Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

Published by supasit.kon, 2022-12-29 03:14:00

Description: การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

Search

Read the Text Version

Research in Educational Administration • 379 จากแผนผงั ท่ี 12.3 ในการวเิ คราะหข์ ้อมลู ผู้วิจยั สามารถใชก้ ารวเิ คราะห์อนุกรม เวลา (Time Series Analysis) หรือ t-test for dependent samples หรอื อาจใช้การสรา้ งภาพ/พลอ็ ต กราฟ (Plot graph) เพ่ือดูแนวโนม้ การเปล่ียนแปลงก็ได้ ดูตวั อยา่ งงานวิจัยแบบกลุ่มเดยี ว วัดหลาย ครัง้ แบบอนกุ รมเวลา ดงั นี้ ตวั อยา่ ง: งานวิจยั แบบกลุ่มเดยี ว วัดหลายครง้ั แบบอนกุ รมเวลา นกั วจิ ยั ตอ้ งการศกึ ษาผลของการปรบั พฤตกิ รรมกา้ วรา้ วโดยใชก้ ารเสรมิ แรงทางสงั คมของ นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษา นกั วจิ ยั ดำ� เนนิ การโดยเลอื กนกั เรยี นระดบั ประถมศกึ ษามา 1 หอ้ งเรยี น โOนO(Xดกั12ย33)เ,,ไรOมเOยีป1ม่น24น็ 4)กี)ซเหาวรง่ึรลลไวสดางัมมุ่ม้จ1าา4แสกจลคัปานว้ กรดนั้วกั้งาดัจาหพงึหรด์สฤแลำ� งัตลังเเนจกิว้กาวนิรตกดัรแกกมพลาากระฤรทา้บตทวดนัิกดรลรทา้ลอวรกึอมขงผงปอกลงรจ้ากนวบัาารกกัพร้านเปฤวร้ันรตขยี บันนกิอพรงทักนรฤวกุ มิักจตๆกัยเกิ รนา้1รียวรส�ำนรผมปัา้ใลในวดนกโสาดแาหปัตรย์ เวใดล่ ปชัดะาน็ก้หพรเาะท์วฤรยล่ีตเะ6สาิก,มร1ร7ามิ ,รเวดแ8มเิ คอืร,กรน9ง้าาทว((ะOาOรหง้า21สข์11ว,,อ้งัขOOคมอ21มลู22ง,, โดยการหาความถ่ี รอ้ ยละ และคา่ เฉลยี่ ของพฤตกิ รรมทางกายและทางวาจาของนกั เรยี นแตล่ ะคน และเสนอผลการวิเคราะหใ์ นรปู ของกราฟ (วรรณี แกมเกต,ุ 2551, หน้า 143) ขอ้ ดแี ละขอ้ จำ� กดั แบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองแบบกลมุ่ เดยี ว วดั หลายครง้ั แบบอนกุ รม เวลา น้ี มขี อ้ ดีมากกว่าข้อจำ� กดั โดยอาจจ�ำแนกใหเ้ หน็ ไดอ้ ย่างชัดเจน ดงั น้ี 1. ข้อดี 1.1 ทำ� ใหส้ ามารถดแู นวโนม้ การเปลยี่ นแปลงในระยะเวลาตา่ งๆทงั้ กอ่ น และหลงั การทดลอง เนื่องจากมีการวัดหลายครัง้ ท้ังกอ่ นและหลังการให้สิง่ ทดลอง 1.2 สามารถสรุปได้ว่าการเปล่ียนแปลงในระยะเวลาต่าง ๆ เกิดจากส่ิง ทดลองหรือเกดิ จากวุฒิภาวะของกลมุ่ ตัวอยา่ ง 1.3 ไดข้ อ้ มลู เกยี่ วกบั อทิ ธพิ ลของสงิ่ ทดลองวา่ ทำ� ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลง ในชว่ งระยะเวลาสน้ั ๆ หรือท�ำให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงไดต้ ่อเน่อื งยาวนาน 1.4 ท�ำให้ทราบว่าการเปล่ียนแปลงดังกล่าวเกิดข้ึนทันทีหลังจากให้ สงิ่ ทดลองหรือตอ้ งรอระยะเวลาหนงึ่ แล้วจึงเกดิ การเปลย่ี นแปลง 2. ข้อจำ� กัด 2.1 มปี จั จยั ทท่ี ำ� ใหผ้ ลการวจิ ยั ขาดความตรงภายในคอื การเกดิ เหตกุ ารณ์ พ้อง 2.2 มีปัจจัยท่ีท�ำให้ขาดความตรงภายนอก คือ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการ วดั หลายครง้ั กอ่ นการทดลองร่วมกบั สง่ิ ทดลอง สรปุ แบบการทดลองนี้ เปน็ แบบกลุ่มเดียว วัดหลายครัง้ แบบอนุกรมเวลา มขี ้อดี มากกว่าข้อจำ� กัด และดกี ว่า แบบที่ 1: แบบกลุ่มเดียว วดั ครง้ั เดยี ว และ แบบท่ี 2: แบบกลมุ่ เดียว

380 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา วดั สองครงั้ ดงั แสดงขา้ งต้น เนือ่ งจากมีการวดั หลายครงั้ ท้งั กอ่ นและหลังการใหส้ ่ิงทดลอง ทำ� ให้ สามารถดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาต่าง ๆ ทงั้ กอ่ นและหลงั การทดลองได้ 4.2 แบบการวจิ ัยเชงิ ก่งึ ทดลอง (Quasi-Experimental Design) (Rx C✓) แบบการวิจัยเชิงกึ่งทดลองมีลักษณะท่ีส�ำคัญ คือ เป็นการออกแบบการวิจัยที่ไม่มี การจัดกระท�ำแบบสุ่ม (Randomization) มีกลุ่มควบคุม (Control group) หรือกลุ่มที่ใช้ในการ เปรียบเทยี บ (Comparison group) แตเ่ ป็นกล่มุ ควบคุมที่ไมม่ ีกระบวนการตรวจสอบว่า เป็นกลุ่ม ท่ีมีความเท่าเทียมกันก่อนการทดลอง แบบการวิจัยแบบนี้ดีกว่าแบบการวิจัยชิงทดลองเบ้ืองต้น ตรงทแ่ี บบการวจิ ยั เชงิ กงึ่ ทดลองมกี ลมุ่ ควบคมุ ทใี่ ชใ้ นการเปรยี บเทยี บได้แบบการวจิ ยั เชงิ กง่ึ ทดลอง ท่ีมีลักษณะดังกล่าวข้างต้นน้ี มี 3 แบบ (Design) คือ แบบที่ 4-6 ซึ่งนับเรียงล�ำดับต่อจากแบบ การวจิ ยั เชิงทดลองเบอื้ งตน้ ดังนี้ แบบที่ : 4 แบบสองกลุ่ม วดั ครง้ั เดยี ว แบบการทดลองนี้ เป็นแบบศกึ ษาสองกลมุ่ วัดครัง้ เดียว (Non-Equivalent Control Group, Posttest-Only Design) โดยกลมุ่ หนง่ึ เปน็ กลมุ่ ทดลองท่ไี ด้รบั สงิ่ ทดลอง (Treatment) และ อีกกลุ่มหน่ึงเป็นกลุ่มควบคุม (Control group) หรือกลุ่มท่ีใช้ในการเปรียบเทียบ (Comparison group) ไมไ่ ดร้ บั ส่ิงทดลอง หรอื อาจได้รับสิง่ ทดลองปลอม (Placebo) โดยที่ทง้ั สองกลุม่ ไม่ได้แบ่ง โดยการสุ่ม หรือไมม่ ี Random assignment และมกี ารวัดตัวแปรตามจากกลุ่มตวั อยา่ งทัง้ สองกลุ่ม ครัง้ เดียว หลงั จากที่กลุ่มทดลองไดร้ ับสงิ่ ทดลองแล้ว ซึง่ อาจแสดงไดด้ ้วยแผนผังท่ี 12.4 E : X OO22EC C : แผนผงั ที่ 12.4 แบบสองกลุ่ม วัดครั้งเดยี ว จากแผนผังท่ี 12.4 จะเห็นได้ว่า กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีเฉพาะ Posttest เท่าน้ัน ซ่ึงสามารถเปรียบเทียบผลการทดลองระหว่างกลุ่มได้ แต่ไม่สามารถสรุปได้ว่า ผลการ ทดลองระหว่างกลมุ่ เกิดจากการให้ Treatment หรอื ความต่างท่ีมอี ยู่แล้ว ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยสามารถด�ำเนินการโดยใช้ t-test for independent samples กรณตี วั แปรตามวดั อยใู่ นมาตราอนั ตรภาค (Interval scale) ขนึ้ ไป ดตู วั อยา่ งงานวจิ ยั แบบ สองกลุม่ วัดครั้งเดียว ดงั น้ี

Research in Educational Administration • 381 ตัวอย่าง: งานวจิ ัยแบบสองกล่มุ วดั คร้งั เดียว นกั วจิ ยั ตอ้ งการศกึ ษาผลของการใชแ้ บบฝกึ การเขยี นเชงิ สรา้ งสรรคท์ มี่ ตี อ่ ความสามารถใน การเขยี นเรียงความของนกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ของโรงเรยี นแหง่ หนงึ่ โดยใช้กล่มุ ตวั อย่าง เปน็ นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 จ�ำนวน 60 คน แบ่งเปน็ กลุ่มทดลอง 30 คน และกลมุ่ ควบคุม 30 คน โดยกล่มุ ทดลองสอนโดยใช้แบบฝึกการเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์ (X) สว่ นกลมุ่ ควบคมุ สอน ตามปกติ ผ้วู ิจยั ด�ำเนินการสอนด้วยตนเองทัง้ 2 กลุม่ กลุ่มละ 2 คาบตอ่ สปั ดาห์ ใช้เวลาสอนท้ัง Oตส่าิ้น2Cง)ด4้วดสยว้ สัปยถแดบติาหิบt-์ทtแeดsลtส้วอ(ววบัดรคทรว่ีนณากัีมวแสิจกายัมมสเากรรตา้ถง,ุ ใข2น5้นึ ก5าแ1รล,เหข้วนียนน�ำา้ คเ1ระ4ียแ6งน)คนวาทม่ไี หดไ้ลปังวกิเาครรทาดะหลอ์เปงรเพียียบงเทครีย้ังบเคดวียาวม(แOต2Eก, ขอ้ ดแี ละขอ้ จำ� กดั แบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองแบบสองกลมุ่ วดั ครงั้ เดยี ว นี้ มขี อ้ จำ� กดั มากกว่าขอ้ ดี โดยอาจจ�ำแนกให้เหน็ ได้อย่างชดั เจน ดงั นี้ 1. ข้อดี - สามารถเปรียบเทียบผลการทดลองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุม 2. ข้อจำ� กัด 2.1 มีปัจจัยแทรกซ้อนที่อาจส่งผลให้ความตรงภายในลดลง เนื่องจาก ความล�ำเอียงในการเลือกตัวอย่าง การขาดหายของตัวอย่าง และปฏิสัมพันธ์ระหว่างความล�ำเอียง ในการเลอื กตัวอย่างกับปจั จัยอืน่ ๆ 2.2 มีปัจจัยที่ส่งผลต่อความตรงภายนอก คือ ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ความลำ� เอียงในการเลอื กตวั อยา่ งและส่ิงทดลอง 2.3 ไม่สามารถสรุปได้อย่างแน่ชัดเพราะมีความแตกต่างระหว่างกลุ่ม ทดลองและกลุ่มควบคมุ 2.4 ท�ำให้ไม่แน่ใจว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพราะอิทธิพลของ ส่ิงทดลองหรืออาจเป็นเพราะความแตกต่างท่ีมีอยู่แล้วในแต่ละกลุ่ม เพราะไม่มีการตรวจสอบ ความเท่าเทียมกันของทัง้ สองกลุม่ กอ่ นทดลอง สรุป แบบการทดลองน ี้ เปน็ แบบสองกล่มุ วดั คร้งั เดียว มขี อ้ จำ� กดั มากกว่าข้อดี แบบท่ี 5: แบบสองกล่มุ วัดสองครัง้ แบบการทดลองน้ี เป็นแบบศึกษาสองกลุ่ม วัดสองคร้ัง (Non-Equivalent Control Group, Pretest-Posttest Design) คล้ายกับแบบที่ 4 ดงั แสดงขา้ งต้น เพยี งแต่มีการวัดตวั แปรตาม ในกลมุ่ ตวั อยา่ งทง้ั สองกลมุ่ กอ่ นทจ่ี ะใหส้ ง่ิ ทดลองแกก่ ลมุ่ ทดลอง ทง้ั นเี้ พอ่ื ใหส้ ามารถเปรยี บเทยี บ ผลการเปล่ยี นแปลงของตวั แปรตามไดช้ ัดเจนย่งิ ขึน้ ซ่ึงอาจแสดงไดด้ ว้ ยแผนผังที่ 12.5

382 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา E : OO11CE X OO22CE C : แผนผังท่ี 12.5 แบบสองกลุ่ม วัดสองครั้ง จากแผนผงั ท่ี 12.5 จะเหน็ ได้ว่า กลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคมุ มี Pretest และ Posttest แตม่ จี ดุ ออ่ นตรงทไี่ มม่ กี ารสมุ่ /วธิ คี วบคมุ ตวั แปรแทรกซอ้ น ดงั นน้ั กลมุ่ ตวั อยา่ ง จงึ ไมอ่ าจเทา่ เทยี ม กนั กอ่ นให้ Treatment ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยสามารถด�ำเนินการโดยหาผลต่างของคะแนนในกลุ่ม ทคแบวดาบลมอสแงอตง(กกDตลE่ามุ่ ง=รวะOดั หส2 วอ–่างงOคร1D)งั้ Eแดลแงั ะนลผี้ะลDต่าCงโขดอยงใคชะ้ tแ-นteนstในfoกrลiุ่nมdคeวpบenคdุมen(tDsCam= pOle4s–ดOูต3ัว)อเยป่ารงียงบานเทวียิจบัย ตัวอยา่ ง: งานวิจัยแบบสองกลุ่ม วัดสองครัง้ ณฐั ฐาสิริ ศกั ดิ์ทอง (2548) ไดท้ ำ� การวิจยั เร่อื ง “ผลของการใช้วรรณกรรมสำ� หรบั เด็กทีม่ ีต่อ ทักษะชีวติ ของเด็กวัยอนบุ าล” ซึง่ มีวธิ ดี �ำเนนิ การวจิ ัยสรุปได้ ดงั นี้ 1. กลมุ่ ตวั อยา่ ง เปน็ เดก็ นกั เรียนอนบุ าล 2 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2548 ท่ีมีอายุ 5 – 6 ปี ของโรงเรียนวัดราชคฤห์ สังกัดกรุงเทพมหานคร จ�ำนวน 40 คน แบ่งเปน็ กลุ่มทดลอง 20 คน และกลุ่ม ควบคมุ 20 คน 2. แบบการทดลอง E : OO11CE X OO22EC C : 3. ส่งิ ทดลอง (X) คอื กระบวนการสอนโดยใช้วรรณกรรมส�ำหรับเดก็ 4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผวู้ จิ ยั เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากการดำ� เนนิ การเปน็ 3ระยะคอื ระยะกอ่ น การทดลองใหน้ กั เรยี นกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ ทำ� แบบสงั เกตพฤตกิ รรมเกย่ี วกบั ทกั ษะชวี ติ ของเดก็ วยั อนบุ าล แบบวดั พฤตกิ รรมเกยี่ วกบั ทกั ษะชวี ติ ของเดก็ วยั อนบุ าลโดยใชส้ ถานการณจ์ ำ� ลอง และแบบ สโดมั ยภใชาษก้ ณระเ์ กบย่ี ววนกกบั าทรกสั ษอะนชโดวี ติยใขชอว้ งรเดรก็ณวกยั รอรนมบุ สาำ� ลห(รOบั 1Eเด,Oก็ 1(CX)ร)ะกยบัะดนำ�กั เนเรนิยี นกากรลทมุ่ ดทลดอลงอผงวู้ จจิ ำ� ยั นดวำ� นเน3นิ 2กแาผรนทดรละอยะง เวลา 8 สปั ดาห์ เรม่ิ ทดลองเม่ือ 6 มถิ นุ ายน ถึง 29 กรกฎาคม 2548 สว่ นนักเรยี นกลมุ่ ควบคมุ ด�ำเนินการ สอนโดยครปู ระจำ� ชนั้ ตามปกติ หลงั การทดลอง ใหน้ กั เรยี นกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ ทำ� แบบสงั เกต พฤตกิ รรมเกยี่ วกบั ทกั ษะชวี ติ ของเดก็ วยั อนบุ าล และแบบวดั พฤตกิ รรมเกย่ี วกบั ทกั ษะชวี ติ ของเดก็ วยั อนบุ าลโดยใชส้ ถานการณจ์ ำ� ลอง รวมทงั้ แบบสมั ภาษณเ์ กย่ี วกบั ทกั ษะชวี ติ ของเดก็ วยั อนบุ าล (O2E, O2C)

Research in Educational Administration • 383 การวเิ คราะหข์ ้อมลู ผวู้ ิจยั วิเคราะหข์ อ้ มูล ดงั น้ี 1. นำ� ผลการสงั เกตทกั ษะชวี ติ ของเดก็ วยั อนบุ าล ผลการวดั พฤตกิ รรมเกยี่ วกบั ทกั ษะชวี ติ ของ เดก็ วยั อนบุ าลโดยใชส้ ถานการณจ์ ำ� ลอง และผลการสมั ภาษณเ์ กยี่ วกบั ทกั ษะชวี ติ ของเดก็ วยั อนบุ าลของ นักเรยี นกลุม่ ทดลองและกลุ่มควบคุมมาวิเคราะห์ ประเมิน และสรุปตามเกณฑท์ ีก่ ำ� หนดไว้ และหาคา่ เฉลย่ี (X) และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (SD) 2. เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของคะแนนความสามารถเกย่ี วกบั ทกั ษะชวี ติ ของเดก็ วยั อนบุ าล โดยใช้ t-test แล้วนำ� เสนอผลการวิเคราะหใ์ นรูปตารางประกอบความเรียง 3. วเิ คราะหบ์ ทสนทนาและพฤตกิ รรมของนกั เรยี นทแ่ี สดงออกขณะทำ� การทดลองและนำ� มา รายงานขอ้ มลู เชงิ บรรยาย ผลการศกึ ษา พบวา่ นักเรยี นกลุ่มทดลองมคี ะแนนความสามารถเกยี่ วกับทักษะชวี ิตของเดก็ วัยอนุบาลหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองใช้กระบวนการสอนโดยใช้วรรณกรรมสำ� หรับเด็ก อย่างมนี ัยส�ำคัญที่ระดับ .05 และหลงั การทดลอง นักเรยี นกลมุ่ ทดลองมีคะแนนความสามารถเก่ียวกับ ทกั ษะชีวิตของเด็กวัยอนบุ าลสูงกวา่ กลุม่ ควบคมุ อยา่ งมนี ัยส�ำคญั ทีร่ ะดบั .05 ขอ้ ดแี ละข้อจำ� กดั แบบการวจิ ัยเชงิ ทดลองแบบสองกลมุ่ วดั สองครั้ง น้ี มีขอ้ จำ� กดั มากกวา่ ขอ้ ดี โดยอาจจ�ำแนกใหเ้ หน็ ไดอ้ ยา่ งชัดเจน ดงั นี้ 1. ขอ้ ดี - ท�ำให้ได้รับข้อมูลในการเปรียบเทียบกับผลการวัดหลังใช้สิ่งทดลอง ซง่ึ จะชว่ ยยนื ยนั ผลของสงิ่ ทดลองทมี่ ตี อ่ การเปลยี่ นแปลงของตวั แปรตามไดม้ ากขนึ้ ทงั้ น้ี เนอ่ื งจาก มีการวดั ก่อนการใหส้ ิ่งทดลอง 2. ขอ้ จ�ำกัด 2.1 ไม่มกี ารสมุ่ หรอื วธิ ีการควบคุมตัวแปรแทรกซอ้ น จึงท�ำใหไ้ ม่แนใ่ จ วา่ กลุ่มตัวอยา่ งทง้ั สองกลมุ่ มคี วามเทา่ เทยี มกันหรือไมก่ อ่ นการใหส้ ่ิงทดลอง 2.2 อาจมีปัจจัยท่ีมีผลกระทบต่อความตรงภายในได้ คือ ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างความลำ� เอยี งในการเลือกตวั อยา่ งกับสิ่งทดลอง 2.3 อาจมีปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความตรงภายนอก คือ ปฏิสัมพันธ์ ระหวา่ งการวัดคร้งั แรกกบั สงิ่ ทดลอง สรุป แบบการทดลองน้ี เป็นแบบสองกลุ่ม วัดสองคร้ัง มีข้อจ�ำกัดมากกว่าข้อดี แต่ดีกว่า แบบที่ 4: แบบสองกลุ่ม วัดครั้งเดียว ดังแสดงข้างต้น ตรงท่ีมีการวัดก่อนการให้สิ่ง ทดลอง ซ่ึงสามารถใช้เป็นข้อมูลในการเปรียบเทียบกับผลการวัดหลังให้ส่ิงทดลอง และจะช่วย ยืนยันผลของสิ่งทดลองทมี่ ตี อ่ การเปล่ียนแปลงของตัวแปรตามได้มากขึ้น แบบท่ี 6: แบบสองกลมุ่ วัดหลายคร้ัง แบบอนกุ รมเวลา แบบการทดลองนี้ เป็นแบบศึกษาสองกลุ่ม วัดหลายคร้ัง แบบอนุกรมเวลา (Non- Equivalent Control Group, Pretest-Posttest Time Series Design) มีลักษณะคล้ายกับแบบที่ 5

384 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา ดังแสดงข้างต้น คือ มีกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีการวัดก่อนและหลังการให้ส่ิงทดลอง เพยี งแตแ่ บบนเี้ พิ่มจ�ำนวนครง้ั ท่ีวดั ทั้งก่อนและหลังการทดลอง เปน็ การวดั ซ้ำ� หลาย ๆ ครง้ั โดยท้งิ ช่วงห่างระหว่างการวัดแต่ละคร้ังตามความเหมาะสมของสิ่งท่ีต้องการจะศึกษา ซ่ึงอาจแสดงได้ ดว้ ยแผนผังท่ี 12.6 E : OO1111EC OO1122EC OO1133EC X OO2211CE OO2222CE OO2233CE C : แผนผงั ท่ี 12.6 แบบสองกลมุ่ วดั หลายคร้ัง แบบอนุกรมเวลา จากแผนผังท่ี 12.6 ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ผูว้ ิจัยสามารถใชก้ ารวิเคราะห์อนกุ รมเวลา (Time Series analysis) หรือใช้ t-test for independent samples และการเสนอผลเพ่ือศึกษา แนวโน้มการเปล่ียนแปลง โดยใช้กราฟเส้น ดูตัวอย่างงานวิจัยแบบสองกลุ่ม วัดหลายคร้ัง แบบอนกุ รมเวลา ดังนี้ ตวั อยา่ ง: งานวิจัยแบบสองกลมุ่ วดั หลายครง้ั แบบอนกุ รมเวลา เยาวภา กนั ทรวชิ ยากลุ (2530) ไดท้ ำ� การวจิ ยั เรอื่ ง “ผลการใชก้ จิ กรรมกลมุ่ ทมี่ ตี อ่ พฤตกิ รรม ไม่ตั้งใจเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนป่าโมกข์วิทยาภูมิ จังหวัดอ่างทอง” ซึ่งมวี ธิ ดี ำ� เนินการวจิ ยั สรุปได้ ดังนี้ 1. กลมุ่ ตัวอย่างที่ใช้ในการวจิ ยั เป็นนักเรียนชน้ั ม.3 โรงเรียนปา่ โมกข์วทิ ยาภมู ิ จังหวดั อ่างทอง ปีการศึกษา 2529 ซึ่งมีพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนจ�ำนวน 14 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 7 คน และเปน็ กลุม่ ควบคุม 7 คน 2. แบบการทดลอง E : O O11E ... 14E X O O21E ... 212E O O213E ... 216E C : O O11C ... 14C O O21C ... 212 C O O213C ... 216C ระยะที่ 1 ระยะท่ี 2 ระยะที่ 3 3. สง่ิ ทดลอง (X) คือ การใชก้ ิจกรรมกลุม่ เพอื่ ลดพฤตกิ รรมไม่ตั้งใจเรียน ซึ่งเป็นวิธกี าร ท่ใี ช้กบั กลมุ่ ทดลองเทา่ น้ัน 4. วธิ กี ารเกบ็ และการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผวู้ จิ ยั ใชก้ ารสงั เกตเกบ็ คะแนนพฤตกิ รรมเปน็ เวลา ทั้งหมด 10 สปั ดาห์ ๆ ละ 2 ครัง้ โดยผ้วู จิ ยั แบ่งเวลาออกเปน็ 3 ระยะ ระยะแรก (สัปดาห์ท่ี 1-2) เปน็ การหาเสน้ ฐานพฤตกิ รรมการไมต่ ง้ั ใจเรยี นเพอื่ ดคู วามเปลย่ี นแปลงของพฤตกิ รรมและใชเ้ ปน็ คะแนนเฉล่ยี ก่อนการทดลอง ระยะที่ 2 (สปั ดาหท์ ี่ 3-8) เป็นระยะของการทดลองลดพฤติกรรม

Research in Educational Administration • 385 ไมต่ ง้ั ใจเรยี น มีการสังเกตและเกบ็ คะแนนเพอื่ ดูความเปลย่ี นแปลง และระยะสุดทา้ ย (สปั ดาห์ที่ 9-10) เป็นการสังเกตเกบ็ คะแนนการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมหลงั การทดลอง รวมทัง้ หมดแลว้ มี การสังเกตและเก็บขอ้ มูลท้งั กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ กลุ่มละ 20 ครงั้ ครั้งละ 50 นาที ในการสงั เกตแตล่ ะครง้ั ใชก้ ารสงั เกตแบบสุ่มช่วงเวลา (Time sampling) ชว่ งละ 7 นาที พัก 3 นาที ในการสังเกตแตล่ ะครั้งจะสังเกตได้ 4 ชว่ งเวลา วิธกี ารท่ีใช้ในการสังเกต คือ ผสู้ งั เกต จะอยู่ในห้องสังเกตซ่ึงสามารถมองเห็นและได้ยินเสียงชัดเจนโดยท่ีนักเรียนไม่รู้ตัว โดยในการ สงั เกตแต่ละครงั้ ใช้ผู้สังเกต 2 คน ค่าคะแนนพฤติกรรมไม่ต้ังใจเรียนที่วัดออกมาได้ในแต่ละระยะ น�ำมาวิเคราะห์ความถี่ ของพฤติกรรมไม่ตั้งใจเรียนภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้ The Wilcoxon Sign Rang Test 5. ผลการศกึ ษา พบวา่ กลมุ่ ทดลองมพี ฤตกิ รรมไมต่ งั้ ใจเรยี นในหอ้ งลดลงจากเดมิ อยา่ ง มีนัยสำ� คญั (p < .05) ขณะเดียวกนั กลุ่มควบคุมก็มีพฤติกรรมไมต่ ง้ั ใจเรียนลดลงกว่าเดมิ อยา่ งมี นยั ส�ำคญั เชน่ กัน ขอ้ ดีและขอ้ จ�ำกดั แบบการวจิ ัยเชิงทดลองแบบสองกลุ่ม วดั หลายคร้ัง แบบอนุกรม เวลา น้ี มขี อ้ ดมี ากกว่าขอ้ จำ� กดั โดยอาจจำ� แนกใหเ้ หน็ ได้อยา่ งชัดเจน ดังนี้ 1. ข้อดี 1.1 สามารถศกึ ษาตรวจสอบแนวโนม้ การเปลยี่ นแปลงของตวั แปรตาม ทั้งกอ่ นและหลงั การให้สิง่ ทดลอง 1.2 สามารถเปรียบเทียบแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกับกลุ่ม ควบคุม 1.3 มีกลุ่มควบคุม ซ่ึงจะช่วยให้นักวิจัยสามารถตรวจสอบปฏิสัมพันธ์ ระหว่างความล�ำเอียงในการเลือกตัวอย่างกับการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของตัวอย่าง โดย พิจารณาเปรียบเทียบจากผลการวัดตัวแปรตามก่อนการให้สิ่งทดลองของกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุม 1.4 ช่วยในการตรวจสอบการเกิดเหตุการณ์พ้องระหว่างการทดลอง ได้ด้วย โดยพิจารณาเปรยี บเทยี บจากผลการวัดตัวแปรตาม O13E กบั O21E และ O13C กบั O21C ซ่งึ ถา้ เกดิ เหตุการณ์แทรกซ้อนกค็ วรจะเกิดขน้ึ ทัง้ สองกลุม่ 1.5 ช่วยให้นักวิจัยศึกษาอิทธิพลของสิ่งทดลองท่ีมีต่อการเปล่ียนแปลง ของตัวแปรตามในลักษณะต่าง ๆ เช่น ระยะเวลาในการเกิดการเปล่ียนแปลง ความคงทนของ การเปลย่ี นแปลง ฯลฯ 2. ข้อจ�ำกัด - มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างการวัดหลายคร้ังก่อนการทดลองร่วมกับส่ิง ทดลองและปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งความลำ� เอยี งในการเลอื กตวั อยา่ งกบั สง่ิ ทดลอง ซงึ่ ทำ� ใหไ้ มส่ ามารถ สรุปอา้ งอิงไปยงั ประชากรได้

386 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา สรปุ แบบการทดลองนี้ เปน็ แบบสองกลมุ่ วดั หลายครง้ั แบบอนกุ รมเวลา มขี อ้ ดี มากกวา่ ข้อจ�ำกดั และดีกวา่ แบบที่ 5: แบบสองกลุ่ม วัดสองครงั้ ดังแสดงข้างต้น เพราะมีการเพมิ่ จำ� นวนครง้ั ทวี่ ดั ทง้ั กอ่ นและหลงั การทดลอง เปน็ การวดั ซำ�้ หลาย ๆ ครงั้ โดยทงิ้ ชว่ งหา่ งระหวา่ งการ วัดแตล่ ะครั้งตามความเหมาะสมของสิง่ ทีต่ ้องการจะศึกษา 4.3 แบบการวิจยั เชงิ ทดลองแท้จรงิ (True-Experimental Design) (C✓R✓) แบบการวิจัยเชิงทดลองแท้จริง เป็นการออกแบบการวิจัยเชิงทดลองที่มักจะ ดำ� เนนิ การไดค้ รบถว้ นตามลกั ษณะของการวจิ ยั เชงิ ทดลอง กลา่ วคอื มกี ารจดั กระทำ� (manipulation) มีการจัดกระท�ำแบบส่มุ หรือการสุม่ (Randomization) และมกี ลุม่ ควบคมุ (Control group) ดงั นน้ั การวิจัยเชิงทดลองแท้จริง จึงสามารถใช้หลัก MAX-MIN-CON (หลักการออกแบบการวิจัย เชงิ ทดลอง) ในการควบคมุ ตวั แปรแทรกซอ้ นไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี สามารถจดั สภาพการทดลองใหเ้ ปน็ ไป ตามแนวคดิ ทฤษฎสี ำ� คญั ของการวจิ ยั ได้ จงึ ทำ� ใหส้ ามารถสรปุ ผลการวจิ ยั ในลกั ษณะความสมั พนั ธ์ เชิงสาเหตุและผล ระหว่างตัวแปรอิสระที่มีผลต่อตัวแปรตามได้อย่างม่ันใจ และน่าเช่ือถือกว่า แบบการวิจยั แบบอ่นื ๆ ท่กี ล่าวมาข้างต้น รวมทัง้ ผลการวจิ ยั สามารถสรุปอ้างองิ ไปยงั ประชากรได้ แบบการวิจัยเชิงทดลองแท้จริงท่ีมีลักษณะดังกล่าวข้างต้นนี้ ประกอบด้วยแบบการวิจัยย่อย ๆ หลากหลาย แต่ในที่น้ี ขอน�ำเสนอเพียง 3 แบบ (Design) คือ แบบที่ 7-9 ซ่ึงนับเรียงล�ำดับต่อ จากแบบการวิจัยเชงิ ก่ึงทดลอง ดงั นี้ แบบที่ 7: แบบสมุ่ สองกลุม่ วดั ครัง้ เดยี ว แบบการทดลองน้ี เป็นแบบศึกษาโดยการสมุ่ สองกลุ่ม วดั คร้งั เดยี ว (True Control Group, Posttest-Only Design) มลี ักษณะทีส่ ำ� คัญ คอื เปน็ การศึกษากับกลมุ่ ตัวอยา่ งสองกลมุ่ คือ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยทั้งสองกลุ่มได้มาด้วยการสุ่ม (Random assignment) มีการวัด ตวั แปรตามเพียงคร้งั เดียว ภายหลงั จากการให้ส่งิ ทดลองแกก่ ล่มุ ทดลองแลว้ ซึ่งอาจแสดงได้ดว้ ย แผนผังท่ี 12.7 E : R X OO22EC C : R แผนผังท่ี 12.7 แบบส่มุ สองกลุม่ วัดครง้ั เดียว จากแผนผงั ท่ี 12.7 ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู สำ� หรบั แบบการทดลองน้ี ผวู้ จิ ยั สามารถ วิเคราะห์โดยการใช้ t-test for independent samples ได้ ดูตัวอย่างงานวิจัยแบบสุ่มสองกลุ่ม วัดครัง้ เดียว ดังน้ี

Research in Educational Administration • 387 ตวั อยา่ ง: งานวจิ ัยแบบสมุ่ สองกล่มุ วดั ครั้งเดยี ว สุปรยี า ตนั สกุล (2540) ได้ทำ� การวจิ ยั เรอ่ื ง “ผลของการใช้รูปแบบการสอนแบบการจัด ข้อมูลด้วยแผนภาพที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถทางการแก้ปัญหา” โดยมี กลมุ่ ตวั อยา่ งเปน็ นกั ศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรชี นั้ ปที ่ี 2 คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล จ�ำนวน 149 คน แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เป็นกลุ่มทดลอง 74 คน ได้รับการสอนด้วยรูปแบบการสอนแบบการจัดข้อมูลด้วยแผนภาพ (X) กลุ่มควบคุม 75 คน ไดร้ ับการสอนดว้ ยวธิ กี ารสอนแบบปกติ แต่ละกล่มุ ไดเ้ รียนเน้ือหาวิชาพฤตกิ รรมศาสตร์ สาธารณสุขสปั ดาห์ละ 1 ครั้ง จ�ำนวน 15 ครัง้ ๆ ละประมาณ 110 นาที โดยนักวจิ ยั มีการควบคมุ ตัวแปรที่เก่ียวข้องให้เหมือนกันทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ได้แก่ ตัวแปรด้านเน้ือหา ใช้เนื้อหาเดยี วกนั ด้านครูผูส้ อน สอนโดยนกั วจิ ยั ท้งั 2 กลุ่ม ด้านระยะเวลาทส่ี อนท้งั 2 กล่มุ ใช้ เวลาสอนเทา่ กนั และจดั เวลาตารางสอนใหอ้ ยใู่ นชว่ งเชา้ และสลบั เวลาเทา่ ๆ กนั ดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม ทางการเรียน นักศกึ ษาทง้ั 2 กล่มุ ใช้สถานที่เปน็ หอ้ งเรียนเดียวกัน ด้านโปรแกรมการเรยี นของ นักศึกษา ผู้วิจัยควบคุมโดยใช้นักศึกษาหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต (สาธารณสุขศาสตร์) ชั้นปีท่ี 2 เป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม และด้านความรู้พื้นฐาน นักศึกษา ทั้ง 2 กลุ่มไม่เคยเรียนวิชาพฤติกรรมศาสตร์สาธารณสุขมาก่อน ตลอดจนไม่เคยเรียนวิชาอ่ืน ๆ ทางด้านพฤติกรรมศาสตร์และสาธารณสุขมาก่อน เม่ือสิ้นสุดการทดลอง ท�ำการทดสอบกลุ่ม ตวั อยา่ งดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ าพฤตกิ รรมศาสตรส์ าธารณสขุ และแบบ iทnดdeสpอeบndคeวnาtมsaสmามplาeรsถ) ทแลางะกใชารว้ แธิ กศี ้ปกึ ษัญาหเชางิ (คOณุ 2E,ภOาพ2Cเ)พวอ่ื เิ คปรราะะเหมนิข์ อ้ปมระลู สดทิว้ ยธสผิ ถลติขทิอดงรสปู อแบบทบี (กt-าtรesสtอfoนr ผลการวจิ ัย พบวา่ 1) นักศึกษากลุ่มทดลองที่ใช้รูปแบบการสอนแบบการจดั ข้อมูลดว้ ย แผนภาพ มคี ะแนนเฉลยี่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นสงู กวา่ นกั ศกึ ษากลมุ่ ควบคมุ ทใี่ ชก้ ารสอนแบบ ปกติ อยา่ งมีนยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .001 2) นักศึกษากลุ่มทดลองท่ีใชร้ ปู แบบการสอนแบบ การจัดข้อมูลด้วยแผนภาพมีคะแนนเฉล่ียความสามารถทางการแก้ปัญหาสูงกว่านักศึกษากลุ่ม ควบคุมท่ีใช้การสอนแบบปกติ อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 3) รูปแบบการสอนท่ี ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมต่อการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของนักศึกษา การใชว้ ธิ กี ารจดั ขอ้ มูลดว้ ยแผนภาพชว่ ยใหน้ ักศึกษาเขา้ ใจเนื้อหาได้ดีข้ึน ข้อดีและข้อจ�ำกดั แบบการวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มสองกลุ่ม วดั ครงั้ เดียว น้ี มขี อ้ ดี มากกวา่ ขอ้ จ�ำกัด โดยอาจจำ� แนกใหเ้ หน็ ได้อยา่ งชัดเจน ดงั น้ี 1. ข้อดี 1.1 สามารถควบคุมและตรวจสอบปัจจัยต่าง ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อ ความตรงภายในไดท้ ้งั หมด 1.2 ควบคุมอิทธิพลจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างการวัดครั้งแรกกับสิ่ง ทดลองได้

388 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา 2. ข้อจำ� กัด - ไม่สามารถควบคุมอิทธิพลจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างการคัดเลือก ตัวอย่างกับการจัดสภาพการทดลอง และการคัดเลือกตัวอย่างกับส่ิงทดลองได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะท�ำให้การสรุปอ้างองิ ไปยังประชากร ยังอยใู่ นขอบเขตจ�ำกดั สรปุ แบบการทดลองนี้ เป็นแบบสุ่มสองกลุม่ วดั ครงั้ เดียว มีข้อดมี ากกว่าข้อจำ� กัด แบบที่ 8: แบบสมุ่ สองกลมุ่ วัดสองครั้ง แบบการทดลองนี้ เป็นแบบศึกษาโดยการสุ่มสองกลุ่ม วัดสองครั้ง (True Control Group, Pretest-Posttest Design) มีลักษณะคล้ายกับแบบท่ี 7 ดงั แสดงขา้ งต้น เพียงแต่ตา่ งกนั ตรง ทีม่ กี ารวดั ตัวแปรตามสองครัง้ คือ กอ่ นและหลงั การทดลอง ซ่ึงอาจแสดงได้ดว้ ยแผนผังที่ 12.8 E : R OO11EC X OO22CE C : R แผนผงั ท่ี 12.8 แบบสุ่มสองกล่มุ วัดสองคร้ัง จากแผนผงั ท่ี 12.8 ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผวู้ จิ ยั สามารถดำ� เนนิ การวเิ คราะหโ์ ดยหาผล วแตเิลา่ คง้วรขเาปอะรงหคยี ค์ บะวแเทานมยี นแบใปคนรวกปาลมรมุ่วแทนตดก(AลตอNา่ งงOร(VDะหAE=ว)า่Oหง2ร–Dอื OEอ1าแ)จลแใะชลก้ะDาผcรลวตโเิ ดคา่ งยรขใาชะอห้งคค์t-ะวteแาsมนt แนfoปใrนรiปกnรลdวeมุ่ pนคeรวnว่ บdมeคn(มุ At (sNDaCmc=OpOlVe4sA–)กOใาน3ร) กรณที ม่ี กี ารควบคมุ ความแปรปรวนของตวั แปรแทรกซอ้ นดว้ ยวธิ กี ารวเิ คราะหท์ างสถติ ิ ดตู วั อยา่ ง งานวจิ ัยแบบสุ่มสองกล่มุ วัดสองคร้งั ดงั นี้ ตัวอย่าง: งานวิจยั แบบสมุ่ สองกลุ่ม วัดสองครงั้ นกั วจิ ัยตอ้ งการศกึ ษาผลของกจิ กรรมวิทยาศาสตรส์ ญั จรที่มีตอ่ ความคดิ สร้างสรรคท์ าง วทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ โดยใชก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งเปน็ นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษา ตอนต้น ของโรงเรียนแห่งหน่ึง จ�ำนวน 60 คน ซ่ึงสุ่มมาจากประชากรนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ตอนต้นของโรงเรียนน้ีท้ังหมดด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งช้ัน จากนั้นนักวิจัยจัดกลุ่มตัวอย่างเข้าสู่ กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ ดว้ ยวธิ กี ารสมุ่ อยา่ งงา่ ย โดยกลมุ่ ทดลองเปน็ กลมุ่ ทเี่ ขา้ รว่ มกจิ กรรม วิทยาศาสตร์สัญจร (X) และกลุ่มควบคุม เป็นกลุ่มท่ีไม่เข้าร่วมกิจกรรมวิทยาศาสตร์สัญจร นคกวาักราวมทิจแดัยปลทรอ�ำปกงเราสรวรทน็จดรส่วสิ้นมอบท(Aค�ำNกวาาCมรOทคVดิดAสส)อร้าบโงดอสยีกใรคชรร้คค้ังะ์ทหแานนงว่ึงนิท(pยOrาe2ศEt,eาsสOt ต2เCปร)์็นกว่อติเคนัวรแทาปดะรลหรอ์ข่วง้มอม((OูลC1โoEด,vยaOกri1าaCรt)eว)หิเค(ลวรังราจระาณหกี์ แกมเกตุ, 2551, หนา้ 153)

Research in Educational Administration • 389 ขอ้ ดแี ละข้อจ�ำกดั แบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองแบบสมุ่ สองกลมุ่ วัดสองครงั้ น้ี มขี ้อดี มากกว่าขอ้ จ�ำกดั โดยอาจจำ� แนกใหเ้ ห็นไดอ้ ย่างชดั เจน ดงั น้ี 1. ข้อดี 1.1 นักวิจัยสามารถควบคุมและตรวจสอบปัจจัยต่าง ๆ ท่ีอาจมีผลต่อ ความตรงภายในได้ท้งั หมด 1.2 ผลการวิจัยน่าเชื่อถือได้ในการสรุปความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและผล ของตวั แปรอสิ ระทีม่ ีตอ่ ตวั แปรตาม 2. ข้อจำ� กดั - ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการวัดก่อนการทดลองกับส่ิงทดลอง อาจส่ง ผลตอ่ ความตรงภายนอกของผลการวิจยั สรุป แบบการทดลองน้ี เปน็ แบบสุ่มสองกลมุ่ วดั สองครง้ั มีขอ้ ดีมากกวา่ ข้อจำ� กดั และดีกว่า แบบที่ 7: แบบสุ่มสองกลุ่ม วดั ครั้งเดียว ดังแสดงขา้ งต้น เพราะมี Pretest ดว้ ย ซึ่งจะ สามารถเทียบกบั Posttest ได้ แบบที่ 9: แบบสุ่มสก่ี ลุ่ม แบบโซโลมอน แบบการทดลองน้ี เป็นแบบศึกษาโดยการสุ่มสี่กลุ่ม แบบโซโลมอน (Solomon Four-Group, Design) ซงึ่ เปน็ แบบการทดลองทปี่ ระยุกต์ แบบท่ี 7: แบบสุ่มสองกลุ่ม วัดคร้ังเดยี ว และ แบบท่ี 8: แบบสุม่ สองกลุ่ม วดั สองครง้ั ดงั แสดงขา้ งต้น ซึง่ อาจแสดงไดด้ ว้ ยแผนผงั ที่ 12.9 ECCE1221 : R X OOOO2222CECE1221 : R : R OO11CE11 X : R แผนผงั ที่ 12.9 แบบสมุ่ สี่กลุม่ แบบโซโลมอน จากแผนผงั ที่ 12.9 วธิ ดี ำ� เนินการสำ� หรบั แบบการทดลองแบบนี้ คือ สมุ่ ตัวอยา่ งมา จากประชากรจ�ำนวนหนง่ึ จากนัน้ จึงส่มุ ตวั อย่างเขา้ ส่กู ล่มุ ทดลองสองกลมุ่ และกลมุ่ ควบคุมสอง กลมุ่ โดยใหม้ จี ำ� นวนใกลเ้ คยี งกนั วดั ตวั แปรตามกอ่ นการใหส้ งิ่ ทดลองในกลมุ่ ทดลองทหี่ นง่ึ และ กลมุ่ ควบคมุ ทห่ี นง่ึ ดำ� เนนิ การทดลองโดยใหส้ งิ่ ทดลองเฉพาะกลมุ่ ทดลองทหี่ นงึ่ และกลมุ่ ทดลอง ทสี่ อง สว่ นกลมุ่ ควบคมุ ทง้ั สองกลมุ่ ไมใ่ หส้ ง่ิ ทดลอง หรอื อาจใหส้ ง่ิ ทดลองปลอมกไ็ ด้ เมอื่ ทดลอง เสร็จแลว้ จึงวดั ตวั แปรตามทง้ั สกี่ ล่มุ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยสามารถหาผลการวัดตัวแปรตามในกลุ่มทดลองที่หน่ึง (O2E1) และกลมุ่ ควบคุมท่หี นึง่ (O2C1) ซ่งึ กค็ ือ D1 และ D2 ตามล�ำดับ ด�ำเนนิ การหาผลตา่ งระหว่าง

390 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษา ทขผลองั้ สกงกา่กี รลลวุ่มุ่มัดคตวโัดวบแยคใปุมชรท้ ตA่ีสาNมอOงกV่อ(DAน4แ=ดลตูะOัวห2Cอล2ยัง-่ากงOางร1าCทน1)ดวแลจิ ลยัอะแงวบขิเอบคงสรกาุม่ ะลสหุ่มกี่ ์เทปลดมุ่รลียอบแงบเททบียี่สโบซอคงโวล(ามDมอ3แ=นตOดกังต2Eน่า2งี้-ขOอ1งEผ1)ลผกลารตว่าัดง ตัวอยา่ ง: งานวจิ ัยแบบสมุ่ สกี่ ลุ่ม แบบโซโลมอน นักวิจัยต้องการศกึ ษาผลของการทดลองใชห้ นงั สืออา่ นประกอบประเภทเร่อื งส้นั ทีน่ ักวจิ ัย สรา้ งขน้ึ สำ� หรบั การเรยี นวชิ าภาษาไทยทม่ี ตี อ่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าภาษาไทย ของนกั เรยี น ช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย ของโรงเรียนแห่งหน่งึ นักวจิ ัยด�ำเนินการโดยส่มุ ตัวอยา่ งนกั เรยี นชั้น ม.6 มา 100 คน ดว้ ยวธิ กี ารสมุ่ อย่างง่าย และสมุ่ นักเรยี นออกเป็น 4 กลมุ่ ๆ ละ 25 คน มาทำ� การ ทดลอง กอ่ นการใหส้ งิ่ ทดลอง นกั วจิ ยั วดั ผลสมั ฤทธก์ิ อ่ นเรยี นสำ� หรบั กลมุ่ ทดลองที่ 1 และกลมุ่ ควบคุมที่ 1 เปน็ เวลา 30 นาที หลังจากนัน้ มาอีก 1 สัปดาห์ จงึ เรมิ่ ทดลองโดยให้กลุ่มทดลองที่ 1 และกล่มุ ทดลองที่ 2 อา่ นหนังสือทน่ี กั วิจัยสรา้ งขึน้ ใชเ้ วลาประมาณ 30 นาที หลงั จากน้นั ทำ� การ วัดผลสัมฤทธิ์อีกคร้ังหน่ึงด้วยแบบทดสอบชุดเดิมทั้ง 4 กลุ่ม น�ำข้อมูลที่ได้มาท�ำการวิเคราะห์ เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของคา่ เฉลย่ี ดว้ ยสถติ ิ t-test และการวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนสองทาง (วรรณี แกมเกต,ุ 2551, หน้า 157) ข้อดีและขอ้ จำ� กัด แบบการวิจยั เชงิ ทดลองแบบสุ่มสีก่ ลุม่ แบบโซโลมอน นี้ มขี ้อดี มากกว่าข้อจ�ำกดั โดยอาจจำ� แนกให้เห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจน ดังนี้ 1. ขอ้ ดี 1.1 สามารถควบคุม และตรวจสอบปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบ ต่อความตรงภายในได้ทงั้ หมด 1.2 สามารถควบคมุ อทิ ธพิ ลของปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งการวดั กอ่ นทดลอง กบั ส่ิงทดลอง 1.3 ผลการวิจัยมีความตรงภายในสูง และสามารถสรุปความสัมพันธ์ เชิงสาเหตแุ ละผลของตัวแปรอิสระที่มีต่อตวั แปรตามได้ 2. ข้อจ�ำกดั 2.1 การตรวจสอบและการควบคุมอิทธิพลของปฏิสัมพันธ์ระหว่าง การคัดเลอื กตวั อยา่ งกบั สิ่งทดลอง ยงั มีขอ้ จ�ำกดั 2.2 การควบคมุ ใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งทง้ั สกี่ ลมุ่ มคี วามเทา่ เทยี มกนั คอ่ นขา้ งทำ� ไดย้ าก สรุป แบบทดลองน้ี เป็นแบบสมุ่ ส่ีกลมุ่ แบบโซโลมอน มีขอ้ ดีมากกวา่ ข้อจำ� กดั และดกี วา่ แบบที่ 7: แบบสุ่มสองกล่มุ วัดครัง้ เดยี ว และ แบบท่ี 8: แบบสุ่มสองกลมุ่ วดั สองคร้งั ดงั แสดงข้างต้น เพราะ แบบสุ่มสกี่ ลุ่ม แบบโซโลมอนนี้ ได้นำ� เอา แบบท่ี 7: แบบสุ่มสองกลุ่ม วัดคร้ังเดียว และ แบบที่ 8: แบบสุ่มสองกลุ่ม วัดสองครั้ง ดังกล่าวน้ัน มาผสมกันเพื่อแก้ไข

Research in Educational Administration • 391 จุดอ่อนของท้ังสองแบบ (คอื แกไ้ ขจดุ อ่อนทัง้ ของแบบสมุ่ สองกลุม่ วัดครงั้ เดยี ว และของแบบสมุ่ สองกลมุ่ วดั สองคร้ัง) ทง้ั น้ี เนือ่ งจาก แบบสุ่มสองกลมุ่ วดั ครง้ั เดยี ว ไม่มี Pretest ส่วน แบบสุ่ม สองกลุ่ม วัดสองครั้ง มี Pretest ซ่ึงน่าจะดีกว่า เพราะได้เทียบกับ Posttest ได้ แต่บางครั้ง การมี Pretest ก็เป็นผลเสีย เช่น ทดสอบก่อน จะท�ำให้เด็กเห็นข้อสอบก่อนและจ�ำได้ เม่ือมี Posttest ก็จะได้คะแนนสูง ฯลฯ วิธีแก้ไขเรื่องน้ี คือ การใช้ข้อสอบคู่ขนาน แต่ก็มีข้อสงสัยหรือ มจี ุดออ่ น คือ ไมแ่ นใ่ จว่าเป็นขอ้ สอบคูข่ นานจรงิ หรอื ไม่ และเดก็ นา่ จะรวู้ า่ ออกข้อสอบแนวน้ี ทวทจตา่ะร้งั้ังเวใคสทนจู่อ่าสแกงกตลอคันถุ่ม่บร้านั้งทเพไOอดม(ร2Oกล่เCาท1จอ2ะCา่ากงว1กก่าับEOนันเป22ี้OนCผ็น2ข2วู้่า)Cกอ้จจิ2ขละดยั อุ่มหมสีขงทีปมอากมี่ไงาญั ลดยแาุห่ม้รรคบับถคาวบเตวารสTมบร่อื มุ่rววคงe่าสจaุมPสt่ีกใmrนอeคลetบว่มุกenรsลวttแจ่า่มุ ทสบะPค้ัง่งเบoทวคผsโบ่าูล่tซtกคeแโัน3sมุลตt)มท่ถเCEพอ้างั้21ไนรสตมผาอระ่เู้วทคงววิจจอื่า(่ายั Oกสเสป1ัน2อาE)็น1บมนกOมาO่าลร2ี จERถ2ุ่ม2Eะ)ตa1ทมขnรกี่ไdีปอวมบั oงจัญ่ไmกOสดหลi้รอ2zEาุม่ับบa2เรtทหวi่ือToดา่มnงrลeาPaPอยo2tคrงsm)etควtteeeาวCnssมร1ttt สตขชว่รอง่ วผงงเจลกวสลล4อุ่มา)กบคCต็ ววา2่าบมตคP)รoุมวแsจtต(tสOeถ่ sอา้1tCไบ1ม()OO่เทค22C่าCว22ก)รันกจขะับอแเงทสกOด่าลก1งEุ่มวัน1ค่าหมวเรพปีบอื รัญคOาุมหะ1กCตา1ัใบ่าหนงPเมกรr็ไา่อืeมยtงคe่ไชsดว่วtา้รงขมับเวอวล่างTกาใrมนeลaาุ่กมtเปmลทุ่มน็ดenคเลงtวอื่อบ(งนแคไม(มุขO้จC1หะE12ตร)ผือ่าหง้วูสกจิรภัยันือาสพใPนากrมเeาราtรื่eรอณsถงt์ ตามธรรมชาตขิ องเร่ืองนน้ั ๆ อนึ่ง สิ่งทคี่ วรจะเป็นในแบบสุ่มสีก่ ลุ่ม แบบโซโลมอน มดี ังนี้คือ 1แ) ลOะ2E51 )มา(Oกก2Eว1 ่า- OO1E1E1)1 2ม)ากOก2วE1า่ ม(าOก2กC1ว-่าOO1C21C)1ท3ัง้ )นี้Oเน2Eื่อ2งมจาากกไกดวร้ ่าบั Oแล2Cะ2ไมไ่ ด4)้รับO2TE2reมatาmกeกnวt่าน่ันOเ1อC1ง แบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองยอ่ ยๆดงั กลา่ วมาขา้ งตน้ อาจสรปุ เปน็ แบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองหลกั ๆ ได้ 3 แบบ ไดแ้ ก่ 1) แบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองเบอื้ งตน้ (Pre-experimental design) 2) แบบการวจิ ยั เชงิ กง่ึ ทดลอง (Quasi-experimental design) และ 3) แบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองแทจ้ รงิ (True-experimental design) ซ่ึงแบบการวิจัยเชิงทดลองทั้งสามแบบดังกล่าว เป็นแบบการวิจัยเชิงทดลองที่มี ตัวแปรอิสระเพียงตัวเดียว ในกรณีท่ีนักวิจัยสนใจท่ีจะศึกษาผลของตัวแปรอิสระมากกว่าหนึ่งตัว ที่มีต่อตัวแปรตาม นักวิจัยต้องใช้แบบการวิจัยเชิงทดลองท่ีมีตัวแปรอิสระหลายตัว ที่เรียกว่า แบบแฟคทอเรียล (Factorial designs) ซ่ึงสามารถแบ่งออกเป็นแบบย่อย ๆ หลายแบบ ข้ึนอยู่กับจ�ำนวนปัจจัย (Factors) และระดับ หรือกลุ่มย่อย ๆ ของแต่ละปัจจัย ซึ่งจะไม่ขอกล่าว รายละเอียดในท่ีนี้ ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาได้จากต�ำราเก่ียวกับระเบียบวิธีวิจัย หรือต�ำราท่ีว่า ดว้ ยเรือ่ งของการวิจยั เชิงทดลองโดยเฉพาะ เช่น ตำ� ราของ Kirt (1995) Gravetter and Forzano (2003) ฯลฯ อย่างไรก็ตาม แบบการวิจัยเชิงทดลองที่มีตัวแปรอิสระเพียงตัวเดียวทั้งสามแบบ ข้างต้นนั้น อาจสรุปลักษณะส�ำคัญเพื่อแสดงเปรียบเทียบให้เห็นได้อย่างชัดเจน ดังแสดงใน ตารางท่ี 12.1

392 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา ตารางท่ี 12.1 การเปรียบเทยี บลักษณะส�ำคญั ของแบบการวิจยั เชิงทดลอง ลกั ษณะส�ำคญั แบบการวิจยั แบบการวิจยั แบบการวิจยั 1. การจดั กระทำ� (Manipulation) เชิงทดลองเบือ้ งต้น เชงิ กง่ึ ทดลอง เชิงทดลองแทจ้ รงิ หรือการให้สิ่งทดลอง (Treatment) มี มี มี 2. การสุม่ (Randomization) 3. กลุ่มควบคุม (Control group) ไมม่ ี ไม่มี มี ไม่มี มี มี จากตารางที่ 12.1 จะเห็นว่า การจัดกระท�ำ หรือการให้สิ่งทดลอง มีในแบบการวิจัยทั้ง สามแบบ การสมุ่ มเี ฉพาะในแบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองแทจ้ รงิ เทา่ นนั้ ไมม่ ใี นแบบการวจิ ยั เชงิ ทดลอง เบอื้ งตน้ และแบบการวจิ ยั เชงิ กง่ึ ทดลอง สว่ นกลมุ่ ควบคมุ มใี นแบบการวจิ ยั เชงิ กงึ่ ทดลองและแบบ การวจิ ัยเชงิ ทดลองแท้จริง แต่ไม่มีในแบบการวิจยั เชิงทดลองเบือ้ งตน้ กล่าวโดยสรุป การวจิ ยั เชิงทดลอง แบง่ การทดลองได้ 3 แบบ ได้แก่ 1) แบบการวจิ ยั เชิง ทดลองเบ้ืองตน้ (Pre-experimental design) ซึ่งมีลักษณะทสี่ �ำคญั คือ เป็นการออกแบบการทดลอง ที่ไม่มกี ารจัดกระทำ� แบบสุ่ม (Randomization) ไมม่ กี ลมุ่ ควบคุม (Control group) หรอื กลมุ่ ที่ใช้ใน การเปรียบเทยี บ (Comparison group) 2) แบบการวจิ ัยเชงิ กงึ่ ทดลอง (Quasi-experimental design) ซงึ่ มลี ักษณะทสี่ ำ� คญั คอื เป็นการออกแบบการวจิ ยั ที่ไมม่ กี ารจัดกระท�ำแบบสุ่ม (Randomization) มีกลมุ่ ควบคุม (Control group) หรอื กลุม่ ทใ่ี ช้ในการเปรยี บเทยี บ (Comparison group) แตเ่ ปน็ กล่มุ ควบคุมท่ไี มม่ กี ระบวนการตรวจสอบวา่ เปน็ กลมุ่ ท่มี คี วามเทา่ เทยี มกนั ก่อนการทดลอง แบบการ วิจัยแบบนี้ดีกว่าแบบการวิจัยเชิงทดลองเบ้ืองต้นตรงที่แบบการวิจัยเชิงก่ึงทดลองมีกลุ่มควบคุม ที่ใช้ในการเปรียบเทียบได้ และ 3) แบบการวิจัยเชิงทดลองแท้จริง (True-experimental design) ซึ่งเป็นแบบการวิจัยเชิงทดลองที่มักจะด�ำเนินการได้ครบถ้วนตามลักษณะของการวิจัยเชิงทดลอง กลา่ วคอื มกี ารจดั กระทำ� (Manipulation) มกี ารจดั กระทำ� แบบสมุ่ หรอื การสมุ่ (Randomization) และ มกี ลมุ่ ควบคมุ (Control group) สามารถใชห้ ลัก MAX-MIN-CON (หลกั การออกแบบการวิจยั เชงิ ทดลอง)ในการควบคมุ ตวั แปรแทรกซอ้ นไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี สามารถจดั สภาพการทดลองใหเ้ ปน็ ไปตาม แนวคดิ และทฤษฎสี ำ� คญั ของการวจิ ยั ได้ จงึ ทำ� ใหส้ ามารถสรปุ ผลการวจิ ยั ในลกั ษณะความสมั พนั ธ์ เชงิ สาเหตแุ ละผล ระหวา่ งตวั แปรอสิ ระทม่ี ผี ลตอ่ ตวั แปรตามไดอ้ ยา่ งมน่ั ใจ และนา่ เชอื่ ถอื กวา่ แบบ การวิจัยแบบอืน่ ๆ ทก่ี ลา่ วมาขา้ งต้น รวมทั้งผลการวิจยั สามารถสรปุ อา้ งอิงไปยงั ประชากรได้ 5. จดุ มงุ่ หมายของการวิจยั เชิงทดลอง การวจิ ยั เชงิ ทดลอง มจี ดุ มงุ่ หมายทส่ี ำ� คญั 3 ประการ ดงั นี้ (บญุ ใจ ศรสี ถติ ยน์ รากรู , 2553, หนา้ 137) 5.1 เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล (Cause and effect relationship) ระหว่างตวั แปรอิสระและตัวแปรตาม การทีน่ ักวิจัยจะสรา้ งขอ้ สรุปว่า ตัวแปรอิสระ ส่งผลท�ำให้ เกิดการเปล่ียนแปลงในตัวแปรตามหรือไม่ นักวิจัยจะต้องจัดกระท�ำการทดลองแล้ววัดผลการ

Research in Educational Administration • 393 เปลี่ยนแปลงในตัวแปรตาม ภายใต้การควบคุมอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อนที่อาจจะส่งผลต่อ ตัวแปรตามได้ 5.2 เพื่อพัฒนาทฤษฎี ผลท่ีเกิดข้ึนจากการศึกษาค้นคว้าโดยการทดลอง ท�ำให้ นักวจิ ยั สร้างองคค์ วามรู้ใหม่ หรือทฤษฎีใหม่ ยงั ผลให้เกดิ ความก้าวหนา้ ทางวิทยาการใหม่ ๆ 5.3 เพื่อทดสอบหรือยืนยันทฤษฎี เป็นการท�ำวิจัยเชิงทดลองซ�้ำในบางเร่ือง เพื่อทดสอบและยืนยันว่า ทฤษฎีที่มีอยู่เดิม ยังคงสามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้อย่าง สมบรู ณห์ รือไม่ หรอื ใชไ้ ดภ้ ายใต้ขอบเขตหรอื บริบทใด หรอื ตอ้ งมีการปรับปรุงแก้ไขในสว่ นใด กล่าวโดยสรุป การวิจัยเชิงทดลอง มีจุดมุ่งหมายที่ส�ำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1) เพื่อศึกษา ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม 2) เพื่อพัฒนาทฤษฎี และ 3) เพ่อื ทดสอบหรอื ยนื ยนั ทฤษฎี 6. หลักการออกแบบการวจิ ัยเชงิ ทดลอง ในการออกแบบการวิจัยเชิงทดลอง (หรือการออกแบบการวิจัยทั่วไป) มีส่ิงส�ำคัญท่ี ควรค�ำนึงถึง คือ การควบคุมความแปรปรวนของตัวแปรและในการควบคุมความแปรปรวนของ ตวั แปรดังกล่าวนนั้ มีหลกั ในการควบคมุ ซึ่งใชเ้ ปน็ หลักในการออกแบบการวิจัยเชงิ ทดลองเพอื่ ให้ ผลการวิจัยออกมามีความเชื่อถือได้มากขึ้น เรียกว่า “MAX-MIN-CON”  โดยมีความหมาย ดังน้ี (Kerlinger, 1986; Kerlinger and Lee, 2000 ) 6.1 MAX (Maximization of Experimental Variance) หมายถงึ การท�ำใหค้ วาม แปรปรวน หรอื ความแตกต่างของตวั แปรทดลอง (หรือตวั แปรอิสระ) มีคา่ สูงสดุ โดยการจัดท�ำให้ ตวั แปรทดลองแตกตา่ งกนั มากทส่ี ดุ เทา่ ทจี่ ะทำ� ได้เพอื่ ใหค้ า่ ของตวั แปรตามหรอื ผลทเี่ กดิ ขนึ้ จากการ ใหส้ งิ่ ทดลองระหวา่ งกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ มคี วามแตกตา่ งกนั มากทสี่ ดุ เชน่ ผวู้ จิ ยั ตอ้ งการ ศกึ ษาวธิ สี อน 3 วธิ ี ทม่ี ตี อ่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรยี น 3 กลมุ่ ซงึ่ การทจ่ี ะทำ� ใหผ้ ลสมั ฤทธิ์ ทางการเรยี นของนักเรยี นในแต่กล่มุ มีความแตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั ส�ำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั สูง ๆ น้นั ส่งิ ทดลอง คอื วธิ สี อนทั้ง 3 วธิ ี ควรต้องมีความแตกตา่ งกนั มากทส่ี ดุ 6.2 MIN (Minimization of Error Variance) หมายถงึ การทำ� ใหค้ วามแปรปรวน หรือความแตกต่างอันเนื่องมาจากความคลาดเคลื่อนมีค่าต่�ำสุด ความคลาดเคล่ือนในท่ีนี้อาจเกิด จากความแตกต่างระหว่างบุคคล (หน่วยตัวอย่าง) หรือความคลาดเคล่ือนอันเกิดจากการวัด ซึ่ง ความคลาดเคลือ่ นดงั กลา่ วอาจเกิดข้ึนได้ 2 ลกั ษณะ ดงั นี้ 1) ความคลาดเคลื่อนของการส่มุ (Random Error) เปน็ ความคลาดเคลอื่ นที่ เกิดจากความไม่เทา่ เทยี มกันของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งมกั จะเปน็ ตัวแปรทเี่ กิดจากกลมุ่ ตวั อย่าง เช่น เพศ อายุ เชื้อชาติ วฒุ ิภาวะ อารมณ์ ความสนใจ ฯลฯ วิธีแกไ้ ข คือ ท�ำให้กลุ่มตัวอย่างมคี วามเท่าเทยี ม กันหรือท�ำให้กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความแตกต่างกันน้อยท่ีสุด และควบคุมเงอ่ื นไขการทดลองตา่ ง ๆ ให้มีระบบทแ่ี น่นอน 2) ความคลาดเคล่ือนอย่างมีระบบ (Systematic Error) เป็นความคลาด เคล่ือนท่ีเกิดข้ึนในลักษณะคงท่ีหรือสม�่ำเสมอ อันเน่ืองมาจากเคร่ืองมือวิจัยขาดคุณภาพ เช่น

394 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา คำ� สง่ั หรอื คำ� ถามในแบบสอบถามขาดความชดั เจน หรอื เนอ่ื งมาจากความบกพรอ่ งของผใู้ ชเ้ ครอ่ื ง มือวิจัยท่ีขาดความช�ำนาญในการใช้เครื่องมือเพ่ือวัดค่าตัวแปร วิธีแก้ไข คือ การสร้างเครื่องมือ วิจยั ใหม้ ีความตรง (Validity) และความเท่ียง (Reliability) และผใู้ ชเ้ ครอ่ื งมอื วจิ ยั ต้องศึกษาวิธกี าร ใชเ้ ครือ่ งมือใหเ้ ขา้ ใจถกู ต้อง และปฏิบตั ติ ามอยา่ งเคร่งครัด 6.3 CON (Control Extraneous Variables) หมายถึง การควบคุมตัวแปร แทรกซอ้ น ซง่ึ ครอบคลมุ ตวั แปรแทรกซอ้ นดงั นค้ี อื 1) ตวั แปรแทรกซอ้ นทเ่ี ปน็ ปจั จยั ภายนอก เชน่ สภาพแวดลอ้ ม เวลา ฯลฯ 2) ตวั แปรแทรกซอ้ นทเี่ ป็นปัจจัยภายในของกลุ่มตัวอยา่ ง เช่น เพศ เช้ือ ชาติ เชาว์ปัญญา และ 3) ตวั แปรแทรกซอ้ นท่เี ป็นปจั จยั จากผู้ทดลอง และกลมุ่ ตวั อย่าง เชน่ ผู้วจิ ัยมี ความลำ� เอยี ง หรอื จงใจบดิ เบอื นขอ้ มลู กลมุ่ ตวั อยา่ งแสดงพฤตกิ รรมทไี่ มเ่ ปน็ ไปตามธรรมชาติ หรอื ตอบแบบสอบถามทีไ่ ม่ตรงกับความคิดเหน็ และความรูส้ ึกทีแ่ ทจ้ รงิ ฯลฯ ซ่งึ อาจเนอ่ื งมาจากความ จงใจให้ผลการวจิ ยั ตอบสนองความคาดหมายของผู้วิจัย หรือมปี จั จยั รบกวนสมาธกิ ล่มุ ตัวอยา่ งใน ขณะทผ่ี วู้ จิ ยั จดั กระทำ� สงิ่ ทดลองใหก้ บั กลมุ่ ตวั อยา่ ง หรอื กลมุ่ ตวั อยา่ งถกู รบกวนดว้ ยปจั จยั ทไี่ มพ่ งึ ประสงค์ เชน่ เสยี ง ความหวิ ความเหนด็ เหนื่อย และความวติ กกังวล ฯลฯ กลา่ วโดยสรปุ หลกั ในการออกแบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองเพอ่ื ใหผ้ ลการวจิ ยั ออกมามคี วาม เชอ่ื ถอื ไดม้ ากขน้ึ เรยี กวา่ “MAX-MIN-CON”  โดย MAX หมายถงึ การทำ� ใหค้ วามแปรปรวน หรอื ความแตกตา่ งของตวั แปรทดลอง (หรือตัวแปรอสิ ระ) มคี ่าสงู สดุ MIN หมายถึง การทำ� ใหค้ วาม แปรปรวน หรอื ความแตกต่างอันเนอ่ื งมาจากความคลาดเคลือ่ นมคี ่าตำ่� สดุ และ CON หมายถึง การควบคมุ ตัวแปรแทรกซ้อน 7. ลกั ษณะของแบบการวิจยั ทด่ี ี จากหลกั การออกแบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองทเ่ี รยี กวา่ “MAX-MIN-CON”  ดงั กลา่ วขา้ งตน้ น้ัน เปน็ แนวทางที่นักวิจัยใช้ในการก�ำหนดลกั ษณะของแบบการวจิ ยั ท่ดี ี ซึ่งในเรอ่ื งนี้ Campbell and Stanley (1963) และ Kerlinger and Lee (2000) ไดส้ รปุ หลกั เกณฑ์ในการตรวจสอบลักษณะ ของแบบการวิจัยหรอื การออกแบบการวิจัยทด่ี ไี วส้ องประการ ดังนี้ 7.1 ความตรงภายใน ความตรงภายใน (Internal Validity) หมายถงึ การท่ผี ลของการเปลี่ยนแปลงในตัว แปรตาม (Dependent variable) เปน็ ผลมาจากตัวแปรอิสระ (Independent variable) ที่ใชใ้ นการ ศึกษาเท่านน้ั โดยไม่ได้มผี ลมาจากตัวแปรแทรกซอ้ นอืน่ ๆ (Extraneous variables) หรอื กล่าวอกี อยา่ งหนง่ึ ความตรงภายใน หมายถงึ ความตรงของแบบการวจิ ัยทส่ี ามารถตอบปัญหาการวิจยั ได้ มกี ารควบคมุ ตวั แปรแทรกซ้อนท่ีไมอ่ ย่ใู นขอบขา่ ยของการวจิ ัยแต่ส่งผลตอ่ การวจิ ยั และลดความ ผิดพลาดคลาดเคลอ่ื นได้มาก งานวิจัยที่มีความตรงภายในสูงจะต้องมีความคลาดเคล่ือนของการวัดตัวแปรต�่ำ และจะต้องสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนท่ีจะมอี ิทธพิ ลต่อตัวแปรตามไดเ้ ปน็ อยา่ งดี รวมทง้ั มกี ระบวนการวเิ คราะหแ์ ละแปลความหมายผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู ไดอ้ ยา่ งถกู ต้องและเหมาะสม ปัจจัยหรือตัวแปรแทรกซ้อนท่ีมีอิทธิพลต่อความตรงภายใน หรือที่ท�ำให้ผลการ

Research in Educational Administration • 395 วจิ ยั ทคี่ น้ พบขาดความตรงภายใน เปน็ ตวั แปรทน่ี กั วจิ ยั ควรจะตอ้ งพจิ ารณาควบคมุ ในการออกแบบ การวิจยั เพอ่ื ให้แบบการวิจยั เปน็ แบบทีม่ ีลกั ษณะทด่ี ี ได้แก่ ประวัติประสบการณข์ องกลมุ่ ที่ศกึ ษา (History) วฒุ ภิ าวะ (Maturation) การทดสอบ (Testing) เครอ่ื งมอื วดั (Instruments) การถดถอยทาง สถิติ (Statistical regression) การคัดเลอื กตัวอยา่ ง (Selection) การขาดหายของตวั อย่าง (Mortality) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการคัดเลือกตัวอย่างกับวุฒิภาวะของตัวอย่าง (Interaction of selection and maturation) การแพร่ของส่งิ ทดลอง (Diffusion of Treatment) การตอบสนองของกลุม่ ตัวอย่างใน กลมุ่ ทดลอง และการตอบสนองของกลมุ่ ตวั อยา่ งในกลมุ่ ควบคมุ โดยมรี ายละเอยี ด ดงั นี้ (Campbell and Stanley, 1963; Burns and Grove, 1997; Neuman, 2000; Babbie, 2007; วรรณี แกมเกต,ุ 2551; บญุ ใจ ศรสี ถติ ย์นรากรู , 2553) 1) ประวตั ปิ ระสบการณข์ องกลุ่มท่ศี กึ ษา ประวัติประสบการณ์ของกลุ่มที่ศึกษาหรือเหตุการณ์พ้อง (History) เป็น ความแตกต่างด้านประสบการณ์ของตัวอย่างท่ีมีต้ังแต่เริ่มแรกของการศึกษา หรือเหตุการณ์พ้อง ค�ำวา่ “เหตกุ ารณ์พอ้ ง” หมายถงึ เหตกุ ารณแ์ ทรกซอ้ นท่เี กดิ ข้ึนในชว่ งระหว่างการทดลองและส่ง ผลต่อตวั แปรตาม ซึ่งเหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขนึ้ น้ี เปน็ เหตุการณท์ ี่ผ้วู จิ ัยไม่ไดจ้ ัดกระทำ� ใหเ้ กิดขึ้น แต่เป็น เหตุการณท์ เ่ี กิดข้นึ โดยผ้วู จิ ัยไม่ไดค้ าดคิดมากอ่ น ตัวอย่าง เชน่ มหาวิทยาลยั ทดลองจัดกิจกรรมให้ นสิ ติ นกั ศกึ ษาในปี 2516 เพอื่ จะดวู า่ นสิ ติ นกั ศกึ ษามจี ติ สำ� นกึ ตอ่ สงั คมมากขน้ึ หรอื ไม่ ตน้ ปวี ดั ระดบั จติ สำ� นึกต่อสงั คม และปลายปกี ว็ ัดอีก ปรากฏว่า “ผลทีไ่ ด้จากการวัดปลายปสี งู ขน้ึ มาก ก็เลยสรุป ผลวจิ ัยว่า นแ่ี หละคือผลทีเ่ กิดจากกิจกรรมทมี่ หาวิทยาลัยจัดให้ ซ่งึ เป็นการสรปุ ที่ไมถ่ กู ตอ้ งทเี ดียว เพราะในปี 2516 ระหว่างปี มีเหตกุ ารณท์ างการเมืองแทรกซอ้ น หรือเหตกุ ารณพ์ ้องเขา้ มาดว้ ย อีกหนึ่งตัวอย่าง เช่น รัฐบาลออกมาตรการให้ร้านค้าท้ังหลายปิดแผงบุหร่ี เพื่อลดการสูบบุหรี่ พอระยะเวลาผา่ นไปประมาณ 6 เดอื น ทำ� วิจยั ดู ปรากฏว่า ลดได้จริง ๆ แตจ่ ะ สรุปว่า เป็นผลมาจากมาตรการของรัฐบาล 100% ไม่ได้ เพราะในช่วงนั้นมีเหตุการณ์แทรกซ้อน หรือเหตุการณพ์ อ้ ง คือ รฐั บาลออกมาตรการหา้ มขายบหุ รแี่ ก่เดก็ อายไุ มเ่ กิน 18 ปี ซง่ึ อาจสง่ ผลตอ่ ตวั แปรตามได้ด้วยเช่นกัน ดังนน้ั จงึ สรปุ ไม่ไดว้ า่ เกิดจากการใหส้ ง่ิ ทดลอง (Treatment) หรือเกิด จากตวั แปรแทรกซอ้ นกนั แน่ น่คี อื ขอ้ เสยี ของตวั แปรแทรกซอ้ น วธิ แี กเ้ หตุการณ์แทรกซ้อนหรอื เหตกุ ารณพ์ ้องของนกั วิจัยสำ� หรบั เรอื่ งน้ี ก็คอื การปรบั เปล่ียนแบบ (Design) ใหม่ ซง่ึ อาจเปล่ยี น จากกลมุ่ เปา้ หมายอายไุ มเ่ กนิ 18 ปี เปน็ อายเุ กนิ 18 ปี ดงั นเี้ ปน็ ตน้ แตย่ งั ตอ้ งระวงั ในเรอ่ื งเหตกุ ารณ์ แทรกซ้อนอ่ืน ๆ อีก เช่น การมีสภาพที่น่ากลัวบนซองบุหรี่ก็อาจเป็นตัวแปรแทรกซ้อนได้ โดย เฉพาะจะมีผลตอ่ ผู้สบู บุหรีใ่ หม่ ๆ (New smokers) ฯลฯ 2) วฒุ ิภาวะ คำ� วา่ “วฒุ ิภาวะ” (Maturation) หมายถงึ ความพร้อมทางดา้ นร่างกายและ จิตใจ ซ่ึงครอบคลุม อายุ ประสบการณ์ ความฉลาด ความแข็งแรง ฯลฯ ซึ่งโดยธรรมชาติ วุฒิ ภาวะของบุคคลย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและตามกลไกทางชีววิทยาและสรีรวิทยา หากวุฒิภาวะของกลุ่มตัวอย่าง หรือวุฒิภาวะในตัวผู้ถูกทดลอง เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าในทางดี ข้นึ (เชน่ มพี ัฒนาการทางรา่ งกาย มีสติปญั ญาเพิ่มข้ึน มคี วามช�ำนาญเพ่ิมขึ้น ฯลฯ) หรือด้อยลง

396 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา (เชน่ ชราภาพ ลา้ เบ่อื หวิ เครียด ฯลฯ) จะมผี ลทำ� ให้คา่ ของตัวแปรตามเปลีย่ นแปลงไปด้วย 3) การทดสอบ ค�ำว่า “การทดสอบ” (Testing) ในที่นี้ หมายถึงการใช้เครื่องมือวัดตัวแปร ตามก่อนการให้สิ่งทดลอง เพ่ือใช้เป็นข้อมูลส�ำหรับเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของตัวแปร ตามเดียวกนั ภายหลังไดร้ บั สง่ิ ทดลองแล้ว การทดสอบก่อนการทดลองน้ี อาจทำ� ใหผ้ ้ถู ูกทดลองมี ปฏิกิรยิ าตอบสนองต่อการจัดเกบ็ ข้อมูลคร้งั แรกได้ เชน่ มีความคนุ้ เคยในค�ำถาม มีความร้คู วาม ชำ� นาญในเน้ือหาเพิม่ ขนึ้ และอาจมคี วามคิดหรอื เจตคติเปล่ียนไป ฯลฯ ดงั น้ัน เมอื่ นักวจิ ยั ใชเ้ คร่ือง มอื ชนดิ เดยี วกนั นไ้ี ปเกบ็ ข้อมลู อกี ครงั้ หนง่ึ ภายหลงั จากการให้สง่ิ ทดลองไปแล้ว ผถู้ ูกทดลองอาจ แสดงพฤติกรรมเปล่ียนแปลงไป เช่น ตอบในเรื่องที่ต้องการวัดได้ดีขึ้น แสดงความรู้สึกในทาง ท่ีเปล่ียนไปจากก่อนการให้สิ่งทดลองอย่างชัดเจน ฯลฯ พฤติกรรมท่ีเปลี่ยนแปลงน้ี อาจเน่ืองมา จากอิทธิพลของการวัดครั้งแรกก่อนให้ส่ิงทดลอง ไม่ใช่เป็นเพราะอิทธิพลของส่ิงทดลองท่ีให้กับ ตัวอยา่ งก็อาจเปน็ ไปได้ 4) เครอ่ื งมอื วัด เคร่ืองมือวัดหรือเครื่องมือวิจัย (Instruments) จ�ำเป็นต้องเป็นเคร่ืองมือที่มี คุณภาพ คือ มคี วามตรง (Validity) ความเที่ยง (Reliability) เปน็ ต้น หากเคร่อื งมอื วจิ ยั ไมม่ ีคณุ ภาพ เม่อื น�ำไปใช้เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จะท�ำให้คา่ ของตวั แปรที่วดั ไดไ้ ม่ตรงตามความเปน็ จรงิ หรือท�ำให้ เกิดความคลาดเคล่ือนในผลการวิจัย เช่น ให้เด็กท่ีขาดสารอาหารเข้ากลุ่มทดลอง ด้วยการให้ ส่งิ ทดลอง (Treatment) ตามโครงการโภชนาการ ตอน Pretest ไดช้ ่งั น้ำ� หนักเด็กทุกคน และตอน Posttest ก็ช่ังน้�ำหนักเด็กทุกคนเช่นกัน ปรากฏว่าดีข้ึนมาก แต่ก็ไม่ใช่ผลจากการให้ส่ิงทดลอง แต่เป็นเพราะเครื่องช่ังตัวเดมิ มันไม่ดี คอื เข็มบนเครอื่ งช่ังชี้เลยเลขศนู ย์ (0) ไปมากแลว้ ฯลฯ ความคลาดเคลอื่ นในผลการวจิ ยั ดงั กลา่ ว นอกจากจะเกดิ จากเครอ่ื งมอื ทไี่ มม่ ี คณุ ภาพแลว้ ยงั อาจเกดิ จากวธิ กี ารใชเ้ ครอ่ื งมอื หากผวู้ จิ ยั หรอื ผชู้ ว่ ยวจิ ยั ขาดทกั ษะหรอื ความชำ� นาญ ในการใชเ้ ครอื่ งมือวิจยั แลว้ จะท�ำใหผ้ ลของการวัดท่ไี ดม้ ีความคลาดเคลื่อน อนง่ึ การเปลยี่ นแปลงของเครอ่ื งมอื ทใ่ี ชเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มลู อาจทำ� ใหผ้ ลการ วจิ ัยออกมาเกิดความคลาดเคลอื่ นได้เช่นกัน ตวั อยา่ งเช่น ในการทดลองทม่ี ีการวดั ตวั แปรตามสอง ครงั้ คอื วดั กอ่ นการทดลอง (Pretest) และวดั หลงั การทดลอง (Posttest) หากนกั วจิ ยั ใชเ้ ครอ่ื งมอื วจิ ยั คนละชุดกัน ซงึ่ ไม่มีความเทา่ เทยี มกนั หรือไม่เปน็ เครอื่ งมอื ที่คู่ขนานกนั ความแตกต่างในผลการ วดั อาจไม่ไดเ้ กดิ จากอิทธิพลของสิ่งทดลองหรอื ตวั แปรอสิ ระเพยี งอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากความ แตกต่างของเครื่องมือทใ่ี ชว้ ัดก็ได้ ฯลฯ 5) การถดถอยทางสถติ ิ การถดถอยทางสถิติ (Statistical regression) เป็นการเปล่ียนแปลงตาม ธรรมชาตขิ องขอ้ มลู ทม่ี แี นวโนม้ เบยี่ งเบนเขา้ สคู่ า่ เฉลย่ี ของกลมุ่ เสมอ ซง่ึ การเปลยี่ นแปลงดงั กลา่ ว เป็นปัจจัยหรือตัวแปรแทรกซ้อนที่มีผลกระทบต่อความตรงภายในของผลการวิจัย ท�ำให้ผลการ เปลี่ยนแปลงของตัวแปรตามไม่ได้เกิดจากอิทธิพลของตัวแปรอิสระหรือส่ิงทดลองอย่างแท้จริง แตเ่ ปน็ อทิ ธพิ ลของการถดถอยทางสถิติทีม่ ีส่วนท�ำให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงด้วย

Research in Educational Administration • 397 การถดถอยทางสถิติดังกล่าว มักพบได้ในกรณีท่ีมีการเก็บข้อมูลจากกลุ่ม ตัวอย่างที่มีลักษณะสุดโต่ง เช่น สูงมาก-ต�่ำมาก เก่งมาก-อ่อนมาก ดีมาก-เลวมาก ฯลฯ ซึ่งเป็น กลมุ่ ตวั อยา่ งกลมุ่ เดยี วกนั สองครงั้ หรอื มากกวา่ สองครง้ั แลว้ นำ� ขอ้ มลู ทตี่ อ้ งการศกึ ษาในแตล่ ะครงั้ มาวเิ คราะห์เปรียบเทยี บกัน จะพบว่า ผลการวดั ครงั้ แรกกับครงั้ ทสี่ องจะมลี ักษณะเบ่ยี งเบนเข้าสู่ คา่ เฉลี่ยของกลุ่มเสมอ ท้งั น้ี เป็นเพราะอทิ ธพิ ลของคา่ ของตวั แปรท่มี ีค่าตำ่� มากและสูงมาก (Floor Effect and Ceiling Effect) (บญุ ใจ ศรีสถติ ยน์ รากรู , 2553) ตวั อยา่ งเรอ่ื งการถดถอยทางสถติ ิ เชน่ การวจิ ยั เกย่ี วกบั การดม่ื สรุ าของคนไทย โดยเก็บขอ้ มูล 3 เดอื น คือ ตง้ั แตเ่ ดือน ต.ค. – ธ.ค. ซง่ึ เป็นช่วงท่พี ีค (Peak) คอื ดื่มกันมาก และ มิใช่ค่าเฉล่ียหรือค่าปกติของการดื่มสุราทั้งปี จะสรุปผลการวิจัยว่า คนไทยดื่มสุรามากไม่ได้ เพราะการด่ืมของเขาจะลดลง คอื ถดถอยเขา้ หาค่าปกติอกี ครงั้ ฯลฯ 6) การคัดเลอื กตัวอย่าง การคัดเลือกตัวอย่าง (Selection) การคัดเลือกตัวอย่างในการวิจัย ไม่ว่าจะ เป็นการคัดเลือกตัวอย่างจากประชากร (Random selection) หรือการคัดเลือกตัวอย่างเข้ากลุ่ม ทดลองและกลุ่มควบคุม (Random assignment) ถ้านกั วิจยั มคี วามล�ำเอียงในการเลือก (Selection bias) จะทำ� ใหต้ วั อยา่ งในกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ มคี วามแตกตา่ งกนั หรอื ไมเ่ ทา่ เทยี มกนั ตงั้ แต่ เรม่ิ ตน้ ซงึ่ จะมผี ลตอ่ คา่ ของตวั แปรตาม หากผลการวจิ ยั พบวา่ คา่ ของตวั แปรตามของกลมุ่ ทดลอง แตกตา่ งจากกลมุ่ ควบคมุ ผวู้ จิ ยั ไมอ่ าจจะสรปุ ไดว้ า่ ผลการทดลองทเ่ี ปลย่ี นแปลงในกลมุ่ ทดลองเกดิ จากอิทธพิ ลของสงิ่ ทดลองท่ใี ห้ ตวั อยา่ ง นกั วจิ ยั ตอ้ งการศกึ ษาเปรยี บเทยี บผลของวธิ กี ารสอนสองวธิ ี คอื วธิ ี สอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นส�ำคัญ กับวิธีสอนแบบบรรยายว่า จะส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แตกตา่ งกนั หรอื ไม่ นกั วจิ ยั ดำ� เนนิ การโดยเลอื กตวั อยา่ งนกั เรยี นทเ่ี รยี นเกง่ มแี รงจงู ใจใฝส่ มั ฤทธส์ิ งู และเปน็ ผทู้ ชี่ อบแสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเอง เปน็ กลมุ่ ทดลองทใ่ี หไ้ ดร้ บั การสอนแบบเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำ� คญั และเลือกนักเรียนทีม่ ลี ักษณะตรงกนั ขา้ มเป็นกล่มุ ควบคุมท่ใี หไ้ ดร้ บั การสอนแบบบรรยาย หลังจบการทดลองวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของนกั เรยี นทัง้ สองกลมุ่ และนำ� ข้อมูลมาวิเคราะห์ เปรียบเทียบกัน พบว่า นักเรียนท่ีได้รับการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นส�ำคัญ มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นสงู กวา่ นักเรยี นท่ไี ดร้ บั การสอนแบบบรรยาย อยา่ งมนี ัยสำ� คัญทางสถติ ิ ความแตกตา่ งน้ีอาจ ไมไ่ ดเ้ กดิ จากอทิ ธพิ ลของวธิ สี อนทแ่ี ตกตา่ งกนั แตเ่ ปน็ เพราะสภาพเรม่ิ ตน้ ของกลมุ่ ตวั อยา่ งทง้ั สอง กลุ่มท่ีไม่เทา่ เทียมกัน ผลการวิจัยในกรณนี ้กี ลา่ วได้วา่ เปน็ ผลการวิจยั ทข่ี าดความตรงภายใน ท้ังน้ี เน่ืองจากในกลมุ่ ทดลอง มตี วั แปรแทรกซ้อนทีเ่ กดิ จากความลำ� เอียงในการเลือกตวั อย่าง คือ เรียน เกง่ มีแรงจงู ใจใฝส่ ัมฤทธสิ์ ูง และเปน็ ผ้ทู ่ีชอบแสวงหาความรูด้ ้วยตนเอง (วรรณี แกมเกต,ุ 2551) จากตัวอย่างข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่า การคัดเลือกตัวอย่างในการวิจัยโดยมี ความล�ำเอียงนนั้ เปน็ ปจั จยั หรอื ตวั แปรแทรกซ้อนส�ำคัญทีม่ ีอิทธพิ ลตอ่ ความตรงภายใน (Internal Validity) ดังน้ัน วิธีแก้ไขในเรื่องน้ี ผู้วิจัยจึงควรใช้วิธีการสุ่ม (Randomization) ทั้งสองขั้นตอน ถ้าสามารถท�ำได้ คือ ทัง้ ขั้นตอนการคัดเลือกตัวอยา่ งจากประชากร (Random selection) เพื่อใหไ้ ด้ กลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นตัวแทนท่ีดี (Representative) และขั้นตอนการคัดเลือกตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลอง

398 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา และกลุ่มควบคุม (Random assignment) เพ่ือให้กลุ่มตัวอย่างท้ังสองกลุ่มมีความเท่าเทียมกัน (Equivalence) 7) การขาดหายของตวั อยา่ ง การขาดหายของตัวอย่าง (Mortality) ถ้าเป็นการวิจัยหรือการทดลองท่ีใช้ ระยะเวลานาน ๆ อาจจะมีการขาดหายไปของสมาชิกหรือตัวอย่างได้ ซ่ึงอาจเกิดจากการเจ็บป่วย การตาย การลา การยา้ ยโรงเรยี น ฯลฯ ทำ� ใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งหรอื ผทู้ เี่ ปน็ ตวั แทน หรอื คา่ เฉลยี่ ของกลมุ่ ทดลองเพ้ยี นไปได้ ผลการเปลีย่ นแปลงทเี่ กดิ ขน้ึ ในขัน้ สดุ ท้าย อาจเกิดเนอื่ งจากคณุ ลักษณะพเิ ศษ ของกลุ่มตวั อยา่ งทเ่ี หลอื อยเู่ ท่านั้น ซึง่ เป็นคุณลกั ษณะทไี่ ม่มีในกลุ่มประชากร หรือกลุ่มตวั อย่างที่ ขาดหายไป 8) ปฏิสัมพันธ์ระหวา่ งการคัดเลือกตวั อย่างกบั วฒุ ภิ าวะของตัวอย่าง ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งการคดั เลอื กตวั อยา่ งกบั วฒุ ภิ าวะของตวั อยา่ ง(Interaction of selection and maturation) หมายถึง ปฏิสัมพันธ์ซ่ึงเป็นอิทธิพลร่วมระหว่างการเลือกใช้ ตัวอย่างในลักษณะล�ำเอียงกับวุฒิภาวะของตัวอย่างที่เปล่ียนแปลงไป คือ การใช้ตัวอย่างในเวลาท่ี แตกต่างกนั ออกไป ท�ำใหต้ ัวอย่างมีวุฒิภาวะแตกต่างกนั ไปดว้ ย อทิ ธพิ ลรว่ มนี้มใิ ชม่ เี พียงอทิ ธพิ ล รว่ มระหวา่ งการเลอื กใชต้ วั อยา่ งในลกั ษณะลำ� เอยี งกบั วฒุ ภิ าวะของตวั อยา่ งทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปเทา่ นนั้ แตย่ งั ครอบคลมุ ถงึ อทิ ธพิ ลรว่ มระหวา่ งการเลอื กใชต้ วั อยา่ งในลกั ษณะลำ� เอยี งกบั สภาพการณ์ และ อิทธิพลรว่ มระหว่างการเลือกใชต้ วั อยา่ งในลักษณะล�ำเอยี งกับเครือ่ งมือวิจัย ตัวอย่าง ผลการเรียนการสอนโดยใช้การวิจัยเป็นฐานต่อความสามารถใน การคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษา ผู้วิจัยจัดสภาพการณ์ให้กลุ่มทดลองท่ีแตกต่างจากกลุ่ม ควบคมุ โดยจดั ใหก้ ลมุ่ ทดลองเรยี นในหอ้ งเรยี นทมี่ เี ครอ่ื งปรบั อากาศและเรยี นในชว่ งเชา้ สว่ นกลมุ่ ควบคุมเรียนในห้องเรียนที่ไม่มีเคร่ืองปรับอากาศและเรียนในช่วงบ่าย ในกรณีนี้ ผลการวิจัยท่ี พบว่า คา่ เฉลีย่ การคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณของกลมุ่ ทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคมุ อย่างมนี ัยส�ำคัญทาง สถิติ เป็นผลการวจิ ัยทข่ี าดความตรงภายใน เพราะความสามารถในการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณของ กลุ่มทดลองท่สี งู กว่ากลุ่มควบคุม เปน็ ผลจากอิทธิพลร่วมระหวา่ งการเลอื กใชต้ วั อย่างในลกั ษณะ ล�ำเอียงกับการจดั สภาพการณ์ทม่ี ีลกั ษณะลำ� เอียง (บุญใจ ศรีสถิตยน์ รากรู , 2553) 9) การแพรข่ องสิง่ ทดลอง การแพร่ของสิ่งทดลอง (Diffusion of Treatment) หมายถึง สิ่งทดลอง ซึ่งจัดกระท�ำให้กับตัวอย่างในกลุ่มทดลอง ได้แพร่ไปยังตัวอย่างในกลุ่มควบคุม ท�ำให้ตัวอย่างใน กลุ่มทดลองและตัวอย่างในกลุ่มควบคุมได้รับสิ่งทดลองท่ีเหมือนกัน ดังนั้น เม่ือมีการแพร่ของ ส่ิงทดลอง หากผลการวิจัยพบว่า คะแนนตัวแปรตามของตัวอย่างในกลุ่มทดลองสูงกว่าตัวอย่าง ในกลุ่มควบคุม กค็ งจะไมใ่ ช่ผลของสงิ่ ทดลอง แตเ่ ป็นผลจากตวั แปรแทรกซ้อนอ่นื ๆ 10) การตอบสนองของกลุ่มตวั อย่างในกลุ่มทดลอง การตอบสนองของกลุ่มตัวอย่างในกลุ่มทดลอง หมายถึง การท่ีกลุ่ม ตวั อย่างในกลุ่มทดลองตอบสนองทไ่ี ม่ตรงตามพฤติกรรมท่แี ทจ้ รงิ ของกลุม่ ตัวอยา่ ง หรอื การตอบ แบบสอบถามทไี่ มต่ รงตามความรสู้ กึ ทแี่ ทจ้ รงิ ของกลมุ่ ตวั อยา่ งเพอื่ จงใจชว่ ยใหส้ มมตฐิ านทท่ี ดสอบ

Research in Educational Administration • 399 มนี ยั สำ� คัญทางสถติ ิ ผลการวิจยั ทพ่ี บ จงึ เปน็ ผลการวจิ ยั ท่ีขาดความตรงภายใน 11) การตอบสนองของกลุ่มตัวอยา่ งในกลมุ่ ควบคมุ การตอบสนองของกลมุ่ ตวั อยา่ งในกลมุ่ ควบคมุ หมายถงึ การทก่ี ลมุ่ ตวั อยา่ ง ในกลุ่มควบคมุ ซึ่งไมไ่ ด้รับสิง่ ทดลองทตี่ ้องการเชน่ เดียวกบั กลมุ่ ทดลอง รู้สกึ ว่า กลุ่มตนไดร้ บั การ ปฏบิ ตั ทิ ไ่ี มเ่ ทา่ เทยี มกบั กลมุ่ ตวั อยา่ งในกลมุ่ ทดลอง จงึ ไมพ่ อใจและพยายามหาวธิ กี ารตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้ สมมตฐิ านที่ผวู้ ิจยั ทดสอบไม่มีนัยสำ� คญั กล่าวโดยสรุป ปัจจัยหรือตัวแปรแทรกซ้อนที่มีอิทธิพลต่อความตรงภายใน (Internal Validity) ของผลการวิจัยท้ัง 11 ประการดังกล่าวข้างต้น เป็นสิ่งท่ีท�ำให้ผลของการเปล่ียนแปลง ในตัวแปรตาม (Dependent variable) ไม่ได้เป็นผลมาจากตัวแปรอิสระ (Independent variable) ทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาเทา่ นนั้ แตเ่ ปน็ ผลทเี่ กดิ จากตวั แปรแทรกซอ้ นดว้ ย ดงั นนั้ ถา้ จะใหง้ านวจิ ยั มคี วาม ตรงภายในสูง ผู้วิจัยจะต้องสามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนท่ีจะมีอิทธิพลต่อตัวแปรตามได้ เป็นอย่างดี 7.2 ความตรงภายนอก ความตรงภายนอก (External Validity) หมายถึง การท่ีผลของการวิจัยท่ีผู้วิจัย สามารถสรปุ อา้ งองิ ไปยงั ประชากรทมี่ คี ณุ ลกั ษณะตรงกบั กลมุ่ ตวั อยา่ งทศี่ กึ ษา (Polit and Hungler, 1987, p. 195) หรอื กล่าวอีกอย่างหนึง่ ความตรงภายนอก หมายถงึ ความตรงของแบบการวิจยั ท่ีผู้วจิ ัยสามารถน�ำผลการวจิ ัยไปสรปุ อ้างอิง (Generalizability) หรือใชเ้ ป็นตวั แทนของประชากร (Representative) ได้ หรือผลการวิจัยจะมีความตรงภายนอกก็ต่อเมื่อกลุ่มตัวอย่างท่ีศึกษาเป็น ตวั แทนที่ดีของประชากร ขอ้ ความวา่ “กลมุ่ ตวั อยา่ งทเ่ี ปน็ ตวั แทนทดี่ ขี องประชากร” หมายถงึ กลมุ่ ตวั อยา่ งที่ ผูว้ ิจยั ได้มาโดยใชว้ ธิ กี ารสมุ่ ตัวอยา่ ง (Random Sampling) และกำ� หนดขนาดกลุ่มตวั อย่าง (Sample Size) ที่เหมาะสม กล่าวคือ ผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มจากประชากรโดยวิธีการสุ่มที่เหมาะสม ปราศจาก ความล�ำเอียง รวมท้งั กำ� หนดขนาดกล่มุ ตวั อย่าง (หรือจ�ำนวนตัวอยา่ ง) ทเี่ หมาะสมทั้งด้านแนวคดิ และการปฏิบัติได้จริง ซ่ึงข้อมูลท่ีรวบรวมได้จากกลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นตัวแทนท่ีดีของประชากร ดังกล่าวนี้ เมื่อน�ำมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติอ้างอิง และน�ำค่าสถิติของกลุ่มตัวอย่างมาประมาณค่า พารามิเตอร์ของประชากร จะพบว่า ค่าสถิติ (ค่าที่คำ� นวณได้จากกลุ่มตัวอย่าง เช่น ค่าเฉล่ีย (X) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ค่าความแปรปรวน (SD2) ฯลฯ ) มีค่าใกล้เคียงกับค่าพารามิเตอร์ (คา่ ที่คำ� นวณได้จากประชากร เชน่ ค่าเฉลีย่ (μ) คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน (σ) คา่ ความแปรปรวน σ2 ฯลฯ ) หรือมีคา่ แตกตา่ งกนั นอ้ ยมาก ปจั จยั ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ ความตรงภายนอกทนี่ กั วจิ ยั ควรพจิ ารณาถงึ ในการออกแบบการ วจิ ยั เพอ่ื ให้แบบการวจิ ยั เปน็ แบบที่มลี ักษณะท่ีดี ได้แก่ 1) อิทธิพลร่วมระหว่างการเลอื กตวั อยา่ ง และส่งิ ทดลอง ( Interaction Effects of Selection and Treatment) 2) อทิ ธิพลร่วมระหวา่ งแหล่ง ทดลองและส่งิ ทดลอง ( Interaction Effects of Setting and Treatment) 3) อทิ ธพิ ลร่วมระหว่าง การทดสอบและสงิ่ ทดลอง (Interaction Effects of Testing and Treatment) 4) อทิ ธพิ ลรว่ มระหวา่ ง เหตกุ ารณพ์ อ้ งและสงิ่ ทดลอง (Interaction Effects of History and Treatment) 5) ปฏกิ ริ ยิ าของกลมุ่

400 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา ตวั อย่างทม่ี ีต่อสิง่ ทดลอง (Reaction Effects of Experimental Arrangement) และ 6) การไดร้ บั สง่ิ ทดลองหลาย ๆ อยา่ ง (Multiple Treatment Interference) โดยมรี ายละเอยี ด ดงั นี้ (Campbell and Stanley, 1963; Neuman, 2000; Babbie, 2007; บญุ ใจ ศรสี ถติ ยน์ รากูร, 2553) 1) อิทธพิ ลรว่ มระหว่างการเลอื กตัวอยา่ งและสงิ่ ทดลอง อิทธิพลร่วมระหว่างการเลือกตัวอย่างและสิ่งทดลอง (Interaction Effects of Selection and Treatment) หมายความว่า ผู้วจิ ัยมคี วามล�ำเอียงในการเลอื กตัวอย่าง โดยได้เลอื ก ตวั อยา่ งทผ่ี วู้ จิ ยั คดิ วา่ นา่ จะชว่ ยเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพของสง่ิ ทดลอง ทำ� ใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งในกลมุ่ ทดลอง เปน็ กลมุ่ ตวั อยา่ งทม่ี คี ณุ ลกั ษณะเปลย่ี นไปหรอื ผดิ ปกตหิ รอื แตกตา่ งจากคณุ ลกั ษณะของประชากร ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ กลมุ่ ตวั อยา่ งทไี่ มเ่ ปน็ ตวั แทนทดี่ ขี องประชากร ดงั นน้ั ผลการวจิ ยั ทคี่ น้ พบจงึ ขาดความ ตรงภายนอก ตวั อยา่ ง นกั วจิ ยั ตอ้ งการศกึ ษาผลของการเรยี นแบบสบื เสาะทมี่ ตี อ่ ทกั ษะการ แสวงหาความรู้ ได้เลือกตัวอยา่ งนกั เรียนทม่ี ีลกั ษณะเป็นคนใฝ่เรียนรู้ ชอบการแสวงหาความรดู้ ้วย ตนเองมาเป็นกลุ่มตัวอย่างในการทดลอง และด�ำเนินการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะเป็น เวลาหนง่ึ ภาคเรยี น ผลปรากฏวา่ วธิ นี ใ้ี ชไ้ ดผ้ ลดมี าก นกั เรยี นมที กั ษะในการแสวงหาความรเู้ พมิ่ ขนึ้ และสรา้ งองคค์ วามรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง แตว่ ธิ กี ารเรยี นแบบสบื เสาะนอ้ี าจนำ� ไปใชก้ บั กลมุ่ นกั เรยี นทวั่ ๆ ไป ไมไ่ ดผ้ ล เนอื่ งจากกลมุ่ ตวั อยา่ งในการทดลองครง้ั น้ี มลี กั ษณะแตกตา่ งออกไป ซงึ่ ไมเ่ ปน็ ตวั แทน ที่ดีของนักเรียนท่ัว ๆ ไป อันเป็นผลมาจากการคัดเลือกตัวอย่างนักเรียนที่มีคุณลักษณะพิเศษ คือ เป็นคนใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ชอบการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง และคุณลักษณะพิเศษนี้เข้ากันได้ดี หรอื เหมาะสมกบั วิธีการเรียนแบบสบื เสาะ 2) อิทธิพลรว่ มระหวา่ งแหลง่ ทดลองและสิง่ ทดลอง อิทธิพลร่วมระหว่างแหล่งทดลองและส่ิงทดลอง (Interaction Effects of Setting and Treatment) หมายความว่า ผู้วิจัยพยายามเลือกศึกษาเฉพาะหน่วยที่จะช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพของสิ่งทดลอง หรือเลือกศึกษาเฉพาะหน่วยงานท่ีผู้วิจัยมีความสะดวกในการจัด กระทำ� สง่ิ ทดลองหรอื ในกรณที หี่ นว่ ยงานทผ่ี วู้ จิ ยั สมุ่ มาศกึ ษามบี างหนว่ ยงานทยี่ นิ ดใี หค้ วามรว่ มมอื และมีบางหน่วยงานที่ไม่ยินดีให้ความร่วมมือ ซ่ึงหน่วยงานท่ียินดีให้ความร่วมมือเป็นหน่วยงาน ท่ีมีส่ิงเอ้ือต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของส่ิงทดลอง ส่วนหน่วยงานที่ไม่ยินดีให้ความ ร่วมมือ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ไม่พร้อมที่จะเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกมาศึกษาวิจัย กลุ่ม ตวั อยา่ งทเ่ี ลอื กมาศกึ ษาในกลมุ่ ลดลองเปน็ กลมุ่ ตวั อยา่ งทม่ี คี ณุ ลกั ษณะเปลย่ี นไปหรอื ผดิ ปกตหิ รอื แตกตา่ งจากคณุ ลกั ษณะของประชากร ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ กลมุ่ ตวั อยา่ งทไี่ มเ่ ปน็ ตวั แทนทดี่ ขี องประชากร ดงั น้นั ผลการวิจัยที่ค้นพบจงึ ขาดความตรงภายนอก 3) อทิ ธิพลรว่ มระหว่างการทดสอบและสิง่ ทดลอง อิทธิพลร่วมระหว่างการทดสอบและสิ่งทดลอง (Interaction Effects of Testing and Treatment) หมายความว่า ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างท�ำแบบทดสอบก่อนให้สิ่งทดลอง ซึ่งอาจเป็นการกระตุ้นให้กลุ่มตัวอย่างมีความใส่ใจกับปัญหาการวิจัยท่ีผู้วิจัยศึกษา ดังน้ัน ภายหลังท่ีกลุ่มตัวอย่างได้ท�ำแบบทดสอบ จึงได้ค้นคว้าความรู้ในเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติมด้วยตนเอง

Research in Educational Administration • 401 เมอ่ื กลมุ่ ตวั อยา่ งไดร้ บั สิง่ ทดลอง จะท�ำใหเ้ พ่มิ ประสิทธผิ ลของสง่ิ ทดลอง กลมุ่ ตวั อย่างในกรณีน้ี จงึ เปน็ กลุ่มตวั อย่างที่มคี ณุ ลักษณะเปล่ียนไปหรอื ผิดปกติหรือแตกต่างจากประชากร ซึ่งถอื ว่าเปน็ กลุม่ ตวั อยา่ งทไี่ มเ่ ปน็ ตัวแทนท่ีดขี องประชากร ผลการวิจัยที่พบจงึ ขาดความตรงภายนอก 4) อิทธิพลร่วมระหว่างเหตุการณพ์ ้องและส่งิ ทดลอง อิทธิพลร่วมระหว่างเหตุการณ์พ้องและส่ิงทดลอง (Interaction Effects of History and Treatment) หมายความว่า ในขณะท่ีด�ำเนนิ การทดลอง ได้มเี หตุการณ์ทีไ่ มค่ าดคิดเกดิ ขน้ึ และเป็นเหตุการณท์ ีท่ �ำใหก้ ลุม่ ตวั อยา่ งให้ความใสใ่ จ หรอื ตน่ื ตัวต่อผลทจ่ี ะได้รบั จากเหตกุ ารณ์ ที่เกิดขึ้น เม่ือตัวอย่างในกลุ่มทดลองได้รับส่ิงทดลอง จะท�ำให้เพ่ิมประสิทธิผลของส่ิงทดลอง ซึ่งตัวอย่างของกลุ่มทดลองในกรณีนี้จึงเป็นตัวอย่างท่ีมีลักษณะเปล่ียนไปหรือผิดปกติหรือ แตกต่างจากประชากร ซ่ึงถือว่าเป็นกลุ่มตัวอย่างท่ีไม่เป็นตัวแทนท่ีดีของประชากร ผลการวิจัย ทีพ่ บจึงขาดความตรงภายนอก 5) ปฏกิ ิริยาของกลมุ่ ตวั อย่างทมี่ ตี ่อส่ิงทดลอง ปฏิกริ ยิ าของกลุ่มตัวอย่างทมี่ ีต่อสงิ่ ทดลอง (Reaction Effects of Experi- mental Arrangement) หมายความวา่ กลมุ่ ตวั อยา่ งรตู้ ัววา่ ตนเองถูกสมุ่ เปน็ กลมุ่ ตัวอย่าง จงึ ตอบ สนองตอ่ สง่ิ ทดลองในลกั ษณะทไี่ มต่ รงตามความเปน็ จรงิ เชน่ แสดงพฤตกิ รรมหรอื แสดงปฏกิ ริ ยิ า ท่ีมไิ ด้เปน็ ไปตามธรรมชาติ ซง่ึ กลุ่มตวั อยา่ งทศี่ กึ ษา แม้ว่าผู้วจิ ยั จะใชว้ ิธีการสุ่มกต็ าม แตเ่ นอ่ื งจาก เป็นกลุ่มตัวอย่างทต่ี อบสนองต่อส่ิงทดลองในลกั ษณะไมต่ รงตามความเปน็ จริงหรือไม่เปน็ ไปตาม ธรรมชาตจิ งึ เปน็ กลมุ่ ตวั อยา่ งทม่ี คี ณุ ลกั ษณะเปลยี่ นไปหรอื ผดิ ปกตหิ รอื แตกตา่ งจากประชากร ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ กลมุ่ ตวั อยา่ งทไ่ี มเ่ ปน็ ตวั แทนทด่ี ขี องประชากร ผลการวจิ ยั ทพ่ี บจงึ ขาดความตรงภายนอก 6) การไดร้ ับสิ่งทดลองหลาย ๆ อยา่ ง การได้รับสิ่งทดลองหลาย ๆ อย่าง (Multiple Treatment Interference) หมายความวา่ กลุ่มตวั อยา่ งไดร้ บั สิ่งทดลองมากกว่าหน่งึ อยา่ ง กลุ่มตัวอยา่ งในกรณนี ี้ กล่าวไดว้ ่า เป็นกลุ่มตัวอย่างที่มีคุณลักษณะเฉพาะซ่ึงผู้วิจัยได้คัดเลือกมาศึกษาเพ่ือให้สิ่งทดลอง ซึ่งเป็น กลุ่มตัวอย่างที่มีคุณลักษณะเปล่ียนไปหรือผิดปกติหรือแตกต่างจากประชากร ซ่ึงถือว่าเป็น กลุ่มตัวอย่างท่ีไม่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากรทั่วไป ดังนั้น ผลการวิจัยที่พบจึงขาดความตรง ภายนอก แต่สามารถอ้างอิงไปยังเฉพาะประชากรที่มีคุณลักษณะเหมือนกับกลุ่มตัวอย่างของงาน วิจัยน้เี ท่านั้น กล่าวได้ว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตรงภายนอกของผลการวิจัยท้ังหกประการ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ เปน็ สง่ิ ทที่ ำ� ใหค้ ณุ ลกั ษณะของกลมุ่ ตวั อยา่ งทใ่ี ชใ้ นการทดลองไมเ่ ปน็ ตวั แทนทด่ี ขี อง ประชากรในสภาพทวั่ ไป จงึ ทำ� ใหผ้ ลของการวจิ ยั ทไี่ ดจ้ ากกลมุ่ ตวั อยา่ งในการทดลองไมส่ ามารถนำ� ไปใช้หรอื สรปุ อ้างอิงไปยังประชากรท่วั ไปได้ กลา่ วโดยสรปุ ลกั ษณะของแบบการวจิ ยั หรอื การออกแบบการวจิ ยั ทดี่ มี ี 2 ประการ ไดแ้ ก่ 1) ความตรงภายใน หมายถงึ การทผ่ี ลของการเปล่ยี นแปลงในตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นผลมาจากตวั แปรอสิ ระ (Independent variable) ทใี่ ชใ้ นการศึกษาเทา่ นั้น โดยไม่ได้มีผลมาจาก ตวั แปรแทรกซอ้ นอน่ื ๆ (Extraneous variables) ตวั แปรแทรกซอ้ นทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ ความตรงภายใน

402 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา หรือทท่ี �ำให้ผลการวจิ ยั ท่ีคน้ พบขาดความตรงภายใน ได้แก่ ประวัติประสบการณ์ของกลมุ่ ท่ศี ึกษา วุฒิภาวะ การทดสอบ เครื่องมือวัด การถดถอยทางสถิติ การคัดเลือกตัวอย่าง การขาดหายของ ตัวอย่าง ปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหว่างการคัดเลอื กตัวอยา่ งกับวฒุ ิภาวะของตัวอยา่ ง การแพร่ของสงิ่ ทดลอง การตอบสนองของกลมุ่ ตวั อยา่ งในกลมุ่ ทดลอง และการตอบสนองของกลมุ่ ตวั อยา่ งในกลมุ่ ควบคมุ และ 2) ความตรงภายนอก หมายถึง การที่ผลของการวิจัย สามารถสรุปอ้างอิงไปยังประชากร ที่มคี ณุ ลักษณะตรงกับกลมุ่ ตัวอยา่ งทศี่ กึ ษา ปัจจยั ทีม่ ีอิทธิพลต่อความตรงภายนอก ได้แก่ อทิ ธพิ ล ร่วมระหว่างการเลือกตัวอย่างและส่ิงทดลอง อิทธิพลร่วมระหว่างแหล่งทดลองและส่ิงทดลอง อทิ ธพิ ลรว่ มระหวา่ งการทดสอบและสง่ิ ทดลอง อทิ ธพิ ลรว่ มระหวา่ งเหตกุ ารณพ์ อ้ งและสง่ิ ทดลอง ปฏกิ ริ ยิ าของกลุม่ ตัวอย่างทีม่ ีต่อสงิ่ ทดลอง และการได้รับสิ่งทดลองหลาย ๆ อย่าง 12.2 การมกี ลมุ่ ควบคุมและการสมุ่ ในแบบการวิจัยเชิงทดลอง Neuman (2000) กลา่ วว่า แบบการวจิ ัยเชิงทดลองมี 3 แบบ ไดแ้ ก่ 1) แบบการวิจัยเชิง ทดลองเบ้ืองต้น (Pre-experimental design) 2) แบบการวจิ ยั เชงิ ก่ึงทดลอง (Quasi-experimental design) และ 3) แบบการวิจยั เชงิ ทดลองแทจ้ ริง (True-experimental design) ในแบบการวจิ ยั เชิง ทดลองเบ้อื งต้น ไม่มีกลมุ่ ควบคมุ และการส่มุ ในแบบการวจิ ยั เชิงกึง่ ทดลอง มกี ลุ่มควบคมุ แตไ่ ม่มี การสุ่ม และในแบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองแทจ้ รงิ มีกลุ่มควบคมุ และมกี ารสุ่ม การมีกลุ่มควบคุมในแบบการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง และแบบการวิจัยเชิงทดลองแท้จริง อยา่ งนอ้ ย 1 กลุ่ม นั้น ใชเ้ ปน็ พน้ื ฐานในการเปรียบเทียบกับกลมุ่ ทดลอง ซึ่งตัวอย่างในกลุ่มทดลอง และตวั อยา่ งในกลมุ่ ควบคมุ จำ� เปน็ ตอ้ งมคี วามเทา่ เทยี มกนั ในดา้ นปจั จยั ภายในของกลมุ่ ตวั อยา่ งทม่ี ี ผลตอ่ ค่าของตวั แปรตามตง้ั แตก่ อ่ นเรมิ่ ให้ส่งิ ทดลอง เพื่อใหผ้ ลการวจิ ัยทีพ่ บว่า คา่ ของตวั แปรตาม ของกลมุ่ ทดลองแตกตา่ งจากกลมุ่ ควบคมุ อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ นิ นั้ เปน็ ผลจากสง่ิ ทดลอง ไมใ่ ช่ เปน็ ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ จากตวั แปรแทรกซอ้ นซงึ่ เปน็ ปจั จยั ภายในของกลมุ่ ตวั อยา่ งและตวั แปรแทรกซอ้ น อ่นื ๆ เช่น วฒุ ภิ าวะ (Maturation) เหตกุ ารณ์พอ้ ง (History) หรอื การทดสอบ (Testing) ฯลฯ สว่ นการสมุ่ ซงึ่ มใี นแบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองแทจ้ รงิ นนั้ โดยทวั่ ไปใชว้ ธิ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ ง จากประชากร (Random Selection) และการสมุ่ ตวั อยา่ งเขา้ กลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ (Random Assignment) โดยทกุ หนว่ ยของหนว่ ยตวั อยา่ งมโี อกาสถกู สมุ่ เขา้ กลมุ่ ใดกลมุ่ หนงึ่ อยา่ งเทา่ เทยี มกนั ซง่ึ อาจใชว้ ธิ กี ารหมนุ เหรยี ญหรอื ใชต้ ารางเลขสมุ่ การใชว้ ธิ สี มุ่ จะทำ� ใหต้ วั อยา่ งในกลมุ่ ทดลองและ ตัวอยา่ งในกลมุ่ ควบคมุ เป็นตวั อยา่ งทปี่ ราศจากความล�ำเอียง แม้ว่าการใช้วิธีสุ่ม ท�ำให้ตัวอย่างในกลุ่มทดลองและตัวอย่างในกลุ่มควบคุม เป็น ตวั อย่างท่ปี ราศจากความล�ำเอียง แตไ่ มไ่ ด้หมายความวา่ กลุ่มตัวอย่างท่ถี กู ส่มุ เขา้ กลมุ่ ทดลองและ กลุ่มควบคุมจะมีความเท่าเทียมกันโดยปราศจากความคลาดเคล่ือน เพราะความคลาดเคลื่อนจาก การสมุ่ ยอ่ มมโี อกาสเกดิ ขนึ้ ไดเ้ สมอ แตค่ วามคลาดเคลอ่ื นทเ่ี กดิ ขน้ึ นน้ั เปน็ ความคลาดเคลอ่ื นทเี่ กดิ จากการสมุ่ (Random Error) ซงึ่ เปน็ ความคลาดเคลอ่ื นโดยบงั เอญิ (Chance Error) หรอื ความคลาด เคล่อื นอย่างไมเ่ ปน็ ระบบ (Non-Systematic Error) หากกลุ่มตวั อยา่ งทสี่ ุ่มมามีขนาดใหญ่ โอกาส ของความคลาดเคลือ่ นที่เกิดจากการส่มุ จะลดนอ้ ยลง อยา่ งไรก็ตาม แม้ความคลาดเคลื่อนจากการ

Research in Educational Administration • 403 สุ่มเป็นความคลาดเคลื่อนอย่างไม่เป็นระบบก็ตาม แต่ก็มีผลต่อความตรงภายในได้เช่นเดียวกับ ความคลาดเคลือ่ นอย่างมีระบบ วัตถุประสงค์ของการสุ่ม วิธีการสุ่มตัวอย่างจากประชากร (Random Selection) มี วัตถปุ ระสงค์เพื่อใหผ้ ลการวิจยั มคี วามตรงภายนอก (External Validity) สว่ นการสุม่ ตวั อยา่ งเข้า กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (Random Assignment) มีวัตถุประสงค์เพ่ือควบคุมให้ตัวอย่างใน กลุ่มทดลองและตัวอย่างในกลุ่มควบคุม เป็นตัวอย่างที่ปราศจากความล�ำเอียง โดยพยายามใช้วิธี สุ่มที่สามารถควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนท่ีเป็นปัจจัยภายในของตัวอย่างในกลุ่มทดลองและกลุ่ม ควบคุมให้มคี วามเท่าเทียมกนั มากทีส่ ุดตง้ั แตก่ อ่ นเรมิ่ ให้ส่งิ ทดลอง ซง่ึ จะทำ� ให้ผลการวิจยั มีความ ตรงภายใน (Internal Validity) (บญุ ใจ ศรีสถติ ย์นรากรู , 2553, หน้า 121-122) กลา่ วโดยสรุป การมีกลุ่มควบคุมในแบบการวิจยั เชงิ กงึ่ ทดลอง และแบบการวิจัยเชงิ ทดลองแทจ้ รงิ อยา่ งน้อย 1 กลุม่ นนั้ ใชเ้ ป็นพน้ื ฐานในการเปรยี บเทยี บกับกลมุ่ ทดลอง ซึง่ ตัวอย่าง ในกลมุ่ ทดลองและตวั อยา่ งในกลมุ่ ควบคมุ จำ� เปน็ ตอ้ งมคี วามเทา่ เทยี มกนั ในดา้ นปจั จยั ภายในของ กลมุ่ ตวั อยา่ งทมี่ ีผลตอ่ ค่าของตัวแปรตามต้ังแตก่ อ่ นเรมิ่ ใหส้ ่ิงทดลอง ส่วนการสุ่มในแบบการวจิ ัย เชงิ ทดลองแทจ้ รงิ นนั้ กรณเี ปน็ การสมุ่ ตวั อยา่ งจากประชากร (Random Selection) มวี ตั ถปุ ระสงค์ เพ่อื ให้ผลการวจิ ัยมคี วามตรงภายนอก (External Validity) แตถ่ า้ กรณเี ป็นการสุ่มตัวอยา่ งเขา้ กลุม่ ทดลองและกลุ่มควบคุม (Random Assignment) มีวัตถุประสงค์เพ่ือควบคุมให้ตัวอย่างในกลุ่ม ทดลองและตัวอย่างในกลุ่มควบคุม เป็นตัวอย่างท่ีปราศจากความล�ำเอียง โดยการควบคุมตัวแปร แทรกซ้อนเพื่อท�ำให้กลุ่มตัวอย่างท้ังสองกลุ่มมีความเท่าเทียมกันมากท่ีสุดตั้งแต่ก่อนเริ่มให้ สิง่ ทดลอง ซึง่ จะทำ� ให้ผลการวิจัยมีความตรงภายใน (Internal Validity) 12.3 การควบคุมตวั แปรแทรกซอ้ น การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน (Extraneous Variables Control) ถือว่าเป็นสิ่งส�ำคัญ สำ� หรบั การออกแบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองเพอื่ ใหไ้ ดแ้ บบการวจิ ยั ทมี่ ลี กั ษณะทดี่ หี รอื มคี วามเหมาะสม ท้ังนี้ เพราะว่า การที่ผู้วิจัยจะสามารถกล่าวสรุปได้อย่างหนักแน่นว่า ผลการวิจัยท่ีค้นพบในแบบ การวจิ ยั เชงิ ทดลองนน้ั เปน็ ผลมาจากสงิ่ ทดลองหรอื ตวั แปรอสิ ระเทา่ นนั้ ยอ่ มขนึ้ อยกู่ บั การควบคมุ ตัวแปรแทรกซ้อนได้ดีนั่นเอง ดังนั้น ในส่วนนี้ จะกล่าวถึงความหมาย ประเภท และวิธีควบคุม ตวั แปรแทรกซอ้ น โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ความหมายและประเภทของตวั แปรแทรกซอ้ น ตวั แปรแทรกซอ้ น(ExtraneousVariables) หมายถงึ ตวั แปรทผี่ วู้ จิ ยั ไมไ่ ดค้ ดั เลอื กมาศกึ ษา แต่เป็นตัวแปรทมี่ ีผลตอ่ การเปลยี่ นแปลงคา่ ของตัวแปรตาม ซ่งึ ท�ำใหผ้ ลของการวิจยั เกิดความผดิ พลาดคลาดเคลอื่ นไดม้ าก ผลการวจิ ยั ทม่ี คี วามตรงภายในสงู จะตอ้ งมคี วามคลาดเคลอ่ื นของการวดั ตวั แปรตำ�่ และจะตอ้ งสามารถควบคมุ ตวั แปรแทรกซอ้ นทจี่ ะมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ตวั แปรตามไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ตวั แปรแทรกซ้อนดังกลา่ ว อาจจ�ำแนกออกได้ 3 ประเภท ดงั นีค้ อื 1) ตวั แปรแทรกซอ้ น ท่ีเป็นปัจจัยภายนอก (External Factors) 2) ตัวแปรแทรกซ้อนท่ีเป็นปัจจัยภายในกลุ่มตัวอย่าง (Intrinsic to the Subjects) และ 3) ตวั แปรแทรกซ้อนทเ่ี ป็นปัจจยั จากผทู้ ดลองและกลุ่มตวั อยา่ ง

404 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา (Experimenter and Subjects) 2. วิธคี วบคมุ ตัวแปรแทรกซ้อน การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนมี 3 วิธีดังน้ีคือ 1) วิธีควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่เป็น ปจั จยั ภายนอก (External Factors) 2) วธิ ีควบคุมตวั แปรแทรกซ้อนท่ีเป็นปัจจัยภายในกลมุ่ ตัวอย่าง (Intrinsic to the Subjects) และ 3) วิธีควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่เป็นปัจจัยจากผู้ทดลองและ กลมุ่ ตวั อย่าง (Experimenter and Subjects) โดยมีรายละเอียด ดงั นี้ 2.1 วิธคี วบคุมตวั แปรแทรกซอ้ นท่ีเปน็ ปัจจัยภายนอก (External Factors) ตัวแปร แทรกซ้อนที่เป็นปัจจัยภายนอกประกอบด้วยปัจจัยหลัก ๆ สองปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านสภาพ แวดล้อมและปัจจัยด้านเวลา ซึ่งปัจจัยทั้งสองน้ีเป็นตัวแปรแทรกซ้อนที่พบบ่อยในงานวิจัยของ ทุกสาขา 1) วธิ คี วบคมุ ปจั จัยดา้ นสภาพแวดลอ้ ม (Environment Factor Control) สภาพ แวดล้อมรอบ ๆ ตัวบุคคล นับเป็นปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่ออารมณ์และพฤติกรรมของบุคคล ดังนั้น ในการออกแบบการวิจัย ผู้วิจัยจึงควรค�ำนึงถึงการควบคุมปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมท่ีมีผลหรือมี อทิ ธพิ ลตอ่ อารมณแ์ ละพฤตกิ รรมของกลมุ่ ตวั อยา่ ง ในกรณนี ้ี ผวู้ จิ ยั ควรควบคมุ ตวั แปรแทรกซอ้ น ดา้ นสภาพแวดลอ้ มด้วยวิธีการออกแบบการวิจยั เชิงทดลองแท้จรงิ (True Experimental Research) ซ่ึงเป็นการวิจัยในหอ้ งทดลองหรอื หอ้ งปฏิบตั กิ าร ทำ� ใหผ้ ู้วิจัยสามารถควบคุมสภาพแวดลอ้ มและ ตวั แปรแทรกซอ้ นไดอ้ ยา่ งเครง่ ครดั สว่ นการทดลองในภาคสนาม ผวู้ จิ ยั ควรควบคมุ สภาพแวดลอ้ ม ของกลมุ่ ตวั อยา่ งใหม้ คี วามใกลเ้ คยี งกนั ใหม้ ากทสี่ ดุ เทา่ ทสี่ ามารถจะควบคมุ ได้ เชน่ ในการรวบรวม ขอ้ มลู โดยการสมั ภาษณก์ ลมุ่ ตวั อยา่ ง ผวู้ จิ ยั ควรควบคมุ สภาพแวดลอ้ มทม่ี ผี ลตอ่ ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการ สมั ภาษณ์ ไดแ้ ก่ แสง เสียง และระดบั อณุ หภมู ิ ฯลฯ การรวบรวมขอ้ มลู โดยใชแ้ บบสอบถามหรอื แบบทดสอบ หากสามารถท�ำได้ ผู้วิจัยควรควบคุมให้ตัวอย่างในกลุ่มทดลองและตัวอย่างในกลุ่ม ควบคมุ ตอบแบบสอบถามหรอื แบบทดสอบในสภาพแวดลอ้ มทใี่ กล้เคียงกันด้วย 2) วิธีควบคุมปัจจัยด้านเวลา (Time Factor Control) ปัจจัยด้านเวลาเป็นอีก ปัจจยั หนงึ่ ที่มอี ทิ ธิพลตอ่ อารมณแ์ ละพฤติกรรมของบุคคล ดังนน้ั ในการรวบรวมขอ้ มูลจากกลุ่ม ตัวอยา่ ง ผู้วจิ ยั ควรค�ำนงึ ถงึ ตัวแปรแทรกซอ้ นดา้ นเวลาด้วย โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ หากปญั หาการวิจยั เปน็ เรอื่ งทเ่ี กย่ี วกบั สขุ ภาพรา่ งกายและความเหนอื่ ยลา้ การรวบรวมขอ้ มลู จากกลมุ่ ตวั อยา่ งในเวลาที่ แตกตา่ งกนั เชน่ ชว่ งเชา้ ชว่ งบา่ ย ฯลฯ ยอ่ มมผี ลตอ่ คา่ ของตวั แปรตามทศี่ กึ ษา ดงั นนั้ การรวบรวม ขอ้ มลู บางตวั แปร ผวู้ จิ ัยควรต้องรวบรวมข้อมูลจากกลมุ่ ตัวอยา่ งในช่วงเวลาเดยี วกนั 2.2 วธิ คี วบคมุ ตัวแปรแทรกซอ้ นที่เป็นปจั จัยภายในกลุ่มตัวอย่าง (Intrinsic to the Subjects) วธิ คี วบคมุ ตวั แปรแทรกซอ้ นทเ่ี ปน็ ปจั จยั ภายในกลมุ่ ตวั อยา่ ง หรอื เปน็ ตวั แปรคณุ ลกั ษณะ ส่วนบุคคล (Attribute Variables) นับว่ามีความส�ำคัญมาก เพราะเป็นตัวแปรแทรกซ้อนที่มีผล ต่อตัวแปรตาม มวี ธิ ีการควบคุมได้หลายวธิ ี ไดแ้ ก่ การจัดกระทำ� แบบสมุ่ (Randomization) การ ขจัดตัวแปรออก (Elimination) การเพ่ิมตวั แปรในแบบการวจิ ยั (Build into the research design) การจับคู่ (Matching) และการควบคุมโดยวิธีการทางสถิติ (Statistical control) โดยแต่ละวิธีมี รายละเอยี ด ดังนี้

Research in Educational Administration • 405 1) การจัดกระท�ำแบบสุ่มหรือการสุ่ม (Randomization) เป็นวิธีการท่ีท�ำให้ กลุ่มตัวอย่างมีความเท่าเทียมกัน (Equivalent group) เมื่อเริ่มต้นท�ำการวิจัย โดยวิธีการจัดกระท�ำ กับตวั แปรอิสระทสี่ นใจและกลุ่มตวั อย่างท่ศี กึ ษาแบบสุม่ ปราศจากความลำ� เอียงหรืออคติ วิธีน้ี เป็นการควบคุมตัวแปรแทรกซอ้ นที่ดีท่สี ุด การสุ่มดังกล่าวมี 2 ข้ันตอนดังนี้คือ 1) การสุ่มตัวอย่างจากประชากร (Random selection) เปน็ การสุ่มตัวอย่างจากประชากรด้วยวิธกี ารสุม่ ท่ัวไป เช่น มีนกั เรียนอยู่ 5 ห้อง ๆ ละ 60 คน รวม 300 คน ผู้วจิ ัยส่มุ มา 60 คน จาก 300 คน โดยให้จบั ฉลากมาห้องละ 12 คน ฯลฯ และ 2) การสุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (Random assignment) เป็นการสุ่มตัวอย่าง โดยแยกกลุ่มหลังจากท่ีได้สุ่มตัวอย่างจากประชากรในขั้นตอนแรกเสร็จแล้ว เช่น ให้จับฉลาก โดยใหผ้ ทู้ ่ีจบั ได้เบอร์ 1 อยกู่ ลุ่มทดลอง และจบั ไดเ้ บอร์ 2 อยูก่ ลมุ่ ควบคมุ (ไดก้ ลุ่มทดลอง 30 คน กล่มุ ควบคุม 30 คน) ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ค�ำว่า “Random selection” อาจแปลว่า การเลือกตัวอย่าง ซ่ึงเป็น การเลือกจากประชากร เช่น เลือกนักเรียนมา 1 ห้อง ในแต่ละห้องอาจมีความรู้ไม่เท่ากัน ส่วน ค�ำวา่ “Random assignment” คอื การส่มุ ตัวอย่าง ซงึ่ เปน็ การสุ่มเข้ากลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคุม โดยตรงโดยทั้งสองกลุ่มต้องมีความเท่าเทียมกัน (Equivalent) ดังน้ัน ค�ำว่า “การเลือกตัวอย่าง” จงึ แตกต่างจากค�ำวา่ “การส่มุ ตัวอย่าง” 2) การขจัดตัวแปรออก (Elimination) เป็นวิธีการขจัดอิทธิพลของตัวแปร แทรกซ้อนท่ีจะส่งผลต่อตัวแปรตามท่ีสนใจออก โดยการท�ำให้เป็นตัวแปรคงท่ี เช่น ในการวิจัย ถ้านักวิจัยคิดว่า แอร์จะส่งผลต่อผลการสอบของนักเรียนก็ก�ำจัดแอร์ออกไป เพ่ือให้นักเรียน สอบในห้องท่ีไม่มีแอร์เหมือนกัน หรือถ้านักวิจัยคาดว่า เพศและระดับสติปัญญาจะส่งผลต่อผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน นักวิจัยก็เลือกศึกษาเฉพาะกลุ่มตัวอย่างท่ีมีระดับสติปัญญาเหมือนกัน ระดบั เดยี ว หรือศึกษาเฉพาะเพศชาย หรือเพศหญงิ ฯลฯ 3) การเพ่ิมตัวแปรในแบบการวิจัย (Build into the research design) เป็นการ น�ำตัวแปรแทรกซ้อนมาเป็นตัวแปรอิสระที่ศึกษาในแบบการวิจัย โดยการเปลี่ยนสภาพของ ตัวแปรแทรกซ้อนที่อาจส่งผลต่อตัวแปรตามให้เป็นตัวแปรอิสระที่ศึกษาอีกตัวหนึ่งในแบบ การวิจัย ซ่ึงท�ำให้ผู้วิจัยสามารถศึกษาผลของตัวแปรแทรกซ้อนนั้นได้ และสามารถศึกษาผลของ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในการวิจัยได้อีกด้วย เช่น จะท�ำการทดลองเรื่อง จิตส�ำนึกสาธารณะ ถ้าคิดว่าเพศมีผล ก็ให้เอามาเป็นตัวแปรอิสระด้วย ฯลฯ แต่อาจมีข้อจ�ำกัดในการด�ำเนินการ ในกรณที ี่มีตวั แปรแทรกซ้อนหลายตวั 4) การจับคู่ (Matching) เป็นการท�ำให้กลุ่มตัวอย่างมีความเหมือนกันหรือ เท่าเทียมกันเหมือนวิธีการจัดกระท�ำแบบสุ่ม (Randomization) โดยการจับคู่ตัวอย่างที่มีลักษณะ เหมอื นกนั เปน็ คู่ ๆ แลว้ สมุ่ แยกไปอยคู่ นละกลมุ่ ทำ� ใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งทงั้ สองกลมุ่ มคี วามใกลเ้ คยี งกนั มากทสี่ ดุ 5) การควบคุมโดยวธิ กี ารทางสถติ ิ (Statistical control) เปน็ การควบคมุ ตัวแปร แทรกซ้อนโดยใช้การวิเคราะห์ทางสถิติ ได้แก่ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์บางส่วน (Partial

406 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา correlation) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of covariance : ANCOVA) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ขจัดอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อนที่มีต่อตัวแปรตาม ท�ำให้ผลการวิจัยท่ีพบเป็น ผลของตัวแปรตามที่มคี วามเกย่ี วพันกบั ตัวแปรอสิ ระหรือสงิ่ ทดลองเทา่ น้นั ตัวอยา่ ง งานวิจัยเรือ่ ง ผลของการเรียนแบบรว่ มมอื ที่มีผลตอ่ ผลสัมฤทธ์ิทางการ เรยี นวิชาวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษาของนักศกึ ษาหลกั สตู รศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ จากการทบทวนวรรณกรรมพบวา่ สตปิ ญั ญาและเจตคตติ อ่ วชิ าชพี ผบู้ รหิ ารสถาน ศกึ ษาเปน็ ตวั แปรทม่ี ผี ลตอ่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของบคุ คล ผวู้ จิ ยั ตอ้ งควบคมุ ตวั แปรสตปิ ญั ญา และเจตคตติ อ่ วชิ าชพี ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาโดยการวเิ คราะหค์ วามแปรปรวนรว่ ม เพอ่ื ใหผ้ ลการวจิ ยั ที่คน้ พบสามารถกล่าวได้วา่ เปน็ ผลจากการเรียนแบบรว่ มมือ 2.3 วิธีควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนท่ีเป็นปัจจัยจากผู้ทดลองและกลุ่มตัวอย่าง (Experimenter and Subjects) ตัวแปรแทรกซ้อนท่เี ปน็ ปัจจยั จากผทู้ ดลอง พบในกรณที ่ีผทู้ ดลอง แสดงพฤติกรรมหรือการกระท�ำในลักษณะที่ไม่ใช่ลักษณะตามธรรมชาติ กล่าวคือ ผู้ทดลอง มคี วามลำ� เอยี ง (Experimenter Bias) โดยเปน็ ผสู้ งั เกต รวบรวมขอ้ มลู แปลผลพฤตกิ รรมและบนั ทกึ พฤตกิ รรมของกลมุ่ ตวั อยา่ งในลกั ษณะทบี่ ดิ เบอื นไปจากความเปน็ จรงิ หรอื บนั ทกึ ขอ้ มลู โดยใชค้ วาม รู้สึกหรือความคิดเห็นของตนเอง เพื่อให้สมมติฐานที่ทดสอบมีนัยส�ำคัญทางสถิติ ส่วนตัวแปร แทรกซ้อนที่เป็นปัจจัยจากกลุ่มตัวอย่าง พบในกรณีท่ีกลุ่มตัวอย่างแสดงพฤติกรรมที่ไม่เป็นไป ตามลักษณะธรรมชาติหลังจากท่ีทราบว่า ตัวเองถูกสุ่มเป็นกลุ่มตัวอย่าง จึงแสดงพฤติกรรม ท่ีไม่เป็นไปตามลักษณะธรรมชาติ โดยอาจแสดงพฤติกรรมในลักษณะที่ท�ำให้ผลการวิจัยท่ีค้นพบ เป็นไปตามท่ีผู้วิจัยคาดหวังหรืออาจแสดงพฤติกรรมในลักษณะที่จงใจไม่ให้ผลการวิจัยที่ค้นพบ ตอบสนองความคาดหวังของผวู้ ิจยั ตัวแปรแทรกซ้อนที่เป็นปัจจัยจากผู้ทดลองและกลุ่มตัวอย่างดังกล่าวข้างต้น มีวิธีควบคุม 3 วิธีดังน้ีคือ 1) วิธีท�ำวิจัยโดยมีผู้ร่วมวิจัยหลายคน (Multiple Researchers) 2) วิธี อ�ำพรางฝา่ ยเดยี ว (Single-blind Procedure) และ 3) วิธีอำ� พรางสองฝา่ ย (Double-blind Procedure) โดยมีรายละเอยี ด ดังนี้ 1) วิธที ำ� วิจยั โดยมีผู้ร่วมวจิ ัยหลายคน (Multiple Researchers) เป็นวิธกี ารหนง่ึ ท่ีจะช่วยควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนที่เกิดจากผู้ทดลอง ท้ังในด้านผู้ทดลองมีความล�ำเอียง ด้านผู้ ทดลองแปลผลพฤตกิ รรมและบนั ทกึ พฤตกิ รรมของกลมุ่ ตวั อยา่ งในลกั ษณะทบี่ ดิ เบอื นไปจากความ เป็นจรงิ และดา้ นผทู้ ดลองจงใจบดิ เบือนขอ้ มูล อย่างไรกต็ าม การรวบรวมข้อมูลโดยมผี ู้ร่วมวจิ ัยหลายคน อาจมปี ญั หาด้านผู้ใช้ เครอื่ งมอื ทมี่ ีทกั ษะไมเ่ ท่าเทียมกนั มีเทคนคิ การรวบรวมข้อมลู ท่แี ตกตา่ งกัน และมีการแปลความ หมายพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างไม่ตรงกัน ข้อมูลที่รวบรวมได้ย่อมมีความคลาดเคลื่อน ดังน้ัน คณะผู้วิจัยหรือทีมผู้ช่วยวิจัยควรต้องมีทักษะการใช้เคร่ืองมือท่ีเท่าเทียมกัน มีความเข้าใจเก่ียวกับ เทคนิคการรวบรวมขอ้ มูลท่เี หมือนกนั และมกี ารแปลความหมายพฤตกิ รรมได้ตรงกนั 2) วธิ อี ำ� พรางฝา่ ยเดยี ว (Single-blind Procedure) เปน็ วธิ ปี กปดิ ขอ้ มลู ทผี่ ทู้ ดลอง ไม่ใหก้ ลุ่มตัวอย่างทราบว่า ตวั อย่างในกลมุ่ ใดเป็นกลมุ่ ทดลอง ตัวอย่างในกลมุ่ ใดเปน็ กลุ่มควบคมุ

Research in Educational Administration • 407 และไมใ่ หท้ ราบวา่ สงิ่ ทดลองทศ่ี กึ ษา คอื สง่ิ ทดลองใด เชน่ ฉดี วคั ซนี ใหค้ นไข้ คนไขไ้ มร่ วู้ า่ วคั ซนี ตวั ไหน แตห่ มอรู้ ฯลฯ อยา่ งนเี้ รยี กวา่ “วธิ อี ำ� พรางฝา่ ยเดยี ว” ทง้ั น้ี เพอื่ ลดหรอื ขจดั การแสดงพฤตกิ รรม ในลกั ษณะทไี่ ม่เป็นไปตามธรรมชาตขิ องกลุ่มตวั อย่างท้ังสองกลุ่ม (กลมุ่ ทดลองและกล่มุ ควบคุม) 3) วิธีอ�ำพรางสองฝ่าย (Double-blind Procedure) เป็นวิธีปกปิดข้อมูลที่ไม่ให้ ผทู้ ดลองและกล่มุ ตวั อย่าง (ผูถ้ กู ทดลอง) ทราบวา่ ตัวอยา่ งในกลุม่ ใดเปน็ กลุ่มทดลอง และตวั อยา่ ง ในกลุ่มใดเป็นกลุ่มควบคุม และไม่ให้ทราบว่า สิ่งทดลองท่ีศึกษา คือ ส่ิงทดลองใด เช่น เภสัชกร เตรียมสิ่งทดลอง คือ ยารักษาโรคหรือยาจริงและยาหลอก (Rlacebo) โดยมีสีสันและบรรจุใน หลอดที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ จากนั้นน�ำไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง โดยตัวอย่างทั้งใน กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมจะได้รับท้ังยารักษาโรคและยาหลอก แต่ไม่ได้บอกให้ผู้ทดลองและ กลุ่มตัวอย่างทราบว่า หลอดยาใดบรรจุยารักษาโรคหรือยาจริง และหลอดยาใดบรรจุยาหลอก ฯลฯ ท้ังนี้เพื่อป้องกันการบันทึกข้อมูลของผู้ทดลองในลักษณะบิดเบือน และป้องกันการให้ ขอ้ มูลทไ่ี มต่ รงกับความจริงของกลุ่มตวั อย่าง กล่าวโดยสรุป การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน เป็นการควบคุมตัวแปรที่ผู้วิจัยไม่ได้ คัดเลือกมาศึกษา แต่เป็นตัวแปรท่ีมีผลต่อการเปล่ียนแปลงค่าของตัวแปรตาม ซ่ึงท�ำให้ผลของ การวิจัยเกิดความผิดพลาดคลาดเคล่ือนได้มาก โดยมีวิธีควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน 3 วิธี ได้แก่ 1) วธิ ีควบคุมตวั แปรแทรกซอ้ นทเี่ ป็นปัจจัยภายนอก 2) วธิ ีควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนทีเ่ ป็นปจั จัย ภายในกลมุ่ ตวั อยา่ ง และ 3) วธิ คี วบคมุ ตวั แปรแทรกซอ้ นทเี่ ปน็ ปจั จยั จากผทู้ ดลองและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 12.4 ระเบียบวธิ ีวิจยั เชงิ ทดลอง ระเบียบวิธีวิจัย หมายความถึงวิธีด�ำเนินการในทุกขั้นตอนของกระบวนการวิจัยซ่ึง มีหลักการส�ำคัญคล้ายคลึงกันในทุกประเภทของการวิจัย เพียงแต่มีจุดเน้นหรือลักษณะเฉพาะ ในรายละเอียดของการด�ำเนินการวิจัยท่ีแตกต่างกันบ้างในการวิจัยแต่ละประเภท ส�ำหรับการ วิจัยเชิงทดลองก็มีระเบียบวิธีในการด�ำเนินการวิจัยที่มีลักษณะเฉพาะซ่ึงอาจสรุปได้ ดังน้ี (วรรณี แกมเกตุ, 2551) 1. การก�ำหนดปัญหาการวิจัย เป็นการก�ำหนดปัญหาที่จะวิจัยเพื่อให้ทราบว่า ตอ้ งการศึกษาตวั แปรอะไร อะไรเป็นตัวแปรอิสระ อะไรเปน็ ตัวแปรตาม 2. การก�ำหนดค�ำถามการวิจัย เป็นการก�ำหนดค�ำถามการวิจัยที่อธิบายถึงความ สัมพันธ์เชิงสาเหตุและผลของตัวแปรอิสระที่มีผลต่อตัวแปรตาม คือ ท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในตัวแปรตามหรอื ไมอ่ ย่างไร การจะตอบคำ� ถามลักษณะน้ีได้ นักวจิ ยั ต้องจัดสภาพการทดลองโดย มีการจัดกระท�ำตัวแปรอิสระ แล้ววัดผลการเปลี่ยนแปลงในตัวแปรตาม ภายใต้การควบคุมปัจจัย หรอื ตัวแปรแทรกซ้อนต่าง ๆ ท่อี าจสง่ ผลตอ่ ตัวแปรตาม 3. การก�ำหนดสมมติฐานการวิจัย เป็นการคาดคะเนค�ำตอบอย่างสมเหตุสมผลไว้ ล่วงหนา้ ซง่ึ ตอ้ งอาศัยการทบทวนแนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยที่เก่ยี วข้องกบั เรอ่ื งท่ที �ำวิจัย 4. การระบแุ ละนยิ ามตวั แปรอสิ ระและตวั แปรตาม ผวู้ จิ ยั ตอ้ งระบแุ ละนยิ ามตวั แปร อิสระและตัวแปรตามให้ชัดเจน รวมทั้งพิจารณาถึงตัวแปรแทรกซ้อนที่อาจส่งผลต่อตัวแปรตาม เพอื่ ท่ผี ู้วจิ ัยจะไดจ้ ดั กระทำ� การทดลองไดต้ รงตามนยิ ามตัวแปร และเลือกหาวิธีการควบคุมตัวแปร

408 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา แทรกซ้อนดังกล่าว 5. การออกแบบการทดลอง โดยมรี ายละเอียดดงั ต่อไปนี้ 5.1 กำ� หนดประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ งในการทดลอง รวมทง้ั การสมุ่ ตวั อยา่ ง 2 ข้ันตอน ได้แก่ 1) การสุ่มตัวอย่างจากประชากร เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นตัวแทนท่ีดีของ ประชากร การสุ่มในข้ันตอนนี้เรียกว่า Random selection ซึ่งก็คือการสุ่มตัวอย่าง (Random sampling) ตามหลักการทว่ั ไป และ 2) การสมุ่ ตวั อย่างเขา้ กล่มุ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ (Random assignment) เพ่ือให้ทั้งสองกลุ่มมีความเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม การสุ่มท้ังสองขั้นตอนน้ีจะมี หรือไมม่ ี ข้นึ อยู่กับแบบการวิจยั เชิงทดลองทผี่ ้วู จิ ยั เลอื กใช้ 5.2 ก�ำหนดแบบการวิจัย ผู้วิจัยต้องก�ำหนดแบบการวิจัย ซึ่งอาจเป็นแบบ การวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น แบบการวิจัยเชิงก่ึงทดลอง หรือแบบการวิจัยเชิงทดลองแท้จริง โดยแบบการวิจัยแต่ละแบบมีข้อดีและข้อจ�ำกัดแตกต่างกัน ผู้วิจัยควรเลือกแบบการวิจัยท่ีจะช่วย ใหส้ ามารถตอบค�ำถามการวิจัยไดถ้ ูกต้องทสี่ ดุ ภายใต้เงอ่ื นไขทีเ่ ป็นไปไดส้ ูงสุด 5.3 ก�ำหนดกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม รวมท้ังการเลือกตัวอย่างเข้าสู่ กลุ่มทดลองและกลุม่ ควบคุม ในข้นั ตอนนี้จะมหี รอื ไม่มี ขน้ึ อยู่กับแบบการวจิ ยั เชิงทดลองทีผ่ ู้วจิ ยั เลือกใช้ 5.4 ก�ำหนดสถานที่ทดลอง ผู้วิจัยอาจท�ำการทดลองน�ำร่องในสถานท่ีที่ ก�ำหนด เพอ่ื เป็นการทดลองแบบการวิจัย สง่ิ ทดลอง และวธิ กี ารวัดตัวแปรตาม 5.5 ก�ำหนดวิธีด�ำเนินการทดลองและการรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยก�ำหนดวิธี ดำ� เนินการทดลองและการรวบรวมขอ้ มลู จากผลการทดลองวา่ มกี ระบวนการหรือข้นั ตอนในการ ดำ� เนนิ การอย่างไร มีเครอ่ื งมือ อปุ กรณท์ ใี่ ชใ้ นการทดลอง และการรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง 5.6 การสรา้ งและพฒั นาเครอ่ื งมอื ผวู้ จิ ยั ดำ� เนนิ การสรา้ งและพฒั นาเครอื่ งมอื ส�ำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล 5.7 การด�ำเนินการทดลองจริงและเก็บรวบรวมขอ้ มลู 5.8 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกวิธีการทางสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อทดสอบสมมติฐานของการวิจัยให้เหมาะสมโดยพิจารณาจากแบบการวิจัย สมมติฐาน และระดับการวัดของตวั แปร 6. การสรปุ ผลการทดลองและอภปิ รายผล 7. การเขียนรายงานการวจิ ยั ฉบับสมบูรณ์

Research in Educational Administration • 409 12.5 กรณตี ัวอยา่ งงานวจิ ยั เชงิ ทดลอง ตัวอย่างที่ 1 ชอื่ เรื่องวจิ ยั : การศกึ ษาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นและความสามารถในการแกป้ ญั หาของนกั เรยี น ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 ที่จัดการเรียนรดู้ ้วยกระบวนการคดิ แบบฮวิ รสิ ตกิ ส์ ชื่อผูว้ ิจยั : วชรพร ชผู ล ปีทีท่ �ำวิจัย: 2559 วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั 1. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการคดิ แบบฮิวรสิ ติกส์ (Heuristics) เร่อื งวงจรเศรษฐกิจของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการคิดแบบฮิวรสิ ติกส์ (Heuristics) ของนักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 สมมติฐานการวจิ ยั 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเร่ืองวงจรเศรษฐกิจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดแบบฮิวริสติกส์ (Heuristics) สูงกว่าก่อนการจัดการ เรยี นรู้ดว้ ยกระบวนการคดิ แบบฮวิ ริสตกิ ส์ (Heuristics) 2. ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 หลังการจัดการเรียน ร้ดู ว้ ยกระบวนการคิดแบบฮวิ รสิ ตกิ ส์ (Heuristics) สงู กวา่ กอ่ นการจัดการเรยี นรดู้ ้วยกระบวนการ คดิ แบบฮวิ รสิ ตกิ ส์ (Heuristics) ขอบเขตของการวิจัย การศกึ ษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นและความสามารถในการแกป้ ญั หาดว้ ยกระบวนการคดิ แบบฮวิ รสิ ตกิ ส์ (Heuristics) สำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 ผวู้ จิ ยั ไดก้ ำ� หนดขอบเขตไว้ ดงั นี้ 1. เนอื้ หาท่ีศกึ ษา เนอ้ื หาทใี่ ชใ้ นการศกึ ษาครงั้ นี้นำ� มาจากหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานพ.ศ.2551 กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม สาระการเรยี นที่ 3 เศรษฐศาสตร์ ในหนว่ ย ท่ี 5 เรื่อง วงจรเศรษฐกจิ มาตรฐาน 3.1 เข้าใจและสามารถบรหิ ารจดั การทรพั ยากรในการผลิตและ การบริโภค การใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่จ�ำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจหลักการ ของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการด�ำรงชีวิตอยา่ งมดี ุลยภาพ มีจติ สำ� นกึ และมีสว่ นรว่ มในการอนรุ กั ษ์ ทรพั ยากรและสงิ่ แวดลอ้ ม ตวั ชวี้ ดั ม.4-6/1 อภปิ รายการกำ� หนดราคาและคา่ จา้ งในระบบเศรษฐกจิ มเี นื้อหาสาระ ดังน้ี 1) ระบบเศรษฐกิจ 2) หนว่ ยเศรษฐกิจ 3) ตลาด 4) อปุ สงค์ 5) อปุ ทาน และ 6) กลไกราคาและการก�ำหนดจุดดุลยภาพ และในมาตรฐานที่ 3.2 ความเข้าใจระบบและสถาบัน ทางเศรษฐกิจและความจ�ำเป็นของการร่วมมือในเวทีโลก ตัวช้ีวัด ม.4-6/1 อธิบายการใช้อ�ำนาจ

410 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา ของรฐั เกย่ี วกบั นโยบายการเงนิ การคลงั ในการพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศ ซงึ่ ประกอบดว้ ยเนอ้ื หา สาระดงั น้ี 1) ปัญหาเงนิ เฟอ้ 2) ปญั หาเงินฝืด 2. ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง ประชากรในการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนพระปฐม วิทยาลัย 2 หลวงพอ่ เงินอนสุ รณ์ ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2559 จำ� นวน 3 ห้องเรียน รวม 74 คน กล่มุ ตวั อย่างในการวจิ ยั ครง้ั นี้ ได้แก่ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 4/1 โรงเรยี นพระปฐมวิทยาลยั 2 หลวงพ่อเงินอนุสรณ์ จ�ำนวน 21 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ดว้ ยวธิ กี ารจบั ฉลาก โดยใชห้ อ้ งเรียนเป็นหนว่ ยสุม่ 3. ตวั แปรท่ีศกึ ษา 3.1 ตวั แปรตน้ คอื การจดั การเรยี นรดู้ ว้ ยกระบวนการคดิ แบบฮวิ รสิ ตกิ ส์ (Heuristics) 3.2 ตวั แปรตาม คอื 3.2.1 ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วงจรเศรษฐกจิ 3.2.2 ความสามารถในการแกป้ ญั หา 4. ระยะเวลาทศี่ กึ ษา ระยะเวลาในการทดลองครั้งนี้ ผู้วิจัยทดลองในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2559 โดยก�ำหนดระยะเวลา 8 สัปดาห์ โดยท�ำการสอนสัปดาห์ละ 1 วนั วนั ละ 2 คาบเรยี น คาบเรียนละ 50 นาที รวมทัง้ หมด 16 คาบเรียน แบบการวิจัย การวิจัยครัง้ นเ้ี ป็นการวจิ ยั เชงิ ทดลอง (Experimental Research) ผวู้ ิจัยไดด้ �ำเนนิ การทดลอง แบบกลุ่มเดยี วทดสอบก่อนและหลงั (The One Group Pretest - Posttest Design) ดงั น้ี (มาเรยี ม นลิ พันธ์ุ, 2553, หน้า 143-144) สอบก่อน ทดลอง สอบหลงั T1 X T2 เม่ือ T1 คือ การทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดแบบฮิวริสติกส์ (Heuristics) X คือ การจดั การเรยี นรดู้ ้วยกระบวนการคิดแบบฮวิ รสิ ตกิ ส์ (Heuristics) T2 คือ การทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดแบบฮิวริสติกส์ (Heuristics) เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวจิ ัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรยี นรู้ที่ 5 เร่ือง วงจรเศรษฐกิจ โดยใชก้ ารจดั การเรียน รดู้ ้วยกระบวนการคิดแบบฮิวรสิ ติกส์ (Heuristics) จำ� นวน 8 แผน

Research in Educational Administration • 411 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง วงจรเศรษฐกิจ ของนักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษา ปีท่ี 4 จำ� นวน 1 ฉบับ เปน็ แบบทดสอบแบบปรนัย 4 ตวั เลอื ก จ�ำนวน 40 ขอ้ 3. แบบทดสอบวัดความสามารถในการแกป้ ัญหา แบบทดสอบอัตนยั จำ� นวน 4 ข้อ การด�ำเนินการวิจยั ผู้วจิ ัยไดเ้ กบ็ ขอ้ มลู ในภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2559 รวมท้ังส้ิน 8 สัปดาห์ โดยแบง่ วธิ กี าร ดำ� เนนิ การทดลองออกเปน็ 3 ขน้ั ตอน ดังนี้ 1. ขั้นกอ่ นทดลอง เป็นขนั้ ท่ีผู้วจิ ัยเตรียมความพร้อม โดยด�ำเนินการต่าง ๆ ดังน้ี 1.1. ด�ำเนินการสร้างเครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการคดิ แบบฮวิ รสิ ติกส์ (Heuristics) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน เรอื่ ง วงจร เศรษฐกจิ และแบบทดสอบวดั ความสามารถในการแก้ปัญหา 1.2. ผวู้ จิ ยั ชแ้ี จงถงึ การจดั การเรยี นรดู้ ว้ ยกระบวนการคดิ แบบฮวิ รสิ ตกิ ส์ (Heuristics) 1.3. ผ้วู ิจยั น�ำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนกอ่ นเรียน (Pre - test) จ�ำนวน 40 ขอ้ ไปทดสอบนกั เรยี นกลุ่มตวั อยา่ ง 1.4. ผวู้ จิ ยั นำ� แบบทดสอบความสามารถในการแกป้ ญั หากอ่ นเรยี น (Pre - test) จำ� นวน 4 ขอ้ ไปทดสอบนักเรียนกลมุ่ ตัวอยา่ ง 2. ขัน้ ทดลอง 2.1. ผู้วิจัยน�ำแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดแบบฮิวริสติกส์ (Heuristics) ไปใช้สอนกบั กลุ่มตวั อย่าง คือ นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 4 จำ� นวน 1 ห้องเรยี น มจี ำ� นวน 21 คน โดยทำ� การสอนสัปดาห์ละ 2 คาบเรยี น คาบเรยี นละ 50 นาที 16 คาบเรยี น รวมระยะเวลา 8 สปั ดาห์ 3. ขน้ั หลงั ทดลอง 3.1. หลงั จากสอนครบทุกแผนการจัดการเรียนรดู้ ้วยกระบวนการคิดแบบฮวิ ริสติกส์ (Heuristics) แล้ว ผู้วิจัยทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โดยใหน้ กั เรยี นท�ำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนหลังเรียน (Post- test) จ�ำนวน 40 ข้อ 3.2. ให้ผู้เรียนท�ำแบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาแบบอัตนัย จ�ำนวน 4 ข้อ การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. วเิ คราะหข์ อ้ มลู เพอ่ื ศกึ ษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เรอื่ ง วงจรเศรษฐกจิ ของนกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 ท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดแบบฮิวริสติกส์ (Heuristics) จาก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยค�ำนวณหาค่าเฉลี่ย (x̄ ) ส่วน เบ่ียงเบนมาตรฐาน (SD) และใช้สถติ ทิ ดสอบคา่ ที แบบไมเ่ ป็นอิสระต่อกนั (t- test dependent) 2. วิเคราะหข์ อ้ มลู เพื่อศกึ ษาความสามารถในการแก้ปญั หาของนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปี ที่ 4 ทไ่ี ดร้ บั การจดั การเรยี นรดู้ ว้ ยกระบวนการคดิ แบบฮวิ รสิ ตกิ ส์ (Heuristics) จากแบบทดสอบวดั ความสามารถในการแกป้ ญั หา 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) การกำ� หนดปญั หา 2) การวเิ คราะหส์ าเหตขุ องปญั หา

412 • การวิจัยทางการบริหารการศกึ ษา 3) การแกป้ ัญหา และ 4) การตรวจสอบผลการแก้ปัญหา โดยคำ� นวณหาค่าเฉลย่ี (x̄ ) ส่วนเบย่ี งเบน มาตรฐาน (SD) และใช้สถติ ิทดสอบค่าที แบบไม่เป็นอิสระตอ่ กนั (t- test dependent) ผลการวิจยั ผลการศกึ ษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนและความสามารถในการแกป้ ญั หาดว้ ยกระบวนการ คิดแบบฮิวริสติกส์ (Heuristics) ส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยขอเสนอผลของการ วิเคราะหข์ อ้ มูลเปน็ 2 ตอน ดังน้ี 1. ผวู้ ิจยั ได้ท�ำการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลงั การจัดการเรยี นรู้ดว้ ย กระบวนการคดิ แบบฮวิ รสิ ตกิ ส์(Heuristics)เรอ่ื งวงจรเศรษฐกจิ ของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี4/1 ผลสัมฤทธ์ิ N คะแนนเต็ม คะแนนเฉล่ยี ส่วนเบยี่ งเบน tp ทางการเรียน (x̄ ) มาตรฐาน (SD) 25.41 .00 ก่อนเรยี น 21 40 10.38 3.69 หลงั เรียน 21 40 32.76 2.79 สรปุ ไดว้ า่ คะแนนผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เร่อื ง วงจรเศรษฐกิจ โดยการจดั การเรียนรดู้ ว้ ย กระบวนการคดิ แบบฮวิ รสิ ตกิ ส์ (Heuristics) สำ� หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 หลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี นอย่างมนี ัยส�ำคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .05 โดยมีคะแนนเฉลีย่ หลังเรียน ( = 32.76, SD = 2.79) สูงกวา่ คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน ( = 10.38, SD = 3.69) ซึง่ เป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัยข้อที่ 1 2. ผลการเปรยี บเทยี บความสามารถในการแกป้ ัญหากอ่ นและหลงั การจดั การเรยี นรู้ดว้ ย กระบวนการคดิ แบบฮวิ ริสติกส์ (Heuristics) ผลการวัดความสามารถ N คะแนน คะแนนเฉลีย่ สว่ นเบยี่ งเบน t p ในการแกป้ ญั หา เต็ม (x̄ ) มาตรฐาน (SD) กอ่ นเรียน 21 48 22.31 1.21 34.8 .00 หลังเรยี น 21 48 41.02 1.12 สรปุ ไดว้ า่ ความสามารถในการแกป้ ญั หาของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 หลงั การจดั การ เรยี นรดู้ ว้ ยกระบวนการคิดแบบฮวิ ริสติกส์ (Heuristics) มคี ะแนนเฉล่ยี หลงั เรียน ( = 41.02, SD = 1.12) สงู กว่าคะแนนเฉลยี่ กอ่ นเรียน ( = 22.31, SD = 1.21) อย่างมีนัยสำ� คญั ทางสถติ ิที่ระดับ .05 ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงค์การวิจัยขอ้ ท่ี 2

Research in Educational Administration • 413 ความสามารถในการแก้ คะแนน คะแนนเฉลย่ี ส่วนเบย่ี งเบน แปล ลำ�ดับที่ ปญั หา เต็มเฉลี่ย (x̄ ) มาตรฐาน (SD) ความ สูง 1 การกำ�หนดปัญหา 12 2.88 0.21 สูง 2 การวเิ คราะห์สาเหตุ 12 2.65 0.22 ของปัญหา 12 2.47 สงู 3 การแกป้ ญั หา 12 2.20 0.13 สูง 4 การตรวจสอบผลการ 48 10.02 0.23 สงู แกป้ ัญหา 0.29 รวม เม่ือพิจารณาความสามารถในการแก้ปัญหาในแต่ละด้าน หลังจากจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการคดิ แบบฮวิ รสิ ตกิ ส์ (Heuristics) พบวา่ ความสามารถในการแกป้ ญั หา จะสามารถเรยี ง ลำ� ดับจากมากไปหานอ้ ยได้ ดังนี้ 1) ดา้ นการกำ� หนดปญั หา ( = 2.88, SD = 0.21) 2) การวิเคราะห์ สาเหตุของปญั หา ( = 2.65, SD = 0.22) 3) การแกป้ ญั หา ( = 2.47, SD = 0.13) และ 4) การตรวจ สอบผลการแก้ปัญหา ( = 2.20, SD = 0.23) ตามลำ� ดับ ตวั อยา่ งที่ 2 ชอ่ื เรือ่ ง: การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเสริมสร้างภาวะผู้น�ำทางการเรียนการสอนส�ำหรับผู้ บริหารโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา ช่อื ผวู้ ิจยั : ชยั รตั น์ หลายวชั ระกุล ปที ีท่ �ำวิจยั : 2547 วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย เพื่อสร้างหลักสูตรฝึกอบรมเสริมสร้างภาวะผู้น�ำทางการเรียนการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ สำ� หรับผบู้ ริหารโรงเรียนมัธยมศกึ ษา เร่ืองการพฒั นาหลกั สตู รและการบรหิ ารการเรียนการสอน วิธีดำ� เนนิ การวจิ ัย การด�ำเนนิ งานวจิ ยั แบง่ ออกเป็น 3 ระยะ ดงั น้ี ระยะที่ 1 การศึกษาข้อมูลเพื่อการพัฒนากรอบความคิดของภาวะผู้น�ำทางการเรียนการ สอนเพอื่ นำ� ไปพฒั นาหลักสตู ร ซงึ่ แบ่งออกเป็น 4 ข้ันตอนยอ่ ย ดงั นี้ 1) การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมโนมติของภาวะผู้น�ำทางการเรียนการสอน โดยวิธี วเิ คราะหเ์ อกสาร (Document analysis) และวเิ คราะหห์ ลกั สตู รของสถาบนั พฒั นาผบู้ รหิ ารการศกึ ษา กระทรวงศึกษาธิการ

414 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา 2) การศึกษาข้อมูลและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้น�ำทางการเรียนการสอน โดย การสมั ภาษณผ์ ูเ้ ชี่ยวชาญอย่างไมเ่ ปน็ ทางการ ( Informal interview) 3) การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภาวะผู้น�ำทางการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียน มธั ยมศึกษา โดยการส�ำรวจความคิดเห็นของผบู้ รหิ ารจำ� นวน 350 คน 4) ตรวจสอบกรอบความคิดของภาวะผู้น�ำทางการเรียนการสอน โดยผู้เชี่ยวชาญ จ�ำนวน 7 คน เพื่อยืนยันคุณลักษณะตัวบ่งช้ีของภาวะผู้น�ำทางการเรียนการสอนส�ำหรับ ผ้บู ริหารโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา ระยะที่ 2 การร่างหลักสูตรและการตรวจสอบหลักสูตร เป็นการพัฒนาหลักสูตรให้มี ความสอดคล้องกับข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับภาวะผู้น�ำทางการเรียนการสอน แบ่งออกเป็น 2 ข้ันตอนย่อย ดงั น้ี 1) การรา่ งหลักสูตรและการจดั ท�ำรายละเอยี ดของหลกั สตู ร โดยผูว้ ิจยั ร่างหลักสูตร และจดั ทำ� รายละเอยี ดของหลกั สตู รฝกึ อบรมเสรมิ สรา้ งภาวะผนู้ ำ� ทางการเรยี นการสอนซง่ึ หลกั สตู ร มีองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้ 1.1) หลกั การและเหตุผล 1.2) จุดม่งุ หมายของหลักสูตร 1.3) โครงสรา้ งเนอื้ หาของหลกั สตู ร 1.4) กิจกรรมฝึกอบรม 1.5) การประเมนิ ผล 2) การตรวจสอบหลักสูตร เป็นการตรวจสอบโดยการประเมินความเหมาะสม ของเอกสารหลักสูตร และการตรวจสอบความสอดคล้องขององค์ประกอบของหลักสูตร โดย ผู้เชี่ยวชาญ 9 คน ผลการวิเคราะห์เป็นค่าเฉล่ียและค่าดัชนีความสอดคล้องและข้อเสนอแนะ แลว้ น�ำมาปรับปรงุ รา่ งหลักสูตรใหส้ มบูรณ์ต่อไป ระยะที่ 3 การทดลองใช้ การน�ำหลักสูตรไปใช้ และประเมินผลสัมฤทธ์ิของหลักสูตร แบ่ง ออกเป็น 3 ขัน้ ตอนย่อย ดังน้ี 1) ทดลองใช้ (Try out) กับกลุ่มเป้าหมาย ผู้วิจัยได้ทดลองใช้หลักสูตรกับผู้บริหาร โรงเรียนมธั ยมศกึ ษา จ�ำนวน 5 คน ซึง่ เปน็ กลุ่มเปา้ หมายชุดท่ี 1 ใชก้ ารวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) ซึ่งมีผู้ชว่ ยวิจัย 3 คน และวิทยากร 6 คน แลว้ น�ำผลสะทอ้ นของการทดลองใช้หลกั สูตร มาปรบั ปรุงแกไ้ ขให้สมบูรณ์ยงิ่ ขึน้ 2) การน�ำหลักสูตรไปใช้ (Curriculum implementation) ผู้วิจัยน�ำหลักสูตรท่ี สมบูรณ์ไปใช้อบรมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จ�ำนวน 10 คน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายชุดที่ 2 ใชก้ ารวจิ ยั เชิงทดลอง โดยใช้รปู แบบการวจิ ัยแบบ One group pretest-posttest design ซ่ึงมีผ้ชู ว่ ย ผูว้ ิจัย 8 คน (เป็นผู้เขา้ รบั การอบรมชุดที่ 1 และผชู้ ่วยผวู้ ิจัย) 3) การประเมินผลสัมฤทธ์ิของหลักสูตร (Evaluation) เมื่อส้ินสุดการอบรม ผู้วิจัย ได้ประเมินผลโดยใช้แบบทดสอบประเมินความรู้ความเข้าใจ แบบวัดเจตคติ ประเมินผลงานและ ความพึงพอใจของผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม และประเมินความพึงพอใจของวิทยากร

Research in Educational Administration • 415 สรุปผลการวิจยั 1. การศกึ ษาขอ้ มลู กรอบความคดิ ของภาวะผนู้ ำ� ทางการเรยี นการสอน พบวา่ ภาวะผูน้ �ำ ทางการเรียนการสอนเปน็ พฤตกิ รรมที่สำ� คัญทผ่ี ู้บรหิ ารโรงเรียนต้องมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ เกย่ี วกบั การบรหิ ารงานทางวชิ าการโรงเรยี น การพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษา การบรหิ ารการเรยี นการสอน และการจัดทำ� โครงการพฒั นาบคุ ลากร 2. การร่างและการตรวจสอบหลักสูตร หลักสูตรฝึกอบรมเพ่ือเสริมสร้างภาวะผู้น�ำ ทางการเรียนการสอนประกอบด้วยหลักการและเหตุผล จุดมุ่งหมายของหลักสูตร โครงสร้าง เนื้อหาของหลักสูตร กิจกรรมการฝึกอบรม และการประเมินผล ผลการตรวจสอบเอกสาร หลกั สตู รโดยผูเ้ ชย่ี วชาญพบว่าหลกั สูตร มคี วามเหมาะสมระดับมาก 3. การทดลองใช้ การน�ำหลักสูตรไปใช้และการประเมินผลสัมฤทธ์ิของหลักสูตร พบว่า หลกั สตู รมปี ระสิทธิผล ดังนี้ 3.1 ผู้บริหารโรงเรียนท่ีเข้ารับการฝึกอบรมทุกคนผ่านเกณฑ์การประเมินด้าน ความรู้ 70% ความเข้าใจมคี า่ เฉลี่ย 48.7 3.2 ผเู้ ขา้ รบั การอบรมทกุ คนมเี จตคตติ อ่ การพฒั นาหลกั สตู ร และการบรหิ ารการเรยี น การสอนอยใู่ นระดับมากทสี่ ดุ ทกุ คน 3.3 ผ้รู ับการอบรมทกุ คนมผี ลงานการเขยี นโครงการอยใู่ นระดบั ดีทุกคน 3.4 ผู้รับการอบรมมคี วามพงึ พอใจในหลักสูตรฝกึ อบรมในระดับมากท่สี ดุ ทกุ คน 3.5 วิทยากรท่ีใช้หลักสูตรฝึกอบรม มีความพึงพอใจในหลักสูตรฝึกอบรมในระดับ มากท่สี ุดทุกคน สรุปทา้ ยบท การวิจัยเชิงทดลองท่ีน�ำเสนอในบทท่ี 12 น้ี ประกอบด้วยสาระส�ำคัญที่ผู้วิจัยหรือ นักศึกษาในทางการบริหารการศึกษาควรศึกษาและท�ำความเข้าใจให้ละเอียดและชัดเจน โดยอาจ สรปุ สาระสำ� คัญดงั กลา่ วได้ ดังนี้ การวจิ ยั เชงิ ทดลอง หมายถงึ การวจิ ยั ทศ่ี กึ ษาหาความรคู้ วามจรงิ และความสมั พนั ธเ์ ชงิ เหตุ และผลของตัวแปรภายใต้การควบคุมสถานการณ์ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โดยการจัดกระท�ำ ตัวแปรอิสระ (Independent variable) หรือตัวแปรจัดกระท�ำ (Treatment variable) ภายใต้การ ควบคมุ ตัวแปรแทรกซอ้ น แล้ววดั ผลในตัวแปรตาม (Dependent variable) การวิจัยเชิงทดลอง มีลักษณะหรอื องค์ประกอบทสี่ ำ� คัญ 4 ประการ คือ 1) การจดั กระทำ� (Manipulation) 2) การสงั เกตหรอื การวัดผล (Observation or measurement) 3) การเปรยี บเทยี บ (Comparison) และ 4) การควบคุม (Control) ซ่ึงครอบคลุมถึงการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน การควบคมุ สิ่งทดลอง (Treatment Control) และการมกี ล่มุ ควบคุม (Control Group) การวิจัยเชิงทดลอง อาจแบ่งประเภทตามเกณฑ์สภาพแวดล้อมในการจัดการทดลองได้ 2 ประเภท คือ 1) การวิจัยเชิงทดลองในห้องปฏิบัติการ (Laboratory experimental research) มจี ุดแขง็ คือ สามารถควบคมุ ตัวแปรแทรกซอ้ นต่าง ๆ ไดค้ ่อนขา้ งสมบรู ณ์ และผลการวิจัยมีความ

416 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา ตรงภายใน (Internal validity) สูง แตม่ ีจดุ อ่อน คอื มีความตรงภายนอก (External validity) ต�่ำ และ 2) การวิจัยเชิงทดลองในภาคสนาม (Field experimental research) มีจุดแข็ง คือ มีความตรง ภายนอก (External validity) สงู แตม่ จี ดุ ออ่ นคอื ผลการวจิ ยั มคี วามตรงภายใน (Internal validity) ตำ�่ แบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองมี 3 แบบ ไดแ้ ก่ 1) แบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองเบอ้ื งตน้ (Pre-experi- mental design) ซงึ่ มลี กั ษณะทสี่ ำ� คญั คอื เปน็ การออกแบบการทดลองทไี่ มม่ กี ารจดั กระทำ� แบบสมุ่ หรือการสุ่ม (Randomization) ไมม่ กี ลุ่มควบคุม (Control group) หรอื กลมุ่ ท่ีใช้ในการเปรยี บเทยี บ (Comparison group) 2) แบบการวิจัยเชิงก่ึงทดลอง (Quasi-experimental design) ซ่ึงมีลักษณะ ที่ส�ำคัญ คือ เป็นการออกแบบการวิจัยที่ไม่มีการจัดกระท�ำแบบสุ่มหรือการสุ่ม (Randomization) มกี ลุม่ ควบคุม (Control group) หรอื กล่มุ ทีใ่ ชใ้ นการเปรยี บเทยี บ (Comparison group) แตเ่ ปน็ กลมุ่ ควบคุมท่ีไม่มกี ระบวนการตรวจสอบว่า เปน็ กลมุ่ ทมี่ ีความเท่าเทียมกนั กอ่ นการทดลอง แบบการ วจิ ยั แบบนดี้ กี วา่ แบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองเบอื้ งตน้ ตรงทแ่ี บบการวจิ ยั เชงิ กง่ึ ทดลองมกี ลมุ่ ควบคมุ ทใ่ี ช้ ในการเปรยี บเทียบได้ และ 3) แบบการวจิ ัยเชงิ ทดลองแทจ้ ริง (True-experimental design) ซงึ่ เป็น แบบการวจิ ยั เชงิ ทดลองทม่ี กั จะดำ� เนนิ การไดค้ รบถว้ นตามลกั ษณะของการวจิ ยั เชงิ ทดลอง กลา่ วคอื มีการจัดกระทำ� (Manipulation) มีการจัดกระทำ� แบบสุ่มหรอื การสุม่ (Randomization) และมกี ลุ่ม ควบคมุ (Control group) ดังนนั้ การวจิ ยั เชงิ ทดลองแทจ้ ริง จึงสามารถใชห้ ลัก MAX-MIN-CON (หลกั ในการออกแบบการวิจยั เชิงทดลอง) ในการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนไดอ้ ย่างเต็มที่ สามารถ จดั สภาพการทดลองใหเ้ ปน็ ไปตามแนวคดิ และทฤษฎสี ำ� คญั ของการวจิ ยั ได้ จงึ ทำ� ใหส้ ามารถสรปุ ผล การวิจัยในลักษณะความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและผล ระหว่างตัวแปรอิสระที่มีผลต่อตัวแปรตามได้ อยา่ งมนั่ ใจ และนา่ เชอื่ ถอื กวา่ แบบการวจิ ยั แบบอนื่ ๆ ทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ รวมทง้ั ผลการวจิ ยั สามารถ สรปุ อ้างองิ ไปยังประชากรได้ การวิจัยเชิงทดลอง มจี ุดมงุ่ หมายทส่ี ำ� คญั 3 ประการ ไดแ้ ก่ 1) เพ่ือศกึ ษาความสัมพนั ธ์ เชิงเหตุและผลระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม 2) เพื่อพัฒนาทฤษฎี และ 3) เพ่ือทดสอบ หรอื ยืนยันทฤษฎี หลักในการออกแบบการวิจัยเชิงทดลองเพ่ือให้ผลการวิจัยออกมามีความเชื่อถือได้ มากขึ้น เรียกว่า “MAX-MIN-CON” โดย MAX หมายถึง การทำ� ให้ความแปรปรวน หรอื ความ แตกต่างของตัวแปรทดลอง (หรือตัวแปรอิสระ) มีค่าสูงสุด MIN หมายถึง การท�ำให้ความ แปรปรวน หรือความแตกต่างอันเนื่องมาจากความคลาดเคลื่อนมีค่าต่�ำสุด และ CON หมายถึง การควบคมุ ตัวแปรแทรกซ้อน ลักษณะของแบบการวจิ ัยหรอื การออกแบบการวิจยั ทดี่ มี ี 2 ประการ คอื 1) ความตรง ภายใน หมายถึง การที่ผลของการเปล่ียนแปลงในตัวแปรตาม (Dependent variable) เป็นผลมา จากตัวแปรอิสระ (Independent variable) ท่ีใช้ในการศึกษาเท่าน้ัน โดยไม่ได้มีผลมาจากตัวแปร แทรกซ้อนอ่ืน ๆ (Extraneous variables) ตวั แปรแทรกซอ้ นท่ีมีอิทธิพลต่อความตรงภายใน หรือ ท่ีท�ำให้ผลการวิจัยที่ค้นพบขาดความตรงภายใน ได้แก่ ประวัติประสบการณ์ของกลุ่มท่ีศึกษา วุฒิภาวะ การทดสอบ เคร่ืองมือวัด การถดถอยทางสถิติ การคัดเลือกตัวอย่าง การขาดหายของ ตวั อยา่ ง ปฏิสมั พันธ์ระหว่างการคัดเลือกตวั อย่างกับวุฒภิ าวะของตัวอยา่ ง การแพร่ของส่ิงทดลอง

Research in Educational Administration • 417 การตอบสนองของกลมุ่ ตวั อยา่ งในกลมุ่ ทดลอง และการตอบสนองของกลมุ่ ตวั อยา่ งในกลมุ่ ควบคมุ และ 2) ความตรงภายนอก หมายถงึ การทีผ่ ลของการวิจัย สามารถสรปุ อ้างองิ ไปยงั ประชากรที่ มีคณุ ลกั ษณะตรงกบั กลมุ่ ตัวอยา่ งท่ศี กึ ษา ปัจจยั ทีม่ ีอิทธพิ ลต่อความตรงภายนอก ไดแ้ ก่ อิทธพิ ล ร่วมระหว่างการเลือกตัวอย่างและสิ่งทดลอง อิทธิพลร่วมระหว่างแหล่งทดลองและสิ่งทดลอง อทิ ธพิ ลรว่ มระหวา่ งการทดสอบและสงิ่ ทดลอง อทิ ธพิ ลรว่ มระหวา่ งเหตกุ ารณพ์ อ้ งและสง่ิ ทดลอง ปฏิกิริยาของกลมุ่ ตัวอย่างท่ีมีต่อสง่ิ ทดลอง และการได้รับสิง่ ทดลองหลาย ๆ อย่าง การมีกลุ่มควบคุมในแบบการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง และแบบการวิจัยเชิงทดลองแท้จริง อยา่ งนอ้ ย 1 กลุ่ม นน้ั ใช้เป็นพน้ื ฐานในการเปรยี บเทยี บกบั กลุ่มทดลอง ซึง่ ตวั อยา่ งในกลมุ่ ทดลอง และตัวอย่างในกลุ่มควบคุม จ�ำเป็นต้องมีความเท่าเทียมกันในด้านปัจจัยภายในของกลุ่มตัวอย่าง ท่ีมีผลต่อค่าของตัวแปรตามตั้งแต่ก่อนเร่ิมให้ส่ิงทดลอง ส่วนการสุ่มในแบบการวิจัยเชิงทดลอง แทจ้ ริงน้ัน กรณเี ป็นการสมุ่ ตวั อยา่ งจากประชากร (Random Selection) มวี ัตถุประสงคเ์ พอ่ื ใหผ้ ล การวิจัยมีความตรงภายนอก (External Validity) แต่ถ้ากรณีเป็นการสุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลอง และกลมุ่ ควบคมุ (Random Assignment) มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ควบคมุ ใหต้ วั อยา่ งในกลมุ่ ทดลองและ ตัวอย่างในกลุ่มควบคุม เป็นตัวอย่างท่ีปราศจากความล�ำเอียง โดยการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน เพอ่ื ท�ำให้กล่มุ ตวั อย่างทง้ั สองกลุ่มมคี วามเทา่ เทียมกนั มากท่สี ุดตั้งแตก่ ่อนเรมิ่ ให้สิง่ ทดลอง ซึง่ จะ ท�ำให้ผลการวจิ ยั มคี วามตรงภายใน (Internal Validity) การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน เป็นการควบคุมตัวแปรที่ผู้วิจัยไม่ได้คัดเลือกมาศึกษา แต่เป็นตัวแปรที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรตาม ซ่ึงท�ำให้ผลของการวิจัยเกิดความ ผิดพลาดคลาดเคล่ือนได้มาก โดยมีวิธีควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนสามวิธี ได้แก่ 1) วิธีควบคุม ตัวแปรแทรกซ้อนท่ีเป็นปัจจัยภายนอก 2) วิธีควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนท่ีเป็นปัจจัยภายในกลุ่ม ตัวอยา่ ง และ 3) วธิ คี วบคุมตวั แปรแทรกซ้อนทเี่ ปน็ ปัจจัยจากผูท้ ดลองและกลุม่ ตัวอย่าง ส่วนระเบียบวิธีวิจัยเชิงทดลองมีหลักการส�ำคัญคล้ายคลึงกันกับการวิจัยประเภท อืน่ ๆ เพยี งแตม่ จี ดุ เนน้ หรอื ลักษณะเฉพาะในรายละเอียดของการด�ำเนินการวิจัยทแี่ ตกตา่ งกนั บา้ ง โดยอาจสรุประเบียบวธิ ใี นการด�ำเนนิ การได้ดังนี้คือ 1) การก�ำหนดปญั หาการวจิ ัย 2) การกำ� หนด คำ� ถามการวิจัย 3) การก�ำหนดสมมตฐิ านการวจิ ัย 4) การระบุและนิยามตวั แปรอสิ ระและตวั แปร ตาม 5) การออกแบบการทดลอง 6) การสรุปผลการทดลองและอภิปรายผล และ 7) การเขียน รายงานการวิจัยฉบับสมบรู ณ์



บทที่ การวิจัยเพือ่ พัฒนาโมเดลความสัมพันธ์ เชงิ โครงสร้างของตวั บง่ ชี้ 13 RESEARCH FOR DEVELOPING OF STRUCTURAL RELATIONSHIP MODEL OF INDICATORS ในการติดตามและประเมินผลการด�ำเนินงานน้ัน จ�ำเป็นต้องอาศัยเคร่ืองมือที่สร้างขึ้น ส�ำหรับการติดตามและประเมินผลการด�ำเนินงานท่ีชัดเจน เป็นรูปธรรม และสามารถระบุหรือ บ่งบอกสมรรถนะของผลการด�ำเนินงานได้เม่ือเปรียบเทียบผลระหว่างการดำ� เนินงานคร้ังสุดท้าย กับปัจจุบัน ในกรณีนี้ ผู้ติดตามและประเมินผลการด�ำเนินงานจ�ำเป็นต้องใช้ตัวบ่งช้ี (Indicators) เปน็ เครอ่ื งมอื ในการวดั เปรยี บเทยี บสมรรถนะทบ่ี ง่ บอกหรอื สะทอ้ นผลการดำ� เนนิ งาน ซงึ่ สามารถ วัดได้และสังเกตได้ เพ่ือบอกสภาพท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ดังนั้น ตัวบ่งช้ีจึงถือว่าเป็น สิ่งส�ำคัญที่ควรกล่าวถงึ และศกึ ษาท�ำความเข้าใจ ในบทน้ี จะน�ำเสนอการวิจัยเพื่อพัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างของตัวบ่งชี้ (หรอื การวจิ ยั เพอื่ พฒั นาตวั บง่ ช)้ี ซง่ึ ประกอบดว้ ยเนอ้ื หาสาระทส่ี ำ� คญั 5 เรอ่ื ง ไดแ้ ก่1)แนวคดิ เกย่ี วกบั ตวั บ่งช้ี 2) การพัฒนาตัวบง่ ช้ี 3) การสร้างโมเดลความสัมพนั ธเ์ ชิงโครงสรา้ ง 4) กรณีตวั อย่างการ ทบทวนวรรณกรรม และ 5) กรณตี วั อยา่ งงานวจิ ัยเพอื่ พัฒนาตวั บ่งชี้ โดยมรี ายละเอยี ด ดังต่อไปน้ี 13.1 แนวคดิ เกีย่ วกับตวั บง่ ชี้ ในส่วนเบื้องต้นน้ี ผู้วิจัยควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเรื่องแนวคิดเก่ียวกับตัวบ่งช้ี ซึ่งประกอบด้วยความหมายของตัวบ่งชี้ ลักษณะที่ส�ำคัญของตัวบ่งชี้ที่ดี เกณฑ์ในการคัดเลือก ตัวบ่งชี้ และประเภทของตัวบง่ ช้ี โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ความหมายของตวั บง่ ชี้ ตัวบ่งชีต้ รงกบั ภาษาอังกฤษว่า Indicator ซึง่ ในภาษาไทยมกี ารใช้กนั อยู่หลายค�ำ เช่น ดัชนี ตวั ชี้ ตัวชว้ี ดั ตวั บง่ ชี้ และเคร่อื งมอื วดั ซ่ึงตัวชี้วดั หรอื ตัวบง่ ชีต้ ามพจนานกุ รม Webster Dictionary ไดใ้ หค้ วามหมายไวว้ า่ เปน็ สง่ิ ทบ่ี ง่ ชห้ี รอื สง่ิ ทช่ี บ้ี อกสงิ่ ใดสง่ิ หนงึ่ ทอ่ี าจจะมากกวา่ หรอื นอ้ ยกวา่ ความ เป็นจรงิ ไดบ้ า้ ง ส่วนพจนานกุ รมของ Oxford Dictionary ได้ใหค้ วามหมายของตัวบ่งชวี้ า่ คือ ส่ิงท่ี บง่ ช้ีสิ่งใดสิง่ หน่งึ นอกจากน้ี มีนกั การศึกษาทง้ั ในประเทศและต่างประเทศได้ให้ความหมายของ ตวั บง่ ชไี้ ว้มาก ดังตวั อย่างต่อไปนี้ Johnstone (1981, p. 32) กล่าวว่า ตัวบ่งช้ี หมายถึง สารสนเทศท่ีบ่งบอกปริมาณ เชงิ สมั พนั ธ์หรือสภาวะของสง่ิ ที่มงุ่ วดั ในเวลาใดเวลาหนงึ่ โดยไมจ่ ำ� เปน็ ต้องบง่ บอกสภาวะทจ่ี งใจ หรอื ชดั เจน แตบ่ ่งบอกหรือสะท้อนภาพของสถานการณท์ ่ีเราสนใจเข้าไปตรวจสอบอย่างกวา้ ง ๆ หรือให้ภาพเชิงสรปุ โดยทว่ั ไป ซึ่งอาจมีการเปล่ียนแปลงไดใ้ นอนาคต ต่อมาอีก 20 ปี อุทุมพร จามรมาน (2544, หน้า 5) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ตัวบ่งชี้ หมายถงึ สงิ่ ทบ่ี อกขอ้ มลู ทนี่ ำ� มาใชเ้ พอ่ื ใหเ้ หน็ อะไรบางอยา่ ง เชน่ ตวั บง่ ชป้ี ระสทิ ธภิ าพการบรหิ าร

420 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา จัดการ ตัวบ่งช้ีคุณภาพผลผลิต ตัวบ่งช้ีประสิทธิพลของโครงการ ตัวบ่งช้ีความสอดคล้องของ วตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ รกบั แผนชาติ ตวั บง่ ชค้ี วามชดั เจนของแนวคดิ หรอื ตวั บง่ ชค้ี วามคมุ้ คา่ ของ การลงทนุ ฯลฯ จากนั้นอีก 6 ปี ศิริชัย กาญจนวาสี (2550, หน้า 82) ให้ความหมายของตัวบ่งช้ีไว้ว่า หมายถงึ ตวั ประกอบ ตวั แปรหรอื คา่ ทสี่ งั เกตได้ ซงึ่ ใชช้ วี้ ดั บอกสถานภาพหรอื สะทอ้ นลกั ษณะการ ดำ� เนินงานหรอื ผลการดำ� เนนิ งาน ถัดมาอีก 1 ปี นงลักษณ์ วริ ัชชยั (2551, หนา้ 6-7) ไดส้ รุปความหมายของตวั บ่งชไ้ี ว้วา่ ตวั บง่ ช้ีหมายถงึ ตวั แปรประกอบหรอื องคป์ ระกอบทม่ี คี า่ แสดงถงึ ลกั ษณะหรอื ปรมิ าณของสภาพที่ ตอ้ งการศกึ ษา ณ จดุ เวลาหรอื ชว่ งเวลาหนง่ึ คา่ ของตวั บง่ ชแี้ สดง / ระบุ / บง่ บอกถงึ สภาพทตี่ อ้ งการ ศกึ ษาโดยเปน็ องคร์ วมอยา่ งกวา้ ง ๆ แตม่ คี วามชดั เจนเพยี งพอทจี่ ะใชใ้ นการเปรยี บเทยี บกบั เกณฑท์ ี่ กำ� หนดไวเ้ พอ่ื ประเมนิ สภาพทตี่ อ้ งการศกึ ษาไดแ้ ละใชใ้ นการเปรยี บเทยี บระหวา่ งจดุ เวลา/ชว่ งเวลา ทีต่ า่ งกนั เพอื่ ให้ทราบถึงความเปล่ยี นแปลงของสภาพท่ีตอ้ งการศกึ ษา สรุปได้ว่า ตัวบ่งช้ี หมายถึง ส่ิงท่ีบอกสภาพ หรือสภาวะในเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเพื่อบ่งบอกถึงส่ิงท่ีเราต้องการวัด โดยการน�ำเอาข้อมูลหรือค่ามาเปรียบ เทยี บกับเกณฑท์ ี่กำ� หนดไว้ 2. ลกั ษณะทส่ี ำ� คญั ของตวั บ่งชีท้ ่ีดี Johnstone (1981, อ้างถึงใน สุรพงศ์ เออื้ ศิรพิ รฤทธ์ิ, 2547, หน้า 22) ได้กล่าวถงึ ลักษณะที่ สำ� คญั ของตัวบ่งชที้ ด่ี ไี ว้ ดังตอ่ ไปนี้ 2.1 ต้องระบุสารสนเทศเกี่ยวกับส่ิงหรือสภาพท่ีศึกษาอย่างกว้าง ๆ ตัวบ่งชี้ต้อง ให้สารสนเทศท่ีถูกต้องแม่นย�ำไม่มากก็น้อย (More or less exactness) แต่ไม่จ�ำเป็นต้องถูกต้อง แมน่ ยำ� แนน่ อนอย่างละเอยี ดถีถ่ ้วน (Precise) 2.2 มีความแตกต่างจากตัวแปร ตัวบ่งชี้มีความแตกต่างจากตัวแปรในแง่ท่ีว่า ตัวบ่งชี้เป็นการรวมตัวแปรหลาย ๆ ตัวที่มีความสัมพันธ์เข้าด้วยกัน ท�ำให้ได้ภาพของระบบใน แงม่ ุมใหม่ท่ีสามารถอธิบายได้ โดยท่ตี วั บง่ ชีบ้ ่งบอกถึงภาพสรปุ หรือส่งิ ทีม่ งุ่ วัดในลักษณะกว้าง ๆ มากกว่าทเ่ี ฉพาะเจาะจงในรายละเอียดสว่ นย่อย 2.3 จะต้องก�ำหนดเป็นปริมาณหรือตีค่าเป็นตัวเลขได้ ตัวบ่งชี้มิใช่เป็นเพียง การบรรยายข้อความในการตีความหมายของค่าตัวเลขของตัวบ่งช้ี แต่ต้องน�ำมาเปรียบเทียบ กับเกณฑท์ ี่ตั้งไวด้ ว้ ย จึงจะสามารถบอกไดว้ า่ ตวั เลขทไี่ ด้มีค่าสูงหรอื ตำ�่ ดงั น้ัน ในการสร้างเกณฑ์ เพื่อแปลความหมายของตัวบ่งชต้ี ้องมีความชัดเจน 2.4 มีค่าเป็นคา่ ชวั่ คราวและคงที่ ณ จุดน้นั ชว่ งเวลานั้น ตวั บง่ ชีม้ คี ่าเปน็ คา่ ชั่วคราว แต่เม่ือเวลาเปลี่ยนไป ค่าตัวบ่งชี้ก็สามารถเปล่ียนแปลงได้ บางค่าอาจใช้ได้แค่ 1 เดือน หรือ 1 ปี บางคา่ อาจใชไ้ ดถ้ ึง 60 เดือน หรือ 5 ปี ทง้ั นขี้ ้ึนอย่กู บั ระยะเวลาท่ีน�ำมาใช้ในการตรวจสอบหรอื เปน็ เกณฑ์ ดังน้ัน ค่าของตัวบ่งชี้จึงสามารถบอกถึงการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นในช่วงเวลาท่ีเปลี่ยนไป ซ่ึงอาจเป็นบวกหรือลบก็ได้ และยังสามารถเปรียบเทียบค่าของตัวบ่งชี้ในแต่ละสถานการณ์ใน

Research in Educational Administration • 421 ชว่ งเวลาเดียวกนั ได้ด้วย 2.5 เป็นหน่วยพื้นฐานในการพัฒนาทฤษฎี ตัวบ่งช้ีเกิดจากการรวมตัวแปร เพื่อสร้างเป็นตัวบ่งช้ีแล้วน�ำไปอธิบายทฤษฎีในงานวิจัยต่าง ๆ ซ่ึงมีความเหมาะสมในการน�ำ เสนอแนวคิดไดด้ ีกวา่ การใชต้ ัวแปรเด่ยี ว นอกจากนี้ สุรพงศ์ เอ้อื ศริ ิพรฤทธ์ิ (2547, หนา้ 22) ได้อธิบายลักษณะที่ส�ำคญั ของ ตัวบง่ ชว้ี ่า ตอ้ งประกอบด้วยรายละเอยี ด ดังนี้ 1) ต้องมีนัยเชิงปริมาณ โดยอาจจะไม่จ�ำเป็นท่ีจะต้องระบุเป็นตัวเลขหรือสถิติ ขอ้ มลู ใด ๆ ก็ได้ 2) ตอ้ งเสนอข้อมูลทพี่ ึงประสงคท์ ง้ั หมดให้ปรากฏชดั เจน 3) ต้องใหค้ วามกระจ่างและขอ้ เทจ็ จรงิ ทั้งหมดแก่ผู้ท่เี กี่ยวขอ้ ง 4) ต้องมีลักษณะเป็นเครื่องมือท่ีสามารถจ�ำแนกแยกแยะ ประเมินผล หรือเสนอ วิสัยทัศนต์ ลอดจนความมงุ่ หมายใหม่ ๆ ได้ 3. เกณฑ์ในการคัดเลอื กตัวบง่ ช้ี เกณฑ์ในการคัดเลือกตัวบ่งช้ี (ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะที่ส�ำคัญของตัวบ่งชี้ที่ดี) มีดังนี้ (Fitz-Gibbon, 1996; ศริ ชิ ยั กาญจนวาสี, 2550, หน้า 84-86) 3.1 ความตรง (Validity) ตัวบ่งชี้ทด่ี จี ะตอ้ งบ่งชี้ไดต้ ามคณุ ลักษณะท่ีต้องการม่งุ วดั อย่างถกู ตอ้ งแมน่ ยำ� โดยมีลักษณะดงั น้ี 1) มีความตรงประเด็น (Relevant) ตวั บ่งชตี้ ้องชวี้ ดั ได้ตรงประเด็น และมีความ เช่ือมโยงสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับคุณลักษณะที่มุ่งวัด เช่น กระดาษลิทมัส เป็นตัวบ่งชี้ สภาพความเป็นกรด/ด่างของสารละลาย GPA ใช้เป็นตัวบ่งชี้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดย ทวั่ ไป ฯลฯ 2)   มีความเป็นตัวแทน (Representative) ตัวบ่งช้ีต้องมีความเป็นตัวแทนของ คุณลักษณะที่มุ่งวัด หรือมีมุมมองที่ครอบคลุมองค์ประกอบส�ำคัญของคุณลักษณะท่ีมุ่งวัดอย่าง ครบถ้วน เช่น อุณหภูมิร่างกาย เป็นตัวบ่งช้ีสภาวะการมีไข้ของผู้ป่วย คุณภาพของผู้ท�ำหน้าท่ี ประชาสมั พนั ธ์ สามารถชีว้ ัดดว้ ยลักษณะการใหส้ ารสนเทศ ความรวดเร็วในการตอบสนองความ ตอ้ งการ ลักษณะการพูดจา สีหน้าทา่ ทางของการใหบ้ ริการ ฯลฯ 3.2 ความเท่ียง (Reliability) ตัวบ่งชี้ท่ีดีจะต้องบ่งช้ีคุณลักษณะท่ีมุ่งวัดได้อย่าง นา่ เชอ่ื ถือ คงเส้นคงวา หรือบ่งชไี้ ดค้ งทีเ่ มือ่ ทำ� การวัดซ�้ำในชว่ งเวลาเดยี วกนั โดยมีลกั ษณะดังน้ี 1) มีความเป็นปรนัย (Objectivity)  ตัวบ่งชี้ต้องชี้วัดได้อย่างเป็นปรนัย การตัดสินใจเกี่ยวกับค่าของตัวบ่งช้ี ควรข้ึนอยู่กับสภาวะท่ีเป็นอยู่หรือคุณสมบัติของสิ่งนั้น มากกวา่ ทจี่ ะขนึ้ อยกู่ บั ความรสู้ กึ ตามอตั วสิ ยั (Subjective)เชน่ การรบั รปู้ ระสทิ ธภิ าพของหลกั สตู รกบั อตั ราการสำ� เรจ็ การศกึ ษาตามระยะเวลาของหลกั สตู ร ตา่ งเปน็ ตวั บง่ ชต้ี วั หนงึ่ ของคณุ ภาพหลกั สตู ร แต่อัตราการส�ำเร็จการศึกษาตามระยะเวลาของหลักสูตรจะเป็นตัวบ่งชี้ท่ีวัดได้อย่างมีความ เป็นปรนยั มากกวา่ การรับรู้ประสทิ ธภิ าพของหลักสูตร

422 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา 2) มีความคลาดเคล่ือนต่�ำ (Minimum Error)  ตัวบ่งช้ีต้องช้ีวัดได้อย่างมีความ คลาดเคล่ือนต่�ำ ค่าท่ีได้จะต้องมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น คะแนนผลสัมฤทธ์ิจากการ ทดสอบกับคะแนนผลสัมฤทธิ์จากการตอบตามปฏิกิริยาหรือสังเกตอย่างไม่เป็นทางการ ต่างเป็น ตัวบ่งชี้ตัวหน่ึงของความส�ำเร็จของการฝึกอบรม แต่คะแนนผลสัมฤทธิ์จากการทดสอบจะเป็น ตวั บง่ ช้ีท่นี า่ เช่ือถือ หรือมคี วามคลาดเคลอื่ นจากการวัดต่ำ� กว่า 3.3 ความเป็นกลาง (Neutrality)  ตัวบ่งช้ีที่ดีจะต้องบ่งช้ีด้วยความเป็นกลาง โดยปราศจากความล�ำเอียง (Bias) ไม่โน้มเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง ไม่ชี้น�ำโดยการเน้นการบ่งช้ี เฉพาะลักษณะความส�ำเรจ็ หรือความล้มเหลว หรือความไมย่ ุติธรรม 3.4   ความไว (Sensitivity)  ตวั บง่ ชท้ี ด่ี จี ะตอ้ งมคี วามไวตอ่ คณุ ลกั ษณะทม่ี งุ่ วดั สามารถ แสดงความผนั แปรหรือความแตกตา่ งระหวา่ งหนว่ ยวเิ คราะหไ์ ด้อย่างชดั เจน โดยตัวบ่งชีจ้ ะตอ้ งมี มาตรและหน่วยวัดที่มีความละเอียดเพียงพอ เช่น ตัวบ่งช้ีระดับการปฏิบัติไม่ควรมีความผันแปร ที่แคบ เช่น ไม่ปฏิบัติ (0) และปฏิบัติ (1) แต่ควรมีระดับของการปฏิบัติที่มีการระบุความแตกต่าง ของคณุ ภาพอยา่ งกวา้ งขวางและชดั เจน เช่น ระดับ 0 ถงึ  10 ฯลฯ 3.5  ความสะดวกในการน�ำไปใช้ (Practicality)  ตัวบ่งชี้ท่ีดีจะต้องสะดวกในการน�ำ ไปใช้ ใช้ได้ดีและไดผ้ ล โดยมลี กั ษณะดังนี้ 1) เกบ็ ขอ้ มลู งา่ ย (Availability) ตวั บง่ ชที้ ดี่ จี ะตอ้ งสามารถนำ� ไปใชว้ ดั หรอื เกบ็ ข้อมลู ได้สะดวก สามารถเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากการตรวจ นบั วัด หรอื สงั เกตไดง้ ่าย 2) แปลความหมายง่าย (Interpretability) ตัวบ่งช้ีท่ีดีควรให้ค่าการวัดท่ีมีจุด สงู สุด และต่ำ� สดุ เข้าใจงา่ ยและสามารถสร้างเกณฑต์ ัดสินคุณภาพได้ง่าย 4. ประเภทของตัวบง่ ชี้ นักการศึกษาได้จัดแยกประเภทของตัวบ่งชี้ไว้แตกต่างกันตามเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดแยก ประเภท ซงึ่ การสงั เคราะหก์ ารจดั แยกประเภททน่ี กั การศกึ ษาไดเ้ สนอไวน้ น้ั สรปุ ไดเ้ ปน็  7 ประเภท ดงั นี้ (นงลักษณ์ วริ ชั ชยั , 2551, หนา้ 7-8) 4.1 ตัวบ่งช้ีตามทฤษฎีระบบ  ประกอบด้วยตัวบ่งช้ี 3 ด้าน ได้แก่ 1) ตัวบ่งช้ีด้าน ปจั จยั น�ำเขา้ (Input indicators)  2) ตัวบ่งชี้ดา้ นกระบวนการ (Process indicators) และ 3) ตัวบง่ ชี้ ดา้ นผลผลิต (Output indicators) 4.2   ตัวบ่งชี้ตามลักษณะนิยามของตัวบ่งชี้  ประกอบด้วยตัวบ่งช้ี 2 แบบ ได้แก่ ตัวบ่งชแ้ี บบอตั นัย (Subjective indicators) และตัวบ่งชี้แบบปรนยั (Objective indicator) 4.3   ตัวบ่งชี้ตามวิธีการสร้าง ประกอบด้วย 3 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ 1) ตัวบ่งช้ีตัวแทน (Representative indicators) เป็นตัวบ่งชี้ที่สร้างขึ้นจากตัวแปรเพียงตัวเดียวเพื่อให้เป็นตัวแทน ตัวแปรอื่น ๆ 2) ตัวบ่งชี้แยก (Disaggregative indicators) เป็นตัวบ่งชี้ท่ีมีสถานะคล้ายกับ ตวั แปร หรอื ตวั บง่ ชยี้ อ่ ย โดยทตี่ วั บง่ ชยี้ อ่ ยแตล่ ะตวั เปน็ อสิ ระตอ่ กนั และบง่ ชลี้ กั ษณะ หรอื ปรมิ าณ ของสภาพทตี่ อ้ งการศกึ ษาเฉพาะดา้ นใดดา้ นหนงึ่ เพยี งดา้ นเดยี ว การทจี่ ะบง่ ชส้ี ภาพองคร์ วมจะตอ้ ง ใช้ตัวบ่งช้ีย่อยทุกตัวรวมกันท้ังชุด และ 3) ตัวบ่งชี้ประกอบ (Composite indicators) เป็นตัวบ่งช้ี

Research in Educational Administration • 423 ทเ่ี กดิ จากการรวมตัวแปรหลาย ๆ ตัวเข้าดว้ ยกนั โดยให้นำ�้ หนักความสำ� คญั ของตวั แปรตามท่ีเปน็ จรงิ ตวั บ่งช้ีชนดิ น้ีให้สารสนเทศทมี่ คี ุณค่า มีความเท่ยี ง และความตรงสงู กว่าตัวบง่ ช้ีสองประเภท แรก จึงเป็นประโยชน์ต่อการวางแผน การก�ำกับ ติดตาม และการประเมิน และเป็นท่ีนิยมใช้กัน มากในปัจจุบนั 4.4 ตวั บง่ ชตี้ ามลกั ษณะตวั แปรทใี่ ชส้ รา้ งตวั บง่ ช ้ี มี 3 ประเภทยอ่ ย ไดแ้ ก่ 1) ตวั บง่ ชี้ การศึกษาตามระดับการวัดของตัวแปร ได้แก่ ตัวบ่งชี้นามบัญญัติ (Nominal indicators) ตัวบ่งช้ีเรียงอันดับ (Ordinal indicators) ตัวบ่งชี้อันตรภาค (Interval indicators) และ ตัวบ่งช้ี อัตราส่วน (Ratio indicators) 2) ตัวบ่งช้ีการศึกษาตามประเภทของตัวแปร ได้แก่ ตัวบ่งช้ี สตอ๊ ก (Stockindicators) และตวั บง่ ชก้ี ารเลอ่ื นไหล (Flowsindicators) และ3)ตวั บง่ ชตี้ ามคณุ สมบตั ิ ทางสถติ ขิ องตวั แปรไดแ้ ก่ ตวั บง่ ชที้ เี่ กยี่ วกบั การแจกแจง(Distributive indicators) เชน่ สมั ประสทิ ธ์ิ การกระจาย(Coefficient ofvariation)ฯลฯ  และตวั บง่ ชท้ี ไ่ี มเ่ กยี่ วกบั การแจกแจง(Non – distributive indicators) เชน่ ค่าเฉล่ีย มธั ยฐาน ของตวั แปร ฯลฯ 4.5   ตวั บ่งชี้ตามลกั ษณะคา่ ของตวั บ่งช้ี  มี 2 ประเภทย่อย ไดแ้ ก่ 1) ตัวบ่งชส้ี มบูรณ์ (Absolute indicators) หมายถึง ตัวบ่งช้ีท่ีค่าของตัวบ่งชี้บอกปริมาณท่ีแท้จริง และมีความหมาย ในตวั เอง คือ ตวั บ่งชส้ี มั พัทธ์ และ 2) ตวั บ่งชีอ้ ตั ราสว่ น (Relative or ratio indicators) หมายถึง ตวั บง่ ชที้ คี่ า่ ของตวั บง่ ชเ้ี ปน็ ปรมิ าณเทยี บเคยี งกบั คา่ อน่ื ๆ เชน่ จำ� นวนนกั เรยี นตอ่ คร ู 1 คน สดั สว่ น ของครวู ุฒปิ ริญญาโท 4.6 ตัวบ่งช้ีตามฐานการเปรียบเทียบในการแปลความหมาย  มี 3 ประเภทย่อย ได้แก่ 1) ตัวบ่งช้ีอิงกลุ่ม (Norm-referenced indicators) หมายถึง ตัวบ่งช้ีท่ีมีการแปลความ หมายเทียบกับกลุ่ม 2) ตัวบ่งชี้อิงเกณฑ์ (Criterion-referenced indicators) หมายถึง ตัวบ่งช้ีท่ีมี การแปลความหมายเทียบกับเกณฑ์ทก่ี ำ� หนดไว้ และ 3) ตัวบ่งช้อี ิงตน (Self-referenced indicators) หมายถงึ ตวั บ่งช้ีทีม่ กี ารแปลความหมายเทียบกบั สภาพเดิม ณ จุด หรอื ช่วงเวลาทตี่ ่างกัน 4.7 ตัวบ่งชี้ตามลักษณะการใช้ตัวบ่งช้ี แบ่งตามการใช้ตัวบ่งช้ีในการวิจัยได้เป็น 2 ประเภทยอ่ ย ได้แก่ 1) ตัวบง่ ชแี้ สดงความหมาย (Expressive indicators) และ 2) ตัวบ่งช้ีทำ� นาย (Predictive indicators) และแบ่งตามการใช้ตัวบ่งชี้ในการก�ำกับติดตามงานได้เป็น 2 ประเภทย่อย ไดแ้ ก่ ตัวบ่งชผ้ี ลการปฏิบัติ (Performance indicator) และ 2) ตัวบง่ ช้ีตามขอ้ กำ� หนด (Compliance indicator) 13.2 การพัฒนาตวั บง่ ช้ี กระบวนการพัฒนาตัวบ่งชี้มีข้ันตอนคล้ายกับขั้นตอนในกระบวนการวัดตัวแปร แต่มี ข้ันตอนเพิ่มมากข้ึนในส่วนท่ีเก่ียวกับการรวมตัวแปรเข้าเป็นตัวบ่งช้ี และการตรวจสอบคุณภาพ ของตัวบ่งชี้ท่ีพัฒนาขึ้น ข้ันตอนในกระบวนการพัฒนาตัวบ่งชี้ที่นักวิชาการก�ำหนดไว้มีลักษณะ คล้ายคลึงกัน มีส่วนแตกต่างกันในบางข้ันตอน ซึ่งสามารถสรุปรวมเป็นขั้นตอนท่ีส�ำคัญใน การพฒั นาตวั บง่ ช ี้ 6 ขนั้ ตอนไดแ้ ก่ 1) การกำ� หนดวตั ถปุ ระสงคข์ องการพฒั นาตวั บง่ ช้ี 2) การนยิ าม ตัวบ่งชี้ 3) การรวบรวมข้อมูล 4) การสร้างตวั บ่งช้ี 5) การตรวจสอบคณุ ภาพของตวั บ่งชี้ และ

424 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา 6) การนำ� เสนอรายงาน ซง่ึ แตล่ ะขนั้ ตอนมรี ายละเอยี ด ดงั ตอ่ ไปน้ี (Blank, 1993 ; Johnstone, 1981 ; Burstein, Oakes and Guiton 1992 ; Nardo et al., 2005, อา้ งถงึ ใน นงลกั ษณ์ วริ ชั ชยั , 2551 หนา้ 8-15) 1.  การก�ำหนดวัตถุประสงค์ ข้ันตอนแรกของการพัฒนาตัวบ่งช้ี คือ การก�ำหนด วตั ถุประสงค์ของการพฒั นาตวั บง่ ช้ี โดยนกั วิจยั ตอ้ งก�ำหนดลว่ งหนา้ ว่า จะนำ� ตัวบง่ ชท้ี ีพ่ ฒั นาข้ึน ไปใช้ประโยชนใ์ นเร่ืองอะไร และอย่างไร วตั ถปุ ระสงค์ส�ำคัญในการพัฒนาตัวบ่งชี้ คอื เพอื่ พัฒนา และตรวจสอบคุณภาพของตัวบ่งช้ีท่ีพัฒนาขึ้นให้ได้ตัวบ่งช้ีที่จะน�ำไปใช้ประโยชน์ โดยท่ีตัวบ่งช้ี ท่ีพัฒนาข้ึนเพื่อใช้ประโยชน์ต่างกัน มีลักษณะแตกต่างกัน เช่น ตัวบ่งชี้ที่พัฒนาขึ้นเพื่อประเมิน คุณภาพการศึกษา ควรเป็นตัวบ่งช้ีประเภทอิงเกณฑ์ ตัวบ่งช้ีเพ่ือประเมินความก้าวหน้าในการ ดำ� เนนิ งาน ควรเปน็ ตวั บง่ ชป้ี ระเภทองิ ตน และตวั บง่ ชเี้ พอ่ื ใชจ้ ดั จำ� แนกระบบการศกึ ษาของประเทศ ต่าง ๆ หลายประเทศ ควรเป็นตัวบ่งชี้ประเภทอิงกลุ่ม ฯลฯ ด้วยเหตุนี้นักวิจัยที่ต้องการพัฒนา ตวั บง่ ชจี้ งึ ตอ้ งกำ� หนดวตั ถปุ ระสงคใ์ นการพฒั นาตวั บง่ ชใ้ี หช้ ดั เจนวา่ จะพฒั นาตวั บง่ ชไี้ ปใชป้ ระโยชน์ อะไร และเปน็ ประโยชน์ในการดำ� เนินงานอยา่ งไร การก�ำหนดวตั ถุประสงคข์ องการพัฒนาตัวบง่ ช้ี ทชี่ ดั เจนย่อมสง่ ผลใหไ้ ดต้ ัวบง่ ชีท้ ม่ี ีคุณภาพสูง และเปน็ ประโยชน์สมตามวัตถุประสงคท์ ตี่ ้องการ 2. การนิยามตัวบ่งชี้ หลังจากการก�ำหนดวัตถุประสงค์ในการพัฒนาตัวบ่งชี้แล้ว งาน ส�ำคัญช้ินแรกในกระบวนการพัฒนาตัวบ่งช้ี คือ การก�ำหนดนิยามตัวบ่งช้ี เพราะนิยามตัวบ่งช้ีท่ี ก�ำหนดขึ้นน้ันจะเป็นตัวชี้น�ำวิธีการท่ีจะต้องใช้ในขั้นตอนต่อไปของกระบวนการพัฒนาตัวบ่งช้ี เนอ่ื งจากตวั บง่ ช้ี หมายถงึ องคป์ ระกอบทป่ี ระกอบดว้ ยตวั แปรยอ่ ย ๆ รวมกนั เพอื่ แสดงสารสนเทศ หรือคุณลักษณะของสิ่งท่ีต้องการบ่งช้ี ดังนั้นในข้ันตอนการนิยามตัวบ่งช้ีนี้ นอกจากจะเป็นการ กำ� หนดนยิ ามในลกั ษณะเดยี วกบั การนยิ ามตวั แปรในการวจิ ยั ทวั่ ไปแลว้ นกั วจิ ยั ตอ้ งกำ� หนดดว้ ยวา่ ตัวบ่งช้ีประกอบด้วยตัวแปรย่อยอะไร และรวมตัวแปรย่อยเป็นตัวบ่งชี้อย่างไร ในเรื่องการนิยาม ตวั บง่ ชนี้ ้ี Burstein,OakesandGuiton ไดแ้ ยกการนยิ ามตวั บง่ ชเี้ ปน็ สองสว่ นสว่ นแรกคอื การกำ� หนด กรอบความคิด หรือการสร้างสังกัป (Conceptualization) เป็นการให้ความหมายคุณลักษณะของ สง่ิ ทต่ี อ้ งการบง่ ชโ้ี ดยการกำ� หนดรปู แบบหรอื โมเดลแนวคดิ (Conceptual model) ของสง่ิ ทตี่ อ้ งการ บง่ ชี้ก่อนวา่ มสี ่วนประกอบแยกยอ่ ยเปน็ กีม่ ติ ิ (Dimension) และกำ� หนดวา่ แตล่ ะมติ ิประกอบด้วย สังกัป (Concept) อะไรบ้าง ส่วนที่สองยังแยกได้เป็นสองส่วนย่อย คือ การพัฒนาตัวแปร ส่วนประกอบ หรือตัวแปรย่อย (Development of component measures) และการสร้างและ กำ� หนดมาตร (Construction and scaling) การนยิ ามในสว่ นน้ี เปน็ การกำ� หนดนยิ ามเชิงปฏิบัติการ ตัวแปรยอ่ ยตามโมเดลแนวคิด และการกำ� หนดวธิ กี ารรวมตวั แปรย่อยเข้าเป็นตวั บ่งชี้ จากการนิยามตัวบ่งชี้ นักวิจัยจะได้รูปแบบความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง (Structural relationship model) ของตัวบ่งชี้ เน่ืองจากรูปแบบความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างของตัวบ่งชี้ คือ โครงสรา้ ง(Structure) ทอ่ี ธบิ ายวา่ ตวั บง่ ชป้ี ระกอบดว้ ยตวั แปรยอ่ ยอะไรตวั แปรยอ่ ยมคี วามสมั พนั ธ์ กบั ตวั บ่งชอ้ี ยา่ งไร และตวั แปรย่อยแต่ละตวั มนี ้�ำหนักความสำ� คญั ตอ่ ตวั บง่ ช้ีตา่ งกนั อยา่ งไร ดังน้นั การก�ำหนดนิยามตัวบ่งช้ีจึงประกอบด้วยการก�ำหนดรายละเอียดสามประการ คือ 1) การก�ำหนด ส่วนประกอบ (Components) หรือตัวแปรย่อย (Component variables) ของตัวบ่งช้ี นักวิจัย ต้องอาศัยความรู้จากทฤษฎี และประสบการณ์ ศึกษาตัวแปรย่อยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ (Relate) 

Research in Educational Administration • 425 และตรง (Relevant) กับตัวบ่งชี้ แล้วตัดสินใจคัดเลือกตัวแปรย่อยเหล่าน้ันว่า จะใช้ตัวแปรย่อย จำ� นวนเทา่ ใดใชต้ วั แปรยอ่ ยประเภทใดในการพฒั นาตวั บง่ ช้ี 2)การกำ� หนดวธิ กี ารรวม(Combination method) ตัวแปรย่อย นักวิจัยต้องศึกษา และตัดสินใจเลือกวิธีการรวมตัวแปรย่อยให้ได้ตัวบ่งชี้ ซึ่งโดยท่ัวไปท�ำได้เป็นสองแบบ คือ การรวมตัวแปรย่อยด้วยการบวก (Addition) และการคูณ (Multiplication) และ 3) การกำ� หนดนำ้� หนกั (Weight) การรวมตวั แปรยอ่ ยเขา้ เปน็ ตวั บง่ ชี้ นกั วจิ ยั ต้องก�ำหนดน�้ำหนักแทนความส�ำคัญของตัวแปรย่อยแต่ละตัวในการสร้างตัวบ่งช้ีโดยอาจ ก�ำหนดให้ตวั แปรย่อยทุกตัวมนี ้�ำหนักเท่ากัน หรือต่างกนั ได้ การก�ำหนดรายละเอียดทั้งสามประการส�ำหรับการนิยามตัวบ่งชี้น้ัน Johnstone อธิบายว่า ท�ำได้ 3 วิธี โดยแต่ละวิธีมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ และมีวิธีการในการพัฒนา ตัวบง่ ชี้แตกตา่ งกนั ดงั ต่อไปนี้ 1) วิธีการพัฒนาตัวบ่งช้ีโดยใช้นิยามเชิงปฏิบัติการ (Pragmatic Definition) นิยาม เชิงปฏิบัติการ เป็นนิยามที่ใช้ในกรณีท่ีมีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวแปรย่อยที่เกี่ยวข้องกับ ตวั บ่งชไ้ี ว้พรอ้ มแล้ว มีฐานขอ้ มูลแลว้ หรอื มีการสรา้ งตวั แปรประกอบจากตวั แปรยอ่ ย ๆ หลายตัว ไวแ้ ลว้ นกั วจิ ยั เพยี งแตใ่ ชว้ จิ ารณญาณคดั เลอื กตวั แปรจากฐานขอ้ มลู ทม่ี อี ยแู่ ละนำ� มาพฒั นาตวั บง่ ช้ี โดยกำ� หนดวธิ กี ารรวมตวั แปรยอ่ ย และกำ� หนดนำ�้ หนกั ความสำ� คญั ของตวั แปรยอ่ ย วธิ กี ารกำ� หนด นิยามตวั บง่ ชี้วิธนี อ้ี าศยั การตดั สนิ ใจ และประสบการณ์ของนักวจิ ยั เท่าน้นั ซ่ึงอาจทำ� ใหไ้ ด้นยิ ามท่ี ลำ� เอยี งเพราะไมม่ กี ารอา้ งองิ ทฤษฎี หรอื ตรวจสอบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปรแตอ่ ยา่ งไร จงึ เปน็ นยิ ามท่ีมีจุดอ่อนมากที่สดุ เม่ือเทยี บกับนิยามแบบอน่ื และไมค่ อ่ ยมผี ูน้ ยิ มใช้ 2) วิธีการพัฒนาตัวบ่งช้ีโดยใช้นิยามเชิงทฤษฎี (Theoretical Definition) นิยาม เชิงทฤษฎี เป็นนิยามที่นักวิจัยใช้ทฤษฎีรองรับสนับสนุนการตัดสินใจของนักวิจัยโดยตลอด และ ใช้วิจารณญาณของนักวิจัยน้อยมากกว่าการนิยามแบบอื่น การนิยามตัวบ่งชี้โดยใช้การนิยาม เชงิ ทฤษฎนี ้นั อาจทำ� ได้ 2 วิธี ดังนี้ 2.1) เป็นการใช้ทฤษฎีและเอกสารงานวิจัยเป็นพ้ืนฐานสนับสนุนท้ังหมด ตั้งแต่ การก�ำหนดตัวแปรย่อย การก�ำหนดวิธีการรวมตัวแปรย่อย และการก�ำหนดน�้ำหนักตัวแปรย่อย โดยอาจใช้โมเดลหรือสตู รในการสร้างตัวบง่ ชี้ตามท่ีมีผู้พฒั นาไวแ้ ลว้ ทงั้ หมด 2.2) เป็นการใช้ทฤษฎีและเอกสารงานวิจัยเป็นพ้ืนฐานสนับสนุนในการคัดเลือก ตัวแปรย่อย และการก�ำหนดวิธีการรวมตัวแปรย่อยเท่านั้น ส่วนในข้ันตอนการก�ำหนดน�้ำหนัก ตัวแปรย่อยแต่ละตัวนั้น เป็นการใช้ความคิดเห็นผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญประกอบในการ ตัดสนิ ใจ วิธีแบบน้ใี ชใ้ นกรณที ยี่ งั ไม่มผี ูใ้ ดก�ำหนดสูตรหรือโมเดลของตวั บง่ ช้ไี ว้กอ่ น 3) วิธีการพัฒนาตัวบ่งชี้โดยใช้นิยามเชิงประจักษ์ (Empirical Definition) นิยาม เชิงประจักษ์ เป็นนิยามท่ีมีลักษณะใกล้เคียงกับนิยามเชิงทฤษฎี เพราะเป็นนิยามท่ีก�ำหนดว่า ตัวบ่งชี้ประกอบด้วยตัวแปรย่อยอะไร และก�ำหนดรูปแบบวิธีการรวมตัวแปรให้ได้ตัวบ่งชี้ โดยมที ฤษฎี เอกสารวชิ าการ หรอื งานวจิ ยั เปน็ พนื้ ฐาน แตก่ ารกำ� หนดนำ้� หนกั ของตวั แปรแตล่ ะตวั ที่จะน�ำมารวมกันในการพัฒนาตัวบ่งช้ีน้ันมิได้อาศัยแนวคิดทฤษฎีโดยตรง แต่อาศัยการวิเคราะห์ ขอ้ มูลเชิงประจักษ์ การนยิ ามแบบนี้มีความเหมาะสม และเปน็ ทีน่ ิยมใชก้ นั อยู่มาจนถงึ ทกุ วนั นี้

426 • การวิจัยทางการบริหารการศกึ ษา วิธีการพัฒนาตัวบ่งช้ีตามแนวคิดของ Johnstone ท้ังสามวิธีดังกล่าวข้างต้น ได้แก่ 1) วิธีการพัฒนาตัวบ่งช้ีโดยใช้นิยามเชิงปฏิบัติการ  2) วิธีการพัฒนาตัวบ่งชี้โดยใช้นิยามเชิง ทฤษฎี  และ 3) วิธีการพัฒนาตัวบ่งชี้โดยใช้นิยามเชิงประจักษ์  อาจแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน ดงั แสดงในตารางท่ี 13.1 ตารางที่ 13.1 วธิ ีการพฒั นาตวั บ่งชีต้ ามแนวคดิ ของ Johnstone วิธีการพฒั นา ขน้ั ท่ี 1 ขน้ั ท่ี 2 ขนั้ ที่ 3 1. การพัฒนาตัวบ่งช้ีโดย กำ� หนดตวั แปรยอ่ ยโดย รวมตวั แปรย่อยโดยไม่ กำ� หนดนำ้� หนักตัวแปร ใชน้ ิยามเชิงปฏบิ ัตกิ าร  ไม่อ้างองิ ทฤษฎแี ละงาน อา้ งองิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ย่อยโดยไมอ่ ้างอิงทฤษฎี (Pragmatic Definition) วิจยั และงานวจิ ัย 2. การพฒั นาตวั บ่งช้โี ดย ก�ำหนดตวั แปรยอ่ ยโดย รวมตวั แปรย่อยโดยใช้ กำ� หนดน�ำ้ หนกั ตวั แปร ใชน้ ยิ ามเชงิ ทฤษฎี ใชท้ ฤษฎีและงานวจิ ยั ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั เปน็ ยอ่ ยโดยใช้ทฤษฎีและงาน  (Theoretical Definition) เปน็ พื้นฐานสนับสนนุ พนื้ ฐานสนับสนุน วจิ ัยสนับสนนุ หรือใช้ ผ้ทู รงคุณวุฒิ/ผเู้ ชี่ยวชาญ 3. การพัฒนาตวั บ่งช้โี ดย ก�ำหนดตวั แปรย่อยโดย รวมตัวแปรยอ่ ยโดยใช้ กำ� หนดน�้ำหนักตัวแปร ใชน้ ยิ ามเชงิ ประจกั ษ ์ ใช้ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทฤษฎแี ละงานวิจัยเป็น ยอ่ ยโดยอาศยั การวเิ คราะห์ (Empirical Definition) เปน็ พื้นฐานสนับสนุน พ้ืนฐานสนบั สนุน ขอ้ มูลเชงิ ประจกั ษ์ Source. ปรบั จาก Johnston (1981) จากตารางท่ี 13.1 เมอ่ื พจิ ารณาวธิ กี ารนยิ ามตวั บง่ ชที้ งั้ สามวธิ ขี อง Johnstone  โดยเปรยี บ เทียบกับวิธีการนิยามตัวแปรท่ีใช้ในการวิจัยทั่วไป จะเห็นได้ว่า Johnstone ให้ความส�ำคัญกับการ นิยามระดับนามธรรมตามทฤษฎี หรือการนิยามโครงสร้างท่ีมีทฤษฎีและเอกสารงานวิจัยเป็น พื้นฐานในการนยิ าม วธิ ีการนิยามตวั บง่ ช้ีทั้งสามวิธี โดยเฉพาะสองวธิ หี ลังของ Johnstone ลว้ นแต่ ต้องมีทฤษฎีเป็นหลักในทุกขั้นตอน จึงกล่าวได้ว่า การนิยามทุกขั้นตอนในส่วนของการก�ำหนด ตัวแปรย่อย และการก�ำหนดวิธีการรวมตัวแปรเป็นนิยามโครงสร้างตามทฤษฎีท้ังส้ิน ส่วนการ ก�ำหนดน�้ำหนักตัวแปรย่อยในขั้นตอนที่สามของวิธีที่สองและวิธีท่ีสามน้ันเป็นเพียงการแบ่ง โดยใช้เกณฑ์มาก�ำหนดว่า น�้ำหนักตัวแปรย่อยจะใช้ทฤษฎี หรือผู้ทรงคุณวุฒิ/ผู้เช่ียวชาญ หรือ ข้อมูลเชิงประจักษ์ เท่าน้ัน สรุปได้ว่า นิยามเชิงทฤษฎีมีลักษณะเทียบเคียงกับนิยามเชิงประจักษ์ ต่างกันท่ีการก�ำหนดน้�ำหนักตัวแปรย่อยในวิธีแรกใช้ทฤษฎี หรือผู้ทรงคุณวุฒิ/ผู้เช่ียวชาญ ส่วนในวธิ หี ลังใชข้ อ้ มลู เชงิ ประจักษ์ ในจำ� นวนวธิ กี ารกำ� หนดนยิ ามตวั บง่ ชที้ งั้ สามวธิ ขี อง Johnstone ทก่ี ลา่ วขา้ งตน้ นน้ั วธิ กี าร นิยามเชิงประจักษ์ เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากท่ีสุด ประเด็นที่น่าสังเกตเกี่ยวกับการก�ำหนดนิยาม เชิงประจักษ์ คือ การก�ำหนดน�้ำหนักตัวแปรย่อยน้ัน ในความเป็นจริงมิใช่การก�ำหนดนิยามจาก การศึกษาเอกสารและทฤษฎี แต่เป็นการด�ำเนินการวิจัยโดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ และเม่ือเปรียบ เทียบการก�ำหนดนิยามเชิงประจักษ์ซ่ึงต้องใช้การวิจัยในการนิยามกับการวิจัยที่มีการวิเคราะห์

Research in Educational Administration • 427 โมเดลความสัมพันธ์โครงสร้างเชิงเส้น หรือโมเดลลิสเรล (linear Structural relationship model or LISREL model) จะเห็นได้ว่า มีวิธีการสอดคล้องกัน เน่ืองจากการก�ำหนดนิยามเชิงประจักษ์ ของตัวบง่ ชี้มีงานส�ำคญั สองสว่ น ดังนี้ 1) การกำ� หนดโมเดลความสมั พันธ์เชิงโครงสรา้ ง (Structural relationship model) เป็นการก�ำหนดว่า ตัวบ่งชี้ประกอบด้วยตัวแปรย่อยอะไร และอย่างไร โดยมีทฤษฎีเป็นพ้ืนฐาน รองรับ โมเดลท่ไี ด้เปน็ โมเดลการวัด (Measurement model) ท่แี สดงความสัมพนั ธ์เชงิ เส้นระหว่าง ตัวแปรแฝง (Latent variables) กับตวั แปรสงั เกตได้ (Observed variables)  2) การก�ำหนดน�้ำหนักความส�ำคัญของตัวแปรย่อยจากข้อมูลเชิงประจักษ์ งาน สว่ นนเ้ี ปน็ งานวจิ ยั ทใี่ ชก้ ารวเิ คราะหโ์ มเดลลสิ เรลนน่ั เอง กลา่ วคอื นกั วจิ ยั ตอ้ งรวบรวมขอ้ มลู ไดแ้ ก่ ตัวแปรย่อยทั้งหลายตามโมเดลท่ีพัฒนาขึ้น แล้วน�ำมาวิเคราะห์ให้ได้ค่าน้�ำหนักตัวแปรย่อยท่ีจะ ใช้ในการสร้างตัวบ่งชี้ วิธีการวิเคราะห์ที่นิยมใช้กันมากท่ีสุด คือ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิง ส�ำรวจ (Exploratory factor analysis) ใชเ้ มอ่ื มที ฤษฎรี องรับโมเดลแบบหลวม ๆ หรือการวเิ คราะห์ องคป์ ระกอบเชงิ ยนื ยนั (Confirmatory factor analysis) ใชเ้ มอื่ มที ฤษฎรี องรบั โมเดลแบบหนกั แนน่ เขม้ แขง็ และสามารถตรวจสอบความตรงของโมเดลโดยพจิ ารณาจากความสอดคลอ้ งระหวา่ งโมเดล ตามทฤษฎกี บั ขอ้ มลู เมือ่ พบว่าโมเดลมคี วามตรง จงึ น�ำสมการแสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตัวแปร และค่าน�ำ้ หนักความส�ำคัญของตวั แปรย่อยมาสร้างตวั แปรแฝง 3. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู (Data Collection) ขน้ั ตอนการรวบรวมขอ้ มลู ในกระบวนการ พฒั นาตวั บง่ ชี้ คอื การดำ� เนนิ การวดั ตวั แปรยอ่ ย ไดแ้ ก่ การสรา้ งเครอื่ งมอื สำ� หรบั วดั การทดลองใช้ และการปรบั ปรงุ เครอื่ งมอื ตลอดจนการตรวจสอบคณุ ภาพของเครอื่ งมอื การกำ� หนดกลมุ่ ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง การออกภาคสนามเพื่อใช้เคร่ืองมือเก็บข้อมูล และการตรวจสอบคุณภาพของ ข้อมลู ท่เี ปน็ ตวั แปรยอ่ ยซึ่งจะนำ� มารวมเปน็ ตวั บง่ ชี้ 4.  การสร้างตัวบ่งชี้  ในขั้นตอนน้ีนักวิจัยสร้างสเกล (Scaling) ตัวบ่งช้ีโดยน�ำ ตัวแปรย่อยท่ีได้จากการรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์รวมให้ได้เป็นตัวบ่งชี้ โดยใช้วิธีการรวม ตัวแปรย่อย และการกำ� หนดนำ�้ หนกั ตัวแปรยอ่ ยตามท่ีไดน้ ยิ ามตวั บ่งช้ีไว้ 5.  การตรวจสอบคุณภาพของตัวบ่งชี้ (Quality Check)   การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อ ตรวจสอบคุณภาพของตัวบ่งช้ีที่พัฒนาข้ึนครอบคลุมถึงการตรวจสอบคุณภาพของตัวแปรย่อย และตัวบ่งชี้ด้วย โดยการตรวจสอบทั้งเร่ืองความเท่ียง (Reliability) ความตรง (Validity) ความ เป็นไปได้ (Feasibility) ความเป็นประโยชน์ (Utility) ความเหมาะสม (Appropriateness) และ ความเช่ือถือได้ (Credibility) ตัวบ่งช้ีท่ีมีคุณภาพซ่ึงจะใช้เป็นสารสนเทศในการบริหารและการจัดการระบบการ ศึกษานนั้ ควรมีคุณสมบตั ิทสี่ �ำคัญ 4 ประการ ดงั นี้ (UNESCO, 1993; Johnstone, 1981, อ้างถึงใน นงลกั ษณ์ วิรชั ชัย, 2551, หน้า 15)  1) มีความทันสมัย ทันเหตุการณ์ เหมาะสมกับเวลาและสถานที่ สารสนเทศที่ได้ จากตัวบ่งชี้ต้องสามารถบอกถึงสถานะ และแนวโน้มการเปล่ียนแปลง หรือสภาพปัญหาที่จะ เกิดข้ึนในอนาคตไดท้ ันเวลาเพอื่ ใหผ้ บู้ ริหารสามารถด�ำเนินการแกป้ ัญหาได้ทนั ท่วงที

428 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา 2) ตรงกับความต้องการหรือจุดมุ่งหมายของการใช้งาน ตัวบ่งชี้ที่สร้างขึ้นเพ่ือใช้ ในการก�ำหนดนโยบายการศึกษาไม่ควรจะมีลักษณะเป็นแบบเดียวกับตัวบ่งช้ีท่ีสร้างข้ึนมาเพ่ือใช้ ในการบรรยายสภาพของระบบการศึกษา แตอ่ าจจะมตี วั บง่ ชย้ี อ่ ยบางตัวเหมือนกนั ได้ 3) มคี ณุ สมบตั ติ ามคณุ สมบตั ขิ องการวดั คอื มคี วามตรงความเทย่ี งความเปน็ ปรนยั และใช้ปฏบิ ัตไิ ด้จริง คณุ สมบัติขอ้ น้มี คี วามส�ำคัญมาก ในการสรา้ งหรอื การพฒั นาตวั บ่งช้ีจงึ ตอ้ งมี การตรวจสอบคณุ ภาพของตัวบง่ ช้ีทุกครงั้ 4) มกี ฎเกณฑก์ ารวดั (Measurement rules) คอื มกี ฎเกณฑก์ ารวดั ทม่ี คี วามเปน็ กลาง มคี วามเปน็ ทว่ั ไป และใหส้ ารสนเทศเชงิ ปรมิ าณทใี่ ชเ้ ปรยี บเทยี บกนั ไดไ้ มว่ า่ จะเปน็ การเปรยี บเทยี บ ระหวา่ งจังหวดั ระหวา่ งเขตในประเทศใดประเทศหนง่ึ หรอื การเปรยี บเทยี บระหว่างประเทศ      ในทางปฏบิ ตั ิ นักวิจัยนยิ มตรวจสอบความตรงเชงิ โครงสรา้ ง (Construct validity) ของ ตัวบ่งชี้ท่ีพัฒนาขึ้นโดยใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory factor analysis)  โดยมีทฤษฎีหรือนิยามตัวบ่งชี้รองรับโมเดลแบบหนักแน่นเข้มแข็ง และสามารถตรวจสอบความ ตรงของโมเดลโดยพิจารณาจากความสอดคล้องระหว่างโมเดลตามทฤษฎีกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ดว้ ยโปรแกรมการวเิ คราะห์ข้อมูลลสิ เรล (LInear Structural RELationship : LISREL) นอกจากนี้ ยังนิยมตรวจสอบความตรงเชิงท�ำนาย (Predictive validity) และความตรงร่วมสมัย (Concurrent validity) โดยการใช้ผลการวัดด้วยเคร่ืองมือชนิดอ่ืนเป็นเกณฑ์ในการตรวจสอบ นักวิจัยหลายคน นยิ มตรวจสอบความตรงเชิงเนอ้ื หา (Content validity) โดยผู้เชย่ี วชาญ 6.  การน�ำเสนอรายงาน (Presentation) ขั้นตอนน้ีเป็นขั้นตอนหนึ่งในการพัฒนา ตวั บง่ ชที้ ม่ี คี วามสำ� คญั มากเพราะเปน็ การสอ่ื สาร (Communication) ระหวา่ งนกั วจิ ยั ทเ่ี ปน็ ผพู้ ฒั นา กับผู้ใช้ตัวบ่งช้ี หลังจากสร้างและตรวจสอบคุณภาพของตัวบ่งช้ีแล้ว นักวิจัยต้องวิเคราะห์ข้อมูล ให้ได้ค่าของตัวบ่งช้ีที่เหมาะสมกับบริบท (Context) โดยอาจวิเคราะห์ตีความแยกตามระดับเขต การศึกษา จังหวัด อ�ำเภอ โรงเรียน หรือแยกตามประเภทของบุคลากร หรืออาจวิเคราะห์ตีความ ในระดับมหภาค แล้วจึงรายงานค่าของตัวบ่งช้ี ให้ผู้บริโภค/ผู้บริหาร/นักวางแผน/นักวิจัย ตลอดจนนักการศกึ ษาทว่ั ไปไดท้ ราบและใชป้ ระโยชน์จากตวั บง่ ช้ีได้อยา่ งถูกต้องต่อไป 13.3 การพัฒนาโมเดลความสมั พนั ธ์เชงิ โครงสรา้ ง ในการพัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง (Structural relationship model) นั้น ผวู้ จิ ยั ตอ้ งอาศยั แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั เปน็ พนื้ ฐานอยา่ งหนกั แนน่ เขม้ แขง็ เพอื่ นำ� มาสนบั สนนุ การพัฒนาโมเดลความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างดังกล่าวให้มีความตรงเชิงโครงสร้าง (Construct validity) และความตรงเชิงเนอื้ หา (Content validity) ตง้ั แตเ่ ริ่มตน้ ดังน้ี 1. การอาศัยแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยเป็นพ้ืนฐาน ในการทบทวนวรรณกรรม ผวู้ จิ ยั ตอ้ งเนน้ ศกึ ษาและวเิ คราะหใ์ นเรอื่ งแนวคดิ ทฤษฎี และ งานวิจยั ท่เี กย่ี วขอ้ งกับเร่ืองทท่ี �ำวิจยั เพ่อื จะก�ำหนดองคป์ ระกอบ ตัวบง่ ช้ี นิยามเชิงปฏบิ ัติการของ ตัวบ่งชี้ และพฤติกรรมบ่งช้ีของตัวบ่งช้ี รวมทั้งน�ำไปสู่การสังเคราะห์องค์ประกอบและตัวบ่งช้ี สำ� หรบั ใชใ้ นโมเดลความสมั พันธเ์ ชิงโครงสรา้ งเพอ่ื เป็นกรอบแนวคดิ ในการวิจัยต่อไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook