หรือ Delphi groups ฯลฯ จากลกั ษณะของการสนทนากลุ่ม (GrouRpesdeiasrccuhsisnioEnd)ucขat้าiงonตaน้l Adกmลin่าisวtrไaดtio้วn่า•ม1ีล2กั 9ษณะท่ี แตกต่างจากการสัมภาษณ์กลุ่ม (Group interview) กล่าวคือ การสนทนากลุ่มเป็ นการสนทนาอภิปราย โตต้ อบกนั จอายกา่ลงักอษิสณระรขะอหงกวา่ งรสมนาทชนิกาใกนลกุ่มลุ่ม(Gตาroมuปpระdiเดscน็ uทss่ีกioาnห)นขด้างซต่ึง้นแตกกลต่าว่างไจดา้วก่ากมาีลรักสษัมณภะาทษี่ณ์กลุ่ม ทอแตภ่ีเปกิป็ นตรก่าางายจรโาตถกา้ตกมอาตบรอกสบันัมกภอนั ยารษ่าะงณหอ์กิสวล่ารุ่งมะผร(ูส้ ะGัมหrภoวuา่าpษงสณinม์กteาบั rชvสิกiมeใwนาช)กิกลกแุ่ลมต่าต่ลวาะคมคือปนรกใะานเรดกส็นลนุ่มททโี่กนด�ำายหกมนลีผดุ่มูส้ เัมซปภึ่ง็นแากษตาณกรตส์เป่าน็งนทจศนาูนกายก์ ลาง ขกอารงสกัมารภสา่ือษสณา์กรลภุ่มายทใน่ีเปก็นลกุ่มารขถณามะทตอ่ีกบารกสันนรทะหนวาก่างลผุ่มู้สจัมะภมาีสษมณาช์กิกับทสุกมคานชิกในแตก่ลุะ่มคเปน็ นในศูนกลยุ่กม์ ลโดางยขมอี งการ สใผนู้่ืสอกสัมลาภุ่มราภเษปาณ็นยใ์เศปนูน็นกยศลก์ ูนุม่ ลยาด์กงขงลั ภอางางพขกอาทรงี่ ส3ก.ือ่า2รสสาื่อรภสาายรใภนากยใลนุ่มกลดุ่มังภาขพณทะี่ 3ท.2ี่การสนทนากลุ่มจะมีสมาชิกทุกคน Moderator Interviewer การสนทนากล่มุ การสัมภาษณ์กลุ่ม ภภาาพพทท่ีี่ 33..22 การเปรียบเทียบการสนทนากลุม่ และการสมั ภาษณ์กลุม่ ที่มา. ทวศี กั ด์ิ นพเกษร (2548, หนา้ 153) นอกจากน้ี ยงั มวี ิธีการรวบรวมขอ้ มูลอีกลกั ษณะหนึ่งที่นกั วจิ ยั เชิงคณุ ภาพนยิ มนำ� มาใช้ ในปจั จุบนั คอื การสมั มนากล่มุ องิ ผเู้ ชยี่ วชาญ (Connoisseurship) ตามแนวคดิ ทีว่ า่ ในการประเมนิ เรอื่ งใดเรอ่ื งหนง่ึ ผทู้ ป่ี ระเมนิ ตดั สนิ หรอื ชน่ื ชมกบั คณุ ลกั ษณะหรอื คณุ ภาพของเรอื่ งนนั้ ๆได้จำ� เปน็ ตอ้ งเป็นผรู้ ูห้ รือเปน็ ผเู้ ชยี่ วชาญในเรอื่ งน้นั อย่างแท้จรงิ (Eisner, 1976) ดังนน้ั การสมั มนากลุ่มอิง ผู้เชี่ยวชาญ จึงมีความแตกต่างจากการสนทนากลุ่ม (Group discussion) ดังนี้คือ 1) การเลือก ผู้ให้ข้อมูลส�ำหรับการสัมมนากลุ่มอิงผู้เช่ียวชาญ ต้องเน้นที่เป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวกับเร่ืองนั้น จรงิ ๆ ขณะทก่ี ารสนทนากลมุ่ เปน็ กลมุ่ ทวั่ ไปทม่ี คี วามคดิ เหน็ ตอ่ เรอื่ งใดเรอื่ งหนงึ่ ทจี่ ะตอบคำ� ถาม การวิจัยได้ โดยเน้นใหก้ ลุ่มผใู้ ห้ขอ้ มูลมีคณุ สมบัติสำ� คญั ๆ ทค่ี ล้ายคลึงกัน (Homogenous group) และ 2) การสมั มนากลมุ่ องิ ผูเ้ ชยี่ วชาญ เปน็ การเนน้ การพจิ ารณาตดั สินคณุ ค่า หรือการสรปุ ความ เห็นเก่ียวกับเร่ืองใดเรื่องหน่ึง ในขณะท่ีการสนทนากลุ่ม เป็นการให้ความเห็นและอภิปรายทั่วไป ไม่ตอ้ งการการประเมินตัดสนิ หรือการสรปุ ลงความเห็น (เก็จกนก เออ้ื วงศ,์ 2557) 3) ประเภทของการสนทนากลุ่ม การสนทนากลุ่มอาจจ�ำแนกประเภท ตามจ�ำนวนคนหรือขนาดของกลุ่มได้ 2 ประเภท ได้แก่ 1) การสนทนากลุ่มย่อย (Small group discussion) และ 2) การสนทนากลมุ่ แบบเจาะจง (Focus group discussion) โดยสรุปสาระสำ� คัญ ได้ ดังนี้ (โยธนิ แสวงดี, 2557, 2561)
130 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 3.1) การสนทนากลุ่มย่อย (Small group discussion) คือ การน่ังคุย กับกลุ่ม 2-6 คน การสนทนากลุ่มนี้มี 2 แบบ คือ การสนทนากลุ่มย่อยแบบธรรมชาติ และการ สนทนากล่มุ ย่อยแบบจัดตั้ง มีรายละเอียด ดงั น้ี (1) การสนทนากลุ่มย่อยแบบธรรมชาติ หมายความว่า นักวิจัย เดินเข้าไปในชุมชนแล้วหาผู้รู้ท่ีรวมตัวกันเป็นกลุ่มตามธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งในกลุ่มธรรมชาติน้ัน อาจมีผู้รทู้ ี่รู้จริงสกั คนหนึ่งในประเดน็ หรือเรื่องทเ่ี ราต้องการจะศกึ ษาก็ได้ ส่วนคนอน่ื ๆ อาจไมม่ ี ใครรู้เรือ่ งทเี่ ราศกึ ษาเลยกไ็ ด้หรอื ทุกคนรูเ้ รือ่ งที่เราจะศกึ ษาดที กุ คนก็ได้ (2) การสนทนากลุ่มย่อยแบบจัดต้ัง เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูล ในกรณีที่ปรากฏการณ์ท่ีเราต้องการจะศึกษานั้น มีผู้รู้จริงหรือมีผู้รู้ไม่มากนัก มันเป็นพฤติกรรม มันเป็นการแสดงออกท่ีมีคนไม่ก่ีคนรู้ มีจ�ำนวนคนไม่มากพอท่ีจะน�ำมาท�ำการสนทนากลุ่มแบบ เจาะจง (Focus group discussion) เพราะการสนทนากลุ่มแบบเจาะจง ตอ้ งมคี นอย่างนอ้ ย 7-9 คน (โดยปกติ 10 คน บวกกับทีมวิจยั 3 คน จงึ เท่ากับ 13 คน โดยยึดเกณฑโ์ ต๊ะจีน 10 คน ยอมให้ ลด 3 เหลอื 7 + ทมี วิจยั 3 เทา่ กับ 10 คน หรือจะลด 2 หรอื 1 ก็ได)้ แตส่ มมติวา่ ประเดน็ เร่ืองที่ เราจะศึกษานั้น มีผู้รูเ้ พยี งแค่ 15 คน คือ ท้ังตำ� บล หมู่บ้าน จังหวดั มคี นที่เกีย่ วข้องหรือรู้เรอื่ งน้ัน จริง ๆ แค่ 15 คน ถ้าทำ� สนทนากลุ่มแบบเจาะจง โดยแบง่ เปน็ กลุ่มท่ี 1 = 8 คน กล่มุ ท่ี 2 = 7 คน รวมเป็น 15 คน ก็ไม่สามารถตรวจสามเส้าได้ นั่นคือ ถ้ากลุ่มที่ 1 ท่ีจัด 8 คน มีคำ� ตอบอย่างนี้ ส่วนกลุ่มท่ี 2 จัด 7 คน มีค�ำตอบต่างจากกลุ่มท่ี 1 มันก็จะขัดกัน จ�ำเป็นต้องมีกลุ่มท่ี 3 เพ่ือจะ เช็คว่าจริง ๆ แล้ว มันคืออะไรกันแน่ กลุ่มที่ 3 อาจมีค�ำตอบเหมือนกลุ่มท่ี 2 ซึ่งแตกต่างจาก กลุ่มท่ี 1 แต่อย่างน้อยก็ได้ 2 ใน 3 ดังนั้น เม่ือมี 15 คน เราก็ท�ำการสนทนากลุ่มย่อยแบบจัดตั้ง โดยจัดต้งั กลุ่มแรกจำ� นวน 4 คน จดั ตงั้ กล่มุ ที่ 2 จำ� นวน 4 คน และจดั ตง้ั กลุ่มที่ 3 จ�ำนวน 4 คน สรุป 4 x 3 = 12 คน คงเหลืออีก 3 คน เก็บไว้ท�ำการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) ซ่ึงเปน็ การพยายามเกลย่ี ผู้รอู้ อกไป วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีเป็นกลุ่มดังกล่าวข้างต้นน้ี ไม่ว่าจะเป็นการสนทนากลุ่ม ย่อยแบบธรรมชาติ การสนทนากลุ่มย่อยแบบจัดตั้ง หรือการสัมภาษณ์เชิงลึก จะเช่ือในฐานคิด ของทฤษฎอี ทิ ธพิ ลกลุม่ (Group influence theory) ทฤษฎีอทิ ธิพลกลุ่มน้ี จะใชม้ ากในทางการเมือง ในทางการเคลอื่ นไหวทางสงั คม (Social movement) ตัวอยา่ งเช่น ชาวบา้ นขายข้าวไมไ่ ด้ รวมกลุ่ม ปิดถนนประท้วง และเรียกร้องให้รัฐบาลรับซื้อในราคาเท่าน้ันเท่าน้ี รัฐบาลยอมรับตามเงื่อนไข นายจ้างมีสวัสดิการที่ไม่ดี ให้ค่าแรงแก่ลูกจ้างต�่ำเกินไป ลูกจ้างรวมกลุ่มประท้วง และเรียกร้อง ขึ้นค่าแรง นายจ้างยอมรับตามข้อเรียกร้อง ฯลฯ นี่คือการใช้ทฤษฎีอิทธิพลกลุ่ม คือ รวมกลุ่มกัน จะท�ำให้มีพลัง หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง นักวิจัยไปเก็บข้อมูลในหมู่บ้านแล้วมีสุนัขตัวหน่ึงเห่าโฮ่ง ๆ นกั วจิ ยั หันไปดมู นั พร้อมกับตวาดไปว่า “เหา่ ห่าอะไรวะ” มันกว็ ิง่ หางจกุ ก้นไปเลย คือมันตัวเดยี ว วิ่งหางจุกก้นไปเลย ต่อมาพอนักวิจัยออกจากหมู่บ้าน ถึงทางออก มาเจอตัวเดิมอีก มายืนรอเลย พรอ้ มตระกลู มนั เตม็ ไปหมด แลว้ มนั กเ็ หา่ โฮง่ ๆ เหมอื นเดมิ มนั เหา่ เปดิ ประเดน็ กอ่ นเลย ผวั มนั กม็ า ลกู มันกม็ า มนั ไมก่ ลัวนักวจิ ยั เลยคราวนี้ มนั เห่า แฮ…่ แฮ…่ ขยับทีละฟตุ ๆ เข้ามา จากนนั้ เจา้ ของ มนั ไดย้ ินก็เดินมาไล่มันไป นีค่ ือ อิทธพิ ลหมู่ หมาหม่ทู ่เี ขาวา่ กัน ท�ำให้มันไมก่ ลัว คนกเ็ หมอื นกัน
Research in Educational Administration • 131 ถ้าคุยตัวต่อตัว โดยที่ไม่คุ้นเคยกับเขามาก่อน อาจไม่ได้ข้อมูลเชิงลึก เพราะเขาไม่กล้าให้ข้อมูล ดังน้ัน จะต้องท�ำความคุ้นเคยกับเขา ต้องสนิทสนมกันบ้าง จนเขาไว้ใจ จึงจะท�ำการสัมภาษณ์ เชิงลกึ ได้ วิธีการรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสนทนากลุ่มย่อยแบบจัดตั้งดังกล่าวมาข้างต้นน้ัน เราจะใช้กับประเด็นเรื่องทมี่ ผี ู้รูห้ รอื ผู้เกี่ยวข้องไม่มากนกั ตัวอย่างเชน่ ใน 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าชาวพุทธหรือมุสลิม เม่ือสามีหรือลูกเสียชีวิต ทุกข์ โศก โทมนัส ก็เกิดขึ้นกับผู้เป็นแม่หรือ ภรรยา และครอบครัวแน่นอน ความเหน่ือยยาก ความล�ำบากในการดูแลบุตรธิดาท่ีก�ำลังเรียน อาชีพตัดยางพารา อาชีพขายของ อาชีพขับรถรับจ้าง ทุกส่ิงทุกอย่างจะมากองอยู่ท่ีแม่บ้านคน เปน็ ภรรยา ดงั นนั้ สตรที ส่ี ญู เสยี สามจี ากสถานการณท์ ไี่ มส่ งบนน้ั มแี นน่ อน แตจ่ ะมากเปน็ รอ้ ยเปน็ พนั หรอื ไมน่ ้ัน ยงั ยนื ยนั ไมไ่ ด้ บางชมุ ชนอาจมี 3 คน บางชุมชนอาจมี 4 คน ถ้าจะจัดการสนทนา กลมุ่ แบบเจาะจง อาจตอ้ งหาคนมาท้ังต�ำบล ซงึ่ เปน็ เรื่องยากล�ำบาก จงึ ต้องแปลงการสนทนากล่มุ แบบเจาะจงมาเป็นการสนทนากลุ่มย่อย สตรีเหล่านี้เป็นกลุ่มเปราะบางเพราะเขาเป็นผู้สูญเสีย ทุกส่ิงทุกอย่าง การจะท�ำวิจัยกับสตรีเหล่านี้ นักวิจัยต้องขออนุญาต ต้องมีลายเซ็นยินยอมด้วย เวลาคุยกันจะไม่คุยในเรื่องเศร้าโศกหรือเรื่องที่จะท�ำให้เขาเสียใจ แต่นักวิจัยจะมองถึงการพัฒนา อาชีพ การมีส่วนร่วม การเล้ียงแพะ เล้ียงแกะ การมีส่วนร่วมในการสร้างงานสร้างครอบครัว กรณีตัวอย่างแบบน้ี การสนทนากลุ่มย่อยจะเป็นประโยชน์ในการรวบรวมข้อมูลเป็นอย่างมาก เพราะประเด็นวิจัยท่ีเราศึกษาน้ัน มีผู้รู้ไม่มาก แต่ถ้าปรากฏการณ์หรือประเด็นท่ีจะศึกษา มีผู้รู้ จ�ำนวนมาก ก็เลือกจัดการสนทนากลุ่มแบบเจาะจงได้สบาย ตัวอย่างเช่น ท่ีเชียงใหม่ มีลูกค้าของ ห้างบ๊ิกซี และห้างโลตัสจ�ำนวนมากมาซ้ือของ แน่นทุกห้าง เป็นปรากฏการณ์ นักวิจัยก็สามารถ จัดการสนทนากลุ่มแบบเจาะจงได้ เพราะมีลูกคา้ ของห้างจำ� นวนมาก 3.2) การสนทนากลมุ่ แบบเจาะจง (Focus group discussion) ใช้ตวั อกั ษร ภาษาอังกฤษวา่ FGDs ทม่ี ตี วั s แสดงว่า ต้องมีหลายกล่มุ หรอื อย่างน้อย 3 กลุม่ ขน้ึ ไป เพอื่ ตรวจ สอบสามเสา้ ในบางเรือ่ งบางประเดน็ เช่น จดั สนทนากลุ่ม 3 กลมุ่ กลุ่มละ 8, 9, 10 ตามลำ� ดบั เพือ่ พจิ ารณาหาขอ้ มลู วา่ จะออกจากราชการไปเป็นมหาวทิ ยาลัยในกำ� กบั ของรัฐหรอื ไม่ ฯลฯ ค�ำวา่ “Focus” ในค�ำว่า Focus group discussion แปลว่า เจาะจง มคี วามหมาย 2 อย่าง คอื 1) เจาะจงหวั ข้อเร่อื ง (ต้องมีหวั ข้อ/เรอ่ื ง/ประเดน็ /ปรากฏการณท์ ่จี ะศกึ ษากอ่ น) และ 2) เจาะจงคน (เลอื กคนท่ีเปน็ ผ้รู หู้ ัวข้อเรื่อง เจาะจงผู้รู้) ดงั นนั้ ค�ำวา่ Focus ตามความหมายที่แทจ้ ริง ก็คือ 1) ปรบั ให้ชดั และ 2) เจาะจง ซง่ึ การ Focus ก็คอื การปรับใหช้ ดั เพ่ือให้ไดข้ อ้ มูลท่ชี ัดเจน ส่วนคำ� วา่ group กม็ ีความหมาย 2 อยา่ ง คอื 1) กลุม่ และ 2) การจดั กลุ่ม ส�ำหรับจำ� นวนคนใน วงสนทนากลมุ่ หรอื การใช้คนกี่คนในวงสนทนากลุ่ม มีประวัติท่ีมา ดงั น้ี ในอดตี มี King McArthur ซงึ่ เปน็ กะเทย รบไมเ่ กง่ แตโ่ ชคดี มอี ศั วนิ อยู่ 10 คน เวลา จะไปรบกบั ใคร ก็จะนัดประชมุ โตะ๊ กลมทแ่ี สดงถึงความเทา่ เทยี มกันของทกุ คน โดยมลี กั ษณะการ จดั โตะ๊ กลมดังภาพที่ 3.3
164164 132 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา ภาพท่ี 3.3 โตะ๊ กลมส�ำหรบั การประชุมของอศั วินใน King McArthur ที่มา. บรษิภทาีม่ัททภพาา่ีม.ทไพา่ีบท.ท3รโ.ี่บิษ3ย3รทั.ิโษ3เตไฟทั โท๊ะอตไกโท๊ะยลรกโมน์เฟยลสเิมอเาทฟสรหอ์นคารรหิเับท์นจรกคิเับำ�าทกรกจคปาาัดกรจป.ดาัะก(.รชมดั(ะุมม.ชข..(ปุมปอมข.ง.ปปอ.งศั)ป.อ)ว.ศั)ินวใินใKนinKginMgcMAcrtAhrutrhur ท่แี สดงถงึ ถอคึงถคัศวึงวาวคามมินวาไไใมมอนไ่เศั่เทมทอว่าเKศัทินเา่ทว่าเใiียทินเnทมใgยีียกKนมมนัiMกnKขกgนัiอcnันMขงgAอสขcMงrมAอสtcาrhงมAtชhuสิกาrutชrทrhมิกuุกททาrคท้งชัุกนท้ังค1กิ้งัด0นท11งัคดภ00กุนงัาคคภพเคนหาทนพนลเ่ี ห3ท่าด.ลน4ี่เ3ัง่าห้นั.นภ4ล้นั จา่าะพนจไทะมั้นไ่ย่ี ม3อ่ย.ม4อจปมะรปะไรมชะุม่ยชโอุมดโมยดใปชยใโ้รชตะโ้๊ะชตเห๊ะุมลเหโ่ียดลมี่ยยทมใ่ีแชทส่ีแ้โดตสงด๊ะงเหลี่ยม ภาพที่ 3.4ภาโภพตาทพะ๊ ี่ ทเ3ห.ี่ 43ล.4โ่ียตมโ๊ะตทเหะ๊ ่อีลเห่ียศั ลมว่ียทินม่ีอทศใั ี่อนวศันิ วKใินiใnKนginKMginMgccAMAcrrtAthhruutrhruไrมไไม่ใมช่ใ่ใส้ ชชา้สส้หาร�ำหับหรกับรารกับปากรปะารชระุมปชุรมะชุม ท่ีมา. Officทefม่ี ทoาีม่r.uOา..fcOfiocffemifcoe.rfu(o.2rcuo5.mc6o.3m()2.5(6235)63) เพราะถา้ เปน็ โตะ๊ เหลย่ี ม จะตอ้ งมคี นใดคนหนง่ึ เปน็ ประธาน (Chairman) ซงึ่ พวกเขาจะ ไม่ยอมกัน การนั่งประชมุ โต๊ะกลม เปน็ การสือ่ ถึงความเทา่ เทยี มกนั ของสมาชิกทกุ คน ไมม่ ีดา้ นหวั หรอื ดา้ นทา้ ย เป็นความเสมอภาค เรียกว่า “อัศวนิ โตะ๊ กลม” (Knights of the Round Table) โดยธรรมชาติ โต๊ะกับข้าวไม่ว่าจะเป็นของอเมริกา ของยุโรป หรือของใครต่อใครใน ประเทศท่ีเป็นชนผิวขาว เรียกว่า Dining table ซ่ึงโดยทั่วไปจะมีเก้าอีก 7-9 ตัว อาหารจะวางอยู่ ตรงกลาง และจะมปี ฏสิ มั พันธก์ นั ภายในครอบครวั หรอื แมแ้ ตโ่ ต๊ะกับขา้ วแบบจนี กเ็ ปน็ โต๊ะกลม ไม่มใี ครเลยี นแบบใคร มนั เกดิ ขน้ึ โดยธรรมชาติ การประยุกตโ์ ต๊ะจนี มาใชก้ บั การสนทนากลมุ่ แบบ เจาะจง ในทางวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพนนั้ มลี ักษณะการจดั ประกอบดว้ ย 10 คน คนท่เี ชิญมาร่วม 7 คน รวมนกั วจิ ยั 3 คน เทา่ กบั 10 คน เมอ่ื คน 7 คน มารวมกัน แต่ละคนอาจเกิดอาการประหม่า จงึ
มีปฏิสมั พนั ธก์ นั ภายในครอบครัว หรือแมแ้ ต่โต๊ะกบั ขา้ วแบบจีนกเ็ ป็นโตะ๊ กลม ไม่มีใครเลียนแบบใคร มคุณนั เภกาิดพขน้ึน้นั โมดียลธกั รษรณมะชกาาตริ จกดั ารปปรระะกยอุกบตด์โว้ ตย๊ะ1จ0ีนคมนาใคชน้กทับี่เชกิญาRรมสeานsรe่วทaมrนc7าhกคiลนnุ่มEรแวdบมuบนcเaกัจtวาiะoิจจnยั งa3lใคAนนdทmาเทงiวn่าิกจisยับัtเrช1aิ0งtion • 133 คน เม่ือคน 7 คน มารวมกนั แต่ละคนอาจเกิดอาการประหม่า จึงจาเป็นตอ้ งมีนกั วิจยั คนท่ีสามทาหนา้ ที่ จำ� เปน็ ตอ้ งเปม็นนี Sกัerวveจิ rยั คคือนเปท็นสี่ ผคูา้ มอยทเสำ� ิรห์ฟนอาา้ หทารเี่ ปวา่ น็งวSางeตrรvงeกrลาคงอื เพเื่อปลน็ะลผาคู้ยพอฤยตเิกสรริรมฟ์ ทอาาใหหห้ารายวปา่ รงะวหามง่าตสรรง้างกลาง เพอื่ อNลธนระะกัoรลไtวeรมาจิ บยชtัยaพา้ าคkงตฤนeดบอใขิมเตrพนทดา้ัอรากิเวคเรนมอ่ืหี่สกงรยูิือนลียนสาขนรเงกกนขมำ�นึ้ไ่งึเาาียทปมไรศทนปทสน่คกค็นน่ไอานัำ�ถำ�ุยแผปยใทหเกออลดหทู้คนงะนีดนั จาาห้อตนึงงค้ารอ้ยดตาผง่ัทวเู้งยงคอูัจ้ร้รจาภ่ีูุ้ยงคปด่อืเดมามกปนบพรงีนนั ไค็นนัทะปกัแหอท่ีสหวบร3Mนึกิจย.บมะม5ยไับหoเยัควาแ่ ดdลันน้ลกสวน็วeะทา่อ่ทมรrใตนี่สaคนา้ึก้อๆอtร้ใีงoเงสงคพเทบมปทrูด่ิงร็ีนรปานคอทหพรับกะอือน่ีผยดูวรไัดา้ิรรจู้ราเมทปยบเัยกู้พส่ีาาคา้Nน็ากกงูดยีนศoาคเทงtใศทพกeนไนธี่ี่สหื่อtนัมรaวนดนkุดรค่เงาe่ึอมำ�งไrอ่สเขชงปทคนยานอ้ืถอนาตนิดหอมิทมเงั่ปดีกนาูลจค็นนคกา้าึงเยวุผขทราอตา้กคึูน้แ่ีสมยีเออ้ปนัลคงนปย็งนุยไะแจรทมกปดตะบMนันีนเทค้อดบรoอกัน็าู้าเงdหรยeนงวจื่อบrด้ลผีใaจิดงนัคtังวรู้oยับทรสrภมู้คคพึกันมคานนูดสๆืยัอพทม่ิงกไทเทเา่ทอหึกปปกสี่ี่ผน็ นไี่นทน็รู้3เวอูทค้พี่ส.บ้วง5นแุปดูดท่ารลร�ำะใหยคตารน้อกพง้าาทมูดศีี่ ทภา่ีมพา.ทธ่ี น3.ว5รภทราม่ีโพณตา.ท๊ะธผ่ี กน3้า.วลใ5รบมรโณสต(มะ๊ผ�ำกา้ห.ใปลบรม.ปสับ(มา.ค.ห)ปนร.ปับจ.ค)�ำนนจาวนนวน1100 คคนนใในนวงวกงากรสานรทสนนากทลนุม่ แาบกบลเจ่มุ าแะจบงบเจาะจง จากภาพที่ 3.5 โตะ๊ กลมสำ� หรบั คนจำ� นวน 10 คน ในวงการสนทนากลมุ่ แบบเจาะจงนนั้ ประกอบด้วยคนทเี่ ชญิ มารว่ ม 7 คน นักวิจัย 3 คน ซง่ึ แตล่ ะคน จะทำ� หน้าท่ตี า่ งกัน แตป่ ระสาน รว่ มมอื กนั เพอ่ื ใหก้ ารสนทนากลมุ่ แบบเจาะจงเปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ดงั แสดงในตารางที่ 3.2 ตารางท่ี 3.2 คนจ�ำนวน 10 คน ในวงการสนทนากลมุ่ แบบเจาะจง ผูเ้ ข้าร่วม Focus group จำ�นวน หนา้ ที่ คนทีเ่ ชิญมารว่ ม (Key informants) 7 ใหข้ ้อมูลสำ�คญั นกั วจิ ยั คนที่ 3 (Server) 1 บริการ นกั วจิ ัยคนที่ 2 (Note taker) 1 จด หรือบนั ทกึ นกั วิจยั คนที่ 1 (Moderator) 1 ดำ�เนินการสนทนา จากตารางท่ี 3.2 จะเหน็ วา่ จำ� นวนคนในวงการสนทนากลมุ่ แบบเจาะจง ซงึ่ ประยกุ ตม์ า จากวงรบั ประทานอาหาร หรือวงสนทนาทเ่ี กดิ ข้ึนในชุมชน มีท้ังหมด 10 คน ประกอบดว้ ยคนท่ี เชิญมารว่ มจำ� นวน 7 คน นกั วิจยั จำ� นวน 3 คน โดยนกั วิจัยคนท่ี 3 ท�ำหนา้ ทีบ่ ริการ นักวิจยั คนท่ี 2 ทำ� หนา้ ทีจ่ ด หรอื บนั ทึก และนกั วจิ ยั คนที่ 1 ท�ำหนา้ ทด่ี �ำเนินการสนทนา
134 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา 4) การจัดคนเข้ากลุ่มและการต้ังเกณฑ์ ผู้วิจัยต้องระมัดระวังในการจัดคน เข้ากลุ่มเพ่ือมิให้มีการข่มทางปัญญา เพราะการข่มทางปัญญา จะท�ำให้ข้อมูลเอียงกระเท่เร่ไปทาง ผขู้ ่ม การจัดใหม้ ีคณุ สมบัติคล้ายกนั เขา้ กลมุ่ จะชว่ ยลดการข่มกนั ทางปัญญา ซึง่ จะมกี ารขม่ แน่แต่ จะข่มกันนอ้ ยลง การจดั คนเข้ากล่มุ ตอ้ งมหี ลักในการจัด ดังน้ี 4.1) มีหัวขอ้ เรื่อง (Topic) 4.2) มีผูร้ ู้จรงิ (Key informants) 4.3) มีเกณฑค์ ดั เลอื กท่คี ลา้ ยคลงึ กัน (Homogeneous) สว่ นการตง้ั เกณฑค์ ดั เลอื ก ตอ้ งเปน็ เกณฑท์ เี่ รยี กวา่ Homogeneous (คณุ สมบตั ิ ทคี่ ล้ายคลึงกัน) และสอบถามเพอื่ คัดเลือกคนเขา้ กลมุ่ สนทนา (เลือก-ไมเ่ ลือก เข้าข่าย-ไม่เข้าขา่ ย) โดยอาจท�ำไดด้ ังตวั อยา่ งในตารางท่ี 3.3 ตารางที่ 3.3 การตง้ั เกณฑค์ ดั เลอื กและสอบถามเพื่อคดั เลือกคนเข้ากลมุ่ สนทนา สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม (SES) หัวข้อเร่ือง (Topic) 1. เพศ 2. อายุ 3. อาชีพ 4. รายได้ 5. เขตที่อย่อู าศัย 6. สผี ิว 7. ฐานะทางสงั คม 8. สถานภาพสมรส 9. ศาสนา 10. เคยกนิ บะหมี่กึ่งสำ�เรจ็ รูปมาแลว้ 5 ปี จากตารางท่ี 3.3 แสดงการตงั้ เกณฑค์ ดั เลอื กและสอบถามเพอื่ คดั เลอื กคนเขา้ กลมุ่ สนทนา โดยเป็นการตั้งเกณฑ์เก่ียวกับสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมท่ีคาดว่าจะเกิดการข่มกันทางปัญญา จ�ำนวน 10 อย่าง (อาจเพ่ิมหรือลดตามความเหมาะสม) ซึ่งถ้าผู้วิจัยต้ังเกณฑ์แบบน้ีก็จะได้ข้อมูล ทีล่ ึกจรงิ จากนั้นสอบถามเพ่ือคัดเลือกคนทีม่ คี ุณสมบตั ิคล้ายคลึงกันเขา้ กลุ่มสนทนา 5) การตรวจสอบแบบสามเส้า การตรวจสอบแบบสามเส้า (Triangular) หมายถงึ การตรวจสอบไขวไ้ ปไขวม้ าเพอื่ ใหแ้ นใ่ จวา่ เปน็ ขอ้ มลู ทจี่ รงิ ถกู ตอ้ ง ไมใ่ ชเ่ ลข 3 อาจมากกวา่ 3 แหลง่ แต่อยา่ งนอ้ ยควรมี 3 แหล่ง หรือ 3 วิธี 3 กลุม่ ผ้รู ู้ ท้งั น้เี พอ่ื ให้เกดิ “ความนิ่ง” ของข้อมลู หรือข้อมลู “ตกผลกึ ” แล้ว
Research in Educational Administration • 135 “ความนิ่ง” คือ ข้อมูลเหมือนกันท้ังหมด หรือส่วนใหญ่เหมือนกัน ส่วน “ความไม่น่ิง” คือ ข้อมูลมันขัดกัน ดังน้ัน นักวิจัยต้องศึกษาต่อไปว่า มันไม่นิ่งเพราะอะไร ท้ังนี้ เพื่อจะยืนยันให้ได้ การตรวจสอบแบบสามเส้าเป็นวิธีพิสูจน์ว่า ข้อมูลของเรามันนิ่งหรือไม่นิ่ง “ความไม่น่ิง” อาจเป็นเพราะ เพศต่างกัน ผิวต่างกัน ลัทธิความเช่ือต่างกัน ชนช้ันต่างกัน สภาพ แวดล้อมหมู่บ้านต่างกัน ฯลฯ เม่ือนักวิจัยทราบแล้ว ก็จะได้ยกมาเป็นเหตุผลในการอภิปราย ปรากฏการณ์ในเวลาเขียนผลการวิเคราะห์ ดังนั้น การตรวจแบบสามเส้า เป็นความแม่นตรงและ เช่ือถือได้ของข้อมูล อันจะน�ำไปสู่การวิเคราะห์ และการตีความหมายด้วยหลักการรังสรรค์วิทยา (Constructionology) ไดง้ า่ ยขึ้นและเรว็ ขน้ึ นน่ั เอง 6) การเตรยี มการสนทนากลุม่ ในการจดั สนทนากลุม่ ผู้วิจัยควรเตรยี มการ สนทนากลมุ่ ใหพ้ รอ้ มมากทส่ี ดุ เพอ่ื ใหก้ ารสนทนากลมุ่ ดำ� เนนิ ไปไดอ้ ยา่ งราบรนื่ และมปี ระสทิ ธภิ าพ โดยพิจารณาจัดเตรียมองค์ประกอบต่าง ๆ ทเ่ี กีย่ วข้องกับการสนทนากลุ่ม ดังนี้ 6.1) ก�ำหนดเร่ืองท่จี ะศกึ ษา ควรเปน็ เรื่องทม่ี คี วามเฉพาะเจาะจงเพอื่ ให้ ผู้ร่วมสนทนากลุ่มได้แสดงความคิดเห็นและแลกเปล่ียนความคิดเห็นซึ่งกันและกันในประเด็น เฉพาะเรอ่ื งใดเร่อื งหน่งึ เท่านน้ั เพอื่ ใหไ้ ดข้ ้อเท็จจริงท่มี ีความชดั เจน 6.2) ก�ำหนดค�ำถาม หลงั จากท่ีได้กำ� หนดเรื่องทจ่ี ะศึกษาแล้ว ผวู้ ิจัยควร ก�ำหนดประเดน็ หรอื ตัวแปรในเร่ืองที่จะศกึ ษานน้ั โดยเปน็ ประเด็นทีส่ อดคล้องกบั แนวคดิ ทฤษฎี หรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพ่ือน�ำมาสร้างค�ำถามในการสนทนากลุ่มส�ำหรับให้ผู้ด�ำเนินการสนทนา กลุ่ม (Moderator) ต้ังประเด็นค�ำถามในการสนทนากลุ่ม ซึ่งค�ำถามควรมีลักษณะกว้าง ๆ และ ไม่ควรเป็นคำ� ถามที่เป็นการชี้นำ� ค�ำตอบ 6.3) จัดระบบหมวดหม่แู ละระบบค�ำถาม ผวู้ จิ ัยตอ้ งนำ� คำ� ถามท่ีกำ� หนด ทงั้ หมดมาพจิ ารณาจดั ใหเ้ ปน็ หมวดหมแู่ ละเรยี งลำ� ดบั คำ� ถามสำ� หรบั การสนทนากกลมุ่ อยา่ งเหมาะสม 6.4) ก�ำหนดผู้รว่ มสนทนากลมุ่ ผูว้ ิจัยควรพิจารณาจากเกณฑค์ ณุ สมบตั ิ ของผู้ที่จะเข้าร่วมสนทนากลุ่ม โดยประเด็นที่ควรค�ำนึงถึงในการก�ำหนดเกณฑ์คุณสมบัติของ ผู้ร่วมสนทนากลุ่ม คือ ความคล้ายคลึงกัน (Homogenous group) ในด้านภูมิหลัง ความรู้ และ ประสบการณท์ เี่ ก่ยี วขอ้ งกบั ประเดน็ ทสี่ นทนากลุ่ม 6.5) เตรียมความพร้อมของทีมงาน บุคคลในทีมงานการสนทนากลุ่มท่ี ควรได้รับการเตรียมความพร้อมส�ำหรับท�ำหน้าท่ีเพ่ือให้การสนทนากลุ่มด�ำเนินไปได้อย่างราบร่ืน ไดแ้ ก่1)ผดู้ ำ� เนนิ การสนทนากลมุ่ (Moderator)ควรมคี ณุ สมบตั เิ ปน็ ผนู้ ำ� มคี วามไวตอ่ พฤตกิ รรมและ ค�ำพดู มีทักษะในการตัง้ ประเดน็ ค�ำถาม กระตนุ้ ใหผ้ ู้ร่วมสนทนาได้แสดงออก ควบคุมการสนทนา ไมใ่ หอ้ อกนอกประเดน็ ควบคมุ อารมณ์แกไ้ ขปญั หาเฉพาะหนา้ สามารถสอื่ สารและสามารถบรหิ าร เวลาภายในเวลาทก่ี ำ� หนด มหี นา้ ทเ่ี ปน็ ผนู้ ำ� การสนทนากลมุ่ ใหเ้ ปน็ ไปตามประเดน็ หรอื แนวคำ� ถาม ท่ตี ้ังไว้เพอื่ ให้ไดข้ อ้ มูลทช่ี ัดเจน ลกึ ซึ้ง และตรงประเด็น 2) ผูบ้ นั ทึกการสนทนากลมุ่ (Note taker) มหี นา้ ทบ่ี นั ทกึ ขอ้ มลู โดยตลอดการสนทนากลมุ่ โดยบนั ทกึ คำ� พดู คำ� โตแ้ ยง้ และความคดิ เหน็ ของผู้ รว่ มสนทนากล่มุ ซง่ึ ตอ้ งบนั ทึกอยา่ งละเอยี ดและครอบคลมุ สาระส�ำคัญ รวมทั้งบันทกึ พฤตกิ รรม การแสดงออกทั้งโดยสีหน้าและท่าทาง และ 3) ผอู้ �ำนวยความสะดวก (Facilitator or Providers)
136 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา มีหน้าท่ีเป็นผู้คอยดูแล เอื้ออ�ำนวยความสะดวก บริการน้�ำดื่ม ขนม บันทึกเสียง และดูแลไม่ให้มี การรบกวนผรู้ ่วมสนทนากลุ่ม 6.6) อุปกรณ์ส�ำหรับบันทึกการสนทนากลุ่ม ต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ ส�ำหรับบันทึกการสนทนากลุ่ม ได้แก่ เคร่ืองบันทึกเสียงส�ำหรับบันทึกเสียงไว้ตลอดเวลาการ สนทนา โดยควรเตรียมเครือ่ งบนั ทกึ เสียงอย่างน้อย 2 เครือ่ ง เพ่ือปอ้ งกันการสูญหายและจะท�ำให้ เสยี งมีความชดั เจน และใหจ้ ัดเตรียมกล้องถา่ ยรปู สำ� หรบั ถา่ ยภาพบรรยากาศต่าง ๆ ด้วย 6.7) สถานทที่ จี่ ดั สนทนากลมุ่ ควรเปน็ สถานทท่ี มี่ คี วามเปน็ สว่ นตวั เงยี บ ไม่มเี สยี งรบกวน อากาศถา่ ยเทได้สะดวก และไม่ถูกรบกวนจากส่งิ ต่าง ๆ 6.8) ระยะเวลาในการสนทนากลุ่ม ส�ำหรับเวลาในการสนทนากลุ่มที่ เหมาะสมนั้น ไม่ควรเกิน 2 ช่ัวโมง ซึ่งเป็นระยะเวลาท่ีผู้ร่วมสนทนากลุ่มจะไม่เหน่ือยล้าเกินไป อยา่ งไรกต็ าม หากมปี ระเดน็ ทจ่ี ำ� เปน็ ตอ้ งนำ� มาสนทนากลมุ่ หลายประเดน็ กไ็ มค่ วรใชเ้ วลาสนทนา กลมุ่ เกนิ 3 ช่วั โมง 6.9) ของก�ำนลั หรอื ของทร่ี ะลกึ ควรจดั เตรยี มของกำ� นลั หรอื ของทรี่ ะลกึ ให้แก่ผู้ร่วมสนทนากลุ่ม เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่เสียสละเวลามาร่วมสนทนากลุ่มและ เพอ่ื มอบเป็นของทรี่ ะลกึ 7) การดำ� เนินการสนทนากลุ่ม ในการด�ำเนนิ การสนทนากลุ่ม ผ้ดู ำ� เนนิ การ ควรทบทวนบทบาทหน้าท่ีของตนในฐานะเป็นผู้น�ำการสนทนากลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ โดย ด�ำเนินการไปตามลำ� ดบั ตามชว่ งของการสนทนากลมุ่ ดงั นี้ ชว่ งเรม่ิ ตน้ การสนทนากล่มุ 7.1) กลา่ วต้อนรบั ผเู้ ข้ารว่ มสนทนากลุ่ม เมื่อผ้รู ่วมสนทนามาถงึ สถานท่ี สนทนาครบถ้วนแล้ว ผดู้ �ำเนินการควรกล่าวตอ้ นรบั ผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนากลมุ่ ดว้ ยนำ้� เสยี งและสีหนา้ ท่เี ปน็ มติ รและบรรยากาศทอ่ี บอุน่ 7.2) กล่าวแนะน�ำคณะผู้วิจัย และทีมงานทุกคน ตลอดถึงแนะน�ำผู้ร่วม สนทนากลมุ่ ให้รจู้ กั และคนุ้ เคยซ่ึงกันและกัน 7.3) ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการสนทนากลุ่ม ประโยชน์ท่ีได้จากการ สนทนากลุ่ม รวมทั้งเหตุผลท่ีได้พิจารณาคัดเลือกผู้ร่วมสนทนากลุ่มให้มาร่วมสนทนาในประเด็น หรือหัวข้อเร่ืองที่ศึกษา เพื่อให้ผู้ร่วมสนทนากลุ่มรู้สึกเป็นเกียรติท่ีตนได้รับคัดเลือกและเชิญมา รว่ มสนทนากลมุ่ 7.4) กำ� หนดกตกิ ารว่ มกนั และปฏบิ ตั ติ ามในการสนทนากลมุ่ เชน่ การพดู ทลี ะคน การแสดงความคดิ เห็นได้แมจ้ ะมีความคิดเหน็ ที่แตกตา่ งจากคนอ่ืน ๆ 7.5) ตอ้ งขออนญุ าตจดบนั ทกึ หรอื ใชเ้ ครอ่ื งบนั ทกึ เสยี งขณะสนทนากลมุ่ รวมทง้ั ขออนุญาตถ่ายภาพการสนทนากลมุ่ 7.6) เร่ิมต้นการสนทนาด้วยค�ำถามอุ่นเคร่ือง (Small talk) ซึ่งเป็น ประเด็นการสนทนาเบา ๆ ที่จะท�ำให้ผู้ร่วมสนทนาไม่รู้สึกอึดอัด เป็นการสร้างความคุ้นเคย แต่ตอ้ งเปน็ ประเดน็ ซ่งึ สามารถจะเช่ือมโยงไปสูป่ ระเด็นหลักได้
Research in Educational Administration • 137 ช่วงการสนทนากล่มุ 7.7) ผู้ดำ� เนินการสนทนากลุ่ม ขอใหผ้ ้รู ่วมสนทนาอภปิ รายประเด็นหลัก อย่างอิสระเก่ียวกับพฤติกรรม หรือเหตุการณ์ที่เก่ียวข้องกับเร่ืองที่จะศึกษา โดยใช้ค�ำพูด หรือ การถามเพอื่ แสดงความอยากรู้ในเรอื่ งทผ่ี ู้ร่วมสนทนานำ� เสนอ 7.8) เมอ่ื เกดิ ความขดั แยง้ ในประเดน็ ทนี่ ำ� เสนอ ผดู้ ำ� เนนิ การจะตอ้ งรจู้ กั ใช้ ทกั ษะในการจดั การกบั ความขัดแย้งในกลุ่ม โดยควบคุม หรอื ตดั ประเดน็ ทค่ี าดวา่ จะนำ� ไปส่คู วาม ขดั แยง้ และใหโ้ อกาสแกผ่ รู้ ว่ มสนทนาทไี่ มค่ อ่ ยไดแ้ สดงความคดิ เหน็ โดยตอ้ งแสดงความเปน็ กลาง ในประเด็นท่ผี ู้ร่วมสนทนาเหน็ แตกตา่ งกันหรอื มีความคิดเหน็ ขดั แยง้ กนั 7.9) ผดู้ ำ� เนนิ การไมแ่ สดงตวั วา่ เปน็ ผรู้ ดู้ ใี นประเดน็ สนทนา และไมเ่ ขา้ ไป แก้ไขความรู้ความเข้าใจของผู้ร่วมสนทนา หากผู้ร่วมสนทนาขอให้แสดงความคิดเห็น ควรหลีก เลีย่ งการเสนอความเหน็ อย่างสุภาพ 7.10) ผู้ด�ำเนินการ ควรใช้การต้ังประเด็นเพ่ือให้เกิดการโต้เถียง และ อภปิ รายกนั อยา่ งกวา้ งขวาง ช่วงสน้ิ สดุ การสนทนากลุม่ 7.11) กลา่ วคำ� ขอบคณุ และคำ� อำ� ลาผรู้ ว่ มสนทนากลมุ่ รวมทงั้ มอบของท่ี ระลึกเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณพรอ้ มทัง้ ถ่ายรปู รว่ มกนั ตามความเหมาะสม 7.12) จดั เตรียมข้อมลู เพ่ือนำ� ไปวเิ คราะห์ ทง้ั ข้อมูลทไ่ี ด้จากการจดบันทึก ไวแ้ ละขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการถอดออกมาจากเครอื่ งบนั ทกึ เสยี ง หรอื ขอ้ มลู เอกสารอนื่ ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ประเด็นทศี่ กึ ษา 3.3.4 การศึกษาจากเอกสาร การศึกษาจากเอกสาร (Documentary studies) เป็นหน่ึงในเคร่ืองมือการวิจัย เชิงคุณภาพท่ีนักวิจัย นักวิชาการหรือผู้ที่มีความสนใจแสวงหาค�ำตอบทางสังคมศาสตร์หรือ มานุษยวิทยา มักเลือกใช้เมื่อปรากฏการณ์ท่ีต้องการศึกษาวิจัยน้ันมีข้อจ�ำกัดในการเข้าถึงแหล่ง ข้อมูลหรือหลักฐานที่เป็น “บุคคลผู้รู้” ที่จะสามารถถ่ายทอดความรู้ ความคิด หรือแสดงออกซ่ึง พฤตกิ รรมอนั จะน�ำไปส่กู ารอธบิ ายข้อสงสยั ต่าง ๆ ได้ ในท่ีน้ี ขอนำ� เสนอประเดน็ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับ การศกึ ษาเอกสาร 3 ประเดน็ ไดแ้ ก่ การใชข้ ้อมลู เอกสาร ประเภทของแหลง่ ข้อมูลเอกสาร และ เกณฑ์ในการเลือกเอกสาร โดยมรี ายละเอียด ดงั นี้ 1) การใช้ข้อมลู เอกสาร การศกึ ษาเอกสารมคี วามเก่ียวขอ้ งโดยตรงกับ การใช้ข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ ท่ีได้มีการจัดพิมพ์เผยแพร่ไว้อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ การวิจัยเอกสาร จึงเป็นการใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) หลากหลายแหล่ง อย่างไรก็ตาม จากชอ่ื ของการวิจัยเอกสาร อาจจะทำ� ให้เกิดความเขา้ ใจทคี่ ลาดเคลอ่ื นว่า การวิจัยเอกสารเปน็ การ วิจัยท่ีผู้วิจัยศึกษาข้อมูลเฉพาะข้อมูลในรูปแบบเอกสารหรือสิ่งท่ีเขียนข้ึนโดยใช้ตัวอักษรเท่าน้ัน แท้ทีจ่ ริงแล้ว การวจิ ัยเอกสาร หมายถึง การแสวงหาค�ำตอบหรอื การสร้างองคค์ วามรดู้ ว้ ยการใช้ หนังสือ (Text) และเอกสาร (Document) ตา่ ง ๆ นอกจากน้ี ยังรวมถึงสื่อในรูปแบบอื่น ๆ เช่น
138 • การวจิ ัยทางการบริหารการศึกษา ภาพยนตร ์ วดี ิทศั น์ ภาพวาด สมดุ บันทกึ ท้งั ที่เปน็ สงิ่ พิมพห์ รือสือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์ (Scott, 2006) ด้วยเหตนุ ี้ คำ� ว่า “เอกสาร” จงึ มิไดห้ มายถึงเฉพาะสง่ิ พิมพเ์ ท่านนั้ กล่าวโดยสรปุ ในทางการวิจัย ถือว่า “การวิจัยเอกสาร” เป็นการวิจัยทางสังคมศาสตร์อย่างหน่ึง (Social research) ผู้วิจัยเก็บ รวบรวมขอ้ มูลจากหนังสือ เอกสาร รายงานหรือสื่ออ่นื ๆ แลว้ เสนอผลการศกึ ษาในเชงิ วิเคราะห์ และสงั เคราะห์ข้อมลู ทีไ่ ด้ ท้งั น้ี การวิเคราะหข์ ้อมลู จากเอกสาร ผูว้ ิจัยสามารถใช้ทง้ั วธิ ีเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ส่วนใหญ่แล้ว การวิจัยเชิงเอกสารได้รับความนิยมมากในการศึกษาระดับ โรงเรยี นและระดบั มหาวทิ ยาลยั ซง่ึ สว่ นใหญแ่ ลว้ มกั เขยี นในรปู แบบของรายงานการศกึ ษาคน้ ควา้ ทางวิชาการ ท่ีมีการศึกษาขอ้ มูลจากแหล่งข้อมลู ท่เี ปน็ เอกสารหรอื สอื่ ตา่ ง ๆ อยา่ งหลากหลาย การใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เป็นเอกสารมีข้อท่ีนักวิจัยควรพิจารณา ก�ำหนดเป็น แนวทางในการวิจัยก็คือ เอกสารส่วนใหญ่ซึ่งอาจจะเขียนข้ึนโดยบุคคลหรือคณะบุคคลก็ตาม ย่อมตอ้ งมวี ัตถุประสงค์หรือเปา้ หมายเฉพาะสำ� หรับเอกสารชิน้ น้นั ตวั อย่างเช่น นวนิยาย ผู้เขยี น ก็ต้องแต่งข้ึนตามจินตนาการเพ่ือน�ำเสนอสารบางอย่าง โดยมีจุดเน้นเพื่อสร้างความบันเทิงหรือ ให้ข้อคิด ดังนั้น การน�ำนวนิยายมาวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์สภาพสังคม ประวัติศาสตร์ ค่า นิยมหรือความเชื่อบางอย่างในนวนิยาย เป็นการวิเคราะห์ทางอ้อม เพราะในนวนิยายอาจจะมิได้ กล่าวถึงประเด็นเหล่านี้อย่างชัดเจนนัก วัตถุประสงค์ของเอกสารที่น�ำมาศึกษากับวัตถุประสงค์ ของการวิจัยจึงอาจจะไม่สอดคล้องกัน ดังที่ Mogalakwe (2006, p. 222) ได้อธิบายในประเด็นน้ี ซงึ่ สรปุ ไดว้ า่ เอกสารแตล่ ะฉบบั นน้ั เขยี นขนึ้ โดยมเี ปา้ หมายหรอื อยบู่ นสมมตฐิ านทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป นอกจากน้ี ยังน�ำเสนอในวิธีและรูปแบบท่ีแตกต่างกันไปอีกด้วย การน�ำข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ มาวิเคราะห์ นักวิจัยจึงต้องให้ความส�ำคัญ โดยจะต้องสนใจอย่างยิ่งต่อเป้าหมายที่แท้จริงของ เอกสาร รวมถงึ ผูท้ ี่เป็นผูใ้ ชข้ ้อมูลจากเอกสารนั้นอย่างแทจ้ ริงดว้ ย 2) ประเภทของแหล่งข้อมูลเอกสาร เอกสารที่น�ำมาใช้ในการศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้ใหม่นั้น ตามความหมายของนักวิชาการดังท่ีกล่าวข้าง ต้น จะเห็นได้ว่ามิได้หมายถึงแต่เฉพาะส่ือที่เป็นอักษรหรือเผยแพร่ด้วยการพิมพ์เท่านั้น สื่อภาพ เคลอื่ นไหว สอ่ื เสยี ง สอื่ ภาพนงิ่ เหลา่ นถ้ี อื เปน็ แหลง่ ขอ้ มลู สำ� หรบั การวจิ ยั เอกสารทงั้ สนิ้ โดยทว่ั ไป นกั วชิ าการไดแ้ บง่ ประเภทของเอกสารไวเ้ ปน็ สองประเภท ไดแ้ ก่ เอกสารชน้ั ตน้ และเอกสารชนั้ รอง โดยมรี ายละเอียดสรปุ ได้ ดังน้ี (Bailey, 1994, p. 194) 2.1) เอกสารชั้นต้นหรือปฐมภูมิ (Primary document) เอกสาร ช้ันต้น หมายถึง เอกสารท่ีเขียนขึ้นโดยบุคคลท่ีเรียกว่า ประจักษ์พยาน (Eye-witness) ที่อยู่ใน เหตุการณ์ ณ ขณะท่ีเหตุการณ์น้นั กำ� ลงั เกิดขึน้ จริง ๆ ตวั อย่างเช่น บันทกึ ทางประวตั ิศาสตร์ ซง่ึ ผู้เขียนยังมีชีวิตอยู่ร่วมในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นั้น หรือบันทึกส่วนตัว (Diary) ที่ผู้เขียน แสดงความคิดและความรู้สึกของตนเองในบันทึกนั้น ซ่ึงหากจะศึกษาบุคคล นักวิจัยก็สามารถ ศึกษาได้จากบันทึกส่วนตัวของบุคคลที่ตนเองสนใจ เพราะจะท�ำให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับสิ่งที่ ตอ้ งการศึกษามากทีส่ ุด 2.2) เอกสารชัน้ รองหรอื ทุติยภมู ิ (Secondary document) เอกสาร ชั้นรอง หมายถึง เอกสารท่ีเขียนข้ึนโดยบุคคลท่ีมิได้เป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์
Research in Educational Administration • 139 หน่ึง ซ่ึงอาจจะเป็นผู้ท่ีรับทราบข้อมูลจากประจักษ์พยาน ด้วยการสนทนา หรือการบอกเล่าสืบ ต่อ ๆ กันมา หรือได้เคยอ่านผลงานการเขียนของประจักษ์พยาน ข้อมูลจากเอกสารชั้นรองนี้จึง อาจจะมขี ้อมูลที่คลาดเคลอ่ื นมากกว่าเอกสารชน้ั ตน้ นอกจากเกณฑ์การแบ่งตามประสบการณ์หรือการเข้าไปมีส่วนร่วม ของผเู้ ขียนแลว้ เรายงั สามารถแบ่งประเภทของเอกสารได้ตามแหล่งผลิตเอกสารฉบับน้นั ๆ ด้วย กลา่ วคอื แบ่งเป็นเอกสารสาธารณะและเอกสารส่วนบุคคล ดงั น้ี 1) เอกสารสาธารณะ (Public document) หมายถึง เอกสารที่เขียน และตพี มิ พเ์ ผยแพรโ่ ดยหนว่ ยงานสาธารณะ ทง้ั ภาครฐั และเอกชน ทง้ั นเี้ พอื่ นำ� เสนอขอ้ มลู นโยบาย แนวทางหรอื ขอ้ ความรตู้ า่ งๆตวั อยา่ งของเอกสารสาธารณะเชน่ กฎหมายในรปู พระราชบญั ญตั ิพระ ราชกฤษฎกี า กฎกระทรวง รายงานประจำ� ป ี หรอื เอกสารทแี่ สดงคา่ สถติ ติ า่ ง ๆ ทไ่ี ดม้ กี ารวเิ คราะห์ ไว ้ เอกสารสาธารณะเหล่าน้เี ปน็ เอกสารท่ีจัดพมิ พ์ขึ้นเป็นประจ�ำตามวาระของหน่วยงานราชการ 2) เอกสารส่วนบคุ คล (Personal document) หมายถงึ เอกสารท่มี ไิ ด้ เผยแพรต่ อ่ สาธารณะ ซงึ่ อาจจะเปน็ ขอ้ มลู ภายในของหนว่ ยงาน หรอื อาจจะเปน็ ขอ้ มลู ทบ่ี คุ คลเขยี น ขึ้นจากบันทึกส่วนตวั จดหมายเตอื นความจำ� หรอื เอกสารที่เกย่ี วขอ้ งกับบุคคลในลักษณะอ่นื ๆ เชน่ ภาพถา่ ย บนั ทึกทางการแพทย์เกี่ยวกบั สขุ ภาพ บันทกึ ประจำ� วนั จดหมายสว่ นบคุ คล 3) เกณฑ์ในการเลือกเอกสาร ข้อมลู ในการวิจยั เอกสารทง้ั หมดยอ่ ม ไดม้ าจากการศกึ ษาจากสอื่ เอกสารในลกั ษณะตา่ ง ๆ ทสี่ อดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั ดว้ ย เหตุนี้ การคัดเลือกเอกสารเพื่อน�ำมาวิเคราะห์จึงเป็นขั้นตอนท่ีมีความส�ำคัญมาก เพราะเอกสาร ท่ีเก่ียวข้องกับประเด็นในการวิจัยย่อมมีมาก อีกท้ังเอกสารบางชนิดยังมีความซับซ้อนของข้อมูล ผู้วิจัยย่อมไม่อาจท่ีจะศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้องได้ครบทุกช้ิน ดังน้ัน จึงมีความจ�ำเป็นที่จะต้องมี เกณฑ์สำ� หรบั การคดั เลือกเอกสารมาใช้ในการวิจัย ซึง่ เกณฑท์ ีส่ �ำคัญประกอบดว้ ย 1) ความจริง 2) ความถูกต้องน่าเชื่อถือ 3) การเป็นตัวแทน และ 4) ความหมาย โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับ เกณฑต์ ่าง ๆ สรุปไดด้ งั น้ี (Scott, 1990, pp. 1-2) 3.1) ความจริง (Authenticity) หมายถึง ผู้วิจัยจะต้องคัดเลือก เอกสารที่เป็นเอกสารที่แท้จริง (Origin) ซึ่งมีความส�ำคัญมากต่อการวิจัยทางสังคมศาสตร์ การพิจารณาว่า เอกสารน้ันเป็นเอกสารที่ให้ข้อมูลแท้จริงหรือไม่ จะเกิดข้ึนจากการตรวจสอบ ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียนหรือหน่วยงานที่เขียนเอกสารว่า มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ อย่างไร รวมถึง ขอ้ มลู ทป่ี รากฏในเอกสารนน้ั สอดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู ในบรบิ ทอนื่ ๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ ณ ชว่ งเวลาทมี่ กี ารเขยี น เอกสารนนั้ อยา่ งไร 3.2) ความถกู ตอ้ งนา่ เชอ่ื ถอื (Credibility) หมายถงึ ผวู้ จิ ยั จะตอ้ ง คัดเลือกเอกสารด้วยการพิจารณาว่า เอกสารนั้นจะต้องไม่มีข้อมูลที่ผิดพลาด บิดเบือนหรือคลาด เคลื่อนไปจากความเป็นจรงิ ตวั อย่างทเ่ี ห็นไดช้ ัด ก็คอื เอกสารจ�ำพวกหนังสือพมิ พ์หรอื บทวจิ ารณ์ ต่าง ๆ เพราะเป็นการเขียนข้อเทจ็ จริงท่ีผเู้ ขียนได้แสดงความคิดเหน็ ของตนเองประกอบเขา้ ไปดว้ ย ข้อคิดเห็นเหล่าน้ี หากผู้วิจัยมิได้สนใจศึกษา อาจจะท�ำให้มีอิทธิพลท่ีท�ำให้ข้อมูลโดยภาพรวมเกิด การบดิ เบอื นไป
140 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา 3.3) การเป็นตัวแทน (Representativeness) ในการคัดเลือก เอกสาร ผวู้ ิจัยจ�ำเป็นตอ้ งพจิ ารณาดว้ ยว่า เอกสารดังกล่าวมีความเป็นตัวแทนหรอื ไม่ ในทีน่ ี้ การ เป็นตัวแทนมีหลายระดับ ระดับแรก หมายถึง การท่ีเอกสารนั้นสามารถใช้แทนหรือเป็นแบบ ฉบับท่ีแทนเอกสารประเภทเดียวกันได้หรือไม่ และระดับที่สอง คือ ข้อมูลในเอกสารท่ีจะน�ำมา วเิ คราะหน์ ้ันจะตอ้ งเปน็ ข้อมูลทเี่ ปน็ ตวั แทนของประชากรได ้ ตัวอย่างเช่น รายงานการวจิ ยั ท่ไี ดม้ ี การสุม่ ตามวิธีวิทยาการวจิ ัย และใชส้ ถิติวิเคราะห์ทถ่ี ูกต้อง ย่อมถอื ว่าขอ้ มูลหรือผลท่ีเสนอในงาน วิจยั นนั้ เป็นตวั แทนขอ้ มูลทจี่ ะนำ� มาวิเคราะหต์ ่อได้ 3.4) ความหมาย (Meaning) การใชเ้ กณฑค์ วามหมาย หมายถงึ การคดั เลอื กเอกสารที่มีความชดั เจนและสามารถท่จี ะเขา้ ใจไดง้ ่าย ผูว้ ิจัยจะตอ้ งตรวจสอบเอกสาร ในเบื้องต้น ด้วยการพิจารณาข้อมูลคร่าว ๆ ว่า เอกสารที่น�ำมาพิจารณาน้ัน มีข้อมูลใดท่ีเป็นนัย ส�ำคัญหรือจะสร้างความหมายให้กับการวิจัยหรือไม่ การตีความเอกสารบางประเภท จึงสามารถ ท่ีจะตีความทั้งในระดับท่ีเป็นข้อเท็จจริง ซ่ึงก็คือการสรุปสาระส�ำคัญท่ีปรากฏอีกระดับหน่ึง คือ การตีความข้อมูลท่ีเป็นนัยที่ซ่อนแฝงอยู่ การตีความนัยค่อนข้างจะท�ำได้ยาก เพราะต้องอาศัย ประสบการณข์ องผ้ตู คี วาม นอกจากการวิจัยเชิงเอกสารจะได้มีการน�ำมาใช้ในการศึกษาวิจัยที่เก่ียวกับ การสงั เคราะหข์ อ้ มลู ท่ีเปน็ ข้อเท็จจริงตา่ ง ๆ เพอ่ื หาจดุ บกพร่องหรอื ขอ้ ควรปรับปรุงนโยบายหรือ โครงการตา่ ง ๆ แลว้ การวจิ ยั เชงิ เอกสาร ยงั เปน็ การวจิ ยั ทไ่ี ดร้ บั ความนยิ มในการศกึ ษาปรากฏการณ์ ที่เกี่ยวกับความคิด ทรรศนะและค่านิยมของบุคคล ซ่ึงปรากฏในงานเอกสารต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง กบั บคุ คลนั้น ตวั อยา่ งเชน่ งานวิจัยทางอกั ษรศาสตร์ ภาษาและวรรณคดี ฯลฯ อกี ดว้ ย ข้อดีของ การวิจัยเชิงเอกสาร คือ มีข้ันตอนไม่ซับซ้อน ไม่ต้องใช้เครื่องมือหรือทรัพยากรในการวิจัยมาก ประหยดั เวลา และสามารถดำ� เนนิ การวจิ ยั ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ เมอ่ื ไดร้ บั เอกสารสำ� หรบั วเิ คราะหข์ อ้ มลู ครบถว้ น อยา่ งไรกต็ าม การวจิ ยั เชงิ เอกสารยอ่ มมขี อ้ จำ� กดั อนั เนอื่ งมาจากธรรมชาตขิ องการวจิ ยั เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีต้องอาศัยการตีความ ท้ังนี้เพราะการตีความเป็น พฤติกรรมทางสติปญั ญาของผู้วจิ ัย ท่คี อ่ นข้างเปน็ อตั วสิ ัย (Subjective) กลา่ วคือ ผู้วจิ ัยจะพจิ ารณา ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มาภายใต้กรอบความรู้ ทัศนคติและประสบการณ์ของผู้วิจัยเอง ซึ่งผลของ การตีความนั้นอาจจะไม่ตรงกับการตีความท่ีแท้จริงก็เป็นได้ อีกท้ังความน่าเชื่อถือและความ ถูกต้องของข้อมูลในเอกสารท่ีน�ำมาวิเคราะห์ ก็เป็นตัวแปรส�ำคัญ ท่ีท�ำให้การวิจัยเชิงเอกสาร มแี นวโน้มท่ีจะทำ� ให้ผวู้ จิ ยั ไมไ่ ด้ค�ำตอบของปัญหาตามวัตถปุ ระสงคท์ ีต่ งั้ ไว ้ กล่าวโดยสรุป การรวบรวมข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวิธีการท่ีนิยมใช้ท่ัวไป 4 วธิ ี คอื การสงั เกต (Observation) การสมั ภาษณ์ (Interview) การสนทนากลมุ่ (Group Discussion) การศกึ ษาเอกสาร (Documentary studies) ซงึ่ ผวู้ จิ ยั ควรเลอื กใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั การวจิ ยั เรอื่ งหนงึ่ ๆ 4. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู เน่ืองจากต�ำราน้ี เน้นการท�ำวิจัยทางด้านการบริหารการศึกษา ซ่ึงจะมีส่วนท่ีเกี่ยวข้อง กับการวิจัยเชิงคุณภาพประเภทการวิจัยเชิงคุณภาพพ้ืนฐาน (Basic qualitative research) ท่ีเป็น
Research in Educational Administration • 141 การวจิ ยั แบบงา่ ย ๆ เมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพแบบอน่ื ๆ ทง้ั นเี้ พราะการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ พื้นฐานน้ีจะไม่จ�ำกัดปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หน่ึงเหมือนการศึกษาเฉพาะกรณี ไม่พยายาม อธิบายถึงมิติด้านสังคมวัฒนธรรมเหมือนการวิจัยแบบชาติพันธุ์วรรณนา ไม่เข้าไปศึกษาในโลก ทางความคิดของกรณีใดเพื่ออธิบายถึงแก่นแท้เหมือนกับการวิจัยแบบปรากฏการณ์วิทยา และ ไม่พยายามก�ำหนดทฤษฎีข้ึนเหมือนกับการวิจัยแบบทฤษฎีฐานราก แต่เป็นพื้นฐานที่จะอธิบาย หรือพยายามตคี วามประสบการณ์ท่เี กิดขนึ้ (Ary, Jacobs and Sorensen, 2010, p. 453) การวิจัยเชิงคุณภาพพ้ืนฐานนี้อาจใช้เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีหลากหลาย ตั้งแต่ การสัมภาษณ์ การสังเกต การสนทนากลุ่ม หรือการทบทวนเอกสาร และการวิจัยอาจต้องมาจาก การศึกษาแนวคิดทฤษฎีท่ีหลากหลาย นอกจากนี้ เป็นการวิจัยที่ใช้ระยะเวลาท่ีส้ันกว่าการวิจัย เชิงคุณภาพแบบอื่น ๆ และนักวิจัยก็อาจไม่เข้าไปสัมผัสกับบริบทน้ัน ๆ อย่างเต็มรูปแบบ (Ary, Jacobs and Sorensen, 2010, pp. 453-454) แต่เริ่มต้นทำ� การศกึ ษาโดยการใชห้ ลักการตคี วาม จากค�ำถามการวิจัย เช่น “ครูมีความรู้สึกอย่างไรต่อหลักสูตรใหม่” หรือ “ผู้บริหารสถานศึกษา เห็นคุณคา่ ของการนเิ ทศการศกึ ษาอย่างไร” การวิจัยเชิงคุณภาพโดยทั่วไป เป็นการวิจัยที่ใช้วิธีการอุปนัย (Inductive approach) ใน การแสวงหาความรู้ วิธีการอุปนัยนี้เร่ิมต้นจากการรวบรวมข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในธรรมชาติซ่ึง เป็นข้อเท็จจริงท่ีมีอยู่ก่อนแล้ว และเม่ือรวบรวมข้อเท็จจริงต่าง ๆ ได้เพียงพอก็สามารถสรุปเป็น สมมติฐาน หรือ แนวคิดทฤษฎีได้ในที่สุด วิธีการนี้สวนทางกับการวิจัยเชิงปริมาณท่ีใช้วิธีการ นิรนัย (Deductive approach) ในการแสวงหาความรู้ วิธีการนิรนัยเร่ิมต้นจากการมีสมมติฐาน หรือหลักการ ทฤษฎีเป็นกรอบแนวคิด แล้วจึงท�ำการเก็บรวบรวมข้อมูลมาพิสูจน์หลักการ ทฤษฎนี นั้ ดว้ ยวิธีการดงั กลา่ วมาน้ี จึงทำ� ใหก้ ารวิเคราะหข์ อ้ มูลเชิงคุณภาพใช้ “หลักการวเิ คราะห์ แบบอุปนยั ” เปน็ วธิ ีการหลกั (ชชู าติ พว่ งสมจิตร,์ 2557) “หลกั การวเิ คราะหแ์ บบอุปนัย” ในการวเิ คราะห์ข้อมลู เชิงคุณภาพ ก็คอื การน�ำข้อมลู ท่ี ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของการพรรณนาปรากฏการณ์ทางสังคมมาตีความและให้ความหมายตามหลัก การวเิ คราะหแ์ บบอปุ นยั เพื่อตอบคำ� ถามการวจิ ัย ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชิงคณุ ภาพ นักวจิ ัยจะเร่ิม ทำ� การวเิ คราะหข์ อ้ มูลไปพรอ้ ม ๆ กับการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และยงั ทำ� ตอ่ ไปหลงั การเก็บรวบรวม ข้อมูลสิ้นสุดลง (สุภางค์ จันทวานิช, 2543, หน้า 11) ทั้งนี้เพราะการวิจัยลักษณะน้ีนักวิจัยจะ มสี มมตฐิ านชัว่ คราว (Working hypothesis) เกิดขน้ึ อยูต่ ลอดเวลา อาจเรมิ่ ตั้งแต่กอ่ นเกบ็ รวบรวม ขอ้ มลู ซงึ่ นกั วิจัยมีสมมตฐิ านชั่วคราวจากประสบการณ์ แนวคิด ทฤษฎี และเอกสารตา่ ง ๆ ท่ศี กึ ษา มากอ่ นหนา้ น้นั และเม่อื เร่มิ เก็บรวบรวมขอ้ มูล สมมตฐิ านท่มี อี ยแู่ ต่เดมิ จะถกู ทดสอบด้วยขอ้ มูล ท่เี ก็บได้ ขณะเดียวกันกจ็ ะเกิดสมมตฐิ านใหม่ข้ึนมา สมมตฐิ านทเี่ กดิ ขน้ึ เหล่านจ้ี ะน�ำไปส่กู ารเก็บ รวบรวมข้อมลู และเกดิ คำ� ถามใหม่ ๆ ข้ึนตอ่ ไป ดังนนั้ จึงจำ� เปน็ ต้องวิเคราะหข์ ้อมูลไปพร้อม ๆ กับการเก็บรวบรวมข้อมลู ข้นั การวเิ คราะห์ขอ้ มลู น้ถี ือวา่ เป็นขน้ั ตอนทีส่ ำ� คญั และยากทสี่ ุดในการวิจยั เชงิ คณุ ภาพ เน่ืองจากข้อมูลเชิงคุณภาพมีความเป็นนามธรรมสูงท�ำให้ข้อมูลอยู่ในลักษณะข้อความและ ค�ำบรรยายสภาพการณ์ตา่ ง ๆ การวเิ คราะหต์ ้องใชส้ มองมนุษย์วิเคราะห์ แมป้ จั จุบนั จะมโี ปรแกรม
142 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา คอมพิวเตอร์ส�ำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลลักษณะเช่นนี้ แต่ก็ยังจ�ำกัดอยู่ โดยเฉพาะเร่ืองของการ วิเคราะห์เพือ่ เปรยี บเทยี บ เชื่อมโยง และสรปุ ผลการวิจยั ยังคงเปน็ งานของนักวิจัยอยู่ นกั วจิ ยั จะ ต้องเป็นคนรอบรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า มีความเป็น “สหวิทยาการ” เนื่องจากงานวิจัย เชิงคุณภาพไมส่ ามารถจำ� กดั ศาสตรท์ ี่เข้ามาเก่ียวข้องกับขอ้ มลู ท่เี ราวิเคราะห์ ส�ำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพในท่ีน้ี จึงเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ พื้นฐานซ่ึงมีความเก่ียวข้องกับการวิจัยทางด้านการบริหารการศึกษาเป็นหลัก มีขั้นตอนท่ี ส�ำคัญ ๆ ในการวิเคราะห์ 3 ขั้นตอน ได้แก่ การตรวจสอบข้อมูล การท�ำดัชนีข้อมูล และการจัด ท�ำขอ้ สรุปชวั่ คราว โดยมีรายละเอียดตอ่ ไปนี้ (ชูชาติ พ่วงสมจติ ร,์ 2557) 4.1 การตรวจสอบข้อมูล ส่ิงจ�ำเป็นอีกประการหน่ึงในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิง คณุ ภาพ คอื การตรวจสอบขอ้ มลู แต่การตรวจสอบข้อมลู ในการวิจยั เชงิ คุณภาพแตกต่างจากการ ตรวจสอบข้อมูลเพ่ือการวิจัยเชิงปริมาณ เพราะโดยทั่วไปการวิจัยเชิงปริมาณเน้นการตรวจสอบ ข้อมลู ก่อนการวิเคราะห์วา่ ข้อมลู มคี วามสมบูรณ์ ถกู ต้อง และเพยี งพอหรือไม่ แตก่ ารตรวจสอบ ข้อมูลเชิงคุณภาพมีจุดมุ่งหมายเพ่ือตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลหรือดูความตรงภายใน (Internal validity) เป็นหลัก และจะต้องกระท�ำตลอดเวลาของการวิจัย เนื่องจากมีการวิเคราะห์ ข้อมูลเป็นรายวัน เทคนิคท่ีใช้ในการตรวจสอบข้อมูลมีหลายวิธี แต่วิธีที่นิยมมากท่ีสุด คือ การตรวจสอบแบบสามเสา้ (Triangulation) 4.1.1 การตรวจสอบแบบสามเส้า เป็นเทคนคิ ในการผสมผสานวิธกี ารหลาย ๆ วธิ ี เพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามจรงิ จากการศกึ ษาปรากฏการณใ์ ดปรากฏการณห์ นง่ึ อาจแบง่ การตรวจสอบแบบ สามเส้าออกได้ 4 ประเภท ดงั น้ี 1) การตรวจสอบด้วยทฤษฎีท่ีต่างกัน (Triangulation of theories) คือ การใช้ทฤษฎีหลายทฤษฎีส�ำหรับการตีความหมายของข้อมูล หรือเป็นกรอบแนวคิดเบ้ืองต้น ในการเก็บรวบรวมข้อมลู 2) การใช้วิธีการรวบรวมข้อมูลหลายวิธี (Data triangulation) เช่น ใช้ท้ัง การสงั เกต สมั ภาษณ์ และเอกสาร ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เรื่องใดเรื่องหนงึ่ 3) การใช้ผู้เก็บขอ้ มลู ที่ตา่ งกนั (Triangulation by investigators) เชน่ ใชผ้ ู้ เกบ็ ขอ้ มลู หลายคนในปรากฏการณเ์ ดียวกัน หรอื ใช้ผูป้ ระเมนิ หลายคนในข้อมูลชดุ เดียวกัน 4) การใชว้ ธิ กี ารหลายวิธี (Methodological triangulation) เช่น เก็บข้อมลู เร่อื งเดียวกันจากแหลง่ ข้อมูลหลายแหล่ง โดยสรปุ แล้ว การตรวจสอบแบบสามเส้า กค็ ือ วิธีการที่ช่วยให้นักวิจยั เชิงคณุ ภาพ ไดข้ อ้ มลู ท่ตี รงกบั ความเปน็ จรงิ มากท่สี ุด 4.1.2 การตรวจสอบขอ้ มลู ดว้ ยวธิ กี ารอน่ื นอกจากการตรวจสอบแบบสามเสา้ แลว้ ยังมีวธิ ีการตรวจสอบข้อมลู ในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพอีกหลายวธิ ี ซ่งึ จะนำ� มาเสนอในทนี่ ้ี 5 วิธี ดังนี้ (Merriam, 1998, pp. 204-205) 1) การนำ� ขอ้ มลู กลบั ไปใหผ้ ใู้ หข้ อ้ มลู ตรวจสอบ (Member checks) เปน็ การ น�ำข้อมูล หรือสง่ิ ทีต่ คี วามจากข้อมลู กลับไปใหผ้ ใู้ หข้ ้อมลู หรอื สมาชิกในชุมชนทศ่ี กึ ษาตรวจสอบ
Research in Educational Administration • 143 ว่าตรงตามความหมายของคนในชมุ ชน 2) การสงั เกตดว้ ยระยะเวลาทย่ี าวนาน (Long-term observation) คือ การ ใช้เวลาอยู่ในสนามวิจัยให้ยาวนานเพียงพอท่ีจะตรวจสอบซ�้ำจนแน่ใจว่าได้ข้อมูลท่ีได้ตรงความ เป็นจรงิ 3) การให้กลุ่มร่วมตรวจสอบ (Peer examination) คือ การให้สมาชิกใน กลมุ่ นกั วิจยั ใหค้ วามเหน็ ตอ่ ขอ้ คน้ พบ 4) การใหผ้ มู้ สี ว่ นรว่ มในการวจิ ยั ชว่ ยสรปุ ผล(Participatoryorcollaborative modes of research) คือ การให้กลุ่มนักวิจัยและสมาชิกในชุมชนท่ีวิจัยช่วยกันสรุปหรือให้ ความหมายขอ้ มลู ซึง่ วิธกี ารนี้เหมาะกับการวิจยั แบบมีส่วนรว่ ม (Participatory research) 5) การใหน้ กั วิจัยนอกทีมช่วยตรวจสอบความมีอคติ (Researcher’s bias) หมายถึง การให้นักวิจัยที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่เก็บรวบรวมข้อมูลชุดนี้เป็นผู้อ่านและตรวจสอบว่า การตีความและข้อสรปุ ท่ีได้เกิดจากอคติของนกั วจิ ยั หรือไม่ 4.2 การท�ำดัชนีข้อมูล (Indexing) เม่ือนักวิจัยได้ข้อมูลมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบันทึก การสมั ภาษณ์ การสังเกต การสนทนากลมุ่ หรอื ขอ้ มูลอ่นื ๆ สิง่ ท่ีนักวิจัยควรกระท�ำ คือ การ วเิ คราะหข์ อ้ มลู เบอ้ื งตน้ ซง่ึ ควรทำ� ทกุ วนั ทไี่ ดข้ อ้ มลู มา โดยขน้ั แรกของการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เบอ้ื งตน้ คือ การท�ำดัชนีข้อมูล (Indexing) หรืออาจเรียกว่า การท�ำรหัส (Coding) ซึ่งเป็นส่ิงท่ีนักวิจัย ควรจะต้องทำ� ไวก้ อ่ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูลแลว้ การท�ำดัชนีข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ หมายถึง การก�ำหนดค�ำหลัก (Keywords) การค้นหาประเด็น (Finding item) การเลือกค�ำ หรือข้อความ มาจัดหมวดหมู่ข้อมูล โดยค�ำหรือ ข้อความดงั กล่าวมีความหมายครอบคลุมข้อมลู สว่ นน้ัน ๆ ในการท�ำดัชนีข้อมูลดังกล่าวข้างต้นนั้น มีกระบวนการในการท�ำ โดยอาจแบ่งออกได้ 5 ข้ันตอน ซ่ึงสรุปได้ ดงั น้ี (สุภางค์ จันทวานชิ , 2543) 4.2.1 ท�ำดัชนีก่อนเก็บข้อมูล เป็นการสร้างรายการของค�ำหรือข้อความไว้ ชุดหนึ่ง ประมาณ 80 – 90 ค�ำ เพื่อน�ำมาใชเ้ ปน็ ดัชนขี องขอ้ มูล โดยคำ� ดังกลา่ วมาจากกรอบแนวคิด ทฤษฎตี า่ ง ๆ ที่นักวิจัยศึกษาไวก้ อ่ นทจ่ี ะเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ตัวอย่าง การท�ำวิจัยเรื่อง “สภาพปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาการจัดการเรียน การสอนที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน” ดัชนีในเร่ืองนี้ อาจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1) กลุ่มดัชนีท่ีระบุสภาพและปัญหาในการจัดการเรียน การสอน และ 2) กลมุ่ ดชั นแี นวทางการแก้ปัญหาการจดั การเรยี นการสอน ในกลุ่มดัชนีทั้งสองกลุ่มดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยอาจก�ำหนดเป็นกลุ่มย่อยก่อนแล้ว จงึ กำ� หนดช่อื ดัชนไี ว้ในบัญชดี ชั นี ดงั ตวั อย่างในตาราง 3.4
144 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา ตารางที่ 3.4 ตวั อย่างการกำ� หนดดชั นีในบัญชีดชั นีสำ� หรับการวเิ คราะห์ขอ้ มลู บัญชดี ชั นีสำ�หรบั การวเิ คราะหข์ ้อมลู สภาพและปัญหาการจดั การเรยี นการสอน แนวทางการแก้ปัญหาการจดั การเรยี นการสอน ดา้ นครู ด้านครู 1. ครไู มไ่ ดจ้ บวิชาเอกทส่ี อนโดยตรง 1. การแก้ปัญหาครูไมไ่ ดจ้ บวิชาเอกทส่ี อนโดยตรง 2. ครูมภี าระงานมาก 2. การแกป้ ญั หาครมู ภี าระงานมาก 3. ครูมีศักยภาพไมเ่ พยี งพอต่อการจดั การเรียน 3. การแกป้ ัญหาครูทม่ี ีศกั ยภาพไม่เพยี งพอตอ่ การ การสอน จัดการเรียนการสอน 4. ครตู ้องสอนหลายกลมุ่ สาระ 4. การแก้ปญั หาครูทตี่ ้องสอนหลายกล่มุ สาระ 5. ครไู มใ่ ชส้ อ่ื การเรยี นการสอน 5. การแกป้ ญั หาครไู มใ่ ชส้ อื่ การเรยี นการสอน 6. ครูขาดความรู้ความเข้าใจในหลกั สูตร 6. การแก้ปัญหาครขู าดความรูค้ วามเข้าใจใน 7. ครูขาดขวญั กำ�ลังใจในการทำ�งาน หลักสูตร ฯลฯ 7. การแก้ปัญหาครขู าดขวญั กำ�ลังใจในการทำ�งาน ฯลฯ ด้านผู้เรยี น ด้านผู้เรยี น 8. ขาดทกั ษะพ้นื ฐานในการเรยี นรู้ 8. การแกป้ ญั หาการขาดทกั ษะพน้ื ฐานในการเรยี นรู้ 9. ขาดความพร้อมในการเรยี นรู้ 9. การแก้ปัญหาการขาดความพรอ้ มในการเรยี นรู้ 10. มีปัญหาครอบครัว 10. การแกป้ ญั หาเด็กทีม่ ีปญั หาครอบครวั 11. ขาดความรบั ผิดชอบและไมต่ งั้ ใจทำ�งาน 11. การแกป้ ัญหาเดก็ ทข่ี าดความรับผดิ ชอบและไม่ 12. มีเจตคตทิ ไ่ี มด่ ตี ่อการเรยี น ตง้ั ใจทำ�งาน 13. ขาดนิสยั ใฝ่เรียนรู้ 12. การแก้ปัญหาเดก็ ท่มี เี จตคตทิ ่ไี ม่ดีตอ่ การเรียน ฯลฯ 13. การแก้ปญั หาเด็กทขี่ าดนิสยั ใฝเ่ รยี นรู้ ฯลฯ ทม่ี า. ชูชาติ พว่ งสมจติ ร์ (2557) 4.2.2 ปรับปรุงบญั ชดี ัชนี หลังจากทีน่ ักวจิ ยั ไดเ้ ร่ิมเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ไประยะหน่ึง นักวิจัยจะพบว่า ดัชนีบางตัวท่ีตนเองสร้างไว้ก่อนเก็บรวบรวมข้อมูล มีความไม่สอดคล้องกับ ปรากฏการณ์จริง หรือไม่ตรงกับทัศนะของคนใน (Emic) เช่น ครูท่ีให้ข้อมูลใช้ค�ำว่า “การสอบ NT” แทนค�ำ “การทดสอบระดับชาติ” ฯลฯ ซ่ึงนักวิจัยจะต้องปรับปรุงดัชนีในบัญชีของตน โดย อาจเปล่ียนค�ำตามส่ิงที่คนในใช้ เพ่ิมค�ำ หรือเพ่ิมความหมายตามทัศนะของคนใน เข้าไปในบัญชี ดชั นี ท้ังนแ้ี ล้วแตค่ วามเหมาะสม 4.2.3 เพ่ิมหรือตดั ค�ำในบัญชีดชั นี เป็นการกระทำ� ที่ต่อเนอื่ งจากการปรับปรงุ บญั ชี ดชั นี โดยเมอ่ื นกั วจิ ยั ใชด้ ชั นไี ประยะหนงึ่ อาจจะพบวา่ มดี ชั นบี างตวั เกดิ ขนึ้ ใหมโ่ ดยทนี่ กั วจิ ยั ไมไ่ ด้ กำ� หนดไว้ก่อน เชน่ พบวา่ ปัญหาของผเู้ รียนท่ีพบประการหน่ึง คือ “ผ้เู รยี นมสี มาธิสน้ั ” แต่ดัชน.ี
Research in Educational Administration • 145 ค�ำนี้ไม่ได้ก�ำหนดไว้ก่อน นักวิจัยจะต้องเพ่ิมดัชนีค�ำน้ีเข้าไปในบัญชีดัชนี ในขณะเดียวกันดัชนี บางตัวท่ีได้กำ� หนดไวก้ อ่ นแลว้ แตอ่ าจไมพ่ บในสนามวจิ ัย นักวิจยั จึงควรปรับปรงุ บญั ชีดชั นดี ว้ ย การตดั ดชั นบี างตัวออกตามความเหมาะสม 4.2.4 จัดท�ำค�ำจ�ำกัดความของดัชนีแต่ละตัว เป็นการให้ความหมายของดัชนีแต่ ละตวั ว่ามคี วามหมายอยา่ งไร ครอบคลุมเนื้อหาอะไรบ้าง 4.2.5 ท�ำดชั นใี นบันทกึ ภาคสนาม เปน็ การจัดหมวดหมูข่ ้อมลู ทีเ่ ก็บมา โดยนกั วจิ ยั อ่านบันทึกภาคสนามและให้ดัชนีไว้หลังหรือหน้าข้อความที่บันทึกมา การท�ำดัชนีนี้ควรกระท�ำ ทุกวันท่ีได้ข้อมูลมา เพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมมข้อมูล และการท�ำดัชนีข้อมูลช่วยให้นักวิจัยได้ วิเคราะห์ข้อมูลอย่างสม�่ำเสมอ ส่งผลให้นักวิจัยได้ทดสอบสมมติฐานเดิม สร้างสมมติฐานใหม่ และเกดิ ค�ำถามใหม่ ๆ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อ ๆ ไป ดังตวั อยา่ งในตารางท่ี 3.5 ตวั อย่าง: การทำ� ดชั นีบันทกึ ภาคสนามจากการจดั สนทนากลุ่ม ชอื่ เรอ่ื งวจิ ยั : สภาพปญั หาและแนวทางแกป้ ญั หาการจดั การเรยี นการสอนทสี่ ง่ ผลตอ่ การ พัฒนาคุณภาพผ้เู รยี นในระดบั การศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน” (สำ� นักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา, 2552) วตั ถปุ ระสงค์การวิจยั : 1. เพอ่ื ศกึ ษาสภาพและปญั หาการจดั การเรยี นการสอนทส่ี ง่ ผลตอ่ การพฒั นาคณุ ภาพ ผู้เรยี นในระดบั การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน 2. เพ่ือศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนที่ส่งผลต่อการพัฒนา คณุ ภาพผเู้ รียนในระดบั การศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน ตารางท่ี 3.5 การท�ำดชั นีบนั ทึกภาคสนามจากการจัดสนทนากล่มุ บนั ทกึ ภาคสนาม ดชั นี (การสนทนากลมุ่ ครสู อนศิลปะ) 8 ธันวาคม 2551 M/ครู รายละเอียดของการสนทนากลุ่ม M ถา้ ถามถงึ ด้านผูเ้ รียนในกลุ่มสาระการเรยี นรศู้ ิลปะมีปัญหาอะไรบา้ งครบั ครู1 โรงเรียนทสี่ อนเป็นโรงเรียนขยายโอกาส เด็กท่มี าเรียนส่วนใหญเ่ ปน็ เด็กยากจน - เด็กขาดความ พน้ื ฐานทางเศรษฐกจิ ไมด่ ี ขาดความพรอ้ มในการเรยี นโดยเฉพาะวชิ าศลิ ปะ พรอ้ ม เพราะวชิ านต้ี อ้ งใชอ้ ุปกรณ์ในการปฏิบตั ติ ลอดเวลา โรงเรยี นเองก็ขาดงบ - ร.ร.ขาดแคลนงบ ประมาณในการซอื้ อุปกรณ์ แตส่ ำ�หรับเดก็ แล้วเขามีทัศนคตทิ ดี่ ีต่อวิชานี้ ประมาณ เพราะเขาไดล้ งมอื ทำ� ไดข้ ดี เขยี น วาด เขาสนกุ และมคี วามสขุ ทไ่ี ดเ้ รยี นวชิ าน้ี ครู 8 ดิฉนั วา่ ปัญหามาจากการท่เี ดก็ ถกู กดดนั ดา้ นวชิ าการมากเกินไป เพราะเดก็ - เด็กถกู กดดันด้าน ต้องสอบ 0 – NET, A-NET การเนน้ วิชาการมากเกินไปทำ�ให้เด็กขาดความ วชิ าการ พถิ พี ิถันในการทำ�งาน ขาดความคิดสร้างสรรค์และขาดจนิ ตนาการ - ขาดความคิด สรา้ งสรรค์
146 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา ครู 3 สำ�หรบั ดฉิ นั สอนทง้ั ระดบั ประถมและมธั ยม ธรรมชาตขิ องเดก็ แตกตา่ งกนั - ผลงานไมม่ ี เดก็ ประถมสอนยากแตป่ กครองงา่ ย สว่ นเดก็ มธั ยมสอนงา่ ยแตป่ กครองยาก คุณภาพ ปญั หา คือ เด็กทำ�งานไม่คอ่ ยมีคณุ ภาพ ไม่ตง้ั ใจทำ�งาน ส่วนมากทำ�งาน ไม่เสรจ็ หรอื ทำ�แคเ่ พียงให้มงี านส่งและเดก็ ส่วนหนึง่ ไมค่ อ่ ยรับผิดชอบ M นอกจากนี้ยงั มีปัญหาอะไรอีกบ้างครบั ครู 4 เดก็ เขาดงู านศลิ ปะไม่เปน็ อ่านงานศลิ ปะไม่ออก สำ�หรับเด็กประถมสว่ น - ขาดอุปกรณก์ าร ใหญ่ จะขาดอุปกรณก์ ารเรียน แตเ่ ด็กมธั ยมมอี ุปกรณแ์ ตไ่ มน่ ำ�มาเรียน เรยี น ครู 2 ปญั หาอกี อยา่ งหนง่ึ คอื เดก็ ไดเ้ รยี นไมค่ รบแขนงในกลมุ่ สาระ เพราะกลมุ่ น้ี - มคี รูไม่ครบแขนง มที ง้ั ทศั นศลิ ป์ ดนตรี นาฏศลิ ป์ แตค่ รทู จ่ี บมาทางทศั นศลิ ปไ์ มส่ ามารถสอน ของศิลปะ ดนตรีหรือนาฏศลิ ป์ได้ ส่วนครูทจ่ี บดนตรีก็ไมส่ ามารถสอนทศั นศลิ ปห์ รือ - เด็กไมไ่ ด้เรียนกบั นาฏศลิ ป์ได้ แลว้ โรงเรยี นของเราก็มีครูไมค่ รบแขนง อันนีเ้ ป็นปัญหาทำ�ให้ ครสู ายตรง เด็กไม่ได้เรียนกบั ครูสายตรง ครู 6 ในสว่ นของดิฉนั เห็นวา่ ปัญหา คือ เด็กเขาไมร่ ้วู า่ เรียนศลิ ปะไปทำ�ไม - ไมร่ คู้ ุณค่าและจุด เรยี นรำ�ไทยไปทำ�ไม เขาไมเ่ หน็ คณุ คา่ ไมเ่ หน็ ความสำ�คัญ อีกอยา่ งหนึ่ง หมายของการเรยี น วัฒนธรรมต่างชาตเิ ข้ามาเยอะมาก แต่เดก็ เขาชอบเรียนนะวิชานี้ M จากปัญหาท่กี ล่าวถึงกนั น้แี ก้ไขปัญหากันอยา่ งไรครับ ครู 1 อยา่ งเรอ่ื งอุปกรณ์การเรยี นเราจัดซอื้ มาเตรยี มไวแ้ ล้วใหเ้ ด็กมาขอยมื ไป - วธิ แี กป้ ญั หาเร่อื ง ใชเ้ รียน สว่ นเร่อื งเด็กจนิ ตนาการไมอ่ อก กใ็ ช้วิธกี ารให้เดก็ ได้เห็นของจรงิ ขาดอุปกรณ/์ ขาด แล้วใหเ้ ดก็ วาดตาม ให้เดก็ รอ้ งเพลงหรืออา่ นเนอ้ื เพลงแล้วให้วาดรูป อย่าง จินตนาการ นี้กช็ ่วยแกป้ ญั หาได้ ครู 3 กรณเี ด็กที่ไม่ชอบวชิ าน้ี จะหาวิธจี งู ใจให้เด็กรกั ศลิ ปะโดยจดั อบรมใน - วธิ แี ก้ปญั หาเรื่อง วันเสาร์ เด็กมีผลงานแล้วจดั นทิ รรศการแสดงผลงาน แล้วเชิญคนมามอบ ขาดความรกั ใน รางวลั ทำ�ให้เขาเกิดความภาคภูมิใจ เรอื่ งหลกั สตู รกจ็ ดั ให้ตรงกบั ความ ศลิ ปะ ตอ้ งการของผเู้ รยี น วิธนี ้ีก็ไดร้ บั ความสนใจดี ครู 5 สำ�หรับโรงเรียนของดฉิ ันแกป้ ญั หาเด็กขาดอปุ กรณก์ ารเรียนโดยการใช้งบ - วธิ ีแก้ปญั หาขาด รายหวั ซอ้ื มาใหเ้ ดก็ ยมื เรยี น ใชเ้ สรจ็ แลว้ กส็ ง่ คนื ครเู พอ่ื ใหค้ นอน่ื ไดใ้ ชต้ อ่ ไป อุปกรณ์การเรยี น M แล้วเร่อื งขาดแคลนครูศลิ ปะ แก้กันอย่างไรครับ ครู 4 เราใชว้ ธิ กี ารแลกชว่ั โมงกบั ครทู อ่ี ยโู่ รงเรยี นกนั เดก็ จะไดเ้ รยี นครบทกุ แขนง - วิธีแก้ปญั หา เช่นโรงเรยี นเรามคี รทู ศั นศิลป์ แตไ่ มม่ คี รูนาฏศลิ ป์ แต่โรงเรยี นใกลก้ ันมคี รู ขาดแคลนครู นาฏศิลป์ แต่ไมม่ ีครูทศั นศลิ ป์ เรากแ็ ลกชั่วโมงกนั แตว่ ิธนี ีผ้ ู้บริหารของทง้ั สองโรงเรยี นและครทู ่จี ะแลกชว่ั โมงกันต้องเห็นพอ้ งกันทุกฝา่ ย M เรื่องครยู ังมปี ญั หาอะไรอีกครับ ครู 7 ปญั หา คือ ครูท่ีถูกจัดใหส้ อนไมม่ ีวุฒิศลิ ปะ เช่น จบประถมแต่ตอ้ งมาสอน - ครทู ี่สอนมีวฒุ ิ ศิลปะ จบนาฏศลิ ปต์ อ้ งมาสอนทศั นศลิ ปด์ ้วย ไม่ตรง
Research in Educational Administration • 147 ครู 5 ปญั หา คอื ครศู ิลปะขาดขวญั กำ�ลงั ใจในการทำ�งานเพราะผู้บริหารเขาให้ - ครูขาดขวญั กำ�ลัง ความสำ�คัญแต่เฉพาะกลมุ่ สาระหลักท่มี กี ารสอบ O- NET A -NET เพราะ ใจในการทำ�งาน เป็นหนา้ เป็นตาของโรงเรยี น ผู้บรหิ ารไม่คอ่ ยใหค้ วามสำ�คญั กับพวกเรา - ผู้บริหารไม่ให้ ความสำ�คัญกบั ครู ศิลปะ ครู 1 ดฉิ นั คดิ ว่าบางคร้งั เราก็ตอ้ งดูตวั เราเพราะครกู ลุม่ นี้มอี ิสระทางความคิด - ครูศิลปะมีความ สูง ไมค่ ่อยรับฟังความคดิ ของเพอ่ื นครู อนั นก้ี ็เปน็ ปัญหาเหมอื นกัน เรื่อง เปน็ อิสระสูง การสรา้ งมนุษยสมั พันธก์ ับเพื่อนครู ครู 4 ดิฉนั มองในภาพรวมนะวา่ เงินเดือนของครูนอ้ ย ไมม่ โี บนัส เรอื่ งอย่างน้ี - ครขู าดขวัญกำ�ลงั ส่งผลตอ่ ขวญั กำ�ลงั ใจเหมอื นกัน ฯลฯ ใจในการ ทำ�งาน ทมี่ า. ข้อมลู บันทึกการสนทนากล่มุ ครศู ิลปะ (2551, อา้ งถงึ ใน ชูชาติ พ่วงสมจติ ร,์ 2557) จากตัวอย่างที่ 3.5 จะเห็นได้ว่า นักวิจัยท�ำดัชนีแยกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ 1) สภาพและปัญหาการจัดการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ และ 2) แนวทางการ แก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ซึ่งการจะท�ำข้อมูลได้เช่นน้ีได้ นักวิจัยต้องอ่านข้อมูลให้เข้าใจก่อน แล้วจึงก�ำหนดดัชนีท่ีเป็นการให้ความหมายของข้อมูลนั้น ๆ ลงไป ดัชนีบางตวั มีความหมายครอบคลุมดชั นียอ่ ยอกี หลายตวั และดัชนียอ่ ยแตล่ ะตัวครอบคลมุ ข้อความอีกหลายข้อความหรือหลายบรรทัด ซ่ึงนักวิจัยสามารถน�ำดัชนีจากบัญชีดัชนีที่สร้างไว้ มาใชไ้ ด้ในข้นั ตอนน้ี 4.2.6 การจัดท�ำข้อสรุปช่ัวคราว หลังจากท่ีนักวิจัยท�ำดัชนีข้อมูลดังตัวอย่างในข้อ 4.2.5 แล้ว ข้ันตอนต่อมาก็คือการท�ำข้อสรุปช่ัวคราว ซ่ึงข้ันตอนนี้ก็คือการน�ำดัชนีต่าง ๆ มาจัด ระบบความสัมพันธ์และสังเคราะห์ร่วมกับแนวคิดทฤษฎีที่เก่ียวข้องแล้วน�ำมาเขียนเป็นข้อความ โดยข้อความดังกล่าวอาจเขียนหรือลองเขียนส้ัน ๆ เพียงประโยคเดียว โดยเป็นประโยคท่ีนักวิจัย คาดวา่ เป็นลกั ษณะหรอื ความเชอื่ มโยงของขอ้ มูล หรือจะลองเขียนยาวเปน็ ย่อหนา้ ก็ได้ การทำ� ขอ้ สรปุ ชวั่ คราวควรมขี อ้ มลู ในเรอ่ื งนนั้ ๆ มากพอสมควรจนเกดิ แนวคดิ เชอื่ มโยง ดชั นตี า่ ง ๆ ได้ และขอ้ สรปุ ชว่ั คราวนจี้ ะถกู ทดสอบดว้ ยขอ้ มลู ทไี่ ดเ้ พิม่ เขา้ มา กรณที มี่ ขี อ้ มลู ยนื ยนั ข้อสรุปช่ัวคราวดังกล่าวก็จะพัฒนาเป็นข้อสรุปของการวิจัยต่อไป แต่ถ้าได้ข้อมูลที่แตกต่างไป ขอ้ สรุปชว่ั คราวก็จะไดร้ ับการปรับปรงุ ใหส้ ามารถอธบิ ายไดต้ รงกับความเป็นจรงิ มากที่สดุ ตัวอยา่ ง ขอ้ สรุปช่ัวคราวที่เกดิ จากการท�ำดชั นีขอ้ มลู การสนทนากลมุ่ ครูศิลปะ ในงาน วจิ ยั เรอ่ื ง สภาพปญั หาและแนวทางแกป้ ญั หาการจดั การเรยี นการสอนทส่ี ง่ ผลตอ่ การพฒั นาคณุ ภาพ ผ้เู รียนในระดับการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน โดยเปน็ ข้อสรุปช่ัวคราวในรูปประโยคหรอื ขอ้ ความสน้ั ๆ การจัดท�ำข้อสรุปช่ัวคราวในรูปประโยคหรือข้อความส้ัน ๆ จากการสนทนากลุ่มกับ ครผู ู้สอนกลุ่มสาระการเรยี นร้ศู ลิ ปะ สามารถจดั ทำ� ข้อสรุปช่ัวคราวเกย่ี วกบั ปัญหาของครไู ด้ ดังน้ี
148 • การวิจยั ทางการบริหารการศึกษา 1. ครูศลิ ปะมไี มเ่ พยี งพอท�ำให้ต้องใชค้ รทู จ่ี บไมต่ รงเอกมาสอนแทน 2. ครศู ิลปะมีภาระงานมาก 3. ครูศลิ ปะมคี วามช�ำนาญไมค่ รอบคลุมแขนงของศิลปะ 4. ครศู ิลปะขาดขวญั ก�ำลังใจในการท�ำงาน 5. ครศู ลิ ปะบางส่วนขาดประสทิ ธิภาพ 6. ผบู้ รหิ าร เพอื่ นครู และผปู้ กครองไมใ่ หค้ วามส�ำคญั กบั กลมุ่ สาระการเรยี นรศู้ ลิ ปะ 7. ครศู ลิ ปะไม่คอ่ ยได้รับการพัฒนา 4.3. การสร้างบทสรุป (Conclusion) หลังจากการท�ำข้อสรุปชั่วคราวและข้อสรุป ดังกล่าวได้รับการตรวจสอบยืนยันจากข้อมูลหลาย ๆ ด้าน จนเช่ือม่ันได้ว่ามีความน่าเชื่อถือ เพียงพอ นักวิจัยจะน�ำข้อสรุปชั่วคราวท่ีประกอบด้วยดัชนีย่อย ๆ จ�ำนวนมากมาสร้างเป็นบท สรุป ในขั้นตอนนี้นักวิจัยจะต้องบูรณาการข้อมูลที่คัดกรองออกมาเป็นดัชนีและข้อสรุปช่ัวคราว ต่าง ๆ เข้ากับหลักการ แนวคิด และทฤษฎี ด้วยวิจารณญาณของนักวิจัยเพื่อสร้างบทสรุป ออกมา ดตู วั อยา่ งการสรา้ งบทสรุป ดงั ต่อไปนี้ ตัวอยา่ งการสรา้ งบทสรปุ สภาพและปญั หาด้านครู 1) ครศู ลิ ปะมีไมเ่ พียงพอทำ� ให้ต้องใชค้ รูที่จบไม่ตรงเอกมาสอนแทน ปญั หาสำ� คัญอยา่ งหนงึ่ ของครูกลุ่มสาระการเรยี นรู้ศิลปะ คอื การมคี รูที่จบวชิ าเอกศลิ ปะไม่เพียงพอ โรงเรยี นมธั ยมศึกษาบาง แหง่ มคี รศู ลิ ปะเพยี งคนเดยี ว ทำ� ใหต้ อ้ งสอนทงั้ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ และมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ครู ศิลปะท่านหนึ่งให้ข้อมูลว่า สาเหตุที่โรงเรียนมีครูศิลปะไม่เพียงพอมาจากโรงเรียนไม่มีการสอบบรรจุ ครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะมานาน เน่ืองจากผู้บริหารไม่ต้องการท�ำให้ครูกลุ่มสาระนี้ขาดแคลน โรงเรียนจึงแก้ปัญหาด้วยการจัดให้ครูท่ีไม่ได้จบทางศิลปะมาสอนแทน เช่น จัดให้ครูที่จบเอกประถม มาสอนศิลปะ ฯลฯ ท�ำใหผ้ ู้เรียนไมไ่ ด้รบั ประโยชนอ์ ย่างเตม็ ท่ี แตม่ บี างโรงเรียนที่ผูบ้ รหิ ารให้ขอ้ มูลวา่ เป็นผูส้ อนกลุ่มสาระนี้เองเนือ่ งจากจบมาทางดา้ นนีแ้ ละในโรงเรียนมคี รไู มเ่ พียงพอ 2) ครูศิลปะมีภาระงานมาก ในปัจจุบันหลังจากที่มีการปฏิรูปการศึกษาครูทุกกลุ่มสาระ การเรียนรู้มีภาระงานมากขึ้น เช่น งานประกันคุณภาพการศึกษา งานแผนตามระบบการจัดสรร งบประมาณแบบมงุ่ เนน้ ผลงาน การพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษา การปอ้ นขอ้ มลู ลงในฐานขอ้ มลู เพอ่ื การ บริหาร เป็นต้น งานเหล่านี้เป็นภาระงานท่ีโรงเรียนมอบหมายมาให้ครูรับผิดชอบเพิ่มขึ้น ขณะท่ีงาน ธรุ การ งานพสั ดุ งานดูแลช่วยเหลือนักเรยี น และกิจกรรมอื่น ๆ ท่ีครูยังต้องรับผิดชอบอย่เู ช่นเดมิ แต่ สำ� หรบั ครศู ลิ ปะจะมภี าระงานแตกต่างจากครอู ่นื ๆ เพิ่มขึ้น เชน่ งานจดั ท�ำปา้ ยประชาสมั พันธ์ทกุ งาน ทุกกจิ กรรมของโรงเรยี น เปน็ ตน้ โดยผบู้ ริหารมักมอบหมายงานพิเศษอ่นื ๆ ใหก้ ับครศู ิลปะมากกวา่ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืนเน่ืองจากเป็นความสามารถเฉพาะทางประการหนึ่ง และผู้บริหารบางท่าน มองว่ากลมุ่ สาระการเรียนรูศ้ ิลปะไม่ใชก่ ลมุ่ สาระหลกั จงึ มอบหมายงานอื่น ๆ ใหท้ �ำควบค่กู ับงานสอน
Research in Educational Administration • 149 3) ครูศิลปะมีความช�ำนาญไม่ครอบคลุมแขนงของศิลปะ เน่ืองจากกลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะประกอบด้วย 3 แขนง คือ แขนงทัศนศิลป์ ดนตรี และนาฏศิลป์ แต่ครูศิลปะส่วนใหญ่สอน ไดเ้ ฉพาะวชิ าเอกทต่ี นเรยี นมาเทา่ นนั้ โดยครทู จี่ บเอกดนตรไี มส่ ามารถสอนทศั นศลิ ป์ เชน่ การวาดภาพได้ ครทู จี่ บนาฏศิลป์ก็ไมส่ ามารถสอนดนตรไี ด้ เป็นต้น ซง่ึ ครูศลิ ปะท่านหนึ่งสะทอ้ นปัญหาน้ีว่า “…ครู ไม่จบวิชาศิลปะ นาฏศิลป์ ดนตรี โดยตรง ส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอน เพ่ือให้เด็กมีความรู้ ความเข้าใจท่ีถูกต้อง บางครั้งครูรู้ทฤษฎีแต่ปฏิบัติไม่ได้ ไม่สามารถปฏิบัติให้เด็กเห็นได้ เด็กก็ไม่มี ความรู้อย่างแท้จริง เช่น การสอนดนตรีไทย ครูท่ีไม่ได้จบดนตรีไทยโดยตรง เล่นเครื่องดนตรีไทย ไมไ่ ด้ บางทมี เี ครอ่ื งดนตรไี ทย เชน่ ระนาด หรอื ขมิ ตง้ั อยู่ แตไ่ มส่ ามารถสอนใหเ้ ดก็ รไู้ ด้ ถงึ แมเ้ ชญิ ครหู รอื ผรู้ ูภ้ มู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ มาชว่ ยสอน บางครัง้ ครกู ็ไมเ่ ข้าใจในส่ิงทคี่ รภู มู ปิ ญั ญาทา่ นนน้ั ๆ สอน จึงไม่รูว้ ่า จะสอนเด็กไดอ้ ยา่ งไร” 4) ครูศิลปะขาดขวัญก�ำลังใจในการท�ำงาน ครูศิลปะที่เข้าร่วมสนทนากลุ่มสะท้อนข้อมูล ว่า ครูศิลปะส่วนใหญ่ขาดขวัญก�ำลังใจในการปฏิบัติงานเนื่องจากผู้บริหารมักไม่ให้ความสนใจเท่ากับ กล่มุ สาระการเรียนรหู้ ลัก โดยครูท่านหนึ่งกลา่ วว่า “...ขวัญก�ำลงั ใจในการปฏบิ ตั งิ านของครสู าขานไ้ี ม่ ค่อยมี เพราะผู้บริหารไม่ให้ความสนใจเท่าครูที่สอนวิชาหลัก แต่ครูที่สอนวิชานี้ ส่วนมากเป็นผู้มีใจ รัก สอนเพราะรัก ชอบในกลุ่มวิชาเหล่านี้ . . .” นอกจากสาเหตขุ า้ งต้นแลว้ การได้รับเงนิ เดือนนอ้ ยและ ขาดสวัสดิการที่ดีก็เป็นปจั จัยส�ำคัญทีค่ รูศลิ ปะระบุวา่ เปน็ เหตุใหค้ รูขาดขวัญก�ำลังใจในการปฏิบตั งิ าน โดยเฉพาะครใู นโรงเรยี นเอกชนทผี่ บู้ รหิ ารทเ่ี ขา้ รว่ มสนทนากลมุ่ ใหข้ อ้ มลู วา่ ครโู รงเรยี นเอกชนจะมเี งนิ เดอื นนอ้ ยกวา่ โรงเรียนรัฐบาลท�ำให้มอี ัตราการลาออกสงู 5) ครูศิลปะบางส่วนขาดประสิทธิภาพ โดยผู้บริหารบางคนเห็นว่าตัวครูศิลปะเองเป็น คนไมม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ ไมม่ คี วามสามารถในการทำ� ใหว้ ชิ าของตนประสบความสำ� เรจ็ และนา่ สนใจ ทำ� ให้ ทัง้ ผู้บริหาร ผ้เู รียน และชุมชนไมใ่ ห้ความส�ำคัญ นอกจากนยี้ ังมองว่าครูศลิ ปะบางคนเฉ่อื ยชา ไมค่ อ่ ย รบั ผดิ ชอบ ท�ำงานลา่ ช้า ส่งงานไม่ทันเวลา 6) ผู้บริหาร เพื่อนครูและผู้ปกครองไม่ให้ความส�ำคัญกับกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ เน่ืองจากกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะไม่ใช่กลุ่มสาระหลัก ท�ำให้ผู้บริหาร เพื่อนครู ผู้ปกครองและ ชุมชนไม่ให้ความส�ำคัญ ส่งผลให้ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากโรงเรียนน้อย ยกเว้นบางโรงเรียน ที่มีช่อื เสยี งจากงานศิลปะของนกั เรียนจะได้รับการสง่ เสริมสนบั สนนุ อยา่ งดี การที่ผู้บริหารไม่ให้ความส�ำคัญ ท�ำให้กลุ่มสาระน้ีไม่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนเท่าท่ีควร เมอ่ื ขาดแคลนครศู ลิ ปะผบู้ รหิ ารกแ็ กป้ ญั หาเฉพาะหนา้ ดว้ ยการจดั ครทู จ่ี บวชิ าเอกอน่ื มาสอน ซง่ึ เรอ่ื งน้ี ครศู ิลปะท่านหน่ึง กลา่ ววา่ “. . . การจดั คนลงสอนของผบู้ ริหารมกั จะนำ� คนที่ไม่เกง่ มาสอนกลมุ่ สาระ การเรยี นรู้ศิลปะ เช่น ครูวิทย์ทไ่ี ม่เก่ง ครูคณิตที่สอนไมด่ ี เปน็ ตน้ ” นอกจากผู้บริหารแล้ว เพ่ือนครูและผู้ปกครองก็ไม่ให้ความส�ำคัญกับกลุ่มสาระการเรียน รู้ศิลปะ เหตุเพราะไม่ใช่กลุ่มสาระหลักท�ำให้ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือและการส่งเสริมสนับสนุน เท่าท่ีควร ส�ำหรับครูศิลปะเองก็มีบุคลิกเฉพาะตัว ส่วนใหญ่จะมีความเป็นตัวของตัวเองสูงซึ่งเป็น ธรรมชาติของคนท่ีเรียนในศาสตร์ประเภทนี้ ลักษณะเช่นน้ีท�ำให้ถูกมองว่าเป็นคนท่ีไม่ค่อยรับฟัง ความคิดเหน็ ของคนอื่น
150 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 7) ครูศิลปะไม่ค่อยได้รับการพัฒนา ครูศิลปะสะท้อนว่า ตั้งแต่มีการปฏิรูปการศึกษาและ ปรบั โครงสรา้ งระบบการบรหิ ารเปน็ เขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาเปน็ ตน้ มา นอกจากทำ� ใหค้ รมู ภี าระงานมากขนึ้ แลว้ ครยู งั ไมค่ อ่ ยไดร้ บั การพฒั นา ไมไ่ ดร้ บั การอบรมเพมิ่ พนู ความรแู้ ละประสบการณท์ างการสอน เมอ่ื มีการอบรมก็มักจะเป็นไปตามความต้องการของต้นสังกัด ไม่ใช่ตามความต้องการของครู นอกจากน้ี ครูยงั ไมไ่ ด้รับการนเิ ทศจากศึกษานเิ ทศก์ทมี่ ีความเช่ยี วชาญเฉพาะวชิ าโดยตรง ยกเว้นครูศิลปะทีส่ งั กดั กรุงเทพมหานครที่ใหข้ อ้ มูลวา่ ได้รับการอบรมพฒั นาอย่างสมำ�่ เสมอ สำ� หรบั ปญั หานี้ศกึ ษานเิ ทศกท์ ร่ี บั ผดิ ชอบกลมุ่ ศลิ ปะใหข้ อ้ มลู เพม่ิ เตมิ วา่ การจดั อบรมสมั มนา ครูในกลุ่มสาระนี้ท�ำได้ยาก และตอ้ งใชง้ บประมาณจำ� นวนมากในแตล่ ะครง้ั เน่ืองจากเกยี่ วขอ้ งกับเรือ่ ง สถานที่ วสั ดุ อปุ กรณ์ในการฝกึ อบรมและวทิ ยากรทีต่ ้องมคี วามสามารถเฉพาะทาง ท�ำให้ไมส่ ามารถ จดั อบรมไดบ้ อ่ ย ๆ ทมี่ า. ชชู าติ พว่ งสมจติ ร์ (2557) จากตัวอย่างข้างต้น บทสรุปท่ีได้จะมีคุณภาพเพียงใดน้ันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ อย่างน้อย 2 ประการ ได้แก่ 1) คุณภาพของข้อมูล โดยข้อมูลมีความครบถ้วนสมบูรณ์เป็นระบบ และกระบวนการคัดกรองข้อมูล ถูกต้องเหมาะสม และ 2) คุณภาพของนักวิจัย คือ ความเป็น สหวิทยาการในตนเอง มีความละเอียด รอบคอบ รู้และเช่ียวชาญในระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มีวิจารณญาณที่เหมาะสม เป็นธรรม และมีความคิดสร้างสรรค์ รวมท้ังมีเวลาเพียงพอในการ สร้างบทสรุปอย่างประณีต อย่างไรก็ตาม หากนักวิจัยพบว่า มีข้อสรุปย่อยหรือดัชนีบางตัว ที่ยังขาดความชัดเจน หรือขาดข้อมูลสนับสนุนท่ีเพียงพอที่จะน�ำไปสร้างข้อสรุป นักวิจัยควร ตรวจสอบหรือเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ิมเติมก่อน โดยนักวิจัยอาจต้องย้อนกลับไปสู่สนามวิจัย ใหมอ่ ีกครัง้ เพอ่ื เก็บรวบรวมข้อมลู เพิ่มเตมิ ใหช้ ัดเจน (ชชู าติ พ่วงสมจิตร์ (2557) ในการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น ก่อนจะปิดเล่ม หรือก่อนจะจบสมบูรณ์ นักวิจัยจะนิยม สรปุ ออกมาเปน็ แผนผัง หรอื แผนภาพ (Diagram) กล่าวคือ ใน 1 งานวิจัย ถา้ หากว่ามีค�ำถามวิจัย 3 ค�ำถาม ผู้วิจัยอาจเขียน 3 แผนภาพ 2 แผนภาพ หรือ 1 แผนภาพ โดยไม่จ�ำเป็นต้องเขียนครบ 3 แผนภาพ ตามค�ำถาม 3 ค�ำถาม คือ ให้เขียนเฉพาะตอบค�ำถามการวิจัยท่ีส�ำคัญ เพ่ือสนับสนุน การค้นคว้ากไ็ ด้ การเขียนแผนภาพ เป็นตัวช่วยที่สะท้อนว่า ข้อค้นพบของเราช้ีน�ำให้เกิดทฤษฎี เพราะการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการค้นหาความรู้ท่ีเป็นความจริง จากแหล่งรากเหง้า เรียกว่า เปน็ การสรา้ งทฤษฎจี ากขอ้ มูลฐานราก (Grounded theory) กลา่ วโดยสรปุ กระบวนการทสี่ ำ� คญั ของระเบยี บวธิ วี จิ ยั เชงิ คณุ ภาพนน้ั มี 4 กระบวนการ ประกอบด้วย 1) การออกแบบการวิจัย 2) การเลือกสนามหรือกลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา (การเลือก ชุมชนที่ศึกษา/กลุ่มตัวอย่าง/กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญ) 3) การเก็บรวบรวมข้อมูล และ 4) การ วิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งทั้ง 4 กระบวนการน้ี เป็นเรื่องที่ส�ำคัญมาก นักศึกษาในทางการบริหาร การศกึ ษาหรือผู้วิจยั ควรศกึ ษาและท�ำความเข้าให้ชดั เจน
Research in Educational Administration • 151 ตอนที่ 3.4 กระบวนการวิจัยเชงิ คุณภาพในการบริหารการศกึ ษา การวิจัยเชิงคุณภาพท่ัวไป อาจมีกระบวนการท่ีแตกต่างกันบ้าง แต่ส�ำหรับการวิจัยเชิง คุณภาพทางด้านการบริหารการศึกษา โดยส่วนใหญ่ที่นิยมใช้จะเน้นการวิจัยเชิงคุณภาพพื้นฐาน ซ่ึงมีกระบวนการวิจัยหลัก ๆ คล้ายกับกระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพท่ัวไปนั่นเอง ประกอบด้วย 6 กระบวนการ ได้แก่ 1) การศกึ ษาประเด็นการวจิ ัย 2) การก�ำหนดปัญหาการวิจยั 3) การก�ำหนด กรอบแนวคิดทฤษฎี 4) การเลือกสนามหรือกลุ่มเป้าหมายท่ีศึกษา 5) การเก็บรวบรวมข้อมูล ภาคสนาม และ 6) การวเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยมรี ายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี 1. การศกึ ษาประเดน็ การวิจัย ในกระบวนการแรกของการวจิ ยั ผวู้ จิ ยั ตอ้ งศกึ ษาประเดน็ การวจิ ยั ใหเ้ ขา้ ใจชดั เจนกอ่ นวา่ เปน็ ประเดน็ หรอื เรอ่ื งอะไรทอี่ ยใู่ นความสนใจของผวู้ จิ ยั และอยใู่ นสาขาวชิ าทเี่ กยี่ วขอ้ ง ในทน่ี ้ี ตอ้ ง เป็นประเดน็ หรอื เร่ืองทอี่ ยใู่ นสาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา ซง่ึ อาจจะเกยี่ วขอ้ งกบั หนว่ ยงานหรอื พื้นที่ของผู้วิจัยเอง เช่น เป็นประเด็นการวิจัยเก่ียวกับการบริหารการศึกษา ภาวะผู้น�ำในองค์การ ทางการศึกษา การนเิ ทศการบริหารการศึกษา นวัตกรรมทางการบรหิ ารการศึกษา ปัจจัยที่สง่ เสรมิ ในการบริหารการศึกษาในมิติใดมิติหน่ึง ครูและบุคลกรทางการศึกษา หรือการศึกษาเฉพาะกรณี พนื้ ทใ่ี ดพนื้ ทหี่ นงึ่ เพอื่ ศกึ ษาลกั ษณะการบรหิ ารจดั การทม่ี ลี กั ษณะเจาะจงหรอื เพอ่ื เปน็ การถอดบท เรยี นแหง่ ความสำ� เรจ็ ฯลฯ อยา่ งไรกต็ าม ถา้ ประเดน็ หรอื เรอื่ งไมม่ จี รงิ ในขน้ั แรกนี้ กห็ มายความวา่ ผู้วจิ ยั ไมม่ ีประเดน็ หรอื เรื่องอะไรท่ีจะศึกษา ผู้วิจัยกศ็ กึ ษาไม่ได้ เพราะไมร่ ู้ว่าจะไปหาใคร จะไปหา ผู้รู้ที่ไหน จะได้ข้อมูลอย่างไร ดงั นนั้ ตอ้ งศกึ ษาใหไ้ ด้ประเดน็ หรือเรื่องก่อน สำ� หรบั แหลง่ ทมี่ าของประเดน็ การวจิ ยั ดงั กลา่ ว สว่ นใหญม่ าจากการทบทวนวรรณกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิด ทฤษฎีทางด้านการบริหารการศึกษา งานวิจัย หนังสือ เอกสาร ต�ำรา และบทความต่าง ๆ เมื่อผู้วิจัยศึกษาหรือทบทวนวรรณกรรมได้ประเด็นหรือเรื่องท่ีจะ ศึกษาแล้ว ก็จะถงึ กระบวนการในการก�ำหนดปญั หาการวจิ ัยตอ่ ไป 2. การก�ำหนดปญั หาการวจิ ัย หลงั จากทผี่ วู้ ิจัยมปี ระเด็นการวิจยั แลว้ ก็จะเปน็ กระบวนการของการก�ำหนดปัญหาการ วจิ ยั (Research problem) โดยในการกำ� หนดปญั หาการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพนน้ั ผวู้ จิ ยั สว่ นใหญจ่ ะกำ� หนด ปญั หาการวิจัยท่มี ่งุ ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างในสถานที่ หรือบรบิ ทท่ีเฉพาะเจาะจง และเปดิ กวา้ งใน การรบั ขอ้ มลู ทห่ี ลากหลายรอบดา้ น เพอื่ สรา้ งความเขา้ ใจอยา่ งลกึ ซง้ึ ในการอธบิ ายความหมายและ ปรากฏการณ์ของสิ่งทต่ี อ้ งการศกึ ษาเป็นสำ� คัญ ลักษณะของปัญหาการวิจัยเชิงคุณภาพท่ีดีต้องมีความชัดเจน ไม่กว้างเกินไปและ มีความเฉพาะเจาะจง ยิ่งกว่านั้น ควรจะเป็นปัญหาการวิจัยที่นักวิจัยสามารถใช้เป็นหลักใน การพิจารณาว่าจะเลือกการออกแบบการวิจัยแบบใดได้ด้วย ลักษณะของปัญหาการวิจัยเชิง คณุ ภาพท่ีดีดังกลา่ ว ควรเป็นปัญหาการวจิ ัยทม่ี ลี ักษณะ ดังน้ี (เก็จกนก เออื้ วงศ,์ 2557) 1) เป็นเร่ืองที่มีความเป็นนามธรรมสูง เช่น เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรม ของผู้บริหารสถานศึกษาและครู แนวคิดเชิงปรัชญา ความเชื่อ หรือเป็นเร่ืองเกี่ยวกับความดี
152 • การวิจยั ทางการบรหิ ารการศกึ ษา ความงาม ของผู้บรหิ ารและนกั การศกึ ษา 2) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกและจิตใจ เช่น อัตมโนทัศน์ ความภักดีของ ครูต่อบุคคลหรือหน่วยงาน หรือประสบการณ์ทางด้านจิตใจของบุคคลต่อส่ิงใดส่ิงหน่ึงหรือ ปรากฏการณใ์ ดปรากฏการณ์หน่งึ 3) เป็นเรื่องของคุณค่า ค่านิยม หรือวัฒนธรรม เช่น การให้คุณค่าต่อวิชาชีพครู วฒั นธรรมไทย วัฒนธรรมบรโิ ภคนยิ มทม่ี ีในสถานศึกษา 4) เป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการซ่ึงมีความเป็นพลวัต ต้องอาศัยการสังเกต สัมภาษณ์ เพ่อื ใหเ้ กดิ ความเข้าใจ เชน่ กระบวนการบรหิ าร การบวนการนเิ ทศ การะบวนการมสี ว่ น รว่ มของชมุ ชน 5) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบริบทหรือสิ่งแวดล้อม การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นงาน ท่ีศึกษาในลักษณะองค์รวมในสภาพธรรมชาติ ดังนั้น บริบทสิ่งแวดล้อมจึงมีความส�ำคัญที่มี อิทธิพลต่อปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึน เช่น บริบทของสถานศึกษา ได้แก่ ชุมชน และสังคมแวดล้อม ของสถานศกึ ษาน้นั ๆ 3. การก�ำหนดกรอบแนวคดิ ทฤษฎี ในกระบวนการน้ี เป็นเรื่องของการก�ำหนดกรอบแนวคิดทฤษฎี ซึ่งอาจจ�ำแนกได้ 2 กรอบ ไดแ้ ก่ 1) กรอบทฤษฎี และ 2) กรอบแนวคดิ โดยอธิบายไดว้ ่า กรอบทฤษฎี (Theoretical framework) คือ ระบบคิด ข้อสมมติ (Assumptions) ความคาดหวงั (Expectation) ความเชื่อและ ทฤษฎีท่ีสนับสนุนและให้สารสนเทศแก่ผู้วิจัย ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจส�ำคัญของการออกแบบ การวิจัย ส่วนกรอบแนวคิด (Conceptual framework) หรือแบบจ�ำลอง (Model) เป็นกรอบ เกี่ยวกับสิ่งท่ีอยู่ภายนอกท่ีนักวิจัยวางแผนที่จะศึกษาว่า อะไรก�ำลังเกิดขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ และ เพราะเหตุใด เปรียบเสมือนทฤษฎีชั่วคราว (Tentative theory) ของปรากฏการณ์ท่ีก�ำลังศึกษา (สชุ าติ ประสิทธ์ริ ฐั สนิ ธ์ุ, 2554, หน้า 118) อย่างไรก็ตาม ส�ำหรับงานวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งได้รับการออกแบบไว้ให้ใช้วิธีการแบบ อุปนัย มากว่าการทดสอบแนวคิด หรือสมมติฐาน จึงท�ำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า การวิจัยเชิง คุณภาพไม่ต้องใช้กรอบแนวคิด (Merriam, 2009, p.65) แท้ที่จริงแล้ว นักวิจัยเชิงคุณภาพต้อง ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องอย่างหลากหลายและรอบด้าน เพ่ือเป็นแนวทางในการด�ำเนิน การวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการ อุปนยั โยธิน แสวงดี (2557) กล่าวว่า ในการวิจัยเชิงคุณภาพน้ัน ต้องมีแนวคิดทฤษฎีเพ่ือ การตรวจสอบ และส่ิงส�ำคัญที่สุด คือ ต้องมีปรากฏการณ์หรือหลักฐาน หากไม่มีก็ท�ำวิจัยไม่ได้ เม่ือมีแนวคิดทฤษฎี มีปรากฏการณ์หรือหลักฐานแล้ว ก็สามารถตั้งค�ำถามการวิจัยได้ จากนั้น ก็จะมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยและมีระบบการคิดของการวิจัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการวิจัย เชิงคุณภาพ เปน็ การค้นหาความรู้ทเ่ี ปน็ จรงิ จากแหลง่ รากเหงา้ ของขอ้ มลู เราตอ้ งการความรูท้ ่เี ป็น ความจริง ไมใ่ ช่ความเห็น ต้องเจาะลึกละเอยี ดถงึ 360 องศา รู้ทกุ มิติของประเดน็ เร่ืองท่ีเราจะศึกษา
ตรวจสอบ และส่ิงสาคญั ที่สุดคือ ตอ้ งมีปรากฏการณ์หรือหลกั ฐาน ไม่มีก็ทาวิจยั ไม่ได้ เม่ือมีแนวคิด ทฤษฎี มีปรากฏการณ์หรือหลกั ฐานแลว้ กส็ ามารถต้งั คาถRามesกeาaรrวcิจhยั iไnดE้ จdากucนa้นั tiกoจ็nะaมl ีวAตั dถmุปiรnะisสtrงaคtข์ ioอnง • 153 การวิจยั และมีระบบการคิดของการวิจยั อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากการวิจยั เชิงคุณภาพ เป็ นการคน้ หา มต้ีอวิธงคีก้นารหราเคควจคือวาบาะวยมรลาืดึรกวมหู้ทลมรย่ีะเปุ่นขู้ทเอ็ นไ้อีี่ยเดปจดม้รถ็นิโูงลึงดจคท3าย6วกไี่ 0าแมFอมห่ยlงeึดลจศxต่งราิiดริงรbาอู้ทมกlยeุกเาู่กหมใบัคงิตหว้าืิขอขิธ้ไอีอกดงยงาป้ ืดรขดรใอ้หะดังมเดวนยูลิธ็นุ่นั้นีกเเรรไาื่อารดกตงห้ทา้อนรี่งเร่โึงกวาดาจติจรยะอ้ัยคศไงเวึกมคชาษน้่ยมิงาหึครดมู้ทาุณตีวค่ีเิธปิดวภีก็านอาามครพยรรวู้ทู่กวาี่เจบมับปึรงจ็ นววรไคิิมธงมวขีกไ่คาอ้มมาวม่ใรจูลรชรใทก่ิคงด่ีมว�ำFวาาหlิใeมธxหนเีกiห้bไดา็lนดeรก้ หรอนบ่ึง แนวคิดในดกงั นา้รนั วกิจารัยวแิจบยั เชบิงตคุณายภตาพัวจเึงพไมร่คาวะรกการหอนบดกแรนอวบคแนิดวใคนิดกในากราวริวจิจัยยั แแบบบบตตายาตยวั ตเพัวรามะันกรเอปบ็นแนโควคริดงสร้าง ท่ีเป็นบล็อใกนกไวาร้วว่าจิ ยั นแบักบวติจายัยตศวั ึกมษนั าเปไ็นดโ้เคฉรพงสาระ้าตงทัวี่เปน็น้ี บมลีผอ็ ลกสไวู่ตว้ า่ัวนนกั ้ี วตจิ ัวยั ศนึกี้มษีผาไลดสเ้ ฉู่ตพาัวะนตวั้ี นแ้ีลมีผะลตสัวู่ตนวั นี้ม้ี ตีผวั ลนส้ี ู่ตัวน้ี เทา่ น้นั ซงึ่ มเปีผล็นสกู่ตวรั นอ้ี บแลแะนตวั นค้ีมดิ ีผตลาสมู่ตทวั นผ่ี ้ีเทูว้ ่าิจนยั ้นั กซำ� ่ึงหเปน็นดกไรวอบด้ แงั นภวาคพิดทตา่ี ม3ท.6่ีผวู้ ิจยั กาหนดไวด้ งั ภาพที่ 3.14 X1 X2 Y 1 X3 ภาพที่ 3ภ.า6พทกี่ ร3อ.6บกแรนอบวแคนดิ วคกดิ ากราวรจิวิจัยยั มไทแวิจมสหายักเใรจจ่อดาสหูรึง้แจศาางา้ไงิร้ผรบจาวมทิงเูศ้ลวพว่บา่คทวี่ ิจึกคิจวือ่่าคตุกัยรษวใยัจือมาศเหกนานาเเายิึตนฉก�ำม้ไกกลน้ตพน้ดอหิขษภรวะคคาวค้ัอนกาูะา้นาว้วเวไเงตพอาดงกฉา้มานัเาดจแกมีรทยมรมพรา้เ่ืูกอบร้ทรกดี่อรเปาภพอ่ีรเ3ู้ทง้ตูปบะถ็บาอน.ทบ็เ่ีพนรรต6ึบงปลไ่ีทแองจทาน็งซแงกด3่ีนะมร�ำ3่คึลงสอนั6กิ.ถ้งวกร์เ1ปึกง0วด4าคแการ้็นคจมรหงิดกนออแาทกึง์รศใสใรรบาจาุกง่วหนึกนรดือหมะวศมขษง้เอกิตแซแหิจใทดันาิาาหนส3่ึกบงย็ันกุรล6ด้เบัเดหน0เวบมปวะดชปก็นงิจอ่เาติัก็ปนรวงิอัวงรงัยัิชีศา่ว่า3นมีกยรคแอญาคม6ิจดาับนาุ้ันบณถานัว0มรยัถขาบ้เเาแอปมปขอตภึิดงกมต็ีกนงงนัด็นอ้าราากรศ3ก(กอพยว้นูรกาPงร6ารบัตบอวครก้นั0yวทถแบัวอิปจิจrิดาเน้าแ่ีอปaแยับยรมัรวแเนเmงพ็นชทคเัตชกีแวบศชิงิดรคจiรนญ้จรคdาแิิงบดารอุณวบรว)ะแาคงินบติบภคบขจงถแหุณตาัแกบาิดตสอ้านพาวันยตกวแภยงอ้่นทอทาิตตจ�ำวกบยี่ตางอบหวััยคิ่มตวัาอ้พบไนกตวันรดิงสลต็จมจกรซ้วอแดะูง้าดล่าึึงง่ิจรมงบถกึหมกยขังไักูยกอีรบรกดนัตเรกูม้เจาสอกบชตัวืารน้ัรอรบั่คหบิงิ้างานอตแคทนซยวคแกว้รบเันบุกดต่ึงนรพุาณาวใมมวัรขมบจกหวจิื่ตอภเวัดปกะผ้คิาคขาสิจใ็านวู้กจ็อคหิคดวอพัยหิจจงะับแยรรั่าเบรนเทชถร้ไศิบงดคออ่ือแึกท่ีิงดูกตดวบงงับษบคบี่วก้อกทคา้ภตาา่ณุไบ�ำี่ไมงรวาาหวรวภสเยอพาปนู้ล้ตา้ามบผท็นพึมดกัวเูวรพ้แ่ี ู้ิตจ3นรยั.ราว1กงะ5คก็ตมิดนัิดนัใกนจกรึงกว กรอบน้ันจะครอบไว้ ผู้วิจัยก็ติดกรอบ ไม่อาจวิจัยนอกกรอบได้ การวิจัยเชิงคุณภาพท่ีแท้จริง ตอ้ งไมม่ กี รอบมาครอบไว้ เพราะมนั กวา้ งมหาศาล คอื กวา้ งแบบลงลกึ หรอื แบบปรี ามดิ (Pyramid) โดยมหี วั ทม่ิ ลงหรือแบบคว่�ำ ดังภาพที่ 3.7 ภาพท่ี 3.7 แบบปรี ามิด (Pyramid) ภาอพย่าทงี่ไ3ร.ก7็ตาแมบงบาปนี วรจิาัยมเิดชิง(คPณุ yrภaาmพiถd)้าผวู้ ิจัยเห็นว่า ควรจะมีกรอบแนวคดิ ก็ควรเปน็ เพียง กรอบแนวคิดหยาบ ๆ หรือยืดหยุ่นได้ โดยให้ผู้วิจัยเขียนออกตัวไว้ว่า ถ้าเจอปรากฏการณ์อื่น ๆ ที่เก่ียวข้องก็จะน�ำมาศึกษาเพื่อช่วยอธิบาย ถ้ามีกรอบท่ีตายตัวหรือเคร่งครัดเหมือนการวิจัย อย่างไรก็ตาม งานวิจยั เชิงคุณภาพ ถา้ ผูว้ ิจยั เห็นว่า ควรจะมีกรอบแนวคิด ก็ควรเป็ นเพ
154 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา เชิงปริมาณก็จะถูกจ�ำกัดให้ศึกษา ไม่สามารถศึกษาและเข้าใจประเด็นต่าง ๆ อย่างเป็นองค์รวม (Holistic) ได้ และจะขดั กบั ปรชั ญาของการวจิ ัยเชงิ คุณภาพ ในทางปฏิบัติเก่ียวกับกรอบแนวคิดในการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยจ�ำเป็นต้องทบทวน วรรณกรรมและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องเพ่ือศึกษากรอบทฤษฎี (Theoretical framework) อันจะน�ำไป สู่การก�ำหนดกรอบแนวคิด (Conceptual framework) ส�ำหรับเป็นแนวทางในการด�ำเนินการวิจัย แต่ผู้วิจัยควรก�ำหนดกรอบแนวคิดไว้แบบหลวม ๆ หรือแบบช่ัวคราว ซึ่งสามารถปรับเปล่ียนได้ ตามขอ้ มลู เชิงประจกั ษท์ ่ผี วู้ จิ ยั ไดร้ บั ในขณะเกบ็ ข้อมลู ในภาคสนาม ดงั นน้ั กรอบแนวคิดในการ วจิ ัยเชิงคณุ ภาพ จึงเป็นกรอบที่มีประโยชน์สำ� หรับผ้วู ิจัยดังน้คี อื 1) ใชเ้ ปน็ แนวทางในการท�ำความ เขา้ ใจปรากฏการณท์ เี่ กดิ ขน้ึ อยา่ งมคี วามหมายในบรบิ ททศี่ กึ ษา 2) ใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื หรอื แนวทางใน การเก็บขอ้ มลู 3) ทำ� ให้ทราบวา่ จะทำ� ความเข้าใจกบั โจทยก์ ารวิจัยทีต่ งั้ ขึ้นนน้ั ในมุมมองใด 4) เป็น แนวทางในการวจิ ยั มากกว่าทจ่ี ะเปน็ กรอบทตี่ ายตวั และ 5) จะชว่ ยใหส้ ามารถกำ� หนดลักษณะของ ขอ้ มลู ทต่ี ้องการ 4. การเลือกสนามหรือกลมุ่ เป้าหมายทศ่ี ึกษา สนามในการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ ปรากฏการณ์ที่เป็นจริงโดยธรรมชาติ อาจเป็นสถาน ศกึ ษา หนว่ ยงาน หอ้ งเรยี น หมบู่ า้ น หรอื ชมุ ชน หรอื พน้ื ท่ี หรอื เหตกุ ารณ์ หรอื กจิ กรรมใดกจิ กรรม หนึ่งที่จะเข้าไปศึกษาวิจัย ส�ำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา คือ กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญ กลมุ่ คน หรอื บคุ คลทนี่ กั วจิ ยั เลอื กแบบเจาะจงทจี่ ะเขา้ ไปศกึ ษา โดยมรี ายละเอยี ดซงึ่ ผวู้ จิ ยั สามารถ ศกึ ษาไดจ้ ากตอนที่ 3.3 กระบวนการทส่ี ำ� คญั ของระเบยี บวธิ วี จิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ขอ้ 2 การเลอื กสนาม หรอื กล่มุ เปา้ หมายท่ีศกึ ษา 5. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ภาคสนาม หลังจากที่ได้เลือกสนามหรือกลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา นักวิจัยก็จะเก็บรวบรวมข้อมูล ตามแผนที่ก�ำหนดไว้เพื่อจะตอบค�ำถามการวิจัยท่ีต้ังไว้แล้วอย่างครบถ้วน การเก็บรวบรวมข้อมูล จะเกิดขึ้นเม่ือนักวิจัยได้เข้าสู่สนาม และด�ำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยอาจใช้การสังเกต การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่มและการศึกษาจากเอกสาร มีรายละเอียดซ่ึงผู้วิจัยสามารถศึกษา ได้จากตอนที่ 3.3 กระบวนการท่ีส�ำคัญของระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ข้อ 3 การเก็บรวบรวม ข้อมลู 6. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยสามารถด�ำเนินการได้ในสองช่วง คือ วเิ คราะห์ขอ้ มลู พร้อม ๆ กับการเกบ็ รวบรวมข้อมลู และวเิ คราะห์ขอ้ มลู หลังจากการเก็บรวบรวม ข้อมลู เสรจ็ ส้ินลง การวเิ คราะห์ข้อมูลส่วนใหญ่จะใช้หลักการวเิ คราะห์เนื้อหา (Content analysis) โดยมีรายละเอียดซึ่งผู้วิจัยสามารถศึกษาได้จากตอนท่ี 3.3 กระบวนการท่ีส�ำคัญของระเบียบวิธี วิจัยเชิงคณุ ภาพ ข้อ 4 การวเิ คราะห์ข้อมูล
Research in Educational Administration • 155 กล่าวโดยสรุป การวิจัยเชิงคุณภาพทางด้านการบริหารการศึกษา โดยส่วนใหญ่ท่ีนิยม ใช้จะเน้นการวิจัยเชิงคุณภาพพื้นฐาน ซึ่งมีกระบวนการวิจัยหลัก ๆ คล้ายกับกระบวนการวิจัย เชิงคุณภาพทั่วไปน่ันเอง ประกอบด้วย 7 กระบวนการ ได้แก่ 1) การศึกษาประเด็นการวิจัย 2) การก�ำหนดปัญหาการวิจัย 3) การก�ำหนดกรอบแนวคิดทฤษฎี 4) การเลือกสนามหรือกลุ่ม เปา้ หมายท่ศี ึกษา 5) การเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม และ 6) การวิเคราะหข์ อ้ มลู ตอนที่ 3.5 การเขียนรายงานการวจิ ัยเชงิ คุณภาพ รายงานการวิจัย เป็นเอกสารท่ีนักวิจัยได้จัดท�ำข้ึนเพื่อน�ำเสนอเรื่องราวที่เป็นผลจาก การศกึ ษาคน้ ควา้ ทางวชิ าการ แลว้ นำ� มาเรยี บเรยี งอยา่ งมรี ะเบยี บแบบแผน โดยผวู้ จิ ยั นำ� เสนอขอ้ มลู รายละเอียดท้ังหมดของการด�ำเนินการวิจัย ในที่น้ี จะน�ำเสนอส่วนประกอบพ้ืนฐานของรายงาน การวิจยั เชงิ คณุ ภาพ ซ่งึ มักพบในรายงานการวจิ ัยเป็นส่วนใหญ่ ดังน้ี บทท่ี 1 บทน�ำ 1.1 ความเป็นมาและความสำ� คญั ของปัญหา 1.1.1 ความเป็นมาของปัญหา - ความเป็นมาของประเด็นน้ใี นวงวิชาการสากล (โลก) - ยทุ ธศาสตรข์ องโลก ประเทศ - ยุทธศาสตร์ของจังหวดั - ยทุ ธศาสตรข์ องสังคม 1.1.2 ปัญหาการวิจยั ชี้ให้เห็นความจ�ำเป็นที่ต้องท�ำเรื่องนี้ (ไม่ใช่ประโยชน์ของงานวิจัย) เช่น ความ รุนแรงของปญั หา ความรนุ แรงของประเด็น หรือ อีกนยั หนง่ึ แสดงความออ่ นดอ้ ยของประเด็น การทำ� วิจัยที่ผ่านมา ถ้าไดท้ ำ� วจิ ยั เร่ืองน้ีแล้วผลดีจะเกิดขึน้ ต่อสังคม ฯลฯ อยา่ งไร ถา้ ไม่ท�ำเรื่องนี้ จะมผี ลเสยี อยา่ งไร ดงั นนั้ จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งทำ� เพราะผลการวจิ ยั จะเปน็ ประโยชนใ์ นการชใี้ หเ้ หน็ วา่ ..... 1.1.3 ความส�ำคัญของปญั หาการวจิ ัย กล่าวถึงสังคม ชมุ ชน หรือ กลุม่ คน ทีเ่ ลือกท�ำการศกึ ษาว่าส�ำคญั อย่างไร (เนน้ ให้ เห็นความส�ำคัญของประเด็น) อาจอ้างถึงเอกสารส�ำคัญที่กล่าวถึงเรื่อง/ประเด็นที่ท�ำวิจัย เชน่ รฐั ธรรมนญู พระราชบัญญตั ิ ฯลฯ เพื่อชใี้ ห้เห็นความสำ� คัญของเรอ่ื งท่ที ำ� วิจยั 1.2 วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั คำ� ทน่ี ยิ มใช้ในการเรม่ิ ตน้ ตัง้ วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ มดี งั น้ี - เพื่อศึกษา (แบบนค้ี ่อนขา้ งโบราณ) - เพื่อตรวจสอบ (Examine) - เพอื่ ค้นหา (Investigate) - เพอ่ื หาผลกระทบ (Effect)
156 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา - เพ่ือหาผลสะท้อน (Impact) - เพื่อคน้ หาอิทธพิ ล (Influences) - เพื่อสืบค้น/แสวงหา/ส�ำรวจ (Explore) 1.3 ค�ำถามการวจิ ัย ต้องมีความชัดเจน โดยจะนยิ มต่อทา้ ยประโยคด้วยคำ� ว่า อย่างไร อะไร ท�ำไม 1.4 ประโยชนข์ องการวจิ ยั - จะสามารถน�ำผลการวิจัยไปใช้ท�ำคู่มือ การปฏิบัติการ ก�ำหนดมาตรการทาง นโยบาย - จะท�ำให้ไดอ้ งคค์ วามรู้ใหม่ - จะท�ำใหส้ ามารถยืนยนั ทฤษฎีเดมิ ว่า ยงั คงเป็นอยู่ หรอื ต้องยกเลิกทฤษฎีเดมิ - จะทำ� ใหส้ ามารถเลิกนโยบาย มาตรการเกา่ คู่มอื เกา่ ยทุ ธวิธีการบริหารแบบเกา่ ฯลฯ บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 กล่าวถึงทฤษฎีที่เกี่ยวขอ้ ง หมายถึง การกล่าวถึงทฤษฎีท่ีส�ำคัญและเก่ียวข้องจริง ๆ กับประเด็นที่จะค้นหา หรือ พสิ จู น.์ ....(อา้ งองิ ) โดยทฤษฎที ใ่ี ชใ้ นการสรา้ งกรอบแนวคดิ (Conceptual framework) ในการศกึ ษา เชิงคุณภาพนั้น มักเป็นทฤษฎีที่ต้ังขึ้นเพียงช่ัวคราว (Tentative theory) เพ่ือเป็นแนวทางคร่าว ๆ ส�ำหรับด�ำเนินการวิจัย หากด�ำเนินการศึกษาไประยะหน่ึงแล้วอาจจะมีการเปลี่ยนทฤษฎีที่ใช้ให้ เหมาะสมกับบรบิ ทท่ที ำ� การศึกษาก็ยอ่ มได้ ดงั น้ัน แนวคิดทฤษฎที ไี่ ด้ก�ำหนดไว้ในเบ้อื งตน้ นัน้ จึง ไม่ใช่ส่งิ ทีจ่ ะยึดเปน็ แบบตายตัว แตถ่ ือว่าเปน็ เพียงแนวทางสำ� หรับหาค�ำตอบในการวจิ ยั ทีส่ ามารถ ยืดหยุ่นหรือปรับได้ เมื่อมหี ลักฐาน หรือขอ้ มูลทชี่ ้ีว่าควรมกี ารปรบั เปลีย่ น 2.2 งานวจิ ยั ท่เี ก่ียวข้อง - ให้พิจารณาถึงระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ในงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ต้องวิพากษ์ถึงจุดแข็ง และจุดอ่อนของงานวิจัยที่เก่ียวข้อง พร้อมเสนอว่า ผู้วิจัยจะท�ำให้ดีกว่าด้วยวิธีการท่ีจะน�ำเสนอ ในข้ันตอนของระเบยี บวิธีวิจยั - ผล และเน้ือหาที่ได้จากการอ่านในงานวิจัยที่เก่ียวข้องน้ัน ยังคลุมเครือ หรือไม่ ชดั เจน เปน็ คนละยคุ สมัย จึงตอ้ งพสิ จู น์ใหม่ บทท่ี 3 ระเบียบวิธีวจิ ยั (ข้อมูลต่อไปนเ้ี ป็นขอ้ มูลสมมตเิ พือ่ เปน็ ตัวอย่าง) 3.1 การออกแบบการวิจัย การวจิ ยั น้ีเปน็ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ไดอ้ อกแบบการวจิ ยั เปน็ แบบมานษุ ยวทิ ยา(Anthropo- logical research) ทงั้ นเ้ี พราะวา่ ขอ้ มลู สว่ นใหญ่ (หรอื แหลง่ ขอ้ มลู หลกั ) มาจากแหลง่ ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ ทเี่ ปน็ บรบิ ททางสงั คม ชมุ ชน ลทั ธิ ความเชอื่ ศาสนาและปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ในชมุ ชนอยา่ งละเอยี ด
Research in Educational Administration • 157 3.2 ชุมชนทศี่ กึ ษา (สนาม/กล่มุ ตัวอยา่ ง/กลุม่ ผู้ใหข้ อ้ มลู สำ� คญั /กลุ่มเปา้ หมายทีศ่ กึ ษา) ชุมชนที่ศึกษาน้ี คือ ชุมชนบ้าน.....อ�ำเภอ....จังหวัด.....ซึ่งเป็นชุมชนที่โดดเด่นในการ รกั ษาทรัพยากรธรรมชาติ หรืออะไรก็วา่ ไปตามเปน็ จริง (รายละเอยี ดของชมุ ชน หม่บู ้าน กล่มุ คน ทผี่ ูว้ จิ ยั ทำ� การศึกษา เปน็ การชใี้ หเ้ หน็ บรบิ ททางสงั คมของหนว่ ยท่ีผ้วู จิ ยั ท�ำการศึกษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี วถิ ชี วี ิต ฯลฯ หากเจาะไปทีช่ มุ ชน ควรมีแผนที่ของหม่บู า้ น และ/หรือ ชมุ ชน มาแสดงด้วย) ถ้าเป็นการวิจัยทางด้านการบริหารการศึกษา สนามท่ีศึกษาที่ผู้วิจัยเลือก อาจได้แก่ สถานศกึ ษา โรงเรียน หรือ หอ้ งเรียน ฯลฯ ซึ่งผูว้ ิจยั อาจไม่สามารถจะสงั เกตในทุกกจิ กรรมหรือ พดู คยุ กับทุกคนที่เกยี่ วขอ้ งกบั ปญั หาการวจิ ัยได้ ดงั น้ัน ผู้วิจยั จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งเลือกกลุม่ ตวั อย่างหรอื กลุ่มผใู้ ห้ข้อมลู ส�ำคญั (Key informants) ท่ีเชื่อว่าจะเปน็ ตวั แทนพืน้ ท่ี กจิ กรรม หรือบคุ คลทศ่ี กึ ษา ได้ ซึ่งผู้วิจัยมักจะใชว้ ิธกี ารเลอื กแบบเจาะจง โดยยึดวตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัยเปน็ หลัก (Purposive sampling) 3.3 การรวบรวมขอ้ มลู ในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพครง้ั น้ีผวู้ จิ ยั ใชว้ ธิ กี ารรวบรวมขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ ความรแู้ ละเปน็ ความจรงิ จากกลมุ่ ตัวอยา่ งหรอื กลมุ่ ผ้รู ู้ที่รูจ้ ริง (Key informants) ซึ่งผู้วจิ ัยเลือกมาแบบเจาะจง เพื่อศึกษาใน ประเดน็ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั 1)....2)....3)....4) โดยมขี นั้ ตอนและกระบวนการในการรวบรวมขอ้ มลู ดงั น้ี 3.3.1 การสนทนากลุ่มแบบเจาะจง (Focus group discussion) ผู้วิจัยได้ก�ำหนด กลุ่มไว้ 3 กลุ่ม เพอื่ ตรวจสอบแบบสามเสา้ ในบางประเดน็ โดยมีจ�ำนวนคนภายในกล่มุ ๆ ละ 8, 9 และ 10 ตามล�ำดับ หลักการจัดคนเข้ากลุ่มและการต้ังเกณฑ์ ผู้วิจัยได้จัดคนเข้ากลุ่มให้มีคุณสมบัติ คลา้ ยกันเข้ากลมุ่ เพ่อื จะช่วยลดการข่มกันทางปญั ญา โดยมหี ลกั ในการจัด ดังนีค้ อื 1) มหี ัวขอ้ เรอื่ ง (Topic) 2) มผี รู้ จู้ รงิ (Key informants) และ 3) มเี กณฑค์ ดั เลอื ก ทเ่ี รยี กวา่ Homogeneous (คณุ สมบตั ิ คลา้ ยกนั ) โดยมกี ารตง้ั เกณฑแ์ ละสอบถามเพอื่ คดั เลอื กคนเขา้ กลมุ่ สนทนา (เลอื ก-ไมเ่ ลอื ก /เขา้ ขา่ ย- ไมเ่ ขา้ ขา่ ย) ดงั ตอ่ ไปน.ี้ ......................................................................................................................... ........................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ แนวคำ� ถาม ผวู้ จิ ัยเตรยี มแนวคำ� ถามที่ใชใ้ นการสนทนากลุม่ แบบเจาะจง ดงั ปรากฏ ในภาคผนวก.....ซึ่งแนวค�ำถามน้ี ได้มีการทดสอบเนื้อหาของข้อค�ำถามจากการสนทนากลุ่มกับ กลุ่มผู้รูท้ ี่ร้จู ริง ณ......(การทดสอบเนอ้ื หาของข้อคำ� ถามดังกล่าว เป็นเหมอื นการตรวจคณุ ภาพของ เครือ่ งมือวจิ ัยเชงิ ปริมาณในดา้ นความตรงเชิงเนอ้ื หาหรอื Content validity) การตรวจสอบความถกู ต้องของข้อมูล ผวู้ จิ ยั ไดก้ ำ� หนดท�ำการจัดสนทนากลุ่มแบบ เจาะจง จ�ำนวน .....กลุ่ม เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่า เป็นข้อมูลที่จริงถูกต้อง โดยใช้หลักการตรวจ สอบแบบสามเสา้
158 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา 3.3.2 การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) ผู้วิจัยได้ก�ำหนดกลุ่มไว้ 3 คน เพอ่ื สมั ภาษณ์เจาะลึกลว้ งค�ำตอบอยา่ งละเอียดถถ่ี ้วนเปน็ รายบุคคล ทั้งนเ้ี พือ่ ศึกษาให้ครบทุกมิติ เกณฑก์ ารคัดเลือกผรู้ จู้ ริงส�ำหรับการสมั ภาษณ์ ผ้วู ิจัยได้ตง้ั เกณฑ์ในการคดั เลอื กผ้รู ู้ จรงิ สำ� หรับการสมั ภาษณ์ไว้ ดังนี้ .................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................ แนวค�ำถาม ในการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกนี้ ผู้วิจัยไม่ได้ก�ำหนดกฎเกณฑ์เก่ียวกับ ค�ำถามและล�ำดับขั้นตอนของการสัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้า เป็นการพูดคุยในบรรยากาศธรรมชาติ (Naturalistic inquiry) การทดสอบความเป็นไปได้ (Feasibility test) ผู้วิจัยได้ทดสอบความเป็นไปได้ใน การรวบรวมขอ้ มลู (ซงึ่ เปน็ เหมอื นการทดลองใชเ้ ครอ่ื งมอื วจิ ยั หรอื try out ในการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ) โดยด�ำเนินการ ดงั น้ี - ทดสอบแนวคำ� ถามที่จะใช้ในสนามแลว้ น�ำมาปรบั แก้ (อาจทดสอบหลายครง้ั ) - ทดสอบความเป็นไปไดท้ ี่จะใช้ในการรวบรวมขอ้ มูลในสนามจริง - จำ� นวนครั้งท่ีใชท้ ดสอบ - ทดสอบในพน้ื ที่ เช่น ชมุ ชน สังคม ฯลฯ 3.4 การวเิ คราะห์ข้อมลู การวเิ คราะหข์ อ้ มูลในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพครงั้ น้ี ดำ� เนินการใน 2 ช่วง คอื ดำ� เนนิ การไป พร้อม ๆ กับการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์สุดท้ายหลังการเก็บรวบรวมข้อมูลเสร็จส้ินลง โดยใชห้ ลักการวเิ คราะห์เชิงเนอ้ื หา (Content analysis) บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล (ผู้วิจัยต้องไม่ลืมหัวใจของการวิจัยเชิงคุณภาพท่ีเน้นความสัมพันธ์ของคนกับสังคม บริบททางสังคม วฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี วิถชี ีวิต วฒั นธรรมกลุ่มย่อย ฯลฯ ทม่ี ีผล ต่อพฤตกิ รรม และความเชื่อในเรอื่ งนั้น ๆ) แนวทางการนำ� เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู 4.1 เพอ่ื น�ำไปสูก่ ารตอบค�ำถามการวจิ ยั ขอ้ 1 เมอื่ พจิ ารณาถงึ .....................ผลการวจิ ยั นี้ พบว่า........................................ซง่ึ สอดคล้อง กบั ปรากฏการณท์ ่ี (นาม-ป/ี อา้ งองิ ).............ไดค้ น้ พบวา่ .................... (นาม-ป/ี อา้ งองิ )................ และ (นาม-ปี/อ้างองิ ) ไดค้ น้ พบ..........................(อยา่ งนอ้ ยอ้างอิง 3 คน/สามเส้า)..................... ซึ่งจะ ขอแยกอธิบาย ดงั นี้ 1. โรงเรยี น ................................................(อา้ งองิ ).................................................... (อ้างอิง).....................................(อ้างอิง).........................................................ดังประเด็นท่ีได้จาก การสนทนากลุ่ม ดงั น้ี ...........................................................................(หญงิ อายุ 30-25 ป)ี
Research in Educational Administration • 159 2. โรงเรยี น................................................................(อา้ งองิ )...................................... (อา้ งองิ )............................................................................................................................................. ส(อาา้ มงาอรงิ ถ).จ..ำ�.ห.ล..าอ..ก.ง.พ.เ.ป.ิจ..น็ า..รแ..ณ.ผ..น.า..ถผ..ึงงั..คไ..ด.ว.้.าด..ม.งั..สน..�ำ.้ี .ค...ัญ...ข...อ..ง..โ..ร..ง..เ.ร..ีย..น...ต...่อ...ค..ว..า..ม...เ.ช..ื่.อ..แ..ล...ะ..ก...า..ร..ต..ัด...ส...ิน...ใ.จ...ใ.ช...้ว..ิธ...ี....................1....9..8 โรงเรียน ความเช่ือ การตดั สินใจ......... 44..22 เเเพมเพม่ือื่อ่อือื่นพนพาิจำ�ไจิ าไปารปรสณสณู่กาู่กาาถราถึงตรงึ.ต.อ....บ.อ....คบ.....า.ค...ถ..ำ�..า..ถ..ม...า..ก.ม...า...ก.รผ.าผวลรจิลกวัยกาิจขารยั้รอวขวิจ2จิอ้ยั ยัน2น้ี พ้ี พบบววา่ .า่ .......................................................................ซ...ง่ึซส่ึงอสดอคดลคอ้ลงอ้ ง กบั ปรากฏการณท์ ี่ (นาม-ปี/อา้ ้ งองิ )..............ไไดดค้ ค้ น้ น้ พพบบววา่ ่า.....................(น(นามาม-ป-ป/ี ีอ/อา้ งา้ งอองิ ิง).)................แ. ลและะ (นาม-ปี /ี อ้างอิง) ไดค้ น้ พบ...........................((ออยย่า่างงนน้อ้อยยออา้ ้างงออิงิง33คคนน/ส/สาามมเสเส้า)า้ .).....................ซ. ่ึซงจง่ึ ะจขะอ ข(((((แ(อออออออย้า้้าาา้้้าากแงงงงงงอยออออออธกิงงิิิงงิิงงิบ)อ))))).....า..ธ.........ย......บิ...............า..ด........ย......งั..........1น....21....ด.......้.ี..........งั.................น..........................ี้................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................(..........อ...................้า..............ง..............อ....................ิง...............).................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................... (อ้างอิง)..........2...........................................................................................................................(.อ...้า..ง..อ..ิง..).................................................................................................... (อา้ งออิงง))............................................................................................................................................. (อา้ งอิง)........................................................................................................................................ บทท่ี 5 สรุปและขอ้ เสนอแนะ สตบลอน้ังทแบลทลคงี่ ะแ5�ำกถลสราะมะรกุชปใ5ก5ใสรห.หบัแา.1ะดุ1รผ้ลผ้ชทวสวูะ้ไวู้บัสา้ิจขิจรมจิยรัยยุ้ัปอ่ตยัไขปุสเมผสอ้สอแผรลต่งรนงุลปลกม้อปุกอะผกาีคงผาแสรลามราลนรวอกพสีคกจิวะาดูรดำ�ยัิจารคพปุรแวยั ลวดูลิผจ้อจิยัแะลยงั/แลกวก/ผะาิเวคับรนแเิ ครววผผารจิัตนะงัายัถหะผหใุปห์ทังหรร่ีบท์ืหอผ้ ะรบ่ีแว้รูสรผอืจิรงยยันรแคาเยผยภขข์ าแนายีอยลพนภงแะกาเล(ปอพDาะธน็รอi(ิบaวโDธgมิจาrบิiยยัเaaดไาmgปวยลr)aใไ้ร/Dวmนะเนใ้ iบม)นa้นาทgเบนณใrทaทน้น่ีm34ทปใ-นด่ี4ร4เทว้ะปเห่ายเทรดนนโะา่็น้ดนั เนา้ ดทยน้ั ็นใี่โเปหดทโ็ นพ้ยด่เี ปยกจิยอ่ ็นาายใรรอ่กหตณใาส้อหรา้บัน้ จคากถจามำ� นกาวรนวคิจำ�ยั ถแามลกะสารอวดิจคยั ลเอ้ชง่นกบัถวา้ คตั ำ�ถถุปารมะกสางรควข์ ิจอัยงมกาี 3รควจิ�ำถยั าปมรผะมวู้ จิาณยั อ3า-จ4เขหียนนา้ 3 โมเดล หรอื 2 โมเดล หรือ 1 โมเดสลุดคทือา้ ยไขมอจ่ ง�ำกเปาร็นสตรอ้ ุปงผเขลยีกนารควริจบยั 3ใหโมผ้ วูเ้ ดิจลยั เตขียามนจเปำ� ็นโวมนเคด�ำลถ/Dามiaกgาraรmวจิ ดัยว้ ใยหโ้เดขยี ในหเฉพ้ พิจาาระณตาอจบาก คเสสจโปม�าำะาน็นถคเทดควาญัอ้ลมนวนเาวคคพวมิจือา่ือา่จถัยไสรามทขมนงิ่จ่ีอ้สกาบัจค�ำเาาปสคน้รก็นนัวญพแิจุตนบหยัอเ้กพขลงเาชอ่ง่ือเรข่นรงสคียาเน้รถนนกาาค้คเับชหควรสีน้างา้บถกน้าำ� าใ3็พุเนมหรโอกกยี้เมแกกาาเลริดรดววว้คทา่ลิจ้นกฤเยตัปาษคามร็นมวฎเี กข3จ้าี เีกาายคพนรน็พารสวถโอานรมาะแ้ามคเกลดงาผาทล้วถรวู้ฤดาวิจกมงษั จิยัากกฎยัอรลาเีจาเรช่าขจาววงิเกียิจขคเนขยัปียณุ อ้น็โนใมภมหต3เาูลเ้ดวัพขโฐชลียมา่วนดเเนปดยังเรฉน็ทลกาพี่สกลหกาาะ่าระรทวือตคอ้ อ2เน้ นปบโหว็นคมา่าาตเคดถขัววลาอ้ ชามคหม่ววน้ รรยิจืพอู้ททยั ทบี่ี่1่ี ของเราช้ีนาให้เกิดทฤษฎี เพราะการวิจยั เชิงคุณภาพ เป็ นการคน้ หาความรู้ท่ีเป็ นความจริง จากแหล่ง รากเหงา้ เรียกวา่ เป็นการสร้างทฤษฎีจากขอ้ มูลฐานราก 5.2 ข้อเสนอแนะ
160 • การวจิ ยั ทางการบริหารการศึกษา 5.2 ขอ้ เสนอแนะ ตอ้ งน�ำขอ้ คน้ พบทไ่ี ด้จากการวจิ ยั มาช้ีให้เห็นวา่ ควรท�ำอยา่ งไร 5.2.1 ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย ควรเนน้ ไปทีโ่ รงเรยี นเนื่องจาก.................................................................... 5.2.2 ข้อเสนอแนะส�ำหรับการวจิ ัยครัง้ ตอ่ ไป ควรน�ำประเด็นทคี่ ลมุ เครอื ซง่ึ ผู้วจิ ัยไม่แน่ใจว่าได้ค้นพบแล้วหรือไม่ หรือได้ คน้ แลว้ แตแ่ นใ่ จวา่ ยงั ไมพ่ บ ไปศกึ ษาตอ่ เชน่ ประเดน็ ......................................................................... เพราะ....................................................................หรอื ควรนำ� ไปพสิ จู นอ์ กี ครง้ั ในอกี สงั คมหนง่ึ ทม่ี ี ลักษณะท่คี ล้ายกนั ในเร่ืองลักษณะของผ้รู แู้ ต่คนละบริบท กล่าวโดยสรุป รายงานการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นเอกสารท่ีผู้วิจัยได้จัดท�ำข้ึนเพ่ือน�ำ เสนอเร่ืองราวที่เป็นผลจากการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ แล้วน�ำมาเรียบเรียงอย่างมีระเบียบ แบบแผน โดยผวู้ จิ ยั นำ� เสนอขอ้ มลู รายละเอยี ดทง้ั หมดของการดำ� เนนิ การวจิ ยั ตามขนั้ ตอนของสว่ น ประกอบพน้ื ฐานของรายงานการวิจัยเชิงคุณภาพ ซง่ึ มกั พบในรายงานการวิจัยเป็นสว่ นใหญ่ ดงั น้ี คือ บทที่ 1 บทน�ำ ประกอบด้วยความเป็นมาและความส�ำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ของการ วจิ ยั และคำ� ถามการวจิ ยั บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง ประกอบดว้ ยทฤษฎที เ่ี กย่ี วขอ้ ง และงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง บทที่ 3 ระเบยี บวธิ วี จิ ยั ประกอบดว้ ยการออกแบบการวจิ ยั ชมุ ชนทศี่ กึ ษา (สนาม/กลุ่มตัวอย่าง/กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญ/กลุ่มเป้าหมายท่ีศึกษา) การรวบรวมข้อมูล และการ วเิ คราะหข์ อ้ มลู บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ประกอบดว้ ยผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เพอื่ นำ� ไปสกู่ าร ตอบค�ำถามการวิจัยครบทุกข้อ และบทที่ 5 สรุปและข้อเสนอแนะ ประกอบด้วยสรุปผลการวิจัย และขอ้ เสนอแนะ ตอนท่ี 3.6 ขอ้ ควรค�ำนึงถงึ ในการวจิ ยั เชงิ คุณภาพทางการบริหารการศกึ ษา การวิจัยเชิงคุณภาพทางการบริหารการศึกษานั้น เป็นเช่นเดียวกับการวิจัยเชิงคุณภาพ ทั่ว ๆไป ท่นี กั วิจัยจะตอ้ งค�ำนงึ ถึงประเด็นส�ำคญั ๆ สองประเด็น คอื คุณลักษณะที่ดขี องนักวจิ ยั เชงิ คุณภาพ และจริยธรรมในการวจิ ยั เชิงคุณภาพ 1. คุณลักษณะที่ดขี องนกั วจิ ยั เชงิ คุณภาพ ตวั นกั วจิ ยั มคี วามสมั พนั ธก์ บั คณุ ภาพของงานวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพเปน็ อยา่ งมาก และถอื วา่ นกั วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพเปน็ เครอ่ื งมอื สำ� คญั ทสี่ ดุ ของการวจิ ยั ดงั นนั้ นกั วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพจงึ ตอ้ งมคี ณุ ลกั ษณะ ทดี่ ี ดงั น้ี (เกจ็ กนก เอือ้ วงศ,์ 2557) 1.1) นกั วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพตอ้ งรจู้ กั และเขา้ ใจตนเอง นกั วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพถอื เปน็ เครอื่ ง มอื สำ� คญั ของการวจิ ยั ดงั นน้ั การทน่ี กั วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพมคี วามชดั เจนในตนเอง รจู้ กั และเขา้ ใจตนเอง ว่ามีความเช่ือ ค่านิยมและเจตคติในเร่ืองต่าง ๆ อย่างไร จะช่วยท�ำให้นักวิจัยสามารถแยกแยะได้ ระหวา่ งความเชอ่ื สว่ นตวั กบั เหตผุ ลหรอื ปรากฏการณท์ เี่ กดิ ขน้ึ ตามสภาพทเ่ี ปน็ จรงิ ตามมมุ มองของ ผูใ้ หข้ ้อมลู สามารถวางตัวเป็นกลาง และลดอคติสว่ นตวั ลงได้ ตลอดถงึ จะสง่ ผลให้การวเิ คราะห์ และตีความขอ้ มลู การวจิ ยั มีความถกู ตอ้ งเที่ยงตรงได้
Research in Educational Administration • 161 1.2) นกั วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพควรตอ้ งมคี วามรกู้ วา้ งเปน็ สหวทิ ยาการ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ เป็นการมองปรากฏการณ์อย่างเป็นองค์รวม จึงต้องอาศัยแนวคิดทฤษฎีที่มีความหลากหลายกว่า แนวคิดทฤษฎีใดทฤษฎีหนึง่ นกั วจิ ยั จึงควรมีความรกู้ วา้ งเป็นสหวิทยาการ 1.3) นักวิจัยเชิงคุณภาพควรเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการ ศกึ ษาปรากฏการณท์ างสงั คมทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั มนษุ ย์นกั วจิ ยั จงึ ควรมมี นษุ ยสมั พนั ธ์มคี วามเปน็ กนั เอง กบั ผูใ้ ห้ข้อมลู จะช่วยท�ำให้นักวิจยั สามารถหาขอ้ มูลไดอ้ ย่างรวดเรว็ 1.4) นักวิจัยเชิงคุณภาพควรเคารพและให้เกียรติผู้อื่น การวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการด�ำเนินการท่ีเก่ียวข้องกับเพื่อนมนุษย์ นักวิจัยจึงต้องมีจรรยาบรรณของนักวิจัย คือ ไม่น�ำ ข้อมูลของผู้ให้ข้อมูลไปใช้ในทางที่จะก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย นักวิจัยต้องเคารพและให้เกียรติ ผใู้ ห้ข้อมูล 1.5) นักวิจัยเชิงคุณภาพควรมีคุณลักษณะที่เป็นผู้มีความไวทางอารมณ์ การท่ี นักวิจัยเป็นผู้ไวทางอารมณ์จะเป็นผู้ที่รับรู้เก่ียวกับปรากฏการณ์ท่ีเกิดขึ้นได้เร็วและชัดเจน ท�ำให้ เข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้ถูกวิจัยได้ดี ข้อมูลบางอย่างนักวิจัยอาจใช้ความรู้สึกหรือ การสมั ผสั ด้วยใจทจี่ ะรับรถู้ ึงอารมณ์และความรูส้ ึกของผถู้ ูกวิจยั ได้ดีกวา่ ถ้อยคำ� 1.6) นกั วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพควรเปน็ ผเู้ ขยี นและบนั ทกึ ทด่ี ี ขอ้ มลู ในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ เป็นข้อมูลท่ีได้มาจากการสังเกต สัมภาษณ์ หรือจากเอกสารต่าง ๆ ไม่ใช่ตัวเลขแบบงานวิจัย เชิงปริมาณ นักวิจัยจึงต้องเป็นผู้เขียนและบันทึกท่ีดี โดยการบันทึกและหม่ันจดรายละเอียด เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทีศ่ กึ ษาเพ่อื นำ� มาวเิ คราะห์ข้อมูล 1.7) นักวิจัยเชิงคุณภาพควรเป็นนักฟังที่ดี การฟังถือเป็นทักษะส�ำคัญในการ สัมภาษณ์และสนทนากลุ่มที่เป็นเทคนิคส�ำคัญในการเก็บข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ นักวิจัย เชิงคุณภาพจึงควรฝึกฝนตนเองใหเ้ ป็นผูฟ้ งั ท่ดี เี พ่ือเก็บสาระหรอื เนือ้ ความใหค้ รบถว้ น 1.8) นักวิจัยเชิงคุณภาพต้องมีความอดทนกับความไม่ชัดเจน การวิจัยเชิง คุณภาพเป็นการศึกษาระยะยาวและเจาะลึกเพื่อท�ำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ที่ศึกษาอย่างลึกซ้ึง และมมี ุมมองหลายดา้ น นักวจิ ยั เชิงคุณภาพตอ้ งใชเ้ วลาและอดทนกับความไมช่ ดั เจนในชว่ งต้น ๆ 1.9) นักวิจัยเชิงคุณภาพต้องคิดแบบอุปนัย การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ นั้น นักวิจัยเชิงคุณภาพต้องมีความสามารถในการคิดแบบอุปนัย โดยศึกษาจากข้อมูลดิบหรือ ข้อมูลจากบันทึกภาคสนาม แล้วจัดกระท�ำข้อมูลเหล่าน้ันเป็นหมวดหมู่และเป็นมโนทัศน์เชิง มโนธรรม คุณลักษณะท่ีดีของนักวิจัยเชิงคุณภาพที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นปัจจัยส�ำคัญที่ส่งผล ต่อความส�ำเร็จและคุณภาพของงานวิจัยที่นักวิจัยเชิงคุณภาพทุกคนต้องค�ำนึงถึง และควรจะต้อง ได้รบั การฝึกฝนอย่เู สมอ 2. จรยิ ธรรมในการวจิ ยั เชงิ คุณภาพ การวจิ ยั ทางสงั คมศาสตรท์ กุ ชนดิ เปน็ การวจิ ยั เกย่ี วกบั มนษุ ยร์ วมทง้ั สงั คมและวฒั นธรรม แมว้ า่ โดยทว่ั ไปจะไมม่ กี ารกระทำ� โดยตรงตอ่ รา่ งกายของมนษุ ยอ์ ยา่ งเชน่ ในการวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตร์ การแพทย์ แตก่ อ็ าจมีผลกระทบทางใดทางหน่งึ ต่อชวี ิต สงั คมและวัฒนธรรม หรอื ผลประโยชน์
162 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศึกษา ของผู้ถูกศึกษาได้ ดังน้ัน จึงถือเป็นความรับผิดชอบทางจริยธรรมท่ีนักวิจัยทางสังคมศาสตร์จะ พงึ ระมดั ระวงั ไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายดว้ ยประการใด ๆ แกป่ ระชาชน สงั คมและวฒั นธรรมทต่ี น ศกึ ษาไมว่ า่ จะโดยตรงหรอื โดยออ้ มกต็ าม เรอ่ื งจรยิ ธรรมแมจ้ ะไมใ่ ชป่ ระเดน็ ทางระเบยี บวธิ โี ดยตรง แต่ก็เป็นเรื่องท่ีนักวิจัยจะตอ้ งนำ� มาพจิ ารณาควบคไู่ ปกับเรอ่ื งระเบียบวธิ ีในกระบวนการออกแบบ และด�ำเนนิ การวจิ ัยทุกข้ันตอน แนวทางปฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั จรยิ ธรรมการวจิ ยั จรยิ ธรรมไมใ่ ชส่ ง่ิ ทน่ี กั วจิ ยั จะพงึ ปฏบิ ตั เิ ฉพาะ ในเวลาท่ีท�ำการเก็บข้อมูลที่นักวิจัยจะมีการติดต่อโดยตรงกับแหล่งข้อมูลเท่านั้น แต่นักวิจัยจะ ต้องน�ำเรื่องน้ีมาพิจารณาในทุกข้ันตอนของการวิจัยต้ังแต่เร่ิมเลือกหัวข้อที่จะศึกษาไปจนกระท่ัง ดำ� เนนิ การเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมลู และเขยี นรายงานวิจยั ในข้ันสดุ ทา้ ย ส�ำหรับเรือ่ งนี้ Kvale (1996, อา้ งถงึ ใน ชาย โพธสิ ิตา, 2554, หน้า 390) ผแู้ ต่งต�ำราเกยี่ วกับการสมั ภาษณใ์ นการวจิ ยั เชิง คณุ ภาพ กลา่ วถงึ ประเดน็ ทางจรยิ ธรรมทนี่ กั วจิ ยั ควรให้ความสำ� คัญในขน้ั ตอนตา่ ง ๆ ของการวิจยั โดยอาจสรปุ ได้ ดังน้ี 2.1) ขนั้ กำ� หนดหวั ขอ้ เรอ่ื งทจ่ี ะทำ� การวจิ ยั ควรเปน็ เรอ่ื งเกย่ี วกบั ประเดน็ สำ� คญั ของ มนุษย์ซ่งึ ถ้าได้ความรมู้ าแลว้ จะยังประโยชนแ์ ก่สังคมโดยส่วนรวม ไม่ควรเปน็ เร่ืองท่มี ุง่ หาความรู้ เพื่อสนองความอยากรู้ของนักวิจัยหรือเพ่ือความก้าวหน้าของศาสตร์เพียงอย่างเดียว น่ันคือ ต้อง สามารถบอกไดว้ า่ เรอ่ื งทจี่ ะศึกษาจะเปน็ ประโยชนแ์ กม่ นุษยแ์ ละสังคมอยา่ งไร 2.2) ขั้นการออกแบบการวิจัย ในการวางแผนกลุ่มตัวอย่างท่ีจะเก็บข้อมูล ควร ค�ำนึงว่า ส�ำหรับกลุ่มตัวอย่างที่จะเลือกมาศึกษานั้นจะขอความยินยอมเพื่อให้เขาร่วมมือใน การศึกษาอย่างไร จะรักษาความลับของเขาอย่างไร และจะป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบ อันเนื่อง มาจากการที่เขาให้ความรว่ มมอื ในการศึกษาอยา่ งไร 2.3) ข้นั การเกบ็ ข้อมลู ระหว่างเก็บข้อมลู ดว้ ยการสัมภาษณห์ รอื การสังเกต ฯลฯ นักวิจัยมีแผนท่ีจะไม่ให้เป็นการรบกวนชีวิตและการงานตามปกติของแหล่งข้อมูล หรือรบกวน น้อยที่สุดได้อย่างไร ควรหลีกเล่ียงวิธีการท่ีจะก่อให้เกิดความเครียดหรือความวิตกกังวลแก่ผู้ให้ ข้อมลู ควรค�ำนึงถงึ ระดบั ความสัมพันธ์ทเี่ หมาะสมระหว่างนักวจิ ัยกบั ผ้ใู ห้ข้อมลู 2.4) ขั้นการจดบันทึกและการถอดเทปการสัมภาษณ์ การจดบันทึกและการถอด เทปจากการสัมภาษณ์ ต้องค�ำนึงถึงการรักษาความลับ ต้องเคารพในผู้ให้ข้อมูล โดยไม่ใส่อะไรที่ ไมใ่ ชส่ ง่ิ ทผ่ี ้ใู ห้ขอ้ มูลกลา่ วในบทบนั ทกึ หรือบทสัมภาษณ์ในระหว่างการถอดเทป 2.5) ขั้นการวิเคราะห์ นักวิจัยจ�ำเป็นจะต้องท�ำการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด ลึกซึ้งเพียงใด และเพ่ือไม่ให้การตีความห่างไกลจากความเป็นจริงเกินไป ควรจะให้ผู้ให้ข้อมูล มีส่วนรว่ มในการตีความข้อมลู ดว้ ยหรอื ไม่ มากนอ้ ยเพยี งใด 2.6) ข้ันการตรวจสอบความถูกต้องของการวิเคราะห์ เป็นความรับผิดชอบของ นักวิจัยท่ีจะเผยแพร่เฉพาะความรู้ท่ีผ่านการตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเช่ือถือแล้ว เทา่ น้นั ผลการศกึ ษาใดทย่ี ังคลมุ เครือหรือยังไม่ไดต้ รวจสอบอยา่ งรอบคอบ ไม่ควรเปิดเผย เพราะ อาจกอ่ ใหเ้ กิดผลเสยี หายแกแ่ หล่งขอ้ มลู
Research in Educational Administration • 163 2.7) ขั้นการรายงานผล ควรพิจารณาว่า ในรายงานผลการวิจัยจะเปิดเผยข้อมูล ที่ท�ำให้ผู้อ่านรู้ว่า ใครเป็นผู้ให้ความร่วมมือในการวิจัยนั้นหรือไม่ การตัดสินใจในเร่ืองน้ีควร ยึดผลประโยชนข์ องประชาชนผ้ใู ห้ความร่วมมือเปน็ ส�ำคญั ข้อควรค�ำนึงถึงในการวิจัยเชิงคุณภาพทางการบริหารการศึกษาท้ังสองประเด็น คือ คุณลักษณะท่ีดีของนักวิจัยเชิงคุณภาพ และจริยธรรมในการวิจัยเชิงคุณภาพตามที่กล่าวมาข้างต้น น้ัน เป็นเร่ืองส�ำคัญท่ีนักวิจัยท่ัวไปและนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาควรตระหนัก ให้ความส�ำคัญ และถือปฏิบตั ิ ตอนท่ี 3.7 กรณีตัวอย่างงานวจิ ัยเชิงคุณภาพ ชือ่ เร่ือง: การวิจัยพหุเทศะกรณีศึกษาของระบบการด�ำเนินงานการดูแลช่วยเหลือนักเรียนใน สถานศกึ ษา ผวู้ จิ ยั : สุธิดา ภกั ดีบุญ ปีทวี่ จิ ัย: 2548 วัตถุประสงค์การวจิ ัย 1) เพื่อศึกษาการด�ำเนินงานของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ในสถานศึกษาท่ี ประสบผลสำ� เรจ็ 2) เพ่อื ศึกษากระบวนการดแู ลชว่ ยเหลือนกั เรยี น 3) เพื่อศึกษาปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการด�ำเนินงานระบบการ ดแู ลช่วยเหลอื นักเรียนในสถานศกึ ษา 4) เพอื่ ศกึ ษาแนวทางการแกไ้ ขปญั หาทเี่ กดิ ขน้ึ ในการดำ� เนนิ งานระบบการดแู ลชว่ ย เหลอื นกั เรยี นในสถานศึกษา วิธีดำ� เนินการวิจัย ผู้วิจัยออกแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่ศึกษาจากหลายกรณีศึกษาในพื้นที่ท่ีมี ความแตกต่างกัน ซึ่งผวู้ ิจยั เรียกวา่ พหุเทศะกรณีศึกษา (Multi-site case study) โดยมีข้ันตอนการ ดำ� เนินการตามลำ� ดบั ดงั นี้ 1. การเลือกกรณีศึกษา ผู้วิจัยใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกกรณีศึกษา คือ 1.1) เป็นสถาน ศกึ ษาทไี่ ด้รบั คดั เลอื กเปน็ สถานศกึ ษาที่ประสบความส�ำเร็จในการด�ำเนินงานระบบดแู ลช่วยเหลือ นกั เรียน ระดบั มธั ยมศกึ ษา ประจำ� ปี 2547 1.2) เป็นสถานศกึ ษาทแ่ี ตกตา่ งกันในด้านพ้นื ที่ กล่าว คือ เป็นสถานศึกษาที่อยู่ในจังหวัดที่แตกต่างกัน 1.3) เป็นสถานศึกษาที่มีความแตกต่างกันใน ด้านขนาด คือ เป็นขนาดเลก็ ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ และ 1.4) เป็นสถานศกึ ษาทีย่ นิ ดแี ละให้ ความรว่ มมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ของผวู้ ิจัย จากหลกั เกณฑข์ า้ งตน้ ผวู้ จิ ยั สามารถคดั เลอื กสถานศกึ ษาได้ 3 โรงเรยี น ใน 3 พน้ื ที่ คอื โรง เรยี นปญั ญาวธุ จงั หวดั พทั ลงุ โรงเรยี นเฉลมิ พระเกยี รตฯิ ภเู กต็ จงั หวดั ภเู กต็ และโรงเรยี นพรหมครี ี
164 • การวิจยั ทางการบริหารการศกึ ษา พิทยาคม จงั หวดั นครศรีธรรมราช 2. การเขา้ สูภ่ าคสนาม ผวู้ ิจัยใช้เวลาก่อนลงสู่ภาคสนาม 3 เดอื น เพอื่ ศึกษาเอกสารเกีย่ ว กับการด�ำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ติดต่อประสานงาน ท�ำความเข้าใจในวิธีการ และขน้ั ตอนในการสงั เกต การสมั ภาษณแ์ ละการสนทนากลมุ่ รวมทงั้ การจดั เตรยี มอปุ กรณท์ จี่ ะใช้ ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ภาคสนาม ไดแ้ ก่ สมุดบันทกึ แบบสัมภาษณ์ แบบบนั ทกึ การสงั เกต เทป บนั ทกึ เสยี ง กลอ้ งถา่ ยรปู และของทรี่ ะลกึ จากนนั้ ใชเ้ วลาเขา้ สภู่ าคสนามและอยใู่ นภาคสนามเพอื่ เกบ็ รวบรวมข้อมูลอกี 3 เดอื น รวมระยะเวลาในการศกึ ษาภาคสนาม 6 เดือน การสร้างสัมพันธภาพกับผู้ให้ข้อมูล ในพหุกรณีศึกษาทั้ง 3 โรงเรียนน้ัน ผู้วิจัยได้ใช้วิธี การเปดิ เผยสภาพทแ่ี ทจ้ รงิ เชน่ การแนะนำ� ตวั เองวา่ เปน็ ใครมาจากไหนและมาเกบ็ ขอ้ มลู เรอ่ื งอะไร การอธบิ ายวัตถุประสงคใ์ นการเกบ็ ข้อมลู การขออนุญาตเขา้ เก็บข้อมูล การขออนญุ าตสมั ภาษณ์ การขออนุญาตสังเกตการด�ำเนินการในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ฯลฯ ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ตามสภาพแวดล้อม เพือ่ สร้างความสัมพนั ธ์กบั ผใู้ หข้ ้อมูลทัง้ 3 โรงเรยี น ตามล�ำดับ คอื ผบู้ ริหาร โรงเรยี น อาจารย์ผสู้ อน นักเรยี น และผู้ปกครอง 3. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย เนื่องจากเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เคร่ืองมือท่ีส�ำคัญท่ีสุด ในการวิจัย คือ ตัวผู้วิจัยเอง และมีเคร่ืองมือท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 3.1) แบบสังเกต 3.2) แบบสมั ภาษณ์ และ 3.3) แบบสนทนากลมุ่ 4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผูว้ ิจยั ใช้วิธีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดงั นี้ 1) วิเคราะห์และศึกษาเอกสาร โดยศึกษาเอกสารต่าง ๆ ของโรงเรียนและหน่วยงาน ท่เี ก่ยี วข้อง 2) สังเกตด้วยการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม โดยผู้วิจัยสังเกตแบบ อิงกรอบการสังเกตของ Lofland (1971) คือ 2.1) สังเกตการกระท�ำ (Acts) ซึ่งเป็นการสังเกต พฤติกรรมของผู้เกย่ี วขอ้ งต่าง ๆ ในระบบดูแลช่วยเหลือนกั เรียน 2.2) สังเกตกิจกรรม (Activities) ซ่ึงเป็นการสังเกตกิจกรรมด�ำเนินงานต่าง ๆ ท่ีบุคคลได้แสดงออกตามกระบวนการและมี ข้ันตอนแบบแผน 2.3) สังเกตความหมาย (Meaning) ซ่ึงเป็นการสังเกตการให้ความหมาย คำ� จำ� กดั ความจากเหตกุ ารณห์ รอื การกระทำ� จากเหตกุ ารณ์ 2.4) สงั เกตการมสี ว่ นรว่ ม(Participation) ซง่ึ เปน็ การสงั เกตการมสี ว่ นรว่ มของผบู้ รหิ าร ครู และนกั เรยี นในการจดั กจิ กรรมตา่ ง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง กบั ระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น 2.5) สงั เกตความสมั พนั ธ์ (Relationship) ซง่ึ เปน็ การสงั เกตความ สัมพันธ์ของบุคคลต่าง ๆ ในโรงเรียน 2.6) สังเกตสถานที่ (Setting) ซ่ึงเป็นการสังเกตรูปแบบ ทุกสงิ่ ทุกอย่างทีอ่ ย่ใู นสนาม ซ่ึงถือเป็นหน่วยวเิ คราะห์ เช่น สภาพโรงเรยี น ห้องเรียน หอ้ งประชมุ ฯลฯ 3) การสัมภาษณ์ โดยสัมภาษณ์บุคลากรท่ีเกี่ยวข้องกับการด�ำเนินงานระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรยี นซงึ่ ประกอบดว้ ยผอู้ ำ� นวยการรองผอู้ ำ� นวยการอาจารยท์ ปี่ รกึ ษาอาจารยแ์ นะแนว นกั เรียน และผปู้ กครอง 4) การสนทนากลุ่ม ใช้การสนทนากลุ่มกับนักเรียนเก่ียวกับกิจกรรมที่นักเรียนได้ ปฏบิ ตั ใิ นหอ้ งเรยี นหรอื ภายในแตล่ ะครอบครวั กบั อาจารยท์ ปี่ รกึ ษา (ครพู อ่ ครแู ม)่ โดยจดั โรงเรยี น
Research in Educational Administration • 165 ละ 1-2 กลมุ่ ซงึ่ แตล่ ะกลมุ่ จะมนี กั เรยี นประมาณ 10-12 คน โดยคดั เลอื กจากกลมุ่ ทม่ี ผี ลการดำ� เนนิ งานหรอื ขอ้ มูลท่ีเดน่ ชัดจากการสังเกต และจากการบอกเล่าของอาจารย์ที่ปรึกษาในโรงเรยี น 5. การลดทอนขอ้ มูล จากการศกึ ษาภาคสนามแต่ละวนั ผู้วิจัยไดจ้ ดบันทึกภาคสนาม แบบละเอยี ดหลงั จากนนั้ ผวู้ จิ ยั จงึ นำ� มาอา่ นทบทวนลงรหสั และลงความเหน็ เบอ้ื งตน้ และพจิ ารณา วา่ ขอ้ มูลทไี่ ดน้ น้ั เกยี่ วกบั ประเด็นใดในการศึกษา เพื่อจะน�ำมาเขยี นลงในการด์ เกบ็ ไวโ้ ดยเขียนหวั เรอื่ งไว้ให้ชดั เจน 6. การตรวจสอบขอ้ มลู ใชว้ ธิ กี ารตรวจสอบแบบสามเสา้ (Triangulation)ซงึ่ ประกอบ ด้วย 6.1) การตรวจสอบแบบสามเส้าด้านข้อมูล (Data Triangulation) เพ่ือตรวจสอบความถกู ต้อง ของขอ้ มลู โดยตรวจสอบจากแหลง่ ทมี่ าของขอ้ มลู ไดแ้ ก่ แหลง่ เวลา แหลง่ สถานท่ี และแหลง่ บคุ คล วา่ ขอ้ มูลทไ่ี ดม้ คี วามเหมอื นกนั หรือตา่ งกนั และ 6.2) การตรวจสอบแบบสามเส้าด้านวิธกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู (Methodological Triangulation) โดยใชว้ ธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ทห่ี ลากหลาย เชน่ การวเิ คราะห์เอกสาร การสงั เกต การสมั ภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม แลว้ นำ� มาพจิ ารณาว่าข้อมลู มีความสอดคลอ้ งกันหรอื ไม่ 7. การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล โดย 7.1) วิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content analysis) โดยวิเคราะห์เนื้อหาของข้อความหรือเอกสารท่ีปรากฏ (Manifest content) มากกวา่ กระทำ� กบั เนอื้ หาทซ่ี อ่ นเรน็ (Latent content) และเนน้ เนอ้ื หาทอี่ งิ แนวคดิ จากกรอบแนวคดิ การวิจัยที่สามารถตอบวัตถุประสงค์การวิจัยได้ถูกต้อง และ 7.2) วิเคราะห์แบบสร้างข้อสรุป โดยใช้การวิเคราะห์แบบอุปนัย (Inductive method/Analytic induction) และการวิเคราะห์ โดยจ�ำแนกชนิดของขอ้ มูล (Typological analysis) ผลการวิจยั สรุปได้ดังน้ี 1. การด�ำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของกรณีศึกษาทั้ง 3 โรงเรียน มลี กั ษณะ ดังน้ี 1.1 การวางแผนการด�ำเนนิ งาน มกี ารรบั ทราบนโยบายจากกระทรวงศกึ ษาธกิ าร และ ก�ำหนดโครงสร้างการท�ำงานทีเ่ ป็นระบบ 1.2 การด�ำเนนิ การตามแผน มกี ารวเิ คราะหป์ ญั หาและความพรอ้ มของโรงเรยี น การ ให้ความรู้แก่บคุ ลากรโดยการประชมุ อบรม สัมมนา การคัดเลือกกิจกรรมในโครงการดำ� เนินการ โดยการประชุมบุคลากร โรงเรียนปัญญาวุธมีโครงการระบบดีโรงเรียนมีคุณภาพ โรงเรียนเฉลิม พระเกียรติฯ ภูเก็ต มีโครงการต้นส้มแสนรัก ซ่ึงท้ังสองโรงเรียนมีการจัดแบ่งนักเรียนหน่ึงห้อง ออกเปน็ สองกลุม่ ยอ่ ยและมีอาจารยท์ ีป่ รกึ ษา 2 ทา่ น แต่ละทา่ นดแู ลนกั เรียนไม่เกิน 25 คน สว่ น โรงเรยี นพรหมครี พี ทิ ยาคมมโี ครงการครอบครวั มลี กู สองโหล โรงเรยี นพรหมครี พี ทิ ยาคมแบง่ การ ดูแลเป็นระบบครอบครัวประกอบดว้ ยนกั เรียน ม.1-ม.6 คละหญงิ ชาย ไม่เกนิ 24 คน ต่ออาจารย์ หัวหนา้ ครอบครัว 1 ทา่ น 1.3 การตรวจสอบและประเมนิ ผล มกี ารติดตามประเมินผลจาก 2 สว่ น คอื บุคลากร จากฝ่ายบริหารและทีมประเมนิ ในโรงเรียนและจากหน่วยงานภายนอก มกี ารประเมนิ ความส�ำเรจ็
166 • การวจิ ยั ทางการบรหิ ารการศึกษา จากการด�ำเนินงานจากฝ่ายบริหาร ครู นกั เรยี นและผ้ปู กครอง 1.4 การปรบั ปรงุ พฒั นาการด�ำเนนิ งาน มกี ารประชุมสรปุ ผลการด�ำเนนิ งานทกุ ภาค การศึกษาเพื่อน�ำมาปรบั ปรุงการดำ� เนนิ งานต่อไปอยา่ งสมำ่� เสมอ 2. กระบวนการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียนมี 5 ขัน้ ตอน ดังน้ี 2.1 การร้จู ักนกั เรียนเปน็ รายบุคคลโดยใชร้ ะเบียนสะสม การเยย่ี มบา้ น 2.2 การคัดกรองนักเรียน แบ่งออกเป็น กลุม่ ปกติ กลุ่มเส่ยี ง และกล่มุ มปี ัญหา 2.3 การสง่ เสรมิ และพฒั นาโดยการจดั กจิ กรรมทสี่ ง่ เสริมความสามารถของนักเรียน ไดแ้ ก่กจิ กรรมโฮมรมู กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี นการจดั ประชมุ ผปู้ กครองและกจิ กรรมทแ่ี ตล่ ะโรงเรยี นจดั 2.4 การป้องกันช่วยเหลือและแก้ไข ทั้ง 3 โรงเรียนจัดกิจกรรมท่ีเหมือนกัน ได้แก่ การให้คำ� ปรกึ ษาเบือ้ งต้น กิจกรรมซ่อมเสริม กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน การติดตามดแู ลชว่ ยเหลอื 2.5 การสง่ ตอ่ มี 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ การสง่ ตอ่ ภายในโรงเรยี น และสง่ ตอ่ ไปยงั หนว่ ยงาน ภายนอกทีเ่ กยี่ วขอ้ งเพ่ือชว่ ยเหลือนักเรยี นต่อไป 3. ปัจจัยสนับสนุนร่วมในการด�ำเนินงาน ประกอบด้วย การสนับสนุนจากบุคลากรฝ่าย บริหาร ความร่วมมือและความเสียสละของครูอาจารย์ ความร่วมมือจากผู้ปกครอง เครือข่าย ผู้ปกครอง ชมุ ชน และการสนบั สนนุ จากหนว่ ยงานที่เกย่ี วข้อง 4. ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคร่วมในการด�ำเนินงาน ประกอบด้วย ภาระงานที่เพิ่มขึ้นของครู อาจารย์ นักเรียนขาดความร่วมมือ และขาดความตระหนักถึงความส�ำคัญในระบบดูแลช่วยเหลือ นกั เรียน 5. แนวทางการแก้ปญั หาทเี่ กดิ ข้ึนจากการดำ� เนนิ งานร่วมกัน คอื การสรา้ งความตระหนัก ให้อาจารย์ท่ีปรึกษาเห็นความส�ำคัญของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนและมีทัศนคติเชิงบวก ในการดำ� เนนิ งาน สรปุ ทา้ ยบท การวจิ ัยเชงิ คุณภาพทน่ี ำ� เสนอในบทท่ี 3 น้ี มีทงั้ หมด 6 ตอน ซ่ึงแตล่ ะตอน ผวู้ ิจัยหรือ นกั ศกึ ษาในทางการบรหิ ารการศกึ ษาควรศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจใหล้ ะเอยี ดและชดั เจน โดยมสี าระ ท่สี ำ� คญั ของแต่ละตอน อาจสรุปไดด้ ังนี้ ตอนที่ 3.1 แนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยสาระที่ส�ำคัญ 13 เรื่อง ได้แก่ 1) ความหมายของการวิจัยเชิงคุณภาพ 2) ปรัชญาและแนวคิดทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อการ วิจัยเชิงคุณภาพ 3) วัตถุประสงค์ของการวิจัยเชิงคุณภาพ 4) พัฒนาการของการวิจัยเชิงคุณภาพ 5) ลักษณะของการวิจยั เชิงคณุ ภาพ 6) ประเภทของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ 7) หัวใจของการวจิ ัยเชิง คณุ ภาพ 8) การเน้นแบบองค์รวม 9) ข้อมูลของการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ 10) การเนน้ รังสรรค์วทิ ยา 11) การเปรียบเทียบการวิจัยเชิงคุณภาพกับการวิจัยเชิงปริมาณ 12) ระบบคิดของการวิจัยเชิง คุณภาพ และ 13) ทำ� ไมและเมือ่ ใดควรใชก้ ารวจิ ยั เชิงคุณภาพ ตอนที่ 3.2 ภายใตร้ ะเบยี บวธิ วี จิ ยั เชงิ คณุ ภาพ มเี รอ่ื งทผ่ี วู้ จิ ยั จะตอ้ งคำ� นงึ ถงึ อยอู่ ยา่ งนอ้ ย 3 เร่ือง ได้แก่ 1) ความยืดหยุ่น 2) การจดหรือเขียนของนักวิจัย และ 3) การตีความของนักวิจัย
Research in Educational Administration • 167 ซ่ึงภายใต้ระเบียบวิธีวิจัยดังกล่าวนี้ นักวิจัยจะต้องออกแบบการวิจัยให้มีความยืดหยุ่นที่สามารถ ปรับเปล่ียนได้ตามข้อมูลเชิงประจักษ์ในขณะที่เก็บรวบรวมข้อมูล จะต้องจดหรือเขียนข้อมูล ที่ได้รับจากผู้ถูกวิจัยหรือคนใน ท่ีเรียกว่า “Emic” ไม่ให้ผิดเพ้ียนไปจากความหมายที่แท้จริง จนกลายเป็นมุมมองของนักวิจัย หรือคนนอก ท่ีเรียกว่า “Etic” และจะต้องไม่ตีความข้อมูลที่ ได้รับจากผู้ถูกวิจัย หรือคนใน ที่เรียกว่า “Emic” ดังกล่าวนั้น จนเกินความเป็นจริง ที่เรียกว่า Over statement ตอนท่ี 3.3 กระบวนการตา่ ง ๆ ทส่ี ำ� คญั ของระเบยี บวธิ วี จิ ยั เชงิ คณุ ภาพ มี 4 กระบวนการ ประกอบด้วย 1) การออกแบบการวิจัย 2) การเลือกสนามหรือกลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา (การเลือก ชมุ ชนทศี่ กึ ษา/ กลมุ่ ตวั อยา่ ง/กลมุ่ ผใู้ หข้ อ้ มลู สำ� คญั ) 3) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และ 4) การวเิ คราะห์ ข้อมูล ตอนท่ี 3.4 การวจิ ัยเชิงคณุ ภาพทางดา้ นการบรหิ ารการศกึ ษา โดยสว่ นใหญ่ท่นี ยิ มใชจ้ ะ เนน้ การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพพนื้ ฐาน ซงึ่ มกี ระบวนการวจิ ยั หลกั ๆ คลา้ ยกบั กระบวนการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ท่ัวไปน่ันเอง ประกอบด้วย 7 กระบวนการ ได้แก่ 1) การศึกษาประเด็นการวิจัย 2) การก�ำหนด ปัญหาการวิจัย 3) การก�ำหนดกรอบแนวคิดทฤษฎี 4) การเลือกสนามหรือกลุ่มเป้าหมายท่ีศึกษา 5) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ภาคสนาม และ 6) การวเิ คราะห์ขอ้ มูล ตอนท่ี 3.5 รายงานการวิจัยเชิงคุณภาพ มีส่วนประกอบพ้ืนฐานซึ่งมักพบในรายงาน การวิจัยเป็นส่วนใหญ่ดังน้ีคือ บทที่ 1 บทน�ำ ประกอบด้วยความเป็นมาและความส�ำคัญของ ปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัย และค�ำถามการวิจัย บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประกอบดว้ ยทฤษฎที ่ีเก่ียวขอ้ ง และงานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง บทท่ี 3 ระเบยี บวิธวี ิจัย ประกอบด้วยการ ออกแบบการวจิ ยั ชมุ ชนทศี่ กึ ษา (สนาม/กลมุ่ ตวั อยา่ ง/กลมุ่ ผใู้ หข้ อ้ มลู สำ� คญั /กลมุ่ เปา้ หมายทศ่ี กึ ษา) การรวบรวมข้อมลู และการวิเคราะหข์ อ้ มลู บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ประกอบดว้ ยผลการ วเิ คราะหข์ ้อมลู เพอ่ื น�ำไปสกู่ ารตอบค�ำถามการวจิ ยั ครบทุกข้อ และบทท่ี 5 สรปุ และข้อเสนอแนะ ประกอบด้วยสรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ ตอนที่ 3.6 ขอ้ ควรคำ� นงึ ถงึ ในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพทางการบรหิ ารการศกึ ษามสี องประเดน็ คือ คณุ ลกั ษณะท่ีดีของนักวิจยั เชงิ คณุ ภาพ และจริยธรรมในการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ซึ่งเป็นเรื่องส�ำคัญ ทีน่ ักวจิ ยั ทวั่ ไปและนักศึกษาระดบั บัณฑิตศึกษาควรตระหนัก ใหค้ วามสำ� คัญ และถอื ปฏิบัติ
บทที่ การวิจัยแบบผสมผสานวธิ ี 4 MIXED METHODS RESEARCH พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น แต่ให้เข้าใจความไม่แน่นอน ไม่คงที่ หรือ ความเปลย่ี นแปลง (อนจิ จตา) ของสรรพสิง่ ซ่งึ เป็นหลักธรรมทส่ี ำ� คัญประการหน่ึงในไตรลักษณ์ การวิจยั ก็เชน่ กัน มกี ารเกดิ ข้ึนของการวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี (Mixed Methods Research: MMR) ซ่งึ มรี ากฐานมาจากปรชั ญาปฏบิ ตั ินิยม (Pragmatism) และแนวคดิ พหุนิยม (Pluralism) (Johnson & Onwuegbuzie, 2004) โดยกลุ่มนักปฏิบัตินิยม (Pragmatist) มีความเห็นว่า อาจจะผสมผสาน ทั้งปรัชญาและวิธีการที่เหมาะสมเพื่อใช้ข้อดีของแต่ละปรัชญาและวิธีการให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในงานวิจัยน้ัน (รัตนะ บัวสนธ์, 2551) จุดเน้นของกลุ่มปฏิบัตินิยม คือ ผลของการกระท�ำการ ยดึ ปัญหาเป็นสำ� คญั การใชพ้ หวุ ธิ ใี นการศึกษา และการมงุ่ ทีก่ ารปฏิบตั ใิ นสภาพความเป็นจริง การวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ีเปน็ การวจิ ยั ทใ่ี ชว้ ธิ วี ทิ ยาทง้ั เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพรว่ มกนั ในระยะต่าง ๆ ของการวิจัย ทั้งการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการแปลความ หมายของข้อมูล เพื่อหาค�ำตอบของการวิจัย ท่ีมีความครอบคลุม ลุ่มลึกและชัดเจน ซ่ึงจะน�ำไปสู่ ความเข้าใจในปรากฏการณท์ ี่ศกึ ษามากขึ้น ปญั หาการวจิ ยั ในปัจจบุ ันมคี วามสลับซบั ซ้อนมากข้ึน ประกอบกับข้อจำ� กดั ของวธิ ีวทิ ยาทง้ั การวจิ ยั เชงิ ปริมาณและการวจิ ัยเชงิ คุณภาพ ดงั น้นั การวิจยั แบบผสมผสานวธิ จี งึ เปน็ ทางออกทเ่ี หมาะสมทสี่ ดุ ในการหาคำ� ตอบในปรากฏการณท์ ศ่ี กึ ษาอยา่ งไร กต็ าม การวิจยั แบบผสมผสานวธิ ี ก็มีลักษณะเฉพาะและเกณฑค์ ณุ ภาพหลายประการทีน่ กั วจิ ยั จะ ต้องตระหนักและด�ำเนินการให้เหมาะสม ไม่น�ำไปใช้อย่างผิวเผิน หากแต่จะต้องฝึกตนเองให้มี ความรู้ และความเชีย่ วชาญทงั้ วธิ ีเชิงปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพ ในบทนี้ จะน�ำเสนอการวิจัยแบบผสมผสานวิธี ซ่ึงประกอบด้วยเนื้อหาสาระที่ส�ำคัญ 5 เรอื่ ง ไดแ้ ก่ 1) แนวคิดเกี่ยวกบั การวิจัยแบบผสมผสานวธิ ี 2) หน่วยพื้นทีท่ ี่ศกึ ษา 3) หลกั ในการ เลือกแบบการวิจยั แบบผสมผสานวิธี 4) ขัน้ ตอนการวจิ ยั แบบผสมผสานวิธี และ 5) กรณีตวั อยา่ ง งานวจิ ัยแบบผสมผสานวธิ ี โดยมรี ายละเอียด ดงั ตอ่ ไปน้ี 4.1 แนวคดิ เกี่ยวกับการวจิ ัยแบบผสมผสานวิธี ในสว่ นเบอ้ื งตน้ น้ี ผวู้ จิ ยั ควรศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจเรอื่ งแนวคดิ ของการวจิ ยั แบบผสม ผสานวธิ ี ซงึ่ ในทางการบรหิ ารการศกึ ษาจำ� เปน็ ตอ้ งเขา้ ใจประเดน็ ดา้ นความหมายของการวจิ ยั แบบ ผสมผสานวธิ ี ววิ ฒั นาการของการวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั แบบผสมผสาน วธิ ี ลกั ษณะสำ� คญั ของการวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี ความสำ� คญั ของการวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี แบบ การวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ีและขอ้ จำ� กดั ของการวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี โดยมรี ายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ความหมายของการวจิ ัยแบบผสมผสานวธิ ี การวจิ ัยแบบผสมผสานวิธี มีชื่อท่ใี ชเ้ รียกแตกตา่ งกนั ทัง้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เชน่
170 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา การวจิ ัยพหุวธิ ี (Multi-methods) การวิจยั พหุกลยทุ ธ์ (Multi-strategies) การวจิ ัยแบบผสมผสานวธิ ี (Mixed Methods Research) การวจิ ยั แบบผสมผสานวิธวี ทิ ยา (Mixed Methodology) การวิจยั วธิ ี ผสม (Mixed Methods) การวิจัยผสม (Mixed Research) ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาความ หมายจะมลี ักษณะคล้ายคลงึ กนั คือ เปน็ วิธีการวจิ ยั ท่ีผวู้ ิจัยใชเ้ ทคนคิ แนวทาง วิธกี าร ความคดิ รวบยอด หรือภาษา ผสมผสานร่วมกันระหว่างวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในการวิจัย เรอ่ื งเดยี วกนั ในบรรดาชอื่ ตา่ ง ๆ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ ชอ่ื ทไี่ ดร้ บั ความนยิ มมากชอื่ หนงึ่ คอื การวจิ ยั แบบ ผสมผสานวธิ ี (Mixed Methods Research : MMR) ผู้เขียนจงึ น�ำมาใชใ้ นตำ� ราเลม่ น้ี จากการที่มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน มีข้อสังเกตว่าการวิจัยแบบพหุวิธีและการวิจัยแบบผสม ผสานมีความแตกต่างกันตรงท่ีการวิจัยแบบพหุวิธีใช้วิธีรวบรวมข้อมูลมากกว่าหนึ่งวิธีแต่วิธีที่ น�ำมาใช้น้ันมาจากกระบวนทัศน์การวิจัยแบบเดียวกัน เช่น วิธีเชิงปริมาณอย่างเดียว หรือวิธีเชิง คณุ ภาพอย่างเดียว ฯลฯ ขณะท่กี ารวจิ ัยแบบผสมผสานวิธี ใชว้ ธิ ีรวบรวมขอ้ มูลทง้ั เชงิ ปริมาณและ เชงิ คณุ ภาพผสมผสานกัน หรือบางต�ำรา กล่าวว่า อาจใชว้ ิธวี ิจยั อ่ืน ๆ นอกจากวธิ ีเชงิ ปรมิ าณและ เชิงคุณภาพมาผสมด้วยก็ได้ แต่การจะเลือกวิธีรวบรวมข้อมูลแบบใดมาผสมผสานกันน้ันขึ้นอยู่ กับแนวคดิ เชิงปรชั ญา (Philosophical Assumption) ซึ่งประกอบดว้ ย ภววิทยาหรือธรรมชาตขิ อง ความจริง (Ontology) และญาณวิทยาหรือวิธีค้นหาความรู้ความจริง (Epistemology) ซึ่งจะเป็น สงิ่ ที่กำ� หนดกรอบการคดิ (Frame of Reference) ของนกั วิจยั การผสมผสานวธิ รี วบรวมข้อมูลใน กระบวนการวจิ ัยแบบผสมผสานวธิ ี มีความเกย่ี วข้องกับสองประเด็น คือ แบบการวจิ ยั (Research Design) ซึ่งเช่ือมโยงไปถึงการเลือกวิธีเก็บข้อมูลที่จะต้องสัมพันธ์กับลักษณะของค�ำถามการวิจัย การวเิ คราะห์ข้อมูล และการแปลผลขอ้ มูล (Morse, 2003, cited in Brannen, 2005) สำ� หรบั การวจิ ัยแบบผสมผสานวิธีวิทยา (Mixed Methodology) เป็นการผสมผสานของ วธิ วี ทิ ยาการวจิ ยั ในระดบั ปรชั ญาหรอื พนื้ ฐานของความเชอื่ เกยี่ วกบั ความจรงิ และวธิ คี น้ หาความจรงิ โดยปรัชญาแรก คอื ปฏิฐานนยิ ม (Positivism) เชอ่ื ทางบวก เนน้ ทฤษฎเี ปน็ ตัวต้งั เช่อื ในเรือ่ งความ สัมพันธ์เชิงเหตุผลท่ีพิสูจน์ได้ในมิติทางสถิติ (Causal relationships) เช่ือว่า ความจริงมีลักษณะ ท่ีตรวจวัดได้ (Objective) จ�ำแนกนับเป็นตัวเลขได้ชัดเจน ปรัชญาที่สอง คือ ปรากฏการณ์นิยม (Phenomenalism) เช่ือในเร่ืองเหตุผลและความสัมพันธ์ตามเป็นจริงที่ปรากฏเห็นได้ในลักษณะ ของสัญนิยมและนัยนิยมท่ีเกิดจากการรังสรรค์วิทยา เช่ือว่า ความจริงมีลักษณะเป็นอัตวิสัย (Subjective) ขึ้นอยู่กับมุมมองของคน มีความหมายเปลี่ยนไปตามบริบท ไม่อาจวัดเป็นตัวเลขได้ ดว้ ยเหตผุ ลแหง่ ความเชอื่ ทางปรชั ญาทต่ี า่ งกนั ดงั กลา่ ว นกั วจิ ยั สำ� นกั คดิ บรสิ ทุ ธ์ิ (Purist) จงึ มคี วาม เหน็ ว่า ไมส่ ามารถน�ำสองปรชั ญาดงั กล่าวมาใชร้ ว่ มกนั เพ่ือคน้ หาความรู้ความจรงิ ได้ อย่างไรก็ตาม การวิจัยแบบผสมผสานวิธี (Mixed Methods Research หรือ MMR) เปน็ การวจิ ยั ทใี่ ชว้ ธิ วี ทิ ยาทง้ั เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพ แลว้ นำ� ผลการวจิ ยั มาสรปุ รว่ มกนั ทง้ั นเี้ พอื่ ให้ได้ค�ำตอบทส่ี มบูรณ์ทีส่ ุด ส�ำหรับประเด็นในการผสมผสานน้นั จะครอบคลมุ ตง้ั แต่การกำ� หนด ปัญหาการวิจยั การกำ� หนดวธิ กี ารวจิ ัย การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การวิเคราะห์ข้อมลู การแปลความ หมาย และการสรปุ อา้ งองิ (Johnson & Onwuegbuzie, 2004 ; Creswell & Clark, 2007 ; Tashakkori & Teddlie, 2008 ; Creswell, 2015) นอกจากจะผสมผสานกนั ระหวา่ งวธิ เี ชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพ
Research in Educational Administration • 171 แล้ว ยังผสมผสานขอ้ มลู ท่มี ีลักษณะตา่ งกันและการใช้ผู้ศึกษาท่ีตา่ งกนั อีกดว้ ย (Brannen, 2005) สรุปไดว้ ่า การวจิ ัยแบบผสมผสานวิธี หมายถึง การแสวงหาความรู้ความจรงิ ด้วยการใช้ วิธีเชงิ ปริมาณและวิธีเชิงคณุ ภาพร่วมกันในระยะใดระยะหนึ่งหรือใช้ต่อเน่ืองกนั ในระยะท่ีต่างกัน แลว้ น�ำผลทีไ่ ด้จากแต่ละวธิ มี าสรุปร่วมกนั ซ่งึ จะทำ� ให้เกิดความเขา้ ใจอย่างลึกซึง้ ในสิง่ ท่ศี กึ ษา 2. วิวฒั นาการของการวิจยั แบบผสมผสานวิธี การวจิ ัยแบบผสมผสานวธิ ี เกดิ ข้ึนครั้งแรกใน ค.ศ.1959 หรอื พ.ศ. 2502 โดย Campbell และ Fiske เป็นผู้แนะน�ำให้ใช้วิธีเก็บข้อมูลเชิงปริมาณหลาย ๆ วิธี และเพิ่มวิธีเชิงคุณภาพเข้า ไปในการศึกษาเชิงปริมาณทางสังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ หลังจากนั้น ก็มีนักวิชาการ อีกหลายคนแสดงทัศนะเก่ียวกับการผสมผสานวิธีเก็บข้อมูล เช่น Sieber Bryman, Reichardt & Rallis ฯลฯ จนกระทั่ง ค.ศ. 2003 หรือ พ.ศ. 2546 Creswell ได้เปรียบเทียบความเหมือนและ ความตา่ งระหวา่ งรปู แบบการวิจยั เชงิ ปรมิ าณ การวิจัยเชงิ คุณภาพ และการวิจัยแบบผสมผสานวธิ ี ต่อมาใน ค.ศ. 2005 หรือ พ.ศ. 2548 การวิจัยแบบผสมผสานวิธี ได้รับการยอมรับมากขึ้นจน มกี ารตีพิมพใ์ นวารสารชอื่ Journal of Mixed Methods Research จนถงึ ปัจจบุ นั 3. วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจัยแบบผสมผสานวธิ ี จากการศึกษาวา่ เพราะเหตุใดตอ้ งใช้วธิ กี ารวิจัย แบบผสมผสานวิธี คำ� ตอบท่เี ปน็ เหตผุ ล หลักของทุกส�ำนักและทุกคน ท่ใี ช้ระเบียบวธิ ีแบบผสมผสานวิธี (Mixed Methods Research) คอื เป็นการแก้จุดอ่อนของแต่ละวิธีด้วยการเสริมจุดแข็ง โดยมีวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหน่ึงหรือ หลายประการดังนี้ (สชุ าติ ประสทิ ธ์ริ ฐั สินธุ์ และ กรรณิการ์ สุขเกษม, 2547, หน้า 285-286) 3.1 เพื่อเป็นการตรวจสอบแบบสามเส้า (Triangulation) เป็นการเพิ่มความเช่ือม่ัน ในผลของการวิจัย ซ่ึงจะท�ำให้ได้ผลการวิจัยท่ีดีข้ึน มีความน่าเช่ือถือมากท่ีสุด สอดคล้องและ ทันสมยั กับปรากฏการณ์ท่เี กดิ ขน้ึ มากท่สี ดุ 3.2 เพอื่ เปน็ การเสรมิ ใหส้ มบรู ณห์ รอื เตมิ ใหเ้ ตม็ (Complementarity) เชน่ ตรวจสอบ ประเด็นท่ซี �้ำซอ้ นหรือประเดน็ ที่แตกต่างของปรากฏการณท์ ่ีศึกษา ฯลฯ 3. เพื่อเป็นการริเร่ิม (Initiation) เช่น ค้นหาประเด็นท่ีผิดปกติ ประเด็นท่ี ผดิ ธรรมดา ประเดน็ ท่ีขดั แย้งหรือทัศนะใหม่ ๆ ฯลฯ 3.4 เพอ่ื เปน็ การพฒั นา (Development) เชน่ นำ� เอาผลจากการศกึ ษาในขนั้ ตอนหนงึ่ ไปใช้ให้เป็นประโยชนก์ บั อีกขน้ั ตอนหนึ่ง ฯลฯ 3.5 เพ่ือเป็นการขยาย (Expansion) โดยการขยายให้งานวิจัยมีขอบข่ายท่ีกว้างขวาง มากขึ้น นอกจากนี้ โยธิน แสวงดี (2557) กล่าวว่า วัตถุประสงคห์ รอื เหตุผลทีว่ ิธวี จิ ัยเชงิ ปริมาณ และเชิงคุณภาพต้องมารวมกัน ก็เพื่อให้ได้ค�ำตอบที่ชัดเจนที่สุดในประเด็นค�ำถามการวิจัยที่ยัง คลมุ เครือ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ผลทเ่ี กดิ จากการตรวจสอบในเชิงปริมาณท่ีคน้ พบวา่ บรบิ ทของสงั คม
172 • การวจิ ัยทางการบริหารการศกึ ษา บางอย่างมีผลต่อพฤติกรรมที่สนใจศึกษา ซึ่งเป็นตัวแปรตาม แต่ไม่สามารถหาเหตุผลท่ีดีที่สุดมา อธบิ ายได้ จงึ ตอ้ งเนน้ คน้ หาดว้ ยเชงิ คณุ ภาพทต่ี อ้ งลงลกึ ใหถ้ งึ แหลง่ ทม่ี าของคำ� ตอบ ณ แหลง่ ขอ้ มลู ปฐมภูมิโดยตรง (Primary data source) ด้วยวิธีการภายใตก้ ารคน้ หาความรูท้ เี่ ปน็ ความจรงิ จากผรู้ ู้ ทร่ี ู้จรงิ จากปรากฏการณจ์ รงิ ทมี่ าจากแหล่งรากเงา้ ต้นเรือ่ ง หรอื ตน้ นำ�้ น้นั จริง ๆ 4. ลกั ษณะสำ� คัญของการวิจัยแบบผสมผสานวธิ ี ลักษณะส�ำคัญของการวิจัยแบบผสมผสานวิธี อาจสรุปได้จากทัศนะของ Teddlie & Tashakkori (2003) และ Johnson & Christensen (2014) 6 ประการ ดงั นี้ 4.1 ใชว้ ธิ เี กบ็ รวบรวมและวธิ วี เิ คราะหข์ อ้ มลู ทงั้ เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพเพอ่ื ตอบ ค�ำถามการวิจยั 4.2 รวมหรอื ผสมผสานขอ้ มลู ทั้งเชิงปรมิ าณและเชงิ คุณภาพ 4.3 ใชแ้ นวคดิ เชงิ ปรชั ญาหรอื กระบวนทศั นห์ ลากหลายรว่ มกนั (ParadigmPluralism) 4.4 เนน้ ความหลากหลายในทุกระดับของกระบวนการวิจัย 4.5 ยดึ คำ� ถามหรอื ปญั หาการวจิ ยั เปน็ หลกั ในการกำ� หนดวธิ กี ารทจ่ี ะนำ� มาใชใ้ นการศกึ ษา 4.6 ใช้วธิ ีรวบรวมข้อมลู หลาย ๆ วิธี เพ่ือเสริมซึ่งกนั และกนั ลกั ษณะสำ� คญั ทงั้ 6 ประการดงั กลา่ วขา้ งตน้ นนั้ เรยี กรวมกนั วา่ “การผสมผสานวธิ วี ทิ ยา” (MethodologicalEclecticism) ซงึ่ หมายถงึ การเลอื กสรรและการบรู ณาการวธิ วี ทิ ยาทเ่ี หมาะสมทส่ี ดุ จากการวิจยั เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คุณภาพมาใชเ้ พ่อื ศึกษาปรากฏการณ์ทสี่ นใจ จากทศั นะของนักวิชาการข้างตน้ อาจจำ� แนกเปน็ ประเดน็ และลักษณะสำ� คญั หรอื จดุ เนน้ ของการวิจัยแบบผสมผสานวิธีได้ดังแสดงในตารางที่ 4.1 ตารางท่ี 4.1 ประเด็นและลกั ษณะส�ำคัญหรือจุดเนน้ ของการวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี ลำ�ดับ ประเดน็ ลักษณะทส่ี ำ�คญั /จดุ เนน้ 1 การใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกศาสตร์ ใช้ท้งั วธิ อี ปุ นัย (Inductive) และวิธีนิรนัย (Deductive) ในการสรปุ ความรคู้ วามจริง 2 มุมมองเก่ียวกบั พฤตกิ รรมมนษุ ย์ พฤตกิ รรมบางอย่างสามารถคาดคะเนหรือ พยากรณไ์ ด้ 3 ลักษณะของความมงุ่ หมายของการ กำ�หนดความมุง่ หมายของการวิจัยไดท้ ้ังเชงิ วจิ ยั ปริมาณและเชงิ คุณภาพ 4 จดุ เนน้ ให้ความสำ�คัญทว่ี ิธรี วบรวมขอ้ มูลทงั้ เชิงปรมิ าณ และเชงิ คณุ ภาพ 5 ธรรมชาตขิ องพฤติกรรมหรอื เปน็ ความร้คู วามจริงทสี่ อดคลอ้ งกบั สามัญสำ�นกึ ปรากฏการณ์ที่ศกึ ษา และมีความเป็นไปไดใ้ นโลกแห่งการปฏบิ ตั ิ
Research in Educational Administration • 173 6 วิธีทใ่ี ช้รวบรวมข้อมลู ใช้ทั้งวิธเี ชงิ ปริมาณและวธิ ีเชงิ คุณภาพ 7 ธรรมชาติของขอ้ มลู ขอ้ มูลผสมผสานกันทง้ั ตัวแปร คำ�พูด และเจตคติ 8 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ใชท้ ้งั วิธีการเชิงปรมิ าณ (วธิ ีทางสถติ ิ) และวธิ ีการ เชิงคณุ ภาพ (การพรรณนาวเิ คราะห)์ 9 ผลหรือข้อคน้ พบ ผลมีลักษณะผสมผสานกนั และสามารถนำ�ไปใช้ สรุปอา้ งองิ เป็นนยั ท่ัวไปได้ จากตารางท่ี 4.1 เราจะเหน็ วา่ การวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี มปี ระเดน็ และลกั ษณะทสี่ ำ� คญั หรือจุดเนน้ 9 ประเดน็ และ 9 ลักษณะทสี่ ำ� คัญ โดยเปน็ ประเดน็ และลกั ษณะท่สี �ำคัญของการวจิ ัย แบบผสมผสานวธิ ี คอื ผสมทงั้ เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพ มวี ธิ เี กบ็ รวบรวมและวธิ วี เิ คราะหข์ อ้ มลู ทง้ั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเพอื่ ตอบคำ� ถามการวจิ ัย 5. ความส�ำคัญของการวิจยั แบบผสมผสานวธิ ี การวิจยั แบบผสมผสานวธิ ี (Mixed Methods Research) มีความสำ� คญั ตามแนวคิดของ Greene and others (1989) ; Trocim (2002) ; Creswell (2003) ; Punch (2003) และ Punch (2005) ดังนี้ คือ 1) ผลการวิจัยจากวิธีการวิจัยแบบผสมผสานวิธี สามารถเสริมต่อกันโดยใช้ผลการวิจัย จากวิธีหนึ่งอธิบายขยายความผลการวิจัยอีกวิธีหน่ึง ช่วยให้การตอบค�ำถามการวิจัยได้ละเอียด ชัดเจนมากกว่าการใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพเพียงรปู แบบเดียว 2) การใชผ้ ล การวจิ ยั จากวธิ หี นง่ึ ไปชว่ ยพฒั นาการวจิ ยั อกี วธิ หี นงึ่ หรอื การใชผ้ ลการวจิ ยั วธิ หี นงึ่ ไปตงั้ คำ� ถามการ วิจยั อีกวธิ หี นง่ึ 3) การวจิ ยั เชงิ ปริมาณและการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพต่างกม็ จี ุดเดน่ ในตนเอง สามารถนำ� จดุ เดน่ มาใชใ้ นการแสวงหาความรคู้ วามจรงิ ไดถ้ กู ตอ้ งแมน่ ยำ� ยง่ิ ขน้ึ 4) การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณและการ วิจัยเชิงคุณภาพต่างก็มีจุดด้อยในตนเอง ผู้วิจัยสามารถใช้จุดเด่นของการวิจัยเชิงปริมาณ มาแก้ไข จุดด้อยของการวิจัยเชิงคุณภาพ ขณะเดียวกันอาจใช้จุดเด่นของการวิจัยเชิงคุณภาพมาใช้แก้ไข จดุ ดอ้ ยของการวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ และ 5) สามารถนำ� ผลผลติ จากการวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ มี าสรา้ ง ความรู้ความจริงท่ีสมบูรณ์ส�ำหรับใช้ในการปรับเปลย่ี นทฤษฎหี รอื การปฏบิ ตั งิ าน 6. แบบการวิจัยแบบผสมผสานวิธี Creswell (2013) กลา่ ววา่ การวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี แบง่ ออกไดต้ ามเวลาของการดำ� เนนิ การวิจัยและความสำ� คัญของการวจิ ยั แตล่ ะวธิ ี เป็น 6 แบบใหญ่ ๆ ดังน้ี 6.1 แบบคู่ขนาน (Convergent parallel design) เป็นแบบการวิจยั ทน่ี ักวจิ ยั ดำ� เนนิ การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณพรอ้ มกนั กบั เชงิ คณภาพ โดยใหค้ วามสำ� คญั กบั การวจิ ยั ทง้ั สองแบบเทา่ เทยี มกนั และน�ำผลมารวมกันในช่วงการแปลผลเพื่อตรวจสอบความถูกต้องหรือท�ำให้ผลการวิจัยสมบูรณ์ มากขนึ้ วตั ถปุ ระสงคข์ องแบบนี้ คอื เพอ่ื ศกึ ษาทำ� ความเขา้ ใจกบั ปญั หาการวจิ ยั ในประเดน็ เดยี วกนั ดว้ ยวธิ กี ารทแ่ี ตกตา่ งกนั ทงั้ นเ้ี พราะการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยวธิ กี ารลกั ษณะหนงึ่ อาจจะมจี ดุ แขง็
174 • การวิจัยทางการบรหิ ารการศกึ ษา ทสี่ ามารถไปทดแทนจดุ ออ่ นของการเกบ็ ขอ้ มลู อกี ลกั ษณะหนง่ึ เชน่ การเกบ็ ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณทไี่ ด้ เปน็ คา่ สถติ จิ ากกลมุ่ ตวั อยา่ งทเ่ี กบ็ จากคนจำ� นวนมาก จะสามารถทดแทนจดุ ออ่ นของการเกบ็ ขอ้ มลู เชิงคุณภาพซึ่งไดจ้ ากคนเพยี ง 2-3 คน กล่าวโดยสรปุ แบบการวิจัยแบบคขู่ นาน มีลักษณะ ดังนี้คอื 1) การใหน้ �้ำหนกั ของข้อมลู เชงิ ปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพดำ� เนินการไปพร้อมกัน 2) การเก็บข้อมูล ทงั้ เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพดำ� เนนิ การไปพรอ้ ม ๆ กนั และ 3) การเปรยี บเทยี บขอ้ มลู ทงั้ สองสว่ น เพ่ือพจิ ารณาถึงความเหมือนและความแตกตา่ งของขอ้ มูล ดงั แสดงในภาพที่ 4.1 1. แบบคขู นาน (Convergent parallel design) การเก็บขอ มลู และ การเปรยี บเทยี บ การตคี วาม การวเิ คราะหข อ มูล และความสมั พนั ธ เชงิ ปริมาณ การเกบ็ ขอมูลและ การวเิ คราะหขอมลู เชิงคุณภาพ ภาพที่ 4.1 แบบการวจิ ัยแบบผสมผสานวธิ :ี แบบคูข่ นาน Source. C2.reแswบeบllอ(2ธ0บิ 1า3ย, ตpา.ม69ล)ำดบั (Explanatory sequential design) จากภาพท่ี 4.1 แบบคขู่ นาน (Convergent parallel design) เปน็ แบบการวิจัยทีน่ ักวจิ ัย ด�ำเนินการวิจกัยาเชรเิงกป็บขรอิมมาูลณแพละร้อมกันกับเชิงคุณภาพ โดยให้ความกสา�ำรคเกัญ็บขกอับมกลู าแรลวะิจัยท้ังสองแบบ วเทิจา่ยั เสทมียมบกูรนัณ์มแกาลากระขวเนชิเน้ึ คงิ�ำปรผารลแะิมบมหาาขบณรอควม่ขู มลู นกานั นในนี้ชจ่วะงใกชา้เมรตแ่อื าปผมลดู้ววิจผยัยลตเพอ้ ื่องกตารรวเจปสรอยี บบกาคเทรวเวียชาิเบคมงิ ครผถาุณลูกะภขหตาอขอ้ พองงขมหลู้อรมอื ลูทเำ�ชใิงหป้ผรลมิ กาาณร และขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพหรอื เมอ่ื ตอ้ งการตรวจสอบหรอื ยนื ยนั ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณดว้ ยขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ อย่างไรก็ตาม แม้การวิจัยท้ังสองวิธีตามแบบน้ี มีความเท่าเทียมและด�ำเนินไปพร้อม กันหรือคู่ขนานกัน นักวิจัยอาจประยุกต์ใช้โดยให้ความส�ำคัญกับกกาารรตวีคิจวัยามท้ังสองวิธีดังกล่าว ไม่เท่าเทียมกัน คือ 1) ใช้วิธีเชิงปริมาณเป็นวิธีการหลักและวิธีเชิงคุณภาพเป็นวิธีการรอง หรือ 2) ใช้วธิ ีเชิงคณุ ภาพเป็นวิธีการหลกั และวธิ เี ชิงปริมาณเปน็ วธิ ีการรอง (แม้จะไมเ่ ทา่ เทียมกนั แตก่ ็ ดำ� เนินการไปพร้อม ๆ กัน) ที่แบ่งเป็น3ส. อแงบข6บ.ั้น2สตอำแรนบวบจชอบ่วธงุกิบแเาบรยกิกตเตปามา็นมลกล�ำาดำรับดวิจับ(ัยE(หxEpลxlักapnโlดoatrยoaใrtชyo้วrsyิธeีวqsิจeuqeัยnuเชteiิงanปltidรaeิมlsdาigณensกi)g่อnนเ)ปเพ็นื่อแตบอบบกปารัญวหิจัยา การวิจัย และตก่อาดรเว้กย็บวขธิ อีวมิจูลยั แเลชะงิ คุณภาพโดยน�ำผลของวิธีวจิ ัยเชงิ ปรกมิ าารณเกมบ็ าขออ อมกูลแแลบะบการเกบ็ ข้อมูล การวเิ คราะหขอมลู ตามดว ย การวิเคราะหขอ มลู เชงิ คณุ ภาพ เชิงปรมิ าณ
Research in Educational Administration • 175 การเกบ็ ขอ มูลและ เวชิธิงีเชคงิุณปภราิมพากกณเพาารใร่ือวเหแเชกิเชค้กงิบ็บ่วปรรขบายระอะใิมกจหมนาา่าลูขณงกรแอ ยาวลมิ่งริจะลูขอัยึ้นธแิบบาบยผอลธแิบลาะยแใตกลหาาะ้รรมคเาปวลยาร�ำลมยี ดสะบับมัเเทอพนยีียนั บี้ดธมท ีล่ีมักีคษวาณมะซทับ่ีสซ�ำ้อกคนาัญรขตโอคีดงวยผาสมลรกุปารวดิจังัยนด้ีค้วือย 1) ช่วงแรกกเาปรว็นิเคกราาระวหิจข ัยอ โมดูลยใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ และน�ำผลมาต่อด้วยวิจัยเชิงคุณภาพ โดยอาจ ก�ำหนดให้วิธีวเิจชัยงิ เคชณุ ิงภปารพิมาณมีน้�ำหนักความสําคัญเป็นวิธีการหลัก หรือวิธีการรอง 2) การเก็บ ขอ้ มลู ทำ� เปน็ 2 ระยะ ระยะแรกเกบ็ ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณกอ่ นแลว้ จงึ ตามดว้ ยการเกบ็ ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ ตามลำ� ดบั ดงั แสดงในภาพที่ 4.2 2. แบบอธบิ ายตามลำดบั (Explanatory sequential design) การเกบ็ ขอ มลู และ ตามดว ย การเก็บขอ มูลและ การวเิ คราะหข อ มูล การวิเคราะหขอ มูล เชิงปรมิ าณ เชิงคุณภาพ การตคี วาม ภาพท่ี 4.2 แบบการวิจยั แบบผสมผสานวธิ ี: แบบอธบิ ายตามลำ� ดับ Source. C3.reแswบeบllส(2ำ0ร1ว3จ,บpุก. 6เบ9)ิกตามลำดับ (Exploratory sequential design) จากภาพท่ี 4. 2 แบบอธิบายตามลำ� ดบั (Explanatory sequential design) เป็นแบบการ วิจยั ทแ่ี บ่งเป็นกสาอรเงกขบ็ น้ั ขอตมอูลนแลชะว่ งแรกเปน็ การวิจยั โดยใชว้ ิธวี จิ ัยเชิงปกรามิรเากณบ็ ขกออ่ มนลู เแพลือ่ ะตอบปญั หาการ วคจิุณยั ภแาลพะเพตอ่ื่อดชว้ก่วยายรกใเวชนาเิ ครงิ กควราาุณจิ ระยัภอหเาชธข พิบงิอ คมาณุลูยผภลาแพลโดะใยหน้รำ� าผยลตลขาะมอเดองววียยธิดกีทา่ีมรีคเชวงิ าปมรซมิ ับาซกณา้อมรนวเาชเิขอคิงออปรากงระผมิแหลาบขณกบอ ามกรูลาวริจเกัยเบ็ ชขิงอ้ปมรลูิมเาชณงิ ให้กระจา่ งยง่ิ ข้นึ หรอื อาจกลา่ วไดว้ า่ ใชข้ อ้ มูลเชิงคณุ ภาพขยายความของข้อค้นพบจากข้อมูลเชิง ปทน่รี ิม่าสาณงสเัยช่นฯลขฯอ้ คแ้นบพบบกการรวณจิ ีมยั นีนยั้ี สนำ�ิยคมญั ใชห้ในรสอื ไอมงม่กีนรณยั สี ด�ำงัคนญั ี้ (รขตัอ้ นคน้ะพบบวั กทสาี่แนรตตธกคี ,์ วตมา่ามง.ปอ.อปก)ไป ขอ้ คน้ พบ 1) กรณีให้ความสําคัญกับวิธีวิจัยเชิงปริมาณเป็นวิธีการหลัก เม่ือได้ผลจากการ วิจัยเชิงปริมาณอย่างไรแล้ว ก็ใช้ผลที่ได้ประกอบการพิจารณาคัดเลือกประเด็นค�ำถามการวิจัย และผู้ให้ข้อมูลท่ีมีคุณสมบัติสอดคล้องกับผลการวิจัย เพื่อดําเนินการศึกษาหาคําตอบด้วยวิธีวิจัย เชิงคุณภาพต่อไป ท้ังน้ีจะให้ความสําคัญกับวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเป็นวิธีการรอง เม่ือได้ผลการวิจัย จากวิธีวิจัยเชิงคุณภาพแล้ว ก็ให้น�ำไปสรุปตีความเสริมผลการวิจัยเชิงปริมาณ เพ่ือพิจารณา คัดเลือกประเดน็ ปญั หาและผ้ใู หข้ อ้ มลู
176 • การวจิ ัยทางการบรหิ ารการศึกษา 2) กรณีให้ความสําคัญกับวิธีวิจัยเชิงปริมาณเป็นวิธีการรอง ให้นําผลที่ได้จาก การวิจัยเชิงปริมาณมาประกอบการพิจารณาคัดเลือกประเด็นค�ำถามการวิจัยและผู้ให้ข้อมูล ที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับผลการวิจัย เพ่ือดําเนินการวิจัยเชิงคุณภาพอย่างลุ่มลึกและเข้มข้น โดยมุ่งเน้นให้ความสําคัญกับการดําเนินงานวิจัยเชิงคุณภาพเป็นวิธีการหลัก เม่ือได้ผลการวิจัย เชิงคุณภาพแล้ว ให้นําไปสรุปตีความร่วมกับผลการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นหลกั และใช้ผลการวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณประกอบเสรมิ นอกจากน้ี โยธิน แสวงดี (2557) กลา่ ววา่ เหตผุ ลที่ต้องน�ำด้วยเชงิ ปริมาณในการ วจิ ยั แบบผสมผสานวิธี มดี ังน้ี 1) การวิจัยเชิงปริมาณจะเน้นความรู้ท่ีเป็นโครงสร้างตามทฤษฎี (Positivism) แต่อาจต้องหาปรากฏการณ์จริงมายืนยัน มาอธิบายให้เข้าใจได้ชัดเจนมากข้ึน เช่น ได้ข้อค้น พบใหม่ แต่ไม่สามารถหาชุดความรู้จากวรรณกรรมท่ีผ่านมาอธิบายได้ หรือ เป็นข้อค้นพบที่ โดดเด่น ปรากฏข้นึ เฉพาะในสังคมทเ่ี ปน็ หนว่ ยพื้นท่ศี ึกษาเท่านน้ั คลา้ ยกับเป็นสิ่งเดน่ จงึ ต้องการ ตรวจสอบตอ่ ไปวา่ เปน็ จรงิ หรอื ไม่ เป็นอัตลักษณห์ รอื ไม่ 2) การตรวจสอบขอ้ คน้ พบทไ่ี ดจ้ ากวธิ วี จิ ยั เชงิ ปรมิ าณตอ่ ไปวา่ เปน็ จรงิ หรอื ไม่ เปน็ อตั ลกั ษณห์ รอื ไม่ ถอื วา่ เปน็ วธิ กี ารทดี่ ที ส่ี ดุ ซง่ึ ผวู้ จิ ยั สามารถดำ� เนนิ การดว้ ยวธิ กี ารวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ โดยการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิ ที่สามารถอ้างอิงด้วยหลักฐานจริง ปรากฏการณ์จริง หรอื เรอ่ื งเล่าจากปากบคุ คลที่เป็นผู้รู้เร่อื งน้ันอยา่ งแท้จรงิ (Narrative interview) 3) การด�ำเนินการวิจัยด้วยวิธีการเชิงปริมาณ แล้วตามด้วยวิธีการเชิงคุณภาพตาม ขอ้ 1 และ 2 ดงั กล่าวข้างตน้ ถือว่า เป็นการผนวกเชิงทฤษฏี (Positivism) กบั เชิงปรากฏการณ์นิยม (Phenomenologism) เขา้ ด้วยกนั อยา่ งสมบูรณท์ ่ีสดุ 6.3 แบบสำ� รวจบุกเบกิ ตามล�ำดับ (Exploratory sequential design) เปน็ แบบการ วิจัยที่แบ่งเปน็ สองขน้ั ตอน เชน่ เดยี วกับแบบอธิบายตามลำ� ดับ แตช่ ว่ งแรกเป็นการวิจัยเพื่อส�ำรวจ ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ และน�ำผลมาต่อด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณเพื่อยืนยันและ สามารถน�ำผลไปใช้ต่อในวงกว้างได้ นอกจากนี้ ยังให้น้�ำหนักความสําคัญของวิธีการวิจัยท้ังสอง วิธี ไมเ่ ท่าเทียมกนั อกี ด้วย แบบการวิจัยแบบส�ำรวจบุกเบิกตามล�ำดับน้ี มีลักษณะที่ส�ำคัญโดยสรุปดังนี้คือ 1) ชว่ งแรกเป็นการวจิ ัยโดยใชว้ ธิ วี ิจัยเชิงคุณภาพ และน�ำผลมาตอ่ ดว้ ยวิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยอาจ กำ� หนดใหว้ ธิ วี จิ ยั เชงิ คณุ ภาพมนี ำ�้ หนกั ความสาํ คญั เปน็ วธิ กี ารหลกั หรอื วธิ กี ารรอง ทง้ั นขี้ น้ึ อยกู่ บั กรณีที่ต้องการพัฒนาแนวคิดและ/หรอื ทฤษฎี หรือกรณที ี่ตอ้ งการค้นหาตวั แปรใหม่ ๆ 2 ) การ เก็บข้อมูลท�ำเปน็ สองระยะ ระยะแรกใช้การเก็บขอ้ มลู โดยวิธกี ารเชงิ คุณภาพ เช่น การสังเกต การ สัมภาษณ์ ฯลฯ แล้วจงึ ตามดว้ ยการเก็บข้อมูลดว้ ยวิธีวิจยั เชิงปริมาณ และ 3) การวางแผนการเก็บ รวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ จะต้องอาศัยหรืออยู่บนพื้นฐานของข้อค้นพบเชิงคุณภาพ การส�ำรวจ เบอื้ งตน้ จากการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพจะทำ� ใหไ้ ดร้ ายละเอยี ด แตด่ ว้ ยวธิ วี จิ ยั เชงิ ปรมิ าณจะชว่ ยใหส้ ามารถ ใชเ้ พอื่ การอา้ งองิ ลกั ษณะทวั่ ไปได้ ดงั แสดงในภาพท่ี 4.3
การตีความ Research in Educational Administration • 177 3. แบบสำรวจบุกเบิกตามลำดับ (Exploratory sequential design) การเก็บขอมลู และ ตามดว ย การเก็บขอมูลและ การวเิ คราะหขอ มูล การวเิ คราะหข อมูล เชงิ คุณภาพ เชิงปริมาณ การตีความ ภาพท่ี 4.3 แบบการวิจยั แบบผสมผสานวิธี: แบบส�ำรวจบุกเบิกตามล�ำดบั Source. Creswell (2013, p. 69) จากภาพท่ี 4.3 แบบสำ� รวจบุกเบกิ ตามลำ� ดับ (Exploratory sequential design) เปน็ แบบ การวจิ ยั ท่แี บ่งเปน็ สองขนั้ ตอน เชน่ เดยี วกบั แบบอธบิ ายตามลำ� ดับ แต่ชว่ งแรกเป็นการวิจยั โดยใช้ วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ และต่อด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณเพ่ือยืนยันและสามารถน�ำผลไปใช้ต่อใน วงกว้างได้ แบบการวิจยั น้ี นยิ มใชใ้ นสองกรณเี ช่นเดียวกับแบบอธิบายตามลำ� ดบั แตต่ ่างกรณีกัน ดังนี้ (รัตนะ บัวสนธ์, ม.ป.ป) 1) กรณีท่ีต้องการพัฒนาแนวคิดและ/หรือทฤษฎี ในระยะแรกมุ่งเน้นให้ความ สาํ คญั กบั การดาํ เนนิ งานวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ โดยกำ� หนดใหว้ ธิ วี จิ ยั เชงิ คณุ ภาพมนี ำ้� หนกั ความสาํ คญั เปน็ วิธีการหลัก และวิธีวิจัยเชิงปริมาณมีน�้ำหนักความสําคัญเป็นวิธีการรอง เม่ือได้ผลการวิจัยจาก วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ซ่ึงมีลักษณะเป็นแนวคิดและ/หรือทฤษฎี (มักเรียกว่า ทฤษฎีจากพื้นที่ หรือ ทฤษฎฐี านราก ทตี่ รงกับคาํ ว่า “Grounded Theory” น่นั เอง) แลว้ ให้น�ำไปพัฒนาแนวคดิ และ/หรือ ทฤษฎีดังกล่าว จากน้ันให้น�ำไปเป็นพื้นฐานในการท�ำวิจัยด้วยวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เม่ือได้ผลการ วิจัยจากวิธีวิจัยเชิงปริมาณแล้ว ก็ให้นําผลที่ได้จากวิธีวิจัยเชิงปริมาณนั้นไปสรุปตีความเป็น ผลรองเพือ่ เสรมิ ผลการวจิ ยั ที่ไดจ้ ากวิธีวจิ ัยเชิงคณุ ภาพซึ่งเปน็ ผลหลัก 2) กรณที ีต่ ้องการคน้ หาตวั แปรใหม่ ๆ หรอื เพอื่ สรา้ งเครื่องมือวดั ตวั แปร ในระยะ แรกเป็นการดําเนินการวิจัยโดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยก�ำหนดให้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพมีน้�ำหนัก ความสําคัญเป็นวิธีการรอง และวิธีวิจัยเชิงปริมาณมีน้�ำหนักความสําคัญเป็นวิธีการหลัก เม่ือได้ ผลการวิจัยจากวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเป็นเช่นไรแล้วก็นําผลการวิจัยที่ได้นั้นไปเป็นแนวทางในการ ให้นิยามและสร้างเคร่ืองมือส�ำหรับการวัดตัวแปรต่าง ๆ หลังจากน้ัน จึงนําเคร่ืองมือดังกล่าวไป ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยเชิงปริมาณ หลังจากได้ผลการวิจัยจากวิธีวิจัยเชิงปริมาณแล้ว ก็ให้นําผลที่ได้จากวิธีการวิจัยเชิงปริมาณนั้นไปสรุปตีความเป็นผลหลักแล้วเสริมด้วยผลการวิจัย ที่ได้จากวธิ ีวจิ ัยเชิงคณุ ภาพซงึ่ เป็นผลรอง
178 • การวิจัยทางการบริหารการศึกษา 6.4 แบบฝงั ตัวอย่ภู ายใน (Embedded design) เปน็ แบบการวิจยั ทม่ี ีการวิจยั ย่อยเป็น เชงิ คณุ ภาพหรอื เชงิ ปรมิ าณภายในการวจิ ยั หลกั ไมว่ า่ จะเปน็ เชงิ คณุ ภาพหรอื เชงิ ปรมิ าณ เพอ่ื ใหก้ าร วจิ ัยไปสนบั สนุนการวจิ ยั หลกั ให้มีคณุ ภาพดยี ่ิงขนึ้ เชน่ ในการทดลองซงึ่ ใช้วธิ ีการวจิ ัยเชงิ ปริมาณ อาจใชว้ ธิ วี จิ ยั เชงิ คณุ ภาพเพม่ิ เขา้ ไป โดยการเกบ็ ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพดว้ ยการสงั เกตและการสมั ภาษณ์ ผู้ถูกทดลอง เพ่ือท่ีจะส�ำรวจความพึงพอใจ หรือประสบการณ์ของผู้ถูกทดลองในกระบวนการ ทดลองนั้น ๆ หรอื ในการวิจัยเชงิ คณุ ภาพ เชน่ การศกึ ษากรณศี กึ ษา ก็อาจใชแ้ บบสอบถามเพ่อื จะ ช่วยยืนยันค�ำตอบการวิจัย ฯลฯ กล่าวโดยสรุป แบบการวิจัยแบบฝังตัวอยู่ภายใน มีลักษณะดังนี้ คือ 1) การให้น้�ำหนักกับข้อมูลหลัก ส่วนข้อมูลชุดท่ีสอง จะใช้เพื่อการสนับสนุนข้อมูลหลัก 2) การเกบ็ ขอ้ มลู ทง้ั เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพ มกี ารดำ� เนนิ การไปพรอ้ ม ๆ กนั หรอื เกบ็ ขอ้ มลู แบบ ใดแบบหนง่ึ กอ่ นหรอื หลงั กไ็ ด้ แตเ่ ปน็ การตอบคำ� ถามการวจิ ยั ทแ่ี ตกตา่ งกนั และ 3) การเกบ็ ขอ้ มลู ในชุดท่ีสอง เพื่อให้เหน็ ข้อโต้แยง้ และให้ขอ้ มูลทเี่ ป็นสว่ นเสรมิ ขอ้ มลู หลัก ดังแสดงในภาพท่ี 4.4 4. แบบฝงตวั อยูภ ายใน (Embedded design) การเก็บขอ มูลและการวิเคราะหข อมลู การตคี วาม เชงิ ปริมาณหรอื เชิงคณุ ภาพ การเก็บขอ มลู และการวเิ คราะห ขอ มูลเชงิ คุณภาพหรือเชิงปรมิ าณ (กอน ระหวาง และหลงั ) ภาพที่ 4.4 แบบการวจิ ยั แบบผสมผสานวธิ ี: แบบฝงั ตวั อยภู่ ายใน Source. C5r.esแwบelบl เ(ป20ล1ยี่ 3น, แpป. 7ล0ง) (Transformative design) จากภาพที่ 4.4 แบบฝงั ตัวอยู่ภายใน (Embedded design) เปน็ แบบการวจิ ัยท่ีมกี ารวจิ ัย ย่อยเป็นเชิงคุณกาภรเากพบ็ หขอรมือูลเแชลิงะปริมาณภายในการวิจัยหกาลรักเก็บไขมอ่วม่าูลจแะละเป็นเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ เพ่ือให้การวจิ ยั6กไา.5ปรวเชสิเคแงิ นปรบาับรบะมิ หสเาปขณนอลุนมี่ยลูกนาแรปวิจลยังหต(ลTามกัrดaใnวหยsf้มoคี rmุณaภtiาvกพeารดdเวชียิเeคิงงิ่ sครขiาณุgึน้ะnภห)าข พเอปมน็ลู แบบกากรารวตจิ คี ัยวทาม่ีนกั วจิ ยั ต้องการ ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงกรอบแนวคดิ จากผลการวิจัย เปน็ การวิจัยด้วยวิธีวจิ ยั หนง่ึ แลว้ ต่อดว้ ยอกี วธิ หี นง่ึ แบบไหนกอ่ นกไ็ ดอ้ ยา่ งอสิ ระเพอื่ ตอ้ งการใหเ้ กดิ ความรว่ มมอื สงู สดุ ซง่ึ มกั เปน็ การศกึ ษาใน กลมุ่ ประชากรทยี่ ากตอ่ การเขา้ ถงึ สดุ ทา้ ยนกั วจิ ยั บรู ณาการผลของการศกึ ษาวจิ ยั จากระยะแรกและ รขะนึ้ ยอะยหกู่ ลบั งั บเ6ขร.า้บิ ดแทว้ บขยกอบนงั หกใลรนอากยบาขรแั้นแนปตวลคอผดินลทเ(ฤพMษอื่ uฎสlทีรtiปุศี่pกึhกษaรsอาeบโดdแeยนsใหiวgคค้nดิว)ามแบสบำ� คกญั ารกวบั จิ บยั แทบบบาทกมารมุ เปมอลงย่ี เนชแงิ ทปฤลษงนฎ้ีซีจะง่ึ การศึกษา การศึกษา การศึกษา ระยะที่ 1 ระยะท่ี 2 ระยะท่ี 3
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 631
Pages: