Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

Published by supasit.kon, 2022-12-29 03:14:00

Description: การวิจัยทางการบริหารการศึกษา

Search

Read the Text Version

Research in Educational Administration • 229 ผลการวจิ ยั พบวา่ ขอ้ เสนอเชิงนโยบายการพฒั นาครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษามี 4 ประเดน็ ดงั นี้ 1) จดั ระบบและกลไกในการพฒั นาครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาใหม้ ีคณุ ภาพสามารถ จดั การเรยี นการสอน การบรหิ ารจดั การและสนบั สนนุ การจดั การเรยี นการสอนทสี่ ง่ ผลถงึ คณุ ภาพ ผู้เรยี นได้อย่างมีประสิทธภิ าพ 2) พัฒนาระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพท่ีเอ้ือต่อการปฏิบัติงานของครู และบุคลากรทางการศึกษา 3) จัดระบบการส่งเสริม สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนให้เอื้อต่อการปฏิบัติงาน ของครูและบคุ ลากรทางการศึกษา 4) จดั ระบบการเสรมิ สรา้ งขวญั กำ� ลงั ใจและความกา้ วหนา้ ในวชิ าชพี ของครแู ละบคุ ลากร ทางการศกึ ษา ตวั อยา่ งท่ี 2 : การวิจยั ในการนำ� นโยบายสกู่ ารปฏบิ ัติ ช่อื เรอื่ ง: การวเิ คราะหป์ จั จยั ทสี่ มั พนั ธก์ บั ความสำ� เรจ็ ของการนำ� นโยบายโรงเรยี นมาตรฐาน สากลไปปฏบิ ตั ิ ช่ือผู้วจิ ยั : นพรจุ ศกั ดิศ์ ริ ิ ปที ว่ี จิ ัย: 2553 วัตถปุ ระสงค์ : 1) เพ่ือวิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความส�ำเร็จของการน�ำนโยบายโรงเรียนมาตรฐาน สากลไปปฏบิ ัติ 2) เพื่อหาข้อเสนอแนะให้กับสถาบันพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา ในการจดั หลกั สตู รการฝกึ อบรมสำ� หรบั ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา เพอื่ รองรบั นโยบายโรงเรยี น มาตรฐานสากล แนวคิดในการวจิ ยั ประกอบด้วยแนวคดิ ตวั แบบของ Van Meter and Van Horn (1975) และแนวคดิ การวดั ความส�ำเรจ็ ของการน�ำนโยบายไปปฏิบัตขิ อง Berman and Mclaughlin (1977) การดำ� เนนิ การวจิ ัย แบง่ เป็น 1) การศึกษาขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณ กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาขน้ั พื้นฐาน จำ� นวน 224 โรงเรียน จากประชากรจำ� นวน 500 โรงเรียน ท่ีเข้าร่วมโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากล โดย ก�ำหนดขนาดของกลมุ่ ตัวอยา่ งตามสตู รของทาโร ยามาเน (Taro Yamane) ซ่งึ ได้มาโดยวธิ กี ารสมุ่ แบบหลายขน้ั ตอน ใชแ้ บบสอบถามเปน็ เครอ่ื งมอื ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผใู้ หข้ อ้ มลู คอื ผบู้ รหิ าร สถานศกึ ษา รวบรวมข้อมูลระหวา่ งเดือนมิถุนายนถงึ เดอื นกรกฎาคม พ.ศ. 2553 วิเคราะหข์ อ้ มูล

230 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา โดยใชส้ ถติ บิ รรยาย สมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธแ์ บบเพยี รส์ นั คา่ สมั ประสทิ ธกิ์ ารถดถอยพหคุ ณู และ 2) การศกึ ษาขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ เลอื กสถานศกึ ษา 2 แหง่ เปน็ กรณศี กึ ษา ครอบคลมุ สถานศกึ ษาระดบั ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ใช้แบบส�ำรวจและแบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวม ขอ้ มูล วิเคราะห์โดยใชก้ ารวเิ คราะหเ์ น้อื หา ลงขอ้ สรปุ แบบอปุ นัย ผลการวิจยั สรปุ ได้ว่า 1) ความส�ำเร็จในการน�ำนโยบายนี้ไปปฏิบัติอยู่ในระดับมาก โดยสถานศึกษาระดับ มธั ยมศกึ ษาจะมคี วามสำ� เรจ็ ของการนำ� นโยบายนไ้ี ปปฏบิ ตั มิ ากกวา่ สถานศกึ ษาระดบั ประถมศกึ ษา 2) ปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับความส�ำเร็จของการน�ำนโยบายน้ีไปปฏิบัติ พบว่าตัวแปรต้น ทง้ั สนิ้ 13 ตวั มตี วั แปร 4 ตวั ทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั ความสำ� เรจ็ ของการนำ� นโยบายไปปฏบิ ตั ิ โดยมคี า่ สัมประสิทธิส์ หสัมพนั ธ์พหุคูณเทา่ กบั 0.639 และตัวแปรท้ัง 4 ตวั สามารถอธบิ ายความแปรปรวน ความสำ� เร็จของการนำ� นโยบายไปปฏิบัติ ไดร้ อ้ ยละ 40.9 โดยตัวแปรทส่ี ามารถทำ� นายความสำ� เรจ็ ในมติ ริ วม อยา่ งมนี ยั สำ� คญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั 0.05 เรยี งตามลำ� ดบั ความสำ� คญั ดงั นี้ 1) สภาพแวดลอ้ ม ทางการเมือง 2) ทัศนคติของผู้ปฏบิ ัติ 3) การติดตอ่ สือ่ สาร และ 4) ทรัพยากรองคก์ าร 3) หลักสูตรการฝึกอบรมที่ต้องการให้สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทาง การศึกษาจัดอบรม ได้แก่ ทฤษฎีความรู้ การเขียนความเรียงข้ันสูง กิจกรรมโครงงานเพื่อ สาธารณประโยชน์ โลกศึกษา และการบรหิ ารดว้ ยระบบคณุ ภาพ (Quality System Management) ตวั อยา่ ง 3 : การวจิ ยั เพื่อประเมินผลการปฏบิ ตั ิตามนโยบาย ชอ่ื เร่อื ง : การติดตามและประเมินกระบวนการน�ำนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ไปปฏิบัติใน สถานศกึ ษา ชอ่ื ผวู้ ิจัย: สริ นิ ทรพ์ ร วงศ์พรี กุล ปที ่วี จิ ยั : 2552 วตั ถปุ ระสงค์ : 1 เพื่อพัฒนาตัวบ่งช้ีและเกณฑ์ในการประเมินกระบวนการน�ำนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ไปสูก่ ารปฏบิ ัติ 2) เพื่อติดตามและประเมินกระบวนการน�ำนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ไปปฏิบัติในสถาน ศกึ ษา 3) เพ่ือศึกษาปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะของสถานศึกษาในการน�ำนโยบายเรียน ฟรี 15 ปี ไปปฏบิ ัติในสถานศึกษา 4) เพอ่ื ศึกษาความพึงพอใจของผู้บรหิ าร อาจารย์ และผปู้ กครองตอ่ การด�ำเนินงานตาม แนวนโยบายการเรยี นฟรี 15 ปี ของสถานศึกษา

Research in Educational Administration • 231 วธิ กี ารวจิ ัย ใช้วิธีการประเมินแบบผสมผสานวิธี (Mixed Methods Evaluation) กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ ในการวิจัย คือ สถานศกึ ษาในเขตกรุงเทพมหานครและปรมิ ณฑลท่ีรบั นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ไป ปฏิบัติ สังกัดส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จ�ำนวน 250 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้บริหาร อาจารย์ และผู้ปกครอง เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสมั ภาษณ์ เพือ่ ประเมินกระบวนการนำ� นโยบายไปปฏิบตั ใิ นสถานศกึ ษา ผลการวิจัย สรุปได้ว่า 1) การประเมนิ กระบวนการนำ� นโยบายเรยี นฟรี 15 ปไี ปปฏบิ ตั ใิ นสถานศกึ ษา ประกอบ ด้วย 8 องค์ประกอบ คือ 1) การจัดองค์กร  2) การวางแผนงาน 3) การประชาสัมพันธ์ 4) การ สำ� รวจนกั เรยี นสละสทิ ธ ิ์  5) การจดั ซอื้ หนงั สอื เรยี น 6) การดำ� เนนิ การเรอ่ื งเครอ่ื งแบบนกั เรยี นและ อปุ กรณ์การเรยี น 7) การจัดกจิ กรรมพฒั นาคุณภาพผ้เู รยี น  8) การตดิ ตามและตรวจสอบ มีตวั บ่งชี้ 65 ตวั บ่งช้ี 2) ภาพรวมของกระบวนการน�ำนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ไปปฏิบัติในสถานศึกษา มีผลการประเมินในระดับ ดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.46 ผลการเปรียบเทียบกระบวนการน�ำนโยบาย เรียนฟรี 15 ปี ไปปฏิบัตใิ นสถานศึกษา จำ� แนกตามระดับการจัดการศึกษา ขนาดสถานศึกษา และ จังหวดั มีรายละเอียดดงั น้ี กอ่ นเร่ิมการดำ� เนนิ งานในกระบวนการนำ� นโยบายไปปฏิบัติ พบว่า ปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ ง ระดับการจัดการศึกษา ขนาดสถานศึกษา และจังหวัดมีผลต่อกระบวนการน�ำนโยบายเรียนฟรี 15 ปีไปปฏิบัติในสถานศึกษาอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 แสดงว่า  ระดับการจัดการ ศึกษา ขนาดสถานศึกษา และจังหวัด เพียงปัจจัยใดปัจจัยหน่ึงไม่มีผลต่อกระบวนการน�ำ นโยบายเรียนฟรี 15 ปีไปปฏบิ ัติในสถานศกึ ษา ระหว่างการด�ำเนินงานในกระบวนการน�ำนโยบายไปปฏิบัติ พบว่า ไม่มีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างระดับการจัดการศึกษา ขนาดสถานศึกษา และจังหวัดต่อกระบวนการน�ำนโยบาย เรียนฟรี 15 ปีไปปฏิบัติในสถานศึกษาอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่พบว่า ปัจจัย หลักอย่างขนาดสถานศึกษามีผลต่อกระบวนการน�ำนโยบายเรียนฟรี 15 ปีไปปฏิบัติใน สถานศึกษา โดยสถานศึกษาขนาดใหญ่พิเศษจะมกี ระบวนการน�ำนโยบายเรียนฟรี 15 ปีไปปฏบิ ตั ิ ในสถานศกึ ษาไดด้ ีกว่าสถานศกึ ษาขนาดกลางและสถานศึกษาขนาดเลก็ ภาพรวมการดำ� เนนิ งานในกระบวนการนำ� นโยบายไปปฏบิ ตั ิ พบวา่ ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ ง ระดับการจัดการศึกษา ขนาดสถานศึกษา และจังหวัดมีผลต่อกระบวนการน�ำนโยบายเรียนฟรี 15 ปีไปปฏิบัติในสถานศึกษาในภาพรวมอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงว่า ระดับการจัดการศึกษา ขนาดสถานศึกษา และจังหวัด เพียงปัจจัยใดปัจจัยหน่ึงไม่มีผลต่อ กระบวนการน�ำนโยบายเรียนฟรี 15 ปีไปปฏบิ ตั ิในสถานศึกษา 3) ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในระหว่างการด�ำเนินงานของสถานศึกษามีสาเหตุมาจาก ขาดการอธบิ ายรายละเอยี ดในการด�ำเนนิ งานต่อผูป้ ฏบิ ัติในสถานศึกษา  ขอ้ เสนอแนะท่สี ำ� คญั คือ

232 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา สร้างความตระหนักกับผู้ปกครองและนักเรียนให้เห็นคุณค่าและความส�ำคัญของนโยบายเรียน ฟรี 15 ปี กล่าวโดยสรุป จากกรณีตัวอย่างทั้ง 3 ดังกล่างข้างต้น เป็นการน�ำเสนอตัวอย่างของ ประเภทการวิจัยเชงิ นโยบาย ได้แก่ การวิจยั เพือ่ กำ� หนดนโยบาย การวิจยั ในการนำ� นโยบายสกู่ าร ปฏิบัติ และการวิจัยเพื่อประเมินผลการปฏิบัติตามนโยบาย ซึ่งมีจุดเด่นในการออกแบบการวิจัย กระบวนการวิจัย และผลของการวิจัยท่ีเกิดขึ้นท่ีสามารถน�ำไปใช้ในการพัฒนานโยบายต่อไปได้ อย่างมีประสทิ ธิภาพ สรุปท้ายบท การวิจัยเชิงนโยบาย ที่น�ำเสนอในบทท่ี 6 น้ี ประกอบด้วยสาระส�ำคัญที่ผู้วิจัยหรือ นักศึกษาในทางการบริหารการศึกษาควรศึกษาและท�ำความเข้าใจให้ละเอียดและชัดเจน โดยอาจ สรุปสาระสำ� คัญดงั กลา่ วได้ ดังนี้ นโยบาย หมายถงึ ชดุ ของข้อความทเ่ี ปน็ แนวทางในการดำ� เนนิ งานของบุคคล หรอื กลุม่ บุคคล เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์การหรือหน่วยงาน ซ่ึงมีองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ 1) การก�ำหนดนโยบาย 2) การน�ำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ และ 3) การประเมิน นโยบาย นโยบายมีลักษณะส�ำคัญ 5 ประการ ประกอบด้วย 1) เป็นการน�ำความรู้ความคิดที่มี เหตุผลไปใช้แก้ปัญหา 2) เป็นการก�ำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติไปใช้ในการตัดสินใจปฏิบัติ 3) เป็นการก�ำหนดหรือพยากรณ์แนวทางปฏิบัติในอนาคต โดยพิจารณาครอบคลุมถึงทรัพยากร หรือปัจจัยที่ไม่แน่นอน 4) เน้นเป้าหมาย วัตถุประสงค์ เป้าประสงค์ เง่ือนไขและผลลัพธ์ท่ีจะ เกิดขน้ึ และ 5) เปน็ การด�ำเนนิ การเพื่อใหบ้ รรลผุ ลตอ่ ส่วนรวม การพัฒนานโยบายนั้น อาจด�ำเนินการได้ในหลายลักษณะและในการพัฒนานโยบาย มีข้ันตอนท่ีส�ำคัญ 6 ข้ันตอน ประกอบด้วย การระบุปัญหา การก�ำหนดเป็นวาระส�ำหรับ การตัดสินใจ การก�ำหนดข้อเสนอนโยบาย การอนุมัตินโยบาย การด�ำเนินนโยบาย และการ ประเมินผลนโยบาย สว่ นความหมายของการวจิ ยั เชงิ นโยบาย คอื เปน็ กระบวนการศกึ ษารวบรวมขอ้ มลู อยา่ ง เป็นระบบ เพื่อให้ได้ผลการวิเคราะห์ข้อมูล และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ตลอดจนแนวทางปฏิบัติที่ อาจจะเปน็ ไปไดใ้ นการแกป้ ญั หาหรอื การพฒั นาในเรอ่ื งใดเรอื่ งหนง่ึ ในระดบั นโยบาย  โดยเปน็ การ วจิ ัยที่มีบทบาทหลักในการวเิ คราะห์ตัวนโยบาย วเิ คราะห์ผลการด�ำเนนิ งานตามนโยบาย และวจิ ยั เพื่อพัฒนา และเป็นการวิจัยท่ีมุ่งก�ำหนดแนวทางการด�ำเนินการของแต่ละสถาบันหรือหน่วยงาน จากปัจจุบันไปสู่อนาคต เพื่อมุ่งหวังให้การตัดสินใจในการด�ำเนินการดังกล่าว มีความถูกต้อง เหมาะสม และเป็นไปได้มากท่สี ุด พฒั นาการของการวจิ ยั เชิงนโยบาย อาจแบง่ ได้ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะท่ี 1 การทดลองใน การวิจัยเชิงนโยบาย ระหว่างปี ค.ศ. 1930-1960 ระยะที่ 2 การค้นหาทางเลือกในเชิงนโยบาย ระหว่างปี ค.ศ. 1960-1980 และระยะที่ 3 การสนับสนุนกระบวนการเชิงนโยบาย ต้ังแต่ปี ค.ศ.

Research in Educational Administration • 233 1980 เป็นต้นมา การวิจัยเชิงนโยบายมีลักษณะที่ส�ำคัญ คือ เป็นการศึกษากระบวนการแก้ปัญหาที่ เกิดขึ้นกับสังคมมนุษย์หรือองค์การที่ก�ำลังเผชิญอยู่ โดยต้องอาศัยองค์ความรู้ที่หลากหลาย สาขาวิชาหรือความรู้แบบสหวิทยาการ มีจุดเน้นที่กระบวนการแก้ปัญหาของมนุษย์อย่างเป็น ระบบ และมีความสัมพนั ธ์กบั การตดั สินใจในเชิงสรา้ งสรรค์ ประเภทของการวิจัยเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกระบวนการนโยบาย อาจแบ่งได้ 5 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) ประเภทกระตนุ้ ใหเ้ กดิ นโยบาย 2) ประเภทการทำ� นโยบายใหช้ ดั เจน 3) ประเภท การเร่ิมต้นของนโยบาย 4) ประเภทการน�ำนโยบายไปปฏิบัติ และ 5) ประเภทการประเมินผล นโยบาย ในการจดั ทำ� การวจิ ยั เชงิ นโยบายนนั้ ผวู้ จิ ยั อาจกำ� หนดขนั้ ตอนของกระบวนการจดั ทำ� ได ้ 6  ขน้ั ตอน ดงั นค้ี อื 1) การระบปุ ญั หา  2) การกำ� หนดเปน็ วาระสำ� หรบั การตดั สนิ ใจ 3) การกำ� หนด ขอ้ เสนอนโยบาย  4) การอนุมัตนิ โยบาย 5) การดำ� เนินนโยบาย  และ 6) การประเมินผลนโยบาย ขอบข่ายของการวิจัยเชิงนโยบายท่ีเกี่ยวข้องกับการบริหารการศึกษา อาจพิจารณาใน ประเด็นหลัก ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการเรียนรู้และหลักสูตร การประเมินผล การแนะแนว และการคัดเลือก ประชากรวัยเรียน การเข้าเรียนและโครงสร้างทางการศึกษา งบประมาณและ การบรหิ ารจดั การ การคัดเลอื กและการฝึกอบรมครู การตดิ ตามระบบการศึกษา การวิจัยเชิงนโยบายมีประโยชน์ในด้านเป็นเคร่ืองมือในการก�ำหนดนโยบายส�ำหรับ การบริหารจัดการ ซ่ึงจะช่วยระบุถึงประเด็นปัญหา สร้างความเข้าใจในสาระส�ำคัญของปัญหา แนวทางการแก้ไข และสนับสนุนให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจเลือกแผนปฏิบัติการได้อย่าง เหมาะสม การออกแบบการวจิ ยั เชงิ นโยบายอาจดำ� เนนิ การได้ 5แบบทสี่ ำ� คญั ไดแ้ ก่1)การออกแบบ การวิจัยเชิงส�ำรวจ 2) การออกแบบการวิจัยเชิงพรรณนา 3) การออกแบบการวิจัยเชิงสาเหตุ 4) การออกแบบการวิจยั เพ่อื การประมาณค่า และ 5) การออกแบบการวจิ ยั เชิงประเมิน ส�ำหรับการด�ำเนินการวิจัยเชิงนโยบายในส่วนที่เป็นข้ันตอนต่อเนื่องจากการออกแบบ การวจิ ยั เชงิ นโยบาย คอื เครอื่ งมอื และการพฒั นาเครอ่ื งมอื การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และการวเิ คราะห์ ข้อมลู ส่วนเทคนิคในการวิจัยเชิงนโยบายนิยมใช้การวิจัยอนาคตซ่ึงมีอยู่หลายวิธี แต่วิธีที่เป็น ที่รู้จักและนิยมน�ำมาใช้ในการวิจัยเชิงนโยบาย มีอยู่ 3 วิธี ได้แก่ 1) การวิจัยอนาคตแบบ Delphi (Delphi Technique) 2) การวิจัยอนาคตแบบ EFR (Ethnographic Futures Research: EFR) และ 3) การวิจัยอนาคตแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research: EDFR) เทคนิคการวิจัยอนาคตดังกล่าว สามารถใช้การวิจัยทั้งในรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัย เชิงปริมาณ ท้ังนี้ ข้นึ อย่กู ับวัตถุประสงค์ในการวิจยั



บทที่ การวิจยั เชิงปฏิบัติการแบบมสี ว่ นร่วม 7 PARTICIPATORY ACTION RESEARCH การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม (Participatory Action Research : PAR) เปน็ การ วิจัยรูปแบบหนึ่งที่ผสมผสานการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Research) กับการวิจัยเชิง ปฏบิ ตั กิ าร (Action Research) รวมทง้ั วธิ กี ารวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative Research) เขา้ ดว้ ยกนั เพอื่ ใหไ้ ดม้ าซงึ่ องคค์ วามรใู้ หมใ่ นการแกไ้ ขปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชมุ ชน โดยคณะนกั วจิ ยั ชมุ ชนและแกนนำ� ชาวบ้านมีสว่ นร่วมในการวิจัยทกุ ขน้ั ตอน ต้ังแต่ ร่วมคิด รว่ มตดั สินใจ ร่วมท�ำ ร่วมตรวจสอบและ ร่วมรบั ประโยชนค์ วบคู่ไปกบั กระบวนการเรียนรูข้ องชมุ ชน โดยยึดชมุ ชนเปน็ ศูนยก์ ลาง (People- Centered Development) และแก้ปญั หาโดยใช้กระบวนการเรยี นรู้ (Problem-Learning Process) การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม แตกต่างจากการวิจัยแบบเดิม (Tradition Research) การวิจัยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Research) การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) กล่าวคือ การวิจัยแบบเดิม  เป็นการวิจัยที่ใช้ผู้วิจัยเป็นศูนย์กลาง (Researcher Center) องค์ความรู้ (Body of knowledge)  อยู่ทนี่ ักวจิ ัยท่ีเปน็ คนนอกชมุ ชน วจิ ัยเพอ่ื รปู้ ัญหาของคนอื่น ผลการวิจยั จงึ ไม่ไดน้ ำ� ไปใชแ้ กป้ ัญหา การวจิ ยั แบบมสี ว่ นรว่ มเปน็ การศกึ ษาชมุ ชนโดยใหส้ มาชกิ ของชมุ ชนเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการศกึ ษา และเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล รวมทงั้ เปน็ ผรู้ ่วมวิจยั ด้วย แต่ไม่มีการปฏบิ ัตกิ ารใด ๆ และยงั ไมม่ ีการน�ำไป ประยกุ ตแ์ กป้ ญั หา การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเปน็ กระบวนการวจิ ยั ทผ่ี วู้ จิ ยั จะเลอื กหรอื กำ� หนดกจิ กรรม อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ขนึ้ มาซงึ่ ผวู้ จิ ยั จะเปน็ ผพู้ จิ ารณาวา่ ดแี ละเหมาะสมแลว้ จากนน้ั กน็ ำ� กจิ กรรมนน้ั ๆ มาทดลองปฏิบัติการว่าใช้ได้หรือไม่ตามสมมติฐานของผู้วิจัยเอง เป็นการวิจัยท่ีมุ่งศึกษาการแก้ ปญั หาการปฏบิ ตั งิ านโดยผรู้ บั ผดิ ชอบหรอื ผทู้ ปี่ ฏบิ ตั งิ านนน้ั โดยตรง เชน่ การวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในชน้ั เรยี น (Classroom Action Research) กเ็ ป็นการวิจัยทที่ �ำโดยครผู ้สู อนในห้องเรียน เพือ่ แก้ไขปญั หา ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในหอ้ งเรยี น และนำ� ผลมาใชใ้ นการปรบั ปรงุ การเรยี นการสอน เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ กบั ผเู้ รยี นนน่ั เองโดยผวู้ จิ ยั จะกำ� หนดเกณฑใ์ นการตดิ ตามและประเมนิ ผลตลอดจนควบคมุ แนวทาง การปฏบิ ตั แิ ละนำ� ผลนนั้ มาปรบั ปรงุ รปู แบบกจิ กรรมการดำ� เนนิ งานแลว้ นำ� ไปทดลองใชใ้ หมจ่ นกวา่ จะไดผ้ ลทผ่ี วู้ จิ ยั พงึ พอใจ จากนน้ั กน็ ำ� ไปใชแ้ ละเผยแพรต่ อ่ ไป ซง่ึ การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารนอี้ าจมสี ว่ น รว่ มหรอื ไมม่ ีสว่ นร่วมกไ็ ด้ ส่วนการวิจัยเชงิ คุณภาพ เน้นการมองภาพในองคร์ วม ให้ความเคารพ และให้ความส�ำคญั แก่คณุ คา่ ความเป็นมนุษยข์ องผถู้ ูกวิจยั เปน็ การศึกษาแบบเจาะลึก และใชร้ ะยะ เวลาศกึ ษายาวนาน สรา้ งข้อสรุปจากหลักฐานและสิง่ ทคี่ ้นพบ นำ� มารวบรวมอธบิ ายเป็นภาพรวม ในเชิงนามธรรมมใิ ชต่ ัวเลขทางสถติ ิ การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เป็นการวิจัยโดยนักวิจัยร่วมกับคนในชุมชน (Community Center) ร่วมกันเรียนรู้เรื่องชุมชนของตนเอง เห็นปัญหาของตัวเอง เห็นทางออก หรือทางแก้ปัญหาของชุมชนร่วมกัน และทุกคนในชุมชนร่วมกันแก้ปัญหาและรับผลของการ

236 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา แก้ปญั หารว่ มกัน ซ่งึ เป็นการปรบั ปรุงวิธกี ารวจิ ยั ด้ังเดิมให้มปี ระสิทธภิ าพยิ่งข้นึ นอกจากนี้ การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมจะแตกต่างจากการวิจัยสถาบัน และการวิจัยเชิงนโยบายดังกล่าวมาแล้ว กล่าวคือ การวิจัยสถาบัน (Institutional research) เป็น การวิจัยที่มุ่งศึกษาปัญหาที่เกี่ยวข้องของแต่ละสถาบันโดยตรง ทั้งนี้เพื่อน�ำข้อค้นพบไปประยุกต์ ใช้กับการวางแผน การตัดสินใจ หรือการแก้ปัญหาในแต่ละสถาบันโดยเฉพาะ ในขณะที่การวิจัย เชิงนโยบาย (Policy research) เป็นการวจิ ยั ทมี่ ุ่งกำ� หนดแนวทางการด�ำเนนิ การ ของแตล่ ะสถาบนั หรือหน่วยงานจากปัจจุบันไปสู่อนาคต เพ่ือมุ่งหวังให้การตัดสินใจสู่การด�ำเนินการดังกล่าว มคี วามถกู ต้อง เหมาะสม และเป็นไปไดม้ ากท่ีสุด การวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั ิการแบบมีสว่ นร่วม มีนัยอยู่ 3 ประการ คอื 1) การวจิ ยั เพ่อื ให้ได้ความรู้ 2) การปฏิบัติการเพ่ือใช้ความรู้และสะท้อนผลการปฏิบัติที่มาจากการใช้ความรู้ และ 3) การมี ส่วนร่วม ที่มีความหมายของการเป็นเจ้าของการเปลี่ยนแปลง การสร้างความรัก ความผูกพัน และความหวังในกระบวนการเปล่ียนแปลง ซ่ึงประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลง 3 อย่าง คือ 1) พัฒนาจิตส�ำนึกอย่างมีวิจารณญาณของนักวิจัยและผู้ร่วมวิจัย 2) พัฒนาชีวิตของผู้มีส่วนร่วม ในกระบวนการวิจัย และ 3) เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและความสัมพันธ์ทางสังคม เป็นการวิจัยที่เร่ิมต้นจากคนที่หน่ึงมาสู่คนที่สอง และมาสู่คนท่ีสาม หรือตลอดจนสร้างการ เปลยี่ นแปลงระดับมหภาค (วรรณดี สทุ ธนิ รากร, 2557) ในบทนี้ จะน�ำเสนอการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหา สาระท่ีส�ำคัญ 5 เรื่อง ได้แก่ 1) แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 2) กระบวนการวิจยั และการมสี ่วนร่วมของประชาชน 3) เทคนิคการสร้างความสมั พันธก์ ับชุมชน 4) เทคนคิ ทจ่ี ำ� เปน็ สำ� หรบั การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากชมุ ชน และ 5) กรณตี วั อยา่ งงานวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิ การแบบมีสว่ นรว่ ม โดยมรี ายละเอียด ดังต่อไปนี้ 7.1 แนวคิดพื้นฐานเกีย่ วกบั การวิจัยเชงิ ปฏิบัติการแบบมสี ่วนรว่ ม ในส่วนนี้ ผู้วิจัยควรศึกษาและท�ำความเข้าใจเร่ืองแนวคิดพ้ืนฐานเก่ียวกับการวิจัยเชิง ปฏบิ ัติการแบบมสี ่วนรว่ ม ซง่ึ ประกอบดว้ ยความหมายของการวจิ ัยเชิงปฏิบตั ิการแบบมีสว่ นร่วม พฒั นาการของการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม และประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั จากการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิ การแบบมีสว่ นรว่ ม โดยมรี ายละเอียด ดังน้ี 1. ความหมายของการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการแบบมสี ่วนร่วม ได้มีนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบบมีส่วนร่วมไว้หลากหลาย โดยนักวิชาการในต่างประเทศได้ให้ความหมายของการวิจัยเชิง ปฏิบัตกิ ารแบบมสี ่วนร่วมไว้ ดังตวั อย่างต่อไปนี้ Kerlinger (1988) กล่าวว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เป็นการผสมผสาน ระหวา่ ง “การวจิ ัย” “เชงิ ปฏิบัตกิ าร” และ “การมสี ว่ นร่วม” เขา้ ด้วยกัน คำ� วา่ “การวิจยั ” หมายถึง รูปแบบหน่ึงของการแสวงหาความรู้ ความจริง ท่ีถูกต้อง เชื่อถือได้ ตรวจสอบได้ เกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคมด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ส่วนค�ำว่า “เชิงปฏิบัติการ” หมายถึง

Research in Educational Administration • 237 การปฏิบัตงิ านในกจิ กรรมการพฒั นาท่คี วบคไู่ ปกับการวจิ ยั และคำ� วา่  “การมีสว่ นร่วม” หมายถงึ การเข้าร่วมอย่างแข็งขันของกลุ่มบุคคลในข้ันตอนต่าง ๆ ของการด�ำเนินกิจกรรมอย่างหนึ่ง จึงสรุปได้ว่าการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม หมายถึง การแสวงหาความรู้ ความจริงท่ี ถูกต้อง เชื่อถือได้ ตรวจสอบได้ โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีกลุ่มบุคคลเข้ามาร่วมกันเรียนรู้ เพอื่ รจู้ กั ตวั เอง ชมุ ชน สง่ิ แวดลอ้ ม ใหเ้ หน็ ปญั หาของตวั เอง และเหน็ ทางแกห้ รอื ทางออกจากปญั หา โดยลงมือปฏิบตั ิจริง ได้ผลจริง แก้ปญั หาไดจ้ รงิ ต่อมาอกี 9 ปี Selener (1997) กลา่ วถงึ การวจิ ยั เชิงปฏิบัตกิ ารแบบมีส่วนร่วมวา่ “การวจิ ัย เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม (PAR) คอื การวจิ ยั ทเี่ รมิ่ ตน้ และจบลงในชมุ ชน เปน็ งานวจิ ยั ทด่ี ำ� เนนิ การเพื่อม่งุ แก้ปญั หาในเชงิ ปฏบิ ตั ิในสภาพความเป็นจริง (to solve practical problem in real word) และนักวิจยั มีบทบาทในการท�ำงานรว่ มกับผู้เกยี่ วข้องในชุมชนในทกุ ข้นั ตอน สว่ นนกั วิชาการในประเทศ กไ็ ดใ้ ห้ความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่วม ไว้หลากหลายเช่นเดยี วกนั ดงั ตัวอย่างต่อไปนี้ กมล สุดประเสริฐ (2540, หน้า 8) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบ มีส่วนร่วม (PAR) คือ การวิจัย ค้นว้า และหาความรู้ตามหลักการของการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ แบบเดมิ ๆ ตา่ งกันเพียงแตว่ ่า PAR นั้นมวี ตั ถปุ ระสงคม์ งุ่ ไปท่กี ารแก้ปัญหาในการพฒั นา และเป็น การวิจัยที่ด�ำเนินไปด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน ผู้ร่วมงาน รวมท้ังในกระบวนการวิจัย และใน การมหี ุ้นส่วนใชป้ ระโยชนข์ องการวจิ ยั อีก 7 ปีต่อมา สุภางค์ จันทวานชิ (2547, หน้า 67) กลา่ วว่า การวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบ มีส่วนร่วม (PAR) หมายถึง วิธีการท่ีให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมวิจัย ซ่ึงเป็นการเรียนรู้จาก ประสบการณ์ โดยอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการวิจัย นับตั้งแต่การก�ำหนดปัญหา การด�ำเนินการ การวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนหาแนวทางในการ แกป้ ญั หาหรือส่งเสริมกจิ กรรม ในปีเดียวกัน ชอบ เขม็ กลดั และ โกวิทย์ พวงงาม (2547, หนา้ 3) ได้สรุปความหมายของ การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ มวา่ หมายถงึ การวจิ ยั เพอื่ การพฒั นาทรี่ วมการวจิ ยั แบบมสี ว่ น ร่วม (Participatory Research) กับการวิจัยเชิงปฏิบัติการ(Action Research) เข้าด้วยกัน และเป็น เคร่ืองมือในการจัดการกบั ปญั หาที่เกดิ ข้นึ ในชุมชน โดยคณะนกั วจิ ัย ชุมชน และแกนน�ำชาวบ้าน มสี ว่ นรว่ มในกระบวนการวิจยั ทุกข้นั ตอน ต้งั แต่การศกึ ษาชุมชน การวิจยั ปัญหา การหาแนวทาง ในการแกป้ ัญหา ตลอดจนการด�ำเนินงานและตดิ ตามผล เพ่อื ใหผ้ ลของการวิจัยน�ำไปสกู่ ารปฏิบตั ิ ไดจ้ รงิ ในการพฒั นา จากความหมายต่าง ๆ ข้างต้น สรุปได้ว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) คอื การวิจยั ทม่ี งุ่ ศึกษาชุมชน โดยเน้นการวเิ คราะหป์ ญั หา ศึกษาแนวทางการแกป้ ญั หา ปฏิบัติตาม แผน และติดตามประเมินผล โดยเน้นคนเป็นศูนย์กลาง และมุ่งสร้างพลังอ�ำนาจให้กับประชาชน โดยทกุ ขนั้ ตอนมสี มาชิกของชมุ ชนเข้าร่วมดว้ ย

238 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา 2. พฒั นาการของการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารแบบมสี ว่ นร่วม พนั ธ์ทิพย์ รามสูตร (อ้างถึงใน ชอบ เข็มกลดั และ โกวทิ ย์ พวงงาม, 2547, หนา้ 17 - 21) กลา่ วถึงพฒั นาการของการวิจยั เชิงปฏิบัตกิ ารแบบมสี ่วนรว่ มไว้ 3 ระยะ ซึง่ อาจสรุปได้ดงั น้ี แนวคดิ ระยะท่ี 1 เรียกว่า ยุคดั้งเดิม (Convention) ในยุคน้ีเป็นยุคท่ีมีเจตนาจะ ทำ� ใหป้ ระชาชนปฏบิ ตั ิตามค�ำส่งั สอน (to confirm) โดยมุ่งหวงั ให้เกิดความเปน็ ระเบยี บของสงั คม ควบคุมประชาชนให้อยู่ในระเบียบวิธีการ มักเป็นรูปแบบของเผด็จการอ�ำนาจ (Authoritarian) ท่ีควบคุมจากเบ้ืองบน (Right top down) ผลท่ีเกิดกับประชาชนและชุมชนจึงออกมาในลักษณะ ของความกดขี่ (Oppressive) รปู แบบของการวจิ ยั แบบดง้ั เดมิ เปน็ การวจิ ยั ทผี่ วู้ จิ ยั คอื ผทู้ มี่ อี ำ� นาจ ซ่ึงเป็นคนจากภายนอก เป็นผู้ก�ำหนดเครื่องมือในการวิจัยในทุกข้ันตอน ประชาชนในชุมชนเป็น เพียงผู้ถูกวิจัยและปฏิบัติตามสิ่งท่ีผู้วิจัยก�ำหนดให้ การวิจัยในลักษณะนี้ประชาชนกลุ่มผู้ด้อย โอกาสจากภายนอกไมส่ ามารถจดั การกบั สาเหตขุ องปญั หาท่ีแท้จริงได้ แนวคิดระยะท่ี 2 การพฒั นาออกมาในลกั ษณะกา้ วหนา้ ขนึ้ (Progressive) โดยมงุ่ การ เปลย่ี นแปลงประชาชนให้เขา้ กบั ความต้องการของสงั คม และปรับปรุงสภาวะทางสังคมในระดับ หนง่ึ แตไ่ มเ่ ปลย่ี นแปลงสภาวะทางสงั คมทเ่ี คยเปน็ อยู่ เปน็ ตน้ วา่ ไดเ้ ปลย่ี นจากแบบแผนเผดจ็ การมา เป็นวธิ กี ารแบบพ่อปกครองลกู (Paternalistic) หรือควบคุมดว้ ยความเมตตาจากเบื้องบน (Kindly top down control) ในยุคน้ีประชาชนเร่ิมเข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัย จึงเกิดเป็นรูปแบบของการ วิจัยแบบมีส่วนร่วม (Participatory research) ซึ่งเป็นกลวิธีท่ีสนับสนุนความพยายามของบุคคล และกลุ่มบุคคลที่ท้าทายต่อความไม่เสมอภาคในสังคม และเป็นความพยายามท่ีจะขจัดการเอารัด เอาเปรยี บในสงั คมใหห้ มดไป การวจิ ยั ตลอดจนกระบวนการจงึ เกดิ จากการระดมความรว่ มมอื ของ ประชาชน เปน็ การแกไ้ ขปญั หาทเ่ี กดิ จากการระดมความคดิ เหน็ ของผทู้ ม่ี สี ว่ นเกยี่ วขอ้ ง ทงั้ ชาวบา้ น องค์กรของรฐั และเอกชนเพ่ือจดั การปญั หาได้ตรงประเดน็ แนวคิดระยะท่ี 3 เพื่อให้เกิดการพัฒนาชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึนอย่าง ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต การศึกษาจะเป็นรูปแบบของการปลดปล่อย (Liberating) เพ่ือ ปรับเปลี่ยนรูปแบบของสังคมเสียใหม่โดยมุ่งเปล่ียนสังคมให้สอดคล้องกับความต้องการของ ประชาชน เน้นการต่อต้านความไม่เป็นธรรมในสังคมและความไม่เสมอภาค ในขณะเดียวกัน สนับสนุนให้ประชาชนได้ปกครองตนเองอันเป็นการกระท�ำท่ีก่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตย (Democratic) การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) จะเป็นเครื่องมือที่ส�ำคัญ เพราะ PAR เปน็ การวจิ ยั ทเี่ กดิ การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง จากการลงมอื ปฏบิ ตั แิ ละมสี ว่ นรว่ มแกป้ ญั หารว่ มกนั ท่ีมิใช่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากเป็นการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกันในทุก ๆ ข้ันตอนของ กระบวนการศกึ ษา ซ่ึงจะท�ำให้การศึกษาชุมชนเปน็ การมองปญั หาอยา่ งเปน็ องคร์ วม กล่าวได้ว่า พัฒนาการของแนวคิดของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมทั้ง 3 ระยะ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ เปน็ การวจิ ยั ทย่ี ดึ หลกั การการกระจายอำ� นาจลงไปสทู่ อ้ งถน่ิ (Decentralized) ท่เี น้นการมีส่วนรว่ มของประชาชนในทุกขนั้ ตอนของการวจิ ัย ต้ังแตก่ ารก�ำหนดปัญหา การเลือก วิธีการแก้ปัญหาและพัฒนาการด�ำเนินการตามวิธีการที่เลือก การประเมินผล และการร่วมรับผล ท่ีเกดิ ขึน้ บนพืน้ ฐานของปัญหาและบรบิ ทของประชาชน และผลของการวิจัยท�ำให้ประชาชนเกิด

Research in Educational Administration • 239 การเรียนร้แู ละสามารถพึ่งพาตนเองได้ต่อไป การวิจัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารแบบมสี ว่ นรว่ ม (PAR) จึงเป็น เครือ่ งมอื ที่สำ� คญั ในการสรา้ งองคค์ วามร้ใู หม่ ๆ ที่เกิดจากการมสี ว่ นร่วม และการปฏิบตั จิ รงิ ร่วม กันในทกุ ข้ันตอน ก่อใหเ้ กิดความรใู้ หมท่ ีส่ ามารถน�ำไปใชไ้ ด้จรงิ 3. ประโยชน์ที่ได้รบั จากการวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมสี ่วนร่วม กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน (อ้างถึงใน ชอบ เขม็ กลดั และ โกวิทย์ พวงงาม, 2547, หน้า 13 - 14) ได้กล่าวถึงผลท่ชี ุมชนและนักวจิ ัยจะไดร้ บั จากการวิจยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมีส่วนรว่ ม ดังนี้ 3.1 ชาวบา้ น ประชาชน ผ้ดู ้อยโอกาสจะตื่นตัว ไดร้ บั การศกึ ษามากขนึ้ สามารถคิด และวิเคราะหเ์ หตุการณต์ ่าง ๆ ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง มีความเช่อื ม่ันในทางที่จะให้ความรว่ มมอื กันในการ ด�ำเนนิ กจิ กรรมทงั้ ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพอื่ กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อตนเองและชมุ ชน 3.2 ประชาชนได้รับการแก้ไขปัญหา ผู้ด้อยโอกาสมีโอกาสมากข้ึน การจัดสรร ทรัพยากรต่าง ๆ มีการกระจายอย่างท่ัวถึงและเป็นธรรมรวมทั้งข้อมูลข่าวสารที่ส่งผลให้คุณภาพ ชีวติ ของคนในชมุ ชนดขี นึ้ 3.3 ส�ำหรับทีมนักวิจัยและนักพัฒนา จะได้เรียนรู้จากชุมชน ได้ประสบการณ์ใน การท�ำงานร่วมกับชุมชน อันก่อให้เกิดความเข้าใจชุมชนได้ดีข้ึน และเกิดแนวคิดในการพัฒนา ตนเองอย่างแทจ้ ริง นอกจากนี้ กมล สุดประเสริฐ (อา้ งถึงใน ชอบ เข็มกลัด และ โกวิทย์ พวงงาม, 2547, หน้า 14) ได้กล่าวไว้ว่า หากใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมท่ีเรียกว่า PAR อย่างถูกต้อง จะได้มาซึ่งผลดงั ต่อไปนี้ 1. ประชาชนไดร้ บั การเรียนรเู้ พิ่มมากขึน้ 2. ประชาชนมีการกระทำ� มากขนึ้ 3. ประชาชนมีการเผยแพรพ่ ลงั ความรู้มากข้ึน 4. ผลงานการวิจัยสามารถนำ� มาใช้ประโยชนไ์ ดท้ นั ที จากผลท่ีได้รับข้างต้น จะเห็นได้ว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมจึงมิใช่การ ค้นหาปัญหาและการแก้ปัญหาเท่าน้ัน แต่เป็นกระบวนการกระตุ้นให้ประชาชนมีการกระทำ� ต่อ ปัญหาเหล่าน้ัน ท�ำให้ประชาชนมีโอกาสเปล่ียนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เกิดการเรียนรู้การแก้ ปญั หาและเพมิ่ พนู ความรใู้ หพ้ รอ้ มที่จะเผชิญกับปัญหาท่ียากไปกว่านี้ ยิ่งกวา่ นัน้ ผลงานการวิจยั สามารถนำ� มาใชป้ ระโยชนไ์ ดท้ ันที เพราะได้ทดลองปฏิบัตหิ รือกระท�ำกจิ กรรมหรอื โครงการ โดย อาศัยหลักการมีส่วนร่วมจากทุก ๆ ฝ่ายในชุมชน โดยเฉพาะคณะนักวิจัย ผู้น�ำชุมชนหรือแกนน�ำ ชุมชน ตลอดจนส่วนต่าง ๆ ทเ่ี ก่ยี วข้อง ส่งิ ท่ีไดร้ ับจะก่อให้เกดิ ความรว่ มมอื การผนึกกำ� ลงั รว่ มกนั โดยท่ปี ระชาชนกร็ สู้ กึ ว่าเป็นผ้รู ่วมคดิ รว่ มวางแผน และรว่ มตัดสินใจปฏบิ ัติการ 7.2 กระบวนการวจิ ัยและการมสี ว่ นร่วมของประชาชน อลิศรา ชูชาติ (อ้างถึงใน อมรวิชช์ นาครทรรพ และดวงแก้ว จันทร์สระแก้ว, 2541 หนา้ 8 - 11) กลา่ วถงึ กระบวนการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ มวา่ เปน็ การวจิ ยั ทป่ี ระกอบดว้ ย

240 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา 3 ขน้ั ตอนหลัก ซง่ึ อาจสรุปได้ ดังน้ี 1. ขนั้ เตรยี มการประสานพน้ื ท่ี เปน็ ขนั้ แรกทส่ี ำ� คญั มากเพราะตอ้ งอาศยั การมสี ว่ นรว่ ม และความร่วมมือของชุมชนเป็นส�ำคัญ ถ้าผู้วิจัยไม่สามารถบูรณาการตนเองเข้ากับชุมชนได้ ไม่สามารถสร้างความเข้าใจเก่ียวกับแนวคิดโครงการได้ ก็จะเป็นการยากที่จะก้าวไปสู่ข้ันต่อไป ในขนั้ ตอนน้ี ประกอบด้วยขั้นตอนยอ่ ย 2 ขน้ั ตอน ดงั นี้ 1.1 การคัดเลือกชุมชน โดยผู้วิจัยด�ำเนินการส�ำรวจและศึกษาข้อมูลของ ชมุ ชนอยา่ งรอบดา้ น นบั ตงั้ แตล่ กั ษณะทางกายภาพ แหลง่ ทรพั ยากรชมุ ชน ลกั ษณะทางดา้ นชวี ภาพ ข้อมลู ดา้ นประชากร สงั คม เศรษฐกจิ การสือ่ สาร เพ่อื ใหไ้ ดช้ ุมชนทเ่ี หมาะสมต่อการท�ำวิจยั โดยผู้ วิจัยอาจใช้การสัมภาษณ์ หรือการสนทนากลุ่มกับชาวบ้าน ทั้งน้ีผู้วิจัยต้องให้เกียรติและเปิดใจรับ ฟังข้อมลู จากชาวบา้ นอย่างเต็มท่ี 1.2 การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน ผู้วิจัยต้องท�ำให้คนในชุมชน ยอมรับและไว้วางใจ ซ่ึงจะเกิดข้ึนได้ก็ต่อเม่ือผู้วิจัยมีความสัมพันธ์ท่ีดีกับชุมชนเสียก่อน ใน ขั้นตอนน้ีผู้วิจัยควรด�ำเนินการดังน้ีคือ 1) เข้าชุมชนอย่างสม�่ำเสมอ ต่อเนื่อง 2) บอกสถานะ และบทบาทของผวู้ จิ ยั 3) ปฏิบัติต่อชมุ ชน/ชาวบ้านอย่างให้เกียรติ ยอมรับในความรู้ ความคดิ ของ ชาวบ้าน และวางตนเสมอกับชาวบ้าน 4) เข้ามาพักอยู่ในชุมชนเพ่ือเรียนรู้และสร้างความคุ้นเคย 5) ปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน 6) ร่วมกิจกรรมกับชุมชนอย่าง สม�่ำเสมอ 7) ใหค้ วามช่วยเหลือชมุ ชนและแสดงความมนี ้ำ� ใจกบั ชมุ ชนในโอกาสท่เี หมาะสม และ 8) รกั ษาสมั พนั ธภาพทดี่ กี บั ชมุ ชนใหต้ อ่ เนอ่ื ง ทงั้ นเี้ พอ่ื ปทู างไปสคู่ วามรว่ มมอื รว่ มใจระหวา่ งผวู้ จิ ยั กบั สมาชิกของชมุ ชน 2. ขั้นลงมอื วจิ ัย ประกอบด้วยกจิ กรรมตา่ ง ๆ ทีผ่ ู้วจิ ยั พึงกระท�ำ 5 กิจกรรม ได้แก่ 1) การศึกษาปัญหาและความต้องการของชุมชน โดยเปิดโอกาสให้คนในชุมชนได้สะท้อน ปัญหาและแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ ตลอดจนการประเมินทรัพยากรท่ีมีอยู่ในชุมชนนั้น 2) การก�ำหนดปัญหาวิจัย ผู้วิจัยด�ำเนินการโดยเปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการอภิปราย แสดงความคดิ เห็นและตดั สนิ ใจในการเลือกและก�ำหนดปัญหาทีม่ คี วามส�ำคญั เพอ่ื นำ� มาสู่การแก้ ปัญหาและการพัฒนา 3) การออกแบบการวิจยั ผ้วู ิจยั ออกแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชงิ ปฏบิ ัติการ แบบมีส่วนร่วม คือ ให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมตัดสินใจ ให้ความรู้เก่ียวกับกระบวนการวิจัยแก่ ชาวบ้านโดยอาจเริ่มต้ังแต่การก�ำหนดปัญหาการวิจัยว่า เป็นปัญหาอะไร ส�ำคัญอย่างไร วิธีการ เก็บข้อมูลว่า จะเก็บข้อมูลอะไร อย่างไร ส่วนใดจะใช้แบบสอบถาม สัมภาษณ์ สังเกต หรืออาจ จะใช้การอภิปรายกลุ่ม จะใช้เวลาในการเก็บข้อมูลนานเท่าไร ใครจะรับผิดชอบในการเก็บข้อมูล เรือ่ งอะไร ฯลฯ 4) การวิเคราะหข์ ้อมลู เปน็ ขนั้ ตอนวิเคราะห์ขอ้ มูลเพอ่ื สรุปใหเ้ ห็นถึงสาเหตขุ อง ปัญหา แนวทางการแก้ปัญหา และทรัพยากรที่ต้องใช้ ท้ังนี้โดยชุมชนมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ ข้อมูล และ 5) การน�ำเสนอข้อมูลต่อชุมชน ผู้ร่วมวิจัยน�ำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลต่อชุมชน โดยเปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนตรวจสอบขอ้ มลู หรอื ยนื ยนั ความถกู ตอ้ งอนั จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การนำ� ผลการวิจัยไปใชใ้ นการจัดท�ำแผนงานหรอื โครงการเพอ่ื แก้ปัญหาต่อไป

Research in Educational Administration • 241 3. ขน้ั พฒั นา ประกอบดว้ ยกจิ กรรมตา่ ง ๆ ท่ีผวู้ ิจัยพงึ ด�ำเนินการ 3 กิจกรรม ดงั น้ี คือ 1) การกำ� หนดโครงการเพอ่ื แกป้ ญั หา ผวู้ จิ ยั ดำ� เนินการให้ชาวบ้านตัดสนิ ใจเลือกโครงการท่จี ะ น�ำมาใชแ้ กไ้ ขปัญหา/พฒั นา เป็นผ้ทู ีค่ อยกระตนุ้ ให้สมาชิกมสี ่วนรว่ มในกระบวนการตา่ ง ๆ และ อาจจะต้องท�ำหน้าท่ีในการสนับสนุนด้านต่าง ๆ เช่น แนะน�ำช่องทางในการหาแหล่งทรัพยากร หรอื แหลง่ ที่ใหก้ ารสนับสนุนจากภายนอกชมุ ชน นอกเหนอื จากทรัพยากรทม่ี อี ยูใ่ นชมุ ชน เพอื่ นำ� มาใชใ้ นการดำ� เนนิ งาน 2) การปฏิบัติตามแผนท่กี ำ� หนดไว้ ผูว้ จิ ยั ด�ำเนินการใหไ้ ดต้ วั แทนชมุ ชนท่ี จะมาเปน็ คณะทำ� งานพฒั นา เปน็ ผปู้ ระสานงานใหค้ ณะทำ� งานสามารถทำ� งานตามโครงการได้ และ เปน็ สอื่ กลางในการใหค้ วามรู้เสรมิ ประสบการณ์และสรรหาทรพั ยากรเพอื่ การดำ� เนนิ การ และ 3) การ ติดตามและประเมินผล ผู้วิจัยวางแผนการประเมินผลโดยให้ชุมชนมีส่วนร่วม ก�ำกับติดตาม ประเมินผลการด�ำเนินงานทั้งการประเมินก่อนการด�ำเนินการ ระหว่างด�ำเนินการ และหลังการ ดำ� เนนิ การ โดยการมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชน และนำ� ผลการประเมนิ มาปรบั ปรงุ พฒั นาการดำ� เนนิ งาน โดยชุมชนมีส่วนร่วมในการปรับปรุงแก้ไข ซ่ึงกิจกรรมทั้งสามดังกล่าวถือเป็นกิจกรรมที่มีความ จ�ำเป็นอย่างยิ่ง เพ่ือดูปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานว่า มีอะไรบ้างที่จะต้องแก้ไข โครงการ และกิจกรรมต่าง ๆ ดำ� เนินไปตามแผนงานท่ีกำ� หนดไว้หรือไม่ กล่าวโดยสรุป การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมประกอบด้วยข้ันตอนหลักสาม ขน้ั ตอน คือ ข้ันเตรียมการประสานประพ้นื ที่ ขั้นลงมือวิจัย และข้นั พัฒนา โดยมีจุดมงุ่ หมายอยูท่ ี่ การแกป้ ญั หาชมุ ชนการพฒั นาคนหรอื การตดิ อาวธุ ทางปญั ญาใหก้ บั ประชาชนทเี่ ปน็ กลมุ่ เปา้ หมาย ในการวิจัย ดังนั้นในทุกขั้นตอนจึงเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วม ผู้วิจัยไม่ควรแสดง “บทบาทใน การนำ� ประชาชน”มากเกนิ ไปเพราะหากเนน้ การนำ� ประชาชนมากเกนิ ไป การวจิ ยั ทด่ี ำ� เนนิ การอยนู่ นั้ จะเปลย่ี นสภาพจากการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ มไปเปน็ การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารโดยปรยิ าย 7.3 เทคนิคการสร้างความสมั พันธก์ ับชมุ ชน การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ใช้เทคนิคและวิธีการเช่นเดียวกับการวิจัย เชิงคุณภาพเป็นส่วนใหญ่ การวิจัยเชิงคุณภาพจะเน้นการศึกษาเพื่อความเข้าใจและอธิบายเรื่อง ราวต่าง ๆ ออกมาตามความหมายของคนในชุมชนนั้น แต่การวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ่วนร่วม นอกจากจะเน้นการศึกษาเพือ่ ความเข้าใจแลว้ ยังตอ้ งมีกจิ กรรมการแก้ปญั หาหรือพฒั นาตามความ ต้องการของชุมชนและคนในชุมชนมสี ว่ นร่วมในทุกขน้ั ตอนด้วย ดงั นน้ั การสรา้ งความสมั พนั ธ์ กบั ชมุ ชนจงึ เปน็ เทคนคิ สำ� คญั ทจ่ี ะทำ� ใหก้ ารวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ว่ นรว่ มสามารถดำ� เนนิ ตอ่ ไป ได้ เพราะหากนกั วจิ ยั ไมส่ ามารถสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั ชมุ ชนไดแ้ ลว้ การรถู้ งึ ปญั หา ความตอ้ งการ และการรว่ มมอื กนั แกป้ ญั หาและพฒั นาทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ ตอ่ มา คงไมส่ ามารถดำ� เนนิ การตอ่ ไปได้ ในทนี่ ี้ จะนำ� เสนอเทคนคิ ในการสรา้ งความสมั พนั ธ์กับชุมชน ซง่ึ สรปุ ได้ ดังน้ี (ชูชาติ พ่วงสมจิตร์, 2557) 1. การแนะน�ำตัวให้คนในชุมชนรู้จัก โดยสามารถท�ำได้ทั้งการพาตนเองเข้าไป แนะนำ� กบั คนในชมุ ชน หรอื มบี คุ คลอ่นื ทีค่ ุ้นเคยกับคนในชมุ ชนเป็นสื่อกลางช่วยแนะนำ� นักวิจัย 2. การเขา้ มาพกั อยใู่ นชมุ ชน หากเปน็ ไปได้ นกั วจิ ยั ควรเขา้ พกั ในชมุ ชนทท่ี ำ� วจิ ยั เพราะจะชว่ ยใหม้ โี อกาสสร้างความคนุ้ เคยกบั คนในชุมชนได้ดีกว่าการพักคา้ งภายนอกชุมชน

242 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษา 3. การพยายามเรยี นรแู้ ละประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ดถ้ กู ตอ้ งตามวฒั นธรรมประเพณขี อง ชมุ ชน นักวจิ ัยควรเรยี นรวู้ ฒั นธรรมประเพณขี องชุมชน จนเกดิ ความเข้าใจและค้นุ เคย เพ่ือชว่ ยให้ เกิดความกลมกลืนและไมส่ รา้ งความขดั แยง้ โดยไมต่ ั้งใจ 4. การเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนอย่างเสมอภาคและสม่�ำเสมอ นักวิจัยควร เขา้ รว่ มกจิ กรรมของชมุ ชนอยา่ งเสมอภาคและสมำ�่ เสมอเนอ่ื งจากเปน็ โอกาสอนั ดที จี่ ะไดส้ รา้ งความ ค้นุ เคยและเรียนรู้วฒั นธรรมประเพณขี องชมุ ชน 5. การวางตวั ไดเ้ หมาะสมสอดคลอ้ งกับชุมชน นกั วจิ ัยควรปรับตัวเองใหเ้ หมาะ สมกลมกลืนกับคนในชุมชน ทั้งเร่ืองการแต่งกาย ภาษาและการพูดจา พาหนะที่ใช้ รวมทั้งการ กนิ อยู่ เพ่อื ไมใ่ ห้แปลกแยกจากชาวบ้านมากเกินไป 6. การใหค้ วามชว่ ยเหลอื ชาวบ้านอย่างสมำ่� เสมอ นกั วิจัยควรใหค้ วามชว่ ยเหลอื คนในชุมชนอย่างสม่�ำเสมอและเสมอภาค ทั้งด้านก�ำลังแรงงาน หรือความคิดเห็น ซึ่งจะช่วย ใหส้ รา้ งความคุ้นเคยได้อย่างดีและทำ� ให้ชาวบา้ นยอมรบั เปน็ พวกเดยี วกบั เขาไดเ้ ร็วข้นึ 7. การแสดงความมนี ำ้� ใจตอ่ ชมุ ชน นกั วจิ ยั ควรแสดงความมนี ำ้� ใจกบั คนในชมุ ชน ในโอกาสทเี่ หมาะสม เชน่ การมขี องขวัญของฝาก หรือจดั สง่ิ ของตอบแทนคนในชมุ ชนทีเ่ สียสละ เวลามาใหข้ ้อมลู 8. การรักษาสัมพันธภาพอันดีกับคนในชุมชน นักวิจัยควรรักษาสัมพันธภาพ อนั ดกี บั คนในชมุ ชนแมห้ ลงั จากทน่ี กั วจิ ยั สามารถสรา้ งสมั พนั ธภาพทด่ี กี บั ชาวบา้ นไดแ้ ลว้ รวมทง้ั ควรรักษาสัมพันธภาพที่ดีน้ันไว้อย่างต่อเนื่อง ท้ังช่วงท่ีท�ำวิจัย และหลังจากท่ีท�ำวิจัยเสร็จสิ้น แลว้ เนื่องจากชาวบา้ นจะรู้สึกผูกพนั กบั นกั วิจัย นกั วจิ ัยควรหาโอกาสกลับมาเยย่ี มชมุ ชนบ้างเป็น ครงั้ คราว หรอื เม่ือมีโอกาสอนั เหมาะสม นอกจากน้ี นักวิชาการอีกสองท่าน คือ สุภางค์ จันทวานิช (2546, หน้า 153-154) และนงพรรณ พริ ิยานพุ งศ์ (2546, หนา้ 68-69) ได้เสนอเทคนคิ การสรา้ งความสมั พันธ์กบั ชุมชน ในวันแรก ๆ ของการเขา้ สู่สนามการวจิ ัย ไว้ 9 ประการ ดังนี้ 1. วางทา่ ทสี งบเสงี่ยม ไม่ท�ำตวั ให้เด่นจนผิดสังเกตเพอื่ ไมใ่ ห้ชาวบา้ นรู้สึกว่าเรา เปน็ คนแปลกปลอม 2. หลีกเลี่ยงการถามค�ำถามท่ีจะท�ำให้ชาวบ้านหรือผู้ตอบรู้สึกอึดอัดและจำ� เป็น ต้องปกป้องตนเอง เช่น เร่อื งหนีส้ ิน เรือ่ งนา่ อับอายของครอบครัวและชมุ ชน 3. อยา่ ท�ำตัวทัดเทยี มผูน้ �ำชุมชน 4. พยายามเข้าไปมีส่วนเก่ียวข้องกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในชุมชน แต่เกย่ี วข้องอยา่ งสงบและพร้อมท่ีจะชว่ ยเหลือ จะท�ำใหไ้ ดร้ ับการยอมรับจากชาวบ้านเรว็ ข้นึ 5. หาใครคนหนึง่ เปน็ ผ้รู เิ รม่ิ แนะนำ� เราให้รจู้ ักกบั ชาวบ้าน 6. เมอ่ื มีความร้สู กึ อดึ อัด ใหเ้ ข้าใจว่าเป็นเร่อื งปกติธรรมดา เพราะเรากำ� ลังเขา้ มา อยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ ชาวบ้านเองก็รู้สึกอึดอัดเช่นเดียวกับเรา ไม่ได้หมายถึงความล้มเหลวใน การสร้างความสมั พันธ์ 7. ให้ถือว่าสิ่งต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในสนามโดยเฉพาะการกระท�ำของเรา ไม่ใช่เรื่อง

Research in Educational Administration • 243 ส่วนตวั แตเ่ ป็นเรื่องของงาน 8. อยา่ คาดว่าจะท�ำอะไรไดม้ ากในวนั แรก ๆ 9. การสร้างความสมั พนั ธโ์ ดยเป็นมติ รกบั ทุกคนต้องใช้เวลาเปน็ เดือน ๆ 7.4 เทคนิคท่จี �ำเป็นส�ำหรบั การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากชมุ ชน เทคนิคส�ำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลจากชุมชนมีอยู่หลายเทคนิค แต่ในท่ีน้ีจะน�ำเสนอ เทคนิคท่จี �ำเปน็ เพียง 4 เทคนิค ไดแ้ ก่ 1) เทคนิค AIC 2) เทคนิค Mind Map 3) เทคนิคการจัดเวที ประชาคม และ 4) เทคนคิ SWOT โดยมีรายละเอียดต่อไปนี้ 1. เทคนคิ AIC “เทคนิค AIC” (Appreciation Influence Control) เป็นเทคนคิ การระดมความคิดท่รี วม พลังปัญญา และพลังสร้างสรรค์ของแต่ละคนเข้ามาเป็นพลังในการพัฒนา โดยให้ความส�ำคัญต่อ ความคดิ และการมสี ว่ นรว่ มของสมาชกิ ในชมุ ชนบนพนื้ ฐานแหง่ ความเสมอภาค โดยเปน็ กระบวน การท่ีน�ำเอาคนมาเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา เทคนิคดังกล่าวนี้ ได้รับการพัฒนามาจากแนวคิด ของสถาบนั เอกชน ช่อื Organization for Development: an International Institute (ODII) ต้ังข้ึน โดย Mr. Turid Sato and Dr. William E. Smith (ชูชาติ พว่ งสมจติ ร์, 2557) โดยมีกระบวนการใน การพฒั นา 2 กระบวนการ ดงั น้ี 1.1 กระบวนการ AIC ภาคแนวคดิ เปน็ กระบวนการประชมุ ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ การทำ� งานรว่ ม กนั เพอ่ื จดั ทำ� แผน โดยเปน็ วธิ กี ารทเ่ี ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มประชมุ ไดม้ เี วทพี ดู คยุ แลกเปลยี่ นความรู้ ประสบการณ์ นำ� เสนอขอ้ มลู ข่าวสารทีจ่ ะท�ำใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจถงึ สภาพปัญหา ความต้องการ ขอ้ จำ� กัด และศักยภาพของผู้ที่เกีย่ วขอ้ งตา่ ง ๆ เป็นกระบวนการที่ชว่ ยใหม้ ีการระดมพลงั สมองในการ ศกึ ษา วเิ คราะห์ และพฒั นาทางเลอื ก เพอ่ื ใชใ้ นการแกไ้ ขปญั หาและพฒั นา เกดิ การตดั สนิ ใจรว่ มกนั เกิดพลังของการสร้างสรรค์และรับผิดชอบต่อการพัฒนาชุมชน ท้องถิ่น ซึ่งมีข้ันตอน 3 ข้ันตอน ดงั นี้ (อรพนิ ท์ สพโชคชัย, 2537; ประชาสรรณ์ แสนภกั ด,ี 2562 ) 1) ข้ันตอนการสร้างความรู้ (Appreciation หรือ A) เป็นขั้นตอนการเรียนรู้ และแลกเปล่ียนประสบการณ์ ขั้นตอนนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนแสดงข้อคิดเห็น รับฟัง และหาข้อสรุปร่วมกันอย่างเป็นประชาธิปไตย โดยใช้การวาดรูปเป็นสื่อในการแสดง ขอ้ คิดเห็น แบง่ เปน็ 2 ชว่ ง ดงั น้ี 1.1) การวิเคราะห์สถานการณ์ของหมู่บ้าน ชุมชน หรือต�ำบล ในปัจจุบัน (A1) 1.2) การก�ำหนดอนาคตหรือวิสัยทัศน์ ของหมู่บ้าน ชุมชน หรือต�ำบล อันเปน็ ภาพพงึ ประสงคใ์ นการพัฒนาว่า ต้องการให้เกิดการพฒั นาในทศิ ทางใด อย่างไร (A2) โดยการวาดภาพซึ่งมีความส�ำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1) การวาดภาพจะช่วยให้ผู้เข้า ร่วมประชุมสามารถสร้างจินตนาการ คิด วิเคราะห์ จนสรุปมาเป็นภาพ และช่วยให้ผู้ไม่ถนัดใน การเขียนสามารถส่ือสารได้ 2) ช่วยกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมประชุมคิดและพูด เพ่ืออธิบายภาพ ซึ่งตนเองวาด นอกจากน้ียังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมอ่ืน ๆ ได้ซักถามข้อมูลจากภาพ เป็น

244 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา การเปดิ โอกาสใหม้ ีการพดู คุย แลกเปลย่ี น และกระตุ้นให้คนท่ีไม่คอ่ ยกลา้ พูด ใหม้ โี อกาสนำ� เสนอ 3) การรวมภาพของแต่ละบุคคล เพ่ือเป็นภาพรวมของกล่มุ จะชว่ ยใหม้ ีความงา่ ยต่อการรวบรวม แนวคิดของผเู้ ขา้ ร่วมประชมุ และสร้างความรูส้ กึ เป็นเจา้ ของภาพ (ความคดิ ) และเปน็ ผู้มีส่วนรว่ ม ในการสรา้ งภาพอนั พงึ ประสงค์ของกล่มุ และ (4) จะช่วยเสรมิ สร้างบรรยากาศของการประชุมให้ มคี วามสขุ และเปน็ กนั เอง ในบางครงั้ ผเู้ ขา้ รว่ มประชมุ มกั มองวา่ การวาดภาพเปน็ กจิ กรรมสำ� หรบั เดก็ ดงั นนั้ วทิ ยากรกระบวนการจำ� เปน็ ตอ้ งสรา้ งความเขา้ ใจ และนำ� เกมตา่ ง ๆ เกย่ี วกบั การวางแผน การละลายพฤตกิ รรมกลมุ่ หรอื การวาดภาพเพอื่ การแนะนำ� ตนเอง หรอื วาดภาพซง่ึ เปน็ สง่ิ ทตี่ นเอง ชอบ ไมช่ อบ มาใชอ้ นุ่ เครอื่ งเพือ่ เป็นการเตรยี มความพรอ้ มของผเู้ ขา้ ร่วมประชมุ 2) ขนั้ ตอนการสรา้ งแนวทางการพฒั นา(Influence หรอื I) คอื ขนั้ ตอนการหาวธิ ี การทจี่ ะทำ� ใหเ้ กดิ การพฒั นาหมบู่ า้ นตามเปา้ หมายทต่ี งั้ ไวใ้ นชว่ ง (A2) และเปน็ ชว่ งการหามาตรการ หรือวิธีการในการพัฒนาและการค้นหาเหตุผล เพ่ือจัดล�ำดับความส�ำคัญตามความเห็นของกลุ่มผู้ เข้ารว่ มประชุม แบ่งออกเปน็ 2 ชว่ ง ดังน้ี 2.1) การคดิ โครงการท่ีจะให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ (I1) 2.2) จดั ล�ำดบั ความส�ำคัญของโครงการ (I2) โดยแยกออกเปน็ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ กจิ กรรมหรอื โครงการทช่ี าวบา้ นทำ� เอง และขอความ ช่วยเหลือจากแหล่งทุนภายนอก กิจกรรมหรือโครงการท่ีชาวบ้านท�ำเองบางส่วนและขอความ ช่วยเหลือจากแหล่งทุนภายนอก และกิจกรรมหรือโครงการท่ีสามารถขอทุนอุดหนุนจากรัฐ โดยผา่ นต�ำบล 3) ขนั้ ตอนการสรา้ งแนวทางปฏบิ ตั ิ (Control หรือ C) คอื การน�ำโครงการหรอื กิจกรรมตา่ ง ๆ มาสูก่ ารปฏบิ ตั ิและจัดกลุ่มผดู้ ำ� เนนิ งานซง่ึ จะรบั ผิดชอบต่อโครงการหรอื กิจกรรม น้ี โดยแบ่งออกเปน็ 2 ช่วง ไดแ้ ก่ 3.1) การแบง่ กลุม่ รับผดิ ชอบ (C1) 3.2) การตกลงในรายละเอียดเก่ยี วกบั การด�ำเนนิ งาน (C2) โดยมีผลลัพธ์ท่ีได้จากการประชุม ได้แก่ 1) รายชื่อกิจกรรม หรือโครงการที่กลุ่ม องค์กรชุมชนด�ำเนินการได้เอง ภายใต้ความรับผิดชอบ และเป็นแผนปฏิบัติการ ของหมู่บ้าน ชุมชน 2) กิจกรรมหรือโครงการที่ชุมชนหรือองค์กรชุมชนเสนอขอรับการส่งเสริมสนับสนุน จากองค์กรปกครองท้องถิ่นและหน่วยงานภาครัฐท่ีท�ำงานหรือสนับสนุนชุมชน และ (3) รายชื่อ กิจกรรม โครงการทช่ี าวบ้านต้องแสวงหาทรพั ยากร และประสานงานความร่วมมือจากภาคีความ ร่วมมอื ต่าง ๆ ท้งั จากภาครฐั หรือองค์กรพัฒนาเอกชน ฯลฯ กล่าวโดยสรุป เทคนิค AIC ในสว่ นของกระบวนการ AIC ภาคแนวคิดนนั้ เป็นเทคนคิ ที่รวมพลังระดับความคิดเห็นของประชาชนในชุมชนเพ่ือช่วยกันวางแผนเพื่อการพัฒนาชุมชน เป็นเทคนิคท่ีมีศักยภาพในการสร้างพลังและกระตุ้นการยอมรับของชาวบ้านให้มีส่วนร่วมในการ คดิ และการวางแผนเพอ่ื พฒั นาชุมชนของตนเอง 1.2 กระบวนการ AIC ภาคปฏิบตั ิ ส�ำหรบั กระบวนการ AIC ภาคปฏบิ ัติของเทคนิค AIC ประกอบด้วย 1) การเตรียมการหกข้ันตอนก่อนเริ่ม AIC 2) การก�ำหนดภารกิจของผู้เข้า

Research in Educational Administration • 245 ร่วมประชุม 3) ภารกิจสมาชิกกลุ่ม 4) วธิ ปี ระชุมดว้ ย AIC 5) ปัจจัยที่ช่วยใหก้ ารประชมุ AIC ประสบความส�ำเรจ็ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. การเตรียมการหกข้นั ตอนกอ่ นเริ่ม AIC 1.1) การคัดเลือกผู้เข้าประชุม เน่ืองจากเป็นวิธีประชุมที่ต้องการผู้มี ส่วนได้ส่วนเสยี ทุกระดบั จงึ เลือกจากระดับนโยบาย ผบู้ รหิ าร ผูป้ ฏิบตั ิ นกั วชิ าการ ผ้นู ำ� ในสังคม และชุมชน ประชาชนกลุ่มท่ีเก่ียวข้องกับเรื่องท่ีจะพิจารณา ท�ำแผน/โครงการ ด้วยหลักการที่ว่า ทุกคนมีทกั ษะชวี ติ และประสบการณ์หลากหลาย 1.2) เตรยี มประเดน็ หรอื หวั ขอ้ เรอ่ื งทจ่ี ะทำ� แผน / โครงการ สำ� หรบั อนาคต 1.3) เขียนวัตถุประสงค์ของประเด็น ต้องเขียนให้ชัดเจน เพื่อน�ำเสนอ ในทป่ี ระชุมรว่ ม ใหผ้ รู้ ่วมประชุมซงึ่ หลากหลายประสบการณ์ เข้าใจงา่ ย 1.4) การแบง่ กลมุ่ (1) เลือกบุคคลและแบ่งกลุ่มไว้ล่วงหน้า โดยให้มีกลุ่มละ 8 คน แตกต่างกัน คือ ใหค้ รบท้ังบคุ คลระดบั นโยบาย ผู้บรหิ าร ผปู้ ฏบิ ตั ิ ผู้นำ� ประชาชน หรือผู้มีสว่ นได้ ส่วนเสยี ตอ่ เร่อื งที่จะพจิ ารณา (2) เตรียมผู้สนับสนุนกลุ่ม (Facilitator) ซักซ้อมท�ำความเข้าใจกับ กระบวนการ ซ่ึงมหี ลกั การใหท้ กุ คนได้มีโอกาสเท่าเทยี มกนั ในการแสดงความคดิ เห็น (3) เตรียมอปุ กรณใ์ หค้ รบ 1.5) การเตรยี มห้องประชมุ (1) หอ้ งรวม พร้อมมา้ นั่ง ครบคน จัดเปน็ ครงึ่ วงกลม (2) มุมกลุ่มย่อย จัดม้านั่งรอบโต๊ะเขียนหนังสือ กลุ่มละ 8 คน ตามจ�ำนวนกลุม่ ที่เตรียมไว้ 1.6) เตรยี มอุปกรณ์ (1) เครอ่ื งฉายแผ่นใส และแผน่ ใสพร้อมปากกา 1 ชุด (2) ปากกาเส้นใหญ่ หรือดนิ สอสี ประจำ� กลมุ่ กระดาษ A4 ตดั แบ่ง 4 ส่วน แล้วแจกคนละ 20 แผ่น (3) กระดาษแผน่ พลกิ พรอ้ มขาตง้ั ประจำ� กลมุ่ พรอ้ มกบั ปากกาเขยี น (4) แผน่ ใส พรอ้ มปากกา ประจ�ำกลุ่มกล่มุ ละ 6-10 แผน่ 2) การก�ำหนดภารกจิ ของผสู้ นับสนนุ กล่มุ ให้มีการกำ� หนดภารกจิ ของผูส้ นับสนนุ กลุ่ม (Facilitator) ดังนี้ 2.1) เป็นผคู้ วบคมุ ขน้ั ตอน ก�ำกบั เวลา 2.2) กระตุ้นให้สมาชิกทกุ คนเขียน 2.3) รวบรวมผลหรอื มตจิ ากการถกเถียงและอภิปรายของสมาชกิ 2.4) แนะน�ำวธิ เี ขียน วธิ รี วมมติและวธิ ีเสนอแผ่นใส 2.5) ไม่ต้องมีความรู้ และช้ีแนะเน้ือหา หรือเร่ืองท่ีพิจารณา เน่ืองจาก สมาชิกกลุ่ม คือ ผู้มที กั ษะและประสบการณ์มาก

246 • การวิจัยทางการบริหารการศกึ ษา 2.6) รวบรวมผลขน้ั ตอนสดุ ทา้ ยของการประชมุ กลมุ่ ไปสรปุ และพมิ พ์แลว้ น�ำเสนอผูร้ บั ผดิ ชอบในหน่วยงาน 3) ภารกจิ ของสมาชกิ กลมุ่ สมาชิกในกลุ่มทกุ กลุ่ม มภี ารกิจท่ีต้องดำ� เนนิ การ ดงั น้ี 3.1) เขยี นภาพ หรอื ขอ้ คดิ เหน็ ตามขนั้ ตอนทผี่ สู้ นบั สนนุ การประชมุ หรอื ผู้สนบั สนุนกล่มุ แจง้ ให้ปฏิบตั ิ 3.2) เขยี นอกั ษรบรรจง ตวั โต เพอื่ แปะบนกระดาษขาตงั้ ใหส้ มาชกิ ในกลมุ่ อ่าน แทนการพดู 3.3) เขียนประโยคสั้น ๆ 1 บรรทัด เฉพาะสาระส�ำคัญ ไม่พรรณนา แผน่ ละ 1 ข้อคิดเหน็ เพราะตอ้ งน�ำไปรวมกับขอ้ ความท่ีคลา้ ยกันของสมาชิกอ่ืน 3.4) ทกุ คนมอี สิ ระในการเขยี น ตามขนั้ ตอนทก่ี ำ� หนดให้ จากทคี่ ดิ เองจาก ประสบการณ์ หรอื เห็นส่วนดีได้จากผูอ้ ืน่ โดยไมต่ อ้ งถกู โน้มน้าว หรอื แย่งกันพูด 3.5) ข้อเขียนของทุกคน น�ำไปติดแปะบนขาต้ัง หรือผนัง ให้อ่านทั่วกัน ใหซ้ กั ถาม หรอื อธิบาย ไม่วิจารณ์วา่ ถูกหรอื ผดิ เรยี นรูค้ วามคดิ เหน็ ของกันและกัน แล้วรวมความ ที่คล้ายกัน เข้าเป็นข้อเดียว ที่ต่างกันให้แยกไว้ เพื่ออภิปราย จนกว่าจะได้มติร่วม (หลายข้อรับ เปน็ มติกลมุ่ บางขอ้ เก็บไว้ เพราะขอ้ คิดเหน็ แปลก ๆ ของวันนี้ ยงั ไม่เปน็ ท่ียอมรับ แต่บางคนน�ำไป ท�ำตอ่ กลายเปน็ เร่ืองทีด่ กี ม็ ีบ่อย ๆ) 3.6) การเขยี น ไดจ้ ากการกล่ันกรองหลายชั้น มีเวลาคิดวิเคราะห์ เลอื กเอง สั้น กระชับ การรวบรวมข้อเขียนท่ีเหมือนกัน ก็คือ มติของท่ีประชุม ซึ่งท�ำได้ง่ายมากกว่า การพูด ทอ่ี าจยืดยาว ควบคุมไมไ่ ด้ มสี าระน้อย และประธานสรปุ ไม่ได้ 3.7) กลมุ่ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งตงั้ ประธานถาวรใหผ้ ลดั กนั นำ� ผลดั กนั จดรวบรวม มติ เขียนแผ่นใส และน�ำเสนอ เพื่อสร้างบรรยากาศเป็นมิตร รับผิดชอบร่วมกัน มีพลัง บทบาท เทา่ เทียมกัน 4)  วธิ ีประชมุ ด้วย AIC ทุกข้ันตอนของการท�ำงานในกลุ่ม เป็นการเสริมพลัง ให้เกิดทักษะชีวิต รู้จักเลือกและปฏิบัติเข้าใจวิธีส่ือสัมพันธ์ และยอมรับกันและกันด้วยเหตุผล จากการอภิปราย อนั เป็นลกั ษณะของคนพฒั นา วธิ ปี ระชุมท�ำงาน การประชมุ แบง่ เป็น 6 ขน้ั ตอน คือ A-1, A-2, I-1, I-2, C-1, C-2 ในบางกลมุ่ มคี วามเขา้ ใจเรว็ กต็ อ้ งปลอ่ ยใหท้ ำ� รวดเดยี วตอ่ เนอื่ งไปได้ เพอ่ื ไมเ่ ปน็ การยบั ยง้ั ความ คดิ ทีก่ �ำลังลื่นไหล ในทางปฏิบัติ ผ้สู นบั สนุนการประชมุ ไมต่ อ้ งบอกชื่อ ข้ันตอน บอกแตก่ จิ กรรม ทีละขัน้ ตอน เร่ิมประชุม นั่งรวมกันก่อน ผู้น�ำการสนับสนุนการประชุม จะช้ีแจงหัวข้อ ประเด็นและวัตถุประสงค์ของเรื่องที่จะให้ที่ประชุมพิจารณา ให้ซักถามจนเข้าใจเร่ือง จึงแยก เข้ากลมุ่ เล็ก นัง่ คละกนั โดยมกี ารด�ำเนนิ การ 6 ขน้ั ตอน ดังนี้

Research in Educational Administration • 247 4.1) ขน้ั ตอน A - 1 (15 นาที) เขา้ ใจสถานการณ์ สภาพความเป็นจรงิ (Reality) ผู้สนบั สนุน แจง้ ใหท้ ุกคนวาดภาพบนกระดาษของตน สะท้อนให้เห็น ว่า ในปัจจุบันน้ี เร่ืองที่จะพิจารณากัน มีรูปลักษณ์อย่างไร ภาพเป็นลายเส้น หรือระบายสี หรือ ภาพสัญลกั ษณ์ (Logo) แทนภาพกไ็ ด้ เชน่ ภาพตน้ ไม้ ภาพคนจับมอื ภาพสามเหลีย่ ม ฯ (การเขยี น ภาพแทนการพูด หรือเขียนข้อความเป็นการฝึกสมอง (ซีกขวา) มีศิลปะ จินตนาการ สร้างสรรค์ เขยี นเปน็ สญั ลกั ษณ์หรอื ใหส้ ีทสี่ อื่ ความหมายได้โดยไมต่ อ้ งอธบิ ายสง่ิ ทแี่ สดงความลกึ ซง้ึ ของความ คิดของคนน้ัน) ในกลุ่มเล็ก น�ำภาพของทุกคน มาปิดแปะ แล้วอธิบายความหมายร่วมกัน รวมให้ เปน็ ภาพเดยี วของกลมุ่ ลงแผน่ ใส นำ� เสนอตอ่ ทป่ี ระชมุ รว่ ม ใหซ้ กั ถาม ปรบั ปรงุ รว่ มกนั ขนั้ ตอนนี้ เป็นการเร่ิมใหท้ บทวน ระบายอารมณ์ ความคดิ มีศลิ ปะ มสี มั พันธ์กับคนอน่ื ไม่เคร่งเครียด 4.2) ขัน้ ตอน A - 2 (20 นาท)ี สรา้ งวสิ ยั ทศั น์ สภาพทค่ี าดหวงั ในอนาคต (Ideal vision หรอื Scenario) เขา้ กล่มุ เลก็  ทุกคนเขยี นภาพแสดงใหเ้ หน็ วา่ ในอนาคต 10 ปี ภาพเดมิ จะเปลย่ี นไป คาดหวงั จะให้เป็นอย่างไร ท่ีมคี วามเป็นไปได้ นำ� มาแลกเปลี่ยน อธบิ าย และรวมกนั เป็นภาพเดยี วของกล่มุ ลงแผน่ ใส น�ำเสนอตอ่ ทีป่ ระชุมรว่ ม ซักถามความหมาย แลว้ รวมกนั เหลือ ภาพเดยี ว อาจใหผ้ แู้ ทนกลมุ่ นำ� ไปรวม และยกรา่ งความหมาย เปน็ ปณธิ าน คำ� ขวญั ของโครงการน ้ี ภาพน้ีต้องเกบ็ ไว้ ยึดเป็นแนวทางหลักของความคาดหวัง ท่จี ะนำ� ไปคดิ กลวธิ ี และโครงการเพื่อให้ บรรลผุ ล ขั้นตอนนี้ เปน็ มตทิ ท่ี กุ คนเข้าใจความเป็นมา และคาดหวงั มคี วามประสงคร์ ่วมกันตง้ั แต่ ตน้ เริ่มมพี ลัง 4.3) ข้นั ตอน I - 1 (30 นาที) คดิ หากลวิธี (Solution design) กลุ่มเล็ก ทุกคนเขียนกิจกรรมที่คิดว่าต้องท�ำ เพ่ือให้เกิดผลส�ำเร็จ ให้ ได้ภาพรวมของ A-2 เขียนกิจกรรมละ 1 แผ่น ให้มากเท่าที่ตนมีศักยภาพ และประสบการณ์ น�ำ มารวมกันและเลือกขอ้ ท่ีเหมือนกัน เป็นมติ 3-5 ขอ้ ที่แตกต่างเกบ็ ไว้ (บางคนนำ� ไปใชเ้ อง) เขียน ลงแผ่นใส หรือแผ่นพลิก น�ำเสนอต่อท่ีประชุมร่วม เพ่ือให้ซักถาม และร่วมกันคัดไว้ 5-6 เร่ือง และอาจมีขอ้ ยอ่ ยภายในขอ้ ใหญ่กไ็ ด้ ในขน้ั ตอนนี้ ทุกคนได้แสดงพลัง ประสบการณ์ มีส่วนรว่ ม หากความคิดของตนมีเหตผุ ล ได้รบั การยอมรับ จะเกดิ ความภมู ิใจ ถา้ ของผอู้ ื่นดกี ว่า กย็ อมรับกนั งานนีจ้ ะเป็นของทุกคนตง้ั แต่ตน้ 4.4) ขนั้ ตอน I - 2 (30 นาท)ี จัดความสำ� คญั จำ� แนกกจิ กรรม (Priority) กลุ่มเล็ก ทุกคนเขียนแผ่นละ 1 กิจกรรมที่ได้รับรู้จากการอภิปรายมา เลือกกิจกรรมตามความถนัดของตนว่า กิจกรรมใดสำ� คัญ และเปน็ ไปได้ องค์กร หรอื หนว่ ยงานใด ทนี่ า่ จะทำ� ได้ แยกออกเปน็ 1) กจิ กรรมทจ่ี ะทำ� ไดเ้ อง 2) กจิ กรรมทต่ี อ้ งทำ� รว่ มกบั คนอน่ื 3) กจิ กรรม

248 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา ทีต่ ้องใหค้ นอน่ื ท�ำให้ น�ำไปแปะ อา่ น ชี้แจง ร่วมกนั คัดเลือกไว้ เขยี นชอ่ื กลวธิ ี หรอื กิจกรรมลงแผน่ พลิก หรือแผ่นใส น�ำเสนอต่อท่ีประชุมร่วม เพ่ือให้ร่วมกันเลือกให้เหลือชุดเดียว จากน้ันให้เรียง ล�ำดับความส�ำคัญ ตามจ�ำนวนแผ่นข้อเขียนที่เหมือนกัน เขียนลงแผ่นใส ฉายให้ทุกคนรับทราบ ผลของ I-2 เกบ็ ไว้เป็นแนวทางหลกั ของการท�ำขั้นตอนตอ่ ไป และประกอบการเขยี นโครงการ ใน ขน้ั ตอนน้ี ทกุ คนจะไดแ้ สดงประสบการณใ์ หผ้ อู้ นื่ เลอื กใชป้ ระโยชน์ โดยใชก้ จิ กรรมเปน็ สงิ่ ควบคมุ ความส�ำเร็จ 4.5) ขนั้ ตอน C - 1 (30 นาท)ี วางแผน หาผูร้ ับผิดชอบ (Responsibility) กลุ่มเล็ก ทุกคนเลือกหาหัวข้อ กลวิธี และกิจกรรมที่ได้จาก I-2 เขียน ลงแผ่นละ 1 กิจกรรม มากน้อยตามแต่ท่ีตนมีบทบาท หน้าท่ี และความสามารถท่ีจะท�ำได้เอง หรือร่วมท�ำกับใคร หรือต้องขอให้ใครท�ำให้ เขียนช่ือคนท�ำกิจกรรมด้วย น�ำไปรวมกันให้เป็น ชุดเดียว จากน้ันให้เขียนแผ่นใส น�ำเสนอต่อท่ีประชุมร่วม เพื่อให้มีการอภิปราย เรียนรู้งานกัน และกัน ข้ันตอนน้ี ทุกคนได้วิเคราะห์ตนเอง แสดงพลงั ความสามารถ และภารกิจท่ีจะรว่ มท�ำงาน ในเร่ืองใดไดบ้ ้าง 4.6) ขัน้ ตอน C - 2 (30 นาที) จัดท�ำแผน / กจิ กรรม / โครงการ (Action plan) แบ่งกลุ่มใหม่ ให้เข้าตามระดับงานที่รับผิดชอบ เช่น กลุ่มนโยบาย กลุ่มนักวิชาการ กลุ่มผู้บริหาร กลุ่มผู้น�ำชุมชน กลุ่มประชาชน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับ เรื่องนี้ ภารกิจข้ันตอนนี้ส�ำคัญ คือ ต้องร่วมกันเขียนแผนงาน / โครงการ ตามรูปแบบมาตรฐาน คอื 1) ชือ่ โครงการ / แผนงาน 2) หลกั การเหตุผล 3) สาเหตทุ ต่ี ้องท�ำ 4) ความมงุ่ หมาย หรอื ความ ประสงค์ หรือวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีตอ้ งการใหเ้ ป็นผล 5) กลวธิ ี ท�ำอยา่ งไร 6) วิธีทำ� กิจกรรมท่ีต้องท�ำ 7) ชือ่ หน่วยงาน หรือบุคคล ผรู้ ับผิดชอบแตล่ ะกิจกรรม (มีหลายชอื่ ได้) 8) ระยะเวลาเรมิ่ ต้น ส้ินสุด 9) วิธีการประเมินผลส�ำเร็จ ตามข้อช้ีวัด และวัตถุประสงค์ 10) งบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ คน ที่ต้องการ พร้อมกับแหล่งท่ีสนับสนุน (อาจมีรายละเอียดงบประมาณแสดงรายกิจกรรม และ ประเภทหมวดเงนิ อาจมีผงั ก�ำกับเวลา / กิจกรรมแนบท้าย หรอื แต่ละกลุม่ นำ� กลบั ไปเขียนภายหลงั การประชุม) ผลจากการประชุมข้ันตอน C-2 นี้ ผู้จัดประชุมต้องน�ำไปรวบรวมพิมพ์ และส่งกลบั ใหห้ น่วยงานของผ้เู ขา้ ประชุม เชน่ ฝ่าย กอง กรม องค์กรชมุ ชน ฯลฯ ท่ตี ้องทำ� แผน พัฒนาประจ�ำปี ให้น�ำไปเขียนเป็นโครงการขออนุมัติหัวหน้างานตามล�ำดับขั้น และไปชี้แจง ต่อสู้ เพื่อใหไ้ ด้งบประมาณ และการสนบั สนุน ภายหลังการประชุมมีความส�ำคัญยิ่งกว่าการประชุม ผู้เข้าร่วมประชุม ย่อมรตู้ นเองวา่ ไดเ้ สนออะไรไป หน้าที่ และบทบาทของตนเก่ียวกับงานน้ี เปน็ ของแต่ละคน ที่จะ ต้องรับไปเสนอหัวหน้าหน่วยงาน และผู้ร่วมงาน น�ำไปปฏิบัติตามแผน และจัดให้มีการประชุม

Research in Educational Administration • 249 สามเส้า เพื่อทบทวนงาน ตามตัวชี้วัดและเป้าหมาย ปรับเปล่ียนกลวิธี และการสนับสนุน เพื่อขจัดอุปสรรคที่ท�ำให้ไม่ส�ำเร็จ โครงการใดท่ีท�ำส�ำเร็จแล้ว ก็ต้องพัฒนาโครงการ (Program development) และคิดกิจกรรมใหม่ ๆ เพราะความส�ำเร็จในเร่ืองหนึ่ง อาจจะมีปัญหาเร่ืองอ่ืน ตามมาใหม่ จากข้ันตอนต่าง ๆ 6 ขั้นตอนของการประชุม AIC ดังกล่าวข้างต้น อาจสรปุ ใหเ้ ห็นไดอ้ ย่างชดั เจนมากยงิ่ ขึ้น ดังปรากฏในตารางท่ี 7.1 ตารางที่ 7.1 ขนั้ ตอนการประชมุ AIC 6 ขั้นตอน ขนั้ ตอน เวลาทีใ่ ช้ ภารกจิ หลัก A-1 15 นาที เขา้ ใจสถานการณ์ สภาพที่แทจ้ รงิ (Reality) A-2 20 นาที เป็นการเริ่มใหท้ บทวน ระบายอารมณ์ ความคดิ มศี ิลปะ มีสัมพนั ธภาพ I-1 30 นาที กบั คนอน่ื ไม่เคร่งเครียด สร้างวสิ ัยทัศน์ สภาพทคี่ าดหวังในอนาคต (Ideal vision หรือ Scenario) I-2 30 นาที เป็นมติทท่ี ุกคนเขา้ ใจความเปน็ มา และคาดหวงั มีความประสงคร์ ว่ มกนั C-1 30 นาที ต้งั แต่เริ่ม C-2 30 นาที คิดค้น หากลวิธี (Solution design) เปน็ ขน้ั ตอนทท่ี กุ คนไดแ้ สดงพลงั และประสบการณ์ มสี ว่ นรว่ ม หากความ คดิ ของตนมเี หตผุ ล ไดร้ บั การยอมรบั จะเกดิ ความภมู ใิ จ ถา้ ของผอู้ น่ื ดกี วา่ กย็ อมรับเชน่ กัน งานนจ้ี ะเปน็ ของทกุ คนตงั้ แตต่ ้น จัดความสำ� คัญ จำ� แนกกจิ กรรม (Priority) เป็นขั้นตอนที่ทุกคนได้แสดงประสบการณ์ให้ผู้อ่ืนเลือกใช้ประโยชน์ โดยใชก้ ิจกรรมเปน็ ส่งิ ควบคุมความส�ำเรจ็ วางแผน หาผูร้ บั ผดิ ชอบ (Responsibility) เป็นข้นั ตอนทท่ี ุกคนไดว้ เิ คราะห์ตนเอง แสดงพลังความสามารถ และภารกิจท่ีจะรว่ มทำ� งานในเรื่องใดได้บ้าง จัดท�ำแผน / กิจกรรม / โครงการ (Action Plan) ขน้ั ตอนนี้ ตอ้ งรว่ มกันเขียนแผนงาน / โครงการ 5) ปัจจัยท่ชี ว่ ยใหก้ ารประชมุ AIC ประสบความส�ำเร็จ ปัจจัยส�ำคัญท่ีจะช่วยให้การประชุม AIC ประสบความส�ำเร็จได้ อาจแบ่งออกได้ 3 ประการ ซง่ึ อาจสรุปได้ดังตอ่ ไปน้ี (ประชาสรรณ์ แสนภกั ดี, 2562 ) 5.1) ความเป็นกระบวนการ การจดั ประชมุ กระบวนการ AIC ตอ้ งเน้นความเปน็ กระบวนการ จะด�ำเนินการข้ามขั้นตอนหรือสลับขั้นตอนไม่ได้ ในกระบวนการดังกล่าว มีการ เน้นเรื่องการระดมความคิด และการสร้างความยอมรับซ่ึงกันและกัน โดยให้ความส�ำคัญกับ

250 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา การตดั สนิ ใจ การกำ� หนดอนาคตรว่ มกนั มกี ารเนน้ เรอ่ื งการสรา้ งพลงั ความคดิ วเิ คราะห์ และเสนอ ทางเลอื กในการพฒั นาและมีการเนน้ เร่ืองพลังความรกั ความเอื้ออาทร และการสร้างบรรยากาศที่ เปน็ มิตร อนั เป็นพลังเชงิ สรา้ งสรรค์ในการพัฒนา 5.2) การศึกษาและเตรียมชุมชน ในการจัดประชุมกระบวนการ AIC จะต้อง มกี ารศึกษาชมุ ชนและเตรยี มชุมชน ดงั น้ี (1) การศกึ ษาชมุ ชน เปน็ การศกึ ษาเพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจสภาพของหมบู่ า้ น ชมุ ชน หรือตำ� บล ความสัมพันธข์ องกลุ่มต่าง ๆ ความสามารถหรือศักยภาพของกลุ่ม สภาพการพง่ึ ตนเอง ฯลฯ เพือ่ ใหไ้ ดข้ ้อมูลท่ีเพยี งพอและเปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ อันจะเป็นประโยชนใ์ นการก�ำหนดอนาคตทาง เลือก รวมท้ังกลวธิ ที ี่เหมาะสมในการแกไ้ ขปญั หา และการประสานความร่วมมอื (2) การเตรยี มชมุ ชน ตอ้ งมกี ารเตรยี มชมุ ชนเพอ่ื ทำ� ใหก้ ลมุ่ ตา่ งๆในชมุ ชน เข้าใจ และส่งผู้แทนที่มีอ�ำนาจในการตัดสินใจของกลุ่ม เข้าร่วมประชุม รวมทั้งมีการพิจารณา เพ่อื กระจายโอกาสให้กลุ่มต่าง ๆ ในชุมชน เขา้ มามีสว่ นรว่ ม เชน่ กลุม่ สตรี เด็ก คนจน ผูป้ ระสบ ปญั หาต่าง ๆ ฯลฯ 5.3) ผูด้ ำ� เนินการประชุม จะต้องจดั เตรยี มผดู้ �ำเนนิ การประชุมในกระบวนการ AIC ที่มีความเข้าใจข้ันตอนของกระบวนการ AIC มีความรู้และประสบการณ์ในเร่ืองท่ีเก่ียวข้อง ในการประชุม มีไหวพริบในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์เฉพาะหน้า สามารถไกล่เกลี่ย หรือ มีวิธีการในการจัดการกับความขัดแย้งที่เหมาะสมในกรณีที่อาจจะเกิดข้ึน โดยสามารถท�ำ หน้าที่ ดังนี้ (1) เตรียมชมุ ชน เตรียมการประชมุ ดำ� เนินการประชมุ และสรุปผล (2) สรา้ งบรรยากาศในการประชมุ เพอื่ คลายความตงึ เครยี ดของผ้เู ขา้ รว่ ม ประชุม (3) ควบคุมขั้นตอนและเวลาในการด�ำเนินการประชุมให้เป็นไปตาม กระบวนการ (4) สรุปความเห็นท่ีแท้จริงของผู้เข้าร่วมประชุม โดยไม่สอดแทรกความ เหน็ หรือทศั นะของตนเองลงไป (5) ในกรณีที่มีข้อถกเถียงระหว่างผู้เข้าร่วมประชุม ซึ่งเกิดความต้องการ ปกป้องผลประโยชนข์ องตนเอง ตอ้ งสามารถท�ำหน้าท่ีไกล่เกล่ยี และหาขอ้ ยุตไิ ด้ (6) วเิ คราะหแ์ ละสงั เกตบรรยากาศในการประชมุ สำ� หรบั จำ� นวนผจู้ ดั การ ประชมุ อาจมีเพยี งคนเดียวก็ไดโ้ ดยเป็นผนู้ �ำการประชุม ซึ่งจะมีขอ้ ดี คอื กระบวนการประชุมเปน็ เอกภาพมากกวา่ แตห่ ากไมม่ นั่ ใจในการดแู ลบรรยากาศการประชมุ นา่ จะจดั คณะทำ� งานมาชว่ ยโดย แบ่งหน้าทด่ี งั นีค้ ือ 1) เป็นผู้จดั การประชุม ดแู ลอำ� นวยความสะดวกทั่วไป ไดแ้ ก่ การลงทะเบยี น อาหาร เครอ่ื งดม่ื 2) เปน็ ผนู้ ำ� การประชมุ 3) เปน็ ผจู้ ดั กจิ กรรมเกมส์ สรา้ งบรรยากาศ เพอ่ื การละลาย พฤติกรรม คลายเครียด และการนำ� เข้าสูข่ ้นั ตอนแต่ละขัน้ ตอน  และ 4) เปน็ ผู้เตรียมวสั ดอุ ปุ กรณ์

Research in Educational Administration • 251 ท้ังนี้ คณะท�ำงานท่ีมาช่วยในการประชุมจะต้องท�ำความเข้าใจในขั้นตอน และวธิ กี ารใหต้ รงกนั หรือสอดรับกัน กรณีศกึ ษา: โครงการรฐั ร่วมเอกชน พฒั นาประชากร และคณุ ภาพชีวิต ... ระดับชาติ เปน็ การใชก้ ระบวนการทำ� แผนแบบ AIC (มหภาค) ภาพรวมของโครงการทกุ ระดบั โดยใน พ.ศ. 2532-2539 ส�ำนักงานพฒั นาการเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ร่วมกับคณะกรรมการวางแผน ครอบครวั ม ี 4 กระทรวง ได้แก่ ศกึ ษาธิการ สาธารณสขุ มหาดไทย พาณชิ ย ์ และ 4 สมาคมดา้ น วางแผนครอบครัว หารูปแบบการพัฒนาประชากร ภายหลังการควบคุมการเพิ่มประชากรไว้ได้ แลว้ เพ่อื พฒั นาคุณภาพชีวิตให้ดขี ้นึ ต่อไป หลกั การ พัฒนาคนในหมูบ่ า้ นทมี่ ีระดับการพัฒนาต�่ำ ใหม้ คี วามสามารถต่อไปนี้ 1. รวมกลุ่มอาชพี 2. ฝึกท�ำจริง ให้มีความสามารถในการจดั การเองได้ คือ มี 3 ก. และ 1 ข. (กรรมการ - การจัดการ - กองทุน - ขอ้ มลู ) 3. คดิ วิเคราะห์การตลาด การอาชีพ 4. สมทบเงนิ ยมื 4 ปแี รก ใหฝ้ กึ ทดสอบความสามารถดา้ นการจดั การดา้ นการเงนิ และ บัญชี มีสัจจะคืนเงินยืมหมนุ เวยี น การด�ำเนนิ งาน 1. คณะกรรมการร่วมของโครงการจดั ทำ� คูม่ ือการฝกึ วเิ คราะหข์ ้อมูลสินคา้ การตลาด การผลติ การทำ� บญั ชี การเบกิ จา่ ยกบั ธนาคาร การหาสมาชกิ และพจิ ารณาจดั สรรเงนิ ยมื แกส่ มาชกิ หมนุ เวยี นกนั รบั ไปประกอบอาชพี และสง่ คนื นำ� กำ� ไรไปพฒั นาครอบครวั ตามขอ้ ชว้ี ดั แบบฟอรม์ สมคั รสมาชกิ กยู้ มื เงนิ ทะเบยี นสมาชกิ บญั ชรี บั -จา่ ย กฎเกณฑ์ และเงอื่ นไขการกยู้ มื และสง่ คนื เงนิ พรอ้ มดอกเบย้ี การฝึกอาชีพ การเผยแพรค่ วามรู้ และการประกอบอาชพี ต่าง ๆ 2. คณะกรรมการพัฒนา คดั เลอื กหมบู่ ้าน และประชุมชาวบ้าน เลอื กกรรมการ 5 คน นดั ประชมุ ช้แี จงโครงการพร้อมกัน และฝึกกรรมการหมูบ่ า้ น 3. คณะกรรมการในหมบู่ า้ น ประชุมเผยแพร่ ท�ำความเข้าใจโครงการแก่ชาวบา้ น รับ สมาชิกข้ึนบญั ชี และนดั ชแ้ี จงกฎเกณฑ์ เงอ่ื นไขการตงั้ กองทนุ และการกู้ยมื และคืนเงินหมนุ เวียน กระบวนการ AIC ประชมุ สมาชกิ และกรรมการกองทนุ ขั้นตอนท่ี 1  เจา้ หนา้ ทผี่ สู้ นบั สนนุ การประชมุ (Facilitator) แจง้ ประเดน็ ใหพ้ จิ ารณาวา่ “คนในหมูบ่ ้าน จะอยู่ดกี ินดี ตามข้อชี้วัด มลี ักษณะเป็นอยา่ งไร” ให้วาดภาพ อธิบายความตอ้ งการ ทกุ คนเขยี นภาพ คนอว้ นบ้าง บา้ นใหญ่บ้าง ภาพวิวท้องฟ้าสวย มบี า้ น นา ต้นไม้ ฯลฯ นำ� มาเลอื ก ร่วมกนั ข้นั ตอนที่ 2  เจ้าหนา้ ทเ่ี สนอภาพใหท้ ุกคนดู ต่อเตมิ จนพอใจ ยอมรับ

252 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา ข้นั ตอนท่ี 3  เจา้ หนา้ ทข่ี อใหท้ กุ คนเขยี น หรอื บอกใหจ้ ดวา่ จะตอ้ งทำ� อะไรกนั บา้ ง จงึ จะเป็นไดต้ ามภาพ ไดข้ อ้ เสนอ เชน่ ตอ้ งมีรายได้ ทำ� นา ท�ำสวน เลยี้ งสตั ว์ ฯลฯ ขั้นตอนท่ี 4  เจา้ หนา้ ทข่ี อใหช้ ว่ ยกนั เลอื กวา่ จะทำ� อะไรทมี่ คี วามพรอ้ มมแี หลง่ วตั ถดุ บิ มีผู้สนับสนุน ได้ข้อเสนอ เช่น การท�ำดอกไม้จากต้นโสน การเลี้ยงไก่ ขอปุ๋ยนา ท�ำไม้กวาดจาก ดอกไมก้ วาด ฯลฯ ขั้นตอนท่ี 5  กรรมการกองทุน 5 คน รับไปท�ำแผน ก�ำหนดตัวผู้รับงาน ก�ำหนด แผนเวลา ขอนกั วชิ าการ เจา้ หนา้ ทอ่ี ตุ สาหกรรมจงั หวดั และการศกึ ษานอกโรงเรยี นใหม้ าฝกึ อาชพี และก�ำหนดรบั ใบสมัคร ขอยมื เงนิ ทุน นดั ฝกึ กลุม่ ฝึกอาชีพ นัดรบั เงินกู้ เสนอให้สมาชกิ พิจารณา ขนั้ ตอนท่ี 6  กรรมการทำ� โครงการ เสนอใหเ้ จา้ หนา้ ท่ี และชแี้ จงความพรอ้ ม พจิ ารณา ความเป็นไปได้ เจ้าหน้าที่พิจารณา และน�ำเสนอกรรมการส่วนกลาง เพ่ือให้โอนเงินกู้ยืมมาให้ “กรรมการกองทุน พัฒนาคณุ ภาพชีวติ ” น�ำไปเปดิ บัญชีธนาคาร กระบวนการ ใช้เวลา 2-3 ชัว่ โมง ชาวบ้านมสี มั พันธอ์ ันดีตอ่ กัน มีความคิด และความ ต้องการคล้ายกัน ไมข่ ดั แย้ง ภาพรวม ของ 64 หมบู่ ้าน 11 จงั หวัด สามารถตัง้ กองทุน มแี ผนการตลาด และอาชพี ได้ครบหมด ยังด�ำเนินการต่อได้ 46 กองทุน และมี 3 กองทุนเข้าอยู่ในกองทุนสินเชื่อเพ่ือพัฒนา ชนบท ของธนาคารออมสนิ ได้ ผลที่เกิดข้ึน คือ ชนบทได้เรียนรู้จากการฝึกท�ำจริง ในด้านการวิเคราะห์ การเลือก การตดั สินใจ การจัดการเงนิ และบญั ชี และสัจจะรบั ผิดชอบ อันเป็นทกั ษะของคนพฒั นา 2. เทคนคิ Mind Map “Mind Map” เป็นเทคนิคการคิดและวธิ ีการจดบนั ทกึ ความคิดของเรา เกดิ ขน้ึ ในปี ค.ศ. 1970 โดยผู้ที่คดิ รเิ ร่มิ จดบันทกึ แบบ Mind Map คอื Tony Buzan เขาเป็นนักคดิ ชาวอังกฤษ เป็น ผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นการฝกึ ความจำ� เปน็ ผคู้ ดิ รเิ รม่ิ จดบนั ทกึ แบบ Mind Map โดยนำ� เอาความรเู้ รอื่ งสมอง มาปรบั ใชใ้ นเรอ่ื งการเรยี นรขู้ องเขา และใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื ในการเตรยี มสอบ จนไดร้ บั เกยี รตนิ ยิ มใน ทส่ี ดุ ตอ่ มา Buzan ไดเ้ ขา้ เปน็ อาจารยส์ อนจติ วทิ ยา และเรมิ่ นำ� Mind Map มาใชใ้ นการถา่ ยทอดความ รู้ให้กับนักศึกษาของเขา ช่วยเหลือเด็กนักเรียนท่ีมีปัญหาในการจดจ�ำจากบันทึกที่จดไว้ให้กลาย เปน็ คนที่เรยี นเก่งขนึ้ มาได้ นอกจากนี้ Buzan ยงั คน้ พบว่า Mind Map นน้ั สามารถประยุกต์ใช้กบั กจิ กรรมอน่ื ๆ ทัง้ ในชวี ิตสว่ นตวั และชีวติ การงาน เชน่ การวางแผนการตดั สินใจ การชว่ ยจำ� การ แก้ปัญหา การนำ� เสนองาน และการเขียนหนังสอื ไดอ้ ีกด้วย โดยมีรายละเอียด สามารถสรุป ดงั น้ี 2.1 ความหมายของ Mind Map “Mind Map หรอื แผนทีค่ วามคิด” คือ เทคนิคการคิด และวธิ กี ารจดบันทึกความคิด ของเรา เปรยี บเสมอื นการจำ� ลองความคดิ จากสมองลงสกู่ ระดาษโดยออกมาในลกั ษณะคลา้ ยแผนท่ี หรอื แผนภาพทแ่ี ตกแขนงออกเหมอื นกง่ิ ไมแ้ ละเชอื่ มโยงกนั เหมอื นเซลลป์ ระสาทในสมองโดยจะ ใช้ภาพ เส้น สี สัญลักษณ์ และค�ำส�ำคัญมาใช้วาดจากตรงกลางแล้วกระจายความคิดออกไปแทน การเขียนบันทกึ ดว้ ยตัวอักษรเรียงเป็นบรรทัดยาว ๆ

Research in Educational Administration • 253 2.2 วิธีการของ Mind Map เป็นวิธีท่ีตรงกับธรรมชาติการท�ำงานของสมอง ธรรมชาติของสมองของคนเรา มักชอบจ�ำเป็นรูปภาพ ชอบสีสัน ซึ่งตรงกับวิธีจดบันทึกแบบ Mind Map ท่ีได้ออกแบบขึ้นจาก การเลียนแบบธรรมชาติการท�ำงานของสมอง โดยเป็นวิธีเดียวกันกับท่ีสมองคิด คือ การคิดเป็น ภาพและส ี ใช้วิธกี ารเชื่อมโยงขอ้ มลู การคดิ จนิ ตนาการ และพื้นฐานการจำ� ท�ำใหส้ มองทง้ั สองซกี ถกู กระตุน้ ให้สามารถทำ� งานประสานกันได้อยา่ งดีท่สี ุด 2.3 Mind Map ในฐานะเคร่อื งมือทางการคดิ ท่ีทรงพลงั ปัจจุบัน Mind Map กลายเป็นเคร่ืองมือที่ช่วยในการจัดการระบบความคิดที่มี ประสิทธภิ าพสูงสดุ มีรปู แบบการจดบนั ทกึ ทส่ี รา้ งสรรคแ์ ละมีประสทิ ธิภาพ สามารถทีจ่ ะเสรมิ สร้างทักษะในการวิเคราะห์และการสังเคราะห์ข้อมูล ท�ำให้การเรียนรู้เป็นเร่ืองที่สนุกสนานและ มชี ีวติ ชวี าข้ึน กล่าวกันว่า จากผลการวจิ ยั พบว่า บคุ คลอัจฉริยะของโลก เช่น อลั เบริ ต์ ไอนส์ ไตน์ (Albert Einstein) หรือ เลโอนาร์โด ดา วินชี (อิตาลี: Leonardo da Vinci)  และคนเก่งระดับโลก อีกหลายคนก็ใช้การจดบันทึกเป็นภาพด้วยเช่นกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่คนท่ัวโลกมากกว่า 250 ล้านคน และคนในองค์การระดับโลก อย่าง NASA, Microsoft, APPLE, SONY, BBC, DISNEY ฯลฯ กใ็ ช้ Mind Map เปน็ เครื่องมอื ทางการคิด 2.4 หลักของการทำ�  Mind Map ท่ีมาของการท�ำ Mind Map น้ัน เป็นวิธีสร้างแผนผังทางความคิดของเราในสมอง ที่เอามาใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต Mind Map น้ันจะมีการใช้ข้อความที่เป็นค�ำส�ำคัญ (Keyword) มีการใช้สีสันท่ีหลากหลายเพ่ือสร้างจินตนาการ อาจจะใช้การวาดรูปประกอบที่เราเห็นจาก ขา้ งทางระหว่างท่ีเราขบั รถยนต์เพื่อเพิม่ ความจ�ำดว้ ยกไ็ ด้ 2.5 ขนั้ ตอนการท�ำ Mind Map ก่อนจะท�ำก็เตรียมอุปกรณ์ ซึ่งจะมีกระดาษ A4 ว่าง ๆ พร้อมปากกาหลากสีหรือ ดนิ สอสกี ไ็ ด้ และทสี่ ำ� คญั ทสี่ ดุ จนิ ตนาการอนั แสนบรรเจดิ เพราะจากการวจิ ยั ทเี่ ราทราบ ๆ กนั มาวา่ การวาดภาพประกอบด้วยสสี นั ต่าง ๆ จะท�ำให้เราไมร่ ู้สกึ เบอื่ และทำ� ให้เราจ�ำรปู หรอื ภาพประกอบ ไดง้ ่ายกว่าการจดบันทกึ เพยี งอย่างเดยี ว เมอ่ื พรอ้ มแล้วกด็ ำ� เนินการตามข้นั ตอน ดงั น้ี 1) วาดจดุ กง่ึ กลางของกระดาษ การทเ่ี ราไมไ่ ปเรม่ิ ตรงขอบๆหรอื รมิ กระดาษ มันมีเหตุผล เพราะพื้นที่ว่างตรงกลางแผ่นกระดาษน้ันท�ำให้สมองของเรารู้สึกถึงความมีอิสระ พรอ้ มทีจ่ ะสร้างสรรคเ์ พม่ิ เตมิ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ 2) วาดเป็นรูปภาพหรือรูปประกอบความคิดที่เราเพ่ิงจะเขียนลงไปตรง กลาง เพราะรูปภาพนั้นสื่อความหมายได้มากมาย ท�ำให้เราใช้จินตนาการได้อย่างเต็มท่ีและ เมือ่ ภาพกึ่งกลางมนั ดึงดูดใจ เรากจ็ ะมโี ฟกัสที่แนน่ อนและท�ำให้รอยหยักในสมองของเราเพมิ่ ด้วย 3) เล่นสีมาก ๆ เพราะสีสันท่ีสดใส จะท�ำให้สมองเราตื่นตัว รู้สึกตื่นเต้น ดูมีชีวติ ชีวานา่ อา่ น โดยเฉพาะสเี หลอื ง คอื สีทีส่ มองของเราจำ� แมน่ ทส่ี ุด 4) วาดก่ิงออกมาจากภาพตรงกลางโดยให้เส้นเชื่อมต่อกัน เพื่อให้สมอง เช่อื มโยงขอ้ มลู เขา้ หากัน เอาข้อมูลต่าง ๆ มาผสมกันเพอื่ ใหเ้ ราจำ� งา่ ยข้ึน

254 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา 5) วาดเส้นโค้งเข้าไว้ สมองเราอ่อนไหวไม่ชอบอะไรท่ีท่ือ ๆ ตรง ๆ และท่ี ส�ำคัญ คือ มนั สวยดี 6) เขียนคำ� สำ� คัญบนเส้นก่ิง อยา่ ไปเขียนใต้กงิ่ หรือเวน้ วา่ ง ๆ ไว้ เพราะมัน จะทำ� ใหเ้ ราคดิ แบบไมต่ ่อเนอื่ ง พยายามหาค�ำเดน่ ๆ สัน้ ๆ เพ่ือใหเ้ ราจ�ำได้ง่าย 2.6 ประโยชนข์ อง Mind Map ในการประชุมอยา่ งสร้างสรรค์ “Mind Map” เป็นเทคนิคท่ีสามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ได้ในการประชุมอย่าง สร้างสรรค์ เพราะจะเกิดประโยชน์ท่ีส�ำคัญส�ำหรับผู้เข้าร่วมประชุมอย่างน้อย 4 ประการ ดังนี้ (ชชู าติ พว่ งสมจิตร์, 2557) 1) ชว่ ยในการเก็บบันทึกความคิดเห็นของผู้เข้ารว่ มประชุมไดอ้ ย่างครบถว้ น 2 ช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมเห็นการบันทึกข้อมูลหรือเรื่องราวท่ีตนน�ำเสนอ ตอ่ ทีป่ ระชุม 3) ช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมจดจ�ำเร่ืองต่าง ๆ ในการประชุมได้ง่ายและ นานขึน้ ตลอดจนสอดคล้องกบั วธิ กี ารเรยี นรขู้ องบคุ คลทชี่ อบสิง่ ตา่ ง ๆ 4) ช่วยให้ผู้ฟังการน�ำเสนอสามารถเห็นภาพรวมและปะติดปะต่อเร่ืองราว ต่าง ๆ เขา้ ด้วยกัน ง่ายและชัดเจนข้ึน นอกจากน้ี “Mind Map” ยังเป็นเทคนคิ ทส่ี ามารถนำ� ไปใชไ้ ด้กับเร่อื งอน่ื ๆ อกี มาก เช่น เรอ่ื งการคิด การเรียนรู้ เรอ่ื งงาน เร่ืองสว่ นตวั และอีกมากมายทส่ี ามารถนำ� ไปประยุกตใ์ ช้กับ เครอ่ื งมอื การคดิ อน่ื ๆ โดยอาจประมวลประโยชนใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ ที่ Mind Map สามารถชว่ ยไดด้ งั นค้ี อื 1) ช่วยการจัดระเบียบความคดิ 2) ชว่ ยการคดิ วิเคราะห์ แยกแยะ แกป้ ัญหา การตัดสนิ ใจ 3) ชว่ ย การระดมความคิด 4) ชว่ ยเรือ่ งการคดิ สรา้ งสรรค์ นวตั กรรม หาความรู้ใหม่ ๆ 5) ช่วยเร่ืองการ จ�ำได้ง่ายขึ้น จ�ำเป็นระบบ 6) ช่วยให้เช่ือมโยงข้อมูลความคิดได้มากข้ึน และฟื้นความจ�ำได้ดีขึ้น 7) ชว่ ยเรอื่ งการเรยี นรู้ ทำ� ใหเ้ รยี นรเู้ รอ่ื งตา่ ง ๆ เรว็ ขนึ้ 8) ชว่ ยดงึ ขอ้ มลู ความรเู้ ขา้ -ออกไดร้ วดเรว็ ขนึ้ 9) ช่วยในการวางกลยทุ ธก์ ารสอบ การอ่านหนังสอื สอบ ท�ำคะแนน หาจุดบกพร่อง 10) ช่วยใน การจดบนั ทึก ค�ำบรรยายการสอนในช้นั เรียน ดว้ ยวิธที ่งี ่ายและรวดเรว็ 11) ช่วยสรุป-ยอ่ หนงั สอื และตำ� ราเรยี น 12) ชว่ ยทำ� ความเขา้ ใจเนอื้ หาบทเรยี นทย่ี าก ใหเ้ หน็ ทงั้ ภาพรวมและเชงิ ลกึ 13) ชว่ ย เรือ่ งการเขียน รายงาน เรียงความ บทความ หนังสือ 14) ช่วยในการรวบรวม เรยี บเรียง และจดั เก็บ ขอ้ มลู อยา่ งเปน็ ระบบ 15) ชว่ ยในการมองเหน็ ภาพรวม ใหเ้ หน็ ขอ้ มลู หรอื ความคดิ ทงั้ หมด 16) ชว่ ย สรุป-ยอ่ สง่ิ ท่ีต้องการเรยี นรไู้ ดใ้ นรูปแบบทีร่ วดเรว็ เชน่ หนังสอื เรยี น บทสนทนา สมั ภาษณ์ การ ประชมุ ขา่ วทีวี วทิ ยุ หนงั สือพิมพ์ ฯลฯ 17) ช่วยในการจบั ประเดน็ ส�ำคัญและสรุปสาระสำ� คญั ได้งา่ ย 18) ช่วยเรื่องการวางแผน เรือ่ งสว่ นตวั /งาน 19) ช่วยการจดั ล�ำดบั ความสำ� คัญก่อน-หลงั 20) ชว่ ยเรอ่ื งการนำ� เสนอ การจดั เตรยี มงาน เตรยี มการพดู การรายงาน 21) ชว่ ยในการจดจำ� เนอ้ื หา ไดอ้ ยา่ งง่ายดาย เวลาต้องพูดน�ำเสนอหนา้ ชนั้ เรยี น 22) ชว่ ยประหยัดเวลาในการทบทวนการอา่ น และ 23) ชว่ ยเรอ่ื งการประหยัดเวลาการเรียนรู้ การจด และการจำ�

Research in Educational Administration • 255 3. เทคนิคการจดั เวทีประชาคม เทคนิคการจัดเวทีประชาคม เป็นอีกเทคนิคหนึ่งท่ีนักวิจัยสามารถประยุกต์มาใช้เพ่ือ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากชมุ ชน ประกอบดว้ ย 1) ความหมายของเวทีประชาคม 2) องคป์ ระกอบ ของการจดั เวทปี ระชาคมที่ดี และ 3) ขัน้ ตอนการจัดเวทีประชาคม โดยมีรายละเอยี ดอาจสรุปได้ ดงั น้ี (ชชู าติ พว่ งสมจติ ร,์ 2557) 3.1 ความหมายของเวทีประชาคม “เวทีประชาคม” (Civil Society Forum or People Forum) เป็นเทคนิคหรือวิธีการ และเปา้ หมายทกี่ ระตนุ้ ใหเ้ กดิ การเรยี นรอู้ ยา่ งมสี ว่ นรว่ ม ระหวา่ งคนทมี่ ปี ระเดน็ หรอื ปญั หารว่ มกนั โดยใช้เวทีในการสอ่ื สารเพอื่ การรบั รแู้ ละเข้าใจประเด็นปัญหา และช่วยกันผลักดันหรือหาขอ้ สรปุ เปน็ แนวทางแก้ไขประเด็นปัญหาน้ัน ๆ 3.2 องคป์ ระกอบของการจดั เวทปี ระชาคมที่ดี เวทีประชาคมท่ดี ี ตอ้ งประกอบดว้ ย 1) ประเดน็ ท่ีเป็นทป่ี ระจักษ์ว่าเป็นปญั หารว่ มกัน 2) มวี ตั ถปุ ระสงคข์ องการจดั เวทปี ระชาคมชดั เจนวา่ จดั เพอ่ื อะไร จดั ไปทำ� ไม และจะเอาผลที่ได้จากการประชาคมนน้ั ไปท�ำอะไร 3) มีกระบวนการ ข้ันตอนและวิธีการที่ดีในการขับเคลื่อนประเด็นไปสู่ วตั ถุประสงค์ทีต่ ้องการ โดยทุกคนมีสว่ นรว่ มอยา่ งเท่าเทียม 4) ผู้เข้าร่วมเวทีประชาคมมีการแสดงความคิดเห็น และความรู้สึกได้อย่าง กว้างขวางอสิ ระ ไม่ถูกครอบง�ำ และเป็นไปอยา่ งเท่าเทียม 5) มผี อู้ �ำนวยการใหเ้ กดิ การแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ หรอื วทิ ยากรกระบวนการ 6) มบี รรยากาศท่ีดี 7) มรี ะยะเวลาทเ่ี หมาะสม ไมเ่ รว็ หรอื รวบรดั จนเกนิ ไปจนทำ� ใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มรสู้ กึ อึดอัด และไม่ช้าหรือนานเกินไปจนท�ำให้เกดิ ความร้สู กึ เบ่ือ 8) ตอ้ งมีข้อสรุปเกดิ ขน้ึ ทุกครง้ั ทท่ี ำ� เวทปี ระชาคม 9) มสี อื่ และอปุ กรณก์ ารสอื่ สารทชี่ ว่ ยใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจประเดน็ เนอื้ หาตรงกนั 10) มกี ารประสานงานลว่ งหน้า 3.3 ข้นั ตอนการจัดเวทปี ระชาคม ข้ันตอนแรก ข้นั เตรียมการก่อนทำ� เวทปี ระชาคม 1) การเตรยี มประเด็นทีต่ อ้ งการในเวทีประชาคม 2) การเตรียมขอ้ มูลเก่ยี วกบั กลมุ่ 3) การเตรยี มขน้ั ตอน เครอื่ งมอื และอุปกรณ์สำ� หรับการทำ� ประชาคม 4) การเตรียมคำ� ถาม 5) การเตรียมทีมงานจดั เวทีประชาคม ขั้นตอนที่สอง กระบวนการด�ำเนินงานการทำ� เวทีประชาคม 6) ท�ำความรู้จกั กันระหวา่ งผูเ้ ข้ารว่ มอภิปราย 7) บอกวตั ถุประสงคข์ องการจัดเวทปี ระชาคม

256 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา 8) เกริ่นน�ำเข้าสู่ท่ีมาที่ไปของประเด็นสำ� หรับการอภปิ รายในเวทปี ระชาคม 9) วางกฎและระเบียบของการจัดเวทปี ระชาคมรว่ มกนั 10) อภปิ รายประเดน็ หรือปัญหา 11) สรุปประเดน็ ขั้นตอนสดุ ท้ายของการทำ� เวทีประชาคม ประกอบดว้ ย 2 ข้ันตอนส�ำคัญ คอื 12) ขัน้ การตดิ ตาม เพ่อื ดูวา่ มีการดำ� เนินการตามทีต่ กลงกนั ไว้หรือไม่ 13) ข้นั ประเมนิ ผล แบง่ เปน็ 2 เรอ่ื ง ไดแ้ ก่ 1) เพ่อื ตรวจสอบการเปลยี่ นแปลง ภายหลังการจัดเวทีประชาคมว่า ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึนหรือไม่ และ 2) เพ่ือประเมิน ทงั้ ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลของกระบวนการจดั เวทปี ระชาคมวา่ ไดร้ บั ความรว่ มมอื มากนอ้ ย เพียงใด ลักษณะหรือกระบวนการเอ้ือต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันหรือไม่ ผลท่ีได้รับคุ้มค่า หรอื ไม่ และบรรลตุ ามวัตถุประสงค์ที่ต้งั ไว้หรอื ไม่ 4. เทคนิค SWOT เทคนิค SWOT เป็นเทคนิคส�ำหรับการวิเคราะห์สภาพขององค์การหรือชุมชน นักวิจัย สามารถประยกุ ตม์ าใชไ้ ดก้ บั การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากชมุ ชน ในทนี่ ้ีนกั วจิ ยั ควรศกึ ษาและทำ� ความ เข้าใจในสาระที่ส�ำคัญ 3 เร่ือง ได้แก่ 1) ความหมายของ SWOT 2) การวิเคราะห์ SWOT และ 3) เทคนิคการวเิ คราะห์ SWOT และจัดทำ� กลยุทธ์หน่วยงาน โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี 4.1 ความหมายของ SWOT “SWOT” เป็นเทคนิคหรือเครื่องมือในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ นิยมน�ำมาใช้ วิเคราะห์องค์การเพ่ือให้ทราบถึงจุดแข็งจุดอ่อนขององค์การซ่ึงจัดเป็นส่ิงแวดล้อมภายใน และ ทราบถึงโอกาสและภัยคกุ คามซง่ึ เป็นสงิ่ แวดล้อมภายนอกองคก์ าร ทั้งน้ีเพอื่ จัดวางกลยุทธท์ ีท่ �ำให้ องคก์ ารสามารถใชจ้ ดุ แขง็ ของตนเอง และโอกาสจากปจั จยั ภายนอกใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ขณะเดยี วกนั กช็ ว่ ยใหเ้ หน็ ชอ่ งทางในการแกไ้ ขจดุ ออ่ นของตนเองรวมทงั้ การหลกี เลย่ี งภยั คกุ คามจากภายนอกที่ จะมีตอ่ องคก์ าร (ชชู าติ พ่วงสมจติ ร์, 2557) อย่างไรก็ตาม แม้เทคนิค SWOT จะเป็นเทคนิคส�ำหรับการบริหารองค์การ แต่ก็ สามารถน�ำมาใชใ้ นการวิจัยเชิงปฏิบัตกิ ารแบบมสี ่วนร่วมได้ เชน่ ใชใ้ นการวเิ คราะหช์ ุมชนเพ่ือให้ เห็นถึงจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามของชุมชน ซ่ึงจะช่วยให้นักวิจัยและคนในชุมชน สามารถก�ำหนดทิศทางการพัฒนา โครงการและกิจกรรมการพัฒนาได้อย่างเหมาะสมกับสภาพ ของชมุ ชนนั้น 4.2 การวเิ คราะห์ SWOT การวิเคราะห์ SWOT เป็นการวิเคราะห์สภาพขององค์การ/ชมุ ชน ใน 4 แงม่ ุม โดยมี รายละเอียด ดังนี้ (ชูชาติ พ่วงสมจติ ร์, 2557) 1) Strengths (S) หมายถงึ สง่ิ ทเ่ี ปน็ จดุ แขง็ ขององคก์ าร โดยอาจพจิ ารณาจาก ความเข้มแข็งดา้ น 1) บคุ ลากร 2) งบประมาณ 3) เทคโนโลยีทีใ่ ชใ้ นองค์การ 4) โครงสรา้ งองค์การ 5) การบริหารจัดการ 6) การให้บริการ 7) คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และ 8) ความร่วมมือภายใน

Research in Educational Administration • 257 องคก์ าร เป็นตน้ 2) Weakness (W) หมายถงึ สงิ่ ทเ่ี ปน็ จดุ ออ่ นขององคก์ าร โดยมปี ระเดน็ การ พิจารณาคล้ายคลึงกบั จุดแขง็ ซ่ึงไดแ้ ก่ 1) บคุ ลากร 2) งบประมาณ 3) เทคโนโลยีท่ใี ช้ในองคก์ าร 4) โครงสร้างองค์การ 5) การบริหารจัดการ 6) การให้บริการ 7) คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และ 8) ความขัดแยง้ ในองค์การ ฯลฯ 3) Opportunity (O) หมายถึง ส่ิงแวดล้อมภายนอกท่ีเป็นโอกาสหรือ แนวโน้มท่ีดีต่อองค์การ โดยทั่วไปพิจารณาจาก 1) สภาวะทางเศรษฐกิจ 2) สภาพการเมือง 3) สังคม วัฒนธรรม ค่านิยม 4) เทคโนโลยีที่แวดล้อมองค์การ 5) ความต้องการของตลาด 6) พันธมิตรขององคก์ าร 7) แนวโน้มที่เป็นประโยชน์ตอ่ องคก์ าร ฯลฯ 4) Threat (T) หมายถึง ภยั คุกคามทม่ี าจากภายนอกและมกั จะตรงกันขา้ ม กบั Opportunity เชน่ 1) สภาวะทางเศรษฐกิจ 2) สภาพการเมือง 3) สงั คม วัฒนธรรม ค่านิยม 4) เทคโนโลยที ่ีแวดล้อมองคก์ าร 5) ความตอ้ งการของตลาด 6) คแู่ ข่งขององคก์ าร 7) แนวโนม้ ที่ เปน็ อุปสรรคต่อองค์การ ฯลฯ เมอื่ องคก์ ารหรอื ชมุ ชนวเิ คราะห์ SWOT ครบทง้ั 4 ดา้ นแลว้ องคก์ ารควรนำ� ผลการวเิ คราะห์ มาสร้างกลยทุ ธท์ จ่ี ำ� แนกเป็น 4 กลยทุ ธห์ ลัก ดังน้ี (ชชู าติ พว่ งสมจติ ร,์ 2557) 1. กลยุทธ์เชิงรุก (Aggressive) ใช้ในสถานการณ์ท่ีวิเคราะห์แล้วองค์การ มที ัง้ จดุ แข็งและโอกาส สิง่ ทคี่ วรดำ� เนินการ คอื การขยายการด�ำเนินงาน 2. กลยทุ ธพ์ ลกิ ฟน้ื สถานการณ์ (Turn around) อาจเรยี กวา่ “กลยทุ ธเ์ ชงิ แกไ้ ข” ใช้ในสถานการณ์ท่วี เิ คราะห์แล้วพบวา่ องค์การมีจุดออ่ นแต่สถานการณ์ภายนอกเออ้ื อำ� นวย สงิ่ ที่ ควรทำ� คือ การปรับปรุงพฒั นาตนเองเพ่ือแกไ้ ขจดุ อ่อน 3. กลยุทธ์ป้องกันตัว (Defensive) ใช้ในสถานการณ์ที่วิเคราะห์แล้วพบว่า องค์การมีจุดแข็ง แต่สภาพแวดล้อมภายนอกไม่เอ้ืออ�ำนวย สิ่งท่ีควรท�ำ คือ การรักษาจุดแข็งไว้ เพื่อรอโอกาสทีเ่ อ้ืออ�ำนวย หรือ การเปลี่ยนสภาพแวดลอ้ มไปสูบ่ รบิ ทที่เอ้อื อำ� นวยเพอ่ื ให้องค์การ สามารถใช้จดุ แข็งของตนไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี 4. กลยทุ ธ์ถอย (Regressive) อาจเรียกวา่ “กลยุทธเ์ ชงิ รับ” ใช้ในสถานการณ์ ท่ีวิเคราะห์แล้วพบว่า องค์การมีท้ังจุดอ่อนและสภาพแวดล้อมภายนอกไม่เอ้ืออ�ำนวย สิ่งที่ควร ด�ำเนินการ คือ การประคับประคองตัวใหร้ อดพน้ วิกฤติ การลดการผลติ หรอื การเลิกกิจการน้ัน ๆ กรณีที่ไม่คมุ้ ทนุ 4.3 เทคนิคการวเิ คราะห์ SWOT และจดั ท�ำกลยทุ ธ์หนว่ ยงาน การวิเคราะห์ SWOT มเี ทคนคิ ทส่ี ำ� คญั 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1) การวางแผน (Planning)  2) การสร้างกลยุทธ์ (Formula)  3) การนำ� กลยุทธไ์ ปปฏบิ ัติ (Implementation)  4) การตดิ ตาม และ การควบคมุ (Monitoring and Control) โดยมีรายละเอยี ด ดังนี้ 4.3.1 การวางแผน (Planning)  หมายถงึ   การวเิ คราะหท์ บทวนจดุ แขง็ หรอื ขอ้ ได้ เปรยี บ (Strengths) จดุ ออ่ นหรอื ขอ้ เสยี เปรยี บ (Weaknesses) โอกาสจะดำ� เนนิ การได้ (Opportunities) และอุปสรรค ข้อจ�ำกัด หรอื ปจั จัยท่คี ุกคามการด�ำเนินงานขององคก์ าร (Threats) ซ่ึงการวิเคราะห์

258 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา ดังกลา่ ว เรยี กกนั วา่ การวิเคราะห์ SWOT (SWOT Analysis) โดยเป็นการวิเคราะหอ์ งคก์ ารเพอ่ื คน้ หาแนวทางการดำ� เนนิ งานสคู่ วามสำ� เรจ็ ขององคก์ ารเพอื่ ลดความเสยี่ งลง  การวเิ คราะห์ SWOT ดงั กลา่ วนี้ ประกอบดว้ ยการวเิ คราะหป์ จั จยั ภายในองคก์ ารและการวเิ คราะหป์ จั จยั ภายนอกองคก์ าร โดยมรี ายละเอียด ดังนี้ 1) การวิเคราะห์ปจั จัยภายในองค์การ (S : จดุ แข็ง / W : จดุ อ่อน) เป็นการ วเิ คราะหภ์ ายในองคก์ าร (Internal analysis)  ดว้ ยเครอื่ งมอื McKinsey 7-S Framework ดงั ภาพท่ี 7.1 ภาพที่ 7.1 เครื่องมือ McKinsey 7-S Framework Source: Waterman, Peters & Phillips (1980) จากภาพท่ี 7.1 เคร่อื งมือ McKinsey 7-S Framework เป็นกรอบแนวคิดที่คิดค้นโดยบรษิ ัท McKinsey (แมคคินซีย์) ได้รับการเผยแพร่เป็นคร้ังแรกในปี ค.ศ. 1980 โดย Robert Waterman, Tom Peters และ Julien Phillips ซง่ึ ในขณะนัน้ เป็นท่ีปรกึ ษาใหก้ ับบริษัทท่ปี รกึ ษาด้านการจัดการ ช่ือ “McKinsey” โดยในคร้ังแรกแนวคิดน้ีต้องการน�ำเสนอว่า ประสิทธิภาพขององค์การธุรกิจ ไม่ได้ข้ึนอยู่กับปัจจัยทางด้านโครงสร้างขององค์การเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งท่ีเกิดข้ึนจากความ สมั พนั ธข์ องปจั จยั ตา่ งๆ7ประการดงั นนั้ การทอี่ งคก์ ารจะมปี ระสทิ ธภิ าพหรอื ไม่จงึ ขนึ้ อยกู่ บั ความ สมั พันธ์ของปัจจยั ท้งั 7 ประการ จึงต้องมีการวเิ คราะหว์ า่ ปจั จยั ท้งั 7 ประการดงั กล่าว มีลักษณะ และสถานภาพอย่างไร โดยท่ีปัจจัยท้ัง 7 ประการดังกล่าวนั้น มีรายละเอียด ดังนี้ (Waterman, Peters & Phillips, 1980) 1.1) โครงสรา้ งขององค์การ (Structure) หมายถึง โครงสรา้ งเกี่ยว กับความสัมพันธ์ระหว่างอ�ำนาจหน้าที่ขององค์การ เช่น การรวมอ�ำนาจ การกระจายอ�ำนาจของ ผู้บริหาร ฯลฯ โครงสร้างขององค์การน้ี ค่อนข้างจะมีผลกับกลยุทธ์โดยตรง กลยุทธ์บางอย่างท�ำ ไม่ได้ก็เพราะติดตรงท่ีโครงสร้างขององค์การ ดังนั้น โครงสร้างขององค์การ ควรมีความสัมพันธ์ สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้วย การพิจารณาลักษณะขององค์การมีประโยชน์ต่อการจัดท�ำกลยุทธ์ของ

Research in Educational Administration • 259 องค์การ เนื่องจากถ้าโครงสร้างขององค์การมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับกลยุทธ์ท่ีเลือกใช้ ก็จะเป็นจุดแข็งขององค์การ แต่ถ้าโครงสร้างขององค์การไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับกลยุทธ์ ท่ีเลือกใช้ ก็จะเป็นจุดอ่อนขององค์การ เช่น ในอดีต บริษัทอินเทล (Intel) ซ่ึงเป็นบริษัทผู้ผลิต ไมโครโพรเซสเซอรแ์ ละแผงวงจรอเิ ลค็ ทรอนคิ สท์ ใี่ หญท่ สี่ ดุ ในโลก มปี ญั หาในเรอื่ งความเหมาะสม ระหว่างโครงสร้างขององค์การกับกลยุทธ์เนื่องจากบริษัทใช้กลยุทธ์การเติบโตและประสบความ สำ� เรจ็ อยา่ งมาก แตท่ วา่ ลกั ษณะโครงสรา้ งขององคก์ ารยงั คงเปน็ ลกั ษณะรวมอำ� นาจในการตดั สนิ ใจ ท�ำให้การบริหารงานและควบคมุ เป็นไปอย่างไมม่ ปี ระสทิ ธิภาพ 1.2) กลยุทธ์ขององค์การ (Strategy) หมายถึง การวางแผนเชิง กลยทุ ธข์ ององคก์ าร โดยกระทำ� กจิ กรรมหรอื การดำ� เนนิ งานตา่ ง ๆ ภายในองคก์ ารตามทไ่ี ดว้ างแผน ขน้ึ มาเพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งและเหมาะสมกบั การเปลย่ี นแปลงของสภาวะแวดลอ้ มภายนอกและภายใน องคก์ าร กลยทุ ธ์ขององคก์ ารจดั ทำ� ขนึ้ มาโดยมีวตั ถปุ ระสงค์เพือ่ ช่วยใหอ้ งค์การมีความสามารถใน การแขง่ ขนั เหนอื กวา่ คแู่ ขง่ อน่ื ๆ กลยทุ ธข์ ององคก์ ารนน้ั มคี วามสมั พนั ธก์ บั โครงสรา้ งขององคก์ าร อยา่ งใกลช้ ดิ เนอ่ื งจากการจดั โครงสรา้ งขององคก์ ารนนั้ จะตอ้ งเปน็ ไปตามกลยทุ ธข์ ององคก์ ารนนั้ ๆ 1.3) ระบบการปฏิบัติงาน (Systems) หมายถึง กระบวนการและ ลำ� ดบั ขน้ั ในการทำ� งานทต่ี อ้ งสอดคลอ้ งกนั โดยเปน็ กระบวนการหรอื ขน้ั ตอนการดำ� เนนิ งานภายใน องค์การทงั้ ทีเ่ ปน็ ทางการและไม่เป็นทางการทช่ี ว่ ยให้องค์การสามารถด�ำเนนิ ไปได้ เช่น ระบบด้าน งบประมาณและระบบบัญชี ระบบในการสรรหาและคัดเลือกพนักงาน ระบบในการฝึกอบรม ระบบในการตดิ ตอ่ ส่ือสาร ระบบหรือขัน้ ตอนการท�ำงานเหลา่ น้จี ะบง่ บอกถงึ วิธีการท�ำงานต่าง ๆ ขององคก์ าร 1.4) รูปแบบการบริหารจัดการ (Style) หมายถึง รูปแบบในการ บริหารจัดการของผู้บริหารและความเป็นผู้น�ำของผู้บริหาร ผู้บริหารที่มีความเป็นผู้น�ำจะต้อง เป็นตน้ แบบใหก้ บั พนกั งานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ดงั นน้ั รปู แบบในการบริหารจดั การ จงึ ต้องเปน็ ลักษณะแบบแผนหรือพฤติกรรมในการบริหารงานของผู้บริหารระดับสูง โดยรวมถึง บุคลิกภาพ ของผู้บรหิ ารระดบั สูงดว้ ย เน่ืองจากการกระท�ำหรือพฤติกรรมของผูบ้ รหิ ารระดบั สงู จะมีอิทธพิ ล ต่อความรสู้ กึ นกึ คิดของพนกั งานภายในองค์การมากกวา่ คำ� พดู ของผบู้ ริหาร 1.5) บุคลากร (Staff) หมายถึง การบริหารจัดการบุคคลหรือ พนกั งาน ซง่ึ ประกอบดว้ ยพนกั งานทกุ ระดบั ภายในองคก์ าร รวมทง้ั แบบแผนและพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ทอี่ งคก์ ารแสดงและปฏิบตั ิตอ่ พนกั งานภายในองค์การ เช่น การมอบหมายใหฝ้ า่ ยบุคคลเปน็ ผู้ดูแล เก่ียวกับด้านการอบรมพนักงานทั้งหมด การท่ีผู้บริหารระดับสูงเข้ามาเก่ียวข้องกับการจูงใจและ พัฒนาพนกั งาน การจดั คนให้เขา้ กบั งาน ค่าตอบแทน การลงโทษ ฯลฯ 1.6) ทกั ษะ (Skills) หมายถงึ ความรู้ ความสามารถ ความเชยี่ วชาญ ความโดดเดน่ ในการผลติ การขาย หรอื การใหบ้ รกิ าร ถา้ มสี ง่ิ ทอี่ งคก์ ารสามารถทำ� ไดด้ กี วา่ องคก์ าร อนื่ ถอื ว่าเปน็ ความรคู้ วามสามารถของพนกั งาน เชน่ ความสามารถและทกั ษะขององคก์ ารในการ

260 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา ให้บริการลูกค้า ความสามารถในด้านวิจัยและพัฒนา ความสามารถด้านการตลาด ความสามารถ ดา้ นการเงนิ ฯลฯ 1.7) ค่านิยมร่วม (Shared values) หมายถึง ค่านิยมร่วมกันของ สมาชิกในองค์การ วัฒนธรรมขององค์การ ความเช่ือขององค์การหรือความคาดหวังขององค์การ ซึ่งค่านิยมถือเป็นหัวใจขององค์การ เพราะเป็นสิ่งที่สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใน องค์การ ค่านิยมดังกล่าวน้ี มักจะไม่ได้เขียนไว้อย่างเป็นทางการ แต่เป็นแนวคิดพ้ืนฐานของ องคก์ ารธรุ กจิ แตล่ ะแหง่ รวมทง้ั สง่ิ ทตี่ อ้ งการจะใหอ้ งคก์ ารเปน็ ในอนาคตขา้ งหนา้ องคก์ ารทม่ี คี วาม เป็นเลิศในการบริหารจะมีค่านิยมร่วมกันท่ีก่อให้เกิดปัจจัยแห่งความส�ำเร็จในการบริหารธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมนน้ั ๆ 2) การสรุปผลการวิเคราะห์ปัจจัยภายใน (Internal Factor Analysis Summary : IFAS) ให้ด�ำเนินการหลังจากทำ� การตรวจสอบสภาพแวดล้อมภายในแลว้ โดยใหน้ ำ� ข้อมูลปัจจัยท่ีเป็นจุดแข็งและจุดอ่อนมาสรุปในแบบฟอร์มท่ีเรียกว่า “ตารางสรุปผลการวิเคราะห์ ปจั จัยภายใน” หรอื เรยี กสั้น ๆ ว่า “ตาราง IFAS” โดยมขี น้ั ตอน ดังน้ี คอลมั น์ท่ี 1 ปจั จยั ภายใน (Internal Factor) บนั ทกึ รายละเอยี ดปจั จยั ภายใน ซึ่งเป็นปัจจัยที่เปน็ จุดแข็งและจุดอ่อนทีส่ ำ� คัญและมผี ลกระทบต่อองค์การ คอลมั นท์ ี่ 2 การถ่วงน�้ำหนัก (Weight) พิจารณาให้น�้ำหนักปัจจัย ภายในแตล่ ะรายการวา่ มคี วามสำ� คญั และมผี ลกระทบตอ่ องคก์ ารมากหรอื นอ้ ยเพยี งใด โดยกำ� หนด เปน็ ตวั เลขทศนยิ มซงึ่ มคี า่ ระหวา่ ง 1.00 (สำ� คญั มากทส่ี ดุ ) ถงึ 0.00 (ไมส่ ำ� คญั ) ซง่ึ นำ้� หนกั ของแตล่ ะ ปจั จัยรวมกันตอ้ งเทา่ กบั 1.00 (การใหน้ ้ำ� หนักเป็นดลุ ยพินิจของผบู้ รหิ าร) คอลมั น์ที่ 3 ระดับคะแนน (Rating) เปน็ การใหค้ ะแนนแตล่ ะปัจจัย (Factor) โดยคะแนนสงู สดุ คอื 5 (ตอบสนองได้ดีมากทส่ี ุด) และ คะแนนต�ำ่ สุด คือ 1 (ตอบสนอง ได้ดีนอ้ ยทีส่ ุด) คอลัมนท์ ่ี 4 คะแนนรวม (Score) ในแต่ละปัจจัย ให้น�้ำหนักใน คอลัมนท์ ่ี 2 คูณกบั คะแนนในคอลมั น์ที่ 3 ซ่งึ จะได้ Weighted score ในคอลัมนท์ ่ี 4 คอลัมน์ท่ี 5 ข้อเสนอแนะ(Comments) ในกรณีท่ีตอ้ งการใหเ้ หตุผล ก�ำกบั แต่ละปัจจยั นั้น ๆ ใหใ้ ช้คอลัมน์ (5) จากน้ัน ให้รวมคะแนนถ่วงน�้ำหนัก (Weighted score) ในคอลัมน์ (4) ทั้งหมด คะแนนทไ่ี ดจ้ ะบอกใหร้ วู้ า่ องคก์ ารสามารถตอบสนองตอ่ Strategic Factor ทอ่ี ยใู่ นสภาวะแวดลอ้ ม ภายนอกได้ดเี พียงใด เพอื่ ให้เห็นไดช้ ัดเจนในการสรปุ ผลการวิเคราะหป์ ัจจยั ภายในโดยน�ำข้อมูลปัจจยั ที่ เปน็ จดุ แขง็ และจดุ ออ่ นมาสรปุ ในแบบฟอรม์ ทเี่ รยี กวา่ “ตารางสรปุ ผลการวเิ คราะหป์ จั จยั ภายใน” หรอื เรยี กสน้ั ๆ ว่า “ตาราง IFAS” (IFAS table) ดงั ตัวอย่างในตารางท่ี 7.2

Research in Educational Administration • 261 ตารางที่ 7.2 สรุปผลการวเิ คราะห์ปัจจยั ภายใน ปจั จัยภายใน นำ้� หนัก อนั ดบั คะแนนรวม ขอ้ เสนอแนะ (จดุ แข็ง/จดุ อ่อน) Weight Rating Weight Score Comments Internal Factor (Strengths/ Weaknesses) จดุ แข็ง (Strengths)        1. ผู้บรหิ ารมีวิสัยทศั นก์ วา้ งไกล .25 5 1.25 ผบู้ รหิ ารองคก์ ารมี พร้อมบุคลากรท่ีมีศักยภาพ  ประสบการณ์และเป็นท่ี ยอมรบั   2. ใชเ้ ครือ่ งบนิ ใหม่ และ .25 5 1.25 ลดค่าใช้จา่ ยในการบำ� รุง มอี ปุ กรณพ์ ร้อมเทคโนโลยที ่ี รักษา ประหยัดเชือ้ เพลิง  ทนั สมยั   3. สรา้ งความสมดุลระหวา่ ง .25 5 1.25 ถึงแมจ้ ะลดต้นทุน การลดต้นทุนกบั คุณภาพในการ แต่กไ็ ม่ลดคุณภาพ บรกิ าร จดุ ออ่ น (Weaknesses)   1. ทน่ี ่งั ภายในเคร่ืองบินมี .145 3 .45 กลุ่มลูกค้าท่มี รี สนิยมสงู มากกว่าทวี่ ่างซึ่งอาจจะทำ� ให้ อาจจะไมเ่ ลอื กใชส้ าย ลูกคา้ ท่ีชอบความสบาย เลอื กใช้ การบนิ   สายการบนิ อน่ื   2. เส้นทางการบนิ น้อย .10 3 .30 เพิ่มเส้นทางสายการบิน ใหม่ คะแนนรวม (Total Scores) 1.00 ไม่ตอ้ งรวม 4.50 ตัวอย่าง การวิเคราะหป์ จั จยั ภายในองค์การโดยใช้เครื่องมอื McKinsey 7-S Framework การวิเคราะหป์ ัจจัยภายในองค์การโดยใชเ้ คร่ืองมือ McKinsey 7-S Framework เป็นส่ิง ส�ำคัญมากส�ำหรับองค์การแต่ผู้บริหารต้องมีความเข้าใจและสามารถจัดการปัจจัยภายในองค์การ ด้วยการด�ำเนินงานจึงจะบรรลเุ ป้าหมาย การวิเคราะหป์ จั จัยภายในดงั กล่าวจะได้ผลการวิเคราะห์ เป็นจุดแข็ง (Strengths) หรือจุดอ่อน (Weakness) ขององค์การ ตามกรอบแนวคิดพ้ืนฐานของ McKinsey 7 ประการ ทงั้ นเ้ี พอ่ื ทจี่ ะนำ� ผลการวเิ คราะหไ์ ปสกู่ ารกำ� หนดกลยทุ ธเ์ พอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชน์ และประสิทธภิ าพสูงสุดตอ่ การบริหารองค์การ ดังตวั อย่างการวเิ คราะหใ์ นตารางท่ี 7.3

262 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา ตารางที่ 7.3 การวเิ คราะห์ปัจจัยภายในองคก์ ารโดยใช้เครอ่ื งมอื McKinsey 7-S Framework 7-S Framework Strength Weakness 1. Structure 2. Strategy 1. โครงสรา้ งขององค์การเน้นการมีส่วนร่วม 1. การบริหารจดั การล่าชา้ ของบคุ ลากร 2. โครงสรา้ งองค์การเปน็ แบบสายการ 3. Systems 2.ขอบเขตงานและความรบั ผดิ ชอบมคี วาม บงั คบั บญั ชา ท�ำใหต้ อ้ งรอการตัดสนิ ใจจาก ชัดเจน และเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร ผู้บริหาร 1. แผนกลยทุ ธ์ขององค์การมคี วามชดั เจน 1. ขาดภาคีเครือขา่ ยในการร่วมจดั ท�ำแผน ครอบคลมุ และมีความ สอดคลอ้ งกับ 2. ตวั ช้วี ัดบางตัวไม่สามารถประเมินผลได้ ยุทธศาสตรอ์ ำ� เภอ 3. ขาดการติดตาม/ประเมินผลแผนปฏบิ ัติ 2. เจา้ หนา้ ทีม่ สี ่วนร่วมในการจดั ท�ำแผน การอยา่ งตอ่ เนอื่ ง 3. มผี รู้ ับผิดชอบหลักแตล่ ะแผนกลยทุ ธ์ 4. การปฏบิ ตั ิตามแผนไม่ครบถ้วน/ ไม่ครอบคลุมทกุ แผน 5. การจดั ท�ำแผนลา่ ช้า 1. คำ� นงึ ถึงผลประโยชนข์ องผู้รบั บริการ 1. การให้บริการยงั ไม่สามารถตอบสนอง 2. มหี ลักธรรมาภิบาล ความโปรง่ ใส ตรวจ ความต้องการ/ความคาดหวังของผู้รับ สอบได้ในการท�ำงาน บริการได้อยา่ งครบถว้ น 3. มชี ่องทางในการเขา้ ถึงระบบบรกิ าร และผู้ 2. ภาระงานมมี ากเกินไปจึงทำ� ใหง้ านหลกั มีส่วนได้สว่ นเสียสามารถเข้าถึงข้อมลู ด้านการ ไมไ่ ด้ดำ� เนินไปอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ศึกษา และเสนอขอ้ ร้องเรยี นตอ่ บคุ คล และ 3. ระบบการตดิ ตามและประเมินผล องคก์ ารได้อยา่ งเปิดเผย ไมต่ ่อเน่ือง 4. มกี ารน�ำระบบ Internet เข้ามาใช้ในการ 4. ระบบข้อมูลสารสนเทศ ด�ำเนินงาน โดยครอบคลุมทกุ พื้นท่ี 5. หนว่ ยงานขาดการวิเคราะหข์ ้อมูล พืน้ ฐานเพ่ือนำ� มาใช้ประโยชน์ 6. การบนั ทึกขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ยงั ไม่ถกู ตอ้ งและ ครบถ้วน 7. การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในการ สอื่ สารไมม่ ีประสิทธภิ าพ 8. สภาพคลอ่ งทางการเงนิ อยู่ในสภาพต่�ำ กว่าเกณฑ์ 9. การควบคุมกำ� กบั การเบิกจา่ ยเงินแผน งานหรือโครงการไมท่ นั ตามแผนงาน 10. ขาดระบบการทบทวนบทบาทหนา้ ท่ี ของบุคลากร 11. การพัฒนาคุณภาพไมต่ อ่ เน่อื ง

Research in Educational Administration • 263 4. Staff 1. บุคลากรหรือทีมงานสว่ นใหญ่ มี 1. บคุ ลากรขาดการจัดการความรู้และทักษะ 5. Skills ประสบการณ์ในการท�ำงาน รองรบั การพัฒนา 6. Style 2. ทีมงานมคี วามสามคั คี ใหค้ วามรว่ มมอื ใน 2. บุคลากรขาดขวญั และก�ำลังใจ 7. Shared values การท�ำงาน 3. ระบบการพัฒนาบคุ ลากรไม่เอ้ือต่อการ พัฒนาสมรรถนะบุคลากร 4. ขาดการวางแผนการพฒั นาบุคลากรเป็น รายบุคคลท่ที ั่วถงึ 1. บุคลากรมคี วามรู้ ทักษะและความช�ำนาญ 1. บคุ ลากรมงุ่ ทำ� งานประจำ� มากกว่าการ เหมาะสมกบั งานทร่ี ับผิดชอบ ทำ� งานแบบริเร่ิมสรา้ งสรรค์ 2. ขาดการพัฒนาศักยภาพบคุ ลากรในระดับ ปฏบิ ัติ 3. เจา้ หนา้ ท่ีขาดทกั ษะในการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ 1. ผ้บู รหิ ารรบั ฟังความคดิ เห็นของผใู้ ต้บังคบั 1. การควบคุมกำ� กบั แผนยังมีนอ้ ยเกินไป บญั ชา 2. ขาดการกระต้นุ นโยบายเชงิ รุก 2. ผ้บู รหิ ารสนับสนุนการมีส่วนรว่ มของผู้ใต้ 3. การประสานงานและการส่ือสารลา่ ชา้ ใน บังคับบญั ชา บางเรอ่ื ง 3. ผู้บรหิ ารใหค้ วามสำ� คญั กบั การพัฒนางาน 4. ผู้บรหิ ารเปน็ ตวั อยา่ งทดี่ ีในการปฏิบตั งิ าน ตามหลักธรรมาภิบาล 1. มวี สิ ยั ทัศนข์ ององค์การร่วมกนั 1. การสอ่ื สาร/ท�ำความเข้าใจยงั ไม่ทัว่ 2. ยึดประชาชนเปน็ ศนู ยก์ ลาง องคก์ าร 3. มกี ิจกรรมและรับประทานอาหารรว่ มกนั 2. การปฏบิ ัติของบคุ ลากรตามค่านยิ ม/ วฒั นธรรมองค์การไมค่ รอบคลุม 3. ขาดการกระตุ้นจากหัวหน้าอย่างต่อเนื่อง 4. ขาดสโลแกนในการท�ำงานร่วมกนั 3) การวิเคราะห์ปจั จยั ภายนอกองค์การ (O : โอกาส /T : อปุ สรรค) เป็นการ วเิ คราะหป์ จั จัยภายนอกองคก์ ารแบบมหภาค (External analysis) ด้วยเครอ่ื งมอื PEST Framework หรอื PEST Analysis ซึ่งเป็นเครอื่ งมอื ตัวหน่ึงในการวิเคราะห์ปจั จัยภายนอกของ Aguilar (1967) โดยหากเขา้ ไปดูใน SWOT แล้วจะท�ำใหท้ ราบวา่ PEST เปน็ การวิเคราะหใ์ นปัจจัยของโอกาส (O) และอุปสรรค (T) ซ่ึงปจั จัยทงั้ สองนีเ้ ราไมส่ ามารถควบคมุ ได้ แต่เราสามารถน�ำข้อมลู มาประกอบ เพอ่ื นำ� ไปวิเคราะหห์ าวธิ กี ารในการตงั้ รบั หรือเสรมิ สร้างโอกาสให้กบั กิจการของเราได้ โดยอาศยั เครอื่ งมอื PEST Framework หรือ PEST Analysis ดังแสดงในภาพที่ 7.2

264 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา ภาพท่ี 7.2 PEST Framework หรือ PEST Analysis Source. Aguilar (1967) จากภาพที่ 7.2 ขา้ งต้น จะเห็นวา่ PEST Framework หรือ PEST Analysis ประกอบ ด้วย P - Political, E - Economic, S - Social และ T - Technological ซ่ึงเป็นการวิเคราะห์ ในปัจจัยของโอกาส (O) และอปุ สรรค (T) ของ SWOT น่นั เอง โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี P - Political  เป็นปัจจัยทางการเมอื ง เชน่ การก�ำหนดนโยบายตา่ ง ๆ ของภาครฐั การเดนิ ขบวนประทว้ ง ฯลฯ ซงึ่ ปจั จยั ดงั กลา่ ว เปน็ ปญั หาทส่ี ง่ ผลกระทบตอ่ การบรหิ าร หรือสง่ ผลกระทบต่อผลประกอบการขององคก์ าร E - Economic เป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจโลก ชะลอตัว ปัญหาเงินเฟ้อ เงนิ ฝดื หรอื ราคาพชื ผลทางการเกษตรตกต�ำ่ ฯลฯ ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอก ทีไ่ ม่สามารถควบคมุ ได้ แตส่ ง่ ผลกระทบโดยตรงตอ่ องค์กรธุรกิจ S - Social ปัจจัยทางสังคม หรือวัฒนธรรม เช่น ปัจจุบันเทรนด์ รกั สขุ ภาพมแี นวโน้มสูงขึน้ คนหันมาใหค้ วามส�ำคัญกบั เรอื่ งการอนุรักษ์ เลือกใช้สนิ คา้ ท่ีบรรจุอยู่ ในหีบห่อหรือกล่องกระดาษที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือพฤติกรรมของบุคคลมีการเดินทาง ท่องเที่ยวไปต่างประเทศสูงขึน้ ฯลฯ T - Technological ปัจจัยทางเทคโนโลยี เช่น การพัฒนาของ เทคโนโลยตี า่ งๆการพฒั นาของระบบขนสง่ การสอ่ื สารและเครอื ขา่ ยทางสงั คม(SocialNetwork)ฯลฯ 4) การสรุปผลการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก (External Factors Analysis Summary : EFAS) คือ การน�ำข้อมูลจากการตรวจสภาพแวดล้อมปัจจัยภายนอก (ด้วยวิธีอะไร

Research in Educational Administration • 265 กต็ าม) สรปุ ลงใน “ตารางสรุปผลการวิเคราะห์ปจั จยั ภายนอก” หรอื เรยี กสนั้ ๆ ว่า “ตาราง EFAS” เพ่อื เปรยี บเทียบว่า ปจั จัยภายนอกแต่ละด้าน (ทส่ี ำ� คญั ไมเ่ ทา่ กนั ) มผี ลกระทบและสำ� คญั มากน้อย แค่ไหน เพ่ือหาจดุ ท่ีตอ้ งแก้ไขต่อไป โดยมีขัน้ ตอน ดงั น้ี คอลมั นท์ ่ี 1 ปัจจัยภายนอก (External Factors) ซ่ึงเป็นปัจจัยที่เป็น โอกาสและอุปสรรคท่สี ำ� คญั และมีผลกระทบต่อองค์การ คอลมั น์ที่ 2 น�้ำหนัก (Weight) แสดงวา่ รายการแต่ละรายการมคี วาม ส�ำคญั มากนอ้ ยแค่ไหน โดยใสเ่ ป็นเลขต้งั แต่ 0.00 (ไมส่ ำ� คัญ) ไปจนถึง 1.00 (ส�ำคัญสดุ ) แตผ่ ลรวม ของคอลัมน์ “นำ้� หนกั ” จะต้องเทา่ กับ 1.00 คอลัมน์ที่ 3 ระดบั คะแนน (Rating) เป็นการให้คะแนน 1 ถงึ 5 ตาม ดลุ ยพนิ ิจ กรณอี ุปสรรคให้คดิ ว่า จาก 1-5 องคก์ ารรบั มือไดด้ แี คไ่ หน  สว่ นโอกาสจากคะแนน 1-5 องค์การใชป้ ระโยชน์จากโอกาสน้ันได้มากแคไ่ หน คอลัมน์ที่ 4 คะแนนรวม (Score) มาจากการน�ำเลขจากคอลัมน์ น�้ำหนัก x ระดับ (น้�ำหนกั คูณระดับ) คอลัมน์ท่ี 5 ข้อเสนอแนะ (Comments) หากต้องการให้เหตุผล ปัจจัยนน้ั ๆ จากน้ัน ให้รวมคะแนนถ่วงน�้ำหนัก (Weighted score) ในคอลัมน์ (4) ท้ังหมด คะแนนที่ได้จะบอกให้รู้ว่า องค์การสามารถใช้ประโยชน์และได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก แตล่ ะอย่างมากน้อยแค่ไหน เพื่อใหเ้ ห็นได้ชัดเจนในการสรุปผลการวิเคราะหป์ ัจจัยภายนอกโดยนำ� ข้อมูลปจั จยั ท่ี เปน็ โอกาสและอปุ สรรคมาสรปุ ในแบบฟอรม์ ทเี่ รยี กวา่ “ตารางสรปุ ผลการวเิ คราะหป์ จั จยั ภายนอก” หรือเรยี กสน้ั ๆ ว่า “ตาราง EFAS” (EFAS table) ดังตัวอย่างในตารางท่ี 7.4 ตารางท่ี 7.4 สรปุ ผลการวิเคราะหป์ ัจจยั ภายนอก ปจั จยั ภายนอก น้ำ� หนัก อนั ดบั คะแนนรวม ขอ้ เสนอแนะ (โอกาส/อปุ สรรค) Weight Rating Weight Score Comments External Factor (Opportunities / Threats)        0.10 3 0.30 มีกลุม่ เปา้ หมายมากข้นึ โอกาส Opportunities 1.ปัจจุบนั ประชาชนทุกเพศ ทุกวยั ใสใ่ จกบั การศึกษาผา่ นสอื่ ออน์ไลน์ ด้วยตนเอง

266 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา 2. ปัจจุบันเกดิ กระแสทำ� ให้ 0.15 5 0.75 มโี อกาสทำ� หลักสตู ร ประชาชน/นกั ศกึ ษาชอบศึกษาใน 0.20 4 E-Learning ใหม่ ๆ ออกสู่ หลกั สูตรทีจ่ ัดผา่ นระบบ E-Learning   ตลาดการศึกษา 3. นักศกึ ษามีทศั นคตทิ ีด่ ีตอ่ การศกึ ษา   2 ในมหาวิทยาลยั ทางพระพทุ ธศาสนา 0.15 3 0.80 มฐี านนกั ศกึ ษาท่เี ข้มแข็ง 0.20    อปุ สรรค 3 Threats 0.20 0.30 ส่วนแบง่ ทางการตลาดการ 1. มีคู่แขง่ เขา้ มาในตลาดการจัดการ ไมต่ อ้ งรวม ศึกษาลดลง ศึกษาแบบผ่านระบบออนไลน์มากขึน้ 1.00 2. การแขง่ ขนั สูงมาก จึงท�ำให้ 0.60 เกิดตน้ ทนุ ในการท�ำ หลาย ๆ หลกั สตู รท่จี ัดการศกึ ษาผา่ น ประชาสมั พันธเ์ พอ่ื แข่งขนั ระบบ E-Learning ตอ้ งลด ค่าเล่าเรียนลง 0.60 ท�ำให้เกิดเสยี เปรียบตอ่ 3. มจี �ำนวนหลายมหาวิทยาลัยที่ มหาวทิ ยาลยั ขนาดใหญแ่ ละ จดั การศึกษาในลักษณะเดียวกบั มชี ่อื เสยี ง มหาวทิ ยาลยั ทางพระพทุ ธศาสนา จงึ ทำ� ใหน้ กั ศึกษาสนใจไปสมคั รเขา้ 3.35 ศึกษา เพราะเปน็ มหาวิทยาลยั ขนาดใหญ่ มชี ือ่ เสยี ง และค่าเล่าเรียน ใกล้เคยี งกนั รวม จากตารางที่ 7.4 สรุปผลการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก จะท�ำให้เห็นว่า องค์การสามารถ ใช้ประโยชน์และไดร้ บั ผลกระทบจากปัจจยั ภายนอกแต่ละอย่างมากน้อยแค่ไหน และจะท�ำให้เหน็ ชัดเจนว่า ปัจจัยใดเปน็ เร่อื งทจ่ี ะตอ้ งปรับปรุง (จากคะแนน และนำ�้ หนักของปัจจัยนั้น ๆ) ตวั อยา่ ง การวิเคราะห์ปจั จยั ภายนอกด้วยเคร่ืองมอื PEST Framework หรือ PEST Analysis การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกด้วยเคร่ืองมือ PEST Framework หรือ PEST Analysis ประกอบด้วย P - Political,  E - Economic,  S - Social และ T - Technological  ซ่ึงเป็น การวิเคราะห์ในปัจจัยของโอกาส (O) และอุปสรรค (T) ของ SWOT อาจแสดงให้เห็นได้ชัดเจน ดังปรากฏในตารางที่ 7.5

Research in Educational Administration • 267 ตารางที่ 7.5 การวิเคราะห์ปัจจยั ภายนอกด้วยเครอ่ื งมือ PEST Framework หรือ PEST Analysis PEST Framework Opportunities Threat 1. Political 1. มีนโยบายดา้ นการศึกษาทที่ ำ� ให้ 1. นโยบายเร่งด่วนท่ปี ระกาศไม่ไดอ้ ยูใ่ นแผน 2. Economic ประชาชนสามารถเขา้ ถึงบรกิ ารการศกึ ษา ยุทธศาสตร์ และมีมาเรอ่ื ย ๆ เพ่มิ ภาระงาน ได้ง่าย 2. ตัวช้วี ดั มีความหลากหลายในงานเดยี วกัน 3. Social 2. มนี โยบายและมีการประกาศชัดเจน และมเี จา้ ภาพหลายกรมกอง 4. Technological โดยให้ความสำ� คัญกับนโยบาย 3. นโยบายขึ้นอยูก่ ับนักการเมอื ง จงึ ทำ� ใหม้ ี 3. มีการจัดสรรงบประมาณเพิม่ เติม การเปล่ยี นแปลงบ่อย - ประชาชนหรอื นกั ศกึ ษาสามารถเข้าถึง 1. คา่ ครองชพี สูงข้นึ สง่ ผลให้ต้นทนุ บรกิ าร บรกิ ารด้านการศกึ ษาไดง้ ่าย เพราะคา่ ใช้ ดา้ นการศกึ ษาสงู ขน้ึ จ่ายถูก 2. นโยบายยุบโรงเรยี นขนาดเลก็ และลด การบรรจคุ รู ทำ� ใหเ้ พ่มิ ภาระงานสอนและ ขาดแคลนครผู สู้ อน 3. ประชาชนสว่ นใหญ่มีอาชพี เกษตรกรรม รับจ้าง และทำ� งานโรงงาน ทำ� ใหม้ ีปัญหาใน การดำ� เนนิ งานบริการด้านการศึกษาเชงิ รุกใน ชมุ ชน 4. ประชาชนสว่ นใหญใ่ หค้ วามสนใจเรอ่ื งการ ประกอบอาชพี มากกว่าเร่ืองการศกึ ษา 1. เปน็ ระบบสงั คมทมี่ คี วามสมั พนั ธภาพ 1. มแี รงงานยา้ ยถนิ่ และตา่ งด้าวเขา้ มาในพืน้ ที่ ทดี่ ี 2. มีค่านิยมดา้ นการศกึ ษาผา่ นระบบออนไลน์ 2. มีวัฒนธรรม ความเช่ือ และรูปแบบใน โดยขาดการกลั่นกรองข้อมูลและเลือกใช้ การดำ� เนนิ ชีวิตแบบเดยี วกัน บรกิ ารการใหข้ อ้ มูลทางการศึกษาแบบ - มคี า่ นยิ มดา้ นการศึกษาผ่านระบบ โฆษณาเกินจรงิ ออนไลน์มากขน้ึ 3. การแพรร่ ะบาดของยาเสพติด 4.วัยรนุ่ มีคา่ นิยมดา้ นวตั ถเุ พมิ่ มากขนึ้ มี พฤติกรรมการลอกเลียนแบบท่ไี มเ่ หมาะสม เช่น การใชโ้ ทรศัพท์มือถือราคาแพง ๆ การมี เพศสมั พนั ธก์ อ่ นวัยอนั ควร ฯลฯ 1. ระบบ IT มีความทนั สมยั ขึน้ และ 1. มกี ารนำ� เทคโนโลยมี าใช้ในทางท่ีไมถ่ กู ต้อง ครอบคลมุ ทุกพ้นื ที่ 2. สอ่ื เผยแพรข่ อ้ มลู บางอยา่ งท่สี ่งเสริมใหเ้ กิด 2. ประชาชนสามารถเขา้ ถึงข้อมูลขา่ วสาร พฤตกิ รรมที่ไมเ่ หมาะสม ดา้ นการศกึ ษามากขน้ึ 3. มกี ารใช้ช่องทางสือ่ ในการโฆษณาเก่ยี วกบั 3. มชี อ่ งทางหลายชอ่ งทางในการรับสง่ การใหบ้ ริการด้านการศกึ ษาเกินจรงิ มากขน้ึ ขอ้ มลู 4. ขาดการตรวจสอบขอ้ มูลดา้ นการให้บริการ ดา้ นการศึกษา 4.3.2 การสร้างกลยุทธ์ (Formula)  หมายถงึ   การวเิ คราะห์ TOWS Matrix เพื่อก�ำหนด กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับองค์การในแต่ละรูปแบบหรือสถานการณ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนต่อจากการ วิเคราะหส์ ภาพแวดลอ้ มภายในและภายนอกองค์การหรือ SWOT Analysis 

268 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา ค�ำว่า TOWS Matrix นั้น มีท่ีมาจากค�ำว่า SWOT ที่กลับหลัง ซึ่งเป็นการน�ำ จุดแข็ง จดุ ออ่ นโอกาสและอปุ สรรค ทไ่ี ดจ้ ากกระบวนการวเิ คราะหส์ ภาพแวดลอ้ มภายนอกและภายในของ องคก์ าร (SWOT Analysis) มาทำ� การจับคู่ (Matching) เข้าด้วยกัน โดยที่สามารถแบ่งรปู แบบการ จับคูก่ ลยุทธข์ อง TOWS ออกเป็น กลยุทธ์เชิงรุก (SO) กลยทุ ธเ์ ชงิ แก้ไข (WO) กลยุทธ์เชงิ ป้องกัน (WT) และกลยุทธเ์ ชงิ รับ (ST) น่นั คอื ท�ำ SWOT ก่อน แล้วจงึ กลับหลงั จาก SWOT เปน็ TOWS (ท�ำ SWOT ก่อน ท�ำ TOWS ภายหลัง) ซึ่งหมายความว่า ก่อนที่เราจะท�ำการวิเคราะห์ TOWS Matrix ได้น้ัน จ�ำเป็นจะต้องผ่านการวิเคราะห์  SWOT ให้ดีเสียก่อน ดังนั้น การสร้างกลยุทธ์ จึงประกอบด้วยการจบั คู่ (Matching) ประเดน็ กลยทุ ธ์จากการวิเคราะห์ 4 คู่ ตอ่ ไปน้ี ลงในตาราง TOWS Matrix ดังแสดงในตารางที่ 7.6 1) การสร้างกลยทุ ธ์ SO :  กลยุทธ์เชิงรุก   ใชจ้ ุดแขง็ สรา้ งโอกาส 2) การสร้างกลยุทธ์ WO : กลยุทธ์เชิงแก้ไข เอาชนะจดุ อ่อนโดยอาศยั โอกาส 3) การสรา้ งกลยทุ ธ์ ST : กลยทุ ธเ์ ชิงปอ้ งกนั ใช้จดุ แขง็ หลกี เล่ยี งอปุ สรรค 4) การสร้างกลยทุ ธ์ WT : กลยทุ ธเ์ ชิงรบั   ลดจดุ ออ่ นและหลกี เลี่ยงอปุ สรรค   ตารางที่ 7.6 การจบั ค่ปู ระเดน็ กลยทุ ธ์จากการวิเคราะหล์ งตาราง TOWS Matrix            ปัจจัยภายใน/ S W ปัจจัยภายนอก SO : กลยทุ ธ์เชิงรุก WO : กลยุทธเ์ ชิงแก้ไข O ใช้จดุ แขง็ สรา้ งโอกาส เอาชนะจดุ อ่อนโดยอาศัยโอกาส ST : กลยทุ ธเ์ ชิงปอ้ งกนั T ใชจ้ ุดแข็งเพื่อหลกี เลี่ยงอปุ สรรค WT : กลยุทธ์เชงิ รบั ลดจุดอ่อนและหลกี เลี่ยงอปุ สรรค จากตารางท่ี 7.6 จะเห็นว่า รูปแบบกลยุทธ์ของตาราง TOWS Matrix มี 4 คู่ ประกอบ ไปดว้ ยกลยุทธ์ ดงั ต่อไปน้ี 1) กลยุทธ์เชิงรุก (SO Strategy) เป็นกลยุทธ์ที่เกิดจากการจับคู่ระหว่างสภาพ แวดลอ้ มภายในทางบวก คอื จดุ แขง็ (Strength) และสภาพแวดล้อมภายนอกทางบวก คือ โอกาส (Opportunity) ซึ่งก็คือการใช้จุดแข็งข้อได้เปรียบของเราผสมกับโอกาสท่ีดีเพ่ือน�ำมาก�ำหนด เปน็ กลยทุ ธ์เชิงรกุ 2) กลยุทธ์เชิงแก้ไข (WO Strategy) เป็นกลยุทธ์ท่ีเกิดจากการจับคู่ระหว่าง สภาพแวดล้อมภายในทางลบ คือ จุดอ่อน (Weakness) และสภาพแวดล้อมภายนอกทางบวก (Opportunity) ซ่ึงก็คือ การใช้ประโยชน์จากโอกาสเพ่ือมาปิดจุดอ่อนจุดด้อยขององค์การหรือ ท�ำใหจ้ ดุ อ่อนน้ันลดลง

Research in Educational Administration • 269 3) กลยทุ ธเ์ ชิงปอ้ งกนั (ST Strategy) เปน็ กลยุทธท์ ่ีเกดิ จากการจับครู่ ะหวา่ งสภาพ แวดล้อมภายในทางบวก คือ จุดแข็ง (Strength) และสภาพแวดล้อมภายนอกทางลบ (Threat) เป็นการน�ำจุดแข็งข้อได้เปรียบขององค์การมาป้องกันอุปสรรคซึ่งก็คือ เป็นการใช้จุดแข็งเพื่อ หลกี เลย่ี งอปุ สรรค 4) กลยุทธ์เชิงรับ (WT Strategy) เป็นกลยุทธ์ที่เกิดจากการจับคู่ระหว่างสภาพ แวดลอ้ มภายในทางลบ คอื จุดออ่ น (Weakness) และสภาพแวดล้อมภายนอกทางลบ คอื อุปสรรค (Threat) เปน็ กลยทุ ธเ์ พอื่ การลดจดุ ออ่ นและหลกี เลย่ี งภยั คกุ คามโดยมเี ปา้ หมายหลกั คอื การปอ้ งกนั หรือหลีกเลยี่ งให้สถานการณ์ขององคก์ ารไมแ่ ย่ไปกวา่ เดมิ กล่าวโดยสรุป จะเห็นได้ว่าการวิเคราะห์และจัดท�ำกลยุทธ์ TOWS น้ันช่วยให้องค์การ สามารถก�ำหนดกลยุทธ์ท่ีเหมาะสมกับองค์การในแต่ละรูปแบบหรือสถานการณ์ได้ดี ทั้งในส่วน ของกลยุทธ์เชงิ รกุ (S+O) กลยุทธ์เชงิ แก้ไข (W+O) กลยทุ ธ์เชงิ ป้องกัน (S+T) และกลยุทธเ์ ชิงรบั (W+T) ซึ่งในแต่ละรูปแบบกลยุทธ์ เราสามารถมีได้หลายกลยุทธ์จากปัจจัยภายนอกและภายใน ขององค์การที่ถูกระบุไว้ก่อนหน้า (SWOT Analysis) ถือว่าเป็นจุดชี้เป็นช้ีตายเลยก็ว่าได้ เน่ืองจากเปน็ ตัวตั้งตน้ ทจี่ ะน�ำมาจบั คู่กลยทุ ธ์นัน่ เอง ตวั อย่างการสร้างกลยุทธ์ ในสว่ นนี้ เป็นตัวอยา่ งในการสร้างกลยุทธ์จำ� นวน 4 คู่ ประกอบไปดว้ ย 1) กลยทุ ธ์ SO (การใช้จุดแข็งสร้างโอกาส) 2) กลยุทธ์ ST (การใช้จุดแข็งหลีกเล่ียงอุปสรรค) 3) กลยุทธ์ WO (เอาชนะจุดอ่อนโดยอาศัยโอกาส) และ 4) กลยุทธ์ WT (ลดจุดอ่อนและหลีกเล่ียงอุปสรรค) ดังตัวอยา่ งในตารางที่ 7.7- 7.10 ตารางที่ 7.7 กลยทุ ธ์ SO (การใช้จุดแขง็ สร้างโอกาส) Strength (จดุ แข็ง) Opportunities (โอกาส) SO Strategies S1 แผนกลยทุ ธ์ขององคก์ ารมี O1 มีนโยบายด้านการศกึ ษาท้งั S4,5 O3,4 เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการ ความชดั เจนและสอดคลอ้ งกับ ระดับประเทศและระดบั ทอ้ งถิ่นท่ี ใชร้ ะบบเทคโนโลยีสารสนเทศใน ยุทธศาสตรจ์ งั หวัด ทำ� ใหป้ ระชาชนเข้าถึงบริการไดง้ า่ ย การใหบ้ รกิ ารดา้ นการศกึ ษาใหม้ ี S2 โครงสร้างองค์การมี O2 ชมุ ชนเป็นระบบสังคมท่มี ีความ ประสทิ ธภิ าพ ขอบเขตงาน รับผิดชอบชัดเจน สมั พันธภาพทีด่ ตี ่อกัน มีวัฒนธรรม S2,6 O5 เพ่มิ ประสิทธภิ าพ และเปน็ ลายลักษณ์อกั ษร ความเชอ่ื และรปู แบบในการด�ำเนนิ โครงสรา้ ง และเครอื ขา่ ยด้านการ S3 ระบบงานคำ� นึงถงึ ผล ชวี ติ แบบเดยี วกัน ศกึ ษาเชิงรุกในชุมชน ประโยชน์ของผรู้ ับบรกิ าร O3 มีคา่ นยิ มการใช้บริการด้านการ S7,8 O1,2 ขบั เคลอ่ื นการดำ� เนนิ งาน ยึดหลกั ธรรมาภิบาล ความ ศึกษาผา่ นระบบออนไลนม์ ากขึ้น ของภาคเี ครือข่ายเพอื่ นำ� ไปสศู่ นู ย์ โปร่งใส และตรวจสอบได้ เรยี นร้รู ะบบด้านการศึกษาชุมชน

270 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา S4 มชี ่องทางในการเขา้ ถึง O4 ประชาชนมคี วามร้มู ากขนึ้ บริการด้านการศึกษา สามารถใช้ระบบเทคโนโลยี S5 มีการนำ� เทคโนโลยสี าร สารสนเทศทีท่ นั สมยั ซ่ึงมอี ยู่ สนเทศมาใชใ้ นการดำ� เนินงาน ครอบคลุมทุกพืน้ ท่ี และสามารถเขา้ และครอบคลุมทกุ พน้ื ท่ี ถึงขอ้ มูลดา้ นการศกึ ษาไดม้ ากขนึ้ S6 บุคลากรมคี วามรู้ ทักษะ ผ่านหลายชอ่ งทาง และความชำ� นาญเหมาะสมกบั O5 มเี ครือขา่ ยการสร้างเสริมด้าน งานทรี่ ับผดิ ชอบ การศกึ ษา และการดูแลดา้ นการศึกษา S7 ทมี งานและองค์การมวี สิ ัย ในชมุ ชน ทศั น์ร่วมกัน มีความสามัคคี O6 สภาพทางดา้ นภูมิศาสตรม์ ี และใหค้ วามรว่ มมอื ในการ ทรัพยากรทางธรรมชาตทิ เี่ ปน็ แหลง่ ทำ� งาน ท่องเทย่ี ว S8 ผ้บู ริหารให้ความสำ� คญั O7 ประชาชนมสี ทิ ธอิ์ ื่น ๆ เช่น การ กบั การพัฒนางาน สนับสนนุ ไม่ต้องจ่ายคา่ เล่าเรียนบตุ รธดิ าตาม รบั ฟังความ คดิ เหน็ และเป็น นโยบายเรียนฟรี โรงเรยี นรองรบั การ ตัวอยา่ งทด่ี ใี นการปฏิบตั ิงาน ใหบ้ รกิ ารด้านสุขภาพ ฯลฯ ตารางท่ี 7.8 กลยุทธ์ ST (การใชจ้ ุดแขง็ หลกี เลีย่ งอุปสรรค) Strength (จดุ แขง็ ) Threat (ภยั คกุ คาม) ST Strategies S1 แผนกลยทุ ธข์ ององค์การมี T1 นโยบายขึ้นอยกู่ ับนักการเมือง S3,5,7,8 T4,5,6,7 พฒั นาเครือขา่ ย ความชัดเจนและสอดคลอ้ งกับ ทำ� ใหม้ ีการเปลยี่ นแปลงบอ่ ย เฝ้าระวัง/ตรวจสอบค้มุ ครองผูใ้ ช้ ยทุ ธศาสตร์จงั หวดั ตวั ช้วี ัดมคี วามหลากหลายในงาน บริการดา้ นการศกึ ษาและสร้างความ S2 โครงสร้างขององคก์ ารมี เดยี วกนั และมนี โยบายเรง่ ด่วนเข้า เขา้ ใจการใชบ้ ริการด้านการศึกษาที่ ขอบเขตงานและความรบั ผดิ ชอบ มาเร่ือย ๆ ท�ำให้เพม่ิ ภาระงาน ถกู ตอ้ ง เหมาะสม (การเผยแพร่ผ่าน ชดั เจนและเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร T2 นโยบายขาดการบังคับใช้ ส่ือสารสนเทศ) S3 ระบบงานคำ� นึงถึงผล กฎหมายด้านการศกึ ษาอยา่ งจรงิ จัง S1,4,8 T8,9,10 พฒั นาระบบเฝ้าระวงั ประโยชนท์ แ่ี ทจ้ รงิ ของผู้รับ T3 มีแรงงานย้ายถนิ่ เขา้ มารบั ป้องกนั และให้ความรู้เก่ยี วกับโรคที่ บรกิ าร ยึดหลักธรรมาภบิ าล บรกิ ารในพื้นที่ จงึ ท�ำให้เพิม่ ภาระ ถูกตอ้ งแกช่ มุ ชนอยา่ งมีประสิทธภิ าพ ความโปรง่ ใส และตรวจสอบได้ งาน การใชท้ รัพยากร ต้นทนุ การ S4 มชี ่องทางในการเขา้ ถึง ใหบ้ รกิ าร และเกดิ โรคยา้ ยถน่ิ บรกิ ารด้านการศกึ ษา T4 ประชาชนใหค้ วามส�ำคญั เรือ่ ง S5 มีการน�ำเทคโนโลยีสาร การประกอบอาชพี มากกว่าเรอื่ ง สนเทศมาใช้ในการด�ำเนินงาน การศึกษา ท�ำใหส้ ง่ ผลตอ่ การให้ และครอบคลมุ ทุกพ้ืนที่ บรกิ ารเชงิ รกุ

Research in Educational Administration • 271 S6 บุคลากรมีความรู้ ความ T5 ชุมชนมีการเปล่ยี นวถิ ีชีวติ สามารถ และทักษะความ พฤตกิ รรม ค่านยิ มการศึกษา ชำ� นาญเหมาะสมกบั งานท่ี หาความรู้ผา่ นระบบออนไลน์ รบั ผดิ ชอบ และการเลอื กซ้ือบริการด้านการ S7 ทีมงานและองค์การมีวิสยั ศึกษาผา่ นส่ือโฆษณา กอ่ ใหเ้ กดิ ทัศนร์ ว่ มกัน มคี วามสามคั คี พฤตกิ รรมเสยี่ งตอ่ การถกู หลอกลวง และใหค้ วามร่วมมอื ในการ T6 วยั รนุ่ มคี า่ นยิ มดา้ นวตั ถมุ าก ทำ� งาน ขน้ึ มีพฤตกิ รรมการลอกเลยี นแบบ S8 ผู้บริหารองคก์ ารให้ความ ทไี่ มเ่ หมาะสม เชน่ การใชโ้ ทรศพั ท์ สำ� คัญกบั การพัฒนางาน มอื ถอื ทมี่ รี าคาแพง ๆ การมีเพศ สนับสนนุ การมี สว่ นรว่ ม สมั พันธก์ ่อนวยั อนั ควร ฯลฯ รับฟงั ความคดิ เห็น และเปน็ T7 มีชอ่ งทางการโฆษณาเรือ่ งการ ตัวอย่างที่ดใี นการปฏบิ ัติงาน ให้ บรกิ ารด้านการศึกษาท่ีเกินจริง และขาดวธิ ีการตรวจสอบข้อมูล ก่อนการนำ� เสนอขอ้ มูลบนสอ่ื T8 พื้นทส่ี ่วนใหญเ่ ปน็ พืน้ ทท่ี าง การเกษตร รบั จา้ ง และทำ� งานใน โรงงาน ส่งผลต่อการขาดการให้ ความสำ� คัญทางดา้ นการศกึ ษา T9 ประชาชนมคี วามรดู้ ้านสิทธ์ิ ในการรบั บรกิ ารทางดา้ นการศึกษา มากขึน้ ท�ำให้เกดิ ความคาดหวัง และเรยี กรอ้ งสทิ ธิ์มากขึน้ T10 ประชาชนขาดความตระหนกั ในการปอ้ งกนั และคดั กรองโรค ยา้ ยถิ่น ตารางท่ี 7.9 กลยุทธ์ WO (เอาชนะจุดอ่อนโดยอาศยั โอกาส) Weakness (จุดอ่อน) Opportunities (โอกาส) WO Strategies W1 ภาระงานมาก ทำ� ให้ขาด O1 มีนโยบายการให้บริการด้าน W1 O1,5,7 พฒั นาคณุ ภาพระบบ การน�ำแผนงานมาใช้ในการ การศึกษาทั้งระดับประเทศและ บรกิ ารและการเขา้ ถึงบริการดา้ นการ ปฏบิ ตั ิงานอยา่ งจริงจังและ ระดบั ท้องถิ่นท่ีท�ำให้ประชาชนเขา้ ศึกษาผา่ นระบบออนไลน์ การตดิ ตามประเมินผลการ ถึงบรกิ ารได้งา่ ย W1,2,3,5,6,7,8,9 O3,4,5,7 พัฒนา ดำ� เนนิ งานตามแผนยงั ขาด O2 ชุมชนเปน็ ระบบสังคมที่มี ศักยภาพและสรา้ งขวญั กำ� ลงั ใจทมี ความต่อเนื่อง ความสมั พนั ธภาพทีด่ ตี ่อกนั มี งานด้านการใหบ้ ริการการศึกษาและ W2 โครงสรา้ งขององค์การ วฒั นธรรม ความเชือ่ และรปู แบบ ภาคีเครอื ขา่ ยท่ีเก่ยี วข้อง

272 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา ยงั ขาดการทบทวนบทบาท ในการด�ำเนนิ ชวี ิตแบบเดยี วกนั หนา้ ที่ของบคุ ลากร O3 มคี า่ นยิ มการใชบ้ ริการการ W3 การใหบ้ รกิ ารทางดา้ น ศึกษาผา่ นระบบออนไลนม์ ากขึน้ การศึกษาไม่เป็นไปตามความ O4 ประชาชนมคี วามรู้มากขนึ้ คาดหวงั ของประชาชน มีความสามารถใช้เทคโนโลยี W4 การใช้ระบบขอ้ มลู และ สารสนเทศท่ีทันสมัย ซึง่ มอี ยู่ เทคโนโลยีสารสนเทศยงั ขาด ครอบคลมุ ทกุ พืน้ ท่ี และสามารถ ประสทิ ธิภาพ เขา้ ถงึ ขอ้ มูลด้านการศกึ ษาไดม้ าก W5 ระบบการบรหิ ารดา้ น ข้ึนผ่านหลายช่องทาง การเงนิ การคลงั ยงั ขาด O5 มีเครอื ขา่ ยการสรา้ งเสรมิ ประสิทธิภาพ (ขาดสภาพ ความร/ู้ การศกึ ษาและการดแู ลดา้ น คลอ่ ง การใชเ้ งนิ ไมเ่ ป็นไป การศึกษาในชมุ ชน ตามแผน) O6 สภาพทางด้านภูมศิ าสตรม์ ี W6 การพฒั นาคุณภาพ ทรพั ยากรทางธรรมชาติทเี่ ปน็ การใหบ้ รกิ ารด้านการศึกษา แหลง่ ท่องเที่ยว ไม่ต่อเนื่อง O7 ประชาชนมีสิทธิ์อื่น ๆ เช่น W7 ขาดการวางแผนการ การไม่ตอ้ งจ่ายค่าเลา่ เรียนบุตรธิดา พัฒนาบคุ ลากรเพ่อื รองรับ ตามนโยบายเรยี นฟรีของรัฐบาล และการสร้างขวัญกำ� ลังใจ โรงเรยี นรองรับ การใหบ้ ริการ บุคลากร (อตั ราก�ำลงั ด้านการศกึ ษา สมรรถนะ ทกั ษะ การใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศ) W8 การถ่ายทอดข้อมูล/ ขา่ วสารของเจา้ หนา้ ท่ขี าด ประสทิ ธภิ าพ W9 ขาดคา่ นยิ มการท�ำงาน ขององค์การ (สโลแกน) W10 ขาดการกระตุ้นหรือ การสนบั สนุนการท�ำงานเชิง สรา้ งสรรค์ (นวัตกรรม) ตารางท่ี 7.10 กลยุทธ์ WT (ลดจดุ อ่อนและหลกี เล่ยี งอปุ สรรค) Weakness (จุดอ่อน) Threat (ภัยคุกคาม) WT Strategies W1 ภาระงานมาก ท�ำให้ขาด T1 นโยบายข้ึนอยู่กบั นกั การเมอื ง W1,2, T1, พฒั นาระบบนเิ ทศ การนำ� แผนงานมาใชใ้ นการ ท�ำใหม้ กี ารเปล่ียนแปลงบ่อย ตวั ชวี้ ัด ตดิ ตามประเมินผลการด�ำเนินงาน ปฏิบตั งิ านอย่างจริงจงั และการ มคี วามหลากหลายในงานเดยี วกนั และ ใหม้ ีประสิทธิภาพ

Research in Educational Administration • 273 ตดิ ตามประเมินผลการด�ำเนิน มนี โยบายเร่งดว่ นเขา้ มาเร่อื ย ๆ งานตามแผนยงั ขาดความตอ่ ทำ� ใหเ้ พิม่ ภาระงาน เน่อื ง T2 นโยบายขาดการบังคบั ใช้ W2 โครงสร้างขององค์การ กฎหมายดา้ นการศกึ ษาอยา่ งจรงิ จงั ยงั ขาดการทบทวนบทบาท T3 มแี รงงานย้ายถิน่ เขา้ มารบั หน้าทขี่ องบุคลากร บริการในพืน้ ที่ จงึ ทำ� ใหเ้ พ่ิมภาระ W3 การใหบ้ ริการไม่เป็น งาน การใชท้ รพั ยากร และต้นทนุ ไปตามความคาดหวังของ การให้บรกิ าร และเกดิ โรคย้ายถนิ่ ประชาชน T4 ประชาชนใหค้ วามส�ำคญั เรอื่ ง W4 การใชร้ ะบบขอ้ มลู และ การประกอบอาชพี มากกว่าเร่ืองการ เทคโนโลยสี ารสนเทศยงั ขาด ศกึ ษา ทำ� ใหส้ ง่ ผลต่อการให้บริการ ประสิทธภิ าพ เชงิ รุก W5 ระบบการบริหารการเงิน T5 ชุมชนมีการเปล่ียนวถิ ีชีวติ การคลังยงั ขาดประสิทธภิ าพ พฤตกิ รรม คา่ นยิ มการศกึ ษาหา (ขาดสภาพคล่อง การใชเ้ งนิ ความร้ผู ่านระบบออนไลน์และการ ไมเ่ ปน็ ไปตามแผน) เลือกซื้อบรกิ ารดา้ นการศึกษาผ่าน W6 การพัฒนาคุณภาพการให้ สอื่ โฆษณา ก่อใหเ้ กิดพฤตกิ รรมเสีย่ ง บรกิ ารไมต่ อ่ เนื่อง ต่อการถกู หลอกลวง W7 ขาดการวางแผนการ T6 วัยรุน่ มคี า่ นิยมด้านวตั ถมุ ากขึ้น พฒั นาบุคลากรเพือ่ รองรบั มีพฤตกิ รรมการลอกเลียนแบบที่ไม่ การใหบ้ ริการด้านการศึกษา เหมาะสม ยกตวั อย่าง เชน่ การใช้ และการสร้างขวญั กำ� ลงั โทรศพั ทม์ อื ถอื ทมี่ ีราคาแพง ๆ การ ใจบุคลากร (อตั ราก�ำลงั มเี พศสมั พันธก์ ่อนวัยอันควร ฯลฯ สมรรถนะ ทกั ษะในการใช้ T7 มชี อ่ งทางการโฆษณาเรอ่ื งการให้ เทคโนโลยีสารสนเทศ) บรกิ ารทางการศกึ ษาทเ่ี กนิ จรงิ และขาด W8 การถา่ ยทอดขอ้ มลู หรอื วิธกี ารตรวจสอบข้อมลู กอ่ นการน�ำ ข่าวสารของเจ้าหน้าทข่ี าด เสนอขอ้ มลู บนสื่อ ประสทิ ธภิ าพ T8 พ้นื ท่ีสว่ นใหญเ่ ปน็ พน้ื ที่ทาง W9 ขาดคา่ นิยมการทำ� งาน การเกษตร รบั จา้ ง และทำ� งานใน ขององคก์ าร (สโลแกน) โรงงาน ส่งผลตอ่ การขาดการให้ W10 ขาดการกระตุ้นหรือ ความส�ำคญั ทางด้านการศกึ ษา การสนบั สนนุ การท�ำงานเชงิ T9 ประชาชนมีความรู้ด้านสทิ ธใิ์ น สร้างสรรค์ (นวัตกรรม) การรับบรกิ ารทางด้านการศกึ ษามาก ขึ้น ท�ำใหเ้ กิดความคาดหวงั และเรียก รอ้ งสทิ ธิ์มากขึน้ T10 ประชาชนขาดความรแู้ ละ ตระหนักในการปอ้ งกันและคัดกรอง โรคย้ายถ่ิน

274 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศกึ ษา การก�ำหนดกลยุทธ์จาก SWOT analysis และ TOWS Matrix เม่ือผ่านกระบวนการ SWOT analysis และ TOWS Matrix ดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว เราก็สามารถก�ำหนดกลยุทธ์ได้ ดังแสดงในตารางที่ 7.11 ตารางที่ 7.11 กลยุทธจ์ าก SWOT analysis และ TOWS Matrix SO Strategies (รุกไปขา้ งหนา้ ) WO Strategies (พัฒนาภายใน) S4,5 O3,4 เพิ่มประสทิ ธภิ าพการใช้ระบบเทคโนโลยี W1 O1,5,7 พัฒนาคณุ ภาพระบบบริการและ สารสนเทศในการให้บรกิ ารดา้ นการศึกษาให้มปี ระสิทธิภาพ การเข้าถงึ บรกิ ารการศึกษาทางระบบออน์ไลน์ S2,6 O5 เพิม่ ประสิทธิภาพทางดา้ นการใหบ้ ริการการ ศกึ ษา โครงสร้าง และเครอื ข่ายดา้ นการศกึ ษาเชิงรกุ ใน W1,2,3,5,6,7,8,9,10 O3,4,5,7 พฒั นาศกั ยภาพ ชมุ ชน (การดูแล การสร้างเสริมความรูใ้ นชุมชน) และสรา้ งขวญั กำ� ลงั ใจทีมงานดา้ นการให้บริการ S7,8 O1,2 ขบั เคลื่อนการดำ� เนนิ งานของภาคเี ครอื ขา่ ย การศึกษาและภาคีเครือขา่ ยท่เี ก่ียวข้อง เพ่อื นำ� ไปสู่ศนู ย์การเรียนรูร้ ะบบการศกึ ษาในชมุ ชน ST Strategies (สร้างพนั ธมิตร) WT Strategies (ปรบั เปล่ยี น) S3,5,7,8 T4,5,6,7 พัฒนาเครือขา่ ยเฝ้าระวงั / ตรวจสอบ W1,2, T1 พัฒนาระบบนเิ ทศ ตดิ ตามประเมนิ คมุ้ ครองผใู้ ชบ้ รกิ ารทางดา้ นการศกึ ษาและสรา้ งความเขา้ ใจ ผลการ ดำ� เนินงานให้มปี ระสิทธิภาพ การใช้บริการด้านการศกึ ษาที่ถกู ตอ้ งเหมาะสม (การเผย แพรผ่ า่ นสอ่ื สารสนเทศ) S1,4,8 T8,9,10 พฒั นาระบบเฝา้ ระวงั ปอ้ งกัน และให้ ความรเู้ ก่วี กบั โรคทถ่ี ูกต้องแก่ชมุ ชนอย่างมปี ระสิทธิภาพ 4.3.3 การนำ� กลยทุ ธไ์ ปปฏบิ ตั ิ (Implementation)  หมายถงึ   กระบวนการทผ่ี บู้ รหิ ารแปลง กลยุทธ์ไปสู่แผนการด�ำเนินงาน โดยก�ำหนดรายละเอียดด้านต่าง ๆ เช่น ด้านงบประมาณ วิธีการ ดำ� เนนิ งาน ฯลฯ ซงึ่ กระบวนการเหลา่ นอี้ าจจะเกย่ี วขอ้ งกบั การเปลยี่ นแปลงภายในดา้ นวฒั นธรรม โครงสร้าง หรือระบบการบริหาร เพื่อให้สามารถด�ำเนินการตามกลยุทธ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยทว่ั ไปจะประกอบด้วยองคป์ ระกอบทีส่ �ำคัญ 4 ประการ ดังน้ี (Modal, 2557) 1)   การก�ำหนดแผนและการจดั สรรทรัพยากร (Resources Allocation) 2)   การปรบั โครงสรา้ งขององคก์ าร เพอื่ รองรบั การเปลยี่ นแปลงของการใชก้ ลยทุ ธ์ และการใชท้ รัพยากร 3)  การปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงในสว่ นของระบบและการพฒั นาทรพั ยากรบคุ คลเชน่ เรอื่ งระบบขอ้ มลู ขา่ วสาร ระบบบรหิ ารบคุ คล (การใหก้ ารศกึ ษา การฝกึ อบรม การกระตนุ้ สง่ เสรมิ ใหบ้ คุ ลากรในองค์การทำ� งานไดอ้ ยา่ งเต็มท่แี ละมปี ระสิทธิภาพ) 4)  การกระจายกลยทุ ธ์ (Strategic Deployment) หากองค์การไดม้ ีการก�ำหนดวสิ ยั ทัศน์และพันธกิจข้ึนมาแล้ว แต่ไม่ได้มีการด�ำเนินการก็จะท�ำให้เกิดการสูญเปล่า เพราะถึงแม้ว่า แผนงานเหล่าน้ันจะเป็นแผนที่จัดทำ� มาเป็นอย่างดีและผ่านการระดมความคิดเห็นมาอย่างเข้มข้น

Research in Educational Administration • 275 เพยี งใดแลว้ กต็ าม หากไมล่ งมอื ปฏิบตั ิกย็ อ่ มไมเ่ กิดผลเปน็ รปู ธรรมข้นึ มาได้ เพ่ือท�ำให้เกิดผลขึ้นจริงในทางปฏิบัติ จึงมีความจ�ำเป็นที่จะต้องมีการกระจายแผน ไปยังทุก ๆ ส่วนท่ัวท้ังองค์การ โดยต้องสอดคล้องกับบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ อย่าง ชดั เจน และเขา้ ใจได้ ซงึ่ จากเปา้ หมายเชงิ กลยทุ ธ์ (Strategic goals) อาจแปลงเปน็ เป้าหมายยอ่ ย ๆ (Sub goals) ก�ำหนดเปน็ เปา้ หมายประจำ� ปี (Annual goals) จากน้นั ค่อยแยกยอ่ ยไปเปน็ เปา้ หมาย ของแต่ละโครงการ และแต่ละกลุ่ม เพื่อให้บุคลากรทราบว่า เป้าหมายของตนเองท่ีชัดเจนนั้น คอื อะไร และควรที่จะดำ� เนินการในเร่ืองใดกอ่ น ซงึ่ นอกจากจะท�ำใหผ้ ู้ปฏบิ ัติงานในระดบั ล่างสุด เข้าใจเป้าหมายท่ีไม่คลาดเคล่ือนแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อกระบวนการในการวัดผลท่ีเหมาะสมด้วย ท้ังยังช่วยให้มีการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสมพอดี เพียงเพื่อให้บรรลุผลในแต่ละโครงการ หรือแตล่ ะกลมุ่ นนั่ เอง ความสำ� เรจ็ ขององคก์ ารนนั้ จะเกย่ี วขอ้ งกบั ประสทิ ธภิ าพในการนำ� กลยทุ ธไ์ ปประยกุ ต์ ใช้ ดงั นน้ั ผ้บู รหิ ารจงึ ควรมีการมอบหมาย และก�ำหนดแนวทางหรอื วธิ กี ารในการปฏิบัติงาน พงึ ตระหนกั วา่ สงิ่ สำ� คญั ในการนำ� กลยทุ ธไ์ ปปฏบิ ตั ใิ หป้ ระสบผลสำ� เรจ็ นน้ั คอื ผปู้ ฏบิ ตั จิ ะตอ้ งมคี วาม รแู้ ละความเขา้ ใจอยา่ งชดั เจนกอ่ น  4.3.4 การติดตามและการควบคุม (Monitoring and Control) หมายถึง กระบวนการ ของการวดั หรอื การตรวจสอบทท่ี ำ� เปน็ ประจำ� เปน็ ชว่ ง ๆ และกระบวนการทกี่ ระทำ� ใหม้ น่ั ใจวา่ การ ปฏิบตั ิงานได้ด�ำเนินการไปตามแผนทีก่ ำ� หนดไว้ โดยอาจจ�ำแนกไดส้ องประการ ไดแ้ ก่ การติดตาม และการควบคุม ซ่งึ มีรายละเอียดดงั น้ี (สรุ สิทธิ์ วชิรขจร, ม.ป.ป) 1. การติดตาม หมายถึง กระบวนการของการวัดหรือการตรวจสอบที่ท�ำเป็น ประจ�ำเป็นช่วง ๆ ซ่ึงการวัดและการตรวจสอบดังกล่าว ได้แก่ การวัดปัจจัยน�ำเข้า (Inputs) กระบวนการ (Process) และ ผลผลิต (Outputs) ที่เกิดขึ้นในช่วงของการด�ำเนินงานตามแผน โดยทัว่ ไปมกั ตดิ ตามในดา้ นการจดั หา การเคล่ือนยา้ ย และการนำ� ทรัพยากรของโครงการมาใชว้ ่า เปน็ ไปตามทีก่ �ำหนดไวใ้ นแผนและกำ� หนดการหรอื ไม่ วตั ถปุ ระสงคข์ องการตดิ ตาม กค็ อื ตอ้ งการชใี้ หเ้ หน็ ถงึ สถานการณข์ องโครงการให้ เรว็ ทสี่ ดุ เท่าทจี่ ะเรว็ ไดใ้ นเรื่องเก่ียวกับการใชท้ รพั ยากร การปฏิบัตกิ จิ กรรมต่าง ๆ หรอื ผลิตผลของ โครงการเพ่ือจะไดจ้ ัดการแกไ้ ขปรบั ปรุงสถานการณต์ ่าง ๆ ของโครงการทเี่ ป็นไปทันท่วงที การตดิ ตามแบง่ ได้ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) การตดิ ตามผลการปฏบิ ตั งิ าน 2) การตดิ ตาม ประสิทธิภาพของโครงการ และ 3) การตดิ ตามประเมินผลของโครงการ มีรายละเอียด ดงั นี้ 1.1) การติดตามผลการปฏิบัติงาน เป็นการติดตามดูว่า การปฏิบัติงานตาม โครงการนั้นได้ผลงานก้าวหน้าไปในทิศทางท่ีสอดคล้องกับแผนปฏิบัติงานตลอดจนงบประมาณ ทกี่ �ำหนดไวห้ รือไม่ 1.2) การตดิ ตามประสทิ ธิภาพของโครงการ เปน็ การศกึ ษาติดตามดูว่า เมือ่ มี การปฏิบัติงานให้ได้ผลผลิตของโครงการออกมาน้ัน ได้ใช้กรรมวิธีการผลิต หรือวิธีด�ำเนินงาน ที่ประหยัดท่ีสุดหรือไม่ โดยอาจจะมีการเทียบเคียงให้เห็นสัดส่วนของผลผลิตกับปัจจัยน�ำเข้า ของโครงการ

276 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา 1.3) การติดตามประเมินผลของโครงการ เป็นการศึกษาดูว่า การปฏิบัติงาน ตามโครงการน้ัน ได้ก่อให้เกิดผลผลิตตามท่ีก�ำหนดไว้หรือไม่ และผลผลิตท่ีเกิดขึ้นดังกล่าว สามารถบรรลุวัตถปุ ระสงคข์ องโครงการไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด 2. การควบคุม หมายถงึ กระบวนการท่ีกระทำ� ใหม้ น่ั ใจวา่ การปฏิบตั ิงานไดด้ ำ� เนิน การไปตามแผนที่กำ� หนดไว้ หรอื ถ้าจะให้ความหมายทีช่ ี้ใหเ้ หน็ ถงึ บทบาทของผคู้ วบคุมชดั เจนขน้ึ กห็ มายถึง การบังคบั ใหก้ ิจกรรมตา่ ง ๆ เปน็ ไปตามแผนทกี่ �ำหนดไว้ การควบคุมอาจแบ่งตามลักษณะของสิ่งที่ถูกควบคุมออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1) การควบคุมผลการปฏิบัติงาน (Product Control) 2) การควบคุมบุคลากร (Personal or Staff Control) 3) การควบคุมด้านการเงิน (Financial Control) 4) การควบคุมทรัพยากรทางกายภาพ (Control of Physical Resources) และ 5) การควบคุมเทคนิควิธีการปฏิบัติงาน (Control of Techniques or Procedure) มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1) การควบคุมผลการปฏิบตั ิงาน (Product Control) เป็นการควบคุมผลผลติ ของโครงการ เพื่อจัดการให้โครงการผลิตได้ปริมาณตามที่ก�ำหนดไว้ในแผน เรียกว่า การควบคุม ปริมาณ (Quantity Control) และควบคุมให้ผลผลิตที่ได้มีลักษณะและคุณสมบัติตามท่ีกำ� หนดไว้ เรียกว่า การควบคุมคุณภาพ (Quality Control) การควบคุมในข้อน้ี รวมถึงการควบคุมเวลาของ โครงการดว้ ย คอื การควบคุมให้โครงการสามารถผลิตผลงานไดป้ รมิ าณและคณุ ภาพตามชว่ งเวลา ท่กี ำ� หนดไว้ 2.2) การควบคุมบุคลากร (Personal or Staff Control) เป็นการควบคุม พฤตกิ รรมการปฏบิ ตั งิ านของเจา้ หนา้ ทท่ี ป่ี ฏบิ ตั งิ านในโครงการ โดยควบคมุ ใหป้ ฏบิ ตั งิ านตามวธิ ที ี่ ก�ำหนดไว้ และใหเ้ ป็นไปตามกำ� หนดการโครงการ ควบคมุ และบำ� รุงขวญั พนักงาน ความประพฤติ ความส�ำนกึ ในหน้าท่แี ละความรบั ผดิ ชอบ ตลอดจนควบคมุ ดา้ นความปลอดภัยของพนักงานดว้ ย 2.3) การควบคุมด้านการเงิน (Financial Control) เป็นการควบคุมการใช้จ่าย Cost Control) ควบคมุ ทางด้านงบประมาณ (Budget Control) ตลอดจนการควบคุมทางดา้ นบญั ชี ต่าง ๆ ทัง้ นี้ เพือ่ ใหโ้ ครงการเสยี คา่ ใช้จ่ายต�ำ่ สดุ และมเี หตผุ ลเป็นไปดว้ ยความบรสิ ุทธิ์ ยุตธิ รรม 2.4) การควบคุมทรัพยากรทางกายภาพ (Control of Physical Resources) เป็นการควบคุมการใช้จ่ายทรัพยากรประเภทวัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมือ อาคารและที่ดินตลอดจน แรงงานในการเปน็ ปจั จยั น�ำเข้าของโครงการเพื่อใหเ้ กิดการประหยัดในการใชท้ รัพยากรดังกลา่ ว 2.5) การควบคมุ เทคนคิ วธิ กี ารปฏบิ ตั งิ าน (Control of Techniques or Procedure) เป็นการควบคุมก�ำกับดูแลเทคนิควิธีการปฏิบัติงานให้ถูกต้องตามหลักวิชาท่ีก�ำหนดไว้ส�ำหรับ การปฏิบัติงานประเภทน้ัน ๆ โดยจะต้องควบคุมทั้งเทคนิควิธีท่ีมองเห็นและเข้าใจง่าย เช่น โครงการเก่ียวกับอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง ฯลฯ และเทคนิคที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนและ เปน็ นามธรรม เชน่ โครงการพัฒนาสังคม วัฒนธรรม การส่งเสรมิ ประชาธปิ ไตย หรอื โครงการ พัฒนาชนบท ฯลฯ การติดตามและการควบคุมดังกล่าวมาข้างต้นน้ัน มีความส�ำคัญซึ่งอาจสรุปได้ว่า มีอยู่ 6 ประการ ได้แก่ 1) ท�ำให้แผนบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ต้ังไว้ 2) ช่วยให้ประหยัด

Research in Educational Administration • 277 เวลาและค่าใช่จ่าย 3) ช่วยกระตุ้นจูงใจและสร้างขวัญก�ำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงาน 4) ช่วยป้องกัน ความเสียหายรนุ แรงท่ีอาจจะเกิดขน้ึ ได้ 5) ทำ� ให้พบปัญหาทอี่ าจเกิดขึน้ เนอื่ งมาจากโครงการนั้น ๆ และ 6) ทำ� ให้ผู้เก่ียวขอ้ งทุกฝ่ายไดเ้ ห็นเป้าหมาย วัตถุประสงค์ หรือ มาตรฐานของงานไดช้ ดั เจน 7.5 กรณตี วั อยา่ งงานวิจยั เชิงปฏบิ ตั ิการแบบมสี ว่ นร่วมในทางการบริหารการศกึ ษา ส�ำหรับงานวจิ ัยทางการบรหิ ารการศกึ ษาทีใ่ ช้วธิ วี ิจยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการแบบมสี ่วนร่วม ทค่ี ดั สรรมาเสนอเป็นตัวอยา่ งนี้ เปน็ งานวิจยั เร่ือง “การพฒั นารปู แบบการเยียวยาชุมชนสมั พนั ธ์ ด้วยวิธีการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของโรงเรียนบ้านท่าน�้ำ” ผู้วิจัย คือ ชวลิต เกิดทิพย์ และคณะ โดยท�ำวิจัยเสร็จส้ินเม่ือปี พ.ศ. 2550 และแม้เนื้อหาภายในผู้วิจัยจะระบุว่าเป็นการ วิจัยเชิงคุณภาพ แต่เมื่อพิจารณาตามขั้นตอนการวิจัยแล้ว พบว่า งานวิจัยนี้ใช้กระบวนการของ การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมครบทุกขั้นตอน โดยงานวิจัยน้ี ประชาชนในชุมชนมีส่วน รว่ มในการระบปุ ญั หาของชมุ ชน เสนอแนวทางแกไ้ ขปญั หา ประเมนิ ทางเลอื กเพอ่ื การแกไ้ ขปญั หา ร่วมด�ำเนินการแก้ปัญหา ร่วมประเมินผล และร่วมรับผล โดยกระบวนการทั้งหมดช่วยให้ ประชาชนไดเ้ รยี นรู้และชมุ ชนเกดิ ความเข้มแขง็ ซึ่งเปน็ ไปตามหลกั การของการวจิ ัยเชิงปฏิบัตกิ าร แบบมีสว่ นร่วมทกุ ประการ รายละเอยี ดของงานวิจัยดังท่ีจะน�ำเสนอต่อไปนี้ (ชูชาติ พ่วงสมจิตร์, 2557) ช่ือเร่อื ง การพัฒนารูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการบริหารโดยใช้โรงเรียน เป็นฐานของโรงเรียนบ้านทา่ น�้ำ ผ้วู ิจัย ชวลติ เกิดทพิ ย์ และคณะ ปีทีว่ ิจยั เสรจ็ 2550 ความเป็นมาของปัญหาการวิจัย ในระยะเวลา 6 ปที ีผ่ ่านมา นบั ตงั้ แต่พทุ ธศักราช 2547 จนปจั จุบนั ประชาชน เจ้าหนา้ ที่ และครูในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดสงขลาบางส่วน (อ�ำเภอจะนะ อำ� เภอสะบ้าย้อย อำ� เภอนาทวี และอำ� เภอเทพา) จงั หวดั ยะลา จังหวดั ปัตตานี และจงั หวัดนราธวิ าส ถูกคุกคามท�ำร้ายจากผู้ก่อการร้ายหลายรูปแบบและมีความรุนแรงมากมาย โรงเรียนจ�ำนวนมาก ถกู เผาทำ� ลาย ท�ำให้ครูหยุดทำ� การสอนเนอ่ื งด้วยกลัวในความไม่ปลอดภัยในชวี ติ ส่งผลเสียตอ่ การ ศึกษาของเยาวชนในท้องถิ่นที่มีผู้ก่อการร้ายคุกคาม ทำ� ให้ไม่สามารถเล่าเรียนได้ตามปกติ ย่ิงกว่า นน้ั ยงั มผี ลกระทบไปถงึ สถานภาพทางการเมอื งและบรู ณภาพของพลเมอื งและดนิ แดนพนื้ ทแ่ี หง่ นี้ ภายใตส้ ถานการณค์ วามรนุ แรงในปจั จบุ นั ซงึ่ มโี รงเรยี นถกู เผาทำ� ลายไปกวา่ 200 แหง่ ใน รอบ 40 ปี หรอื กว่าปลี ะ 5 แห่ง และมีครู บคุ ลากร นักเรยี นนักศึกษาได้รับบาดเจ็บหรอื เสยี ชวี ิตไป เกอื บ 300 คน ทำ� ให้สภาพการจัดการศึกษาตกอยใู่ นภาวะยากล�ำบาก โรงเรียนตอ้ งปิดทำ� การสอน ไปถงึ ปลี ะ 30 – 40 วนั และบางโรงเรยี นปดิ เกนิ 100 วนั หรอื กวา่ ครง่ึ ของเวลาทง้ั หมด ภาวะดงั กลา่ ว ยง่ิ ทำ� ใหป้ ญั หาคณุ ภาพ ประสทิ ธภิ าพของการจดั การศกึ ษาในพน้ื ทพ่ี เิ ศษนย้ี ง่ิ มแี นวโนม้ วกิ ฤตยง่ิ ขน้ึ

278 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา ปญั หาการจดั การศกึ ษาในเขตพฒั นาพเิ ศษเฉพาะกจิ จงั หวดั ชายแดนภาคใตจ้ งึ เปน็ ปญั หา ที่ละเอียดอ่อนซับซ้อน ที่มิใช่เป็นเพียงปัญหาของการขาดทรัพยากรหรือบุคลากร แต่เป็นปัญหา ท่ีโยงกลับไปถึงประวัติศาสตร์แห่งการละเลยของรัฐต่อความต้องการรูปแบบการศึกษาพิเศษของ พืน้ ที่พเิ ศษนี้ ทจ่ี ะสามารถตอบสนองไมเ่ ฉพาะแตโ่ อกาสทางการศกึ ษาท่ีมีคุณภาพหรือโอกาสการ มงี านทำ� เทา่ นนั้ แตย่ งั ตอ้ งตอบสนองความตอ้ งการทางจติ วญิ ญาณของพน่ี อ้ งชาวไทยมสุ ลมิ ทเ่ี ปน็ ประชากรสว่ นใหญข่ องพนื้ ทอ่ี กี ดว้ ย ทา่ มกลางสถานการณก์ ารกอ่ ความรนุ แรงทมี่ รี ากเหงา้ มาจาก ท้ังความคิดท่ีเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐมาในอดีตของกลุ่มผู้ก่อความรุนแรง ท้ังจากกลุ่มผลประโยชน์ ต่าง ๆ ทไี่ มป่ ระสงคด์ นี ้ี ดังนนั้ การหารูปแบบเพือ่ พัฒนาความสมั พนั ธร์ ะหว่างสถานศึกษาในท้อง ถ่ินร่วมกับชุมชนจึงน่าจะเป็นเคร่ืองมือส�ำคัญในการเยียวยาปัญหาระยะสั้นเพ่ือจะเป็นก้าวแรกท่ี สร้างจิตส�ำนึกแก่ชุมชนในท้องถ่ิน (ศูนย์สนับสนุนการฟื้นฟูและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้, 2549, อา้ งถึงใน มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์, 2550) การเยียวยาเพ่ือชดเชยความรู้สึกทางจิตวิญญาณแก่ประชาชนส่วนใหญ่จึงเป็นส่ิงหน่ึง ทร่ี ฐั ควรกระท�ำ แนวทางหน่งึ ทม่ี งุ่ สรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหว่างสถานศกึ ษารว่ มกบั ชมุ ชนในพ้นื ที่ โรงเรียนบ้านท่าน้�ำ อ�ำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี สังกัดส�ำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาปัตตานี เขต 1 จงึ ใช้แนวคิดการบรหิ ารโดยใช้โรงเรียนเปน็ ฐาน (School-based management) เป็นกรอบใน การสรา้ งรปู แบบการเยยี วยาในชุมชน โดยเปดิ โอกาสใหช้ ุมชนมีส่วนร่วมในการสร้างรปู แบบการ เยยี วยา และนำ� รปู แบบดงั กลา่ วไปใชป้ ฏบิ ตั จิ รงิ ในภาคสนาม จากนนั้ จงึ นำ� ผลดงั กลา่ วมาพฒั นารปู แบบการเยียวยาในชุมชนให้สมบูรณ์ย่ิงขึ้นเพ่ือความเสถียร และสามารถเผยแพร่แก่ชุมชนในการ ฟ้ืนฟูชุมชนและสรา้ งความเข้มแข็งแกช่ มุ ชนอน่ื ๆ ต่อไป วตั ถุประสงค์การวจิ ยั 1. เพื่อก�ำหนดรูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็น ฐานของโรงเรยี นบา้ นทา่ น้�ำ 2. เพ่ือศึกษาผลการด�ำเนินกิจกรรมตามรูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการ บรหิ ารโดยใช้โรงเรียนเปน็ ฐานของโรงเรียนบา้ นทา่ น�ำ้ 3. เพ่ือพัฒนารูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็น ฐานของโรงเรยี นบา้ นทา่ นำ�้ ขอบเขตการวจิ ยั 1. ด้านเน้ือหา การวิจัยในคร้ังนี้มุ่งศึกษารูปแบบการเยียวยาชุมชนสัมพันธ์ด้วยวิธีการ บริหารโดยใช้โรงเรยี นเป็นฐาน และการมสี ่วนร่วมของชุมชน 2. ด้านประชากร ศึกษาจากกลุ่มเป้าหมาย 7 กลุ่ม ได้แก่ ครู นักเรียน คณะกรรมการ สถานศกึ ษา คณะกรรมการเยยี วยาและฟื้นฟสู มานฉันท์ชมุ ชน เยาวชนในชมุ ชน ผู้นำ� ชุมชน และ ประชาชนต�ำบลทา่ นำ้� ท่ีเขา้ ร่วมกจิ กรรมที่ชุมชนร่วมกันเสนอความคดิ เห็น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook