Research in Educational Administration • 529 เปน็ อยใู่ นสถานศกึ ษาทดี่ ขี นึ้ ของบคุ ลากร โดยไมม่ คี วามรสู้ กึ ทไ่ี มย่ นิ ดกี บั สงิ่ ดี ๆ ทบี่ คุ ลากรในสถาน ศกึ ษาจะได้รับ เป็นผู้มอี เุ บกขา คือ มกี ารแสดงออกในลกั ษณะเป็นกลางอย่างใดอยา่ งหนึง่ ไดแ้ ก่ 1) ไม่มีความริษยาต่อผู้อื่นที่ได้รับความสุข 2) มีความเป็นธรรมและความเสมอภาคต่อผู้อ่ืน 3) มีจิตใจสงบไม่โต้ตอบต่อสิ่งเร้ายั่วยุด้วยกายหรือวาจา 4) ให้ความเคารพต่อความคิดและการ แสดงออกของผู้อื่น และ 5) ยอมรับในผลแห่งการกระท�ำที่ท�ำให้เกิดขึ้นด้วยตนหรือผู้อ่ืน ท้ังนี้ เพื่อให้ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำเป็นต้นแบบท่ีดี จากน้ัน จึงเน้นการบริหารให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือ ผู้ที่อยู่ร่วมกันในสถานศึกษาหรือองค์การได้ยึดถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตามหลัก พรหมวิหาร คือ ให้มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซ่ึงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการอยู่ ร่วมกัน และส่งเสริมสนับสนุนให้การบริหารและ/หรือการน�ำสถานศึกษาหรือองค์การมีความ เจริญกา้ วหน้า 2.4 สังคหวัตถุ (Saṅgahavatthu: bases of sympathy) คือ ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งการ สงเคราะห์กัน หรอื หลกั ธรรมเป็นเครื่องยึดเหนยี่ วน�ำ้ ใจกนั หมายถึง หลกั การครองใจคน ซง่ึ เป็น เครอื่ งประสานใจคนใหเ้ ปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ได้ และทำ� ใหอ้ ยรู่ ว่ มกนั ดว้ ยความรกั ความปรารถนา ดีต่อกัน เปรียบเสมือนล่ิมสลักของรถท่ีตรึงตัวรถไว้มิให้ชิ้นส่วนกระจัดกระจายไป และท�ำให้ รถแล่นไปได้ด้วยดี โดยมีหลักในการปฏิบัติ 4 ประการ ดังนี้ (ที.ปา. 11/140/167; 267/244; องฺ.จตกุ ฺก. 21/32/42; 256/335; อง.ฺ อฏฺ ก. 23/114/222) 1) ทาน คือ การให้ หมายถึง การแบ่งปันเพ่ือประโยชน์แก่คนอื่น เป็นข้อ ปฏิบัตทิ ชี่ ว่ ยปลูกฝงั ใหเ้ ปน็ คนที่ไมเ่ ห็นแก่ตวั และแบง่ ปันกัน (แบง่ ปนั ไปมา) 2) ปิยวาจา คือ วาจาอันเป็นท่ีรัก หมายถึง การพูดจากับผู้อื่นด้วยถ้อย ค�ำไพเราะอ่อนหวาน และจริงใจ ไม่พูดหยาบคายก้าวร้าว แต่พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เหมาะกับ กาลเทศะ และพดู ดตี ่อกัน (พดู จาจับใจ) 3) อัตถจริยา คือ การประพฤติตนอันเป็นประโยชน์ หมายถึง การประพฤติ ตนให้เปน็ ประโยชนต์ อ่ ผ้อู ืน่ โดยมีการช่วยเหลือกนั (ช่วยกิจกนั ไป) 4) สมานัตตตา คือ ความมีตนเสมอ หมายถึง ความเป็นผู้มีความสม�่ำเสมอ โดยประพฤตติ วั ใหม้ คี วามเสมอตน้ เสมอปลายวางตวั ดตี อ่ กนั และไมเ่ อาเปรยี บกนั (นสิ ยั เปน็ กนั เอง) ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุในการ บรหิ ารคน เพอื่ “การครองคน” ทีด่ ี คอื ตนเองปฏบิ ัตติ ามหลกั สงั คหวตั ถกุ ่อน เพ่ือเปน็ ต้นแบบ ท่ีดี จากนั้น จึงเน้นการบริหารให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ท่ีอยู่ร่วมกันในสถานศึกษาหรือองค์การ ประพฤติปฏิบัติตนตามหลักสังคหวัตถุ โดยการฝึกอบรมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นผู้ให้ รู้จักการ แบ่งปัน พูดจาดี ท�ำตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่ืน และวางตัวดีเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งนี้ เพื่อให้ สามารถยดึ เหน่ยี วจิตใจของผเู้ กีย่ วขอ้ งไว้ ใหอ้ ยู่กันด้วยความผกู พัน และความรักความปรารถนา ดีต่อกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการบริหารและ/หรือการน�ำสถานศึกษาหรือองค์การให้ประสบ ความส�ำเร็จ 2.5 (เว้น) อคติ (Agati: wrong course of behavior) ค�ำว่า อคติ แปลว่า ไม่ควรถึง หมายถึง ความล�ำเอียง ซึ่งเป็นวิถีทางท่ีผิดหรือการด�ำเนินไปในทางที่ผิด ไม่ควรประพฤติ เป็น
530 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา ส่ิงท่ีผู้เป็นใหญ่หรือผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง ผู้บริหาร หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรงดเว้น มีหลกั ปฏบิ ัติ 4 ประการ ดังนี้ (ท.ี ปา. 11/176/196; 246/240; องฺ.จตกุ ฺก. 21/17/23) 1) ฉนั ทาคติ คือ ล�ำเอยี งเพราะรัก การเป็นผูบ้ รหิ ารหรอื ผ้นู �ำทด่ี ีนัน้ ตอ้ งไม่ ล�ำเอียงเพราะรัก ไม่ใช่ว่ารักลูกน้อง/ผู้ใต้บังคับบัญชาคนไหน ถูกใจคนไหนก็ให้ประโยชน์แก่ลูก นอ้ ง/ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาคนนน้ั แคค่ นเดยี วเทา่ นน้ั ตวั อยา่ งเชน่ การพจิ ารณาขนึ้ เงนิ เดอื นของพนกั งาน ในองค์กร ผู้บริหารใช้อ�ำนาจในการพิจารณาให้พรรคพวกของตนมาก่อน โดยมิได้คำ� นึงถึงความ ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ในการพิจารณาขึ้นเงินเดือน ดังนั้น ผู้บริหารที่ดีต้องพิจารณาลูกน้องจาก ผลการปฏบิ ตั งิ านและความประพฤติตามที่เปน็ จรงิ 2) โทสาคติ คอื ลำ� เอียงเพราะชงั การเปน็ ผู้บริหารและ/หรอื ผูน้ �ำท่ีดี นอกจาก ไม่ล�ำเอียงเพราะรักแล้ว ก็ต้องไม่ล�ำเอียงเพราะชัง ไม่ใช่ว่าเกลียดชังลูกน้อง/ผู้ใต้บังคับบัญชา คนไหนแลว้ กใ็ ห้โทษแกล่ ูกนอ้ ง/ผใู้ ต้บงั คบั บญั ชาคนน้นั ความจรงิ มนษุ ยม์ ีเร่อื งของรกั โลภ โกรธ หลง เป็นธรรมดา แต่หากตัดสินใจเพียงเพราะความโกรธแล้ว ย่อมมีผลกระทบถึงผู้ที่ท�ำการตัด สินใจได้ เชน่ ผบู้ ริหารหรอื ผู้ปกครองทำ� การกลั่นแกล้งลูกนอ้ ง/ผู้ใตบ้ ังคับบญั ชาที่ตนไมช่ อบเปน็ การส่วนตัว เพียงเพราะมีความคิดเห็นไม่ตรงกับผู้บริหารหรือผู้ปกครองในที่ประชุม เลยท�ำให้ มีอคติต่อกัน เมื่อถึงเวลาพิจารณาความดีความชอบ กลับมองข้ามไป ท้ังท่ีเป็นสิ่งที่ลูกน้อง/ผู้ใต้ บังคับบัญชาผู้นั้นควรจะได้รับ หรือการตัดสินลงโทษฝ่ายท่ีตนเองเกลียดชังหนักกว่าพรรคพวก ของตน ดังนั้น การก้าวเขา้ สู่การเปน็ ผู้บรหิ ารหรือผปู้ กครอง ควรระมดั ระวงั ในเรือ่ งการใชอ้ ารมณ์ ตอ้ งระงบั อารมณโ์ กรธ หรอื อารมณไ์ มพ่ อใจใหไ้ ด ้ ตอ้ งพจิ ารณาลกู นอ้ ง/ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาจากผลการ ปฏบิ ัติงานและความประพฤตติ ามทเ่ี ปน็ จริง 3) ภยาคติ คือ ล�ำเอียงเพราะกลัว การเป็นผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำที่ดี ต้อง ไมล่ �ำเอยี งเพราะความกลัว เพราะถ้ากลวั แล้วจะท�ำให้เสยี ความยุติธรรมในการบรหิ ารจัดการ เชน่ กลวั อำ� นาจคนทม่ี ตี ำ� แหนง่ สงู กวา่ กลวั ถกู ตำ� หนิ จงึ ไมก่ ลา้ มอบหมายงานใหล้ กู นอ้ งทเี่ ปน็ ลกู หลาน ของผู้ใหญ่/ผู้มีชื่อเสียง หรือใช้ระบบการปกครองลูกน้องแบบเสรี ขาดการควบคุมในการท�ำงาน เพยี งเพราะเกรงวา่ ลกู นอ้ งจะไมร่ กั หรอื ในกรณที ล่ี กู นอ้ งทำ� ผดิ กไ็ มก่ ลา้ ลงโทษเพราะกลวั วา่ ภยั จะมา ถงึ ตวั เอง ฯลฯ ดงั นนั้ ในการบรหิ ารคน ผบู้ รหิ ารตอ้ งมคี วามกลา้ หาญเดด็ เดย่ี ว ตอ้ งเดด็ ขาดในการ ตดั สนิ ใจตอ้ งกลา้ ทางจรยิ ธรรมโดยไมเ่ กรงกลวั ตอ่ อำ� นาจอทิ ธพิ ลและตอ้ งตงั้ มน่ั อยใู่ นความถกู ตอ้ ง 4) โมหาคติ คอื ล�ำเอยี งเพราะหลง หมายถงึ ล�ำเอียงเพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ การ เปน็ ผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� ทดี่ ี ตอ้ งไมล่ ำ� เอยี งเพราะหลงหรอื ไมร่ ไู้ มเ่ ขา้ ใจ ตอ้ งหาขอ้ มลู ใหแ้ นน่ อน และแนช่ ดั กอ่ นการตัดสนิ ใจใหค้ ณุ หรอื ให้โทษแก่ลูกน้อง/ผู้ใตบ้ ังคบั บัญชา ไม่ควรพจิ ารณาใหค้ ณุ หรือให้โทษแก่คนในหน่วยงานในขณะท่ีข้อมูลยังไม่แน่ชัดเพราะจะเกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด การไม่พิจารณาใหร้ อบคอบถ่ีถว้ นว่า สิ่งใดควร สงิ่ ใดมิควร หลงไปตามข้อมลู ทีไ่ ด้รบั เช่น ทันทีท่ี ผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� คนใดไดร้ บั ขอ้ มลู ในทางทไ่ี มด่ ขี องพนกั งานในองคก์ รจากคำ� พดู ทกี่ ลา่ วอา้ ง ของบุคคลทใี่ กล้ชดิ หรือผปู้ ระจบสอพลอ กห็ ลงเชอ่ื ในสง่ิ น้นั และเรียกพนักงานผนู้ ัน้ มาลงโทษวา่ กลา่ วตกั เตอื นโดยมไิ ดม้ กี ารสอบสวนใหแ้ นช่ ดั ถงึ ความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู ถอื ไดว้ า่ ผบู้ รหิ าร/หรอื ผนู้ ำ� คนน้นั มีความลำ� เอยี ง โดยหลงไปตามค�ำพดู ทกี่ ลา่ วอา้ งแบบโมหาคติ
Research in Educational Administration • 531 ผู้บริหารและ/หรือผูน้ �ำสถานศกึ ษาหรอื องค์การ ควรประยกุ ต์ใช้หลกั (เวน้ ) อคตใิ นการ บริหารคน เพอ่ื “การครองคน” ทีด่ ี คือ ตนเองปฏบิ ัตติ ามหลัก (เว้น) อคติก่อน เพือ่ เป็นต้นแบบ ท่ีดี จากนั้น จึงเน้นการบริหารให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ที่อยู่ร่วมกันในสถานศึกษาหรือองค์การ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นตามหลกั (เวน้ ) อคติ โดยการฝกึ อบรมใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาทกุ ระดบั ตงั้ แตร่ ะดบั สูงลงมา เปน็ ผู้เวน้ จากความลำ� เอยี งท่ีเกดิ จาก รกั โกรธ กลัว หลง เพราะตราบใดที่ไม่สามารถตัด ความรกั ความโกรธ ความกลัว และความหลง ให้สิ้นไปได้ การตดั สินใจใด ๆ ในการปฏบิ ตั ิหน้าที่ หรือการบริหารจัดการสถานศึกษาหรือองค์การ ก็ย่อมมีอคติท้ังสิ้น ดังนั้น การด�ำเนินการหรือ การปฏิบัติหน้าท่ีใด ๆ ในสถานศึกษาหรือองค์การ ต้องไม่ล�ำเอียง หรือปราศจากอคติ หรือ มีความยุติธรรม เพื่อท่ีจะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ซ่ึงจะเป็นประโยชน์อย่างย่ิงด้านการให้ ความร่วมมือในการบรหิ ารและ/หรือการนำ� สถานศกึ ษาหรือองค์การให้ประสบความสำ� เร็จ 2.6 สหุ ทมติ ร (Suhadamitta: true friends) คอื มติ รแท้ หมายถึง มิตรมีใจดี หรือมิตร ท่ีจรงิ ใจต่อเพ่อื นอยา่ งแทจ้ ริง ค�ำว่า มิตร มรี ากศัพท์มาจากคำ� เดียวกับคำ� วา่ เมตตา ซึง่ มคี วามหมาย วา่ ความรักใคร่ห่วงใยโดยมีความปรารถนาให้ผู้อ่ืนเป็นสขุ เพราะฉะนน้ั คำ� ว่า มิตรแท้ จงึ หมายถึง ผทู้ รี่ กั ใครช่ อบพอกนั และมคี วามปรารถนาดตี อ่ กนั อยา่ งแทจ้ รงิ กลา่ วคอื มคี วามเมตตาทงั้ ทางกาย วาจา ใจ ตอ่ กนั ทั้งต่อหน้าและลบั หลงั อาจจำ� แนกออกได้ 4 ประเภท ดงั น้ี (ที.ปา. 11/192/201) 1) มติ รอปุ การะ (อุปการะ) คอื มติ รผอู้ ปุ การกะเพอื่ น มลี กั ษณะ 4 ประการ ได้แก่ 1.1) เพือ่ นประมาท ช่วยรกั ษาเพือ่ น 1.2) เพอื่ นประมาท ช่วยรกั ษาทรพั ย์สนิ ของเพ่ือน 1.3) เมื่อมีภยั เป็นทพี่ ึง่ พ�ำนักได้ 1.4) มกี ิจจำ� เปน็ ช่วยออกทรัพยใ์ หเ้ กนิ กว่าที่ออกปาก 2) มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ (สมานสุขทุกข์) คือ มิตรผู้สมานสุขทุกข์ของเพ่ือน มลี ักษณะ 4 ประการ ได้แก่ 2.1) บอกความลบั แกเ่ พ่อื น 2.2) ปดิ ความลับของเพื่อน 2.3) มภี ยั อันตราย ไมล่ ะทิง้ 2.4) แม้ชีวิตก็สละใหไ้ ด้ 3) มิตรแนะน�ำประโยชน์ (อตั ถักขายี) คอื มติ รผูแ้ นะนำ� สิง่ ทีเ่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ เพอื่ น มีลกั ษณ 4 ประการ ไดแ้ ก่ 3.1) จะทำ� ช่วั เสยี หาย คอยหา้ มปรามไว้ 3.2) คอยแนะน�ำให้ตง้ั อยใู่ นความดี 3.3) ใหไ้ ดฟ้ งั ไดร้ ู้สงิ่ ทไี่ ม่เคยได้รู้ได้ฟัง 3.4) บอกทางสขุ ทางสวรรค์ให้
532 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา 4) มิตรมีน�้ำใจ (อนุกัมปกะ) คือ มิตรมีความรักใคร่ หรือมิตรผู้รักใคร่เอ็นดู มลี ักษณะ 4 ประการ ได้แก่ 4.1) เพ่อื นมีทกุ ข์ พลอยไมส่ บายใจ (ทกุ ข์ ทกุ ขด์ ว้ ย) 4.2) เพือ่ นมสี ขุ พลอยแช่มชื่นยินดี (สุข สขุ ด้วย) 4.3) เขาตเิ ตียนเพื่อน ชว่ ยยับย้งั แกใ้ ห้ 4.4) เขาสรรเสรญิ เพอ่ื น ชว่ ยพูดเสรมิ สนบั สนุน การคบมติ รหรอื เพอื่ นเปน็ สงิ่ สำ� คญั คบเพอื่ นดมี ผี ลตอ่ ความเจรญิ กา้ วหนา้ แตถ่ า้ คบเพอื่ น ไมด่ กี จ็ ะส่งผลต่อความเสอื่ มเสียของชวี ติ อย่างมาก ดังน้นั ผ้บู ริหารและ/หรือผ้นู ำ� สถานศกึ ษาหรือ องค์การ ควรประยุกต์ใช้หลกั เพอ่ื นแท/้ มติ รแท้ (สหุ ทมิตร) ในการบริหารคน เพอื่ “การครองคน” ทด่ี ี คอื ตนเองปฏบิ ัติตามหลกั มิตรแท้กอ่ น เพ่อื เป็นต้นแบบท่ดี ี จากนัน้ จงึ เน้นการบรหิ ารให้ผู้ใต้ บงั คบั บญั ชาหรอื ผทู้ อี่ ยรู่ ว่ มกนั ในสถานศกึ ษาหรอื องคก์ ารประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นตามหลกั มติ รแท้ โดย การฝกึ อบรมใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาเลอื กคบมติ รผอู้ ปุ การะมติ รรว่ มทกุ ขร์ ว่ มสขุ มติ รแนะนำ� ประโยชน์ และมติ รทม่ี นี ำ้� ใจ ซง่ึ จะไดป้ ระโยชนใ์ นการชว่ ยเหลอื ซงึ่ กนั และกนั และสง่ เสรมิ สนบั สนนุ แกก่ นั ใน การปฏิบัตหิ น้าทห่ี รอื การบริหารจดั การสถานศกึ ษาหรือองค์การให้มคี วามเจรญิ ก้าวหนา้ 2.7 เหฏฐิมทศิ (Heṭṭhima-disā: servants and workmen as the nadir) คอื ทศิ เบ้ืองลา่ ง หมายถงึ การรจู้ กั ปฏบิ ตั ติ อ่ คนรบั ใช้ คนงาน ผตู้ าม หรอื ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาเพราะเปน็ ผชู้ ว่ ยทำ� การงาน ต่าง ๆ เป็นฐานก�ำลงั สนับสนุนให้ มี 5 ประการ ดงั นี้ (ที.ปา. 11/198-204/202-206) 1) จัดหางานให้ท�ำตามความสามารถ หมายถึง การมอบหมายหน้าท่ีการงาน ให้ คนงาน ผู้ตามหรือผ้ใู ต้บงั คบั บัญชาทำ� ตามกำ� ลงั ความรู้ สติปญั ญา และความสามารถ ตลอดถึง รจู้ กั ใช้คนใหถ้ ูกกบั งาน (Put the right man on the right job) 2) ให้ค่าจ้างและรางวัล หมายถึง การให้ค่าตอบแทนเป็นค่าจ้างและบ�ำเหน็จ รางวัล เม่ือคนงาน ผู้ตามหรือผู้ใตบ้ งั คับบญั ชาท�ำดี ก็รจู้ ักยกย่องชมเชย และ/หรือ สนบั สนุนให้ ได้รบั บ�ำเหน็จรางวลั เลือ่ นยศ เลอ่ื นตำ� แหนง่ ตามความเมาะสม และเมือ่ ทำ� ไมไ่ ดก้ แ็ นะน�ำสั่งสอน ให้พฒั นาศกั ยภาพใหด้ ีขึ้น 3) จัดสวัสดิการให้ หมายถึง การช่วยรักษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ รู้จัก ดแู ลสารทุกข์ สุกดิบ ของคนงาน ผู้ตามหรอื ผใู้ ต้บังคบั บญั ชา 4) แบ่งปันของกินของใช้ให้ หมายถึง การรู้จักมีน้�ำใจแบ่งปันของกินของใช้ ดี ๆ ใหค้ นงาน ผู้ตามหรือผใู้ ตบ้ งั คับบัญชาตามความเหมาะสม 5) ให้มวี ันหยุดและพกั ผอ่ น หมายถงึ ร้จู ักให้คนงาน ลูกนอ้ ง หรือผูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชาได้ลาพกั ผอ่ นหย่อนใจตามโอกาสอนั ควร เหฏฐิมทิศ มีความสำ� คญั ตอ่ ผ้บู ริหารหรือผู้น�ำในสถานศกึ ษาหรอื องค์การทกุ คน เพราะ เปน็ แนวทางปฏบิ ัติอนั ดตี อ่ ผทู้ ีเ่ ป็นบรวิ ารทีค่ อยรบั ใช้หรือท�ำกิจการตา่ ง ๆ ใหเ้ รา รวมถงึ บุคลากร หรือผ้ใู ต้บงั คบั บัญชาในสถานศึกษา บรวิ ารหรือบคุ คลดงั กล่าวน้ี เปน็ ผูท้ ่มี ตี ำ� แหน่งตำ่� กวา่ ดังนัน้ บคุ คลเหลา่ นี้ จงึ ถอื วา่ เปน็ ผทู้ อ่ี ยดู่ า้ นลา่ งภายใตก้ ารปกครองหรอื การบงั คบั บญั ชาของผบู้ รหิ ารและ/ หรอื ผนู้ �ำทีเ่ ปน็ ผู้บงั คับบญั ชา
Research in Educational Administration • 533 ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักเหฏฐิมทิศในการ บรหิ ารคน เพ่อื “การครองคน” ทดี่ ี โดยการจัดหางานให้ท�ำตามความสามารถ ให้คา่ จ้างและรางวัล จัดสวัสดิการให้ แบ่งปันของกินของใช้ให้ และให้มีวันหยุดและพักผ่อน ซ่ึงหากผู้บริหารและ/ หรอื ผนู้ ำ� ปฏบิ ตั ไิ ดเ้ ชน่ นี้ กจ็ ะเปน็ ประโยชนห์ ลายอยา่ ง เชน่ ความสงบเรยี บรอ้ ยของสงั คม ความสขุ ในการดำ� เนนิ ชีวิตของทกุ คน ความเจรญิ ก้าวหน้าและความมั่นคงในชีวติ ของทกุ คนในสังคม ฯลฯ ตลอดถึงจะเป็นประโยชน์ในการบริหารและ/หรือการน�ำสถานศึกษาหรือองค์การให้มีความเจริญ กา้ วหนา้ 2.8 ราชสังคหวัตถ ุ (Rāja-saṅgahavatthu: a ruler’s bases of sympathy) คือ ธรรมท่ยี ึด เหนี่ยวจิตใจ หรือหลักการสงเคราะห์ของนักปกครอง หรือนักบริหาร หมายถึง หลักธรรมอัน เป็นเคร่ืองมือในการวางนโยบายทางการบริหารงานให้ด�ำเนินไปด้วยดี มีหลักปฏิบัติ 4 ประการ ดังน้ี (สํ.ส. 15/351/110; องฺ.จตุกฺก. 21/39/54; องฺ.อฏฺก. 23/91/152; ขุ.อิติ. 25/205/246; ข.ุ ส.ุ 25/323/383) 1) สัสสเมธะ คือ ความเป็นผู้ฉลาดในการพิจารณาถึงผลิตผลอันเกิดข้ึน ในองคก์ ารแลว้ พิจารณาผอ่ นผนั จัดเกบ็ เอาแตบ่ างสว่ นแหง่ สิง่ น้นั 2) ปุริสเมธะ คือ ความเป็นผู้ฉลาดในการดูคน สามารถเลือกแต่งตั้งบุคคล ใหด้ �ำรงต�ำแหน่งในความถกู ตอ้ งและเหมาะสม และรจู้ ักส่งเสรมิ คนดีมีความสามารถ 3) สัมมาปาสะ คือ การบริหารงานให้ต้องใจประชาชน รู้จักผูกผสานรวมใจ ประชาชนดว้ ยการสง่ เสริมอาชีพ เชน่ ใหค้ นจนกยู้ มื เงนิ ทนุ ไปสร้างตวั ในพาณชิ ยกรรม ฯลฯ 4) วาชเปยะ (หรือ วาจาเปยยะ) คือ ความเป็นบุคคลมีวาจาไพเราะ รู้จักผ่อน ส้ันผ่อนยาวตามเหตุการณห์ รือตามสถานการณ์ ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักราชสังคหวัตถุใน การบรหิ ารคน เพอ่ื “การครองคน” ทด่ี ี โดยเปน็ ผฉู้ ลาดในการพจิ ารณาถงึ ผลติ ผลอนั เกดิ ขนึ้ ในสถาน ศกึ ษาหรอื องคก์ าร รู้จกั ใชค้ นให้เหมาะกบั งาน รจู้ กั หางานให้เหมาะกับคน บริหารงานให้ตอ้ งใจ บคุ ลากร และรจู้ ักผอ่ นส้นั ผ่อนยาวตามเหตุการณห์ รอื ตามสถานการณ์ ซ่ึงหากผบู้ ริหารและ/หรอื ผนู้ ำ� ปฏบิ ตั ไิ ดเ้ ชน่ น้ี กจ็ ะเปน็ ประโยชนใ์ นการยดึ เหนยี่ วจติ ใจของผใู้ ตป้ กครองหรอื ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา และทำ� ให้การบรหิ ารงานสถานศกึ ษาและ/หรอื องค์การด�ำเนินไปได้ด้วยดี 2.9 สาราณียธรรม (Sāraṇīyadhamma: states of conciliation) คือ ธรรมอันเป็นที่ต้ัง แห่งความระลึกถึงกัน ถือว่า เป็นธรรมท่ีเป็นพลังในการสร้างความสามัคคีในหมู่คณะหรือสังคม ท่อี ยู่รว่ มกัน มหี ลกั ปฏบิ ัติ 6 ประการ ดังนี้ (ที.ปา. 11/317/257; อง.ฺ ฉกก. 22/282-283/321-323) 1) เมตตากายกรรม คือ การกระท�ำทางกายที่ประกอบด้วยเมตตาต่อเพ่ือน ร่วมหมู่คณะท้ังต่อหน้าและลับหลัง เช่น การอนุเคราะห์ช่วยเหลือหรือการเอื้อเฟื้อต่อผู้อ่ืน การสงเคราะห์ช่วยเหลือกิจธุระของเพ่ือนผู้ร่วมหมู่คณะด้วยความเต็มใจ การไม่รังแกท�ำร้าย ผู้อ่ืน ฯลฯ 2) เมตตาวจีกรรม คือ การมีวาจาท่ีดี พูดด้วยความสุภาพ อ่อนหวาน พูดมี เหตผุ ล พดู ไมใ่ ห้ร้ายผู้อน่ื หรอื ท�ำใหผ้ อู้ ืน่ เดือดรอ้ น ทัง้ ตอ่ หนา้ และลบั หลงั
534 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา 3) เมตตามโนกรรม คอื ความคิดทีป่ ระกอบด้วยเมตตาตอ่ เพอื่ นรว่ มหมู่คณะ ทง้ั ตอ่ หนา้ และลบั หลงั เปน็ การคดิ ดตี อ่ กนั เชน่ ตงั้ จติ ปรารถนาดตี อ่ เพอ่ื น คดิ ทำ� สง่ิ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ ต่อเพอ่ื น มองกนั ในแงด่ ี มหี นา้ ตาย้ิมแย้มแจ่มใส ฯลฯ 4) สาธารณโภคี คอื ไดข้ องสง่ิ ใดมากแ็ บง่ ปนั กนั เปน็ การรจู้ กั แบง่ สง่ิ ของใหก้ นั และกนั ตามโอกาสอนั ควร แมไ้ ดม้ าเพยี งเลก็ นอ้ ยโดยชอบธรรม กไ็ มห่ วงไวแ้ ตผ่ เู้ ดยี ว นำ� มาแบง่ ปนั โดยเฉลย่ี เจอื จานใหไ้ ดม้ สี ว่ นรว่ มบรโิ ภคหรอื ใชส้ อยทว่ั กนั เพอื่ แสดงความรกั และความหวงั ดขี อง ผู้ท่อี ยูใ่ นสังคมเดียวกนั 5) สีลสามัญญตา คือ การมีศีลเสมอกัน เป็นการรักษาศีลอย่างเคร่งครัด และเหมาะสมตามสถานะของตน มีความประพฤติสุจริต ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของหมู่คณะ และ ไม่เอารัดเอาเปรยี บผูอ้ ืน่ 6) ทิฏฐิสามญั ญตา คือ การมคี วามเหน็ ร่วมกัน ไม่เหน็ แกต่ วั รู้จกั เคารพและ รับฟังความคดิ เหน็ ของผู้อนื่ และรว่ มมอื ร่วมใจในการสรา้ งสรรค์สังคมใหเ้ กดิ ความสงบ หลกั ธรรมทง้ั 6 ประการดงั กลา่ วขา้ งตน้ น้ี มคี ณุ ประโยชน์ คอื 1) ทำ� ใหเ้ ปน็ ทรี่ ะลกึ ถงึ กนั (สารณยี ะ) 2) ท�ำใหเ้ ป็นที่รกั (ปยิ กรณ์) และ 3) ท�ำใหเ้ ปน็ ที่เคารพ (ครุกรณ)์ ซง่ึ เม่อื กลมุ่ บุคคลน�ำ มาประพฤตปิ ฏบิ ตั ริ ่วมกนั จะทำ� ใหเ้ ก้ือกลู กัน ไมท่ ะเลาะวิวาทกนั อนั จะเปน็ บ่อเกิดแห่งความรัก ความสามัคคีเปน็ อันหนึ่งอนั เดยี วกันในหม่คู ณะหรอื สงั คมทีอ่ ยรู่ ว่ มกนั ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรมใน การบรหิ ารคน เพ่ือ “การครองคน” ท่ดี ี คอื ตนเองปฏบิ ตั ติ ามหลักสาราณยี ธรรมกอ่ น เพือ่ เปน็ ต้น แบบทีด่ ี จากน้ัน จึงเนน้ การบริหารจดั การให้หม่คู ณะหรือผู้ท่ีอยู่ร่วมกันมเี มตตาต่อกันท้งั ทางกาย วาจา และใจ รู้จักแบ่งสิ่งของให้กันและกันตามโอกาสอันควร ให้มีความประพฤติสุจริต ปฏิบัติ ตามกฎเกณฑ์ของหมู่คณะ และให้รู้จักเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ซ่ึงหากผู้บริหาร และ/หรอื ผนู้ ำ� บรหิ ารจดั การคนไดเ้ ชน่ นี้ กจ็ ะทำ� ใหส้ ามารถครองใจคนในสถานศกึ ษาหรอื องคก์ าร ซ่ึงเป็นการสร้างพลังในการสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ และจะเป็นประโยชน์ในการขับเคลื่อน สถานศึกษาหรือองค์การได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 2.10 กัลยาณมติ รธรรม (Kalyāṇamitta-dhamma: qualities of a good friend) คอื ธรรม ของมิตรดีหรือมิตรแท้ หมายถึง คุณสมบัติของมิตรดีหรือมิตรแท้ เป็นมิตรที่คอยช่วยเหลือมิตร อย่างจริงใจโดยไมห่ วังสิง่ ใดตอบแทน และเป็นมิตรท่หี วังดี เม่ือมสี ง่ิ ดี ๆ ก็ใหก้ ันดว้ ยความจริงใจ มหี ลักปฏิบัติ 7 ประการ ดังน้ี (องฺ.สตตฺ ก. 23/34/33) 1) เป็นผู้น่ารัก (ปิโย) คือ เป็นผู้ที่มีจิตใจดี เป็นที่สบายใจและสนิทสนม ชวนใหอ้ ยากเข้าไปปรึกษา และไตถ่ าม 2) เป็นผ้นู ่าเคารพ (ครุ) คอื เปน็ ผ้นู ่าเคารพบูชา ประพฤติสมควรแกต่ ำ� แหน่ง หนา้ ท่ี ใหเ้ กดิ ความร้สู ึกอบอุน่ ใจ เปน็ ทพี่ ึ่งใจ และปลอดภยั 3) เป็นผู้น่ายกย่องนับถือ (ภาวนีโย) คือ เป็นผู้น่าเจริญใจ น่ายกย่องนับถือ ในฐานะผู้ทรงคุณ คือ ความรู้และภูมิปัญญาอย่างแท้จริง รวมท้ังเป็นผู้ฝึกอบรมและปรับปรุงตน อยู่เสมอ ควรเอาอยา่ ง ทำ� ใหร้ ะลึกและกล่าวอา้ งถงึ ด้วยความซาบซงึ้ ใจ
Research in Educational Administration • 535 4) เปน็ ผู้รจู้ กั พูด (วัตตา จ) คือ เปน็ ผูร้ จู้ กั พูดใหไ้ ด้ผล มีเหตผุ ลและหลักการ รู้จักช้ีแจงให้เข้าใจ รู้ว่าเม่ือไรควรพูดอะไรอย่างไร คอยให้ค�ำแนะน�ำว่ากล่าวตักเตือน และเป็นท่ี ปรึกษาที่ดี 5) เป็นผู้อดทนต่อถ้อยค�ำ (วจนักขโม) คือ เป็นผู้อดทนต่อค�ำพูดของผู้อื่น พร้อมท่ีจะรับฟังค�ำปรึกษาซักถาม ค�ำเสนอแนะ ค�ำวิพากษ์วิจารณ์ ฟังได้ไม่เบื่อ และไม่แสดง อารมณ์ฉนุ เฉยี ว 6) เป็นผูแ้ ถลงเร่อื งท่ลี ึกซ้ึงได้ (คัมภรี ัญจ กถัง กัตตา) คือ เป็นผสู้ ามารถแถลง หรอื อธบิ ายชแ้ี จงเรอ่ื งทล่ี กึ ซง้ึ หรอื เรอ่ื งทยี่ งุ่ ยากซบั ซอ้ นใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งถกู ตอ้ ง และตรงประเดน็ ได ้ 7) เป็นผู้ไม่ชักน�ำในอฐานะ (โน จัฏฐาเน นิโยชเย) คือ เป็นผู้ไม่ชักน�ำหรือ ชักจูงไปในทางเส่ือม (อบายมุข) หรือในทางที่เหลวไหล ไร้สาระ หรือท่ีเป็นโทษ เป็นความทุกข์ เดอื ดรอ้ น ผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ าร ควรประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั กลั ยาณมติ รธรรม ในการบริหารคน เพือ่ “การครองคน” ทีด่ ี คอื ตนเองปฏิบตั ติ ามหลักกลั ยาณมิตรธรรมกอ่ น เพื่อ เป็นต้นแบบที่ดี จากนั้น จึงเน้นการบริหารจัดการให้หมู่คณะหรือผู้ที่อยู่ร่วมกันเป็นผู้ประพฤติ ปฏบิ ตั ติ นใหเ้ ปน็ ผนู้ า่ รกั นา่ เคารพ นา่ ยกยอ่ งนบั ถอื เปน็ ผรู้ จู้ กั พดู อดทนตอ่ ถอ้ ยคำ� ของผอู้ น่ื อธบิ าย เรอื่ งทลี่ กึ ซง้ึ ซบั ซอ้ นได้ และไมช่ กั นำ� ผอู้ น่ื ไปในทางเสอ่ื มเสยี ซง่ึ หากผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� บรหิ าร จัดการคนได้เช่นนี้ ก็จะท�ำให้สามารถครองใจคนในสถานศึกษาหรือองค์การ และจะท�ำให้สถาน ศกึ ษาหรอื องคก์ ารมบี รรยากาศแหง่ ความมนี ำ�้ ใจ การชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั อยา่ งจรงิ ใจโดยไมห่ วงั สิง่ ใดตอบแทน และความเป็นมิตรหรือเป็นเพือ่ นทห่ี วงั ดกี นั ดว้ ยความจรงิ ใจ อันจะเปน็ ประโยชน์ ในการบรหิ ารและ/หรือน�ำสถานศกึ ษาหรือองคก์ ารได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 2.11 อปรหิ านยิ ธรรม (Aparihāniyadhamma: things leading never to decline but only to prosperity) คือ ธรรมอันไม่เป็นท่ีต้ังแห่งความเส่ือม หมายถึง หลักธรรมอันเป็นไปเพ่ือความ เจรญิ ฝา่ ยเดยี ว เปน็ หลกั ธรรมสำ� หรบั ใชใ้ นการบรหิ ารคนเพอ่ื ปอ้ งกนั มใิ หก้ ารบรหิ ารหมคู่ ณะเสอ่ื ม ถอย แต่กลบั เสรมิ ให้เจริญเพียงส่วนเดียว มี 7 ประการ ดงั น้ี (ท.ี ม. 10/68/86; อง.ฺ สตฺตก. 23/20/18) 1) หม่นั ประชุมกนั เนืองนิตย์ หมายถงึ การประชุมพบปะปรึกษาหารอื กจิ การ งานต่าง ๆ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ร่วมกัน โดยสมำ�่ เสมอ 2) พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุม และท�ำกิจกรรมร่วมกัน หมายถึง การพรอ้ มเพรยี งกนั ประชมุ การดำ� เนนิ การตามระเบยี บวาระการประชมุ รว่ มกนั และพรอ้ มเพรยี งกนั เลกิ ประชมุ 3) ไมบ่ ญั ญตั ิ หรอื ลม้ เลกิ ขอ้ บญั ญตั ติ า่ ง ๆ หมายถงึ การไมเ่ พกิ ถอน ไมเ่ พม่ิ เตมิ ไมล่ ะเมดิ หรอื วางขอ้ ก�ำหนดกฎเกณฑต์ า่ ง ๆ อันมไิ ด้ตกลงบัญญัติไว้ และไมเ่ หยยี บย่ำ� ลม้ ลา้ งสิง่ ที่ ตกลงวางบัญญัติไว้แลว้ ถือปฏบิ ัติม่ันอยใู่ นบทบญั ญตั ิใหญท่ ีว่ างไว้เป็นธรรมนญู 4) ให้ความเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ หมายถึง การให้เกียรติ ให้ความเคารพนับถือ และรับฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ท่ีมีประสบการณ์ยาวนานในฐานะท่ีเป็น
536 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา ผรู้ แู้ ละมีประสบการณ์มาก 5) ไม่ข่มเหงสตรี หมายถึง การให้เกียรติและการคุ้มครองสตรี โดยมิให้มี การกดขี่ข่มเหงรงั แก 6) เคารพบูชาสักการะเจดีย์ หมายถึง การให้ความเคารพบูชาต่อศาสนสถาน ปูชนยี สถาน อนสุ าวรียป์ ระจ�ำชาติ อันเปน็ เคร่อื งเตือนความจ�ำ ปลุกเร้าให้เราท�ำความดี และเปน็ ทร่ี วมใจของหมชู่ น ไมล่ ะเลยพธิ เี คารพบชู าอนั พงึ ทำ� ตอ่ อนสุ รณส์ ถานทสี่ ำ� คญั ตามประเพณที ด่ี งี าม 7) ให้การอารักขาพระภิกษุสงฆ์หรือผู้ทรงศีล หมายถึง การจัดการให้ความ อารักขา บำ� รุง คมุ้ ครอง อนั ชอบธรรม แกบ่ รรพชติ ผู้ทรงศีลทรงธรรมบริสทุ ธ์ ิ ซึง่ เปน็ หลักใจและ เปน็ ตัวอยา่ งทางศีลธรรมของประชาชน เตม็ ใจตอ้ นรบั และหวงั ให้ท่านอยู่โดยผาสกุ หลักอปรหิ านิยธรรม 7 ประการน้ี พระพทุ ธเจา้ ตรัสแสดงแก่เจ้าวชั ชีทัง้ หลายผ้ปู กครอง รฐั โดยระบอบสามคั คธี รรม (Republic) ซง่ึ รฐั คอู่ รยิ อมรบั วา่ เมอื่ ชาววชั ชยี งั ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมนี้ จะเอาชนะด้วยการรบไม่ได้ นอกจากจะใชก้ ารเกลี้ยกลอ่ มหรือยุแยงให้แตกสามคั คี ผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ าร ควรประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั อปรหิ านยิ ธรรมใน การบรหิ ารคน เพอ่ื “การครองคน” ทดี่ ี คอื บริหารจัดการคนเพื่อป้องกันความเสอื่ มถอยในสถาน ศึกษา โดยหมั่นประชุม พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุม และท�ำกิจกรรมร่วมกัน ไม่บัญญัติ หรือล้มเลิกข้อบัญญัติต่าง ๆ ให้ความเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ เคารพบูชาหรือ สกั การะเจดยี ์ และใหก้ ารอารกั ขาพระภกิ ษสุ งฆห์ รอื ผทู้ รงศลี ซง่ึ หากผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� บรหิ าร จดั การคนไดเ้ ชน่ นี้ ก็จะท�ำใหส้ ามารถครองคนในสถานศึกษาหรือองคก์ าร กลา่ วคอื หมู่คณะหรือ ผู้ที่อยู่ร่วมกันมีหลักการร่วมรับผิดชอบท่ีจะช่วยป้องกันความเสื่อม และน�ำสถานศึกษาและ/หรือ องค์การไปสูค่ วามเจริญรุ่งเรอื ง 2.12 ทศพิธราชธรรม หรือ ราชธรรม 10 (Tasavidha-rājadhamma: virtues of the king or a ruler) คอื จรยิ วัตร 10 ประการท่ีพระเจ้าแผน่ ดนิ ทรงประพฤตเิ ป็นหลักธรรมประจ�ำพระองค์ หรอื เปน็ คณุ ธรรมประจำ� ตนของผปู้ กครองบา้ นเมอื งใหม้ คี วามเปน็ ไปโดยธรรมและยงั ประโยชนส์ ขุ ให้เกิดแกป่ ระชาชนจนเกิดความช่ืนชมยนิ ดี ซ่ึงความจรงิ แลว้ หลัก “ทศพธิ ราชธรรม” มไิ ดจ้ �ำเพาะ เจาะจงส�ำหรับพระเจ้าแผน่ ดินหรอื ผ้ปู กครองแผ่นดินเท่าน้นั บุคคลธรรมดาทเ่ี ป็นผปู้ กครองหรือ ผบู้ รหิ ารระดบั สงู ในทกุ องคก์ ารกส็ ามารถประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั ทศพธิ ราชธรรมได้ รายละเอยี ดของหลกั ทศพธิ ราชธรรม 10 ประการ มีดงั นี้ (ขุ.ชา. 28/240/86) 1) ทาน (ทานะ) คอื การให้ หมายถงึ การแบง่ ปนั ทรัพย์สิง่ ของแก่ผู้ใตป้ กครอง หรอื ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา ชว่ ยเหลอื ผใู้ ตป้ กครองหรอื ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา และการบำ� เพญ็ ประโยชนต์ า่ ง ๆ 2) ศีล (สีละ) คอื ความประพฤตดิ ที างกาย วาจา หมายถึง การประกอบสุจริต การรักษากิตติคุณให้เป็นตัวอย่างที่ดี และการปฏิบัติตนเป็นท่ีเคารพนับถือของผู้ใต้ปกครองหรือ ผใู้ ต้บังคับบัญชา 3) บรจิ าค (ปรจิ จาคะ) คอื การเสยี สละ หมายถงึ การเสยี สละตง้ั แตส่ งิ่ ของหรอื ความสุขเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ เชน่ ทรพั ย์สนิ ความสุขสว่ นตัว ฯลฯ ตลอดจนชีวติ ของตน เพือ่ ประโยชน์ สขุ ของผู้ใตป้ กครองหรอื ผู้ใตบ้ งั คับบัญชา
Research in Educational Administration • 537 4) ความซ่ือตรง (อาชชวะ) คือ ความซ่ือตรงทรงสัตย์ไร้มารยา หมายถึง การปฏิบัติกิจโดยสุจริตต่อหน้าท่ีการงานของตน ต่อมิตรสหาย ต่อองค์กรหรือหลักการของตน และไมห่ ลอกลวงผูใ้ ต้ปกครองหรอื ผู้ใตบ้ งั คบั บญั ชา 5) ความอ่อนโยน (มัททวะ) หมายถึง การมีอัธยาศัยอ่อนโยน มีท่าทีอ่อน โยน ละมุนละม่อม ไมถ่ ือตวั รับฟงั ความคิดเหน็ ของผูอ้ ่นื ดว้ ยความต้งั ใจถถ่ี ้วน ถา้ ดกี ค็ วรยินดีและ ปฏบิ ตั ิตาม และควรมีความออ่ นนอ้ มตอ่ ท่านผ้เู จริญโดยวัยและคุณความดี 6) ความเพยี ร (ตปะ) คอื ความขยนั หมน่ั เพยี ร เปน็ ความขยนั หมนั่ เพยี รในการ ท�ำกิจหน้าท่ีให้สมบูรณ์ ระมัดระวังกิเลสตัณหามิให้เข้ามาครอบง�ำย�่ำยีใจ ระงับยับย้ังข่มใจได้ ไม่ หลงใหลหมกมนุ่ ในความสุขส�ำราญและความปรนเปรอ 7) ความไมโ่ กรธ (อักโกธะ) คอื การไม่แสดงอาการโกรธ หมายถงึ การไมก่ ริว้ กราด ไม่ลุอ�ำนาจแห่งความโกรธจนเป็นเหตุให้วินิจฉัยสั่งการผิดพลาด เสียธรรม หรือเสียความ ยตุ ธิ รรม เปน็ ผมู้ เี มตตาประจำ� ใจไวร้ ะงบั ความโกรธหรอื ความขนุ่ เคอื ง วนิ จิ ฉยั หรอื สง่ั การดว้ ยจติ ใจ มธี รรมและเปน็ ของตัวเอง 8) ความไมเ่ บยี ดเบยี น (อวหิ งิ สา) หมายถงึ การไมบ่ บี คน้ั กดขี่ เปน็ การปกครอง หรือบริหารโดยไม่เน้นประโยชน์ส่วนตนเป็นหลักจนน�ำไปสู่การเบียดเบียนผู้ใต้ปกครองหรือ ผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช้ผู้ใต้ปกครองหรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ท�ำงานหนักเกินไป ไม่หลงระเริงใน อ�ำนาจจนขาดความกรุณา ไมห่ าเหตุเบยี ดเบียนลงโทษเพราะความอาฆาตเกลยี ดชัง 9) ความอดทน (ขันติ) คือ ความอดทนต่องานท่ีตรากตร�ำ อดทนต่อความ ล�ำบากกายท่ีเหน็ดเหนื่อย อดทนโดยไม่ท้อถอย อดทนต่อค�ำเสียดสีถากถาง เป็นผู้สามารถรักษา ปกตภิ าวะของตนไวไ้ ด้ ไมว่ า่ จะถกู กระทบกระทงั่ ดว้ ยสงิ่ อนั เปน็ ทพี่ งึ ปรารถนาหรอื ไมพ่ งึ ปรารถนา ก็ตาม มคี วามมนั่ คงหนกั แนน่ ไม่หว่ันไหว 10) ความเท่ียงธรรม (อวิโรธนะ) คือ ความไม่คลาดธรรม หมายถึง ความ หนักแน่น โดยเป็นผู้ถือความถูกต้องหรือความเที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่มีความเอนเอียงหวั่นไหว เพราะถอ้ ยคำ� ทด่ี ีรา้ ย ลาภสักการะ หรืออฏิ ฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ใด ๆ ผบู้ ริหารและ/หรอื ผนู้ �ำสถานศึกษาหรอื องคก์ าร ควรประยุกต์ใชห้ ลักทศพิธราชธรรม ในการบริหารคน เพื่อ “การครองคน” ที่ดี คือ ตนเองปฏิบัติตามหลักทศพิธราชธรรมก่อน เพ่ือ เป็นต้นแบบที่ดี จากนั้น จึงเน้นการบริหารจัดการให้หมู่คณะหรือผู้ท่ีอยู่ร่วมกันเป็นผู้ประพฤติ ปฏิบัติตนเป็นผู้ให้ รู้จักแบ่งปัน มีความประพฤติดี เสียสละ มีความซื่อตรงทรงสัตย์ มีอัธยาศัย อ่อนโยน มคี วามขยนั หม่ันเพยี รในการทำ� หน้าที่ท่ีรับผิดชอบ ไมล่ ุอำ� นาจแหง่ ความโกรธ ไมบ่ ีบค้นั กดขี่ต่อกัน มีความอดทนต่องาน และมีความหนักแน่นเท่ียงธรรมเป็นหลักโดยไม่มีความ เอนเอยี งหว่นั ซงึ่ หากผบู้ รหิ ารและ/หรือผนู้ ำ� บริหารจัดการคนไดเ้ ชน่ นี้ ก็จะท�ำใหส้ ามารถครองใจ คนในสถานศกึ ษาหรือองคก์ าร และจะทำ� ให้สถานศกึ ษาหรอื องคก์ ารมีบรรยากาศแห่งการบรหิ าร จัดการที่เป็นธรรมในภาพรวม จะยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่บุคลากรหรือผู้ใต้บังคับบัญชาจนเกิด ความชื่นชมยินดี และจะเป็นผลดีในการขับเคลื่อนสถานศึกษาหรือองค์การให้บรรลุผลส�ำเร็จ ตามเป้าหมายได้
538 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 2.13 จักรวรรดิวัตร (Cakkavatti-vatta: duties of a universal king or a great ruler) คือ ธรรมอันเป็นพระราชจริยานุวัตร ส�ำหรับพระมหาจักรพรรดิ และพระราชาเอกในโลก ท้ังน้ี พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ปกครองประชาชนทรงถือและอาศัยธรรมข้อน้ีร่วมกับทศพิธราชธรรม 10 และราชสังคหะ 4 สำ� หรับการด�ำเนนิ กุศโลบายและวเิ ทโศบาย พระเจ้าจักรพรรดิ คือ พระราชาผู้มีบุญญาธิการ ทรงเป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา จัดเป็นหน่ึงในสี่ของบุคคลที่ควรบชู าและหาไดย้ ากยงิ่ ในโลก คือ พระพทุ ธเจ้า พระปัจเจกพทุ ธเจา้ พระอรหันต์ และพระเจ้าจักรพรรดิ การที่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้น ไม่ใช่ได้มาด้วยตระกูล ไมไ่ ด้มาดว้ ยอำ� นาจ และไม่ได้มาดว้ ยกำ� ลงั แต่ไดม้ าด้วยบญุ บารมที ี่สร้างสมไว้อยา่ งเพยี งพอในอดตี ทรงรักษาทศพิธราชธรรมในปัจจุบัน และสามารถรักษาจักรวรรดิวัตรอันเป็นวัตรปฏิบัติส�ำหรับ พระเจ้าจักรพรรดิโดยเฉพาะได้สมบรู ณ์ ธรรมอนั เปน็ พระราชจริยานุวตั ร สำ� หรับพระมหาจักรพรรดิดังกล่าวข้างตน้ น้นั มีหลัก ปฏบิ ตั ิ 12 ประการ ดงั นี้ (ที.ปา. 11/35/65) 1) ธรรมาธปิ ไตย คอื ถอื ธรรมเปน็ ใหญ่ หมายถงึ การทพี่ ระเจา้ จกั รพรรดทิ รง เคารพนับถือบชู าธรรมโดยปฏบิ ตั ิตามธรรม ยดึ ธรรมเปน็ หลัก เปน็ ธงชยั ในการปกครองบ้านเมือง ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การท่ีผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษา ประพฤตปิ ฏบิ ตั ดิ ี ถกู ตอ้ งตามธรรม ยดึ ถอื ธรรมเปน็ หลกั ใหญ่ และยดึ ถอื ระเบยี บวนิ ยั กฎ ขอ้ บงั คบั และกฎหมายที่เกย่ี วขอ้ ง เป็นหลกั ในการบรหิ ารและ/หรอื การนำ� สถานศกึ ษา 2) อันโตชน คือ ชนภายใน หมายถึง การท่ีพระเจ้าจักรพรรดิทรงให้ความ คุ้มครองดูแลคนในปกครองส่วนพระองค์ ต้ังแต่พระมเหสี โอรส ธิดา จนถึงผู้ปฏิบัติราชการใน พระองค์ท้ังหมด ด้วยให้การบ�ำรุงเล้ียงดู อบรมส่ังสอน ฯลฯ ให้อยู่โดยเรียบร้อย สงบสุข และมี ความเคารพนบั ถือกัน ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การท่ีผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษา อนุเคราะห์บคุ ลากรในสถานศกึ ษา ใหม้ คี วามสขุ ไมป่ ลอ่ ยปละละเลย ดูแลทกุ ข์สขุ ความเปน็ อยู่ จดั สวสั ดกิ ารให้ ใหก้ ารอบรมสงั่ สอน สนบั สนนุ ใหม้ กี ารพฒั นาตนเอง เชน่ จดั ใหม้ โี ครงการอบรม ความรใู้ หม่ ใหท้ นุ การศึกษาต่อ ฯลฯ 3) พลกาย คอื กองทัพ หมายถงึ การทีพ่ ระเจ้าจักรพรรดทิ รงให้ความคุม้ ครอง ดแู ลปวงเสนาข้าทหาร และขา้ ราชการฝ่ายทหาร ในทางบรหิ ารการศกึ ษา หมายถึง การที่ผู้บริหารและ/หรอื ผู้นำ� สถานศกึ ษาให้ ความคมุ้ ครองดแู ลบคุ ลากรฝา่ ยปกครอง ฝา่ ยบรหิ าร และฝา่ ยอน่ื ๆ ทท่ี ำ� หนา้ ทป่ี กปอ้ งชอื่ เสยี ง และ เกียรตภิ มู ขิ องสถานศกึ ษา 4) ขตั ติยะ คือ กษตั รยิ ท์ ้ังหลาย หมายถงึ การทพี่ ระเจา้ จกั รพรรดทิ รงใหค้ วาม คมุ้ ครองดแู ลผอู้ ย่ใู นพระบรมเดชานภุ าพ และเจ้าเมอื งขนึ้ ในทางบรหิ ารการศึกษา หมายถงึ การทผี่ ู้บริหารและ/หรอื ผูน้ ำ� สถานศกึ ษาให้ ความคมุ้ ครองดแู ลผบู้ รหิ ารระดบั สงู ในสถานศกึ ษา รวมทง้ั ผบู้ รหิ ารฝา่ ยปกครองนกั เรยี น ตลอดถงึ การสรา้ งเครือข่ายหรอื ผกู ไมตรีกบั ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาในประเทศและตา่ งประเทศ
Research in Educational Administration • 539 5) อนุยนต์ คือ ผู้ตามเสด็จ หมายถึง การที่พระเจ้าจักรพรรดิทรงให้ความ คุ้มครองดูแลหรอื อนุเคราะห์ราชบริพารทง้ั หลาย และพระราชวงศานุวงศ์ ในทางบริหารการศึกษา หมายถงึ การท่ีผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ �ำสถานศกึ ษาให้ ความคุ้มครองดแู ลหรอื อนุเคราะหค์ รแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาในสถานศกึ ษา 6) พราหมณคฤหบดี คือ ผู้เป็นพราหมณ์และคหบดี หมายถึง การท่ีพระเจ้า จักรพรรดทิ รงใหค้ วามค้มุ ครองดูแลหรอื เกอ้ื กลู แกช่ นเจา้ พิธี เจ้าต�ำรา พ่อค้า เจา้ ไรเ่ จา้ นา ในทางบริหารการศกึ ษา หมายถึง การทผี่ ู้บรหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สถานศกึ ษาให้ ความคมุ้ ครองดูแลหรือสนบั สนนุ ครู คณาจารย์ นกั วิจยั เจา้ หน้าท่ี หรือบุคลกรทางการศึกษา ให้มี การพัฒนาตนเอง รวมทงั้ ให้บริการทางวชิ าการหรือวิชาชพี แกส่ งั คมในบรบิ ทแวดล้อมของสถาน ศึกษา เพ่ือให้สังคมหรือชุมชนมีการพัฒนาตนเองและเป็นสังคมหรือชุมชนท่ีเข้มแข็งทางด้าน เศรษฐกิจ ดา้ นสุขภาพอนามัย ฯลฯ 7) เนคมชานบท คือ ชาวนิคมชนบท หมายถึง การที่พระเจ้าจักรพรรดิทรง ให้ความคุ้มครองดูแลหรืออนุเคราะห์ประชาชนในชนบท ราษฎรทั้งปวงทุกท้องถิ่น ตลอดถึง ชายแดนทั่วไป โดยไม่ทอดทิง้ ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การที่ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาให้ ความคมุ้ ครองดแู ลชว่ ยเหลอื หรอื สงเคราะหส์ ถานศกึ ษาทเี่ ปน็ เครอื ขา่ ย หรอื อยใู่ นขา่ ยทต่ี อ้ งไดร้ บั การพัฒนาทางดา้ นวชิ าการ ดา้ นการบรหิ ารงานบคุ คล ฯลฯ 8) สมณพราหมณ์ คือ ผ้เู ปน็ สมณพราหมณ์ หมายถึง การที่พระเจา้ จักรพรรดิ ทรงให้ความคุ้มครองดแู ลพระสงฆ์และบรรพชติ ผู้ทรงศลี ทรงคณุ ธรรม ในทางบริหารการศกึ ษา หมายถึง การท่ผี ู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศกึ ษา ให้ ความคุ้มครองดูแลพระสงฆ์และบรรพชิตผู้ทรงศีลทรงคุณธรรม เข้าใกล้พระสงฆ์และบรรพชิต เพ่ือศึกษาเรื่องบุญและบาป ความดี และความชั่วให้เข้าใจชัดเจน อีกทั้งเพื่อการประสานความ ร่วมมือในด้านต่าง ๆ ระหว่างสถานศึกษากับวัดหรือพระสงฆ์ อันจะเป็นประโยชน์อย่างย่ิงใน การระดมทนุ หรือทรพั ยากรทางการศกึ ษา 9) มิคปักษี คอื มฤคและปกั ษี หมายถงึ การที่พระเจ้าจักรพรรดทิ รงใหค้ วาม คมุ้ ครองดูแลหรือรกั ษาฝูงเน้อื นก และสตั วท์ ้งั หลายมิใหส้ ญู พันธ์ุ รวมท้ังสตั ว์สงวนทัง้ หลาย ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การที่ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษา ให้ความคุ้มครองดูแลด้านสวัสดิการส�ำหรับบุคลากรเพ่ือดูแลสุขภาพอนามัย หรือรักษาธ�ำรงไว้ ซ่ึงบุคลากรที่มีคุณสมบัติสูง หาได้ยากในสถานศึกษา รวมท้ังสนับสนุนให้มีการจัดการ ความรู้ (Knowledge management)ในองค์กรเพื่อมิให้ความรู้โดยเฉพาะท่ีเป็นความรู้ท่ีซ่อนเร้น (Tacit knowledge) อยูใ่ นตัวของบุคคลสญู หายไปจากองคก์ ร 10) อธรรมการนิเสธนา คือ การปกป้องการกระท�ำอันเป็นอธรรม หมายถึง การจัดการป้องกันมิให้มีการกระท�ำความผิดความชั่วร้ายเดือดร้อนเกิดขึ้นในพระราชอาณาเขต หรอื ในบา้ นเมอื ง
540 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การท่ีผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษา ห้ามผู้มสี ่วนได้ส่วนเสียทั้งหลาย เชน่ ผูเ้ รยี น ผปู้ กครอง ครู ฯลฯ และบุคลลทั้งหลายอน่ื ๆ มใิ หม้ ี การประพฤติผดิ ศลี ธรรมขึ้นในสถานศึกษา เช่น ดม่ื สรุ า ทะเลาะวิวาท เสพยาบา้ คา้ ขายยาบา้ ฯลฯ และเปน็ ผู้ชกั น�ำผู้อนื่ ด้วยการประพฤติตนใหเ้ ปน็ แบบอยา่ งทด่ี ี 11) ธนานุประทาน คือ การแบ่งปันทรัพย์ หมายถึง การแบ่งปันทรัพย์ให้ แก่ชนผ้ไู รท้ รัพย์ เพอื่ มิให้มคี นขัดสน หรือยากไร้ ในแวน่ แคว้นหรอื ในบา้ นเมอื ง ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การที่ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษา ให้การดูแลบุคลากรที่มีฐานะล�ำบาก รายได้น้อย และผู้เรียนท่ีขัดสนด้านทุนทรัพย์แต่เรียนดี มีความประพฤติตัวดี ขยันหมั่นเพียร ด้วยการส่งเสริมให้บุคลากรดังกล่าวมีอาชีพเสริม และ สนับสนุนผู้เรียนที่ขัดสนด้านปัจจัยหรือด้านทุนทรัพย์ตามความเหมาะสม ทั้งนี้เพื่อให้สามารถ ดำ� รงชพี หรอื ศกึ ษาเลา่ เรยี นไดโ้ ดยไมต่ อ้ งเดอื ดรอ้ นและเพอ่ื ปอ้ งกนั มใิ หป้ ระกอบการทจุ รติ อนั เปน็ การสรา้ งความเดือนร้อนขึ้นในสถานศึกษาหรือในสงั คม 12) ปริปุจฉา คือ การสอบถามปัญหา หมายถึง การปรึกษาสอบถามปัญหา กับสมณพราหมณ์ ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ผู้ไม่ประมาทมัวเมา ตามกาลเวลาอันควร เพื่อให้ รู้ชัดเกี่ยวกับส่ิงท่ีดีหรือชั่ว ควรท�ำหรือไม่ควรท�ำ เป็นไปเพ่ือประโยชน์สุขหรือไม่อย่างไร แลว้ ประพฤติปฏบิ ัติใหเ้ ป็นไปในทางท่ถี ูกต้อง ในทางบรหิ ารการศกึ ษา หมายถงึ การทผ่ี บู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สถานศกึ ษารจู้ กั ปรึกษาสอบถามหรือสัมภาษณ์นักปราชญ์ นักวิชาการ ผู้เช่ียวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ทรงคุณธรรม หรอื ทา่ นผู้ร้ผู ูท้ รงภมู ปิ ัญญา เพอ่ื ให้ไดข้ อ้ มูล หรือความรูค้ วามเข้าใจทีช่ ดั เจน อันจะเป็นประโยชน์ ต่อการนำ� มาประยุกตใ์ ช้ในการบริหารสถานศึกษาไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ ผ้บู รหิ ารและ/หรือผู้นำ� สถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกตใ์ ช้หลักจกั รวรรดิ วัตรในการบริหารคน เพ่ือ “การครองคน” ที่ดี คือ ตนเองปฏิบัติตามหลักจักรวรรดิวัตรก่อน เพ่ือเป็นต้นแบบที่ดี จากน้ัน จึงเน้นการบริหารจัดการให้หมู่คณะหรือผู้ท่ีอยู่ร่วมกันเป็นผู้ปฏิบัติ หนา้ ทกี่ ารงานทรี่ บั ผดิ ชอบโดยการถอื ธรรมหรอื ความถกู ตอ้ งเปน็ หลกั ดแู ลทกุ ขส์ ขุ และความเปน็ อยู่ซ่ึงกันและกัน ปกป้องชื่อเสียงและเกียรติภูมิของสถานศึกษา สร้างเครือข่ายหรือผูกไมตรีกับ ผู้บริหารสถานศึกษาในประเทศและต่างประเทศ คุ้มครองและอนุเคราะห์ซ่ึงกันและกัน สนับสนุนครู คณาจารย์ นักวิจัย เจ้าหน้าท่ี หรือบุคลากรทางการศึกษาให้มีการพัฒนาตนเอง สงเคราะห์สถานศึกษาอื่นที่เป็นเครือข่ายให้ได้รับการพัฒนา เข้าใกล้พระสงฆ์และบรรพชิต เพ่ือศึกษาเร่ืองบุญและบาป ความดีและความชั่วให้เข้าใจชัดเจน คุ้มครองดูแลด้านสวัสดิการ ส�ำหรับบุคลากรเพื่อดูแลสุขภาพอนามัยรวมท้ังสนับสนุนให้มีการจัดการความรู้ในองค์กรเพื่อ มิให้ความรู้โดยเฉพาะท่ีเป็นความรู้ท่ีซ่อนเร้นอยู่ในตัวของบุคคลสูญหายไปจากองค์กร ป้องกัน มิให้มีการประพฤติผิดศีลธรรมขึ้นในสถานศึกษา ดูแลบุคลากรที่มีฐานะล�ำบาก รายได้น้อย และผู้เรียนที่ขัดสนด้านทุนทรัพย์แต่เรียนดี และให้รู้จักปรึกษาสอบถามนักปราชญ์ นักวิชาการ ผเู้ ชยี่ วชาญ ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ ผทู้ รงคณุ ธรรม หรอื ทา่ นผรู้ ผู้ ทู้ รงภมู ปิ ญั ญา ซงึ่ หากผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� บรหิ ารจัดการคนไดเ้ ชน่ นี้ ก็จะท�ำใหส้ ามารถครองใจคนในสถานศึกษาหรือองค์การ และจะทำ� ให้
Research in Educational Administration • 541 สถานศกึ ษาหรอื องคก์ ารมบี รรยากาศแหง่ การบรหิ ารจดั การทเี่ ปน็ ธรรมในภาพรวม จะยงั ประโยชน์ สขุ ใหเ้ กดิ แกบ่ คุ ลากรหรอื ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาจนเกดิ ความชนื่ ชมยนิ ดีและจะเปน็ ผลดใี นการขบั เคลอ่ื น สถานศกึ ษาหรอื องคก์ ารใหบ้ รรลุผลสำ� เร็จตามเป้าหมายได้ 3. หมวดหลกั ธรรมเพอื่ “การครองงาน” ผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� ทางการศกึ ษา นอกเหนอื จากการตอ้ งบรหิ ารตนเพอ่ื การครองตน และบรหิ ารคนเพอื่ การครองคนแลว้ จำ� เปน็ จะตอ้ งรจู้ กั บรหิ ารงานเพอื่ การครองงานใหป้ ระสบความ ส�ำเร็จบรรลุตามวัตถุประสงค์ของสถานศึกษาหรือองค์การด้วย โดยยึดถือแนวคิดการบริหารงาน แบบเดมิ คอื ยดึ ถอื งานเป็นหลกั (Put the right man on the right job) โดยการจัดหาคนที่เหมาะสม กับงานในสถานศกึ ษาหรือองคก์ าร หมายความว่า มงี านหรอื ต�ำแหน่งงานอยแู่ ลว้ จึงไปหาคนทมี่ ี คณุ สมบตั เิ หมาะสมมาทำ� เพอื่ ใหง้ านมคี วามกา้ วหนา้ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและเกดิ ประสทิ ธผิ ล แต่ ถา้ เรามคี นเกง่ และดอี ยแู่ ลว้ และไมอ่ ยากเสยี เขาไปใหก้ บั สถานศกึ ษาหรอื องคก์ ารอน่ื ผบู้ รหิ ารควร จะหันมาพจิ ารณาแนวคดิ การบริหารงานแบบใหม่ คือ ยึดถือคนเป็นหลัก (Put the right job on the right man) โดยการหางานท่เี หมาะสมใหก้ ับคนเก่ง ๆได้ทำ� ใหม้ ากขนึ้ เชน่ มคี นบางคนท�ำงานใน ตำ� แหนง่ งานทร่ี บั เขา้ มาดี แตเ่ ขาเปน็ คนทคี่ ดิ อะไรแปลกอยเู่ รอ่ื ย ๆ คดิ ไมเ่ หมอื นคนอน่ื แตง่ านทที่ ำ� อยไู่ มจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งคดิ อะไรใหม่องคก์ ารอาจจะพจิ ารณาหางานทเ่ี หมาะสมกบั ความสามารถใหเ้ ขาดว้ ย แนวทางตา่ ง ๆ เชน่ ทำ� งานในตำ� แหนง่ เดมิ แตเ่ พม่ิ งานดา้ นการพฒั นาทางความคดิ สรา้ งสรรคใ์ หเ้ ขา ดว้ ยหรอื สรา้ งงาน(ตำ� แหนง่ )ใหม่ทเ่ี กย่ี วกบั ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละยา้ ยเขาไปทำ� งานนนั้ แทนฯลฯ ในมติ ทิ างดา้ นพระพทุ ธศาสนา มหี ลกั ธรรมจำ� นวนมากทผี่ บู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สามารถ นำ� มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการบรหิ ารงานหรอื การนำ� องคก์ ารเพอื่ การครองงานซงึ่ ในการบรหิ ารและ/หรอื การน�ำเพอื่ การครองงานนน้ั มคี วามเก่ยี วขอ้ งกบั การบรหิ ารงานและ/หรอื การน�ำเพือ่ การครองตน และการครองคนในสถานศกึ ษาหรือองคก์ ารโดยไมอ่ าจแยกออกจากกนั ไดอ้ ย่างเดด็ ขาด ในทีน่ ้ี จะ น�ำเสนอหลักธรรม ซึ่งอาจเรียกวา่ “หมวดหลกั ธรรมเพื่อการครองงาน” ดังแสดงในตารางท่ี 16.7 ตารางท่ี 16.7 หมวดหลกั ธรรมเพือ่ “การครองงาน” 3. หมวดหลักธรรมเพอ่ื “การครองงาน” 3.1 อธิปไตย 3 3.6 ราชสังคหวตั ถุ 4 3.2 อิทธิบาท 4 3.7 เวสารชั ชกรณธรรม 5 3.3 (เวน้ ) อคติ 4 3.8 พละ 5 3.4 พรหมวหิ าร 4 3.9 ทศพิธราชธรรม 10 3.5 สงั คหวตั ถุ 4 3.10 จกั รวรรดวิ ตั ร 12 จากตารางท่ี 16.7 หมวดหลกั ธรรมเพอื่ “การครองงาน” เปน็ หมวดหลกั ธรรมทผี่ บู้ รหิ าร และ/หรือผู้น�ำที่ดีจะต้องประพฤติปฏิบัติโดยการน�ำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารงานหรือการน�ำ
542 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา องค์การให้ประสบความส�ำเร็จบรรลุตามวัตถุประสงค์ขององค์การ หมวดหลักธรรมดังกล่าว มี 10 ประการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 3.1 อธิปไตย (Adhipateyya: supremacy) คือ หลกั ความเป็นใหญ่ หมายถงึ หลักการ ปกครอง หรืออ�ำนาจท่ีมีผลต่อการตัดสินใจ มีหลักปฏิบัติ 3 ประการ ดังน้ี (ที.ปา. 11/228/231; องฺ.ตกิ . 20/479/186) 1) อัตตาธิปไตย คือ ถือตนเป็นใหญ่ หมายถึง หลักการปกครองท่ียึดถือ ความเห็นของคน ๆ เดยี ว คนกลมุ่ เดยี ว หรอื ถอื ตามเสียงขา้ งน้อย ในลักษณะเผด็จการ 2) โลกาธิปไตย คือ ถือโลกเป็นใหญ่ หมายถึง หลักการปกครองที่ถือความ คดิ เหน็ ของคนหมมู่ ากหรอื คนสว่ นใหญ่ โดยถอื หลกั การทเี่ นน้ สทิ ธิของปจั เจกชน 3) ธรรมาธิปไตย คือ ถือธรรมเป็นใหญ่ หมายถึง หลักการปกครองที่ถือ ความคิดเห็นที่มีเหตุผลที่ถูกต้อง อันไม่ขัดต่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่สามารถรับรู้ได้ทั่วไป โดยถอื หลกั การท่ีเน้นสทิ ธสิ งั คม ในอธิปไตยนี้ ผู้ถืออัตตาธิปไตย พึงใช้สติให้มาก ผู้ถือโลกาธิปไตย พึงมีปัญญารู้จัก พินิจพิจารณา ผู้ถือธรรมาธิปไตย พึงประพฤติธรรม ผู้เป็นหัวหน้าและผู้เป็นนักปกครอง พึงถือ ธรรมาธปิ ไตย ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักอธิปไตยในการ บรหิ ารงาน เพ่ือ “การครองงาน” ที่ดี คือ หากถืออตั ตาธิปไตย พึงใช้สติให้มาก ถือโลกาธปิ ไตย พึงมีปัญญารู้จักพินิจพิจารณา ถือธรรมาธิปไตย พึงประพฤติธรรม อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารและ/ หรือผู้น�ำสถานศึกษาในฐานะเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้ปกครอง พึงถือธรรมาธิปไตย หรือเน้น การถือธรรมาธิปไตย เพราะจะเป็นต้นแบบทางด้านการปกครอง การบริหารและ/หรือการน�ำ สถานศึกษาหรือองคก์ าร ซึ่งจะท�ำให้ได้รบั ความรว่ มมือจากผทู้ ีอ่ ยู่รว่ มกนั ในการบริหารและ/หรอื การน�ำสถานศกึ ษาหรือองคก์ ารให้ประสบความส�ำเรจ็ 3.2 อิทธิบาท (Iddhipāda: path of accomplishment) คือ ฐานหรือทางสู่ความส�ำเร็จ หรือ ธรรมท่ีให้ถึงความส�ำเร็จ หมายถึง หลักธรรมที่ท�ำให้ผู้ปฏิบัติตามบรรลุผลส�ำเร็จในงาน ท่ไี ด้ทำ� หรอื รับผดิ ชอบ มีหลักปฏบิ ัติ 4 ประการ ดังนี้ (ที.ปา. 11/231/233; อภิ.ว.ิ 35/505/292) 1) ฉันทะ คือ ความพอใจ หมายถึง ความพอใจงาน ความชอบงาน หรอื ความ รักทจ่ี ะท�ำงานโดยใฝใ่ จรกั ทจ่ี ะท�ำงาน และปรารถนาจะท�ำงานใหไ้ ดผ้ ลส�ำเร็จ อันดับแรกต้องส�ำรวจตนเองว่า มีความชอบหรือรักงานด้านใด แล้วมุ่งไปใน เส้นทางน้ัน อาจเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการต้ังค�ำถามกับตัวเองว่า “ข้าพเจ้ารักงานน้ีหรือไม่ ข้าพเจ้า ท�ำงานเพ่ืออะไร ข้าพเจ้ามีความสุขหรือไม่หากงานท่ีท�ำอยู่ไม่ใช่งานท่ีข้าพเจ้ารัก” เผื่อจะได้มี เวลาค้นหาและปรับเปลีย่ นตวั เอง หรอื ปรบั ฉนั ทะของตัวเองใหเ้ ขา้ กบั งานที่ทำ� อยู่ 2) วิริยะ คือ ความเพียร หมายถึง ความขยันหม่ันเพียรในการท�ำงานด้วย ความพยายาม เขม้ แขง็ อดทน เอาธุระไมท่ ้อถอย งานทุกอย่างจะส�ำเร็จได้ต้องอาศัยวิริยะ คือ ความเพียร หรือความขยัน วิริยะ จึงเป็นเครื่องมืออีกอย่างหน่ึงท่ีจะน�ำไปสู่ความส�ำเร็จได้ ยิ่งขยันมากเท่าไรผลตอบแทนท่ีจะได้รับ
Research in Educational Administration • 543 มนั กม็ มี ากเท่าน้นั ทสี่ �ำคญั วริ ิยะจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความรกั ในงานท่ีเรียกว่าฉันทะนนั่ เอง 3) จิตตะ คือ ความคิด หมายถึง ความตั้งจิตรับรู้ในส่ิงท่ีท�ำและท�ำสิ่งน้ัน ดว้ ยความคดิ เอาจติ ฝักใฝ่ ไมป่ ลอ่ ยใจให้ฟุ้งซ่านเลอ่ื นลอยไป จิตใจที่จดจ่อกับงานล้วนเกิดผลดีต่องานท่ีท�ำ จิตตะเป็นธรรมะท่ีแสดงถึง สติ ความรอบคอบและความรับผิดชอบท่ีจะตามมา ซึ่งในสังคมการท�ำงานในปัจจุบันนี้ มุ่งเน้น แย่งชิงต�ำแหน่งกัน และขัดขากันจนลืมคิดไปว่า งานที่ตนเองต้องรับผิดชอบน้ันคือสิ่งใดกันแน่ จิตตะจึงมีความส�ำคัญในการท�ำงานโดยไม่วอกแวกออกไปนอกลู่นอกทาง ดังนั้น เม่ือผู้ท�ำงาน มีท้ังฉันทะและวิริยะแล้ว จิตตะจะเป็นเสมือนร้ัวของเส้นทางท่ีไม่ให้ไขว้เขวออกนอกทางสู่ ความส�ำเรจ็ ได้ 4) วมิ งั สา คอื ความไตรต่ รอง หมายถงึ ความหมนั่ ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาใครค่ รวญ ตรวจหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในส่ิงที่ท�ำน้ัน โดยมีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธี แกไ้ ขปรบั ปรงุ ฯลฯ วิมงั สา เป็นสดุ ยอดของวธิ ที �ำงานใหป้ ระสบความสำ� เร็จ เพราะเป็นการทำ� งาน ด้วยปัญญา ด้วยสมองคิด ไม่ใช่สักแต่ว่าท�ำ คนเราแม้จะรักงานแค่ไหน บากบ่ันเพียงใด และ เอาใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าขาดการใช้ปัญญาพิจารณางานด้วยแล้ว ผลที่สุดงานก็คั่งค้าง และผิดพลาดจนได้ อิทธิบาททั้งสี่ประการดังกล่าวข้างต้น เป็นหลักธรรมที่ใช้ในการท�ำงาน เป็นเรื่อง ง่าย ๆ ใกล้ตัว หากบุคคลน�ำหลักอิทธิบาทมาปรับใช้ในการท�ำงาน โดยรักงานท่ีท�ำ ขยันท�ำงาน รับผิดชอบงาน และรู้จักไตร่ตรองให้ถ่ีถ้วน ทางแห่งความส�ำเร็จในงานท่ีท�ำน้ัน ก็คงไม่ไกล เกินเอื้อม ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาทในการ บรหิ ารงาน เพือ่ “การครองงาน” ทดี่ ี คือ ตนเองปฏบิ ัติตามหลกั อทิ ธบิ าทกอ่ น เพ่อื เปน็ ต้นแบบท่ี ดี จากนน้ั จงึ เนน้ การบรหิ ารจดั การใหห้ มคู่ ณะหรอื ผทู้ อ่ี ยรู่ ว่ มกนั เปน็ ผปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นเปน็ ผเู้ รมิ่ ตน้ มฉี นั ทะ คอื ชอบหรือรกั ในงานทรี่ บั ผิดชอบหรือทต่ี อ้ งท�ำตามอ�ำนาจหน้าท่ี จากนั้นให้มวี ริ ยิ ะ คือ ความขยันหม่นั เพียร ถ้าลูกนอ้ งเป็นคนเกียจครา้ น คิดกินแรงเพ่ือร่วมงานอยา่ งเดียว งานการที่ รบั ผิดชอบอาจไมส่ ำ� เรจ็ ตอ่ มาให้มีจติ ตะ คือ ฝกึ ใหล้ กู น้องตรวจตรางานของตวั เอง ทั้งท่ที �ำแลว้ และยังไม่ได้ท�ำ ให้ใส่ใจกับงาน ไม่คิดเจ้ากี้เจ้าการแต่เร่ืองงานของคนอ่ืน คอยติ คอยสอดแทรก คอยวพิ ากษว์ จิ ารณ์ ในขณะท่ีธุระของตวั กลบั ไมค่ ดิ ไม่ดู และสุดทา้ ยใหม้ วี มิ งั สา คือ ฝกึ ให้ลกู นอ้ ง หมน่ั ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาใครค่ รวญ ตรวจหาเหตผุ ล และตรวจสอบงานทท่ี ำ� เพอ่ื ความสำ� เรจ็ ของงาน ตามวตั ถปุ ระสงคห์ รอื เปา้ หมายของสถานศกึ ษาหรอื องคก์ าร ซงึ่ หากผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� บรหิ าร จดั การงานไดเ้ ช่นนี้ กจ็ ะท�ำให้สามารถครองงานในสถานศกึ ษาหรือองคก์ าร ซึง่ จะเปน็ ผลดีในการ ขบั เคล่อื นสถานศึกษาหรือองค์การให้บรรลผุ ลสำ� เร็จตามเปา้ หมายได้ 3.3 (เว้น) อคติ (Agati: wrong course of behavior) ค�ำว่า อคติ แปลว่า ไม่ควรถึง หมายถงึ ความลำ� เอยี ง ซงึ่ เปน็ วถิ ที างทผี่ ดิ หรอื การดำ� เนนิ ไปในทางทผ่ี ดิ ไมค่ วรประพฤติ เปน็ สง่ิ ที่ ผู้เป็นใหญ่หรือผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง ผู้บริหาร หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรงดเว้น มีหลัก
544 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา ปฏบิ ัติ 4 ประการ ดังนี้ (ที.ปา. 11/176/196; 246/240; อง.ฺ จตกุ กฺ . 21/17/23) 1) ฉันทาคติ คือ ล�ำเอียงเพราะรัก การเป็นผู้บริหารหรือผู้น�ำท่ีดีนั้น ต้องไม่ ล�ำเอียงเพราะรัก ไม่ใช่ว่ารักลูกน้อง/ผู้ใต้บังคับบัญชาคนไหน ถูกใจคนไหนก็ให้ประโยชน์แก่ ลูกน้อง/ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นแค่คนเดียวเท่านั้น ตัวอย่างเช่น การพิจารณาขึ้นเงินเดือนของ พนักงานในองค์กร ผู้บริหารใช้อ�ำนาจในการพิจารณาให้พรรคพวกของตนมาก่อน โดยมิได้ค�ำนึง ถงึ ความถูกต้องตามกฎเกณฑ์ในการพจิ ารณาขน้ึ เงินเดอื น ดงั น้ัน ผ้บู ริหารทด่ี ตี ้องพิจารณาลกู นอ้ ง จากผลการปฏิบัติงาน และความประพฤตติ ามทเ่ี ปน็ จรงิ 2) โทสาคติ คือ ลำ� เอียงเพราะชงั การเป็นผบู้ ริหารและ/หรอื ผู้น�ำที่ดี นอกจาก ไม่ล�ำเอียงเพราะรักแล้ว ก็ต้องไม่ล�ำเอียงเพราะชัง ไม่ใช่ว่าเกลียดชังลูกน้อง/ผู้ใต้บังคับบัญชา คนใดแล้ว ก็ให้โทษแก่ลูกน้อง/ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้น ความจริงมนุษย์มีเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง เป็นธรรมดา แต่หากตัดสินใจเพียงเพราะความโกรธแล้ว ย่อมมีผลกระทบถึงผู้ท่ีท�ำการ ตัดสินใจได้ เช่น ผู้บริหารหรือผู้ปกครองท�ำการกลั่นแกล้งลูกน้อง/ผู้ใต้บังคับบัญชาท่ีตนไม่ชอบ เป็นการส่วนตัว เพียงเพราะมีความคิดเห็นไม่ตรงกับผู้บริหารหรือผู้ปกครองในท่ีประชุม เลย ท�ำให้มีอคติต่อกัน เมื่อถึงเวลาพิจารณาความดีความชอบ กลับมองข้ามไป ทั้งท่ีเป็นส่ิงที่ลูกน้อง/ ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้น้ันควรจะได้รับ หรือการตัดสินลงโทษฝ่ายที่ตนเองเกลียดชังหนักกว่าพรรค พวกของตน ดังนั้น การก้าวเข้าสู่การเป็นผู้บริหารหรือผู้ปกครอง ควรระมัดระวังในเร่ืองการใช้ อารมณ์ตอ้ งระงบั อารมณโ์ กรธหรอื อารมณไ์ มพ่ อใจใหไ้ ด ้ ตอ้ งพจิ ารณาลกู นอ้ ง/ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาจาก ผลการปฏิบัติงาน และความประพฤติตามท่เี ปน็ จริง 3) ภยาคติ คือ ล�ำเอียงเพราะกลัว การเป็นผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำที่ดี ต้อง ไม่ล�ำเอียงเพราะความกลัว เพราะถ้ากลัวแล้วจะท�ำให้เสียความยุติธรรมในการบริหารจัดการ เช่น กลัวอ�ำนาจคนท่ีมีต�ำแหน่งสูงกว่า กลัวถูกต�ำหนิ จึงไม่กล้ามอบหมายงานให้ลูกน้องท่ีเป็น ลกู หลานของผใู้ หญ/่ ผมู้ ชี อ่ื เสยี ง หรอื ใชร้ ะบบการปกครองลกู นอ้ งแบบเสรี ขาดการควบคมุ ในการ ท�ำงาน เพียงเพราะเกรงว่าลูกน้องจะไม่รัก หรือในกรณีที่ลูกน้องท�ำผิด ก็ไม่กล้าลงโทษเพราะ กลัวว่าภัยจะมาถึงตัวเอง ฯลฯ ดังน้ัน ในการบริหารคน ผู้บริหารต้องมีความกล้าหาญเด็ดเด่ียว ต้องเด็ดขาดในการตัดสินใจ ต้องกล้าทางจริยธรรม โดยไม่เกรงกลัวต่ออ�ำนาจอิทธิพล และต้อง ต้ังม่ันอยูใ่ นความถูกต้อง 4) โมหาคติ คอื ลำ� เอยี งเพราะหลง หมายถงึ ลำ� เอยี งเพราะไม่รู้ ไมเ่ ขา้ ใจ การ เปน็ ผบู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� ทด่ี ี ตอ้ งไมล่ ำ� เอยี งเพราะหลงหรอื ไมร่ ไู้ มเ่ ขา้ ใจ ตอ้ งหาขอ้ มลู ใหแ้ นน่ อน และแน่ชัดก่อนการตัดสนิ ใจให้คุณหรือให้โทษแกล่ ูกน้อง/ผ้ใู ต้บังคบั บญั ชา ไมค่ วรพิจารณาให้คณุ หรือให้โทษแก่คนในหน่วยงานในขณะท่ีข้อมูลยังไม่แน่ชัดเพราะจะเกิดการตัดสินใจท่ีผิดพลาด การไม่พิจารณาให้รอบคอบถ่ีถ้วนว่า สิ่งใดควร ส่ิงใดมิควร หลงไปตามข้อมูลที่ได้รับ เช่น ทันที ที่ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำคนใดได้รับข้อมูลในทางที่ไม่ดีของพนักงานในองค์กรจากค�ำพูดท่ีกล่าว อา้ งของบคุ คลทใ่ี กลช้ ดิ หรอื ผปู้ ระจบสอพลอ กห็ ลงเชอ่ื ในสง่ิ นนั้ และเรยี กพนกั งานผนู้ น้ั มาลงโทษ วา่ กลา่ วตกั เตอื น โดยมไิ ดม้ กี ารสอบสวนใหแ้ นช่ ดั ถงึ ความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู ถอื ไดว้ า่ ผบู้ รหิ าร/หรอื ผู้น�ำคนน้นั มีความลำ� เอยี ง โดยหลงไปตามค�ำพดู ทก่ี ล่าวอ้างแบบโมหาคติ
Research in Educational Administration • 545 ผู้บรหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ าร ควรประยกุ ตใ์ ช้หลกั (เว้น) อคตใิ นการ บรหิ ารงาน เพื่อ “การครองงาน” ทดี่ ี คอื ประพฤตปิ ฏิบตั ติ นตามหลกั (เวน้ ) อคติ ในการบรหิ าร งานตามอำ� นาจหนา้ ท่ี โดยเป็นผเู้ วน้ จากความลำ� เอียงทีเ่ กดิ จาก รกั โกรธ กลัว หลง เพราะตราบใด ทไี่ มส่ ามารถตดั ความรัก ความโกรธ ความกลัว และความหลง ให้สิน้ ไปได้ การตดั สนิ ใจใด ๆ ใน การปฏิบตั ิหนา้ ท่หี รือการบริหารจัดการสถานศกึ ษาหรอื องคก์ าร ก็ย่อมมอี คตทิ ้ังสิ้น ดังนน้ั การ ด�ำเนินการหรือการปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ในสถานศึกษาหรือองค์การ ต้องไม่ล�ำเอียง หรือปราศจาก อคติ หรือมีความยุติธรรม เพ่ือท่ีจะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ซ่ึงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ด้านการให้ความร่วมมือในการบริหารและ/หรือการน�ำสถานศึกษาหรือองค์การให้ประสบความ สำ� เร็จ 3.4 พรหมวิหาร (Brahmavihāra: holy abidings) คือ หลักธรรมประจ�ำใจเพื่อให้ตน ดำ� รงชวี ติ ไดอ้ ยา่ งประเสรฐิ และบรสิ ทุ ธเิ์ ฉกเชน่ พรหม เปน็ แนวธรรมปฏบิ ตั ขิ องผปู้ กครอง ผบู้ รหิ าร และผทู้ อ่ี ยรู่ ว่ มกบั ผอู้ น่ื มี 4 ประการ ดงั นี้ (ท.ี ม. 10/184/225; ท.ี ปา. 11/228/232; อภ.ิ ส.ํ 34/190/75) 1) เมตตา คือ ความรักใคร่ ปรารถนาดีต่อผู้อ่ืน อยากให้ผู้อื่นมีความสุข มีจติ อนั แผ่ไมตรีและคิดทำ� ประโยชน์แก่มนุษยส์ ัตวท์ ว่ั หนา้ 2) กรุณา คือ ความสงสาร คิดช่วยให้ผู้อ่ืนพ้นทุกข์ และใฝ่ใจในอันจะ ปลดเปลอื้ งบำ� บัดความทุกข์ยากเดือดรอ้ นของปวงสัตว์ 3) มุทิตา คือ ความยินดี มีความยินดีในเม่ือผู้อ่ืนอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใส บันเทิง ประกอบด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ด�ำรงอยู่อย่างปกติสุข และพลอยยินดดี ้วยเมื่อผู้อน่ื ได้ดีมสี ขุ และเจรญิ รุ่งเรืองยง่ิ ขน้ึ ไป 4) อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง อนั จะให้ด�ำรงอยใู่ นธรรมตามที่พิจารณา เห็นด้วยปญั ญา คอื มีจิตเรียบตรงเทย่ี งธรรมดุจตาช่งั ไม่เอนเอียงดว้ ยรักและชงั พจิ ารณาเหน็ กรรม ท่ีสัตว์ท้ังหลายได้กระท�ำแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุที่เขาได้กระท�ำแล้ว เป็นผู้ พร้อมท่ีจะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จักวางเฉยสงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจหน้าที่ ที่ควรท�ำ เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอัน สมควรกับความรับผิดชอบของตน ผูบ้ ริหารและ/หรอื ผนู้ �ำสถานศึกษาหรอื องคก์ าร ควรประยุกตใ์ ชห้ ลกั พรหมวหิ ารในการ บรหิ ารงาน เพอ่ื “การครองงาน” ทดี่ ี โดยเปน็ ผมู้ พี รหมวหิ ารเปน็ ธรรมะประจำ� ใจในการบรหิ ารงาน ในสถานศึกษาหรือองค์การ เช่น ผู้บริหารมีจิตใจท่ีมีเมตตาและกรุณาต่อบุคลากรภายในองค์การ คอื มคี วามปรารถนาใหบ้ คุ ลากรในองคก์ ารมคี วามสขุ และพน้ จากความทกุ ข์ ใหไ้ ดท้ ำ� งานในสภาพ ที่มีสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย และไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต โดยให้ความส�ำคัญกับการน�ำระบบการ จัดการด้านอาชีวอนามยั และความปลอดภัย และการจัดการดา้ นสิง่ แวดล้อมมาใช้ในองค์การอยา่ ง จริงจัง และไม่เห็นว่าเป็นค่าใช้จ่ายท่ีเป็นภาระขององค์การ ผู้บริหารมีมุทิตาจิต คือ ยินดีกับชีวิต ความเปน็ อยใู่ นสถานศกึ ษาทด่ี ขี นึ้ ของบคุ ลากร โดยไมม่ คี วามรสู้ กึ ทไ่ี มย่ นิ ดกี บั สง่ิ ดี ๆ ทบ่ี คุ ลากรใน สถานศกึ ษาจะไดร้ บั ผบู้ รหิ ารมอี เุ บกขา คอื มกี ารแสดงออกในลกั ษณะเปน็ กลางอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ได้แก่ 1) ไมม่ คี วามรษิ ยาต่อผอู้ นื่ ทไี่ ด้รับความสขุ 2) มคี วามเปน็ ธรรมและความเสมอภาคต่อผอู้ ่นื
546 • การวิจัยทางการบริหารการศกึ ษา 3) มีจิตใจสงบไม่โต้ตอบต่อส่ิงเร้าด้วยกายหรือวาจา 4) ให้ความเคารพต่อความคิดและการแสดง ออกของผ้อู ่ืน และ 5) ยอมรับในผลแห่งการกระท�ำที่ทำ� ใหเ้ กิดขน้ึ ดว้ ยตนหรอื ผอู้ น่ื หากผู้บริหาร และ/หรอื ผนู้ ำ� ปฏบิ ตั ไิ ดเ้ ชน่ นี้ จะเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ ดา้ นการใหค้ วามรว่ มมอื ในการบรหิ ารและ/ หรือการนำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ ารให้ประสบความส�ำเร็จ 3.5 สังคหวัตถุ (Saṅgahavatthu: bases of sympathy) คือ ธรรมอันเป็นท่ีต้ังแห่ง การสงเคราะห์กัน หรือหลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้�ำใจกัน หมายถึง หลักการครองใจคน ซ่ึงเป็นเครื่องประสานใจคนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ และท�ำให้อยู่ร่วมกันด้วยความรักความ ปรารถนาดีต่อกัน เปรียบเสมือนลิ่มสลักของรถที่ตรึงตัวรถไว้มิให้ชิ้นส่วนกระจัดกระจายไป และทำ� ใหร้ ถแลน่ ไปไดด้ ว้ ยดี โดยมหี ลกั ในการปฏบิ ตั ิ 4 ประการ ดงั น้ี (ท.ี ปา. 11/140/167; 267/244; องฺ.จตุกฺก. 21/32/42; 256/335; องฺ.อฏฺ ก. 23/114/222) 1) ทาน คอื การให้ หมายถงึ การแบง่ ปนั เพอื่ ประโยชนแ์ กค่ นอนื่ เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ิ ท่ชี ว่ ยปลกู ฝังให้เป็นคนที่ไมเ่ หน็ แก่ตวั และแบง่ ปนั กัน (แบง่ ปันไปมา) 2) ปิยวาจา คือ วาจาอันเป็นที่รัก หมายถึง การพูดจากับผู้อื่นด้วยถ้อย ค�ำไพเราะอ่อนหวาน และจริงใจ ไม่พูดหยาบคายก้าวร้าว แต่พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เหมาะกับ กาลเทศะ และพดู ดีตอ่ กัน (พูดจาจบั ใจ) 3) อตั ถจริยา คอื การประพฤติตนอันเป็นประโยชน์ หมายถึง การประพฤตติ น ให้เปน็ ประโยชนต์ อ่ ผอู้ น่ื โดยมกี ารชว่ ยเหลือกัน (ช่วยกจิ กันไป) 4) สมานัตตตา คือ ความมีตนเสมอ หมายถึง ความเป็นผู้มีความสม่�ำเสมอ โดยประพฤตติ วั ใหม้ คี วามเสมอตน้ เสมอปลายวางตวั ดตี อ่ กนั และไมเ่ อาเปรยี บกนั (นสิ ยั เปน็ กนั เอง) ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุใน การบริหารงาน เพ่ือ “การครองงาน” ท่ีดี คือ บริหารงานโดยรู้จักการแบ่งปัน พูดจาดี ท�ำตนให้ เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่ืน และวางตัวดีเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งน้ี เพ่ือให้สามารถยึดเหน่ียวจิตใจของ ผเู้ ก่ยี วขอ้ งไว้ ให้อยกู่ ันด้วยความผกู พนั และความรักความปรารถนาดีตอ่ กัน ซง่ึ จะเป็นประโยชน์ ในการบรหิ ารและ/หรอื การนำ� สถานศกึ ษาหรอื องค์การใหป้ ระสบความส�ำเร็จ 3.6 ราชสงั คหวตั ถ ุ (Rāja-saṅgahavatthu: a ruler’s bases of sympathy) คอื ธรรมที่ยึด เหน่ียวจติ ใจ หรอื หลกั การสงเคราะห์ของนกั ปกครอง หรอื นกั บริหาร หมายถึง หลักธรรมอันเป็น เคร่ืองมือในการวางนโยบายทางการบริหารงานให้ด�ำเนินไปด้วยดี มีหลักปฏิบัติ 4 ประการ ดังนี้ (ส.ํ ส. 15/351/110; อง.ฺ จตกุ กฺ . 21/39/54; อง.ฺ อฏฺ ก. 23/91/152; ข.ุ อติ .ิ 25/205/246; ข.ุ ส.ุ 25/323/383) 1) สัสสเมธะ คือ ความเป็นผู้ฉลาดในการพิจารณาถึงผลิตผลอันเกิดข้ึนใน องค์การแล้วพิจารณาผอ่ นผนั จดั เกบ็ เอาแต่บางสว่ นแห่งสง่ิ น้นั 2) ปุริสเมธะ คือ ความเป็นผ้ฉู ลาดในการดูคน สามารถเลอื กแต่งตั้งบุคคลให้ ดำ� รงตำ� แหน่งในความถูกตอ้ งและเหมาะสม และร้จู ักสง่ เสริมคนดมี ีความสามารถ 3) สัมมาปาสะ คือ การบริหารงานให้ต้องใจประชาชน รู้จักผูกผสานรวมใจ ประชาชนดว้ ยการส่งเสริมอาชีพ เชน่ ใหค้ นจนก้ยู ืมเงนิ ทนุ ไปสรา้ งตวั ในพาณิชยกรรม ฯลฯ
Research in Educational Administration • 547 4) วาชเปยะ (หรอื วาจาเปยยะ) คอื ความเปน็ บคุ คลมวี าจาไพเราะ รจู้ กั ผอ่ นสน้ั ผอ่ นยาวตามเหตกุ ารณ์หรอื ตามสถานการณ์ ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักราชสังคหวัตถุใน การบรหิ ารงาน เพ่อื “การครองงาน” ทดี่ ี คอื เปน็ ผฉู้ ลาดในการพจิ ารณาถึงผลิตผลอนั เกดิ ขน้ึ ใน สถานศึกษาหรือองค์การ รู้จักใช้คนให้เหมาะกับงาน รู้จักหางานให้เหมาะกับคน บริหารงานให้ ตอ้ งใจบคุ ลากร และรจู้ กั ผอ่ นสนั้ ผอ่ นยาวตามเหตกุ ารณห์ รอื ตามสถานการณ์ ซง่ึ หากผบู้ รหิ ารและ/ หรอื ผ้นู �ำปฏิบัตไิ ด้เชน่ นี้ ก็จะเปน็ ประโยชน์ในการยึดเหน่ยี วจติ ใจของผใู้ ตป้ กครองหรอื ผูใ้ ตบ้ งั คับ บัญชา และท�ำให้การบริหารงานสถานศกึ ษาและ/หรือองค์การดำ� เนินไปได้ด้วยดี 3.7 เวสารัชชกรณธรรม (Vesārajjakaraṇa-dhamma: qualities making for intrepidity) คือ ธรรมท่ีท�ำความกล้าหาญ หมายถึง คุณธรรมท่ีท�ำให้เกิดความแกล้วกล้า ท�ำให้ผู้ปฏิบัติตาม สามารถตดั ความวติ กกงั วลสรา้ งความกลา้ หาญและความเชอ่ื มน่ั ใหเ้ กดิ ขน้ึ มาในตวั เองมี5ประการ ดงั นี้ (องฺ.ปญจฺ ก. 22/101/144) 1) ศรัทธา คือ ความเชื่อท่ีมีเหตุผล มั่นใจในหลักท่ีถือและในการดีที่ท�ำ เป็น ความเชื่ออย่างมีเหตุมีผล มีหลักในการปลงใจเช่ือและผ่านการคิดพินิจพิจารณาเสียก่อนแล้วจึง ยอมรับเช่ือถือในเรื่องนั้น ๆ สิ่งที่พึงยึดเป็นหลักในเร่ืองความเชื่อ ก็คือ 1.1) เชื่อในความมีอยู่ ของกรรม คือ เจตนาที่บุคคลกระท�ำลงไป ทางกาย ทางวาจา และทางใจ เรียกว่า “กัมมสัทธา” 1.2) เช่ือความมีอยู่แห่งผลของกรรมที่บุคคลได้กระท�ำเอาไว้ คือ ถ้าท�ำดีผลก็ดี ถ้าท�ำไม่ดีผล ก็ไม่ดี เรียกว่า “วิปากสัทธา” 1.3) เชื่อว่าคนเราแต่ละคนน้ันมีกรรมเป็นของของตน จะต้องเป็น ผู้รบั ผลของกรรมท่ตี นไดก้ ระท�ำไว้ เรียกว่า “กัมมสั สกตาสทั ธา” และ 1.4) เชอ่ื วา่ พระพทุ ธเจ้านน้ั ตรสั รู้ทรงชแี้ จงแสดงความจรงิ แกโ่ ลก ซง่ึ ความจรงิ เหลา่ นนั้ ทนตอ่ การพสิ จู น์ ทดสอบ หรอื ทดลอง ทกุ ยคุ ทุกสมัย เรยี กวา่ “ตถาคตโพธิสทั ธา” 2) ศีล คือ ความประพฤติถูกต้องดีงาม ไม่ผิดระเบียบวินัย ไม่ผิดศีลธรรม เป็นการพิจารณาเห็นโทษของการละเมิดศลี แลว้ จึงงดเว้น ไมก่ ระท�ำใหผ้ ิดศีล ผลทปี่ รากฏออกมา คือ กาย วาจา ของตนจะเป็นปกติ ไม่ท�ำอะไรท่ีเป็นการเบียดเบียนตนเองและบุคคลอื่นให้ เดือดร้อน ผลท่ีได้ คือ ความเยือกเย็นในใจ เพราะไม่มีเวรไม่มีภัยกับผู้ใด เน่ืองจากไม่ได้สร้างเวร สร้างภัยต่อคนอืน่ 3) พาหุสัจจะ คือ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก เป็นคนมีประสบการณ์ มาก สามารถทรงจ�ำเรื่องต่าง ๆ ได้ บางเร่ืองที่ส�ำคัญ ๆ ก็ท่องได้จนคล่องปาก น�ำเร่ืองท้ังหลายท่ี ตนประสบพบเห็นมาขบคิด พินิจพิจารณาด้วยใจของตน เกิดความรู้ความเข้าใจในเร่ืองเหล่าน้ัน ตามความจรงิ จติ ใจของบคุ คลนน้ั เปรยี บเสมอื นโรงงาน ประสบการณต์ า่ ง ๆ เหมอื นวตั ถดุ บิ บคุ คล ที่มีประสบการณ์ได้พบได้เห็นอะไรมามาก ผ่านอะไรต่ออะไรมามาก และกลายเป็นคนรอบรู้ใน เรอื่ งต่าง ๆ ท่ีตนได้ประสบหรือพบเห็นมา จึงเรียกบุคคลดงั กล่าวนัน้ ว่า “พหูสตู ” “บณั ฑิต” หรอื “นักปราชญ”์ 4) วริ ยิ ารมั ภะ คอื ปรารภความเพยี ร หมายถงึ การทไี่ ดเ้ รม่ิ ลงมอื ทำ� ความเพยี ร พยายามในการทจ่ี ะละความชว่ั และประพฤตคิ วามดี ความเพยี รพยายามในการศกึ ษาเลา่ เรยี น หรอื
548 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา ความเพียรพยายามในการท�ำหน้าท่ีการงาน โดยไม่หวาดหว่ันต่ออุปสรรคอันตรายต่าง ๆ และ ไม่กลัวเกรงต่อความเหนื่อยยากล�ำบาก หนาว ร้อน หิวกระหาย เหลือบ ยุง ลม แดด ฯลฯ มี ความกล้าหาญเด็ดเด่ียว มีความมุ่งมั่นท่ีจะให้ประสบผลส�ำเร็จในวิถีชีวิตของตนให้ได้ ท้ังมีความ คิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ มคี วามคิดก้าวหนา้ สามารถต่อส้กู บั อปุ สรรคขัดขวางในลกั ษณะตา่ ง ๆ ได้ 5) ปัญญา คือ ความรอบรู้ หมายถึง ความรู้คิด รู้วินิจฉัย และรู้ท่ีจะจัดการ มีความเข้าใจในเหตุผล ดี ชั่ว ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ฯลฯ ปัญญาเป็นเหมือนประทีปส่องทาง ชีวติ อยา่ งน้อยท่สี ุด บุคคลควรจะต้องรวู้ า่ อะไรเปน็ ประโยชน์และไมเ่ ปน็ ประโยชน ์ อะไรดี อะไร ชว่ั อะไรเปน็ บญุ อะไรเปน็ บาป และมอี บุ ายวธิ ที จ่ี ะละเวน้ สง่ิ ทไ่ี มเ่ ปน็ ประโยชน์ สง่ิ ทเี่ ปน็ โทษ หรอื สง่ิ ทเี่ ป็นความชั่ว แล้วมาประพฤติปฏบิ ตั ิความดีท่เี ปน็ คณุ เปน็ ประโยชน์ได้ ผู้บริหารและ/หรือผนู้ ำ� สถานศึกษา ควรประยกุ ตใ์ ช้หลกั เวสารัชชกรณธรรมในการ บริหารงาน เพ่ือ “การครองงาน” ที่ดี คือ เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนให้มีศรัทธาหรือความเชื่อท่ีมี เหตุผล มคี วามประพฤติถูกต้องดงี าม มีการศกึ ษาเล่าเรียนและประสบการณ์ มกี ารลงมือทำ� ความ เพียรพยายามในการที่จะละความช่ัวและประพฤติความดีต่าง ๆ และมีความรอบรู้ในเหตุและผล ดี ช่ัว ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ซึ่งเม่ือได้ประพฤติปฏิบัติตนตามหลักธรรมดังกล่าว จะท�ำให้มี หลักใจที่จะช่วยให้เกิดความกล้าหาญและให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าหาญในการท�ำหน้าท่ีที่ รับผิดชอบ กล้าหาญในการด�ำรงชีวิต กล้าหาญในการต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ เป็นเครื่องมือใน การแก้ไขอุปสรรคในชีวิตของตนได้และในการบริหารและ/หรือการน�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ใหป้ ระสบความสำ� เรจ็ 3.8 พละ หรือ พละ 5 (Bala: power) คอื ธรรมอนั เปน็ พลังหรอื ก�ำลัง หรือธรรมเปรยี บ เสมือนก�ำลังพลส�ำหรับบุคคลที่จะต้องปฏิบัติงาน ซ่ึงต้องมีก�ำลังอย่างแรงกล้าในด้านความเช่ือ ความเพียร ความระลึกได้ ความตั้งจิตมั่น และความรอบรู้ โดยมีหลักปฏิบัติ 5 ประการ ดังนี้ (ที.ปา. 11/300/252; องฺ.ปญฺจก. 22/13/11; อภ.ิ ว.ิ 35/844/462) 1) ศรทั ธาพละ คอื กำ� ลงั ศรทั ธา หมายถงึ ความเชอ่ื ความเลอ่ื มใสอยา่ งแรงกลา้ โดยไมม่ คี วามย่อท้อหรือทอ้ ถอยในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีการงาน 2) วิริยะพละ คือ ก�ำลังความเพียร หมายถึง ความพากเพียรหรือความองอาจ กล้าหาญอย่างแรงกล้าท่ีจะปฏิบัติหน้าที่การงาน โดยไม่มีความย่อท้อถดถอย สะดุ้งกลัว หรือ หวาดกลัววา่ จะเกิดอะไรขึ้น 3) สติพละ คือ ก�ำลังสติ หมายถึง ความระลึกได้อย่างถูกต้องและแรงกล้า ไม่ขาดสาย ติดต่อกนั ไปเปน็ ปจั จุบันทกุ ขณะ จนกระทง่ั ปรากฏเด่นชัดเปน็ พเิ ศษ 4) สมาธิพละ คือ ก�ำลังสมาธิ หมายถึง ความสงบตั้งม่ันอยู่ในอารมณ์เดียว อยา่ งแรงกลา้ ในการปฏบิ ตั หิ นา้ ทีก่ ารงาน เพ่ือมิใหห้ วัน่ ไหว หรอื ทอ้ ถอย 5) ปัญญาพละ คือ ก�ำลังปัญญา หมายถึง การก�ำหนดรู้แจ้งในการปฏิบัติ หนา้ ทกี่ ารงานอย่างแรงกลา้ โดยไมม่ คี วามยอ่ ท้อ เบอ่ื หน่าย หรือสะดุง้ กลวั หลักธรรมทั้ง 5 ประการ ดังกล่าวขา้ งตน้ เรียกอกี อยา่ งหน่งึ ว่า อนิ ทรยี ์ 5 (ธรรมท่เี ปน็ ใหญ่ในกิจของตน) ที่เรียกว่า อินทรีย์ เพราะมีความหมายว่า เป็นใหญ่ในการกระท�ำหน้าที่แต่
Research in Educational Administration • 549 ละอยา่ ง ๆ ของตน คอื เปน็ เจา้ การในการครอบงำ� หรือป้องกนั ซ่ึงความไรศ้ รัทธา ความเกียจคร้าน ความประมาท ความฟุ้งซ่าน และความหลง ตามล�ำดับ ท่ีเรียกว่า พละ เพราะมีความหมายว่า เปน็ พลงั หรอื กำ� ลงั ทท่ี ำ� ใหเ้ กดิ ความมนั่ คง ปอ้ งกนั หรอื กดี กนั ไมใ่ หค้ วามไรศ้ รทั ธา ความเกยี จครา้ น เปน็ ต้น แต่ละอย่าง เขา้ มาครอบงำ� หรือแทนที่ ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาหรือองค์การ ควรประยุกต์ใช้หลักพละห้าในการ บริหารงาน เพื่อ “การครองงาน” ที่ดี คือ ตนเองปฏิบัติตามหลักพละห้าก่อน เพื่อเป็นต้นแบบ ท่ีดี จากน้ัน จึงเน้นการบริหารจัดการให้หมู่คณะหรือผู้ที่อยู่ร่วมกันเป็นผู้ปฏิบัติหน้าท่ีการงานที่ รับผดิ ชอบด้วยความมีศรทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ และปญั ญา ซงึ่ หากผู้บริหารและ/หรือผนู้ ำ� บริหาร จดั การงานไดเ้ ชน่ นี้ กจ็ ะทำ� ใหส้ ามารถครองงานในสถานศกึ ษาหรอื องคก์ าร กลา่ วคอื หมคู่ ณะหรอื ผู้ที่อยู่ร่วมกันมีหลักใจหรือหลักปฏิบัติทางจิตใจที่จะช่วยให้การท�ำงานหรือการบริหารและ/หรือ การนำ� สถานศึกษาหรอื องค์การมีพลงั และประสบผลสำ� เร็จตามเปา้ หมายไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ 3.9 ทศพิธราชธรรม หรอื ราชธรรม 10 (Tasavidha-rājadhamma: virtues of the king or a ruler) คือ จรยิ วัตร 10 ประการทพี่ ระเจ้าแผน่ ดนิ ทรงประพฤตเิ ป็นหลักธรรมประจ�ำพระองค์ หรอื เปน็ คณุ ธรรมประจำ� ตนของผปู้ กครองบา้ นเมอื งใหม้ คี วามเปน็ ไปโดยธรรมและยงั ประโยชนส์ ขุ ใหเ้ กดิ แก่ประชาชนจนเกดิ ความชน่ื ชมยนิ ดี ซ่ึงความจรงิ แล้วหลกั “ทศพิธราชธรรม” มิได้จ�ำเพาะ เจาะจงส�ำหรับพระเจา้ แผ่นดนิ หรอื ผู้ปกครองแผ่นดินเทา่ น้ัน บุคคลธรรมดาที่เปน็ ผปู้ กครองหรือ ผู้บริหารระดับสูงในทุกองค์การก็สามารถประยุกต์ใช้หลักทศพิธราชธรรมได้ รายละเอียดของ หลักทศพิธราชธรรม 10 ประการ มดี งั นี้ (ข.ุ ชา. 28/240/86.) 1) ทาน (ทานะ)คอื การให้หมายถงึ การแบง่ ปนั ทรพั ยส์ งิ่ ของตนแกผ่ ใู้ ตป้ กครอง หรอื ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา ชว่ ยเหลอื ผใู้ ตป้ กครองหรอื ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา และการบำ� เพญ็ ประโยชนต์ า่ ง ๆ 2) ศลี (สลี ะ) คอื ความประพฤตดิ ีทางกาย วาจา หมายถึง การประกอบสุจรติ การรักษากิตติคุณให้เป็นตัวอย่างท่ีดี และการปฏิบัติตนเป็นที่เคารพนับถือของผู้ใต้ปกครองหรือ ผใู้ ตบ้ งั คับบญั ชา 3) บริจาค (ปริจจาคะ) คือ การเสียสละ หมายถึง การเสียสละต้ังแต่สิ่งของ หรือความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ทรัพย์สิน ความสุขส่วนตัว ฯลฯ ตลอดจนชีวิตของตน เพื่อ ประโยชน์สขุ ของผู้ใต้ปกครองหรือผู้ใต้บังคบั บัญชา 4) ความซ่ือตรง (อาชชวะ) คือ ความซื่อตรงทรงสัตย์ไร้มารยา หมายถึง การปฏิบัติกิจโดยสุจริตต่อหน้าที่การงานของตน ต่อมิตรสหาย ต่อองค์กรหรือหลักการของตน และไมห่ ลอกลวงผใู้ ต้ปกครองหรอื ผใู้ ตบ้ งั คับบัญชา 5) ความออ่ นโยน (มัททวะ) หมายถึง การมอี ธั ยาศยั อ่อนโยน มีท่าทีอ่อนโยน ละมุนละม่อม ไม่ถือตัว รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยความต้ังใจถี่ถ้วน ถ้าดีก็ควรยินดีและ ปฏบิ ัติตาม และควรมคี วามอ่อนน้อมตอ่ ท่านผูเ้ จรญิ โดยวัยและคณุ ความดี 6) ความเพียร (ตปะ) คือ ความขยันหม่ันเพียร เป็นความขยันหม่ันเพียรใน การท�ำกิจหน้าท่ีให้สมบูรณ์ ระมัดระวังกิเลสตัณหามิให้เข้ามาครอบง�ำย่�ำยีใจ ระงับยับย้ังข่มใจได้ ไมห่ ลงใหลหมกมนุ่ ในความสขุ สำ� ราญและความปรนเปรอ
550 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา 7) ความไม่โกรธ (อักโกธะ) คือ การไมแ่ สดงอาการโกรธ หมายถงึ การไมก่ รว้ิ กราด ไม่ลุอ�ำนาจแห่งความโกรธจนเป็นเหตุให้วินิจฉัยส่ังการผิดพลาด เสียธรรม หรือเสียความ ยตุ ธิ รรม เปน็ ผมู้ เี มตตาประจำ� ใจไวร้ ะงบั ความโกรธหรอื ความขนุ่ เคอื ง วนิ จิ ฉยั หรอื สงั่ การดว้ ยจติ ใจ มีธรรมและเปน็ ของตัวเอง 8) ความไมเ่ บยี ดเบยี น (อวหิ งิ สา) หมายถงึ การไมบ่ บี คน้ั กดข่ี เปน็ การปกครอง หรือบริหารโดยไม่เน้นประโยชน์ส่วนตนเป็นหลักจนน�ำไปสู่การเบียดเบียนผู้ใต้ปกครองหรือ ผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช้ผู้ใต้ปกครองหรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ท�ำงานหนักเกินไป ไม่หลงระเริงใน อ�ำนาจจนขาดความกรณุ า ไม่หาเหตเุ บยี ดเบียนลงโทษเพราะความอาฆาตเกลยี ดชัง 9) ความอดทน (ขันติ) คือ ความอดทนต่องานที่ตรากตร�ำ อดทนต่อความ ล�ำบากกายท่ีเหน็ดเหนื่อย อดทนโดยไม่ท้อถอย อดทนต่อค�ำเสียดสีถากถาง เป็นผู้สามารถรักษา ปกตภิ าวะของตนไวไ้ ด้ ไมว่ า่ จะถกู กระทบกระทงั่ ดว้ ยสง่ิ อนั เปน็ ทพี่ งึ ปรารถนาหรอื ไมพ่ งึ ปรารถนา ก็ตาม มีความมัน่ คงหนักแน่นไมห่ วัน่ ไหว 10) ความเท่ียงธรรม (อวิโรธนะ) คือ ความไม่คลาดธรรม หมายถึง ความ หนักแน่น โดยเป็นผู้ถือความถูกต้องหรือความเที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่มีความเอนเอียงหว่ันไหว เพราะถ้อยคำ� ที่ดรี ้าย ลาภสกั การะ หรืออิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ใด ๆ ผบู้ รหิ ารและ/หรือผูน้ �ำสถานศกึ ษาหรือองค์การ ควรประยกุ ต์ใช้หลกั ทศพธิ ราชธรรม ในการบริหารงาน เพ่ือ “การครองงาน” ท่ีดี คือ เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้ให้ รู้จักแบ่งปัน มีความประพฤติดี เสียสละ มีความซื่อตรงทรงสัตย์ มีอัธยาศัยอ่อนโยน มีความขยันหม่ันเพียร ในการท�ำหน้าท่ีที่รับผิดชอบ ไม่ลุอ�ำนาจแห่งความโกรธ ไม่บีบค้ันกดขี่ต่อกัน มีความอดทนต่อ งาน และมีความหนักแน่นเท่ียงธรรมเป็นหลักโดยไม่มีความเอนเอียงหวั่น ซ่ึงหากผู้บริหารและ/ หรือผู้น�ำบริหารจัดการงานได้เช่นน้ี ก็จะท�ำให้สามารถครองงานในสถานศึกษาหรือองค์การ คือ จะท�ำให้สถานศึกษาหรือองค์การมีบรรยากาศแห่งการบริหารจัดการท่ีเป็นธรรมในภาพรวม จะยงั ประโยชนส์ ขุ ใหเ้ กดิ แกบ่ คุ ลากรหรอื ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาจนเกดิ ความชนื่ ชมยนิ ดี และจะเปน็ ผลดี ในการขับเคล่ือนสถานศึกษาหรือองค์การใหบ้ รรลผุ ลสำ� เรจ็ ตามเปา้ หมายได้ 3.10 จักรวรรดิวัตร (Cakkavatti-vatta: duties of a universal king or a great ruler) คือ ธรรมอันเป็นพระราชจริยานุวัตร ส�ำหรับพระมหาจักรพรรดิ และพระราชาเอกในโลก ทั้งนี้ พระมหากษตั รยิ ซ์ งึ่ เปน็ ผปู้ กครองประชาชนทรงถอื และอาศยั ธรรมขอ้ นร้ี ว่ มกบั ทศพธิ ราชธรรม 10 และราชสังคหะ 4 ส�ำหรับการดำ� เนนิ กศุ โลบายและวเิ ทโศบาย พระเจ้าจักรพรรดิ คือ พระราชาผู้มีบุญญาธิการ ทรงเป็นพระราชาย่ิงกว่าพระราชา จัด เป็นหน่ึงในส่ีของบุคคลที่ควรบูชาและหาได้ยากยิ่งในโลก คือ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ และพระเจ้าจักรพรรดิ การท่ีจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิน้ัน ไม่ใช่ได้มาด้วยตระกูล ไมไ่ ด้มาดว้ ยอ�ำนาจ และไม่ไดม้ าดว้ ยก�ำลงั แตไ่ ดม้ าด้วยบญุ บารมที ่ีสร้างสมไว้อย่างเพยี งพอในอดตี ทรงรักษาทศพิธราชธรรมในปัจจุบัน และสามารถรักษาจักรวรรดิวัตรอันเป็นวัตรปฏิบัติส�ำหรับ พระเจ้าจกั รพรรดโิ ดยเฉพาะได้สมบรู ณ์ ธรรมอนั เปน็ พระราชจรยิ านวุ ตั ร สำ� หรบั พระมหาจักรพรรดิดังกลา่ วขา้ งตน้ นัน้ มีหลัก
Research in Educational Administration • 551 ปฏบิ ัติ 12 ประการ ดังน้ี (ท.ี ปา. 11/35/65) 1) ธรรมาธปิ ไตย คือ ถอื ธรรมเป็นใหญ่ หมายถงึ การทพ่ี ระเจา้ จกั รพรรดทิ รง เคารพนับถอื บูชาธรรมโดยปฏิบตั ติ ามธรรม ยึดธรรมเปน็ หลัก เป็นธงชยั ในการปกครองบ้านเมอื ง ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การที่ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษา ประพฤตปิ ฏบิ ตั ดิ ี ถกู ตอ้ งตามธรรม ยดึ ถอื ธรรมเปน็ หลกั ใหญ่ และยดึ ถอื ระเบยี บวนิ ยั กฎ ขอ้ บงั คบั และกฎหมายที่เกีย่ วข้อง เปน็ หลกั ในการบริหารและ/หรือการน�ำสถานศึกษา 2) อันโตชน คือ ชนภายใน หมายถึง การท่ีพระเจ้าจักรพรรดิทรงให้ความ คุ้มครองดูแลคนในปกครองส่วนพระองค์ ตั้งแต่พระมเหสี โอรส ธิดา จนถึงผู้ปฏิบัติราชการใน พระองค์ท้ังหมด ด้วยให้การบ�ำรุงเล้ียงดู อบรมส่ังสอน ฯลฯ ให้อยู่โดยเรียบร้อย สงบสุข และมี ความเคารพนบั ถือกนั ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การท่ีผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษา อนเุ คราะห์บคุ ลากรในสถานศกึ ษา ใหม้ คี วามสุข ไม่ปล่อยปละละเลย ดแู ลทกุ ขส์ ขุ ความเป็นอยู่ จดั สวสั ดกิ ารให้ ใหก้ ารอบรมสงั่ สอน สนบั สนนุ ใหม้ กี ารพฒั นาตนเอง เชน่ จดั ใหม้ โี ครงการอบรม ความรใู้ หม่ ใหท้ ุนการศกึ ษาต่อ ฯลฯ 3) พลกาย คือ กองทพั หมายถึง การท่ีพระเจา้ จักรพรรดิทรงให้ความคมุ้ ครอง ดแู ลปวงเสนาขา้ ทหาร และข้าราชการฝ่ายทหาร ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การท่ีผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาให้ ความคุ้มครองดูแลบุคลากรฝ่ายปกครอง ฝ่ายบริหาร และฝ่ายอ่ืน ๆ ท่ีท�ำหน้าท่ีปกป้องช่ือเสียง และเกยี รตภิ มู ขิ องสถานศึกษา 4) ขัตติยะ คอื กษตั รยิ ท์ ง้ั หลาย หมายถงึ การท่ีพระเจา้ จกั รพรรดทิ รงให้ความ ค้มุ ครองดูแลผู้อยู่ในพระบรมเดชานภุ าพ และเจา้ เมอื งขึ้น ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การทผ่ี ูบ้ ริหารและ/หรอื ผนู้ �ำสถานศึกษาให้ ความคมุ้ ครองดแู ลผบู้ รหิ ารระดบั สงู ในสถานศกึ ษา รวมทง้ั ผบู้ รหิ ารฝา่ ยปกครองนกั เรยี น ตลอดถงึ การสรา้ งเครอื ข่ายหรอื ผูกไมตรีกับผูบ้ ริหารสถานศึกษาในประเทศและตา่ งประเทศ 5) อนุยนต์ คือ ผู้ตามเสด็จ หมายถึง การท่ีพระเจ้าจักรพรรดิทรงให้ความ คมุ้ ครองดูแลหรอื อนุเคราะห์ราชบรพิ ารท้ังหลาย และพระราชวงศานวุ งศ์ ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การที่ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษาให้ ความคมุ้ ครองดูแลหรอื อนุเคราะห์ครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาในสถานศกึ ษา 6) พราหมณคฤหบดี คือ ผู้เป็นพราหมณ์และคหบดี หมายถึง การที่พระเจ้า จกั รพรรดิทรงใหค้ วามค้มุ ครองดแู ลหรือเก้อื กลู แก่ชนเจา้ พิธี เจา้ ต�ำรา พอ่ ค้า เจา้ ไรเ่ จ้านา ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การท่ีผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษา ให้ความคุ้มครองดูแลหรือสนับสนุนครู คณาจารย์ นักวิจัย เจ้าหน้าท่ี หรือบุคลกรทางการศึกษา ให้มีการพัฒนาตนเอง รวมทั้งให้บริการทางวิชาการหรือวิชาชีพแก่สังคมในบริบทแวดล้อมของ สถานศึกษา เพื่อให้สังคมหรือชุมชนมีการพัฒนาตนเองและเป็นสังคมหรือชุมชนท่ีเข้มแข็งทาง ดา้ นเศรษฐกจิ ดา้ นสขุ ภาพอนามยั ฯลฯ
552 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 7) เนคมชานบท คือ ชาวนิคมชนบท หมายถึง การที่พระเจ้าจักรพรรดิทรง ให้ความคุ้มครองดูแลหรืออนุเคราะห์ประชาชนในชนบท ราษฎรท้ังปวงทุกท้องถิ่น ตลอดถึง ชายแดนทั่วไป โดยไม่ทอดทงิ้ ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การท่ีผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษา ให้ความคุ้มครองดูแลช่วยเหลือ หรือสงเคราะห์สถานศึกษาท่ีเป็นเครือข่าย หรืออยู่ในข่ายท่ีต้อง ไดร้ ับการพฒั นาทางด้านวชิ าการ ด้านการบริหารงานบุคคล ฯลฯ 8) สมณพราหมณ์ คือ ผเู้ ป็นสมณพราหมณ์ หมายถึง การทีพ่ ระเจ้าจกั รพรรดิ ทรงใหค้ วามคมุ้ ครองดูแลพระสงฆ์และบรรพชิตผูท้ รงศีลทรงคุณธรรม ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การที่ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษา ให้ความคุ้มครองดูแลพระสงฆ์และบรรพชิตผู้ทรงศีลทรงคุณธรรม เข้าใกล้พระสงฆ์และ บรรพชติ เพ่ือศกึ ษาเรื่องบุญและบาป ความดี และความช่วั ใหเ้ ขา้ ใจชัดเจน อีกทั้งเพือ่ การประสาน ความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ระหว่างสถานศึกษากับวัดหรือพระสงฆ์ อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการระดมทนุ หรือทรพั ยากรทางการศกึ ษา 9) มิคปกั ษี คือ มฤคและปักษี หมายถงึ การท่พี ระเจา้ จกั รพรรดทิ รงให้ความ ค้มุ ครองดูแลหรอื รกั ษาฝูงเน้อื นก และสตั ว์ทงั้ หลายมิให้สญู พันธ์ุ รวมท้งั สัตว์สงวนทั้งหลาย ในทางบรหิ ารการศกึ ษา หมายถงึ การทผี่ บู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สถานศกึ ษาความ คมุ้ ครองดแู ลดา้ นสวสั ดกิ ารสำ� หรบั บคุ ลากรเพอ่ื ดแู ลสขุ ภาพอนามยั หรอื รกั ษาธำ� รงไวซ้ ง่ึ บคุ ลากร ท่ีมีคุณสมบัติสูง หาได้ยากในสถานศึกษา รวมท้ังสนับสนุนให้มีการจัดการความรู้ (Knowledge management)ในองค์กรเพื่อมิให้ความรู้โดยเฉพาะที่เป็นความรู้ที่ซ่อนเร้น (Tacit knowledge) อย่ใู นตัวของบคุ คลสูญหายไปจากองค์กร 10) อธรรมการนิเสธนา คือ การปกป้องการกระท�ำอันเป็นอธรรม หมายถึง การจัดการป้องกันมิให้มีการกระท�ำความผิดความชั่วร้ายเดือดร้อนเกิดข้ึนในพระราชอาณาเขต หรอื ในบา้ นเมือง ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การท่ีผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษา หา้ มผู้มีส่วนไดส้ ว่ นเสยี ท้ังหลาย เชน่ ผเู้ รียน ผปู้ กครอง ครู ฯลฯ และบคุ ลลทัง้ หลายอน่ื ๆ มใิ หม้ ี การประพฤตผิ ิดศลี ธรรมขึน้ ในสถานศึกษา เชน่ ดมื่ สุรา ทะเลาะววิ าท เสพยาบา้ คา้ ขายยาบา้ ฯลฯ และเป็นผู้ชกั น�ำผอู้ นื่ ดว้ ยการประพฤตติ นใหเ้ ปน็ แบบอยา่ งทดี่ ี 11) ธนานุประทาน คือ การแบ่งปันทรัพย์ หมายถึง การแบ่งปันทรัพย์ให้ แก่ชนผไู้ ร้ทรพั ย์ เพือ่ มใิ ห้มีคนขัดสน หรอื ยากไร้ ในแว่นแควน้ หรือในบ้านเมอื ง ในทางบริหารการศึกษา หมายถึง การท่ีผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำสถานศึกษา ใหก้ ารดแู ลบคุ ลากรทมี่ ฐี านะลำ� บาก รายไดน้ อ้ ย และผเู้ รยี นทขี่ ดั สนดา้ นทนุ ทรพั ยแ์ ตเ่ รยี นดี มคี วาม ประพฤติตัวดี ขยันหม่ันเพียร ด้วยการส่งเสริมให้บุคลากรดังกล่าวมีอาชีพเสริม และสนับสนุน ผู้เรียนที่ขัดสนด้านปัจจัยหรือด้านทุนทรัพย์ตามความเหมาะสม ท้ังนี้เพ่ือให้สามารถด�ำรงชีพ
Research in Educational Administration • 553 หรอื ศกึ ษาเลา่ เรยี นไดโ้ ดยไมต่ อ้ งเดอื ดรอ้ นและเพอื่ ปอ้ งกนั มใิ หป้ ระกอบการทจุ รติ อนั เปน็ การสรา้ ง ความเดอื นร้อนขน้ึ ในสถานศึกษาหรอื ในสงั คม 12) ปริปุจฉา คือ การสอบถามปัญหา หมายถึง การปรึกษาสอบถามปัญหา กับสมณพราหมณ์ ผู้ประพฤตดิ ี ปฏิบตั ชิ อบ ผไู้ ม่ประมาทมัวเมา ตามกาลเวลาอันควร เพอ่ื ใหร้ ูช้ ัด สิ่งอันดีช่ัว ควรท�ำหรือไม่ควรท�ำ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขหรือไม่อย่างไร แล้วประพฤติปฏิบัติให้ เปน็ ไปในทางทถี่ กู ตอ้ ง ในทางบรหิ ารการศกึ ษา หมายถงึ การทผี่ บู้ รหิ ารและ/หรอื ผนู้ ำ� สถานศกึ ษารจู้ กั ปรึกษาสอบถามหรือสัมภาษณ์นักปราชญ์ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ทรงคุณธรรม หรือท่านผรู้ ้ผู ทู้ รงภูมิปัญญา เพือ่ ใหไ้ ด้ขอ้ มูล หรอื ความร้คู วามเขา้ ใจทีช่ ัดเจน อันจะเปน็ ประโยชน์ ต่อการน�ำมาประยุกตใ์ ชใ้ นการบริหารสถานศกึ ษาได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ผูบ้ รหิ ารและ/หรือผนู้ ำ� สถานศกึ ษาหรอื องคก์ าร ควรประยุกต์ใชห้ ลกั จกั รวรรดิ วัตรในการบริหารงาน เพ่ือ “การครองงาน” ท่ีดี คือ บริหารจัดการหรือปฏิบัติหน้าท่ีการงาน ที่รับผิดชอบโดยการถือธรรมหรือความถูกต้องเป็นหลัก ดูแลทุกข์สุขและความเป็นอยู่ซึ่งกัน และกัน ปกป้องช่ือเสียงและเกียรติภูมิของสถานศึกษา สร้างเครือข่ายหรือผูกไมตรีกับผู้บริหาร สถานศึกษาในประเทศและต่างประเทศ คุ้มครองและอนุเคราะห์ซ่ึงกันและกัน สนับสนุนครู คณาจารย์ นักวิจัย เจ้าหน้าท่ี หรือบุคลากรทางการศึกษาให้มีการพัฒนาตนเอง สงเคราะห์สถาน ศึกษาอ่ืนท่ีเป็นเครือข่ายให้ได้รับการพัฒนา เข้าใกล้พระสงฆ์และบรรพชิตเพ่ือศึกษาเรื่องบุญ และบาป ความดีและความชั่วให้เข้าใจชัดเจน คุ้มครองดูแลด้านสวัสดิการส�ำหรับบุคลากร เพื่อดูแลสุขภาพอนามัยรวมท้ังสนับสนุนให้มีการจัดการความรู้ในองค์กรเพ่ือมิให้ความรู้ โดยเฉพาะที่เป็นความรู้ที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวของบุคคลสูญหายไปจากองค์กร ป้องกันมิให้มีการ ประพฤติผิดศีลธรรมขึ้นในสถานศึกษา ดูแลบุคลากรท่ีมีฐานะล�ำบาก รายได้น้อย และผู้เรียนที่ ขดั สนด้านทุนทรัพย์แตเ่ รียนดี และร้จู ักปรกึ ษาสอบถามนกั ปราชญ์ นกั วชิ าการ ผู้เชย่ี วชาญ ผูท้ รง คุณวุฒิ ผ้ทู รงคณุ ธรรม หรือท่านผู้รูผ้ ทู้ รงภมู ิปัญญา ซง่ึ หากผบู้ ริหารและ/หรอื ผู้นำ� บริหารจัดการ งานได้เช่นน้ี ก็จะท�ำให้สถานศึกษาหรือองค์การมีบรรยากาศแห่งการบริหารจัดการที่เป็นธรรม ในภาพรวม จะยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่บุคลากรหรือผู้ใต้บังคับบัญชาจนเกิดความชื่นชมยินดี และจะเปน็ ผลดใี นการขับเคลื่อนสถานศึกษาหรอื องคก์ ารใหบ้ รรลผุ ลสำ� เร็จตามเปา้ หมายได้ สรปุ ท้ายบท การท�ำวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา ในสาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ก�ำหนดให้นักศึกษาต้องท�ำวิจัยที่มีพระพุทธศาสนาหรือ หลักธรรมเป็นฐาน โดยมีการสังเคราะห์หลักธรรมเพ่ือการวิจัย หรือมีการประยุกต์ใช้หลักธรรม กับการทำ� วิจยั โดยการผสมผสานกับแนวคดิ ทฤษฎี หรอื ศาสตรใ์ นสาขาวิชาการบริหารการศึกษา ท้ังน้ี เพื่อให้เป็นไปสอดคล้องกับปรัชญาของมหาวิทยาลัย และปรัชญาหลักสูตร ดังน้ัน ศาสตร์
554 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา และหลักธรรมเพ่ือการวิจัยทางการบริหารการศึกษา ในบทที่ 16 นี้ จึงประกอบด้วยเน้ือหา สาระท่ีส�ำคัญซึ่งผู้วิจัยหรือนักศึกษาในทางการบริหารการศึกษาควรศึกษาและท�ำความเข้าใจให้ ละเอยี ดและชัดเจน โดยอาจสรุปสาระส�ำคัญดังกลา่ วได้ ดังน้ี ศาสตรแ์ ละหลกั ธรรมเพอื่ การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา มคี วามสำ� คญั สำ� หรบั การทำ� วิจัยในสาขาวิชาการบริหารการศึกษา ตามหลักสูตรศึกษาศาสตร์ระดับบัณฑิตศึกษา ของบัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เน้นให้สอดคล้องกับปรัชญาของมหาวิทยาลัยท่ีว่า “ความเป็นเลศิ ทางวิชาการตามแนวพระพุทธศาสนา: Academic Excellence based on Buddhism” โดยในการทำ� วจิ ยั ของนกั ศกึ ษาระดบั บณั ฑติ ศกึ ษา ในสาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษานนั้ นอกเหนอื จากการตอ้ งคำ� นงึ ถงึ ศาสตรใ์ นสาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษาแลว้ ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ การประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาดว้ ย จงึ จะสอดคลอ้ งกบั ปรชั ญาของมหาวทิ ยาลยั ทม่ี งุ่ สคู่ วามเปน็ เลศิ ทาง วิชาการตามแนวพระพทุ ธศาสนา ศาสตร์ในสาขาวิชาการบริหารการศึกษา เน้นในเรื่องหลักการ แนวคิด หรือทฤษฎีท่ี เกีย่ วข้องกบั การบรหิ ารงาน การบรหิ ารคน การบริหารองคก์ าร และภาวะผนู้ �ำหรอื ความเป็นผู้นำ� ส่วนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เน้นหมวดหลักธรรมในการบริหารตนเพื่อ “การครองตน” หมวดหลักธรรมในการบริหารคนเพ่ือ “การครองคน” และหมวดหลักธรรมในการบริหารงาน เพ่ือ “การครองงาน” ดังน้ัน ผู้วิจัยพึงศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ทั้งในด้านของศาสตร์และ หลกั ธรรมทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั หวั ขอ้ หรอื เรอื่ งทที่ ำ� วจิ ยั เพอ่ื ผสมผสานไปดว้ ยกนั สำ� หรบั การกำ� หนดเปน็ ตัวแปรท่ีศกึ ษา หรือก�ำหนดไว้เปน็ ประเด็นตวั แปรในกรอบแนวคิดของผู้วจิ ัยเพื่อเป็นแนวทางโดย สังเขปในการวจิ ยั ทางดา้ นการบริหารการศกึ ษาตอ่ ไป
บรรณานกุ รม ภาษาไทย กมล สุดประเสริฐ. (2540). การวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงาน. กรุงเทพฯ : ส�ำนักงานโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์. กระทรวงศึกษาธิการ. กรกฎาคม- ธนั วาคม. 1-12. กรมวิชาการ. (2539). การประกันคุณภาพการศึกษา. โครงการประกันคุณภาพการศึกษา. ส�ำนัก ทดสอบทางการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพค์ รุ ุสภาลาดพร้าว. กรมวิชาการ. กฤษดา กรดุ ทอง. (2530). “การวจิ ยั อนาคต”. วารสารการวจิ ยั เพอื่ พฒั นา. 3( มกราคม 2530) 12-18. กลมุ่ สารสนเทศ สำ� นักนโยบายและแผนการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน สำ� นกั งานคณะกรรมการการศึกษา ขน้ั พนื้ ฐาน. (2558). ระบบสารสนเทศเพอื่ การบรหิ ารการศกึ ษา. สบื คน้ เมอ่ื 5 กมุ ภาพนั ธ์ 2562, จาก https://data.bopp-obec.info/emis/index_area.php?Area_CODE=5002 กญั ญา โพธวิ ฒั น.์ (2548). ทมี ผนู้ ำ� การเปลย่ี นแปลงในโรงเรยี นประถมศกึ ษา : การศกึ ษาเพอื่ สรา้ ง ทฤษฎฐี านราก. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . กัลยา วานิชย์บัญชา. (2551). การวิเคราะห์สถิติข้ันสูงด้วย SPSS for Windows. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . กลั ยา วานชิ ยบ์ ญั ชา. (2555). สถติ สิ ำ� หรบั งานวจิ ยั . พมิ พค์ รง้ั ท่ี 6. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั ธรรมสาร จำ� กดั . กติ ติยา วงษ์ขันธ.์ (2561). รูปแบบการวิจยั และพัฒนา (R&D)และรูปแบบการวิจยั เชงิ ปฏิบตั ิการ แบบมีสว่ นร่วม(PAR). สบื ค้นเมื่อ 11 พฤษภาคม 2562, จาก www.ubu.ac.th/web/files _up/08f2018072012262188.pdf) กุลรศั ม์ิ สริ กิ รวฒุ ิพงศ.์ (2553). ความสัมพนั ธร์ ะหว่างภาวะผู้นำ� ของผู้บรหิ ารกบั ความพงึ พอใจใน การปฏิบตั งิ านของครูโรงเรียนในเครอื สารสาสน.์ สารนิพนธศ์ กึ ษาศาสตรม์ หาบัณฑติ , สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา, บัณฑติ วทิ ยาลัย, มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. เก็จกนก เอื้อวงศ์. (2557). วธิ วี ิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา. ในประมวลสาระชดุ วชิ าการวิจยั การ บริหารการศกึ ษา. หน่วยท่ี 2 ตอนท่ี 2.2. พิมพ์ครั้งท่ี 2. นนทบรุ ี: สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช. จมุ พล พลู ภัทรชีวนิ . (2530). เทคนคิ การวิจัยอนาคตแบบ EDFR. วิจยั การศกึ ษา. ปีท่ี 10 ฉบบั ที่ 5 (มิ.ย.-ก.ค. 2530) จมุ พล พลู ภทั รชวี นิ . (2559). การวจิ ยั เชงิ อนาคต (Futures Research). เอกสารประกอบการอบรม สมั มนาวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ชมพนู ชุ รว่ มชาต.ิ (2548). อนาคตภาพของหลกั สตู รวชิ าชพี ครใู นทศวรรษหนา้ (พ.ศ. 2550-2559). ปรญิ ญาการศึกษาดษุ ฎีบณั ฑติ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ.
556 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา ชวลิต เกิดทิพย์ และคณะ. (2550). รายงานการวิจัยเรื่องการพัฒนารูปแบบการเยียวยาชุมชน สัมพันธ์ด้วยวิธีการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนบ้านท่าน้�ำ. สืบค้น เม่ือ 5 กุมภาพนั ธ์ 2562, จาก backoffice.thaiedresearch.org › uploads › paper ชอบ เขม็ กลดั และโกวิทย์ พวงงาม. (2547). การวิจยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารอยา่ งมีสว่ นร่วมเชิงประยุกต์. กรงุ เทพฯ : เสมาธรรม. ชยั รัตน์ หลายวชั ระกุล. (2547). การพฒั นาหลกั สูตรฝึกอบรมเสรมิ สรา้ งภาวะผนู้ �ำทางการเรยี น การสอนส�ำหรบั ผู้บริหารโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา. วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรดุษฎี บณั ฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . (สำ� เนา). ชาย โพธิสิตา. (2554). ศาสตร์และศิลป์แห่งการวิจัยเชิงคุณภาพ. พิมพ์ครั้งท่ี 5. กรุงเทพฯ : อมรินทรพ์ ร้ินตงิ้ . ชาย โพธิสิตา. (2552). ศาสตร์และศิลป์แห่งการวิจัยเชิงคุณภาพ. พิมพ์ครั้งท่ี 4. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริน้ ตงิ้ . ชชู าติ พ่วงสมจิตร.์ (2557). การวิเคราะห์และการแปลผลขอ้ มูล. ในประมวลสาระชดุ วชิ าการวจิ ยั การบริหารการศกึ ษา. หนว่ ยท่ี 11 ตอนที่ 11.2. พมิ พ์คร้งั ที่ 2.นนทบรุ :ี สาขาวชิ าศกึ ษา ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. ซินญอริตา ไดอารี (Senorita.diary). (2556). พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ท�ำไมจึงส�ำคัญนัก?. สบื คน้ เมอ่ื 9 กันยายน 2562, จาก https://www.thaihealth.or.th/Content/20065 ณัฐฐาสิริ ศักด์ิทอง. (2548). ผลของการใช้วรรณกรรมส�ำหรับเด็กท่ีมีต่อทักษะชีวิตของเด็ก วยั อนบุ าล. วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาหลักสตู รการสอนและเทคโนโลยี การศึกษา บัณฑติ วิทยาลัย จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. ณัฐวุฒิ เหมากระโทก. (2560). เทคนิคการสัมภาษณ์ให้ได้ข้อมูลเชิงลึก (In-depth interview). สืบคน้ เมอ่ื 16 ธนั วาคม 2562, จาก cdle-udonthani.blogspot.com ดวงนภา มกรานรุ กั ษ.์ (2554). อนาคตภาพการอาชวี ศกึ ษาไทยในทศวรรษหนา้ (พ.ศ. 2554-2564). วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาปรชั ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . ดีแมค็ ทีวี (Dmc.tv.). (ม.ป.ป.). นกั วทิ ยาศาสตร์กับพระพทุ ธศาสนา. สืบค้นเม่อื 9 กนั ยายน 2562, จาก https://dmc.tv/a15888 ทวีศักดิ์ นพเกษร. (2548). วิธีการวิจัยเชงิ คุณภาพ เล่ม 1: คู่มอื ปฏิบตั ิการวิจัยประยุกตเ์ พอื่ พัฒนา คน องค์กร ชุมชน สงั คม. กรุงเทพฯ: โชคเจริญมาเก็ตติ้ง. ทอฝนั กรอบทอง. (2560). ตวั บง่ ชภ้ี าวะผนู้ ำ� ของครเู ทคโนโลยสี ารสนเทศในสถานศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน. ดษุ ฎนี พิ นธศ์ กึ ษาศาสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . เทียนฉาย กีระนนั ทน์. (2537). การวางแผนและจดั ทำ� โครงการของรฐั . รวมบทความการประเมิน โครงการ. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . เทยี มจนั ทร ์ พานชิ ยผ์ ลนิ ไชย. (2540). สถติ เิ พอื่ การวจิ ยั , วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นเรศวร. ปีท่ี 2 ฉบับที่ 1 พฤษภาคม - สงิ หาคม 2540, หน้า 32-46.
Research in Educational Administration • 557 ธงชาติ วงษ์สวรรค์. (2553). การพฒั นาระบบการดูแลชว่ ยเหลือนักเรยี นในโรงเรียนมัธยมศกึ ษา โดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต คณะ ครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ธนกฤต สทิ ธิราช และคณะ. (2558). อนาคตภาพการจัดการมธั ยมศกึ ษาของประเทศไทยในสอง ทศวรรษหน้า. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. Vol 17 No 3: กรกฎาคม- กันยายน. ธนวรรณผ้าใบ. (ม.ป.ป.). เก้าอี้จัดงานเลี้ยง. สืบค้นเม่ือ 27 มกราคม 2563, จาก http://www. thanawantent.com/?p=750 ธีรศักดิ์ อุ่นอารมณ์เลิศ และคณะ. (2555). รายงานการวิจัยเร่ือง การพัฒนาระบบการบริหาร งานการประกันคุณภาพการศึกษาของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศิลปากร. นงพรรณ พริ ิยานพุ งศ์. (2546). คมู่ อื วิจยั และพัฒนา. พิมพ์คร้งั ท่ี 1. นนทบุร:ี บรษิ ทั มายด์ พับลชิ ชิ่ง จำ� กัด. นงลักษณ์ วิรัชชัย. (2542). โมเดลลสิ เรล : สถติ ิวเิ คราะห์ส�ำหรบั การวิจยั . พมิ พ์ครัง้ ท่ี 3. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . นงลักษณ์ วิรัชชัย. (2543). การวิจยั เชิงสำ� รวจและความสัมพันธ์เชิงเหตผุ ล. เนาวรัตน์ พลายน้อย ชัยยันต์ ประดิษฐศ์ ิลป์ และจุฑามาศ ไชยรบ. (บรรณาธิการ) ใน พรมแดนความรดู้ า้ น การวิจัยและสถิติ:รวบรวมบทความทางวิชาการของ ดร.นงลักษณ์ วิรัชชัย. ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา, หน้า 3-18. นงลกั ษณ์ วิรชั ชัย. (2543). ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสถติ ิกับการวิจยั . เนาวรัตน์ พลายน้อย ชยั ยนต์ ประดษิ ฐศ์ ลิ ป์ และจฑุ ามาศ ไชยรบ (บรรณาธกิ าร) ใน พรมแดนความรดู้ า้ นการวจิ ยั และ สถิติ: รวมบทความทางวชิ าการของ ดร.นงลักษณ์ วริ ชั ชยั . ชลบุร:ี มหาวิทยาลยั บรู พา. นงลกั ษณ์ วิรชั ชยั . (2557). การค้นควา้ และการน�ำเสนอวรรณกรรมท่ีเกีย่ วขอ้ ง. ในประมวลสาระ ชดุ วชิ าการวจิ ยั การบรหิ ารการศกึ ษา. หนว่ ยที่ 8. พมิ พค์ รง้ั ที่ 2. นนทบรุ :ี สาขาวชิ าศกึ ษา ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. นงลกั ษณ์ วริ ชั ชยั . (2552). “ความสมั พันธ์ระหว่างสถติ ิกับการวิจัย”. สักทอง : วารสารการวจิ ัย. ปีท่ี 15 ฉบับที่ 1/2552 มกราคม-มิถนุ ายน 2552, หน้า 1-13. นงลกั ษณ์ วิรัชชยั . (2542). โมเดลลิสเรล: สถิติวเิ คราะหส์ �ำหรับการวจิ ัย. พมิ พค์ รั้งท่ี 3. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. นงลักษณ์ วิรัชชัย. (2551). “การพัฒนาตัวบ่งชี้การประเมิน” การประชุมวิชาการ เปิดขอบฟ้า คุณธรรมจรยิ ธรรม. วันท่ ี 29 สงิ หาคม 2551. โรงแรมแอมบาสเดอร์. นพรุจ ศักด์ิศิริ. (2553). รายงานการวิจัยเรื่อง การวิเคราะห์ปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับความส�ำเร็จ ของการน�ำนโยบายโรงเรียนมาตรฐานสากลไปปฏิบัติ. คณะนิติวิทยาศาสตร์ โรงเรียน นายร้อยต�ำรวจ. นภาภรณ์ หะวานนท์ และคณะ. (2543). รายงานการวิจัย การศึกษาเงื่อนไขความส�ำเร็จในการ ดำ� เนนิ งานของคณะกรรมการโรงเรยี น. (ม.ป.ท : ม.ป.พ).
558 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา นาซีฟะ เจะ๊ มูดอ. (2559). การวจิ ัยเชงิ ประเมนิ โครงการเสรมิ ศกั ยภาพครสู อนตาดกี าในโรงเรียน สามจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยใช้รูปแบบการประเมินของเคิร์กแพทริค.วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี. นริ ชรา ไชยแสง และศศธิ ร ดลปดั ชา. (2556). รายงานการวจิ ยั เรอื่ ง ความพงึ พอใจของบคุ ลากรตอ่ ปัจจัยสนับสนุนการวิจัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจำ� ปีการศึกษา 2555. ฝ่ายวางแผนและประกนั คุณภาพ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. นริ ดา อดลุ ยพเิ ชฏฐ.์ (2542). ผลของการใชโ้ ปแกรมพฒั นาเชาวนอ์ ารมณ์ ทม่ี ตี อ่ ระดบั เชาวนอ์ ารมณ์ ของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีท่ี 1 วิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ. วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑติ ภาควิชาจิตวทิ ยาการศกึ ษา บัณฑติ วทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นศิ า ชโู ต. (2551). การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ. พิมพค์ รงั้ ท่ี 4. กรงุ เทพฯ: พร้นิ ตโ์ พร. บริษัท ไทโย เฟอร์นิเทค จ�ำกัด. (ม.ป.ป.). เฟอร์นิเจอร์ส�ำนักงาน โต๊ะประชุมอัศวิน. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2563, จาก http://www.furnituretmcl.com/index.php?ProductID= Product-13090614430127212 บุญใจ ศรีสถิตย์นรากูร. (2553). ระเบียบวิธีการวิจัยทางพยาบาลศาสตร์. พิมพ์ครั้งท่ี 5. กรงุ เทพฯ: ยูแอนดไ์ อ อินเตอร์ มเี ดยี . บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธ์ิ. (2549). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพฯ : จามจุรีโปรดักท์. บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. (2551). ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์. พิมพ์คร้ังที่ 10. กรงุ เทพฯ : จามจรุ โี ปรดกั ท.์ บุญศรี พรหมมาพันธุ์. (2561). การวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัย. สืบค้นเม่ือ 17 พฤศจิกายน 2562, จาก https://adacstou.wixsite.com/adacstou/single-post/2018/05/16/ ปฐมเกยี รติ ไชยคำ� . (2554). รายงานการวจิ ยั เรอื่ ง ทฤษฎฐี านรากของโรงเรยี นผนู้ ำ� การเปลย่ี นแปลง ในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน. ส�ำนักงานเลขาธิการ สภาการศกึ ษา. กรมการศาสนา. พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบบั หลวง เลม่ 5, 10, 11, 12, 14, 15, 20, 21,22,23,24, 25, 28, 33, 34, 35. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พก์ ารศาสนา, 2541. ประกอบ คณุ ารักษ์. (2560). “ค�ำแนะน�ำในการทำ� วทิ ยานิพนธ”์ ใน เอกสารประกอบการบรรยาย ในโครงการสัมมนาดุษฎีนพิ นธ.์ บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั . ประกอบ คุณารกั ษ.์ (2560). “งานวจิ ยั : วทิ ยานพิ นธ”์ ใน เอกสารประกอบการบรรยายในโครงการ สัมมนาดุษฎีนิพนธ์. บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. ประชาสรรณ์ แสนภกั ด.ี (2562). เทคนคิ กระบวนการวางแผนแบบมสี ว่ นรว่ ม. สบื คน้ เมอ่ื 5 ตลุ าคม 2562, จาก http://www.prachasan.com/mindmapknowledge/aic.html ประพนธ์ เจยี รกลุ . (2553). ความร้พู ้ืนฐานเก่ยี วกับการวจิ ัยหลักสตู รและการเรยี นการสอน. ใน ประมวลสาระชดุ วชิ าการวจิ ยั หลกั สตู รและการเรยี นการสอน. หนว่ ยที่ 1 สาขาวชิ าศกึ ษา ศาสตร์. นนทบุร:ี สำ� นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. ประพันธ์ ผาสขุ ยืด. (2541). ทางเลอื กทางรอด. กรุงเทพฯ: เออาร์ อนิ ฟอเมช่ัน แอนด์ พบั บลิ เคช่นั .
Research in Educational Administration • 559 ประยงค์ เนาวบุตร. (2554). แนวการศึกษาชุดวชิ าระเบียบวธิ ีการวิจยั ชนั้ สูงเพือ่ การวจิ ัยทางการ บริหารการศึกษา. นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. ประยรู ทองสุวรรณ. (2530). มนุษยก์ ับการทำ� งาน. ม.ป.ท. ม.ป.พ. ปญุ ชรศั ม์ิ พนั ธวุ ฒั น.์ (2560).การพฒั นารปู แบบการบรหิ ารจดั การงานระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น ด้านการคดั กรองนักเรียนของโรงเรียนพร้าววทิ ยาคม จงั หวัดเชียงใหม่.วทิ ยานิพนธค์ รุ ศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงใหม่ ปณุ ยวีร์ อวยชยั สวัสด.ิ์ (2561). โมเดลสมการโครงสรา้ งภาวะผู้นำ� พลงั บวกของผบู้ รหิ ารโรงเรียน มัธยมศึกษาสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน. ดุษฎีนิพนธศ์ กึ ษาศาสตรดุษฎี บณั ฑติ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . ผ่องพรรณ ตรัยมงคลกูล และสุภาพ ฉัตราภรณ์. (2543). การออกแบบการวิจัย. พิมพ์คร้ังท่ี 3. กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พมิ พ์มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบบั ท่ี 4) พ.ศ. 2562. (2562, 1 ธนั วาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 136 ตอน 57 ก. พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542. (2542, 19 สิงหาคม). ราชกจิ จานุเบกษา. เลม่ 116 ตอน 74 ก. พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์. (2545). ชุดฝึกอบรมครู ประมวลสาระ การประกันคุณภาพการศึกษา. กรุงเทพฯ: ส�ำนกั งานปฏิรปู การศึกษา. พวงรัตน์ ทวี รัตน์. (2543). วิธีการวิจัยทางพฤติ กรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์คร้ังที่ 8. กรุงเทพฯ : ส�ำนักทดสอบทางการศึกษาและจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. พัฒนรินทร์ จันทะรัตน.์ (2552). การพัฒนาระบบสารสนเทศกลุ่มบริหารงานบคุ คลโรงเรียนดอน ไทรงามพทิ ยาคม อำ� เภอกมลาไสย จงั หวดั กาฬสนิ ธ.์ุ วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาการศกึ ษามหา บัณฑิต มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. พิชิต ฤทธ์ิจรูญ และ เก็จกนก เอื้อวงศ์. (2557). วิธีวิจัยทางการบริหารการศึกษา. ในประมวล สาระชดุ วชิ าการวจิ ัยการบรหิ ารการศึกษา. หนว่ ยท่ี 2. พมิ พ์คร้งั ที่ 2. นนทบุร:ี สาขา วิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช. พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2557). การประเมินโครงการ. ในประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยการบริหารการ ศกึ ษา. หน่วยท่ี 7. พิมพค์ รั้งที่ 2. นนทบรุ :ี สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. พิชิต ฤทธ์ิจรูญ. (2557). วิธีวิจัยทางการบริหารการศึกษา. ในประมวลสาระชุดวิชาการวิจัย การบริหารการศึกษา. หน่วยท่ี 2. พิมพ์ครั้งท่ี 2. นนทบุรี: สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช. พิชิต ฤทธ์ิจรญู และคณะ. (2555). รายงานการวิจัยเร่อื ง การวิจยั และพัฒนานโยบายการพฒั นา ครูและบุคลากรทางการศึกษา. วิทยาลัยการฝกึ หดั ครู มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พระนคร.
560 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา พิทักษ์ ศิริวงศ์. (2547). “ทฤษฎีฐานราก (Grounded Theory) วิธีวิทยาการวิจัยเพ่ือสร้างทฤษฎี ในการพัฒนาประเทศ,” บรรณสาร มศก.ท. (19) : 1 เมษายน – กันยายน. พูลพงค์ สุขสว่าง. (2556). โมเดลสมการโครงสร้าง.พิมพ์คร้ังท่ี 1. กรุงเทพฯ: บริษัท โรงพิมพ์ วฒั นาพานิช. เพชรนอ้ ย สิงห์ชา่ งชยั . (2549). หลักการและการใชส้ ถิติการวิเคราะหต์ ัวแปรหลายตัว ส�ำหรบั การ วจิ ัยทางการพยาบาล. (พมิ พ์ครั้งที่ 3). สงขลา: ชานเมืองการพมิ พ.์ ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง. (2531). พจนานกุ รมฉบบั เฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2530. กรุงเทพฯ: วฒั นาพานิช. มตชิ น ออนไลน.์ (2556). กรณไี มไ่ ดร้ บั ความเปน็ ธรรมจากมตสิ ภามหาวทิ ยาลยั และคำ� สงั่ ผบู้ รหิ าร ท่ีไม่ได้ปรับฐานเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรี.สืบค้นเม่ือ 22 มิถุนายน 2557, จาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1375676578 มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช. (2557). การวจิ ัยการบริหารการศึกษา.พมิ พ์คร้ังที่ 2. นนทบุร:ี โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2557). ประมวลสาระชุดวิชาการวิจัยการบริหารการศึกษา (หน่วยที่ 1-5). พิมพค์ รัง้ ท่ี 2. นนทบุรี: ผู้แตง่ . มูลนิธิมหามกุฏราชวทิ ยาลยั . (2538). พระไตรปิฎกบาลี ฉบบั สยามรฐั เล่ม 4, 5, 10, 11, 12, 14, 15, 19, 20, 21, 22, 23, 24, 25, 27, 28, 33, 34, 35. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. โมเดิล (Modal). (2557). การน�ำกลยุทธ์ไปปฏิบตั ิ. สบื คน้ เม่อื 19 สิงหาคม 2562, จาก http://mba- conduct.blogspot.com/2014/11/strategy-implementation.html โมเดิล (Modal). (2561). การติดตาม และการประเมินผล (Monitoring and Evaluation). สืบค้นเมื่อ 19 สิงหาคม 2562, จาก https://mbaholiday.blogspot.com/2018/02/monitor- ing-evaluation.html ยาเบน็ เรอื งจรญู ศร.ี (2553). ภาวะผนู้ ำ� กบั การทำ� งานเปน็ ทมี :ครบู า้ นนอกดอทคอม. สบื คน้ เมอื่ 28 กรกฎาคม 2557, จาก http://www.kroobannok.com/39858. เยาวดี วบิ ลู ยศ์ รี. (2535). การวิจยั สถาบัน: แนวคิดพ้ืนฐาน. วารสารสมาคมวิจัยสงั คมศาสตรแ์ ห่ง ประเทศไทย. จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . เยาวภา กนั ทรวชิ ยากลุ . (2530). ผลการใชก้ จิ กรรมกลมุ่ ทม่ี ตี อ่ พฤตกิ รรมไมต่ ง้ั ใจเรยี นของนกั เรยี น ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่3โรงเรยี นปา่ โมกขว์ ทิ ยาภมู ิจงั หวดั อา่ งทอง.ปรญิ ญานพิ นธก์ ารศกึ ษา มหาบณั ฑติ สาขาจติ วทิ ยาการแนะแนว บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. (ถ่ายเอกสาร). โยธนิ แสวงด.ี (2561). เอกสารบรรยาย : แนวคดิ วธิ กี ารเกบ็ ขอ้ มลู และวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ. สืบคน้ เมื่อ25 พฤศจกิ ายน 2561, จาก osec.ddc.moph.go.th›file›doc›19_paoorcho2 โยธิน แสวงด.ี (2557). การวจิ ัยเชิงคุณภาพ. สบื คน้ เมือ่ 25 สงิ หาคม 2561, จาก https://www.you- tube.com/watch?v=j48Kn-TD7iY ระพนิ ทร์โพธศ์ิ ร.ี (2553).สถติ เิ พอื่ การวจิ ยั .พมิ พค์ รง้ั ที่3.กรงุ เทพฯ:บรษิ ทั ดา่ นสทุ ธาการพมิ พ์จำ� กดั .
Research in Educational Administration • 561 รตั นะ บัวสนธ.์ (ม.ป.ป). วิธีการวิจัยเชิงผสมผสานทางการศึกษา (Mixed Method in Education Research). สบื คน้ เมือ่ 19 ตลุ าคม 2562, จาก www.rattanabb.com. รตั นะ บวั สนธ.์ (2553). วจิ ยั เชงิ ประเมนิ : แนวคดิ และการประยกุ ตใ์ ชใ้ นการศกึ ษา. เอกสารประกอบ การบรรยาย. คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น. (อัดส�ำเนา). รัตนะ บัวสนธ.์ (2540). การประเมนิ โครงการ : การวิจยั เชงิ ประเมิน.กรุงเทพฯ: ตน้ อ้อแกรมม่.ี รตั นะ บวั สนธ.์ (2551). ปรชั ญาการวิจยั . กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. รัตนะ บวั สนธ.์ (2556). วจิ ยั เชิงคณุ ภาพทางการศกึ ษา. พมิ พค์ ร้ังท่ี 4. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท วี.พรนิ้ ท์ (1991) จำ� กัด. ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน. พ.ศ. 2554. กรงุ เทพฯ: ผ้แู ตง่ . ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2540). สถิติวิทยาทางการวิจัย. พิมพ์คร้ังที่ 3. ภาควิชาการ วดั ผลและวิจยั การศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. กรุงเทพฯ : สุวิรยิ าสาสน์ . ลัดดาวัลย์ เพชรโรจน์ และคณะ. (2557). สถิติส�ำหรับการวิจัยและเทคนิคการใช้ SPSS. (ฉบับ ปรบั ปรุง) กรงุ เทพฯ : บริษัท มสิ ชัน่ มีเดีย จำ� กดั . ลิลลี่ ศิริพร และคณะ. (2557). รูปแบบการจัดการศึกษาแบบบูรณาการกระบวนการคิดอย่างเป็น ระบบและจิตบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ในสังคมพหุวัฒนธรรมสถาบันพระบรม ราชชนก. วารสารการพยาบาลและการศึกษา. 7(1), 39-54. วชรพร ชผู ล. (2559). การศึกษาผลสัมฤทธิท์ างการเรียน และความสามารถในการแก้ปัญหาของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ท่ีจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดแบบฮิวริสติกส์. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการสอนสงั คมศกึ ษา คณะศกึ ษา ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. วรรณดี สทุ ธนิ รากร. (2557). การวิจัยเชงิ ปฏิบัติการแบบมสี ่วนร่วมและกระบวนการทางสำ� นกึ . กรงุ เทพฯ: ส�ำนักพิมพ์สยาม. วรรณี แกมเกตุ. (2551). วิธีวิทยาการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์. พิมพ์ครั้งท่ี 2. กรุงเทพ ฯ: โรงพมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วรัญญา ภัทรสุข. (2557). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์.พิมพ์คร้ังท่ี 5. กรุงเทพ ฯ: โรงพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วรางคณา จันทร์คง. (2558). การประเมินกับวิจัยเหมือนหรือต่างกัน?. สืบค้นเม่ือ 8 พฤษภาคม 2562, จาก https://www.stou.ac.th/schools/shs/booklet/book582/ Research582.pdf) วาโร เพง็ สวัสด.์ิ (2552). การวิจัยและการพฒั นา (Research and Development). สืบคน้ เมอื่ 13 พฤษภาคม 2562, จาก snrujst.snru.ac.th/wp-content/uploads/2016/08/SNRU-JST-1-2-1.pdf วาโร เพง็ สวสั ด์.ิ (2552). การวิจัยและการพฒั นา. วารสารมหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร. 1(2), 3-4. วจิ ติ ร ศรสี อา้ น และทองอนิ ทร์ วงศโ์ สธร. (2550). แนวคดิ เกย่ี วกบั การวจิ ยั การบรหิ ารการศกึ ษา.ใน ประมวลสาระชุดวชิ าการวิจยั การบริหารการศึกษา (หน่วยที่ 8). พมิ พค์ ร้งั ท่ี 6. นนทบรุ ี: สำ� นักพมิ พม์ หาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช.
562 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา วีระยุทธ ชาตะกาญจน์. (2553). การวิจัยเชิงนโยบาย (Policy Research). วารสารวิชาการ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครศรีธรรมราช. 29 (2) (กรกฎาคม-ธนั วาคม 2553). ศรายุทธ วัยวุฒิ. (2562). การออกแบบการวิจัย รูปแบบการวิจัยและพัฒนา (R&D). สืบค้นเม่ือ 12 พฤษภาคม 2562, จาก www.research.nu.ac.th/th/signup/sigupAll/4_3RandD.pdf ศิรชิ ัย กาญจนวาสี และคณะ. (2555). การเลือกใชส้ ถิติที่เหมาะสมส�ำหรับงานวจิ ัย. พมิ พ์ครง้ั ที่ 6. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ศิรชิ ัย กาญจนวาสี, และคณะ. (2551). การเลอื กใช้สถติ ิทเี่ หมาะสมสำ� หรับการวจิ ยั . พิมพค์ ร้ังท่ี 5. กรุงเทพฯ : โรงพิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ศริ ชิ ยั กาญจนวาส.ี (2550). ทฤษฎกี ารประเมนิ . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . ศิรชิ ัย กาญจนวาสี และคณะ. (2559). ยุทธศาสตร์การกระจายอำ� นาจการจดั การศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: ส�ำนกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ าร. ศิริพร พูนชัย. (2546). ผู้น�ำและภาวะผู้น�ำ.ชลบุรี: การบริหารการพยาบาล มหาวิทยาลัยบูรพา. เอกสารการสอน. ศาลปกครองสูงสุด. (2554). คดีพิพาทเก่ียวกับการท่ีหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐ (ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ)กระท�ำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย. สบื ค้นเมือ่ 22 มถิ นุ ายน 2557, จาก https://www.google.co.th/webhp?sourceid ศิวะพร ภู่พันธ์. (2554). การศึกษาและทดสอบปัจจัยเชิงสาเหตุของการใช้ประโยชน์งานวิจัย ของอาจารย์มหาวิทยาลัย: งานวิจัยผสมวิธี. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . สถาบนั พัฒนาทกั ษะการคดิ และการเรยี นร้.ู (ม.ป.ป.). WHAT IS A MIND MAP ?. สบื คน้ เม่อื 6 พฤษภาคม 2562, จาก www.brainfriendlyacademy.com/main/what-is-mindmap/ สถาบนั สง่ เสรมิ การประเมนิ คณุ ภาพและมาตรฐานการศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ (2543). มาตรฐานการศกึ ษา เพื่อการประเมินคุณภาพภายนอก: ระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด บางกอกบล็อก. สมคดิ พรมจยุ้ . (2555). การเขยี นรายงานการวจิ ยั . พมิ พค์ รงั้ ที่ 1. นนทบรุ :ี จตพุ ร ดไี ซน.์ วทิ ยพฒั น.์ สมคดิ พรหมจยุ้ .(2550).เทคนคิ การประเมนิ โครงการ.พมิ พค์ รง้ั ที่5.นนทบรุ ี:จตพุ รดไี ซน.์ วทิ ยพฒั น.์ สมชาย วรกิจเกษมสกุล. (2553). ระเบียบวิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. พิมพ์คร้ังที่ 2. อดุ รธานี : คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุดรธานี. สมบัติ ธ�ำรงธัญวงศ์. (2554).นโยบายสาธารณะ : แนวความคิด การวิเคราะห์และกระบวนการ. พมิ พค์ รง้ั ที่ 22. กรงุ เทพฯ: คณะรฐั ประศาสนศาสตร์ สถาบนั บณั ฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร.์ สมบัติ สุวรรณพทิ กั ษ.์ (2554). การประเมินนโยบาย แผนงานและโครงการ. ในประมวลสาระชุด วิชาการประเมินนโยบาย แผนงาน และโครงการ (หน่วยท่ี 3). นนทบุรี: มหาวิทยาลัย สุโขทยั ธรรมาธิราช. สมบญุ ศิลปร์ ุ่งธรรม. (2547). อนาคตภาพหลักสตู รสิ่งแวดล้อมศกึ ษาระดบั การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ในทศวรรษหนา้ (ชว่ งระหวา่ งปี พ.ศ. 2547-2557). ปรญิ ญานพิ นธก์ ารศกึ ษาดษุ ฎบี ณั ฑติ , คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ.
Research in Educational Administration • 563 สมพงษ์ จิตระดับ และสุรศักด์ิ เก้าเอี้ยน. (2556). รายงานการวิจัยเร่ือง โครงการการพัฒนา สมรรถนะระบบท่ีปรกึ ษาให้สภาเด็กและเยาวชนในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. สมหวงั พิธิยานวุ ัฒน์. (2553). วธิ วี ิทยาการประเมินศาสตร์แห่งคุณคา่ . พิมพค์ ร้งั ที่ 5. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. สมหวัง พธิ ิยานวุ ฒั น์. (2553). วิธีวทิ ยาการประเมนิ : ศาสตรแ์ ห่งคุณค่า. พิมพค์ รั้งที่ 5. กรงุ เทพฯ: สมาคมวิจัยสถาบันและพัฒนาอุดมศึกษา. (2543). ข้อบังคับของสมาคมวิจัยสถาบันและพัฒนา อดุ มศึกษา. กรุงเทพฯ: ผู้แตง่ . สายันต์ ปฏิกานัง. (ม.ป.ป.). ประเภทของวิธีการสุ่มตัวอย่าง. สืบค้นเม่ือ 18 พฤศจิกายน 2562, จาก www.takasila.org › takasila › file › Sampling Sayan ID5655110075-2sec14 ส�ำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2. (2562). ระบบข้อมูลสารสนเทศเพ่ือ การบริหาร. สืบค้นเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2562, จาก https://data.bopp-obec.info/emis/ school.php?Area_CODE=7302 สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน. (2557). นโยบายสำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา ขั้นพื้นฐาน ปีงบประมาณ 2558. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย จํากัด. ส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน. (2558). แผนปฏิบัตกิ ารประจ�ำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559. กรงุ เทพฯ: ส�ำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน. ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2543). แนวทางการประกันคุณภาพภายใน สถานศึกษา: เพอ่ื พรอ้ มรบั การประเมินภายนอก. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภา. ส�ำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. (2560). คู่มือการประกันคุณภาพการศึกษาภายในระดับ อดุ มศึกษา พ.ศ. 2557. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 4. กรงุ เทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำ� กดั ภาพพมิ พ.์ ส�ำนักงานประกันคุณภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. (2562). นิยามของการ ประกันคุณภาพการศึกษาภายใน. สืบค้นเม่ือ 21 ธันวาคม 2562, จาก https://www. eg.mahidol.ac.th/qa/index.php?option=com_content&view=article&id=70 ส�ำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2547). แนวทางการพัฒนานครแห่งความรู้. กรุงเทพ : หา้ งหุน้ ส่วนจำ� กัด ภาพพิมพ.์ ส�ำนักงานสถิติแห่งชาติ. (ม.ป.ป.). เทคนิคการสุ่มตัวอย่างและการประมาณค่า. สืบค้นเมื่อ 18พฤศจกิ ายน2562,จากfile:///C:/Users/WIN%2010/Downloads/Documents/A3-16.pdf ส�ำนักประกันคุณภาพการศึกษา มทร.ธัญบุรี. (2562). นิยามของการประกันคุณภาพการศึกษา. สบื ค้นเม่ือ 21 ธันวาคม 2562, จาก https://www.eqa.rmutt.ac.th/?page_id=850 สำ� นกั มาตรฐานอดุ มศกึ ษาทบวงมหาวทิ ยาลยั .(2541). แนวทางการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาระดบั อดุ มศกึ ษา. กรุงเทพฯ: ผ้แู ต่ง. ส�ำราญ มีแจ้ง. (2557). สถิติข้ันสูงส�ำหรับการวิจัย. พิมพ์คร้ังที่ 1. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
564 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา สิตะวนั .(2562). การวิจัยเชิงประเมิน. สืบค้นเมอ่ื 8 พฤษภาคม 2562, จาก http://sitawan112.blog- spot.com/2011/03/blog-post_7224.html) สิทธิ์ ธีรสรณ์. (2556). เคล็ดลับการเขียนรายงานวิจัยและวิทยานิพนธ์. พิมพ์คร้ังท่ี 2. ม.ป.ท.: บรษิ ัท ว.ี พรน้ิ ท์ (1991) จ�ำกัด. สิทธ ์ิ ธรี สรณ์. (2552). เทคนิคการเขยี นรายงานวิจยั . พมิ พค์ รัง้ ที่ 3. กรงุ เทพฯ : สำ� นักพมิ พแ์ ห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . สิรินทรพ์ ร วงศพ์ ีรกุล. (2552). การตดิ ตามและประเมนิ กระบวนการน�ำนโยบายเรยี นฟรี 15 ปี ไป ปฏิบัติในสถานศึกษา: การประยุกต์วิธีการประเมินแบบผสมผสาน. วิทยานิพนธ์ ดุษฎีบณั ฑิต สาขาวชิ าการวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. สคุ นธา คงศีล และสขุ ุม เจียมตน. (2550). การวจิ ัยเชงิ นโยบาย คืออะไร และท�ำอยา่ งไร? .วารสาร บริหารงานสาธารณสขุ . ปที ี่ 13 ฉบับท่ี 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2550). สุชาติ ประสิทธิร์ ฐั สินธ์ุ และกรรณิการ์ สุขเกษม. (2547). วิธวี ทิ ยาการวิจัยเชงิ คุณภาพ : การวิจัย ปัญหาปัจจบุ นั และการวจิ ยั อนาคตกาล. กรุงเทพฯ : เฟ่ืองฟา้ พริ้นต้งิ . สุชาติ ประสิทธ์ิรัฐสินธุ์. (2554).วิธีวิทยาการวิจัยเชิงคุณภาพ ยุคใหม่. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วน จำ� กดั สามลดา. สุชาติ ประสิทธ์ิรัฐสินธุ์. (2556). การใช้สถิติในงานวิจัยอย่างถูกต้องและได้มาตรฐานสากล. พิมพ์ครั้งท่ี 6. กรงุ เทพฯ: ห้างห้นุ ส่วนจำ� กัด สามลดา. สุชาติ ประสิทธ์ิรัฐสินธุ์. (2556). การใช้สถิติในงานวิจัยอย่างถูกต้อง และได้มาตรฐานสากล. พมิ พ์ครง้ั ที่ 6. กรงุ เทพฯ : หา้ งหุ้นส่วนจำ� กดั สามลดา. เสริมศักด์ิ วศิ าลาภรณ์. (2520). พฤติกรรมผู้น�ำทางการศึกษา. กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ . สชุ าติ ประสทิ ธิ์รฐั สนิ ธ.์ุ (2550). ระเบียบวิธกี ารวิจัยทางสงั คมศาสตร์. พมิ พ์คร้งั ท่ี 14. กรุงเทพฯ: หา้ งหนุ้ ส่วนจำ� กัด สามลดา. สุธดิ า ภักดบี ุญ. (2548). การวจิ ยั พหุเทศะกรณศี กึ ษาของระบบการดำ� เนินงานการดูแลช่วยเหลอื นักเรียนในสถานศึกษา. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิจัยการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. สุปรียา ตันสกุล. (2540). ผลของการใช้รูปแบบการสอนแบบการจัดข้อมูลด้วยแผนภาพท่ีมีต่อ สัมฤทธิผลทางการเรียนและความสามารถทางการแก้ปัญหา. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร ดุษฎีบณั ฑิต สาขาวชิ าจิตวทิ ยาการศกึ ษา จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . (สําเนา). สุพกั ตร์ พิบูลย.์ (2554). งานวจิ ยั สถาบัน (Institutional Research). ม.ป.ท.: (เอกสารอัดส�ำเนา). สภุ มาส องั ศโุ ชติ และคณะ. (2557). สถติ วิ เิ คราะห์ สำ� หรบั การวจิ ยั ทางสงั คมศาสตรแ์ ละพฤตกิ รรม ศาสตร์ : เทคนิคการใช้โปรแกรม LISREL. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: เจริญดีมั่นคง การพิมพ์. สุภางค์ จนั ทวานิช. (2547). การวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นร่วมเพ่อื พัฒนารูปแบบ. กรุงเทพฯ: สถาบันเอเชยี ศึกษา จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . สบื คน้ เม่อื 6 พฤษภาคม 2562, จาก http:// advisor.anamai.moph.go.th/main.php?filename=aic02)
Research in Educational Administration • 565 สุภางค์ จันทวานิช. (2548). วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ. พิมพ์ครั้งท่ี 13. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุภางค์ จันทวานิช. (2546). วิธีการเก็บข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ. ใน คู่มือการวิจัยเชิง คุณภาพเพ่ืองานพัฒนา, อุทัย ดุลยเกษม, บก. พิมพ์คร้ังท่ี 4. : สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น. สภุ าพร พศิ าลบตุ ร. (2543). หลักการแผงแผน. กรงุ เทพฯ: สถาบันราชภัฏสวนดุสติ . สุรพงศ์ เอื้อศิริพรฤทธิ์. (2547). การพัฒนาตัวบ่งช้ีรวมความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของ สถานศึกษาของสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานในจังหวัดภาคใต้. ปริญญานิพนธ์การศึกษา ดษุ ฎบี ณั ฑติ สาขาการบรหิ ารการศกึ ษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. สุรสิทธ์ิ วชิรขจร. (ม.ป.ป.). การติดตามและการควบคุม. สืบค้นเม่อื 19 สิงหาคม 2562, จาก http:// www.dop.go.th/download/formdownload/download_th_20161904141343_1. pdf สุวิมล ติรกานันท์. (2557). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์ : แนวทางสู่การปฏิบัติ. พิมพ์ครง้ั ท่ี 12. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . สุวมิ ล ติรกานันนท.์ (2555). การวเิ คราะห์ตัวแปรพหุในงานวิจัยทางสงั คมศาสตร์. พิมพค์ รงั้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . สุวิมล ติรกานันนท์. (2557). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์: แนวทางสู่การปฏิบัติ. พมิ พค์ รง้ั ที่ 12. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . องอาจ นัยพฒั น.์ (2549). วธิ ีวิทยาการวจิ ัยเชงิ ปริมาณและเชิงคณุ ภาพทางพฤติกรรมศาสตร์ และ สงั คมศาสตร.์ พิมพค์ รง้ั ที่ 2. กรุงเทพฯ: หา้ งหุ้นสว่ นจ�ำกดั สามลดา. อมรวชิ ช์ นาครทรรพ และดวงแกว้ จนั ทรส์ ระแกว้ . (2541). การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารอยา่ งมสี ว่ นรว่ ม: ข้อคิด แนวทาง และประสบการณข์ องผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.อลศิ รา ชูชาต.ิ (เอกสาร อัดส�ำเนาเยบ็ เลม่ ). อรพินท์ สพโชคชัย. (2537). คู่มือการจัดการประชุมเพ่ือระดมความคิดในการพัฒนาหมู่บ้าน: การพัฒนาหมู่บ้านโดยพลังประชาชน. พิมพ์ครั้งท่ี 1. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยเพื่อ การพัฒนาประเทศไทย. อรุณี อ่อนสวัสดิ์. (2551). ระเบียบวิธีวิจัย. พิมพ์คร้ังท่ี 3. พิษณุโลก: ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร. ออฟฟซิ ฟอร์ยู (2563). โต๊ะเก้าอีส้ ำ� นกั งาน. สบื ค้นเม่อื 27 มกราคม 2563, จาก http://www.officefor u.com/product/166/ อาชัญญา รัตนอบุ ล และคณะ. (2552) การศกึ ษาสภาพ ปญั หา ความต้องการ และรูปแบบการ จัดกิจกรรม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ด้านการเตรียมความพร้อมเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุของผู้ใหญ่วัยแรงงาน. คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. อำ� นาจ วดั จนิ ดา. (2553). กรอบแนวคดิ ปจั จยั 7 ประการ (McKinney 7-S Framework). สบื คน้ เมอ่ื 6 พฤษภาคม 2562, จาก http//www.gracezone.org/index.../81--in-search-of- excellence-
566 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา อุทัย บุญประเสริฐ. (2546). การบริหารจัดการสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน. กรุงเทพฯ : ศูนยต์ �ำราและเอกสารทางวิชาการ คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. อทุ ยั บญุ ประเสริฐ. (2546). รายงานการวจิ ัยเร่ือง การศกึ ษาทางการบริหารและการจดกั ารศกึ ษา ของสถานศึกษาในรูปแบบการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน. กรุงเทพฯ: ส�ำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ. อุทุมพร จามรมาน. (2544). วธิ ที ำ� ประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรยี น. กรงุ เทพฯ : ฟันน่ี พับ บลิชช่งิ . ภาษาองั กฤษ Aguilar, F.J. (1967). Scanning the business environment. New York: Macmillan Co. Alkin, Marvin C. (1972). “Wider Context Goals-Based Evaluators.” In Evaluation Comment: The Journal of Educational Evaluation. Center for Study of Evaluation, UCLA, 3 (4, December): 10-11. Allen, T. Harrell. (1978). New Methods in Social Science Research. New York: Praeger. Anderson, J.C. & Gerbing, D. W. (1988). Structural equation modeling in practice: A review and recommended two-step approach. Psychological Bulletin. 103(3), 411-423. Appleton, J.V. (1995). Analysing qualitative interview data: addressing issues of validity and reliability. Journal of Advanced Nursing. 22, 993-997. Arbuckle, J.L. (1995). AMOS for windows analysis of moment structures. Version 3.5. Chicago: Small Waters Corp. Ary, D., Jacobs. L.C., & Sorensen, C. (2010). Introduction to Research in Education. 8th ed. California: Wadsworth. Babbie, E. (2002). The basis of social research. 2nd ed. Belmont, CA: Wadsworth/Thomson Learning. Babbie, E. (2007). The practice of social research. 11th ed. Belmont, CA: Wadsworth/ Thompson Learning. Bailey, K.D. (1994). Methods of social research. 4thed. New York: The Free Press. Barbara, M. B. (2012). Structural equation modeling with Mplus: basic concepts, application, and programming. New York: Taylor & Francis Group. Bentler, P. (1989). EQS structural equations program manual. Los Angeles. Best, J.W. and Kahn, J.V. (1993). Research Education. 7th ed. Boston : Allyn and Bacon. Blank, G. (1993). Review of reading: What can be measured. Retrieved March15, 2010, from http://www.Sil.org/lingualinks/literacy/ReferenceMaterials/BibligraphyLiteracy/ Blank1993.htm
Research in Educational Administration • 567 Bollen, K.A. (1989). Structure Equations with Latent Variables. New York: Wiley. Brannen, J. (2005). Mixed Methods Research : A Discussion Paper. Retrieved May, 2016, from www. eprints. Ncrm. ac.uk > Methods Review Pap. Brewer, J. and Hunter, A. (2006). Foundations of multimethod research: synthesizing styles. 2nded. Thousand Oaks, CA: Sage. Bryman, A. (2004). Social research methods. 2nd ed. New York: Oxford University Press. Buasont, R. (2008). Philosophy of Research. Bangkok: Chulalongkorn University Press. [in Thai] Burns, N. and Grove, S.K. (1997).The practice of nursing research : Conduct critique & utilization. 3rd ed. Pensylvania: Saunders. Burstein, L., Oakes, J. & Guiton, G. (1992). Education indicators. Encyclopedia of educational research. 6th ed. New York: Macmillan. Campbell, W.G. and Ballon, S.V. (1974). Form and style Thesis, reports, termpapers. Boston: Houghton Mifflin. Campbell, D.T. & Stanley, J.C. (1963). Experimental and quasi-experimental designs for research. Chicago: Rand McNally & Company. Charmaz. (2000). Grounded theory: Objectivist and constructivist methods. Thousand Oaks, CA: Sage. Chitradub, S. & Kao-iean. (2013). Final Report: A Capacity Development System for Advisor of Children and Youth Council in Thailand (Unpublished Document). Bangkok: Chulalongkorn University. [in Thai] Christensen, B.L. (1988). Experimental methodology. 4thed. Boston: Allyn and Bacon. Clark, V.P. and Creswell, J.W. (2008). The Mixed Methods Reader. Singapore: Sage Publications. Cochran, C.L. and Malone, E.F. (1995). Public policy: perspectives and choices. New York: McGraw-Hill. Coleman, James A. (1959). ทฤษฎีสมั พทั ธภาพ. แปลและเรียบเรียงจากเรอื่ ง Relativity for the Layman โดย สุวิทย์ ชวเดช. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 9. กรงุ เทพฯ: สมิต. Cooley, W. W. (1978). Explanatory observational studies. Educational researcher. 7(9), 9-15. Creswell, J.W. & Clark, V.P. (2007). Designing and Conducting Mixed Methods Research. Thousand Oaks, C.A. : Sage Publications. Creswell, J.W. & Clark, V.P. (2011). Designing and Conducting Mixed Methods Research. 2nd ed. London : Sage Publications. Creswell, J.W. (2008). Educational research: Planning, conducting, and evaluating quantitative and qualitative research. 3rded. New Jersey: Merrill Prentice Hall. Creswell, J. W. (2009). Research Design: qualitative, quantitative and Mixed Methods Approaches. 3nd ed. California: Sage.
568 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา Creswell, J.W. (2015). A Concise Introduction to Mixed Methods Research. Thousand Oaks, C.A.: Sage Publications. Creswell, J.W. (1998). Qualitative Inquiry and Research Design: Choosing Among Five Tradition. Thousand Oaks: Sage. Creswell, J.W. (2003). Research design: Qualitative, Quantitative and method approaches. Thousand Oaks, CA: Sage. Creswell, J.W. (2005). Research Design: qualitative, quantitative and Mixed Methods Approaches. 2nd ed. California: Sage. Creswell, J.W. and Clark, V.P. (2007). Designing and Conducting Mixed Methods Research. New Delhi: Sage Publications. Creswell, J.W. and Plano Clark, V.L. (2011). Designing and Conducting Mixed Methods Research. 2nd ed. Thousand Oask: SAGE Publications. Creswell, J.W. (2013). Qualitative Inquiry & Research Design Choosing among Five Approaches. 3rd ed. Thousand Oaks, CA SAGE. Davis, L. (1992). Instrument review: Getting the most from your panel of experts. Applied Nursing Research. 5, 104-107. Delaney, A.M. (2006). Research Design Ideas for Institutional Researchers. Workshop presented at the 46th Annual Forum of the Association for Institutional, Chicago, IL. Denzin, N. K., & Lincoln, Y. S. (2000). Handbook of qualitative research. 2nded. Thousand Oaks, Calif: Sage Publications. Dessler, G. (1999). Essentials of Human Resource Management. New Jersey: Prentice Hall. Diamantopoulos, A. & Siguaw, A.D. (2000).Introducing LISREL: A Guide for the Uninitiated. London: Sage Publications. Dukeshire, S. & Thurlow, J. (2002). Understanding the Link Between Research and Policy. Halifax, NS: Rural Communities Impacting Policy Project. Atlantic Health Promotion Research Centre at Dalhousie University, pp. 3-4. Einstein, A.(1989). The Human Side [Helen and Hoffman, Banesh Dukas]. NewJersey: Princeton University Press. Einstein, A. (2013). The Human Side: New Glimpses from His Archives. The United Kingdom: Princeton University Press. Eisner, E.W. (1976). Education connoisseurship and criticism: their form and function in education evaluation. Journal of Aesthetic Education. Bicentennial Issue, 10(3-4), 135-150. Entwisle, B.R. et al. (1996). Community and contraceptive method choice in Nang Rong, Thailand. Demography.
Research in Educational Administration • 569 Ethridge, D.E. (2004). Research Methodology in Applied Economics: Organizing, Planning, and Conducting Economic Research. 2nd ed. Oxford: Blackwell Publishing. Field, A. (2005). Discovering statistics using SPSS. 2nded. Thousand Oaks, CA, US: Sage Publications, Inc. Fincher, C. (1978). Institutional Research as Organizational Intelligence. Research in Higher Education. 8(2), 189-192. Fitz-Gibbon. (1996). Monitoring Education on quality indicators of lifelong learning. London: Cassell. Gall, M. D., Gall, J. P., & Borg, W. R. (2003). Educational research: An introduction. 7th ed. Boston: Allyn & Bacon. Glaser, B. & Strauss, A. (1967). The Discovery of Grounded Theory: Strategies for Qualitative Research. Mill Valley, CA Sociology Press. Glaser, B.G. and Strauss, A.L. (1967). The Discovery ofGrounded Theory: Strategies for Qualitative Research. New York Aldine De Gruyter. Glaser, Barney G. and Strauss, Anselm L. (1967).The Discovery Grounded Theory : Strategies for Qualitative Research. Aldine, p. 271. Glatter, R. (1979). Educational Policy and Management: One field or two? Educational Analysis. 1, 16. Global Health University. (2015). Module 10: Distinguishing Evaluation from Research. Gravetter, F.J. and Forzano, L.B. (2003). Research methods for the behavioural sciences. Thomson Monette, New York. Greene J.C., Caracelli V.J. and Graham W.F. (1989). Toward a conceptual framework for mixed–method evaluation designs. Educ. Eval. Policy Anal., 11: 255-274. Haddad, W.D. (1995). Education Policy-Planning Process: An Applied Framework. Paris: UNESCO. Hair, J. F., Jr. Black, W. C., Babin, B. J., Anderson, R. E. and Tatham, R. L. (2006). Multivariate data analysis. 6thed. New Jersey: Prentice Hall. Hair, J.F., Black, W.C., Babin, B.J. and Anderson, R.E. (2010). Multivariate Data Analysis. 7th ed. Pearson, New York. Hox, J.J. & Bechger, T.M. (2000). An Introduction to Structural Equation Modeling. Family Science Review. 11, 354-373. Hoy, W. K.& Miskel, C. G. (1991). Educational administration: theory, research and practice. New York: McGraw-Hill.
570 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา Hu, L.T. and Bentler, P.M. (1999). Cutoff Criteria for Fit Indexes in Covariance Structure Analysis: Conventional Criteria versus New Alternatives. Structural Equation Modeling. 6(1), 1-55. Hyman et al. (1962). Evaluation research. Berkeley: University of California. Ihantola, E.M. & Kihn, L.A. (2011). Threats to Validity and Reliability in Mixed Methods Accounting Research. Retrieved June, 2016, From www.emeraldinsight.com/ journals.htm?issn=1176-6093& volume =8&issue=1 Jacobson et al. (1988). Evaluating instrument for use in clinical nursing research. In M. Frant-Stromborg, (ed.). Instrument for clinical nursing research. Connecticut: Appleton & Lange. James, A.F. (2005). Is there a difference between evaluation and research?.The Diabetes EDUCATOR. Vol.31 pp. 150-155. Johnson, Burke and Christensen Larry . (2003). Educational Research: Quantitative, and Qualitative Approach. Boston: Allyn & Bacon. Retrieved October, 2561, from http:// www.uniteforsight.org/evaluation-course/module10 Johnson, R. B. & Onwuegbuzie, A. (2004). Mixed Methods Research: A Research Paradigm Whose Time Has Come. In Bryman, A. (ed.) Mixed Methods. Vol.2 London: Sage. Johnson, R.B. & Christensen, L.B. (2014). Educational Research Methods: Quantitative, Qualitative, and Mixed Approaches. 5thed. Los Angeles, C.A : Sage. Johnson, R.B. (2014). Mixed Methods Design and Analysis with Validity: A Primer. USA: Department of Professional Studies, University of South Alabama. Johnson, B.& Christensen, L. (2003). Educational research: Quantitative and qualitative approach. Boston: Allyn & Bacon. Johnson, B. & Christensen, L. (2012). Educational research: Quantitative, qualitative, and mixed approaches. 4th ed. Thousand Oaks, CA: Sage. Johnston, J. N. (1981). Indicators of Education System. London: Unesco. Jöreskog, K. G. (1973). “A General Method for Estimating a Linear Structural Equation System,” in A. S. Goldberger and O. D. Duncan, eds., Structural Equation Models in the Social Sciences, New York: Academic Press. Jöreskog, K.G. & Sörbom, D. (1993). LISREL 8: Structural equation modeling with the SIMPLIS command language. Chicago, IL, US: Scientific Software International; Hillsdale, NJ, US: Lawrence Erlbaum Associates, Inc. Jöreskog, K.G. & Sörbom, D. (1996). Lisrel 8 : Structural Equation Modeling with the SIMPLIS Command Language. Chicago : Scientific Software International.
Research in Educational Administration • 571 Jöreskog, K.G. & Sörbom, D. (1996). LISREL 8: User’s Reference Guide. IL: Scientific Software International Inc. Jöreskog, K.G. & Sörbom, D. (2012). LISREL 9.1: LISREL syntax guide. Chicago: Scientific Software International. Kaplan, D. (2000). Structural Equation Modeling: Foundations and Extensions. Thousand Oaks, CA: Sage Publications. Kaplan, R. & Norton, D. (1992). The balanced scorecard - measures that drive performance. Harvard Business Review, 70, 71-79. Kaplan, R.S. & Norton, D.P. (1996). Linking the balanced scorecard to strategy. California Management Review, 39(1), 53-79. Kaplan, R.S. & Norton, D.P. (2000). The Strategy-Focused Organization: How Balanced Scorecard Companies Thrive in the New Business Environment. Boston, M.A.: Harvard Business School Press. Keesling, J. W. (1972). Maximum Likelihood Approaches to Causal Analysis, Ph.D. thesis, University of Chicago, Chicago. Keith Davis. (1992). Human Behavior at Work Human Relation and Organization Behavior. 4th ed. New York : McGraw-Hill. Kerlinger F.N. and Lee, H.B. (2000). Foundations of Behavioral. Research. 4th ed. Philadelphia, USA: Harcourt College Publishers. Kerlinger, F.N. (1973). Foundations of Behavioral Research. 2nded. Description, New York : Holt, Rinehart and Winston. Kerlinger, F.N. (1986). Foundations of Behavioral Research. 3rded. New York: Holt, Rinehart and Winston. Kerlinger, F.N. (1988). Management information system: A contemporary perspective. New York: Macmillan. Kirk, R.E. (1995). Experimental Design: Procedures for the Behavioral Sciences. 3rded. Pacific, Ca: Brooks/Cole. Knezevich, S. J. (1969). Administration of Public Education. New York: Harper and Row. Knowles, Asa S., ed. (1984). The International Encyclopedia of Higher Education. San Francisco: Jossey-Bass Publishers. Krathwohl, D. R. (1993). Methods of educational and social science research: An integrated approach. New York: Longman. Krathwohl. (1979). How to Prepare a Research Proposal. 2nd ed. New York: Syracuse University Bookstore. Leedy, P.D. & Ormrod, J.E. (2001). Practical Research: Planning and Design. 7th ed. New Jersey: Prentice-Hall.
572 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา Lie, M. & Lomax, R. G. (2005). The effect of varying degrees of non-normalityin structural equation modeling. Structural equation modeling: A Multidisciplinary journal. 12,1-27. Livingstone, I.D. (2005). Foundations of Behavioral Research. 2nd ed. New York: Holt, Rinehart and Winston. Lofland, J. & Lofland L.H. (1995).Analyzing Social Settings: a guide to qualitative observation and analysis. 3rd ed. Belmont, CA, Wadsworth Publishing Company. Lunenburg, F.C.and Ornstein, A.C. (1996). Educational Administration. 2nd ed. California: Wadsworth publishing company. Lyddon, J. W., McComb, B. E. & Mizak, J. P. (2012). Tools for executing strategy. In R. D. Howard & others (eds.) The handbook of institutional research. San Francisco: Jossey-Bass. MacCallum, R.C., Wegener, D.T., Uchino, B.N. & Fabrigar, L. R. (1993). The problem of equivalent models in applications of covariance structure analysis. Psychological Bulletin, 114, 185-199. Macmillan, T.T. (1971). “The Delphi Technique.” Paper Presented at The Annual Meeting of the California Junior Colleges Associations Committee on Research and Development. California, US.: Monterey, May 3-5 Marcoulides, G. A. & Schumacker, R. E. (2001). New developments and techniques in structural equation modeling. New Jersey: Lawrence Erlbaum Associates. Maxwell, J. A. (1996). Qualitative Research Design: An Interactive Approach. Thousand Oaks, CA: Sage Publications. Mayring, P. (2001). Qualitative content analysis. Forum Qualitative Social Research. 1(2, June). Retrieved March 4, 2008, from http://qualitative-research.net/fqs/fqs-e/2-00inhalt-e.htm Merriam, S. B. (2009). Qualitative research: A guide to design and implementation. San Francisco, CA: Jossey-Bass. Miles, M. B. & Huberman, A. M. (1994). Qualitative data analysis. 2nded. Thousand Oaks: SAGE Publications. Mogalakwe, M. (2006). The Use of Documentary Research Methods in Social Research, African Sociological Review. 10, (1), 221-230. Mooney, J.D., & Reiley, A.C. (2004). Onward industry: the principles of organization and their significance to modern industry. London: Pickering & Chatto. Morse, J. M. (2003). Principles of mixed methods and multi-method research design. In A. Tashakkori & C. Teddlie (Eds.), Handbook of mixed methods in social & behavioral research (pp. 189–208). Thousand Oaks, CA: Sage.
Research in Educational Administration • 573 Mulaik, S. A.& Millsap, R. E. (2000). Doing the four-step right. Structural equation modeling, 7, 36-73. Munro, B. H. (2001). Statistical Methods for Health Care Research. 6th ed. Philadelphia: Lippincott. Nachmias, F.C. and Nachmias, D. (1993). Research Methods in Social Sciences. 4th ed. London: St. Martin Press Inc. Nagel, S.S. (2002). Handbook of Public Policy Evaluation. 2nd ed. London: Sage. Neuman, W. L. (2000). Social research methods: Qualitative and quantitative approaches. Boston: Allyn and Bacon. Neuman, W.L. (2000). Social research methods: Qualitative, Quantitative and method approaches. 4thed. Boston: Allyn and Bacon. Neuman, W.L. (2003). Social Research Methods Qualitative and Quantitative Approaches. 5thed. Boston: Allyn & Bacon. Nunnally, J. C. (1967). Psychometric Theory. New York: McGraw-Hill. Nunnally, J.C. (1978). Psychometric theory. 2nded. New York : McGraw-Hill. Patton, M.Q. (1978). Utilization-focused evaluation. Beverly Hills, CA: Sage. Patton, M.Q. (2002). Qualitative research & evaluation methods. 3rd ed. ThousandOaks: SAGE Publications. Pike, Kenneth Lee (ed.). (1967). Language in Relation to a Unified Theory of Structure of Human Behavior. 2nded. The Hague, Netherlands: Mouton. Polit, D.F. & Hungler, B.P. (1987). Nursing research: Principles and methods. 3th ed. Philadelphia: Lippincott. Poopan, S. (2011). An Exploration and Test of Causal Factors of Research Utilization of University Faculty Members: Mixed Methods Research (Unpublished Doctoral Dissertation). Bangkok: Chulalongkorn University. [in Thai] Punch, K.F. (2003). Survey research: the basics. California: Sage Publications. Punch, K.F. (2005). Transformations Process: quantitative and qualitative approaches. 2nd ed. Sage. Putt, A. D., and Springer, J. F. (1989). Policy Research: Concepts, Methods, and Applications. New Jersey: Prentice Hall. Rex, B. K. (2011). Principles and practice of structural equation modeling. 3rd ed. New York: Guilford Publications. Richardson, I.L.& Baldwin, S. (1976). Public administration: government in action. Ohio: Charles E. Merrill.
574 • การวิจัยทางการบริหารการศกึ ษา Riecken, H. W. (1952). Readings in Evaluation Research. 2ed ed. Publications of Russell Sage Foundation. Rossi, P. H., & Freeman, H. E. (1982). Evaluation: A systematic approach. 2 nd ed. Beverly Hills, CA: Sage. Saupe, J.L. (1981). The Functional of Institutional Research. Florida : University of Missouri. Saupe, J.L. (1981). The Functional of Institutional Research. Florida : University of Missouri. Saupe, J. L. (1990). The functions of institutional research. Florida: University of Missouri. Schumacker, R.E. & Lomax, R. G. (2010). A beginner’s guide to structural equation modeling. 3rd ed. New Jersey: Lawrence Erlbaum Associates. Schwandt, T. A. (2001). Dictionary of qualitative inquiry. 2nd ed. Thousand Oaks, CA: Sage. Scott J, et al. (2006). Efficient algorithms for detecting signaling pathways in protein interaction networks. J Comput Biol. 13(2):133-44. Scott, J. (1990). A Matter of Record, Documentary Sources in Social Research. Cambridge: Polity Press. Selener, D. (1997). Participatory action research and social change. Retrieved Feb 5, 2005, from http:// www. Aces.uiuc.edu/-IPRP/par.html Silver, P. (1983). EducationalAdministration: Theoretical Perspectives on Practice and Research. New York: Harper and Row, Publishers. Siriporn, L. et al. (2014). The Integrated Education Model of Systems Thinking and Humanized Health Care within Multi-cultural Society, Praboromarajchanok Institute. Journal of Nursing and Education. 7(1), 39-54 (2014, January-March). Spradley, J.P. (1980). Participant observation. New York: Holt, Rinehart and Winston. Stevens, J. (1992). Applied multivariate statistics for the social sciences. 2nded. Hillsdale, NJ, US: Lawrence Erlbaum Associates, Inc. Stevens, J. (1996). Applied multivariate statistics for the social sciences. Mahwah, NJ: Lawrence Erlbaum Associates. Stevens, S.S. (1951). Mathematics, measurement and psychophysics in Handbook of experimental psychology. New York: Wiley. Stevens, S.S. (1960). Handbook of experimental Measurement. New York: Wiley. Stover, J.G. & Gordon, T.J. (1979). Cross-Impact Analysis. In Handbook of Future Research. Connecticut London England: Greenwood Press.
Research in Educational Administration • 575 Strauss, A., & Corbin, J. (1998). Basics of Qualitative Research: Techniques and Procedures for Developing Grounded Theory. Thousand Oaks, CA: Sage Publications, Inc. Stufflebeam. (eds.). (1983). Evaluation Models: Viewpoints on Educational and Human Services Evaluation. Boston: Kluwer Nijhof. Stufflebeam, D.L. (1983). The CIPP Model for program evaluation. In G.F. Madaus, M. Scriven, and D.L. Stufflebeam, D.L. (1968). “Toward a Science of Education Evaluation” in Educational Technology, Boston, Allyn and Bacon. Suchman, E.A. (1967). Evaluative research: Principles and practice in public service and social action programs. New York: Russell Sage Foundation. Sutton, R. (1999). The Policy Process: An Overview. Rep. 118, London: Overseas Development Institute. Tabachnick, B.G. and Fidell, L.S. (2001). Using Multivariate Statistics. 4th ed. Allyn and Bacon, Boston. Tashakkori, A. & Teddlie, C. (2008). Quality inferences in mixed methods research. In Bergman, M. (ed). Advances in Mixed Methods Research: Theories and Applications. London: Sage. Tashakkori, A. & Teddlie, C. (1998). Mixed Methodology: Combining Qualitative and Quantitative Approaches. New Delhi: Sage Publications. Teddlie C. and Tashakkori A. (2009). Foundations of Mixed Methods Research: Integrating Quantitative and Qualitative Approaches in the Social and Behavioral Sciences. Thousand Oaks, CA: Sage. Teddlie, C. & Tashakkori, A. (2003). Major Issues and Controversies in the Use of Mixed Methods in the Social and Behavioral Sciences. In Tashakkori, A. & Teddlie, C. (eds). Handbook of Mixed Methods in the Social and Behavioral Research. Thousand Oaks, CA: Sage. Tenko, R. & Marcoulides, G. A. (2000). A first course in structural equation modeling.2nded. Mahwah, NJ: Erlbaum. Terenzini, P.T. (1993). On the nature of institutional research and the knowledge and skills it requires. Research in Higher Education. 34, 1-10. Textor, Robert B. (1990). The Middle Path for the Future of Thailand: Technology in the Harmony with Culture and Environment. Bangkok: Thai Watana Panich. Trewatha, R.L. & Newport, G.M. (1982). Management. 3rd ed. Plano, TX: Business.
576 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา Trochim, W. M. (2002). The research methods knowledge base. 2nd ed. Retrieved September 16, 2017, from http://trochim.human.cornell.edu/kb/index.htm. Tuckman, B. W. (1999). Conducting Educational Research. 5th ed. Troy, MO: Harcourt Brace & Company. Volkwein , J. F. (2008).The Foundations and Evolution of Institutional Research. In Dawn Terkla(eds.). Institutional research: More than just data. New Directions for Institutional Research. No. 104. San Francisco: Jossey-Bass. Waterman, R. H., Peters, T. J., & Phillips, J. R. (1980). Structure is not organization. Business Horizons. 23(3), 14-26. Wiersma, W. (2000). Research methods in education: An introduction. 7th ed. Boston: Allyn and Bacon. Wiersma, W. and Jurs, S. G. (2005). Research Methods in Education: An Introduction. 8thed. Massachusettes: Pearson Education. Wiley, D. E. (1973). “The Identification Problem for Structural Equation Models with Unmeasured Variables,” in A. S. Goldberger and O. D. Duncan, eds., Structural Equation Models in the Social Sciences, New York: Academic Press. Williamson, T. & Long, A. F. (2005). Qualitative data analysis using data display. Nurse Researcher. 12(3), 7-19.
ภาคผนวก
578 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา ภาคผนวก ก โครงสรา้ งรายงานการวจิ ยั เชงิ คุณภาพ* บทท่ี 1 บทน�ำ 1.1 ความเป็นมาและความส�ำคญั ของปญั หา 1.1.1 ความเป็นมาของปญั หา - ความเปน็ มาของประเดน็ นี้ในวงวชิ าการสากล (โลก) - ยทุ ธศาสตร์ของโลก ประเทศ - ยทุ ธศาสตรข์ องจังหวัด - ยทุ ธศาสตร์ของสังคม 1.1.2 ปญั หาการวจิ ยั - ช้ีให้เห็นความจ�ำเป็นท่ีต้องท�ำเรื่องน้ี (ไม่ใช่ประโยชน์ของงานวิจัย) เช่น ความ รนุ แรงของปญั หาความรนุ แรงของของประเดน็ หรอื อกี นยั หนงึ่ แสดงความออ่ นดอ้ ยของประเดน็ การท�ำวิจยั ทผ่ี า่ นมา ถา้ ไดท้ ำ� วิจัยเรื่องนแ้ี ล้วผลดีจะเกดิ ข้นึ ต่อสงั คม ฯลฯ อย่างไร ถ้าไม่ท�ำเร่อื งนี้ จะมีผลเสียอย่างไร ดงั นน้ั จึงจำ� เปน็ ตอ้ ง เพราะผลการวจิ ยั จะเป็นประโยชน์ในการชี้ใหเ้ หน็ ว่า..... 1.1.3 ความส�ำคัญของปญั หาการวจิ ยั กลา่ วถงึ สงั คม ชมุ ชน หรอื กลมุ่ คน ทเ่ี ลอื กทำ� การศกึ ษาวา่ สำ� คญั อยา่ งไร (เนน้ ใหเ้ หน็ ความ สำ� คัญของประเด็น) อาจอา้ งถงึ เอกสารส�ำคัญที่กล่าวถงึ เร่อื ง/ประเดน็ ที่ท�ำวิจัย เชน่ รฐั ธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ฯลฯ เพอื่ ชใ้ี หเ้ หน็ ความสำ� คัญของเร่อื งทที่ �ำวิจยั 1.2 วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั คำ� ท่นี ยิ มใชใ้ นการเร่มิ ต้นต้งั วตั ถุประสงคข์ องการวิจัยเชงิ คุณภาพ มีดังน้ี - เพอ่ื ศึกษา...(แบบน้คี ่อนข้างโบราณ) - เพ่ือตรวจสอบ (Examine) - เพอ่ื ค้นหา (Investigate) * ปรบั จาก โยธนิ แสวงดี (2561)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 631
Pages: