมายถึง การทบ่ี คุ คลผู้เกดิ มาแล้วในโลกนี้ ผ่านกาลเวลามานาน อวยั วะตา่ ง ๆ ของรา่ งกายเรมิ่ เสอ่ื มลง เชน่ ฟนั หลุด ผมหงอก หนังยน่ เป็นเกลียว ฯลฯ 3. มรณะ คือ ความตาย หมายถึง การท่ีบุคคลมีร่างกายเส่ือมโทรม แตกท�ำลาย และทอดทิง้ ซากศพไว้ 4. โสกะ คือ ความแห้งใจ หมายถึง การที่บุคคลมีความแห้งผากภายในใจ เพราะ ประสบกบั ภยั พิบัติอยา่ งใดอย่างหน่ึง 5. ปรเิ ทวะ คือ ความคร�ำ่ ครวญ หมายถึง การท่บี ุคคลมคี วามคร�ำ่ ครวญ รำ�่ ไรรำ� พนั เพราะประสบกับภัยพบิ ตั ิอยา่ งใดอย่างหน่ึง 6. ทกุ ข์ (กาย) คือ ความลำ� บากทางกาย หมายถึง การทีบ่ คุ คลไมม่ คี วามสขุ ส�ำราญ ทางกาย เพราะประสบกับอารมณท์ ไี่ ม่ดซี ง่ึ เกิดจากกายสัมผสั 7. โทมนสั คือ ความลำ� บากทางใจ หมายถึง การท่ีบคุ คลไมม่ ีความสขุ ส�ำราญทางใจ เพราะประสบกบั อารมณท์ ีไ่ ม่ดีซ่งึ เกดิ จากมโนสมั ผัส   8. อปุ ายาส คอื ความคบั แคน้ ใจหมายถงึ การทบ่ี คุ คลมคี วามคบั แคน้ ใจเพราะประสบ กบั ภัยพิบตั อิ ยา่ งใดอย่างหน่งึ 9. ความประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก คือ ความประสบ หมายถึง การที่บุคคลได้ ประสบพบกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ความรู้สึกทางกาย) อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่

Research in Educational Administration • 489 ไม่น่าพอใจ หรือประสบพบกับบุคคลผู้ประสงค์ร้าย คือ ประสงค์ให้เกิดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ที่มิใชค่ วามผาสุก หรือมิใชค่ วามบรสิ ทุ ธิ์ 10. ความพลดั พรากจากสิ่งอนั เป็นทรี่ ัก คอื ความพลดั พรากจากส่ิงท่ีเรารัก หมายถึง การท่ีบุคคลพลัดพรากจากรูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรอื พลดั พรากจากบคุ คลผปู้ ระสงคด์ ี คอื ประสงคใ์ หเ้ กดิ สงิ่ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ ทเี่ ปน็ ความผาสกุ หรอื เปน็ ความบริสุทธ์ิ เชน่ มารดา บดิ า พ่ีชาย น้องชาย พีห่ ญิง นอ้ งหญิง ฯลฯ 11. ปรารถนาส่ิงใดไม่ได้สิ่งน้ัน คือ การไม่ได้ส่ิงท่ีปรารถนา หมายถึง การที่บุคคล ปรารถนาไม่ใหม้ คี วามเกิด ความแก่ ความเจบ็ ป่วย ความตาย ความเศรา้ โศก ความคร�่ำครวญพิไร รำ� พัน ความทุกขก์ าย ความทกุ ข์ใจ และความคบั แคน้ ใจ แล้ว ไม่ไดส้ มตามความปรารถนา กล่าวโดยสรุป การก�ำหนดรู้ทุกข์ท้ัง 11 ประการ ในอริยสัจส่ี น้ัน ถือเป็นกิจส�ำคัญท่ี ชาวพุทธต้องท�ำเพราะการก�ำหนดรู้ทุกข์ ก็เพ่ือท�ำความเข้าใจเรื่องทุกข์ให้ชัดเจน และเพื่อค้นหา สาเหตใุ นการดบั ทกุ ข์ (สมทุ ยั ) แลว้ จงึ ตง้ั จดุ มงุ่ หมายในการดบั ทกุ ข์ (นโิ รธ) และดำ� เนนิ การตามเสน้ ทางสูค่ วามดบั ทุกข์ (มรรค) ในทำ� นองเดยี วกนั กับการท�ำวิจยั ผู้วิจยั ต้องกำ� หนดรปู้ ญั หาการวจิ ยั (Research problem) เพราะการก�ำหนดรู้หรือท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการวิจัยให้ชัดเจน จะท�ำให้ผู้วิจัยมีแนวทางในการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาการวิจัย แล้วตั้งวัตถุประสงค์ของ การวจิ ัย ตง้ั สมมตฐิ านของการวจิ ยั และด�ำเนนิ การวจิ ยั ตามระเบยี บวิธีวิจยั เพื่อนำ� ไปส่ผู ลการวิจยั และนำ� ผลการวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์ในการแกป้ ัญหาต่อไป 15.7 กระบวนการเกิดทกุ ขใ์ นชวี ิตประจ�ำวัน การศกึ ษาเรอ่ื งทุกข์ท้งั 11 ประการ ในอรยิ สจั ส่นี ้นั ควรไดศ้ ึกษาถงึ กระบวนการเกดิ ทกุ ข์ ในชีวิตประจ�ำวันว่า ความทุกข์เกิดข้ึนที่ไหน และมีกระบวนการเกิดข้ึนได้อย่างไร ซ่ึงโดยปกติ ความทุกข์ที่เกิดข้ึนกับชีวิตของเราในชีวิตประจ�ำวัน หากมองในมิติของพระพุทธศาสนา ได้แก่ ขันธ์หา้ มี 5 ประการ  ดังน้ี                1) รูป คือ ส่วนประกอบของชีวิต เป็นร่างกายรวมถึงพฤติกรรมทั้งหมดของ ร่างกายดว้ ย 2) เวทนา คือ ความรูส้ กึ ของกายและใจทเ่ี กดิ ขึ้นต่อสงิ่ ท่รี ับรนู้ ัน้ ๆ (คอื รู้ทางตาท่เี กดิ จากการได้เห็น รู้ทางหูท่ีเกิดจากการได้ยินได้ฟัง รู้ทางจมูกที่เกิดจากได้กลิ่น รู้ทางลิ้นท่ีเกิดจาก การไดล้ ้มิ รส ร้ทู างกายท่ีเกดิ จากการไดส้ มั ผัส และรทู้ างใจทเี่ กิดจากการได้คิด) มีสามอย่าง ไดแ้ ก่ ความรู้สึกสบายกายและสบายใจ เรียกว่า สุขเวทนา  ความรู้สึกไม่สบายกายและสบายใจ เรียกว่า ทุกขเวทนา  ความรู้สึกท่ีไมเ่ ปน็ สขุ และไมเ่ ปน็ ทกุ ข์ เรยี กว่า อเุ บกขาเวทนา                     3) สัญญา คือ ความจ�ำได้หมายรู้ในสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมที่เกิด จากตา หู จมกู ลิ้น กาย และใจ ได้สมั ผสั กบั รปู เสยี ง กล่นิ รส สมั ผัส และนึกคิด                  4) สังขาร คือ การท่ีจิตของคนเราคิดปรุงแต่งไปในทางท่ีดี ทางที่ชั่ว หรือทางท่ีไม่ดี และไม่ช่ัว (การคิดกลาง ๆ) ซึ่งเป็นขั้นตอนท่ีก่อให้เกิดพฤติกรรมทั้งทางดีและทางชั่ว หรือ เป็น แรงจูงใจหรือกระตุน้ ผลักดันใหค้ นเรากระท�ำการอยา่ งใดอย่างหน่งึ              

490 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา 5) วญิ ญาณ คอื การรับรู้อารมณ์ (ความรสู้ กึ ) ของใจผา่ นประสาทสัมผสั ท้งั หา้   การรับ รอู้ ารมณท์ างตา หรือ การเหน็ เรยี กว่า จักขุวิญญาณ  การรับรู้อารมณท์ างหู หรือ การไดย้ นิ เรยี กวา่ โสตวิญญาณ การรับรู้อารมณ์ทางจมูก หรือ การได้กลิ่น เรียกว่า ฆานวิญญาณ การรับรู้อารมณ์ ทางล้ิน หรือ การลมิ้ รส เรียกวา่ ชวิ หาวิญญาณ การรับรูอ้ ารมณ์ทางกาย หรือ การสมั ผสั ทางกาย เรียกวา่ กายวญิ ญาณ   การรบั รอู้ ารมณ์ทางใจ หรือ การคดิ เรียกว่า มโนวิญญาณ         กล่าวโดยสรุป ความทุกข์ของคนเราน้ันเกิดขึ้นภายในขอบเขตท่ีเรียกว่า “กายและใจ” คนเราประกอบดว้ ยกายกับใจ โดย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่า อายตนะภายใน สว่ น รปู เสยี ง กลิ่น รส สัมผัส การนึกคิด (ธรรมารมณ์) เรียกว่า อายตนะภายนอก ค�ำว่า “อายตนะ” แปลว่า สงิ่ ทีเ่ ชอื่ มตอ่ ใหเ้ กิดการรบั รู ้ ตา มองเห็นสิง่ ที่ไมด่ ี เกดิ ความทุกข์ทางใจ  หู ไดย้ ินเสียงทไ่ี มด่ ี เกิด ความทุกข์ทางใจ  จมูก ได้กลิ่นท่ีไม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจ ลิ้น ได้ล้ิมรสที่ไม่ดี เกิดความทุกข์ ทางใจ  กาย ไดส้ มั ผสั ส่ิงทไี่ ม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจและทางกาย  และ  ใจ ได้นกึ คิดถึงสงิ่ ท่ีไมด่ ี เกิด ความทกุ ขท์ างใจ  ดงั นน้ั การทชี่ าวพทุ ธศกึ ษาเรยี นรวู้ า่ ความทกุ ขเ์ กดิ ขน้ึ ทไ่ี หน และมกี ระบวนการ เกดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร ผวู้ จิ ยั กส็ ามารถนำ� มาประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ แนวทางในการศกึ ษาเรยี นรวู้ า่ ปญั หาการวจิ ยั เกิดกับใคร ท่ีไหน เกดิ ในสังคมใด หรือในส่วนงานหรือองค์การใด เกดิ เมอื่ ไหร่ ดีหรือไม่ดีอยา่ งไร มีขอบเขตกว้างมากน้อยแค่ไหน ซึ่งมีประโยชน์ในแง่ของการได้ท�ำความเข้าใจและคิดหาวิธีการ หรือมาตรการในการแก้ปัญหาหรือป้องกันปัญหาในเส้นทางที่คาดว่าเป็นทางเกิดปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ สรุปทา้ ยบท การวจิ ยั ทางวิทยาศาสตรก์ ับการวจิ ัยทางพระพทุ ธศาสนา ในบทท่ี 15 นี้ ประกอบด้วย เนอ้ื หาสาระทสี่ ำ� คญั หลายประการซง่ึ ผวู้ จิ ยั หรอื นกั ศกึ ษาในทางการบรหิ ารการศกึ ษาควรศกึ ษาและ ท�ำความเขา้ ใจใหล้ ะเอียดและชดั เจน โดยอาจสรุปสาระสำ� คญั ดงั กลา่ วได้ ดงั น้ี การวิจัยทางวิทยาศาสตร์กับการวิจัยทางพระพุทธศาสนา เป็นการวิจัยท่ีมีจุดมุ่งเน้น ต่างกันแต่มีความสอดคล้องกันท้ังด้านเป้าหมายท่ีต้องการแก้ปัญหาและด้านระเบียบวิธีการหรือ กระบวนการวิจัย กล่าวคือ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นการวิจัยท่ีมุ่งเน้นการแก้ปัญหาทางด้าน กายภาพหรือด้านวัตถุโดยอาศัยการประยุกต์ใช้ระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ส่วนการวิจัย ทางพระพุทธศาสนา เป็นการวิจัยท่ีมุ่งเน้นการแก้ปัญหาทางด้านจิตใจหรือนามธรรมโดยอาศัย การประยุกต์ใช้กระบวนการตามหลกั อรยิ สัจส่ี การวิจัยทางพระพุทธศาสนา เน้นการศึกษาค้นคว้าหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยอาศัยปัญญาเป็นพื้นฐาน และปัญญาในพระพุทธศาสนา จะเกิดข้ึนได้ก็ต้องอาศัยบ่อเกิดแห่ง ปัญญา คอื “สุตะ” ท่ีเรยี กวา่ สุตมยปัญญา “จินตา” ทเ่ี รียกว่า จินตามยปญั ญา และ “ภาวนา” ที่เรยี กวา่ ภาวนามยปญั ญา ดังน้นั วธิ ีวจิ ยั ทางพระพุทธศาสนา อาจแบ่งได้ 3 วิธี ตามบ่อเกดิ แหง่ ปญั ญา ได้แก่ 1) สตุ ธรรมวิจัย 2) จนิ ตาธรรมวิจยั และ 3) ภาวนาธรรมวิจยั ซง่ึ ผู้วจิ ยั ควรประยุกต์ ใชใ้ ห้เหมาะสมทง้ั 3 วธิ ี ในแต่ละกรณหี รือพจิ ารณาเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการวิจยั เร่อื งนัน้ ๆ

Research in Educational Administration • 491 การจับคู่ในอริยสัจส่ี อริยสัจส่ีให้ความส�ำคัญกับเรื่องเหตุผล หากจับคู่เหตุผล ก็จะได้ 2 คู่ ไดแ้ ก่ 1) คูท่ ุกขก์ ับสมทุ ยั และ 2) ค่นู โิ รธกับมรรค ตามหลักอรยิ สัจส่ีถอื วา่ ทุกข์หรือผล เปน็ ส่ิงที่เกิดมาจากสมุทัยหรือเหตุ ดังน้ัน การจะแก้ทุกข์หรือปัญหา ต้องแก้ที่ตัวเหตุแห่งทุกข์หรือ เหตุแห่งปัญหา ไม่ใช่แก้ที่ตัวทุกข์หรือตัวปัญหาโดยตรง โดยหลักการนี้ ในการท�ำวิจัยท่ัวไป ถา้ ตอ้ งการใหเ้ กดิ ความเปลย่ี นแปลงในตวั แปรตามกต็ อ้ งจดั กระทำ� ทต่ี วั แปรอสิ ระหรอื ถา้ จะควบคมุ ให้ส่งผลต่อตัวแปรตาม ก็ตอ้ งควบคมุ ที่ตวั แปรอิสระที่เป็นสาเหตุ หรือตัวแปรแทรกซ้อนอ่นื ๆ ที่ เป็นสาเหตุซ่ึงก็เปน็ เหมือนตัวแปรอิสระทผี่ ูว้ ิจัยไมไ่ ด้นำ� มาศึกษา สว่ นกระบวนการวจิ ยั ทางพระพทุ ธศาสนาตามหลกั อรยิ สจั สดี่ งั กลา่ วขา้ งตน้ เปน็ กระบวน การวจิ ยั ทนี่ ำ� ไปสกู่ ารแกป้ ญั หาเชน่ เดยี วกบั วธิ กี ารวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตร์ กลา่ วคอื กระบวนการวจิ ยั ทางพระพุทธศาสนาตามหลักอริยสัจสี่เป็นกระบวนการวิจัยที่น�ำไปสู่การแก้ปัญหา มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ข้ันการก�ำหนดรู้ทุกข์หรือปัญหา (ปริญญากิจ) 2) ขั้นการก�ำจัดเหตุแห่งทุกข์หรือ ปัญหา (ปหานกิจ) 3) ข้ันการแก้ทุกข์หรือปัญหา (สัจฉิกิริยากิจ) และ 4) ขั้นการด�ำเนินการ แก้ทุกข์หรือปัญหา (ภาวนากิจ) ในขณะท่ีวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการวิจัยที่น�ำไปสู่ การแก้ปัญหา มอี ยู่ 5 ขัน้ ตอน ได้แก่ 1) ข้ันกำ� หนดปญั หา  2) ข้นั ต้งั สมมตฐิ าน  3)  ขัน้ ตรวจสอบ สมมติฐาน (หรือรวบรวมขอ้ มลู )  4)  ขน้ั วิเคราะห์ขอ้ มูล  และ 5)  ขน้ั สรปุ ผล อริยสัจสี่ในฐานะเป็นหลักธรรมท่ีเป็นสากลซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบมาก่อนเป็น เวลามากกวา่ 2,560 ปแี ล้ว จงึ นับวา่ เป็นต้นแบบหรอื เป็นพ้นื ฐานของกระบวนการวิจยั ทว่ั ไป รวม ทั้งกระบวนการวิจัยทางการบริหารการศึกษา โดยมี 4 ข้ันตอน ดังน้ีคือ 1) ก�ำหนดรู้ทุกข์ หรือ ปัญหาการวิจัย 2) ก�ำจัดเหตุแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหาการวิจัย 3) แก้ทุกข์ คือ คาดหวัง นิโรธ หรือต้ังสมมติฐานการวิจัย และ 4) ด�ำเนินการแก้ทุกข์ คือ ปฏิบัติตามมรรค หรือการ เกบ็ รวบรวมข้อมลู การวิเคราะห์ขอ้ มูล และการสรปุ ผล ซง่ึ นกั วิจัยอาจประยกุ ต์ใช้หลกั อรยิ สจั สี่ เป็นต้นแบบหรือแนวทางพื้นฐานในการวิจัยท่ัวไปเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ หรือแก้ปัญหาต่าง ๆ ของหน่วยงาน สังคม ตลอดถงึ ประเทศได้ กจิ หรอื สิ่งทต่ี ้องท�ำในอริยสจั ส่ี มี 4 ประการ คอื 1) การก�ำหนดรู้ทกุ ข์ 2) การละหรอื ก�ำจดั สมุทยั หรอื สาเหตแุ ห่งทกุ ข์ 3) การท�ำให้แจง้ นิโรธ และ 4) การเจรญิ ภาวนา ซ่งึ ผวู้ จิ ยั อาจนำ� มาประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ แนวทางในกระบวนการวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษาได้ การก�ำหนดรู้ทุกข์ท้ัง 11 ประการ ในอริยสัจสี่ น้ัน ถือเป็นกิจส�ำคัญท่ีชาวพุทธต้องท�ำ เพราะการก�ำหนดรู้ทกุ ข์ ก็เพอ่ื ทำ� ความเข้าใจเร่อื งทุกข์ให้ชัดเจน และเพอ่ื ค้นหาสาเหตุในการดับ ทุกข์ (สมุทัย) แล้วจึงต้ังจุดมุ่งหมายในการดับทุกข์ (นิโรธ) และด�ำเนินการตามเส้นทางสู่ความ ดับทุกข์ (มรรค) ในท�ำนองเดียวกันกับการท�ำวิจัย ผู้วิจัยต้องก�ำหนดรู้ปัญหาการวิจัย (Research problem) เพราะการก�ำหนดรู้หรือท�ำความเข้าใจเก่ียวกับปัญหาการวิจัยให้ชัดเจน จะท�ำให้ผู้ วิจัยมีแนวทางในการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาการวิจัย แล้วต้ังวัตถุประสงค์ของการวิจัย ตั้งสมมติฐานของการวิจัย และด�ำเนินการวิจัยตามระเบียบวิธีวิจัย เพื่อน�ำไปสู่ผลการวิจัยและ

492 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา น�ำผลการวิจยั ไปใช้ประโยชนใ์ นการแก้ปัญหาต่อไป กระบวนการเกดิ ทขุ กใ์ นชวี ิตประจำ� วนั ความทกุ ข์ของคนเรานัน้ เกิดขึน้ ภายในขอบเขตท่ี เรียกว่า “กายและใจ” คนเราประกอบดว้ ยกายกบั ใจ โดย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่า อายตนะ ภายใน สว่ น รปู เสียง กลิ่น รส สมั ผัส การนกึ คดิ (ธรรมารมณ)์ เรยี กวา่ อายตนะภายนอก คำ� วา่ “อายตนะ” แปลว่า ส่ิงท่ีเช่ือมต่อให้เกิดการรับรู้  ตา มองเห็นส่ิงท่ีไม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจ หู ได้ยินเสียงที่ไม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจ  จมูก ได้กลิ่นท่ีไม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจ   ลิ้น ได้ล้ิม รสที่ไม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจ  กาย ได้สัมผัสส่ิงท่ีไม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจและทางกาย  และ ใจ ได้นึกคิดถึงส่ิงที่ไม่ดี เกิดความทุกข์ทางใจ   ดังนั้น การท่ีชาวพุทธศึกษาเรียนรู้ว่า ความทุกข์ เกิดขึ้นท่ีไหน และมีกระบวนการเกิดข้ึนได้อย่างไร ผู้วิจัยก็สามารถน�ำมาประยุกต์ใช้เป็นแนวทาง ในการศึกษาเรียนรู้ว่า ปัญหาการวิจัยเกิดกับใคร ที่ไหน เกิดในสังคมใด หรือในส่วนงานหรือ องค์การใด เกิดเมื่อไหร่ ดีหรือไม่ดีอย่างไร มีขอบเขตกว้างมากน้อยแค่ไหน ซ่ึงมีประโยชน์ในแง่ ของการได้ท�ำความเข้าใจและคิดหาวิธีการหรือมาตรการในการแก้ปัญหาหรือป้องกันปัญหาใน เส้นทางท่ีคาดวา่ เป็นทางเกิดปญั หาไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ

บทที่ ศาสตรแ์ ละหลักธรรมเพื่อการวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 16 SCIENCE AND BUDDHIST PRINCIPLES FOR RESEARCH IN EDUCATIONAL ADMINISTRATION การท�ำวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา ตามหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตและหลักสูตร ศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย เน้นให้มีความสอดคล้องกับปรัชญาของมหาวิทยาลัยท่ีว่า “ความเป็นเลิศ ทางวิชาการตามแนวพระพทุ ธศาสนา: Academic Excellence based on Buddhism” นน่ั คอื การท�ำวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา ในสาขาวิชาการบริหารการศึกษานั้น นอกเหนือจากการต้อง ค�ำนึงถึงศาสตร์ในสาขาวิชาการบริหารการศึกษาแล้ว ต้องค�ำนึงถึงการประยุกต์ใช้หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนาอีกด้วย จึงจะสอดคล้องกับปรัชญาของมหาวิทยาลัยท่ีมุ่งสู่ความเป็นเลิศทาง วิชาการตามแนวพระพุทธศาสนา หากมิได้สนใจการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ดังกล่าว จะถือว่า เป็นการท�ำวิจัยที่ไม่ได้ค�ำนึงถึงทิศทางหรือเป้าหมายของมหาวิทยาลัย ซึ่งอาจ หลงทางไมต่ ง้ั อยบู่ นฐานแหง่ พระพทุ ธศาสนาไมส่ อดคลอ้ งกบั ทศิ ทางหรอื ปรชั ญาของมหาวทิ ยาลยั แมง้ านวจิ ยั ทท่ี ำ� เสรจ็ แลว้ นน้ั เปน็ งานวจิ ยั ทดี่ ี แตก่ ม็ อิ าจอวดคยุ โมไ้ ดว้ า่ เปน็ งานวจิ ยั ของมหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลัยในฐานะเป็นมหาวิทยาลัยทางพระพุทธศาสนาซ่ึงก�ำหนดปรัชญาโดยมุ่ง สู่ความเป็นเลิศทางวิชาการตามแนวพระพุทธศาสนา ดังน้ัน ในบทน้ี จะน�ำเสนอศาสตร์และ หลักธรรมเพ่ือการวิจัยทางการบริหารการศึกษา เพื่อให้นักศึกษาและผู้สนใจท่ัวไปได้ศึกษาและ สามารถน�ำมาประยุกต์ใช้โดยผสมผสานกันไปในการก�ำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย (Conceptual framework) เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการวิจัยและสร้างนวัตกรรมทางการบริหารการศึกษาบนฐาน หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนาไดอ้ ย่างแปลกใหม่และมปี ระสิทธภิ าพ ส�ำหรับเน้ือหาสาระของศาสตร์และหลักธรรมท่ีจะน�ำเสนอในบทน้ี ประกอบด้วย เน้ือหาสาระที่ส�ำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ 1) ความหมายและตัวอย่างของศาสตร์ และ 2) หลักธรรม ทางพระพทุ ธศาสนา โดยมรี ายละเอยี ด ดงั ต่อไปน้ี 16.1 ความหมายและตัวอยา่ งของศาสตร์ ค�ำว่า “ศาสตร์” (Science) ได้มีการให้ความหมายไว้ในต�ำราและพจนานุกรมฉบับ ต่าง ๆ คล้าย ๆ กัน เช่น พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2530 (2531) ได้ให้ความหมาย ว่า ศาสตร์ หมายถึง ระบบวชิ าความรู้ ต�ำรา ค�ำส่ัง คำ� ชี้แจง พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2549 (2556) ไดใ้ หค้ วามหมายวา่ ศาสตร์ หมายถงึ ระบบวชิ าความรู้ มกั ใชป้ ระกอบหลงั คำ� อนื่ เชน่ วทิ ยาศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ มนษุ ยศาสตร์ ส่วน สุชาต ประสิทธ์ริ ัฐสนิ ธ์ุ (2550, หน้า 5) ได้ให้

494 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา ความหมายวา่ ศาสตร์ หมายถึง ความร้อู ันประกอบดว้ ย แนวคดิ หรือตวั แปร (Concepts) ทฤษฎี (Theory) เก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดหรือตัวแปร และวิธีการที่ใช้ในการศึกษา (Methods) ที่ใช้ในการเก็บ การวิเคราะห์ และการทดสอบทางทฤษฎีหรือข้อสมมติฐานโดยอาศัย ข้อเทจ็ จรงิ ทเ่ี ป็นวตั ถุธรรมมากกว่าจติ พิสยั ของผศู้ ึกษา ฯลฯ แต่เมอื่ กล่าวโดยสรุป อาจกลา่ วไดว้ ่า “ศาสตร์” หมายถึง ต�ำรา วิชา ค�ำสั่ง ค�ำชี้แจง ระบบวิชาความรู้ หลักการ แนวคิด และทฤษฎี โดยเป็นค�ำท่ีมักใช้ประกอบหลังค�ำอื่น เช่น วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ฯลฯ ดงั นน้ั “ศาสตรใ์ นสาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา” จงึ หมายถงึ ตำ� รา วชิ า ระบบวชิ าความรู้ หลกั การ แนวคดิ และทฤษฎี ทางดา้ นการบริหารการศกึ ษา ในสว่ นน้ี ผเู้ ขยี นจะนำ� เสนอตวั อยา่ งของศาสตรใ์ นสาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษาเฉพาะ ในส่วนทเี่ ป็นหลกั การ แนวคดิ และทฤษฎี ซึ่งประกอบดว้ ย 1) หลักการ แนวคดิ และทฤษฎกี าร บรหิ ารงาน 2) หลกั การ แนวคิด และทฤษฎีการบริหารคน 3) หลักการ แนวคิด และทฤษฎีการ บรหิ ารองคก์ าร และ 4) หลักการ แนวคดิ และทฤษฎีภาวะผู้น�ำ โดยมีรายละเอยี ด ดงั ต่อไปน้ี 1. หลกั การ แนวคิด และทฤษฎกี ารบริหารงาน ตัวอย่างของศาสตร์ในสาขาวิชาการบริหารการศึกษาท่ีเก่ียวกับหลักการ แนวคิด และ ทฤษฎีการบริหารงาน มรี ายละเอียดดงั แสดงในตารางท่ี 16.1 ตารางที่ 16.1 หลกั การ แนวคดิ และทฤษฎกี ารบรหิ ารงาน 1. หลักการ แนวคิด หรอื ทฤษฎกี ารบรหิ ารงาน 1.1 หลกั การจดั การ 14 ข้อ ของ ฟาโยล (Fayol’s 14 Principle of Management) 1.2 (แนวคดิ ) การบรหิ ารโดยยดึ วตั ถปุ ระสงค์ (Management By Objective: MBO) 1.3 (แนวคิด) การบรหิ ารแบบสมดลุ (Balance Scorecard : BSC) 1.4 แนวคิดเกยี่ วกับอ�ำนาจหน้าท่แี ละความรับผิดชอบ (Concept of Power and Responsibilities) 1.4.1 แนวคิดเกย่ี วกับอ�ำนาจ (Concept of Power) 1.4.2 แนวคิดเก่ยี วกบั อ�ำนาจหนา้ ทขี่ องผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา (Powers and Duties of School Administrators) 1.4.3 แนวคิดเก่ียวกบั ความรับผิดชอบของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา (Concept of Responsibilities of School Administrators) 1.5 ทฤษฎีการตดั สินใจ (Decision Theories)

Research in Educational Administration • 495 1.6 ตวั แบบการตัดสนิ ใจเชงิ ทฤษฎี (Theoretical Decision Styles) 1.6.1 ตัวแบบการตดั สนิ ใจโดยคนคนเดียวและโดยกลุ่ม (Command and consensus style of decision making) 1.6.2 ตวั แบบการตัดสินใจของเอเวอร์ราดและมอรร์ สิ (Everard and Morris’s style of decision making) 1.6.3 ตวั แบบการตดั สินใจของวรูมและเยตตัน (Vroom and Yetton’s style of decision making) 1.6.4 ตัวแบบการตัดสินใจของฮนั เซย์เกอรแ์ ละฮันเซยเ์ กอร์ (Hansaker and Hansaker’s style of decision making) 1.6.5 ตวั แบบการตัดสินใจของรอบบินส์ (Robbins’s style of decision making) 1.7 ตัวแบบการตัดสินใจเชิงประยกุ ต์ (Applied Decision Model) 1.7.1 ตัวแบบการตดั สินใจตามแนวคลาสสิก (The Classical Model of decision making) 1.7.2 ตัวแบบการตัดสินใจทางการบรหิ าร (The Administrative Model of decision making) 1.7.3 ตวั แบบการตดั สนิ ใจแบบค่อยเป็นคอ่ ยไป (The Incremental Model of decision making) 1.7.4 ตัวแบบการตดั สนิ ใจแบบผสมผสาน (The Mixed Model of decision making) 1.7.5 ตวั แบบการตดั สินใจแบบถังขยะ (The Garbage-Can Model of decision making) 1.8 แนวคดิ รว่ มสมัยทางการบรหิ าร (Modern Concept in management) 1.8.1 แนวคดิ การบริหารแบบมีส่วนร่วม (Concept of Participative Management) 1.8.2 แนวคดิ การบรหิ ารแบบม่งุ ผลสัมฤทธิ์ (Concept of Result Based Management : RBM) 1.8.3 แนวคิดการบริหารการเปลยี่ นแปลง (Concept of Change Management ) 1.8.4 แนวคิดการบริหารโดยใชโ้ รงเรียนเปน็ ฐาน (Concept of School Based Management : SBM)

496 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษา 1.9 แนวคดิ เกี่ยวกับนวัตกรรมการบริหาร (Innovation Management)  1.9.1 แนวคดิ เก่ยี วกบั นวตั กรรมกบั การบริหารการศกึ ษา (Concept of Innovation and Educational Management) 1.9.2 (แนวคิด) หลกั ธรรมมาภบิ าล (Good Governance) 1.9.3 (แนวคดิ ) การบริหารห่วงโซอ่ ุปาทาน (Supply Chain Management)  1.9.4 (แนวคดิ ) การบรหิ ารความเส่ียง (Risk Management) 1.10 แนวคดิ เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่อื การบรหิ ารการศกึ ษา (Concept of Information and Communication Technology for Educational Management) 1.10.1 แนวคิดเทคโนโลยีสารสนเทศในองคก์ ารทางการศึกษา (Concept of Information and Communication Technology in an Educational Organization) 1.10.2 แนวคิดระบบสารสนเทศเพือ่ การบริหารองค์การทางการศึกษา (Concept of Education Management Information System) 1.10.3 แนวคิดการบรหิ ารเทคโนโลยีสารสนเทศในองคก์ ารทางการศกึ ษา (Concept of Management of Information Technology in an Educational Organization) 1.11 แนวคิดระบบการศึกษาและระบบบรหิ ารการศึกษาไทย (Concept of Educational and Educational Management Systems in Thailand) 1.11.1 แนวคิดเกย่ี วกับระบบการศกึ ษาไทย (Concept of An Educational System in Thailand) 1.11.2 แนวคดิ ของระบบบรหิ ารการศกึ ษาไทย (Concept of An Educational Management System in Thailand) 1.12 แนวคดิ ตะวนั ออกกบั การบริหารการศึกษาไทย (Eastern Concepts and Educational Administration in Thailand)

Research in Educational Administration • 497 2. หลักการ แนวคดิ และทฤษฎกี ารบริหารคน ตัวอย่างของศาสตร์ในสาขาวิชาการบริหารการศึกษาที่เก่ียวกับหลักการ แนวคิด และ ทฤษฎกี ารบรหิ ารคน มีรายละเอยี ดดังแสดงในตารางที่ 16.2 ตารางที่ 16.2 หลักการ แนวคิด และทฤษฎีการบรหิ ารคน 2. หลกั การ แนวคิด และทฤษฎีการบรหิ ารคน 2.1 แนวคดิ วินัย 5 ประการ ส�ำหรบั องคก์ ารแหง่ การเรยี นรู้ (Concept of The Fifth Discipline For Learning Organization) 2.2 ทฤษฎีการบรหิ ารความขัดแย้ง (Conflict Management Theory) 2.3 ทฤษฎีการเจรจาตอ่ รอง (Collective Bargaining Theory) 2.4 ทฤษฎกี ารจงู ใจด้านเนือ้ หา (Content Theories of Motivation) 2.4.1 ทฤษฎีการจูงใจของมาสโลว์ (Maslow’s Theory of Motivation) 2.4.2 ทฤษฎีการจูงใจของแอลเดอร์เฟอร์ (Alderfer’s ERG theory) (E = existence, R = relatedness and G = growth) 2.4.3 ทฤษฎกี ารจงู ใจใฝ่สมั ฤทธขิ์ องแมคคลีลแลนด์ (McClelland’s Achievement Motivation Theory) 2.4.4 ทฤษฎกี ารจงู ใจหรือสองปจั จยั ของเฮอรซ์ เบอร์ก (Herzberg’ s Two Factors Theory) 2.5 ทฤษฎกี ารจูงใจด้านกระบวนการ (Process Theories of Motivation) 2.5.1 ทฤษฎีความคาดหวัง (หรอื การจูงใจ) ของวรูม (Vroom’s Expectancy Theory) 2.5.2 ทฤษฎีความเสมอภาค (หรือการจงู ใจ) ของอาดมั (Adam’s Equity Theory) 2.5.3 ทฤษฎีการตั้งเปา้ หมายของล็อคและคณะ (Locke and Locke and Latham’s Goal Setting Theory) 2.6 ทฤษฎีทีเ่ กี่ยวข้องกับการติดต่อสือ่ สาร (Theory of Communication) 2.6.1 ทฤษฎีทางจิตวทิ ยา (Psychological Theory) 2.6.2 ทฤษฎที างสังคม (Sociological Theory) 2.7 แนวคิดเกีย่ วกับการบริหารสมรรถนะทรพั ยากรบุคคล (Concept of Competency Based Human Resource Management)

498 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา 3. หลกั การ แนวคิด และทฤษฎกี ารบริหารองค์การ ตัวอย่างของศาสตร์ในสาขาวิชาการบริหารการศึกษาที่เก่ียวกับหลักการ แนวคิด และ ทฤษฎีการบรหิ ารองค์การ มีรายละเอียดดังแสดงในตารางที่ 16.3 ตารางท่ี 16.3 หลักการ แนวคิด และทฤษฎีการบริหารองคก์ าร 3. หลักการ แนวคิด และทฤษฎีการบรหิ ารองค์การ 3.1 ทฤษฎีระบบ (Systems Theory) 3.1.1 ทฤษฎรี ะบบทัว่ ไป (General Systems Theory) 3.1.2 ทฤษฎรี ะบบสังคมของพารส์ นั ส์ (Parsons’s Social System Theory) 3.1.3 ท(GฤeษtzฎeรีlะaบndบGสuังbคaม‘ขsอSงoเกciทalเซSลysสte์แmละsกTูบheาory) 3.1.4 ทฤษฎีระบบ 4 ของลิเคอร์ท (Likert Four Management Systems Theory) 3.1.5 ((ทPeฤtษerฎS)ี eอnงgคe’ก์ sาLรeแaหrnง่ iกnาgรOเรrยี gนanรiขู้ zอatงioเซnง)กี 3.2 ((แMนinวtคzbิดe)rโgค’รsงFสivรe้างOกrาgรaบnรizิหatาiรoจnัดalกาSรtr5ucดt้าuนreข) องมนิ ทซ์ เบอร์ก 3.3 (แนวคิด) การรือ้ ปรบั ระบบ (Re-engineering) 3.4 (แนวคิด) องคก์ ารเปน็ เลศิ (Organizational Excellence) 3.5 ทฤษฎีองค์การดง้ั เดมิ (Classical Theory) 3.5.1 ทฤษฎอี งคก์ ารแบบการจัดการเชงิ วทิ ยาศาสตร์ (Scientific Management)  3.5.2 ทฤษฎอี งคก์ ารแบบราชการ (Bureaucracy or Bureaucratic Management) 3.5.3 ทฤษฎอี งคก์ ารแบบการบริหาร (Administrative Management) 3.6 ทฤษฎอี งคก์ ารด้ังเดิมแนวใหม่ (Neo-Classical Theory) 3.6.1 ทฤษฎอี งคก์ ารเชงิ มนุษยสมั พันธ์ (Human Relation) 3.6.2 ทฤษฎีองค์การเชิงพฤตกิ รรมศาสตร์ (Behavioral Organization Theory) 3.7 ทฤษฎีองคก์ ารสมยั ใหม/่ สมยั ปัจจบุ ัน (Modern Theory) 3.7.1 ทฤษฎีองค์การแบบตามสถานการณ์ (Contingency Theory) 3.7.2 ทฤษฎอี งคก์ ารแบบค�ำนงึ ถึงคนหรือแบบอัตวสิ ยั (Subjective Theory) 3.8 แ(Mนoวdคeดิ rnกาOรrบgรanิหiาzรatอioงnคก์Mาaรnสaมgัยemใหeมnt่ Concept) 3.8.1 การรือ้ ปรบั ระบบ (Re-engineering) 3.8.2 การบริหารคุณภาพท้ังองคก์ าร (Total Quality Management: TQM) 3.8.3 การบรหิ ารแบบมุมมองสมดลุ (Balanced Scorecard: BSC)

Research in Educational Administration • 499 3.8.4 การบรหิ ารแบบเทยี บเคยี ง (Benchmarking) 3.8.5 การบริหารแบบซิกซ์ซกิ มา (Six Sigma) 3.8.6 การบรหิ ารแบบม่งุ ผลสมั ฤทธ์ิ (Result Based Management: RBM) 3.8.7 การบริหารความเส่ียง (Risk Management: RM) 3.8.8 การจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) 3.9 แนวคิดเกย่ี วกับพฤตกิ รรมองคก์ าร (Organizational Behaviors: OB) 3.10 แนวคดิ เกี่ยวกับการพฒั นาองค์การ (Organization Development: OD) 4. หลักการ แนวคดิ และทฤษฎีภาวะผ้นู �ำ ตัวอย่างของศาสตร์ในสาขาวิชาการบริหารการศึกษาที่เกี่ยวกับหลักการ แนวคิด และ ทฤษฎภี าวะผนู้ ำ� มีรายละเอยี ดดงั แสดงในตารางท่ี 16.4 ตารางท่ี 16.4 หลักการ แนวคิด และทฤษฎีภาวะผู้น�ำ 4. หลกั การ แนวคดิ และทฤษฎภี าวะผู้นำ� 4.1 แนวคดิ เกี่ยวกับภาวะผูน้ ำ� (Concept of Leadership) 4.2 (แนวคิด) หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) 4.3 (แนวคดิ ) รปู แบบภาวะผู้น�ำของมลั คอลบ์ อลดรจิ (Malcolm Baldrige Leadership Model) 4.4 ทฤษฎีเกี่ยวกับภาวะผู้น�ำ (Leadership Theory) 4.4.1 ทฤษฎภี าวะผนู้ ำ� เชงิ คณุ ลกั ษณะ (Trait Leadership theory) 4.4.2 ท1ฤ) ษกฎาภีรศาวกึ ะษผาู้นขอำ� เงชมิงหพาฤวตทิ ิกยารลรยัมไ อ(Bโอeวhาav(Uionriavle LrseiatydeorfsIhoiwp aTShteuodriieess)) 2) ก(หกทาารรฤรือศศษกึ(กึฎทษษี)ฤาาภขษขาออฎวงงี)ะมมตผหหา้นู าขาวำ�ว่าททิทิยมี่ยกยาหาาลลรายัยัจวโมัดทิอชิกไยฮแิาาโรกลอโนยั อ(โOไอ(ฮUhไโฮinอoโiอv(sOetสarhเtsตeiitoทyLMeoafadnMearigschehiripigasaltnGudsrtiiudeds))ies)  3) 4) ก(leทาaฤรdศษerึกฎsษhี)iาภpข)าอวงะกผลนู้ ุม่ ำ� ททม่ี่มี หหาาววทิิทยยาาลลัยัยฮมาชิ ริแว์ กานรด์ (Harvard studies of group 4.4.3 ทฤษฎภี าวะผู้นำ� ตามสถานการณ์ (Situational or Contingency Leadership T21))he(ท(oทHฤrฤieษerษssฎ)ฎeภีy)ี -าตBววั lะaแผnบนู้cบhำ� aสตrาถdม’าsนสLถกeาาaรนdณกerข์าsรอhณiงpฟ์ขSดีอtเงyลเlฮอesอร)์ร(์เFซieยdแ์ lลerะ’sแบCลonนtiชnาgรe์ดncy Model)

500 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา 4.4.4 ทฤษฎภี าวะผนู้ �ำแบบแลกเปล่ยี น (Transactional Leadership) 4.4.5 ทฤษฎภี าวะผู้น�ำแบบเปลี่ยนสภาพ (Transformational Leadership) 4.4.6 ทฤษฎี X และทฤษฎี Y ของแมคเกรเกอร์ (ทฤษฎีการจงู ใจ) (McGregor’s Theory X and Theory Y) 4.4.7 (ทฤษฎี) ตาขา่ ยการบริหารของเบลคและมูตัน (blake and mouton’s managerial grid) หรอื (ทฤษฎี) ตาขา่ ยภาวะผูน้ ำ� (Leadership grid) 4.4.8 ทฤษฎี 3 มิตขิ องเรดดิน (Reddin’s 3-D Model (three-dimension theory) 4.4.9 ทฤษฎีวิถีทาง-เป้าหมายของเฮาส์ (Path-Goal Theory)  จากตารางท่ี 16.1-16.4 เปน็ ตวั อยา่ งของศาสตรใ์ นสาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษาเฉพาะ ในส่วนท่ีเป็นหลักการ แนวคิด หรือทฤษฎีทางด้านการบริหารการศึกษา ผู้วิจัยสามารถคัดเลือก และนำ� มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการทำ� วจิ ยั ทางดา้ นการบรหิ ารการศกึ ษาได้ อยา่ งไรกต็ าม ในสว่ นน้ี ผเู้ ขยี น ขอไมอ่ ธบิ ายเนอ้ื หาสาระในรายละเอียดของหลักการ แนวคดิ และทฤษฎดี ังกล่าว เพราะนักศึกษา ระดบั บัณฑิตศกึ ษาสามารถศึกษาไดจ้ ากต�ำรา เอกสาร และแหล่งความรอู้ ่ืน ๆ ได้ โดยไมย่ าก 16.2 หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา ปจั จบุ นั เรารบั อทิ ธพิ ลในแนวคดิ ทางดา้ นการบรหิ ารจากโลกตะวนั ตกมามากขน้ึ ทำ� ใหเ้ รา มกั จะละเลยการนำ� หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนามาปรบั ใชก้ บั การบรหิ ารและ/หรอื การนำ� องคก์ าร ของเรา ซึ่งโดยความเป็นจรงิ แลว้ ถา้ ได้น�ำหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนามาปรบั ใชก้ บั การบริหาร และ/หรือน�ำองค์การโดยผสมผสานไปกับหลักการ แนวคิด ทฤษฎีทางการบริหารของตะวันตก น่าจะช่วยเติมเต็มทางการบริหารการศึกษา และมีความเหมาะกับบริบทของประเทศไทยมากกว่า การน�ำหลักการ แนวคดิ ทฤษฎที างการบรหิ ารของตะวนั ตกมาใช้แต่เพียงอยา่ งเดียว หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนานน้ั เปน็ สงิ่ ทที่ นั สมยั ตลอดกาลเวลา ไมล่ า้ สมยั ไปกบั กาล เวลาทผ่ี ่านไป (อกาลิโก) เพราะหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นสจั ธรรมท่ไี มข่ ึ้นอยหู่ รอื ผกู ตดิ กบั กาลเวลาทัง้ ที่เป็นอดตี ปัจจุบัน และอนาคต แต่เป็นสัจธรรมทีเ่ ปน็ จริงเชน่ นน้ั ตลอดเวลา หรอื อาจกล่าวได้ว่า เป็นสัจธรรมท่ีเป็นเช่นนั้นตลอดกาลทั้ง 3 กาล คือ อดีตกาล ปัจจุบันกาล และ อนาคตกาล ดังน้ัน ใครหรือผู้ใดปฏิบัติตามได้พร้อมบริบูรณ์เม่ือใด ก็เห็นผลเมื่อนั้น จึงท้าให้ มาพิสูจน์ มาตรวจสอบ หรือมาทดลอง (เอหิปัสสิโก) และเมื่อผู้ใดมาพิสูจน์ ตรวจสอบ หรือ ทดลองแลว้ ผนู้ น้ั กจ็ ะรเู้ องหรอื เหน็ ผลเองดว้ ยตนเอง (สนั ทฏิ ฐโิ ก) และเปน็ สจั ธรรมทรี่ ไู้ ดเ้ ฉพาะตน (ปัจจัตตัง เวทิตัปโพ วิญญูห)ิ คือ ผู้ใดปฏิบัติตาม ผู้น้ันก็จะรู้ได้ และการรู้นั้น เป็นของเฉพาะตน ทำ� แทนกนั ไมไ่ ด้แบง่ ปนั ใหก้ นั กไ็ มไ่ ด้ตอ้ งประจกั ษด์ ว้ ยตนเองจะเหน็ วา่ หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา เปน็ สจั ธรรมทที่ ันสมยั มปี ระโยชน์อย่างยง่ิ ส�ำหรบั ผ้ปู ฏบิ ัติตาม จงึ จำ� เปน็ ต้องใช้ทกุ ทีท่ กุ แห่งและ ทุกเวลา ยกตวั อย่างงา่ ย ๆ เช่น สติ สมาธิ ฯลฯ สติ คอื ความระลกึ ได้ ต้องใชท้ กุ ทท่ี กุ แหง่ และทกุ

Research in Educational Administration • 501 เวลาท่ที ำ� อะไรหรือส่งิ ใดก็ตาม จะน่ังบ�ำเพ็ญกรรมฐานก็ต้องใช้สติ มฉิ ะน้นั จิตกไ็ ม่เป็นสมาธิ จะ ขบั รถมาเรยี นรายวชิ าการวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา กต็ อ้ งมสี ตกิ อ่ นสตารท์ และตอ้ งมอี ยตู่ ลอด ระยะเวลาที่ขับรถด้วย มิฉะน้ัน จะขับไปไม่ถึงมหาวิทยาลัย ส่วนสมาธิก็เช่นเดียวกัน สามารถ ใช้ประโยชน์ได้ทุกเมื่อ จะน่ังบ�ำเพ็ญกรรมฐาน จะเรียนหนังสือ หรือจะคิดสร้างสรรค์โน่นนี่นั่น ก็ต้องใช้สมาธิทั้งส้ิน ดังนั้น ผู้วิจัยหรือนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ควรน�ำหลักธรรมมาปรับใช้ กบั การดำ� รงชวี ิต การทำ� งานในปจั จบุ ัน และเพอื่ การวจิ ยั ทางดา้ นการบริหารการศกึ ษา โดยเฉพาะ การท�ำวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา ในสาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัยนั้น นอกเหนือจากการต้องค�ำนึงถึงศาสตร์ในสาขาวิชาการบริหารการ ศึกษาแล้ว ต้องค�ำนึงถึงฐานพระพุทธศาสนา คือ การประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา หรอื ตอ้ งอาศยั หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาเปน็ ฐานในการทำ� วจิ ยั ดว้ ยจงึ จะสอดคลอ้ งกบั ปรชั ญา ของมหาวทิ ยาลยั ทม่ี งุ่ สคู่ วามเปน็ เลศิ ตามแนวพระพทุ ธศาสนาดงั กลา่ วแลว้ ขา้ งตน้ ซงึ่ ในทน่ี ี้ จะนำ� เสนอตัวอย่างหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่นิยมน�ำมาประยุกต์ใช้เพื่อการวิจัยทางด้านการ บริหารการศกึ ษา จำ� นวน 3 หมวด โดยจำ� แนกเป็น 1) หมวดหลักธรรมเพอื่ การครองตน 2) หมวด หลกั ธรรมเพอื่ การครองคน และ 3) หมวดหลกั ธรรมเพอื่ การครองงาน โดยมรี ายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปนี้ 1. หมวดหลักธรรมเพ่อื “การครองตน” ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ นอกเหนือจากการต้องบริหารคน และบริหารงานให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลแล้ว จ�ำเป็นจะต้องรู้จักบริหารตนเอง โดยการประพฤติปฏิบัติตนดี เป็นต้นแบบท่ีดี และสามารถน�ำพาองค์การไปในทิศทางท่ีถูกต้อง ตามทำ� นองคลองธรรม ทงั้ น้เี พ่ือสร้างคณุ ภาพชีวิตทด่ี ี หรือเพือ่ “การครองตน” ท่ีดี น่นั เอง โดยธรรมชาติ ชีวติ ทกุ ชวี ติ ประกอบดว้ ยส่วนที่สำ� คญั 2 สว่ น ได้แก่ กายและจติ ดงั น้ัน ชวี ติ ทีม่ คี ณุ ภาพ คอื ชีวิตท่ปี ระกอบดว้ ยกายและจิตทีม่ ีคุณภาพซ่ึงมีโอกาสจะพฒั นาใหก้ า้ วหน้าได้ ตอ่ ไปได้ และจะท�ำให้มสี ุขภาพกายและสุขภาพจติ ดี สุขภาพกายดี คือ ร่างกายแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ซ่ึงต้องมีมาตรการในการเอาใจใส่ ดแู ลรกั ษาสขุ ภาพกาย โดยเลือกรับประทานอาหารทีม่ ีประโยชน์มคี ณุ คา่ ต่อร่างกาย ออกกำ� ลังกาย ให้พอเหมาะพอควรตามวยั และมีเวลาพกั ผอ่ นท่พี อเหมาะ หลกี เล่ียงการกระทำ� ทีจ่ ะเป็นสาเหตุใน การบ่ันทอนสุขภาพกาย เชน่ สบู บุหร่ี ด่มื สุรา ฯลฯ ส่วนสุขภาพจติ ดี จะส่งผลใหม้ ีสุขภาพกายดี ด้วย เพราะจิตใจท่ีดีย่อมต้องอยู่ในร่างกายที่ดี ในขณะเดียวกันสุขภาพกายดีก็เป็นสาเหตุหน่ึง ทท่ี �ำใหส้ ขุ ภาพจิตดี ในมิติทางดา้ นพระพทุ ธศาสนา ถือวา่ มนุษย์มีความจำ� เปน็ อยา่ งยง่ิ ท่จี ะตอ้ งรจู้ กั ประยุกต์ ใช้หลักธรรมในการบริหารตนเองเพ่ือสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และถ้ามนุษย์เป็นผู้บริหารองค์การ ทางการศึกษา ก็ย่ิงมีความจ�ำเป็นในการประยุกต์ใช้หลักธรรมมากยิ่งขึ้น เพ่ือสร้างชีวิตของตนให้ เปน็ ตน้ แบบทด่ี ี ควรแกก่ ารปฏิบตั ติ ามของผู้ใตบ้ ังคบั บัญชา เมื่อผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การใดประยุกต์ใช้หลักธรรมในการ บรหิ ารตนเอง หลกั ธรรมนน้ั กจ็ ะชว่ ยทำ� ใหผ้ บู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ ารนนั้ รจู้ กั การด�ำเนินชีวิตท่ีถูกต้อง นั่นคือ การด�ำเนินชีวิตท่ีน�ำมาซ่ึงความสงบสุขทั้งแก่ตนและสังคมโดย

502 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา ส่วนรวม หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีควรน�ำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารตนของผู้บริหาร และ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การน้ัน อาจเรียกว่า “หมวดหลักธรรมเพ่ือการครองตน” โดยมีรายละเอยี ด ดงั แสดงในตารางที่ 16.5 ตารางที่ 16.5 หมวดหลักธรรมเพ่ือ “การครองตน” 1.14 อธิษฐานธรรม 4 1. หมวดหลักธรรมเพือ่ “การครองตน” 1.15 พละ 4 1.16 เบญจศีล 5 1.1 โลกปาลธรรม 2 1.17 เบญจธรรม 5 1.2 ขนั ตโิ สรจั จะ 2 1.18 เวสารชั ชกรณธรรม 5 1.3 สตสิ ัมปชัญญะ 2 1.19 อริยวฑั ฒิ 5 1.4 สจุ ริต 3 1.20 กลั ยาณมติ รธรรม 7 1.5 อธิปไตย 3 1.21 สัปปรุ ิสธรรม 7 1.6 ไตรสกิ ขา 3 1.22 อรยิ ทรัพย์ 7 1.7 กศุ ลมูล 3 1.23 นาถกรณธรรม 10 1.8 บุญกิริยาวัตถุ 3 1.24 กศุ ลกรรมบถ 10 1.9 โกศล 3 1.25 บารมี 10 1.10 ปญั ญา 3 1.11 อปณั กปฏิปทา 3 1.12 พรหมวหิ าร 4 1.13 วฒุ ธิ รรม 4 จากตารางท่ี 16.5 หมวดหลกั ธรรมเพอ่ื “การครองตน” เปน็ หมวดหลกั ธรรมทผี่ บู้ รหิ าร และ/หรอื ผู้นำ� ทดี่ ีจะตอ้ งประพฤติปฏบิ ัติตนเพอื่ เป็นตน้ แบบที่ดี และสามารถนำ� พาองค์การไปใน ทิศทางที่ถูกต้องตามท�ำนองคลองธรรม หมวดหลักธรรมดังกล่าวมี 25 หมวด โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.1 โลกปาลธรรม (Lokapāla-dhamma: virtues that protect the world) แปลว่า ธรรม คุม้ ครองโลก หมายถงึ หลักธรรมทีท่ �ำใหโ้ ลกไม่เกดิ ความเดอื ดรอ้ น วุ่นวาย สับสน เป็นธรรมท่ีนำ� สันติสุขมาให้แก่ชาวโลก เรียกอีกชื่อว่า เทวธรรม (เท-วะ-ท�ำ) แปลว่า ธรรมของเทวดา หมายถึง หลักธรรมท่ีช่วยท�ำให้มนุษย์มีจิตใจสูงส่งประดุจเทวดา มี 2 ประการ ดังนี้ (องฺ.ทุก. 20/255/65;  ขุ.อิติ. 25/220/257) 1) หริ  ิ คอื ความละอายใจตอ่ บาป หมายถงึ ความละอายทจ่ี ะทำ� ชวั่ (กายทจุ รติ ) พูดชั่ว (วจีทุจริต) และคิดชั่ว (มโนทุจริต) โดยไม่ต้องมีผู้ใดบอกกล่าวให้เกิดความละอาย แต่เป็น ความรสู้ ึกทเ่ี กิดขน้ึ ในใจตนเอง 2) โอตตัปปะ  คือ ความเกรงกลัวต่อบาป หมายถึง ความเกรงกลัวต่อผลของ กรรมชว่ั เพราะตระหนกั รวู้ า่ คนทำ� ดไี ดด้ ี ทำ� ชว่ั ไดช้ วั่ หรอื เพราะรแู้ ละเขา้ ใจในเรอ่ื งกฎแหง่ กรรม

Research in Educational Administration • 503 ความละอายและความเกรงกลวั ทเี่ กดิ ขนึ้ เพราะกฎระเบยี บบงั คบั ทางสงั คมนน้ั ไมถ่ อื วา่ เปน็ หริ แิ ละโอตตปั ปะเพราะเกดิ ขน้ึ จากบคุ คลภายนอกไมไ่ ดเ้ กดิ ขนึ้ จากจติ ใจของตนเองซงึ่ สามารถ กระท�ำลับหลังได้ หากไม่มีใครรู้เห็น เช่น สมพิศไม่เสพยาบ้าในผับบาร์ เพราะกลัวถูกต�ำรวจจับ แต่กลับมาเสพท่ีบ้านตามล�ำพัง สมชายไม่กล้าปล้นร้านทองในเวลากลางวัน เพราะเห็นต�ำรวจน่ัง เฝา้ อยู่ แตแ่ อบเขา้ ไปขโมยทองในเวลากลางคืนเพราะว่าไม่มีต�ำรวจ ฯลฯ อย่างน้ีไม่ถอื ว่ามหี ริ แิ ละ โอตตปั ปะ ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การควรประยุกต์ใช้หลักโลกปาลธรรม เพ่ือ “การครองตน” ที่ดี โดยเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนให้มีหิริและโอตตัปปะ ไม่ท�ำความช่ัวทั้ง ต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น ซึ่งจะเป็นต้นแบบที่ดีส�ำหรับผู้ใต้บังคับบัญชา เม่ือผู้บริหารหรือผู้เป็น หัวหน้าไม่ท�ำความช่ัวท้ังต่อหน้าและลับหลังผู้อ่ืน ผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะไม่กล้าท�ำความช่ัวทั้งต่อ หน้าและลับหลังผู้อื่นเช่นเดียวกัน หรืออย่างน้อยเป็นการป้องกัน หรือสร้างความตระหนักให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติหน้าท่ีด้วยความซ่ือสัตย์สุจริต ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างย่ิงในการ บรหิ ารและ/หรือการนำ� สถานศึกษาหรือองคก์ าร ใหม้ คี วามโปรง่ ใส และตรวจสอบได้ 1.2 ขนั ตโิ สรจั จะ (KhantiSoracca: patience and modesty) หมายถงึ หลักธรรมท่ีทำ� ให้ ผู้ประพฤตปิ ฏิบตั ิตามงดงาม มี 2 ประการ ดังน้ี (วินย. 5/244/335; องฺ.ทุก. 20/410/118) 1) ขันติ คือ ความอดทน หมายถึง การรักษาปกติภาพของตนไว้ได้ ในเมื่อ ถกู กระทบดว้ ยสิ่งอันไม่พึงปรารถนา 2) โสรจั จะ คือ ความสงบเสงี่ยม  เม่อื มีความอดทนแล้ว กต็ ้องพยายามสงบใจ ทำ� ใจใหเ้ ยน็ ลงดว้ ยอุบายอันชอบ เมอ่ื ใจสงบแลว้ กิริยาวาจาทแี่ สดงออกมาก็จะสงบเสงยี่ มเหมือน ไม่มีอะไรเกดิ ขนึ้ เมอื่ เปน็ เชน่ นีค้ วามงามทกุ สว่ นของตนทเี่ คยมอี ยูก่ ็จะไมเ่ สอ่ื ม จะคงความงดงาม อยู่และคงชนะใจของคนอ่นื ไดเ้ ป็นอย่างด ี ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การควรประยุกต์ใช้หลักขันติโสรัจจะ ในการบริหารตน เพื่อ “การครองตน” ที่ดี โดยเป็นผู้ท่ีมีปกติภาพสงบเสงี่ยม ดูดีมีบุคลิกอัน งดงามและจะสามารถชนะใจของผู้ใตบ้ งั คบั บญั ชาหรือผูต้ ามไดเ้ ปน็ อยา่ งด ี 1.3 สติสัมปชัญญะ (SatiSampajañña: mindfulness and clear comprehension) หมายถึง ธรรมมีอุปการะมาก เป็นธรรมที่เก้ือกูลในกิจหน้าที่หรือในการท�ำความดีทุกอย่าง มี 2 ประการ ดังน้ี (ท.ี ปา. 11/378/290; องฺ.ทุก. 20/424/119) 1) สติ คอื ความระลกึ ได้ เป็นความนึกได้กอ่ นท�ำ ก่อนพูด กอ่ นคดิ นึกไดก้ อ่ น แล้วจึงท�ำ จึงพูด จึงคิด อันน้ีเป็นลักษณะของสติ สติเป็นเครื่องก�ำจัดความประมาทหรือความ เลนิ เลอ่ เมอ่ื บคุ คลใดมสี ติ บคุ คลนนั้ กจ็ ะไมป่ ระมาท บคุ คลทท่ี ำ� พลาด พดู พลาด คดิ พลาด อนั นเ้ี ปน็ เพราะการขาดสติ 2) สมั ปชัญญะ  คอื ความร้ตู ัว  เป็นไปในกจิ อนั เดียวกันกบั สติ แต่โดยอาการ ตา่ งกนั ความรูต้ ัวในเวลาก�ำลงั ท�ำ กำ� ลงั พดู ก�ำลงั คดิ น้ีเปน็ ลกั ษณะของสัมปชญั ญะ บคุ คลที่เดินไป สะดดุ ก้อนหิน ท่อนไม้ โดนโน่นโดนน่ี ยนื ไมต่ รง หรือจะพูดอะไร คดิ อะไร ยัง้ ไม่อยู่ มกั ผดิ พลาด อันนเ้ี ปน็ เพราะขาดสัมปชัญญะ

504 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การควรประยุกต์ใช้หลักสติสัมปชัญญะใน การบรหิ ารตน เพ่ือ “การครองตน” ท่ีดี เพราะการมหี ลกั สตสิ ัมปชัญญะน้ัน เม่อื จะท�ำ จะพูด และ จะคิดอะไร และกำ� ลงั ท�ำ กำ� ลงั พดู และก�ำลังคิดอะไร มักจะไม่ค่อยผิดพลาด เพราะสตสิ มั ปชัญญะ เป็นพหุปการธรรม คอื ธรรมมีอุปการะมาก ทช่ี ่วยค้มุ ครองป้องกันไม่ใหผ้ ิดพลาด และชว่ ยใหก้ าร ปฏิบตั ติ ามหลกั ธรรมข้ออนื่ ๆ เปน็ ได้โดยงา่ ยดว้ ย 1.4 สุจริต (Sucarita: good conduct) คือ ความประพฤติดี หรือความประพฤติชอบ มี 3 ประการ โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี (ท.ี ปา. 11/228/227; อภ.ิ ส.ํ  34/840/327) 1) กายสุจริต (Kāya- sucarita : good conduct in act) คือ ความประพฤติ ชอบด้วยกาย หมายถึง การงดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับ ปาณาติบาต อทินนาทาน และ กาเมสุมจิ ฉาจาร มี 3 ประการ ดงั นี้ 1.1) การงดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับปาณาติบาต คือ เว้นจากการ ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ และเบียดเบียนสัตว์ หมายถึง ต้ังใจไม่ท�ำความชั่วทางกาย  เม่ือไม่ฆ่าสัตว์ แล้วยังต้องช่วยเหลือชีวิตสัตว์ที่เจ็บป่วยให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน เพื่อจะได้มีชีวิตท่ียืนยาว ตอ่ ไป ไมท่ รมานสัตวใ์ ห้ไดร้ บั ความทุกขท์ รมาน  ไม่เบียนเบยี นสัตวใ์ ห้ได้รับความเดอื ดร้อน   1.2) การงดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับอทินนาทาน คือ เว้นจากการ ลักทรัพย์ หมายถึง การตั้งใจไม่ลักทรัพย์ของผู้อ่ืนมาเป็นของตน แล้วยังต้องประพฤติดีโดยการ ให้ทาน น�ำทรัพย์สมบัติเงินทองของตนมาบริจาค แบ่งปัน หรือช่วยเหลือเก้ือกูลผู้ที่ได้รับความ เดือดร้อนให้สามารถบรรเทาความทุกข์ลงได้ หรือบริจาคให้กับผู้ท่ีควรบริจาค หรือน�ำไปบริจาค เพื่อสรา้ งสาธารณประโยชน์อ่นื ๆ ฯลฯ 1.3) การงดเว้นและประพฤตติ รงข้ามกับกาเมสุมจิ ฉาจาร คอื เว้นจากการ ประพฤติผิดในกาม หมายถึง ต้ังใจไม่น�ำกายไปท�ำผิด ไม่เป็นชู้สู่สมกับสามีหรือภรรยาของผู้อ่ืน มีความซ่ือสัตย์ไม่นอกใจในสามีหรือภรรยาของตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้สามีหรือภรรยาผู้อ่ืน แตกแยกกนั ไมบ่ งั คบั ขูเ่ ขญ็ หรือเป็นธุระจดั หาหญงิ เปน็ นายหน้าในการค้าประเวณี นอกจากนนั้ ยงั ตอ้ งสง่ เสริมใหค้ ูส่ ามีภรรยา รักใครป่ รองดอง อยดู่ ว้ ยกันอยา่ งอบอุน่ และมีความสขุ 2) วจีสจุ รติ (Vacī- sucarita : good conduct in word) คือ ความประพฤติชอบ ด้วยวาจา หมายถึง การงดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับ มุสาวาท ปิสุณวาจา ผรุสวาจา และ สัมผปั ปลาปะ มี 4 ประการ ดงั นี้ 2.1) การงดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับมุสาวาท คือ เว้นจากการพูดเท็จ หมายถงึ ตงั้ ใจจะไมพ่ ดู ปดหรอื หลอกลวงเอาทรพั ยส์ มบตั เิ งนิ ทองของผอู้ น่ื มาเปน็ ของตน  ไมพ่ ดู ปด หรอื หลอกลวงเพอื่ ทำ� รา้ ยหรอื ทำ� ลายชวี ติ ผอู้ น่ื   พดู แนะนำ� ใหผ้ อู้ นื่ มคี วามสามคั ครี กั ใครป่ รองดอง กันพูดเชิญชวนใหร้ ว่ มกนั บรจิ าคทรัพย์เป็นทานใหแ้ ก่ผ้ทู เ่ี ดอื ดรอ้ น หรือผดู้ อ้ ยโอกาสอื่น ๆ 2.2) การงดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับปิสุณวาจา คือ เว้นจากการพูด ส่อเสียด หมายถึง ไม่พูดเยาะเย้ย ถากถางเสียดสี เปรียบเปรยท�ำให้ผู้อ่ืนเสียชื่อเสียง หรือพูดยุยง ส่งเสริมให้ผู้อื่นทะเลาะวิวาทกัน  เกิดความแตกแยกหรือขาดความสามัคคีในหมู่คณะ ควรใช้ วาจาที่สุภาพอ่อนโยน ไม่ให้กระทบกระเทือนใจผู้ฟัง ให้เกียรติและช่วยกันรักษาช่ือเสียงของ

Research in Educational Administration • 505 หมู่คณะ จะได้อยู่รว่ มกนั อยา่ งร่มเยน็ เป็นสุข 2.3) การงดเว้นและประพฤติตรงข้ามกับผรุสวาจา คือ เว้นจากการพูด ค�ำหยาบ หมายถึง การใช้วาจาสุภาพ ไพเราะ อ่อนหวาน พูดแต่เร่ืองท่ีดีมีประโยชน์  ไม่พูดดูถูก เหยียดหยามหรือประณามให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง หรือลบลู่ดูหม่ินผู้อ่ืน พูดแต่เรื่องท่ีเป็นสิริมงคล ไมพ่ ดู เปรียบเทยี บใหผ้ ู้อืน่ รสู้ ึกเสียใจ ขุ่นเคือง โกรธแค้น อาฆาตพยาบาท ปอ้ งรา้ ย จนเปน็ เหตุให้ เกิดการทะเลาะวิวาทกนั   2.4) การงดเวน้ และประพฤตติ รงขา้ มกบั สมั ผปั ปลาปะ คอื เวน้ จากการพดู เพอ้ เจอ้  หมายถงึ ไมพ่ ดู เรอ่ื งไรส้ าระ ไมพ่ ดู พลอ่ ย ๆ ไมพ่ ดู เรอ่ื งทไี่ มเ่ ปน็ ประโยชน์ ตอ้ งรจู้ กั กาลเทศะ ว่า  เวลาใดควรพูดเร่ืองใด ควรพูดในที่ใด ไม่พูดท�ำร้ายหรือท�ำลายช่ือเสียงของผู้อ่ืนให้เสื่อมเสีย ไม่พูดยยุ งสง่ เสรมิ ใหผ้ ูอ้ น่ื ทะเลาะวิวาทกนั พูดแต่เรอ่ื งท่ดี มี ีประโยชนท์ งั้ ต่อตนเองและผู้อนื่ 3) มโนสุจริต (Mano - sucarita : good conduct in thought) คอื ความประพฤติ ชอบดว้ ยใจ หมายถึง การประพฤติตรงตามหลักอนภชิ ฌา อพยาบาท และสมั มาทฏิ ฐิ มี 3 ประการ ดงั นี้ 3.1) การประพฤตติ รงตามหลักอนภิชฌา คอื การไม่โลภอยากได้ หมายถงึ ผู้ท่ีมีจิตใจที่ไม่คิดอยากได้ส่ิงของของผู้อ่ืน เพราะรู้ว่าความโลภเป็นกิเลส เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ กลับคิดช�ำระกิเลสความโลภโดยการแบ่งปันหรือบริจาคทรัพย์สินเงินทองท่ีมีอยู่ให้แก่ผู้ท่ีด้อย โอกาสตามความเหมาะสม หรอื บรจิ าคใหส้ รา้ งสาธารณประโยชนอ์ น่ื ๆ เพอื่ ใหพ้ น้ จากความตระหนี่ ลมุ่ หลงมัวเมาในทรพั ย์สมบตั  ิ ไมห่ ลงใน ลาภ  ยศ  สรรเสริญ  สขุ และไมห่ ลงใน รปู เสยี ง กล่นิ รส สมั ผสั ธรรมารมณ ์ 3.2) การประพฤติตรงตามหลักอพยาบาท คือ การไม่พยาบาทปองร้าย หมายถึง การมีเมตตา คือ ความรัก มีกรุณา คือ ความสงสารผู้อ่ืน ให้อภัยในการท�ำผิดพลาด ไมค่ ดิ อาฆาตพยาบาทหรอื ปองรา้ ย ไมค่ ดิ จองเวรผอู้ น่ื กลบั คดิ หาทางชว่ ยเหลอื ใหเ้ ขากลบั ตวั กลบั ใจ เป็นคนดเี ท่าทีส่ ามารถจะช่วยได้  เพอื่ ใหเ้ ขามคี วามสขุ กายสขุ ใจ 3.3) การประพฤติตรงตามหลักสัมมาทิฏฐิ คือ ไม่เห็นผิดจากครรลอง คลองธรรม หมายถึง ไม่ลังเลสงสัยในค�ำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่ือว่าท�ำดี ได้ดี ท�ำช่ัวได้ชั่ว เช่ือเรื่องกฎแห่งกรรม เช่ือเร่ืองชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้ามีจริง เชื่อว่ามนุษย์ ทุกคนมีกิเลสครอบง�ำจิต คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ มีจิตใจที่ เศรา้ หมอง และเหน็ วา่ คำ� สอนของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ สามารถช�ำระกเิ ลสให้หมดสน้ิ จากจติ ใจได้ ผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ ารควรประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั สจุ รติ ในการบรหิ าร ตน เพื่อ “การครองตน” ทีด่ ี เพราะการประพฤติสจุ รติ ท้ัง 3 ประการดังกลา่ วขา้ งต้น ถือไดว้ ่า เป็น ผู้ประพฤติชอบด้วยกาย จะกระท�ำส่ิงใด ก็จะกระท�ำเฉพาะสิ่งท่ีดีงามถูกต้อง ละเว้นการบีบคั้น เบียดเบียน มเี มตตากรณุ า ชว่ ยเหลอื เก้อื กลู สงเคราะหก์ นั ไมแ่ ยง่ ชิงลักขโมย หรือเอารัดเอาเปรียบ แต่เคารพสิทธิในทรัพย์สินของกันและกัน ไม่ประพฤติผิดล่วงละเมิดในของรักของหวงของผู้อ่ืน ไม่ข่มเหงจิตใจ หรือท�ำลายลบหลู่เกียรติและวงศ์ตระกูลของผู้อื่น เป็นผู้ประพฤติชอบด้วยวาจา จะพูดแต่ส่ิงที่ดีงามถูกต้อง ละเว้นการพูดเท็จ โกหกหลอกลวง กล่าวแต่ค�ำสัตย์ ไม่จงใจพูดให้ผิด

506 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา จากความจรงิ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ใด ๆ ไมพ่ ดู สอ่ เสยี ด ยยุ ง สร้างความแตกแยก พูดแตค่ ำ� ท่ี ส่งเสรมิ สามคั คี ละเว้นจากการพูดคำ� หยาบคาย พูดแตค่ ำ� สภุ าพ นุ่มนวลควรฟงั รวมถึงละเว้นจาก การพูดเหลวไหลเพ้อเจอ้ พูดแตค่ �ำจริง มีเหตุมผี ล มสี ารประโยชน์ และถูกกาลเทศะ และเป็นผคู้ ิด ในสง่ิ ท่ดี ีงามถกู ตอ้ ง ไม่ละโมบ ไมเ่ พ่งเลง็ คิดหาทางเอาแตจ่ ะได้ คดิ ให้ คิดเสียสละ ทำ� ใจให้เผ่ือแผ่ กวา้ งขวาง ไม่คิดรา้ ยม่งุ เบยี ดเบียน หรอื เพง่ มองในแงท่ ีจ่ ะทำ� ลาย แตต่ ง้ั ความปรารถนาดี แผ่ไมตรี มงุ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ขุ แกผ่ อู้ น่ื มคี วามเหน็ ถกู ตอ้ ง เปน็ สมั มาทฎิ ฐิ เขา้ ใจในหลกั กรรมวา่ ทำ� ดมี ผี ลดี ทำ� ชว่ั มผี ลชว่ั รเู้ ทา่ ทนั ความจรงิ ทเี่ ปน็ ธรรมดาของโลกและชวี ติ มองเหน็ ความเปน็ ไปตามเหตปุ จั จยั 1.5 อธิปไตย (Adhipateyya: supremacy) คือ หลักความเป็นใหญ่ หมายถึง หลักการ ปกครอง หรืออ�ำนาจที่มีผลต่อการตัดสินใจ มี 3 ประการ ดังน้ี (ที.ปา. 11/228/231; องฺ.ติก. 20/479/186) 1) อัตตาธิปไตย คือ ถือตนเป็นใหญ่ หมายถึง หลักการปกครองที่ยึดถือ ความเหน็ ของคน ๆ เดยี ว คนกลุม่ เดยี ว หรอื ถอื ตามเสยี งข้างนอ้ ย ในลักษณะเผดจ็ การ 2) โลกาธิปไตย  คือ ถือโลกเป็นใหญ่ หมายถึง หลักการปกครองที่ถือ ความคดิ เห็นของคนหมู่มากหรือคนสว่ นใหญ่ โดยถอื หลกั การทเ่ี นน้ สทิ ธขิ องปจั เจกชน 3) ธรรมาธิปไตย คือ ถือธรรมเป็นใหญ่ หมายถึง หลักการปกครองท่ีถือ ความคิดเห็นที่มีเหตุผลที่ถูกต้อง อันไม่ขัดต่อความรู้สึกผิดชอบช่ัวดีที่สามารถรับรู้ได้ท่ัวไป โดยถือหลกั การที่เนน้ สทิ ธสิ ังคม ในอธิปไตยน้ี ผู้ถืออัตตาธิปไตย พึงใช้สติให้มาก ผู้ถือโลกาธิปไตย พึงมีปัญญา รู้จักพินิจพิจารณา ผู้ถือธรรมาธิปไตย พึงประพฤติธรรม ผู้เป็นหัวหน้าและผู้เป็นนักปกครอง พึงถอื ธรรมาธิปไตย ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักอธิปไตย ในการบริหารตน เพ่ือ “การครองตน” ท่ีดี และเป็นต้นแบบทางด้านการปกครอง การบริหาร และ/หรือการน�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ซ่ึงจะท�ำให้ได้รับความร่วมมือจากผู้ท่ีอยู่ร่วมกันในการ บริหารและ/หรอื การน�ำสถานศึกษาหรือองค์การให้ประสบความส�ำเร็จ 1.6 ไตรสิกขา (Sikkhā: three studies/the Threefold Training) คือ ขอ้ ท่จี ะตอ้ งศกึ ษา หรือ ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักส�ำหรับศึกษา หมายถึง การฝึกหัดอบรมกาย วาจา จิตใจ และปัญญา ให้ยิ่งข้นึ ไปจนบรรลจุ ุดหมายสูงสดุ คอื พระนิพพาน อาจเรยี กง่าย ๆ ว่า ศลี สมาธิ ปญั ญา มีหลัก ปฏิบตั ิ 3 ประการ ดงั น้ี (ที.ปา. 11/228/231; องฺ.ตกิ . 20/521/294) 1) อธสิ ีลสกิ ขา (Adhisīla-sikkhā: training in higher morality) คอื สิกขาคอื ศีลอันย่ิง หมายถึง ข้อปฏิบัติส�ำหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง โดยเป็นการแสดง ออกถึงการมีความประพฤติดีทั้งทางกาย และวาจา มีการด�ำรงตนด้วยดีในสังคม รักษาระเบียบ วินยั ปฏบิ ัติหนา้ ทีท่ ถ่ี กู ตอ้ ง มคี วามรบั ผิดชอบทางสงั คม มกี ารเออ้ื ต่อการทท่ี กุ ๆ คนจะสามารถ ด�ำเนินชีวิตที่ดีงามหรือประพฤติปฏิบัติในทางท่ีดีที่ถูกต้อง มีองค์ประกอบ 5 ประการได้แก่ เว้นปาณาติบาต เวน้ อทนิ นาทาน เว้นกาเมสุมิจฉาจาร เวน้ มุสาวาท และ เว้นสรุ าและเมรัย โดยแต่ ละอย่างมนี ยิ ามศพั ท์ ดงั น้ี

Research in Educational Administration • 507 1.1) เวน้ ปาณาตบิ าต หมายถงึ การเวน้ จากการฆ่า การเบียดเบยี นหรือการ ทำ� รา้ ยผู้อนื่ และสัตว์อน่ื ปฏิบัตติ ่อผอู้ นื่ และสัตวอ์ น่ื ดว้ ยจิตใจเมตตากรุณา คอื ด้วยความปรารถนา ท่ีจะให้ผู้อื่นเป็นสุขและพ้นทุกข์ เป็นการปฏิบัติต่อกันด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน โดยการไม่คิด ประหัตประหารกนั รูจ้ ักเอาใจเขามาใสใ่ จเรา และรจู้ ักอภยั ให้แก่กัน ไม่ถอื โทษโกรธพยาบาทและ จองเวรกนั 1.2) เว้นอทินนาทาน หมายถึง การเว้นจากการลักขโมย ปล้นจี้ ฉกชิง ฯลฯ มนี �ำ้ ใจโอบออ้ มอารีเผ่ือแผ่ เสียสละความสขุ สว่ นตวั และ/หรอื แบง่ ปนั ทรพั ยส์ ินของตนให้ เปน็ ทานเพอ่ื อนเุ คราะหแ์ ละสงเคราะหผ์ ู้อ่ืน 1.3) เวน้ กาเมสมุ จิ ฉาจาร หมายถงึ การเวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ลว่ งละเมดิ ลูกเมียผู้อ่ืน หรือของรักของหวงของผู้อื่น และมีความส�ำรวมระวังความคิด การพูด และ การกระท�ำทไี่ ปละเมดิ ของรักของหวงของผ้อู ่นื ใหต้ อ้ งเป็นทกุ ขเ์ ดือดรอ้ น 1.4) เวน้ มุสาวาท หมายถงึ การเวน้ จากการพดู เทจ็ พดู คำ� หยาบ พดู สอ่ เสยี ด พูดเพ้อเจ้อ ไม่เจา้ เลห่ ต์ ลบตะแลง อำ� พราง หลอกลวงผ้อู นื่ 1.5) เว้นสุราและเมรัย หมายถึง การเว้นจากการเสพสุราและเมรัย หรือ งดเว้นจากการกนิ ดื่ม เครื่องดองของเมาอนั เปน็ เหตใุ หป้ ระมาทขาดสติ 2) อธจิ ิตตสิกขา (Adhicitta-sikkhā: training in higher mentality) คือ สกิ ขา คอื จติ อนั ยงิ่ หมายถึง ข้อปฏบิ ตั สิ ำ� หรับฝกึ หดั อบรมจติ เพอ่ื ใหเ้ กดิ คณุ ธรรม เช่น สมาธิอย่างสงู โดย เปน็ การแสดงออกถงึ การมคี วามมงุ่ มนั่ หรอื ความตงั้ ใจมนั่ ในการประกอบความเพยี ร4ประการดงั นี้ 2.1) สังวรปธาน หมายถึง เพียรระวังที่จะปิดก้ันความช่ัว ไม่กระท�ำชั่ว ระวังบาปอกศุ ลท่ยี ังไม่เกดิ มใิ หเ้ กิดข้นึ 2.2) ปหานปธาน หมายถึง เพยี รเลิกละความชั่วทีก่ �ำลังกระทำ� อยู่ ละบาป อกุศลทเ่ี กิดข้นึ แล้ว 2.3) ภาวนาปธาน หมายถงึ เพยี รทำ� ความดีทย่ี งั ไมเ่ กิด ให้เกดิ มขี ึน้ 2.4) อนุรกั ขนาปธาน หมายถึง เพียรรกั ษาความดีที่ไดก้ ระท�ำไวแ้ ลว้ และ ท�ำความดีให้มากขึ้น โดยนยั นี้ การประกอบความเพยี รจึงตอ้ งอาศยั สมาธิ และสมาธิตอ้ งอาศัย ฉันทะ วิรยิ ะ จิตตะ และวิมังสา ที่เรยี กว่า ฉันทสมาธิ วริ ยิ สมาธิ จติ ตสมาธิ และวิมังสาสมาธิ คอื สมาธิท่ีมฉี ันทะ วิริยะ จติ ตะ และวมิ ังสา เปน็ เหตุให้เกดิ ข้นึ 3) อธิปัญญาสิกขา (Adhipaññā-sikkhā: training in higher morality) คือ สิกขาคือปัญญาอันย่ิง หมายถึง ข้อปฏิบัติส�ำหรับฝึกอบรมปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง โดยเปน็ การแสดงออกถงึ การมีความรอบรู้ มี 2 ระดับ ดังนี้ 3.1) โลกยิ ปญั ญา หมายถงึ ปญั ญาทเ่ี กดิ รว่ มกบั โลกยี จติ ไดแ้ ก่ สตุ มยปญั ญา จินตามยปัญญา  และภาวนามยปัญญา ท่ียังมีอาสวกิเลส  (พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุ.อุ. เล่ม 1/3/111) เป็นปัญญาระดับต้น เช่น เรารู้จักให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็ได้อาศัย โลกิยปัญญาก่อน เม่ือปฏิบัติจนสมควรแก่ธรรมแล้ว โลกุตตรปัญญาจึงจะเกิดขึ้น ก�ำจัดกิเลสไป

508 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา ตามก�ำลังอ�ำนาจแห่งปัญญานั้น ๆ หรือเป็นปัญญาเห็นชอบเบื้องต้น คือ เห็นชอบตามท�ำนอง คลองธรรม เชน่ เห็นวา่ ทำ� ดีได้ดที �ำช่ัวไดช้ วั่ โดยเปน็ ความเหน็ หรอื ความรอบร้เู รอ่ื งภายในตนเอง และเรื่องภายนอก ท่ีเกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลก เช่น รู้หลักวิชาการต่าง ๆ รู้ส่ิงแวดล้อม รู้สังคม รู้ความเป็นไปของโลก รู้เท่าทันสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง ปัญญาระดับน้ี เม่ือคิดว่า ตนรู้มาก กอ็ าจเกดิ ความหลงมาก เกดิ อตั ตา เยอ่ หยิง่ จองหอง ทนงตน ยกตนข่มผู้อ่ืน 3.2) โลกุตตรปญั ญา หมายถึง ปญั ญาทีเ่ กดิ ร่วมกบั โลกุตตรจติ เป็นปัญญา ท่ีอยู่เหนือวิสัยโลกท่ัวไป เป็นปัญญาท่ีประกอบด้วยมรรคและผล (พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุ.อุ. เล่ม 1/3/406) คือปัญญาที่รู้เห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง หรือท่ีรู้แจ้งเห็นจริงใน “ไตรลักษณ์” คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปัญญาระดับนี้ เมื่อผู้ใดมีมากก็ละกิเลสได้มาก ปล่อยวางไดม้ าก มีน้อยกล็ ะไดน้ อ้ ย ปล่อยวางไดน้ อ้ ย ผูบ้ ริหารและ/หรอื ผนู้ �ำสถานศึกษาหรอื องค์การ ควรประยกุ ตใ์ ช้หลกั ไตรสกิ ขาในการ บรหิ ารตน คือ เป็นผ้มู กี ารฝึกหัดอบรมกาย วาจา จติ ใจ และปัญญา เพ่ือ “การครองตน” ที่ดี มกี าร แสดงออกถงึ คา่ นยิ มทางศลี ธรรมและมคี วามกลา้ หาญทจ่ี ะยดึ คา่ นยิ มทางศลี ธรรมในการใหบ้ รกิ าร ที่ดีต่อสว่ นรวม อีกทั้งเปน็ ต้นแบบท่ีดใี นการจงู ใจใหผ้ ู้ใต้บังคับบญั ชามองไกลไปกว่าผลประโยชน์ ส่วนตัวโดยมองไปท่ีผลประโยชน์ของสถานศึกษาหรือองค์การหรือของส่วนรวมแทน ซ่ึงถือว่า เป็นการยกระดับคุณธรรมจรยิ ธรรมของตนและผู้ใต้บังคับบญั ชาให้สงู ขึน้ 1.7 กุศลมูล (Kusala-mūla: roots of good actions) คอื รากเหงา้ ของกศุ ล หรอื ต้นตอ ของความดี มี 3 ประการ ดังนี้ (ที.ปา. 11/394/292) 1) อโลภะ คือ ความไม่โลภ หมายถงึ ความเปน็ ผูไ้ มม่ คี วามทะยานอยาก เป็น ผู้ท่ีมสี ตริ ะลกึ รูต้ ัวอยู่เสมอไม่ว่าจะกระทำ� สงิ่ ใด ๆ ก็ตาม มแี ตค่ วามยินดีและพอใจในสงิ่ ท่ีตนมอี ยู่ เทา่ นน้ั อโลภะตรงขา้ มกบั จาคะ การปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผมู้ อี โลภะนน้ั จะตอ้ งปฏบิ ตั ธิ รรมทต่ี รงกนั ขา้ ม กบั โลภะ เชน่ จาคะ (การบริจาค/การเสียสละ) ทาน (การให)้ สนั โดษ (ความพงึ พอใจในสงิ่ ท่หี ามา ได้ด้วยความถกู ตอ้ งและชอบธรรม) ฯลฯ 2) อโทสะ คือ ความไม่คิดประทุษร้าย หมายถึง ความไม่คิดประทุษร้าย ไม่โกรธ ไม่ผูกพยาบาท จะท�ำอะไรก็มีสติรู้สึกตัวอยู่เสมอ ใช้ปัญญาในการประกอบการตัดสินใจ เกย่ี วกบั เรอ่ื งตา่ ง ๆ อโทสะตรงขา้ มกบั เมตตา การปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผมู้ อี โทสะนน้ั จะตอ้ งปฏบิ ตั ธิ รรมที่ ตรงกนั ขา้ มกบั โทสะ เชน่ เมตตา (ความปรารถนาใหผ้ อู้ นื่ เปน็ สขุ ) กรณุ า (ความสงสารคดิ จะชว่ ยให้ ผอู้ น่ื พ้นทุกข์) อโกธะ (ความไม่โกรธ) อพยาบาท (ความไมค่ ิดปองร้ายผู้อืน่ ) อวหิ งิ สา (ความไม่คดิ เบยี ดเบียน) ตีติกขาขนั ติ (ความอดทนต่อความเจ็บใจ) ฯลฯ 3) อโมหะ คอื ความไม่หลง หมายถึง ความไม่หลงงมงาย ไม่ประมาทอนั เป็น สาเหตุให้เกิดความช่ัวท้ังปวง เป็นผู้มีสติปัญญาม่ันคง ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองโดยยึดหลัก เหตุผล เมอ่ื มีอโมหะเกดิ ขนึ้ กบั ตัวแลว้ โลภะ โทสะ และโมหะ ก็มอิ าจเกดิ ขึ้นได้ อโมหะตรงขา้ ม กับปัญญา การปฏิบัติตนเปน็ ผมู้ อี โมหะน้นั จะตอ้ งปฏบิ ัตธิ รรมทีต่ รงกนั ข้ามกบั โมหะ เชน่ ปญั ญา (ความรอบรู้ในสิ่งท่เี ป็นประโยชน์และไม่เปน็ ประโยชน)์ พาหุสจั จะ (ความเปน็ ผศู้ กึ ษารับฟังมาก) วมิ งั สา (ความหมน่ั ตรกึ ตรองพจิ ารณา) สทั ธา (ความเชอ่ื ในสง่ิ ทคี่ วรเชอื่ ) โยนโิ สมนสกิ าร (การรจู้ กั

Research in Educational Administration • 509 ตรกึ ตรองใหร้ จู้ กั ดชี ว่ั ) ฯลฯ ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักกุศลมูลใน การบรหิ ารตน เพอื่ “การครองตน” ทด่ี ี โดยประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นใหเ้ ปน็ ตน้ ทางหรอื ตน้ ตอของความดี มีจาคะ คือ การเสียสละ มีเมตตา คือ ความปรารถนาดี และมีปัญญาคือความรอบรู้ ซึ่งจะ เป็นต้นแบบที่ดีในการจูงใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาด�ำเนินกิจการงานต่าง ๆ ตามเส้นทางแห่งความดี โดยเรมิ่ ที่ต้นทางหรือต้นตอแห่งความดี 1.8 บุญกิริยาวัตถุ (Puññakiriyā-vatthu: bases of meritorious action) คือ ที่ต้ังแห่ง การทำ� บญุ หมายถงึ วิธกี ารท�ำความดี หรือหลกั การท�ำความดี หรือทางท�ำความดี มี 3 ประการ ดังนี้ (ท.ี ปา. 11/228/230; องฺ.อฏฺก. 23/126/245; ขุ.อติ .ิ  25/238/270)         1) ทานมัย คอื การท�ำบุญด้วยการให้  คำ� วา่ ทาน หมายถงึ การให้โดยไม่หวงั ผลตอบแทน มี 3 ประการ ไดแ้ ก ่ 1) อามสิ ทาน คอื การใหว้ ตั ถสุ งิ่ ของแกค่ นทคี่ วรให ้  2) ธรรมทาน คือ การให้ธรรม หมายถึง การให้ค�ำแนะน�ำสั่งสอนให้รู้บาปบุญ คุณโทษ  และ 3) อภัยทาน คือ การใหอ้ ภยั หมายถงึ การใหค้ วามปลอดภยั การไมเ่ อาโทษหรอื ไมถ่ อื โทษโกรธเคอื ง และการลดโทษ         2) สีลมยั คือ ท�ำบุญดว้ ยการรกั ษาศลี หมายถงึ การประพฤติแตส่ ง่ิ ทดี่ ีงาม ทางกาย วาจา มีระเบยี บวนิ ยั โดยบคุ คลทั่วไปอยา่ งนอ้ ยต้องรกั ษาศีล 5 อบุ าสกอบุ าสิกา (ผใู้ กลช้ ิด พระพุทธศาสนา) รักษาศีล 8 สามเณรรักษาศีล 10 และพระสงฆร์ กั ษาศลี 227          3) ภาวนามยั คอื ทำ� บญุ ดว้ ยการเจรญิ ภาวนา หมายถงึ การฝกึ ฝนจติ ใจใหส้ งบเยอื กเยน็ เพอื่ เปน็ พนื้ ฐานใหเ้ กดิ ปญั ญาทจ่ี ะรแู้ จง้ ในสจั ธรรมการภาวนามสี องวธิ ีไดแ้ ก่1)สมถภาวนา(วธิ กี าร ฝกึ อบรมจิตใจเกิดความสงบ) และ 2) วปิ ัสสนาภาวนา (วิธีฝึกอบรมปัญญาใหเ้ กดิ ความรูแ้ จง้ ) ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักบุญกิริยาวัตถุ ในการบริหารตน เพื่อ “การครองตน” ที่ดี โดยเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตามหลักการท�ำความดี คือ ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ซ่ึงจะเป็นต้นแบบทางสังคมท่ีดีในการจูงใจให้ผู้เก่ียวข้อง ท�ำความดีด้านการให้ทานหรือด้านการเป็นผู้ให้เพื่อเป็นการช�ำระจิตใจของผู้ให้ให้บริสุทธ์ิ ด้าน การรักษาศีลเพื่อส่งเสริมให้มีการประพฤติปฏิบัติดีและเกิดสันติสุขในสังคม และด้านการ เจริญภาวนาเพ่ือให้สังคมมีสุขภาพจิตท่ีดีและมีการท�ำงานท่ีดีข้ึน อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการบริหารและ/หรอื การนำ� สถานศึกษาใหป้ ระสบความส�ำเรจ็ 1.9 โกศล (Kosalla: proficiency) คือ ความฉลาด หรือความเชี่ยวชาญของบุคคล มี 3 ประการ ดังน้ี (ที.ปา. 11/228/231; อภิ.วิ. 35/807/439) 1) อายโกศล คือ ความฉลาดในความเจริญ หมายถึง ความรอบรู้ทางเจริญ และเหตุของความเจริญ 2) อปายโกศล คือ ความฉลาดในความเสื่อม หมายถงึ ความรอบรทู้ างเส่ือม และเหตุของความเส่ือม 3) อปุ ายโกศล คอื ความฉลาดในอบุ าย หมายถงึ ความรอบรวู้ ธิ แี กไ้ ขเหตกุ ารณ์ และวธิ ที ่จี ะทำ� ให้สำ� เรจ็

510 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา ผู้บริหารและ/หรอื ผูน้ ำ� สถานศึกษาหรือองคก์ าร ควรประยกุ ตใ์ ชห้ ลักโกศลในการบรหิ าร ตน เพอ่ื “การครองตน” ท่ีดี โดยเป็นผูใ้ ช้ความรอบรู้ หรือความเชีย่ วชาญ ซง่ึ จะเป็นตน้ แบบในการ บริหารและ/หรือการน�ำสถานศึกษาอย่างชาญฉลาด อันจะน�ำไปสู่ความเจริญและการบรรลุความ ส�ำเร็จตามวัตถปุ ระสงคห์ รอื เปา้ หมายของสถานศึกษา 1.10 ปญั ญา (Paññā: wisdom) คอื ความรอบรู้ หมายถงึ ปญั ญาทมี่ บี อ่ เกดิ หรอื ทางเกดิ อาจจำ� แนกตามบ่อเกดิ หรอื ทางเกดิ ได้ 3 ประการ ดงั น้ี (ท.ี ปา. 11/228/231; อภิ.วิ. 35/804/438) 1) สุตมยปัญญา คือ ปัญญาท่ีเกิดจากการฟัง หมายถึง การมีการศึกษาหรือ พฒั นาตนเองด้วยการศึกษาเลา่ เรยี นดว้ ยวิธีการต่าง ๆ เชน่ ฟงั การอบรม ฟงั การบรรยาย ฟังการ อภปิ ราย ฟงั การเสวนา ฟงั การระดมสมอง อา่ นตำ� ราหรอื เอกสารตา่ ง ๆ ดแู ละฟงั จากสอื่ ตา่ ง ๆ ฯลฯ การฟังหรือการศึกษาเล่าเรียนนี้เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฟังหรือการศึกษา เลา่ เรียนนี้ เรยี กวา่ สตุ มยปัญญา 2) จินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดหรือการพิจารณาหาเหตุผล ค�ำว่า จินตา คือ การคิด หมายถึง การมีความคิดท่ีเป็นระบบถูกต้อง ความคิดที่ละเอียดลึกซ้ึง ความคิดแบบแยบคาย ท่ีเรียกวา่ ความคิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร ซ่งึ เป็นบอ่ เกิดแห่งปญั ญา ปัญญาท่ี เกดิ จากการคิดน้ี เรียกวา่ จนิ ตามยปญั ญา  3) ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาท่ีเกิดจากการฝึกอบรมลงมือปฏิบัติ ค�ำว่า ภาวนา คือ การฝึกฝนอบรมตนเองให้มีการพัฒนาข้ึน หมายถึง การได้ฝึกกายและใจของตนเอง อย่างชัดแจ้ง เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างกายกับใจ เมื่อทราบว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ก็มีการ ฝึกใจควบคมุ ใจ ให้มีความสงบสมำ�่ เสมอ สามารถน�ำไปตรึกตรองเรอื่ งราวต่าง ๆ ไดอ้ ย่างแตกฉาน เป็นระบบ สงบ ไม่วนุ่ วาย ท�ำงานไดผ้ ล มปี ระสิทธภิ าพ มีความสุขกับการทำ� งาน ปญั ญาทเี่ กดิ จาก การฝกึ อบรมตนเองน้ี เรียกวา่ ภาวนามยปัญญา  ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักปัญญาใน การบริหารตน เพ่ือ “การครองตน” ที่ดี โดยเป็นผู้พัฒนาตนให้มีความรอบรู้หรือมีปัญญา และ สามารถใช้ปัญญาในการบริหารและ/หรือน�ำสถานศึกษาหรือองค์การอย่างมีเหตุผลและรู้เท่าทัน สถานการณค์ วามเปล่ียนแปลง 1.11 อปัณณกปฏปิ ทา (Apaṇṇaka-paṭipadā: sure practice) คือ ข้อปฏบิ ตั ทิ ่ไี มผ่ ดิ หรือ ปฏิปทาที่เป็นส่วนแก่นสารเนื้อแท้ ซึ่งจะน�ำผู้ปฏิบัติไปให้ถึงความเจริญในกิจการหรือหน้าท่ีการ งาน และให้อยู่ในแนวทางแห่งความพ้นจากทุกขอ์ ยา่ งแนน่ อนโดยไม่ผิดพลาด มี 3 ประการ ดังน้ี (องฺ.ตกิ . 20/455/142) 1) อนิ ทรยี สงั วร คอื การสำ� รวมอนิ ทรยี ์ หมายถงึ การระวังไมใ่ หบ้ าปอกุศล ครอบงำ� ใจ เมือ่ รับรูอ้ ารมณด์ ้วยอนิ ทรยี ์ทง้ั หก 2) โภชเน มัตตัญญตุ า คอื ความรูจ้ กั ประมาณในการบรโิ ภค หมายถงึ การรจู้ กั พจิ ารณารบั ประทานอาหารเพอื่ หลอ่ เลยี้ งรา่ งกายใหส้ ามารถทำ� กจิ หนา้ ทไี่ ดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ มใิ ชเ่ พอื่ สนกุ สนาน มัวเมา

Research in Educational Administration • 511 3) ชาคริยานุโยค คอื การหมนั่ ประกอบความต่ืน หมายถงึ การไมเ่ ห็นแกน่ อน ขยันหม่ันเพียร ตื่นตัวอยู่เป็นนิตย์ ช�ำระจิตมิให้มีนิวรณ์ พร้อมเสมอทุกเวลาท่ีจะปฏิบัติกิจให้ ก้าวหน้าต่อไป ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักอปัณณกปฏิปทา ในการบริหารตน เพื่อ “การครองตน” ท่ีดี โดยเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติที่มีการระมัดระวังไม่ท�ำ ความชวั่ รจู้ กั บรโิ ภคอาหารแตพ่ อเหมาะ และขยนั หมน่ั เพยี รในการทำ� หนา้ ท่ี ซง่ึ จะสามารถบรหิ าร และ/หรือน�ำสถานศกึ ษาหรือองคก์ ารให้ถงึ ความเจรญิ ไดอ้ ย่างไมผ่ ดิ พลาด 1.12 พรหมวิหาร (Brahmavihāra: holy abidings) คือ หลักธรรมประจ�ำใจเพื่อให้ตน ดำ� รงชวี ติ ไดอ้ ยา่ งประเสรฐิ และบรสิ ทุ ธเ์ิ ฉกเชน่ พรหม เปน็ แนวธรรมปฏบิ ตั ขิ องผปู้ กครอง ผบู้ รหิ าร และผทู้ อี่ ยรู่ ว่ มกบั ผอู้ นื่ มี 4 ประการ ดงั น้ี (ท.ี ม. 10/184/225; ท.ี ปา. 11/228/232; อภ.ิ ส.ํ  34/190/75) 1) เมตตา คือ ความรักใคร่ ปรารถนาดีต่อผู้อื่น อยากให้ผู้อื่นมีความสุข มีจิต อนั แผ่ไมตรแี ละคดิ ทำ� ประโยชนแ์ กม่ นุษยส์ ัตว์ทั่วหน้า 2) กรุณา คือ ความสงสาร คิดช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ และใฝ่ใจในอันจะปลด เปลอ้ื งบำ� บัดความทกุ ข์ยากเดือดรอ้ นของปวงสตั ว์ 3) มุทติ า คือ ความยินดี มีความยินดีในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง ประกอบด้วยอาการแช่มช่ืนเบิกบานอยู่เสมอต่อสัตว์ท้ังหลายผู้ด�ำรงอยู่อย่างปกติสุข และพลอย ยนิ ดดี ว้ ยเมื่อผอู้ ื่นไดด้ ีมีสขุ และเจริญรุ่งเรืองย่งิ ขึ้นไป 4) อเุ บกขา คือ ความวางใจเปน็ กลาง อันจะให้ดำ� รงอย่ใู นธรรมตามทพ่ี ิจารณา เห็นดว้ ยปัญญา คอื มีจิตเรยี บตรงเทยี่ งธรรมดจุ ตาชัง่ ไม่เอนเอียงด้วยรกั และชัง พิจารณาเห็นกรรม ท่ีสัตว์ทั้งหลายได้กระท�ำแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือช่ัว สมควรแก่เหตุที่เขาได้กระท�ำแล้ว เป็นผู้ พร้อมท่ีจะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมท้ังรู้จักวางเฉยสงบใจมองดู ในเม่ือไม่มีกิจหน้าที่ ที่ควรท�ำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอัน สมควรกับความรับผิดชอบของตน ผู้บริหารและ/หรือผนู้ �ำสถานศกึ ษาหรอื องค์การ ควรประยุกตใ์ ช้หลักพรหมวิหารในการ บริหารตน เพอื่ “การครองตน” ที่ดี โดยเปน็ ผปู้ ระพฤติปฏิบัติตนให้มีหลกั ธรรมประจำ� ใจ คือ ให้ มีเมตตา กรุณา มุทติ า และอุเบกขา เพ่ือใหต้ นด�ำรงชีวิตอย่ไู ด้อย่างประเสรฐิ และบริสุทธ์ิ และเปน็ ผใู้ หญท่ ี่เป็นต้นแบบที่ดี อนั จะส่งผลดที างด้านการบริหารและ/หรือการนำ� คนในสถานศกึ ษาหรือ องค์การให้ประสบความสำ� เรจ็ 1.13 วุฑฒิธรรม (Vuddhi-dhamma: virtues conducive to growth) คือ ธรรมเป็น เคร่ืองเจริญ หมายถึง หลักธรรมท่ีก่อให้เกิดความเจริญงอกงามแก่ผู้ปฏิบัติ มีหลักปฏิบัติ 4 ประการ ดังน้ี (อง.ฺ จตกุ กฺ . 21/248/332)    1) สปั ปรุ สิ งั เสวะ คอื การคบหาสตั บรุ ษุ หมายถงึ การเสวนาทา่ นผรู้ ผู้ ทู้ รงคณุ 2) สัทธัมมัสสวนะ คือ การฟังสัทธรรม หมายถึง การเอาใจใส่ศึกษาเล่าเรียน หาความรูจ้ รงิ

512 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา 3) โยนิโสมนสกิ าร คือ การท�ำในใจโดยแยบคาย หมายถึง การคิดหาเหตุผล โดยถูกวิธี 4) ธัมมานธุ มั มปฏบิ ตั ิ คือ การปฏบิ ตั ธิ รรมอันสมควรแกธ่ รรม หมายถงึ การ ปฏบิ ตั ธิ รรมใหถ้ กู ตอ้ งตามหลกั คอื ใหส้ อดคลอ้ งพอดตี ามขอบเขตความหมายและวตั ถปุ ระสงคท์ ี่ สมั พนั ธก์ บั ธรรมขอ้ อน่ื ๆ นำ� สง่ิ ทไี่ ดศ้ กึ ษาเลา่ เรยี นและพจิ ารณาเหน็ แลว้ ไปใชป้ ฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ งตาม หลกั และความม่งุ หมายของสง่ิ นนั้ ๆ ธรรมหมวดน้ี ในบาลีท่ีมา เรียกว่า ธรรมท่ีเป็นไปเพ่ือปัญญาวุฒิ คือ เพื่อความเจริญ งอกงามแห่งปัญญา ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักวุฑฒิธรรมใน การบริหารตน เพ่ือ “การครองตน” ที่ดี โดยเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนให้มีคุณธรรมท่ีก่อให้เกิด ความเจรญิ งอกงามทางปญั ญา คือ การคบหากับบคุ คลทเ่ี ป็นผูร้ ู้ ผทู้ รงคณุ ความดี เอาใจใสใ่ นการ ศกึ ษาหาความร้คู วามจรงิ คิดหาเหตผุ ลโดยถกู วธิ ีและปฏบิ ัตธิ รรมให้ถูกต้องตามวัตถปุ ระสงค์ของ ข้อธรรมนัน้ ๆ และสามารถน�ำมาใช้ประโยชนใ์ นการบริหารและ/หรอื นำ� สถานศกึ ษาหรือองคก์ าร ใหถ้ ึงความเจริญได้ 1.14 อธิษฐานธรรม (Adhiṭṭhāna-dhamma: virtues which should be established in the mind) คือ ธรรมเป็นท่ีม่ัน หมายถึง ธรรมอันเป็นฐานท่ีม่ันคงของบุคคล หรือธรรมท่ีควร ใช้เป็นท่ีประดิษฐานตน เพื่อให้สามารถยึดเอาผลส�ำเร็จสูงสุดอันเป็นท่ีหมายไว้ได้ หรืออาจ หมายถงึ ธรรมทคี่ วรต้ังไวใ้ นใจ มี 4 ประการ ดังน้ี (ที.ปา. 11/254/241; ม.อุ. 14/682/437) 1) ปัญญา คือ ความรู้ชัด หมายถึง การหยั่งรู้ในเหตุผล พิจารณาให้เข้าใจใน สภาวะของสิง่ ทัง้ หลายจนเขา้ ถงึ ความจรงิ 2) สัจจะ คือ ความจริง หมายถึง การด�ำรงมั่นในความจริงท่ีรู้ชัดด้วยปัญญา เรมิ่ ตงั้ แตจ่ ริงวาจาจนถงึ ปรมัตถสจั จะ 3) จาคะ คือ ความสละ หมายถึง การสละสิ่งอันเคยชิน ข้อท่ีเคยยึดถือไว้ และส่ิงทั้งหลายอนั ผิดพลาดจากความจรงิ เสียได้ เริม่ ตั้งแตส่ ละอามสิ จนถึงสละกเิ ลส 4) อุปสมะ คือ ความสงบ หมายถึง การระงับโทษข้อขัดข้องมัวหมองหรือ ความวุ่นวายอันเกิดจากกเิ ลสทง้ั หลายแลว้ ท�ำจติ ใจใหส้ งบได้ ชาวพุทธโดยท่ัวไปมักได้ยินค�ำว่า “อธิษฐาน” โดยเม่ือจะท�ำการส่ิงใดมักอธิษฐานขอ สง่ิ นนั้ สง่ิ นอี้ ยเู่ สมอ การอธษิ ฐานตามหลกั คำ� สอนของพระพทุ ธศาสนา เปน็ การยนื หยดั ใหส้ ามารถ ยดึ เอาผลสำ� เรจ็ สงู สดุ อนั เปน็ เปา้ หมายได้ โดยไมเ่ กดิ ความสำ� คญั ตนผดิ ไมเ่ ปดิ ชอ่ งแกค่ วามผดิ พลาด เสยี หาย และไมเ่ กิดสิง่ มวั หมองหมักหมมทับถมตน การอธิษฐานตามหลักค�ำสอนของพระพุทธศาสนา ผู้อธิษฐานจะต้องเป็นผู้ปฏิบัติ เพ่ือให้การอธิษฐานสัมฤทธ์ิผลไม่ใช่อธิษฐานแล้ว น่ังรอคอยให้เทวดาฟ้าดินที่ไม่มีตัวตนมาดล บันดาลให้ ฉะน้ัน ก่อนอธิษฐาน ผู้อธิษฐานต้องใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อนว่า สิ่งที่อธิษฐานน้ัน ตนสามารถปฏิบัติได้เองหรือไม่ มีความเป็นไปได้เพียงใด และเม่ืออธิษฐานแล้วก็ต้องปฏิบัติตาม หลักสจั จะ จาคะ และ อุปสมะ ตามล�ำดับ การอธิษฐานจึงจะเกิดสัมฤทธผิ ล

Research in Educational Administration • 513 ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาควรประยุกต์ใช้หลักอธิษฐานธรรมในการบริหาร ตน เพ่ือ “การครองตน” ท่ดี ี โดยเป็นผู้ประพฤตปิ ฏิบตั ติ นใหม้ ปี ญั ญาหยั่งรใู้ นเหตผุ ล มีการดำ� รง มั่นในสัจจะ มีการเสียสละสิ่งของ และสละกิเลสมัวหมองใจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการน�ำพา สถานศึกษาหรือองค์การไปสู่เป้าหมาย หรือการบรรลุผลสำ� เร็จตามวัตถุประสงค์ของสถานศึกษา หรือองค์การโดยไม่เกิดความส�ำคัญตนผิด ไม่เปิดช่องแก่ความผิดพลาดเสียหาย และไม่เกิดสิ่ง มัวหมองหมักหมมทบั ถมตน 1.15 พละ หรือ พละ 4 (Bala: power) คือ ธรรมอนั เป็นพลัง หมายถึง หลักธรรมอนั เปน็ ก�ำลังในการดำ� เนนิ ชีวิตด้วยความมัน่ ใจ ไมห่ ว่นั ตอ่ ภยั ทกุ อยา่ ง มหี ลกั ปฏิบัติ 4 ประการ ดงั น้ี (อง.ฺ นวก. 23/209/376) 1) ปัญญาพละ คือ ก�ำลังปัญญา หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ อนั เกิดจากการศึกษา การฟงั การอ่าน การคดิ ค้นคว้า ปญั ญามีทั้งทางโลกและทางธรรม ปญั ญาใน ทางโลก ได้แก่ การรู้สรรพวิทยาต่าง ๆ อันจ�ำเป็นแก่ความเป็นมนุษย์ การประกอบอาชีพ การอยู่ ร่วมกบั คนอื่นในฐานะสมาชกิ ของสังคม การสรา้ งปญั ญาในทางโลกใหเ้ กดิ ขน้ึ ทำ� ได้โดยการศกึ ษา ชีวิตของมนุษย์น้ันจะต้องศึกษาหาความรู้อยู่เสมอตลอดชีวิต ไม่ใช่ว่าเม่ือออกจากโรงเรียนแล้ว กไ็ ม่ตอ้ งศกึ ษาอกี แล้ว เพราะความรูไ้ ม่ไดม้ อี ยเู่ ฉพาะในโรงเรียนเทา่ น้นั แต่เราจะสามารถแสวงหา ความรไู้ ดท้ กุ สถานท่ีปญั ญาหรอื ความรใู้ นทางโลกเปน็ พลงั สำ� คญั ในการดำ� เนนิ ชวี ติ   สว่ นปญั ญาใน ทางพทุ ธศาสนามี3ประเภทไดแ้ ก่1) สตุ มยปญั ญา คอื ปญั ญาทเ่ี กดิ จากการฟงั และการศกึ ษาเลา่ เรยี น 2) จินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณาหาเหตุผล และ 3) ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาทีเ่ กิดจากการลงมอื ปฏิบัติ 2) วิริยพละ คือ ก�ำลังความเพียร หมายถึง ความขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้าน ในหน้าที่การงาน ความเพียรเป็นคุณสมบัติท่ีจ�ำเป็นอย่างหนึ่งในชีวิตมนุษย์ แต่ความเพียรน้ัน ต้องเป็นความเพียรในทางที่ดีเท่านั้น ท่ีเรียกว่า เป็นความเพียรชอบ ได้แก่ 1) เพียรระวังไม่ให้ ความชั่วเกิดขึ้นในจิต 2) เพียรละความช่ัวที่เกิดขึ้นแล้ว 3) เพียรสร้างความดีให้เกิดข้ึน และ 4) เพยี รรักษาความดีที่เกดิ ข้นึ แล้วไม่ใหเ้ ส่อื ม จงึ จะประสบความส�ำเร็จในชวี ติ 3) อนวัชชพละ คือ ก�ำลังการกระท�ำท่ีไม่มีโทษ หมายถึง ก�ำลังสุจริต หรือ ก�ำลังความบริสุทธิ์ คือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม บริสุทธิ์ เช่น ความประพฤติและ หนา้ ทีก่ ารงานสจุ ริต ไม่มีโทษ ไม่ผิดกฎหมาย ศีลธรรม และระเบียบประเพณอี ันดีงามของสังคม เมื่อเรามีปัญญา คือ ความรู้ มีวิริยะ คือ ความเพียรแล้ว จะต้องมีอนวัชชะ คือ การกระท�ำท่ีไม่มี โทษด้วย ซ่ึงจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องใช้ก�ำลังปัญญามาก�ำกับไตร่ตรองว่า การใดควรท�ำ การใด ไม่ควรท�ำ การกระท�ำบางอย่างอาจจะถูกกฎหมายแต่ผิดศีลธรรม การกระท�ำบางอย่างอาจไม่ผิด ศีลธรรม แต่ผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้น ทุกคนจะต้องส�ำนึกอยู่เสมอว่า แม้คนเราจะมีปัญญา มีความเพยี รแลว้ ยงั ต้องระมดั ระวงั ควบคุมการกระท�ำให้ถกู ตอ้ งตามกฎหมายและศลี ธรรมดว้ ย 4) สังคหพละ คือ ก�ำลังการสงเคราะห์ หมายถึง การยึดเหนี่ยวน้�ำใจด้วย การเอ้ือเฟื้อช่วยเหลือผู้อ่ืน ท้ังในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชนตลอดถึงประเทศชาติ การ

514 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา สงเคราะห์ช่วยเหลือกันในทางพระพุทธศาสนานั้น มีหลักธรรมส�ำหรับการสงเคราะห์ เรียกว่า สังหควตั ถุ มี 4 ประการ ดงั น้ี 4.1) ทาน คือ การให้ โดยปกติหมายถึง การช่วยเหลือในด้านทุนหรือ ปัจจยั เคร่ืองยงั ชีพ ตลอดจนการเผื่อแผ่กนั ด้วยไมตรี การใหท้ น่ี ับวา่ เปน็ เลศิ ได้แก่ ธรรมทาน คอื การให้ขอ้ แนะน�ำส่ังสอนในทางที่ดี ท่ีชอบ หรือที่เปน็ ธรรม และใหค้ วามรคู้ วามเขา้ ใจ จนผรู้ ับรจู้ ัก พงึ่ ตนเองได้ 4.2) ปิยวาจา คือ วาจาอันเป็นท่ีรัก หมายถึง การพูดด้วยน�้ำใจหวังดี โดย มงุ่ ใหเ้ ปน็ ประโยชนแ์ ละรจู้ กั พดู ใหเ้ ปน็ ผลดี ทำ� ใหเ้ กดิ ความเชอื่ ถอื สนทิ สนม และเคารพนบั ถอื กนั ปิยวาจาท่นี บั วา่ เปน็ เลศิ หมายถงึ การหมั่นแสดงธรรม โดยคอยช่วยช้ีแจงแนะนำ� หลกั ความจริง ความถกู ต้องดีงาม แก่ผู้ทต่ี ้องการ 4.3) อัตถจริยา คือ การประพฤติอันเป็นประโยชน์ หมายถึง การบำ� เพ็ญ ประโยชน์โดยการช่วยเหลือรับใช้ ท�ำงานสร้างสรรค์ ประพฤติปฏิบัติในส่ิงที่เป็นประโยชน์ อัตถจริยาท่ีนับว่า เป็นเลิศ หมายถึง การช่วยเหลือส่งเสริมคนให้มีความเชื่อถือที่ถูกต้อง (สทั ธาสมั ปทา) ให้ประพฤติดีงาม (สีลสมั ปทา) ใหม้ คี วามเสียสละ (จาคสมั ปทา) และให้มีปญั ญา (ปญั ญาสัมปทา) 4.4) สมานตั ตตา คอื ความเปน็ ผมู้ ตี นเสมอ หมายถงึ การมตี นเสมอกบั ผอู้ นื่ เสมอภาค ไมเ่ อาเปรียบ ไม่ถอื สงู ตำ่� ร่วมสุข รว่ มทกุ ขด์ ้วย หรอื อาจหมายถึง ความเปน็ ผปู้ ระพฤตดิ ี ต่อผู้อืน่ อยา่ งเสมอตน้ เสมอปลาย สมานตั ตตาท่ีนบั ว่า เปน็ เลิศ หมายถึง ความเสมอกันโดยธรรม เช่น พระโสดาบนั มตี นเสมอกบั พระโสดาบนั พระสกทาคามมี ีตนเสมอกบั พระสกทาคามี ฯลฯ พละ 4 น้ี เป็นหลักประกันของชีวิต ผู้ประพฤติปฏิบัติตามหลักพละสี่ประการน้ี ย่อมด�ำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจ เพราะเป็นผู้มีพลังในตน ย่อมข้ามพ้นภัยท้ัง 4 ประเภท ได้แก่ 1) อาชีวิตภัย (ภัยเนอ่ื งด้วยการครองชพี ) เช่น เศรษฐกิจไม่ดี 2) อสโิ ลกภยั (ภยั คอื ความเสื่อม เสียช่ือเสียง) เช่น การถูกด่าว่า ต�ำหนิติเตียน  3) ปริสสารัชชภัย (ภัย คือ ความครั่นคร้ามเก้อ เขนิ ในท่ชี ุมนุม) เช่น การเข้าสู่ท่ีประชุมแล้วเกิดความเก้อเขิน  4) มรณภัย (ภัย คือ ความตาย)  และ 5) ทุคคตภิ ัย (ภัย คอื ทุคต)ิ (องฺ.นวก. 23/209/376) ผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ าร ควรประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั พละสใ่ี นการบรหิ ารตน เพื่อ “การครองตน” ท่ีดี โดยเป็นผู้ปฏิบัติตนให้เป็นผู้มีก�ำลังปัญญา ก�ำลังความเพียร ก�ำลังการ กระทำ� ทไี่ มม่ โี ทษ และกำ� ลงั การสงเคราะห์ ซง่ึ จะทำ� ใหเ้ ปน็ ผดู้ ำ� เนนิ ชวี ติ ดว้ ยความมน่ั ใจ ไมห่ วนั่ ตอ่ ภยั ดงั กลา่ วแลว้ ขา้ งตน้ และจะเปน็ ตน้ แบบทด่ี ขี องผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาในฐานะผทู้ รงกำ� ลงั /พลงั ซงึ่ จะ เปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ ในการบรหิ ารและ/หรอื การนำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ ารใหป้ ระสบความสำ� เรจ็ 1.16 เบญจศีล (Pañca-sīla: the Five Precepts) คือ ข้อปฏิบัติเพ่ือรักษากาย วาจา ให้ เรยี บรอ้ ย หมายถงึ การแสดงออกถงึ การมคี วามประพฤตดิ ที ง้ั ทางกาย และวาจา มกี ารดำ� รงตนดว้ ย ดีในสังคม รักษาระเบียบวนิ ัย ปฏบิ ัติหน้าท่ที ถ่ี กู ต้อง มคี วามรับผิดชอบทางสังคม มีการเอือ้ ตอ่ การ ทท่ี ุก ๆ คนจะสามารถด�ำเนินชวี ิตทดี่ ีงามหรอื ประพฤติปฏิบัติในทางทด่ี ีทถ่ี กู ตอ้ ง มีองค์ประกอบ 5 ประการ หรอื มี 5 ขอ้ ดงั น้ี (ท.ี ปา. 11/286/247; อง.ฺ ปญจฺ ก. 22/172/227; 264/307; อภ.ิ ว.ิ  35/77/388)

Research in Educational Administration • 515 1) เวน้ ปาณาตบิ าต หมายถงึ การเวน้ จากการฆา่ การเบยี ดเบยี นหรอื การทำ� รา้ ย ผอู้ น่ื และสตั วอ์ น่ื ปฏบิ ตั ติ อ่ ผอู้ น่ื และสตั วอ์ น่ื ดว้ ยจติ ใจเมตตากรณุ า คอื ดว้ ยความปรารถนาทจ่ี ะให้ ผูอ้ นื่ เป็นสุขและพ้นทุกข์ เปน็ การปฏบิ ตั ติ อ่ กนั ด้วยความเหน็ อกเห็นใจกนั ไมค่ ิดประหตั ประหาร กัน รู้จกั เอาใจเขามาใส่ใจเรา และรู้จักอภยั ให้แก่กนั ไมถ่ ือโทษโกรธพยาบาทและจองเวรกนั 2) เว้นอทินนาทาน หมายถึง การเว้นจากการลักขโมย ปล้นจี้ ฉกชิง วิ่งราว ฯลฯ มีนำ�้ ใจโอบออ้ มอารเี ผอ่ื แผ่ เสยี สละความสขุ สว่ นตัว และ/หรือ แบ่งปันทรพั ยส์ นิ ให้เป็นทาน เพ่ืออนเุ คราะห์และสงเคราะหผ์ อู้ ่นื 3) เวน้ กาเมสมุ จิ ฉาจาร หมายถงึ การเวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ลว่ งละเมดิ ลกู เมยี ผู้อ่นื หรอื ของรกั ของหวงของผอู้ ่นื และมีความส�ำรวมระวงั ความคิด การพูด และการกระท�ำท่ไี ป ละเมดิ ของรักของหวงของผอู้ ื่นให้ตอ้ งเปน็ ทกุ ข์เดือดรอ้ น 4) เวน้ มสุ าวาท หมายถึง การเวน้ จากการพดู เท็จ พดู คำ� หยาบ พูดส่อเสยี ด พดู เพอ้ เจอ้ ไม่เจา้ เลห่ ต์ ลบตะแลง อำ� พราง หลอกลวงผู้อ่ืน 5) เวน้ สุราและเมรยั หมายถงึ การเว้นจากการเสพสุราและเมรัย หรอื งดเว้น จากการกิน ด่ืม เคร่ืองดองของเมาอนั เปน็ เหตใุ ห้ประมาทขาดสติ ค�ำวา่ “เบญจศลี ” อาจเรยี กว่า สกิ ขาบท (ขอ้ ปฏิบัตใิ นการฝึกตน) หรือ นจิ ศีล (ศีลท่ี คฤหสั ถค์ วรรกั ษาเปน็ ประจำ� ) หรอื มนษุ ยธรรม (ธรรมของมนษุ ยห์ รอื ธรรมทที่ ำ� คนใหเ้ ปน็ มนษุ ย)์ ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักเบญจศีล ในการบรหิ ารตน เพอ่ื “การครองตน” ทดี่ ี โดยเปน็ ผปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นดที ง้ั ทางกายและวาจา มกี าร ด�ำรงตนด้วยดีในสังคม รักษาระเบียบวินัย ปฏิบัติหน้าที่ท่ีถูกต้อง ซ่ึงจะเป็นต้นแบบที่ดีของผู้ใต้ บงั คบั บญั ชา และจะเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ ในการบรหิ ารและ/หรอื การนำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ าร ใหป้ ระสบความสำ� เรจ็ 1.17 เบญจธรรม (Pañca-dhamma: the five ennobling virtues) หมายถึง ข้อพงึ ปฏิบตั ิ ตามหลกั คำ� สอนในพระพทุ ธศาสนา ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ สง่ิ ทด่ี งี าม และเปน็ เหตใุ หผ้ ทู้ ป่ี ระพฤตปิ ฏบิ ตั ติ าม มคี วามเจรญิ ก้าวหน้า ปลอดเวร ปลอดภยั และเพ่มิ พนู คุณงามความดี มีหลักปฏบิ ัตทิ ่ีสอดคลอ้ ง เชอ่ื งโยงกับเบญจศลี 5 ประการ ดังน้ี (ม.มู. 12/485/523; อง.ฺ ทสก. 24/165/287; 168-181/296-300; ที.ปา. 11/378/290; องฺ.ทุก. 20/424/119) 1) เมตตากรุณา หมายถึง ความปรารถนาดีต่อผู้อื่นและสัตว์อ่ืน และมีความ สงสารคิดจะชว่ ยผูอ้ ่นื และสตั ว์อื่นให้พ้นจากความทุกข์ 2) สัมมาอาชีวะ หมายถึง การประกอบสัมมาชีพ คือ อาชีพท่ีถูกต้องสุจริต ไมผ่ ิดกฎหมายและศลี ธรรมอนั ดี เม่อื มรี ายได้ รจู้ กั ใช้จ่าย และรู้จักค�ำว่าพอดี และมีหริ โิ อตตปั ปะ คอื ความละอาย และเกรงกลวั ตอ่ ผลของบาปหรอื ความชวั่ 3) อินทรยี สงั วร หมายถึง ความสำ� รวมระวังอินทรีย์ คือ  ระมัดระวงั ตา หู จมูก ล้นิ กาย และใจ ทำ� ใหค้ วามใครใ่ นกามคณุ คอื การตดิ ในรปู เสียง กลน่ิ รส  สัมผัส ลดน้อยลง 4) สัจจวาจา หมายถึง การพูดความจริง หรือค�ำสัตย์ เป็นสิ่งท่ีท�ำให้ไม่เกิด การมสุ าวาท สรา้ งความศรทั ธานา่ เชอื่ ถอื ตอ่ คำ� พดู หรอื การสง่ั การในการปฏบิ ตั หิ นา้ ทที่ ร่ี บั ผดิ ชอบ

516 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 5) สติสัมปชัญญะ หมายถึง ความมีสติระลึกได้ มีความรู้ตัวและแยกแยะ ไดว้ า่ อะไรดี อะไรช่วั ไมล่ ุ่มหลงในส่ิงทที่ ำ� และทำ� ให้ไม่ประมาทในชีวติ ผู้บรหิ ารและ/หรือผนู้ ำ� สถานศึกษาหรอื องค์การ ควรประยกุ ตใ์ ช้หลักเบญจธรรมใน การบรหิ ารตน เพื่อ “การครองตน” ที่ดี โดยเป็นผูป้ ระพฤตปิ ฏิบตั ติ นใหม้ เี มตตากรณุ า  ประกอบ อาชีพท่ีถูกต้องสุจริต ส�ำรวมระวังอินทรีย์มี ตา หู เป็นอาทิ  พูดค�ำสัตย์ และมีสติสัมปชัญญะ ซ่ึงถือว่าเป็นการประพฤติในส่ิงท่ีดีงาม อันจะท�ำให้มีความเจริญก้าวหน้า ปลอดเวร ปลอดภัย และเพ่ิมพูนความดี และจะเป็นต้นแบบที่ดีของผู้ใต้บังคับบัญชา ซ่ึงจะเป็นประโยชน์อย่างย่ิง ในการบริหารและ/หรือการนำ� สถานศกึ ษาหรือองคก์ ารให้ประสบความสำ� เรจ็ 1.18 เวสารัชชกรณธรรม (Vesārajjakaraṇa-dhamma: qualities making for intrepidity) คือ ธรรมที่ท�ำความกล้าหาญ หมายถึง คุณธรรมท่ีท�ำให้เกิดความแกล้วกล้า ท�ำให้ผู้ปฏิบัติ ตามสามารถตัดความวิตกกังวล สร้างความกล้าหาญ และความเช่ือม่ันให้เกิดขึ้นมาในตัวเอง มี 5 ประการ ดงั นี้  (องฺ.ปญจฺ ก. 22/101/144) 1) ศรัทธา คือ ความเช่ือท่ีมีเหตุผล มั่นใจในหลักที่ถือและในการดีท่ีท�ำ  เป็นความเชื่ออย่างมีเหตุมีผล มีหลักในการปลงใจเช่ือและผ่านการคิดพินิจพิจารณาเสียก่อนแล้ว จึงยอมรับเช่ือถือในเรื่องน้ัน ๆ สิ่งท่ีพึงยึดเป็นหลักในเรื่องความเชื่อ ก็คือ 1.1) เช่ือในความมีอยู่ ของกรรม คือ เจตนาที่บุคคลกระท�ำลงไป ทางกาย ทางวาจา และทางใจ เรียกว่า “กัมมสัทธา” 1.2) เช่ือความมีอยู่แห่งผลของกรรมท่ีบุคคลได้กระท�ำเอาไว้ คือ ถ้าท�ำดีผลก็ดี ถ้าท�ำไม่ดีผล ก็ไม่ดี เรียกว่า “วิปากสัทธา” 1.3) เช่ือว่าคนเราแต่ละคนนั้นมีกรรมเป็นของของตน จะต้องเป็น ผ้รู ับผลของกรรมทตี่ นไดก้ ระท�ำไว้  เรียกวา่ “กัมมัสสกตาสทั ธา” และ 1.4) เช่อื วา่ พระพุทธเจา้ นัน้ ตรสั รู้ทรงชแ้ี จงแสดงความจรงิ แกโ่ ลก ซงึ่ ความจรงิ เหลา่ นน้ั ทนตอ่ การพสิ จู น์ ทดสอบ หรอื ทดลอง ทกุ ยุค ทุกสมยั เรยี กว่า “ตถาคตโพธสิ ทั ธา” 2) ศีล คือ ความประพฤติถูกต้องดีงาม ไม่ผิดระเบียบวินัย ไม่ผิดศีลธรรม เปน็ การพจิ ารณาเหน็ โทษของการละเมดิ ศลี แลว้ จงึ งดเวน้  ไมก่ ระทำ� ใหผ้ ดิ ศลี ผลทปี่ รากฏออกมาคอื กาย วาจา ของตนจะเปน็ ปกติ ไมท่ ำ� อะไรทเี่ ปน็ การเบยี ดเบยี นตนเองและบคุ คลอน่ื ใหเ้ ดอื ดรอ้ น ผล ทไี่ ด้ คอื ความเยอื กเยน็ ในใจ เพราะไมม่ เี วรไมม่ ภี ยั กบั ผใู้ ด เนอื่ งจากไมไ่ ดส้ รา้ งเวรสรา้ งภยั ตอ่ คนอน่ื   3) พาหสุ จั จะ คอื ความเปน็ ผไู้ ดศ้ กึ ษาเลา่ เรยี นมาก  เปน็ คนมปี ระสบการณม์ าก สามารถทรงจ�ำเร่ืองต่าง ๆ ได้ บางเรื่องที่ส�ำคัญ ๆ ก็ท่องได้จนคล่องปาก น�ำเร่ืองทั้งหลายท่ีตน ประสบพบเห็นมาขบคิด พินิจพิจารณาด้วยใจของตน เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่าน้ัน ตามความจรงิ จติ ใจของบคุ คลนนั้ เปรยี บเสมอื นโรงงาน ประสบการณต์ า่ ง ๆ เหมอื นวตั ถดุ บิ บคุ คล ที่มีประสบการณ์ได้พบได้เห็นอะไรมามาก ผ่านอะไรต่ออะไรมามาก และกลายเป็นคนรอบรู้ใน เรือ่ งตา่ ง ๆ ทีต่ นได้ประสบหรอื พบเห็นมา  จึงเรยี กบคุ คลดงั กลา่ วนน้ั ว่า “พหสู ูต” “บณั ฑติ ” หรือ “นักปราชญ”์ 4) วริ ยิ ารมั ภะ คอื ปรารภความเพยี ร หมายถงึ การทไ่ี ดเ้ รมิ่ ลงมอื ทำ� ความเพยี ร พยายามในการทจี่ ะละความชว่ั  และประพฤตคิ วามดี ความเพยี รพยายามในการศกึ ษาเลา่ เรยี น หรอื ความเพียรพยายามในการท�ำหน้าที่การงาน โดยไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคอันตรายต่าง ๆ และไม่

Research in Educational Administration • 517 กลัวเกรงตอ่ ความเหนอ่ื ยยากลำ� บาก หนาว รอ้ น หวิ กระหาย เหลือบ ยงุ ลม แดด ฯลฯ มีความกล้า หาญเด็ดเดี่ยว มีความมุ่งม่ันท่ีจะให้ประสบผลส�ำเร็จในวิถีชีวิตของตนให้ได้ ทั้งมีความคิดริเร่ิม สรา้ งสรรค์ มคี วามคิดกา้ วหน้าสามารถต่อสกู้ บั อุปสรรคขดั ขวางในลักษณะต่าง ๆได ้ 5) ปญั ญา คือ ความรอบรู้ หมายถึง ความรคู้ ิด รู้วนิ จิ ฉัย และรู้ทจ่ี ะจดั การ มี ความเข้าใจในเหตุผล ดี ช่ัว ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ฯลฯ ปัญญาเป็นเหมือนประทีปส่องทาง ชีวิต อย่างน้อยท่ีสุด บุคคลควรจะต้องรู้ว่า อะไรเป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ อะไรดี อะไรชวั่ อะไรเปน็ บญุ อะไรเปน็ บาป และมอี บุ ายวธิ ที จี่ ะละเวน้ สง่ิ ทไ่ี มเ่ ปน็ ประโยชน์ สง่ิ ทเ่ี ปน็ โทษ  หรือสงิ่ ที่เปน็ ความชั่ว แล้วมาประพฤตปิ ฏบิ ตั ิความดีท่เี ป็นคุณเป็นประโยชน์ได้ ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษา ควรประยุกต์ใช้หลักเวสารัชชกรณธรรมในการ บริหารตน เพื่อ “การครองตน” ที่ดี โดยเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนให้มีศรัทธาหรือความเชื่อท่ีมี เหตผุ ล มีความประพฤติถกู ต้องดีงาม มีการศึกษาเล่าเรยี นและประสบการณ์ มกี ารลงมือท�ำความ เพียรพยายามในการท่ีจะละความช่ัวและประพฤติความดีต่าง ๆ และมีความรอบรู้ในเหตุและผล ดี ช่ัว ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ซ่ึงเม่ือได้ประพฤติปฏิบัติตนตามหลักธรรมดังกล่าว จะท�ำให้มี หลักใจท่ีจะช่วยให้เกิดความกล้าหาญและให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าหาญในการท�ำหน้าท่ี ที่รับผิดชอบ กล้าหาญในการด�ำรงชีวิต กล้าหาญในการต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ เป็นเครื่องมือใน การแก้ไขอุปสรรคในชีวิตของตนได้และในการบริหารและ/หรือการน�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ให้ประสบความส�ำเร็จ 1.19 อรยิ วฑั ฒิ หรอื อารยวฒั ิ (Ariyavaḍḍhi: noble growth) คอื ความเจรญิ อยา่ งประเสรฐิ เปน็ หลกั ความเจรญิ ของอารยชนหรอื คนทเี่ จรญิ แลว้ มี5ประการ ดงั นี้(อง.ฺ ปญจฺ ก. 22/63-64/91-92) 1) ศรัทธา คือ ความเช่ือ หมายถึง ความเชื่อท่ีถูกต้อง ความเชื่อที่เป็นจริง ความเช่ือมัน่ ในหลักพระพุทธศาสนา ความเช่ือมัน่ ในพระรตั นตรยั หรอื ความไมง่ มงายในสง่ิ เหนือ ธรรมชาติ ฯลฯ 2) ศีล  คือ ความประพฤติดี หมายถึง การปฏิบัติชอบด้วยกาย วาจา ความมี ระเบยี บวินยั การทำ� มาหาเลีย้ งชีพอย่างสจุ รติ ฯลฯ 3) สุตะ  คือ การฟัง หมายถึง การศึกษาเล่าเรียน หรือการศึกษาหาความรู้อยู่ เสมอ รวมถึงการใชส้ อื่ เทคโนโลยีตา่ ง ๆ ในการแสวงหาความรู้ 4) จาคะ  คือ การเสียสละ หมายถึง การเผื่อแผ่ การแบ่งปัน ความเอ้ือเฟื้อ ความมนี ำ้� ใจชว่ ยเหลอื ความเปน็ คนใจกวา้ ง พรอ้ มทจ่ี ะรบั ฟงั ความคดิ เหน็ จากผอู้ นื่ และพรอ้ มทจี่ ะ ใหค้ วามรว่ มมือ เปน็ คนท่ีไมเ่ ห็นแกต่ ัว จิตใจไม่คบั แคบ ฯลฯ 5) ปัญญา  คือ ความรอบรู้ การรู้จักคิด รู้จักการพิจารณา เข้าใจเหตุผล รู้จัก การด�ำรงชวี ติ อยใู่ นโลกอยา่ งมคี วามสขุ รูแ้ ละเข้าใจชวี ิตตามความเป็นจรงิ ทำ� จติ ใจให้เปน็ อิสระได้ ผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� องคก์ ารควรประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั อรยิ วฑั ฒใิ นการบรหิ ารตนเพอื่ “การ ครองตน” ทีด่ ี และเป็นอารยชนคนเจรญิ แลว้ โดยเปน็ ผปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ัตติ นเป็นคนท่ีมคี วามเช่ือใน สิง่ ท่ีถูกต้อง เปน็ ผปู้ ระพฤติดี มีการศกึ ษาหาความร้อู ย่เู สมอ มีการเสยี สละ เอือ้ เฟ้ือ แบ่งปัน และมี ปญั ญารอบรู้ ใชห้ ลกั เหตผุ ล ซงึ่ จะเปน็ ตน้ แบบทด่ี ขี องผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา และจะเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ ง

518 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา ยงิ่ ในการบริหารและ/หรือการนำ� สถานศกึ ษาหรอื องค์การให้ประสบความสำ� เรจ็ 1.20 กัลยาณมติ รธรรม (Kalyāṇamitta-dhamma: qualities of a good friend) คือ ธรรม ของมิตรดีหรือมิตรแท้ หมายถึง คุณสมบัติของมิตรดีหรือมิตรแท้ เป็นมิตรที่คอยช่วยเหลือมิตร อย่างจรงิ ใจโดยไม่หวงั สิ่งใดตอบแทน และเปน็ มิตรทหี่ วงั ดี เม่อื มสี ง่ิ ดี ๆ ก็ให้กันดว้ ยความจริงใจ มีหลักปฏิบัติ 7 ประการ ดังน้ี (อง.ฺ สตฺตก. 23/34/33) 1) เป็นผู้น่ารัก (ปิโย)  คือ เป็นผู้ที่มีจิตใจดี เป็นที่สบายใจและสนิทสนม ชวนให้อยากเขา้ ไปปรึกษา และไต่ถาม 2) เป็นผนู้ ่าเคารพ (ครุ)  คอื เป็นผนู้ า่ เคารพบูชา ประพฤตสิ มควรแก่ต�ำแหน่ง หนา้ ท่ี ให้เกดิ ความรู้สึกอบอนุ่ ใจ เปน็ ท่ีพง่ึ ใจ และปลอดภัย 3) เปน็ ผู้นา่ ยกย่องนับถอื (ภาวนีโย)  คอื เป็นผนู้ ่าเจรญิ ใจ น่ายกยอ่ งนบั ถือ ใน ฐานะผู้ทรงคุณ คือ ความรู้และภูมิปัญญาอย่างแท้จริง รวมทั้งเป็นผู้ฝึกอบรมและปรับปรุงตนอยู่ เสมอ ควรเอาอย่าง ทำ� ให้ระลกึ และกล่าวอ้างถงึ ด้วยความซาบซ้งึ ใจ 4) เปน็ ผรู้ จู้ ักพดู (วตั ตา จ) คอื  เปน็ ผรู้ ูจ้ ักพดู ให้ไดผ้ ล มเี หตุผลและหลักการ รู้จักช้ีแจงให้เข้าใจ รู้ว่าเม่ือไรควรพูดอะไรอย่างไร คอยให้ค�ำแนะน�ำว่ากล่าวตักเตือน และเป็นที่ ปรกึ ษาทดี่ ี 5) เป็นผู้อดทนต่อถ้อยค�ำ (วจนักขโม) คือ เป็นผู้อดทนต่อค�ำพูดของผู้อื่น พร้อมที่จะรับฟังค�ำปรึกษาซักถาม ค�ำเสนอแนะ ค�ำวิพากษ์วิจารณ์ ฟังได้ไม่เบื่อ และไม่แสดง อารมณฉ์ ุนเฉียว 6) เปน็ ผูแ้ ถลงเรอื่ งท่ีลึกซงึ้ ได้ (คัมภรี ัญจ กถัง กัตตา) คือ เป็นผู้สามารถแถลง หรอื อธบิ ายชแี้ จงเรอื่ งทลี่ กึ ซง้ึ หรอื เรอ่ื งทยี่ งุ่ ยากซบั ซอ้ นใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งถกู ตอ้ ง และตรงประเดน็ ได ้ 7) เปน็ ผไู้ มช่ กั นำ� ในอฐานะ (โน จฏั ฐาเน นโิ ยชเย) คอื  เปน็ ผไู้ มช่ กั นำ� หรอื ชกั จงู ไปในทางเสอ่ื ม (อบายมขุ ) หรอื ในทางทเ่ี หลวไหล ไรส้ าระ หรอื ทเี่ ปน็ โทษ เปน็ ความทกุ ข์ เดอื ดรอ้ น ผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ ารควรประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั กลั ยาณมติ รธรรมใน การบริหารตน เพอ่ื “การครองตน” ทีด่ ี โดยเป็นผปู้ ระพฤติปฏบิ ัติตนใหเ้ ปน็ ผ้นู ่ารัก น่าเคารพ นา่ ยกยอ่ งนบั ถอื เปน็ ผรู้ จู้ กั พดู อดทนตอ่ ถอ้ ยคำ� ของผอู้ นื่ อธบิ ายเรอ่ื งทล่ี กึ ซง้ึ ซบั ซอ้ นได้ และไมช่ กั นำ� ผู้ อนื่ ไปในทางเสอ่ื มเสยี ซง่ึ จะเปน็ ตน้ แบบทด่ี ขี องผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาหรอื บคุ ลากรทอี่ ยรู่ ว่ มกนั และจะ เปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ ในการบรหิ ารและ/หรอื การนำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ ารใหป้ ระสบความสำ� เรจ็ 1.21 สปั ปรุ สิ ธรรม (Sappurisa-dhamma: qualities of a good man) คอื ธรรมของสตั บรุ ษุ หรือธรรมทท่ี �ำใหเ้ ปน็ สตั บุรุษหรอื คนดี ค�ำว่า “สัตบุรุษ” หมายถงึ คนดี นกั ปราชญ์ หรอื บัณฑิต หรือหมายถึง คนที่มีความประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ คือ มีพฤติกรรมที่ถูกต้องตามท�ำนอง คลองธรรมหรือเรียบร้อยดีไม่มีโทษ เป็นผู้มีจิตสงบระงับจากบาปอกุศลธรรมท้ังหลาย และเป็น ผู้ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อ่ืนให้ได้รับความทุกข์หรือความเดือดร้อน  มีหลักปฏิบัติ 7 ประการ ดังน้ี (ท.ี ปา. 11/331/264; 439/312; องฺ.สตตฺ ก. 23/65/114) 1) ธัมมัญญุตา คือ รู้จักเหตุ หมายถึง  เป็นผู้รู้จักหลักธรรม รู้หลักความจริง รู้หลักเกณฑ์ รู้กฎแห่งธรรมดา รู้กฎเกณฑ์แห่งเหตุผล และรู้หลักการท่ีจะท�ำให้เกิดผล เช่น ภิกษุ

Research in Educational Administration • 519 รวู้ ่าหลักธรรมขอ้ น้นั ๆ คอื อะไร มอี ะไรบ้าง พระมหากษัตรยิ ท์ รงทราบวา่ หลกั การปกครองตาม ราชประเพณีเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง รู้ว่าจะต้องกระท�ำเหตุอันน้ี ๆ หรือกระท�ำตามหลักการ ข้อน้ี ๆ จงึ จะใหเ้ กดิ ผลทตี่ ้องการอนั นัน้ ๆ ฯลฯ 2) อัตถัญญุตา คือ รู้จักผล หมายถึง เป็นผู้รู้ความหมาย รู้ความมุ่งหมาย รู้ประโยชน์ท่ีประสงค์ รู้จักผลที่จะเกิดขึ้นสืบเนื่องจากการกระท�ำหรือความเป็นไปตามหลัก เช่น รู้ว่าหลักธรรมหรือภาษิตข้อน้ัน ๆ มีความหมายว่าอย่างไร หลักนั้น ๆ มีความมุ่งหมายอย่างไร ก�ำหนดไว้หรือพึงปฏิบัติเพ่ือประสงค์ประโยชน์อะไร การที่ตนกระท�ำอยู่มีความมุ่งหมายอย่างไร เมอื่ ท�ำไปแล้วจะบังเกิดผลอะไรบ้าง ฯลฯ 3) อัตตญั ญุตา คอื รู้จกั ตน หมายถงึ  เปน็ ผรู้ ้จู ักตนในเรื่องต่าง ๆ ทงั้ ในฐานะ ทางการเงินและความเป็นอยู่ ฐานะหรือต�ำแหน่งในหน้าที่การงาน รวมท้ังรู้ว่าตนมีก�ำลังความรู้ ความสามารถ ความถนดั และคณุ ธรรม ฯลฯ อยา่ งไร แลว้ ประพฤตใิ หถ้ กู ตอ้ งและเหมาะสมในสงั คม 4) มตั ตัญญตุ า คอื รู้จกั ประมาณ หรือรคู้ วามพอดี เชน่ ภกิ ษุรู้จกั ประมาณใน การรับและบริโภคปัจจัยส่ี คฤหัสถ์รู้จักประมาณในการใช้จ่ายโภคทรัพย์ พระมหากษัตริย์รู้จัก ประมาณในการลงทณั ฑ์อาชญาและในการเก็บภาษี ฯลฯ 5) กาลัญญุตา คอื รู้จักกาล หมายถงึ รู้กาลเวลาอันเหมาะสม และระยะเวลา ทจ่ี ะต้องใชใ้ นการประกอบกจิ หรือกระทำ� หนา้ ทก่ี ารงาน เช่น ให้ตรงเวลา ใหเ้ ปน็ เวลา ให้ทันเวลา ใหพ้ อเวลา ใหเ้ หมาะสมกับเวลา ฯลฯ 6) ปรสิ ัญญุตา คือ รู้จกั บริษทั   หมายถงึ รจู้ กั ชุมชน และรูจ้ ักที่ประชุม รู้กิริยา ที่จะประพฤติต่อชุมชนน้ัน ๆ ว่า ชุมชนน้ีเม่ือเข้าไปหา จะต้องท�ำกิริยาอย่างนี้ จะต้องพูดอย่างน้ี ชมุ ชนนคี้ วรสงเคราะห์อยา่ งน้ี ฯลฯ 7) ปคุ คลัญญุตา  คือ จักบคุ คล หมายถึง รู้ความแตกตา่ งแห่งบุคคลวา่ บคุ คล แต่ละคนมีอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม ฯลฯ และรู้ที่จะปฏิบัติต่อบุคคลน้ัน ๆ ด้วยดีว่า ควรจะคบหาหรอื ไม่ จะใช้ จะต�ำหนยิ กย่อง และแนะนำ� สัง่ สอนอย่างไร ฯลฯ จากหลกั สปั ปรุ สิ ธรรมเจด็ ประการขา้ งตน้ อาจเรยี กสนั้ ๆ วา่ รเู้ หตุ รผู้ ล รตู้ น รปู้ ระมาณ รกู้ าล ร้สู งั คม และร้บู ุคคล  ผบู้ รหิ ารและ/หรือผู้นำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ าร ควรประยกุ ตใ์ ช้หลกั สัปปุริสธรรมในการบริหารตน เพื่อ “การครองตน” ท่ีดี โดยการประพฤติปฏิบัติตนให้เป็น “สัตบุรุษหรือคนดี” คือ เป็นผู้น�ำที่เป็นผู้รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักความพอดี รู้จักเวลา รู้จักชุมชนหรือสังคม และรู้จักเลือกคบคน ซ่ึงเมื่อได้ประพฤติปฏิบัติตนได้ตามแนวหลักธรรม ดังกล่าว ก็จะเป็นสัตบุรุษหรือคนดีที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงของสถานศึกษาหรือองค์การ และ จะเป็นต้นแบบท่ีดีของผู้ใต้บังคับบัญชาหรือบุคลากรที่อยู่ร่วมกัน ซ่ึงจะเป็นประโยชน์อย่างย่ิง ในการบริหารและ/หรอื การน�ำสถานศกึ ษาหรือองค์การให้ประสบความส�ำเร็จ 1.22 อริยทรัพย์ (Ariya-dhana: noble treasures) คือ ทรัพย์อันประเสริฐ หมายถึง ทรพั ยอ์ นั เปน็ คณุ ธรรมประจำ� ใจอยา่ งประเสรฐิ เปน็ ทรพั ยอ์ นั ประเสรฐิ อยภู่ ายในจติ ใจ ดกี วา่ ทรพั ย์ ภายนอกเพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิงไปได้ ไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายต่าง ๆ และสามารถท�ำเป็นทุน สร้างทรพั ยภ์ ายนอกไดด้ ้วย มหี ลักปฏบิ ัติ 7 ประการ ดงั น้ี (ท.ี ปา. 11/326/264; องฺ.สตตฺ ก. 23/6/5)

520 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา 1) ศรัทธา คอื ความเชอ่ื หมายถึง ความเชอื่ ที่มเี หตผุ ล ม่นั ใจในหลกั ทถี่ ือและ ในการดีท่ีท�ำ โดยเป็นความเชือ่ ในเร่อื งของกรรม 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1) เช่ือกรรมหรือกฎแห่งกรรม คือเช่ือว่า “ท�ำดีย่อมได้ดี ท�ำช่ัวย่อมได้ช่ัว” ไม่เปล่ียนเป็นอย่างอ่ืน เหมือนอ้อยย่อมให้รสหวาน บอระเพ็ดย่อมให้รสขม 2) เช่ือวิบากหรือผลของกรรม คือเชื่อว่า “ผลของกรรมท่ีท�ำไว้ หาก เป็นกรรมดีจะตอบสนองในทางที่ดี ส่วนกรรมช่ัวจะตอบสนองในทางที่ไม่ดี” 3) เช่ือว่า “สัตว์ โลกมกี รรมเป็นของตน” ความเปน็ อยขู่ องสัตว์โลกในปจั จุบนั ลว้ นเปน็ ผลมาจากกรรมทีต่ นท�ำไว้ ทั้งสิ้น และ 4) เชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่า เป็นทางท่ีจะน�ำสัตว์โลกไปสู่ความ พ้นทุกขไ์ ด้จรงิ ความเช่อื ดงั กล่าวจะชว่ ยใหเ้ ราใช้ชีวิตอยา่ งระมัดระวงั ไม่ทำ� กรรมช่ัว และมกี ำ� ลัง ใจทีจ่ ะทำ� ความดี รวมทง้ั มงุ่ ม่ันท่ีจะปฏบิ ตั ิตามคำ� สอนของพระพุทธเจา้ เพอื่ เปน็ ทางนำ� พาชีวติ ไป สคู่ วามพน้ ทุกข์ 2) ศีล คือ การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย หมายถึง  การประพฤติปฏิบัติที่ ถูกต้องดีงาม โดยเป็นการประพฤติสุจริตทางกาย วาจา และใจ ทางกาย คือ ไม่มีเจตนาฆ่าสัตว์ ลกั ทรพั ย์ และประพฤตผิ ดิ ในกาม ทางวาจา คอื ไมม่ เี จตนาในการพดู โกหก พดู สอ่ เสยี ด พดู คำ� หยาบ และพูดเพ้อเจ้อ และทางใจ คือ ไม่มีเจตนาเอาของของผู้อ่ืนมาเป็นของตน (ความโลภ) ไม่คิดร้าย ต่อผู้อ่ืน (ความโกรธ) และไม่เห็นผิดไปจากครรลองคลองธรรม (ความหลง) หากรักษาศีลได้ ก็ไม่เบียดเบียนผู้อ่ืนและไม่ต้องมีวิบากกรรมอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นมาเบียดเบียนตน คนที่มีศีล ย่อมเป็นท่ีไว้วางใจของคนรอบข้าง จะท�ำการสิ่งใด ๆ ก็สำ� เร็จได้โดยไม่ยาก เพราะจะมีคนรักและ คอยสนบั สนนุ 3) หิริ คือ ความละอายใจต่อบาป หมายถึง ความละอายต่อการท�ำความช่ัว สามารถควบคุมตนเองได้โดยไม่ต้องมีกฎระเบียบหรือผู้อื่นมาควบคุม เพราะจิตได้ยกระดับข้ึนสูง แลว้ ย่อมมเี มตตาทีจ่ ะไม่คิดรา้ ยตอ่ ผู้อ่นื ทงั้ ในท่ีลับและทแี่ จ้ง 4) โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อบาป หมายถึง ความเกรงกลัวต่อการ กระท�ำชั่ว เพราะเช่ือเรื่องผลของกรรมโดยเชื่อว่าหากตนท�ำบาปอกุศล โดยไปท�ำร้ายท�ำลายผู้อ่ืน แล้ว จะตอ้ งได้รับผลแห่งการกระทำ� ตอบสนองในภายหลงั ซึ่งอาจรนุ แรงย่งิ กวา่ ทำ� กับผู้อื่นดว้ ย  5) พาหสุ ัจจะ คอื ความเป็นผู้ไดย้ นิ ได้ฟังมาก หมายถึง ความเป็นผไู้ ดศ้ ึกษา เล่าเรียนมาก มคี วามอ่อนน้อมถ่อมตนทีจ่ ะเขา้ ไปศกึ ษาหาความรจู้ ากผ้รู ู้ (สตั บรุ ุษ) เปิดใจรับความ รู้ต่าง ๆ มาพิจารณา เกิดเป็นปัญญาชั้นต้น เรียกว่า “สุตมยปัญญา” จากนั้นน�ำความรู้ที่ได้รับมา วเิ คราะห์ จดั ระบบความรู้จนสามารถต่อยอดเปน็ ความรู้ของตนได้ เรียกว่า “จินตามยปัญญา” 6) จาคะ คือ ความเสียสละ หมายถึง การมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ แบ่งปันทรัพย์ของตนให้กับผู้อ่ืน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่คิดเอาเปรียบผู้อ่ืน เป็นจิตที่มีเมตตาปรารถนา ให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน เป็นที่พึ่งของผู้ที่มีทุกข์มีภัย และเป็นท่ีรักของผู้ที่ เกี่ยวขอ้ งดว้ ย 7) ปัญญา คือ ความรอบรู้ หมายถึง ความเข้าใจถ่องแท้ในเหตุผล สามารถ แยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ รู้ว่าส่ิงใดดีมีสาระ ดีช่ัว ถูกผิด คุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ รู้คิด รพู้ จิ ารณา และรู้ทจ่ี ะจดั ท�ำเพ่อื ประโยชน์ตนหรอื ประโยชน์เก้อื กูลตอ่ ผูอ้ น่ื  

Research in Educational Administration • 521       อรยิ ทรัพยท์ ัง้ 7 ประการน้ี เรียกอกี อย่างหนึง่ ว่า พหุการธรรม หรือ ธรรมมอี ปุ การะ เพราะเป็นก�ำลังหนุนหรือช่วยส่งเสริมในการบ�ำเพ็ญคุณธรรมต่าง ๆ ซ่ึงเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตน และผู้อ่ืนได้อย่างกว้างขวางไพบูลย์ เปรียบเหมือนคนมีทรัพย์มาก ย่อมสามารถใช้จ่ายทรัพย์ เพอ่ื เล้ียงตน เลี้ยงผอู้ ื่น ใหม้ ีความสขุ และบ�ำเพญ็ ประโยชน์ตา่ ง ๆ ไดเ้ ป็นอนั มาก ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักอริยทรัพย์ใน การบรหิ ารตน เพื่อ “การครองตน” ท่ีดี โดยการประพฤติปฏิบตั เิ ป็นผมู้ ีศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ และปัญญา หลักอริยทรัพย์ดังกล่าว เป็นทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายในจิตใจ เมื่อผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำได้ปฏิบัติตาม ก็จะเป็นก�ำลังหนุนช่วยส่งเสริมในการบ�ำเพ็ญคุณธรรม ต่าง ๆ และสามารถท�ำเป็นทุนสร้างทรัพย์ภายนอกได้ด้วย ย่ิงกว่านั้น จะเป็นต้นแบบที่ดีของ ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือบุคลากรที่อยู่ร่วมกัน ซ่ึงจะเป็นประโยชน์อย่างย่ิงในการบริหารและ/ หรือการน�ำสถานศึกษาหรอื องคก์ ารใหป้ ระสบความสำ� เรจ็ 1.23 นาถกรณธรรม (Nāthakaraṇa-dhamma: virtues which make for protection) คอื ธรรมอนั กระทำ� ทพี่ ง่ึ หรอื ธรรมทท่ี ำ� ใหต้ นเปน็ ทพี่ ง่ึ ของตนได้ หมายถงึ ธรรมอนั เปน็ ทพี่ ง่ึ ของคนใน โลกนี้ อันเป็นหลกั การสำ� คัญของการครองชวี ิตตามหลกั ของ “ตนแลเป็นทพ่ี ึ่งแหง่ ตน” (อตั ตา หิ อตั ตโน นาโถ) อยา่ งไรก็ตาม ตนท่จี ะเปน็ ท่พี ึ่งของตนได้ ก็ตอ่ เมอื่ ตวั ตนบคุ คลนั้นมคี ุณธรรมเป็น หลักในการพ่ึงของตน มี 10 ประการ ดงั น้ี (ท.ี ปา. 11/357/281; 466/334; องฺ.ทสก. 24/17/25) 1) ศีล คอื ความประพฤตดิ ีงามทางกาย วาจา หมายถงึ คอื ความสำ� รวมระวงั รักษากายและวาจาของตนให้สุจริต รักษาระเบียบวินัย สามารถครองชีวิตไม่ผิดกฎหมาย มีการ ครองชวี ิตอยา่ งปกตภิ าพ ปกตสิ ขุ ไม่ท�ำตนและคนอื่นใหเ้ ดือดรอ้ น  2) พาหสุ ัจจะ คือ ความเป็นผู้สดบั ตรบั ฟังมาก หมายถึง การไดศ้ ึกษาเลา่ เรยี น มาก มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจลกึ ซงึ้ มปี ระสบการณจ์ ากการผา่ นกระบวนการเรยี นรทู้ างประสาทสมั ผสั ทรงจ�ำแม่น น�ำมาคิดจนมีความเขา้ ใจในสงิ่ สมั ผัสเหลา่ น้ันมากขึน้   3) กัลยาณมิตตตา คอื ความมีกลั ยาณมติ ร หมายถงึ การคบคนดี ไดท้ ่ปี รึกษา และผู้แนะน�ำสั่งสอนท่ีดี ท่ีแสดงให้เห็นว่าเขามีความรัก หวังประโยชน์ต่อตน และพร้อมท่ีจะ รว่ มทุกข์ร่วมสุขกนั คอื เหน็ กนั เมื่อไข้ ให้กนั เม่อื ทุกข์ ไม่ทอดท้งิ กนั ยามยาก  4) โสวจัสสตา คอื ความเปน็ ผูว้ ่าง่ายสอนง่าย หมายถึง ความเปน็ คนมีอธั ยาศยั อ่อนโยน รับฟังเหตุผล พร้อมท่ีจะยอมรับ นับถือ เชื่อฟังคนอ่ืน จนกลายเป็นคนมีลักษณะ วา่ ง่ายสอนงา่ ย ท�ำความเขา้ ใจอะไรกนั ไดโ้ ดยงา่ ย 5) กิงกรณเี ยสุ ทกั ขตา คือ ความขยันในกจิ อนั ควรท�ำ หมายถึง ความเอาใจใส่ ช่วยขวนขวายในกิจใหญ่น้อยทุกอย่างของเพื่อนร่วมหมู่คณะ รู้จักพิจารณาไตร่ตรองและสามารถ จดั ท�ำใหส้ ำ� เรจ็ เรียบรอ้ ย 6) ธมั มกามตา คอื ความเป็นผใู้ คร่ธรรม หมายถงึ ความพอใจ ยินดี และใส่ใจ ในธรรม คือ ความดีงามถูกต้อง สามารถเคลื่อนไหวไปตามกระแสของกุศลธรรม มีความสนใจ และพอใจทจี่ ะศกึ ษาคน้ ควา้ จนเขา้ ถงึ ลกั ษณะของนกั ปราชญ์ ทไี่ มร่ จู้ กั อม่ิ ในการศกึ ษาปฏบิ ตั ธิ รรม เป็นเสมือนไฟที่ไมอ่ ิม่ ด้วยเช้ือ และทะเลไมอ่ ิ่มด้วยน้�ำ 

522 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 7) วิริยารัมภะ คือ ความขยันหม่ันเพียร หมายถึง ความเพียรพยายามอย่าง ต่อเนื่องในการป้องกันบาปและขจัดบาป คือ ความชั่ว เสริมสร้างความดี รักษาความดี มีความ บากบั่นม่ันคงเปน็ นติ ย ์ 8) สันตุฏฐี คือ ความสันโดษ หมายถงึ ความยนิ ดพี อใจในส่ิงท่หี ามาไดด้ ้วย ความเพยี รอนั ชอบธรรมของตน โดยเปน็ สงิ่ ทมี่ อี ยใู่ นครอบครอง และยนิ ดใี นการบรโิ ภคใชส้ อยไป ตามความเหมาะสม ไม่มากไมน่ ้อยเกนิ ไป  9) สติ คือ ความระลึกได้ หมายถึง การรู้จักก�ำหนดจดจ�ำ ระลึกทัน นึกออก ระลกึ การทท่ี ำ� คำ� ทพี่ ดู ไวไ้ ด้ ตามสมควรแกก่ รณขี องสง่ิ ทต่ี นระลกึ มคี วามสามารถในการขจดั ความ เผอเรอ หลงลมื หรอื พลง้ั พลาด ซึง่ เปน็ ความไม่ประมาท  10) ปญั ญา คือ ความรอบรู้ หมายถงึ ความมีปญั ญารอบรู้ในสง่ิ ทค่ี วรรู้ หยง่ั รู้ เหตผุ ล รจู้ กั คิดพิจารณา เขา้ ใจภาวะของสิ่งทง้ั หลายตามความเปน็ จรงิ นาถกรณธรรมนี้ อาจเรียกว่า “พหุการธรรม” หรือ ธรรมมีอุปการะมาก เพราะเป็น ก�ำลงั หนนุ ในการบ�ำเพ็ญคุณธรรมต่าง ๆ ซึ่งเปน็ ประโยชนท์ ้งั แก่ตนและผู้อื่นไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักนาถกรณธรรม ในการบริหารตน เพื่อ “การครองตน” ที่ดี โดยการประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้ประพฤติดี ศึกษา เลา่ เรยี นมาก มมี ิตรดี มอี ธั ยาศยั ออ่ นโยนรับฟงั เหตผุ ล เอาใจใส่ขวยขวายในกจิ ของหมูค่ ณะ พอใจ ยินดีในความถกู ตอ้ งเปน็ ธรรม มคี วามหมน่ั เพยี รในการสรา้ งความดี มีความยินดีพอใจในของของ ตนท่ีหามาได้โดยชอบธรรม มีสติไม่ประมาท และมีปัญญารอบรู้ในสิ่งท่ีควรรู้ตามเป็นจริง หลัก นาถกรณธรรมน้ี เป็นหลักธรรมที่ท�ำให้เป็นที่พ่ึงของตน เป็นส่ิงท่ีต้องสร้าง ต้องพัฒนาให้เป็น ท่ีพ่ึง เพราะเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก สามารถเป็นก�ำลังหนุนในการบ�ำเพ็ญคุณธรรมอ่ืน ๆ ให้ สำ� เรจ็ ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง และเมอ่ื ผูบ้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ �ำปฏิบัตติ ามหลักนาถกรณธรรม กจ็ ะเปน็ ตน้ แบบทด่ี ขี องผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาหรอื บคุ ลากรทอ่ี ยรู่ ว่ มกนั ซงึ่ จะเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ใน การบรหิ ารและ/หรือการน�ำสถานศึกษาหรอื องคก์ ารใหป้ ระสบความส�ำเร็จ 1.24 กุศลกรรมบถ (Kusala-kammapatha: wholesome course of action) คือ ทาง ท�ำความดี หมายถึง กรรมดีอันเป็นทางน�ำไปสู่ความสุขความเจริญหรือสุคติ มีหลักส�ำหรับการ ประพฤตปิ ฏบิ ัติ 10 ประการ ซ่งึ อาจจ�ำแนกได้ตามมติ ิแห่งกายกรรม วจกี รรม และมโนกรรมดังนี้ (ม.มู. 12/485/523; องฺ.ทสก. 24/165/287; 168-181/296-300) ก. กายกรรม (Kāyakamma: bodily action) คอื การกระทำ� ดีทางกาย ซึง่ แบ่ง ออกได้ 3 ประการ ดังน้ี 1) เว้นจากปาณาติบาต คือ เว้นจากการฆ่าและการเบียดเบียนแล้ว มีเมตตากรุณาช่วยเหลือเกือ้ กูลแกค่ นอน่ื และสัตวอ์ ื่น 2) เว้นจากอทินนาทาน คือ เว้นจากการถือเอาส่ิงของท่ีเขามิได้ให้ โดยอาการแห่งขโมยแล้ว มีความเคารพกรรมสทิ ธิใ์ นทรพั ยส์ นิ ของผูอ้ นื่ 3) เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร คือ เว้นจากการประพฤติผิดในกามแล้ว ประพฤตติ นโดยไมล่ ว่ งละเมดิ ประเพณที างเพศ ไมล่ ว่ งละเมดิ ในหญงิ มสี ามี หรอื หญงิ มบี ดิ ามารดา

Research in Educational Administration • 523 ปกครองหวงห้าม ข. วจีกรรม (Vacīkamma: verbal action) คอื การกระท�ำดที างวาจา ซงึ่ แบง่ ออกได้ 4 ประการ ดงั น้ี 4) เวน้ จากมสุ าวาท คอื เวน้ จากการพดู เทจ็ ไมก่ ลา่ วเทจ็ ไมเ่ ปน็ พยานทพี่ ดู เทจ็ เพราะเหตุแหง่ ตนเองและผูอ้ ื่น หรือเพราะเห็นแกผ่ ลประโยชนใ์ ด ๆ แล้ว เปน็ คนพดู ความจรงิ หรอื ค�ำสัตย์ 5) เวน้ จากปสิ ณุ าวาจา คอื เวน้ จากกการพดู คำ� สอ่ เสยี ด ไมย่ ยุ งหรอื ใสค่ วาม ใหห้ มคู่ ณะแตกกนั แลว้ ชว่ ยพดู สมานคนทแ่ี ตกรา้ วกนั ใหก้ ลบั พรอ้ มเพรยี งกนั สง่ เสรมิ คนใหส้ มคั ร สมานกัน และกล่าวถอ้ ยคำ� ทีส่ รา้ งสามัคคี 6) เว้นจากผรุสวาจา คือ เว้นจากการพูดค�ำหยาบแล้ว พูดค�ำสุภาพอ่อน หวาน ไมม่ โี ทษ เสนาะโสต หรือพดู คำ� ที่ใหเ้ กิดความรักและความพึงพอใจของคนสว่ นใหญ ่ 7) เวน้ จากสมั ผสั ปลาป คอื เวน้ จากการพดู เพอ้ เจอ้ แลว้ พดู คำ� จรงิ มเี หตผุ ล มสี ารประโยชน์ มหี ลกั ฐานทอี่ า้ งองิ ถูกกาลเทศะ มเี วลาจบ และสมควรแกเ่ วลา ค. มโนกรรม (Manokamma: mental action) คอื การกระท�ำดที างใจ ซึ่งแบง่ ออกได้ 3 ประการ ดังนี้ 8) อนภิชฌา คือ ความไม่คิดโลภ หมายถึง ความไม่เพ่งเล็งอยากได้ของ ผู้อื่น ไมค่ ดิ อยากได้ของผ้อู นื่ 9) อพยาบาท คือ ความไม่มีจิตคิดร้าย หมายถึง ความปรารถนาดี โดยขอใหส้ ัตว์ทั้งหลายไมม่ ีเวร ไมเ่ บยี ดเบยี น ไมม่ ที ุกข์ ให้สามารถครองตนอยเู่ ปน็ สุข 10) สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ หมายถึง ความเห็นชอบท่ีถูกต้อง คลองธรรม เชน่ เหน็ วา่ ทานมีผล การบชู ามผี ล ผลของกรรมดกี รรมช่วั มจี รงิ ฯลฯ กศุ ลกรรมบถหมวดนี้ ในบาลเี รยี กชอื่ หลายอยา่ ง เชน่ ธรรมจรยิ า (ความประพฤตธิ รรม) โสไจย (ความสะอาดหรือเคร่ืองชำ� ระตวั ) อริยธรรม หรอื อารยธรรม (ธรรมของผู้เจรญิ ) อรยิ มรรค (มรรคาอันประเสริฐ) สทั ธรรม (ธรรมดี, ธรรมแท)้ สัปปรุ ิสธรรม (ธรรมของสตั บุรุษ) ฯลฯ ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักกุศลกรรมบถใน การบรหิ ารตน เพอ่ื “การครองตน” ทดี่ ี โดยการประพฤติปฏิบตั ติ นตามแนวทางแหง่ กศุ ลกรรมบถ คอื เป็นผ้เู วน้ จากปาณาติบาต เวน้ จากอทินนาทาน เป็นต้น ซึ่งเป็นการท�ำความดีท่คี รบถว้ นทง้ั ทาง กาย วาจา และใจ ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำที่ได้ประพฤติปฏิบัติตนตามแนวทางแห่งกุศลกรรมบถ ดังกล่าวจะเป็นต้นแบบของผู้ใต้บังคับบัญชาหรือบุคลากรท่ีอยู่ร่วมกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ อย่างยิ่งในการบรหิ ารและ/หรอื การนำ� สถานศึกษาหรอื องค์การใหป้ ระสบความส�ำเรจ็ 1.25 บารมี หรือ ทศบารมี (Pāramī: perfections) แปลว่า เต็ม หรือปฏิปทาอัน ยวดย่งิ หรอื ปฏิปทาทใี่ หถ้ ึงฝั่ง ซึ่งบารมีที่แปลวา่ เต็ม หมายถงึ การทำ� ใหก้ ำ� ลงั ใจเตม็ ทรงอยู่ใน ใจให้เต็มครบถ้วนบรบิ ูรณ์ไม่บกพร่อง ทแี่ ปลว่า ปฏิปทาอันยวดยงิ่ หมายถงึ คุณธรรมที่ประพฤติ ปฏิบัติอย่างยิ่งยวด หรือความดีที่บ�ำเพ็ญอย่างพิเศษ เพ่ือบรรลุซึ่งจุดหมายอันสูง เช่น ความเป็น พระพุทธเจ้า และความเป็นมหาสาวก ฯลฯ ส่วนท่ีแปลว่า ปฏิปทาท่ีให้ถึงฝั่ง หมายถึง ธรรมท่ี

524 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา นำ� ไปใหถ้ ึงฝัง่ โนน้ คอื พระนพิ พาน มี 10 ประการ ดังน้ี (ข.ุ พุทฺธ. 33/1/414; ขุ.จริยา. 33/36/596) 1) ทาน คือ การให้ หมายถึง การให้เพอื่ สงเคราะห์ ใหโ้ ดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นความเตม็ ใจในการให้ ไม่เลือกเพศ วัย และฐานะ 2) ศีล คือ การรักษากายวาจาให้เรียบร้อยเป็นปกติภาพ หมายถึง ความ ประพฤตดิ งี ามถกู ตอ้ ง รกั ษาศลี ใหส้ มบรู ณ์ ไมบ่ กพรอ่ ง ไมท่ ำ� ใหศ้ ลี ขาดหรอื ดา่ งพรอ้ ย ไมย่ คุ นอนื่ ให้ ละเมดิ ศลี ไม่ดใี จเมื่อคนอื่นละเมิดศีล รวมทง้ั การรักษาระเบียบวนิ ยั อยา่ งเครง่ ครัด 3) เนกขมั มะ คอื การถอื บวช หมายถงึ การบวชใจ โดยการทำ� จติ ใจใหป้ ราศจาก นิวรณ์ (นวิ รณ์ คือ เครอื่ งก้ันจิตไมใ่ ห้เขา้ ถงึ ความดี) 5 ประการ ไดแ้ ก่  1) กามฉนั ทะ (ความติดใจ ในกามโลกีย์) 2) พยาบาท (ความคิดปองร้าย) 3) ถีนมิทธะ (ความง่วงเหงาหาวนอน ข้ีเกียจ ท้อแท้ หมดอาลยั ) 4) อทุ ธัจจกกุ กุจจะ (ความคดิ ซัดสา่ ยตลอดเวลา ไมส่ งบนิ่ง) และ 5) วจิ กิ ิจฉา (ความลังเล สงสัย ไมแ่ น่ใจ กล้า ๆ กลัว ๆ) 4) ปัญญา คือ ความรอบรู้ หมายถึง ความหยั่งรู้เหตุผล เข้าใจสภาวะของ สิง่ ท้งั หลายตามความเปน็ จริง หรือมีความคดิ ร้เู ท่าทนั สภาวะของกฎสามัญลกั ษณะ ได้แก่ อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา 5) วริ ยิ ะ คอื ความเพยี ร หมายถงึ ความแกลว้ กลา้ ไมเ่ กรงกลวั อปุ สรรค พยายาม บากบ่นั อตุ สาหะ กา้ วหนา้ เร่อื ยไป โดยไมท่ อดทงิ้ ภาระหนา้ ที่ทรี่ ับผิดชอบ  6) ขันติ คือ ความอดทน หมายถึง ความอดทน หรืออดกลั้นต่อส่ิงอันเป็น ปฏิปักษ์ สามารถอดทนต่ออ�ำนาจแห่งกิเลส ความอดทนเป็นเคร่ืองค้�ำจุนความเพียร แม้มีความ เพียรแล้ว แตห่ ากไม่มคี วามอดทน ความเพยี รก็ตั้งอยูไ่ มไ่ ด้ เพราะฉะนน้ั ตอ้ งมคี วามอดทนควบคู่ ไปกบั ความเพียร 7) สัจจะ คือ ความจรงิ หมายถึง การพูดจริง ทำ� จรงิ และจริงใจ ในการกระทำ� ทุกอย่างในด้านของการท�ำความดี 8) อธิษฐาน คือ ความต้ังใจม่ัน หมายถึง การตั้งใจมั่นไว้ให้ตรงในสิ่งที่ท�ำ โดยเปน็ การตดั สนิ ใจเดด็ เดย่ี ว วางจดุ หมายแหง่ การกระทำ� ของตนไวแ้ นน่ อน และดำ� เนนิ ไปตามนนั้ อย่างแน่วแน่  เช่น สมัยที่พระสิทธัตถะน่ังประทับท่ีโคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงอธิษฐานว่า “ถ้าเราไม่ได้สำ� เร็จพระโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากท่ีน้ี แม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไป หรือจะตายไปก็ตามที” พระองค์ทรงอธิษฐานจิตอย่างม่ันคงและแน่วแน่โดยเอาชีวิตเข้าแลกแล้ว พระองคก์ ็ทรงบรรลุพระโพธญิ าณในคืนวันนัน้   9) เมตตา คือ ความรัก หมายถึง ความปรารถนาดี มีไมตรีจิต คิดเกื้อกูลให้ ผู้อื่นและเพ่ือนร่วมโลกท้ังปวงมีความสุขความเจริญ  เป็นการสร้างอารมณ์แห่งความดี ไม่เป็น ศตั รูกับใคร มคี วามรักตนเสมอดว้ ยบคุ คลอื่น    10) อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง หมายถึง ความวางใจสงบราบเรียบ สมำ่� เสมอ เทย่ี งธรรม ไมเ่ อนเอียงไปด้วยความยนิ ดียนิ ร้ายชอบชัง หรอื แรงเย้ายวนย่วั ยุใด ๆ หรือ วางเฉย โดยเป็นการอโหสิกรรมให้กับบุคคลที่เคยล่วงเกินกันมา ไม่ชอบไม่โกรธไม่เกลียดไม่ชัง ใคร ๆ ท�ำใจใหน้ ิ่ง ทำ� จิตให้สงบ

Research in Educational Administration • 525 บารมี 10 ประการ (หรือ ทศบารม)ี ดงั กลา่ วมาขา้ งตน้ พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงบำ� เพญ็ มาแล้ว ในอดีตชาติเม่ือคร้ังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ โดยได้บ�ำเพ็ญมาอย่างต่อเนื่อง  จึงสามารถ ชนะอุปสรรคทีค่ อยขดั ขวางไปได้ ถือวา่ เปน็ พุทธจริยาที่ควรยดึ ถือเปน็ แบบอย่างส�ำหรับผู้บรหิ าร และ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ โดยเฉพาะการใช้ความเพียรวิริยะอุตสาหะ ความอดทน การส่ังสมความดี  และการใช้ความรอบคอบมีเหตุผล  ที่จะต่อสู้กับพญามาร คือ  กิเลส  ได้แก่ ความโลภ  ความโกรธ  และความหลง บารมี 10  น้ี สามารถแยกออกเป็นหมวดได้ 3 หมวด และจัดออกเป็นคู่ ๆ ทีส่ นับสนนุ กัน ในเวลาทบ่ี �ำเพ็ญบารมี ได้แก่ หมวด 1 ศีล (ทาน คกู่ ับ เมตตา, ศลี ค่กู บั เนกขมั มะ) หมวด 2 สมาธิ (วริ ิยะ คกู่ บั ขนั ต,ิ สัจจะ ค่กู ับ อธิษฐาน) และหมวด 3 ปญั ญา (ปัญญา คกู่ บั อุเบกขา) อีกอย่างหน่ึง บารมี 10 ประการ ดังกล่าว จัดเป็นธรรมพิเศษหมวดหนึ่ง มีช่ือว่า  “พทุ ธกรณธรรม”  คอื ธรรมพเิ ศษทกี่ ระทำ� ใหไ้ ดเ้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ และมชี อื่ วา่ “โพธปิ รปิ าจนธรรม” คือ ธรรมส�ำหรับพระพุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ท่ีต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบ�ำเพ็ญบารมี 10 ประการ น้ี ผ้บู รหิ ารและ/หรอื ผ้นู ำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ าร ควรประยกุ ต์ใช้หลักบารมใี นการบริหาร ตน เพื่อ “การครองตน” ท่ดี ี โดยการประพฤติปฏบิ ัติตนเป็นผู้มีทาน ศีล เปน็ ต้น เพราะการปฏิบตั ิ ตามหลักบารมีดังกล่าว จะท�ำให้เป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งความดี ที่จะส่งผลต่อความร่วมมือของ ผู้ตามและจะท�ำให้การปฏิบัติหน้าท่ีท่ีรับผิดชอบบรรลุผลสูงสุด อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้เสมอ ว่า ผู้มีบารมีตามมิติทางพระพุทธศาสนานั้น คือ ผู้มีความดีท่ีได้บ�ำเพ็ญแล้ว ในสังคมไทยมักจะ ใชค้ �ำว่า “ บารมี ” กันอย่างไมถ่ กู ต้อง เชน่ นกั การเมอื งคนนั้นคนนีม้ อี ทิ ธพิ ล มีบารมมี าก จนเปน็ ที่เกรงกลัวของคนทั้งหลาย หรือเจ้าพ่อเจ้าแม่คนนี้มีบารมีคุ้มครองไว้เพราะเป็นผู้ทรงอิทธิพล อยู่เหนือกฎหมาย ฯลฯ ซึ่งเป็นการน�ำค�ำว่า “บารมี” ไปใช้กับบุคคลท่ีไม่มีคุณธรรม ถือว่าเป็น การน�ำไปใชใ้ นทางที่ผิด เพราะผทู้ ่จี ะมบี ารมีไดน้ ั้น จะต้องเป็นผทู้ รงธรรมอย่างยงิ่ 2. หมวดหลกั ธรรมเพ่อื “การครองคน” ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำท่ีดีต้องมีศิลปะในการครองใจคน สามารถจูงใจคนให้เต็มใจ ร่วมมือหรือให้การสนับสนุนในการน�ำสถานศึกษาหรือองค์การ เป็นนักประสานความเข้าใจของ ทุกฝ่าย สามารถจัดการความขัดแย้งระหว่างบุคคลและประสานประโยชน์ให้เกิดกับองค์การได้ นอกจากน้ี ผู้บริหารและ/หรอื ผู้น�ำทด่ี ีจะตอ้ งมีทมี ทำ� งานที่ดี มีความสมัครสมานสามัคคี สามารถ ชักจูงหรือชี้น�ำบุคคลอื่นให้ปฏิบัติงานจนส�ำเร็จตามเป้าหมาย บรรลุวัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ได้อย่าง มีประสทิ ธผิ ลและประสทิ ธิภาพ โดยทั่วไป ทุกองค์การย่อมต้องการคนหรือบุคลากรท่ีเป็นทั้งคนเก่งและคนดีไป พร้อม ๆ กัน ถา้ หากเป็นไปได้ก็คงจะเป็นเรื่องท่ดี ีมาก ๆ แต่หากเปน็ ไปไมไ่ ด้และจำ� เปน็ ต้องเลือก ระหว่างคนเก่งและคนดี ผู้บริหารส่วนใหญ่คงต้องเลือกคนดีไว้ เพราะคิดว่าความเป็นคนเก่ง สามารถที่จะสนับสนุนให้มีการเรียนรู้และพัฒนาจนเกิดความช�ำนาญได้ แต่คนดีมันต้องสร้างมา จากภายในไมม่ ใี ครสามารถบงั คบั ได้ ผบู้ รหิ ารหลายคนพยายามหาวธิ กี ารบรหิ ารจดั การแบบใหม่ ๆ

526 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา มามากมายเพอ่ื ทจี่ ะสรา้ งใหบ้ คุ ลากรภายในองคก์ ารเปน็ ทง้ั คนเกง่ และคนดีซง่ึ บางองคก์ ารกป็ ระสบ ความส�ำเรจ็ แตบ่ างองคก์ ารกต็ ้องพบกับความลม้ เหลว ในมติ ทิ างดา้ นพระพทุ ธศาสนา มหี ลกั ธรรมจำ� นวนมากทผ่ี บู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สามารถ น�ำมาประยุกต์ใช้ในการประพฤติปฏิบัติเพ่ือ “การครองคน” ที่ดี สามารถผูกใจคนในสถานศึกษา หรือองคก์ าร ธ�ำรงไวซ้ ง่ึ คนดี คนเก่ง รวมท้งั ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการบริหารหรอื การน�ำคนหรอื บคุ ลากร ให้ได้ปฏิบัติตามเพ่ือเป็นคนดีและคนเก่ง ตามล�ำดับ เพราะการที่จะเป็นคนเก่งได้ต้องมาจากการ เป็นคนดีกอ่ น ในทน่ี ี้ จะนำ� เสนอหมวดหลกั ธรรมท่เี รยี กวา่ “หมวดหลักธรรมเพ่อื การครองคน” ดงั แสดงในตารางที่ 16.6 ตารางท่ี 16.6 หมวดหลักธรรมเพอ่ื “การครองคน” 2. หมวดหลักธรรมเพอ่ื “การครองคน” 2.8 ราชสังคหวตั ถุ 4 2.1 โลกปาลธรรม 2 2.9 สาราณียธรรม 6 2.2 บคุ คลหาได้ยาก 2 2.10 กัลยาณมติ รธรรม 7 2.3 พรหมวหิ าร 4 2.11 อปรหิ านยิ ธรรม 7 2.4 สงั คหวตั ถุ 4 2.12 ทศพธิ ราชธรรม 10 2.5 (เว้น)อคติ 4 2.13 จกั รวรรดวิ ตั ร 12 2.6 สุหทมติ ร 4 2.7 เหฏฐิมทิศ 5 จากตารางที่ 16.6 หมวดหลักธรรมเพื่อ “การครองคน” เป็นหมวดหลักธรรมท่ี ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำที่ดีจะต้องประพฤติปฏิบัติตนเพื่อให้สามารถจูงใจคนให้เต็มใจร่วมมือหรือ ให้การสนับสนุนในการบริหารสถานศึกษาหรือองค์การ หมวดหลักธรรมดังกล่าวมี 13 หมวด โดยมรี ายละเอียด ดังนี้ 2.1 โลกปาลธรรม (โล-กะ-ปา-ละ-ทำ� /Lokapāla-dhamma: virtues that protect the world) แปลว่า ธรรมคุ้มครองโลก หมายถึง หลักธรรมท่ีท�ำให้โลกไม่เกิดความเดือดร้อน วุ่นวาย สับสน เป็นธรรมท่ีน�ำสันติสุขมาให้แก่ชาวโลก เรียกอีกช่ือว่า เทวธรรม (เท-วะ-ท�ำ) แปลว่า ธรรมของ เทวดา หมายถึง หลักธรรมท่ีช่วยท�ำให้มนุษย์มีจิตใจสูงส่งประดุจเทวดา ประกอบด้วยหลักธรรม 2 ประการ ดงั นี้ (องฺ.ทุก. 20/255/65; ขุ.อติ .ิ  25/220/257) 1) หิริ  คอื ความละอายใจตอ่ บาป หมายถงึ ความละอายท่ีจะทำ� ช่ัว พดู ชว่ั และ คดิ ชัว่ โดยไม่ตอ้ งมผี ใู้ ดบอกกลา่ วให้เกดิ ความละอาย แตเ่ ปน็ ความรู้สึกทเี่ กดิ ขึ้นในใจของตนเอง 2) โอตตัปปะ  คือ ความเกรงกลัวต่อบาป หมายถึง ความเกรงกลัวต่อผลของ กรรมชวั่ เพราะตระหนักรูว้ า่ คนทำ� ดไี ดด้ ี ท�ำชว่ั ได้ชว่ั หรือเป็นความเกรงกลวั ตอ่ ผลของความชั่ว เพราะร้แู ละเขา้ ใจในเรอ่ื งกฎแห่งกรรม

Research in Educational Administration • 527 ความละอายและความเกรงกลัวที่เกิดข้ึนเพราะกฎระเบียบบังคับทางสังคมน้ันไม่ถือว่า เปน็ หริ แิ ละโอตตปั ปะเพราะเกดิ ขน้ึ จากบคุ คลภายนอกไมไ่ ดเ้ กดิ ขน้ึ จากจติ ใจของตนเองซง่ึ สามารถ กระท�ำลับหลังได้ หากไม่มีใครรู้เห็น เช่น สมพิศไม่เสพยาบ้าในผับบาร์ เพราะกลัวถูกต�ำรวจจับ แตก่ ลบั มาเสพท่ีบา้ นตามล�ำพงั สมชายไม่กลา้ ปลน้ ร้านทองในเวลากลางวนั เพราะเหน็ ตำ� รวจน่งั เฝ้าอยู่ แต่แอบเข้าไปขโมยทองในเวลากลางคืนเพราะว่าไม่มตี �ำรวจ ฯลฯ อยา่ งน้ไี ม่ถือวา่ มหี ิริและ โอตตปั ปะ ผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ ารควรประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั โลกปาลธรรมในการ บรหิ ารคน เพ่อื “การครองคน” ที่ดี คอื ตนเองปฏิบตั ติ ามหลกั หริ ิโอตตัปปะก่อน เพ่ือเปน็ ต้นแบบ ท่ีดี จากนั้น จึงเน้นการบริหารให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ท่ีอยู่ร่วมกันในสถานศึกษาหรือองค์การ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นตามหลกั โลกปาลธรรม โดยไมท่ ำ� ความชวั่ ทงั้ ตอ่ หนา้ และลบั หลงั ผอู้ น่ื ทงั้ น้ี เพอื่ ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ตามมีหลักธรรมท่ีท�ำให้สถานศึกษาหรือองค์การไม่เกิดความเดือดร้อน วุ่นวาย สับสน อันจะส่งเสริมสนับสนุนให้การบริหารและ/หรือการน�ำสถานศึกษาหรือองค์การ เกดิ สนั ติสขุ มธี รรมาภบิ าล มคี วามโปรง่ ใส และตรวจสอบได้ 2.2 บคุ คลหาได้ยาก (Dullabha-puggala: rare persons) เปน็ หลักบุคคลทห่ี าไดย้ ากใน โลก คือ มีจ�ำนวนน้อยมากเม่ือเปรียบเทียบกับสัตว์โลกหรือบุคคลส่วนใหญ่ในโลก มี 2 ประเภท ดงั น้ี (องฺ.ทุก. 20/364/108) 1) บพุ การี (One who is first to do a favor) คือ ผ้ทู ำ� อุปการะก่อน หมายถงึ ผู้ท�ำความดีหรือท�ำประโยชน์ให้ผู้อ่ืนแต่ต้นโดยไม่คิดถึงผลตอบแทนหรือประโยชน์อ่ืนใดท่ีจะได้ รบั ภายหลงั อาทิ มารดาบิดา ครบู าอาจารย์ 2) กตัญญูกตเวที (One who is grateful and repays the done favor) คือ ผู้รู้ อปุ การะทเ่ี ขาทำ� แลว้ และตอบแทน หมายถงึ ผรู้ จู้ กั คณุ คา่ แหง่ การกระทำ� ดขี องผอู้ นื่ และแสดงออก เพื่อบูชาความดีนั้น เช่น ลูกรู้คุณค่าแห่งการท�ำดีของมารดาบิดาและตอบแทนคุณมารดาบิดา ศิษยร์ ้คู ุณค่าแหง่ การท�ำดีของครบู าอาจารยแ์ ละตอบแทนครูบาอาจารย ์ ฯลฯ สาเหตุท่ีเรียกบุคคล 2 ประเภทข้างต้นว่า เป็นบุคคลท่ีหาได้ยากในโลก เพราะคนเรา น้ันถูกอวิชชาและตัณหาครอบง�ำ มุ่งแต่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว เมื่อตนเองได้รับความสุขแล้ว ก็มักจะไม่ค่อยคิดค�ำนึงถึงผู้อื่น ฉะน้ัน จึงเป็นการยากที่จะท�ำตนให้เป็นบุพการีได้ ส่วนผู้ที่ได้ รับอุปการะหรือผลประโยชน์จากผู้อื่นแล้ว โดยมากมักรู้จักแต่คุณหรือผลประโยชน์ที่ได้รับ แต่ไมร่ ู้จักตอบแทน จงึ เปน็ การยากท่ีจะท�ำตนให้เป็นกตัญญูกตเวทีได้ อีกอย่างหนง่ึ บุพการี ท่เี รียกว่า เป็นบุคคลทห่ี าได้ยากในโลก เพราะการทำ� อุปการะช่วย เหลอื ผอู้ ืน่ ก่อน ตอ้ งท�ำด้วยกศุ ลจิต ไมไ่ ดท้ ำ� เพราะหวงั ผลตอบแทนภายหลัง หรือตอ้ งการเปน็ ทร่ี กั จงึ หาไดย้ ากในโลกหรอื มจี ำ� นวนนอ้ ยมากเมอ่ื เทยี บกบั สตั วโ์ ลกหรอื คนสว่ นใหญท่ ม่ี กั จะกระทำ� ดว้ ย การแสดงออกแต่ภายนอก แต่จิตใจอาจหวังผลตอบแทนอย่างใดอย่างหน่ึง หรือไม่ได้ท�ำด้วยกุศล จติ แต่เป็นการทำ� ดว้ ยอกศุ ลจิต ในทำ� นองเดียวกัน กตญั ญกู ตเวที ทเ่ี รยี กวา่ เปน็ บคุ คลทห่ี าไดย้ าก ในโลก เพราะต้องท�ำดว้ ยกศุ ลจิตจริง ๆ ไมใ่ ช่ทำ� เพราะจำ� เป็นต้องท�ำเพราะสง่ิ แวดล้อมภายนอกมา บังคับหรือกดดันให้ต้องท�ำ ซึ่งเม่ือเทียบกับสัตว์โลกหรือคนส่วนใหญ่ในโลกแล้ว ถือว่าหาได้ยาก

528 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา ในโลกหรอื มจี �ำนวนน้อยมาก เพราะคนสว่ นใหญ่มักจะทำ� เพราะส่งิ แวดล้อมภายนอกอืน่ ๆ บงั คบั จงึ ไมช่ อ่ื วา่ กตญั ญกู ตเวที ที่แท้จรงิ ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักบุคคลหาได้ยาก ในการบริหารคน เพ่ือ “การครองคน” ที่ดี คือ ตนเองปฏิบัติตามหลักบุคคลหาได้ยากก่อน เพื่อ เป็นต้นแบบท่ีดี จากนั้น จึงเน้นการบริหารให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ที่อยู่ร่วมกันในสถานศึกษา หรือองค์การประพฤติปฏบิ ตั ติ นตามหลกั บุคคลหาได้ยาก โดยให้ตัง้ ใจทำ� ความดหี รือทำ� ประโยชน์ ให้แก่สถานศึกษาหรือองค์การต้ังแต่เข้ารับต�ำแหน่ง และรู้จักคุณค่าแห่งการกระท�ำดีของผู้ก่อตั้ง สถานศึกษาหรือองค์การ และแสดงออกเพ่ือบูชาความดีน้ัน เช่น การตอบแทนด้วยการท�ำบุญ อทุ ศิ สว่ นกศุ ลให้ การตอบแทนดว้ ยการประพฤตปิ ฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบ ฯลฯ และใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา หรือผู้ตามเป็นคนดีที่มีคุณค่าในสถานศึกษาหรือองค์การ อันจะส่งเสริมสนับสนุนให้การบริหาร และ/หรอื การนำ� สถานศกึ ษาหรือองค์การมคี วามเจรญิ กา้ วหน้า 2.3 พรหมวิหาร (Brahmavihāra: holy abidings) คือ หลักธรรมประจ�ำใจอัน ประเสริฐหรือหลักความประพฤติท่ีประเสริฐบริสุทธิ์เฉกเช่นพรหม เป็นหลักธรรมส�ำหรับการ ประพฤติปฏิบัติของผู้ท่ีเป็นผู้ปกครอง ผู้บริหาร ผู้นำ� และ/หรือผู้ใหญ่ ประกอบด้วยหลักปฏิบัติ 4 ประการ ดงั นี้ (ท.ี ม. 10/184/225; ที.ปา. 11/228/232; อภ.ิ ส.ํ  34/190/75) 1) เมตตา  คือ ความรักใคร่ ปรารถนาดีต่อผู้อื่น อยากให้ผู้อ่ืนมีความสุข มีจติ อนั แผไ่ มตรแี ละคิดท�ำประโยชน์แกม่ นุษย์สตั ว์ทวั่ หน้า 2) กรุณา  คือ ความสงสาร คิดช่วยให้ผู้อ่ืนพ้นทุกข์ และใฝ่ใจในอันจะ ปลดเปลอื้ งบ�ำบัดความทกุ ข์ยากเดอื ดรอ้ นของปวงสตั ว์ 3) มุทิตา คือ ความยินดี มีความยินดีในเม่ือผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใส บันเทิง ประกอบด้วยอาการแช่มช่ืนเบิกบานอยู่เสมอต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ด�ำรงอยู่อย่างปกติสุข และพลอยยนิ ดดี ว้ ยเมอ่ื เขาไดด้ ีมสี ขุ หรอื เจรญิ รงุ่ เรืองยงิ่ ขึ้นไป 4) อเุ บกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง อนั จะใหด้ ำ� รงอยู่ในธรรมตามทพี่ จิ ารณา เหน็ ดว้ ยปัญญา คอื มจี ิตเรียบตรงเท่ียงธรรมดุจตาช่งั ไมเ่ อนเอยี งด้วยรักและชงั พิจารณาเห็นกรรม ที่สัตว์ทั้งหลายได้กระท�ำแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือช่ัว สมควรแก่เหตุท่ีเขาได้กระท�ำแล้ว เป็น ผพู้ รอ้ มท่ีจะวินิจฉัยและปฏบิ ัติไปตามธรรม รวมทัง้ รู้จักวางเฉยสงบใจมองดู ในเม่อื ไมม่ ีกิจหนา้ ท่ี ท่ีควรท�ำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอัน สมควรกบั ความรับผิดชอบของตน ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ซึ่งต้องดูแลทุกข์และสุขของบุคลากร ควรประยุกตใ์ ช้หลักพรหมวหิ ารในการบรหิ ารคน เพอื่ “การครองคน” ท่ดี ี คอื ตนเองปฏบิ ตั ิตาม หลักพรหมวหิ ารกอ่ น เช่น  เป็นผู้มีจติ ใจทมี่ เี มตตาและกรุณาต่อบคุ ลากร คอื มคี วามปรารถนาให้ บุคลากรมีความสุขและพ้นจากความทุกข์ ให้ได้ท�ำงานในสภาพที่มีสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย และ ไมเ่ ป็นอันตรายต่อชีวิต โดยให้ความส�ำคัญกับการน�ำระบบการจัดการด้านอาชวี อนามัยและความ ปลอดภัย และการจดั การด้านสิง่ แวดล้อมมาใช้ในสถานศกึ ษาหรือองค์การอยา่ งจริงจงั โดยไม่เห็น ว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นภาระของสถานศึกษาหรือองค์การ เป็นผู้มีมุทิตาจิต คือ ยินดีกับชีวิตความ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook