Research in Educational Administration • 279 3. การวิจัยในคร้ังนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ท่ีระดมความคิดเห็นของประชาชนใน ตำ� บลทา่ นำ้� และคณะครโู รงเรยี นบา้ นทา่ นำ�้ เพอ่ื สรา้ งรปู แบบการเยยี วยาชมุ ชนสมั พนั ธด์ ว้ ยวธิ กี าร บริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนบ้านท่าน้�ำ โดยมีวิธีการเก็บข้อมูลดังน้ี 1) เวทีชุมชน 2) การสมั ภาษณ์ 3) การสนทนากลุม่ ยอ่ ย วิธดี �ำเนนิ การวจิ ัย เพอ่ื ใหก้ ารดำ� เนนิ การวจิ ยั บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ จงึ ไดก้ ำ� หนดวธิ ดี ำ� เนนิ การวจิ ยั เปน็ 3 ระยะ ดังน้ี ระยะท่ี 1 ก�ำหนดรูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการบริหารโดยใช้โรงเรียน เปน็ ฐานของโรงเรียนบา้ นทา่ น�ำ้ ประกอบดว้ ยขัน้ ตอน ดังนี้ ขน้ั ตอนท่ี 1 จดั เวทชี มุ ชนโดยเชญิ คณะครู ผนู้ ำ� ชมุ ชน ผนู้ ำ� เยาวชน และประชาชน ในต�ำบลท่าน�้ำเข้าร่วมประชุมเพื่อร่วมคิดรูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการบริหาร โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน โดยมีผู้อ�ำนวยการโรงเรียนบ้านท่าน�้ำเป็นประธานการประชุมและครู เปน็ เลขานกุ าร ทำ� หน้าทบ่ี นั ทึกการประชุม ใช้เวลาประชุมประมาณ 3 ชว่ั โมง ขัน้ ตอนที่ 2 สรุปสาระการประชุมเพ่ือก�ำหนดเป็นรูปแบบการเยียวยาชุมชน สมั พนั ธ์ด้วยวธิ กี ารบรหิ ารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ข้ันตอนท่ี 3 เชิญตัวแทนท่ีประชุมน�ำเสนอรูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ ด้วยวิธีการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนท่าน�้ำ จากนั้นจึงเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วม ประชุมวิพากษก์ ่อนนำ� ไปใชจ้ ริงอกี ครงั้ ขั้นตอนท่ี 4 น�ำข้อมูลท่ีได้มาวิเคราะห์ประมวลผลเป็นรูปแบบ (Model) เรียบเรียง และนำ� เสนอเปน็ ความเรียง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยระยะท่ี 1 มาจากประชากร 7 กลุ่ม ได้แก่ ครู นักเรียน คณะกรรมการสถานศึกษา คณะกรรมการเยียวยาและฟื้นฟูสมานฉันท์ชุมชน เยาวชนในชุมชน ผู้น�ำชุมชน และประชาชนต�ำบลท่าน้�ำเข้าร่วมกิจกรรมเวทีชุมชนเพ่ือเสนอความคิดเห็นรูปแบบ การเยยี วยาชุมชนสัมพันธ์ดว้ ยวธิ กี ารบรหิ ารโดยใชโ้ รงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนทา่ น้�ำ เครื่องมือในการวิจัยระยะที่ 1 เป็นแบบบันทึกการประชุมเวทีชุมชน โดยผู้วิจัย 3 คน สงั เกต บันทึกแบบมสี ่วนร่วม ระยะที่ 2 นำ� รปู แบบการเยยี วยาชมุ ชนสมั พนั ธด์ ว้ ยวธิ กี ารบรหิ ารโดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐาน ของโรงเรยี นบ้านทา่ น้ำ� ไปใช้จริงในภาคสนาม ประกอบดว้ ยขั้นตอนดังน้ี ขนั้ ตอนท่ี 1 ประชุมเตรียมความพร้อมของบุคลากรเพื่อให้เข้าใจแนวทางการจัด กจิ กรรมตามรปู แบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธด์ ้วยวธิ กี ารบรหิ ารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ข้นั ตอนที่ 2 น�ำรูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการบริหารโดยใช้ โรงเรียนเป็นฐานไปใชจ้ รงิ
280 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา ขั้นตอนท่ี 3 ผวู้ จิ ยั เกบ็ ขอ้ มลู หลงั เสรจ็ สน้ิ กจิ กรรมสดุ ทา้ ยของรปู แบบการเยยี วยา ชมุ ชนสมั พนั ธด์ ว้ ยวธิ กี ารบรหิ ารโดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐานของโรงเรยี นบา้ นทา่ นำ้� ดว้ ยการสมั ภาษณ์ ผู้เขา้ ร่วมกิจกรรม และผูด้ ำ� เนนิ การจัดกจิ กรรมดงั ค�ำถามตอ่ ไปนี้ 1) วธิ ีการ และขัน้ ตอนการด�ำเนนิ งานกจิ กรรมเหมาะสมหรอื ไม่ อยา่ งไร 2) กจิ กรรมดงั กลา่ วท�ำให้ท่านร้สู ึกอย่างไรต่อโรงเรยี นบา้ นท่านำ้� 3) สิ่งใดบ้างท่ีดี และสิ่งใดบ้างทไี่ ม่เหมาะสมในกจิ กรรมทที่ า่ นร่วม 4) กอ่ นและหลังรว่ มกจิ กรรมท่านมคี วามคิดเห็นแตกต่างกนั หรอื ไม่ อยา่ งไร 5) สถานทท่ี ่ีด�ำเนินกจิ กรรมเหมาะสมหรอื ไมอ่ ยา่ งไร 6) ถา้ มกี ิจกรรมเชน่ น้อี กี ท่านต้องการเข้าร่วมอกี หรือไม่ เพราะเหตุใด ขน้ั ตอนท่ี 4 สรปุ ขอ้ มลู กจิ กรรมของแตล่ ะรปู แบบการเยยี วยาชมุ ชนสมั พนั ธด์ ว้ ย วิธีการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนบ้านท่าน�้ำ โดยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ของผู้เขา้ รว่ มกจิ กรรม และผ้ดู ำ� เนนิ การจัดกจิ กรรมแตล่ ะประเภทการเยยี วยา โดยผู้วิจยั จำ� นวน 3 คน เพื่อตรวจสอบความตรงและความสอดคล้องด้านความเหน็ และนำ� เสนอในรูปความ เรียง ตามประเดน็ คำ� ถาม ดงั น้ี 1) ทัศนคตติ อ่ กิจกรรม 2) ขั้นตอนการดำ� เนนิ กิจกรรม 3) ความแตกต่างกอ่ นและหลงั รว่ มกิจกรรม 4) ขอ้ เสนอแนะในการจัดกิจกรรมคร้ังต่อไป กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยระยะที่ 2 มาจากประชากร 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มผู้จัด กิจกรรม และกลมุ่ ผู้รว่ มกจิ กรรมสถานศกึ ษา ดงั มรี ายละเอียดดังนี้ 1) กล่มุ ผู้จดั กิจกรรมประกอบ ดว้ ย ครู คณะกรรมการสถานศึกษา คณะกรรมการเยียวยาและฟ้ืนฟสู มานฉันท์ชุมชน คณะทำ� งาน ผนู้ �ำชุมชน 2) กลุม่ ผ้รู ่วมกิจกรรม ประกอบด้วย นักเรียน เยาวชน และประชาชนต�ำบลท่านำ้� ทเ่ี ขา้ รว่ มกจิ กรรมทีช่ ุมชนร่วมกันเสนอความคดิ เหน็ สำ� หรบั วธิ กี ารคดั เลอื กกลมุ่ ตัวอย่างไดม้ าจากการ สุม่ แบบเจาะจง เคร่ืองมือในการวิจัยระยะที่ 2 เป็นแบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้างตามประเด็น ค�ำถามดังกล่าวข้างต้น ท้ังนี้ผู้วิจัยจะด�ำเนินการสัมภาษณ์ร่วมกันกับครูโรงเรียนบ้านท่าน�้ำในทุก กจิ กรรม โดยใช้วิธกี ารจดบันทึก ระยะที่ 3 พฒั นารปู แบบการเยยี วยาชมุ ชนสมั พนั ธด์ ว้ ยวธิ กี ารบรหิ ารโดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐานของโรงเรียนบา้ นท่าน้�ำ ประกอบด้วยขั้นตอน ดังน้ี ขน้ั ตอนที่ 1 เชิญคณะครู ตัวแทนผู้น�ำชุมชน ตัวแทนผู้น�ำเยาวชน และตัวแทน ประชาชน ในต�ำบลท่าน้�ำเข้าร่วมสนทนากลุ่ม โดยผู้วิจัยท�ำหน้าท่ีด�ำเนินการประชุม เร่ิมต้นด้วย การน�ำเสนอผลการวิจัยของแต่ละรูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการบริหารโดยใช้ โรงเรียนเปน็ ฐานของโรงเรยี นบ้านทา่ นำ�้
Research in Educational Administration • 281 ขัน้ ตอนที่ 2 เปิดโอกาสให้ทุกคนในท่ีประชุมแสดงความคิดเห็นคนละ 10 นาที และผชู้ ่วยวจิ ัยบันทึกความคิดเห็น และบันทกึ เสยี ง ขัน้ ตอนท่ี 3 เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มประชมุ วพิ ากษเ์ ชงิ สรปุ ความคดิ เหน็ ทมี่ ตี อ่ รปู แบบการเยยี วยาชมุ ชนสมั พนั ธด์ ว้ ยวธิ กี ารบรหิ ารโดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐานของโรงเรยี นบา้ นทา่ นำ�้ อกี ครงั้ ทง้ั น้ีใชเ้ วลาในการดำ� เนนิ การสนทนาประมาณ 3 ช่วั โมง ข้นั ตอนท่ี 4 วเิ คราะหข์ อ้ มลู หลงั เสรจ็ สนิ้ การสนทนากลมุ่ กจ็ ะนำ� บนั ทกึ เสยี งจาก เทปมาถอดความโดยละเอียดท้ังหมดเป็นตัวอักษรตามบทสนทนา เปรียบเทียบกับการจดบันทึก ข้อมูลของผู้จดบันทึกข้อมูล เพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกคร้ังหนึ่ง ต่อจากนั้นจึงสรุปข้อมูลใน หัวข้อต่าง ๆ ดังน้ี 1) ความเหมาะสมและความเปน็ ไปไดใ้ นการนำ� รปู แบบไปใช้ 2) เง่อื นไขสำ� คัญของการพฒั นามอี ะไรบา้ ง 3) ข้อเสนอแนะอื่น ๆ ข้ันตอนที่ 5 สรปุ ผลการประชมุ โดยประธานการประชมุ ขั้นตอนที่ 6 นำ� ขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ าวเิ คราะหป์ ระมวลผลและเรยี บเรยี ง จากนนั้ นำ� เสนอ ในรปู ความเรยี ง แตล่ ะหวั ขอ้ ในการวเิ คราะหจ์ ะถกู ประเมนิ โดยเอกเทศจากผชู้ ว่ ยวจิ ยั 1 คน ในกรณี ทีก่ ารประเมินจากผ้วู จิ ัยไมส่ อดคลอ้ งกัน นักวจิ ัยตอ้ งแกป้ ัญหาโดยการตรวจสอบข้อมลู ร่วมกนั อกี ครั้งหนึ่ง ด้วยวิธีการเช่นนี้ จึงน่าจะเชื่อถือได้ว่า การวิเคราะห์ในครั้งน้ี ได้ยึดข้อมูลท่ีได้จากการ สนทนาเปน็ หลัก กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยระยะท่ี 3 มาจากตัวแทนประชากร 6 กลุ่ม ได้แก่ ครู คณะกรรมการสถานศึกษา คณะกรรมการเยียวยาและฟื้นฟูสมานฉันท์ชุมชน ตัวแทนเยาวชน ผู้น�ำชุมชน และคณะท�ำงาน ร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับรูปแบบที่น�ำไปใช้เปรียบเทียบกับผล การสัมภาษณ์ เคร่ืองมือในการวิจัยระยะที่ 3 เป็นแบบบันทึกการสนทนากลุ่มเพื่อปรับปรุงรูป แบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนบ้านท่านำ�้ โดยผู้วิจัย 3 คน แบ่งหน้าที่ดงั นคี้ ือ คนที่ 1 เปน็ ผนู้ ำ� เสนอผลการวจิ ัยทง้ั 2 ระยะ คนที่ 2 ท�ำหน้าที่ น�ำสนทนาโดยเชญิ ให้ผู้เขา้ รว่ มสนทนาได้อภปิ รายเพ่ือน�ำไปสูก่ ารพฒั นา หรือปรับปรุงรูปแบบให้ สมบรู ณ์ ส่วนคนที่ 3 ทำ� หน้าทบี่ ันทึกด้วยเทปและถอดเทปหลงั จากสนทนากลมุ่ เครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย เครื่องมือทใี่ ช้ในการวจิ ยั ครั้งนม้ี ดี งั น้ี 1. แบบบนั ทกึ การประชมุ เวทชี มุ ชนเพอื่ สรา้ งรปู แบบการเยยี วยาชมุ ชนสมั พนั ธด์ ว้ ยวธิ ี การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรยี นบ้านท่านำ้� 2. แบบสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมกิจกรรมและผู้ด�ำเนินการจัดกิจกรรมที่มีต่อรูปแบบการ เยยี วยาชมุ ชนสมั พันธ์ดว้ ยวิธกี ารบรหิ ารโดยใช้โรงเรยี นเป็นฐานของโรงเรียนบา้ นท่าน้ำ�
282 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา 3. แบบบนั ทกึ การสนทนากลมุ่ เพอ่ื พฒั นารปู แบบการเยยี วยาชมุ ชนสมั พนั ธด์ ว้ ยวธิ กี าร บรหิ ารโดยใชโ้ รงเรยี นเป็นฐานของโรงเรยี นบา้ นท่าน้�ำ สรปุ ผลการวิจัย ผลการวิจัยสรปุ ตามวตั ถปุ ระสงค์ 3 ขอ้ ดงั นี้ 1. รูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของ โรงเรียนบ้านท่านำ�้ จากการประชุมเวทชี ุมชน สรุปได้ดงั นี้ 1.1 กจิ กรรมอบรมคณุ ธรรมจริยธรรมใหก้ บั นกั เรียนและเยาวชนในทอ้ งถ่นิ 1.2 กิจกรรมแขง่ ขันกีฬาสัมพันธ์ระหว่างหม่บู ้านเพอ่ื สร้างความสัมพันธ์ท่ีดี 1.3 กจิ กรรมสง่ เสริมอาชพี ใหแ้ ก่กลุม่ ตา่ ง ๆ ตามความสนใจมี 5 กจิ กรรมยอ่ ย 1) กิจกรรมปลกู ผกั ไรส้ ารพิษ 2) กิจกรรมท�ำขนมไทย 3) กจิ กรรมหตั ถกรรมไมไ้ ผ่ 4) กจิ กรรมเลยี้ งปลาดุก 5) กิจกรรมสง่ เสรมิ อาชพี เล้ียงไก่ 1.4 กิจกรรมส่งเสริมแหลง่ เรียนรู้อิสลามศกึ ษาของชุมชน 1.5 กิจกรรมส่งเสรมิ ประเพณี วัฒนธรรมของท้องถน่ิ (เมาลิดิลนบีสมั พันธ)์ 2. ผลการนำ� รูปแบบดังกลา่ วไปใช้ สรุปผลดงั น้ี 2.1 กิจกรรมอบรมคุณธรรมจริยธรรม : กล่มุ ตัวอยา่ งมีความรู้สึกวา่ ความรูด้ ังกล่าว เป็นความรู้นอกเหนือจากท่ีเรียนในหลักสูตร สามารถน�ำไปปฏิบัติในชีวิตประจ�ำวันได้ รูปแบบ การจัดกิจกรรมมีความชัดเจน ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน หลังจากผ่านการอบรมครั้งน้ีแล้วท�ำให้ผู้เข้า ร่วมกิจกรรมมีความประพฤติท่ดี ี ความรบั ผิดชอบสงู ขึ้น มรี ะเบยี บวนิ ัย และมสี มาธิดมี าก ทุกฝา่ ย มีความยินดีและให้ความร่วมมือกับทางโรงเรียนเสมอ ข้อเสนอแนะในคร้ังต่อไปควรใช้สถานที่ท่ี เป็นห้องจริยธรรมโดยเฉพาะ และมีการจดั อาหารว่างสำ� หรบั เยาวชนบา้ ง 2.2 กจิ กรรมแขง่ ขนั กีฬาสัมพันธ์ระหวา่ งหมู่บ้านเพอื่ สร้างความสัมพันธ์ทด่ี ี : กลมุ่ ตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมน้ีอยู่ในระดับดีถึงดีมาก ส่งเสริมให้เยาวชนใช้เวลาว่างให้เป็น ประโยชน์ เยาวชนรู้สึกใกล้ชิดกับโรงเรียนมากยิ่งขึ้น ขั้นตอนการด�ำเนินกิจกรรมเหมาะสมแล้ว ต้องการให้โรงเรียนจัดการแข่งขันกีฬาให้เป็นประเพณีทุกปี กิจกรรมนี้ท�ำให้เยาวชนที่เข้าร่วม กิจกรรมมีความรู้สึกเป็นเจ้าของโรงเรียนมากกว่าก่อนร่วมกิจกรรม และยังท�ำให้เยาวชนในทุก หมบู่ า้ นมีความสนทิ สนม สามคั ครี ะหว่างหมบู่ ้านและโรงเรียนมากข้นึ กวา่ เดมิ ครงั้ ต่อไปควรเพ่ิม ประเภทกีฬาให้มากขึ้น เช่น กฬี าพ้นื บ้าน กฬี าฟตุ บอล 7 คน ฯลฯ 2.3 กจิ กรรมสง่ เสรมิ อาชพี ใหแ้ กก่ ลมุ่ ตา่ งๆตามความสนใจประกอบดว้ ย5กจิ กรรม ย่อย ผลการจดั กิจกรรมแต่ละกจิ กรรมปรากฏผลดังน้ี
Research in Educational Administration • 283 1) กิจกรรมปลูกผกั ไรส้ ารพิษ : กลุม่ ตัวอยา่ งมีความพงึ พอใจในความรทู้ ่ไี ด้รบั และประสบการณ์ที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อน แต่บางอย่างต้องปรับปรุง เน่ืองจากกิจกรรมปลูกผักไร้ สารพษิ ไมไ่ ดน้ ำ� ไปสกู่ ารลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ ในกจิ กรรมนห้ี ากจะดำ� เนนิ การตอ่ ไปควรขยายเวลาใหก้ าร ด�ำเนินกิจกรรมให้มากข้ึนและควรให้ความรู้ท้ังระบบในเร่ืองเกี่ยวกับกิจกรรมปลูกผักไร้สารพิษ นอกจากนี้ควรสนับสนุนงบประมาณ ภายหลังท่ีร่วมกิจกรรมดังกล่าวท�ำให้ผู้ร่วมกิจกรรมทุกคน ครู และชาวบา้ นมคี วามสนิทสนมกันมากขึน้ 2) กจิ กรรมทำ� ขนมไทย : ทำ� ให้ชาวบา้ นสามารถนำ� ความรแู้ ละวิธกี ารดงั กล่าว ไปประกอบเปน็ อาชีพเสริมรายได้ จดั ตง้ั กลมุ่ เพื่อหารายได้รว่ มกัน นอกจากนี้รสู้ กึ พอใจที่โรงเรียน เตรยี มวสั ดุอปุ กรณอ์ ยา่ งพรอ้ มเพรยี งสามารถทำ� ใหก้ ารดำ� เนนิ กจิ กรรมเปน็ ไปดว้ ยดีแตส่ งิ่ ทต่ี อ้ งการ ให้ปรบั ปรงุ คือตอ้ งการให้ขยายเวลาเพิ่มมากขน้ึ กว่าเดิม และตอ้ งการใหว้ ทิ ยากรแนะน�ำวธิ ีการท�ำ ขนมแบบอ่นื ๆ เช่น ขนมเคก้ ขนมปงั ไส้ตา่ ง ๆ ฯลฯ 3) กจิ กรรมหตั ถกรรมไมไ้ ผ่:ทำ� ใหช้ าวบา้ นสามารถพฒั นาทกั ษะดา้ นหตั ถกรรม ไม้ไผ่จนกลายเป็นงานอดิเรกยามว่าง และกลายเป็นอาชีพเสริมอีกทางหนึ่ง ขั้นตอนการด�ำเนิน กิจกรรมมีความเหมาะสม วิทยากรให้ความรู้ดีและเป็นกันเอง ควรเพิ่มเวลาให้มากข้ึน นอกจาก นท้ี ำ� ให้ผูเ้ ข้าร่วมกจิ กรรมมคี วามรู้ สามารถปฏบิ ัติได้ และเหน็ คณุ คา่ ของไม้ไผ่ สามารถสร้างสรรค์ เปน็ ผลงานอย่างชัดเจน 4) กิจกรรมเลีย้ งปลาดกุ : กลุ่มตวั อย่างเห็นวา่ เหมาะสม แตใ่ นพธิ เี ปิดควรเชิญ ผู้อ�ำนวยการโรงเรียน ผู้น�ำท้องถิ่นเป็นผู้เปิดงานเพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวบ้านท่ีเข้ามามี สว่ นรว่ ม ขน้ั ตอนการดแู ลปลาในกระชงั ควรเพมิ่ จำ� นวนปลาใหม้ ากขนึ้ เนอ่ื งจากพน้ื ทบี่ อ่ เลยี้ งปลา มบี รเิ วณกวา้ ง ชาวบา้ นมคี วามรสู้ กึ วา่ กจิ กรรมดงั กลา่ วสรา้ งประโยชนแ์ กต่ นและโรงเรยี นแตกตา่ ง จากกอ่ นร่วมกจิ กรรม โดยเฉพาะดา้ นความสัมพนั ธ์ระหว่างชาวบา้ นและโรงเรียน 5) กิจกรรมส่งเสรมิ อาชีพเลี้ยงไก่ : สง่ เสริมความสมั พันธร์ ะหวา่ งชาวบา้ นกบั โรงเรยี นเปน็ ไปด้วยดี ทงั้ นชี้ าวบ้านสว่ นใหญ่เห็นว่า ท�ำให้ตนและครอบครัวมีอาชพี และสรา้ งราย ไดเ้ พม่ิ ขน้ึ ความแตกตา่ งดงั กลา่ วจงึ เปน็ แรงผลกั ดนั ใหผ้ ปู้ กครองเสนอความเหน็ ใหโ้ รงเรยี นดำ� เนนิ การต่อไป นอกจากนี้ โรงเรียนควรให้ความรอู้ ืน่ ๆ เพ่มิ เติม เชน่ การใชว้ คั ซีนการป้องกนั โรคในไก่ ฯลฯ และควรสง่ เสริมให้ผปู้ กครองและนกั เรยี นรว่ มกันดแู ล เลย้ี งไก่ร่วมกัน 2.4 กจิ กรรมสง่ เสรมิ แหลง่ เรยี นรอู้ สิ ลามศกึ ษาของชมุ ชน:สรา้ งความรสู้ กึ และความ สัมพันธ์ที่ดีระหว่างชุมชนและโรงเรียน ชาวบ้านมีความรู้สึกเป็นเจ้าของโรงเรียน ส่ิงท่ีชาวบ้าน ต้องการนอกเหนอื จากกจิ กรรมดงั กลา่ ว คือ ต้องการให้จดั แหลง่ เรียนร้เู พ่ือการค้นควา้ ด้านอสิ ลาม ศึกษาแยกจากอาคารละหมาด ควรประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนใช้แหล่งเรียนรู้ดังกล่าวให้ทั่วถึง ควร จดั สอ่ื ประเภทอนื่ นอกเหนอื จากหนงั สอื ไวใ้ นหอ้ งสมดุ และโรงเรยี นควรจดั ใหม้ กี จิ กรรมทเี่ กย่ี วขอ้ ง กับห้องสมุดอิสลามศึกษาด้วย เช่น สัปดาห์ห้องสมุดอิสลามศึกษา ต้องการให้มีหนังสือท่ีเป็น ภาษามาลายูและภาษารมู ี และต้องการใหห้ อ้ งสมุดเปดิ ทำ� การในวนั เสาร์และวนั อาทิตย์ ฯลฯ
284 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา 2.5 กจิ กรรมสง่ เสรมิ ประเพณีวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ (เมาลดิ ลิ นบสี มั พนั ธ)์ :ขน้ั ตอนการ ด�ำเนินกิจกรรมมีความเหมาะสม แตย่ งั ตอ้ งการใหค้ ณะกรรมการดำ� เนนิ การควรมาจากตวั แทนใน ทกุ หมบู่ า้ น ทอี่ ยากใหม้ มี ากทส่ี ดุ คอื การจดั นทิ รรศการเกยี่ วกบั ประวตั ขิ องทา่ นนบรี วมทง้ั กจิ กรรม ทางวิชาการเกี่ยวกับด้านศาสนา เพราะจะท�ำให้นักเรียนและชาวบ้านท่ีมาร่วมงานได้รับความรู้ ดังกล่าว การร่วมกิจกรรมของผู้ร่วมกิจกรรมคร้ังนี้ท�ำให้มีความรู้สึกว่า ได้เป็นส่วนหน่ึงของ โรงเรยี นทโี่ รงเรยี นมองเหน็ ความสำ� คญั ของชาวบา้ นและทำ� ใหค้ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งครแู ละศษิ ยไ์ ด้ ฟนื้ กลับมาอกี ครั้งหน่ึง 3. รูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของ โรงเรียนบา้ นท่านำ้� จากการสนทนากลมุ่ กิจกรรมสำ� คญั ทง้ั 5 ประเด็นไมม่ ีความแตกตา่ งจากการ ประชมุ เวทชี มุ ชนในครงั้ แรก แตม่ ีรายละเอียดของแต่ละประเด็นท่ีตอ้ งเพม่ิ เตมิ ในรูปแบบ ซึ่งอาจ สรุปโดยภาพรวมได้ดงั น้ี 1) เพิ่มระยะเวลาในการดำ� เนนิ กิจกรรมให้มากขนึ้ 2) เพม่ิ กจิ กรรมย่อย ๆ ในแตล่ ะกจิ กรรมใหห้ ลากหลาย 3) จดั สรรงบประมาณเพม่ิ เติม 4) เรง่ การประชาสัมพนั ธใ์ ห้มากกวา่ เดมิ 5) สรา้ งสถานที่ประกอบกิจกรรมอยา่ งชดั เจน 6) คณะกรรมการเยยี วยาและสมานฉนั ทช์ มุ ชนควรคดั มาจากตวั แทนในทกุ หมบู่ า้ น อภปิ รายผล การวจิ ยั ในครง้ั นเ้ี ปน็ การพฒั นารปู แบบการเยยี วยาชมุ ชนสมั พนั ธด์ ว้ ยวธิ กี ารบรหิ ารโดยใช้ โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนบ้านท่าน�้ำ อาศัยแนวคิดการเยียวยาและแนวคิดรูปแบบการบริหาร โดยใชโ้ รงเรียนเป็นฐาน 2 ประเด็น คือ อาศัยชมุ ชนเปน็ หลกั และอาศยั ครแู ละชุมชนร่วมกนั การ อภิปรายในส่วนนผี้ ู้วจิ ัยเสนอตามวตั ถปุ ระสงค์เป็น 3 ประเด็น ดงั น้ี 1. รูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของ โรงเรยี นบา้ นทา่ นำ�้ ซงึ่ ไดจ้ ากการประชมุ ในเวทชี าวบา้ นนนั้ เปน็ แนวคดิ หนงึ่ ทเี่ ปดิ โอกาสใหช้ มุ ชนมี สว่ นรว่ มคดิ และวางแผนเพอื่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของชมุ ชน ลกั ษณะดงั กลา่ วเปน็ แนวคดิ หรอื วธิ กี ารหนงึ่ ทแ่ี กป้ ญั หาการชดเชยทางจติ วญิ ญาณ ความซบั ซอ้ น และความตอ้ งการของชมุ ชน ท่ีหน่วยงานราชการ หรือบุคคลภายนอกมิอาจรับรู้ได้ เน่ืองจากสังคมเปลี่ยนแปลงไป สอดคล้อง กบั แนวคดิ การบรหิ ารโดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐาน อนั เปน็ กลยทุ ธห์ นงึ่ ทที่ ำ� ใหช้ มุ ชนของตน สอดคลอ้ ง กับแนวคิดของ Edley (1992, อ้างถึงในอุทัย บุญประเสริฐ, 2546) ท่ีกล่าวว่า การบริหารโดยใช้ โรงเรยี นเปน็ ฐานเปน็ การใหช้ มุ ชนมสี ว่ นรว่ มใหม้ ากขน้ึ ผมู้ อี ำ� นาจตดั สนิ ใจในระดบั โรงเรยี นไมใ่ ช่ มีแต่เพียงผู้บริหารเท่าน้ัน แต่ยังมีตัวแทนคณะครูและผู้ปกครองร่วมอยู่ด้วย คณะโรงเรียนไม่ใช่ มีแต่เพียงผู้บริหารเท่านั้นแต่ยังมีตัวแทนคณะครูและผู้ปกครองร่วมอยู่ด้วย คณะบุคคลเหล่าน้ีมี
Research in Educational Administration • 285 อ�ำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเก่ียวกับหลักสูตร การจัดการเรียนการสอนตลอดท้ังแนวคิด สมานฉนั ท์ในชมุ ชนของตนด้วยเชน่ กนั 2. ผลการสมั ภาษณ์ท้งั 9 กจิ กรรม จะเห็นได้วา่ ผ้รู ว่ มกิจกรรมในทุกกิจกรรมมคี วามรูส้ กึ หวงแหน มีความสนิทสนมกับบุคลากรในโรงเรียน เข้ามาท�ำกิจกรรมในโรงเรียนมากข้ึนกว่าเดิม กจิ กรรมทส่ี ำ� เรจ็ ครง้ั นอี้ าจมสี าเหตจุ ากการวางแผนรว่ มกนั โดยรว่ มกนั เสนอแนวคดิ ยอมรบั ความ คิดเห็นซ่ึงกันและกัน จึงท�ำให้การด�ำเนินงานเป็นไปด้วยความราบรื่น สอดคล้องกับแนวคิดของ องค์กร Assessment of School – Based Management (1996, อ้างถึงในอุทยั บญุ ประเสรฐิ , 2546) ที่กล่าวว่า การท่ีผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ในระดับโรงเรียนได้มีส่วนร่วมในการบริหาร จะท�ำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของโรงเรียนมากข้ึน และท�ำให้ผลการปฏิบัติงานของโรงเรียนน้ัน เป็นท่ียอมรับได้มากข้ึน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หน่ึงในการจัดการศึกษา ท่ีส่วนกลางกระจายอ�ำนาจสู่ สถานศึกษาในด้านการบริหารวชิ าการ การบรหิ ารงานบุคคล และการบรหิ ารงานทวั่ ไป ทั้งนี้เพอื่ ให้สถานศึกษามีความอสิ ระ และมีความคลอ่ งตวั ในการตดั สินใจ (Lunenburg and Ornstein, 1996) แนวคดิ นจ้ี ึงกลายเปน็ ยทุ ธศาสตรท์ ี่หนว่ ยงานราชการเหน็ ควรว่า เปน็ ยุทธศาสตร์หนึง่ ท่ีเหมาะสม กระจายใหโ้ รงเรยี นเปน็ หนว่ ยงานหนง่ึ ทส่ี ามารถดำ� เนนิ การรว่ มกบั ชาวบา้ นไดอ้ ยา่ งสนทิ สนม และ ลดความระแวงต่อกนั 3. ผลจากการสนทนากลุ่มเพื่อการพัฒนารูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการ บริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนบ้านท่าน้�ำ ยังคงรูปแบบเค้าโครงใหญ่ ๆ ไว้คงเดิม เนื่องจากว่า แนวคิดดังกล่าวเกิดจากการเปิดโอกาส และการยอมรับให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแสดง ความคิดเห็นเพื่อเยียวยาชุมชน ข้อมูลการสัมภาษณ์นอกรอบหลังจากการสนทนากลุ่ม ผู้วิจัยได้ ตั้งค�ำถามหน่ึงว่า “รูปแบบกิจกรรมใดท่ีไม่จ�ำเป็นต้องมีการเยียวยาคร้ังน้ี?” พบว่า ไม่มีผู้ร่วม สนทนาคนใดเห็นด้วยที่จะยอมลดกิจกรรมหนึ่งท่ีเกิดจากผลวิจัยในคร้ังแรก ท้ังน้ีผู้วิจัยคิดว่า อาจเนื่องจากเหตุผลของหลักการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ซ่ึงมีหลักการ 5 ประเด็น (อุทัย บุญประเสริฐ, 2546 และส�ำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2547) คือ หลักการกระจาย อ�ำนาจ (Decentralization) หลักการมีส่วนร่วม (Participation or Collaboration or Involvement) หลักการคืนอ�ำนาจจัดการศึกษาให้ประชาชน (Return power to people) หลักการบริหารตนเอง (Self-management) และหลักการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and balance) ท้ัง 5 ประเด็นจึง กลายเป็นเหตุผลที่ยืนยันได้ว่า การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานสามารถเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ ไดเ้ ป็นอย่างดี ข้อเสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะสำ� หรบั การนำ� ผลวจิ ยั นไ้ี ปใช้ เนอ่ื งจากรปู แบบดงั กลา่ วเปน็ รปู แบบทเ่ี กดิ จากความตอ้ งการความสนใจของชาวบา้ นชมุ ชนบา้ นทา่ นำ้� หากการจะนำ� กจิ กรรมใดกจิ กรรมหนงึ่ ไปใชอ้ าจจะไมไ่ ดผ้ ลเหมอื นการวจิ ยั ครง้ั น้ี แตห่ ากนำ� รปู แบบนไ้ี ปใชท้ งั้ หมดกม็ สิ ามารถยนื ยนั ไดว้ า่
286 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษา จะเยียวยาได้สำ� เร็จเช่นกัน ผวู้ ิจยั จึงใครเ่ สนอการน�ำรปู แบบนี้ไปใช้ดงั น้ี 1.1 ควรเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแสดงความคิดเห็นรูปแบบน้ีว่าเหมาะสม หรอื ไม่ อาจเพม่ิ เตมิ หรอื ลดได้ตามความเหมาะสมกบั สภาพทอ้ งถ่ิน และความต้องการของชุมชน เป็นหลัก 1.2 ควรคำ� นึงถึงระยะเวลา และงบประมาณท่ีมีเปน็ ส�ำคญั 1.3 รฐั ควรกำ� หนดเปน็ นโยบายเพอ่ื ใหโ้ รงเรยี นทกุ โรงเรยี นจดั ดำ� เนนิ การเพอื่ เยยี วยา และสรา้ งความเขม้ แขง็ ในชุมชนร่วมกบั โรงเรียน 2. การวิจัยคร้ังต่อไป เนื่องจากการวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่มุ่งศึกษาและ ส�ำรวจความต้องการของชาวบ้านที่ไม่ต้องการสร้างความต่ืนตระหนกให้กับชาวบ้านมากนัก ข้อมูลการวิจัยในเชิงคุณภาพมีจุดแข็งบางประการที่เหมาะกับการศึกษาข้อเท็จจริงของชาวบ้าน อยา่ งไรกต็ าม การวิจัยเชงิ คุณภาพยอ่ มมีจดุ ดอ้ ย ตรงทไ่ี ม่สามารถหาความตรงความเทยี่ งได้ แมใ้ น คร้ังน้ีผู้วิจัยได้พยายามก�ำหนดผู้ช่วยวิจัยเพ่ิม 2 คน เพื่อให้มีการตรวจสอบข้อมูลซึ่งกันและกัน แตย่ งั ไมส่ ามารถหาความเทยี่ งไดม้ ากนกั ดงั นนั้ ในการวจิ ยั ครง้ั ตอ่ ไปจงึ ควรอาศยั การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ ประกอบบา้ ง จะทำ� ใหไ้ ด้ขอ้ มลู ท่ชี ัดเจนยง่ิ ขึน้ สรปุ ทา้ ยบท การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม (PAR) ทนี่ ำ� เสนอในบทที่ 7 นี้ ประกอบดว้ ยสาระ ส�ำคัญที่ผู้วิจัยหรือนักศึกษาในทางการบริหารการศึกษาควรศึกษาและท�ำความเข้าใจให้ละเอียด และชดั เจน โดยอาจสรปุ สาระทส่ี �ำคัญดงั กลา่ วได้ ดังน้ี การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) คือ การวิจัยท่ีมุ่งศึกษาชุมชน โดยเน้น การวิเคราะห์ปัญหา ศึกษาแนวทางการแกป้ ญั หา ปฏบิ ัตติ ามแผน และตดิ ตามประเมินผล โดยเน้น คนเป็นศูนย์กลาง และมุ่งสร้างพลังอ�ำนาจให้กับประชาชน โดยทุกข้ันตอนมีสมาชิกของชุมชน เขา้ ร่วมดว้ ย พัฒนาการของแนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม อาจแบ่งออกได้ 3 ระยะ ได้แก่ แนวคิดระยะที่ 1 แนวคิดระยะท่ี 2 และแนวคิดระยะท่ี 3 เป็นการวิจัยท่ียึดหลักการการ กระจายอ�ำนาจลงไปสูท่ ้องถนิ่ (Decentralized) ที่เน้นการมสี ่วนรว่ มของประชาชนในทกุ ข้นั ตอน ของการวิจัย ต้ังแต่การก�ำหนดปัญหา การเลือกวิธีการแก้ปัญหาและพัฒนาการด�ำเนินการตาม วิธีการที่เลือก การประเมินผล และการร่วมรับผลท่ีเกิดขึ้นบนพ้ืนฐานของปัญหาและบริบทของ ประชาชน และผลของการวิจัยท�ำให้ประชาชนเกิดการเรียนรู้และสามารถพ่ึงพาตนเองได้ต่อไป การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) จึงเป็นเคร่ืองมือท่ีส�ำคัญในการสร้างองค์ความรู้ ใหม่ ๆ ท่ีเกิดจากการมีส่วนร่วมและการปฏิบัติจริงร่วมกันในทุกข้ันตอน ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ที่ สามารถน�ำไปใชไ้ ดจ้ รงิ ประโยชนท์ ี่ได้รับจากการวิจยั เชิงปฏิบัตกิ ารแบบมีส่วนรว่ ม มีหลายดา้ น ได้แก่ 1) ชาวบา้ น ประชาชน ผู้ด้อยโอกาสจะต่ืนตัว ได้รับการศึกษามากขึ้น สามารถคิดและวิเคราะห์เหตุการณ์
Research in Educational Administration • 287 ตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง 2) ประชาชนไดร้ บั การแกไ้ ขปญั หา ผดู้ อ้ ยโอกาสมโี อกาสมากขน้ึ การจดั สรร ทรพั ยากรตา่ ง ๆ มกี ารกระจายอยา่ งทว่ั ถงึ และเปน็ ธรรม และ 3) สำ� หรบั ทมี นกั วจิ ยั และนกั พฒั นา จะไดเ้ รยี นรจู้ ากชมุ ชน ไดป้ ระสบการณใ์ นการทำ� งานรว่ มกบั ชมุ ชน อนั กอ่ ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจชมุ ชน ได้ดขี ึน้ และเกิดแนวคิดในการพัฒนาตนเองอยา่ งแท้จริง นอกจากน้ี การวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการแบบมี สว่ นร่วม เปน็ กระบวนการกระตุ้นใหป้ ระชาชนมกี ารกระท�ำต่อปัญหาเหลา่ นั้น ท�ำใหป้ ระชาชนมี โอกาสเปล่ียนแปลงไปในทิศทางท่ีดีข้ึน เกิดการเรียนรู้การแก้ปัญหาและเพิ่มพูนความรู้ให้พร้อม ที่จะเผชิญกับปัญหาท่ียากไปกว่าน้ี ส่วนผลงานการวิจัยท่ีได้ ก็สามารถน�ำมาใช้ประโยชน์ได้ทันที เพราะได้ทดลองปฏิบัติการหรือกระท�ำกิจกรรมหรือโครงการ โดยอาศัยหลักการมีส่วนร่วมจาก ทกุ ๆ ฝ่ายในชมุ ชน โดยเฉพาะคณะนักวจิ ยั ผู้นำ� ชมุ ชนหรอื แกนนำ� ชุมชน ตลอดจนสว่ นต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้อง ส่ิงท่ไี ดร้ บั จะก่อให้เกิดความรว่ มมือ การผนึกก�ำลังร่วมกัน โดยที่ประชาชนก็ร้สู ึกว่าเป็น ผรู้ ่วมคิด รว่ มวางแผน และรว่ มตดั สินใจปฏบิ ัติการ กระบวนการวจิ ัยและการมีสว่ นรว่ มของประชาชน ประกอบดว้ ยสามขั้นตอนหลัก คอื ขน้ั เตรยี มการประสานพน้ื ที่ ขน้ั ลงมอื วจิ ยั และขน้ั พฒั นา โดยมจี ดุ มงุ่ หมายอยทู่ กี่ ารแกป้ ญั หาชมุ ชน การพัฒนาคน หรือการติดอาวธุ ทางปัญญาใหก้ บั ประชาชนท่ีเป็นกลมุ่ เป้าหมายในการวิจัย ดังนนั้ ในทุกข้ันตอนจึงเนน้ ให้ประชาชนมสี ว่ นรว่ ม นักวจิ ยั ไมค่ วรแสดง “บทบาทในการน�ำประชาชน” มากเกนิ ไป เพราะหากเนน้ การนำ� ประชาชนมากเกนิ ไป การวจิ ยั ทด่ี ำ� เนนิ การอยนู่ น้ั จะเปลย่ี นสภาพ จากการวจิ ยั เชิงปฏบิ ัติการแบบมีสว่ นร่วมไปเปน็ การวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั ิการโดยปรยิ าย เทคนคิ การสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั ชมุ ชน การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ มใชเ้ ทคนคิ และวิธีการเช่นเดียวกับการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นส่วนใหญ่ การวิจัยเชิงคุณภาพจะเน้นการศึกษา เพือ่ ความเขา้ ใจและอธิบายเร่ืองราวตา่ ง ๆ ออกมาตามความหมายของคนในชมุ ชนน้นั แตก่ ารวิจัย เชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนอกจากจะเน้นการศึกษาเพ่ือความเข้าใจแล้วยังต้องมีกิจกรรมการ แก้ปัญหาหรือพัฒนาตามความต้องการของชุมชนและคนในชุมชนมีส่วนร่วมในทุกข้ันตอนด้วย ดงั นน้ั การสรา้ งความสมั พันธก์ บั ชมุ ชนจงึ เป็นเทคนิคสำ� คญั ทจ่ี ะท�ำให้การวิจัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบ มีส่วนร่วมสามารถด�ำเนินต่อไปได้ เพราะหากนักวิจัยไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน ได้แล้ว การรู้ถึงปัญหา ความต้องการ และการร่วมมือกันแก้ปัญหาและพัฒนาท่ีจะเกิดขึ้นต่อมา คงไมส่ ามารถด�ำเนินการต่อไปได้ เทคนิคที่จ�ำเป็นส�ำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลจากชุมชน ในการวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบบมีส่วนร่วม มีเทคนิคส�ำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลจากชุมชนหลายเทคนิค ตัวอย่างเทคนิค ท่ีจ�ำเป็น 4 เทคนิค ได้แก่ 1) เทคนิค AIC ซึ่งเป็นเทคนิคการระดมความคิดที่รวมพลังปัญญา และพลงั สร้างสรรค์ของแต่ละคนเขา้ มาเปน็ พลังในการพัฒนา โดยใหค้ วามส�ำคัญกบั ความคดิ และ การมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชนบนพ้ืนฐานแห่งความเสมอภาค เป็นกระบวนการที่น�ำเอา คนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา นักวิจัยสามารถประยุกต์ใช้เทคนิค AIC ดังกล่าวน้ี เพ่ือการเก็บ รวบรวมขอ้ มูลจากชมุ ชนไดเ้ ป็นอยา่ งดี 2) เทคนิค Mind Map (แผนที่ความคดิ ) ซึง่ เป็นเทคนิคการ คิดและวธิ กี ารจดบันทึกความคิดของเรา เปรียบเสมือนการจำ� ลองความคิดจากสมองลงสู่กระดาษ โดยออกมาในลักษณะคล้ายแผนที่หรือแผนภาพที่แตกแขนงออกเหมือนกิ่งไม้และเช่ือมโยงกัน
288 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษา เหมือนเซลล์ประสาทในสมองโดยจะใช้ภาพ เส้น สี สัญลักษณ์ และค�ำส�ำคัญมาใช้วาดจาก ตรงกลางแล้วกระจายความคิดออกไปแทนการเขียนบันทึกด้วยตัวอักษรเรียงเป็นบรรทัดยาว ๆ นักวิจัยสามารถประยุกต์ใช้เทคนิค Mind Map ดังกล่าวน้ี เพ่ือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากชุมชน ได้ 3) เทคนิคการจัดเวทีประชาคม (Civil Society Forum or People Forum) เป็นวิธีการและ เป้าหมายท่ีกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม ระหว่างคนท่ีมีประเด็นหรือปัญหาร่วมกัน โดยใช้เวทีในการส่ือสารเพ่ือการรับรู้และเข้าใจประเด็นปัญหา และช่วยกันผลักดันหรือหา ข้อสรุปเป็นแนวทางแก้ไขประเด็นปัญหานั้น ๆ และ 4) เทคนิค SWOT ซ่ึงเป็นเคร่ืองมือใน การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ นิยมน�ำมาใช้วิเคราะห์องค์การเพ่ือให้ทราบถึงจุดแข็งจุดอ่อนของ องคก์ ารซง่ึ จดั เปน็ สงิ่ แวดลอ้ มภายในและทราบถงึ โอกาสและภยั คกุ คามซง่ึ เปน็ สงิ่ แวดลอ้ มภายนอก องค์การ ทั้งนี้ เพื่อจัดวางกลยุทธ์ที่ท�ำให้องค์การสามารถใช้จุดแข็งของตนเอง และโอกาสจาก ปัจจัยภายนอกให้เป็นประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้เห็นช่องทางในการแก้ไขจุดอ่อนของ ตนเองรวมท้ังการหลีกเล่ียงภัยคุกคามจากภายนอกท่ีจะมีต่อองค์การ อย่างไรก็ตาม แม้เทคนิค SWOT จะเป็นเทคนิคส�ำหรับการบริหารองค์การ แต่ก็สามารถน�ำมาประยุกต์ใช้ในการวิจัย เชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมได้ เช่น ใช้ในการวิเคราะห์ชุมชนเพื่อให้เห็นถึงจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามของชุมชน ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยและคนในชุมชนสามารถก�ำหนดทิศทาง การพฒั นา โครงการและกจิ กรรมการพัฒนาไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั สภาพของชุมชนน้ัน
บทท่ี การวิจยั อนาคต 8 FUTURES RESEARCH การวิจัยอนาคต (Futures Research) เป็นการวิจัยท่ีมีแนวคิด วิธีการ และระเบียบวิธีท่ี แตกต่างไปจากการวิจัยโดยปกติท่ัวไปท่ีมุ่งเน้นการศึกษาค้นคว้าหา “ความจริง” (Facts) ปัญหา (Problems) หรือความคดิ เห็น (Opinion) เก่ยี วกับปรากฏการณ์ หรอื เหตุการณท์ ีเ่ กิดขนึ้ ในปัจจุบัน หรอื ในอดตี เพอื่ ตอบวตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะของการวจิ ยั ครงั้ นนั้ ๆ ทงั้ นเ้ี พราะวา่ การวจิ ยั อนาคตไมใ่ ช่ การศกึ ษาคน้ ควา้ หาความจริงเกีย่ วกบั อนาคต เพราะยงั ไม่มสี งิ่ ท่เี รียกวา่ ความจริงเกยี่ วกับอนาคต เนื่องจากอนาคตเป็นเรื่องท่ียังไม่เกิดขึ้นจริง การวิจัยอนาคตจึงเป็นเรื่องของการ “คาดการณ์” หรอื “ท�ำนาย” แนวโนม้ ต่าง ๆ (Trends) ท่มี คี วามเปน็ ไปไดข้ องเรื่องทกี่ �ำลังศกึ ษาภายในชว่ งเวลา หนงึ่ ในอนาคตที่กำ� หนดไว้ และเนื่องจากอนาคตเปน็ เรอื่ งท่ีมคี วามละเอียดอ่อนและสลบั ซับซอ้ น ยากตอ่ การคาดการณ์ กลมุ่ ผใู้ หข้ อ้ มลู หลัก (Key Informants) จึงเปน็ กลุ่ม “ผเู้ ชีย่ วชาญ” (Experts) ไมใ่ ช่กล่มุ ตัวอยา่ ง (Sample) เช่นเดียวกับการท�ำวจิ ยั โดยปกตทิ ั่ว ๆ ไป การวิจัยอนาคตเป็นการวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาแนวโน้มของเหตุการณ์หรือ ปรากฏการณ์ในอนาคต ผู้ที่จะบอกแนวโน้มของปรากฏการณท์ ม่ี ีความเปน็ ไปได้ว่า มนั จะเกิดขึ้น จรงิ ในอนาคต หรอื สามารถคาดการณป์ รากฏการณไ์ ดต้ ามความเปน็ จรงิ หรอื ใกลเ้ คยี งกบั ความเปน็ จริงมากท่ีสุด คือ ผู้เช่ียวชาญ ซ่ึงเป็นผู้ท่ีต้องมีความรู้และมีประสบการณ์ในปรากฏการณ์ท่ีวิจัย อยา่ งแทจ้ รงิ ดงั นนั้ ผเู้ ช่ยี วชาญจึงเปน็ แหล่งขอ้ มูลสำ� คญั สำ� หรบั การคน้ หาคำ� ตอบปัญหาการวจิ ัย ในบทนี้ จะน�ำเสนอการวิจัยอนาคต ซึ่งประกอบด้วยเน้ือหาสาระท่ีส�ำคัญ 7 เร่ือง ไดแ้ ก่ 1) แนวคิดเกยี่ วกบั การวจิ ัยอนาคต 2) ช่วงเวลาส�ำหรบั การวจิ ัยอนาคต 3) เทคนิคการวิจยั อนาคต 4) จุดแข็งและจุดอ่อนของเทคนิคการวิจัยอนาคต 5) หลักการคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญ 6) เทคนิคและข้ันตอนการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ และ 7) กรณีตัวอย่างงานวิจัยอนาคต โดยมี รายละเอียด ดงั ต่อไปน้ี 8.1 แนวคิดเกย่ี วกับการวจิ ยั อนาคต ในส่วนน้ี ผู้วิจัยควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเรื่องแนวคิดเก่ียวกับการวิจัยอนาคต ซ่ึงประกอบด้วยความหมายของการวจิ ัยอนาคต พัฒนาการของการวจิ ยั อนาคต และความสำ� คญั ของการวิจยั อนาคต โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี 1. ความหมายของการวจิ ยั อนาคต ได้มีนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความหมายของการวิจัยอนาคตไว้ หลากหลาย โดยนกั วชิ าการในตา่ งประเทศไดใ้ หค้ วามหมายของการวจิ ยั อนาคตไว้ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี Allen(1978,p.75)กลา่ ววา่ การวจิ ยั อนาคตเปน็ กจิ กรรมทเี่ พม่ิ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั ผลลพั ธ์ ทเี่ กิดขนึ้ ในอนาคตอันเน่อื งมาจากการตดั สินใจและนโยบายในปจั จุบัน
290 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา ตอ่ มาอกี 12 ปี Textor (1990, p. 139) ใหค้ วามหมายของการวจิ ัยอนาคตวา่ เปน็ วธิ กี าร แสวงหาค�ำตอบอย่างเป็นระบบเกยี่ วกับเรอ่ื งในอนาคต โดยพิจารณาความเป็นไปได้ทเี่ หมาะสม ส่วนนักวิชาการในประเทศ ก็ได้ให้ความหมายของการวิจัยอนาคตไว้หลากหลาย เช่นเดียวกัน ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี เทียนฉาย กีระนันทน์ (2537) ได้ให้ความหมายว่า การวิจัยอนาคตเป็นงานวิจัยท่ี จ�ำเป็นอย่างย่ิงในการวางแผนและก�ำหนดนโยบายตลอดจนแนวทางการด�ำเนินงานในอนาคต โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะท�ำนายเหตุการณ์ คาดคะเน หรือพยากรณ์เหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่ อาจจะเกิดข้ึนในอนาคต ท้ังนี้จะต้องอิงพ้ืนฐานข้อมูลและข้อค้นพบท่ีได้จากการวิจัย เพ่ือค้นหา และอาจจะต้องอิงกับข้อมูลในระยะเวลาหนึ่งท่ีผ่านมาในอดีตด้วย เพ่ือที่จะสามารถวาดภาพ เกยี่ วกับแนวโน้มทจ่ี ะเกิดเหตุการณ์หน่งึ ๆ ในอนาคต ต่อมาอีก 17 ปี ดวงนภา มกรานุรักษ์ (2554) ได้กล่าวไว้ว่า การวิจัยอนาคตอยู่ที่การ ส�ำรวจและศึกษาแนวโน้มที่เป็นไปได้ให้มากที่สุดเท่าท่ีจะมากได้ ท้ังท่ีพึงประสงค์ และไม่พึง ประสงค์ เพื่อหาทางท�ำให้แนวโน้มท่ีพึงประสงค์เกิดข้ึน ในขณะเดียวกันหาทางป้องกันหรือ ขจัดแนวโนม้ ที่ไม่พงึ ประสงคใ์ ห้หมดไปดว้ ยการเริม่ ลงมอื ท�ำตงั้ แตป่ ัจจุบนั หลังจากน้ันอีก 5 ปี จุมพล พูลภัทรชีวิน (2559) ได้กล่าวว่า การวิจัยอนาคต มาจาก ค�ำภาษาองั กฤษว่า “Futures Research” เป็นศพั ทเ์ ฉพาะ (Technical Term) ทส่ี ่อื ถงึ แนวคดิ วธิ ีการ กระบวนการ และระเบียบวิธีที่ใช้ในการส�ำรวจ ศึกษาแนวโน้มท่ีมีความเป็นไปได้ในอนาคต เกยี่ วกบั เร่อื งที่ท�ำการศึกษา ท้ังแนวโน้มท่พี ึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ จึงมีตวั “S” ตอ่ ท้ายคำ� ว่า Future เพื่อสะท้อนแนวคิดว่า เร่ืองของอนาคตน้ัน มีความเป็นไปได้ในหลายทิศทาง จึงต้อง ส�ำรวจและศึกษาแนวโน้มท่ีมีความเป็นไปได้เหล่านั้น ให้มากที่สุดเท่าท่ีจะเป็นไปได้ ผู้ที่ท�ำการ ศึกษาอนาคตอย่างเป็นระบบโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยอนาคต แบบต่าง ๆ เรียกว่า นักวิจัยอนาคต ส่วนนักคิดและนักทฤษฎีเก่ียวกับอนาคตเรียกว่า นักอนาคตนิยม ค�ำรวมที่ใช้เรียกกลุ่มบุคคล เหล่านี้ คือ นักอนาคต กล่าวโดยสรุป การวิจัยอนาคตเป็นการศึกษาแนวโน้มของเหตุการณ์ในอนาคตที่มี ความเป็นไปได้ โดยอิงพ้ืนฐานข้อมูลและข้อค้นพบจากอดีตถึงปัจจุบัน สร้างกระบวนการศึกษา สรุปผลข้อมูลและวาดภาพถึงแนวโน้มที่จะเกิดเหตุการณ์ในภายหน้า เพื่อหาทางท�ำให้แนวโน้ม ที่พึงประสงค์เกิดข้ึน และหาทางป้องกันหรือขจัดแนวโน้มท่ีไม่พึงประสงค์ให้หมดไปด้วยการ เริ่มลงมือท�ำตง้ั แต่ปจั จุบนั 2. พัฒนาการของการวจิ ัยอนาคต กฤษดา กรดุ ทอง (2530, หนา้ 13 – 14) ได้กลา่ วถงึ พฒั นาการของการวจิ ัยอนาคตไวว้ า่ เร่ิมมีมาตง้ั แตใ่ นปี ค.ศ. 1907 โดย ดี ซี กิลฟลิ แลม (D.C. Gilfillam) ได้เสนอวิธกี ารศึกษาอนาคต ข้ึนเป็นบุคคลแรก และต่อมาในปี ค.ศ. 1930 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้สนับสนุนการวิจัยด้านนี้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1944 โอ เค เฟรชเทียม (O.K. Flechtheim) ได้เริ่มใช้ค�ำว่า “ฟิวเจอโรโลยี” (Futurology) หลังจากน้ัน ในราว ค.ศ. 1960 การวจิ ัยอนาคตเริม่ มีรปู แบบวธิ ีการท่ีชัดเจนมากขึน้
Research in Educational Administration • 291 วิธีการวิจัยอนาคตได้ถูกน�ำไปใช้ประโยชน์เพ่ือก�ำหนดนโยบายและวางแผน ถือได้ว่าเป็น เทคนิคหน่ึงของการวางแผน ผนวกเข้ากับการวิจัยเชิงนโยบาย (Policy Research) ซ่ึงได้รับการ พัฒนาพร้อมกันในระยะเวลาดังกล่าว ในสหรัฐอเมริกา บริษัท แรนด์ โคออร์ปเปอเรชัน (Rand Cooperation) ได้วางพ้ืนฐานการวิจัยด้านน้ีอย่างมั่นคงร่วมกับ เอสซีดี (SCD: System Development Cooperation) และสถาบันฮัดสัน (Hudson Institute) เพื่อด�ำเนินการวิจัยเชิง อนาคตแก่กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา และในปี ค.ศ. 1960 น้ี นิโคลัส เรสเชอร์ (Nicholas Rescher) และโอลาฟ เฮลเมอร์ (Olaf Helmer) ได้พัฒนาเทคนิคเดลฟาย (Delphi Technique) มาใช้ศึกษาอนาคต ต่อมาในปี ค.ศ. 1964 โอลาฟ เฮลเมอร์ (Olaf Helmer) และเจมส์ กอร์ดอน (Jame Gordon) ในนามบริษัทแรนด์ ได้ท�ำการวิจัย Long – Range Forecasting Study เพื่อท�ำนาย เหตุการณ์ทางวิทยาศาสตร์ 103 โครงการ เช่น การลงดวงจันทร์ การเปล่ียนหัวใจมนุษย์ การ ติดต่อทางจิต การวิศวกรรมพันธุ์ ฯลฯ ในช่วงดังกล่าวน้ี ถือว่า การวิจัยอนาคตได้รับการยอมรับ เปน็ ท่เี ชอื่ ถอื กนั ทั่วไป หลงั จากปี ค.ศ. 1967 เป็นต้นมา การวจิ ยั อนาคตไดแ้ พร่หลายเข้าไปในยุโรป เชน่ อังกฤษ ฝรงั่ เศส เยอรมัน และอิตาลี ในปารีส เบอรต์ รัง เดอ ยองเวเนล (Bertrand de jonvenel) ไดจ้ ัดต้ัง สโมสรแหง่ โรมขน้ึ (Club of Rome) ผลงานสำ� คญั ของคณะนกั วจิ ยั อนาคตกลมุ่ นี้ คอื ในปี ค.ศ. 1972 ได้เสนอ “ขีดจ�ำกัดความเจริญ” (The Limit of Growth) ซ่งึ สร้างภาพอนาคตในปี ค.ศ. 2000 ด้วย การฉายภาพการเปลย่ี นแปลงทางดา้ นประชากร ทรัพยากร การผลิตอาหารและมลภาวะ และในปี ค.ศ. 1974 ไดเ้ สนอ “มนุษยชาติ ณ จดุ หนั เห” (Mankind at The Turning Point) ซ่ึงเป็นการกลา่ วถึง ทางเลือกและการแก้ไขปญั หาจากความเจรญิ ของมนุษยชาติ ในช่วงระยะเวลา ค.ศ. 1960 – 1969 การวิจัยอนาคตได้พัฒนาก้าวหน้ามาก มีระเบียบ วิธีการ (Methodology) เฉพาะของตนเอง นับต้ังแต่นั้นมา การวิจัยเชิงอนาคตได้เข้าไปมีบทบาท อย่างส�ำคัญต่อการตัดสินใจก�ำหนดนโยบายและการวางแผนขององค์การธุรกิจต่าง ๆ ย่ิงกว่าน้ัน การวจิ ยั ดา้ นนี้ยงั เปน็ ที่สนใจกนั อย่างแพร่หลายท้ังของหน่วยงานราชการ บรษิ ัท และบุคคล 3. ความส�ำคัญของการวจิ ยั อนาคต ปจั จบุ นั องคก์ ารทม่ี งุ่ พฒั นาตนเองเพอื่ ใหท้ นั ตอ่ การเปลยี่ นแปลงและเจรญิ กา้ วหนา้ ตอ้ ง มีการปรับตัวได้อย่างเท่าทันและเหมาะสม ซึ่งการจะเป็นเช่นนั้นได้จะต้องให้ความส�ำคัญต่อการ ศึกษาอนาคตเพราะมีประโยชน์ในการหย่ังรู้อนาคตท้ังในระยะส้ันและระยะยาว การวิจัยอนาคต (FuturesResearch)จงึ เปน็ เครอื่ งมอื สำ� คญั อยา่ งหนง่ึ ในการทจ่ี ะหยง่ั รหู้ รอื คาดการณว์ า่ ในอนาคตจะ เกดิ อะไรขน้ึ ซง่ึ จะทำ� ใหม้ นษุ ยม์ เี วลาทจี่ ะพจิ ารณาตดั สนิ ใจอยา่ งรอบคอบในการตดั สนิ ใจแสวงหา ทางเลอื ก หาแนวทางปอ้ งกนั หรอื แกป้ ญั หาทางเลอื กในอนาคตทไ่ี มพ่ งึ ประสงคท์ อ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ ได้ อยา่ งเหมาะสมขอ้ ความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการวจิ ยั อนาคตจะมปี ระโยชนต์ อ่ การวางแผนการกำ� หนดนโยบาย การตดั สนิ ใจและการกำ� หนดกลยทุ ธห์ รอื วธิ กี ารเพอ่ื ไปสกู่ ารสรา้ งอนาคตทพี่ งึ ประสงค์และปอ้ งกนั หรอื ขจัดอนาคตทีไ่ มพ่ ึงประสงค์ (จุมพล พลู ภัทรชีวิน และปยิ ะชาติ โชคพิพฒั น์, 2557)
292 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา 8.2 ชว่ งเวลาสำ� หรบั การวิจยั อนาคต การศกึ ษาหรอื การวจิ ยั อนาคตจะเนน้ ทก่ี ารศกึ ษาทางเลอื กในอนาคต(AlternativeFutures) ท่เี ป็นไปได้ (Possible) หรือน่าจะเปน็ (Probable) หลาย ๆ ทาง ไมใ่ ชท่ างเลือกใดทางเลือกหน่งึ เพียง ทางเดียว นกั อนาคตศกึ ษา ไดแ้ บง่ ชว่ งเวลาในการศึกษาและการวิจยั อนาคตออกเป็น 4 ช่วง ซ่งึ อาจ สรปุ ได้ ดงั น้ี (จมุ พล พูลภทั รชีวิน และปิยะชาติ โชคพพิ ฒั น,์ 2557) 1. ช่วง 1-5 ปี เรียกว่า อนาคตระยะกระช้ันชิด (Immediate Forecasting) ช่วงน้ี ไมค่ อ่ ยเหมาะสมกบั การวจิ ยั ทางดา้ นการศกึ ษาและสงั คม เพราะแนวโนม้ จะตดิ กบั ปญั หาในปจั จบุ นั มากไป แตใ่ นทางธรุ กิจมีการทำ� กันบา้ ง ทั้งนี้ข้ึนอยกู่ ับวตั ถปุ ระสงคท์ ีแ่ ตกต่างกันออกไป 2. ชว่ ง 5-10 ปี เรยี กวา่ อนาคตระยะส้นั (Short Range Forecasting) เปน็ ชว่ งท่ีเร่มิ มองแนวโน้มอนาคตที่เป็นผลกระทบจากแนวโน้มระยะกระชั้นชิด ซ่ึงจะมีความหลากหลาย เพ่มิ มากขึน้ กว่าการมองอนาคตในระยะกระชนั้ ชดิ 3. ชว่ ง 10-20 ปี เรยี กว่า อนาคตระยะกลาง (Middle Range Forecasting) เป็นช่วง ท่ีสามารถมองเห็นการเปล่ียนแปลงนั้น ๆ ได้ชัดเจน และเป็นช่วงท่ีนิยมท�ำการวิจัยเชิงอนาคต มากทสี่ ดุ เพราะสามารถนำ� ผลการศกึ ษาไปกำ� หนดนโยบาย ยทุ ธศาสตร์ และวางแผนการปฏบิ ตั ใิ ห้ เกิดประโยชนไ์ ด้ เน่อื งจากไมส่ ัน้ และไม่ยาวเกนิ ไป 4. ช่วง 20 ปขี น้ึ ไป เรยี กวา่ อนาคตระยะยาว (Long Range Forecasting) การศกึ ษา วิจัยในระยะน้ี ผลท่ีได้อาจขาดแรงจูงใจ เนื่องจากเป็นระยะท่ียาวมากไป ไกลตัวมาก จึงไม่ค่อย ได้รบั ความนิยมมากนกั โดยเฉพาะในประเทศไทย กล่าวโดยสรปุ ช่วงเวลาสำ� หรับการวจิ ยั อนาคต แบง่ ออกเปน็ สชี่ ่วง ไดแ้ ก่ ชว่ ง 1-5 ปี ชว่ ง 5-10 ปี ชว่ ง 10-20 ปี และช่วง 20 ปีขึน้ ไป แตช่ ่วงเวลาทนี่ ิยมทำ� การวจิ ัยอนาคตมากท่สี ดุ คือ ช่วง 10-20 ปี 8.3 เทคนคิ การวจิ ยั อนาคต การวจิ ยั อนาคตมีหลายเทคนิค แต่ละเทคนคิ มรี ะเบียบวิธีวจิ ัยท่แี ตกต่างกันออกไป การ จะเลอื กใชเ้ ทคนคิ วธิ วี จิ ยั อนาคตแบบใด จงึ ขน้ึ อยกู่ บั วตั ถปุ ระสงค์ เงอื่ นไข และขอ้ จำ� กดั ของนกั วจิ ยั ทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป ในทน่ี ี้ อาจแบ่งเทคนิคการวิจัยอนาคตไดเ้ ปน็ 3 กลุ่ม คือ 1) เทคนิควธิ ีการ เชิงปริมาณ (Quantitative Methods) เป็นการคาดการณ์แนวโน้มโดยอาศัยวิธีการเชิงปริมาณ เช่น การวิเคราะห์อนุกรมเวลา (Time Series Analysis) การวิเคราะห์หรือการส�ำรวจแนวโน้ม (Trend Analysis or Extrapolation) การวิเคราะห์ผลกระทบไขว้ (Cross Impact Analysis) ฯลฯ 2) เทคนคิ วิธกี ารเชงิ คุณภาพ (Qualitative Methods) เช่น วงลอ้ อนาคต (Futures Wheel) การสรา้ ง ภาพอนาคต (Scenario Technique) การประมวลความรจู้ ากผูเ้ ช่ียวชาญ ฯลฯ และ 3) เทคนิควธิ ี ผสมผสานวธิ ีทั้งเชิงปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพ (Mixed Methods Research) ปจั จบุ นั มกี ารประยกุ ตเ์ ทคนคิ วธิ กี ารวจิ ยั อนาคตแบบตา่ ง ๆ มาใชร้ ว่ มกบั การวจิ ยั อนาคต แต่ท่ีนิยมกนั มี 3 เทคนิค คอื 1) เทคนิค Delphi (Delphi Technique) 2) เทคนคิ EFR (Ethnographic Futures Research) และ 3) เทคนคิ EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) อยา่ งไรกต็ าม
Research in Educational Administration • 293 ในสว่ นนจ้ี ะกลา่ วถงึ เทคนคิ วธิ กี ารวจิ ยั อนาคตทอ่ี ยใู่ นกลมุ่ วธิ กี ารเชงิ ปรมิ าณและวธิ กี ารเชงิ คณุ ภาพ บางเทคนคิ พอสงั เขปกลา่ วคอื เทคนคิ ทอี่ ยใู่ นกลมุ่ วธิ กี ารเชงิ ปรมิ าณ2เทคนคิ ไดแ้ ก่1)การวเิ คราะห์ หรือการส�ำรวจแนวโน้ม และ 2) การวิเคราะห์ผลกระทบไขว้ และเทคนิคที่จัดอยู่ในกลุ่มวิธีการ เชงิ คุณภาพ 2 เทคนคิ ได้แก่ 1) วงลอ้ อนาคต และ 2) การสร้างภาพอนาคต และตอ่ จากน้ันจะกล่าว ถึงเทคนิควิธีการวิจัยอนาคตแบบ Delphi แบบ EFR และแบบ EDFR โดยมีรายละเอียด ดังน้ี (จมุ พล พูลภทั รชีวนิ และปิยะชาติ โชคพิพฒั น์, 2557) 1. การวเิ คราะหห์ รอื การสำ� รวจแนวโนม้ (TrendAnalysisorExtrapolation) การวเิ คราะห์ แนวโนม้ (Trend analysis) หรือการส�ำรวจแนวโน้ม (Trend extrapolation) เปน็ การศึกษาอนาคต จากแนวโน้ม โดยมีฐานความคิดว่า อนาคตเป็นส่วนที่ต่อจากปัจจุบัน ขณะเดียวกันปัจจุบันก็เป็น ส่ิงที่ต่อเนื่องมาจากอดีต ดังน้ัน ส่ิงท่ีเกิดข้ึนต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันย่อมมีแนวโน้มท่ีจะปรากฏ ต่อไปในอนาคตดว้ ย การวจิ ยั อนาคตด้วยเทคนคิ การวเิ คราะหแ์ นวโน้มนีป้ ระกอบดว้ ยเทคนิคยอ่ ย หลายเทคนคิ ซง่ึ สว่ นใหญจ่ ะตอ้ งอาศยั ขอ้ มลู เชงิ ประวตั ศิ าสตร์ (Historical data) เทคนคิ หนงึ่ ทมี่ กั จะมกี ารนำ� มาใช้ คือ การกำ� หนดจดุ ของแนวโนม้ (Spotting trend) ในเรื่องต่าง ๆ และเรมิ่ สบื สอบ ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ไปในอดตี ตวั อยา่ งเชน่ หากผวู้ จิ ยั สงั เกตพบวา่ คนในสงั คมมกั จะรอใหต้ นเองมอี ายุ ประมาณ 30 ปี จึงจะมีบุตร ผู้วิจัยก็จะก�ำหนดจุดสังเกตไว้ท่ีประเด็นนี้ โดยก�ำหนดว่า ประชากร ก�ำลังจะเลอ่ื นเวลาการมีบตุ รออกไปเรอื่ ย ๆ เมื่อผู้วิจัยกำ� หนดจดุ อันเปน็ ประเดน็ ศกึ ษาแลว้ ผ้วู จิ ยั ก็จะรวบรวมข้อมูลโดยย้อนกลับไปตรวจสอบข้อมูลในอดีต ซ่ึงได้แก่ ค่าเฉลี่ยอายุของหญิงที่มี บุตรคนแรกในปีตา่ ง ๆ ยอ้ นกลับไปเรอื่ ย ๆ การสำ� รวจข้อมูลด้วยการพจิ ารณาขอ้ มลู ยอ้ นกลบั นัน้ จะท�ำให้ผู้วิจัยมองเห็นแบบแผนของอายุ ซ่ึงมีลักษณะเป็นแนวโน้มลักษณะใดลักษณะหนึ่ง และ จากแบบแผนแนวโน้มที่ได้ ผู้วิจัยก็จะสามารถใช้ท�ำนายแนวโน้มการมีบุตรของประชากรใน อนาคตได้ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์แนวโน้มจะมีคุณค่ามากยิ่งข้ึน นักวิจัยไม่เพียงแต่จะต้อง สำ� รวจแบบแผนของแนวโนม้ ทเ่ี กิดข้นึ เทา่ นนั้ แต่จะตอ้ งสามารถบอกได้ด้วยว่า สาเหตุท่ีท�ำใหเ้ กิด แนวโน้มเช่นน้ันคืออะไร อะไรคือสิ่งที่มีผลกระทบต่อแนวโน้มนั้น การวิเคราะห์สาเหตุจึงเข้ามา มบี ทบาทสำ� คญั ในการวเิ คราะหแ์ นวโนม้ มากกวา่ การใชข้ อ้ มลู เชงิ ประวตั ศิ าสตรแ์ ตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว ท้ังน้ีการวิเคราะห์แนวโน้มต้ังอยู่บนสมมติฐานท่ีว่า ส่ิงท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตย่อมเคยเกิดขึ้นแล้ว ในอดีต อดตี จึงเป็นเครอ่ื งทำ� นายอนาคตที่มปี ระสิทธิภาพ 2. การวิเคราะห์ผลกระทบไขว้ หรือการวิเคราะห์ผลกระทบภาคตัดขวาง (Cross Impact Analysis) การวิจัยอนาคตท่ีน่าสนใจอีกแบบหน่ึง คือ การวิจัยโดยใช้เทคนิคการวิเคระห์ ผลกระทบไขว้ Stover and Gordon (1979, pp. 301-328) สรุปว่า การวิจัยน้ีเป็นประโยชน์ใน การพยากรณ์และการสร้างภาพอนาคตให้เห็นเป็นภาพของปฏิสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ เห็น ความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์อย่างต่อเน่ืองเป็นสายโซ่ ผลการวิจัยให้ภาพอนาคตท่ีเป็นความ เคล่ือนไหวของปรากฏการณ์ เทคนิคการวิจัยแบบน้ีใช้การประมาณค่าความน่าจะเป็นของการ เกิดเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ และความน่าจะเป็นของการเกิดเหตุการณ์หนึ่ง ๆ เม่ือเกิด เหตกุ ารณห์ นง่ึ แลว้ จากนน้ั วเิ คราะหค์ วามเปน็ ไปไดแ้ บบมเี งอ่ื นไขระหวา่ งเหตกุ ารณห์ รอื แนวโนม้ ท่ีสืบเน่ืองกัน โดยท�ำเป็นตารางเมตริกความเป็นไปได้ของผลกระทบ (Cross Impact Probability
294 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา Matrix) โดยมีขั้นตอนยอ่ ๆ ดงั น้ี 2.1 ก�ำหนดเหตกุ ารณ์ณห์ รือแนวโน้มท่ีเก่ียวขอ้ งกับเรื่องทีศ่ ึกษา 2.2 ประมาณความน่าจะเป็นท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคตของแต่ละเหตุการณ์หรือแต่ละ แนวโนม้ โดยอาศยั ความคดิ เหน็ ของกลุ่มผเู้ ชี่ยวชาญ 2.3 ประมาณความน่าจะเป็นที่จะเกิดข้ึนของเหตุการณ์หรือแนวโน้มอ่ืน ๆ ในกรณี ทเ่ี หตกุ ารณ์หนง่ึ ๆ เกดิ ขึน้ แลว้ 3. วงล้ออนาคต (Futures Wheel) เป็นวิธีการหน่ึงที่ใช้ในการรวบรวมความคิดเห็น หรือปัญหาเก่ยี วกบั อนาคต นำ� เสนอโดย Jerome C. Glenn ในปี พ.ศ. 2514 เปน็ การระบชุ ดุ ของ เหตกุ ารณห์ รอื แนวโนม้ ในอนาคตโดยการระดมสมอง โดยเรมิ่ จากการเขยี นแนวโนม้ หรอื เหตกุ ารณ์ หรือปัญหาไว้ที่ศูนย์กลาง แล้วพิจารณาว่าจากแนวโน้มหรือเหตุการณ์น้ี จะท�ำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ เช่ือมโยงต่อไปอย่างไรบ้าง วาดเป็นซ่ีล้อออกไปจากศูนย์กลางเป็นรูปวงล้อ ผลกระทบหรือผล สืบเนื่องอันแรกจะถูกเขียนในตอนท้ายของซ่ีล้อแต่ละอัน ผลกระทบหรือผลสืบเน่ืองอันเน่ืองมา จากผลกระทบอนั แรกเขียนเปน็ วงแหวนท่ีสองของวงล้อ เขียนวงล้ออนาคตเป็นวงไปเรอ่ื ย ๆ จน กระทงั่ ได้แนวโนม้ ทช่ี ดั เจน 4. การสร้างภาพอนาคต (Scenario Technique) เป็นหน่ึงในเทคนิควิธีวิจัยอนาคต (Futures research) ท่ีน�ำมาใช้ในการมองภาพอนาคต (Foresight) ภายใต้ความสัมพันธ์ทาง ความคิดที่ว่า กระบวนการมองอนาคตจะต้องมีการวาดภาพเก่ียวกับอนาคต (Scenario) ท่ีคาด ว่าจะเกิดขึ้นได้หรือมีโอกาสเป็นไปได้ท่ีจะเกิดขึ้น ภาพอนาคตดังกล่าวอาจมีหลายภาพขึ้นอยู่กับ การมองอนาคตภายใต้แนวโน้ม เงื่อนไข และแรงขับทางด้านเทคโนโลยี สังคม การเมือง วัฒนธรรม ฯลฯ เข้ามาเป็นองค์ประกอบในการมองอนาคต การสร้างภาพอนาคตจะช่วยให้เห็น ภาพฉายของอนาคตในแบบต่าง ๆ โดยมีปัจจัยความแน่นอนและไม่แน่นอนท่ีอาจเกิดข้ึน ซึง่ ช่วยให้เกดิ ทางเลือกในการเตรยี มการรบั มือกบั ภาพอนาคตที่จะเกิดขนึ้ ที่มาของแนวคิดเก่ียวกับการสร้างภาพอนาคต เกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงสมัยสงครามโลก ครัง้ ท่ี 2 โดยเรม่ิ ปรากฏเปน็ รูปแบบในการวางแผนทางทหารของกองทพั สหรฐั อเมรกิ า เพอ่ื เตรียม ยุทธวิธีหลาย ๆ รูปแบบในการรับมือกับศัตรูที่จะโจมตีด้วยวิธีการต่าง ๆ คร้ันต่อมา ได้มีการ อาศัยแนวคิดดังกล่าวในการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์โดยมี Herman Kahn นักอนาคตเข้ามาร่วม วางแผนจินตนาการเกี่ยวกับอนาคตทางการทหารของกองทัพอากาศ ขณะเดียวกันเขาได้พยายาม ถอดองค์ความรู้ชุดน้ีจากประสบการณ์ โดยประยุกต์ไปสู่การพยากรณ์อนาคตในภาคการเมือง เศรษฐกิจ จนได้รับยกย่องเป็นผู้เช่ียวชาญระดับ Top futurist ของโลก ส�ำหรับข้ันตอนของการ สร้างภาพอนาคต มีดังนี้ 4.1 กำ� หนดขอบเขตของส่ิงท่ีศึกษาและขอบเขตของเวลาที่จะสร้างภาพ 4.2 เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ทมี่ ผี ลกระทบตอ่ ขอบเขตของสงิ่ ทศี่ กึ ษา วเิ คราะหเ์ หตกุ ารณ์ หรือแนวโน้มท่ีอาจเป็นไปได้ในอนาคต โดยอาจใช้เทคนิควิธีต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์แนวโน้ม การใช้เทคนคิ เดลฟาย วงล้ออนาคต และการวเิ คราะห์ผลกระทบไขว้ ฯลฯ 4.3 ประเมินความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์หรือแนวโน้มจะเกิดขึ้น รวมท้ังผลกระทบ
Research in Educational Administration • 295 ของเหตกุ ารณห์ รอื แนวโน้ม 4.4 สร้างภาพอนาคตจากข้อมูลที่รวบรวมได้ โดยพิจารณาถึงแนวโน้มและความ เป็นไปไดข้ องอนาคต โดยอาจเขียนบรรยายหรือแสดงเป็นแผนภาพ 5. เทคนิค Delphi (Delphi Technique) เป็นเทคนิคการวิจัยอนาคตท่ีพัฒนาข้ึน ในปี ค.ศ.1960 โดยนกั คดิ นักวจิ ัยของ Rand Corporation คือ Rescher และ Helmer เทคนคิ Delphi เป็นเทคนิคการวิจัยเพือ่ ศกึ ษาแนวโน้มของเหตกุ ารณ์หรอื ปรากฏการณ์ ต่าง ๆในอนาคต ซึ่งใช้วิธีการรวบรวมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญท่ีมีความรู้และมีประสบการณ์ เก่ียวกับปัญหาการวิจัยที่ศึกษาอย่างแท้จริงโดยไม่มีการให้ผู้เชี่ยวชาญเผชิญหน้ากันโดยตรง เชน่ เดยี วกับการระดมสมอง (Brainstorming) วิธีการแสวงหาข้อมูลของนักวิจัย คือ การรับฟังความคิดเห็น การคาดการณ์ หรือการ พยากรณ์สถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง จากผู้เช่ียวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิในศาสตร์สาขาน้ัน โดยใหผ้ เู้ ช่ยี วชาญตอบคำ� ถามจากแบบสอบถามท่นี ักวิจยั กำ� หนดขึน้ ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิที่นักวิจัยเลือกให้เป็นผู้ตอบแบบสอบถาม หรือให้แสดง ความคิดเห็น ไม่มีโอกาสได้รู้ว่า ในงานวิจัยน้ีมีผู้เชี่ยวชาญคนใดบ้างเป็นผู้ตอบแบบสอบถามหรือ แสดงความคิดเห็น ซ่ึงลักษณะนสี้ ามารถลดความขดั แย้งในทางวิชาการระหว่างผู้เช่ียวชาญได้ ข้ันตอนการวิจยั โดยใช้เทคนคิ Delphi ในการประยุกต์ใช้เทคนิค Delphi ส�ำหรับการวิจัยอนาคต อาจก�ำหนดข้ันตอนการ ดำ� เนนิ งานได้ 3 ขน้ั ตอน ไดแ้ ก่ การกำ� หนดกลมุ่ ผเู้ ชย่ี วชาญ การสรา้ งเครอื่ งมอื และการเกบ็ รวบรวม ข้อมูล โดยแต่ละข้นั ตอน มรี ายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี้ 1. การก�ำหนดกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Panel) ผู้วิจัยต้องท�ำการคัดเลือกกลุ่ม ผู้เช่ียวชาญที่มีความรู้ความสามารถในเร่ืองท่ีจะศึกษาวิจัย ซึ่งอาจใช้วิธีการเลือกแบบสโนว์บอล หรือบอกต่อ (Snow ball) กรณีผู้เชี่ยวชาญท่ีใช้ในเทคนิค Delphi นี้ นิยมใช้ไม่น้อยกว่า 17 คน ทั้งน้ีเพราะผู้เชี่ยวชาญจ�ำนวนตั้งแต่ 17 คน ขึ้นไป จะมีระดับความคลาดเคลื่อนลดลงอย่างคงที่ และนอ้ ยมาก คือ 0.02 (Macmillan, 1971) อย่างไรกต็ าม การใชจ้ ำ� นวนผเู้ ชี่ยวชาญท่ไี ม่นอ้ ยกวา่ 17 คน นั้น มิไดห้ มายความวา่ จะได้รับค�ำตอบทม่ี ีความคลาดเคลอ่ื นน้อยเสมอไป ถา้ การคดั เลอื ก ผู้เช่ียวชาญท่ีไม่เหมาะสม หรือไม่สอดคล้องกับปัญหาการวิจัย ความซับซ้อนของเร่ืองท่ีศึกษา ตลอดจนความรแู้ ละประสบการณ์ของผู้เชย่ี วชาญ 2. การสรา้ งเครอื่ งมอื การวจิ ยั คอื การสรา้ งแบบสอบถามซง่ึ แบบสอบถามทน่ี ำ� ไปใชน้ นั้ โดยปกตติ อ้ งทำ� การตรวจสอบความตรงเชงิ เนอื้ หา (Content Validity) และความเทย่ี ง(Reliability) ก่อนนำ� ไปใชเ้ สมอ อยา่ งไรก็ตาม ในเทคนคิ Delphi (และ EDFR) ความตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) ของเคร่ืองมือวิจัย จะแฝงอยู่ในกระบวนการรวบรวมข้อมูล เน่ืองจากเป็นการรวบรวม ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญในเร่ืองน้ัน ๆ โดยตรง ดังน้ัน ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญตอบแบบสอบถาม ท่านจะพิจารณา ตรวจสอบ และ/หรือปรับแก้ส�ำนวนภาษาหรือถ้อยค�ำในแบบสอบถามด้วย เสมือนหนึ่งว่า ผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจความตรงเชิงเนื้อหาของแบบสอบถามควบคู่ไปกับการตอบ แบบสอบถามดว้ ย สว่ นความเทย่ี งของเครอ่ื งมอื วจิ ยั พจิ ารณาไดจ้ ากการทผี่ เู้ ชย่ี วชาญยนื ยนั คำ� ตอบ
296 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา ของตนเองเม่ือตอบแบบสอบถามรอบ 2 และ 3 (จมุ พล พูนภัทรชีวนิ , 2530) 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญเพ่ือให้ได้ ฉันทามติหรือความเห็นพ้องต้องกัน (Consensus) ซ่ึงการจะให้ผู้เชี่ยวชาญทุกคนเห็นพ้องต้องกัน เป็นโจทย์ที่ยากมาก ถ้าเชิญมาเผชิญหน้ากัน ย่ิงยาก เพราะถ้าคนหน่ึงมีวุฒิสูง เป็นที่เคารพของ คนทั่วไป คนอื่นก็ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น หรือถ้ามีความคิดเห็นตรงข้ามกัน ก็จะยิ่งยาก เพราะฉะนน้ั จะไมน่ ยิ มใหผ้ เู้ ช่ยี วชาญมาเผชญิ หนา้ กนั โดยทวั่ ไปผวู้ จิ ยั จะรวบรวมขอ้ มลู 3-4รอบดว้ ยการสอบถามผเู้ ชยี่ วชาญตามแบบสอบถาม หรือสัมภาษณ์ ทั้งน้ี ข้ึนอยู่กับลักษณะของแบบสอบถาม ถ้าแบบสอบถามฉบับแรกเริ่มด้วยการ ให้ผู้เช่ียวชาญลงมติหรือจัดล�ำดับความส�ำคัญ เมื่อถึงแบบสอบถามฉบับที่ 2 หรือ 3 อาจพบว่า ค�ำตอบของกลุ่มไม่มกี ารเปล่ียนแปลงหรือเปล่ยี นแปลงนอ้ ยมาก กส็ ามารถยุติการวิจัยได้ ดังน้ี รอบแรก ผวู้ จิ ยั จะสง่ แบบสอบถามไปใหผ้ เู้ ชยี่ วชาญแสดงความคดิ เหน็ เพอื่ ระดมความ คดิ เหน็ ของผเู้ ชย่ี วชาญแตล่ ะคนในเรอื่ งทผ่ี วู้ จิ ยั ตอ้ งการศกึ ษา โดยทวั่ ไปคำ� ถามในแบบสอบถามมกั จะเป็นค�ำถามปลายเปิด ซ่ึงมีลักษณะกว้าง ๆ เช่น ท่านคิดว่า หลังปฏิรูปการศึกษารอบสองแล้ว โอกาสท่ีประเทศจะประสบความส�ำเร็จด้านการจัดการศึกษาหรือไม่อย่างไร ท้ังนี้เพื่อรวบรวม ประเด็นและสรา้ งเปน็ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale)ในรอบสองตอ่ ไป รอบสอง ผู้วิจยั น�ำข้อความซึง่ เปน็ ค�ำตอบท่ไี ดร้ ับในรอบแรกจากผูเ้ ช่ียวชาญทกุ คนมา รวบรวมตดั ทอนสง่ิ ทซ่ี ำ�้ ๆกนั หรอื สง่ิ ทเี่ กนิ ตอ้ งการออกไปหรอื นำ� ขอ้ ความมาวเิ คราะหอ์ นาคตภาพ โดยวเิ คราะห์เนอื้ หาทุกประเดน็ (Content analysis) สมมติว่า ได้ 150 ประเดน็ และเปน็ ประเด็นท่ี มีสาระตรงหรอื สอดคลอ้ งกบั ขอบขา่ ยปญั หาการวจิ ัยทศี่ กึ ษาทุกประเด็น ผวู้ จิ ัยต้องไมค่ ดั ประเดน็ ใดประเด็นหน่ึงออกโดยใช้ดุลยพินิจของผู้วิจัย เพราะการพิจารณาว่า ประเด็นใดเหมาะสมหรือ ไม่เหมาะสมนั้นต้องให้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้พิจารณา จากน้ัน ให้สร้างแบบสอบถามแบบ มาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดับ (Rating scale) ของ Likert ดงั น้ี มีโอกาสเป็นไปไดม้ ากทส่ี ุด มาก ปานกลาง นอ้ ย น้อยทีส่ ดุ 5 43 21 เมื่อสร้างแบบสอบถามเสร็จแล้ว ผู้วิจัยต้องน�ำไปให้ผู้เช่ียวชาญพิจารณาระดับความ สำ� คัญหรอื ความเปน็ ไปไดข้ องแนวโนม้ เกี่ยวกบั ปรากฏการณห์ รือปัญหาการวจิ ัยท่ีศกึ ษา วิเคราะห์หารคอ่าอบนสาาคมตภผาู้วพิจัยคนือ�ำคข่า้อเฉมูลลี่ยหร(ือXค)�ำแตลอะบสท่วี่ไนดเ้รบับ่ียจงาเบกนผู้เมชาี่ยตวรชฐาาญนท(ุกSDคน) ใโนดยรคอ่าบเฉสลอี่ยง มา คือ โอกาสเป็นไปได้ และ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน คอื ผเู้ ชยี่ วชาญเหน็ ต่างกนั ในเรื่องอนาคตภาพ หรือ อาจวเิ คราะหห์ าคา่ มธั ยฐาน (Median) และคา่ พสิ ยั ระหวา่ งควอโทล์ (Interquartile Range) กไ็ ด้ และ คัดเลอื กคำ� ถามทผี่ ่านเกณฑ์ คอื มคี ่ามธั ยฐาน > 3.50 และค่าพสิ ยั ระหวา่ งควอไทล์ 1.50 จากนน้ั จดั สง่ แบบสอบถามชุดเดิมซง่ึ เปน็ แบบมาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดับ ไปให้ ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาซ�้ำอีกคร้ังพร้อมทั้งแสดงให้เห็นค�ำตอบในรอบสองของผู้เช่ียวชาญแต่ละท่าน
Research in Educational Administration • 297 ด้วย หรือรายงานค่า X และ SD หรือค่ามัธยมฐานและค่าพิสัยระหว่างควอโทล์ไปให้ผู้เช่ียวชาญ แตล่ ะทา่ นพจิ ารณาดว้ ย คำ� ตอบเดมิ ของผเู้ ชย่ี วชาญบางคนอาจจะไมต่ รงกบั คำ� ตอบของกลมุ่ ได้ กรณี เช่นนี้ ผู้เชย่ี วชาญอาจจะเปลี่ยนแปลงคำ� ตอบของตนหรอื จะคงเดมิ กไ็ ด้ แต่จะไดร้ บั การขอรอ้ งจาก ผคว้ำู� ตจิ อยั ใบหขแ้ อสงดกงลเมุ่หตเชผุ น่ ลสปมรมะกตอวิ บา่ รกาายรงคานงคคำ�า่ ตXอบ=เ4ด.มิ5ขSอDง=ตน0.2ถ6า้ ไผมเู้ม่ชเียี่หวตชผุ าลญปทรา่ ะนกหอนบง่ึ แตสอดบงควา่ า่ เXหน็เทดา่ว้ กยบั กบั2 ให้ถามท่านว่า จะเปลี่ยนให้เป็น 4.5 ตามกลุ่มหรือไม่ ถ้าท่านยืนยันค�ำตอบเดิม จึงขอให้แสดง เหตผุ ลประกอบ ถา้ ไมม่ เี หตผุ ลประกอบ แสดงวา่ เหน็ ดว้ ยกบั คำ� ตอบของกลมุ่ คอื 4.5 แตถ่ า้ เปลย่ี น ตามกลุ่มก็จบ คือ ไม่ต้องแสดงเหตุผลประกอบ หรือสมมติว่า รายงานค่ามัธยฐาน 3.7 ค่าพิสัย ระหว่างควอไทล์ 1.50 ไปให้พิจารณา ผู้เช่ียวชาญท่านหนึ่งตอบค่าพิสัยระหว่างควอไทล์เท่ากับ 1.60 ใหถ้ ามทา่ นวา่ จะยงั ยนื ยันค�ำตอบเดมิ ในรอบสองหรือไม่ ถา้ ท่านยืนยันค�ำตอบเดิม จึงขอให้ แสดงเหตผุ ลประกอบ ถา้ ไมม่ เี หตผุ ลประกอบ แสดงวา่ เหน็ ดว้ ยกบั คำ� ตอบของกลมุ่ คอื 1.50 แตถ่ า้ เปล่ยี นตามกลมุ่ หรอื คลอ้ ยตามผเู้ ชีย่ วชาญสว่ นใหญ่ก็จบ คอื ไมต่ ้องแสดงเหตุผลประกอบ รอบส่ี ด�ำเนินการเช่นเดียวกับรอบสาม อย่างไรก็ตาม จะมีการสอบถามในรอบส่ี หรอื ไม่ ขน้ึ อยกู่ บั คำ� ตอบในรอบสาม กลา่ วคอื ถา้ คำ� ตอบในรอบทส่ี าม มคี วามสอดคลอ้ งกนั กไ็ มต่ อ้ ง สอบถามในรอบส่ี แต่ถ้าการใชเ้ ทคนิค Delphi รอบสาม ยังไม่จบหรือยังไม่ยุติ (ยงั ไมไ่ ดฉ้ ันทามต)ิ ให้ท�ำเพ่ิมเป็นรอบสี่ หรือถ้าไม่ท�ำเพ่ิมก็ให้พิจารณาดังนี้ คือ ถ้าข้อใดมีการกระจายมากให้ตัดออก (จาก 150 ข้อ อาจเหลือ 70 ข้อก็ได้) หรือข้อใดมีค่าพิสัยระหว่างควอไทล์มากเกินเกณฑ์ ก็ให้ตัด ออกได้เช่นกนั 6. เทคนิค EFR (Ethnographic Futures Research) เป็นเทคนคิ ทีพ่ ฒั นาโดย Dr. Robert B.Textor อาจารย์มหาวทิ ยาลัยสแตนฟอรด์ แหง่ สหรัฐอเมริกา เทคนิค EFR เป็นเทคนิคท่ีพัฒนามาจากระเบียบวิธีวิจัยทางมานุษยวิทยาท่ีเรียกว่า การวิจัยชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnographic Research หรือ Ethnography)โดยใช้แบบสัมภาษณ์ที่ มีค�ำถามปลายเปิดและไม่ใช้ค�ำถามชี้น�ำ (Non-directive, Open ended) เพ่ือรวบรวมความคิดเห็น ต่ออนาคตภาพท่เี ก่ียวกบั ปรากฏการณ์/เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ใน 3 ประเดน็ ดังน้ีคือ 1) อนาคตภาพทาง บวก (Optimistic - Realistic Scenario) 2) อนาคตภาพทางลบ (Pessimistic - Realistic Scenario) และ 3) อนาคตภาพท่เี ป็นไปได้มากทสี่ ุด (Most Possible Scenario) สำ� หรบั การสมั ภาษณใ์ นการวจิ ยั แบบ EFR นนั้ มลี กั ษณะเดน่ ทแี่ ตกตา่ งจากการสมั ภาษณ์ แบบอื่น ๆ คอื จะแบง่ การสมั ภาษณ์ออกเป็นชว่ ง ๆ โดยอาจแบ่งตามหวั ข้อท่สี ัมภาษณ์ หรือตาม ช่วงเวลาที่ก�ำหนด ผู้สัมภาษณ์จะสรุปการสัมภาษณ์ให้ผู้ให้สัมภาษณ์ฟังและขอให้ผู้ให้สัมภาษณ์ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง แก้ไขค�ำสัมภาษณ์ ตัด หรือเติมค�ำให้สัมภาษณ์ได้ กระบวนการนี้เรียกว่า “เทคนิคการสรุปสะสม” (Cumulative Summarization Technique) และจะด�ำเนินไปในลักษณะ นี้จนจบการสัมภาษณ์ เพื่อให้เชื่อม่ันได้ว่า ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์มีท้ังความตรง (Validity) และความเทย่ี ง (Reliability)
298 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา ขั้นตอนการวิจยั โดยใช้เทคนิค EFR ในการประยุกต์ใช้เทคนคิ EFR ส�ำหรบั การวจิ ยั อนาคต อาจกำ� หนดข้ันตอนการด�ำเนนิ งานได้ 5 ข้นั ตอน โดยอาจสรุปได้ ดังน้ี 1. ก�ำหนดกลุม่ ผเู้ ชย่ี วชาญ 2. การสรา้ งเครอ่ื งมอื การวจิ ยั ซงึ่ เปน็ แบบสมั ภาษณ์โดยขอ้ คำ� ถามในแบบสมั ภาษณม์ ี ลกั ษณะเฉพาะคอื 1)แบบเปดิ และไมช่ นี้ ำ� 2)แบบกง่ึ มโี ครงสรา้ งคอื มกี ารเตรยี มหวั ขอ้ หรอื ประเดน็ การสัมภาษณ์ไวล้ ว่ งหน้า และ 3) ใช้เทคนิคการสรปุ สะสม 4) สัมภาษณ์อนาคตภาพสามแบบ คอื 1) ภาพอนาคตทางท่ดี ี 2) ภาพอนาคตทางท่ีไมด่ ี และ 3) ภาพอนาคตท่ีมีความเปน็ ไปไดม้ ากท่สี ดุ 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวเิ คราะห/์ สังเคราะห์ หาฉันทามติ (Consensus) 5. การเขียนอนาคตภาพ (Scenario Write-up) 7. เทคนิค EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) เป็นเทคนิคท่ีพัฒนา โดย จุมพล พูลภัทรชีวิน ภายใต้การสนับสนุนของ Dr. Robert B.Textor อาจารย์มหาวิทยาลัย สแตนฟอรด์ แหง่ สหรัฐอเมริกา ซ่ึงเป็นผรู้ เิ ร่ิมพัฒนาเทคนคิ การวจิ ยั อนาคตแบบ EFR เทคนิค EDFR เป็นเทคนิคการวิจัยอนาคตท่ีศึกษาแนวโน้มท่ีมีความเป็นไปได้ของ เรื่องท่ีศึกษาจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเช่นเดียวกับเทคนิค Delphi และ EFR โดยน�ำจุดเด่นของ ทั้งสองวธิ มี าผนวกเข้าดว้ ยกัน คือ ใช้การสัมภาษณ์ตามเทคนิค EFR ในรอบแรก แล้วจงึ ตามดว้ ย เทคนิค Delphi ในรอบสองและรอบสาม โดยหลักการแล้วเทคนิค EDFR เป็นการผสมผสาน ระหวา่ งเทคนคิ EFR กบั Delphi เขา้ ด้วยกัน ขนั้ ตอนต่าง ๆ ของ EDFR จะมคี วามคลา้ ยคลึงกับ วิธขี อง Delphi เพียงแตม่ กี ารปรับปรงุ วธิ ใี ห้มคี วามยืดหยนุ่ และมีความเหมาะสมมากขึน้ ข้นั ตอนการวิจัยโดยใชเ้ ทคนิค EDFR ในการประยุกต์ใช้เทคนิค EDFR ส�ำหรับการวิจัยอนาคต อาจก�ำหนดขั้นตอนการ ดำ� เนินงานได้ 3 ขน้ั ตอนหลกั ๆ โดยมรี ายละเอียด ดังนี้ 1. การก�ำหนดกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยต้องเลือกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญท่ีเช่ียวชาญจริง ๆ เพื่อจะท�ำให้ผลการวิจัยน่าเช่ือถือมากขึ้น โดยวิธีการเลือกผู้เชี่ยวชาญอาจใช้วิธีการเลือกแบบ เจาะจง (Purposive sampling) หรือวธิ กี ารเลือกแบบสโนว์บอล/บอกต่อ (Snow ball) ก็ได้ 2. การสร้างเคร่อื งมอื วจิ ยั คือ การสรา้ งแบบสมั ภาษณ์แบบ EFR ซง่ึ เปน็ เครอื่ งมอื การวิจยั ทแี่ ตกตา่ งจากเคร่ืองมอื การวจิ ยั แบบอน่ื ๆ ดงั น้นั เรอ่ื งของความตรงเชิงเนือ้ หา (Content Validity) และความเทย่ี ง(Reliability) จะรวมอยใู่ นกระบวนการวจิ ยั แลว้ เชน่ การสมั ภาษณร์ อบแรก มีการสรุปเพ่ือให้ผู้เช่ียวชาญยืนยันและ/หรือปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่เขาพูด น่ีคือความตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) และหลังจากน้ันยงั ให้ผเู้ ชีย่ วชาญตอบรอบสองและพิจารณาตอบรอบสาม เพ่อื ทบทวนคำ� ตอบซงึ่ ถอื วา่ เปน็ ผลทไ่ี ดจ้ ากการวดั นค่ี อื ความเทยี่ ง (Reliability) (จมุ พล พลู ภทั รชวี นิ และปิยะชาติ โชคพิพัฒน์, 2557) 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้เช่ียวชาญเพื่อให้ได้
Research in Educational Administration • 299 ฉันทามติหรือความเห็นพ้องต้องกัน (Consensus) โดยจะมีการรวบรวมข้อมูล 3-4 รอบ ใน ลักษณะเดียวกันกบั เทคนคิ Delphi ดงั นี้ รอบแรก จะใชก้ ารสมั ภาษณแ์ บบ EFR คอื สมั ภาษณโ์ ดยใชแ้ บบสมั ภาษณท์ มี่ คี ำ� ถาม ปลายเปดิ ไมช่ นี้ ำ� (Non-directive, Open ended) แต่ EDFR มคี วามยดื หยนุ่ กวา่ คอื ผวู้ จิ ยั จะสมั ภาษณ์ ตามแบบ EFR โดยเริ่มจากอนาคตทางบวก ทางลบ และที่เป็นไปได้มากที่สุด ตามล�ำดับ หรือ ผู้วิจัยอาจเลือกสัมภาษณ์เฉพาะแนวโน้มที่ผู้เช่ียวชาญคาดว่าจะเป็นไปได้มากท่ีสุด ซ่ึงอาจเป็น แนวโน้มในทางบวกหรอื ทางลบกไ็ ด้ รอบสอง และ รอบสาม ด�ำเนินการเช่นเดียวกับเทคนิค Delphi กล่าวคือ หลังจาก สัมภาษณ์ในรอบแรก ผู้วิจัยจะน�ำข้อมูลท่ีได้มาวิเคราะห์ และสร้างเป็นเคร่ืองมือ ซึ่งจะมีลักษณะ เปน็ แบบสอบถามแลว้ สง่ ไปใหผ้ เู้ ชย่ี วชาญตอบตามรปู แบบของ Delphi เพอื่ เปน็ การกรองความคดิ ของกลมุ่ ผเู้ ชย่ี วชาญเพอ่ื หาฉนั ทามติ หลงั จากนน้ั จะนำ� ขอ้ มลู มาวเิ คราะหเ์ พอื่ หาแนวโนม้ ทม่ี คี วาม เปน็ ไปไดม้ ากที่สดุ และมีความสอดคล้องทางความคดิ เหน็ ระหว่างกลุ่มผู้เช่ียวชาญ เพือ่ เขียนสรปุ เป็นภาพอนาคต (Scenario) ความเหมือนและความตา่ งระหวา่ งเทคนคิ EDFR EFR และ Delphi สำ� หรบั ความเหมอื นและความตา่ งระหวา่ งเทคนคิ EDFR EFR และ Delphi ตามทกี่ ลา่ ว มาขา้ งต้นน้นั อาจแสดงให้เหน็ ไดใ้ นตารางท่ี 8.1 ตารางที่ 8.1 ความเหมอื นและความตา่ งระหว่างเทคนคิ EDFR EFR และ Delphi ความเหมือนและความตา่ งระหว่างเทคนคิ EDFR EFR และ Delphi EDFR EFR Delphi รอบแรกใช้แบบสัมภาษณ์ท่ีมี ใช้แบบสัมภาษณร์ อบเดียว โดยใช้ รอบแรก ใช้แบบสอบถามท่ี ค�ำถามปลายเปิดและไม่ใช้ค�ำถาม แบบสมั ภาษณท์ มี่ คี ำ� ถามปลายเปดิ มีโครงสร้างซึ่งเป็นการจ�ำกัด ช้ีน�ำแบบ EFR ซึ่งเป็นการเคารพ และไม่ใช้ค�ำถามช้ีน�ำ ซึ่งเป็นการ ความคิดเห็นของผู้เช่ียวชาญ ความคดิ เห็นของผูเ้ ชี่ยวชาญอยา่ ง เคารพความคดิ เหน็ ของผเู้ ชย่ี วชาญ ตามค�ำถามที่ระบุไว้แล้ว แทจ้ รงิ โดยผเู้ ชยี่ วชาญไมถ่ กู จำ� กดั อย่างแท้จริง ท�ำให้ผู้เชี่ยวชาญได้ เทา่ น้นั ความคิดเหน็ แสดงความคดิ เหน็ อยา่ งกวา้ งขวาง ในการสัมภาษณ์น้ัน ผู้วิจัย และไมถ่ กู จำ� กดั ความคิดเห็น ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งสมั ภาษณใ์ หค้ รบทงั้ ในการสมั ภาษณน์ น้ั ผู้วจิ ัยต้อง อนาคตทางบวก อนาคตทางลบ สัมภาษณ์ให้ครบท้ังอนาคตทาง และอนาคตที่เป็นไปได้มากท่ีสุด บวก อนาคตทางลบ และอนาคตที่ แตผ่ วู้ จิ ยั อาจเลอื กสมั ภาษณเ์ ฉพาะ เป็นไปได้มากที่สุด แนวโน้มท่ีผู้เชี่ยวชาญคาดว่าน่า จะเป็นเป็นได้มากที่สุด โดยไม่ ต้องค�ำนึงถึงว่าแนวโน้มเหล่านั้น จะเป็นไปในทางบวกหรือทางลบ
300 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา รอบสอง ดำ� เนนิ การเหมือน รอบสอง ไมม่ ี รอบสอง ผู้วจิ ัยน�ำข้อความ เทคนคิ Delphi ซึ่งเป็นค�ำตอบท่ีได้รับใน รอบแรกจากผู้เชีย่ วชาญทุก รอบสาม ดำ� เนนิ การเหมอื น รอบสาม ไมม่ ี คนมาวเิ คราะหอ์ นาคตภาพ เทคนิค Delphi จากนนั้ สรา้ งแบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณคา่ ไมก่ ำ� หนดว่าผเู้ ชยี่ วชาญต้อง ก�ำหนดให้มผี ้เู ชย่ี วชาญเพียงรอบ 5 ระดับ (Rating scale) แลว้ เป็นกลุ่มเดยี วกนั ทกุ รอบ (มกี าร เดยี ว สง่ ไปให้ผูเ้ ชยี่ วชาญพิจารณา ยดื หยุน่ ) หากมีข้อจ�ำกัด ไม่ ระดับความสำ� คญั หรอื ความ สามารถรวบรวมข้อมลู ได้ กป็ รับ เป็นไปได้ของแนวโนม้ เกี่ยว เปลยี่ นได้ตามความเหมาะสม กบั ปรากฏการณ์หรือปัญหา หรอื จะเพ่ิมรอบสุดท้ายเพื่อความ การวิจัยท่ศี ึกษา น่าเชือ่ ถือกส็ ามารถท�ำไดเ้ ชน่ กนั รอบสาม ผวู้ ิจยั น�ำขอ้ มลู หรอื ค�ำตอบท่ไี ด้รับจากผู้ เชีย่ วชาญทุกคนในรอบสอง มาวิเคราะห์หาค่าอนาคตภาพ คือ ค่าเฉลี่ย (X) และส่วน เบย่ี งเบนมาตรฐาน (SD) โดยคา่ X โอกาสเป็นไปได้ และ SD คือ ผเู้ ช่ียวชาญเห็น ตา่ งกนั ในเรือ่ งอนาคตภาพ หรอื ผวู้ จิ ยั อาจวิเคราะห์หา ค่ามัธยฐาน (Median) และ หาคา่ พสิ ยั ระหวา่ งควอไทล์ (Interquartile Range) กไ็ ด้ และคดั เลือกคำ� ถามท่ีผ่าน เกณฑค์ ือมคี ่ามธั ยฐาน > 3.50 และคา่ พิสัยระหวา่ งควอไทล์ 1.50 จากนั้น ผวู้ จิ ยั จัดส่ง แบบสอบถามชดุ เดมิ ไปใหผ้ ู้ เช่ยี วชาญพจิ ารณาซ้ำ� อกี ครั้ง กำ� หนดว่า ผเู้ ช่ยี วชาญควร เป็นกลมุ่ เดียวกนั ทุกรอบ
Research in Educational Administration • 301 8.4 จดุ แข็งและจดุ อ่อนของเทคนคิ การวิจัยอนาคต เทคนิคการวจิ ยั อนาคตตามที่นกั วิจยั นิยมใชก้ ัน มอี ยู่ 3 เทคนิค ไดแ้ ก่ 1) เทคนคิ Delphi (Delphi Technique) 2) เทคนคิ EFR (Ethnographic Future Research) และ 3) เทคนิค EDFR (Ethnographic Delphi Future Research) มที ้งั จดุ แข็งและจดุ อ่อน ซงึ่ อาจสรปุ ได้ ดงั ตารางที่ 8.2 (บุญใจ ศรีสถติ ย์นรากูร, 2553) ตารางที่ 8.2 จุดแข็งและจดุ อ่อนของเทคนคิ การวิจัยอนาคต จุดแขง็ จุดออ่ น 1. ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านได้แสดงความคิดเห็น 1. การให้ผู้เช่ียวชาญตอบค�ำถามในลักษณะที่ อย่างอิสระ ไม่ถูกครอบง�ำทางความคิดจากผู้ แต่ละข้อค�ำถามมีความคล้ายคลึงกันหลาย ๆ เช่ยี วชาญทม่ี ีคุณลักษณะทีเ่ หนือกวา่ เชน่ มชี อื่ รอบ อาจท�ำให้ผู้เชย่ี วชาญรสู้ ึกเบอื่ หน่ายได้ เสยี งและไดร้ บั การยอมรบั จากสงั คมในวงกวา้ ง มีฐานะทางสังคมและต�ำแหน่งงานที่เหนือกว่า มที กั ษะในการพดู โนม้ นา้ วผอู้ นื่ ทเ่ี หนอื กวา่ ฯลฯ 2. ตัดปัญหาอุปสรรคที่เกี่ยวกับการรวมกลุ่ม 2. ผู้เชี่ยวชาญท่ีได้รับการคัดเลือก โดยท่ัวไป ของผู้เชี่ยวชาญเพ่ือให้ได้มาซึ่งข้อยุติของความ แล้วมักจะเป็นผู้ใหญ่ท่ีมีชื่อเสียงและมีภารกิจ คดิ เหน็ ทส่ี อดคลอ้ งกนั เชน่ ตดั ปญั หาดา้ นการ ท่ีต้องรับผิดชอบมาก รวมทั้งมักได้รับเชิญเป็น นัดหมายให้ผู้เชี่ยวชาญมารวมกลุ่มโดยพร้อม ผเู้ ชย่ี วชาญในงานวจิ ยั อน่ื ๆ ทศี่ กึ ษาดว้ ยเทคนคิ หนา้ กนั ตดั ปญั หาดา้ นงบประมาณคา่ ทพี่ กั และ การวจิ ยั อนาคตดว้ ย ซง่ึ อาจทำ� ใหผ้ เู้ ชย่ี วชาญถกู คา่ เดินทางของผ้เู ชี่ยวชาญ ฯลฯ รบกวนเวลา จงึ เลอื่ นการนดั หมาย และรสู้ กึ เบอ่ื หนา่ ยต่อการให้ความคดิ เหน็ ได้ 3. ผลการสรุปการวิจัยได้รับการยอมรับจาก 3. ในกรณีที่ผู้เชี่ยวชาญไม่มีเวลาให้ความคิด สงั คมเนอ่ื งจากเปน็ ความคดิ เหน็ ของผเู้ ชยี่ วชาญ เหน็ ทำ� ใหผ้ วู้ จิ ยั ตอ้ งใชร้ ะยะเวลายาวนานในการ ที่มีชื่อเสียงในสังคม ซ่ึงล้วนมีความรู้ความ รวบรวมขอ้ มลู แตล่ ะรอบ สามารถและมีความเช่ยี วชาญ จากตารางท่ี 8.2 จะเหน็ วา่ เทคนิคการวิจัยอนาคตมที ง้ั จดุ แขง็ และจดุ อ่อน ผู้วจิ ัยทตี่ ดั สินใจ ท�ำวิจัยอนาคต ต้องพิจารณาวางแผนให้ดีเพ่ือใช้ประโยชน์จากจุดแข็งและระมัดระวังเร่ืองจุดอ่อน ทัง้ นีเ้ พื่อให้การด�ำเนินการวิจัยด�ำเนินไปด้วยความเรียบร้อย มีความตอ่ เนอื่ ง และมปี ระสิทธภิ าพ
302 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษา 8.5 หลักการคดั เลอื กผเู้ ช่ยี วชาญ ผู้เชี่ยวชาญ (Expert) คือ คนท่ีมีข้อมูลอยู่ในหัวและสามารถที่จะคาดการณ์ในอนาคตได้ เช่น ถ้ารัฐบาลท�ำแบบนี้ จะเกิดอะไรข้ึนในอนาคต ถ้าไม่ปฏิรูปการศึกษา อนาคตประเทศไทย จะเป็นอย่างไร ฯลฯ บางอย่างข้อมูลทั่วไปบอกไม่ได้เลย เมื่อผู้วิจัยหาข้อมูลท่ัวไปหรือหาจาก ที่อ่ืนไม่ได้ ก็จ�ำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ เพ่ือให้มีการคาดการณ์ว่า น่าจะเป็นอย่างนั้นน่าจะเป็น อย่างนี้ และเมื่อรวบรวมข้อมูลจากหัวของผู้เชี่ยวชาญครบทุกคนแล้ว ให้พิจารณาว่า ควรจะมี แนวโน้มแบบไหนกนั แนห่ รอื ควรจะเอนเอียงไปทางไหน ดังนนั้ ผเู้ ชยี่ วชาญถอื วา่ เปน็ แหล่งข้อมลู ทส่ี ำ� คัญ จงึ ต้องมีหลักเกณฑ์ในการคดั เลือกที่ดี ดังน้ี 1. การกำ� หนดเกณฑค์ ณุ สมบตั ิ ผู้วจิ ยั ต้องก�ำหนดเกณฑค์ ณุ สมบตั ิของผู้เชีย่ วชาญให้ เหมาะสมกบั ปญั หาการวจิ ยั โดยพจิ ารณาถงึ ความรแู้ ละประสบการณต์ รงกบั ปญั หาการวจิ ยั ทศ่ี กึ ษา อย่างแท้จรงิ 2. การเลือกเฉพาะเจาะจง (Purposive) ในการคัดเลือกผู้เช่ียวชาญ ผู้วิจัยอาจใช้วิธี เลือกเฉพาะเจาะจง (Purposive) ในระยะเริ่มต้น เพ่ือให้ได้ผู้เช่ียวชาญเพียงจ�ำนวนหนึ่งก่อน ตามที่ผู้วิจัยเห็นว่ามีคุณสมบัติตามเกณฑ์ในข้อ 1 จากนั้นใช้วิธีบอกต่อ (Snowballing Technique หรือ Network Technique)) จนครบตามจ�ำนวนทีต่ ้องการ 3. การก�ำหนดจ�ำนวนผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยก�ำหนดจ�ำนวนผู้เชี่ยวที่เหมาะสม ซ่ึงโดย ท่ัวไป คือ ก�ำหนดต้ังแต่ 17 คนขึ้นไป เพราะมีความคลาดเคลื่อนคงท่ีและน้อยมาก คือ ขนาด ความคลาดเคลื่อน 0.02 (Macmillan, 1971) อย่างไรก็ตาม การใชจ้ ำ� นวนผเู้ ชีย่ วชาญทไี่ ม่น้อยกวา่ 17 คน นน้ั มิได้หมายความวา่ จะไดร้ ับค�ำตอบทม่ี ีความคลาดเคล่ือนน้อยเสมอไป ถา้ การคัดเลือก ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่เหมาะสม หรือไม่สอดคล้องกับปัญหาการวิจัย ความซับซ้อนของเรื่องท่ีศึกษา ตลอดจนความรู้และประสบการณข์ องผ้เู ช่ยี วชาญ 8.6 เทคนคิ และขั้นตอนการสมั ภาษณ์ผเู้ ชยี่ วชาญ หลายครั้งที่เราลงพ้ืนที่เก็บข้อมูลและพูดคุยกับผู้คน หรือได้รับโอกาสเข้าพบผู้เชี่ยวชาญ ในดา้ นตา่ ง ๆ แตโ่ อกาสเหลา่ นนั้ กลบั เสยี เปลา่ เพราะขอ้ มลู ทเี่ กบ็ มากลบั ไมใ่ ชข่ อ้ มลู เชงิ ลกึ (Insight) ท่ีสามารถน�ำมาใช้คิดต่อยอดได้ ดังน้ัน ในการสัมภาษณ์ผู้เช่ียวชาญ ผู้สัมภาษณ์จึงต้องมีเทคนิค และข้ันตอนการสัมภาษณ์ ดงั น้ี 1. เทคนคิ การสมั ภาษณ์ เปน็ เทคนคิ ทผี่ วู้ จิ ยั อนาคตใชใ้ นการสมั ภาษณผ์ เู้ ชยี่ วชาญทมี่ คี วาม รแู้ ละประสบการณส์ อดคลอ้ งกบั ปัญหาการวจิ ยั และความซับซอ้ นของเร่อื งที่ศกึ ษา ประกอบดว้ ย เทคนคิ 7 ประการ ซึง่ อาจสรุปได้ ดังนี้ (ณัฐวฒุ ิ เหมากระโทก, 2560) 1.1 เปิดใจรับฟัง : ผู้สัมภาษณ์ที่ดีต้องเปิดหูและเปิดใจรับฟัง และควรท�ำให้ การพดู คยุ มคี วามสดใหม่ ดว้ ยการแสดงความกระตอื รอื รน้ ทจี่ ะฟงั คำ� ตอบจากผใู้ หส้ มั ภาษณ์ เหมอื น กบั วา่ เราไมเ่ คยไดย้ นิ คำ� ตอบนน้ั มากอ่ น (แมเ้ ราจะเคยไดย้ นิ คำ� ตอบนนั้ ซำ้� ๆ มาหลายครงั้ แลว้ กต็ าม)
Research in Educational Administration • 303 เพราะการแสดงความรู้สึกต้ังใจและอยากฟังค�ำตอบจะท�ำให้ผู้ให้สัมภาษณ์เปิดใจที่จะให้ข้อมูล หรือเล่าเรื่องราวให้เราฟังมากข้ึน ส่วนเราเองก็ควรฟังอย่างเปิดใจ และไม่ด่วนตัดสินหรือแปล ความค�ำตอบเหลา่ น้นั ในทันที 1.2 ฟังให้มากกว่าพูด : เรามีเวลาจ�ำกัดในการพูดคุยหรือสัมภาษณ์ เพราะเราอาจ ไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ให้สัมภาษณ์ได้ง่าย ๆ หรือบ่อย ๆ ดังนั้น สิ่งที่ควรท�ำ คือ รับข้อมูลมา ให้ได้มากท่ีสุดเท่าที่จะท�ำได้ในเวลาอันสั้น โดยหลีกเล่ียงการพูดแชร์ประสบการณ์ หรือแสดง ความคิดเห็นส่วนตัว เพราะนอกจากจะเสียเวลามากแล้ว บางครั้งยังพาออกนอกประเด็น และ เปน็ การไม่ให้เกยี รติผใู้ ห้สมั ภาษณอ์ ีกด้วย 1.3 ถามหาข้อเท็จจริง : พยายามต้ังค�ำถามท่ีดึงข้อเท็จจริงออกมามากกว่าค�ำถาม ประเภท “คิดเห็นอย่างไร” โดยอาจเริ่มด้วยค�ำถามจ�ำพวก ใคร ท�ำอะไร ที่ไหน อย่างไร เช่น ใครประสบปัญหาเหล่านี้บ้าง ตอนนี้ใช้วิธีอะไรแก้ปัญหา ปัญหาเกิดขึ้นที่ไหน ฯลฯ ซึ่งค�ำถาม เหล่านจ้ี ะทำ� ให้ได้ขอ้ เท็จจรงิ และประสบการณ์ทเ่ี ปน็ ประโยชน์มากกวา่ อย่างไรกต็ าม ในการวจิ ัย อนาคต ยังไม่มีข้อเท็จจริงเก่ียวกับอนาคต เพราะอนาคตยังมาไม่ถึง จึงต้องสัมภาษณ์เพื่อหา แนวโน้ม หรอื ให้ผูเ้ ชี่ยวชาญคาดการณ์ 1.4 ถาม “ท�ำไม” ให้มากขึ้น : วิธีน้ีเป็นเทคนิคท่ีใช้ได้ผลดีในการค้นหาเหตุผล ตวั อยา่ งคำ� ถามเชน่ ทำ� ไมทา่ นถงึ คาดการณแ์ นวโนม้ อนาคตแบบนี้ ทำ� ไมสง่ิ นถี้ งึ สำ� คญั ทำ� ไมสง่ิ นถ้ี งึ เปน็ ปญั หาใหญ่ ฯลฯ 1.5 ถามแบบเปิด-ปิด : คือ ใช้ค�ำถามปลายปิดผสมกับปลายเปิด โดยค�ำถามปลาย ปิดไวเ้ ชค็ สว่ นคำ� ถามปลายเปิดไวเ้ กบ็ มมุ มอง ตัวอยา่ งคำ� ถามปลายปิด เชน่ “ออ๋ ทา่ นเหน็ อนาคต ภาพใชไ่ หม” ซงึ่ ค�ำตอบที่ได้อาจเปน็ ใช่หรอื ไมใ่ ช่ ฯลฯ นค่ี อื คำ� ถามปลายปดิ ไวเ้ ชค็ ความเห็นของ ผ้เู ช่ียวชาญ 1.6 เปิดทางเพือ่ ขอขอ้ มลู อกี : ระหว่างที่เราก�ำลังพฒั นาความคิดอยู่นน้ั แนน่ อนว่า เราจะได้เรยี นรูส้ ่งิ ใหม่ ๆ เพ่ิมเตมิ อีกมากมาย ซ่ึงกจ็ ะตามมาดว้ ยคำ� ถามใหม่ ๆ อีกมากมายเช่นกนั ดังน้ัน ก่อนจบการพูดคุยทุกครั้ง ควรท้ิงท้ายด้วยการขออนุญาตติดต่อไปอีก หากมีปัญหาสงสัย อยากพดู คยุ เพมิ่ เตมิ ในอนาคต ซง่ึ ถา้ เรามกี ารบอกลว่ งหนา้ ไวก้ อ่ น สว่ นใหญแ่ ลว้ กม็ กั จะไดร้ บั ความ รว่ มมอื อีกในครั้งต่อไป 1.7 ขยายความสัมพันธ์ (Connection) : ในช่วงสุดท้ายของการพูดคุยทุกคร้ัง เราควรขอค�ำปรึกษาจากผู้ให้สัมภาษณ์ว่า มีใครที่ท่านอยากแนะน�ำให้เราไปพูดคุยในประเด็น ทเ่ี ราก�ำลังท�ำนี้อกี หรอื ไม่ 2. ข้ันตอนการสัมภาษณ์ ในการสัมภาษณ์ผู้เช่ียวชาญเพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีดี เป็นระบบและ น่าเชื่อถือนั้น ผู้วิจัยควรมีการเตรียมความพร้อมตามล�ำดับขั้นตอน 3 ข้ันตอน ดังนี้ (บุญใจ ศรสี ถติ ยน์ รากรู , 2553)
304 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 2.1 ขน้ั กอ่ นการสมั ภาษณ์ 1) ก�ำหนดจุดมุ่งหมายของการสัมภาษณ์หรือสาระท่ีต้องการรวบรวมจาก ผเู้ ชี่ยวชาญ 2) เตรยี มคำ� ถามสำ� หรบั การสมั ภาษณ์ ซง่ึ ควรเปน็ คำ� ถามแบบปลายเปดิ ไมถ่ าม ช้ีนำ� เพ่ือให้ผเู้ ชีย่ วชาญแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ 3) เตรียมความพร้อมเก่ียวกับศิลปะและทักษะการสัมภาษณ์ ซึ่งควรใช้การ สมั ภาษณแ์ บบมีปฏิสมั พนั ธ์ (Interactive Interview) 4) เตรยี มสอ่ื วสั ดุ และอปุ กรณส์ ำ� หรบั บนั ทกึ คำ� สมั ภาษณ์ เชน่ ปากกา กระดาษ ตลัปเทป และเครือ่ งบันทกึ เสียง ฯลฯ 5) ก�ำหนดวัน เวลา ที่เหมาะสมส�ำหรับการนัดหมาย และสถานที่ส�ำหรับ การสมั ภาษณ์ ซึง่ ควรตอ้ งคำ� นึงถงึ ความสะดวกของผู้เชย่ี วชาญเปน็ หลัก 6) จัดท�ำโครงร่างวิจัยฉบับย่อและค�ำถามที่ใช้สัมภาษณ์ ส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ลว่ งหนา้ เพื่อใหผ้ ูเ้ ชี่ยวชาญศกึ ษารายละเอยี ดและเตรียมตวั ใหส้ มั ภาษณ์ 2.2 ขัน้ การสมั ภาษณ์ 1) ควรไปถงึ ทีน่ ัดหมายกอ่ นเวลานัดหมายประมาณ 10-15 นาที 2) แนะน�ำตัวตอ่ ผเู้ ชย่ี วชาญ 3) ในกรณที ป่ี ระสงคจ์ ะบนั ทกึ เสยี งขณะสมั ภาษณ์ ตอ้ งขออนญุ าตผเู้ ชย่ี วชาญ กอ่ น 4) ไม่แสดงปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมท่ีแสดงความสงสัย ประหลาดใจ หรือไม่ ยอมรับความคดิ เห็นของผ้เู ช่ียวชาญ 5) ฟงั ผเู้ ชย่ี วชาญใหค้ วามเหน็ ดว้ ยความตงั้ ใจ ไมแ่ สดงพฤตกิ รรมเบอ่ื หนา่ ย หรอื ไมส่ นใจ 6) ขณะสมั ภาษณ์ หากมเี หตกุ ารณท์ ที่ ำ� ใหผ้ เู้ ชยี่ วชาญไมพ่ รอ้ มทจี่ ะใหส้ มั ภาษณ์ เชน่ มงี านเรง่ ด่วน ผู้สมั ภาษณค์ วรจะยตุ กิ ารสัมภาษณ์ไวช้ ่วั ขณะ รอจนกระทั้งผู้เชยี่ วชาญพรอ้ ม จึงสมั ภาษณต์ ่อ หรอื อาจนัดหมายวันและสัมภาษณใ์ หม่ 7) ควบคมุ เวลาการสัมภาษณ์ตามทีไ่ ดแ้ จ้งแก่ผู้เช่ียวชาญ 2.3 ข้ันยตุ กิ ารสัมภาษณ์ 1) ตรวจดูความครบถ้วนและความชัดเจนของข้อมูล หากพบว่าข้อมลู ส่วนใด ขาดความชดั เจน ควรสมั ภาษณ์ผ้เู ช่ยี วชาญเพ่มิ เตมิ 2) กลา่ วคำ� อำ� ลา และกลา่ วขอบพระคุณผเู้ ชี่ยวชาญ
Research in Educational Administration • 305 8.7 กรณีตัวอย่างงานวจิ ัยอนาคต ตวั อย่างท่ี 1 ชือ่ เรื่อง : อนาคตภาพหลกั สูตรสิ่งแวดล้อมศึกษาระดับการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐานในทศวรรษหน้า (ชว่ งระหวา่ งปี พ.ศ. 2547 - 2557) ผู้วจิ ัย : สมบุญ ศิลปร์ ่งุ ธรรม ปที ่วี ิจัย : 2547 วัตถุประสงค์ของการวิจยั เพื่อศึกษาอนาคตภาพหลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษาระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานในทศวรรษ หนา้ (ช่วงระหวา่ งปี พ.ศ. 2547 - 2557) วิธดี ำ� เนนิ การวจิ ยั ผู้วิจัยดำ� เนนิ การวจิ ัยโดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะท่ี 1 การศกึ ษาความคดิ เห็นของผู้เช่ยี วชาญด้านสงิ่ แวดลอ้ มศึกษา และบุคลากรท่ี ปฏิบัติงานด้านสิ่งแวดล้อมศึกษาเกี่ยวกับแนวโน้มหลักสูตรส่ิงแวดล้อมศึกษาระดับการศึกษาข้ัน พ้นื ฐานในทศวรรษหนา้ (ช่วงระหวา่ งปี พ.ศ. 2547 – 2557) แบง่ เป็น 4 ขัน้ ตอน ดงั น้ี ข้ันตอนที่ 1 การศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานเกี่ยวกับแนวคิดส่ิงแวดล้อมและส่ิงแวดล้อม ศกึ ษา ขั้นตอนท่ี 2 การศึกษาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมศึกษาจ�ำนวน 22 คน เก่ียวกับแนวโน้มหลักสูตรส่ิงแวดล้อมศึกษาระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ด้วยเทคนิคการ วจิ ยั แบบ EDFR ข้ันตอนท่ี 3 การสร้างวงล้ออนาคตแนวโน้มหลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษาระดับการ ศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน จำ� นวน 5 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) สถานการณส์ งิ่ แวดล้อมในระดบั โลก และในประเทศไทย 2) การจดั การเรยี นรู้สิง่ แวดลอ้ มศกึ ษา 3) การจดั หลักสูตรส่ิงแวดล้อมศึกษา 4) การบรหิ ารจัดการ หลกั สตู รสงิ่ แวดล้อมศกึ ษา 5) คุณลักษณะของผู้เรียน ขั้นตอนท่ี 4 การศึกษาความคิดเห็นบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านสิ่งแวดล้อมศึกษา จำ� นวน 339 คน จากทวั่ ทกุ ภูมภิ าคของประเทศ เก่ยี วกับโอกาสท่เี ป็นไปได้ของแนวโนม้ หลกั สูตร ส่ิงแวดล้อมศึกษาระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน และผลปฏิสัมพันธ์ระหว่างแนวโน้มเหตุการณ์ สืบเน่ืองจ�ำนวน 5 ด้าน ตามกรอบแนวคิดผลการสรา้ งวงล้ออนาคต ระยะท่ี 2 การสร้างภาพอนาคตหลักสูตรส่ิงแวดล้อมศึกษาระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ในทศวรรษหนา้ (ชว่ งระหว่างปี พ.ศ. 2547 – 2557) (ฉบับร่าง) แบง่ เปน็ 3 ข้ันตอน คือ ขั้นตอนท่ี 1 การร่างภาพอนาคตหลักสูตรส่ิงแวดล้อมศึกษาระดับการศึกษา ขั้นพน้ื ฐานในทศวรรษหนา้ (ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2547 – 2557) ขัน้ ตอนท่ี 2 การประเมินความสอดคล้องเหมาะสมของร่างภาพอนาคตหลักสูตร สงิ่ แวดลอ้ มศึกษาระดับการศึกษาข้ันพนื้ ฐานในทศวรรษหน้า (ชว่ งระหวา่ งปี พ.ศ. 2547 – 2557)
306 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา ข้ันตอนท่ี 3 การเขียนภาพอนาคตหลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษาระดับการศึกษาข้ัน พื้นฐานในทศวรรษหนา้ (ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2547 – 2557) (ฉบับร่าง) ผลการศึกษา พบวา่ 1. แนวโน้มหลักสูตรส่ิงแวดล้อมศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในทศวรรษหน้า ท่ีผู้เชี่ยวชาญมีฉันทามติ มีจ�ำนวน 291 เหตุการณ์ แบ่งเป็น 6 ด้าน ได้แก่ แนวโน้มสถานการณ์ สิ่งแวดล้อมในระดับโลกจ�ำนวน 24 เหตุการณ์ แนวโน้มสถานการณ์ส่ิงแวดล้อมในประเทศไทย จ�ำนวน 28 เหตุการณ์ แนวโน้มการจัดการเรียนรู้ส่ิงแวดล้อมศึกษาระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน จ�ำนวน 5 เหตุการณ์ แนวโน้มปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษาระดับการศึกษาข้ัน พื้นฐาน จ�ำนวน 51 เหตุการณ์ แนวโน้มหลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษาระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน จ�ำนวน 159 เหตุการณ์ แนวโน้มการบริหารจัดการหลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษาระดับการศึกษา ข้นั พ้นื ฐาน จำ� นวน 24 เหตุการณ์ 2. โอกาสที่เป็นไปได้ของแนวโน้มหลักสูตรส่ิงแวดล้อมศึกษาระดับการศึกษาข้ัน พน้ื ฐานในทศวรรษหนา้ ตามความคดิ เหน็ บุคลากรท่ปี ฏิบัตงิ านดา้ นส่งิ แวดลอ้ มศึกษา จ�ำนวน 291 เหตกุ ารณ์ มคี วามเป็นไปได้มากท่สี ดุ จำ� นวน 4 เหตกุ ารณ์ เป็นไปไดม้ าก จำ� นวน 224 เหตุการณ์ เปน็ ไปไดป้ านกลาง จ�ำนวน 63 เหตุการณ์ 3. ผลปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งแนวโนม้ เหตกุ ารณส์ บื เนอ่ื ง จำ� นวน 5 ดา้ น ตามกรอบแนวคดิ ผลการสร้างวงล้ออนาคต มีคู่ของแนวโน้มเหตุการณ์สืบเนื่อง จ�ำนวน 9 คู่ ท่ีส่งผลปฏิสัมพันธ์ ถึงกนั อย่างสำ� คญั 4. ภาพอนาคตหลกั สตู รสง่ิ แวดลอ้ มศกึ ษาระดบั การศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐานในทศวรรษหนา้ (ช่วงระหวา่ งปี พ.ศ.2547 - 2557) (ฉบบั รา่ ง) ในด้านปรชั ญาของหลกั สตู ร เนน้ ธรรมชาตกิ ับมนษุ ย์ เป็นส่วนเดียวกัน มนุษย์เป็นส่วนหน่ึงของธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นแหล่งของความรู้ ท�ำให้คน พฒั นาไดอ้ ย่างรอบด้าน ชว่ ยทำ� ให้คนมีความรู้ความรู้สกึ มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม รว่ มมอื กนั ในการ อนรุ ักษ์ ปอ้ งกนั แกไ้ ขปัญหาทรพั ยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดลอ้ มอยา่ งยั่งยนื ดา้ นคุณลักษณะของ ผู้เรียน เน้นการเรียนรูต้ ลอดชีวติ มคี ณุ ธรรม จริยธรรม มคี วามรคู้ วามตระหนัก และมีสว่ นรว่ มใน การอนุรักษ์ ป้องกันแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างย่ังยืน ด้านจุดมุ่งหมาย ของหลักสูตร เน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ จิตส�ำนึก เจตคติ ค่านิยม ทักษะ มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ด้านรูปแบบและโครงสร้างหลักสูตร เน้นการบูรณาการ ส่ิงแวดล้อมศึกษาเข้าไปในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ก�ำหนดกรอบและมาตรฐานย่อย ๆ ด้าน สิ่งแวดล้อมศึกษา ด้านสาระการเรียนรู้ช่วงชั้นที่ 1 เน้นปัญหาสิ่งแวดล้อมในครอบครัว สถาน ศึกษา ชุมชน และระบบนิเวศ ช่วงชั้นที่ 2 เน้นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชน จังหวัด ประเทศ ปัญหาสิง่ แวดลอ้ ม ผลกระทบ แนวทางแก้ไขปัญหาสง่ิ แวดล้อม ช่วงชัน้ ท่ี 3 เน้น ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อมในชมุ ชน จังหวดั ประเทศไทย และประเทศเพอื่ นบ้าน ปัญหา ส่ิงแวดล้อม ผลกระทบ แนวทางแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ช่วงช้ันที่ 4 เน้นการพัฒนาท่ียั่งยืน
Research in Educational Administration • 307 สถานการณส์ งิ่ แวดลอ้ มในระดบั โลกผลกระทบทเี่ กดิ ขน้ึ และวธิ กี ารปอ้ งกนั แกไ้ ขปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม ดา้ นกจิ กรรมการเรยี นรู้ ชว่ งชนั้ ท่ี 1 - 4 เนน้ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรสู้ งิ่ แวดลอ้ มศกึ ษา โดยยดึ หลกั การผเู้ รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลางหรอื เปน็ สำ� คญั หลากหลายวธิ กี ารจดั การเรยี นรู้ดา้ นกจิ กรรมพฒั นา ผเู้ รยี น ช่วงช้ันที่ 1 - 2 เน้นกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี กิจกรรมท่ีเสริมเช่ือมโยงกับการเรียนการสอนใน ห้องเรียน ช่วงชั้นท่ี 3 - 4 เน้นโครงงานที่เก่ียวข้องกับสิ่งแวดล้อม กิจกรรมท่ีผู้เรียนเป็นผู้คิด วางแผน เสริมสร้างการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนท้องถ่ิน ด้านส่ือที่สนับสนุนการเรียนรู้ เน้นส่ือธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แหล่งการเรียนรู้ในชุมชน ด้านการวัดและประเมินผล เน้น การประเมินผลตามสภาพจรงิ ตัวอย่างที่ 2 ชอื่ เรือ่ ง : อนาคตภาพของหลักสตู รวชิ าชพี ครูในทศวรรษหนา้ (พ.ศ. 2550-2559) ผูว้ ิจัย : ชมพนู ทุ ร่วมชาติ ปที วี่ จิ ยั : 2548 วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั เพื่อศึกษาอนาคตภาพของหลักสูตรวิชาชีพครูในทศวรรษหน้า (พ.ศ. 2550-2559) โดยมี วัตถุประสงคเ์ ฉพาะ ดังนี้ 1. เพอื่ ศกึ ษาคุณลกั ษณะของครทู ่พี งึ ประสงคใ์ นอนาคต 2. เพื่อศึกษาลักษณะของหลักสูตรวิชาชีพครูในด้านปรัชญาของหลักสูตร จุดมุ่งหมาย ของหลกั สตู รโครงสรา้ งของหลกั สตู รเนอื้ หาสาระกจิ กรรมการเรยี นการสอนการจดั ประสบการณ์ วิชาชีพครู ส่ือการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การบริหารหลักสูตรและการ ประเมนิ หลักสตู ร วิธดี ำ� เนินการวิจัย ผูว้ ิจัยแบ่งการดำ� เนนิ การวิจัยเปน็ 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การสำ� รวจขอ้ มลู พนื้ ฐานจากเอกสารงานวจิ ยั และการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ กลมุ่ ผทู้ ม่ี สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั หลกั สตู รวชิ าชพี ครเู พอื่ ใหไ้ ดค้ ณุ ลกั ษณะของครทู พี่ งึ ประสงคแ์ ละสภาพของ การผลติ ครูในปัจจุบนั ระยะท่ี 2 การศึกษาอนาคตภาพของหลักสูตรวิชาชีพครูโดยการประยุกต์ใช้เทคนิค การสมั ภาษณ์แบบ EFR (Ethnographic futures research) สมั ภาษณผ์ ู้ทรงคณุ วุฒิจ�ำนวน 16 ทา่ น เพอ่ื ใหไ้ ดค้ ณุ ลกั ษณะของครทู พ่ี งึ ประสงคใ์ นอนาคตและลกั ษณะของหลกั สตู รวชิ าชพี ครใู นอนาคต ระยะที่ 3 การร่างอนาคตภาพของหลักสูตรวิชาชีพครูโดยน�ำข้อมูลท่ีได้จากการ สมั ภาษณผ์ ูท้ รงคุณวุฒิ การสรา้ งวงล้ออนาคต (Futures wheels) และการวเิ คราะห์ผลกระทบภาค ตดั ขวาง (Cross impact matrix) มาเขยี นอนาคตภาพของหลักสตู รวชิ าชีพครู
308 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา ผลการวจิ ัย อาจสรุปสาระส�ำคญั ได้ ดงั น้ี 1. คณุ ลกั ษณะของครทู พ่ี ึงประสงคใ์ นอนาคตมี 4 ดา้ น คอื 1) ดา้ นความร้ใู นสาขาวชิ า ทีส่ อนอย่างลกึ ซึง้ อย่างน้อย 2 สาขาวชิ า ความรใู้ นวิชาชีพครู และความร้ทู ัว่ ไปในศาสตรอ์ นื่ ๆ ท่ี เกย่ี วขอ้ ง 2) ดา้ นทกั ษะเฉพาะของแตล่ ะสาขาวชิ า ทกั ษะวชิ าชพี ครทู ว่ั ไปทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การจดั การ เรียนการสอน 3) ด้านคุณลักษณะของความเป็นครูในด้านคุณธรรมจริยธรรม จรรยาบรรณและ บุคลกิ ภาพความเป็นครู 4) ด้านการมีส่วนร่วมและพฒั นาชมุ ชน/ทอ้ งถน่ิ 2. ลกั ษณะของหลกั สูตรวชิ าชพี ครใู นอนาคตควรมีทางเลือกให้กับผูเ้ รียนอย่างหลาก หลาย โดยมีการจัดหลักสูตรเป็นบล็อก (Curriculum Block) ที่มีการบูรณาการภายในกลุ่มวิชา หรือบูรณาการระหว่างกลุ่มวิชา เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาให้เป็นครูท่ีมีคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ท้ังทาง ดา้ นคุณธรรมจรยิ ธรรมและทางด้านวิชาการ เน้ือหาสาระของหลักสูตรประกอบด้วย 5 สาระ คือ 1) การศึกษาและอัตลักษณ์ของครูไทย 2) ธรรมชาติของผู้เรียนและการเรียนรู้ 3) หลักสูตรและ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ 4) นวตั กรรมและระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ และ 5) การวจิ ยั ในการ จัดกิจกรรมการเรยี นการสอนควรเนน้ การฝึกปฏิบัตโิ ดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School based) มีการ ผสมผสานทง้ั ทฤษฎแี ละการปฏบิ ตั ิ สว่ นสอื่ การเรยี นการสอนทใี่ ชค้ วรผสมผสานกนั ทงั้ สอื่ ดงั้ เดมิ และส่ือสมัยใหม่ รวมทั้งแหล่งการเรียนรู้ที่อยู่ในสถาบันและอยู่ในชุมชน การวัดและประเมินผล การเรียนรู้ควรมีการประเมินตามสภาพจริง ส่วนการประเมินหลักสูตรควรใช้รูปแบบการวิจัยเชิง ประเมินทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ และในการบริหารหลักสูตรควรมีลักษณะแบบการมี สว่ นรว่ มและมกี ารกระจายอำ� นาจ โดยมคี ณะกรรมการทรี่ บั ผดิ ชอบประกอบดว้ ยบคุ คลทเ่ี กย่ี วขอ้ ง หลาย ๆ ฝ่ายทงั้ ภายในและภายนอกคณะครุศาสตร์ ตัวอย่างท่ี 3 ชอ่ื เร่ือง : อนาคตภาพของการอาชวี ศกึ ษาไทยในทศวรรษหน้า (พ.ศ. 2554-2564) ผู้วิจัย : ดวงนภา มกรานุรกั ษ์ ปีทีว่ ิจยั : 2554 วัตถปุ ระสงค์การวิจัย เพื่อศึกษาอนาคตภาพการอาชีวศึกษาไทยในทศวรรษหน้า (พ.ศ. 2554-2564) ด้วย กระบวนการวิจัยแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) วธิ ีดำ� เนนิ การวิจยั ผวู้ ิจยั ด�ำเนนิ การวจิ ัย โดยแบ่งออกเปน็ ขน้ั ตอน 6 ขนั้ ตอน ดังนี้ 1. การก�ำหนดและเตรียมผเู้ ช่ียวชาญ 2. การสมั ภาษณผ์ เู้ ช่ียวชาญ หรือ EDFR รอบท่ี 1
Research in Educational Administration • 309 3. การวเิ คราะห์และสงั เคราะห์ข้อมลู จากการสัมภาษณ์ 4. การพฒั นาเคร่อื งมอื หรอื แบบสอบถาม 5. การสัมภาษณ์ผู้เช่ียวชาญ รอบท่ี 2 โดยใช้แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือ หรือ EDFR รอบที่ 2 6. การเขียนภาพอนาคต โดยผู้วิจัยเลือกแนวโน้มท่ีเป็นไปได้ในระดับมากข้ึนไป กล่าว คอื แนวโนม้ ทม่ี คี า่ มธั ยฐาน 3.5 ขนึ้ ไป และแนวโนม้ ทมี่ คี วามสอดคลอ้ งกนั ของความเหน็ ของกลมุ่ ผู้เช่ียวชาญที่มีค่าพิสัยระหว่างคลอไทล์ไม่เกิน 1.5 รวมไปถึงแนวโน้มที่มีระดับคะแนนความพึง ประสงคท์ ี่มีคา่ รอ้ ยละ 85 ขึ้นไป มาเขยี นอนาคตการอาชีวศึกษาไทยในทศวรรษหนา้ (พ.ศ. 2554- 2564) ผลการวจิ ยั สรุปได้ว่า ผลการศกึ ษาแนวโนม้ การอาชวี ศกึ ษาไทยภายใน 10 ปขี ้างหนา้ ทัง้ 8 ด้าน ควรมแี นวโน้ม ในการพัฒนาดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ดา้ นคณุ ลกั ษณะผสู้ ำ� เรจ็ การศกึ ษา จะตอ้ งเปน็ ผทู้ ม่ี คี วามสามารถทางทกั ษะวชิ าชพี มี ความรู้ ทกั ษะชวี ติ นิสยั อตุ สาหกรรม และทศั นคติท่ดี ีตอ่ การทำ� งาน 2. ด้านการจัดการเรียนการสอน หลักสูตรต้องสามารถตอบสนองความต้องการของ ตลาดแรงงาน มคี วามหลากหลายท้งั ในและนอกระบบ ทวภิ าคี เทียบโอนประสบการณ์ และระบบ ทางไกล วิธีการเรียนการสอนต้องยืดหยุ่นตามเทคโนโลยี ผู้เรียน สถานประกอบการ รวมไปถึง บริบทท่ีเปลยี่ นแปลงไป 3. ด้านครูผู้สอน ต้องรู้ศักยภาพของนักเรียนเป็นรายบุคคล มีประสบการณ์วิชาชีพ เก่งปฏบิ ตั ิ รลู้ ักษณะงานและอาชพี ในสาขาวิชาท่ีสอนอย่างแท้จริง สามารถผลิตตำ� ราเอง 4. ดา้ นความรว่ มมือ ต้องไดร้ บั ความร่วมมือจากทกุ หน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ งโดยเฉพาะกบั สถานประกอบการ รวมไปถงึ การมีส่วนรว่ มในระดบั ท้องถ่ินและภมู ภิ าค 5. ด้านมาตรฐาน ต้องมีการจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเพ่ือก�ำหนดมาตรฐานวิชาชีพ ท่จี ะเปน็ บนั ไดความกา้ วหน้าในแตล่ ะสาขาอาชพี ใหม้ ีความสอดคล้องของค่าจ้างและทกั ษะฝมี อื 6. ด้านการสนับสนุนของรัฐบาล รัฐต้องให้ความส�ำคัญกับการอาชีวศึกษาอย่างจริงจัง มีนโยบายทแ่ี นน่ อนชดั เจน 7. ด้านค่านิยมในการเรียนอาชีวศึกษา ส่ือมวลชน รัฐบาล และสถานประกอบการ ต้องรว่ มกันสร้างและผลกั ดันให้เกดิ คา่ นิยมการเรยี นอาชีวศกึ ษา 8. ดา้ นการบรหิ ารจดั การ ตอ้ งมคี วามเปน็ อสิ ระและตอ้ งมกี ารจดั ตง้ั สถาบนั อาชวี ศกึ ษา ในการผลติ ระดบั ปรญิ ญาตรสี ายเทคโนโลยี หรือสายปฏิบตั กิ าร
310 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษา ตวั อยา่ งท่ี 4 ช่ือเรื่อง : อนาคตภาพการจดั การมัธยมศกึ ษาของประเทศไทยในสองทศวรรษหนา้ ผวู้ ิจัย : ธนกฤต สิทธริ าช และคณะ ปที ว่ี จิ ยั : 2558 วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั เพอื่ ศกึ ษาอนาคตภาพการจดั การมัธยมศกึ ษาของประเทศไทยในสองทศวรรษหน้า วธิ ดี ำ� เนินการวิจยั ผ้วู จิ ยั ดำ� เนินการวจิ ยั โดยแบ่งเป็น 2 ขน้ั ตอน ดงั นี้ 1) ศึกษาและวิเคราะห์สภาพปัจจุบันและปัญหาการจัดการมัธยมศึกษาของไทย โดย การศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ตามกรอบการจดั การศกึ ษาไทย อนาคตของสงั คมไทยใน สองทศวรรษหน้า แล้วน�ำสาระข้อมูลท่ีศึกษาไปสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ โดยการประยุกต์ใช้เทคนิค EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) 2) นำ� ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากตอนที่ 1 มาปรบั ปรงุ ขอ้ ความใหช้ ดั เจนเพอ่ื สอบถามหาฉนั ทามติ เกย่ี วกบั อนาคตภาพการจดั การมธั ยมศกึ ษาของประเทศไทยในสองทศวรรษหนา้ โดยการประยกุ ต์ ใช้ Delphi technique กบั ผู้เชี่ยวชาญ 20 ทา่ น จำ� นวน 2 รอบ วธิ กี ารวเิ คราะห์ขอ้ มูล ใช้สถิตคิ ่ารอ้ ยละ คา่ มัธยฐาน และค่าพสิ ยั ระหว่างควอไทล์ ผลการวจิ ยั พบว่า 1) สภาพปัจจบุ นั การจัดการมธั ยมศึกษาของไทยในปจั จุบนั ท่ีมีปัญหามี 7 ดา้ น ได้แก่ ดา้ นสาระเนอ้ื หาของหลกั สตู รในการศกึ ษา ดา้ นการบรหิ ารการศกึ ษา ดา้ นครู ดา้ นสถานศกึ ษาและ สภาพแวดลอ้ ม ดา้ นการจดั การเรยี นการสอน ดา้ นสอื่ การสอน และดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ของนกั เรยี น 2) อนาคตภาพการจดั การมธั ยมศกึ ษาของประเทศไทยในสองทศวรรษหนา้ ตามฉนั ทามติ ของผู้เชี่ยวชาญ สรุปว่า ด้านสาระเน้ือหาของหลักสูตรจะเป็นไปตามความสนใจ ความรู้ ความ สามารถของนกั เรยี นโดยสาระการเรยี นเปน็ การใชส้ อื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ สร์ ะบบดจิ ติ อล ดา้ นการบรหิ าร การศึกษาเป็นระบบที่ดี ค�ำนึงถึงภาวะผู้น�ำท่ีดี กล้าตัดสินใจ มีการกระจายอ�ำนาจเต็มรูปแบบให้ สถานศกึ ษา ดา้ นครผู สู้ อนมคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม มคี วามรทู้ างเทคโนโลยี ดา้ นสถานศกึ ษาและสภาพ แวดลอ้ มทางกายภาพสวยงาม รม่ รนื่ ดา้ นการจดั การเรยี นการสอนจะทำ� ใหผ้ เู้ รยี นรจู้ กั คดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะหม์ ากขนึ้ ดา้ นสอื่ การสอนใชส้ อ่ื การสอนทนั สมยั ในระบบดจิ ติ อล ผา่ นสอื่ การสอนระบบ ออนไลน์ ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องนกั เรยี น เปน็ นกั คดิ วเิ คราะห์ แกป้ ญั หาเองได้ มคี วาม คดิ รเิ ริ่มสรา้ งสรรค์ ประสานความร่วมมอื และพฒั นาตนเองสูก่ ารเปน็ พลโลกของนกั เรยี น
Research in Educational Administration • 311 สรุปท้ายบท การวิจัยอนาคตที่น�ำเสนอในบทที่ 8 น้ี ประกอบด้วยสาระส�ำคัญท่ีผู้วิจัยหรือนักศึกษา ในทางการบรหิ ารการศึกษาควรศกึ ษาและท�ำความเข้าใจให้ละเอยี ดและชดั เจน โดยอาจสรปุ สาระ สำ� คญั ได้ ดังนี้ การวิจัยอนาคตเป็นการศึกษาแนวโน้มของเหตุการณ์ในอนาคตท่ีมีความเป็นไปได้ โดยองิ พน้ื ฐานขอ้ มลู และขอ้ คน้ พบจากอดตี ถงึ ปจั จบุ นั สรา้ งกระบวนการศกึ ษา สรปุ ผลขอ้ มลู และ วาดภาพถึงแนวโน้มทีจ่ ะเกดิ เหตกุ ารณใ์ นภายหนา้ เพื่อหาทางทำ� ให้แนวโน้มท่ีพึงประสงคเ์ กิดข้นึ และหาทางปอ้ งกนั หรอื ขจดั แนวโนม้ ทไ่ี มพ่ งึ ประสงคใ์ หห้ มดไปดว้ ยการเรมิ่ ลงมอื ทำ� ตง้ั แตป่ จั จบุ นั พัฒนาการของการวิจัยอนาคตเริ่มมีมาต้ังแต่ปี ค.ศ. 1907 โดย ดี ซี กิลฟิลแลม (D.C. Gilfillam) ได้เสนอวิธีการศึกษาอนาคตขึ้นเป็นบุคคลแรก จากนั้นการวิจัยอนาคตเป็นท่ีนิยม และได้รับการสนับสนุนเร่ือยมา จนกระทั่งในช่วงระยะเวลา ค.ศ. 1960 - 1969 การวิจัยอนาคต ได้พัฒนาก้าวหน้ามาก มีระเบียบวิธีการ (Methodology) เฉพาะของตนเอง นับต้ังแต่น้ันมา การวิจัยอนาคตได้เข้าไปมีบทบาทอย่างส�ำคัญต่อการตัดสินใจ ก�ำหนดนโยบาย และวางแผน ขององค์การธุรกจิ ต่าง ๆ จนกระท่งั ปัจจบุ นั ความส�ำคัญของการวิจัยอนาคต คือ เป็นเคร่ืองมือส�ำคัญอย่างหนึ่งในการที่จะหย่ังรู้ หรือคาดการณ์ว่า ในอนาคตจะเกิดอะไรข้ึน ซึ่งจะท�ำให้ผู้บริหารหน่วยงานหรือองค์การมีเวลาท่ี จะพจิ ารณาตัดสนิ ใจอย่างรอบคอบในการแสวงหาทางเลือก หาแนวทางปอ้ งกัน หรอื แกป้ ญั หาใน อนาคตท่ีไม่พึงประสงค์ท่ีอาจจะเกิดข้ึนได้อย่างเหมาะสม และข้อความรู้ท่ีได้จากการวิจัยอนาคต จะมีประโยชน์ต่อการวางแผน การก�ำหนดนโยบาย การตัดสินใจ และการก�ำหนดกลยุทธ์หรือ วิธกี ารเพื่อไปสู่การสร้างอนาคตที่พงึ ประสงค์ และปอ้ งกัน หรือขจดั อนาคตท่ีไมพ่ งึ ประสงค์ ช่วงเวลาส�ำหรบั การวิจยั อนาคต อาจแบ่งชว่ งเวลาในการศึกษาอนาคตเปน็ 4 ชว่ ง ได้แก่ 1) ชว่ ง 1-5 ปี เรียกว่า อนาคตระยะกระชัน้ ชดิ (Immediate Forecasting) 2) ช่วง 5-10 ปี เรยี กวา่ อนาคตระยะสน้ั (Short Range Forecasting) 3) ชว่ ง 10-20 ปี เรียกว่า อนาคตระยะกลาง (Middle Range Forecasting) และ 4) ช่วง 20 ปีข้นึ ไป เรียกวา่ อนาคตระยะยาว (Long Range Forecasting) ส�ำหรับเทคนิคการวิจัยอนาคต ปัจจุบันมีการประยุกต์เทคนิควิธีการวิจัยอนาคตแบบ ตา่ ง ๆ มาใชร้ ่วมกับการวจิ ัยอนาคตอย่างน้อย 7 เทคนคิ ได้แก่ 1) การวิเคราะหแ์ นวโนม้ (Trend analysis) หรือการส�ำรวจแนวโน้ม (Trend extrapolation) 2) การวิเคราะห์ผลกระทบไขว้หรือ การวเิ คราะหผ์ ลกระทบภาคตดั ขวาง (Cross Impact Analysis) 3) วงลอ้ อนาคต (Futures Wheel) 4) การสร้างภาพอนาคต (Scenario Technique) 5) เทคนคิ Delphi (Delphi Technique) 6) เทคนคิ EFR และ 7) เทคนิค EDFR อย่างไรก็ตาม เทคนิคการวิจัยอนาคตตามท่ีนักวิจัยนิยมใช้กัน มีอยู่ 3 เทคนิค ได้แก่ 1) เทคนคิ Delphi (Delphi Technique) ซง่ึ เปน็ เทคนิคการวจิ ยั เพ่อื ศกึ ษาแนวโนม้ ของเหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆในอนาคต ซ่ึงใช้วิธีการรวบรวมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญท่ีมีความรู้
312 • การวิจัยทางการบริหารการศกึ ษา และมีประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหาการวิจัยท่ีศึกษาอย่างแท้จริงโดยไม่มีการให้ผู้เช่ียวชาญเผชิญ หนา้ กันโดยตรงเช่นเดียวกบั การระดมสมอง (Brainstorming) 2) เทคนิค EFR (Ethnographic Futures Research) ซึ่งเป็นเทคนิคท่ีพัฒนามาจากระเบียบวิธีวิจัยทางมานุษยวิทยาท่ีเรียกว่า การ วจิ ยั ชาตพิ นั ธว์ุ รรณนา (Ethnographic Research หรอื Ethnography)โดยใชแ้ บบสมั ภาษณท์ มี่ คี ำ� ถาม ปลายเปิดและไม่ใช้ค�ำถามชี้น�ำ เพื่อรวบรวมความคิดเห็นต่ออนาคตภาพท่ีเกี่ยวกับปรากฏการณ์/ เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ใน 3 ประเด็น ดงั นี้คอื 1) อนาคตภาพทางบวก (Optimistic – Realistic Scenario) 2) อนาคตภาพทางลบ (Pessimistic - Realistic Scenario) และ3) อนาคตภาพที่เป็นไปได้มากทสี่ ดุ (Most Possible Scenario) และ 3) เทคนิค EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) ซึ่งเป็นเทคนิคการวิจัยอนาคตท่ีศึกษาแนวโน้มที่มีความเป็นไปได้ของเรื่องที่ศึกษาจากกลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญเช่นเดียวกับเทคนิค Delphi และ EFR โดยเป็นการผสมผสานระหว่างเทคนิค EFR กับ Delphi เข้าด้วยกัน ซ่ึงขั้นตอนต่าง ๆ ของ EDFR จะมีความคล้ายคลึงกับวิธีของ Delphi เพยี งแต่มีการปรบั ปรุงวธิ ใี หม้ ีความยืดหยนุ่ และมคี วามเหมาะสมมากข้ึน เทคนคิ การวิจยั อนาคตดงั กลา่ วมาขา้ งตน้ เป็นเทคนคิ ทีม่ ที ง้ั จดุ แขง็ และจดุ ออ่ น ผวู้ ิจัยที่ ตัดสินใจท�ำวิจัยอนาคต ต้องพิจารณาวางแผนให้ดีเพ่ือใช้ประโยชน์จากจุดแข็ง และระมัดระวัง เร่ืองจุดอ่อน ทั้งนี้ เพ่ือให้การด�ำเนินการวิจัยด�ำเนินไปด้วยความเรียบร้อย มีความต่อเนื่อง และ มีประสทิ ธภิ าพ หลักการคดั เลอื กผ้เู ชีย่ วชาญทด่ี ใี นการวิจยั อนาคต มี 3 ประการ ได้แก่ 1) การก�ำหนด เกณฑค์ ณุ สมบตั ผิ เู้ ชยี่ วชาญใหเ้ หมาะสมกบั ปญั หาการวจิ ยั โดยพจิ ารณาถงึ ความรแู้ ละประสบการณ์ ตรงกับปัญหาการวิจัยที่ศึกษาอย่างแท้จริง 2) การคัดเลือกผู้เช่ียวชาญโดยอาจใช้วิธีเลือกเฉพาะ เจาะจง (Purposive) ในระยะเร่ิมต้น เพ่ือให้ได้ผู้เชี่ยวชาญเพียงจ�ำนวนหนึ่งก่อน ตามที่ผู้วิจัยเห็น ว่ามีคุณสมบัติตามเกณฑ์ในข้อ 1 จากน้ันใช้วิธีบอกต่อ (Snowballing Technique หรือ Network Technique) จนครบตามจ�ำนวนท่ีตอ้ งการ และ 3) การก�ำหนดจ�ำนวนผ้เู ช่ียวชาญทีเ่ หมาะสม คอื ตั้งแต่ 17 คนข้ึนไป เพราะมีความคลาดเคล่ือนคงท่ีและน้อยมาก คือ ขนาดความคลาดเคล่ือน 0.02 (Macmillan, 1971) ส่วนเทคนิคและข้ันตอนการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยอนาคต ผู้สัมภาษณ์ ควรมเี ทคนคิ และขนั้ ตอนการสมั ภาษณ์ ไดแ้ ก่ เทคนคิ การสมั ภาษณ์ ประกอบด้วย 1) เปิดใจรับฟงั 2) ฟังใหม้ ากกว่าพดู 3) ถามหาขอ้ เทจ็ จรงิ และแนวโ น้มในอนาคต 4) ถาม “ท�ำไม” ให้มากขนึ้ 5) ถามแบบเปิด-ปิด 6) เปิดทางเพื่อขอข้อมูลอีก และ 7) ขยายความสัมพันธ์ ส่วนขั้นตอน การสมั ภาษณ์ มสี ามขน้ั ตอน ประกอบด้วย 1) ข้นั ก่อนการสมั ภาษณ์ 2) ขัน้ การสัมภาษณ์ และ 3) ขัน้ ยตุ ิการสมั ภาษณ์
บทที่ การวจิ ยั และพัฒนา 9 RESEARCH & DEVELOPMENT นวัตกรรมและประดิษฐกรรมท่ีก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าของโลกจากอดีตจนถึง ปจั จบุ นั ลว้ นมรี ากฐานมาจากการวจิ ยั และพฒั นาเกอื บทง้ั สนิ้ นกั วทิ ยาศาสตร์ นกั ประดษิ ฐ์ หรอื นกั วจิ ยั ตา่ งใชก้ ระบวนการวจิ ยั และพฒั นาโดยการสงั เกตสภาพปญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ คดิ วเิ คราะห์สงั เคราะห์ องค์ความรู้ใหม่ เพื่อออกแบบนวัตกรรมหรือประดษิ ฐกรรม ท�ำการทดลอง ทดสอบ และปรับปรงุ แกไ้ ข จนเกดิ ประสทิ ธผิ ลและประสทิ ธภิ าพ แลว้ จงึ ทำ� การเผยแพรแ่ ละขยายผล (ศริ ชิ ยั กาญจนวาส,ี 2559) ดงั นน้ั ในบทน้ี จะนำ� เสนอการวจิ ยั และพฒั นา ซง่ึ ประกอบดว้ ยเนอ้ื หาสาระทสี่ ำ� คญั 8 เรอื่ ง ได้แก่ 1) แนวคิดเก่ียวกบั การวิจัยและพฒั นา 2) กระบวนการวจิ ัยและพฒั นา 3) การออกแบบวจิ ยั และพฒั นา 4) การวเิ คราะหข์ อ้ มูลในงานวิจัยและพัฒนา 5) การเขยี นรายงานการวจิ ัยและพัฒนา 6) การประยุกต์ใช้การวิจัยและพัฒนาทางการศึกษา 7) ชื่อเร่ืองและตัวอย่างช่ือเรื่องงานวิจัยและ พฒั นา และ 8) กรณีตัวอยา่ งงานวิจัยและพัฒนา โดยมรี ายละเอยี ด ดังตอ่ ไปนี้ 9.1 แนวคดิ เก่ียวกับการวจิ ัยและพัฒนา ในส่วนน้ี ผู้วิจัยควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเรื่องแนวคิดเก่ียวกับการวิจัยและพัฒนา ซึ่งประกอบด้วยความหมายของการวจิ ยั และพฒั นา ประเภทและเหตุผลของการพัฒนานวัตกรรม พัฒนาการของการวิจัยและพฒั นา และลักษณะของการวจิ ยั และพัฒนา โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี 1. ความหมายของการวิจยั และพฒั นา ได้มีนักวิชาการจ�ำนวนมากให้ความหมายของการวิจัยและพัฒนาไว้หลากหลาย ดังตวั อย่างต่อไปนี้ ผ่องพรรณ ตรยั มงคลกูล และสุภาพ ฉตั ราภรณ์ (2543, หน้า 174) ให้ความหมายวา่ การ วิจัยและพัฒนา (Research & Development) เป็นการวิจัยท่ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือสร้างหรือค้นหา แนวคิด แนวทาง วิธีปฏิบัติหรือสิ่งประดิษฐ์ที่น�ำไปใช้เพ่ือพัฒนากลุ่มคน หน่วยงานหรือองค์กร จดุ หมายปลายทางทค่ี าดหวงั จงึ เปน็ การมงุ่ ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงดา้ นตา่ งๆเชน่ แนวคดิ พฤตกิ รรม วิธีปฏิบัติท่ีคาดว่าจะดีขึ้น จึงมักเก่ียวข้องกับการทดลอง ตัวอย่างของงานวิจัยและพัฒนา เช่น การพัฒนาหลักสูตรการเรียน ซึ่งผลท่ีได้จากการวิจัยอาจจะอยู่ในรูปของหลักการ โครงสร้าง และแนวทางของหลักสูตร ชุดฝึกอบรมครู สื่อและชุดการเรียน แนวทางการประเมินและระบบ ในการบริหารจัดการหลักสูตร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ได้มีการทดสอบด้วยกระบวนการวิจัยเพื่อยืนยัน ประสิทธภิ าพแล้ว ต่อมาอีก 16 ปี ศริ ชิ ยั กาญจนวาสี (2559) ให้ความหมายวา่ การวจิ ัยและพฒั นา เปน็ การ วิจยั ทีม่ อี งค์ประกอบของการผสานกันระหวา่ ง “การวจิ ยั ” และ “การพฒั นา” โดยมีกระบวนการ ตรวจสอบ (ยืนยันความถูกต้องและน่าเช่ือถือ) แสวงหา (สืบค้นองค์ความรู้ที่มีอยู่แต่ยังไม่มีการ
314 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา ค้นพบมาก่อน) หรอื สร้างประดษิ ฐกรรม (นวัตกรรมหรอื ส่ิงประดิษฐ์ใหมท่ ่ีไมเ่ คยมมี ากอ่ น) โดย ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ส่วนการพัฒนา เป็นกระบวนการปรับปรุง/แก้ไขให้ดีขึ้นและ เหมาะสมกว่าเดิมหรือเปลี่ยนแปลงวิธีการหรือผลผลิต จนมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพอัน เปน็ ประโยชน์ตอ่ บุคคล หน่วยงาน องค์กร สถาบันหรือสงั คมโดยรวม หลังจากน้ันอกี 2 ปี กิตตยิ า วงษ์ขันธ์ (2561) ให้ความหมายว่า การวิจัยและพฒั นา เป็น กระบวนการศึกษาค้นคว้า คิดค้นอย่างเป็นระบบ น่าเช่ือถือ มีเป้าหมายในการพัฒนาผลผลิต เทคโนโลยี สิง่ ประดิษฐ์ ส่อื อปุ กรณ์ เทคนคิ วธิ หี รือรปู แบบการท�ำงาน ระบบบริหารจดั การ หรือ “นวัตกรรม” และทดลองใช้จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แล้วจึงน�ำไปเผยแพร่เพื่อพัฒนางานให้มี ประสิทธภิ าพยิง่ ขึ้น ค�ำว่า “นวัตกรรม” (Innovation) เป็นค�ำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า Innovare แปลวา่ to renew หรอื to modify หมายถงึ วธิ ีการปฏบิ ัติใหม่ทแ่ี ปลกไปจากเดิม อาจมาจากการ คิดค้น ปรับปรุงเสริมแต่งของเก่าท่ีได้รับการทดลองและพัฒนาจนเป็นที่เชื่อถือและใช้ได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ หรอื หมายถงึ การน�ำสง่ิ ใหม่ ๆ เข้ามาเปลยี่ นแปลงเพม่ิ เตมิ วิธกี ารทที่ ำ� อย่เู ดิมโดย ผ่านการทดลองเพื่อให้ใช้ได้ผลดยี ิง่ ขึน้ (Adopt/adapt/create) อกี 1 ปตี อ่ มา ศรายุทธ วัยวุฒิ (2562) ใหค้ วามหมายว่า การวิจัยและพฒั นา เป็นการวิจยั ท่ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาผลผลิต (Product) ซ่ึงผลผลิตนี้ในทางธุรกิจอาจเรียกว่า “ผลิตภัณฑ์” ที่เป็นตัวสินค้า ซ่ึงในทางการศึกษาอาจเรียกว่า “นวัตกรรม” ที่อาจเป็นวัตถุ (Material) หรืออาจ เป็นหลักการ (Principle) แนวคิด (Concept) หรือทฤษฎี (Theory) ท่ีสะท้อนให้เห็นถึงเทคนิค หรอื วธิ ีการเพ่ือการปฏิบตั ิดว้ ย กล่าวโดยสรุป การวิจัยและพัฒนา เป็นลักษณะของการวิจัยแบบหน่ึงท่ีผสาน กระบวนการวจิ ยั กบั กระบวนการพฒั นาเขา้ ดว้ ยกนั โดยมจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื สรา้ งหรอื พฒั นานวตั กรรม ทอ่ี าจเปน็ หลกั การ แนวคดิ หรอื ทฤษฎี เปน็ แนวทาง วธิ ปี ฏบิ ตั ิ วธิ กี าร หรอื กระบวนการ เปน็ ระบบ ปฏิบัติ หรือรูปแบบ หรือเป็นผลผลิตหรือส่ิงประดิษฐ์ใหม่ จนมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ อันเป็นประโยชนต์ อ่ บุคคล หนว่ ยงาน องค์การ สถาบนั หรือสงั คม โดยมีกลยุทธ์ในการตรวจสอบ ยืนยันความถูกต้องและน่าเช่ือถือของหลักการ แนวคิด หรือทฤษฎี ฯลฯ ที่สร้างหรือพัฒนาขึ้น เหล่านนั้ 2. ประเภทและเหตุผลของการพัฒนานวัตกรรม กติ ตยิ า วงษข์ นั ธ์ (2561) ไดก้ ลา่ วถงึ ประเภทของนวตั กรรมหรอื ผลลพั ธข์ องการวจิ ยั และ พัฒนา (R&D) และเหตผุ ลของการพัฒนานวตั กรรม ดงั น้ี นวัตกรรมหรือผลลพั ธ์ของการวจิ ัยและพัฒนา (R&D) อาจแบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ 1) นวัตกรรมประเภทวัตถุท่ีเป็นช้ินอัน ซ่ึงเป็นผลผลิตหรือส่ิงประดิษฐ์ท่ีอาจเป็นวัสดุ อุปกรณ์ หรือช้ินงาน เช่น รถยนต์ สื่อการสอน ชุดกิจกรรมเสริมความรู้ คู่มือประกอบการท�ำงาน ฯลฯ และ 2) นวตั กรรมประเภทที่เปน็ หลกั การ แนวคดิ หรอื ทฤษฎี หรือเป็นแนวทาง วธิ ีปฏิบัติ วธิ กี าร กระบวนการระบบปฏบิ ตั ิหรอื รปู แบบเชน่ รปู แบบการบรหิ ารจดั การรปู แบบการสอนวธิ กี ารสอน
Research in Educational Administration • 315 ระบบการทำ� งานฯลฯซงึ่ ในทางการศกึ ษานวตั กรรมทพี่ ฒั นาได้มกั จะเปน็ นวตั กรรมประเภทหลงั น้ี ส�ำหรับเหตุผลในการพัฒนา คือ เพ่ือน�ำไปใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาหรือพัฒนา คุณภาพของงานที่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ว่า มีปัญหา (Problem) หรือมีความต้องการ (Need) เกิดขึ้น โดยปัญหาดังกล่าว อาจเป็นปัญหาท่ีเกิดจากการปฏิบัติงานที่ไม่บรรลุผลส�ำเร็จตามท่ี คาดหวงั มาอยา่ งยืดเยื้อยาวนาน หรืออื่น ๆ 3. พฒั นาการของการวจิ ยั และพฒั นา การวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) มีประวัติความเป็นมา และพฒั นาการในการสรา้ งนวตั กรรม (Innovation) และประดิษฐกรรม (Invention) อย่างยาวนาน ซง่ึ อาจสรปุ ได้ ดงั น้ี (ศิริชัย กาญจนวาสี, 2559) จากอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั การวจิ ยั และพฒั นามบี ทบาทในการสรา้ งนวตั กรรม (Innovation) และประดิษฐกรรม (Invention) ทางด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และธุรกิจของโลกตะวันตก ท�ำให้เกิดผลผลิตส�ำคัญของโลกมากมาย ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ และการ เปลย่ี นแปลงโลกอยา่ งตอ่ เนอ่ื งเชน่ การคน้ พบวคั ซนี การประดษิ ฐห์ ลอดไฟฟา้ การพฒั นาเครอื่ งจกั ร ส�ำหรับการผลิตในโรงงานอตุ สาหกรรม การผลติ โทรศพั ท์ ตูเ้ ยน็ การคิดค้นวธิ กี ารคุมกำ� เนดิ การ พัฒนาคอมพวิ เตอร์ การเกดิ ของอินเตอร์เนต็ ฯลฯ แนวคิดการวิจัยและพัฒนา (R&D) สามารถสร้างความก้าวหน้าทางความคิดและการ คิดค้นประดิษฐกรรมใหม่ ๆ ให้กับศาสตร์ทุกสาขาวิชา ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม แพทยศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ฯลฯ มีนักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัย จ�ำนวนมากที่ได้สร้างต�ำนานการวิจัยและพัฒนาท่ีเป็นบ่อเกิดของนวัตกรรมและประดิษฐกรรม ของโลกใบน้ไี วม้ ากมาย ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ Isaac Newton (1642-1727) นักฟิสิกส์ นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้ค้นพบส่ิงท่ีไม่มี ผูใ้ ดเคยคน้ พบมากอ่ น คอื กฎแรงโนม้ ถว่ งของโลก เปน็ ผปู้ ระดษิ ฐก์ ล้องโทรทัศนแ์ ละส่ิงประดิษฐ์ อกี หลายอยา่ ง Benjamin Franklin (1706-1790) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้ท�ำการทดลองและ ค้นพบกระแสไฟฟ้าสถิตย์ เขาได้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าก้านยาว เตาไฟฟ้า และส่ิงประดิษฐ์อ่ืนอีก มากมาย ต่อมามีบทบาทเป็นนักเขียน นักการเมือง นักการทูต ซ่ึงเขามีบทบาทและอิทธิพลอย่าง สูงตอ่ การสรา้ งชาติสหรฐั อเมริกา James Walt (1736-1819) วศิ วกร นักประดษิ ฐช์ าวสก๊อต ออกแบบเครอ่ื งจกั รพลังไอนำ�้ พฒั นาเทคโนโลยพี ลงั ไอนำ้� จนมปี ระสทิ ธภิ าพไดร้ ว่ มมอื กบั MathewBoulton(1775)ผลติ เครอ่ื งจกั ร ไอน้�ำในเชิงพาณิชย์จนประสบความส�ำเร็จอย่างมาก ท�ำให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมในสหราช อาณาจกั ร และขบั เคลอื่ นโลกเขา้ สู่ยคุ ปฏิวตั อิ ุตสาหกรรม Albert Einstein (1867-1955) นักฟิสิกส์และนักคิดที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษท่ี 20 มีเชอื้ สายยวิ สญั ชาตเิ ยอรมนั สวสิ และอเมริกนั ผู้เสนอทฤษฎสี มั พัทธภาพ (Relativity Theory) (1915) ต่อมามีผู้น�ำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ใช้ถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ
316 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา ในสงครามโลกคร้ังที่ 2 ทำ� ใหป้ ระเทศญี่ปนุ่ ยอมแพ้ และเปน็ เหตุใหส้ งครามโลกครั้งท่ี 2 ยตุ ลิ ง กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ได้ลงทุนสร้างเครือข่ายด�ำเนินโครงการวิจัยข้ันสูง (Advanced Research Project Agency Network) ท�ำการวิจัยเพ่ือพัฒนาคอมพิวเตอร์ที่สามารถ เชอ่ื มโยงเครอื ขา่ ยและมปี ฏสิ มั พนั ธก์ นั ได้ ตอ่ มาไดพ้ ฒั นาเปน็ เครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ (Internet, 1969) ท่สี ามารถเชื่อมโยงได้ทั่วโลก การวิจัยและพัฒนามีบทบาทส�ำคัญต่อการแข่งขันและพัฒนาเทคโนโลยียุคใหม่ ท�ำให้ เกิดบริษัทท่ีมุ่งพัฒนาความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เช่น บริษัท Microsoft (1975) บริษทั Apple (1976) สำ� นกั ขา่ ว CNN (1980) Dell (1983) Lotus Software (1982) ฯลฯ ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด ท�ำให้โลกเกิดระบบการส่ือสารสารสนเทศ ยุคใหม่ ด้วยการเกิดของ Wikipedia (2001), Google (2004), You-Tube (2004), Line (2010), Facebook (2012) ฯลฯ จากพัฒนาการของความก้าวหน้าในการพัฒนานวัตกรรม และประดิษฐกรรมส�ำคัญ ของโลกท่ีผ่านมา แสดงให้เห็นบทบาทของนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์หรือนักวิจัยในการ สังเกตสภาพปัญหาที่เกิดข้นึ คดิ วิเคราะห์ สังเคราะห์ สรา้ งหลักการ แนวคิด องค์ความรใู้ หม่ อย่าง เป็นระบบ เพ่ือการออกแบบ ทดลอง ทดสอบ และท�ำการปรับปรุงแก้ไข จนประดิษฐกรรมนั้น เกดิ ประสิทธผิ ลและประสิทธิภาพ ซึง่ มีรากฐานจากกระบวนการวจิ ยั และพฒั นา (R&D) นนั่ เอง 4. ลกั ษณะของการวิจัยและพฒั นา โดยแนวคิดพื้นฐานแล้ว การวิจัยและพัฒนานั้นมีพัฒนาการมาจากความเช่ือที่ว่า การสร้างสรรค์ความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้นเป็นการน�ำผลการวิจัยท่ีได้มาศึกษาหาจุดเด่น จุดด้อยของผลิตภัณฑ์ เพ่ือท�ำการแก้ไขปรับปรุงให้มีคุณภาพเป็นท่ียอมรับของผู้บริโภคและ เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของการวิจัยและพัฒนาได้ดียิ่งข้ึน การวิจัยและพัฒนา จงึ มีลกั ษณะ ดังน้ี (ศรายุทธ วัยวฒุ ,ิ 2562) 4.1 เป็นการแสวงหาหรือสร้างสรรค์ภูมิปัญญาใหม่โดยการพัฒนาต่อยอดให้ได้ ตน้ แบบทส่ี ามารถน�ำไปใช้ประโยชนไ์ ด้ 4.2 ด�ำเนินการอย่างเป็นระบบโดยมีขั้นตอนและกระบวนการอย่างต่อเนื่องโดย มจี ุดเด่นทกี่ ารทำ� วจิ ัย การพัฒนา และการเผยแพร่ 4.3 การท�ำวิจัยและพัฒนาทุกขั้นตอนมีการตรวจสอบและติดตามจนผลผลิต ข้ันสุดท้ายอยู่ในรปู ของผลิตภัณฑท์ ีเ่ ช่ือถอื ไดแ้ ละตรงตามมาตรฐานทเ่ี ก่ียวขอ้ ง 4.4 ท�ำการวิจัยอย่างผสมผสานท้ังด้านปริมาณและคุณภาพและตอบสนอง ความต้องการของผใู้ ช้ 4.5 ผลการวิจัยเป็นผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท่ีมีคุณค่าหรือมูลค่าท่ีสามารถ จดทะเบยี นคมุ้ ครองสิทธ์ิ
Research in Educational Administration • 317 9.2 กระบวนการวจิ ัยและพัฒนา การวิจัยและพัฒนา เป็นการวิจัยท่ีมีกระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ ท่ีมีความเชื่อมโยง เป็นข้ันเป็นตอนและสอดคล้องกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจแบ่งการด�ำเนินงานเป็น 4 ขั้นตอน ดังน้ี (วาโร เพ็งสวัสดิ,์ 2552; ศริ ิชัย กาญจนวาสี, 2559; ศรายทุ ธ วยั วุฒิ, 2562) ข้นั ตอนท่ี 1 การสำ� รวจสภาพปัญหาและความตอ้ งการ การดำ� เนนิ งานในขนั้ ตอนน้ี สามารถกระทำ� การวจิ ยั ไดห้ ลายประเภท แลว้ แตจ่ ดุ มงุ่ หมาย ลักษณะปัญหาการวิจัย ประชากรท่ีใช้ในการวิจัย และอ่ืน ๆ สาระส�ำคัญของการด�ำเนินงานใน ขัน้ ตอนท่ี 1 คอื เพือ่ ศึกษาถงึ สภาพปญั หาต่าง ๆ รวมทงั้ สำ� รวจความต้องการในการใช้ผลิตภณั ฑ์ และพฒั นาผลติ ภณั ฑท์ ี่มีอยู่ นอกจากน้ี ยังสามารถศกึ ษาจากเอกสาร ต�ำรา งานวิจัย สิง่ พิมพต์ า่ ง ๆ เพ่ือพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของลักษณะปัญหา และความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนน้ีเป็น ขนั้ ตอนทศี่ ึกษาความสำ� คญั ของปัญหาการวจิ ยั เพื่อประกอบการตดั สินใจวา่ จะยุตหิ รอื ด�ำเนินการ ขน้ั ตอ่ ไปหรอื ไม่ มีความเหมาะสมหรอื คุ้มค่าเพียงใด มคี วามจ�ำเปน็ มากน้อยแคไ่ หน โดยพจิ ารณา ประเด็นตา่ ง ๆ ดังน้ี 1. การส�ำรวจสภาพปัญหา เป็นการส�ำรวจว่า มีลักษณะของปัญหาเป็นอย่างไร ความจ�ำเป็นที่จะต้องดำ� เนินการแก้ปัญหา แนวทางในการแก้ปัญหา รวมท้ังเคร่ืองมือที่ใช้สำ� หรับ แกป้ ัญหา 2. การส�ำรวจความต้องการ เป็นการส�ำรวจว่า ในบริบทที่เป็นอยู่มีความต้องการ ส่ิงใด มีความเร่งด่วนหรือไม่ ศึกษาแนวทางเพื่อสนองความต้องการใช้งาน อุปกรณ์หรือ ผลติ ภัณฑป์ ระเภทใดที่จำ� เปน็ ตอ้ งใช้ 3. การศึกษาเอกสาร เป็นการศึกษาถึงสภาพความเป็นไปในอดีตและปัจจุบันว่า มีการบันทึกสิ่งใดไว้บ้าง มีปัญหาหรือความต้องการใด โดยท�ำการสังเคราะห์จากเอกสารเกี่ยวกับ ปรัชญา วิสยั ทัศน์ นโยบายของหน่วยงาน หรือองคก์ รตา่ ง ๆ 4. การส�ำรวจความพร้อมของหน่วยงาน โดยพิจารณาถึงงบประมาณ และ ทรพั ยากรทมี่ อี ยู่เชน่ ฐานะการคลงั บคุ ลากรวสั ดคุ รภุ ณั ฑ์ชว่ งระยะเวลาสถานทด่ี ำ� เนนิ การวจิ ยั ฯลฯ การส�ำรวจสภาพปัญหาและความต้องการในข้ันตอนท่ี 1 น้ี มีองค์ประกอบในการ ด�ำเนินงาน 4 ประการ ไดแ้ ก่ จุดม่งุ หมายการดำ� เนินงาน ขอบเขตเนอ้ื หา เทคนิควิธีการและการน�ำ ผลการด�ำเนนิ งานไปใช้ โดยมีรายละเอียด ดังน้ี 1. จุดมุ่งหมายในการด�ำเนินงาน การด�ำเนินงานในขั้นตอนน้ีข้ึนอยู่กับข้อมูลเดิม ท่ีมีอยู่ มีเพียงพอที่จะชี้ให้เห็นถึงสภาพปัญหาที่แท้จริงได้หรือไม่ ถ้ามีข้อมูลเพียงพอหรือมีความ จำ� เปน็ ของหนว่ ยงานอยแู่ ลว้ กไ็ มม่ คี วามจำ� เปน็ ตอ้ งทำ� การวจิ ยั เชงิ สำ� รวจนี้ซงึ่ มขี อ้ ควรพจิ ารณาดงั น้ี 1.1 เพอื่ สำ� รวจสภาพปญั หาทแี่ ทจ้ รงิ ทจ่ี ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาผลติ ภณั ฑ์ ใหต้ อบสนองความต้องการได้อย่างคุม้ คา่ 1.2 เพื่อส�ำรวจความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ ซ่ึงความต้องการน้ีมีระดับความ จำ� เปน็ แตกต่างกัน แล้วแต่ว่า องค์การหรอื หน่วยงานนัน้ มคี วามตอ้ งการสง่ิ ใดกอ่ น ส่ิงใดหลัง
318 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา 1.3 เพ่ือส�ำรวจลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ ว่ามีความเหมาะสม คุ้มค่า และได้ประโยชน์แท้จริง ซ่ึงขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เคร่ืองปรับอากาศ ยานพาหนะ ส่ือการสอน ฯลฯ 2. ขอบเขตเนื้อหา ขอบเขตเน้ือหาเป็นองค์ประกอบที่มีความจ�ำเป็น และส�ำคัญ อย่างยิ่งทใี่ ชเ้ ปน็ พ้ืนฐานในการสร้างผลติ ภณั ฑ์ ซงึ่ มีขอ้ ควรพิจารณา ดงั นี้ 2.1 ศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริบทที่เป็นปัญหาในปัจจุบัน ว่ามีลักษณะ อยา่ งไร มปี รากฏการณ์อะไร มีปญั หาอุปสรรคในการดำ� เนนิ ภารกจิ ปัจจุบันหรือไม่ มากน้อยเท่าใด 2.2 ศึกษารวบรวมข้อมูลเก่ียวกับบริบทท่ีเป็นความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ เพอ่ื ทำ� ใหก้ ารดำ� เนนิ ภารกจิ ตา่ ง ๆ เกดิ ประโยชน์ และสำ� เรจ็ ลลุ ว่ งดว้ ยดี ซง่ึ การสำ� รวจความตอ้ งการ ที่ใช้ผลิตภัณฑ์น้ีมีความส�ำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการสร้างผลิตภัณฑ์ใดก็ตามที่ไม่เป็นไปตาม ความต้องการใช้งานแล้ว โอกาสที่ผลิตภัณฑ์นั้นจะถูกน�ำไปใช้จะมีน้อยมาก ท�ำให้เกิดความ สูญเปล่าในการสรา้ งผลติ ภัณฑ์ 2.3 ศึกษารวบรวมข้อมูลเก่ียวกับลักษณะผลิตภัณฑ์ที่ต้องการใช้ เพื่อเป็น ข้อมูลในการพัฒนาให้เหมาะสมกับบริบทของผู้ใช้ ท้ังทางด้านขนาด รูปร่าง สี วัสดุ ปริมาณ รวมทัง้ ลักษณะเน้อื หา 3. เทคนิควิธีการ การใช้เทคนิควิธีการใดในการด�ำเนินงาน ต้องพิจารณาถึงจุด มุ่งหมายท่ีจ�ำเป็นต่อการน�ำผลิตภัณฑ์ไปใช้ และต้องตระหนักถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวมท้ัง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยด้วย ดังน้ัน การจะใช้เทคนิควิธีการใด ต้องพิจารณาถึงระเบียบวิธีวิจัย ที่ใช้สรา้ งผลติ ภณั ฑ์ ซ่งึ สามารถเลือกใช้วิธีการวจิ ัยได้ดังน้ี 3.1 การวิจัยเชิงส�ำรวจ (Survey research) เป็นการศึกษาข้อเท็จจริง เพื่อให้ ทราบคุณลักษณะหรือสภาพความเป็นจริงในสภาพการณ์น้ัน ๆ เป็นการส�ำรวจความคิดเห็น ของกลุ่มบุคคลท่ีเกี่ยวข้อง ท่ีจะน�ำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของ ผู้ใชผ้ ลติ ภัณฑ์ การดำ� เนนิ งานวจิ ัยมขี ัน้ ตอนตา่ ง ๆ ดังนี้ 1) การกำ� หนดปญั หาการวิจัย 2) จุดมงุ่ หมายของการวจิ ัย 3) วธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมูล 4) การวเิ คราะหแ์ ละแปลผล 5) การสรุปผล 3.2 การวิจัยเชิงสังเคราะห์ (Synthesis research) เป็นการวิจัยที่ศึกษาจากงาน วจิ ยั ทมี่ ผี ทู้ ำ� วจิ ยั ไวแ้ ลว้ โดยศกึ ษางานวจิ ยั ทม่ี ลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กนั หรอื มปี ระเดน็ ปญั หาใกลเ้ คยี งกนั โดยวเิ คราะหค์ วามสอดคลอ้ งกนั และความขดั แยง้ กนั ของงานวจิ ยั เหลา่ นนั้ การสงั เคราะหล์ กั ษณะน้ี ใชเ้ ทคนคิ การวเิ คราะหท์ ม่ี ชี อื่ เรยี กเฉพาะวา่ “การวเิ คราะหอ์ ภมิ าน” (Meta analysis) สำ� หรบั ขน้ั ตอน การด�ำเนินงานวิจัยเชิงสังเคราะห์มีกระบวนการ หรือข้ันตอนต่าง ๆ เช่นเดียวกับการวิจัยเชิง สำ� รวจ จะตา่ งกนั เฉพาะขนั้ ตอนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ซง่ึ แหลง่ ขอ้ มลู ไมใ่ ชบ่ คุ คล แตแ่ หลง่ ขอ้ มลู คอื เอกสารงานวิจยั หรือวิทยานพิ นธ์
Research in Educational Administration • 319 3.3 การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) เป็นการวิจัยท่ีนักวิจัยศึกษา คุณลักษณะและปรากฏการณ์ต่าง ๆ อย่างครอบคลุม โดยการศึกษาสภาพปรากฏการณ์จริงของ ชมุ ชน ซ่ึงมขี ้ันตอนการด�ำเนินงาน ดงั น้ี 1) การเลือกสนามวิจัย 2) การเข้าสนามวจิ ัย 3) การเก็บรวบรวมข้อมูล 4) การตรวจสอบ และการวเิ คราะห์ข้อมูล 5) การนำ� ผลการดำ� เนนิ งานไปใช้ 4. การน�ำผลการดำ� เนินงานไปใช้ เมื่อด�ำเนนิ การตามเทคนิควิธกี ารแล้วนำ� ผลท่ไี ด้ มาใชเ้ พอ่ื พิจารณาถงึ ความต้องการจำ� เป็นในการพัฒนาผลิตภณั ฑ์ ขน้ั ตอนที่ 2 การออกแบบผลิตภัณฑ์ การด�ำเนินงานในข้ันตอนน้ี เปน็ การดำ� เนินงานตอ่ เนื่องจากข้ันตอนที่ 1 คอื การสำ� รวจ สภาพปัญหาและความต้องการ ส�ำหรับขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์นี้มีข้อควรพิจารณา 4 ประการ เช่นเดยี วกับขนั้ ตอนการสำ� รวจสภาพปญั หาและความตอ้ งการ ดังน้ี 1. จุดมุ่งหมายในการด�ำเนินงาน การออกแบบผลิตภัณฑ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ สามารถน�ำไปใช้แก้ปัญหา หรือน�ำไปใช้พัฒนาตามความต้องการ ดังนั้น การออกแบบผลิตภัณฑ์ ตอ้ งมีความสอดคล้องกบั สภาพปญั หาและความต้องการทส่ี ำ� รวจได้ในขั้นตอนที่ 1 และตลอดจน มีจดุ มุ่งหมายเพอื่ ประเมนิ วา่ ผลิตภัณฑ์ที่ได้นนั้ มคี ณุ ภาพและประสทิ ธิภาพตามเกณฑท์ ก่ี ำ� หนดไว้ 2. ขอบเขตเนอื้ หา ขอบเขตทสี่ ำ� คญั ของขนั้ ตอนนป้ี ระกอบดว้ ยงานหลกั ทผี่ วู้ จิ ยั ตอ้ ง ดำ� เนินการ 3 ประการ ดงั น้ี 2.1 การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ มีองค์ประกอบการท�ำงานหลายอย่าง คือ การจัดล�ำดับความส�ำคัญและความต้องการ การตัดสิน ใจเลือกรูปแบบผลติ ภณั ฑ์ การจัดเตรยี มอุปกรณ์ในการพัฒนาผลติ ภณั ฑ์ และการด�ำเนนิ การสรา้ ง ผลิตภณั ฑ์ 2.2 การประเมินความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์ เม่ือได้พัฒนางานวิจัยจน สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาแล้ว ข้ันต่อมา คือ การตรวจสอบความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์ว่า มีความเหมาะสมส�ำหรับการใช้งานหรือยัง โดยพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ท้ัง รปู ร่าง ขนาด ลักษณะ สี และอื่น ๆ โดยพิจารณาว่า เหมาะสมตอ่ การใชง้ านตามจุดมุ่งหมายท่ีต้งั ไว้ 2.3 การประเมินประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ เม่ือได้ตรวจสอบความเหมาะ สมของผลิตภัณฑ์แล้ว ข้ันต่อมา คือ การตรวจสอบคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ เพอ่ื ใหม้ นั่ ใจวา่ เปน็ ไปตามเกณฑท์ กี่ ำ� หนดเพอื่ ใหเ้ กดิ ความมน่ั ใจในการนำ� ผลติ ภณั ฑไ์ ปใชแ้ กป้ ญั หา และพัฒนางานไดต้ ามจดุ มงุ่ หมายท่ีต้ังไวอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ ตอ่ การลงทุนสรา้ งผลติ ภัณฑ์นัน้ 3. เทคนิควธิ กี าร เปน็ เทคนคิ ท่ใี ชใ้ นการประเมินความเหมาะสมและประสิทธภิ าพ ของผลติ ภณั ฑท์ ่ีพฒั นาข้ึนมา มขี ้อทค่ี วรพิจารณา ดงั น้ี
320 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา 3.1 เทคนคิ การประเมนิ ความเหมาะสม มีเทคนิควิธกี ารทนี่ ิยมใชส้ องวิธี ได้แก่ การประชมุ สมั มนาวิพากษ์ และการใชแ้ บบสอบถาม 3.2 เทคนิคการประเมินประสิทธิภาพ เทคนิควิธีการท่ีนิยมใช้มีสามวิธี ได้แก่ การประเมนิ รายบุคคล การประเมินโดยกลุม่ ขนาดเล็ก และการประเมินในสถานการณ์จรงิ 4. การน�ำผลการด�ำเนินงานไปใช้ ในข้ันตอนการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีขอบเขตเน้ือหาของการด�ำเนินงานประกอบด้วย การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การประเมินความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์ และการประเมินประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ผลการ ด�ำเนินงานแต่ละส่วนจะน�ำไปใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์ที่ก�ำหนด และพัฒนาคุณภาพให้ดีย่ิงข้ึน โดยไม่ให้เกิดผลเสียต่อผู้รับบริการ และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ หรือถ้าเกิด ผลเสียจะทำ� ให้เกิดผลเสยี น้อยทสี่ ุด ข้ันตอนที่ 3 การวจิ ัยเชิงทดลอง การดำ� เนนิ งานในขนั้ ตอนน้ี ตอ่ เนอ่ื งจากขนั้ ตอนท่ี 2 ทที่ ำ� การออกแบบผลติ ภณั ฑ์ ซง่ึ ตอ้ ง นำ� ผลติ ภณั ฑน์ น้ั มาทำ� การทดลองใชง้ าน เพอื่ ใหเ้ ชอ่ื มนั่ ไดว้ า่ มคี ณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพในการใช้ งานไดจ้ รงิ มีขอ้ ควรพิจารณา 4 ประการ เชน่ เดยี วกับขนั้ ตอนที่ 2 และ 3 ดงั นี้ 1. จุดมุ่งหมายในการด�ำเนินงาน เป็นการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ภายใต้สภาพการณ์ที่ เป็นจริง เพื่อตรวจสอบและยืนยันคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ว่า เป็นไปตามผลการ ออกแบบผลิตภัณฑ์ และการศึกษาถึงปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดข้ึนในระหว่างการใช้งาน รวมทั้ง ตรวจสอบว่า ผลิตภัณฑ์สามารถใช้ได้ตรงตามท่ีออกแบบพัฒนาไว้ โดยการด�ำเนินงานในข้ันตอน น้ี ตอ้ งตอบปญั หาตอ่ ไปนไี้ ด้คอื 1) ผลติ ภัณฑส์ ามารถใช้ได้จริงตรงตามการออกแบบผลิตภัณฑใ์ นขั้นตอนท่ี 2 2) ปญั หาและอุปสรรคมีอะไรบ้าง 3) วิธีการใช้ผลิตภณั ฑ์ ผู้ใช้สามารถใชง้ านไดโ้ ดยง่าย 4) ผู้ใช้บรรลตุ ามจดุ มงุ่ หมายการใช้ 5) ทราบถงึ เจตคติของผูใ้ ช้ผลิตภณั ฑ์ 6) ทราบพฤตกิ รรมท่ีเปลีย่ นแปลงไปหลงั การใชผ้ ลติ ภณั ฑ์ 2. ขอบเขตเนื้อหา การด�ำเนินงานในขั้นตอนนี้ใช้กลุ่มผู้เข้ารับการทดลองในแต่ละ ครั้งไม่นอ้ ยกว่า 30 คน และท�ำการทดลองตามขอบเขตเปา้ หมายอยา่ งทวั่ ถึง เชน่ ถา้ ใช้ภูมปิ ระเทศ เป็นเกณฑ์จะท�ำการทดลองทั้งในเมืองและชนบท ถ้าใช้เพศเป็นเกณฑ์ จะท�ำการทดลองท้ังเพศ ชาย และเพศหญงิ ฯลฯ ทงั้ น้ี โดยทั่วไปขอบเขตเน้อื หานี้ ตอ้ งการเปรยี บเทยี บภายในกลมุ่ เป้าหมาย ผู้รับการทดลอง โดยการเปรียบเทียบผลในระหว่างทดลองกับหลังการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์หรือ อาจใชก้ ารเปรียบเทยี บกลุ่มทดลองกับกลมุ่ ควบคมุ กไ็ ด้ 3. เทคนคิ วธิ ีการ การดำ� เนินงานในขั้นตอนนใ้ี ช้การวิจัยเชงิ ทดลองเปน็ หลัก ดังนี้ 3.1 การทดลองกับกลุ่มเป้าหมายขนาดเล็ก เป็นการทดลองเบ้ืองต้นโดยมี
Research in Educational Administration • 321 วตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื รวบรวมผลประเมนิ เชงิ คณุ ภาพเบอ้ื งตน้ ของผลติ ภณั ฑ์ ถา้ เปน็ เรอื่ งทางการศกึ ษา มักนิยมทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ในโรงเรียน 1-3 โรง เด็กนักเรียน 6-12 คน เก็บรวบรวมข้อมูล โดยสงั เกต สัมภาษณ์ สอบถาม แล้วน�ำขอ้ มูลไปวิเคราะหเ์ พื่อปรับปรุงรูปแบบของผลติ ภัณฑ์ 3.2 การทดลองกับกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่ เป็นการน�ำผลิตภัณฑ์ไปทดลอง กับกลุ่มเป้าหมายท่ีมีขนาดใหญ่ หรือเรียกว่ากลุ่มน�ำร่อง (Pilot group) ซ่ึงได้แก่ การน�ำไปใช้ใน โรงเรียน 5-15 โรง มจี ำ� นวนนักเรยี น 30-100 คน โดยมกี ารทดสอบกอ่ นและหลงั การใชผ้ ลิตภณั ฑ์ น�ำผลท่ปี ระเมินเปรียบเทียบกบั วตั ถุประสงคห์ รือกลุม่ ควบคมุ ทเี่ หมาะสม วัตถุประสงค์หลักของ การทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มขนาดใหญ่ เพื่อต้องการที่จะบ่งชี้ว่า ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นเป็นไป ตามวัตถุประสงค์ของการพัฒนาหรือไม่ ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ในการด�ำเนินการของขั้นตอนนี้จะ ใช้การวจิ ัยเชิงทดลอง (Experimental design) แล้วนำ� ผลการวจิ ัยมาแก้ไขปรับปรงุ ผลิตภณั ฑ์ 3.3 การทดลองความพร้อมน�ำไปใช้ หลังจากปรับปรุงรูปแบบผลิตภัณฑ์จนมี ความมน่ั ใจในดา้ นคณุ ภาพ ผวู้ จิ ยั จงึ นำ� รปู แบบไปทดลองใช้ เพอ่ื ตรวจสอบความพรอ้ มสกู่ ารปฏบิ ตั ิ โดยนำ� ไปใชใ้ นโรงเรยี น 10-30 โรง นกั เรยี น 40-200 คน รวบรวมขอ้ มลู โดยการสมั ภาษณแ์ ละสงั เกต เพื่อตรวจสอบว่า ผลิตภัณฑ์ทางการศึกษาท่ีพัฒนาขึ้นมีความพร้อมที่จะน�ำไปใช้ในโรงเรียนได้ หรือไมเ่ พยี งใด แล้วน�ำสารสนเทศที่ไดจ้ ากข้นั ตอนนี้มาแกไ้ ขปรบั ปรุงผลิตภณั ฑ์ เช่น คมู่ ือในการ ใช้ผลิตภัณฑ์มีความชัดเจนหรือไม่ ฯลฯ การด�ำเนินการในขั้นตอนนี้เป็นการประเมินผลการใช้ ผลติ ภณั ฑใ์ นภาพรวมทง้ั หมด ซง่ึ จะประเมนิ ทงั้ ตวั ผลติ ภณั ฑ์ กระบวนการใชผ้ ลติ ภณั ฑ์ ผลทไี่ ดร้ บั จากการใชผ้ ลติ ภณั ฑ์ปญั หาและอปุ สรรคตา่ งๆฯลฯ ผลทไ่ี ดจ้ ากการประเมนิ จะนำ� ไปสกู่ ารตดั สนิ ใจ ปรบั ปรงุ ผลติ ภณั ฑน์ นั้ ๆหากพจิ ารณาแลว้ พบวา่ ไมค่ มุ้ คา่ หรอื เสยี่ งอนั ตรายกจ็ ะยตุ กิ ารใชผ้ ลติ ภณั ฑ์ นัน้ แต่ถ้าหากผลการประเมนิ พบวา่ ผลติ ภัณฑท์ ีพ่ ัฒนาขึน้ สามารถน�ำไปใชไ้ ดเ้ ปน็ อยา่ งดี ก็จะนำ� ไปสกู่ ารดำ� เนินการในขัน้ ต่อไป คือ การจดลขิ สิทธ์ิ การเผยแพร่ และการประชาสมั พันธใ์ นวงกวา้ ง ทงั้ นี้ ผวู้ จิ ยั ตอ้ งวิเคราะห์การด�ำเนินงานเดมิ เพือ่ หาคำ� ถามการวิจัย (Research question) กอ่ นการ ทดลอง (Pre-experimental phase) ทบทวน ทดลอง ตดิ ตามผลขณะทดลอง (Experimental phase) และวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และสรุปผลการด�ำเนนิ งานหลังการทดลอง (Post-experimental phase) 4. การน�ำผลการด�ำเนินงานไปใช้ ผลจากการด�ำเนินงานที่ได้จากการวิจัยเชิงทดลอง จะเปน็ การยนื ยนั ไดว้ ่า ผลติ ภณั ฑ์ท่สี ร้างขึน้ นน้ั มีคุณภาพและประสทิ ธภิ าพหรือไม่ อยา่ งไร เมอื่ น�ำ ผลิตภณั ฑ์ไปใชใ้ นวงกวา้ ง ตามสภาพการณต์ า่ ง ๆ ทเี่ ป็นจริงแลว้ เปน็ อยา่ งไร ปัญหาและอุปสรรค มีอะไรบ้าง ใช้ได้ตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเพียงใด ผลที่ได้จากการนำ� ผลิตภัณฑ์ไป ใช้นจี้ ะสามารถนำ� ไปใช้ปรบั ปรงุ แกไ้ ขและพฒั นาผลิตภณั ฑใ์ นครั้งต่อ ๆ ไป ขนั้ ตอนท่ี 4 การวจิ ยั เชิงประเมนิ ขน้ั ตอนนเี้ ปน็ ขน้ั ตอนตอ่ เนอ่ื งจากการทดลองใชผ้ ลติ ภณั ฑใ์ นสภาพการณท์ เี่ ปน็ จรงิ ซง่ึ ผู้ วจิ ยั ควรจะไดท้ ราบถงึ ความเหมาะสมในการขยายผลการใชผ้ ลติ ภณั ฑท์ ไ่ี ด้ โดยพจิ ารณาจากขอ้ มลู ท่ี ประเมินนนั้ ประกอบการตดั สินใจวา่ จะยุตกิ ารวจิ ัย หรือจะปรับปรุงแก้ไข หรอื จะขยายผลต่อไป มี ขอ้ ควรพิจารณา 5 ประการ โดยขอ้ ควรพิจารณา 4 ประการแรกเปน็ เช่นเดยี วกบั ขนั้ ตอนที่ 1-3 และ
322 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา มีการเพ่มิ ขั้นตอนที่ 5 คือ การเผยแพร่ผลติ ภัณฑ์ โดยมรี ายละเอียด ดังนี้ 1. จดุ มงุ่ หมายในการดำ� เนนิ งาน การประเมนิ ผลการทดลองใชผ้ ลติ ภณั ฑต์ อ้ งพจิ ารณา ส่ิงต่อไปนี้ คือ การทดลองใช้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายหรือไม่ มีประสิทธิภาพหรือไม่เพียงใด สภาพการณ์ของการทดลองมีความพร้อมหรือไม่ รวมทั้งการประเมินผลกระทบอื่น ๆ ที่เกิดข้ึน ตามมาอนั เนื่องมาจากการทดลองใช้ผลติ ภัณฑ์ 2. ขอบเขตเนื้อหา เป็นการก�ำหนดขอบเขตในการประเมินให้ครอบคลุมภาพรวม ทง้ั หมดทเี่ กยี่ วกบั การพฒั นาผลติ ภณั ฑ์เชน่ ความพรอ้ มดา้ นทรพั ยากรทใี่ ชใ้ นการทดลองการดำ� เนนิ งานในการใชผ้ ลิตภณั ฑ์ ผลการดำ� เนินงาน และข้อคน้ พบอน่ื ๆ อันเนอ่ื งมาจากการใชผ้ ลติ ภณั ฑ์ 3. เทคนิควิธีการ การวิจัยเชิงประเมิน เป็นการประเมินผลการใช้ผลิตภัณฑ์ภายใต้ ขอบเขตเนื้อหา มีเทคนิควิธีการท่ีใช้ คือ เทคนิคการประเมิน ซ่ึงมีหลายรูปแบบ เช่น รูปแบบ เชิงระบบ (Systematic model) รปู แบบซิปป์ (CIPP model) ฯลฯ 4. การน�ำผลการด�ำเนินงานไปใช้ การประเมินผลผลิตภัณฑ์ในข้ันตอนนี้ เป็นการ ประเมินในภาพรวมท้ังหมดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ท่ีได้พัฒนาขึ้นมาเพ่ือใช้ประกอบการตัดสินใจ ปรับปรุงผลิตภณั ฑ์ หรือจะขยายการใช้ผลิตภณั ฑ์ส่วู งกว้างต่อไป 5. การเผยแพรผ่ ลติ ภณั ฑ์ ขน้ั ตอนนเี้ ป็นข้นั ตอนทพ่ี ัฒนาเพิม่ เติมเป็นข้ันตอนสุดทา้ ย ของกระบวนการวจิ ยั และพฒั นาคอื การเผยแพรผ่ ลติ ภณั ฑท์ ส่ี รา้ งขน้ึ เพอื่ ใหส้ าธารณชนไดร้ บั ทราบ และเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายตามแหล่งข่าวสารต่าง ๆ และสามารถน�ำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ตอ่ ไป บางผลติ ภณั ฑอ์ าจเปน็ การบรกิ ารสงั คมในลกั ษณะเปดิ กวา้ งใหส้ ามารถนำ� ไปใชไ้ ดโ้ ดยไมต่ อ้ ง เสยี คา่ ใชจ้ า่ ย หรอื บางผลติ ภณั ฑอ์ าจตอ้ งจดทะเบยี นลขิ สทิ ธ์ิ ซง่ึ ขนั้ ตอนนเ้ี ปน็ หนา้ ทขี่ องหนว่ ยงาน หรอื องคก์ ารเป็นผู้ด�ำเนินการ กลา่ วโดยสรปุ กระบวนการวจิ ยั และพัฒนา มกี ระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ ท่มี ีความ เช่ือมโยงเป็นข้ันเป็นตอนและสอดคล้องกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจแบ่งออกได้ 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนท่ี 1 การส�ำรวจสภาพปัญหาและความต้องการ ข้ันตอนที่ 2 การออกแบบผลิตภัณฑ์ ขนั้ ตอนที่ 3 การวจิ ัยเชิงทดลอง และข้ันตอนท่ี 4 การวจิ ยั เชิงประเมิน นอกจากน้ี ศิริชัย กาญจนวาสี (2559) และ ศรายทุ ธ วยั วุฒิ (2562) กล่าวถึงการวิจยั และ พฒั นา (R&D) และขนั้ ตอนการดำ� เนนิ งาน ซง่ึ อาจสรปุ ไดว้ า่ เปน็ การวจิ ยั ทผี่ สมผสานกระบวนการ วิจัยและกระบวนการพัฒนาเข้าด้วยกัน เพ่ือสร้างผลิตภัณฑ์/นวัตกรรม/ส่ิงประดิษฐ์ใหม่ ท่ีมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพอันเป็นประโยชน์ต่อความเจริญก้าวหน้าของบุคคล หน่วยงาน องค์กร สถาบัน หรือสังคมโดยรวม ดังนั้น การวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์/นวัตกรรม/ สิ่งประดิษฐ์ใหม่น้ัน นักวิจัยและพัฒนาจะต้องตรวจสอบและปรับปรุงต้นแบบผลิตภัณฑ์/ นวัตกรรม/สิ่งประดิษฐ์ใหม่อย่างต่อเน่ืองในลักษณะของ R&D โดยมีขั้นตอนการด�ำเนินงาน ทสี่ ำ� คัญ 6 ขน้ั ตอน ดังต่อไปน้ี 1. การศึกษาสภาวะแวดลอ้ ม วเิ คราะห์สภาพปัญหา และประเมนิ ความตอ้ งการจ�ำเป็น โดยในข้ันตอนท่ี 1 นี้ ผ้วู ิจยั ควรดำ� เนนิ การ 3 ประการ ดงั น้ี
Research in Educational Administration • 323 1.1 ศึกษาสภาวะแวดล้อม (บริบท) ของหน่วยงาน/องคก์ าร/สถาบนั 1.2 วเิ คราะหส์ ภาพปญั หาของหนว่ ยงาน/องคก์ าร/สถาบนั วา่ มปี ญั หาสำ� คญั อะไรบา้ ง 1.3 ประเมนิ ความตอ้ งการจำ� เปน็ ของหนว่ ยงาน/องคก์ าร/สถาบนั วา่ มคี วามจำ� เปน็ ต้องมีการเปล่ียนแปลง หรือปรับปรุงแก้ไขอะไร โดยใช้ผลิตภัณฑ์/นวัตกรรม หรือประดิษฐกรรม ลกั ษณะใด 2. การก�ำหนดเป้าหมายและวัตถปุ ระสงค์ของการพัฒนา ในข้นั ตอนที่ 2 นี้ ผู้วิจัยควร ดำ� เนนิ การ 2 ประการ ดงั น้ี 2.1 กำ� หนดเปา้ หมายความสำ� เรจ็ ของการพัฒนาหนว่ ยงาน/องคก์ าร/สถาบัน 2.2 ก�ำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการวิจัยและพัฒนาว่า ต้องการสร้างผลิตภัณฑ์/ นวัตกรรม/สิ่งประดษิ ฐ์ใหม่ใด เพอ่ื สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายของการพฒั นา 3. การสำ� รวจหรอื การสงั เคราะหส์ ภาพปญั หาและความตอ้ งการการออกแบบนวตั กรรม เบอ้ื งตน้ และการทดลองนำ� ร่องและประเมินผล ในข้นั ตอนที่ 3 น้ี ผ้วู จิ ยั ควรด�ำเนินการ 3 ประการ ดังน้ี 3.1 การวิจัยเชิงส�ำรวจ (Survey research) หรือการสังเคราะห์เอกสารและงาน วิจัยท่ีเก่ียวข้อง หรือศึกษาแนวคิด ทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องกับผลิตภัณฑ์/นวัตกรรม/ส่ิงประดิษฐ์ใหม่ (Reviewliterature)แลว้ สงั เคราะหอ์ งคค์ วามรู้เพอ่ื หาคำ� ตอบเกยี่ วกบั สภาพปญั หาและความตอ้ งการ เก่ียวกับผลิตภัณฑ์/นวัตกรรม/สิ่งประดิษฐ์ใหม่ รวมทั้งลักษณะท่ีเหมาะสมของผลิตภัณฑ์/ นวัตกรรม/สง่ิ ประดษิ ฐใ์ หมท่ ต่ี ้องการให้พัฒนา (R1 = วจิ ัยเชงิ ส�ำรวจ/วิเคราะห์/สงั เคราะห์) ผลการด�ำเนินการในขั้นตอนน้ี จะท�ำให้ผู้วิจัยสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์/นวัตกรรม/ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ได้สอดคล้อง และเหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายท่ีจะใช้ ผลิตภัณฑ์/นวตั กรรม/สิ่งประดษิ ฐ์ใหม่ ท่ีพัฒนาขึ้น 3.2 การออกแบบนวัตกรรมเบ้ืองต้นหรือสร้างต้นฉบับนวัตกรรม เป็นการ ด�ำเนินการโดยการน�ำความรู้และผลการวิจัยท่ีได้จากข้ันตอนท่ี 1 มาพัฒนาผลิตภัณฑ์/นวัตกรรม/ สิง่ ประดิษฐ์ใหม่ ซ่งึ จะเร่มิ จากการวางแผนพฒั นาผลิตภัณฑ/์ นวตั กรรม/สิง่ ประดิษฐ์ใหม่ ก�ำหนด วัตถุประสงค์เฉพาะของการพัฒนาผลิตภัณฑ์/นวัตกรรม/ส่ิงประดิษฐ์ใหม่ ก�ำหนดวิธีที่จะพัฒนา ผลิตภัณฑ์/นวตั กรรม/สิง่ ประดษิ ฐใ์ หม่ และทรพั ยากรทตี่ ้องการ ทง้ั ในดา้ นก�ำลงั คน งบประมาณ วัสดุ ครภุ ัณฑ์ และระยะเวลา หลงั จากนั้นจงึ ด�ำเนินการพัฒนาผลิตภณั ฑ์/นวตั กรรม/สิง่ ประดษิ ฐ์ ใหม่ ให้มีลักษณะหรือรูปแบบตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย (D1= สร้างและตรวจสอบ นวตั กรรม) 3.3 การทดลองน�ำร่องและประเมินผล เป็นการทดลองกับกลุ่มเป้าหมายขนาด เลก็ เพ่ือรวบรวมผลประเมนิ เชิงคุณภาพเบอ้ื งต้นของผลิตภัณฑ/์ นวัตกรรม/ส่งิ ประดิษฐ์ใหม่ หรอื ตรวจสอบประสทิ ธิภาพในกลุ่มตวั อยา่ งขนาดเล็ก (R2 = วจิ ัยเชิงทดลองใชน้ วตั กรรม) เมื่อทดลองใช้และประเมินผลแล้ว พบว่า ไม่ได้ผล ก็ให้กลับไปทบทวน D1 ในขอ้ 3.2 ใหม่ หากพบวา่ ได้ผล ก็ให้ไปพัฒนาเพม่ิ /ปรบั ปรงุ /แก้ไขใน D2 ตอ่ ไป
324 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา 4. การปรับปรุงการออกแบบ ทดลองซ้�ำและประเมินผล และปรับปรุงเพ่ิมเติม ในขน้ั ตอนที่ 4 นี้ ผู้วิจัยควรดำ� เนนิ การ 3 ประการ ดงั น้ี 4.1 การปรบั ปรงุ การออกแบบ เปน็ การปรบั ปรงุ การออกแบบผลติ ภณั ฑ/์ นวตั กรรม/ ส่ิงประดิษฐ์ใหม่ หรือปรับปรุงต้นฉบับผลิตภัณฑ์/นวัตกรรม/สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ให้ได้มาตรฐาน (D2 = พัฒนาเพม่ิ /ปรบั ปรงุ /แกไ้ ข) 4.2 การทดลองซ�้ำและประเมินผล เป็นการทดลองกับกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่ ในสถานการณจ์ ริง หรือทดลองใชใ้ นกลุ่มตัวอย่างท่มี ขี นาดใหญข่ น้ึ (R3 = วิจยั เชิงประเมนิ ) 4.3 การปรบั ปรงุ เพ่มิ เตมิ เป็นการพัฒนา/ปรบั ปรงุ /แก้ไขอีกครั้งหนึง่ หลงั จากที่ได้ ทดลองซ�้ำและประเมนิ ผลแล้ว (D3 = พัฒนา/ปรับปรุง/แกไ้ ขอีกครั้งหนึ่ง) 5. การสรุปผลและจัดท�ำรายงานการวิจัย ในขั้นตอนท่ี 5 น้ี ผู้วิจัยควรด�ำเนินการ 2 ประการ ดงั นี้ 5.1 วเิ คราะห์ผลและสรปุ ผล 5.2 จัดท�ำรายงานการวิจยั 6. การเผยแพร่และขยายผล ในขั้นตอนท่ี 6 ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายนี้ ผู้วิจัยควรที่จะ ด�ำเนินการ 2 ประการ ดงั นี้ 6.1 เผยแพรน่ วัตกรรมหรือส่งิ ประดิษฐ์ 6.2 ขยายผลสู่ผใู้ ช้งาน/ผ้รู ับบริการ กลา่ วโดยสรปุ กระบวนการวจิ ยั และพฒั นา อาจกำ� หนดขนั้ ตอนทสี่ ำ� คญั ของกระบวนการ วจิ ัยและพฒั นาได้ 6 ขัน้ ตอน คอื 1) การศกึ ษาสภาวะแวดล้อม วิเคราะหส์ ภาพปัญหาและประเมนิ ความต้องการจำ� เป็น 2) การกำ� หนดเป้าหมายและวตั ถปุ ระสงค์ของการพฒั นา 3) การส�ำรวจหรือ สงั เคราะหส์ ภาพปญั หาและความตอ้ งการ การออกแบบนวตั กรรมเบอื้ งตน้ และการทดลองนำ� รอ่ ง และประเมินผล 4) การปรับปรุงการออกแบบ ทดลองซ�้ำและประเมินผล และปรับปรุงเพิ่มเติม 5) การสรุปผลและจดั ทำ� รายงานการวิจยั และ 6) การเผยแพร่และขยายผล 9.3 การออกแบบวจิ ยั และพัฒนา ในการออกแบบวิจัยและพัฒนา นักวิจัยจะต้องก�ำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะของการวิจัย อย่างชัดเจน ออกแบบในเร่ืองของประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ออกแบบในเรื่องการวัดตัวแปร หรือการเก็บรวบรวมข้อมูล และออกแบบในเรื่องสถิติวิเคราะห์ข้อมูล ซ่ึงทุกรายการดังกล่าวนี้ ควรจะกำ� หนดไวล้ ว่ งหนา้ และเปน็ ทร่ี บั ทราบตรงกนั ระหวา่ งกลมุ่ ผเู้ กย่ี วขอ้ งตา่ งๆโดยมรี ายละเอยี ด ซึง่ อาจสรปุ ได้ ดงั นี้ (กิตติยา วงษ์ขนั ธ์, 2561; ศรายทุ ธ วัยวฒุ ิ, 2562) 1. การออกแบบประชากรและกลุ่มตัวอย่าง นักวิจัยจะต้องก�ำหนดเป้าหมาย ประชากร หรือกลุ่มเปา้ หมายในการใช้นวัตกรรม และก�ำหนดกลมุ่ ตวั อย่างทช่ี ดั เจน 2. การออกแบบการวัดตัวแปรหรือการเก็บรวบรวมข้อมูล นักวิจัยจะต้องก�ำหนด ประเด็นตัวบ่งช้ีท่ีต้องการวัด พร้อมท้ังก�ำหนดแหล่งข้อมูล หรือผู้ให้ข้อมูลหลักอย่างครบถ้วน ก�ำหนดประเภทของเคร่ืองมือหรือวิธีการวัด ช่วงเวลาในการวัด (เช่น วัดก่อน และเมื่อเสร็จส้ิน
Research in Educational Administration • 325 การทดลอง) พร้อมก�ำหนดแนวปฏิบัติในการพัฒนาเครื่องมือและตรวจสอบคุณภาพของ เครอ่ื งมอื วดั แตล่ ะรายการ กลา่ วโดยสรปุ จะตอ้ งสรปุ วา่ ตวั บง่ ชี้ หรอื ประเดน็ ในการวดั ในครง้ั นนั้ ๆ ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง แตล่ ะตัวบง่ ชี้ หรือแตล่ ะประเดน็ จะใช้เครอ่ื งมือหรือวิธกี ารใดในการเก็บ รวบรวมข้อมลู จะพฒั นาเคร่ืองมอื แต่ละชนิดอยา่ งไรและจะจดั เก็บรวบรวมขอ้ มลู เมื่อไรบา้ ง 3. การออกแบบสถิติวิเคราะห์ข้อมูล สถิติท่ีใช้ในงานวิจัยและพัฒนา สามารถเลือก ใช้สถติ ิในลกั ษณะเดยี วกบั งานวิจัยทวั่ ไป ซ่ึงจะมที งั้ สถติ เิ ชิงบรรยาย (Descriptive Statistics) และ สถิติเชิงอ้างอิง (Inferential Statistics) ซ่ึงการเลือกใช้วิธีการทางสถิตที่เหมาะสม จะเพิ่มความ นา่ เชอื่ ถอื ของผลงานวจิ ยั ได้ รายละเอยี ดเกยี่ วกบั วธิ กี ารทางสถติ เิ หลา่ นี้ สามารถศกึ ษาไดจ้ ากเอกสาร หรอื ต�ำราทว่ั ไป โดยผลลพั ธ์ที่ได้จากการวางแผนและออกแบบวิจยั และพัฒนา คือ กรอบแนวทาง การวจิ ัย หรอื โครงการวจิ ัยท่ีมีรายละเอยี ดครบถว้ นสมบรู ณ์ ในการออกแบบการวิจัยและพัฒนา นอกจากนักวิจัยจะต้องออกแบบการวิจัยดังท่ีได้ กล่าวข้างต้นแล้ว ควรค�ำนึงถึงตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และการใช้เคร่ืองมือวิจัยในงานวิจัย และพัฒนา โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้ 1. ตวั แปรต้นและตวั แปรตามในงานวจิ ัยและพฒั นา ในงานวิจัยและพฒั นาทางการ ศึกษา ตัวแปรต้น (Independent Variable) คือ ตัวนวัตกรรมหรือปฏิบัติการ (Treatment) ที่นัก วิจยั ให้กบั กลุ่มตวั อยา่ ง ซึ่งอาจหมายถึง ส่อื / ชดุ สอ่ื หรอื วธิ กี ารใหม่ ๆ ในการจัดการศึกษา ส่วน ตวั แปรตาม (Dependent Variable) คอื ตวั แปรทเ่ี ปน็ ผลลพั ธท์ เ่ี กดิ จากการใสป่ ฏบิ ตั กิ าร เชน่ ความรู้ ความพอใจ เจตคติ ทักษะ หรอื สภาพการเปล่ยี นแปลงตา่ ง ๆ ฯลฯ 2. การใช้เครื่องมือวิจัยในงานวิจัยและพัฒนา เครื่องมือวิจัยในงานวิจัยและพัฒนา ทางการศึกษา ประกอบด้วย 2 สว่ นทีส่ ำ� คญั ดงั น้ี 2.1 เคร่ืองมือทดลอง หรือชุดนวัตกรรม หรือชุดปฏิบัติการ การวิจัยและ พฒั นาจะมคี ณุ ค่ามากนอ้ ยเพยี งใด ข้ึนอยู่กบั ความสามารถของนักวจิ ยั ในการแสวงหานวตั กรรมที่ สรา้ งสรรค์ทนั สมยั และมปี ระสทิ ธภิ าพ(ลงทนุ ไมม่ ากสะดวกใช้สะดวกปฏบิ ตั ิใหป้ ระสทิ ธผิ ลตาม ที่คาดหวัง) ซ่ึงการแสวงหานวัตกรรมท่ีสร้างสรรค์ นักวิจัยจะต้องท�ำการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หรือกรณีตัวอย่างนวัตกรรมท่ีหลากหลาย ก่อนท่ีจะสังเคราะห์เป็นนวัตกรรมท่ีจะน�ำมาทดลอง ทั้งนี้ นักวิจัยควรจะสามารถชี้บ่ง หรือระบุลักษณะที่เห็นว่าเป็นจุดเด่น ความสร้างสรรค์ หรือ ความเหมาะสมของนวัตกรรมได้อย่างชัดเจน อีกทั้งจะต้องเป็นนวัตกรรมที่มีความถูกต้อง เหมาะสมตามหลักวชิ า 2.2 เคร่ืองมือเก็บรวบรวมข้อมูลหรือเครื่องมือวัดตัวแปร ในการออกแบบ ดา้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล ผวู้ จิ ัยจะต้องวิเคราะห์ทบทวนวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั ก�ำหนดหรือ ระบุตัวแปรหรือประเด็นที่มุ่งศึกษา ก�ำหนดแหล่งข้อมูลหรือผู้ให้ข้อมูลท่ีจะท�ำให้ได้ข้อมูลที่มี ความตรงหรือถูกต้อง ก�ำหนดวิธีการหรือเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และก�ำหนด แนวทางการพฒั นาเคร่อื งมอื เกบ็ รวบรวมข้อมูลอยา่ งชดั เจน ในการเลือกใช้เครื่องมือวัด ซ่ึงมีหลายชนิด เช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ แบบสังเกต แบบประเมินคุณลักษณะตา่ ง ๆ ฯลฯ การตัดสินใจว่า จะเลอื กใช้เครอ่ื ง
326 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา มือวัดชนิดใด จะต้องค�ำนึงถงึ ธรรมชาติ หรือลักษณะของตวั บ่งชที้ ต่ี ้องการวัด และข้อจ�ำกดั ต่าง ๆ เชน่ ถา้ เปน็ ตวั บง่ ชปี้ ระเภทความรู้ กใ็ ชแ้ บบทดสอบ ถา้ เปน็ พฤตกิ รรม กใ็ ชแ้ บบประเมนิ พฤตกิ รรม ถา้ เป็นเจตคติ ก็ใชแ้ บบวัดเจตคติ ฯลฯ หรือในบางคร้งั นักประเมนิ ได้เลือกใชเ้ ป็นแบบสอบถามที่ ประกอบด้วยสาระหลายตอน แต่ละตอนมงุ่ วดั ตวั บง่ ชีท้ ่ีแตกตา่ งกนั ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เพอ่ื การวจิ ยั และพฒั นานวตั กรรมนกั วจิ ยั จะตอ้ งระลกึ เสมอว่า จะต้องเน้นในเร่อื งความรวดเร็ว คลอ่ งตวั มีประสิทธิภาพ สามารถรวบรวมขอ้ มลู ไดอ้ ยา่ ง รวดเรว็ ทันกับช่วงเวลาต่าง ๆ ในขณะดำ� เนนิ การทดลองนวตั กรรม และกระบวนการเกบ็ รวบรวม ข้อมลู จะตอ้ งไมเ่ กิดผลกระทบเชิงลบตอ่ กระบวนการพฒั นา 9.4 การวิเคราะห์ข้อมลู ในงานวิจัยและพฒั นา ในทางการศึกษา การเลือกใช้วิธีการทางสถิติเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัย และพัฒนาข้ึนอยู่กับชนิดของตัวแปร หรือตัวช้ีวัดที่ท�ำการศึกษา ซึ่งโดยทั่วไป มักจะมีวิธีการ ทางสถติ ดิ ังต่อไปนี้ 1. วิเคราะห์ความถี่ ร้อยละ ส�ำหรับตัวแปรตัดตอนท่ีวัดโดยเคร่ืองมือประเภทแบบ ตรวจสอบรายการหรอื อาจใช้การเปรยี บเทียบสัดส่วนด้วยสถติ ิอา้ งองิ ไค-สแควร์ (Chi-Square) 2. วิเคราะห์ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนทดสอบความรู้หรือคะแนน จากมาตรประมาณคา่ และใชส้ ถติ เิ ชงิ อา้ งองิ การทดสอบคา่ ที(t-test)สำ� หรบั การเปรยี บเทยี บคะแนน ทดสอบกอ่ นเรยี นกบั หลงั เรยี นหรอื เปรยี บเทยี บคา่ เฉลย่ี 2 กลมุ่ หรอื การวเิ คราะหค์ วามแปรปรวน เพ่ือการตรวจสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลยี่ กรณีทดสอบหลายกลุ่ม ฯลฯ 3. วิเคราะหเ์ ชิงเน้อื หา (Content Analysis) สำ� หรับข้อคำ� ถามประเภทปลายเปิด หรอื ใช้ เขยี นแสดงความคดิ เหน็ หรอื บรรยายสภาพความเปลย่ี นแปลงหลงั การใชน้ วตั กรรมการเลอื กใชว้ ธิ ี การทางสถติ ิ ใหเ้ นน้ หลกั การ “สามารถตอบคำ� ถามการวจิ ยั ไดแ้ ละงา่ ยตอ่ การสอื่ สารใหผ้ อู้ น่ื เขา้ ใจ” 9.5 การเขยี นรายงานการวิจยั และพัฒนา การเขียนรายงานผลการวิจัยและพัฒนา มีจุดเน้นท่ีการบอกเล่ากระบวนการพัฒนาและ ผลการใชน้ วตั กรรม พร้อมท้งั ต้องแสดงผลงานที่ไดจ้ ากการพัฒนา คือ สอื่ /อปุ กรณ/์ ช้นิ งาน หรอื รูปแบบการท�ำงานอย่างชัดเจน ในการน�ำเสนอผลงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ลักษณะการน�ำ เสนอโดยทั่วไป จะปรากฏใน 2 ลักษณะ ดังน้ี 1) ผลงานประเภทผลผลติ หรอื สง่ิ ประดษิ ฐท์ อ่ี าจเปน็ สอ่ื /วสั ด/ุ อปุ กรณ์ หรอื ชนิ้ งาน เชน่ สอื่ การสอน ชดุ กจิ กรรมเสรมิ ความรู้ คมู่ อื ประกอบการทำ� งาน ฯลฯ ซง่ึ จะนำ� เสนอสองสว่ นสำ� คญั คือ 1.1) นวัตกรรม/ตัวส่ือ/ส่ิงประดิษฐ์ และ 1.2) รายงานการพัฒนาหรือรายงานผลการทดลอง ใช้ ผลงานวิจัยและพัฒนาในลักษณะน้ีจะมคี ณุ คา่ มากน้อยเพียงใด ข้นึ อย่กู ับความนา่ สนใจ ความ สร้างสรรค์ของตัวผลงาน/สือ่ /วัสด/ุ อุปกรณ/์ ชิ้นงาน เปน็ ส�ำคัญ 2) ผลงานประเภทหลักการ แนวคิด หรือทฤษฎี หรือประเภทแนวทาง วิธีปฏิบัติ วธิ ีการ กระบวนการ หรอื ประเภทระบบปฏบิ ตั ิ หรอื รปู แบบ เชน่ รูปแบบการบรหิ ารจัดการ รูป
Research in Educational Administration • 327 แบบการสอน รปู แบบวิธีการสอน ระบบการทำ� งาน ฯลฯ ซ่งึ มักน�ำเสนอเป็นเลม่ เดยี ว ในลกั ษณะ ของรายงานการพัฒนาหรือรายงานการทดลองใช้ โดยจะต้องอธิบายให้เห็นรูปแบบของ นวัตกรรมอย่างเป็นรปู ธรรมชัดเจน 9.6 การประยุกต์ใช้การวจิ ัยและพัฒนาทางการศกึ ษา การวจิ ยั และพฒั นา (R&D) ทางวทิ ยาศาสตร์ มกี ระบวนการวจิ ยั และเป้าหมายทชี่ ดั เจน มีการใช้หลักการ/แนวคิด/ทฤษฎี เป็นพ้ืนฐานในการออกแบบนวตั กรรมหรือประดษิ ฐกรรม มักมี การท�ำการทดลองในห้องปฏิบัติการ (Laboratory Experiment) เม่ือมีการปรับปรุงแก้ไขแล้วจะมี การน�ำไปทดลองในภาคสนามจริง (Field Experiment) จนไดต้ ้นแบบทำ� ให้ผลการวิจยั มีความตรง ภายใน (ผลการวจิ ยั มคี วามถกู ตอ้ งและนา่ เชอื่ ถอื ) และความตรงภายนอก (ผลการวจิ ยั เปน็ ประโยชน์ โดยทวั่ ไป) (ศิรชิ ัย กาญจนวาส,ี 2559) ส�ำหรับการวิจัยและพัฒนาทางการศึกษา (Educational Research and Development: ER&D) ยากที่จะท�ำการทดลองในห้องปฏิบัติการเพ่ือท�ำการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เหมือน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การวิจัยและพัฒนาทางการศึกษา จึงเป็นการประยุกต์หลักการวิจัยและ พัฒนาทางวิทยาศาสตร์มาใช้ทางการศึกษาโดยการผสมผสานการวิจัยพ้ืนฐาน การวิจัยประยุกต์ และการวิจัยเชิงทดลองท่ีแท้จริงกับการวิจัยเชิงกึ่งทดลองท่ีเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทาง การศกึ ษา เพอื่ ใหก้ ารวจิ ยั อยบู่ นพนื้ ฐานของแนวคดิ /ทฤษฎที นี่ า่ เชอื่ ถอื ทน่ี ำ� มาสนบั สนนุ ขบั เคลอื่ น การวิจัยเพ่ือสร้างนวัตกรรมหรือประดิษฐกรรมที่สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในบริบท ทางการศึกษา การวิจัยและพัฒนาทางการศึกษา เป็นวิธีวิทยาการวิจัยอย่างหน่ึง ส�ำหรับสร้าง นวตั กรรมหรอื ประดษิ ฐกรรมทางการศกึ ษาทสี่ ามารถเผยแพรแ่ ละนำ� ไปประยกุ ตใ์ ชเ้ พอ่ื พฒั นาการ ศึกษา เชน่ พัฒนาการเรียนรู้ การจดั การศึกษา ระบบการศกึ ษา ฯลฯ ผลการวิจัยและพฒั นาทางการ ศกึ ษา (ER&D) สามารถเกบ็ รวบรวมสะสมเปน็ ฐาน/คลงั ความรู้ ทค่ี วรนำ� ไปใชเ้ ปน็ แนวทางปฏบิ ตั ิ ทด่ี ี (Good Practice) หรือการปฏิบตั ทิ เี่ ป็นเลศิ (Best Practice) สำ� หรบั การพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา ยคุ ใหมท่ จี่ ำ� เปน็ ตอ้ งใชน้ วตั กรรมหรอื ประดษิ ฐกรรมรว่ มกบั เทคโนโลยเี ขา้ มาสรา้ งเสรมิ คณุ ภาพการ เรียนรขู้ องผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 กลา่ วโดยสรปุ การวจิ ยั และพฒั นาทางการศกึ ษา(ER&D)เปน็ วธิ วี ทิ ยาการวจิ ยั แบบหนงึ่ ท่ี สามารถประยกุ ตห์ ลกั การวจิ ยั และพฒั นา (R&D) ทางวทิ ยาศาสตร์ มาใชท้ างการศกึ ษา ซงึ่ ประกอบ ดว้ ยกระบวนการวิจัยทส่ี �ำคญั 6 ขัน้ ตอน เชน่ เดียวกัน ดังนี้ 1. การศึกษาสภาวะแวดล้อม วิเคราะห์สภาพปัญหา และประเมินความต้องการ จ�ำเปน็ 2. การกำ� หนดเป้าหมายและวตั ถปุ ระสงคข์ องการพัฒนา 3. การส�ำรวจหรือการสังเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการ (R1 = วิจัยเชิง สำ� รวจ/วเิ คราะห/์ สงั เคราะห)์ การออกแบบนวตั กรรมเบอื้ งตน้ (D1=สรา้ งและตรวจสอบนวตั กรรม) และการทดลองน�ำร่องและประเมินผล (R2 = วิจัยเชิงทดลองใช้นวัตกรรม เม่ือทดลองใช้และ
328 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา ประเมนิ ผลแลว้ พบวา่ ไมไ่ ด้ผล กใ็ หก้ ลบั ไปทบทวน D1 ใหม ่ หากพบวา่ ไดผ้ ล ก็ให้ไปพัฒนา เพมิ่ /ปรบั ปรุง/แกไ้ ขใน D2 ต่อไป) 4. การปรับปรุงการออกแบบ (D2 = พัฒนาเพิ่ม/ปรับปรุง/แก้ไข) ทดลองซ�้ำและ ประเมนิ ผล(R3=วจิ ยั เชงิ ประเมนิ )และปรบั ปรงุ เพม่ิ เตมิ (D3=พฒั นา/ปรบั ปรงุ /แกไ้ ขอกี ครง้ั หนงึ่ ) 5. การสรปุ ผลและจัดท�ำรายงานการวิจยั 6. การเผยแพรแ่ ละขยายผล 9.7 ช่ือเรื่องและตัวอยา่ งช่ือเรอ่ื งงานวจิ ยั และพฒั นา 1. ชอ่ื เรื่องงานวจิ ัยและพัฒนา ถ้าเปน็ การพฒั นาเทคนิควิธี / รปู แบบการทำ� งาน/การบริหารจดั การ หรอื แนวทาง ชอ่ื เรอ่ื ง อาจขน้ึ ต้นดว้ ยคำ� หรือกลุ่มคำ� ตอ่ ไปน้ี • รปู แบบ................... • แนวทางการ........... • การพฒั นา………... • การวจิ ยั และพฒั นา....... 2. ตวั อยา่ งช่ือเรอ่ื งงานวิจยั และพฒั นา (R&D) • การพัฒนารูปแบบการสอนทกั ษะชวี ติ นกั เรยี นระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น • การวิจัยและพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาสทางการ ศกึ ษาในภาคกลาง • การพัฒนารูปแบบการจัดการส่ิงแวดล้อมโดยผู้สูงอายุในพ้ืนที่ชนบทของ ประเทศไทย 9.8 กรณีตัวอย่างงานวจิ ยั และพฒั นา ชอื่ เร่ือง : การพัฒนารูปแบบการบรหิ ารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนกั เรียนด้านการ คัดกรองนักเรยี นของโรงเรยี นพรา้ ววิทยาคม จงั หวดั เชียงใหม่ ผู้วิจัย : ปญุ ชรัศมิ์ พนั ธุวฒั น์ สาขาวิชา : การบริหารการศกึ ษา ปที ่ีท�ำวจิ ยั เสร็จ : 2560 วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาระบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ด้านการคัดกรองนักเรยี นของโรงเรยี นพรา้ ววิทยาคม จงั หวดั เชยี งใหม่ 2. เพอื่ สรา้ งรปู แบบการบรหิ ารจดั การงานระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น ดา้ นการคดั กรอง นกั เรยี นของโรงเรียนพรา้ ววิทยาคม จังหวดั เชียงใหม่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 631
Pages: