Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

Published by supasit.kon, 2022-12-29 03:14:00

Description: การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

Search

Read the Text Version

Research in Educational Administration • 29 ปญั หาการวจิ ัยดังกล่าว อาจวิเคราะหส์ าเหตขุ องปัญหาได.้ ......ประการดังน้ี คอื 1) การ เตรยี มการสอนทไี่ มพ่ รอ้ ม 2) ความรทู้ คี่ รเู รยี นมาไมด่ พี อ 3)............................. 4) ............................ ....... 5).........................................จงึ ทำ� ใหเ้ กดิ ปญั หาดา้ น..............ตลอดระยะเวลาทผี่ า่ นมา ดงั นน้ั ผู้ วจิ ยั จงึ เลอื กสาเหตขุ องปญั หาประการแรกมาเปน็ พนื้ ฐานของการวจิ ยั และเชอ่ื มโยงกบั การตง้ั หวั ขอ้ วิจยั ในครั้งนโี้ ดยคิดว่าเปน็ สาเหตสุ �ำคัญของปัญหาการวจิ ยั ทตี่ ้องศึกษาหาทางกำ� จัดใหห้ มดสน้ิ ไป จากสภาพของตัวปัญหาข้างต้น ย่อมส่งผลกระทบต่อ................ อย่างชัดเจน และท่ี ส�ำคญั ยอ่ มส่งผลกระทบในดา้ นต่าง ๆ เชน่ ..................................................................................... 1.1.3 ความสำ� คัญของปัญหาการวจิ ัย ปัญหาเกี่ยวกับรูปแบบการสอนของครูส่วนใหญ่ที่ขาดประสิทธิภาพหลายด้านดังกล่าว ข้างตน้ ถอื ว่าเป็นปญั หาท่ี..................จะตอ้ งตระหนักและให้ความสำ� คัญ เพราะเปน็ เรื่องหรอื เป็น ประเด็นที่ได้ก�ำหนดไว้ในกฎหมายและเอกสารส�ำคัญท่ีเก่ียวข้องกับการศึกษา เช่น รัฐธรรมนูญ แหง่ ราชอาณาจักรไทย แผนการศกึ ษาแห่งชาติ ฯลฯ ดงั นี้ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2560 มาตรา... ไดก้ ำ� หนด......................................... ............................................................................................................................................ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 –2579 ได้ก�ำหนด....................................................... ............................................................................................................................................................ ขอ้ บงั คับครุ ุสภาว่าดว้ ยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. 2556 ไดก้ �ำหนด..................................... .................................................................................................................................................... มตคิ ณะรฐั มนตรเี หน็ ชอบให.้ ............................................................................................ .................................................................................................................................................... ปญั หาเรอ่ื งนี้ เปน็ ปญั หาเรง่ ดว่ นทคี่ วรทำ� วจิ ยั ถา้ ปลอ่ ยไวโ้ ดยไมท่ ำ� วจิ ยั และนำ� ผลวจิ ยั มา ใชแ้ กป้ ญั หา กจ็ ะเพม่ิ ความรนุ แรงหรอื อาจลกุ ลามบานปลายในวงกวา้ ง ซง่ึ จะยากตอ่ การแกไ้ ข หาก ไดท้ �ำวิจยั เรอ่ื งน้แี ล้วน�ำผลวจิ ยั มาใช้ จะชว่ ยแกป้ ญั หาอะไรบ้าง จากสภาพของปญั หา ผลกระทบ และความส�ำคัญของปัญหาดงั กลา่ วข้างตน้ ประกอบ กับจากการศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง พบว่ายังไม่มีผู้ใดได้เคยท�ำวิจัยเร่ืองน้ีมา ก่อน ผู้วิจัยในฐานะเป็น..................จึงสนใจท�ำวิจัยเร่ืองนี้เพื่อนำ� ผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางใน การแก้ปัญหาให้หมดไปหรืออย่างน้อยให้ลดลงและสามารถน�ำไปใช้ในการวางแผนและก�ำหนด นโยบายหรือแนวทางเกย่ี วกบั .................ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพต่อไป ตัวอยา่ ง 2 (ตวั อยา่ งเต็มรูปแบบ) บทท่ี 1 บทนำ� ปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัตน์ที่สังคมและเศรษฐกิจฐานความรู้ มีการเปลี่ยนแปลงเป็นไป อยา่ งรวดเร็ว การบริหารจดั การทกุ วชิ าชพี จำ� เป็นต้องปรับตัวอย่างมาก จงึ จะสามารถนำ� ไปสูค่ วาม ส�ำเร็จและความเจริญก้าวหน้าได้ การบริหารการศึกษาก็จ�ำเป็นต้องปรับเปล่ียนแนวทางในการ

30 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา ดำ� เนนิ การจงึ จะทำ� ใหก้ ารศกึ ษาบรรลเุ ปา้ หมายทก่ี ำ� หนดไว้ และเนอ่ื งจากวชิ าชพี ทางการศกึ ษาเปน็ วชิ าชพี ชนั้ สงู ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาจะตอ้ งเปน็ ผบู้ รหิ ารมอื อาชพี โดยใชข้ อ้ มลู จากการวจิ ยั ประกอบ การตัดสินใจและใช้นวัตกรรมทางการบริหารเป็นเครื่องมือในการบริหารที่มีประสิทธิภาพ จึงจะ ทำ� ให้บรรลุความสำ� เร็จได้ การวิจัยเร่ือง รูปแบบภาวะผู้น�ำทางจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ก. ครั้งน้ี เป็น สว่ นหนงึ่ ของการสนบั สนนุ การบรหิ ารการศกึ ษาในยคุ โลกาภวิ ตั น์ โดยในบทแรกนี้ ประกอบดว้ ย เนอ้ื หาสาระที่ส�ำคัญ 7 เรือ่ ง ไดแ้ ก่ 1) ความเป็นมาและความสำ� คัญของปัญหา 2) วัตถุประสงคก์ าร วจิ ยั 3) ค�ำถามวิจยั 4) ขอบเขตของการวิจัย 5) กรอบแนวคดิ การวจิ ยั 6) นิยามศัพท์เฉพาะ และ 7) ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะไดร้ ับ ซึง่ แต่ละประเด็นมีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี้ 1.1 ความเปน็ มาและความสำ� คญั ของปัญหา ในสว่ นน้ี อาจจำ� แนกออกไดส้ ามประเด็น ไดแ้ ก่ ความเป็นมาของปัญหาการวิจยั ปญั หา การวิจัย และความส�ำคัญของปัญหาการวจิ ัย โดยมรี ายละเอียดดงั จะนำ� เสนอตอ่ ไปน้ี 1.1.1 ความเป็นมาของปัญหาการวจิ ัย ในการบริหารสถานศึกษา ผู้บริหารและ/หรือผู้น�ำ จะต้องมีภาวะผู้น�ำทางจริยธรรมท่ี ผู้ตามยอมรับ เช่น การยึดถือความถูกต้องและประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นท่ีต้ัง การคุ้มครอง สวัสดิภาพ การปราบทุจริต การกระจายความเทา่ เทียมทางเศรษฐกิจ การเปิดกว้างรบั ฟงั ความคิด เห็นที่แตกต่างหลากหลาย การไม่ปล่อยปละละเลยอันจะท�ำให้เกิดวิกฤตจริยธรรมผู้น�ำ ฯลฯ ดัง นั้น เร่ืองจริยธรรม ถือเป็นองค์ประกอบส�ำคัญในการประพฤติปฏิบัติส�ำหรับผู้บริหารและ/หรือ ผนู้ ำ� ในสถานศกึ ษา ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งท่ีพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ เป็นพระดาบสอยู่ในหิมวันตประเทศอันน่ารื่นรมย์ได้กล่าวคาถาให้โอวาทแด่พระราชา (ผู้น�ำ) ใน เชิงเปรียบเทียบเก่ียวกับการประพฤติปฏิบัติของผู้น�ำที่มีอิทธิต่อผู้ตาม (ขุ. ชา. 27/634-637/151) โดยแสดงให้เห็นว่าถ้าผู้น�ำนำ� ไปในทิศทางท่ีตรง ผู้ตามก็จะไปตรง แต่ถ้าผู้น�ำน�ำไปในทิศทางที่คด ผู้ตามก็จะไปคดเช่นกัน ดังน้ัน ผู้น�ำจึงมีความส�ำคัญต่อผู้ตามเป็นอย่างมาก ถ้าผู้น�ำดีและน�ำผู้ตาม ไปในทศิ ทางทถ่ี กู ตอ้ ง จะทำ� ใหผ้ ตู้ ามประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ปในทางทถี่ กู ตอ้ งดว้ ย แตต่ รงกนั ขา้ ม ถา้ ผนู้ ำ� ไมด่ แี ละนำ� ผตู้ ามไปในทศิ ทางทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง กจ็ ะทำ� ใหผ้ ตู้ ามประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ปในทางทไ่ี มถ่ กู ตอ้ งดว้ ย ดังนั้น ผู้น�ำที่น�ำผู้ตามไปในทิศทางที่ถูกต้อง จึงมีความส�ำคัญ เพราะจะส่งผลต่อผู้ตามท่ีจะ ไม่ประพฤติปฏิบัติที่ผิดทางหรือออกนอกลู่นอกทาง นอกกฎหมาย นอกกรอบแห่งระเบียบวินัย ดังคำ� กลา่ วที่วา่ “ถ้าหัวไม่ส่าย หางก็จะไมก่ ระดิก” นน่ั หมายความวา่ ถา้ หวั หน้าหรือผู้นำ� ไม่ทำ� ชั่ว ลกู นอ้ งหรอื ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชากจ็ ะไมก่ ลา้ ทจ่ี ะทำ� ชว่ั เชน่ กนั ผนู้ ำ� ทม่ี ลี กั ษณะดงั กลา่ ว เรยี กวา่ ผนู้ ำ� ทมี่ ี ภาวะผนู้ ำ� เชงิ จรยิ ธรรม เมอื่ ผนู้ ำ� มภี าวะผนู้ ำ� เชงิ จรยิ ธรรมซง่ึ เปน็ ขอ้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ ำ� หรบั ผนู้ ำ� แลว้ ก็จะท�ำใหผ้ ู้ตามหรือสงั คมสามารถอยรู่ ว่ มกนั ได้อยา่ งมคี วามสงบสขุ กรอบแห่งจรยิ ธรรมดงั กลา่ ว ในทางพระพุทธศาสนา เรยี กว่า “ไตรสกิ ขา” โดยมอี งคป์ ระกอบสามอย่างคือ ศีล (ความประพฤติ ปฏบิ ัติดี) สมาธิ (ความม่งุ มนั่ ) และปญั ญา (ความรอบรู้)

Research in Educational Administration • 31 ส�ำหรับการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา ก. ซึ่งผู้บริหารเป็นบุคคลส�ำคัญในการ กำ� หนดบทบาทของครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา เพอื่ รองรบั การเปลย่ี นแปลงใหม่ ๆ ในการปฏริ ปู การศกึ ษาตามพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ผบู้ รหิ ารควรมภี าวะผนู้ ำ� เชงิ จรยิ ธรรม โดยผบู้ รหิ ารควรมภี าวะผนู้ ำ� ทดี่ ีมกี ารพฒั นาคณุ ภาพการบรหิ ารจดั การใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพและตอบ สนองตอ่ ความตอ้ งการของผรู้ บั บรกิ ารไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ แตจ่ ากการศกึ ษาสภาพทเ่ี ปน็ จรงิ ในปจั จบุ นั พบวา่ การน�ำหรอื การบรหิ ารจัดการในสถานศกึ ษา ก. ยังไมม่ ปี ระสทิ ธิภาพและไมส่ อดคลอ้ งกบั ภาวะผนู้ �ำเชิงจรยิ ธรรมในหลาย ๆ เร่ือง จงึ ทำ� ใหเ้ กิดชอ่ งวา่ งเปน็ ปัญหา คือ การน�ำหรอื การบริหาร ท่ีผดิ พลาดอันไมก่ อ่ ให้เกดิ ประโยชน์แกส่ ถานศกึ ษาและทำ� ให้เกิดความเสียหายต่อภาพลกั ษณข์ อง บุคลากร องค์การ เเละราชการ 1.1.2 ปญั หาการวจิ ยั จากการน�ำหรือการบริหารจัดการท่ีผิดพลาดอันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สถานศึกษา และท�ำให้เกิดความเสยี หายต่อภาพลักษณข์ องบคุ ลากร องค์การเเละราชการดังกลา่ วขา้ งต้น ผวู้ จิ ยั จึงก�ำหนดประพจน์ของปัญหาการวิจัย (Statement of the research problem) คือ ผลการน�ำหรือ การบริหารงานท่ีผิดพลาดในสถานศึกษา ก. อันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สถานศึกษาและท�ำให้ เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของบุคลากร องค์การเเละราชการ ตัวอย่างเช่น มีการฟ้องศาล ปกครองที่สะท้อนความล้มเหลว (Torchgroup, 2013) มีคดีพิพาทเก่ียวกับการที่เจ้าหน้าท่ีกระทำ� การโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ศาลปกครองสูงสุด, 2554) มีกรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากมติ สถานศึกษาและค�ำสั่งผู้บริหารท่ีไม่ได้ปรับฐานเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรี (มติชน ออนไลน์, 2556) เหล่านี้เป็นต้น ล้วนสร้างปัญหาความขัดแย้งในองค์การ ท�ำให้แตกความสามัคคีในหมู่ คณะท่ีอยู่ร่วมกัน ท�ำให้บรรยากาศการปฏิบัติงานต่าง ๆ ในองค์การเสียไป ไม่ราบร่ืน ไม่สามารถ ท�ำงานเป็นทีมได้ เพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ร่วมงานอย่างเป็นเอกภาพ จึงไม่ประสบ ความสำ� เร็จตามเปา้ หมายของสถานศึกษา ปญั หาการวิจยั ดังกล่าว อาจวิเคราะห์สาเหตุของปญั หาได้ 4 ประการดงั นี้ คอื 1) ขาด ภาวะผู้น�ำเชิงจริยธรรม 2) ขาดการน�ำเกณฑ์คุณภาพภาครัฐมาใช้กับการบริหารจัดการอย่างเต็ม รูปแบบ 3) ขาดการประยุกต์ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เหมาะสม 4) ความรับผิดชอบ ต่อสงั คมยงั ไม่ดพี อ และ 5) การบริหารจดั การยงั ไมม่ ปี ระสทิ ธภิ าพเท่าทคี่ วร จงึ ทำ� ใหเ้ กิดปญั หา ด้านการบริหารจัดการของสถานศึกษาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเลือกสาเหตุของ ปัญหาประการแรกมาเป็นพื้นฐานของการวิจัยและเชื่อมโยงกับการต้ังหัวข้อวิจัยในครั้งนี้โดยคิด วา่ เปน็ สาเหตุส�ำคัญของปัญหาวจิ ัยท่ีต้องศึกษาหาทางกำ� จดั ใหห้ มดสน้ิ ไป จากสภาพของตัวปัญหาข้างต้น ย่อมส่งผลกระทบต่อภาวะผู้น�ำเชิงจริยธรรมของ ผบู้ รหิ ารในสถานศกึ ษา ก. อยา่ งชดั เจน และทสี่ ำ� คญั ยอ่ มสง่ ผลกระทบในดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ ความเชอื่ มน่ั ในตัวของผูน้ �ำ สภาพเศรษฐกิจ สังคม หรอื คุณภาพของนกั เรียน ฯลฯ โดยไมอ่ าจหลกี เล่ยี งได้ นอกจากน้ี จะเกิดผลเสียด้านการบริหารจัดการท่ีไร้คุณภาพและส่งผลกระทบในเชิงลบแก่ สถานศึกษา ก. เอง ซึ่งจะท�ำให้ภาพลักษณ์ของบุคลากรและองค์การเกิดความเสียหาย ท�ำให้

32 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา บรรยากาศขององค์การเสียไป ไม่เป็นผลดีต่อสถานศึกษา ก. และของประเทศในภาพรวม และ จะนำ� มาซง่ึ ความเสอ่ื มศรทั ธาของผใู้ ชบ้ รกิ ารและผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ทวั่ ไปทเี่ คยมตี อ่ สถานศกึ ษา ก. 1.1.3 ความส�ำคัญของปัญหาการวิจยั ปัญหาเก่ียวกับจริยธรรม ถือว่าเป็นปัญหาที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องตระหนักและ ให้ความที่ส�ำคัญ เพราะเป็นเรื่องหรือเป็นประเด็นท่ีได้ก�ำหนดไว้ในกฎหมายและเอกสารส�ำคัญ ท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แผนการศึกษาแห่งชาติ ฯลฯ ดังนี้ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2560 มาตรา 258 กำ� หนดใหด้ ำ� เนนิ การ ปฏริ ปู ประเทศในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผล หนง่ึ ในนน้ั เป็นด้านการศึกษา และได้พูดถึงระบบคณุ ธรรม ในการบรหิ ารงาน ในขอ้ (3) คอื ใหม้ กี ลไกและระบบการผลติ คดั กรองและพฒั นาผปู้ ระกอบวชิ าชพี ครูและอาจารย์ ให้ได้ผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ได้รับ คา่ ตอบแทนทเี่ หมาะสมกบั ความสามารถและประสทิ ธภิ าพในการสอน รวมทงั้ มกี ลไกสรา้ งระบบ คณุ ธรรมในการบริหารงานบุคคลของผูป้ ระกอบวชิ าชีพครู แผนการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2570 เปน็ แผนระยะยาว 20 ได้ก�ำหนดวัตถปุ ระสงค์ ในการจดั การศกึ ษาสปี่ ระการหนง่ึ ในนนั้ ใหค้ วามสำ� คญั กบั คณุ ธรรมจรยิ ธรรมคอื เพอื่ พฒั นาสงั คม ไทยให้เปน็ สังคมแหง่ การเรยี นรูแ้ ละคุณธรรม จริยธรรม ข้อบังคับครุ สุ ภาวา่ ดว้ ยมาตรฐานวชิ าชพี พ.ศ. 2556 ข้อ 7 ไดก้ ำ� หนด มาตรฐานความรู้ ของผปู้ ระกอบวชิ าชพี ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาไวเ้ จด็ ประการ ซง่ึ หนง่ึ ในนน้ั ไดแ้ ก่ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณ มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานเข้าร่วมรับการประเมิน คุณธรรมและความโปร่งใสในการด�ำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 – 2560 ตามท่ีส�ำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ปัจจุบัน การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการ ด�ำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ได้ถูกก�ำหนดเป็นกลยุทธ์ท่ีส�ำคัญของยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ซ่ึงถือเป็นการยกระดับให้ การประเมนิ คณุ ธรรมและความโปรง่ ใสในการดำ� เนนิ งานของหนว่ ยงานภาครฐั ใหเ้ ปน็ “มาตรการ ปอ้ งกนั การทจุ รติ เชงิ รกุ ” ทหี่ นว่ ยงานภาครฐั ทวั่ ประเทศจะตอ้ งดำ� เนนิ การ โดยมงุ่ หวงั ใหห้ นว่ ยงาน ภาครัฐท่ีเข้ารับการประเมินได้ผลการประเมินและแนวทางในการพัฒนา และยกระดับหน่วยงาน ในดา้ นคณุ ธรรมและความโปร่งใสในการดำ� เนินงานได้อยา่ งเหมาะสม ปัญหาเร่ืองน้ี เป็นปัญหาส�ำคัญเร่งด่วนท่ีควรท�ำวิจัย ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ท�ำวิจัยและน�ำ ผลวจิ ยั มาใชแ้ กป้ ญั หากจ็ ะเพม่ิ ความรนุ แรงหรอื อาจลกุ ลามบานปลายในวงกวา้ งและนำ� มาซง่ึ ปญั หา วิกฤตศรัทธาด้านตา่ ง ๆ ท่นี ่าเป็นกังวลอยา่ งย่ิง เช่น ปัญหาวกิ ฤตศรทั ธาทผี่ ้มู ีสว่ นได้สว่ นเสยี มตี ่อ ผู้บริหารหรือผู้น�ำสถานศึกษา ปัญหาวิกฤตศรัทธาต่อบทบาททางสังคมของสถานศึกษา ปัญหา วกิ ฤตศรทั ธาตอ่ การจดั การศกึ ษาทไ่ี ดค้ ณุ ภาพมาตรฐานสากลฯลฯ ซง่ึ จะยากตอ่ การแกไ้ ข หากไดท้ ำ� วจิ ยั เรอ่ื งนแี้ ลว้ นำ� ผลวจิ ยั มาใช้จะชว่ ยแกป้ ญั หาดา้ นการบรหิ ารงานทผี่ ดิ พลาดและดา้ นวกิ ฤตศรทั ธา

Research in Educational Administration • 33 ต่อผู้บริหารหรือผู้น�ำ เป็นการเสริมสร้างการเป็นผู้น�ำท่ีดีและมีภาวะผู้น�ำเชิงจริยธรรม สามารถ เป็นต้นแบบให้แก่ผู้ตามได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ การน�ำผลการวิจัยไปใช้ จะเป็นแนวทางในการ ดำ� เนนิ งานดา้ นการบรหิ ารจดั การในสถานศกึ ษา ปรบั ปรงุ ระบบกลไก แนวทาง กระบวนการเดมิ ๆ ใหไ้ ดม้ าตรฐานโดยคำ� นงึ ถงึ ความเปน็ คน ศกั ดศิ์ รคี วามเปน็ มนษุ ย์ จติ วญิ ญาณ ความเขา้ ใจ และความ เหน็ อกเหน็ ใจซงึ่ กนั และกนั เปน็ ทยี่ อมรบั และศรทั ธาของบคุ ลากร ผใู้ ชบ้ รกิ าร และผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ น เสียโดยรวม ภายใต้ภาวะผู้นำ� เชงิ จริยธรรม อนั จะเป็นประโยชนร์ ่วมกนั ในวงกว้าง จากสภาพของปญั หา ผลกระทบ และความสำ� คญั ของปญั หาดังกลา่ วข้างตน้ ประกอบ กบั จากการศกึ ษาคน้ ควา้ เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งพบวา่ ยงั ไมม่ ผี ใู้ ดไดเ้ คยทำ� วจิ ยั เรอื่ งนมี้ ากอ่ น ผู้วิจัยในฐานะเป็นบุคลากรในสถานศึกษา จึงสนใจท�ำวิจัยเร่ือง รูปแบบภาวะผู้น�ำทางจริยธรรม ของผู้บริหารสถานศึกษา ก. เพื่อน�ำผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาให้หมดไปหรือ อย่างน้อยให้ลดลงและสามารถน�ำไปใช้ในการวางแผนและก�ำหนดนโยบายหรือแนวทางเก่ียวกับ การพฒั นาภาวะผู้นำ� ทางจรยิ ธรรมของผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพตอ่ ไป กล่าวโดยสรุป ในการวิจัยเชิงปริมาณตามท่ีได้น�ำเสนอมาข้างต้นนั้น ผู้วิจัยควรศึกษา และท�ำความเข้าใจเก่ียวกับช่ือเรื่องและบทน�ำท่ีผู้วิจัยจะต้องเขียนออกมาเป็นรายงานการวิจัยใน บทที่ 1 อย่างถูกต้องและมคี ณุ ภาพ ซ่ึงประเด็นท่ผี ู้วจิ ยั ควรศึกษาและท�ำความเข้าใจก่อนเขียนออก มาเป็นรายงานการวิจัยบทท่ี 1 อยา่ งถกู ตอ้ งและมคี ุณภาพนั้น ประกอบดว้ ยเนือ้ หาสาระทส่ี �ำคัญ 18 เรือ่ ง ไดแ้ ก่ 1) การตั้งช่ือเรอื่ งวจิ ัย 2) การกำ� หนดปัญหาการวจิ ยั 3) ปัญหาการวจิ ัยอยทู่ ีไ่ หน 4) ลักษณะของปัญหาการวจิ ัยท่ีดี 5) ตัวอยา่ งปญั หาการวิจยั 6) การกำ� หนดเรอ่ื งเพือ่ การทำ� วิจัย 7)หลกั เกณฑก์ ารตง้ั ชอ่ื เรอ่ื งวจิ ยั 8)ความเปน็ มาและความสำ� คญั ของปญั หาการวจิ ยั 9) วตั ถปุ ระสงค์ การวิจยั 10) คำ� ถามการวจิ ยั (หรอื โจทย์วิจยั ) 11) สมมตฐิ านการวจิ ยั 12) กรอบแนวคดิ การวิจัย 13) ขอบเขตของการวจิ ยั 14) นยิ ามศัพท์เฉพาะ 15) ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รบั 16) แนวทางการ เขยี นความเปน็ มาและความสำ� คญั ของปญั หาการวจิ ยั 17) คำ� ถามทผ่ี วู้ จิ ยั ตอ้ งตอบ และ 18) ตวั อยา่ ง การเขียนความเป็นมาและความส�ำคญั ของปัญหา ตามที่ได้น�ำเสนอมาแลว้ ขา้ งต้นน้นั ดว้ ย ตอนที่ 2.3 การทบทวนวรรณกรรมท่เี กย่ี วข้อง การทบทวนวรรณกรรมทเี่ กย่ี วขอ้ ง คอื การทบทวนวรรณกรรมทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั เรอ่ื งทวี่ จิ ยั หรือปัญหาการวิจยั มคี วามสำ� คัญและเปน็ ประโยชน์ต่อผวู้ ิจัยเปน็ อยา่ งมาก เพราะจะชว่ ยให้ผู้วิจยั ไดร้ วบรวมเนื้อหาทีไ่ ดจ้ ากการทบทวนวรรณกรรมมาวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และสรุป สำ� หรบั นำ� มา ใชเ้ ป็นแนวทางในการด�ำเนินการวจิ ัย ในตอนท่ี 2.3 นี้ จะนำ� เสนอเนอ้ื หาสาระที่ส�ำคญั 5 เรอ่ื ง ไดแ้ ก่ 1) ความหมายของการ ทบทวนวรรณกรรม 2) ประโยชนข์ องการทบทวนวรรณกรรม3)จดุ เนน้ ในการทบทวนวรรณกรรม 4) การวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และสรุปตัวแปรท่ีศึกษา และ 5) แนวทางการเขยี นรายงานการวจิ ยั ที่ ได้จากการทบทวนวรรณกรรม โดยมรี ายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี 1. ความหมายของการทบทวนวรรณกรรม ได้มีนักวิชาการชาวไทยและชาวต่างประเทศจ�ำนวนมากให้ความหมายของการทบทวน

34 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา วรรณกรรม แตส่ ว่ นใหญ่แล้วจะสอดคลอ้ งกนั ดงั ตัวอย่างต่อไปน้ี Ethridge (2004) ไดใ้ หค้ วามหมายของการทบทวนวรรณกรรมว่า เป็นการศกึ ษาเอกสาร ท่ีเกยี่ วขอ้ งกับเร่อื งท่ีผวู้ ิจัยทำ� วิจัย ซึ่งมที งั้ ท่เี กยี่ วขอ้ งโดยตรงและโดยอ้อม เอกสารที่น�ำมาทบทวน นน้ั อาจเป็นงานวจิ ยั ในรูปของรายงานการวิจยั หรอื บทความวจิ ัย บทความวชิ าการ หรือตำ� ราทาง วิชาการต่าง ๆ ก็ได้ การทบทวนงานของผู้อ่ืนจะช่วยให้ผู้วิจัยหาประเด็นท่ีจะท�ำการวิจัย แนวคิด หรือกรอบแนวคิดในการวิเคราะห์ ตลอดจนวิธีการวิจัย หรือวิธีด�ำเนินการวิจัยได้ชัดเจนข้ึน การทบทวนวรรณกรรมจะช่วยให้ผู้วิจัยทราบสถานภาพ (Status) ขององค์ความรู้ ณ ปัจจุบัน (Current status of knowledge) ของเรื่องทีจ่ ะท�ำการวจิ ยั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ส่วน บุญใจ ศรีสถิตย์นรากูร (2553, หน้า 30) ได้ให้ความหมายของ “การทบทวน วรรณกรรม” โดยแยกเป็น “วรรณกรรม” และ “การทบทวนวรรณกรรม” ไว้ ดงั นี้ วรรณกรรม(Literature) หมายถงึ สง่ิ ทถี่ กู บนั ทกึ ไวใ้ นสอื่ ตา่ งๆเพอื่ เผยแพรส่ สู่ าธารณชน ซง่ึ สอ่ื ทใี่ ชบ้ นั ทกึ อาจเปน็ วดี ทิ ศั น์ เทป ฐานขอ้ มลู ซดี รี อมและสอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ โดยอาจบนั ทกึ ใน รูปของตำ� รา เอกสาร รายงานการวจิ ยั วทิ ยานิพนธ์ บทความวชิ าการ และปริทศั น์ อย่างไรกต็ าม ส่ิงท่ีบันทึกในเอกสารที่น�ำมาใช้เป็นหลักฐานส�ำหรับการอ้างอิงหรือใช้อ้างอิง (Reference) นั้น จะต้องเป็นส่ิงบันทึกท่ีได้ศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบ พร้อมท้ังมีช่ือผู้บันทึกหรือชื่อผู้ที่มีลิขสิทธ์ิ ของสงิ่ ทบ่ี นั ทกึ ดว้ ย สว่ นการทบทวนวรรณกรรม (Review Literature) หมายถงึ การสบื คน้ ขอ้ มลู แนวคดิ หรอื ทฤษฎี และเนอ้ื หาทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั เรอ่ื งทวี่ จิ ยั หรอื หวั ขอ้ วจิ ยั ทศี่ กึ ษา หรอื ปญั หาการวจิ ยั โดยการสบื คน้ จากสอื่ และเอกสารวชิ าการ เชน่ ตำ� รา วารสารวชิ าการ รายงานการวจิ ยั วทิ ยานพิ นธ์ และฐานข้อมลู ของเครอื ขา่ ยอนิ เตอร์เนต็ ฯลฯ กลา่ วโดยสรปุ การทบทวนวรรณกรรม เปน็ การทบทวนสง่ิ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั เรอ่ื งทวี่ จิ ยั หรอื ปญั หาการวจิ ยั โดยเนน้ การสบื คน้ ขอ้ มลู ทเี่ ปน็ แนวคดิ และทฤษฎี จากสอ่ื และเอกสารวชิ าการ เชน่ ต�ำรา วารสารวชิ าการ รายงานการวจิ ัย บทความวิจัย บทความวิชาการ วทิ ยานิพนธ์ และฐานข้อมูล ของเครอื ขา่ ยอินเตอรเ์ น็ต ฯลฯ 2. ประโยชน์ของการทบทวนวรรณกรรม ไดม้ นี กั วชิ าการหรอื นกั วจิ ยั จำ� นวนมากทก่ี ลา่ วถงึ ประโยชนข์ องการทบทวนวรรณกรรม เช่น บุญใจ ศรีสถิตย์นรากูร (2553, หน้า 37-38) นงลักษณ์ วิรัชชัย (2557) ฯลฯ แต่อาจกล่าว โดยสรปุ ไดว้ า่ การทบทวนวรรณกรรม มปี ระโยชนใ์ นการทำ� ใหผ้ วู้ จิ ยั ไดเ้ นอ้ื หาสาระในกระบวนการ ตา่ ง ๆ ของการวิจัย แล้วน�ำมาวเิ คราะห์ เพ่ือสงั เคราะห์และสรุปสำ� หรับใชเ้ ป็นแนวทางการด�ำเนิน การวิจัย ดังนั้น การทบทวนวรรณกรรมถือว่าเป็นข้ันตอนที่มีความส�ำคัญในกระบวนการวิจัย เรม่ิ ต้ังแต่ 1) คน้ หาปัญหาการวจิ ยั 2) คดั เลอื กตัวแปร 3) ระบสุ มมติฐาน 4) ก�ำหนดกรอบแนวคดิ 5) ออกแบบการวิจัย 6) สุม่ ตวั อยา่ ง 7) พัฒนาเครื่องมอื 8) รวบรวมขอ้ มลู 9) การใช้สถิติวเิ คราะห์ และ 10) การอภิปรายผล ซ่ึงสามารถสรุปประโยชน์ของการทบทวนวรรณกรรมที่มีต่อผู้วิจัยใน กระบวนการวจิ ัย ดงั ภาพที่ 2.3

Research in Educational Administration • 35 10.ออภภิปปิรารยาผยลผล 1. ปกัญรอหบาทกฤาษรฎวี ิจัย 2ป.ัญตหัวาแกปารร 9. ววเิ คเิ ครราะาหะ์ห์ กวกวารารรรรรทณทณบบกกททรรววรรมนมน ขข้อ้ มูลูล วิจยั 8.รรววบบรวรมวม 6. กแาบรบสกมุ่ าตรวัวิจอยั ย่าง ขข้อมมูลลู 3. สตมวั มแปตรฐิ าน 7. เเคครรื่อือ่งมงือมอื 4. กสรมอมบตแิฐนานวคิด 5. กากราอรอสุ่กมแบบ กตาวั รอวยิจา่ งยั ภาาพพทท่ี ่ี22..33 ปปรระะโโยยชชนน์ข์ขอองงกกาารรททบบททววนนวรวรณรณกรกรรมรทม่ีมทีตมี่ ่อตี ผ่อูว้ ผิจวู้ ยั จิใยันทุก ๆ ข้นั ตอนของกระบวนการวิจยั ที่มมาา..บปุญรใับจปศรรุงีจสาถกิตยบน์ ุญรใาจกรู ศ(ร25ีส5ถ3ติ, หย์นรา้ า3ก8รู) (2553, หน้า 38) โดยภาพรวม อาจกล่าวได้ว่า การทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องนั้น มีประโยชน์ต่อ ผู้วิจัยในขโด้ันยตภอานพตรว่ามง ๆอาจขกอลง่ากวรไะดบว้ า่วกนากราทรบวทิจวัยนเกวือรรบณทกุกรขรม้ันทตี่เอกน่ียวขถอ้ืองวน่า้นั เปม็นีปขรั้นะโตยอชนท์ต่อีสผ�ำวู้คิจัญยั ใน ทวงุกจๆรกขา้นั รตวอิจนยั ทขอน่ี งกั กวริจะยั บทวกุนคกนารคววิจรยั ทำ�ถอือยว่าา่ งเปย็่งินขเพ้นั ่ือตใอหน้ไทด่ีสก้ ารคอญับใแนนววงคจิดรกสา�ำรหวริจับยั ทกา่ีนรกั ววิจิจัยยั ทไดุกน้ควนตัคกวรรทมา อแยล่าะงไยด่ิง้แเนพวื่อทใหาง้ไใดหก้ มรท่ อเี่ บหแมนาะวสคิดมสกาวห่างราับนกวาจิ รยั วใิจนยั อไดดีตน้ วตั กรรม และไดแ้ นวทางใหม่ท่ีเหมาะสมกว่า แงแแาลลลนะะะวผงผิจลาลยั งนใงาวนานนจิอโ3ว3โัยดว.ดิจ.ดทยิจีตยัจยจทัยเ่ีทกดุทุดท3ั่ว่ีเี่ยเกวเ่ั.3นไเ่ีน1ว่ีกยไป.้้น1นขวปย่ี กขอ้ใใวผาน นผอก้ขงรู้วกูวง้กาคอ้ิจิราจานแ้ัยงรคยัรลตคทแตทน้ ะ้อวบลอ้บคมา้งทะงเวกทัคกมควา้แ้น่ียวนน้เักบกวนคแวคก่งยี่ ววรบวเบวัปร้ารา้่งกต็เรนณเอเอบัวัปณกก3แกตน็รกสปสสวั รราร3่แาวมรรทรนปสมทท่ีใร่วดชี่เี่เทกกนงัใ้ ่ียี่ใ่ีนยนชดวว้ีกใ้ขงัขานน้อรอ้ กวง้ีงาจิททรยั้้ังงั วหหใจิ นมมยั ปดดใรนโโะดดปเยดยรมมน็ะีจีจเเกดุดุด่ียน็เเนวนเกก้น้นบยัี่ ไไวแปปกนททบัวี่แี่แคแนนิดนวววทคคคฤิดิดดิ ษทททฎฤีฤฤแษษษลฎฎฎะี ีี งานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง3.2 การค้นคว้าเกี่ยวกับวิธีการสร้างเครื่องมือวัดตัวแปร โดยเฉพาะตัวแปรแฝง (Latent variable) ซึ่งเครือ่ งมือต้องตรงตามโครงสร้างของตวั แปร (Construct variable) 3.3 การคน้ คว้าเก่ยี วกบั สถติ ขิ ัน้ สูงที่ใช้ เชน่ Factor analysis Path analysis ฯลฯ ควรแสดงแนวคิดของสถิติโดยสรุป เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ (ไม่ต้องละเอียดเพราะสถิติเช่นนี้ต้องใช้ โปรแกรมสำ� เรจ็ รปู ชว่ ยในการวเิ คราะห)์

สถิติโดยสรุป เพือ่ ใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจ (ไม่ตอ้ งละเอียดเพราะสถิติเช่นน้ีตอ้ งใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูปช่วย 36 • การวจิ ัยทางการวบเิ รคหิ ราาระกหาร์)ศกึ ษา 4. การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และสรุปตัวแปรที่ศึกษา 4. การวเิ คราะห์ สเังมเื่คอรทาบะหท์วแนลวะรสรณุปตกัวรแรปมรแทล่ศีว้ ึกใษหา้ผูว้ ิจยั วิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปเป็ นตวั แปร เมอ่ื ทบสทาวหนรวับรรนณากมรารใมชแ้เลป็ว้ นใแหนผ้ วู้ จิทยั าวงเิ คใรนากะหาร์ สดงั าเคเนริานะกหา์ แรลวะิจสัยรโปุ ดเปยน็กตาหวั แนปดรเทปศี่็ นกึ กษราอบแนวคิด(Con สfr�aำmหรewับoนr�ำkม)ก5าข.าใอรชแงเ้เนขผปียfว้วู ็rนนทิจaแmัยรานเงาeอยกwวงงาทoารrนาเkขงก)ใยีก5าขนน.ารอกรวรแงเาิจานขผรยัยียววู้ดงทนทจิา�ำ่ีไยนัราเดนเงากอ้จกยินาางงารกกราวกานเิจขรากยัรียวาททินจรัยีไ่บรวดโาทิจดยจ้ ยัวยงาทนกกาี่ไนวก�ำดรหกาจรร้านณทารดกวบกเกิจปทราัยรว็นรทมนทก่ไี วบดรรโอ้จทดรบาวยณกแนปกกนวการรวรตรรทคิมณจิดบะกทเ(ขรCวรียนoมนnวรcรโาeรยดpณงtยuากปaนรกlรตมิ จะเขียนรายงา ไว้ในบทที่ 2 ของรบาทยงทาี่น2กขาอรงวรจิ าัยยงกานารกเขารียวนิจรยัายกงานรเใขนียบนทรนาย้ี งเาปน็นใกนาบรแทสนด้ี งเปศ็กันยกภาารพแขสอดงผศู้วกั จิ ยยั ภวาา่ พของผวู้ ิจยั ว่า มีม มีมากน้อยเพียงใดเหพรียืองไใมด่หเพรือรไาะมต่ เ้อพงรศาึกะตษอ้าคงศ้นึกคษวา้ คขน้อมควูลา้เอขกอ้ สมาูลรเอแกลสะงาารนแลวิจะัยงาทน่ีเกวี่ยิจวยั ขท้อี่เกงี่ยจว�ำนขอ้วงนจานวนมาก แนว มแมบาากเ่งขหียแัวนขน้อมวทิใดชางั ่นงนก�ำ้ี าท5รเเฤ.ขขเ1ขษ ียียียฎนนแนีมนททมา่ีดวิใ่ีดเีคนขชีนิดี้ยนั่เั้นอนทาผ่ีเทกซผวู้ ฤ่ียึ่งจิู้ว5ษใวยิจั น.ขฎตัย1กตอี้มอ้ าแ้องงารวนเงขเวาวขวียงิธาียคหนงีกนิดหวัาซทขัวรม่ึง่ีขเอเ้ กขีหใ้อหน่ียียลหลวนกักลกัขาแอักแร้อนยลเแงขู่ววละีย่าคหะนิดหเววัมนขิมธัวื่อีั้นขอกี้หผย้อาลู้วรผอ่ยกัิจเูย่อ้วขอัยไิยจียทยวไัยนวู่วบล้ต่า้ลแ่วท้อ่วนเงวมงหงวนนื่อหนควผ�ำนิดา้แรวู้ ้านรโนิจดณ้โยันัวดยทคกยมผบิดรมีูวว้ รทเีวธิิทจมวิธีกยั่าแนีกตานลรวาอ้ั้นะรแรงบรนณ่งาหเกอวัราขรแอ้มนแดวลงัคะนิดพ้ี เทบ พบว่า ผู้ใดเขียนหเขรียือนพหูดรไือวพ้อูดย่ไางวไอ้ รยห่างรไือรใหร้คือวใาหม้คหวมาามยหไวม้อายไ่าวงอ้ไรยา่ กง็ไใหร้นก�็ำใมหา้นเขามียานเขไวีย้อนยไ่าวงอ้ นยั้นา่ งน้นั โดยเขียนตา โดยเขียนตามล�ำดับจจากากแแนนววคคิดิดเกเก่า่าๆๆมมาถาถึงึงแแนนววคคิดิดใใหหมม่ ่ๆๆ เก่า ใหม่ พพร้อรม้อทมั้งทอ้งั ้าองา้ องิงอิงแหล่งที่มาอยา่ ง แสเกหดุ ยี่ ทลวขง่า้ ทยอ้ ่มีงผทา้วู องั้ิจหยยั า่ตมงอ้ดชงม5ดั สตทา.เ2จเรา้งัข นมปุหยีทแตไนมวฤบาแดด้มษบลม้วแฎะยAาบีทปเPขบ่ีรเAกียะAน่ียมSPวแวt5Ayขลล.l2้อละeSงปง(tทไAyรวฤlmะวeใ้ ษนมิธe(ฎหrวีAกiีทลcวัาmaรลขี่เneกเอ้งrข่ียPไiนีcยวsวa้ีนซyขใ้nc้ทงนึ่อhPทงฤหosฤlษyวัoษวcขฎgิธhฎiอ้ีนcีoกนี นalั้นาoนั้l้ีรgซAตเผi่ขึงcอs้ ู้วsaทียงิoจlนผฤcัยAา่iทษตaนsฎฤt้อsiกooีษนงาcnน้รฎนัiaSพี�นำตttทiสิ้นัyอo้ ฤจูlnงeนผษผ)Sูว้แ์่าฎtแิจนลyีตลยัlะกe่าะตย)างสออ้รุดมๆแพงนทรลิสทบัะาาู้จยที่ นฤผ์แวูษ้ ลจิ ฎะยั ีตยต่าออ้ งมงๆสรับรทุปก่ีเไนัก กนั มาเป็นอย่างดแี อลยว้ า่ โงดดยีแมลีหว้ ลโกั ดใยนมกีหาลรเกั ขใียนนกเชาร่นเขเดียยี นวเกชับ่นกเดาีรยเวขกียบั นกแานรวเขคียดิ นแนวคิด มเแปลา็นเ้วขเยีรซนื่อ่ึงงเปมใหใิน็ ชมผน่ ่ลๆำ� งบา55ปทนซใบ..ร43คทห่ึทงะ ดัีเ่เมคกมปงบย่ัด่ยีา็านๆอ่รนณวยิมบผขว่ปอาทล้อจิ5มรเขงขยังาะาปยีกทเอมนขนีบัเี่งาียยกทเพณน้รอยี่่ีเ5ก้ืือ่นนว5.ี่ยงข3ทหทวปอ้ ี่ทลขีงี่ทงัง่ียศาอ้�ำใน้อึกวงหนวนกจิษรหิจยับัหาือวััยเนอลขรทใ่ืยังำ�นออ้ เ่ีม่ากงนหหงาย่ีท้ีมัเวรผวขี่ทือาขวู้ขยี กาจิอ้อ้นอวยัยนงไิจสต่ามยี้ัรอ้งใเ่คปุมปนงนวคไา็านหวรกน้มก้เวั กอคาไขาเิยนวมขรอ้ า่า้่คเียนงผป1นวน้0ลี ิดผรส้องโปวูเ้ายรกอิจนีุปินกแ1ยัวไ5ตลาจิ1ว-สอะ้ยั20้ นองใท0ปหคยิยม่ี เี น่ร้า้มผผีแงื่อคูน้วอู้ลนงวิจนื่�ำะ้อาบั้โยนไผดยดทิยลเยท้1ขสมตง5ำ�ียรานอ้ ไ-นนุป2วงา0้วบิจเทรยั ่ืสอทงร่ีมุปโีผมดอู้ ายื่นเตขไอ้ดียงทน้ เปา สรุปเก่ียวกับสภาพแวดล้อมหรือส5ภ.4าพบทร่ัวิบไปทขขอองงพพื้น้ืนทที่ท่ีที่ที่ศ�ำกึ าษราศึกใษนาหเัวชข่น้อจนะ้ี เทป�ำ็ นวิจกัยาทรเี่จปังิ ดหโวอัดกาสให้ผูว้ ิจัย เขีย กนบัคเรรปือ่ ฐงมทีจ่กะ็คทว�ำรวสจิ รยัเกปุ เี่ยสพวภอื่ กาใบัพหสพผ้ ภ้อู้ืนาา่ ทพนี่ไแมววอ้อดงยลเา่ หงอ้ น็สมัน้ภหารๆพือกพสวรภา้อ้ างมพๆทท้งัหว่ั กไรลปือ่าขถวอา้เชทงพ่อื�ำวม้นื จิ โทัยย่ีททงกี่ทหี่ ับานกป่วาญั ยรงหศาึกานตษา่กาง็ใเหชๆ่นส้ ทรจ่ีเปุกะ่ยีภทวาาขรวกอ้ จิ ิจงยั ท่ีจงั หวดั นครปฐ และกจิ กรรมของหน่วยงานนน้ั ไวด้ ว้ ย กล่าวโดยสรุป การทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้องในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ การ ทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้องกับเร่ืองที่วิจัยหรือปัญหาการวิจัย ประกอบด้วยเน้ือหาสาระท่ี ส�ำคัญ 5 เรือ่ ง ได้แก่ 1) ความหมายของการทบทวนวรรณกรรม 2) ประโยชน์ของการทบทวน วรรณกรรม 3) จุดเน้นในการทบทวนวรรณกรรม 4) การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปตัวแปร ที่ศึกษา และ 5) แนวทางการเขียนรายงานการวิจัยท่ีได้จากการทบทวนวรรณกรรม นอกจากน้ี ผู้วิจัยควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการเขียนรายงานการวิจัยที่ได้จากการ ทบทวนวรรณกรรม ทงั้ นี้ เพราะการทบทวนวรรณกรรมทเี่ ก่ยี วข้องในการวจิ ยั เชงิ ปริมาณ มีความ

Research in Educational Administration • 37 สำ� คญั และเปน็ ประโยชนต์ อ่ ผวู้ จิ ยั เปน็ อยา่ งมากในแงท่ จ่ี ะชว่ ยใหผ้ วู้ จิ ยั ไดร้ วบรวมเนอื้ หาทไ่ี ดจ้ ากการ ทบทวนวรรณกรรมมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรปุ สำ� หรับนำ� มาใช้เป็นแนวทางหรอื ทศิ ทางใน การด�ำเนินการวิจยั อยา่ งมีประสิทธภิ าพต่อไป ตอนที่ 2.4 วธิ ีดำ� เนินการวิจยั ในตอนท่ี 2.4 นี้ เป็นเร่ืองเกี่ยวกับวิธีด�ำเนินการวิจัย ซึ่งถือว่ามีความส�ำคัญเป็น อยา่ งมาก ประกอบดว้ ยเนื้อหาสาระที่ส�ำคัญ 6 เรื่อง ไดแ้ ก่ 1) ข้ันตอนการวจิ ัย 2) การออกแบบ การวจิ ยั 3) ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 4) เครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั 5) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และ 6) การวเิ คราะหข์ อ้ มลู และสถติ ทิ ีใ่ ช้ โดยมีรายละเอียดดงั ต่อไปนี้ 1. ข้ันตอนการวจิ ยั ขนั้ ตอนการวิจัย (Steps of Research) โดยขัน้ ตอนการวจิ ัยจะมนี อ้ ยหรอื มาก ข้ึนอย่กู บั เรอื่ งและวตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจัยนนั้ ๆ ตวั อย่างขนั้ ตอนการวิจัยท่มี ี 3 ขนั้ ตอน เช่น ตอนที่ 1 การศกึ ษาองคป์ ระกอบ ตอนท่ี 2 การพฒั นารูปแบบ ตอนที่ 3 การประเมินและรับรองรูปแบบ ซ่ึงแต่ละขั้นตอน ผู้วิจัย ต้องการจะท�ำอะไร อย่างไร ด้วยวิธีการใด ให้เขียนบอก รายละเอยี ดใหช้ ดั เจน 2. การออกแบบการวจิ ยั บางศาสตร์/บางสาขาไม่นิยมใช้ค�ำว่า การออกแบบการวิจัย (Research Design) แต่จะ ใช้ค�ำว่า ระเบียบวิธีวิจัย (Research Methodology) ยังเป็นท่ีถกเถียงกันว่า Research Design กับ Research Methodology เป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ หรือว่า Research Design เป็นส่วนหนึ่ง ของ Research Methodology หรอื Research Methodology เปน็ สว่ นหนงึ่ ของ Research Design หรือว่า Research Methodology กับ Research Design เป็นประเด็นท่ีต่างกัน แต่เป็นกระบวน การท่ีต่อเน่ืองกัน แต่โดยหลักการแล้ว Research Design และ/หรือ Research Methodology ต่างก็เป็นวิธีหาค�ำตอบที่อยากทราบ ซ่ึงเขียนไว้ในวัตถุประสงค์ของการวิจัยน้ัน ๆ อย่างไรก็ตาม ในที่น้ี ขอใช้คำ� ว่า การออกแบบการวจิ ยั (Research Design) โดยมีนยิ าม ดงั น้ี การออกแบบการวิจัย (Research Design) หมายถึง การระบุประเภทและแบบการวิจัย (Type and Design) และการออกแบบแนวทางการวิจัย (Approach) ทั้งนี้เพอ่ื ให้ได้มาซงึ่ ค�ำตอบ หรือขอ้ ความรูต้ ามปัญหาการวจิ ยั ทตี่ ้ังไว้ การออกแบบการวิจัยที่ดี ตอ้ งท�ำใหไ้ ด้ผลวจิ ัยทต่ี รงตาม ข้อเท็จจริง น่าเชื่อถือ มีความตรงภายใน (Internal Validity) และความตรงภายนอก (External Validity) (บญุ ใจ ศรสี ถติ ยน์ รากรู , 2553, หนา้ 89) โดยมขี น้ั ตอนในการออกแบบการวจิ ยั 2 ขน้ั ตอน คือ 1) การระบุประเภทและแบบของการวิจัย และ 2) การออกแบบแนวทางการวิจัย โดยมี รายละเอยี ด ดงั นี้

38 • การวิจัยทางการบริหารการศกึ ษา 2.1 การระบุประเภทและแบบการวจิ ยั ผู้วจิ ัยตอ้ งระบปุ ระเภทและแบบการวจิ ยั ให้ เหมาะสมกับเร่ืองทวี่ จิ ัย ปญั หาการวิจยั วัตถปุ ระสงคก์ ารวิจัย และค�ำถามการวจิ ัย (ถา้ ม)ี ประเภท ของการวจิ ยั ดงั กล่าวมีหลายประเภท ขึน้ อยกู่ บั เกณฑ์ที่นำ� มาใช้ เชน่ แบง่ ตามวิธกี ารวิจยั แบ่งตาม วัตถุประสงคก์ ารวิจัย แบง่ ตามลักษณะข้อมลู ฯลฯ งานวจิ ยั เรอ่ื งหนึ่ง อาจเขา้ ข่ายงานวจิ ยั ประเภท ใดประเภทหนงึ่ หรอื เขา้ ขา่ ยงานวจิ ยั มากกวา่ หนงึ่ ประเภท ตวั อยา่ งประเภทของงานวจิ ยั (ขนึ้ อยกู่ บั เกณฑ์การแบ่ง หรอื แง่มมุ ของการมองว่า จะมองในแง่มุมไหน หรืออย่างไร) มดี งั นี้ 1) แบง่ ตามวธิ กี ารวจิ ยั โดยแบง่ เปน็ การวจิ ยั เชงิ ประจกั ษ์ (Empirical Research) และการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ าร (Action research) การวจิ ยั เชงิ ประจกั ษเ์ ปน็ การวจิ ยั ทนี่ ำ� ทฤษฎที มี่ อี ยใู่ น ศาสตรน์ นั้ ๆ มาประยกุ ตใ์ ชก้ บั ขอ้ มลู หรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ซง่ึ เกดิ ขน้ึ หรอื ทมี่ อี ยู่ เพอ่ื ทดสอบวา่ ทฤษฎนี นั้ ใชไ้ ดห้ รอื ไม่สว่ นการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเปน็ การวจิ ยั ทผี่ วู้ จิ ยั ทำ� ในสถานทที่ ที่ ำ� งานของตนเพอื่ นำ� ผล การวจิ ยั มาปรบั ปรงุ งานใหด้ ขี นึ้ ในทางการศกึ ษาเรยี กวา่ การวจิ ยั ในชน้ั เรยี น (Classroom research) มวี ตั ถุประสงคเ์ พือ่ น�ำผลวจิ ยั มาใชแ้ ก้ปญั หาในช้นั เรยี น ผู้ทำ� วจิ ัยก็คือ ครู หรืออาจารย์ 2) แบ่งตามวัตถุประสงค์การวิจัย โดยแบ่งเป็นการวิจัยแบบบริสุทธ์ิ (Pure Research) หรอื เรยี กวา่ การวจิ ยั พนื้ ฐาน (Basic Research) และการวจิ ยั ประยกุ ต์ (Applied Research) การวิจัยแบบบรสิ ทุ ธ์ิ หรือ การวจิ ยั พ้ืนฐาน เป็นการวิจัยทีม่ ุง่ แสวงหาความรู้ใหม่ หรือสรา้ งทฤษฎี ใหม่โดยไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะน�ำผลการวิจัยไปใช้ในทันที ส่วนการวิจัยประยุกต์ เป็นการวิจัยท่ี มงุ่ เน้นการนำ� ผลวิจยั ไปใช้ประโยชน์ในทนั ที 3) แบ่งตามความมุ่งหมายในการท�ำวิจัย โดยแบ่งเป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) และการวจิ ยั เชงิ อรรถาธบิ าย (Explanatory Research) การวจิ ยั เชงิ พรรณนา เป็นการวิจัยท่ีมุ่งศึกษาปรากฏการณ์น้ัน ๆ เท่าน้ัน ไม่มีวัตถุประสงค์ท่ีจะอธิบายว่าปรากฏการณ์ น้ันเกิดขึ้นได้อย่างไร ส่วนการวิจัยเชิงอรรถาธิบาย เป็นการวิจัยที่มีวัตถุประสงค์ในการอธิบายว่า เหตุใดจึงเกดิ ปรากฏการณ์น้ีขึ้นและปรากฏการณ์น้เี ป็นอยา่ งไร 4) แบ่งตามวิธีการเก็บข้อมูล โดยแบ่งเป็นการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) หรือการวิจัยห้องสมุด (Library Research) และการวิจัยจากการสังเกต (Observation Research) การวิจัยเอกสาร เป็นการวิจัยที่มีวิธีเก็บข้อมูลโดยอาศัยหลักฐานจากเอกสารท่ีตีพิมพ์ ในรปู แบบตา่ ง ๆ ซง่ึ เปน็ ขอ้ มลู ประเภททตุ ิยภมู ิ อาจเรียกวา่ การวิจยั หอ้ งสมุด (Library research) เพราะแหล่งข้อมูลท่ีผู้วิจัยต้องท�ำการศึกษาค้นคว้าส่วนใหญ่เป็นห้องสมุด ส่วนการวิจัยจาก การสงั เกตเปน็ การวจิ ยั ทผี่ วู้ จิ ยั ทำ� การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยวธิ กี ารสงั เกต การวจิ ยั ประเภทนใ้ี ชม้ าก ทางดา้ นมานษุ ยวทิ ยาซงึ่ สว่ นใหญเ่ ปน็ การสงั เกตพฤตกิ รรมของบคุ คลในสงั คมในแงข่ องสถานภาพ (Status) และบทบาท (Role) 5) แบง่ ตามลกั ษณะของขอ้ มลู โดยแบง่ เปน็ การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) การวิจัยเชิงปริมาณ เป็นการวิจัย โดยวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นตัวเลข ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการวิจัยโดยใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพท่ี รวบรวมได้จากแหลง่ ตา่ ง ๆ

Research in Educational Administration • 39 6) แบ่งตามการจัดกระท�ำ (Manipulation) โดยแบ่งเป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) การวิจยั แบบไมท่ ดลอง (Non-experimental Research) การวิจัยแบบ ไม่ทดลอง เป็นการวิจัยที่ศึกษาสภาพที่เป็นไปตามธรรมชาติ โดยไม่มีการจัดกระท�ำหรือควบคุม ตวั แปรใด ๆ สว่ นการวจิ ยั เชงิ ทดลองเปน็ การวจิ ยั ทมี่ งุ่ ศกึ ษาความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลหรอื ศกึ ษาอทิ ธพิ ล ของตวั แปรอสิ ระหรอื ตวั แปรจดั กระทำ� (Treatment) ทม่ี ผี ลตอ่ ตวั แปรตาม โดยมกี ารควบคมุ ตวั แปร แทรกซอ้ น ส่วนแบบการวิจัย อาจแบ่งในภาพรวมของการวิจัยท้ังหมดเป็น 2 แบบ ได้แก่ 1) แบบไม่ทดลอง (Non-experimental Design) และ 2) แบบทดลอง (Experimental Design) ผูว้ จิ ัย ต้องเลือกแบบการวิจัยให้สอดคล้องและเหมาะสมกับการวิจัยเร่ืองน้ัน ๆ เพ่ือให้ได้มาซึ่งค�ำตอบ หรือขอ้ ความรู้ตามปัญหาการวจิ ยั ทตี่ ัง้ ไว้ 2.2 การออกแบบแนวทางการวิจัย การออกแบบแนวทางการวิจัย ประกอบด้วย 1) การออกแบบการสมุ่ ตวั อยา่ ง (Sampling Design) 2) การออกแบบการวดั ตวั แปร (Measurement Design) และ 3) การออกแบบการวเิ คราะห์ข้อมูล (Analysis Design) โดยมรี ายละเอียด ดงั น้ี 2.2.1 การออกแบบการสุ่มตัวอย่าง (Sampling Design) มีวิธีด�ำเนินการ ซึ่งประกอบดว้ ย 1) การจดั ทำ� กรอบการสมุ่ หรือกรอบตวั อยา่ ง (Sampling frame) 2) การกำ� หนด วธิ กี ารสุม่ และ 3) การใชห้ ลกั เกณฑ์ในการสมุ่ ตวั อยา่ งท่ดี ี ดงั นี้ 1) การจัดท�ำกรอบการสุ่ม หรือกรอบตัวอย่าง (Sampling frame) หมายถึง การจัดท�ำหน่วยตัวอย่างทุกหน่วยให้มีรายช่ือหรือรหัสประจ�ำตัวของหน่วยตัวอย่างให้ ครบทุกหน่วย เพื่อให้หน่วยตัวอย่างทุกหน่วยมีโอกาสเท่าเทียมกันในการท่ีจะได้รับการสุ่มเป็น กลมุ่ ตวั อยา่ ง นน่ั คอื การกำ� หนดขอบเขตของประชากรทง้ั หมดทตี่ อ้ งการศกึ ษาใหช้ ดั เจนโดยทำ� ให้ มรี ายช่ือหรือรหัสประจำ� ตวั อยา่ งไรก็ตาม หากประชากรมขี นาดใหญ่มากและกระจดั กระจายตาม แหล่งตา่ ง ๆ รวมทั้งไมม่ ีฐานข้อมลู สำ� หรบั จดั ท�ำข้อมลู อยา่ งเปน็ ระบบ กค็ งไมส่ ามารถจัดทำ� กรอบ การสุ่มหรือกรอบตัวอย่างที่มีรายช่ือหรือรหัสประจ�ำตัวของหน่วยตัวอย่างให้ครบถ้วนทุกหน่วย (บุญใจ ศรีสถติ ย์นรากรู , 2553, หนา้ 185) 2) การกำ� หนดวธิ กี ารสมุ่ วธิ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ งในการวจิ ยั โดยทว่ั ไปทนี่ ยิ ม ใช้กันมอี ยู่ 2 วธิ ี ไดแ้ ก่ วธิ กี ารสมุ่ ตวั อย่างแบบอาศัยความนา่ จะเป็น (Probability sampling)  และ 2) วธิ ีการสุ่มตวั อยา่ งแบบไม่อาศยั ความน่าจะเปน็ (Non-probability sampling) โดยมรี ายละเอียด ดงั น้ี 2.1) การสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น (Probability sampling) เป็นการสุ่มตัวอย่างโดยสามารถก�ำหนดโอกาสที่หน่วยตัวอย่างแต่ละหน่วยจะได้รับ การส่มุ  หรอื สมาชกิ ทุก ๆ หน่วยของประชากรมโี อกาสอย่างเท่าเทยี มกันทจี่ ะเป็นตวั แทนทดี่ ขี อง ประชากร การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบนี้ จะท�ำให้ข้อมูลที่รวบรวมจากกลุ่มตัวอย่าง สามารถน�ำมา ทดสอบนยั สำ� คัญทางสถติ ิท่ีใช้สถติ ิเชงิ อ้างอิง แลว้ อ้างองิ ผลการวจิ ัยไปสู่ประชากรของการวจิ ยั ได้ มวี ธิ ีการส่มุ 5 แบบ ดงั นี้ (Nachmias and Nachmias,1993, pp. 177-185 )

40 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา (1) การสุ่มอย่างง่าย  (Simple random sampling) เป็นการสุ่ม ตัวอย่างจากหน่วยย่อยของประชากรที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน โดยเปิดโอกาสให้หน่วยย่อยของ ประชากรทกุ หน่วยมสี ิทธไ์ิ ดร้ บั การเลอื กเท่า ๆ กัน อาจมจี ับฉลากหรอื ใช้ตารางเลขสุ่ม (Random number table) หรอื ใชค้ อมพวิ เตอร์สรา้ งเลขสมุ่ จนไดก้ ลุ่มตัวอยา่ งประชากรครบตามตอ้ งการ วิธีจับฉลาก นิยมใช้กับประชากรขนาดเล็ก และต้องการจำ� นวน ตัวอย่างน้อย ๆ โดยมีขั้นตอนการด�ำเนินการ ดังนี้ 1) ก�ำหนดหมายเลขประจ�ำตัวให้แก่สมาชิก ทุกหนว่ ยในประชากร 2) น�ำหมายเลขประจ�ำตัวของสมาชกิ มาจัดทำ� เปน็ ฉลาก 3) จบั ฉลากข้นึ มา ทลี ะหมายเลขจนกระทัง่ ครบจ�ำนวนกล่มุ ตัวอยา่ งทีต่ ้องการ โดยฉลากที่จับมาแลว้ จะตอ้ งน�ำใสค่ ืน เพ่ือให้จ�ำนวนประชากรท่ีสุ่มมีจ�ำนวนเท่าเดิม ส่งผลให้เกิดความเท่าเทียมกันในการได้รับการสุ่ม เปน็ กลุ่มตัวอยา่ ง แต่ในกรณที ่ีไมใ่ สค่ ืน ก็จะท�ำใหก้ ลุ่มตวั อยา่ งมีโอกาสมากข้นึ ในการสุ่ม วิธีใช้ตารางเลขสุ่ม นิยมใช้กับประชากรท่ีมีขนาดใหญ่ ซ่ึงมี รายช่ือทุกหน่วยย่อยของประชากรไว้แล้ว โดยก�ำหนดหมายเลขประจ�ำหน่วยย่อยของประชากร จาก 1 ถึง N และก�ำหนดหลักเกณฑ์การใช้ตารางเลขสุ่ม แล้วอ่านจากซ้ายไปขวา หรือจากบน ลงล่าง เพื่อท�ำการสุ่มหมายเลขกลุ่มตัวอย่างตามหลักเกณฑ์ท่ีก�ำหนด ถ้าได้หมายเลขซ้�ำก็ตัดออก จนไดจ้ ำ� นวนครบตามที่ตอ้ งการ สำ� นักงานสถิติแหง่ ชาติ (ม.ป.ป., หน้า 10) กลา่ ววา่ ตารางเลขสุ่ม เป็นตารางท่นี กั สถติ ิจัดท�ำขึน้ ในตารางประกอบดว้ ยตวั เลขโดด 10 ตัว มคี ่าต้ังแต่ 0, 1, 2,…., 9 วาง ตอ่ ๆ กันแบบไมม่ ลี ำ� ดับหรือไม่เปน็ ระบบ ในการเลอื กแตล่ ะคร้ัง เลขแตล่ ะตัวที่ปรากฏในตาราง เลขสมุ่ จะมโี อกาสทจ่ี ะไดร้ บั เลอื กเทา่ ๆกนั ซงึ่ การเลอื กหนว่ ยตวั อยา่ งโดยใชต้ ารางเลขสมุ่ นี้สามารถ ใช้วิธีแบบไม่มีการแทนที่/ใส่คืน (Sampling without replacement) หรือ แบบใส่คืน (Sampling with replacement) ก็ได้ ตารางเลขสุ่มมีผู้สร้างไว้หลายชุด แต่ตารางเลขสุ่มที่นิยมใช้ เป็นตาราง Ten Thousand Randomly Assorted Digits ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 10,000 ตัว มีแถวนอน (Row) 100 แถว คอื แถวที่ 00-99 และแถวตั้งหรือสดมภ์ (Column) 100 แถว คอื สดมภท์ ี่ 00-99 เม่ือรวมตัวเลขแถวนอนและแถวตั้งทั้งหมดจะได้ 10,000 ตัว จึงเรียกตารางเลขสุ่มแบบนี้ว่า ตาราง Ten Thousand Randomly Assorted Digits ซ่ึงทางด้านซ้ายและหัวตารางจะมีตัวเลข ก�ำกับเพ่ือบอกต�ำแหน่งของแถวและสดมภ์ ในแต่ละแถวจะแบ่งตัวเลขเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5 ตัว ในการใช้ตารางเลขสุ่มมีวิธีการหลายแบบ คือ ท�ำการสุ่มแถว (Row) และสุ่มสดมภ์ (Column) เพ่ือก�ำหนดตัวเลขเริ่มต้น แล้วอ่านเลขจากซ้ายไปขวาหรือจากขวามาซ้าย หรือเรียงข้ึนลงใน แนวต้ังกไ็ ด้ ส�ำหรับวิธีการใชต้ ารางเลขส่มุ แบบ Ten Thousand Randomly Assorted Digits น้นั อาจด�ำเนนิ การได้ ดงั น้ี (ส�ำนักงานสถติ แิ ห่งชาต,ิ ม.ป.ป., หนา้ 11-14) 1) ให้หมายเลขแก่หนว่ ยทกุ หน่วยในประชากรจาก 1 ถงึ N 2) พจิ ารณาวา่ N เป็นเลขกห่ี ลัก หาก N เป็นเลข 2 หลกั ให้อ่าน เลขส่มุ ทีละ 2 ตวั หรือ N เป็นเลข 4 หลัก กใ็ ห้อ่านเลขสุม่ ทลี ะ 4 ตัว

Research in Educational Administration • 41 3) ก�ำหนดเกณฑ์การใช้ตารางเลขสุ่ม : หาตัวเลขเร่ิมต้นก่อน โดยการสุ่มช้ีเลขในตารางเลขสุ่ม 2 หลักมา 2 จ�ำนวน เพื่อเป็นแถว (Row) เริ่มต้น และสดมภ์ (Column) เริ่มต้น เมื่อได้ตัวเลขเริ่มต้นแล้ว อ่านเลขจากซ้ายไปขวา (หรือจากขวามาซ้าย หรือ เรียงข้ึนลงในแนวตงั้ กไ็ ด้ เมอ่ื จบแถวให้ข้ึนแถวใหมต่ อ่ ไป ตามลำ� ดบั 4) อ่านตัวเลขจากต�ำแหน่งเร่ิมต้นที่สุ่มได้จากข้อที่ผ่านมา ให้มีจ�ำนวนหลักเท่ากับจ�ำนวนหลักของ N หากตัวเลขท่ีได้ตรงกับหน่วยใด หน่วยนั้นก็จะ ได้รับเลือกเป็นตัวแทนในตัวอย่าง ถ้าเลขท่ีได้เป็น 0 หรือ เกินเลขท่ีสุดท้ายในประชากร (N) ให้ ตดั ออก หรอื ถ้าไดเ้ ลขซำ้� ๆ กนั ในกรณีทเ่ี ป็นการเลือกตัวอย่างแบบไม่แทนที่ (Sampling without replacement) ก็ให้ตัดออก โดยดำ� เนินการจนครบตามขนาดตวั อย่างที่กำ� หนด n ตัวอย่าง ต้องการเลือกครัวเรือนตัวอย่างจ�ำนวน 7 ครัวเรือน จากครวั เรือนทัง้ สน้ิ 50 ครวั เรอื น โดยใชต้ ารางเลขสุ่ม ผวู้ ิจัยสามารถด�ำเนินการดังนี้ 1) ให้หมายเลขแก่ครวั เรือนต้ังแต่ 01 , 02 , 03 ,…, 49 , 50 2) สุ่มช้ีลงในตารางเลขสุ่มเพ่ือเลือกแถวและสดมภ์เร่ิมต้น ส�ำหรับเริ่มต้นเลือกหน่วยตัวอย่างหน่วยแรก สมมติว่าสุ่มได้ 41180 เลือกเลขสองหลักมา 2 จ�ำนวน จะได้ 41 กับ 18 น่ันคือ ตัวแรกเร่ิมต้นจะอยู่ท่ีแถวนอน (Row) ท่ี 41 และสดมภ์ (Column) ที่ 18 ดงั แสดงในตารางท่ี 2.1 ตารางท่ี 2.1 ตารางเลขสุ่ม 00 -04 05-09 10-14 15-19 20-24 25-29 00 54463 22662 65905 70639 79365 67382 01 15389 85205 18850 39226 42249 90669 02 85941 40756 82414 02015 13858 78030 03 61149 69440 11286 88218 58925 03638 04 05219 81619 10651 67079 92511 59888 05 41471 98326 87719 92294 46614 46614 06 28357 94070 20652 35774 16249 16249 07 17783 00115 10806 83091 91530 91530 08 40950 84820 29881 85966 62800 62800 09 82995 64157 66164 41180 10089 10089 41180 จากหมายเลขน้ี 41 เป็นแถวเรม่ิ ต้น และ 18 เปน็ สดมภ์เรมิ่ ตน้ 3) อา่ นตวั เลขจากตำ� แหนง่ เรมิ่ ตน้ จากขอ้ 2) โดยเรม่ิ ทลี ะ2 หลกั เนื่องจาก N มีคา่ เท่ากบั 50 ซ่งึ เปน็ เลขสองหลกั โดยอ่านตวั เลขไปทางขวา ตามตวั เลขที่แสดงใน ตารางที่ 2.1

ϱϮ  42 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา ตารางที่ 2.1 ตารางเลขสุ่ม (ต่อ) สดมภท์ ี่ 18 00 -04 05-09 10-14 15-19 20-24 25-29 30-34 35-39 40-44 45-49 00 54463 22662 65905 70639 79365 67382 ..... ..... ..... ..... 01 15389 85205 18850 39226 42249 90669 ..... ..... ..... ..... 02 85941 40756 82414 02015 13858 78030 ..... ..... ..... ..... 03 61149 69440 11286 88218 58925 03638 ..... ..... ..... ..... 04 05219 81619 10651 67079 92511 59888 ..... ..... ..... ..... 05 41471 98326 87719 92294 46614 46614 ..... ..... ..... ..... 06 28357 94070 20652 35774 16249 16249 ..... ..... ..... ..... 07 17783 00115 10806 83091 91530 91530 ..... ..... ..... ..... 08 40950 84820 29881 85966 62800 62800 ..... ..... ..... ..... 09 82995 64157 66164 41180 10089 10089 ..... ..... ..... ..... .. ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... .. ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... .. ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... .. ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... .. ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... ..... 40 79152 53829 77250 20190 56535 18760 69942 77448 33278 48805 แถวท่ี 41 41 44560 38750 83635 56540 64900 42912 13953 79149 18710 68618 42 68328 83378 63369 71381 39564 05615 42451 64559 97501 65747 43 46939 83689 58625 08342 30459 85863 20781 09284 26333 91777 44 83544 36141 15707 96256 23068 13782 08467 89469 93842 55349 79149 18710 68618 4) อ4า่)น ตอวั่านเลตขัวไเปลทขาไงปขทวาางไขดวเ้าลขไดดงั้เลนข้ี ด40งั น6้ี4490006442990102 4123991523 1739915493 18710 68618 5) แบ่งตัวเลขเป็น 2 หลกั ไดเ้ ลขดงั นี้ 40 64 90 04 29 12 13 95 37 91 49 18 71 06 86 51)8แบ่งตวั เลขเป็น 2 หลกั ไดเ้ ลขดงั น้ี 40 64 90 04 29 12 13 95 37 91 49 18 71 06 86 18 6) ให้พิจารณาดูว่าตัวเลขในข้อ 5 ตัวเลขใดมีค่าเท่ากับ 00 และ 5มค0่าาใเกหดกียต้ ววดั ่าเตท5วั า่0เนลใขนั้หนต้ ้นั ดั ทติ้งวั เลดขงั นน้นััน้ ทจ6ะ้ิง)เหใด7หล)ัง ือพ้นตถิจ้นั วัา้าเรตจลณะัวขเาเดหลดงั ลขูวนา่อืท้ีตตี่สว4ั วั ุ่0เมลเลเข0ลขใ4ือดนก2งัข9มนอ้ าี้ 15ไ42ด0ต้ม1วั 03ีคเ4ล่า3ขท27ใ่ีซ9ด4�้ำม91กีค2ันา่1เ8ท1ใ3่าหก้ต3บั 7ัด0ท04ิ้ง9แไปล1ะ8มใ0ชา6ก้เพกียวงา่ 8) หากใช้ตารางเลขสุ่มจนหมดแถวนอน (Row) ที่เลือกไว้ แต่ยงั ไดต้ ัวอยา่ งไมค่ รบตามท่ตี ้องการ ก็ใหข้ นึ้ แถวใหม่ต่อไป 9) ดังน้ัน หมายเลขครัวเรือนท่ีถูกเลือกท่ีได้จากตารางเลขสุ่ม จำ� นวน 7 ครัวเรือนตัวอยา่ ง ได้แก่ ครัวเรอื นตวั อย่างที่ 40 04 29 12 13 37 49 18 06

Research in Educational Administration • 43 (2)  การสุ่มแบบเป็นระบบ (Systematic random sampling) เป็น การสุ่มตัวอยา่ งโดยมรี ายช่ือของทุกหนว่ ยประชากรมาเรียงเป็นระบบตามบญั ชีเรยี กชอื่ การสมุ่ จะ แบง่ ประชากรออกเปน็ ชว่ ง ๆ ทเี่ ทา่ กนั อาจใชช้ ว่ งจากสดั สว่ นของขนาดกลมุ่ ตวั อยา่ งและประชากร แล้วสุ่มประชากรหน่วยแรก ส่วนหน่วยต่อ ๆ ไป นับจากช่วงสัดส่วนที่ค�ำนวณไว้ หรือเป็นการ สุ่มท่ีก�ำหนดให้มีหน่วยตัวอย่าง 1 หน่วย แล้วเว้นไปตามล�ำดับที่แน่นอน โดยด�ำเนินการตาม ขนั้ ตอนดงั นคี้ อื 1) กำ� หนดหมายเลขประจำ� หนว่ ยตามบญั ชรี ายชอ่ื ของประชากร (Sampling frame) 2) คำ� นวณช่วงของการสุม่ (N/n) 3) ทำ� การสมุ่ หาตวั ส่มุ เรม่ิ ต้น (Random start) และ 4) นับหนว่ ย ของตัวอย่างโดยนับไปตามช่วงของการสุ่ม (Random interval) ตัวอย่างเช่น ต้องการสุ่มหลังคา เรอื นใน 30 หลังคาเรือน จากประชากรท้งั หมด 300 หลงั คาเรอื น ชว่ งของการสมุ่ จึงเป็น 300/30 เทา่ กบั 10 ดงั นน้ั จงึ สมุ่ ทกุ ๆ 10 หลงั คาเรอื น เอามา 1 หลงั คาเรอื น โดยเมอื่ สมุ่ ประชากรหนว่ ยแรก จากประชากร 10 หลงั คาเรอื นแรก สมมติว่าได้หมายเลข 003 หลงั คาเรอื นที่สองทตี่ กเป็นตวั อยา่ ง จึงไดแ้ ก่ หมายเลข 013 ส�ำหรบั คนที่สามและคนตอ่ ๆ ไป จะไดห้ มายเลข 023 , 033 , 043 , … , 293 รวมกล่มุ ตัวอย่างประชากรทงั้ สน้ิ 30 หลังคาเรือน ฯลฯ (3)  การสมุ่ แบบชนั้ ภูมิ (Stratified random sampling) เปน็ การส่มุ ตัวอยา่ งโดยแยกประชากรออกเป็นกล่มุ ประชากรยอ่ ย ๆ หรอื แบง่ เปน็ พวกหรือช้ันภมู ิ (Stratum) กอ่ น โดยหนว่ ยประชากรในแตล่ ะชนั้ หรอื ชน้ั เดยี วกนั จะมลี กั ษณะเหมอื นกนั  (Homogeneous) แต่ ตตัว่างอชยั้นา่ งกตันามจะสมัดีลสัก่วษนณขอะงตข่านงกาดันกอลยุ่ม่างตชวั ัดอเยจ่านงแ   ลแะลก้วลส่มุ ุ่มปอรยะ่าชงางก่ารยตหามรสอื ัดอสาจ่วกนลเา่พว่ือไดให้วา่้ไดเป้จ�ำน็ นกวานรϱสกϰุ่มลุท่ม่ี แบ่งประชากรออกเปน็ สว่ น ๆ ตามชนั้ ภมู ิ แลว้ สมุ่ ด้วยวธิ ีการสุ่มชนิดอน่ื อกี คร้งั เช่น แบ่งเป็นกล่มุ อายุ สูง กลาง ต�ำ่ แลว้ สมุ่ มาทกุ กลมุ่ โดยวธิ สี ุม่ อยา่ งงา่ ยตามสดั สว่ น ดภู าพประกอบท่ี 2.4 ϭϵϭϳϮϱ  สมุ่ อย่างง่าย   สมุ่ อย่างง่าย  ϮϭϬϭϴϮϲ สมุ่ อย่างงา่ ย ------------------  ϯϭϭϭϵϮϳ จดั กล่มุ ประชากร สมุ่ อย่างง่าย  ϰϭϮϮϬϮϴ หรอื จาแนกชนั้ ภมู ิ  ϱϭϯϮϭϮϵ    ϲϭϰϮϮϯϬ ------------------      ------------------  ϳϭϱϮϯϯϭ   ϴϭϲϮϰϯϮ แเหตมต่ ือ่านงกกนั นั รภะาหยวในา่ งกกลล่มุ มุ่ เดียวกนั ทภภา่ีมพาาพ.ททส่ี ี่ า22ย..44นั ตวว์ิธธิ ีสีสปุ่มุ่มฏตติกวั ัวาอนอยา่ยงั ง่าแ(งมบแ.บบปชบ.ป้นั ช.ภ)้นั ูมภิ มู ิ ทีม่ า. สายนั ต์ ปฏิกานงั (ม.ป.ป.) (4) การสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster sampling) เป็นการสุ่มตวั อยา่ งประชากร แบบที่ประชากรอยู่รวมกนั เป็ นกลุ่มกอ้ น (Cluster) โดยแต่ละกลุ่มหรือภายในกลุ่มเดียวกนั มีลกั ษณะ

44 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา (4)  การสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster sampling) เป็นการสุ่มตัวอย่าง ϱϱ ประชากรแบบทปี่ ระชากรอยรู่ วมกนั เปน็ กลมุ่ กอ้ น (Cluster)โดยแตล่ ะกลมุ่ หรอื ภายในกลมุ่ เดยี วกนั มีลักษณะหลากหลายหรอื มีความแตกต่าง แต่ระหวา่ งกลมุ่ หรอื ต่างกลุ่มกันมีความเหมือนกันหรือ คล้ายคลึงกัน เช่น กลุ่มเกษตรในหมู่บ้าน กลุ่มนักเรียนในห้องเรียน ฯลฯ จ�ำนวนของกลุ่มต่าง ๆ กจะารไดศร้ึกบั ษกาารเชส่นมุ่ ขกนึ้ ามราศทึกำ�ษกาาเรกศี่ยกึ วษกาับเคมรอ่ื ัวสเมุ่รือไดนก้ ใลนมุ่ ปใรดะกเจ็ทะศนไำ�ทสยมเารชากิ อทาจอ่ี แยบใู่ น่งกคลรมุ่ัวนเรนั้ือนๆอทองั้ กหเมปด็นมกาลทุ่มำ� โดยใช้ต�ำบลเป็นหลัก แล้วท�ำการสุ่มต�ำบล เมื่อสุ่มต�ำบลแล้ว ก็ท�ำการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก ทุกครวั เรือนที่อยู่ในตำ� บลนนั้ ๆ ทสี่ มุ่ ได้ ฯลฯ ดภู าพประกอบท่ี 2.5  สมุ่ กลมุ่   ϭ ϯ   Ϯ ϳ  ประชากร ϯ  ϰ  ϱ  ϲ  ϳ ภทภทาม่ีาี่มพพาา.ท.ทสส่ี ่ี า2า2ย.ย.5น5ันั ตตวว์ธิ์ธิ ีสปีสปุ่มฏมุ่ฏติกตกิ วัาัวานอนอยงัยงั า่่า(ง(งมมแแ..บปบปบ.บ.ปปกก..)ล)ลุม่ มุ่ (5) การสุ่มแบบหลายขน้ั ตอน (Multi-stage sampling) เปน็ การ ตตสเสกปวัวัลุุ่ม่ม็นออุ่มตตยจยพัวัว่าัง่าออื้นงหงยยปโทว่า่าดรี่ันดงงะยโปั้นดชจแรยาาบๆะกกแ่งชจบรหปาังจ่งกรรหาปือรกะวรจจชพัดะาะา้ืนเชกทปกาทพ�ำ็นรกี่กดื้นอรอางัทออ�ำรกเอ่ีดกส(ภล5กังตุ่มอ่าก)ตาวตลามแกต่อม่าลพาาเวพปรมะ้ืนต้ืนเสจ็นรทาุ่าทม่ือลม่ีนโี่โ�ยำแจดดวดไบ�ำยปนยับนบไไจทขวมมหน่ีั้ตนน่จ่จลถอ้�ทำมาึางเงาี่เตปหยปกก้อ็น็ขามกนงรต้ันู่บวกต้อ่าแ้ตาา้อง นลร1องทว ้ ทรนแ�ำหศะบาลึกร(ดบัญ้วือMษับัศญชอาuึกีทรชาโlษtจดาีรุiกย-กายาหsชทลอยtaน่ือุก่าาชgวขจ่วหื่อeวแยอนขs่าบปงaอเ่วป่ปงรmยงพระ็นปปpะชื้นlกรรชiาnทาะะกาgร่ีจชกชร)สาารใากเุ่มกนกปแภรจ็รกนลาใาลนคกะแกุ่มลาพระ้ืนสสุุ่่ทมมี่ นห้ัน่วๆยใหหรญือม่จะาหทาหกนารว่ สยุ่มเลต็ก่อโดเปย็ นแลบาง่ ดเปบั ็นขช้นั ั้นมาๆกกเชวน่ ่า 1ภารคะดจบั ังหโวดัดยออา�ำจเภแอบ่งตพำ� ้ืบนลที่จหามกบู่ภ้านค เคปร็ นวั จเรงั ือหนวดั จาก จเจไบsลปaงนั คุก็mหเถคโรวpึงดื่อลlดัหiยยแnเแนปตgๆบ็่ล่วนถ่งยะจอเ้าทคนปารี่3ต็เถนภวั อ้ขึงชอเหงรัน้้นั กือแนตานลๆ่วอระยนเฯเชเกทรล่น็บื่ี่ตอเฯรร้ยอภียวไงกาบปกควารจ่าจรกวกนTงเัามกาถหhรร็บขึงrสวสeหอ้รดุ่มัeุ่มวมม-แอsบแูลู่บบtาaรบา้เบgวภถนบeมนอา้ นs้ขใีจaต้ีจชห้อึงmาึงมก้มรบpมืีลาอูลlลรีลiกอั nสถักหษาgุ่้ามจษมณใกฯณชู่บ2ะลล้กา้กะข่าฯนาากว้นัรรวาคสตกรา่ รอุ่มรเกัวปะนรเ็2นรจะือากเขจยรนา้ันาีเยรปยตบกส็เนอปวุคุ่มร่านค็นจ่าลTางรเแกรwแ่าียตหหงoกแ่ล-ทนsวหะt่ี่ขว่าaคทยยgรTใา่ีขeัวยหwยsเอรaญoาือmอย-่มsกนอptาaไlอหiฯgปnกeลาgเรหฯื่อถนยา้่วๆย3 ข้นั ตอน เรียกวา่ Three-stage sampling ฯลฯ ตวั อย่างการสุ่ม 6 ข้นั ตอน (Six-stage sampling) โดยข้นั ตอนท่ี 1 สุ่ม

Research in Educational Administration • 45  ตัวอย่างการสุ่ม 6 ข้ันตอน (Six-stage sampling) โดยขั้นตϱอϲน ที่ 1 สุ่มจงั หวัดของแตล่ ะภาค ขนั้ ตอนท่ี 2 จากจงั หวัดที่สุ่มได้ ท�ำการสุม่ อำ� เภอ ขนั้ ตอนท่ี 3 จาก อ�ำเภอท่ีสุ่มได้ ท�ำการสุ่มต�ำบล ข้ันตอนท่ี 4 จากต�ำบลท่ีสุ่มได้ ท�ำการสุ่มหมู่บ้าน ขั้นตอนท่ี 5 จแแาตบหกก่ลาบลหระาหสมยคุ่มลขบู่รแ้านัวั า้ยบเตนรขบอทอื้ันน3น่สี ตขสมุ่อ้นั่วไนตดนอ้ใทสนห�ำ่วญกนด่มางัใรกัแหสจสญะุม่ดเ่มคงปอใักร็นนยอวัจ่ากภยเะงราา่าไเรือพงปรสนไท็กนุ่รม่ี็ตกกตแ2าา็ตว.ัลม6รอาะสใยมขนาุ่่ม้นั งใทตทตนาัว่ีเองทกอกน่ียายาวงท่ารกกงี่บ6บัาทรรสิี่เหจกบถาา่ียารกรนวิหกคกศาารึับกรรวั ศษกสเรึกาาถือษรคานศารนูึกทนศถษี่สึกกัา้ าใุม่เษรชไีาถย้วดน้าิธค้ ทใีสฯรชำ�ุ่มูล้กวนตฯิธาัวกัรีสอเสดรุ่มยูุ่มตีย่าตวัสนงัวอแมอยบฯายา่ บลชง่าฯกิง ดูตัวอยา่ งการสมุ่ แบบ 3 ขนั้ ตอน ดังแสดงในภาพท่ี 2.6  ปปรระะชชากรนกักเเรรียยี นน ในใโนรโงรเรงียเรนยี แนหแง่ หน่งึ่ง การสมุ่ แบบกล่มุ  ชชน้ั นั้ ปป..11//11 ชชนั้ ั้นปป.4. 4 ชชั้นนั้ ปป..66 ช้นั ป. 4/2 การสมุ่ แบบกลมุ่  5 คน ช้นั ป. 1/1 ช้นั ป. 1/4 ช้นั ป. 6/1 ช้นั ป. 6/3 4 คน 5 คน การส่มุ อย่างงา่ ย 5 คน 5 คน ภทาม่ีภทพาีม่าพ.ทา.ที่สี่ส2ม2.ม6ช.6ชาาวยวยธิ ธิ สีวีสวรรุ่มุ่มกกตติจจิ วััวเเอกอกยษยษา่ม่างมงสแสแกบกบลุบลุบห(2ห(ล52าล55ย3า5ข)ย3้นั ข)ตัน้ อตนอน อดงัาทนแจี่าสลน2.กัด�2ำษงลณใักนะษตขณาอรงะาขขงอ้ ทอด่ีงีแ2ขล.้ะ2อขดอ้ ี จจแจาากลากกแะดั บแมขบบา้อแกบจสาก�ำรดากสงรุ่ัมเดสปตมรมุ่ วัียาตอบแวัยเสา่อทงดยียโา่บงดงเเยพโปอดื่อรายใศียอหยับาคเ้ กศเวทิดยัาคีคมยวนบวาา่าเมมจพเะนขื่อเา้ปา่ใใ็จนหจะดท้เเกงปัี่ชกิดดัน็ ลเคดจ่าววนงั มกาดามลงขั า่เแา้ขวงสม้าตดใาน้งจขในทา้น้งนั่ีชตตาัดน้อรเาานจจงนนั้

46 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา ตารางท่ี 2.2 เปรียบเทยี บแบบการสุม่ ตัวอยา่ งโดยอาศัยความน่าจะเปน็ วธิ กี ารสมุ่ ลกั ษณะ ข้อดี ขอ้ จำ�กดั 1. วธิ กี ารสุ่ม 1. ต้องมีบัญชีรายชื่อสมาชิก แบบงา่ ย 1. สมาชิกแต่ละหน่วยของ - งา่ ยในการดำ�เนนิ การสุม่ ทุกหนว่ ยของประชากร ประชากรมีโอกาสจะได้รับ 2. ใช้เวลาดำ�เนนิ การมาก เลือกเป็นตัวอย่างเท่า ๆ กัน 3. ใช้กลุม่ ตัวอย่างขนาดใหญ่ 2. ตัวอย่างอาจได้มาโดยวิธี 4. เกดิ ความคลาดเคลอ่ื นไดม้ าก จบั ฉลาก วิธใี ชต้ ารางเลขสมุ่ 5. คา่ ใช้จา่ ยสงู หรอื วิธใี ช้คอมพิวเตอร์ 2. วธิ กี ารส่มุ 1. เลือกตัวอย่างเร่ิมต้นจาก 1. ออกแบบการสมุ่ ได้ง่าย 1. ถ้าหน่วยของประชากรมี แบบเปน็ ระบบ ประชากรโดยการสมุ่ 2. ใชไ้ ดง้ า่ ยกวา่ การสมุ่ แบบงา่ ย การเปลี่ยนแปลงขึ้นลงเป็น 2. เลือกตัวอย่างทุกลำ�ดับ 3. ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการสุ่ม วงจรหรือช่วง อาจทำ�ให้ได้ ท่ีkคอื ทกุ ๆ kหนว่ ยตวั อยา่ ง แบบงา่ ย ตวั อยา่ งท่ีลำ�เอียง จะมีตวั อย่างท่สี ่มุ ได้ 1 หนว่ ย 4. ถ้าประชากรมีการจัดเรียง 2. ถ้ า บั ญ ชี ร า ย ชื่ อ ข อ ง ตวั อยา่ ง ลำ�ดับหน่วยไว้อย่างสุ่ม วิธีน้ี ประชากรจัดเรียงอย่างเป็น จะมี ประสทิ ธภิ าพสงู กวา่ การ ระบบอาจทำ�ให้เกิดความ ส่มุ แบบงา่ ย ลำ�เอยี งในการสุ่ม 3. วธิ กี ารสมุ่ 1. จดั แบง่ ประชากรเปน็ กลมุ่ 1. ผู้วิจัยสามารถควบคุม 1. ค่าใชจ้ ่ายสงู แบบแบง่ ช้นั ย่อยหรือเป็นชน้ั ภูมิ ขนาดของสิ่งตัวอย่างแต่ละ 2. การประมาณคา่ พารามเิ ตอร์ ภมู ิ 2. ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายจาก ชั้นได้ ยุ่งยากมาก ถ้าแต่ละช้ันใช้วิธี แตล่ ะชน้ั 2. มปี ระสทิ ธภิ าพสงู ในเชงิ สถติ ิ การส่มุ ท่ีแตกตา่ งกัน 3. ได้กลุ่มตัวอย่างท่ีเป็น ตัวแทนของประชากร 4. สามารถใช้วิธีการสุ่มที่ แตกต่างกนั ในแต่ละชน้ั 4. วิธกี ารสมุ่ 1. ประชากรถกู แบง่ เปน็ กลมุ่ 1. ทำ�ไดง้ า่ ย แมจ้ ะไมม่ รี ายชอ่ื 1. ถา้ ตวั อยา่ งภายในกลมุ่ คลา้ ย แบบกลุ่ม ย่อยท่ีมีลักษณะหลากหลาย ประชากร กนั จะมปี ระสทิ ธภิ าพเชงิ สถติ ิ ในแต่ละกลุ่มแต่มีความ 2. ประหยดั คา่ ใช้จา่ ย ต�่ำกว่าตัวอย่างที่มีลักษณะ เหมอื นหรอื คลา้ ยกนั ระหวา่ ง ต่างกันมาก ๆ กลมุ่ 2. โดยธรรมชาติประชากรมัก 2. สุ่มกลุ่มย่อยบางกลุ่มมา จะไม่จดั แบ่งกลุม่ แบบคละ ศึกษา

Research in Educational Administration • 47 5. วิธกี ารสมุ่ 1. เป็นการสุ่มตัวอย่างท่ีทำ� - อาจลดค่าใช้จ่ายได้ ถ้าใน 1. ถ้าจำ�เป็นต้องสุ่มหลายข้ัน แบบหลายข้นั เปน็ ข้ัน ๆ หลายข้นั ดว้ ยกัน ขั้นแรกมีข้อมูลท่ีจะแบ่ง ตอนจะทำ�ให้คา่ ใชจ้ า่ ยสูงข้ึน ตอน 2. การสุ่มตัวอย่างแต่ละขั้น ประชากรเปน็ ชน้ั หรอื เปน็ กลมุ่ 2. ถ้าการสุ่มมีหลายขั้นตอน จะใชก้ ารสุ่มแบบใดก็ได้ การประมาณค่าพารามิเตอร์ 3. การเก็บข้อมูลจะเก็บจาก จะยุ่งยากมากขน้ึ หน่วยตัวอย่างขั้นสุดท้ายที่ สุ่มได้ 4. นิยมใชก้ บั การสมุ่ ตวั อยา่ ง ทปี่ ระชากรมขี นาดใหญ่ และ มีขอบเขตงานกวา้ งขวาง 2.2) การสุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น (Non-probability sampling) เป็นการเลือกตัวอย่างโดยไม่ค�ำนึงว่าตัวอย่างแต่ละหน่วยมีโอกาสได้รับเลือกมากน้อย เทา่ ไร ทำ� ใหไ้ มท่ ราบความนา่ จะเปน็ ทแ่ี ตล่ ะหนว่ ยในประชากรจะไดร้ บั เลอื ก การเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ ง แบบนี้ไม่สามารถน�ำผลท่ีได้อ้างอิงไปยังประชากรได้ แต่มีความสะดวกและประหยัดเวลาและ ค่าใช้จา่ ยมากกวา่   ซงึ่ สามารถท�ำได้ 4 แบบ ดงั นี้ (1) การเลือกแบบเจาะจง (Purposive  sampling) เป็นการเลือก กลุ่มตัวอย่างโดยพิจารณาจากการตัดสินใจของผู้วิจัยเอง ลักษณะของกลุ่มท่ีเลือกเป็นไปตาม วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั การเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งแบบเจาะจงตอ้ งอาศยั ความรอบรู้ความชำ� นาญและ ประสบการณใ์ นเรอ่ื งนนั้ ๆ ของผทู้ ำ� วจิ ยั การเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งแบบนมี้ ชี อ่ื เรยี กอกี อยา่ งวา่  การเลอื ก แบบมจี ดุ ประสงค์ (Purposive selection) เปน็ การเลอื กตามหวั ขอ้ และวตั ถปุ ระสงคห์ รอื จดุ ประสงค์ ของการวจิ ยั หรอื เปน็ การเลอื กตามเกณฑท์ ก่ี ำ� หนด ผลการวจิ ยั ทไี่ ดจ้ ากการเลอื กตวั อยา่ งแบบนี้ จะ ไมส่ ามารถสรปุ อา้ งองิ ไปยงั ประชากรโดยทวั่ ไปได้ เชน่ การศกึ ษาวธิ กี ารเรยี นรว่ มของเดก็ พเิ ศษกบั เดก็ ปกตใิ นสถานศกึ ษา กลมุ่ ตวั อยา่ งทน่ี ำ� มาศกึ ษาจะศกึ ษาเฉพาะเจาะจงในสถานศกึ ษาทม่ี กี ารเรยี น ร่วมของเด็กพิเศษกับเด็กปกติ ผลการวจิ ยั ท่ไี ดก้ จ็ ะสามารถนำ� ไปใช้ไดก้ บั สถานศกึ ษาทม่ี กี ารเรยี น ร่วมของเด็กพเิ ศษกบั เด็กปกตเิ ทา่ นน้ั จะไมส่ ามารถนำ� ไปใช้กบั สถานศึกษาท่ัวไป (2) การเลือกแบบบังเอิญ (Accidental sampling) เป็น การเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ ง เพอ่ื ใหไ้ ดจ้ ำ� นวนตามตอ้ งการโดยไมม่ หี ลกั เกณฑ์ กลมุ่ ตวั อยา่ งจะเปน็ ใครกไ็ ด้ ทส่ี ามารถใหข้ อ้ มลู ได้ หรืออาจกล่าวว่า การเลือกโดยบังเอญิ (Accidental selection) เปน็ การเลือก เม่อื พบเห็นใครกเ็ ลือกมาทำ� วจิ ยั โดยไมม่ ีกฎเกณฑ์อะไร อยา่ งไรกต็ าม ผ้วู จิ ัยควรเลือกกลุ่มตัวอย่าง ที่มีลักษณะเบ้ืองต้นบางประการท่ีสอดคล้องกับลักษณะของกลุ่มตัวอย่างท่ีกำ� หนดไว้ การเลือก กลุ่มตัวอย่างแบบน้ีมาศึกษา ก็เพ่ือให้ได้ข้อค้นพบเบื้องต้นท่ีจะใช้เป็นแนวทางในการศึกษา/วิจัย ต่อไป Kerlinger (1973, p.129) ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า “ถ้าสามารถเลือกวิธีการสุ่มตัวอย่าง แบบอนื่ ไดก้ ไ็ มค่ วรใชว้ ิธกี ารเลอื กตวั อยา่ งแบบนีเ้ นื่องจากไม่ทราบจำ� นวนประชากรท่ีแทจ้ ริง”

48 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา (3)  การเลือกแบบโควตา (Quota  sampling)  เป็นการคัดเลือก กลมุ่ ตวั อยา่ งโดยการกำ� หนดสดั สว่ นของจำ� นวนกลมุ่ ตวั อยา่ งแตล่ ะกลมุ่ ตามคณุ ลกั ษณะและขนาด ท่ีก�ำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน แล้วเลือกตัวอย่างท่ีมีคุณลักษณะและขนาดดังกล่าวให้ครบตาม จำ� นวนทกี่ ำ� หนดใหเ้ ทา่ นน้ั โดยใชว้ ธิ กี ารเลอื กแบบบงั เอญิ เชน่ ตอ้ งการกลมุ่ ตวั อยา่ งทเ่ี ปน็ นกั ศกึ ษา จำ� นวน 100  คน ผวู้ จิ ยั กก็ ำ� หนดสดั สว่ นคณุ ลกั ษณะและขนาดของนกั ศกึ ษาทเ่ี ปน็ กลมุ่ ตวั อยา่ งโดย จำ� แนกตามชน้ั ปี เปน็ ปที ่ี 1 : ปีที่ 2 : ปที ี่ 3 : ปที ่ี 4 เท่ากบั 35 : 30 : 20 :15 แลว้ เลอื กมาใหค้ รบ 100 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบบังเอิญ ต้องการกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเพศหญิงและเพศชายจ�ำนวน 100 คน ผู้วิจัยก�ำหนดคุณลักษณะและขนาดของกลุ่มตัวอย่างเป็น เพศหญิง : เพศชาย  เท่ากับ 50: 50 แล้วเลือกมาใหค้ รบ 100 คน โดยใชว้ ิธกี ารเลือกแบบบงั เอิญ ฯลฯ (4)  การเลือกแบบลกู โซ่ (Snowball or Chain sampling) เป็นการ คดั เลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งเบอ้ื งตน้ ทม่ี คี ณุ สมบตั ทิ ต่ี อ้ งการ แลว้ ใชก้ ารแนะนำ� ของกลมุ่ ตวั อยา่ งดงั กลา่ ว ที่แนะน�ำถงึ กลมุ่ ตวั อยา่ งอน่ื ๆ ทมี่ ีลกั ษณะทใ่ี กล้เคียงกบั ตนเอง หรอื อาจกลา่ วได้ว่า ใช้วิธบี อกต่อ โดยใชก้ บั ตวั อยา่ งท่ีหายาก เกบ็ ตอ่ ๆ กนั ไป ขยายผล เช่น ตอ้ งการหาตวั อย่างทีเ่ ป็นโรคเอดส์หรอื มะเร็งที่หายไดด้ ว้ ยวิธีธรรมชาติ ฯลฯ สรปุ วธิ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ งแบบใชแ้ ละไมใ่ ชค้ วามนา่ จะเปน็ และเงอื่ นไขในการใช้ ดงั แสดง ในตารางที่ 2.3 (สุวมิ ล ว่องวาณชิ และ นงลักษณ์ วิรัชชัย, 2546, หนา้ 122) ตารางท่ี 2.3 วิธกี ารสุม่ ตวั อยา่ งแบบใช้และไม่ใช้ความน่าจะเป็นและเง่ือนไขการใช้ วธิ ีกำ�หนดกลมุ่ ตัวอย่างแบบใช้ความน่าจะเปน็ วิธีกำ�หนดกล่มุ ตวั อยา่ ง เงอ่ื นไขการใช้ 1. การส่มุ อย่างง่าย กลมุ่ ตัวอย่างขนาดเล็กไม่เกนิ 1,000 คน ประชากรมีความเป็น เอกพันธ์ 2. การส่มุ แบบเปน็ ระบบ มรี ายชือ่ ประชากรทง้ั หมด 3. การสุม่ แบบแบง่ ชนั้ ภมู ิ กล่มุ ตัวอย่างขนาดใหญ่ หนว่ ยตวั อยา่ งมลี กั ษณะแตกต่างกนั ตามชัน้ ภูมิ 4. การสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม กลมุ่ ตัวอย่างขนาดใหญ่ หนว่ ยตวั อย่างมลี กั ษณะแตกตา่ งกัน ตามภมู ิศาสตร์ 5. การสมุ่ แบบหลายขั้นตอน กลุม่ ตวั อย่างขนาดใหญ่, มกี ารสมุ่ ตัวอยา่ งหลายระดบั โดยที่ แต่ละช้นั ใชว้ ธิ กี ารสุม่ แบบตา่ ง ๆ วิธกี ำ�หนดกลุ่มตวั อยา่ งแบบไมใ่ ช้ความน่าจะเปน็ วธิ กี ำ�หนดกลมุ่ ตวั อย่าง เงื่อนไขการใช้ 1. การเลือกแบบเจาะจง กลมุ่ ตวั อยา่ งขนาดเลก็ และต้องการผู้ให้ข้อมูลสำ�คญั 2. การเลือกแบบบังเอญิ กลมุ่ ตัวอยา่ งขนาดเลก็ และมีเงือ่ นไขตามทีผ่ ู้วิจยั กำ�หนด

Research in Educational Administration • 49 3. การเลือกแบบโควตา กลมุ่ ตวั อย่างขนาดเลก็ และทราบคณุ ลักษณะของกล่มุ ตวั อย่าง 4. การเลือกแบบลกู โซ่ แต่ละกลุ่ม รวมทั้งจำ�นวนทีต่ ้องการ กล่มุ ตวั อยา่ งขนาดเลก็ ไมม่ ีข้อมูลเกีย่ วกับประชากร แต่ใช้ ความรู้และประสบการณข์ องกลุ่มตัวอยา่ งช่วยแนะนำ�ผทู้ จ่ี ะ เป็นหน่วยตวั อย่างต่อไป 3) การใช้หลักเกณฑ์ในการสุ่มตัวอย่างที่ดี ในการสุ่มกลุ่มตัวอย่างเพื่อ ให้ไดก้ ลุม่ ตวั อยา่ งท่ีเป็นตวั แทนทดี่ ี (Representative) ของประชากรในการน�ำมาศกึ ษาเพอื่ ให้การ วิจัยมคี วามตรงภายนอก (External Validity) คือ สามารถสรปุ อา้ งอิงผลวิจยั จากกลุ่มตัวอยา่ งไปยงั ประชากรทศี่ กึ ษาไดด้ ว้ ยวธิ กี ารทางสถติ ิ มหี ลกั การในการปฏบิ ตั ดิ งั นี้(สมชาย วรกจิ เกษมสกลุ ,2553) 3.1) หน่วยกลุ่มตัวอย่างจะต้องได้รับการสุ่ม/เลือกอย่างมีระเบียบ แบบแผนและสอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์การวจิ ัยทไ่ี ดก้ �ำหนดไว้อยา่ งชัดเจน 3.2) หน่วยกลุ่มตัวอย่างจะได้รับการระบุและก�ำหนดความหมายได้ อย่างถกู ต้องและชดั เจน 3.3) หน่วยกลุ่มตัวอย่างแต่ละหน่วยจะต้องเป็นอิสระซ่ึงกันและกัน และหนึง่ หน่วยตวั อยา่ งจะมโี อกาสไดร้ บั การสุม่ เขา้ สกู่ ระบวนการวจิ ยั เพียงคร้งั เดยี ว 3.4) หน่วยกลุ่มตัวอย่างใดที่ได้รับการสุ่ม/เลือกแล้วจะไม่สามารถ สับเปลีย่ นกบั ผู้อน่ื ใหแ้ ทนตนเองได้ และใชห้ นว่ ยกลุ่มตวั อยา่ งเดียวตลอดงานวจิ ยั 3.5) ใช้เทคนิควิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างที่ถูกต้องและเหมาะสมกับการ ได้ข้อมูลในงานวิจยั อยา่ งถกู ตอ้ ง ครอบคลุมและครบถ้วน นอกจากน้ี ขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ งทเ่ี หมาะสมสำ� หรบั การวจิ ยั จะขน้ึ อยกู่ บั ระดบั ความถกู ตอ้ งของการวจิ ยั และจำ� นวนตวั แปรในการวจิ ยั กลา่ วคอื ถา้ ตอ้ งการใหก้ ารวจิ ยั มคี วาม ถกู ต้องมากและคลาดเคลือ่ นน้อย ตอ้ งใชก้ ลุม่ ตวั อยา่ งท่ีมขี นาดใหญ่ และถา้ ประชากรมีลกั ษณะท่ี หลากหลายจะตอ้ งใชก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งทม่ี ขี นาดใหญก่ วา่ กลมุ่ ตวั อยา่ งทป่ี ระชากรมลี กั ษณะใกลเ้ คยี งกนั และถ้าการวิจัยมีตัวแปรจ�ำนวนหลายตัวจะต้องใช้กลุ่มตัวอย่างมากกว่าการวิจัยที่มีจ�ำนวนตัวแปร น้อยกว่า (Kerlinger,1986, pp. 117-119 ; Neuman, 1991, p. 221 ) อย่างไรก็ตาม หลักการส�ำคัญของการสุ่มตัวอย่างเพ่ือให้ได้กลุ่มตัวอย่างท่ี เป็นตัวแทนท่ีดี (Representative) ของประชากร ทผี่ ู้วิจัยจะตอ้ งค�ำนงึ ถงึ เสมอ คือ ขนาดของกลุ่ม ตวั อยา่ ง (Sample size) และการเลอื กเทคนคิ วธิ กี ารสุ่ม โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง (Sample size) ต้องเป็นขนาดของกลุ่ม ตวั อยา่ งทเี่ หมาะสมทง้ั ในดา้ นแนวคดิ หรอื ทฤษฎี เชน่ ใชต้ ารางประมาณขนาดตวั อยา่ งตามแนวคดิ ของ Krejcie & Morgan ใช้สูตรค�ำนวณกลุ่มตัวอย่างตามแนวคิดของ Taro Yamane ฯลฯ และ ในด้านการปฏิบัติ คือ สามารถด�ำเนินการได้ เพราะเป็นขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่ไม่มากไม่น้อย เกินไป อย่างไรก็ตาม ในการก�ำหนดตัวอย่างที่เหมาะสมน้ัน ผู้วิจัยจะต้องค�ำนึงถึงส่ิงท่ีเก่ียวข้อง หลายประการ ดงั น้ี

50 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 1.1 ขนาดของประชากรท่ีศึกษา มีขอบเขตเพียงใดหรือมีจ�ำนวน เทา่ ไรท่จี ะน�ำมาใชใ้ นการกำ� หนดขนาดของกลุ่มตัวอยา่ ง 1.2 ความคลาดเคลื่อนท่ียอมรับได้ หรือระดับความเชื่อม่ันของกลุ่ม ตัวอย่างที่เป็นส่วนที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เช่น ถ้าในการสุ่มตัวอย่างยอมรับความคลาด เคล่อื น .05 (5 %) กลุม่ ตัวอย่างก็จะมรี ะดับความเชอ่ื มั่นท่ี .95 (95 %) ฯลฯ 1.3 ข้อตกลงเบ้ืองต้นของสถิติท่ีใช้ ในการเลือกใช้สถิติเพื่อ เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของผลการวจิ ยั จะมกี ารนำ� จำ� นวนกลมุ่ ตวั อยา่ งมาพจิ ารณาตามขอ้ ตกลง เบื้องต้นของสถิติแต่ละประเภทเพ่ือให้เกิดความแม่นย�ำและความถูกต้องของการใช้สถิติแต่ละ ประเภทดว้ ย 1.4 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีแตกต่างกัน อาจจะท�ำให้กลุ่มตัวอย่าง ทใี่ ช้มขี นาดทแ่ี ตกตา่ งกัน 2) การเลือกเทคนิควิธีการสุ่ม ถ้าผู้วิจัยต้องสุ่มตัวอย่างเพื่อให้ได้กลุ่ม ตวั อยา่ งทเ่ี ปน็ ตวั แทนทดี่ ี (Representative) ของประชากรในการนำ� มาศกึ ษาเพอ่ื ใหก้ ารวจิ ยั มคี วาม ตรงภายนอก (External Validity) คือ สามารถสรุปอา้ งองิ ผลวจิ ัยจากกลมุ่ ตัวอยา่ งไปยงั ประชากร ที่ศึกษาได้ด้วยวิธีการทางสถิติ ผู้วิจัยก็ต้องเลือกเทคนิควิธีการสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะ เปน็ (Probability sampling) ซ่งึ มอี ยู่ 5 แบบ ที่ผูว้ ิจยั จะต้องพิจารณาเลือกเพอ่ื ใหไ้ ด้กลมุ่ ตัวอย่างที่ เปน็ ตวั แทนทดี่ ี ตามทไี่ ดอ้ ธบิ ายมาแลว้ ขา้ งตน้ แตห่ ากเปน็ การเลอื กเทคนคิ วธิ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ งแบบ ไมอ่ าศัยความนา่ จะเปน็ (Non-probability sampling) ก็จะทำ� ให้ได้กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ไี มใ่ ช่ตวั แทนที่ดี ของประชากร เพราะเป็นการเลือก ไม่ใช่การสุ่ม ท�ำให้กลุ่มตัวอย่างที่ได้ไม่ใช่ตัวแทนท่ีดีของ ประชากร จึงท�ำให้ผลวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างดังกล่าวขาดความตรงภายนอก (External Validity) เพราะมขี ้อจ�ำกดั ตา่ ง ๆ เขา้ มาเกีย่ วข้อง 2.2.2 การออกแบบการวัดตัวแปร (Measurement Design) หรืออาจเรียกว่า การออกแบบเคร่ืองมือวัดค่าตัวแปร ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การก�ำหนดตัวแปรใน การวิจัย 2) การวดั ตัวแปร และ 3) การควบคมุ ตัวแปรแทรกซอ้ น โดยมีรายละเอียด ดงั น้ี 1) การก�ำหนดตัวแปรในการวิจัย ตัวแปร (Variable) หมายถึง ส่งิ ตา่ ง ๆ หรอื ลักษณะทีส่ ามารถแปรเปลี่ยน คา่ ไปไดต้ า่ ง ๆ กนั ในประชากร หรอื กลมุ่ ตวั อยา่ ง เชน่ เพศ สผี วิ อายุ รายได้ ฯลฯ (สวุ มิ ล ตริ กานนั ท,์ 2557, หน้า 75) เม่ือพิจารณาจากสถานการณ์หรือประเด็นท่ีต้องการจะศึกษา จะพบว่าส่ิงต่าง ๆ หรือลักษณะ (Characteristic) หรือ สถานการณ์ (Situation) มีค่าแตกต่างกันในแต่ละหน่วยของ กลมุ่ ประชากรเปา้ หมายทจ่ี ะศกึ ษา หรอื มคี า่ เปลย่ี นแปลงไปตามระยะเวลา ความแตกตา่ งหรอื ความ เปลย่ี นแปลงทเี่ กดิ ขนึ้ ดงั กลา่ ว เปน็ สง่ิ ทผ่ี วู้ จิ ยั ตอ้ งการทราบและพยายามทจี่ ะเกบ็ รวบรวมมาศกึ ษา สิง่ ตา่ ง ๆ หรือลกั ษณะทมี่ ีค่าแปรเปล่ยี นได้น้ัน เรียกกนั ในทางวจิ ัยว่า “ตวั แปร” (Variable) ตัวแปร ดงั กล่าวน้ี จ�ำแนกออกได้หลายประเภทตามทแี่ ตกต่างกัน และมีระดับมาตรวดั ตัวแปร (Levels of measurement) โดยอาจสรปุ ได้ ดังนี้ (สุวิมล ติรกานันท์, 2557, หนา้ 76-78)

แตกต่างกนั ดงั น้ี 1.1) ประเภทของตัวแปร ตวั แปรแบ่งออกหลายประเภทโดยใช้เกณฑ์ที่ Research in Educational Administration • 51 1.1.1) แบ่งตามอิทธิพลของตัวแปรหน่ึงที่มีต่อตวั แปรหนึ่ง 1.1) ประเภ(ท1ข) อตงัตวแัวแปปรรอิสตรัวะแป(Iรnแdบep่งอenอdกeหntลvาaยrปiaรbะlเeภ:ทIโVด)ยหใชม้เกายณถฑึง์ ตัว เแปป็นตทรผทัวแ่ี ลแต่ีเกมปกิดารตจขทา่า้ึนงก่ีเกกมกิดนัาาขโรดดเึน้ กังยมิดนไาขม้ีโ้ึนด่จขยาเอไปมง็นจ่ต�ำตวั เแอ้ปปง็นมรตอีต้อ1ื่นวั .งแ1ม.ป1ีต(ร)วั2อแ)แ่ืน(ป1บตเ)รกง่ัวอิดตตแื่นขาวัป้เมึนแกรอปมติดทิราาขกมอธน้ึ ่อิสพิ ม(นรDลาะกขepอ่(อeIนงnnตddeeวั pnแetปnvรadrหeinaนtbึ่งvleทar:่ีมiDaีตbV่อle)ตห:วั IแมVปา)ยรหถหึงมนาตง่ึ ยวั ถแึงปรท่ี (2) ตวั แปรตาม (Dependent variable : DV) หมายถงึ ตวั แปรทตัวเี่ ปอน็ ยผ่างลมเารจ่ือางกก“าบรทเกบดิ าขทน้ึ ขขอองงสตื่อวั มแปวลรชอน่ืนที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการแต่งกายของเดก็ วยั รุ่น” วยั รุน่ ” ตัวอยา่ ง เรือ่ ง “ตตบวัวั ทแแปปบรราอตทสิาขมรอ:ะงพ:สบฤื่อทตมิกบวราลทรชมขนกอทางรี่มสแีอ่ือติทม่งธวกลิพาชยลขนตอ่องพเดฤก็ ตวิกยั รรรุ่นมการแต่งกายของเด็ก ตัวแปรอสิ ระ: บทบาทของสอื่ มวลชน ต1ัว.1แ.ป2ร) ตแามบ:่งพตาฤมตภิการวระมกกาารรแแทตรง่ กกซา้ยอขนอขงอเดงต็กววั ยัแรป่นุ ร ท่ีไม่ตอ้ งการศึกษาแต่มีอิทธิพลต่อ1ต.วั1แ.2ป()1ร)ทแ(1ตบ่ีท)ัว ่งาแตตกปาัวามรรแภแศปทาึกวรรษะกแากซทาโ้อรรดนแกยทซผ(รEูว้ ้กอxิจtซนrยั aอ้ทnน(รeEขาoบuอxsงลtrตv่วaaวังrnแหieaปนboรl้าue)sแหลvมะaพาrยยiถaาึงยbาตleมวั )ทแป่ีจะร ควบหคมุมายถงึ ตวั แปรท่ีไม่ตอ้ งการศกึ ษาแตม่ อี ทิ ธิพลตอ่ ตัวแปรทที่ ำ� การศึกษา โดยผ้วู จิ ยั ทราบล่วงหน้า ϲϰ  และพยายามท่ีจะควบคมุ XY Z ตวั อย่าง เรื่อง “การศึกษาความคดิ เห็นของนักกฎหมายต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ตวั แปรทตี่ ้องการศกึ ษา คอื X และ Y ส่วน Z เป็นตัวแปรแทรกซ้อน เปแ็ตนเพกตตรวั า่าแะงปเกปรนัผทน็ ูวอ้ ผตี่ไติจอมวู้วัวั ยักจิอ่ตแจไยัยปอ้ะปจา่งรพะงกทตบพาไี่วัเวรบรมแาศ่ื่อว่ตปึกปงา่้อรษปร“งต“กาะกรปแวัาสะาตรแรรสบศ่มศะปบกสกึกึีผรกาษบษลทราาตากี่รณตคแ่อณาอ้์กวตรงก์Xาาณม่กรมาผี์าแกรทครลทลาาดิศรตะำง� เึกทงอ่าหYาษนาน็Xนงาขขาขอคแนออลงือ”งงนะนนXเกัปYักกั ก็แนกกฎลฎตฎะหวหัหมแYมมปาาาสยรยยแ่วทแตตนต่ีอ่ผ่ลล่กวู้Zะะิจาบเรบยัปแุคไคุ็นกมคคตไ้ล่ตลขวัอ้ จจรแงะะัฐปกมมธราีผีผรรแรลลศทมใใึกรหหนษกค้คู้ญซาววอ้”แาานมตมค่มคเพดิีผิดรลเหาตะ็น่อ ควเหามน็ คแิดตเหกต็นา่ ขงอกงนั นอกั อกกฎไปหมตาวั ยแปซร่ึง“เป็นระตสวั บแปการรทณี่ตก์อ้ างรกทาำ�รงศาึกนษ”าเปจน็ึงจตดั วั เแปป็นรตทวั ผ่ี แวู้ ปจิ รยั แไมทต่รกอ้ ซงกอ้ านรศกึ ษา แต่ ท่ีไมตมวัีผ่ตแลอ้ปตงรอ่ กทคาไี่วรมาศมต่ ึกอ้คษงิดากเแหาตร็น่มศขีอกึ อิทษงธานิแพกั ตลกม่ ตฎอี่อหิทตมธวั าิพแยปลซรต(2ทึ่งอ่ )(เี่ทตป2วัต)า็น กแัวตตาปแัวรัวปรแศแทรปึกปสท่ี ษรรอ�ำทสากดีต่อโาแ้อดดรทงศแยรกผทกึ กาวูษ้รริจ(กาศIยั nโึกไ(ดtIeษมnยrา่ทtvผeeจรวู้rnvึงาิจiจeบnัยnดั gลไiมเn่วปv่ทgงa็นหrรviตานaaบวั brา้ แilลaeปว่b)lรงหeหแ)มทนหารา้ยมกถาซึงยอ้ ถตนึงวั แปร XZ Y ตวั ตแวั ปแรปทร่ีตทอ้ ต่ี งอ้ กงากราศรึกศษกึ าษคาือคอืXXแลแะละYYสส่วว่นนZZเเปป็นน็ ตตวัวั แแปปรรสสออดดแแททรรกก ตัวอย่าง เรอ่ื ง “การศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเจตคตขิ องประชาชนตอ่ พรรคการเมอื งกบั การไปเลตอื กัวตองยั้ ”่าง เรื่อง “การศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างเจตคตขิ องประชาชนต่อพรรคการเมืองกบั การไป เลือกต้งั ”

เลือกต้ัง” 52 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา ในระหวา่ งการศึกษาพบวา่ มีการรณรงคแ์ ละมีการประชาสมั พนั ธข์ องรัฐบาลใหป้ ระชาชนไป เลือกต้งั ซ่ึงทาในใหระก้ หารวไา่ ปงกเลารือศกกึ ตษ้งั าเปพลบ่ียวนา่ มแกีปาลรงรไณปรดงว้คยแ์ ลดะงั มนกี้นั ารกปาระรชณารสงมั คพแ์ นัลธะข์ปอรงะรชฐั าบสามั ลพใหนั ป้ ธร์ขะอชงารชัฐนบาล จึงเปไป็นเลตอืวั แกปตั้งรสซอง่ึ ดทแ�ำใทหร้การไปเลอื กตัง้ เปลี่ยนแปลงไปดว้ ย ดงั นัน้ การรณรงค์และประชาสัมพันธข์ อง ไม่ตรตอ้ัฐวั งบแกปาาลรรทจศงึีไ่ึกมเษปต่ า็นอ้แตงตกวั ่มแาีอรปิทศรึกธสิพษอาลดแตแต่อทม่ ตรอี วักทิแธปพิรอล(ิสต3)่อร(ะต3ตใวั)ัหวแ แตเ้ปกปัวริดรแอผกปสิ ลดรรตดะก่อใันดตหดวั(เ้ กันแSuิดปpผ(รpSลตruตาepมs่อpsทตirv่ีeตวั esแอ้ svปงiavกรreiาตaราbvศมlaeึกทr)ษi่ตีaหาอ้bมlงeาก)ยาถรหศึงมกึ ตาษยวั าถแึงปรท่ี X YZ ผลตY่อมZีผหลตากอ่ ไZม่นหาากXไมม่นาศำ� ึกXษมาตดาศวัว้ กึแยตษปวัจารแะดทปไว้ ม่ีตรย่พทอ้ จง่ตีบะกอ้อไางิทมรกพ่ธศาิพึกบรษศลอกึขาทิ ษอคธงาืิพอคYลYอื ขทแอYี่มลงแีตะYล่อZะทZZสี่ม่วสีตนอ่่วนXZXเปเ็ปนน็ตตวั แัวแปปรทรท่ีก่ีกดดดดนั ันใหให้ Y้ มี ตัวอย่าง เร่ือง “การศึกษาวิธีสอนภาษาอังกฤษต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษา อังกฤษ” หากไมน่ �ำระดับเชาวป์ ัญญาเขา้ มาศึกษาด้วย จะไมพ่ บความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งวธิ ีการสอน และผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 1.1.3) แบง่ ตามความตอ่ เนือ่ งของคา่ ตวั แปร (1) ตวั แปรตอ่ เนอื่ ง (Continuous variable) ตวั แปรทมี่ ีคา่ ตอ่ เนอื่ ง เชน่ น�้ำหนัก อายุ สว่ นสงู ฯลฯ ค่าทีเ่ กิดขึ้น จะมคี ่าทศนิยม เกิดขนึ้ อย่างตอ่ เนื่องระหว่าง คา่ หนึ่งไปอีกคา่ หนึ่ง เชน่ น�้ำหนกั 50 กก. กับ น�้ำหนัก 51 กก. จะพบว่ามนี ้�ำหนักทเี่ ป็นไปได้เปน็ ทศนยิ มอกี หลายค่าระหวา่ งค่าท้ังสอง คอื 50.1 50.2 50.3 ... 50.9 (2) ตัวแปรไม่ต่อเน่ือง (Discrete variable) หมายถึง ตวั แปรทม่ี คี า่ ไมต่ อ่ เนอ่ื ง เชน่ นกั เรยี น 35 คน กบั นกั เรยี น 36 คน จะไมพ่ บคา่ ตอ่ เนอ่ื งระหวา่ งคา่ หนงึ่ ไปยังอีกค่าหน่ึงในระหว่างคา่ ทัง้ สอง 1.1.4) แบ่งตามลักษณะการวัด (1) ตัวแปรแฝง (Latent variable) หรืออาจเรียกว่า ตัวแปรโครงสร้างตามทฤษฎี (Construct variable) เป็นตัวแปรท่ีไม่สามารถวัดได้โดยตรง เช่น ความคิดสรา้ งสรรค์ ภาวะผ้นู �ำ ฯลฯ (2) ตัวแปรสังเกตได้ (Observed variable) เป็นตัวแปร ทส่ี ามารถวัดไดโ้ ดยตรง เชน่ เพศ รายได้ อาชพี ฯลฯ 1.1.5) แบ่งตามความเปน็ ไปไดใ้ นการจัดกระทำ� (1) ตัวแปรท่ีก�ำหนดได้ (Active variable) หรืออาจ เรียกว่า ตัวแปรจัดกระท�ำ (Treatment variable)หรือตัวแปรทดลอง (Experimental variable) เป็นตัวแปรท่ีนักวิจัยสามารถก�ำหนดหรือจัดกระท�ำเปล่ียนแปลงให้กับกลุ่มตัวอย่างได้ เช่น

Research in Educational Administration • 53 วธิ สี อบ วธิ กี ารอบรมเลย้ี งดู สภาพแวดลอ้ ม หรอื สภาพการทดลองตา่ ง ๆ ทผ่ี วู้ จิ ยั สนใจจะศกึ ษา ฯลฯ (2) ตวั แปรลกั ษณะ (Attribute variable) เป็นตัวแปรทไ่ี ม่ สามารถจดั กระทำ� ได้ เปน็ ตวั แปรทนี่ กั วจิ ยั ไมส่ ามารถกำ� หนดหรอื จดั กระทำ� เปลยี่ นแปลงใหก้ บั กลมุ่ ตวั อยา่ งได้ ส่วนใหญ่มกั เปน็ ตัวแปรลักษณะทางกายภาพของบคุ คล ท่ีเปน็ คุณลกั ษณะติดตัวมาอยู่ แล้วตามธรรมชาติ เชน่ เพศ ความถนัด บคุ ลกิ ภาพ คา่ นยิ ม ฯลฯ 1.2) ระดับมาตรวัดตัวแปร (Levels of measurement) “มาตรวัด” หมายถงึ ค่าหรอื ลักษณะทไ่ี ด้จากเครือ่ งมอื ท่ใี ชว้ ดั ดังนั้น ระดับมาตรวัดตัวแปรก็คือ ระดับค่าตัวแปร อาจเรียกว่า ระดับมาตรวัดข้อมูล (ระดับค่าข้อมูล) ค่าของตัวแปรที่วัดได้ มีค่าที่เป็นไปได้ท้ังในเชิงคุณลักษณะและเชิงปริมาณ ตัวแปรที่มีค่าเป็นเชิง คุณลกั ษณะ วัดคา่ ได้เปน็ ค�ำบรรยายลกั ษณะ เชน่ ลักษณะการแตง่ กายของวยั รุน่ ฯลฯ สว่ นตวั แปร ทีม่ คี า่ ในเชงิ ปริมาณ วดั ค่าได้เป็นตวั เลข เชน่ อายุ ความสงู ฯลฯ ในการวัดตัวแปร สามารถแบ่งค่าหรือข้อมูล ท่ีได้จากการวัดเป็น 4 ระดับ (จาก ระดบั ตำ่� สุดไประดบั สูงสดุ ) ตามระดบั ของมาตรา (มาตรา แปลว่า หลักเกณฑ์ หรือ ข้อก�ำหนด) ดงั นี้ (Stevens, 1951, 1960; สุวิมล ตริ กานนั ท์, 2557) (1) มาตรานามบัญญัติ (Nominal scale) ข้อมูลหรือค่า ของตัวแปรท่ีวัดได้ในมาตรานี้ เป็นการจ�ำแนกประเภทหรือจัดหมวดหมู่ เช่น เพศ ค่าที่ได้คือ ชาย - หญงิ , สผี วิ คา่ ที่ได้คอื ขาว ด�ำ เหลือง ฯลฯ มลี กั ษณะดงั น้ี - เป็นข้อมูลในระดบั ตำ่� สุด - เป็นขอ้ มลู เชงิ คุณภาพ - มีขอ้ จำ� กัดทางด้านการใชส้ ถิติมากที่สุด - แยกเปน็ กลุ่ม ๆได้ - ไมส่ ามารถเรยี งลำ� ดับ บอกปริมาณ และความแตกต่างได้ - ไมส่ ามารถน�ำมาบวก ลบ คณู หาร กันได้ - สถติ ทิ ใ่ี ชจ้ ะเปน็ สถติ เิ ชงิ พรรณนา เชน่ ความถ่ี รอ้ ยละ ฐานนยิ ม (จะหาค่าเฉลี่ย หรือค่ามัธยฐานไม่ได้) และสถิติเชิงอ้างอิง เป็น Non-parametric Statistics ได้แก่ Chi-Square Test (2) มาตราอันดับ (Ordinal scale) ขอ้ มลู หรือคา่ ของตัวแปรท่ี วัดไดใ้ นมาตราน้ี เชน่ ยศของทหาร ร้อยตรี ร้อยโท รอ้ ยเอก ชน้ั การเรยี นของนกั ศึกษา ปีท่ี 1 ปที ่ี 2 ปีที่ 3 ปที ่ี 4 มีลักษณะดังน้ี - เปน็ ข้อมลู เชิงคุณภาพ - แยกเป็นกลมุ่ ๆ ได้ - เรยี งล�ำดบั จากมากมาหานอ้ ยหรือจากนอ้ ยไปหามาก - สามารถบอกล�ำดับได้ - ใหร้ ายละเอยี ดมากกว่าขอ้ มลู ในระดับมาตรานามบัญญตั ิ

54 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา - ไม่สามารถนำ� มา บวก ลบ คูณ หาร กันได้ - ไม่สามารถบอกปริมาณความแตกต่างแต่บอกความมากน้อย ระหวา่ งหนว่ ยทว่ี ดั ได้ - สถิติทใ่ี ช้เป็นสถิติเชงิ พรรณนา ไดแ้ ก่ ความถ่ี ร้อยละ ฐานนยิ ม มธั ยฐาน พสิ ยั (Range) ส่วนเบยี่ งเบนควอไทล์ (Quartie deviation : Q.D.) และสถติ ิเชงิ อา้ งองิ เปน็ Non-parametric Statistics ไดแ้ ก่ Chi-Square Test (3) มาตราอนั ตรภาค (Interval scale) ขอ้ มลู หรอื ค่าของตวั แปรที่ วดั ไดใ้ นมาตรานเี้ ป็นการบอกปริมาณความแตกตา่ งระหว่างแตล่ ะค่าไดอ้ ยา่ งชัดเจน เช่น อุณหภมู ิ ของห้อง 25 องศา อกี ห้องหน่งึ 20 องศา ความแตกตา่ งของอุณหภมู ิของ 2 ห้อง มคี า่ เท่ากบั 5 องศา หรือ IQ (ระดับสมอง) ของนักเรียนทั้งสองคน เป็น 105 และ 125 ตามล�ำดับ ความแตกต่างคือ นักเรียนคนที่ 2 มี IQ สงู กวา่ นกั เรยี นคนแรก 20 หนว่ ย หรอื คะแนนสอบของนักเรยี น 2 คน เปน็ 10 และ 20 ตามลำ� ดบั ความแตกต่าง คือ นกั เรยี นคนที่ 2 ไดค้ ะแนนมากกวา่ คนแรก 10 คะแนน แต่นักเรยี นท่สี อบได้ 0 คะแนน ไม่ได้หมายความวา่ ไม่มคี วามรู้ในเร่ืองทส่ี อบ เพราะอาจมหี วั ข้อท่ี นักเรยี นรแู้ ต่ไม่ไดน้ �ำมาออกขอ้ สอบ อาจสรุปลักษณะของข้อมูลในมาตราน้ีได้ดังนี้ - เป็นขอ้ มลู เชิงปรมิ าณ - บอกชว่ งความหา่ งของความแตกต่างได้แนน่ อน - ไมม่ ศี นู ยแ์ ท้ (True zero) แตม่ ีศูนย์สมมติ (Arbitrary zero) - เป็นขอ้ มูลทมี่ คี า่ ตอ่ เนือ่ ง - นำ� มา บวก ลบ และคูณได้ (ไม่สามารถน�ำมาหารกันได)้ - สถิติท่ีใช้ คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย (X) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และสถิติเชิงอ้างอิง เป็น Parametric statistics ได้แก่ Z-test , t-test , F-test , ANOVA และเป็น Non-parametric Statistics ไดแ้ ก่ Chi-Square Test (4) มาตราอัตราส่วน (Ratio scale) ข้อมูลหรือค่าของตัวแปรที่ วัดได้ในมาตราน้ี บอกความแตกต่างระหว่างแต่ละค่าได้อย่างชัดเจนและมีค่าท่ีเป็นศูนย์แท้ และ เปน็ ขอ้ มูลที่สามารถชง่ั ตวงวดั ได้ เชน่ ความสูง น้ำ� หนัก อายุ ฯลฯ อาจสรุปลกั ษณะได้ดังนี้ - เปน็ ขอ้ มลู เชงิ ปริมาณ - บอกความแตกตา่ งระหวา่ งแตล่ ะค่าได้อย่างชัดเจน - มีคา่ เปน็ ศนู ยแ์ ท้ - เปน็ ขอ้ มูลระดับสูงสุด - เป็นข้อมลู ทม่ี จี ดุ ทศนิยมได้ - สามารถ น�ำมา บวก ลบ คูณ หาร ได้

Research in Educational Administration • 55 - เนื่องจากมีศูนย์แท้ ท�ำให้บอกอัตราส่วนของค่าหน่ึงต่ออีก ค่าหนึ่งได้ เช่น อายุ 40 ปี มากเป็น 2 เท่าของอายุ 20 ปี หรือน้�ำหนักของนักเรียน 60 กิโลกรัม หนกั เป็น 2 เทา่ ของนักเรยี นที่หนกั 30 กิโลกรมั - สถิติที่ใช้ ใช้สถิติเชิงพรรณนาได้เหมือนข้อมูลในมาตรา อันตรภาค และสามารถใชส้ ถติ ิเชงิ อ้างอิงไดท้ กุ ชนิดตามความเหมาะสมของงานวิจัยนน้ั ๆ 2) การวัดตวั แปร เป็นการวัดค่าตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม (Independent and Dependent Variables Measurement) (ตามกรอบแนวคดิ ) ผู้วิจยั ควรดำ� เนินการตามขัน้ ตอน ดังนี้ 2.1) ก�ำหนดนิยามเชงิ ทฤษฎีหรอื เชิงแนวคดิ หรือองค์ประกอบ 2.2) กำ� หนดนยิ ามตวั แปร หรอื สร้างนิยามเชิงปฏบิ ัติการ 2.3) กำ� หนดมาตรวัดและสร้างเครื่องมือ 2.4) ตรวจสอบคุณภาพของเคร่อื งมือ 2.5) กำ� หนดวธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากขน้ั ตอนดงั กลา่ วขา้ งตน้ จะเหน็ วา่ งานขน้ั แรกของการวดั คา่ ตวั แปร คอื การใหน้ ยิ ามตวั แปร และในการนยิ ามตวั แปรนน้ั มี 2 ระดบั ดงั นี้ (สวุ มิ ล ตริ กานนั ท,์ 2557, หนา้ 80) 1. นิยามเชิงทฤษฎีหรือนิยามเชิงแนวคิดหรือนิยามองค์ประกอบ (Theoretical, Conceptual or Constitutive Definition) เป็นการอธิบายความหมายของตัวแปร โดยอาศยั หลักการทางทฤษฎีและแนวคิดตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วข้องกบั ตัวแปรนั้น ๆ หรอื เป็นการใหค้ วาม หมายของสังกัป (ความคิดรวบยอด/มโนทัศน์/มโนมติ/แนวคิด) ใหม่ โดยใช้สังกัปเดิมซึ่งเป็นท่ี ยอมรบั กนั แลว้ แสดงลกั ษณะเฉพาะองค์ประกอบ หรือโครงสร้างของสงั กปั น้นั หรอื กล่าวอกี นยั หน่ึงว่า เป็นการอธิบายความหมายของตวั แปรตามพจนานุกรมซง่ึ ยงั เปน็ นามธรรม ยังไม่สามารถ สงั เกตหรือวดั ไดโ้ ดยตรง 2. นยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร (Operational Definition) เปน็ การอธบิ ายความ หมายของตวั แปรโดยสะทอ้ นหรอื ชใ้ี หเ้ หน็ ถงึ การกระทำ� (Action) หรอื พฤตกิ รรม (Behaviors) ท่ี เปน็ ตวั บง่ ชขี้ องคณุ ลกั ษณะของตวั แปรนน้ั ๆ ในเชงิ รปู ธรรม ชดั เจน สามารถวดั และสงั เกตได้ หรอื อาจกลา่ ววา่ นยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร เปน็ การระบกุ จิ กรรมในการวดั หรอื จดั กระทำ� ตวั แปรนนั้ ๆ ของ นกั วจิ ยั หรอื กลา่ วอกี นยั หนง่ึ วา่ นยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร เปน็ การระบถุ งึ สว่ นยอ่ ย ๆ หรอื ลกั ษณะยอ่ ย ๆ หรือโครงสร้างย่อย ๆ ของตัวแปร ซึ่งท�ำให้ผู้วิจัยสามารถสังเกตหรือวัดจากส่วนประกอบย่อย ๆ เหล่านั้นได้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม ปัญหาของนิยามเชิงปฏิบัติการ ก็คือ การนิยามตัวแปร ใหม้ ลี กั ษณะเปน็ รปู ธรรม ทำ� ไดห้ ลายมติ ิ ผวู้ จิ ยั จงึ ตอ้ งตระหนกั วา่ ตอ้ งนยิ ามในมติ ทิ ชี่ ดั เจนเหมาะ สมกับตัวแปรและกลุ่มเป้าหมาย มีความสมเหตุสมผล โดยจะต้องมีลักษณะครอบคลุมนิยามเชิง ทฤษฎดี ว้ ย

56 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา ตวั อย่างการนยิ ามตวั แปร ตวั อย่างท่ี 1 ตวั แปร “ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น” นิยามเชิงทฤษฎี หมายถึง ความรู้ความสามารถของนักเรียนท่ีเป็นผลมาจากการจัดการ เรียนการสอน นิยามเชิงปฏบิ ัตกิ าร หมายถึง คะแนนเฉล่ียจากผลการสอบปลายภาควิชาคณิตศาสตร์ของ นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ที่ไดจ้ ากการทดสอบทค่ี รูสรา้ งขึ้น ตวั อย่างท่ี 2 ตัวแปร “ความยากของขอ้ สอบ” นิยามเชิงทฤษฎี หมายถงึ ความร้สู กึ ของผูส้ อบที่ท�ำขอ้ สอบไมไ่ ด้ นยิ ามเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร หมายถึง สัดส่วนของจ�ำนวนผู้ที่ตอบข้อสอบนั้นถูกต่อจ�ำนวนผู้สอบ ทง้ั หมด ตัวอย่างท่ี 3 ตวั แปร “ฐานะทางเศรษฐกิจของครวั เรือน” นยิ ามเชงิ ทฤษฎี หมายถงึ ภาวะทางการเงนิ ของสมาชกิ ในครวั เรอื นรวมถงึ ตวั เลขทแี่ สดง ถงึ การอปุ โภคและบรโิ ภค นยิ ามเชงิ ปฏบิ ัติการ หมายถงึ รายได้ รายจา่ ยของครวั เรอื นและของสมาชกิ แตล่ ะคนทเ่ี กดิ ขน้ึ ประจ�ำและท่ีเกดิ ขนึ้ เปน็ พเิ ศษ 3) การควบคมุ ตวั แปรแทรกซอ้ น(Extraneous Variable Control) (ซงึ่ จะเกดิ จากการสมุ่ ตวั อยา่ งทส่ี มุ่ ได)้ เปน็ การควบคมุ ตวั แปรทผ่ี วู้ จิ ยั ไมไ่ ดศ้ กึ ษาแตม่ ผี ลตอ่ การเปลยี่ นแปลง คา่ ของตัวแปรตาม โดยเปน็ ตวั แปรทที่ ำ� ใหค้ วามตรงภายใน (Internal validity) ลดลง ซ่ึงหมายถึง ท�ำให้ผลการวิจัยท่ีค้นพบไม่ใช่ผลจากตัวแปรอิสระหรือส่ิงทดลอง (Treatment) การสรุปผล การวิจัยจึงไม่สามารถกล่าวสรุปได้อย่างหนักแน่นว่า ผลการวิจัยท่ีค้นพบเป็นผลจากส่ิงทดลอง ทผ่ี วู้ ิจยั ศึกษา มวี ธิ ีการควบคมุ ตัวแปรแทรกซอ้ นหลายวิธดี ังนี้ 3.1) การจัดการแบบสุ่ม หรือการสุ่ม (Randomization) เป็นการสุ่ม แบ่งกลุ่มให้คละกันพอดีโดยเป็นการสุ่มตัวอย่างเพ่ือควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน อันเนื่องมาจาก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ มักพบในการวิจัยเชิงทดลอง แบ่งการสุ่มออกเป็น 2 ขั้นตอน ข้ันตอนแรก คือ การสมุ่ ตวั อยา่ งจากประชากรเปา้ หมายทต่ี อ้ งการศกึ ษาเพอื่ ใหไ้ ดก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งทเี่ ปน็ ตวั แทนทด่ี ขี อง ประชากร การส่มุ ในขัน้ ตอนนี้ เรยี กว่า “การส่มุ ตวั อยา่ งจากประชากร” (Random selection) ซ่ึงก็ คอื การสมุ่ ตวั อยา่ ง (Random sampling) ตามหลกั การทวั่ ไป และขนั้ ตอนทส่ี องเปน็ การสมุ่ ตวั อยา่ ง เข้าสู่กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เรียกการสุ่มในข้ันตอนนี้ว่า “การสุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลอง และกลมุ่ ควบคมุ ” (Random assignment) 3.2) การจบั คู่ (Matching) เป็นการควบคุมตวั แปรแทรกซอ้ นโดยการ จับค่รู ะหว่างกลุม่ ตวั อย่าง เพื่อสุ่มกลมุ่ ตัวอย่างเขา้ กลุ่มทม่ี คี วามเท่าเทยี มกัน เป็นการจบั คู่ระหว่าง ตวั อยา่ งใหม้ ลี กั ษณะเหมอื นกนั หรือคล้ายกันมากทีส่ ุดในดา้ นตา่ ง ๆ เพอ่ื ความเทา่ เทยี ม เชน่ ฐานะ

Research in Educational Administration • 57 ไอคิว และผลการเรียน เป็นคู่ ๆ เพื่อแยกเข้ากลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง วิธีการน้ีมักพบใน การวจิ ยั เชิงทดลอง 3.3) การจัดบล็อก (Blocking) เปน็ การจดั บลอ็ ก คอื แบง่ หนว่ ยทดลอง ออกเปน็ กลมุ่ เรยี กวา่ บลอ็ ก โดยการจดั หนว่ ยทดลองทอี่ ยใู่ นบลอ็ กเดยี วกนั ใหเ้ หมอื นกนั มากทส่ี ดุ และตา่ งบลอ็ ก จดั ใหม้ คี วามแตกตา่ งออกไปอยา่ งชดั เจน เพอื่ ดผู ลการวจิ ยั ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในแตล่ ะกลมุ่ ที่ แตกต่างกันนั้น จ�ำนวนหน่วยทดลองในแต่ละบล็อก จัดให้มีจ�ำนวนเท่ากับจ�ำนวนทรีทเมนต์ (Treatment) จากนนั้ สมุ่ ทรที เมนตใ์ หแ้ กห่ นว่ ยทดลองทลี ะบลอ็ ก กลา่ วคอื แตล่ ะบลอ็ ก ตอ้ งมกี าร ทดลองครบทกุ ทรที เมนต์ แตล่ ะหนว่ ยทดลองในแตล่ ะบลอ็ ก จะไดร้ บั ทรที เมนตใ์ ดทรที เมนตห์ นงึ่ โดยการสมุ่ วธิ ีการนี้นยิ มใชใ้ นการวจิ ยั เชงิ ทดลอง 3.4) ควบคุมด้วยวิธีการทางสถิติ การควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดย ใช้วิธีการทางสถิติในการควบคุม (Statistical Control) เป็นการใช้วิธีการท่ีเหมาะสมเพื่อควบคุม ตัวแปรแทรกซ้อนในการวิจัย เช่น การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of Covariance : ANCOVA) การวเิ คราะหถ์ ดถอยพหุ (Multiple Regression Analysis) การวเิ คราะหค์ วามแปรปรวน แบบหลายทาง ฯลฯ วธิ กี ารน้ใี ช้ได้ทง้ั ในการวจิ ัยเชิงทดลองและการวิจยั ท่ไี มใ่ ชเ่ ชิงทดลอง 2.2.3 การออกแบบการวเิ คราะห์ข้อมูล (Analysis Design) หมายถึง การเลอื ก แบบการวิเคราะห์ให้เหมาะสมกับข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ เพื่อน�ำไปสู่การตอบค�ำถามตาม วัตถุประสงค์และสมมตฐิ านการวิจัย (ถา้ ม)ี แบบการวิเคราะห์ขอ้ มลู แบ่งตามประเภทของข้อมลู มี 2 ประเภท ดังนี้ 1) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative data analysis) เป็นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยใชส้ ถิตเิ ข้าชว่ ย ประกอบดว้ ยการเลือกใช้สถติ ิ 2 ประเภท ดังนี้ 1.1) การเลือกใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) เป็นการเลือกใช้สถิติเพื่อพรรณนาหรือบรรยายลักษณะหรือความสัมพันธ์ของข้อมูลในกลุ่ม ตัวอยา่ งหรือประชากร โดยเลอื กใชใ้ หเ้ หมาะสมกับมาตรการวดั ขอ้ มูลและวัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย 1.2) การเลือกใช้สถิติเชิงอ้างอิง (Inferential statistics) เป็น การเลอื กใชส้ ถติ เิ พอื่ เปน็ การสรปุ ขอ้ มลู คา่ สถติ จิ ากกลมุ่ ตวั อยา่ งไปยงั คา่ พารามเิ ตอรข์ องประชากร ซ่ึงเลือกใช้ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย และข้อตกลงเบื้องต้น (เงื่อนไขการใช้) ของสถิตินน้ั ๆ 2) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative data analysis) เป็น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณลักษณะ โดยใช้หลักความเป็นเหตุเป็นผล วิธีการที่นิยมใช้กันอยู่ใน ทางการบริหารการศกึ ษา มีดังน้ี 2.1) การวิเคราะหเ์ ชิงเน้อื หา (Content analysis) เปน็ วธิ ีการใน ทางสังคมศาสตร์เพ่ือการศึกษาเนื้อหาของเอกสาร โดยการแยกแยะแจกแจงเน้ือหาหรือแนวคิด ท่ีปรากฏในเอกสาร ต�ำรา หนังสือ ข่าวสาร ส่ือสิ่งพิมพ์ บทสนทนา หรือรูปภาพ ให้เห็นถึง ส่วนประกอบและความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบหลัก หรือเป็นเทคนิคการวิเคราะห์ท่ีจะ

58 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษา บรรยายเน้ือหาของข้อความท่ีจะปรากฏในเอกสาร โดยไม่เน้นการตีความ หรือการหาความหมาย ที่ซ่อนไว้เบ้ืองหลัง ทั้งนี้ ผู้วิจัยต้องไม่มีอคติหรือใส่ความคิด และความรู้สึกของตนเองเข้าไป (Mayring, 2001; Williamson & Long, 2005) ในการวิเคราะห์ข้อมูลเอกสารนั้น สามารถท�ำได้โดยวิธีการเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลา่ วคอื วิธีการเชิงปริมาณ คอื การท�ำให้ขอ้ มูลของเอกสารนัน้ จดั ออกเปน็ ตวั เลขได้ เช่น ในภาพ เขียน อาจแยกออกมาได้ว่า ใชส้ ีจำ� นวน 4 สี เพือ่ ใหเ้ กิดเป็นภาพนั้น หรือคนใชค้ ำ� พดู พดู ซ�้ำ ๆ กนั กคี่ รงั้ ส่วนวธิ กี ารเชงิ คณุ ภาพ คือ การตคี วามสรา้ งขอ้ สรปุ แบบอุปนยั (Induction) จากเอกสาร ประกอบกบั เอกสารอน่ื ๆโดยอาจมกี ารแบง่ ประเภทตามเนอื้ หาของเอกสารและเปรยี บเทยี บเนอื้ หา ประเภทตา่ ง ๆ ตามเนอ้ื หา แล้วเปรยี บเทียบเฉพาะเน้อื หาเท่าน้ัน ในการวจิ ัยทางมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ การวิเคราะหเ์ นือ้ หามีบทบาทโดดเด่นใน การช่วยบรรยาย หรือแยกแยะสาระ (Message) ของขอ้ ความทไี่ ด้ศกึ ษา ซงึ่ ตวั บทที่จะวเิ คราะห์นนั้ มีองค์ประกอบหลัก ๆ 6 ประการ ได้แก่ 1) แหล่งที่มาของข้อความหรือสาระซ่ึงได้แก่ ผู้สื่อ (Source/Sender) 2) กระบวนการใส่ความของสาระ (Encoding Process) 3) ตัวสาระและขอ้ ความ (Message) 4) วิถีถ่ายทอดสาระไปยังผู้อ่ืน (Channel of Transmission) 5) ผู้รับสาระ (Detector) และ 6) กระบวนการถอดความหมายของสาระ (Decoding Process) จากองค์ประกอบดังกล่าว ตัวสาระหรือข้อความเป็นส่ิงที่ส�ำคัญท่ีสุด การวิเคราะห์ เนื้อหาเป็นวิธีการวิจัยที่สามารถช่วยวิเคราะห์ตัวสาระ หรือข้อความท่ีผู้วิจัยต้องการจะสื่อได้เป็น อย่างดี อย่างไรก็ตาม ผ้วู จิ ยั จะต้องระมดั ระวงั 2 ประการ ดังน้ี 1. เน้ือหาท่จี ะไดจ้ ากการวเิ คราะห์เอกสารตามเนอื้ หาทีม่ ีอยู่ในเอกสารนนั้ ไมใ่ ช่ เนื้อหาทผี่ ูว้ ิจัยเปน็ ผูก้ �ำหนด 2. คุณลักษณะเฉพาะที่นักวิจัยจะบรรยายหรือวิเคราะห์ ควรเป็นคุณลักษณะที่ ดึงข้ึนมาได้จากเอกสารมากกว่าการบรรยายหรือวิเคราะห์ โดยมีกรอบแนวคิดทฤษฎีก�ำหนดไว้ ล่วงหน้า กรอบแนวคิดเป็นเพียงส่ิงท่ีน�ำมาช่วยในการสร้างข้อสรุป หรือโยงข้อมูลท่ีดึงออกมาได้ เทา่ นั้น มิฉะนั้น การวิเคราะห์เนื้อหากจ็ ะไม่สามารถทำ� ได้อย่างเปน็ ระบบ สำ� หรบั ขน้ั ตอนการวเิ คราะหเ์ นอ้ื หาจากเอกสารขอ้ มลู นนั้ ผวู้ จิ ยั ควรดำ� เนนิ การตามลำ� ดบั ซ่ึงอาจแบง่ ออกได้อยา่ งนอ้ ย 3 ขน้ั ตอน ดังน้ี 1. ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งวางเคา้ โครงของขอ้ มลู โดยการทำ� รายชอื่ หรอื ขอ้ ความในเอกสาร ที่จะน�ำมาวิเคราะห์ แล้วแบ่งไว้เป็นประเภท (Categories) การกระท�ำเช่นนั้นจะช่วยให้มีความ สมำ่� เสมอ 2. ผู้วิจัยจะต้องค�ำนึงถึงบริบท (Context) หรือสภาพแวดล้อมประกอบของ ขอ้ มลู เอกสารทนี่ �ำมาวเิ คราะห์ เช่น ใครเปน็ ผเู้ ขียน ใครอ่าน ชว่ งเวลาเป็นอยา่ งไร ฯลฯ เพ่ือให้การ วิเคราะห์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีการบรรยายคุณลักษณะเฉพาะของเน้ือหาโดยโยงไป สลู่ กั ษณะของเนอื้ หาเขา้ กบั บรบิ ทของเอกสาร และมกี ารโยงคณุ ลกั ษณะดงั กลา่ ว เขา้ กบั กรอบแนว คิดทฤษฎีที่เหมาะสม ซ่ึงจะท�ำให้การวิเคราะห์ข้อมูลมีความกว้างข้ึน และน�ำไปสู่การอ้างอิงใช้ กบั ขอ้ มลู อืน่ ๆ ได้

Research in Educational Administration • 59 3. โดยปกติการวิเคราะห์เน้ือหา ผู้วิจัยจะท�ำตามเน้ือหาท่ีปรากฏ (Manifest Content) ในเอกสารมากกว่ากระท�ำกับเนอ้ื หาที่ซ่อนอยู่ (Latent Content) หวั ใจสำ� คัญในการวเิ คราะห์เนอ้ื หาน้นั คอื การวางระบบข้อมลู โดยการจัดประเภทของค�ำ และข้อความที่จะวเิ คราะห์ ซง่ึ การจัดประเภท (Categories) น้นั ควรมีลกั ษณะ 5 ประการ ได้แก่ 1) ระบบจำ� แนกประเภทควรสอดคลอ้ งกับวตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั 2) ระบบจำ� แนกประเภทควรมี ความครอบคลมุ คอื สามารถรองรบั คำ� และขอ้ ความทจ่ี ะถกู แจงไดเ้ ปน็ อยา่ งดี มกี ารระบรุ ายละเอยี ด แนวคดิ ตวั แปรใหช้ ดั เจนทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะทำ� ได้ 3) ตอ้ งมคี วามเดน่ ชดั ในตวั เอง 4) ไมค่ วรมคี วามซำ�้ ซอ้ น เหลอื่ มกนั และ 5) มกี ารใชห้ ลกั การเดียวกันในการจดั ระบบตลอดงานวจิ ัย และการวิเคราะห์ 2.2 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู แบบสร้างข้อสรุป ในการวิจยั เชิงคุณภาพ ซึ่งส่วนใหญ่ข้อมูลท่ีน�ำมาวิเคราะห์ จะเป็นข้อความบรรยาย (Descriptive) ซ่ึงได้จากการสังเกต สัมภาษณ์ และจดบันทึก การวิเคราะห์ข้อมูลแบบสร้างข้อสรุปน้ี มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท ได้แก่ 1) การวิเคราะห์แบบอุปนัย 2) การจ�ำแนกประเภทของข้อมูล และ 3) การเปรียบเทียบข้อมูล โดยอาจสรปุ ได้ ดังนี้ (Appleton, 1995) 1) การวเิ คราะหแ์ บบอุปนยั (Inductive analysis) คอื การ ตีความสรา้ งขอ้ สรปุ ขอ้ มลู จากสง่ิ ท่เี ปน็ รปู ธรรม หรือปรากฏการณท์ ่มี องเห็น เชน่ พธิ ีกรรม การ ด�ำเนินชีวิต ความเป็นอยู่ การท�ำงาน ฯลฯ เมื่อผู้วิจัยได้ข้อมูลท่ีจะน�ำมาวิเคราะห์ ซึ่งส่วนใหญ่จะ เป็นข้อความบรรยาย (Descriptive) ท่ีไดจ้ ากการสงั เกต สมั ภาษณ์ และจดบนั ทึก แล้วจึงลงมอื สรุป แต่หากข้อสรุปน้ันยังไม่ได้รับการตรวจสอบอ่ืน ๆ ก็ถือว่า ผลที่ได้เป็นสมมติฐาน หากได้รับการ ยืนยนั กถ็ ือว่าเป็นข้อสรุปได้ 2) การวเิ คราะหโ์ ดยการจำ� แนกประเภทขอ้ มลู (Typological analysis) คือ การจ�ำแนกข้อมูลเป็นประเภท หมายถึง ขั้นตอนของเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนอย่าง ต่อเน่อื ง ซึ่งสามารถแบง่ ออกได้เปน็ 2 วธิ ี คือ 1) แบบใชท้ ฤษฎี และ 2) แบบไม่ใช้ทฤษฎี โดยอาจ สรปุ ได้ ดงั น้ี (Miles & Huberman, 1994) 2.1) แบบใชท้ ฤษฎี คอื การแยกประเภทในเหตกุ ารณ์ นน้ั ๆ โดยการยดึ แนวคดิ ทฤษฎเี ปน็ กรอบ ซงึ่ สามารถแยกประเภทออกไดด้ งั น้ี 1) การกระทำ� (Acts) คือ เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ หรอื พฤตกิ รรม ที่เกิดขึ้นในชว่ งระยะเวลาใดเวลาหนง่ึ 2) กจิ กรรม (Activities) คอื เหตกุ ารณห์ รอื สถานการณข์ นบประเพณที เี่ กดิ ขน้ึ ในลกั ษณะตอ่ เนอ่ื ง มคี วามผกู พนั กบั คนบางกลมุ่ 3)ความหมาย(Meaning)คอื การทบ่ี คุ คลอธบิ ายหรอื สอื่ สารในความหมายเกยี่ วกบั การกระท�ำหรอื กจิ กรรม อาจเปน็ การให้ความหมายในลักษณะเก่ยี วกับโลกทัศน์ 4) ความสมั พนั ธ์ (Relationship) คอื ความเกยี่ วโยงระหวา่ งบคุ คลหลาย ๆ คน ในสงั คมทศี่ กึ ษาในรปู แบบหนง่ึ ซง่ึ อาจ จะเปน็ รปู ของการเขา้ กนั ได้ หรอื ความขดั แยง้ กนั กไ็ ด้ 5) การมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรม (Participation) คอื การทบี่ คุ คลมคี วามผกู พนั และเขา้ รว่ มกจิ กรรม หรอื ปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สถานการณ์ และ 6) สภาพ หรอื สถานการณ์ (Setting) คือ สภาพการณ์ท่กี ารกระท�ำ หรอื กจิ กรรมเกดิ ขนึ้ จริง ผู้วิจัยจะต้องแยกออกเป็นข้ันตอน เพ่ือความสะดวกในการวิเคราะห์ และตรวจสอบ ซึ่งในการวิเคราะห์นั้น ผู้วิจัยจะต้องพยายามตอบค�ำถามว่าส่ิงที่วิเคราะห์นั้น

60 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา มรี ูปแบบอย่างไร เกดิ ขึ้นอย่างไร เพราะเหตุใด และจะมผี ลกระทบต่อกจิ กรรม สถานการณ์ หรือ ความสัมพันธ์นั้น ๆ ได้อย่างไร ซ่ึงการตอบค�ำถามเหล่าน้ันจะต้องอาศัยการเก็บข้อมูลหลาย อย่าง หลายวิธี ผู้วิจัยเองจะต้องวิเคราะห์อย่างลึกซ้ึง และรอบครอบ เพราะสาเหตุท่ีท�ำให้เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึน้ จากสาเหตเุ ดียว แตอ่ าจเกิดข้ึนจากสาเหตุตา่ ง ๆ ซึง่ อาจแบ่งออกไดเ้ ปน็ 1) เกดิ ขึน้ จาก สาเหตุเดยี ว (Single Cause) 2) หลายสาเหตแุ ต่ไม่ซบั ซ้อน (Multiple Cause หรอื List) 3) หลาย สาเหตุ ซ่งึ พอกพนู ท�ำให้ซบั ซอ้ น (Cumulative Cause) ซงึ่ โดยปกติแล้ว กรอบทฤษฎีท่ีนิยมใชก้ ัน มากในการจำ� แนกประเภท คอื ทฤษฎีโครงสร้างตามหนา้ ที่ 2.2) แบบไม่ใช้ทฤษฎี คือ การจ�ำแนกข้อมูลที่จะ วเิ คราะหต์ ามความเหมาะสมกบั ขอ้ มลู ซง่ึ อาจใชส้ ามญั สำ� นกึ หรอื ประสบการณข์ องผวู้ จิ ยั ซง่ึ ผวู้ จิ ยั จะจำ� แนกขอ้ มลู เปน็ ชนดิ งา่ ย ๆ ตามประเภททผี่ วู้ จิ ยั สงั เกต เมอ่ื จำ� แนกขอ้ มลู เปน็ ชนดิ แลว้ ผวู้ จิ ยั จะ พจิ ารณาดคู วามสมำ�่ เสมอของการเกดิ ของขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ซงึ่ จะเปน็ พนื้ ฐานในการอธบิ ายสาเหตขุ อง ปรากฏการณ์ ในการจ�ำแนกขอ้ มูลเป็นชนิดทง้ั โดยใช้ หรือไม่ใชก้ รอบแนวคดิ ทฤษฎนี ี้ ผู้วิจยั จะได้ ก�ำหนดหนว่ ยวเิ คราะหใ์ หแ้ กข่ อ้ มูลดว้ ย 3) การวิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบข้อมูล (Constant Comparison) คือ การใช้วิธีการเปรียบเทียบโดยการน�ำข้อมูลมาเทียบเป็นปรากฏการณ์ มีความ เป็นรูปธรรมมากขึ้น สามารถท�ำได้โดยการที่ผู้วิจัยสังเกต หรือรวบรวมข้อมูลได้หลาย ๆ อย่าง แลว้ น�ำมาแยกตามชนิด น�ำมาเปรียบเทียบกนั โดยท�ำตารางหาความสัมพนั ธ์จากสงิ่ ต่าง ๆ เหลา่ นนั้ และสรุปผลออกมา 3. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง  3.1 ประชากร (Population)  ค�ำว่า “ประชากร” ในการวจิ ัย หมายถงึ สมาชิกท้ังหมดของส่ิงทผ่ี ู้วิจยั ตอ้ งการจะ ศึกษา ซึง่ อาจจะเป็นคน สตั ว์ วัตถุ สิง่ ของ พฤติกรรม หรือปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ (วรรณี แกมเกต,ุ 2551, หน้า 273) หรอื หมายถงึ สงิ่ นั้น ๆ ท้งั หมดทอ่ี ยใู่ นขา่ ยการพจิ ารณา เชน่  “การศกึ ษาคา่ นิยม ทางสังคมของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ในเขตการศกึ ษา 2 ปีการศึกษา 2561” จากตัวอยา่ งนี้ ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ในเขตการศึกษา 2 ทุกคน ท่ีศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 2561 “การศึกษาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จงั หวัดนครปฐม ปีการศกึ ษา 2562” จากตัวอยา่ งน้ี ประชากร คือ นกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาตอนต้น ในจังหวัดนครปฐมทุกคนที่ศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 2562 ประชากรในการวิจัยดังกล่าว อาจแบ่ง ออกได้ 2 ประเภท ซ่งึ อาจสรปุ ได้ ดังนี้ (วรรณี แกมเกต,ุ 2551, หน้า 273-274) 1) ประชากรที่มีจ�ำนวนจ�ำกัด (Finite population) หมายถึง ประชากรท่ี สามารถนับจ�ำนวนสมาชิกได้ว่ามีอยู่ทั้งหมดเท่าไร เช่น จ�ำนวนอาจารย์ของมหาวิทยาลัย จ�ำนวน พนกั งานของบริษัท ฯลฯ

Research in Educational Administration • 61 2) ประชากรทม่ี จี �ำนวนไม่จ�ำกัด (Infinite population) หมายถึง ประชากรที่ ไมส่ ามารถนับจำ� นวนสมาชกิ ไดว้ ่า มอี ย่ทู ้งั หมดเท่าไร เชน่ จำ� นวนปลาในอ่าวไทย จ�ำนวนนกใน ประเทศไทย ฯลฯ 3.2 กลุ่มตัวอย่าง (Sample)  หมายถึง สมาชิกบางส่วนของสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการจะ ศกึ ษา โดยทบี่ างสว่ นของสมาชกิ ทงั้ หมดน้ี เปน็ ตวั แทนของประชากรทงั้ หมด การเลอื กตวั อยา่ งเพอ่ื ใช้ในการวิจัย มคี วามส�ำคญั อย่างย่งิ ดงั นน้ั ในการเลือกตัวอยา่ งจะต้องกระท�ำดว้ ยความรอบคอบ โดยค�ำนงึ ถึงหลกั 2 ประการ ดงั น้ี (วรรณี แกมเกต,ุ 2551; บญุ ใจ ศรสี ถิตยน์ รากูร, 2553) 1) ขนาดกลุ่มตัวอย่าง (Sample size) จะต้องมีจ�ำนวนมากพอที่จะทดสอบ ความเชื่อม่ันทางสถิติได้ และมากพอท่ีจะอ้างอิงสรุปไปยังประชากรที่ต้องการศึกษา ถ้ากลุ่ม ตัวอย่างท่ีได้เป็นตัวแทนของประชากรท่ีต้องการศึกษาแล้ว ค่าสถิติ (Statistic) จะใกล้เคียง กับคา่ พารามิเตอร์ (Parameter) มากทสี่ ดุ 2) ความเป็นตัวแทน (Representative) หมายถึง ผู้ท่ีจะได้รับเลือกหรือสุ่ม มาเป็นตัวอย่าง จะต้องมีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติเหมือนหรือใกล้เคียงกับประชากรท่ีต้องการ ศึกษา โดยคุณลักษณะหรือคุณสมบัติต่าง ๆ ของสมาชิกในตัวอย่างจะแทนคุณลักษณะหรือ คุณสมบัตติ า่ ง ๆ ของสมาชิกในประชากรทง้ั หมด จากประชากร (Population) ทีห่ มายถงึ สมาชกิ ท้ังหมดของสิ่งท่ีผ้วู จิ ยั ตอ้ งการจะ ศึกษา และกลมุ่ ตวั อย่าง (Sample) ท่ีหมายถึง สมาชิกบางส่วนของส่งิ ทผี่ วู้ ิจัยตอ้ งการจะศกึ ษานัน้ อาจแสดงใหเ้ หน็ ไดเ้ ป็นรูปธรรมดังแสดงในภาพท่ี 2.7 ประชากร กล่มุ ตวั อยา่ ง ภาพที่ 2.7 ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง ทม่ี า. วรรณี แกมเกตุ (2551, หนา้ 247) 4. เครอ่ื งมอื และการสรา้ งเคร่อื งมอื เมอ่ื ผู้ศกึ ษาไดต้ ัวแปรท่ีใช้ในการวิจัยแลว้ งานขัน้ ตอนท่ีส�ำคัญตอ่ ไป คอื การสรา้ งเคร่อื ง มือเพื่อใช้วัดตวั แปร โดยมีขั้นตอนการสรา้ งเคร่ืองมอื ดังนี้ 4.1) ศึกษาและทบทวนแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับตัวแปรท่ี ต้องการจะสร้างเครือ่ งมอื 4.2) ก�ำหนดตัวแปรท่ผี ูว้ ิจัยต้องการจะสร้างเครือ่ งมอื 4.3) ก�ำหนดนิยามเชงิ ทฤษฎี (ไดจ้ ากการทบทวนวรรณกรรม)

62 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา 4.4) ก�ำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ ซึ่งต้องวัดค่าได้และสังเกตได้ เช่น สังเกตจาก อากปั กริ ยิ าพฤตกิ รรมการปฏบิ ตั ิหรอื คำ� พดู ฯลฯรวมทง้ั ตอ้ งระบดุ ว้ ยวา่ ใครเปน็ ผแู้ สดงอากปั กริ ยิ า พฤตกิ รรม การปฏบิ ตั ิ หรอื คำ� พดู นน้ั ๆ โดยจะตอ้ งเปน็ คำ� นยิ ามทส่ี อดคลอ้ งกบั แนวคดิ ทฤษฎี ของ ตวั แปรทผี่ ูว้ ิจัยน�ำมาใช้ในงานวิจยั 4.5) ออกแบบมาตรวดั เครอื่ งมอื วจิ ยั ซงึ่ มหี ลายลกั ษณะ เชน่ มาตรวดั ประเมนิ คา่ หรือประมาณค่า (Rating scale) มาตรวดั แบบลเิ คริ ท์ (Likert scale) ฯลฯ 4.6) ถ้าเครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม ควรเลือกลักษณะมาตรวัดให้เหมาะ สมกับตัวแปรที่ต้องการสร้างเคร่ืองมือวัด เช่น ตัวแปรท่ีศึกษา คือ เจตคติต่อวิชาชีพ มาตรวัดที่ เหมาะสมคือมาตรวัดแบบลิเคิร์ท (Likert scale) หรือตัวแปรท่ีศึกษา คือ สภาพแวดล้อมใน การท�ำงาน มาตรวัดทเี่ หมาะสม คอื มาตรวัดประมาณคา่ (Rating scale) 4.7) ร่างข้อค�ำถาม โดยร่างให้มีความตรงเชิงเนื้อหา คือ สาระในข้อค�ำถามต้อง สอดคลอ้ งกับค�ำนิยามเชิงปฏบิ ตั ิการ และค�ำนิยามเชงิ ทฤษฎี 4.8) เรยี งลำ� ดบั คำ� ถาม โดยเรยี งคำ� ถามที่อา่ นงา่ ย ๆ ไปยงั คำ� ถามทยี่ าก ๆ รวมทัง้ เรียงค�ำถามให้เป็นหมวดหมู่ 4.9) หาผเู้ ชย่ี วชาญและผทู้ รงคณุ วฒุ ิ เพอื่ ตรวจคณุ ภาพของเครอ่ื งมอื ในดา้ นความ ตรงเชิงเน้ือหา (Content validity) ซึ่งค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา ที่ยอมรับได้ต้องมากกว่า .50 (วรรณี แกมเกตุ, 2551, หน้า 221) 4.10) ปรับปรงุ เครื่องมือตามข้อเสนอแนะของกลุม่ ผเู้ ช่ยี วชาญและผูท้ รงคณุ วุฒิ 4.11) น�ำเคร่ืองมือไปทดลองใช้ (Try out)โดยทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างท่ีมี คุณลักษณะคล้ายกับกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัย แต่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มตัวอย่าง ในงานวิจยั นั้น และขนาดตัวอยา่ งที่ทดลองใช้ ไมค่ วรน้อยกวา่ 30 คน (อาจกล่าวได้วา่ ทดลองใช้ กับกลุ่มประชากรท่ีมีคุณลักษณะคล้ายกับกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัย จ�ำนวนไม่น้อยกว่า 30 คน) เพราะถ้านอ้ ยกวา่ น้ัน ค่าความเท่ียงจะมีความคลาดเคลอ่ื นสงู 4.12) วตั ถปุ ระสงคข์ องการทดลองใชก้ เ็ พอ่ื ตรวจสอบคา่ ความเทยี่ ง (Reliability) ของเครอื่ งมือ 4.13) วเิ คราะหร์ ายข้อ (Item analysis) เพื่อตรวจสอบแบบแผนการตอบค�ำถาม แต่ละข้อของกลุ่มตัวอย่าง โดยการหาค่าสหสัมพันธ์รายข้อกับคะแนนรวมท้ังฉบับ ซึ่งวิเคราะห์ โดยใช้โปรแกรมส�ำเร็จรูปทางสถิติ SPSS ซ่ึงวัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์รายข้อก็คือ การหา คา่ ความสอดคล้องภายใน (Internal consistency) และคัดเลือกขอ้ ค�ำถามท่ไี ม่ตรงตามเกณฑ์ออก ได้แก่ ข้อค�ำถามท่ีได้ค่าสหสัมพันธ์รายข้อกับคะแนนรวมท้ังฉบับ (Corrected item total correlation) ระดับต่�ำกว่า .30 หรือ .40 ส่วนค�ำถามใดมีค่าสหสัมพันธ์รายข้อกับคะแนนรวมทั้ง ฉบับ +.30 ขึ้นไป จัดเป็นข้อค�ำถามท่ีดี และควรคัดเลือกมาจัดท�ำเป็นแบบสอบถาม เพื่อจะใช้ รวบรวมข้อมลู กบั กลุ่มตวั อยา่ งของงานวจิ ัย (Jacobson, 1988) ค่าสหสัมพันธ์รายข้อกับคะแนนรวมท้ังฉบับจะมีค่าระหว่าง -1.00 ถึง + 1.00 ข้อคำ� ถามใดทีม่ คี า่ ดังกลา่ ว +.30 ขนึ้ ไป จดั เปน็ ขอ้ ค�ำถามทด่ี ี ขอ้ คำ� ถามใดที่มคี า่ ดังกลา่ วนั้น เป็น

Research in Educational Administration • 63 คา่ บวก (+) หมายความวา่ กลุ่มตัวอยา่ งตอบคำ� ถามขอ้ นนั้ ไปในทิศทางเดียวกับการตอบคำ� ถามขอ้ อ่ืน ๆ ในแบบสอบถาม แต่ถ้าข้อค�ำถามใดท่ีมีค่าดังกล่าวน้ันเป็นค่าลบ (–) ก็หมายความว่า กลุ่ม ตัวอย่างตอบค�ำถามขอ้ นั้นไปในทิศทางตรงกันข้ามกบั การตอบคำ� ถามข้ออื่น ๆ ในแบบสอบถาม 4.14) เม่ือคัดเลือกข้อค�ำถามท่ีควรคงไว้ในแบบสอบถามและคัดเลือกข้อค�ำถาม ที่ไม่ตรงตามเกณฑ์ออก ให้วิเคราะห์หาค่าความเที่ยงหรือความเชื่อถือได้ (Reliability) ของ แบบสอบถาม โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Coefficient alpha) ซึ่งมีค่าระหว่าง 0 ถึง 1 ส�ำหรบั ค่าต่�ำสุดของเครอื่ งมอื ท่ียอมรับได้ คือ .70 (Nunnally, 1978) อยา่ งไรก็ตาม ในทางปฏิบตั ิ เม่ือทดสอบความเที่ยงหรือความเช่ือถือได้แล้ว หากพบว่า ค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟาอยู่ระหว่าง .50-.65 กล่าวไดว้ า่ มคี วามเทย่ี งหรอื ความเช่อื ถือไดป้ านกลาง หากมคี ่าต้งั แต่ .70 ขน้ึ ไป กล่าวได้ ว่า มีความเท่ียงหรือความเช่ือถือได้ค่อนข้างสูง และถ้าต�่ำกว่าระดับ .50 ถือว่า มีความเที่ยงหรือ ความเช่อื ถือได้น้อย (สุชาต ประสทิ ธิ์รัฐสินธุ,์ 2550, หน้า 284) 4.15) นำ� แบบสอบถามไปใชจ้ ริงในภาคสนาม โดยนำ� ไปใช้กบั กล่มุ ตัวอย่างทีเ่ ป็น ตัวแทนของประชากรในงานวจิ ัย 5. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ในการรวบรวมขอ้ มลู มีวธิ เี ก็บรวบรวมหลายวธิ ี แต่ท่ีนยิ มกนั มากมีดังน้ี 5.1 การสัมภาษณ์ (Interview) เป็นการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ ในลักษณะท่ี ผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์มีการเผชิญหน้ากันและมีปฏิสัมพันธ์กัน โดยท่ีผู้สัมภาษณ์จะเป็น ฝ่ายซักถามหรือถามค�ำถามผู้ให้สัมภาษณ์ และผู้ให้สัมภาษณ์เป็นฝ่ายให้ข้อมูลหรือตอบค�ำถาม ของผสู้ ัมภาษณ์ การสมั ภาษณ์ดงั กล่าว อาจแบ่งออกได้ 2 ประเภท ดงั นี้ (Kerlinger and Lee, 2000, p. 693) 1) การสัมภาษณแ์ บบไม่มีโครงสรา้ ง (Unstructured interview) ผูส้ ัมภาษณ์ ใชค้ ำ� ถามปลายเปิด โดยตั้งประเดน็ ค�ำถามกวา้ ง ๆ เพ่อื ใหไ้ ดข้ ้อมลู ในขอบขา่ ยของประเดน็ ทีศ่ ึกษา และเปลย่ี นคำ� ถามไดต้ ามความเหมาะสม นยิ มใชร้ วบรวมขอ้ มลู ในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative research) ท้งั ในการสัมภาษณ์กลุม่ (Focus group interview) และสมั ภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth interview) อธบิ ายวา่ การสมั ภาษณก์ ลมุ่ เปน็ เทคนคิ การรวบรวมขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพจากกลมุ่ บคุ คล ท่ีมีภูมิหลังและคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน ให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวแสดงความคิดเห็น ในประเด็น ที่ก�ำหนดอย่างอิสระ โดยมีผู้ด�ำเนินการสัมภาษณ์กลุ่ม (Interviewer) เป็นผู้ต้ังประเด็นค�ำถาม มีผู้บันทึกการสัมภาษณ์กลุ่ม (Note taker) และมีผู้คอยให้บริการ (Providers) 1-3 คน ส่วน การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก เป็นการสัมภาษณ์บุคคลซึ่งเป็นผู้รอบรู้และมีประสบการณ์ (Key informants) ในประเดน็ ทส่ี ัมภาษณ์ เพือ่ รวบรวมขอ้ มลู ใหไ้ ด้อย่างลึกซ้ึง 2) การสมั ภาษณแ์ บบมีโครงสรา้ ง (Structured interview) ผูส้ ัมภาษณ์อาจใช้ แบบสัมภาษณ์ ซ่งึ มีค�ำถามปลายปิดหรอื ปลายเปดิ เพอ่ื จะสัมภาษณ์ตามรายการข้อคำ� ถาม ซึ่งได้ จัดเรียงล�ำดับไว้แล้ว แต่อาจจะปรับค�ำพูดหรือถ้อยค�ำได้บ้างเล็กน้อยเพ่ือให้เหมาะสมกับผู้ให้ สมั ภาษณ์แตล่ ะคน โดยยังคงไวซ้ ึ่งความหมายเดิมทกุ ประการ

64 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา 5.2 การใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเทคนิคท่ีนิยมน�ำมาใช้รวบรวม ข้อมลู ของงานวจิ ัยเชิงปรมิ าณ เช่น การวิจยั เชงิ บรรยาย (Descriptive Research) การวิจัยเชิงอธบิ าย (Explanatory Research) ฯลฯ ประเภทของแบบสอบถาม อาจแบ่งออกได้ 2 ประเภท ดงั นี้ (วรรณี แกมเกตุ, 2551) 1) แบบสอบถามปลายปิด (Close-ended Questionnaire) แบบสอบถาม ปลายปิด มีการระบุค�ำตอบส�ำหรับให้ผู้ตอบเลือกตอบ หรืออาจเป็นการเติมค�ำสั้น ๆ มี 4 แบบ ดงั น้ี 1.1) แบบสำ� รวจรายการ (Checklist) มีการกำ� หนดค�ำตอบท่ีมคี วาม สมั พันธก์ บั คำ� ถามแตล่ ะข้อ เพ่อื ให้ผตู้ อบได้เลือก ตัวอยา่ ง ตำ� แหน่งงานปจั จบุ ันของท่าน ¡ เจา้ หน้าที่ ¡ หัวหนา้ ฝ่าย ¡ หวั หน้ากอง ¡ ผู้อ�ำนวยการ 1.2) การจดั อันดบั (Rank order) มกี ารกำ� หนดรายการหรือค�ำตอบให้ ผตู้ อบพจิ ารณาเรยี งล�ำดับตามความคดิ เหน็ ตวั อย่าง โปรดเรียงล�ำดับฝ่ายงานที่ท่านสนใจปฏบิ ัติงานจากมากไปหานอ้ ย (ใส่หมายเลขจาก 1-3 ลงในชอ่ ง ¡) ¡ ฝ่ายหอ้ งสมดุ ¡ ฝา่ ยพัสดุ ¡ ฝ่ายการเงนิ และบญั ชี 1.3) แบบมาตราหรือแบบประเมนิ ค่าของลเิ คริ ท์ (Likert scale) เปน็ แบบสอบถามท่ีนิยมใชก้ ันแพรห่ ลาย อาจจ�ำแนกตามท่นี ิยมน�ำไปใช้ได้ 2 กรณี ดังน้ี (1) แบบสอบถามการปฏบิ ตั ิ (Questionnaire) เปน็ แบบสอบถาม ทใ่ี ชถ้ ามระดบั การปฏบิ ตั ขิ องตวั แปรทศ่ี กึ ษา โดยถามกลมุ่ ตวั อยา่ งวา่ ตวั แปรทศ่ี กึ ษามกี ารปฏบิ ตั อิ ยู่ ในระดับใด ซึ่งเปน็ มาตรหรือมาตราประเมนิ ค่าแบบบรรยาย (Descriptive Rating Scale) คอื ใชค้ �ำ หรือข้อความท่ีแสดงคุณภาพของส่ิงท่ีมุ่งประเมิน หรือค�ำตอบที่ให้เลือกจะเป็นค�ำหรือข้อความท่ี เปน็ ระดบั การปฏบิ ตั ทิ แี่ สดงถงึ คณุ ภาพ แตส่ ามารถนำ� มากำ� หนดใหค้ า่ เปน็ ตวั เลขได้ คอื “มากทส่ี ดุ (Excellent) มาก (Good) ปานกลาง (Average) นอ้ ย (Below Average) นอ้ ยทส่ี ุด (Poor)” หรอื “บ่อยมาก บอ่ ย บางคร้งั น้อยครง้ั ” ดังตวั อย่างในตารางที่ 2.4-2.5

Research in Educational Administration • 65 ตารางท่ี 2.4 (ตัวอยา่ ง) แบบสอบถามระดับการปฏิบัติของตวั แปรทศ่ี กึ ษา คำ�ถาม มากที่สดุ ระดบั การปฏบิ ตั ิ 1. ผบู้ ริหารสถานศึกษามกี ารกำ�หนด 5 มาก ปานกลาง นอ้ ย น้อยที่สุด วสิ ัยทศั นข์ องสถานศกึ ษาอยา่ งชดั เจน 4 321 ตารางที่ 2.5 (ตวั อยา่ ง) แบบสอบถามระดบั การปฏบิ ตั ขิ องตัวแปรทศี่ กึ ษา คำ�ถาม บ่อยมาก ระดับการปฏิบตั ิ น้อยครัง้ 4 บ่อย บางครัง้ 1 32 1. ในรอบปีทผี่ ่านมาทา่ นได้เข้าร่วมกจิ กรรม ของหน่วยงาน (2) แบบสอบถามความคิดเห็น (Opinionnaire) เปน็ แบบสอบถาม ทใี่ ชถ้ ามระดบั ความคดิ เหน็ หรอื เจตคตขิ องกลมุ่ ตวั อยา่ ง โดยถามความคดิ เหน็ หรอื เจตคตขิ องกลมุ่ ตัวอย่างท่มี ีต่อตัวแปรทีศ่ ึกษา เปน็ มาตรหรอื มาตราประเมินค่าแบบบรรยาย (Descriptive Rating Scale) คือ ใชค้ �ำหรือขอ้ ความที่แสดงคณุ ภาพของส่ิงท่ีมงุ่ ประเมนิ หรือค�ำตอบทีใ่ ห้เลือกจะเปน็ คำ� หรือข้อความท่ีเป็นระดับความคิดเห็นที่แสดงถึงคุณภาพ ซึ่งจัดอยู่ในมาตราอันดับ คือ “เห็นด้วย อย่างยิง่ (Strongly agree) เหน็ ด้วย (Agree) ไมแ่ น่ใจ (Uncertain) ไม่เห็นด้วย (Disagree) ไม่เหน็ ดว้ ยอยา่ งยิง่ (Strongly disagree)” แตใ่ นทางปฏิบัติ เพือ่ ให้ระดับที่ใช้แทนคณุ ลกั ษณะของตัวแปร สามารถน�ำมาคิดค�ำนวณทางคณิตศาสตร์หรือน�ำมาใช้วิเคราะห์ตามวิธีการทางสถิติได้ จึงก�ำหนด ค่าคะแนนระดบั คณุ ลกั ษณะของตวั แปรดังตวั อยา่ งในตารางที่ 2.6 ตารางที่ 2.6 (ตวั อยา่ ง) แบบสอบถามความคิดเห็นหรือเจตคติของกลุ่มตัวอยา่ ง ระดับความคดิ เห็น คำ�ถาม เหน็ ดว้ ย เหน็ ด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไมเ่ หน็ ด้วย อย่างย่งิ อยา่ งยิ่ง 5 43 2 1 1. การแตง่ ตง้ั หวั หนา้ ฝา่ ยควรใช้ ระบบอาวโุ สแทนระบบความรู้ ความสามารถ

66 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา ข้อความที่ใช้ในข้อค�ำถามทั้งฉบับน้ัน ผู้วิจัยควรด�ำเนินการจัดท�ำให้มีท้ังทางบวก และทางลบในจ�ำนวนท่ใี กล้เคยี งกนั ตามตัวอย่าง ดงั นี้ (สวุ ิมล ตริ กานันท,์ 2557, หนา้ 120) ตัวอยา่ ง เร่อื ง เจตคตติ ่อการสูบบุหรี่ ข้อความทางบวก : การสูบบุหร่เี ปน็ การรบกวนผู้ท่ีอยู่ใกล้เคยี ง ข้อความทางลบ : การสบู บหุ ร่ีทำ� ใหเ้ ข้าสงั คมไดง้ า่ ย การใหค้ ะแนนตอ้ งไปทางเดยี วกบั ลกั ษณะของขอ้ ความซงึ่ จำ� แนกออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ ข้อความทางบวกหรือเชิงนิมาน (Positive) และข้อความทางลบหรือเชิงนิเสธ (Negative) ดังแสดงในตารางท่ี 2.7 ตารางท่ี 2.7 การให้คะแนนคำ� ถามท่มี ีขอ้ ความทางบวกและทางลบ การใหค้ ะแนนคำ�ถามท่ีมีข้อความทางบวก การใหค้ ะแนนคำ�ถามท่ีมีข้อความ ทางลบหรือ หรอื เชิงนิมาน (Positive) เชิงนเิ สธ (Negative) เหน็ ด้วยอย่างย่งิ = 5 คะแนน เหน็ ดว้ ยอยา่ งยง่ิ = 1 คะแนน เห็นด้วย = 4 คะแนน เห็นดว้ ย = 2 คะแนน ไมแ่ น่ใจ = 3 คะแนน ไมแ่ น่ใจ = 3 คะแนน ไมเ่ ห็นด้วย = 2 คะแนน ไมเ่ ห็นดว้ ย = 4 คะแนน ไมเ่ หน็ ดว้ ยอย่างยิ่ง = 1 คะแนน ไมเ่ หน็ ด้วยอยา่ งยงิ่ = 5 คะแนน 2) แบบสอบถามปลายเปิด (Open-ended Questionnaire) เป็นแบบสอบถาม ที่นิยมใช้ในงานวิจัยเชิงคุณภาพท่ีไม่ได้ระบุหรือก�ำหนดค�ำตอบส�ำหรับให้ผู้ตอบเลือกตอบ แต่จะ เว้นเน้ือท่ีไว้เพ่ือให้ผู้ตอบได้เขียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ เช่น แบบสอบถามปลายเปิดท่ี ใช้เทคนิคเดลฟาย (Delphi Technique) แบบสอบถามปลายเปิดที่ใช้เทคนิค EDFR ฯลฯ โดยมี ตัวอย่าง ดังน้ี ตัวอย่าง แบบสอบถามปลายเปดิ 1) โครงสร้างองค์การในยุคปัจจุบัน ควรมีลักษณะอย่างไรจึงจะก้าวทัน กบั ยคุ องคก์ ารแหง่ การเรยี นรู้ 2) อาจารย์ควรจัดการเรียนการสอนในลักษณะใด จึงจะท�ำให้ผู้เรียน ได้พฒั นาทกั ษะการคดิ 5.3 การสังเกต (Observation) เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูล ที่ใช้ได้กับงานวิจัย ทุกประเภท โดยเฉพาะงานวิจัยภาคสนาม (Field research) งานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative

Research in Educational Administration • 67 research) และงานวิจัยเชิงปฏิบัติการหรืองานวิจัยเชิงทดลอง (Experimental research) ประเภท ของการสงั เกต อาจแบ่งออกได้ 2 ประเภท ดังน้ี (วรรณี แกมเกตุ, 2551, หนา้ 264) 1) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant observation) ผู้วิจัยเข้าไปมี ส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ กับกลุ่มตัวอย่าง โดยปกปิดบทบาทในฐานะท่ีเป็นนักวิจัย ไม่เปิดเผย ใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งในกลุ่มกจิ กรรมทราบ วางตนในลกั ษณะ ฝังตัว ลุ่มลกึ ยาวนาน 2) การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-participant observation) ผู้วิจัย ท�ำการสังเกตโดยไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ กับกลุ่มตัวอย่าง โดยสังเกตอยู่ห่าง ๆ ซงึ่ อาจจะสงั เกตโดยใหผ้ ู้ถกู สงั เกตรู้ตัว หรือไมใ่ หผ้ ูถ้ กู สงั เกตรู้ตวั กไ็ ด้ ในการสงั เกต ผวู้ จิ ยั อาจใชแ้ บบสงั เกต ซงึ่ แบง่ ออกได้ 2 แบบ ดงั นค้ี อื 1) แบบสงั เกต ทไ่ี มไ่ ดก้ �ำหนดโครงสรา้ งการสังเกต (Unstructured observation) และ 2) แบบสงั เกตทไี่ ดก้ �ำหนด โครงสรา้ งการสังเกต (Structured observation) โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี 1. แบบสังเกตท่ีไม่ได้ก�ำหนดโครงสร้างการสังเกต (Unstructured observation) เป็นแบบสงั เกตท่ีไม่ไดก้ ำ� หนดสถานการณ์ เหตุการณ์ หรือพฤติกรรมท่จี ะสังเกตไว้ อยา่ งเปน็ แบบแผน นยิ มใชบ้ อ่ ยในงานวจิ ยั ภาคสนาม (Field research) ซงึ่ เปน็ การสงั เกตสถานการณ์ เหตุการณ์ หรือพฤติกรรมที่เป็นไปตามสภาพธรรมชาติ โดยท่ัวไป จะเป็นลักษณะการเข้าไปมี ส่วนรว่ มในฐานะผสู้ ังเกต 2. แบบสังเกตที่ได้ก�ำหนดโครงสรา้ งการสงั เกต (Structured observa- tion) เปน็ แบบสังเกตทไี่ ดร้ ะบปุ รากฏการณ์ หรือพฤติกรรมที่ต้องการสงั เกตไว้ลว่ งหน้าอยา่ งเปน็ แบบแผนว่า จะสังเกตอะไร สังเกตอย่างไร จะสังเกตวันและเวลาใด และจะบันทึกผลการสังเกต ในลกั ษณะใด ฯลฯ ทนี่ ิยมนำ� มาใช้ ได้แก่ 2.1 แบบส�ำรวจรายการ (Checklist) ประกอบด้วยรายการ ที่ผู้สังเกตคาดว่า จะพบหรือปรากฏให้เห็นในขณะสังเกต ซึ่งโดยท่ัวไปด้านซ้ายมือจะเป็นส่วน ของรายการท่ีผู้วิจัยจะสังเกต ส่วนด้านขวามือ จะเป็นส่วนของจ�ำนวนความดีที่ปรากฏจากการ สังเกต ดังตวั อย่างในตารางที่ 2.8 ตารางท่ี 2.8 (ตัวอย่าง) แบบสังเกตที่เป็นแบบส�ำรวจรายการ ซ่ึงเป็นการสังเกตพฤติกรรมการ สอนของอาจารย์ รายการปฏบิ ตั กิ ารสอน ปฏบิ ตั ิ ไม่ปฏบิ ัติ ไม่มเี หตุการณ์ 1. พูดคยุ และให้กำ�ลังใจนักศึกษา ü 2. สอนและกระต้นุ ใหน้ กั ศึกษาร้จู ักคิดวิเคราะห์ 3. จัดกจิ กรรมทสี่ ง่ เสรมิ การเรยี นรูท้ างวิชาการ ü ü 2.2 แบบมาตราประมาณคา่ (Rating scale) เป็นแบบสังเกตที่เป็น แบบมาตราประมาณคา่ นยิ มใชใ้ นกรณที ผี่ วู้ จิ ยั ตอ้ งการบนั ทกึ ระดบั ความมากนอ้ ย หรอื ระดบั ความ รนุ แรงของปรากฏการณ์ หรอื พฤตกิ รรมทสี่ งั เกต อาจกำ� หนดเปน็ 3 ระดบั คอื มาก ปานกลาง นอ้ ย

68 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา หรอื 5 ระดบั คือ มากทส่ี ุด มาก ปานกลาง นอ้ ย น้อยที่สดุ 6. การวเิ คราะหข์ ้อมลู ในการวเิ คราะห์ข้อมูล จะต้องประกอบดว้ ยขอ้ มลู สถิติ และเคร่อื งมอื ทใี่ ช้ ดังน้ี 6.1 ข้อมูลท่ีต้องการวิเคราะห์ ซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลปฐมภูมิหรือข้อมูลทุติยภูมิ ก็ได้ ต้องมีการตรวจสอบความถกู ตอ้ งของข้อมลู กอ่ นทจ่ี ะท�ำการวิเคราะห์ 6.2 สถิติที่ใชว้ เิ คราะห์ ให้เลอื กสถติ ิทเี่ หมาะสมกบั ขอ้ มูล 6.3 เครื่องมือท่ีใช้ในการค�ำนวณ ได้แก่ โปรแกรมส�ำเร็จรูป ซ่ึงผู้วิจัยจะต้อง ทราบขดี จำ� กดั ของโปรแกรมดว้ ย เชน่ จำ� นวนขอ้ มลู สงู สุด หรือจำ� นวนตวั แปรสงู สุดที่จะค�ำนวณ ไดอ้ ย่างแม่นย�ำ 7. การแปลความหมาย การแปลความหมายผลที่ได้จากการวิเคราะห์ เป็นการเช่ือมโยงผลท่ีได้จากการใช้สถิติ กับวัตถุประสงค์ของการวิจัยและสมมติฐานการวิจัย ผู้วิจัยต้องบรรยายค่าตัวเลขที่อ่านได้ให้มี ความหมายตามเรื่องที่ศึกษา เช่น จากการแจกแจงความถี่และค่าร้อยละของข้อมูลเกี่ยวกับการ ศึกษาของกลุ่มตัวอย่าง การแปลความหมายจากค่าความถ่ี ร้อยละ ฯลฯ มีตัวอย่างดังแสดงใน ตารางท่ี 2.9-2.10 (สวุ ิมล ตริ กานนั ท,์ 2557) ตารางท่ี 2.9 การแจกแจงระดับการศึกษาของกลมุ่ ตัวอยา่ ง ซง่ึ แสดงคา่ Frequency และ Percent ระดบั การศึกษา จำ�นวน ร้อยละ ประถมศึกษา 400 50.00 มัธยมศึกษา 200 25.00 ประกาศนียบัตรวิชาชีพฯ 150 18.75 อดุ มศึกษา 50 6.25 800 100.00 รวม การแปลความหมายของตัวเลขในตาราง จากตารางท่ี 29 พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 50 หรือครึ่งหนึ่งของท้ังหมดจบการศึกษา ระดับประถมศกึ ษา มีเพียงร้อยละ 6.25 ที่จบระดบั อดุ มศกึ ษา ตารางที่ 2.10 ผลการสอนวิชาภาษาองั กฤษ ซ่งึ แสดงค่า X และ SD X วิธีการสอน SD สอนโดยครู 28 2.5 สอนโดยวีดทิ ัศน์ 23 0.2

Research in Educational Administration • 69 จากตารางท่ี 2.10 พบว่า กลุ่มที่สอนโดยครูจะมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มที่สอนโดย วีดิทัศน์ แต่ในกลุ่มที่สอนโดยครู จะมีการกระจายของคะแนนสูงกว่า ซ่ึงหมายความว่าผลการ เรยี นรู้ระหว่างบุคคลในกลุ่มนแ้ี ตกตา่ งกันมากกว่ากลุ่มท่ีสอนโดยวดี ทิ ัศน์ ถ้าต้องการให้การแปลผลจากตารางน้ีชัดเจนย่ิงข้ึน จ�ำเป็นต้องมีข้อมูลเพิ่มอีก น่ันคือ คา่ คะแนนสงู สดุ และคา่ คะแนนต�ำ่ สุด ดูในตารางที่ 2.11 ตารางที่ 2.11 ผลการสอนวชิ าภาษาองั กฤษ ซงึ่ แสดงคา่ X SD Max และ Min X SD Max วธิ ีการสอน Min 30 สอนโดยครู 28 2.5 12 24 สอนโดยวดี ิทัศน์ 23 0.2 22 จากการน�ำเสนอค่าคะแนนสูงสุดและค่าคะแนนต่�ำสุดในตารางท่ี 2.11 ท�ำให้ความคิด ที่ว่าการสอนโดยครูดีกว่าเปล่ียนไป เพราะในกลุ่มท่ีสอนโดยวีดิทัศน์จะมีคะแนนเกาะกลุ่มกัน ดีกว่า แสดงว่าผลการเรียนรู้ระหว่างบุคคลแตกต่างกันน้อย ซ่ึงน่าจะเป็นวิธีการสอนท่ีดีกว่า วธิ แี รก ดงั นนั้ การทผ่ี วู้ จิ ยั จะแปลความหมายจากผลการวเิ คราะหท์ างสถติ ไิ ดด้ แี ละถกู ตอ้ ง ขน้ึ อยกู่ บั 1. ความรทู้ างทฤษฎี หรอื แนวคิดเก่ียวกบั งานวิจยั 2. ความสามารถในการสานต่อเรอ่ื งราวจากการอา้ งอิงทฤษฎใี นตอนต้น 3. ความรเู้ กยี่ วกบั เทคนคิ ทางสถติ วิ า่ เทคนคิ ทนี่ ำ� มาใชบ้ อกอะไรไดบ้ า้ ง มขี ดี จำ� กดั ในการอธิบายอยา่ งไร 4. ความเป็นคนช่างสังเกต ท�ำให้ทราบความผิดปกติของตัวเลข หรือความ ไม่สอดคล้องระหว่างตวั เลขในรายการตา่ ง ๆ สรุป ในการวิเคราะห์ข้อมูล จะประกอบด้วย ข้อมูลที่ต้องการวิเคราะห์ สถิติ ท่ีเลือกมาใช้อย่างเหมาะสม และเครื่องมือท่ีช่วยในการค�ำนวณ ผลท่ีได้จากการวิเคราะห์ต้องน�ำ ไปแปลผลกอ่ นทีจ่ ะสรปุ ผลการวจิ ยั 8. แนวทางการเขยี นรายงานวิธีดำ� เนนิ การวิจยั การเขียนรายงานวิธดี ำ� เนนิ การวจิ ัย โดยปกติ ผู้วิจัยจะเขียนไว้ในบทที่ 3 ซ่ึงนบั ว่าเป็น หัวใจของการวิจัย เพราะเป็นการประมวลวิธีการทางวิทยาศาสตร์หลาย ๆ ข้ันมารวมอยู่ในบทน้ี ซึง่ มีหลักการเขยี น ดังนี้ 8.1 เขียนกลา่ วนำ� 2-3 บรรทดั 8.2 เขียนบอกข้ันตอนและวิธีการ ประเภท (Type) แบบ (Design) ขอบเขต (Delimitation) และ แนวทางการวจิ ัย (Procedures) ให้ชดั เจนและครอบคลมุ ทกุ ประเดน็ 8.3 เขียนเพือ่ ตอบปัญหาการวิจัย โจทยว์ จิ ัยหรอื ค�ำถามการวจิ ยั (ถา้ ม)ี วตั ถุประสงค์ การวิจัย รวมท้ังสมมตฐิ านการวิจยั น่นั คอื มีปญั หาการวิจยั หรือวัตถุประสงคก์ ารวิจยั ที่ต้งั ไวก้ ่ีข้อ กต็ ้องเขยี นเพือ่ ตอบใหค้ รบทุกขอ้

70 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา 8.4 เขียนให้เรยี งลำ� ดับตามขัน้ ตอนของการด�ำเนินการวิจัย โดยแยกออกเปน็ ขอ้ ๆ ในการเขียนรายงานวิธีด�ำเนินการวิจัยนี้ ก่อนอ่ืนให้ผู้วิจัยกล่าวน�ำประมาณ 1 ย่อหน้า ว่า การวิจัยเร่ืองนี้ในคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์อะไรบ้าง ประกอบด้วยเน้ือหาสาระที่ส�ำคัญหรือ ประเด็นท่ีตอ้ งเขยี นอะไรบา้ ง จากนัน้ ใหเ้ ขยี นไปตามลำ� ดับหวั ขอ้ หรอื ประเด็นท่ีก�ำหนดไว้ ดงั น้ี 1. ขนั้ ตอนในการวิจัย ใหผ้ ้วู ิจยั บอกขั้นตอนของการวิจัยวา่ มกี ข่ี ั้นตอน โดยอาจจะแบง่ ข้ันตอนการวจิ ัยตาม วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั เร่ืองนนั้ ๆ 2. การออกแบบการวิจัย ในส่วนนี้ ให้ผู้วิจัยบอกว่าการวิจัยเรื่องนี้ในครั้งนี้ ออกแบบการวิจัยเป็นการวิจัย ประเภท (Type) และแบบ (Design) ใด โดยมีหลักการเขียนที่ผวู้ จิ ยั ตอ้ งระบปุ ระเภทของการวจิ ยั เช่น การวิจัยเชิงส�ำรวจ (Survey research) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantitative research) การวิจัย เอกสาร (Documentary research) การวิจัยแบบผสมผสานวิธี (Mixed Methods Research) ฯลฯ และระบุแบบของการวิจัยว่าเป็นแบบใด คือ เป็นแบบไม่ทดลอง หรือ เป็นแบบทดลอง ซ่ึงบาง เรื่องอาจใช้ประเภทวิจัยผสมหลายประเภท และใช้แบบการวิจัยหลายแบบ ดังนั้น มีก่ีประเภท และกีแ่ บบ ก็ใหร้ ะบุไว้ทัง้ หมด 3. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากรมีทั้งประชาชนและวัตถุธรรม รวมท้ังประชากรที่เป็นเอกสารด้วย ถือว่า เปน็ หนว่ ยท่ีจะวเิ คราะห์ (Unit of analysis) คอื ใครบ้าง มจี ำ� นวนทงั้ หมดเทา่ ไร ในปใี ด เชน่ นกั เรยี น ประถมศกึ ษาทอี่ ำ� เภอพทุ ธมณฑล จงั หวดั นครปฐม ปกี ารศกึ ษา 2560 มที ง้ั หมด 3, 656 คน โรงเรยี น ประถมศกึ ษา สงั กดั สำ� นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครปฐม เขต 2 ในปกี ารศกึ ษา 2561 จำ� นวน 121 โรง (ส�ำนกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษานครปฐม เขต 2, 2562) เมอ่ื ทราบประชากรแลว้ กต็ อ้ งมกี ารสมุ่ ประชากรบางสว่ นมาทำ� การศกึ ษา ผวู้ จิ ยั จะใช้ วิธีสมุ่ อยา่ งไร มขี นาดตวั อย่างเทา่ ไร มีการกำ� หนดความเช่ือมัน่ และยอมรบั ความคลาดเคล่อื นได้ก่ี เปอรเ์ ซน็ ต์กต็ อ้ งระบไุ วอ้ ยา่ งชดั เจนหรอื ถา้ ทราบจำ� นวนประชากรกใ็ หใ้ ชส้ ตู รของTaroYamaneกไ็ ด้ n= N . 1+ Ne2 n = ขนาดของประชากรทส่ี ุ่มได้ N = จำ� นวนประชากรท้ังหมด e2 = ความคลาดเคลอ่ื นทย่ี อมรบั ได้ = .05% 4. เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการวจิ ยั ให้ผู้วิจัยระบุไว้ว่า ในการท�ำวิจัยเร่ืองนี้ มีเครื่องมือวิจัยชนิดไหนท่ีต้องใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูล ถ้าใช้ชนิดเดียวก็บอกชนิดเดียว ถ้าใช้หลายชนิดก็บอกให้ครบทุกชนิด เช่น แบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกตการณ์ และแบบบันทกึ ฯลฯ

Research in Educational Administration • 71 นอกจากนี้ ผู้วิจัยต้องเขียนบอกว่าการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ มขี นั้ ตอนอยา่ งไร ตอ้ งศกึ ษาแนวคิดต่าง ๆ มาแล้วสรา้ งดว้ ยการใชค้ ำ� ถามปลายเปดิ (Open-ended Question) และค�ำถามปลายปิด (Close-ended Question) เป็นค�ำถามประมาณค่า (Rating Scale) หรือไม่อย่างไร และต้องสร้างเพ่ือตอบปัญหาการวิจัย โจทย์วิจัยหรือค�ำถามการวิจัย (ถ้ามี) วัตถุประสงค์การวิจัย สมมติฐานการวิจัย รวมทั้งต้องอาศัยการนิยามเชิงปฏิบัติการ (Operational Definition: OD) เป็นหลักในการสร้างด้วย เม่ือสร้างเสร็จแล้วต้องให้ผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิตรวจดูความถูกต้องหรือ ความตรงเชงิ เนอื้ หา (Content Validity) จำ� นวน 3-5 ท่าน ซง่ึ คา่ ดัชนคี วามตรงเชิงเนอื้ หาที่ยอมรับ ได้ตอ้ งมากกวา่ .50 (วรรณี แกมเกตุ, 2551, หนา้ 221) แล้วน�ำไป Try out กับกลมุ่ ประชากรซงึ่ มีคุณลกั ษณะคล้ายกับกลุ่มตัวอยา่ งในการวจิ ัย จำ� นวน 30 คน เพือ่ น�ำมาปรบั ปรุงแก้ไข และหาคา่ สัมประสิทธแิ์ อลฟาของครอนบาค (Cronbach,s Alpha Coefficient) โดยควรมคี า่ ตั้งแต่ .70 ข้ึนไป (Nunnally, 1978; สุชาต ประสิทธ์ริ ัฐสนิ ธ,์ุ 2550, หนา้ 284) และตอ้ งบอกด้วยว่ามีก่ีสว่ น/ก่ตี อน 5. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ผู้วิจยั เขยี นวา่ เมือ่ มเี ครือ่ งมือ คอื แบบสอบถามแลว้ จะดำ� เนินการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู อย่างไร ให้เขียนออกเป็นข้อ ๆ เช่น เร่ิมตั้งแต่วางแผน มีหนังสือขอความร่วมมือและก�ำหนดวัน เวลาและสถานทใ่ี นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลดว้ ย 6. การวิเคราะหข์ อ้ มูล ผู้วิจัยจะต้องเขียนไว้ว่าจะวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้อย่างไร มีขั้นตอน ท�ำอย่างไร และประมวลผลโดยใช้คอมพิวเตอร์ Version อะไร ให้ระบุไว้ด้วย และถ้าเป็นข้อมูล เชิงคณุ ภาพ จะทำ� การวิเคราะหเ์ ชิงเน้อื หานั้นอย่างไร นอกจากน้ี ให้บอกสถิติท่ีใช้ในการวิจัย โดยผู้วิจัยต้องระบุค่าสถิติที่จะใช้ว่ามี อะไรบ้าง ใช้สถิติบรรยายตัวไหนบ้างและสถิติอนุมานมีอะไรบ้าง และได้ก�ำหนดนัยส�ำคัญทาง สถติ ิไว้ทีเ่ ทา่ ไร ให้ระบุไวด้ ว้ ย นอกจากน้ี ผู้วจิ ยั ควรบอกวธิ นี �ำเสนอผลการวิจยั ในลักษณะใดบ้าง เช่น เสนอในรูปแบบของตาราง แผนภมู หิ รือภาพประกอบ พรอ้ มทงั้ แปลผลใต้ตารางด้วย ฯลฯ กลา่ วโดยสรปุ ในการทำ� วจิ ัยเชิงปรมิ าณ เมอ่ื ถึงข้ันตอนทผ่ี ู้วิจยั จะต้องเขียนรายงาน การวิจัยในบทท่ี 3 ซึ่งเก่ียวกับวิธีด�ำเนินการวิจัย คือ การก�ำหนดวิธีการ กิจกรรมต่าง ๆ และ รายละเอียดการวิจัยที่ผู้วิจัยจะต้องท�ำ เพื่อให้ได้มาซ่ึงข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน การเขียนวิธี ด�ำเนินการวจิ ัยมีเป้าหมายทส่ี �ำคัญ คือ การไดม้ าซงึ่ ข้อมลู ทจี่ ะสามารถตอบวัตถุประสงค์การวิจยั ท่ี ก�ำหนดไว ้ จงึ ถอื ว่ามคี วามสำ� คัญเป็นอย่างมาก เพราะมเี น้ือหาสาระท่สี ำ� คัญทีผ่ ูว้ ิจัยควรศึกษาและ ทำ� ความเข้าใจก่อนด�ำเนนิ การวจิ ัย จำ� นวน 6 เรอ่ื ง ไดแ้ ก่ 1) ขัน้ ตอนการวจิ ัย 2) การออกแบบการ วจิ ยั 3) ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 4) เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวิจัย 5) การเก็บรวบรวมขอ้ มูล และ 6) การวเิ คราะหข์ อ้ มลู และสถติ ทิ ี่ใช้

72 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา ตอนที่ 2.5 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู การวเิ คราะหข์ อ้ มลู งานวจิ ยั ถอื เปน็ ขน้ั ตอนทส่ี ำ� คญั ของกระบวนการวจิ ยั   นกั วจิ ยั จะตอ้ ง มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในเรอ่ื งดังกล่าว เพือ่ จะไดส้ รุปผลการวจิ ัยได้อย่างถูกตอ้ ง ข้อมลู เป็นสงิ่ ส�ำคญั ส�ำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล   การจ�ำแนกประเภทของข้อมูลข้ึนอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่ง คือ แบ่งตามลักษณะข้อมูล  แบ่งตามแหล่งที่มาของข้อมูล และแบ่งตามระดับการวัดหรือมาตรวัด อย่างไรก็ตาม ในทางการบริหารการศึกษา ผู้วิจัยควรตระหนักถึงข้อมูลท่ีแบ่งตามลักษณะข้อมูล 2 ประเภท คือ ขอ้ มลู เชิงปรมิ าณ (Quantitative  data) ซึง่ เปน็ ข้อมลู ทีอ่ ยู่ในรปู ของตวั เลขตามค่าที่ ปรากฏ  อาจเปน็ ตัวแปรที่มคี ่าต่อเนอื่ ง  เชน่   คะแนน  อาย ุ รายได ้ นำ้� หนกั   ส่วนสูง ฯลฯ หรือ อาจเปน็ ตวั แปรทไ่ี มม่ คี า่ ตอ่ เนอ่ื งหรอื ตวั แปรคา่ ขาดตอนกไ็ ด ้ เชน่   จำ� นวนนบั   จำ� นวนคน  ฯลฯ ซงึ่ เปน็ ตวั แปรทไี่ ดจ้ ากการนบั หรอื หาความถี่ และขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative  data)  ซงึ่ เปน็ ขอ้ มลู ทแี่ สดงคณุ ลกั ษณะทไ่ี มเ่ ปน็ ตวั เลขเชน่  เพศ ระดบั การศกึ ษา ภมู ลิ ำ� เนาอาชพี  ฯลฯขอ้ มลู ประเภทนี้ จะจำ� แนกออกเปน็ ประเภทหรอื กลมุ่  เชน่  เพศ ชาย-หญงิ  ระดบั การศกึ ษาแบง่ เปน็ ระดบั ปรญิ ญาตรี ปริญญาโท ปรญิ ญาเอก ฯลฯ ข้อมูลเชิงคุณภาพนีย้ งั ครอบคลุมถึงค�ำถามปลายเปิดตา่ ง ๆ ด้วย ในส่วนของผลการวิเคราะห์ข้อมูลในตอนที่ 2.5 นี้ ประกอบด้วยเนื้อหาสาระที่สำ� คัญ 4 เรอื่ ง ไดแ้ ก่ 1) การออกแบบตาราง 2) การนำ� เสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู 3) แนวทางการเขยี น รายงานผลการวจิ ยั และ 4) ตัวอยา่ งการเขยี นรายงานผลการวิจยั โดยมีรายละเอียด ดงั น้ี 1. การออกแบบตาราง ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งมกี ารออกแบบตารางทจ่ี ะใชน้ ำ� เสนอผลการวเิ คราะห์ ข้อมูล ซึ่งควรพิจารณาชนิดของตารางควบคู่กับชนิดของข้อมูล หรือการใช้แผนภูมิ ซึ่งเป็นอีก วธิ ีหน่งึ ในการนำ� เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. การนำ� เสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผวู้ จิ ยั จะตอ้ งดำ� เนนิ การตามหลกั เกณฑ์ 2 ประการ คือ 1) การแปลผล และ 2) การนำ� เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู ตามล�ำดบั โดยอาจสรุปได้ ดงั น้ี 2.1 การแปลผล (Interpretation) การแปลผล เป็นการแปลผลการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการแปลความและตีความ หมายข้อมูล  เพ่ือให้ผู้อ่านทราบว่าการวิจัยได้ข้อค้นพบอะไรบ้าง  การแปลผลการวิเคราะห์ข้อมูล มหี ลักการโดยท่วั ไป ดงั น้ี (บุญศรี พรหมมาพันธุ,์ 2561) 1) การแปลผลใต้ตาราง นิยมใช้ค�ำว่า “จากตารางท่ี...พบว่า... หรือแสดง ให้เห็นว่า...”  เพ่ือเป็นการสรุปให้ผู้อ่านเห็นว่า  ตัวเลขท่ีอธิบายใต้ตารางเป็นตัวเลขท่ีสรุป มาจากตารางที่ก�ำลงั กล่าวถงึ   โดยท่ัวไปนิยมแปลผลใตต้ ารางเพราะทำ� ให้เขา้ ใจง่าย    2) การแปลผลเฉพาะทปี่ รากฏในตารางเปน็ การแปลผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู หรอื ตวั เลขตามทปี่ รากฏในตารางเทา่ นน้ั   หา้ มอภปิ รายหรอื สอดแทรกความคดิ เหน็ สว่ นตวั เพมิ่ เตมิ 3) ไมบ่ รรยายคา่ สถิติทกุ ค่า เป็นการแปลผลจากตารางโดยไมค่ วรบรรยาย ค่าสถิติทุกค่าในตารางเพราะจะท�ำให้ยืดเย้ือและยาวเกินไปจนไม่น่าอ่าน  ให้แปลเฉพาะประเด็น สำ� คญั ๆ หรอื ขอ้ มูลที่โดดเด่นเปน็ ทน่ี า่ สงั เกตเท่านั้น 4) ใชภ้ าษาทเ่ี ขา้ ใจง่าย เปน็ การแปลผลโดยใช้ภาษาทผ่ี อู้ า่ นเข้าใจง่ายและ ชดั เจนในการแปลผลขอ้ มูล

Research in Educational Administration • 73 5) แปลผลให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และสมมติฐาน (ถ้ามี) โดย พิจารณาวา่ ผลที่ได้พาดพงิ ถงึ สง่ิ ใด ควรแปลในลักษณะใดจงึ จะถกู ต้อง 6) การแปลผลด้วยสถิติอ้างอิง  หากพบว่ามีนัยส�ำคัญทางสถิติ ให้แปล ด้วยว่า มีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับใด เช่น .05 หรือ .01   และหากพบว่าค่าสถิติไม่มีนัยส�ำคัญ ทางสถิติ ให้แปลว่า ไม่แตกต่างกัน หรือไม่มีความสัมพันธ์กัน แล้วแต่กรณี (โดยไม่ต้องบอก ระดบั  .05 หรอื .01) หลักการแปลผล ในการแปลผลจากการวิเคราะห์ข้อมูล อาจเก่ียวข้องกับสถิติท่ี ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2 ประเภท ได้แก่ สถิติเชิงบรรยาย และสถิติเชิงอ้างอิง  โดยอาจสรุปได้ ดังนี้ (บุญศรี พรหมมาพันธ์ุ, 2561) 1. หลักการแปลผลจากการวเิ คราะหข์ ้อมลู ดว้ ยสถติ เิ ชิงบรรยาย ซึ่งอาจ จะเก่ียวข้องกับค่าสถิติ เช่น ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ฯลฯ ผู้วิจัยควรมีหลักในการแปลผลจากการ วิเคราะห์ขอ้ มลู ซงึ่ เกยี่ วขอ้ งกับค่าสถิตดิ ังกล่าว ดังนี้ 1.1 หลกั การแปลผลค่าร้อยละ 1) การแปลค่าร้อยละเก่ียวกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ตอบ เช่น เพศ อายุ รายได้ ฯลฯ ควรมีการสรุปรวมไว้ใต้ตารางในช่องท่ีอยู่บรรทัดสุดท้ายซ่ึงรวมแล้ว ต้องเท่ากับ  100.0  เสมอ 2) ควรใสจ่ ำ� นวนทหี่ วั ตาราง คอื กรณที ศ่ี กึ ษากบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง ใช้ n สว่ นกรณที ีศ่ กึ ษากบั ประชากรใช้  N  เช่น  (n  = 200)  หรอื   (N = 500)  ฯลฯ 3) หากกลุ่มตัวอย่างมีจ�ำนวนน้อยกว่า 30 คน ไม่ควรแปล รอ้ ยละให้เสนอความถ่เี ท่าน้ัน 4) การแปลผล นิยมแปลผลข้อมูลท่ีมีค่าร้อยละสูง 1–3 ล�ำดบั แรกของแต่ละตัวแปร โดยแปลผลว่า สว่ นใหญไ่ ด้แก่อะไร  คิดเป็นร้อยละ... 1.2  หลักการแปลผลคา่ เฉล่ีย 1) การนำ� เสนอตารางคา่ เฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานควร ใส ่ (n =…) บนหวั ตารางดว้ ยเพอ่ื บอกใหท้ ราบวา่  การหาคา่ เฉลยี่ และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานคำ� นวณ จากกลมุ่ ตวั อยา่ งจำ� นวนเทา่ ไร และควรนำ� เสนอคา่ เฉลย่ี ควบคกู่ บั สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (SD)  ดว้ ย 2) การแปลค่าเฉล่ีย ไม่นิยมใช้ค�ำว่าส่วนใหญ่เหมือนร้อยละ ให้แปลผลภาพรวมใต้ตารางก่อน จากนั้นจึงแปลค่าเฉลี่ยที่เรียงล�ำดับจากมากไปน้อยเรียงตาม ล�ำดับโดยทั่วไปไม่นิยมแปลส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน  แต่น�ำเสนอมาเพ่ือให้ผู้อ่านดูการกระจาย ของค�ำตอบวา่ มีความแตกตา่ งกระจายมากนอ้ ยเพียงใด (หากพบค่า SD มีค่ามากกวา่  ควรน�ำไปใช้ ประกอบอภปิ รายผลการวิจัยดว้ ย)  3) การแปลผลเฉลย่ี รวมใตต้ าราง ขอ้ คำ� ถามควรเปน็ เรอื่ งราว เดยี วกนั จงึ จะสามารถนำ� คา่ เฉลยี่ รายขอ้ ในแตล่ ะดา้ นมารวมกนั ได้ หากมกี ารแบง่ เนอื้ หาเปน็ แตล่ ะ เรอ่ื ง หรอื เปน็ คนละเนอื้ หากนั   ไมน่ ยิ มนำ� คา่ เฉลยี่ รายขอ้ ซงึ่ อยตู่ า่ งหมวดมารวมกนั เพราะจะทำ� ให้ ผลการแปลไม่ถูกตอ้ ง

74 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา 4) ในการแปลความหมายข้อมูลที่เป็นค่าเฉลี่ยนั้น ผู้วิจัยจะ ตอ้ งก�ำหนดเกณฑใ์ นการแปลผล  ซ่ึงโดยทวั่ ไปนยิ มก�ำหนดเกณฑไ์ ว้แลว้ ในบทที่ 3 วิธดี �ำเนินการ วจิ ยั   ดงั นี้ คา่ เฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถงึ เหน็ ดว้ ยอยา่ งยงิ่ /มีการปฏิบตั ิมากทีส่ ุด ค่าเฉลย่ี 3.51 – 4.50 หมายถงึ เหน็ ด้วย/มกี ารปฏิบัตมิ าก ค่าเฉล่ีย 2.51 – 3.50 หมายถงึ ไม่แนใ่ จ/มีการปฏบิ ัติปานกลาง คา่ เฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถงึ ไม่เหน็ ด้วย/มกี ารปฏบิ ตั ิน้อย คา่ เฉลย่ี 1.00 – 1.50 หมายถงึ ไม่เห็นดว้ ยอย่างย่ิง/มีการปฏบิ ัตนิ อ้ ยท่ีสุด 2. หลกั การแปลผลจากการวิเคราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยสถิติเชงิ สถติ ิอ้างองิ  ซงึ่ อาจจะเกี่ยวข้องกบั สถิตวิ เิ คราะห์หลายประเภท เช่น t-test Chi-Square Test Correlation Analysis Regression Analysis ฯลฯ ผู้วิจัยควรมีหลักในการแปลผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ดงั กลา่ ว ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี 2.1 หลักการแปลผลการทดสอบค่าท ี (t-test)        โดยปกติการค�ำนวณโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ค�ำนวณ  นิยมใส่ ค่า Sig  หรอื   p  ลงในตารางเพือ่ ใหผ้ ู้อ่านเหน็ ว่า  ถ้า  p  มคี า่ เทา่ กับหรอื   < .05  แปลวา่ มนี ัยสำ� คัญ ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั   .05  ถา้  p  มคี า่ เทา่ กบั หรอื   < .01  แปลวา่ มนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั   .01  ดงั นนั้ ผวู้ จิ ัยมวี ธิ ีแปลผลในสองกรณี ดงั น้ี 1) กรณีท่ีผลการทดสอบมีนัยส�ำคัญ ผู้วิจัยต้องแปลว่า มีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หรือ ระดับ .01 และกรณีท่ีมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 จะตอ้ งใส่เครื่องหมายดอกจัน (*)  ท่คี ่าสถิติ  t  จ�ำนวน 1 ดอก และใส่ที่ใตต้ าราง จ�ำนวน 1 ดอก คือ  *p < .05  หรือกรณีท่ีมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จะต้องใส่เคร่ืองหมายดอกจัน (*)  ทคี่ ่าสถิต ิ t  จ�ำนวน 2 ดอก และใสท่ ่ใี ตต้ าราง จ�ำนวน 2 ดอก คือ **p < .01  แลว้ แตก่ รณี 2) กรณีท่ีผลการทดสอบไม่พบนัยส�ำคัญทางสถิติ ให้ผู้วิจัย แปลวา่   ไมแ่ ตกตา่ งกัน  โดยไม่ตอ้ งบอกวา่  ไม่แตกต่างกนั อยา่ งมนี ัยส�ำคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดับใด     2.2 หลกั การแปลผลความสัมพนั ธ์ 1) การแปลผลไค-สแควร์ (Chi-Square) ถ้าพบนัยส�ำคัญทาง สถิตใิ หแ้ ปลว่าตวั แปร 2 ตัว มีความสมั พันธ์กนั อย่างมีนัยสำ� คญั ทางสถติ ิท่ีระดับ  .05 หรือ  .01              2) การแปลผลสมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธใ์ นกรณที่ ต่ี อ้ งการอา้ งองิ ไปยังประชากร   ถ้าพบนัยส�ำคัญทางสถิติ ให้แปลว่า ตัวแปร 2 ตัว มีความสัมพันธ์กันในทิศทาง เดียวกัน หรือทิศทางตรงกันข้าม และจะต้องแปลขนาดความสัมพันธ์ว่ามีความสัมพันธ์มากหรือ นอ้ ย โดยบอกระดับนัยสำ� คญั ทางสถิตใิ นระดับ .01 หรอื .05 ด้วย 

Research in Educational Administration • 75 2.2 การนำ� เสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูลตามล�ำดับ 1) แสดงตารางกลุ่มตัวอย่าง เป็นการน�ำเสนอตารางที่อธิบายถึง ลักษณะเบื้องต้นของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ เช่น ตารางแสดงเพศ อายุ การศึกษา ฯลฯ เพื่อให้ผู้อ่าน เหน็ ภาพคร่าว ๆ ของกลมุ่ ตัวอยา่ ง 2) แสดงตารางลักษณะของตัวแปร เปน็ การน�ำเสนอตารางทอ่ี ธบิ ายถึง ลกั ษณะของตวั แปรต่าง ๆ ในกลมุ่ ตัวอยา่ งที่เกบ็ รวบรวมมาได้ 3) แสดงตารางผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการน�ำเสนอตารางท่ีแสดง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามล�ำดับของสมมติฐานการวิจัยที่ต้ังไว้ ส่วนรูปแบบของตารางขึ้นอยู่กับ ชนดิ ของสถิติทีใ่ ช้ 3. แนวทางการเขียนรายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูล เม่ือผู้วิจัยได้ด�ำเนินการวิเคราะห์ ขอ้ มลู และประมวลผลรวมท้ังมกี ารนำ� ข้อมลู และคา่ สถติ จิ าก Print out ลงสตู่ ารางเปลา่ (Dummy Table) มาตามล�ำดับแล้ว ต่อจากนี้ไปจะเป็นการเขียนผลการวิเคราะห์ข้อมูลหรือผลการทดลอง (ไม่นิยมใช้ค�ำว่าผลการวิจัย เพราะในข้ันนี้เป็นกระบวนการของการวิเคราะห์และประมวลผล ข้อมูล) ซ่ึงการเขียนควรจะได้มีการกล่าวน�ำเล็กน้อย เพ่ือน�ำผู้อ่านเข้าสู่ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ว่าเป็นการวิจัยประเภทใด เช่น การวิจัยเชิงส�ำรวจ การวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงทดลอง ฯลฯ รวมทั้งวัตถุประสงค์ด้วย เพ่ือตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัยท่ีท�ำเรื่องนี้ ซึ่งในบทท่ี 4 น้ี จะเป็น การเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล โดยมตี ารางประเภทตา่ ง ๆ แลว้ แปลผลใตต้ าราง รวมท้ังมแี ผนภมู ิ กราฟ และ/หรอื รปู ภาพประกอบด้วย 4. ตวั อยา่ งการเขยี นรายงานผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในการเขยี นรายงานผลการวเิ คราะห์ ข้อมูลนั้น อันดับแรก ผู้วิจัยต้องกลับไปทบทวนดูว่า เป็นการออกแบบการวิจัยเป็นแบบใด มี วัตถุประสงค์การวิจัยและ/หรือค�ำถามการวิจัยกี่ข้อ อะไรบ้าง จากน้ัน จึงด�ำเนินการเขียนรายงาน ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู เพ่ือตอบวัตถปุ ระสงคแ์ ละ/หรือคำ� ถามการวจิ ยั ตามลำ� ดับ ตามตัวอยา่ ง ดงั น้ี (ตัวเลขและคา่ สถิตติ า่ ง ๆ ในตวั อย่างต่อไปนี้ เปน็ การสมมตขิ ึน้ ) การวจิ ยั เรือ่ งน้ี เปน็ การวจิ ัยเชงิ พรรณนา (Descriptive research) แบบไม่ทดลอง (Non- experimental research) ซึ่งผู้วิจัยได้ตั้งวัตถุประสงค์ของการวิจัย (Research objectives) ไว้ 3 ประการ คอื 1) เพอื่ ศกึ ษาองคป์ ระกอบของรูปแบบการบริหารสถานศึกษา ก. 2) เพอื่ พฒั นารูปแบบการบรหิ ารสถานศึกษา ก. 3) เพือ่ ประเมินและรบั รองรปู แบบการบรหิ ารสถานศกึ ษา ก.ที่พัฒนาขึ้น เพอื่ ตอบวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั (หรอื ตอบคำ� ถามวจิ ยั )ใหค้ รบถว้ นตามทตี่ งั้ ไว้ ผวู้ จิ ยั ได้ ดำ� เนนิ การ โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื วจิ ยั คอื แบบสอบถามสำ� หรบั เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ภาคสนาม จากตวั อยา่ ง จ�ำนวน...............ตัวอย่าง แล้วน�ำแบบสอบถามมาด�ำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลด้วย คอมพวิ เตอร์ เพื่อค�ำนวณคา่ สถติ ิ ซึง่ ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล แบ่งออกเป็น 3 ตอน ดังน้ี

76 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา ตอนที่ 1 การศึกษาองคป์ ระกอบของรูปแบบการบริหารสถานศึกษา ก. ตอนที่ 2 การพฒั นารูปแบบการบรหิ ารของสถานศึกษา ก. ตอนท่ี 3 การประเมนิ และรับรองรปู แบบการบริหารสถานศึกษา ก. ซง่ึ แต่ละตอนมรี ายละเอียดตามล�ำดับตอ่ ไปน้ี ตอนที่ 1 การศึกษาองค์ประกอบของรปู แบบการบริหารสถานศกึ ษา ก. ในส่วนแรกน้ี ผู้วจิ ยั ใชแ้ บบสัมภาษณ์ซงึ่ ผู้วจิ ัยสร้างขนึ้ ....................................... ขอ้ มลู ทว่ั ไปของผูใ้ หส้ ัมภาษณ์ ผ้วู ิจัยไดส้ มั ภาษณ์..............................................มีรายนามและรายละเอยี ดดังปรากฏใน ภาคผนวก….. ความคิดเหน็ และขอ้ เสนอแนะของผู้ให้สมั ภาษณ์ จากการสัมภาษณผ์ ู้ทรงคณุ วฒุ ิจ�ำนวน 10 คน.....................................................ซงึ่ สามารถ สรุปได้ดังนี้............................................................................................................... ตอนท่ี 2 การพัฒนารปู แบบการบรหิ ารสถานศึกษา ก. ในการวจิ ยั เร่อื งน้ี ประชากรทีศ่ กึ ษาได้แก่ ผู้บริหาร หวั หน้างาน และครขู องสถานศึกษา ก. ซง่ึ มขี ้อมูลพน้ื ฐาน ดงั แสดงในตารางที่ … (ในส่วนนี้ แสดงตารางที่อธบิ ายถงึ ลักษณะเบือ้ งต้นของกลมุ่ ตัวอยา่ ง) ตารางท่ี … จ�ำนวนรอ้ ยละข้อมูลพน้ื ฐานของผ้ตู อบแบบสอบถาม ขอ้ มูลพนื้ ฐาน จำ�นวน รอ้ ยละ เพศ …... .…. ชาย............ …… ….. หญงิ ............ …… ….. อายุ............. 100.00 รวม จากตารางที่ … พบวา่ กลุม่ ตวั อยา่ งส่วนใหญเ่ ป็นเพศชาย .....คน รอ้ ยละ .... มชี ว่ งอายุ 31 ปี ถงึ 40 ปี ร้อยละ.......

Research in Educational Administration • 77 ลักษณะของตวั แปรองค์ประกอบ (ในสว่ นน้ี แสดงตารางลกั ษณะของตวั แปรตา่ ง ๆ ในกล่มุ ตวั อยา่ ง) ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณท่ีได้จากแบบสอบถามตอนที่ 2 ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ เพ่ือตอบค�ำถามวิจัยเก่ียวกับจ�ำนวนองค์ประกอบของรูปแบบการบริหารสถานศึกษา ก.โดยผู้วิจัย ได้น�ำเสนอสัญลักษณ์ทางสถิติท่ีใช้ส�ำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล Xส)ัญสลั่กวนษเณบ์แี่ยทงเนบขน้อมคา�ำตถราฐมาเนกี่ย(วSกDับ) รูปแบบการบริหารสถานศึกษา ก. ผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ( และผลการวิเคราะหอ์ งค์ประกอบของรูปแบบการบริหารสถานศกึ ษา ก. ในส่วนเบ้อื งตน้ น้ี ผู้วจิ ัยขอนำ� เสนอสญั ลักษณ์ทางสถิติทใ่ี ช้ส�ำหรบั การวิเคราะหข์ อ้ มลู ดังแสดงในตารางที่ … ตารางที่ … สญั ลกั ษณ์ทางสถิติที่ใช้สำ� หรบั การวิเคราะห์ข้อมูล สญั ลกั ษณ์ แทน Xn จำ�นวนผ้ตู อบแบบสอบถาม ค่าเฉลย่ี SD ค่าส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ศึกษา ก. กห่อลนงั จกาากรนนนั้�ำเสผนวู้ จิอยั ผไลดกน้ าำ� รเสวนิเคอรสาะญั หล์คกั ่าษเฉณลแ์ ี่ยท(นXข)อ้ คแำ�ลถะาสม่วเกนยี่ เบวกี่ยบังเรบปู นแมบาบตกราฐราบนรห(ิ SาDร)สถขาอนง ข้อมูล (ตวั แปร) มีรายละเอียดดังปรากฏในภาคผนวก ค จากข้อคำ� ถามทงั้ .... ข้อ ในแบบสอบถามตอนท่ี 2 ดังกล่าว ผวู้ ิจยั ไดแ้ บ่งระดับเกณฑ์ การพจิ ารณาออกเปน็ มาตราอตั ราสว่ น (Ratio scale) ชนดิ มาตราประมาณคา่ (Rating scale) 5 ระดบั คอื มากทีส่ ุด มาก ปานกลาง น้อย และนอ้ ยทีส่ ดุ โดยค่าคะแนน 5 หมายถงึ มกี ารปฏิบัติมากทส่ี ดุ ค่าคะแนน 4 หมายถงึ มีการปฏบิ ตั ิมาก ค่าคะแนน 3 หมายถงึ มกี ารปฏิบตั ิปานกลาง ค่าคะแนน 2 หมายถึง มีการปฏิบัติน้อย และค่าคะแนน 1 หมายถึง มีการปฏิบัติน้อยท่ีสุด และเมื่อท�ำการ วแบเิตรค่เหิ รมาาื่อะรพหสิจขถ์ าอ้ารนมณศลู าึกแเปษล็นว้า รกผา.วู้ ใยจินขยั ภ้อไาดพพผ้ บรลววกม่าาอรควย่าเิ่ใู คเนฉรรลาะะ่ียดหสบั ข์ูงสดอ้ ีุดม(ขลูXอ(=ตงตวั3แ.ัว4ปแ5ปร))รแเลกไะยี่ดวม้แกีคกบั่า่ กขอา้องรคกVป์ ร1ระ.ะจโกาดอยยบนมขอ้ ีคอย่างเ(ฉรSปูลD่ียแ=บ(บX0.ก8)า9=ร) ด3.ีม8า9กแลระอสงลว่ งนมเบาคยี่ อืงเบขน้อมVา2ต2ร.ฐโาดนยม(SีคDา่ เ)ฉ=ล0ยี่ .7(3Xแ)ส=ด3ง.ถ8งึ8คแวาลมะเสหว่ มนาเะบสีย่ มงทเบจี่ นะมวเิาคตรราฐะาหนอ์ (งSคDป์ )ร=ะก1.อ2บ5 แขส้อดVง2ถ9ึงคโวดายมมเีคห่ามเฉาละสี่ย ม(ทXี่จ)ะ=วิเ3ค.ร1า9ะหแ์อลงะคส์ป่วรนะเบกอ่ียงบเดบีมนามกาตสร่วฐนานตัว(แSปDร)ท=ี่มี0ค.่า8เ4ฉลแี่ยสตด่�ำสงถุดึงไคดว้แามก่ เหมาะสมทจี่ ะวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบพอใช้ มรี ายละเอยี ดเกยี่ วกบั ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดงั ปรากฏ ในภาคผนวก ....

78 • การวิจัยทางการบริหารการศกึ ษา ต่อจากนั้น ผูว้ จิ ัยตรวจสอบความเหมาะสมของข้อมูลทีจ่ ะน�ำไปวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบ ของรปู แบบการบรหิ ารของสถานศกึ ษา ก.โดยการนำ� ขอ้ มลู ทงั้ .... ตวั แปร ทมี่ คี า่ มากกวา่ หรอื เทา่ กบั .30 ซ่ึงเป็นตัวแปรท่ีน�ำไปวิเคราะห์หาองค์ประกอบของรูปแบบการบริหารของสถานศึกษา ก. มาตรวจสอบความเหมาะสมของข้อมูลเพ่ือท่ีจะใช้เทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor analysis) โดยใช้มาตรวัดความเพียงพอของการสุ่มของไคเซอร์-ไมเยอร์-โอลคิน (Kaiser-Meyer- Olkin Measure of Sampling Adequacy, KMO)เพอ่ื วดั ความเหมาะสมของขอ้ มลู และเปน็ การยนื ยนั ว่า ข้อมูลที่มีอยู่เหมาะสมท่ีจะใช้เทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบได้หรือไม่ โดยค่า KMO ต้อง มากกว่า .50 จึงแสดงว่าข้อมูลมีความเหมาะสมท่ีจะใช้เทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor analysis) จากการตรวจสอบ พบว่า คา่ KMO มคี ่า = .938 ซ่งึ มากกว่า .50 และเขา้ สู่ 1 สรุปไดว้ า่ ข้อมูลท่ีมีอย่มู ีความเหมาะสมที่จะใช้เทคนคิ การวเิ คราะหอ์ งค์ประกอบ (Factor analysis) จากนั้น น�ำไปท�ำการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร โดยใช้มาตรวัดของบาร์ทเลทท์ (Bartlett’s Test of Sphericity) สถิติทดสอบมีการแจกแจงโดยประมาณแบบไค-สแควร์ (Chi-square) =23715.509 df 1035 ไดค้ า่ นยั สำ� คญั ทางสถติ ิ(Significance)=.000ซงึ่ นอ้ ยกวา่ .05 แสดงวา่ ตวั แปร มคี วามสัมพันธก์ นั จึงมคี วามเหมาะสมทจ่ี ะใชเ้ ทคนิคการวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบ (Factor analysis) คา่ KMO and Bartlett’s Test ดังกล่าว อาจสรปุ ไดด้ งั แสดงในตารางท่ี ....... ตารางท่ี … คา่ KMO and Bartlett’s Test ขององค์ประกอบของรูปแบบการบรหิ ารสถานศึกษา ก. Kaiser-Meyer-Olkin Measure of Sampling Adequacy. .938* Bartlett’s Test of Sphericity Approx. Chi-Square 23715.509 df 1035 Sig .000* การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำ� รวจ (ในสว่ นน้ี แสดงตารางผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลตามล�ำดบั ) เมอ่ื ผวู้ จิ ยั ไดต้ รวจสอบความเหมาะสมของขอ้ มลู และพบวา่ ขอ้ มลู ทมี่ อี ยมู่ คี วามเหมาะสม ที่จะใช้เทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงส�ำรวจ (Explanatory factor analysis: EFA) ผู้วิจัย ก็ท�ำการวิเคราะห์องค์ประกอบด้วยวิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบหลัก (Principal Component Analysis, PCA) และหมุนแกนองค์ประกอบแบบมุมฉาก (orthogonal rotation) ดว้ ยวธิ วี าริแม็กซ์ (Varimax method) โดยคา่ ของน�ำ้ หนกั องค์ประกอบอย่รู ะหวา่ ง -1 ถงึ +1 องคป์ ระกอบของรูป แบบการบรหิ ารสถานศกึ ษา ก. ในแตล่ ะองคป์ ระกอบทม่ี คี า่ ไอเกน (Initial eigen values) ตง้ั แตห่ นงึ่ ข้นึ ไปจึงจดั เปน็ องค์ประกอบของรปู แบบการบริหารสถานศกึ ษา ก. องค์ประกอบ (Component) ท่ีมีค่าไอเกน (Initial eigen values) มากท่ีสุด ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่ส�ำคัญมากท่ีสุด เพราะมี ค่าความผันแปรหรือค่าความแปรปรวนทั้งหมดขององค์ประกอบ (ตัวแปร) ที่ถูกจัดอยู่ใน องค์ประกอบนั้นมากที่สุด เรียงล�ำดับความส�ำคัญ จ�ำนวน ......องค์ประกอบ โดยในแต่ละองค์ ประกอบมีค่าไอเกน (Initial eigen values) เรียงตามล�ำดับดังแสดงในตารางที่ …


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook