Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 58 งานวิทยานิพนธ์ ฉบับสมบูรณ์

58 งานวิทยานิพนธ์ ฉบับสมบูรณ์

Published by วิจัย แม่โจ้, 2022-06-10 03:57:25

Description: 58 งานวิทยานิพนธ์ ฉบับสมบูรณ์

Search

Read the Text Version

ก ชือ่ วิทยานพิ นธ์ : การสังเคราะหว์ ิทยานิพนธ์เรื่องมหาสติปฏั ฐาน ๔ ของมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัยระหวา่ งปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐–๒๕๕๕ ผู้วจิ ัย : นางสาวสรัญญา โชตริ ตั น์ ปรญิ ญา : พุทธศาสตรมหาบัณฑติ (พระพุทธศาสนา) คณะกรรมการควบคมุ วทิ ยานพิ นธ์ : พระราชเขมากร, ผศ.ดร., ป.ธ.๙, พธ.บ., M.A., Ph.D. : ดร.สายัณห์ อินนันใจ, กศ.ด., กศ.ม., ศศ.บ. : พระครภู าวนาเจตยิ านกุ ิจ, ดร., พธ.บ., ค.ม., Ph.D. วนั ทส่ี ำเรจ็ การศึกษา : ๙ มีนาคม ๒๕๕๙ บทคัดย่อ วิทยานิพนธ์เร่ือง การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัยระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕๔๐–๒๕๕๕ วัตถุประสงค์ ๑) เพื่อรวบรวมและ ประมวลสาระความรู้แนวทางปฏิบัติเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ๒) เพ่ือวิเคราะห์แนวทางปฏิบัติเร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ ๓) เพื่อสังเคราะห์แนวทางปฏิบัติเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ จากการศึกษาเอกสารงานวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับมหาสติปัฏฐาน ๔ ช่วงเวลาระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕๔๐–๒๕๕๕ ผลการศกึ ษาวจิ ัยพบว่า ลกั ษณะข้อมลู ทั่วไปของงานวิทยานิพนธ์ พบวา่ เป็นงานวทิ ยานิพนธ์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาก ทส่ี ุด จำนวน ๒๔ เรื่อง ร้อยละ ๔๓.๖๓ สถานภาพผู้ศึกษาโดยส่วนมากเป็นพระภิกษุ จำนวน ๓๔ รูป ร้อยละ ๖๑.๘๑ ระดบั ปริญญางานวิทยานพิ นธ์เปน็ ระดับปริญญาโท มากท่ีสุด จำนวน ๔๘ เรื่อง ร้อย ละ ๘๗.๒๗ และด้านสาขาวิชาที่จบการศึกษาเป็นสาขาวิชาพระพุทธศาสนา มากที่สุด จำนวน ๒๙ เรื่อง ร้อยละ ๕๒.๗๒ ลักษณะข้อมูลด้านระเบียบวิธีของงานวิทยานิพนธ์ พบว่า ลักษณะ วัตถุประสงค์เป็นการต้ังวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาท่ัวไป มากท่ีสุด จำนวน ๗๘ ข้อวัตถุประสงค์ ร้อยละ ๕๑.๖๕ ด้านคำจากการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม มีคำว่า“ธรรม” มากที่สุด จำนวน ๒๓๖ คำ ร้อยละ ๕๙.๐๙ ด้านคำจากสารบัญเนื้อหาการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม จำแนก ๑)ด้าน หลักการ คำว่า“ความหมาย”เป็นคำท่ีมีจำนวนมากที่สุด จำนวน ๑๖๕ คำ ร้อยละ ๑๙.๘๓ ๒)ด้าน วิธีการ คำว่า“การปฏิบตั ิ”เปน็ คำที่มีจำนวนมากที่สุด จำนวน ๒๔๘ คำ รอ้ ยละ ๒๙.๘๑ ๓)ผล คำว่า “ผล” จำนวน ๖๙ คำ ร้อยละ ๘.๖๙ ด้านคำจากเนื้อหาคำนิยามศัพท์เฉพาะ คำว่า “ธรรม” มี จำนวนคำมากท่ีสุด จำนวน ๒๓๕ คำ ร้อยละ ๕๐.๒๑ ด้านลักษณะระเบียบวิธีวิจัยของงาน วิทยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย มากที่สุดเป็น

ข ลักษณะระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน ๔๗ เร่ือง ร้อยละ ๘๕.๔๕ และเป็นลักษณะการวิจัยเชิง เอกสาร จำนวน ๒๘ เรอ่ื ง รอ้ ยละ ๕๐.๙๑ การวิเคราะห์สาระความสอดคลอ้ งงานวิทยานพิ นธ์กับหลักการมหาสติปัฏฐาน ๔ พบว่า ด้านธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน มากท่ีสุด จำนวน ๔๘ เรื่อง ร้อยละ ๕๒.๗๕ และเป็นการศึกษาด้าน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพียงอย่างเดียวจำนวน ๒๐ เร่ือง ร้อยละ ๓๖.๓๖ รองลงมาได้แก่ ด้าน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จำนวน ๒๘ เร่ือง ร้อยละ ๓๑.๗๗ ด้านจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน จำนวน ๑๑ เร่ือง รอ้ ยละ ๑๒.๐๘ ดา้ นเวทนานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน จำนวน ๔ เร่ือง รอ้ ยละ ๔.๓๙ การสังเคราะห์ด้านกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน พบว่า วิธีการเจริญอานาปานสติฝึกกำหนด ลมหายใจเป็นคำสอนและวิธีการปฏิบัติสมบูรณ์ เป็นท้ังปริยัติและปฏิบัติ เป็นท้ังสมถะกรรมฐานและ วิปัสสนากรรมฐาน อานาปานสติเป็นพ้ืนฐานการเข้าฌานออกฌานรวดเร็วจึงเป็นบาทฐานการเจริญ วิปัสสนา ซึ่งสอดคล้องกับระบบ “ยุบหนอ พองหนอ” เน้นธาตุลมเป็นหลักในการกำหนดคำว่า “หนอ” แยกรูปนามทำให้สมาธิชัดเจน สติกำหนดรู้รูปนาม ความรู้สึกตัวชัด ตรงกับสภาวธรรมเป็น จริง ได้ปัญญาญาณ หลักการกำหนดสติอยู่กับลมหายใจ อาการพองยุบ เคล่ือนไหวกาย คำบริกรรม กำหนดตอ่ เน่ือง การสังเคราะห์ด้านเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน พบว่า การมีสติรู้เท่าทันเวทนาขณะเกิดขึ้น กำลังแปรปรวน ดับไป ตั้งสติจำแนกเวทนาขณะเสวยอารมณ์ ทางกายและทางใจ ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา สอดคล้องความเป็นจริง ปัจจุบันอารมณ์ เห็นความเกิดดับเวทนา ฝึก สตกิ ำกับควบคมุ ความรสู้ ึกและความคดิ เกิดวปิ สั สนาปัญญา การสังเคราะห์ด้านจติ ตานุปัสสนาสติปัฏฐาน พบวา่ การปฏิบัตใิ ห้จิตอยู่ในฌาน สรา้ งฌาน ให้เกิด โดยการเจริญสมถกรรมฐานเพ่งอารมณ์บรรลุฌาน จิตแนบไปกับอารมณ์เดียวทำให้วิปัสสนา ภาวนาเกิดข้ึน แท้เดิมธรรมชาติจิตมีความบริสุทธ์ิ จิตถูกปรุงแต่งด้วยกิเลสความคิด จึงต้องกำหนดรู้ สภาวธรรมตามความเป็นจริง กำหนดจิตเข้าไปรับรู้ จิตต้ังมัน่ รเู้ ท่าทัน การสังเคราะห์ดา้ นธรรมานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน พบว่า มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นวิชาแห่งความ พ้นทุกข์ท่ีพระพุทธเจ้าค้นพบแล้วนำมาสอนเพื่อการปฏิบัติภาวนาให้เกิดสติปัญญาความรู้แจ้งไตร ลกั ษณ์ สติปฏั ฐานทต่ี งั้ สติกำหนดรู้รปู นามจดุ มุ่งหมายเพ่ือดับทุกข์ กำหนดอารมณ์ท่ีเกดิ ขนึ้ ตามการต้ัง สติรู้ตรงตามสภาวะปัจจุบนั อารมณ์ตรงตามสมมติบัญญัติตามลำดับญาณ ๑๖ การสร้างความรูค้ วาม เข้าใจปริยัติธรรมทำให้การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน นำเข้าสู่ฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต เช่ือมโยง ครบทง้ั ๔ ฐาน องค์ธรรมเครื่องเกือ้ หนนุ คือ อาตาปี สมั ปชาโน สติมา การปฏิบัตวิ ิปสั สนากรรมฐาน มี ๒ หลัก คือ ๑)แบบสมถยานิกะ (สมถะ) เป็นอุบายสงบใจ ๒)แบบวิปัสสนายานิกะ (วิปัสสนา) เป็นอบุ ายเรืองปญั ญา ไดป้ ัญญาเรียกวา่ “วิปสั สนาปัญญา”

ค Dissertation Title : A Synthesis of Theses on the Topic of ‘Mahāsatipatthāna ⅳ’ during 1997-2012 Submitted to Mahachulalongkornrajavidyalaya University Researcher : Saranyar Chotirat Degree : Master of Arts (Buddhist Studies) Dissertation Supervisory Committee : Asst.Prof., Dr.Phra Rajkhemakorn, Pali IX, P.A., M.A., Ph.D. : Dr.Sayun Innunjai, B.A., M.A., Ph.D. : Dr. Phrakru Pauwanajetiyanukit, B.A., M.Ed., Ph.D. Date of Graduation : 9 / MARCH / 2016 Abstract The purposes of this dissertation entitled ‘A Synthesis of Theses on the Topic of ‘Mah āsatipatthāna ⅳ’ during 1997-2012 Submitted to Mahachulalongkornrajavidyalaya University’ were to 1) compile and process knowledge and contents of the practice of ‘Mahāsatipatthāna ⅳ’ 2) to analyze the practice guidelines of ‘Mahāsatipatthāna ⅳ’ and 3) to synthesize the practice guidelines of ‘Mahāsatipatthāna ⅳ’. It was the qualitative research done by studying documents from thesis about ‘Mahāsatipatthāna ⅳ’ during 1997 to 2012. The results of the study revealed that : Concerning the general characteristics of the thesis, it was found that the majority were twenty four dissertations made in 2011, accounted for 43.63 %. As for the status of thesis writers, most of them were thirty four monks, accounted for 61.81 %. As for the degree level of the thesis, the majority was Master degree with forty eight topics, accounted for 87.27 %. As for the graduation field of study, most of it was Buddhist studies with twenty nine topics, accounted for 52.72 %.

ง Concerning the methodology of the thesis, it was found that most of the thesis purposes were set in terms of general studies with seventy eight items, accounted for 51.65 %. As for terminology from the literature review, it was found that most of it was the word ‘ Dhamma’ with two hundred and thirty six words, accounted for 59.09. As for the terminology from the contents of the literature review, it could be classified into 1) the principle, the word ‘ meaning’ was the majority with one hundred and sixty five words, accounted for 19.83 % 2 ) the methodology, the word ‘ practice’ was the majority with two hundred and forty eight words, accounted for 29.81 % and the word ‘ result’ with sixty nine words, accounted for 8.69 %. As for the contents of terminology definitions, the word ‘ Dhamma’ was the majority with 50.21 %. As for the research methodology of the thesis about Mahāsatipatthāna ⅳ of Mahachulalongkornrajavidyalaya University, most of it was the qualitative methodology with forty seven topics, accounted for 85.45 % with twenty eight documentation methodology, accounted for 50.91 %. Concerning the analysis of the thesis consistency with principle of Mahāsatipatthāna ⅳ, it was found that the majority was Dhammānupatsanā with forty eight topics, accounted for 52.75 %. Out of this, there was only the study about Dhammānupassanā for twenty topics, accounted for 36.36 %. Less than that was Kāyāupassanā with twenty eight topics, accounted for 31.77 %, Cittānupasasnā for eleven topics, accounted for 12.08 %, Vedanānupassanā for topics, accounted for 4.39 %. Concerning the thesis of Kāyanupatsana, it was discovered that to make the meditation (Ānāpānasati) by determining the in and out breath was the teaching and complete practice. It was both Pariyatti and Patpatti , both independent Kammatthāna and Vipassanākammathana . Ānāpānasati was the fundamental method for taking up and leaving out of meditative absorption in a fast manner, so it was fundamental for doing meditation which corresponds with the ‘ Yub nor, Phong nor’ system that focuses mainly on wind for determining the word ‘Nor’. Concreteness and abstractness were divided which made the meditation more definite. Sati (consciousness) determined what one knows about concreteness and abstractness which made a person fully conscious. This was consistent with Dhamma conditions of truth. Then enlightenment was achieved. How to determine Sati depended on breathing in and out, body gesture, chanting, all smoothly connected,

จ Concerning the thesis of Vedanānupassanā, it was found that having Sati to know about Vedanā while it happened was changing and was extinguished. Setting up consciousness to classify Vedanā while tanking up moods, both physically and mentally e.g. Sukha-vedanā, Dukkha-vedanā , Adukkhamasukha-vedanā which correspond with the fact. Existing mood sees originating and extinguishing vadana which practices Sati or mind to control feeling and thought which created Vipassanāpaññya, Concerning the thesis of Cittānupassanā, it was found that to practice to make mind in meditative absorption by doing Samathakammatthān, focusing on achieving the supreme meditation. One’s mind was attached with one mood which made the Vipassanākammathāna occurred. Originally, mind was pure but later it was affected with Kile or passion. Therefore, one needed to get to know conditions of Dhamma by setting mind to perceive and settled in equal state. Concerning the thesis of Dhammānupassanā, it was found that Mahāsatipatthāna ⅳ was the way of relinquishing from suffering or Dukkha by which the Buddha discovered and brought to teach to do meditation to gain Satipanya or enlightenment, knowing of Tilakkhana. Satipatthana which set up one’s mind to determine concreteness and abstractness, with the aim to extinguish Dukkha. Determine one’s man according to knowing of current feeling state, according to Sommatipaññatti. Getting to know about Pariyattidhamma made doing meditation led to Body fundamental, mental fundamental, all connected with four fundamentals. Supportive Dhammas contained Ātāpi, , Sampajāno, and Satimā.. There were two principles for doing Vipasanāñānika, namely; 1) Samatanitha, being positive 2) Vipasanāñānika(Vipassanā), which was enlightened wisdom to gain the wisdom called ‘Vipassanāpaññya,’.

ฉ กติ ตกิ รรมประกาศ ขอบคุณมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่ีเปิดโอกาสทางการศึกษาเกี่ยวกับวิชา พระพุทธศาสนา จึงทำให้ได้เรียนรู้เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ทางสายเอกไปสู่หนทางพ้นทุกข์ ซ่ึงเป็น คำสอนของพระพุทธเจ้า มีคุณค่าทางปัญญาที่หากได้นำมาปฏิบัติด้วยตนเองจะทราบว่า มหา สติปัฏฐานเป็นทางสายเอก เป็นหนทางแห่งความพ้นทุกข์ได้แท้จริง ความพยายาม ความศรัทธา ต้องการศึกษาเรียนรู้ ต้องการเข้าใจ หนทางแห่งความพ้นทุกข์เป็นอย่างไรบ้าง ต้องสร้างปัญญา อย่างไร จึงล่วงพ้นความทุกข์ทั้งหลายเหล่าน้ันได้ ด้วยปัญญาวิชาการทางโลก เพื่อนำไปสู่ปัญญา โลกุตรธรรม ขอบคุณมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยอย่างสูง ท่ีให้โอกาสเรียนรู้วิชา ทางธรรม ขอบคุณเจ้าของผลงานวิทยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จำนวน ๕๕ เล่ม ที่นำมา สังเคราะห์ในงานวิทยานิพนธ์เร่ืองน้ี ซ่ึงได้สร้างงานวิทยานิพนธ์เก่ียวกับประเด็นเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ อย่างมีคุณค่าต่อวิชาการพระพุทธศาสนาเพื่อการค้นคว้าองค์ความรู้และสืบทอดคำสอนทางด้าน มหาสติปัฏฐานในมุมมองประเด็นต่างๆ เก่ียวกับเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ และด้วยเจตนาความต้ังใจ ของผู้ศึกษางานวิทยานิพนธ์เร่ืองนี้ ขอตั้งใจอธิษฐานว่า หากปัญญาแสงสว่างทางธรรมที่พบจากงาน วิทยานพิ นธ์ ทไี่ ดศ้ กึ ษาคน้ คว้าในเรือ่ งนี้ ขอให้เปน็ ปัญญาท่ถี กู ตอ้ งตามคำสอนของพระพทุ ธเจ้า ขอบคุณทกุ ท่านทกุ รปู ท่ีมีส่วนช่วยเหลือให้งานวทิ ยานิพนธ์เรอื่ งนีใ้ ห้สำเร็จลลุ ่วงเป็นไปด้วยดี และหากงานวิทยานิพนธ์เร่ือง การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยฯ หากมีข้อผิดพลาด มีความบกพร่อง ประการหนึ่งประการใดก็ดี ผู้ศึกษาวิจัยขอน้อมรับไว้เพียงผู้เดียว และหากงานวิทยานิพนธ์เร่ืองนี้มีคุณความดีงาม มีคุณค่าสร้าง การสืบทอดต่อทางพระพุทธศาสนา ขออุทิศแด่ผู้มีพระคุณ ครูบาอาจารย์ ทั้งทางโลกและทางธรรม ตลอดจนเจา้ กรรมนายเวรท้งั หมด สรญั ญา โชติรตั น์ ๙ มนี าคม ๒๕๕๙

ช สารบญั เรื่อง หนา้ บทคดั ย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค กติ ตกิ รรมประกาศ ฉ สารบญั ช คำอธิบายสญั ลักษณแ์ ละคำย่อ ฏ บทที่ ๑ บทนำ ๑ ๑.๑ ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา ๑ ๑.๒ วตั ถปุ ระสงคข์ องการศึกษา ๓ ๑.๓ ขอบเขตการวจิ ัย ๓ ๑.๔ นิยามศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการวจิ ัย ๔ ๑.๕ ทบทวนเอกสารและรายงานวิจัยที่เก่ยี วข้อง ๕ ๑.๕.๑ เอกสารเก่ยี วข้องกับแนวคดิ ทฤษฎี ๕ การสังเคราะห์วิทยานพิ นธห์ รืองานวจิ ยั ๑.๕.๑.๑ ความหมายการสงั เคราะหง์ านวจิ ยั ๕ ๑.๕.๑.๒ ประเภทของการสงั เคราะห์งานวิจยั ๖ ๑.๕.๑.๓ ขั้นตอนการดำเนนิ การสังเคราะหง์ านวิจยั ๗ ๑.๕.๒ ผลงานวจิ ยั หรือวทิ ยานิพนธท์ ่ีเกย่ี วขอ้ งกบั การสังเคราะห์ ๑๐ ๑.๕.๓ เอกสารเก่ยี วขอ้ งกบั แนวคิด ทฤษฎี มหาสติปฏั ฐาน ๔ ๑๓ ๑.๖ วธิ กี ารดำเนนิ การวิจยั ๒๐ ๑.๗ กรอบแนวคิดทใ่ี ช้ในการวจิ ัย (Conceptual Framework) ๒๔ ๑.๘ ประโยชน์ทไี่ ดร้ บั ๒๕ ๒๖ บทท่ี ๒ การรวบรวมและประมวลสาระความรแู้ นวทางปฏบิ ัตเิ รอื่ งมหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ ๘๐ บทที่ ๓ การวเิ คราะหแ์ นวทางปฏบิ ตั ิด้านมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ๘๐ ๘๒ ๓.๑ ขอ้ มลู ทว่ั ไปของงานวิทยานพิ นธ์ ๘๘ ๓.๒ ขอ้ มูลดา้ นระเบียบวิธีการวจิ ัย ๙๗ ๓.๓ ขอ้ มูลวิเคราะห์ความสอดคล้องงานวทิ ยานพิ นธ์กับหลกั การมหาสติปัฏฐาน ๔ ๓.๔ บทสรุปขอ้ มูลลกั ษณะวิทยานพิ นธ์

ซ สารบญั (ต่อ) เรอ่ื ง หนา้ ๙๙ บทท่ี ๔ การสังเคราะหแ์ นวทางปฏบิ ตั เิ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ๔.๑ การสังเคราะหด์ ้านกายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน ๑๐๐ ๔.๑.๑ หลักการปฏบิ ตั ติ ามพระไตรปฏิ กและคมั ภีร์: ดา้ นกายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน ๑๐๐ ๔.๑.๒ วิธีการปฏบิ ัตติ ามคำสอนครูบาอาจารย์: ด้านกายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน ๑๑๑ ๔.๑.๓ การขยายความจากผศู้ ึกษา: ดา้ นกายานุปสั สนาสติปัฏฐาน ๑๒๘ ๔.๑.๔ การบรรลุผลการปฏบิ ตั ิ: ดา้ นกายานุปสั สนาสติปัฏฐาน ๑๔๑ ๔.๒ การสังเคราะห์ด้านเวทนานุปัสสนาสติปฏั ฐาน ๑๔๔ ๔.๒.๑ หลกั การปฏบิ ตั ิตามพระไตรปิฏกและคมั ภีร์:ด้านเวทนานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน ๑๔๔ ๔.๒.๒ วิธีการปฏบิ ตั ิตามคำสอนครบู าอาจารย์: ด้านเวทนานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน ๑๔๘ ๔.๒.๓ การขยายความจากผศู้ ึกษา: ด้านเวทนานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน ๑๕๐ ๔.๒.๔ การบรรลุผลการปฏบิ ตั ิ: ดา้ นเวทนานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน ๑๕๑ ๔.๓ การสงั เคราะห์ดา้ นจิตตานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน ๑๕๓ ๔.๓.๑ หลกั การปฏิบตั ิตามพระไตรปฏิ กและคัมภีร์: ดา้ นจิตตานุปัสสนาสติปฏั ฐาน ๑๕๓ ๔.๓.๒ วิธกี ารปฏบิ ัตติ ามคำสอนครบู าอาจารย์: ด้านจติ ตานุปสั สนาสติปฏั ฐาน ๑๕๗ ๔.๓.๓ การขยายความจากผศู้ ึกษา: ด้านจติ ตานุปสั สนาสติปัฏฐาน ๑๖๐ ๔.๓.๔ การบรรลุผลการปฏิบตั ิ: ด้านจติ ตานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน ๑๖๗ ๔.๔ การสงั เคราะห์ด้านธรรมานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน ๑๗๐ ๔.๔.๑ หลกั การปฏิบัติตามพระไตรปิฏกและคมั ภรี ์:ด้านธรรมานปุ ัสสนาสตปิ ฏั ฐาน ๑๗๐ ๔.๔.๒ วธิ ีการปฏิบัตติ ามคำสอนครูบาอาจารย์: ด้านธรรมานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน ๒๑๕ ๔.๔.๓ การขยายความจากผู้ศึกษา: ดา้ นธรรมานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน ๒๒๒ ๔.๔.๔ การบรรลุผลการปฏิบตั ิ: ด้านธรรมานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน ๒๕๐ บทท่ี ๕ สรุปและข้อเสนอแนะ ๒๖๑ ๕.๑ สรปุ ผลการวิจัย ๒๗๗ ๕.๒ ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ๒๘๐ ประวตั ผิ ู้วิจยั ๒๘๙

ฌ สารบัญตาราง ตารางที่ เรือ่ ง หน้า ๒๒ ๑.๑ แสดงรูปแบบดำเนินงานวจิ ัยเพอ่ื การสงั เคราะห์วิทยานิพนธ์ ๒๓ เร่อื งมหาสติปฏั ฐาน ๔ ๒๖ ๑.๒ แสดงแบบการบันทึกขอ้ มลู งานวิทยานพิ นธเ์ รื่องมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ของ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยานพิ นธ์ที่ใช้ในการสังเคราะห์ ๘๐ ระหว่างปพี ุทธศกั ราช ๒๕๔๐- ๒๕๕๕ ๘๑ ๘๑ ๒.๑ แสดงรหสั แบบบนั ทกึ ปกี ารศกึ ษาวทิ ยานิพนธ์ ชื่อผู้ศกึ ษาวจิ ยั ๘๒ และช่ืองานวทิ ยานิพนธ์ เรอื่ งมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ๘๒ ของมหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ๘๓ ๓.๑ แสดงจำนวนและรอ้ ยละปพี ุทธศักราชของงานวิทยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปัฏ ๘๔ ฐาน ๔ ของมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ๓.๒ แสดงจำนวนและร้อยละ ดา้ นสถานภาพผู้ศึกษาวิจัยในงานวทิ ยานิพนธเ์ ร่อื ง มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๓.๓ แสดงจำนวนและรอ้ ยละ ดา้ นระดบั ปรญิ ญางานวิทยานพิ นธเ์ รือ่ ง มหาสติปฏั ฐาน ๔ ของมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ๓.๔ แสดงจำนวนและรอ้ ยละ ดา้ นสาขาวชิ าท่ีจบการศึกษาของวิทยานิพนธเ์ รือ่ ง มหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ ของมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ๓.๕ แสดงจำนวนและร้อยละลกั ษณะดา้ นวัตถุประสงคข์ องงานวิทยานพิ นธ์เร่อื ง มหาสติปฏั ฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ๓.๖ แสดงจำนวนคำตามสติปัฏฐาน ๔ จากการทบทวนเอกสารและวรรณกรรม ทีเ่ กย่ี วข้องในงาน วิทยานิพนธเ์ รอ่ื งมหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ ของมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย ๓.๗ แสดงจำนวนและรอ้ ยละคำจากสารบัญเนือ้ หาการทบทวนเอกสารและ วรรณกรรมทเ่ี กี่ยวขอ้ งในงานวิทยานพิ นธ์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั

ญ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ เร่อื ง หน้า ๓.๘ แสดงจำนวนและรอ้ ยละคำจากเนื้อหาคำนยิ ามศัพท์เฉพาะ ๘๕ ในงานวิทยานพิ นธเ์ ร่ืองมหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ ของ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ๘๕ ๘๗ ๓.๙ แสดงจำนวนคำจากนิยามศัพทเ์ ฉพาะในงานวิทยานิพนธ์เร่ือง ๘๘ มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ๙๖ ๓.๑๐ แสดงจำนวนและร้อยละดา้ นลักษณะระเบียบวธิ ีวจิ ัยของงานวิทยานพิ นธเ์ ร่อื ง ๙๗ มหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณร์ าชวิทยาลยั ๓.๑๑ แสดงรหสั แบบบันทกึ ชื่องานวิทยานพิ นธ์ และสาระความสอดคล้อง กบั หลกั การมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ในพระไตรปิฎก จำแนกเปน็ [๑]กายานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน [๒]จติ ตานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๓]เวทนานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน [๔]ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๓.๑๒ แสดงจำนวนและรอ้ ยละดา้ นสาระเร่ืองงานวทิ ยานิพนธ์สอดคลอ้ ง มหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ๓.๑๓ แสดงสรุปจำนวนและรอ้ ยละเรื่องวทิ ยานิพนธเ์ รอื่ งมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ทสี่ อดคล้องกับหลักการในพระไตรปิฎก

ฎ สารบัญแผนภาพ แผนภาพท่ี เรอ่ื ง หน้า ๒๐ ๑.๑ แสดงการรวบรวมจำนวนวิทยานพิ นธเ์ ทา่ ที่ค้นหาได้ จำนวน ๙๐ เร่ือง ๒๑ ๑.๒ แสดงการนับจำนวนคำหรือคำสำคญั ในงานวทิ ยานิพนธ์ ๒๔ ที่ได้นำมาสังเคราะห์ ๑.๓ แสดงกรอบแนวคิดที่ใชใ้ นการวิจัย (Conceptual Framework)

ฏ คำชี้แจงการใช้อักษรย่อบอกชื่อคัมภีร์ อักษรย่อในวทิ ยานิพนธ์น้ี ใช้อ้างองิ จากพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย พุทธศักราช ๒๕๓๙ โดยได้กลา่ วถงึ ท่ีมา เลม่ / ข้อ / หนา้ ตามลำดบั เช่น ท.ี สี. (ไทย) ๙ / ๒๔๔ / ๘๒ = ทฆี นกิ าย สีลขนั ธวรรค พระไตรปฎิ ก เลม่ ที่ ๙ ข้อท่ี ๒๔๔ หนา้ ๘๒ ส่วนคัมภรี ์อรรถกถา จะแจ้ง ท่ีมา เลม่ / หน้า เช่น อง.ฺ เอกก. อ.(บาลี) ๑ / ๔๓. ฉบับ มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย หมายถึง องฺคตุ ฺตรนกิ าย มโนรถปูรณี เอกกนิปาตอฏฺฐกถา เล่มท่ี ๑ หนา้ ๔๓ ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วิ.ม. (ไทย) = วนิ ยั ปฎิ ก พระวินยั ปฎิ ก มหาวรรค (ภาษาไทย) พระสตุ ตันตปฎิ ก ท.ี ม. (ไทย) = สตุ ตนั ตปฎิ ก ทฆี นกิ าย มหาวรรค (ภาษาไทย) ท.ี ปา. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ทฆี นกิ าย ปาฏิกวรรค (ภาษาไทย) ม.ม.ู (ไทย) = สุตตนั ตปิฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปัณณาสก์ (ภาษาไทย) ม.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มชั ฌิมนกิ าย มชั ฌิมปัณณาสก์ (ภาษาไทย) อง.ฺ เอกก. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก อังคุตตรนิกาย เอกกนิบาต (ภาษาไทย) อง.ฺ ปญจฺ ก.(ไทย) = สุตตนั ตปฎิ ก องั คุตตรนิกาย ปญั จกนบิ าต (ภาษาไทย) ขุ.อติ ิ. (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ขทุ ทกนกิ าย อติ วิ ตุ ตก (ภาษาไทย) อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก ท.ี ม.อ. (บาลี) = ทีฆนิกาย สมุ งคฺ ลวิลาสินี มหาวคคฺ อฎฐฺ กถา (ภาษาบาลี) ขุ.ป.อ. (บาลี) = ขุทฺทกนกิ าย สทธฺ มฺมปปฺ กาสนิ ี ปฏิสมฺภิทามคฺคอฏฺฐกถา (ภาษาบาลี)

๑ บทท่ี ๑ บทนำ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส๑ ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางน้ีเป็นทางสายเดียว เพ่ือความ หมดจดวเิ ศษของสัตว์ทั้งหลาย เพ่ือความก้าวล่วงซง่ึ ความโศกและความร่ำไร เพือ่ อัสดงดบั ไปแห่ง ทกุ ข์และโทมนสั เพ่ือบรรลญุ ายธรรม เพือ่ กระทำพระนิพพานใหแ้ จง้ ทางน้ีคือสติปฏั ฐาน ๔ อยา่ ง สติปัฏฐาน ๔ อย่างเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ย่อมพิจารณาเห็นกายในกาย เนืองๆอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ เธอย่อม พิจารณาเหน็ เวทนาในเวทนาเนืองๆอยู่ มคี วามเพียร มสี ัมปชญั ญะ มีสติ นำอภชิ ฌาและโทมนสั ในโลก เสียให้พินาศ เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌา และโทมนัส ในโลกเสียให้พินาศ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มี สัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ ทางนี้ คือ สติปัฏฐาน แปลว่า ธรรมเป็น ทตี่ ั้งแห่งสติ หรือการปฏิบัติมีสติเป็นประธาน ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ (๑)พิจารณาเห็น กายในกาย อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ (๒)พิจารณาเห็น เวทนาในเวทนา ทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มี สัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ (๓)พิจารณาเห็น จิตในจิตอยู่ มีความเพียร มี สัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ (๔)พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ท้ังหลายอยู่ มี ความเพียร มีสัมปชัญญะมสี ติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต)๒ กลา่ วถึง การศึกษากับการวิจยั เพอื่ อนาคตของประเทศไทย ไว้เก่ียวกับ หลักการของพระพุทธศาสนา มีพุทธพจน์ตรัสไว้แห่งหนึ่งที่น่าสังเกต พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ธรรมน้ันเราแสดงไว้โดยวิจัย” (วิจยโส เทสิโต ภิกฺขเว มยา ธมฺโม–สํ.ข. ๑๗/๑๗๓/๑๑๖) คำว่า “วิจัย” จึงสำคัญมาก เท่ากับพดู ว่าพระพุทธศาสนาแห่งการวจิ ัย พุทธพจนน์ ้ีแสดงว่าในแง่ของผูส้ อนก็ สอนไปโดยท่ีเม่ือไดค้ วามรู้มาโดยการวิจัยแล้วก็นำมาสอนโดยวิธวี ิจัย ต่อจากนั้นเม่อื พูดถึงฝา่ ยผู้ศกึ ษา พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้อีกว่า “พึงวิจัยธรรมโดยแยบคาย” (โยนิโส วิจิเน ธมฺมํ - องฺ.สตฺตก. ๒๓/๓/๒) พึงวิจัยธรรมโดยแยบคาย หมายความว่าอย่างไร คำว่า “ธรรม” น้ันมีความหมายกว้างอะไรก็ได้เป็น ธรรมท้งั นน้ั ทกุ สิ่งทกุ อย่างท่เี ราเกย่ี วขอ้ ง เจอะเจอ พงึ วจิ ยั โดยแยบคาย คอื โดย โยนโิ ส (เชน่ เดยี วกับ ๑ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๓๗๒/๓๐๑ ๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต). การศึกษากบั การวจิ ัยเพื่ออนาคตของประเทศไทย พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตฺโต). การศึกษากับการวิจัยเพ่ืออนาคตของประเทศไทย.พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพ : บริษัทเคล็ดไทยจำกัด, ๒๕๔๑.หนา้ ๓-๕.

๒ ในคำว่า โยนิโสมนสิการ)หมายความว่าอยา่ งไร ยกตัวอยา่ งเช่นวิจัยใหถ้ ึงต้นเคา้ “จงึ จะเห็นอรรถแจ้ง ชัดดว้ ยปัญญา”(ปญฺญายตถฺ ํ วิปสฺสติ) เห็นอรรถ คือ เห็นความหมาย เห็นเนื้อหาท้ังหมดชัดแจง้ ดว้ ย ปัญญา อันนี้คือพุทธพจน์ที่ตรัสฝ่ายผู้ศึกษา แสดงถึงความสำคัญของคำว่าวิจัยในพุทธศาสนา จดุ สำคัญของการวิจัย คือ การค้นหาความจรงิ หาใหเ้ จอความจริง การหาความหมายท่ีแท้ของส่ิงนั้น ค้นหาส่ิงท่ีดี ส่ิงท่ีพึงประสงค์ คุณค่าหรือประโยชน์ท่ีต้องการ ถ้าส่ิงน้ันยังไม่ดี หรือยังไม่เป็นอย่างที่ ประสงค์ ก็หาทางที่จะทำให้มันดีหรือให้ได้ผลอย่างที่ต้องการรวบรัดว่ามี ๔ แง่ของความหมาย (๑) ค้นหาความจริง (๒) ค้นหาสิ่งที่ดี ส่ิงท่ีต้องการ ส่ิงที่เป็นประโยชน์ (๓) ค้นหาทางหรอื วิธีการท่ีจะ ทำให้มันดี และ (๔) หาวิธีที่จะทำให้สำเร็จ วิธีการในการท่ีจะวิจัยน้ัน ท่านบอกว่าต้องเป็นโยนิโส โยนิโส คือ โดยแยบคาบ วธิ กี ารวิจยั น้ันไม่ใช่เฉพาะระเบยี บวิธีที่เป็นรูปธรรมภายนอกเท่านนั้ แต่ต้อง เริ่มต้ังแต่วิธีคิด ถ้าไม่มีวิธีคิดท่ีถูกต้องเป็นฐาน วิธีการภายนอกก็เป็นเพียงส่วนประกอบที่อาจจะ ไม่ได้ผลดี เพราะฉะนน้ั จึงเปน็ เรอ่ื งหน่ึงทตี่ ั้งข้อสงั เกตไว้ ความหมาย๓ วิทยานิพนธ์, ปริญญานิพนธ์ หรือ ดุษฎีนิพนธ์ (Thesis, Dissertation) เป็น เอกสารที่เขียนโดยนักวิจัย นักศึกษา หรือนักวิชาการ พรรณนาข้ันตอน วิธีการ และผลการศกึ ษาวิจัย ท่ีค้นคว้าวิจัยมาได้ โดยเขียนอย่างเป็นระบบ มีแบบแผน สำหรับนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา วทิ ยานพิ นธเ์ ป็นเอกสารบงั คบั ในการจบการศึกษา สำหรับนกั วจิ ัยหรือนักวิชาการจะใช้เป็นเอกสารใน การเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ ดังน้ันงานวิทยานิพนธ์เป็นการแสวงหาความรู้ตามหลักสูตรกำหนด ของแต่ละมหาวิทยาลัย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้คำจำกัดความ“วิทยานิพนธ์” ไว้ว่า “บทนิพนธ์ท่ีผู้เรียบเรียงยกเอาหัวข้อเรื่องใดเร่ืองหนึ่งขึ้นวิจัยและพรรณนาขยายเพื่อเสนอรับ ปริญญา” คำว่า“วิทยานิพนธ์” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Thesis มีนิยามว่า “ข้อเสนอหรือแนวคิดท่ี บุคคล ยกข้ึนมานำเสนอเพ่ือยืนยันเร่ืองที่มีลกั ษณะเฉพาะโดยการเขียนบรรยาย เพ่ือตอบคำถามหรือ เพื่อเสนอขอรบั ปรญิ ญา” ในสาระมหาสติปัฏฐานสูตรว่าด้วยการตั้งสติอย่างใหญ่ ๔ ประการ อันเป็นเอกายมรรค ทาง สายเอกและทางเดียวเพ่ือให้แจ้งนิพพาน คือ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมา นุปัสสนา เป็นพระสูตรที่เป็นหัวใจพระพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดมีความจำเป็นเชื่อมโยงให้หลักการคำ สอนนำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง จึงเป็นแนวทางปฏิบัติหรือวิธีการนำสู่หนทางพ้นทุกข์ทางดับทุกข์ นำไปสู่พระนิพพานอีกท้ังมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตประจำวัน จึงมีความสำคัญยิ่งในความรู้ทาง แนวคิดทฤษฎี (ปริยัติ) ความรทู้ างแนวทางการปฏิบัติวิธกี ารได้มาซ่ึงความรู้ของมหาสติปัฏฐาน ๔ (ปฏิบัติ) และความรู้ทางผลการได้มาซ่ึงความรู้ผลจากการปฏิบัติ (ปฏิเวธ) หรือการบูรณาการกับ ศาสตร์สมยั ใหม่ ๓“ความหมายวทิ ยานพิ นธ์”. (๕ มนี าคม ๒๕๕๖). [ออนไลน]์ , แหลง่ ทีม่ า http://www.th.wikipedia.org/wiki/ [๕ มนี าคม ๒๕๕๖].

๓ ในปัจจุบันมีงานวิทยานิพนธ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะงานด้าน วทิ ยานพิ นธ์เก่ียวกบั เรือ่ งมหาสติปัฏฐาน ๔ มีความหลากหลายแยกส่วนมีสาระหลายๆ ประเด็น งาน การศึกษาทางพระพุทธศาสนาต้องนำไปปฏิบัติได้แท้จริงจึงต้องให้ความสำคัญต่อแนวทางการปฏิบัติ หรือวิธีการปฏิบัติเก่ียวกับมหาสติปัฏฐานสูตรและแนวทางการนำไปใช้ประโยชน์เชิงบูรณาการจาก แนวทางปฏิบัติ จึงทำให้ผู้วิจัยมีความสนใจในความรู้ในแนวทางปฏิบัติหรือวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับ สติปัฏฐาน ๔ จากงานวิทยานิพนธ์ซึ่งถือว่ามีระบบระเบียบวิธีการทางวิชาการ จึงจัดทำงาน วิทยานิพนธ์ เรื่อง การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลยั ระหว่างปีพุทธศกั ราช ๒๕๔๐–๒๕๕๕ ๑.๒ วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย ๑.๒.๑. เพอ่ื รวบรวมและประมวลสาระความรู้แนวทางปฏิบัติเร่อื งมหาสติปัฏฐาน ๔ จาก งานวทิ ยานิพนธข์ องมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ระหว่างปีพทุ ธศักราช ๒๕๔๐-๒๕๕๕ ๑.๒.๒ เพอื่ วเิ คราะห์แนวทางปฏิบตั ิเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากงานวิทยานิพนธ์ของ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ระหว่างปพี ทุ ธศักราช ๒๕๔๐-๒๕๕๕ ๑.๒.๓ เพอ่ื สงั เคราะห์แนวทางปฏิบัติเรื่องมหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ จากงานวิทยานิพนธข์ อง มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย ระหว่างปพี ทุ ธศักราช ๒๕๔๐-๒๕๕๕ ๑.๓ ขอบเขตการวิจยั ๑.๓.๑ ด้านสาระ กำหนดเนื้อหาสาระที่เก่ียวกับแนวทางการปฏิบัติตามแนวทางมหาสติ ปัฏฐาน ๔ ในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทและปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย โดยประเด็นสาระทำการศึกษาคัดเลือกงานวิทยานิพนธ์ท่ีนำมาสังเคราะห์ต้องมีเน้ือหา เชอ่ื มโยงเกี่ยวขอ้ งกับองค์ความรู้มหาสติปฏั ฐาน ๔ ๑.๓.๒ ด้านประชากร กำหนดประชากรท่ีใช้ในการศึกษา คือ วิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยฉบับสมบูรณ์เรื่องเก่ียวกับมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นการเลือกเป็นกลุ่ม ตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน ๕๕ เรื่อง ตามแนวทางปฏิบัติตามความหมาย มหาสติปฏั ฐาน ๔ ๑.๓.๓ ด้านระยะเวลา โดยระยะเวลาทำงานวิทยานิพนธ์ โดยเร่ิมทำการศึกษาวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๖ ถงึ วนั ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ สว่ นด้านสาระงานวทิ ยานิพนธ์ของมหาวิทยาลยั มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ในระหวา่ งปีพทุ ธศักราช ๒๕๔๐-๒๕๕๕ (๑๕ ป)ี

๔ ๑.๔ นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย ๑.๔.๑ มหาสติปัฏฐาน ๔ หมายถึง ที่ตั้งของสติกำหนดพิจารณาส่ิงท้ังหลายให้รู้เห็นตาม ความเป็นจริง ประกอบด้วย ๑)กายานุปสั สนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย ๒) เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้ังสติกำหนดพิจารณาเวทนา ๓)จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้ังสติพิจารณาจิต ๔)ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติพิจารณาธรรม โดย นำเนือ้ หาสาระตามพระไตรปฎิ กฉบบั ภาษาไทยของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั มาเป็น กรอบสังเคราะหจ์ ากงานวิทยานิพนธ์ ๑.๔.๒ การสังเคราะห์ หมายถึง การนำงานวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลยั ที่มีสาระเกี่ยวกับมหาสติปฏั ฐาน ๔ ด้านแนวทางปฏิบัติ โดยนำมาประมวลสาระ จำแนก วิเคราะห์ และสังเคราะห์ ค้นหาความสอดคล้องและความแตกต่าง ในหลักการ แนวทางหรือวิธีการ และการประยกุ ต์ใช้ จากการปฏบิ ัตเิ ร่อื งมหาสติปัฏฐาน ๔ ๑.๔.๓ วิทยานิพนธ์ หมายถึง งานวิทยานิพนธ์วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิต ปริญญาโท และวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีนิพนธ์ ปริญญาเอก ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่มี เนอ้ื หาสาระเก่ียวกับเร่อื งมหาสติปัฏฐาน ๔ เน้นการศกึ ษาแนวทางปฏิบัติเรือ่ งมหาสตปิ ัฏฐานและเป็น วิทยานพิ นธ์ระหว่างปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐–๒๕๕๕ จำนวน ๕๕ เรอ่ื ง ๑.๔.๔ การจดั กลมุ่ สาระสาระขอ้ มลู เพ่ือสงั เคราะห์ แบ่ง ๔ กลุม่ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) หลักการปฏิบัติตามพระไตรปิฎกและคัมภีร์ต่างๆ หมายถึง ในงานวิทยานิพนธ์ เร่ืองสตปิ ัฏฐาน ๔ ด้านกาย ด้านเวทนา ดา้ นจิต ดา้ นธรรม มีความสอดคล้องระหวา่ งหลักการปฏบิ ัตทิ ่ี พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงไว้ในพระไตรปฎิ กและคัมภรี ์ต่างๆ กบั สาระงานวิทยานิพนธ์ ๒) วิธีการปฏิบัติตามคำสอนครูบาอาจารย์ หมายถึง ในงานวิทยานิพนธ์เร่ือง สติปัฏฐาน ๔ ด้านกาย ด้านเวทนา ด้านจิต ด้านธรรม ความสอดคล้องระหว่างแนวปฏิบัติพระ อาจารย์หรอื สำนักปฏิบัติต่างๆ กับสาระงานวิทยานิพนธ์ แนวทางปฏิบัติต้องอาศัยการศึกษาจากการ อธิบายในคำสอนครูบาอาจารย์หรือสำนักปฏิบัติต่างๆ ความรู้ความเข้าใจชัดเจนขยายความตาม แนวทาง ครบู าอาจารย์หรอื สำนักการปฏิบตั ิตา่ งๆ กับสาระงานวิทยานิพนธ์ ๓) การขยายความจากผู้ศึกษาวิจัย หมายถึง ในงานวิทยานิพนธ์เรื่องสติปัฏฐาน ๔ ด้านกาย ด้านเวทนา ด้านจิต ด้านธรรม เป็นการสรุปข้อค้นพบจากงานวิทยานิพนธ์ของผู้ ศึกษาวิจัยใหข้ ยายความใหข้ อ้ ความคิดเหน็ ๔) การบรรลุผลการปฏิบัติ หมายถึง ในงานวิทยานิพนธ์เรื่องสติปัฏฐาน ๔ ด้านกาย ดา้ นเวทนา ด้านจติ ด้านธรรม โดยด้านแต่ละด้านมลี ักษณะการบรรลุผลการปฏบิ ัติ ๒ ระดับไดแ้ ก่ ๑) ระดับโลกียะสุข คือ ทางโลก โดยสรุปการบรรลุผลเป็นเป้าหมายหรือเป้าประสงค์ในแต่ละด้านของ สติปฏั ฐาน ๔ ในกาย เวทนา จิต ธรรม ๒)ระดบั โลกุตระ คือ ทางนพิ พาน

๕ ๑.๕ ทบทวนเอกสารและรายงานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้อง เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการศึกษาวิจัยคร้ังนี้ แบ่งเป็น ๔ กลุ่ม คือ เอกสารที่ เกี่ยวกับการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เกี่ยวกับด้านมหาสติปัฏฐาน ๔ แนวคิดทฤษฏี เก่ียวกับการ สังเคราะห์งานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ หรือระเบียบวิธีการวิจัยเก่ียวกับประเด็นงานวิจัยเกี่ยวกับการ สังเคราะห์งานวิจยั หรอื วทิ ยานพิ นธ์ และเอกสารที่เก่ียวกับผลงานวจิ ัยเกีย่ วกับมหาสติปฏั ฐาน ๔ ดงั น้ี ๑.๕.๑ เอกสารเกยี่ วข้องกบั แนวคดิ ทฤษฎี การสงั เคราะห์วิทยานพิ นธ์หรืองานวิจัย การทบทวนเอกสารที่เก่ียวข้องด้านการสังเคราะห์เพ่ือหาข้ันตอน แนวทาง การดำเนินงาน วจิ ยั ในรูปแบบการสังเคราะห์งานวทิ ยานิพนธ์หรือวิจัย โดยเริ่มต้นจากความหมายหรอื การใหค้ ำนิยาม การสังเคราะห์งานวิทยานิพนธ์หรืองานวิจัย ขั้นตอนการดำเนินการสังเคราะห์งานวิทยานิพนธ์หรือ งานวิจัย โดยลำดับดังต่อไปน้ี ๑.๕.๑.๑ ความหมายการสังเคราะห์งานวจิ ัย Cooper and Hedges (๑๙๙๔) ให้ความหมาย การสังเคราะห์งานวิจัย (Research Synthesis) หรือการบูรณาการงานวิจัย (Research Integration) ไว้ว่า การสังเคราะห์งานวิจัย เก่ียวข้องกับความพยายามท่ีจะค้นหาความสอดคล้องและพิจารณาความเปลี่ยนแปลงหรือความ แตกต่างของผลการศกึ ษาในการศึกษาทค่ี ล้ายกัน จดุ ประสงค์ของการสังเคราะหก์ ารวจิ ัยคอื พยายามที่ จะบรู ณาการงานวจิ ัยให้สามารถทีจ่ ะสรปุ อา้ งอิงได้ ๔ นงลักษณ์ วิรัชชยั และคณะ (๒๕๕๑) ได้ให้ความหมาย การสังเคราะห์งานวิจัย (Research Synthesis) เป็นระเบียบวิธีท่ีใช้ในการศึกษาหาข้อเท็จจริงเพ่ือตอบ ปัญหาการวิจัยที่นักวิจัยสนใจ ศึกษา โดยทำการรวบรวมงานวิจัยหลายเร่ืองท่ีเก่ียวข้องกับปัญหานั้นๆ มาวิเคราะห์เพ่ือหาข้อสรุปที่ แท้จริงซ่ึงจะเป็นคำตอบให้กับปัญหาวิจัยนั้นในปัจจุบันการสังเคราะห์งานวิจัยมีความสำคัญเพ่ิมมาก ขึ้นเนื่องมาจากมีงานวิจัยท้ังทางสงั คมศาสตร์และวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่ศึกษาปัญหาวิจัยเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน ภายใต้บริบทท่ีแตกต่างกัน ข้อค้นพบซึ่งเป็นผลการวิจัยจากงานวิจัยเหล่าน้ันอาจ สอดคล้องหรือขดั แย้งกันจนไม่อาจหา ข้อยุติได้ว่าข้อสรุปท่ีถูกต้องคืออะไร การสังเคราะห์งานวิจัยจึง เป็นวิธีการท่ีเป็นระบบที่จะชว่ ยในการวิเคราะห์และสรุป ยืนยันข้อค้นพบที่ถูกต้องได้ โดยให้คำนิยาม ศัพท์เฉพาะในงานวิจัยในรายงานผลการวิจัยเรื่องดังกล่าวในคำว่า การสังเคราะห์งานวิจัยหมายถึง กระบวนการแสวงหาความรู้/ตอบคำถามวิจัยด้วยระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ โดยการรวบรวม ๔ Cooper and Hedges, ความหมายการสังเคราะหง์ านวจิ ยั , [ออนไลน์]. แหลง่ ทีม่ า : http://www.eng.rmutk.ac.th/download/20130527/ [๑๐ ตลุ าคม ๒๕๕๖].

๖ งานวิจัยเกี่ยวกับปัญหานั้นๆ มาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ หรือวิธกี ารวิเคราะห์ข้อมูล เชิงคุณภาพ และสรปุ รวมสาระอย่างมีระบบใหไ้ ดค้ ำตอบตามปัญหาวจิ ยั ทต่ี ้องการ๕ กรมวิชาการ (๒๕๔๒) ได้ให้นิยามศัพท์เฉพาะในงานวิจัย คำว่า การสังเคราะห์งานวิจัย หมายถึง การรวบรวมงานวิจัยท่ีศึกษาปัญหาเดียวกันหลายๆเรื่อง มาทำการวิเคราะห์ การนำเสนอ ข้อมูลอยา่ งเปน็ ระบบเพือ่ ใหไ้ ดค้ ำตอบต่อปญั หาเปน็ ที่ยตุ ิ โดยวธิ ีการที่เช่อื ถอื ได้ ๖ ฉัตรศิริ ปิยะพิมลสิทธิ์ (๒๕๔๙) ให้คำนิยามศัพท์เฉพาะในงานวิทยานิพนธ์ คำว่า การ สังเคราะห์งานวิจัย หมายถึง การวิเคราะห์ การเก็บรวบรวมข้อมูล และสรุปเนื้อหา ของงานวิจัยใน ด้านประเภทการวิจัย การสร้างกรอบแนวคิดหรือกรอบทฤษฎีในการวิจัยประเภทกลุ่มประชากรท่ีใช้ วิธีการสุ่มและจำนวนกลุ่มตัวอย่าง ประเภทเคร่ืองมือท่ีใช้เทคนิคการวิเคราะห์คุณภาพเคร่ืองมือ การ เก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การสรุปผลการอภิปรายผลการวิจัย และการนำเสนอ ภาคผนวก๗ อังศินันท์ อินทรกำแหง (๒๕๕๕) ให้คำนิยามศัพท์เฉพาะในงานวิจัย คำว่า การสังเคราะห์ งานวิจัย หมายถึง การจำแนกส่วนย่อยของข้อมูลหรือเน้ือหาที่มาจากงานวิจัยที่ศึกษาแต่ฉบับ มา จดั เป็นหมวดหมู่ และนำสว่ นย่อยดงั กล่าวมาประกอบเข้ากันใหม่ เพ่อื ให้ไดร้ ับข้อสรปุ ใหม่ท่ีชดั เจนขึ้น ซงึ่ ผวู้ ิจยั ให้การสงั เคราะห์งานวิจยั ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เน้อื หาและการวิเคราะห์เมตา้ ๘ สุนทรา โตบัว (๒๕๕๕) ให้คำนิยามศัพท์เฉพาะในงานวิจัย คำว่า การสังเคราะห์งานวิจัย หมายถึง การพิจารณาข้อสรุปโดยการรวมจากงานวิจัยหลายๆ เรื่อง ในที่นี้เป็นวิธีปริทัศน์แบบ พรรณนา (Narrative Review) ที่เป็นการสรุปเชิงเนื้อหาเกยี่ วกับประเด็นที่ศึกษา โดยวิธีการบรรยาย และการวเิ คราะหเ์ น้ือหา๙ ๕นงลักษณ์ วิรัชชัย และคณะ. “รายงานการสังเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษาไทย : การ วเิ คราะห์อภิมาน (Meta-analysis)” รายงานผลการวจิ ัย. สำนกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) รว่ มกับ คณะ ครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑ : หนา้ ๑๒ . ๖กองวจิ ัยทางการศกึ ษา กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร. “การสังเคราะห์งานวจิ ัยเกยี่ วกับการเรียนการ สอนคณิ ตศาสตร์ ระดับประถมศึกษา”. รายงานผลการวิจัย. กองวิจัยทางการศึกษา กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ . ๒๕๔๒ : หน้า ๔. ๗ฉตั รศริ ิ ปยิ ะพิมลสิทธ์ิ. “การสังเคราะหว์ ิทยานิพนธ์ หลกั สตู รการศกึ ษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการวัดผล การศึกษา มหาวทิ ยาลัยทักษิณ”, วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, (ภาควิชาการประเมินผลการวิจัย คณะ ศกึ ษาศาสตร์ : มหาวทิ ยาลัยทักษิณ) , ๒๕๔๙ . ๘องั ศินันท์ อินทรกำแหง. “การสังเคราะห์งานวิจยั เกย่ี วกับความเครียดและการเผชิญความเครยี ดของคน ไทย”, วารสารพฤติกรรมศาสตร์. ปที ่ี ๑๘ ฉบับท่ี ๑ (มกราคม ๒๕๕๕) : หนา้ ๑๓๗. ๙สุนทรา โตบัว. “การสังเคราะห์งานวิจัยท่ีได้รับทุนวิจัยจากภาควิชาการการศึกษา. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์” ภาควิชาการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, ๒๕๕๕. หน้า ๓.

๗ ๑.๕.๑.๒ ประเภทของการสังเคราะหง์ านวิจยั กรมวิชาการ (๒๕๔๒) ได้แบ่งประเภทการสังเคราะห์งานวิจัย ๒ ประเภท คือ (๑) การ สังเคราะห์เชิงคุณลักษณะ หมายถึง การบรรยายสรุปเชิงเน้ือหาเก่ียวกับประเด็นข้อค้นพบที่ได้จาก งานวิจัยแต่ละเร่ือง โดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) (๒)การสังเคราะห์เชิงปริมาณ หมายถึง การใช้กระบวนการทางสถิติในการสังเคราะห์งานวิจัยหลายๆ เร่ืองท่ีศึกษาปัญหาเรื่อง เดียวกัน ผลการวิจัยแต่ละเรื่องจะถูกแปลงให้เป็นหน่วยเดียวกัน หรือเรียกว่า ขนาดอิทธิพล (Effect size) โดยใช้กบั การวิเคราะหแ์ บบเมตต้า (Meta Analysis)๑๐ นงลักษณ์ วิรัชชัย (๒๕๕๒) ได้แบ่งประเภทการสังเคราะห์งานวิจัย ดังต่อไปนี้ ๑๑ (๑) สังเคราะห์แบบพรรณนา/บรรยาย (Narration) (๒)สังเคราะห์แบบนับคะแนน (Vote Counting) (๓) สังเคราะห์แบบสะสมความน่าจะเป็น (Cumulation of Probability Valuse) (๔) สังเคราะห์ แบบประมาค่าขนาดอิทธิพล (Estimators of Effect Sizes) (๕) สังเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์อภิ มาน (Mata Analysis) ๑.๕.๑.๓ ขน้ั ตอนการดำเนนิ การสงั เคราะห์งานวิจัย Cooper & Hedges (๑๙๙๔)๑๒ (อ้างใน นงลักษณ์ วิรัชชัย และคณะ) ได้เสนอถึงขั้นตอน ในการสังเคราะห์งานวิจัย แบ่งออกเป็น ๕ ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ ๑ เป็นการกำหนดปัญหาการวิจัย ข้นั ตอนท่ี ๒ เป็นการศึกษาเอกสารทฤษฎที ่ีเกยี่ วข้อง ขน้ั ตอนท่ี ๓ เปน็ การรวบรวมงานวิจัย ขั้นตอนท่ี ๔ เป็นการวิเคราะห์เพื่อสังเคราะห์งานวิจัยและตีความหมาย และข้ันตอนสุดท้ายเป็นการเสนอแนะ เผยแพรร่ ายงานผลการวเิ คราะหง์ านวิจยั แต่ละขัน้ ตอนมวี ธิ กี ารดังตอ่ ไปน้ี ข้ันตอนท่ี ๑ การกำหนดหัวข้อปัญหา การสังเคราะห์งานวิจัยเร่ิมต้นจากการกำหนด ปัญหาการวิจัย ซ่ึงต้องเป็นปัญหาการวิจัยอย่างน้อยสองราย นักวิจัยมักจะสนใจและทาการวิจัยกับ ปัญหาที่มีคุณค่าและเป็นปัญหาท่ียังไม่มีคาตอบที่แน่ชัด และมีหลายเรื่องที่ให้ผลแตกต่างกัน จึงจะ เหมาะสมท่ีจะทาการสังเคราะห์ ๑๐ อ้างองิ แล้ว , กรมวชิ าการ. ๑๑นงลกั ษณ์ วิรัชชัย, เอกสารประกอบการบรรยาย powerpoint เรอ่ื ง “การวิเคราะหอ์ ภมิ าน” ภาควชิ า วจิ ยั ฯ คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . เอกสารอดั สำเนา.๒๕๕๒. ๑๒นงลักษณ์ วิรัชชัย และคณะ, “รายงานการสังเคราะห์งานวิจัยเก่ียวกับคุณภาพการศึกษาไทย: การ วิเคราะห์อภิมาน (Meta-analysis)” สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ร่วมกับ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , ๒๕๕๒. หน้า ๑๔-๑๕ .

๘ ขั้นตอนที่ ๒ การศึกษาเอกสารทฤษฎีท่ีเก่ียวข้อง เมื่อกำหนดหัวข้อปัญหาแล้วนัก สังเคราะห์งานวิจัยต้องนิยามและวิเคราะห์ปัญหาให้ชัดเจน ศึกษาแนวคิด หลักการ และทฤษฎีที่ เกีย่ วขอ้ งกับปญั หาเพ่ือเป็นการกำหนดแบบแผน และสมมตุ ิฐานการวิจัย ข้ันตอนท่ี ๓ การรวบรวมงานวิจัย การดำเนินการข้ันตอนนี้ประกอบด้วยวิธีดำเนินการ ๓ ข้ันตอน คือ ก) การสืบค้นงานวิจัย นักสังเคราะห์งานวิจัยต้องค้นคว้า และเสาะแสวงหางานวิจัย ทั้งหมดเกี่ยวกบั ปัญหาที่กำหนดไว้ การสืบค้นงานวจิ ัยส่วนใหญ่จะหาได้จากเอกสาร เชน่ รายงานการ วิจัย ปริญญานิพนธ์ บทคัดย่อปริญญานิพนธ์ วารสาร ดัชนีค้นวารสาร ศูนย์ทรัพยากรข้อมูลทาง การศึกษา (Educational Resource Information Center หรือ ERIC) เป็นต้น ข) การคัดเลือก งานวิจัย นักสังเคราะห์งานวิจัยต้องอ่าน ศึกษา และตรวจสอบงานวิจัยแต่ละเร่ืองอย่างละเอียด ต้อง สร้างเกณฑ์ในการคัดเลือกงานวิจัยให้ได้งานวิจัยท่ีมีคุณภาพดีมีความตรงภายใน และความตรง ภายนอกสูงตามเกณฑ์ทไ่ี ดก้ ำหนดไว้ และ ค) การรวบรวมผลงานวิจยั อาจใช้การจดบนั ทึก การถ่าย เอกสาร หรือการกรอกแบบฟอร์มก็ได้ ทั้งนี้นักวิจัยต้องใช้ความระมัดระวังเก็บรวบรวมข้อมูลให้ได้ ขอ้ มลู ทเี่ ที่ยงตรง เช่อื ถือได้ และครบถว้ นสมบูรณ์ ข้ันตอนที่ ๔ การวิเคราะห์เพื่อสังเคราะห์ผลการวิจัยและตีความหมาย ขั้นตอนน้ี เน้น การจัดกระทำและวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยผลการวิจัย รายละเอียดลักษณะและวิธีการวิจัย จากงานวิจัยทั้งหมด เพื่อสังเคราะห์หาข้อสรุปที่เป็นข้อยุติและทดสอบว่าสอดคล้องตามสมมุติฐาน ที่ตงั้ ไว้หรือไม่ จากนัน้ จึงแปลหรือตีความหมายผลการวเิ คราะห์เพ่ือตอบปญั หาการวจิ ยั ขั้นตอนที่ ๕ การเสนอและเผยแพร่รายงานผลการสังเคราะห์งานวิจัย การเขียนรายงาน การสังเคราะห์งานวิจัยมีหลักการเช่นเดียวกับการเขียนรายงานการวิจัยโดยทั่วๆไป นักสังเคราะห์ งานวิจัยต้องเสนอรายละเอียดวิธีการดำเนินงานทุกข้ันตอนพร้อมท้ังข้อสรุปข้อค้นพบ และ ข้อเสนอแนะจากการสงั เคราะห์งานวจิ ัยโดยใช้ภาษาถูกต้อง และชดั เจน สุวิมล ว่องวาณิช และ นงลักษณ์ วิรัชชัย๑๓ (๒๕๕๐) ได้ให้แนวทางเกี่ยวกับ วิธีการ ดำเนินการวิจยั ของการสังเคราะหง์ านวิจัยไว้ ดังตอ่ ไปน้ี วิธีดำเนินการวจิ ยั การสังเคราะห์งานวจิ ัย ๑.วัตถุประสงค์การวจิ ัย - การสังเคราะห์ สรุปผลการวิจัย และการอธิบายความแตกต่าง ระหว่างผลการวิจยั ท่ีนำมาสังเคราะห์ - การศึกษาคณุ ลักษณะงานวิจยั ขนาดอิทธพิ ล ๑๓สุวิมล ว่องวาณิช และ นงลักษณ์ วิรัชชัย, แนวทางการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์. พิมพ์ครั้งที่ ๒ (กรุงเทพมหานคร : ศูนย์ตำราและเอกสารทางวชิ าการ คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,๒๕๕๐) , หน้า ๑๑๘-๑๑๙.

๙ ๒.ลักษณะคำถามงานวิจัย - ภาพรวมของงานวิจัยทั้งในด้านระเบียบวิธีวิจัย และผลการวิจัยมี ลกั ษณะเป็นอย่างไร - ข้อสรุปจากผลการวิจัยสอดคล้องหรือแตกต่างกัน หากต่างกัน สภาพความต่างกันมสี าเหตุมาจากเงอ่ื นไขหรือสาเหตุใด ๓.ตัวอย่างคำถามวจิ ัย - ขนาดอิทธิพลของการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมีค่า โดยประมาณเปน็ เทา่ ใด (เชิงปริมาณ) - ตัวแปรปรับ (Moderator) อะไรบ้างมีผลต่อขนาดอิทธิพล (เชิง ปริมาณ) - การสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรยี นอย่างไร (เชิงคณุ ภาพ) ๔ .ร าย งาน เอ ก ส าร ท่ี - รายงานทฤษฎีเกี่ยวกับผลหรืออิทธิพลของการสอนแบบเน้นผู้เรียน เกยี่ วข้องกบั การวิจัย เป็นศูนยก์ ลางที่มตี ่อผลสัมฤทธิท์ างการเรียนทกุ ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธ ศึกษา จริยศกึ ษา พลศึกษา และทกั ษะพิสยั - รายงานการวิจัยที่เป็นการสังเคราะห์งานวิจัยแสดงความสัมพั นธ์ ระหว่างตัวแปรปรับกับขนาดอทิ ธิพล ๕.กรอบแนวคิดในการ - แผนภาพแสดงความสัมพันธร์ ะหว่างตัวแปรปรับและขนาดอทิ ธพิ ล วิจัย ๖.สมมตฐิ านการวิจยั - การสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมีขนาดอิทธิพลโดยเฉลี่ย ระดบั ปานกลาง - ตวั แปรปรับท่ีมอี ิทธิพลต่อขนาดอทิ ธิพลของการสอนแบบเนน้ ผู้เรยี น เป็นศูนย์กลาง ได้แก่ ประเภทวิชา ระดับการศึกษา แผนแบบการ ๗ .ตั ว แ ป ร อิ ส ร ะ / - วจิ ยั คุณลักษณะงานวจิ ยั ได้แก่ Substantive ข อ บ ข่ าย ข้ อ มู ล ท่ี เป็ น characteristic/variable, Methodological characteristics/variables, Typing characteristics/variables สาเหตุ ขนาดอิทธิพล ลักษณะ ที่เป็นผลจากการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง ๘.ตัวแปรตาม/ ขอบข่าย - วิทยานิพนธ์/ รายงานวิจัย ที่เป็นการวิจัยเปรียบเทียบ การวิจัย สาเหตุ หรอื การวจิ ยั ทดลอง ขอ้ มลู ทเ่ี ป็นตวั หลัก เลือกงานวิจัยที่มีคุณภาพ โดยใช้เกณฑ์การประเมิน หรือใช้ทุก รายการ ๙.ประชากร - ๑๐.กล่มุ ตัวอย่าง -

๑๐ ๑๑.เครือ่ งมอื วิจยั - แบบบนั ทึกข้อมลู ๑ ๒ .ก า ร ต ร ว จ ส อ บ - ความสอดคลอ้ งระหว่างผู้บนั ทึก คณุ ภาพ เคร่อื งมอื ๑ ๓ .ก ารเก็ บ รว บ รว ม - การรวบรวมข้อมลู จากเอกสาร ขอ้ มูล ๑๔.การวิเคราะห์ข้อมูล - สถิตบิ รรยาย - สถิติวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ได้แก่ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ การ วิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ การวิเคราะหส์ าเหตรุ ะดบั สงู ๑.๕.๓ ผลงานวิจยั หรือวิทยานิพนธ์ท่เี กย่ี วขอ้ งกับการสังเคราะห์ ผลงานวิจัยท่ีเกยี่ วการสังเคราะหซ์ ง่ึ ปัจจบุ นั ได้มีประเด็นสาระผลงานวจิ ัยหลายเรือ่ งเกี่ยวกับ การสังเคราะห์งานไม่ว่าด้านงานวิทยานิพนธ์หรืองานวิจัย ดังน้ันจึงได้แบ่งประเภทตามลักษณะงาน วิทยานิพนธ์และงานวิจัย โดยเพื่อให้ได้เทคนิคการสังเคราะห์หรือระเบียบวิธีการวิจัยเพื่อการ สังเคราะห์งานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ ผู้วิจัยจึงได้นำเสนอประเด็นเน้นท่ีเป็นลักษณะเทคนิควิธีการ สงั เคราะห์ โดยไม่เนน้ นำเสนอผลสาระเนื้อหาการวิจยั เนื่องจากสาระผลการศึกษาไม่ได้มสี ว่ นเกี่ยวกับ เนื้อหาท่ีทำการสังเคราะห์ซึ่งเป็นด้านมหาสติปัฏฐาน ๔ และเพื่อเป็นการประยุกต์ใช้เทคนิคในการ สังเคราะหไ์ ปใช้ประโยชนต์ ่องานวทิ ยานิพนธ์ ตอ่ ไป จึงเรยี งลำดับดังต่อไปนี้ ผลงานวิจยั เกีย่ วกบั การสังเคราะห์งานวทิ ยานพิ นธ์ ธารินี พลเย่ียม(๒๕๔๗) ได้ทำวิทยานิพนธ์เร่ือง การสังเคราะห์งานวิทยานิพนธ์ทาง การศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา ๒๕๔๐-๒๕๔๕ โดยการ สังเคราะห์งานวิจัยท่ีมีแผนแบบการวิจัยผสมผสานระหว่างวิธีการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประชากรงานวิจัย คือ วิทยานิพนธ์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา ๒๕๔๐- ๒๕๔๕ ที่ใช้แผนแบบการวิจัยผสมผสาน จำนวน ๒๘ เล่ม การเก็บรวบรวมข้อมลู ใช้แบบบันทึกข้อมูล และแบบวิเคราะห์งานวิจัยการวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรม SPSS for Window และการวิเคราะห์ เนอ้ื หา๑๔ ฉัตรศิริ ปิยะพิมลสิทธ์ิ (๒๕๔๙) ได้ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง การสังเคราะหว์ ิทยานิพนธ์หลักสูตร การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ วัตถุประสงค์เพ่ือ ๑๔ ธารนิ ี พลเยยี่ ม. การสังเคราะหง์ านวทิ ยานพิ นธ์ทางการศึกษา คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั ปกี ารศึกษา ๒๕๔๐-๒๕๔๕. วทิ ยานิพนธ์คุรศุ าสตรมหาบัณฑิต (คณะครุ ศุ าสตร์ : จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๗).

๑๑ สังเคราะหว์ ิทยานิพนธ์ หลกั สูตรการศึกษามหาบัณฑติ สาขาการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลยั ทักษิณ เพื่อสรุปเป็นสารสนเทศเกี่ยวกับสภาพการวิจัยในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท สาขาการวัดผล การศึกษา สำหรับนำไปใช้เป็นข้อมูลในการจัดการศึกษา การให้การแนะแนวและกำหนดแนวทางใน การทำวิทยานิพนธ์ของนิสิตปรญิ ญาโท สาขาการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยทักษณิ วทิ ยานิพนธ์ที่ นำมาสังเคราะห์เป็นวิทยานิพนธ์ที่ทำเสร็จในช่วงปีการศึกษา ๒๕๔๒–๒๕๔๖ จำนวน ๗๔ เล่ม วิเคราะห์ดว้ ย ความถ่ี ค่ารอ้ ยละ ค่าสงู สดุ ค่าต่ำสุด ค่าเฉลยี่ และค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน๑๕ โสภนา สุดสมบูรณ์๑๖ (๒๕๕๐) ได้ทำวิทยานิพนธ์ระดับระดับดุษฎีบัณฑิต เร่ือง การ สังเคราะห์วิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษาในประเทศไทย ตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยคือ วิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา ระหว่างปีการศึกษา ๒๕๒๙–๒๕๔๘ จำนวน ๑๑๗ เรื่อง สุ่มตัวอย่างเฉพาะเจาะจงส่วนท่ีสืบค้นได้ เครื่องมือที่ใช้ในการ เก็บข้อมูลเป็นแบบบันทึกข้อมูล สถิติท่ีใช้ในการวิจัย คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย วิเคราะห์ ขอ้ มูลโดยใช้เทคนคิ วเิ คราะหเ์ นื้อหา (Content analysis) ผลการวจิ ัยพบว่า (๑) วิทยานิพนธ์ระดับ ดุษฎีบัณฑิตสาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษาที่มกี ารตีพิมพ์ในระหว่างปีการศึกษา ๒๕๒๙–๒๕๔๘ เม่ือ นำมาจัดหมวดหมู่ พบว่า มีการทำวิทยานิพนธ์ด้านองค์การมากที่สุด รองลงมาคือ หัวข้อพิเศษ ผ้บู ริหาร การเมืองและนโยบาย ตามลำดับโดยมีวิทยานิพนธด์ ้านเศรษฐศาสตร์การเงิน น้อยที่สดุ (๒) องคค์ วามรู้จากวทิ ยานพิ นธส์ รปุ ไดเ้ ป็น ๑๕ ดา้ น ละอองทิพย์ มัทธุรศ และคณะ๑๗ (๒๕๕๔) ได้ทำวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีนิพนธ์ เรื่อง การ สังเคราะห์วิทยานิพนธ์ระดับปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยี มหาวิทยาลัย ราชภัฏพระนคร ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๑-มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ข้อมูล พื้นฐาน วิธีดำเนนิ การวิจัย และองค์ความร้ทู ไี่ ดจ้ ากงานวทิ ยานพิ นธ์ ๑๕ ฉัตรศิริ ปิยะพิมลสิทธ์ิ, การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์ หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการ วัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, (ภาควิชาการประเมินผลการวิจัย คณะศึกษาศาสตร์ : มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ, ๒๕๔๙). ๑๖ โสภนา สุดสมบูรณ์, การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษาใน ประเทศไทย . วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต, (สาขาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย ศลิ ปากร ๒๕๕๐). ๑๗ ละอองทิพย์ มัทธุรศ, การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์ระดับปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภฏั พระนคร. วิทยานิพนธ์ดุษฎีบณั ฑิต. สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยี โครงการผนึก กำลังการเปิดสอนระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร กรุงเทพมหานคร. วารสารบัณฑิตศึกษา. มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๓ (กันยายน – ธันวาคม ๒๕๕๔). หน้า ๗๕.

๑๒ ผลงานวจิ ยั เกย่ี วกับการสังเคราะหง์ านวิจัย อัจฉรา สุขารมณ์ และอังศินนท์ อินทรกำแหง (๒๕๔๘) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การประมวล และสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวกับอีคิวในประเทศไทย โดยงานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพ่ือสรุป ความก้าวหน้าและพัฒนาการของการวิจัยเกี่ยวกับอีคิวในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๗ รวมท้ังค้นหาปัจจัยท่ีมีผลต่อการพัฒนาอีคิวโดยประมาณค่าอิทธิพลตามวิธีการวิเคราะห์เมต้า จำนวน ๑๘๒ เรื่อง ๑๘ อังศินนท์ อินทรกำแหง (๒๕๕๐) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การสังเคราะห์งานวิจัยเก่ียวกับ ความเครียดและการเผชิญความเครียดของคนไทย โดยวัตถุประสงค์เพื่อสรุปความก้าวหน้าและ พัฒนาการของงานวิจัยที่เกี่ยวกับความเครียดและการเผชิญความเครียด และค้นหาปัจจัยที่ส่งผลต่อ ความเครียดและการเผชิญต่อความเครียดของรายงานวิจัย ปริญญานิพนธ์และสาระนิพนธ์จาก สถาบันอดุ มศึกษา ๑๕ แหง่ ช่วง พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๕๐ จำนวน ๔๙๐ เร่อื ง ทำการสังเคราะหข์ ้อมูลเชิง คณุ ภาพและเนื้อหา และการสังเคราะหเ์ ชงิ ปริมาณดว้ ยการวิเคราะห์เมต้า ตามกลาสและคณะ๑๙ ดลฤดี สุวรรณคีรี (๒๕๕๔) ได้ศึกษาวิจยั เรื่อง การสังเคราะห์วา่ ด้วยความคดิ เรื่องความสุข ของนักคิดและนักปรัชญาตะวันออกและตะวันตก มุ่งศึกษาแนวคิดทฤษฎีและหลักการคำสอน เก่ียวกับสาเหตุท่ีมา เป้าหมายสูงสุด วิธีการเข้าถึงความสุขตลอดจนประเด็นสำคัญเก่ียวกับความสุข โดยการสงั เคราะห์แนวคิด ทศั นะและความเชื่อของนกั ปรัชญาตะวันออกและตะวันตก ในประเด็นการ เข้าถึงความเป็นจริงของโลกและสรรพสิ่ง รวมท้ังความสัมพันธ์ของมนุษย์กับโลกและสรรพสิ่งอันเป็น แนวทางนำพามนุษย์ส่วู ิถแี ห่งความสุข ๒๐ พิณนภา แสงสาคร และคณะ (๒๕๕๕) ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การสังเคราะห์องค์ความรู้ เก่ียวกับสุขภาวะทางจิตวิญญาณในบริบทสังคมไทย โดยทำการสังเคราะห์จากรายงานการวิจัย วทิ ยานิพนธ์ ปรญิ ญานิพนธ์ และการศึกษาอิสระของนกั วิจยั และนิสติ นักศึกษาระดับบณั ฑิตศึกษาใน สถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานต่างๆ ในช่วงเวลา ๒๕๔๓-๒๕๕๓ จำนวน ๓๕ เรื่อง ทำการ ๑๘ อัจฉรา สุขารมณ์ และอังศินนท์ อินทรกำแหง. การประมวลและสังเคราะห์งานวิจัยท่ีเกี่ยวกับอีคิวใน ประเทศไทย. วารสารพฤตกิ รรมศาสตร์ ปที ่ี ๑๑ ฉบับที่ ๑ กนั ยายน ๒๕๔๘. หน้า ๑. ๑๙ อังศนิ นท์ อินทรกำแหง, การสงั เคราะหง์ านวิจยั เกี่ยวกบั ความเครยี ดและการเผชิญความเครยี ดของคน ไทย, วารสารพฤตกิ รรมศาสตร์. ปที ี่ ๑๔ ฉบบั ท่ี ๑ (กันยายน ๒๕๕๑), หนา้ ๑๓๗. ๒๐ดลฤดี สุวรรณครี ี, การสังเคราะห์วา่ ด้วยความคดิ เรือ่ งความสุขของนักคิดและนักปรัชญาตะวันออกและ ตะวันตก, รายงานผลการวิจัย. (งบประมาณเงินรายได้ คณะสังคมศาสตร์ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ๒๕๕๔), หนา้ ๑

๑๓ สังเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เน้ือหา และการตีความ แล้วสรุปสถานะ องคค์ วามรู้ โดยใชญ้ าณวทิ ยาในกลมุ่ ปฏิบัตินยิ มเปน็ ฐานคิด๒๑ ๑.๕.๓ เอกสารเกีย่ วข้องกบั แนวคดิ ทฤษฎี มหาสติปัฏฐาน ๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ให้ความหมาย สติปัฏฐาน ๔ หมายถึง ท่ีตั้งของสติ การต้ังสติกำหนดพิจารณาสิ่งท้ังหลายใหร้ ู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามที่สิง่ นนั้ ๆ มนั เป็นของมนั เอง (Foundations of Mindfulness) ๒๒ ๑. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติกำหนดพิจารณากายให้รู้เห็นตามเป็นจริง ว่า เป็นเพียงกาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา (Contemplation of the Body; Mindfulness as Regards the Body) ท่านจำแนกปฏิบัติไว้หลายอย่าง คือ อานาปานสติ กำหนดลมหายใจ ๑ อิริยาบถ กำหนดรู้ทันอิริยาบถ ๑ สัมปชัญญะ สร้างสัมปชัญญะในการกระทำความเคลื่อนไหวทุก อย่าง ๑ ปฏิกูลมนสิการ พิจารณาส่วนประกอบอันไม่สะอาดท้ังหลายที่ประชุมเข้าเป็นร่างกายนี้ ๑ ธาตุมนสิการ พิจารณาเห็นร่างกายของตนโดยสักว่าเป็นธาตุแต่ละอย่างๆ ๑ นวสีวถิกา พิจารณา ซากศพในสภาพต่างๆ อันแปลกกันไปใน ๙ ระยะเวลา ให้เห็นคตธิ รรมดาของร่างกาย ของผู้อนื่ เช่นใด ของตนก็จกั เปน็ เชน่ นัน้ ๑ ๒. เวทนานุปสั สนา สตปิ ัฏฐาน หมายถึง การตงั้ สติกำหนดพิจารณาเวทนา ใหร้ เู้ ห็นตามเป็น จริงว่า เป็นแต่เพียงเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา (Contemplation of Feelings; Mindfulness as Regards Feelings) คือ มีสติรู้ชัดเวทนาอันเป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉยๆ ก็ดี ท้ังที่ เป็นสามิส และเป็นนิรามสิ ตามทีเ่ ปน็ ไปอยใู่ นขณะน้นั ๆ ๓. จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามเป็นจริง ว่า เป็นแต่เพียงจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา (Contemplation of Mind; Mindfulness as Regards Thoughts) คือ มีสติรู้ชัดจิตของตนท่ีมีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มี โมหะ เศร้าหมองหรอื ผ่องแผว้ ฟ้งุ ซา่ นหรอื เป็นสมาธิ ฯลฯ อย่างไรๆ ตามทเ่ี ปน็ ไปอยู่ในขณะนั้นๆ ๔. ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน หมายถึง การต้ังสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็น จริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา (Contemplation of Mind-objects; ๒๑พิณนภา แสงสาคร อรพินทร์ ชูชม และพรรณี บุญประกอบ, การสังเคราะห์องค์ความรู้เกี่ยวกับสุข ภาวะทางจิตวิญญาณในบรบิ ทสังคมไทย, วารสารพฤติกรรมศาสตร์, ปีที่ ๑๘ ฉบับที่ ๑ (มกราคม ๒๕๕๕). หน้า ๑๔๑. ๒๒พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พมิ พ์ครั้งที่ ๑๘, (นนทบรุ ี : โรงพิมพ์เพิ่มทรพั ย์การพิมพ,์ นนทบุร)ี , ๒๕๕๓, หนา้ ๑๔๑.

๑๔ Mindfulness as Regards Ideas) คือ มีสติรู้ชัดธรรมท้ังหลาย ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อรยิ สัจ ๔ วา่ คืออะไร เป็นอย่างไร มใี นตนหรือไม่ เกดิ ขึ้น เจรญิ บรบิ ูรณ์ และดับไปได้ อย่างไร เป็นตน้ ตามท่ีเปน็ จริงของมนั อยา่ งนัน้ ๆ. ดงั ตฤณ๒๓ ไดก้ ล่าวถึง วิธีเจรญิ สติของพระพทุ ธเจ้า เป็นไปเพ่ือพบบรมสุขอันมหัศจรรย์ การ จะรู้จักรสสุขอันมหัศจรรย์น้ัน จิตต้องแปรสภาพเป็นดวงไฟใหญ่ล้างผลาญเช้ือแห่งทุกขืให้ส้ินซาก ไม่ หลงเหลือ ส่วนให้กลับกำเริบเกิดเป็นทุกข์ทางใจขึ้นได้อีก จิตท่ีสว่างเป็นไฟใหญ่ล้างกิเลส คือ ภาวะ แห่งการบรรลุมรรคผล เราไม่อาจบรรลุมรรคผลด้วยการควบคุมดินฟ้าอากาศหรอื ร่างกายภายนอกให้ เป็นไปในทางใดๆทางเดียวท่ีจะทำได้คือ เจริญสติเพื่อพัฒนาจิตให้อยู่ในสภาพท่ีมีกำลังมีความผ่อง ใส เป็นอิสระไม่หลง ‘ติดกับ’ เหย่ือล่อทั้งหลาย กระทั่งแก่กล้าพอจะยกระดับปฏิวัติตนเอง หมุน ทวนกลับจากวังวนอุปาทานข้ึนสูงสภาพหลุดพ้นท่ีเด็ดขาด หลุดพ้นจากอะไร หลุดจากสิ่งท่ีนึกว่าเป็น ตัวเรา หลุดพ้นจากความเกาะเก่ียวที่ไร้แก่นสารท้ังปวง ส่ิงที่พระพุทธเจ้าทรงให้มีสติรู้ คือ สิ่งที่เรา กำลังเกาะเก่ียว โดยนึกว่าเป็นเรา หรือสำคัญมัน่ หมาย วา่ เป็นของเรา ส่งิ ท่ีพระพุทธเจ้าทรงให้มีสติ รู้มอี ยู่ ๔ ประการ ได้แก่ ๑) กายในกาย หมายถึง ให้รู้ส่วนใดส่วนหน่ึงของความเป็นกาย เช่น ขณะน้ีหลังงอหรือ หลังตรง รู้เพียงเท่านี้ก็ได้ช่ือว่ามีสติเห็นองค์ประกอบหนึ่งของกายแล้ว และเมื่อรู้เช่นนั้นได้ก็ให้ตามรู้ ตามดูต่อไปว่าจะมีสิ่งใดให้เห็นภายในขอบเขตของกายได้อีก เช่น ในกายน่ังหลังตรงหรือหลังงอน้ี กำลังต้องการลากลมเขาหรือระบายลมออก หรือหยุดทั้งลมเข้าและลมออกสงัดน่ิงอยู่ ถ้าเพียรรู้กาย ในกายได้เสมอๆ ย่อมเกิดสติเห็นตามจริงว่า กายไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะส่วนย่อยหรือส่วนใหญ่โดยรวม เรา จะรู้สึกอย่างท่ีกายปรากฏให้รู้สกึ ไม่ใช่หลงยึดว่ากายเป็นเราอย่างที่กิเลสมันบงการให้ยึด และในความ ไมย่ ึดกายน่นั เอง จติ ย่อมคลาย มคี วามผ่องใสไมเ่ ป็นที่ตง้ั ของความโลภและความเศร้าโศกทัง้ หลาย ๒) เวทนาในเวทนา หมายถงึ ใหท้ ราบความรู้สกึ หนึง่ ๆ เช่น ขณะน้ีกำลังสบายหรืออึดอัด รู้ เพยี งเท่าน้ีก็ได้ช่ือว่า มีสติเหน็ หนึ่งในความรู้สึกแล้ว และเมื่อรู้เช่นน้ันได้กใ็ ห้เฝ้าตามรู้ตามดู ต่อไปจะมี สิ่งใดให้เห็นภายในขอบเขตของความรู้สึกสุขทุกข์ได้อีก ไม่จำกดั ว่าต้องดูภาวะใดภาวะหนึง่ ของเวทนา เพียงอย่างเดียว ถ้าเพียรรู้เวทนาในเวทนาได้เสมอๆ ก็ย่อมเกิดสติเห็นตามจริงว่าเวทนามีอยู่ หลากหลาย และเหล่าเวทนาก็ไม่ใช่เราไม่ว่าจะสบายหรืออึดอัดเพียงใด เราจะรู้สึกอย่างที่เวทนา ปรากฏให้รู้สึกไม่ใช่หลงยึดว่าความสบายเป็นของเรากับทั้งไม่หลงยึดว่าความอึดอัดเป็นเรื่องท่ีต้องรีบ กำจัดทิ้งไปจากเรา และในความไม่ยึดเวทนาน่ันเอง จิตย่อมคลายมีความผ่องใสไม่เป็นที่ตั้งของความ โลภโมโทสนั และความเศร้าโศกทั้งหลาย ๒๓ดงั ตฤณ. มหาสติปฏั ฐานสตู ร . [ออนไลน์]. แหล่งท่มี า : http://www.fungdham.com/download/book/dungtrin/sati-2550-dungtrin.pdf (ฉบบั ปรับปรุงใหม่).หนา้ ๒

๑๕ ๓) จิตในจิต หมายถึง ใหร้ ู้ภาวะของจิตในขณะหนง่ึ ๆ เช่น ขณะนีก้ ำลงั สงบนิ่งหรือขัดเคือง รำคาญ รู้เพียงเท่านี้ ก็ได้ชื่อว่ามีสติเห็นภาวะของจิตขณะหน่ึงแล้ว และเมื่อรู้เช่นน้ันได้ก็ให้เฝ้าตามรู้ ตามดู ต่อไป ว่าจะมีสิ่งใดให้เห็นภายในขอบเขตของความเป็นจิตได้อีก ไม่จำกัดว่าต้องดูภาวะใด ภาวะหนึ่งของจิตเพียงอย่างเดียว ถ้าเพียรรู้จิตในจิตได้เสมอๆ ก็ย่อมเกิดสติเห็นตามจริงว่าจิตมีอยู่ หลากหลาย และบรรดาจิตก็ไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะสงบน่ิงหรืออยู่ในภาวะขัดเคืองรำคาญ เรา จะรู่สึกอย่างท่ีจิตปรากฏสภาพให้รู้สึก ไม่ใช่หลงยึดว่าความสงบนิ่งควรเป็นสภาพดั้งเดิมของจิตเรากับ ทั้งไม่หลงยึดว่าความขัดเคืองรำคาญต้องไม่เกิดข้ึนกับจิตของเรา และในความไม่ยึดจิตนั่นเองจิตย่อม คลาย มีความผ่องใสไม่เป็นท่ตี ง้ั ของความโลภโมโทสนั และความเศร้าโศกทัง้ หลาย ๔) ธรรมในธรรม หมายถึง ให้รู้สภาพธรรมต่างๆในแต่ละขณะ เช่น ขณะนี้ระลอกความคิด ผุดขึ้นหรือดับลง รู้เพียงเท่านี้ก็ได้ช่ือว่ามีสติเห็นสภาพธรรมในแต่ละขณะแล้ว และเมื่อรู้เช่นน้ันได้ก็ ให้เฝ้าตามรู้ตามดูต่อไปว่าจะมีสง่ิ ใดให้เห็นภายในขอบเขตของสภาพธรรมต่างๆได้อกี ไม่จำกดั ว่าต้องดู ภาวะใดภาวะหน่ึงของสภาพธรรมเพียงอย่างเดียว ถ้าเพียรรู้ธรรมในธรรมได้เสมอๆ ก็ย่อมเกิดสติเห็น ตามจริงว่าธรรมมีอยู่หลากหลาย และปวงธรรมก็ไม่ใช่เรา ไม่ว่าส่ิงท่ีผุดขึ้นขณะน้ีหรือส่ิงที่ลับลวงไป แล้ว เราจะรู้สึกอย่างท่ีธรรมปรากฏสภาวะให้รู้สึก ไม่ใช่หลงยึดว่าส่ิงใดสิ่งหน่ึงท่ีผุดขึ้นเป็นเรา กับท้ัง ไม่หลงยึดว่าสิ่งที่ลับล่วงไปแล้วเคยเป็นเรา และในความไม่ยึดธรรมน่ันเอง จิตย่อมคลาย มีความ ผ่องใสไม่เป็นท่ีต้ังของความโลภโมโทสันและความเศร้าโศกท้ังหลายจากความรู้สึกว่ากาย เวทนา จิต ธรรมไม่ใช่เราจะพัฒนาจนกลายเป็นความรู้ชัดว่าไม่มีส่ิงใดเป็นเรา และเมื่อรู้ชัดอย่างต่อเน่ืองย่อม คลายจากอาการยึดทั้งปวงเม่ือคลายจากอาการยึดทั้งปวงย่อมล้ิมรสความว่าง ว่ายอดเย่ียมกว่ารสท้ัง ปวงปานใด พระชาญชัย อธิปญฺโญ๒๔ (๒๕๕๕) กล่าวถึง การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทาง สติปัฏฐาน ๔ ถือเป็นกุญแจสำคัญท่ีจะไขเข้าสู่ประตูแห่งนิพพานได้มีการปฏิบัติอยู่หลายวิธี เพราะมี ฐานให้ปฏิบัติ ๔ ฐาน แต่ละฐานยังมีวิธีปฏิบัติปลีกย่อยไปอีก กล่าวคือ ๑)ฐานกายานุปัสสนาสติ ปัฏฐาน มีวิธีการปฏิบัติ ๕ แบบ คือ อานาปานสติ ได้แก่ การมีสติระลึกรู้ถึงลมหายใจเข้าออก อริ ยิ าบถ ได้แก่ การมีสติระลึกรู้ถึงการเคลื่อนไหวของกาย เช่น การเดินจงกรม ธาตุ ๔ ได้แก่ การมีสติ ระลึกรู้ถึงสภาวะของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มีอยู่ในกาย ปฏิกูลมนสัญญา ได้แก่ การมีสติรู้ว่าร่างกาย เป็นของสกปรกไม่น่าหลงใหล อสุภะ ได้แก่ การมีสติระลึกรู้ว่าร่างกายไม่งาม เป็นของน่าเกลียด ๒) ฐานเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ได้แก่ การมีสติระลึกรู้ถึงความรู้สึกต่างๆที่มีอยู่ในกายและในจิต เวทนาของกายนั้นมีท้ังบรเิ วณผวิ กายและภายในร่างกาย ท้งั ทีเ่ ป็นความรู้สึกท่เี บาสบาย เย็น ซ่าน อัน น่ายินดี หรือความรู้สึกร้อน เจ็บ ปวด เม่ือย เหนื่อย ล้า เคร่งตึง เครียด คัน เป็นต้น อันไม่น่ายินดี ๒๔ พระชาญชยั อธิปญโฺ ญ, บนั ไดสู่พระนพิ พาน, (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์ธรรมะ อมรินทรพ์ รนิ้ ต้งิ แอนด์พบั ลชิ ช่งิ ) ๒๕๕๕. หนา้ ปฐมบท.

๑๖ ตลอดจนความรู้สึกที่เป็นกลางๆ ส่วนเวทนาของจิตได้แก่ ความรู้สึกที่ทำให้จิตเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอุเบกขา ๓)ฐานจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ได้แก่ การมีสตริ ะลกึ รถู้ ึงอารมณ์ของจิต ว่า ขณะนั้นจิตมีราคะ มีโทสะ มีโมหะหรือไม่ จิตหดหู่หรือไม่ จิตฟุ้งซ่านหรือไม่ จิตตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ หรือไม่มีสมาธิ จิตเข้าถึงฌานหรือมถึงฌาน จิตหลุดพ้นหรือไม่หลุดพ้น ๔)ฐานธัมมานุปัสสนาสติ ปัฏฐาน เปน็ ฐานที่กว้างครอบคลุมถึง นิวรณ์ ๕ ขันธ์ ๕ ซงึ่ เข้าไปเหลื่อมซ้อนกบั ฐานกาย เวทนา และ จติ นอกจากน้ียังมี อายตนะ ๑๒ คอื อายตนะภายในและภายนอกกระทบกัน อันได้แก่ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมกู กระทบกล่ิน เมื่อกระทบกันแล้วมีผลให้จติ เกิดความร้สู ึก (เวทนา) จำ (สญั ญา) คิด ปรุงแต่ง (สังขาร) รับรู้ (วญิ ญาณ) ต่อส่ิงนั้นๆ ย่ิงไปกว่าน้ัน ฐานนย้ี ังรวมถึง โพชฌงค์ ๗ และอรยิ สจั ๔ ดว้ ย กล่าวได้ว่า ฐานธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นฐานที่กว้างขวางครอบคลุมต้ังรูป-นาม ภายในของ แต่ละคน ตลอดจนรูป-นามที่อยู่ภายนอก หรือทุกสรรพส่ิงล้วนเป็นธรรม สามารถนำมาพิจารณาใน หมวดของฐานธมั มานุปสั สนาสติปัฏฐานได้ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย๒๕ โดยพระมหานิพนธ์ มหาธมฺมรกฺขิโต (๒๕๕๑) ในหนังสือธรรมภาคปฏิบัติ ๑ โดย กล่าวว่า การปฏิบัติกรรมฐานในประเทศไทยปัจจุบัน ๕ สาย คือ (๑) แนวการปฏิบัติสายบริกรรมภาวนาพุทโธ (๒) แนวการปฏิบัติแบบพอง-ยุบ (๓) แนวทางปฏิบัติแบบเคล่ือนไหว (๔) แนวทางปฏิบัติแบบวิชาธรรมกาย (๕) แนวทางปฏิบัติแบบอานา ปานสติ (๑) แนวการปฏิบัติสายบริกรรมภาวนาพุทโธ กรรมฐานสายบริกรรมภาวนาพุทโธ มี ปรากฎในประเทศไทยเป็นเวลานาน ซึ่งพระอาจารย์ผู้ให้กำเนิดแนวนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย คือ พระอาจารยม์ ่นั ภูรทิ ตโฺ ต ท่านบวชเม่ือปี พ.ศ.๒๔๓๖ ได้เรียนกรรมฐานเบ้อื งตน้ จากพระอาจารย์ เสาร์ กนฺตสโี ล โดยมีบทภาวนาวา่ พุทโธ ซ่ึงถูกกบั จริต ทา่ นเป็นพระนักปฏิบตั ิทมี่ ีปฏิทาเด็ดเดี่ยวเทย่ี ว จาริกปฏิบัติธรรมและเผยแผ่ธรรมในสถานท่ีต่างๆ โดยเฉพาะสถานท่ีท่ีเป็นป่าเขาลำเนาไพรจนมีลูก ศิษย์ผู้มีช่ือเสียงด้านการปฏิบัติกรรมฐานมากมาย การปฏิบัติกรรมฐานตามแนวพระอาจารย์มั่น นอกจากนำบทว่า พุทโธ มาบริกรรมให้เกิดสมาธิแล้ว ยังได้นำการบริกรรมพุทโธ ไปประยุกต์ใช้กับ อานาปานสติกรรมฐานด้วย กล่าวคือ เวลาหายใจเข้าบริกรรมว่า “พุท” เวลาหายใจออกบรกิ รรมว่า “โธ” คำว่า พุทโธ เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า ซึ่งแปลว่า ผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบาน การใช้คำว่า พุทโธ ๒๕ พระมหานิพนธ์ มหาธมฺมรกฺขิโต. ใน ธรรมภาคปฏิบัติ เล่มที่ ๑ . โดย พระมหาสุภวิชญ์ ปภสฺสโร รวบรวมคณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. จำนวน ๗ เล่ม. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา หมวดวิชาแกนพระพทุ ธศาสนา หลักสูตรปรญิ ญาพุทธศาสตรบัณฑิต. พิมพ์คร้ังท่ี ๑ (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยมหา จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, กันยายน ๒๕๕๑).

๑๗ มาบริกรรมขณะหายใจเข้าออกเป็นกุศโลบาย ในการรวมจิตเป็นหน่ึงเดียวได้ง่าย ซึ่งเป็นการเจริญสม ถกรรมฐานก่อนแล้วค่อยพัฒนาไปสู่วปิ ัสสนากรรมฐานในภายหลงั (๒) แนวการปฏิบัติแบบพอง-ยุบ กรรมฐานสายน้ีมีศูนย์กลางอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราช รังสฤษฎ์ิ คณะ ๕ ท่าพระจันทร์ กรงุ เทพมหานคร การสอนกรรมฐานสายนีเ้ ป็นทแ่ี พรห่ ลายนับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ท้ังนี้โดยมีพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ซ่ึงท่านได้ช่ือว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่แนวการ ปฏิบัติกรรมฐานวิธีนี้ แนวทางปฏิบัติกรรมฐานแบบพอง-ยุบ เกิดขึ้นจากความดำริของสมเด็จพระ พุฒาจารย์(อาจ อาสภมหาเถระ) สมัยท่ีท่านเป็นพระอาจารย์สอนพระพุทธศาสนาประจำอยู่วัด มหาธาตุฯ โดยท่านเห็นว่าประเทศไทย มีหลักสูตรพระปริยัติธรรมแล้ว น่าจะมีหลักสูตรการปฏิบัติ ธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงบ้าง ท่านได้ส่งพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ.๙ จากวัด มหาธาตุฯ ซ่ึงมีอัธยาศัยชอบการปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ไปศึกษา แนววิธีการปฏิบัติกรรมฐาน ณ นคร ยา่ งกุ้ง ประเทศพม่า ณ สำนักสาสนยิตสา ซ่ึงมีท่านโสภณมหาเถระ (มหาสี สะยาดอ) เป็นเจ้าสำนัก ท่านใช้เวลาศึกษา ๑ ปี ก็เดินทางกลับประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๕ พร้อมท้ังอาราธนาพระภิกษุพม่า ๒ รูป มาด้วย คือ ท่านอาสภะ กัมมัฏฐานาจริยะ และท่านอินทวังสะ กัมมัฏฐานาจริยะ ในปัจจุบันปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ได้จัดมีการจัดตั้งสำนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้ข้ึนที่วัดมหาธาตุฯ มีพระอุโบสถเป็น สถานที่ปฏิบัติกรรมฐาน ซ่ึงปรากฎว่าได้รับความสนใจและมีพระภิกษุสงฆ์ตลอดจนคฤหัสถ์ได้เข้ามา ศึกษาปฏิบัติธรรมเป็นอันมาก ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๙๘ พระสมเด็จพุฒาจารย์ (สมณศักดิ์ท่ีพระพิมล ธรรม ในขณะนนั้ ) ในฐานะสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง ได้นำเร่ืองการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เสนอต่อ คณะสงั ฆมนตรีจนได้รบั การรับรองให้จัดตงั้ เปน็ กองการวปิ ัสสนาธรุ ะขึ้นในคณะสงฆไ์ ทย โดย มีสำนักงานกลางกองวิปัสสนาธุระท่ีวัดมหาธาตุฯ คณะ ๕ มีสมเด็จพระพุฒาจารย์เป็นผู้อำนวยการ ใหญ่ฝ่ายวปิ ัสสนาธรุ ะและมีพระธรรมธรี ราชมหามุนี (โชดก ญาณสทิ ฺธิ ป.ธ.๙ สมยั ยังเปน็ พระอุดมวชิ า ญาณเถร) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ งานกองการวิปัสสนาธุระก็ได้เจริญก้าวหน้าและ ขยายออกไปอย่างกว้างขวางท้ังในประเทศและต่างประเทศ จนกระทัง้ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ สมเด็จพุฒา จารย์ในฐานะนายกสภามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงฆ์ ได้มีบัญชาให้นำเสนอต่อ มหาวิทยาลัยจัดตั้งเป็นสถาบันวิปัสสนาธุระขึ้นเป็นหน่วยงานหน่ึงของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพ่อื ให้นักศึกษาไดศ้ กึ ษาและปฏบิ ัติ (๓) แนวทางปฏิบัติแบบเคล่ือนไหว กรรมฐานแบบเคลื่อนไหวเป็นกรรมฐานอีกแบบหนึ่ง ซง่ึ มีวิธกี ารปฏบิ ตั ิแพร่หลายใปประเทศไทย อาจารย์ผู้มีชือ่ เสยี งในสายน้ีมีหลายท่าน สำหรับอาจารยท์ ี่ รูจ้ ักโดยมาก คือ หลวงพ่อเทยี น จิตฺตสุโภ ซึ่งท่านเปน็ ผู้สนใจในการปฏบิ ัติกรรมฐานอยู่เสมอมาตั้งแต่ สมัยเป็นฆราวาส เคยผ่านการปฏิบัติกรรมฐานมาหลายรูปแบบแต่ยังไม่ได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ ใน ที่สุดท่านได้นำเอาวิธีการปฏิบัติธรรมแบบเคล่ือนไหวที่ใช้คำบริกรรมว่า ไหว-นิ่ง ขณะท่ีเคลื่อนไหว

๑๘ และหยุดอิริยาบถซ่ึงปฏิบัติกันอยู่ในสมัยน้ันมาประยุกต์ใช้ โดยท่านใช้เพียงสติกำกับอยู่อย่างนี้จน ได้รับผลการปฏิบัติท่ีน่าพอใจ จากน้ันได้นำวิธีการปฏิบัติแบบเคล่ือนไหวไปเผยแผ่ขณะที่ดำรงเพศ ฆราวาสอยู่ จนเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงพ่อเทียนได้บวชในพระพุทธศาสนาและเผยแผ่แนวการปฏิบัติ แบบเคลื่อนไหวให้เปน็ ทรี่ ู้จกั แพรห่ ลายเร่ือยมา (๔) แนวทางปฏิบัติแบบวิชาธรรมกาย ผู้ให้กำเนิดกรรมฐานสายนี้คือ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสาโร) หรือ หลวงพอ่ วดั ปากน้ำ ภาษีเจรญิ กรุงเทพฯ ทา่ นนำกรรมฐานต่างๆ มาประยุกต์ใช้ ร่วมกันกล่าวคือ ใช้ อาโลกกสิณ อานาปานสติ และพุทธานุสสติ โดยใช้อาโลกกสิณกลาง กล่าวคือ เมื่อพระโยคาวจรกำหนดบริกรรมนิมิต นึกเห็นมณฑลกสิณแสงสว่างได้ และเพ่งกสิณนั้น จนถือเอา อุคคหนมิ ิตถึงปฏิภาคนิมิตได้ ยอ่ มเห็นนิมิตคิดตาตดิ ใจเป็นดวงกลมใสสว่าง ซึ่งมีวิธกี ารปฏบิ ตั ิจะกลา่ ว ต่อไป การปฏิบัติกรรมฐานวิชชาธรรมกายจึงเป็นกรรมฐานอีกสายหน่ึงซึ่งมีการปฏิบัติแพร่หลายใน ประเทศไทย (๕) แนวทางปฏิบัติแบบอานาปานสติ กรรมฐานสายอานาปานสติน้ันมีปฏิบัติแพร่หลาย กันมากอีกแนวหนึ่งในประเทศไทยเนื่องจากเป็นกรรมฐานที่ใช้อารมณ์หรืออุปกรณ์ท่ีมีอยู่ภายในตัว ของแต่ละคน คือลมหายใจ ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตอย่างยิ่ง อาจารย์ผู้สอน กรรมฐานที่มีชื่อเสียงในสายนี้มีหลายท่าน ส่วนใหญ่มีวิธีการปฏิบัติเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ในท่ีนี้ จะยกเอาวิธีการปฏิบัติอานาปานสติของท่านพุทธทาสแห่งสวนโมกขพลาราม มากล่าว ท่านพุทธ ทาสภิกขุ เป็นผู้มีช่ือเสียงในฐานะเป็นปราชญ์ในทางพระพุทธศาสนารูปหน่ึงมีผลงานด้านการเผยแผ่ ดา้ นพระพุทธศาสนามากมายไม่ว่าเป็นการเขียนหนังสือ บทความ ปาฐกถา เทศนา แตเ่ มื่อพูดถึงเรื่อง การปฏิบัติแล้วท่านมักจะยกอานาปานสติขึ้นมาแสดงเสมอ โดยช้ีแจงว่าเป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้า ทรงโปรดปรานและแนะนำให้สาวกปฏิบตั ิตาม ถ้าใครปฏบิ ัติอานาปานสติ ให้สมบูรณ์แลว้ ก็จะมผี ลให้ คณุ ธรรมตา่ งๆ เช่น สตปิ ัฏฐาน ๔ มรรค ๘ เปน็ ตน้ ถึงความบริบูรณ์ สุชพี ปุญญานุภาพ๒๖ ได้กลา่ วถึง มหาสติปฏั ฐานสูตร สตู รวา่ ด้วยการต้ังสติอยา่ งใหญ่ พระ ผู้มีพระภาคประทับ ณ นิคม ช่ือกัมมาธัมมะ แคว้นกุรุ ตรัสสอนพระภิกษุท้ังหลายว่า หนทางเป็นท่ีไป อนั เอกเพ่ือความบริสุทธข์ิ องสัตว์ เพ่ือกา้ วล่วงความโศก ความครำ่ ครวญ เพื่อใหค้ วามทุกขก์ ายทกุ ขใ์ จ ตั้งอยู่ไม่ได้ เพือ่ บรรลุธรรมทถ่ี ูกต้อง เพ่อื ทำให้แจ้งพระนิพพาน คือ การต้ังสติ ๔ อย่างไดแ้ ก่ ๑)ตงั้ สติ พิจารณากายในกาย(กายส่วนย่อยในกายส่วนใหญ่) ๒)ต้ังสติพิจารณาเวทนาในเวทนา(ความรู้สึก อารมณ์ส่วนย่อยในความร้สู ึกอารมณ์ส่วนใหญ่) ๓)ตั้งสติกำหนดพิจารณาจิตในจติ (จิตสว่ นย่อยในจิต ๒๖สุชพี ปุญญานภุ าพ. พระไตรปฏิ กสำหรับประชาชน (กรุงเทพ : มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั พิมพ์ครงั้ ท่ี ๑๗ ) ๒๕๕๐ หน้า ๓๓๖-๓๓๗

๑๙ ส่วนใหญ่ คือ จิตดวงใดดวงหนึ่ง ในจติ ทเ่ี กิดขนึ้ ดับไปมากดวง) ๔)ตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรมในธรรม (ธรรมส่วนย่อยในธรรมส่วนใหญ่) ๑) การพิจารณากายในกาย แบ่งออกเป็น ๖ ส่วน ๑)พจิ ารณากำหนดลมหายใจเข้าออก(อา นาปานบรรพ) ๒) พจิ ารณาอิริยาบถ เช่น ยนื เดนิ น่ัง นอน (อิรยิ าปนบรรพ) ๓)พจิ ารณารู้ตัวในความ เคล่ือนไหวต่างๆ เช่น ก้าวไป ก้าวมา คู้แขน เหยียดแขน กิน ดื่ม (สัมปชัญญบรรพ) ๔) พิจารณาใน ความน่าเกลียดของร่างกาย แบ่งออกเป็นส่วนย่อยต่างๆ มี ผม ขน (ปฏิกูลมนสิการบรรพ) ๕) พิจารณาร่างกายโดยความเป็นธาตุ (ธาตุบรรพ) ๖) พิจารณารา่ งกายท่เี ป็นศพ ลักษณะตา่ งๆ ๙ อย่าง (นวสวี ถกิ าบรรพ) ๒) การพิจารณาเวทนา (ความรู้สึกอารมณ์) ๙ อย่าง แบ่งออกเป็น ๑.สุข ๒.ทุกข์ ๓.ไม่ ทุกข์ไม่สุข ๔.สุขประกอบด้วยอามิส(เหย่ือล่อมีรูป เสียง ) ๕.สุขไม่ประกอบด้วยอามิส ๖.ทุกข์ ประกอบด้วยอามิส ๗.ทุกข์ไม่ประกอบด้วยอามิส ๘.ไม่ทุกข์ไม่สุขประกอบด้วยอามิส ๙.ไม่ทุกข์ไม่สุข ไมป่ ระกอบดว้ ยอามสิ ๓) การพิจารณาจิต ๑๖ อย่าง แบ่งออกเป็น ๑.จิตมีราคะ ๒.จิตปราศจากราคะ ๓.จิตมี โทสะ ๔.จิตปราศจากโทสะ ๕.จิตมีโมหะ ๖.จิตปราศจากโมหะ ๗.จิตหดหู่ ๘.จิตฟุ้งสร้าน ๙.จิตใหญ่ (จิตในฌาน) ๑๐.จิตไม่ใหญ่(จิตไม่ถึงฌาน) ๑๑.จิตมีจิตอื่นย่ิงกว่า ๑๒.จิตไม่มีจิตอ่ืนยิ่งกว่า ๑๓.จิตตั้ง มนั่ ๑๔.จิตไมต่ งั้ มัน่ ๑๕.จติ หลดุ พ้น ๑๖.จิตไมห่ ลดุ พ้น ๔) การพิจารณาธรรมในธรรม ๕ สว่ น แบง่ ออกเปน็ ๑)พิจารณาธรรมท่ีกลัน้ จิตไม่ใหบ้ รรลุ สมาธิ เรยี กวา่ นวิ รณ์ ๕ (นรี วรรณบรรพ) ๒)พจิ ารณาขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ (ขนั ธบรรพ) ๓) พิจารณาอายตนะภายใน ๖ คอื ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ (อายตนบรรพ) ๔) พิจารณาธรรมทเ่ี ป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ๗ เรยี กวา่ โพชฌงค์ (โพชฌงค์บรรพ) ๕) พิจารณา อริยสจั ๔ (สจั จบรรพ) อนึ่งการพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ท้ังสี่ข้อนี้ นอกจากมีรายการพิเศษดังกล่าวมาแลว้ ยัง มีรายการพิจารณาที่ตรงกันอีก ๖ ประการ คือ ๑)ที่อยู่ภายใน ๒)ท่ีอยู่ภายนอก ๓)ที่อยู่ทั้งภายใน ภายนอก ๔)ที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ๕)ที่มีความเส่ือมไปเป็นธรรมดา ๖)ท่ีมีความเกิดขึ้นและ เสื่อมไปเปน็ ธรรมดา ๕) อานิสงส์สติปัฏฐาน ครั้นแล้วทรงสรุปผลการปฏิบัติ ในการตั้งสติ ๔ อย่างน้ีว่า จะเป็น เหตใุ ห้ได้บรรลผุ ลอย่างใดอยา่ งหนง่ึ คือ บรรลุอรหัตผลในปจั จบุ ัน ถ้ายังมเี ชื้อเหลอื กจ็ ะได้บรรลุความ เปน็ พระอนาคามี (ผู้ไมก่ ลบั มาเกดิ อกี ในโลกน้ีอกี ) ภายใน ๗ ปี หรือลดลงโดยลำดบั ถึงภายใน ๗ วัน

๒๐ ๑.๖ วธิ กี ารดำเนินการวิจยั ขั้นตอนการศึกษาครั้งนี้เป็นการสังเคราะห์งานวิทยานิพนธ์เชิงคุณลักษณะโดยใช้การ วิเคราะห์เน้ือหา (Content Analysis) เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research Methodology) ๑.๖.๑ การทบทวนวรรณกรรมจากเอกสารแนวคิดทฤษฎีและผลงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ไดแ้ ก่ (๑) ด้านมหาสติปัฏฐาน ๔ (๒) การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์หรืองานวิจัย เพื่อนำมาสังเคราะห์ใน ประเด็นคำนิยามศัพท์เฉพาะเก่ียวกับวิธีการสังเคราะห์งานวิทยานิพนธ์ และเน้ือหาแนวคิดทฤษฎีใน เร่ืองมหาสติปัฎฐาน ๔ ๑.๖.๒ ดำเนินการสำรวจ สืบค้นงานวจิ ัย โดยการสำรวจจากแหล่งฐานข้อมูลต่างๆ สืบค้น จากระบบสารสนเทศและห้องสมุด และดำเนินการถ่ายเอกสารเป็นรูปเล่มเพ่ือเก็บรวบรวมงาน วิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยเกี่ยวกับมหาสติปัฏฐาน ๔ ระหว่างปี ๒๕๔๐–๒๕๕๕ ศึกษาตามคำนิยามศัพท์เฉพาะเรื่องเกี่ยวกับมหาสติปัฏฐาน ๔ ให้ได้มากที่สุดเท่าท่ี ค้นคว้าได้ จำนวน ๙๐ เรื่อง แผนภาพที่ ๑.๑ แสดงการรวบรวมจำนวนวทิ ยานิพนธเ์ ท่าทคี่ ้นหาได้ จำนวน ๙๐ เร่อื ง ๑.๖.๓ สรา้ งกรอบแนวคดิ ในการวิจัย (Conceptual Framework) ๑.๖.๔ ศึกษางานท้ังหมดในภาพรวมโดยการศึกษาเนอ้ื หาสาระงานดงั กล่าว กำหนดเกณฑ์ ในการคัดเลือกวิทยานิพนธ์ โดยกำหนดขอบเขตการคัดเลือกงานวิจัยเน้นการศึกษาแนวทางการ ปฏบิ ตั ิและวิธีการตามหลักสติปฏั ฐาน ๔ แล้วจึงคดั เลอื กวิทยานิพนธ์ทีไ่ ด้รวบรวมมา จำนวนประมาณ ๕๕ เรื่อง ๑.๖.๕ สร้างเครื่องมือเก็บข้อมูล คือ แบบบันทึกการเก็บข้อมูลงานวิทยานิพนธ์เป็นแบบ บนั ทึกเก็บขอ้ มูลและทำการบนั ทึกข้อมลู ในแบบสรุปงานวจิ ยั ๑.๖.๖ วิเคราะห์เน้ือหา (Content Analysis) เสนอข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงการ พรรณนา (Descriptive Analysis) มีลำดับการดำเนินงานการสังเคราะห์งานวิจัยตามวัตถุประสงค์

๒๑ การวิจัย แล้วจำแนกจัดหมวดหมู่ ตามหัวเร่ืองหรือคำศัพท์ คำนิยาม ท่ีเกี่ยวข้องงานวิจัย เพื่อให้ได้ ขอบเขตงานวทิ ยานพิ นธ์ แต่ละเรอ่ื ง ๑.๖.๗ นำสร้างข้อมูลเชิงปริมาณโดยการแจงนับจำนวนแต่ละประเภท ได้แก่ ปีที่ทำ วิทยานิพนธ์ สาขาวิชา นิยามศัพท์ การทบทวนวรรณกรรมและแนวคิดทฤษฏีที่นำมาใช้ รูปแบบ วิธีการวิจยั เพ่ือใหไ้ ด้การอธบิ ายลักษณะงานวิทยานิพนธ์ในลักษณะข้อมูลเชิงปริมาณ โดยการจำแนก ความถี่ ร้อยละ และอธิบายเป็นลักษณะข้อมูลงานวิทยานิพนธ์ การรวบรวมข้อมูล ดังแสดงใน แผนภาพท่ี ๑.๒ แผนภาพท่ี ๑.๒ แสดงการนบั จำนวนคำ หรือคำสำคัญ ในงานวทิ ยานพิ นธ์ทไี่ ด้นำมาสังเคราะห์ ๑.๖.๘ สังเคราะห์ข้อมูล สร้างโดยข้อสรุปจากงานวิจัยวิทยานิพนธก์ ลุ่มตัวอย่าง โดยสรุป งานวิทยานิพนธ์ ๑ เรื่องต่อหนึ่งแผ่นงาน จากน้ันนำข้อมูล แต่ละงานวิทยานิพนธ์มาจำแนก แล้วรวม การในลักษณะการจัดประเภทตามความเหมือน และความต่างกัน เพ่ือจัดกลุ่มทำการวิเคราะห์และ สงั เคราะห์งานวิจยั ตามประเด็นโดยการจัดกลุ่ม เพื่อจำแนกลักษณะงานวิทยานิพนธ์ ดา้ นมหาสติปัฏ ฐาน ๔ ๑.๖.๙ สรุปผลจากการสงั เคราะหแ์ ละสรุปผลการวจิ ยั วิธีการคดิ แนวทางการทำการสรปุ ผล และตรวจสอบข้อมูลท่ไี ด้จากการสังเคราะห์ โดยเน้นการสืบจากงานวทิ ยานิพนธ์เป็นหลกั มาเปน็ ลำดับ แรก เพ่ือให้เห็น พัฒนาการของวิทยานิพนธ์ การศึกษาแนวคิดทฤษฎี และการศึกษาผล ทั้งหมดของ มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ เพ่ือใหไ้ ด้ข้อมลู ทเ่ี ปน็ การนำใชป้ ระโยชน์

๒๒ ตารางท่ี ๑.๑ รปู แบบดำเนินงานวจิ ยั เพื่อการสังเคราะห์วิทยานิพนธเ์ รือ่ งมหาสติปฏั ฐาน ๔ ขั้นตอนท่ี ๑ ขนั้ ตอนที่ ๒ แนวคิด แนวทางการ ผลที่เกิดจาก จำแนก ทฤษฎี ปฏบิ ัติ การปฏิบัติ สาระประเด็นการสังเคราะห์ (หลักการ) (วธิ ีการ) (ผล) มหาสติปัฏฐานสูตรจากพระไตรปฏิ ก รวบรวมวทิ ยานพิ นธ์ จำนวน ๙๐ เร่ือง [๔] ธัมมานปุ ัสสนาสติปฏั ฐาน [๓] จติ ตานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน คดั เลือกเฉพาะเกยี่ วข้องกับ [๒] เวทนานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน [๑] กายานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน แนวทางปฏิบัติมหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ จำนวน ๕๕ เรอื่ ง [๑] ถึง [๕๕] เปน็ การศึกษาจาก เป็นการศึกษาจาก เป็ น ก า ร ศึ ก ษ า ผ ล แนวคดิ ทฤษฎีของ แนวทางการ จากการปฏิบัติของ มหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ปฏบิ ัติของมหาสติ มหาสติปฏั ฐาน ๔ ปัฏฐาน ๔ ชื่ อ วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ช่ื อ วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ชอื่ วทิ ยานิพนธ์ ชอ่ื วทิ ยานพิ นธ์ ชื่อวทิ ยานิพนธ์ ชอื่ วทิ ยานพิ นธ์ ช่อื วทิ ยานิพนธ์ เรือ่ ง….. เรอื่ ง….. เรื่อง….. ผู้วจิ ยั ...... เรอ่ื ง….. เร่ือง…. เรอื่ ง….. เร่อื ง….. ผู้วจิ ยั ...... ผู้วิจยั ...... ช่ื อ วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ชื่อวทิ ยานพิ นธ์ ช่อื วทิ ยานพิ นธ์ เร่ือง….. ผูว้ ิจยั ...... ผู้วิจัย...... ผู้วจิ ยั ...... ผวู้ จิ ัย...... เร่อื ง….. เรือ่ ง….. ผวู้ ิจยั ...... ผูว้ จิ ัย...... ผวู้ จิ ัย...... ชื่ อ วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ชื่ อ วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ชื่อวทิ ยานพิ นธ์ ชอื่ วทิ ยานพิ นธ์ ชอ่ื วทิ ยานพิ นธ์ ชอ่ื วทิ ยานพิ นธ์ ชอ่ื วทิ ยานิพนธ์ เรอ่ื ง….. เรื่อง….. เรื่อง….. ผู้วิจยั ...... เรอ่ื ง….. เรอ่ื ง…. เรื่อง….. เรื่อง….. ผ้วู ิจัย...... ผู้วิจยั ...... ผ้วู ิจัย...... ผวู้ จิ ัย...... ผวู้ ิจยั ...... ผวู้ จิ ยั ...... ชื่ อ วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ชอื่ วทิ ยานพิ นธ์ ช่ือวทิ ยานพิ นธ์ ชอื่ วทิ ยานิพนธ์ เรือ่ ง….. เร่อื ง…. เรือ่ ง….. เรอ่ื ง….. ผูว้ จิ ัย...... ผวู้ จิ ยั ...... ผวู้ ิจยั ...... ผวู้ ิจยั ...... บันทกึ ข้อมลู งานวทิ ยานพิ นธ์ จำนวน ๕๕ เรือ่ ง ขนั้ ตอนที่ ๓ ข้ันตอนที่ ๔ วิเคราะห์ลักษณะวิทยานิพนธ์จำนวน ๕๕ เร่ือง สังเคราะห์ผลการศึกษาและข้อค้นพบสาระงาน จำแนกข้อมูลแจงนับความถ่ีและร้อยละ เพื่อสรุป วิทยานิพนธ์ จำนวน ๕๕ เรื่อง ตามหลักการใน ภาพรวม ได้แก่ ปีงานวิทยานิพนธ์ สถานภาพ เน้ือหาสาระจากพระไตรปิฎกเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ผู้วิจัย บ ท คัด ย่อ นิ ยาม ศัพ ท์ การท บ ท วน จำแนก [๑] กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน [๒] เวทนา วรรณกรรมและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ระเบียบ นุปัสสนาสติปัฏฐาน [๓] จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน วิธีการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือ [๔] ธัมมานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน ทใี่ ช้ศกึ ษา การดำเนนิ งานวิจยั เปน็ ตน้ จัดประเด็นหมวดหมู่ [๑ ]หลักการปฏิบัติตาม พระไตรปิฎก [๒]วิธีการปฏิบัติตามคำสอนครูบา อาจารย์ [๓]การขยายความจากผู้ศึกษา [๔]การ บรรลผุ ลการปฏบิ ัติ

๒๓ ตารางท่ี ๑.๒ แสดงแบบการบันทกึ ข้อมลู งานวทิ ยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปฏั ฐาน ๔ ของ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยานพิ นธ์ทีใ่ ชใ้ นการสงั เคราะห์ ระหว่างปีพทุ ธศักราช ๒๕๔๐- ๒๕๕๕ รหสั แบบบันทกึ [ เลม่ ที่ / ปีพทุ ธศกั ราช ] แบบบนั ทึกขอ้ มูลงานวิทยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปฏั ฐาน ๔ ของมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยานิพนธ์ท่ใี ช้ในการสงั เคราะห์ ระหวา่ งปีพทุ ธศักราช ๒๕๔๐- ๒๕๕๕ ประเดน็ สาระ ชื่อวิทยานิพนธ์ (ภาษาไทย) ช่อื วิทยานพิ นธ์ (ภาษาอังกฤษ) ผวู้ ิจยั ปรญิ ญา สาขาวชิ า ปีท่ีจบ บทคดั ย่อ วตั ถปุ ระสงค์ การทบทวนเอกสารและ วรรณกรรมทเ่ี ก่ียวข้อง นิยามศพั ท์ ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ระเบียบวธิ ีวิจัย เครื่องมอื ที่ใช้ในการวิเคราะห์ การรวบรวมขอ้ มลู การวเิ คราะห์ สรปุ ผลการวจิ ยั ขอ้ เสนอแนะ

๒๔ ๑.๗ กรอบแนวคิดทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั (Conceptual Framework) การสังเคราะห์วิทยานิพนธ์ แนวทางปฏบิ ัตมิ หาสตปิ ฏั ฐาน ๔ เรื่องมหาสติปฏั ฐาน ๔ [๑] กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน [๒] เวทนานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน ของมหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย [๓] จติ ตานปุ ัสสนาสตปิ ฏั ฐาน ระหวา่ งปีพทุ ธศักราช ๒๕๔๐–๒๕๕๕ [๔] ธมั มานุปัสสนาสติปฏั ฐาน รหสั -แบบบันทึกวิทยานิพนธ์ ประเด็นการจัดหมวดหมู่ (๑) หลกั การปฏิบตั ิตามพระไตรปิฏก ช่อื วิทยานิพนธ์ (ภาษาไทย) (๒) วธิ กี ารปฏิบตั ิตามคำสอนครูบาอาจารย์ ชอื่ วทิ ยานิพนธ(์ ภาษาองั กฤษ) (๓) การขยายความจากผศู้ กึ ษา ผู้วิจยั (๔) การบรรลุผลการปฏิบัติ ปริญญา สาขาวิชา ปีทจ่ี บ บทคัดย่อ วตั ถุประสงค์ การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่ เก่ียวขอ้ ง กรอบความคดิ การวจิ ยั นยิ ามศัพท์ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ระเบียบวธิ วี จิ ัย เครอื่ งมอื ที่ใช้ในการวเิ คราะห์ การรวบรวมข้อมูล การวเิ คราะห์ สรุปผลการวิจัย ขอ้ เสนอแนะ แผนภาพท่ี ๑.๓ แสดงกรอบแนวคิดทใ่ี ชใ้ นการวิจัย (Conceptual Framework)

๒๕ ๑.๘ ประโยชนท์ ไี่ ดร้ ับจากศกึ ษาวจิ ยั ๑.๘.๑ ทำให้ทราบลักษณะความรู้แนวทางการปฏิบัติเรอ่ื งมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ในงาน วิทยานพิ นธ์ของมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณร์ าชวิทยาลัยในระหวา่ งปพี ุทธศักราช ๒๕๔๐-๒๕๕๕ ๑.๘.๒ ทำให้ทราบองคค์ วามรู้แนวทางการปฏิบตั ิเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ในงานวทิ ยานพิ นธ์ของ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณ์ราชวิทยาลัยในระหว่างปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐-๒๕๕๕ ๑.๘.๓ ทำให้ทราบการพัฒนาแนวทางการบูรณาการองค์ความรู้แนวทางการปฏิบัติเรื่อง มหาสติปัฏฐาน ๔ กับศาสตร์สมัยใหม่ และการนำไปใช้ในประโยชน์ชีวิตประจำวันและในเชิงวิชาการ ตอ่ ไป

๒๖ บทที่ ๒ การรวบรวมและประมวลสาระความรู้แนวทางปฏิบตั เิ รื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ตามวัตถุประสงค์ข้อ (๑) เพ่ือรวบรวมและประมวลสาระความรู้แนวทางปฏิบัติเร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ จากงานวิทยานิพนธ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในระหว่างปีพุทธศักราช ๒๕๔๐-๒๕๕๕ จึงไดร้ วบรวมรายชื่อวิทยานิพนธ์ท่ีเก่ียวขอ้ งกับเร่อื งมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ จำนวน ๕๕ เล่ม โดยการรวบรวมเพ่ือประมวลสาระความรู้แนวทางปฏิบัติเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ตามลำดับ รายชอื่ วิทยานิพนธ์ดงั แสดงตารางท่ี ๒.๑ ต่อไปน้ี ตารางที่ ๒.๑ แสดงรหัสแบบบันทกึ ปีการศกึ ษาวทิ ยานพิ นธ์ ชอ่ื ผู้ศกึ ษาวิจยั และชือ่ งาน วิทยานพิ นธ์ เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั รหัส ชือ่ ผศู้ กึ ษาวิจยั ชื่องานวิทยานิพนธ์ แบบ ปี บันทกึ ๑/๔๒ ๒๕๔๒ พระมหาอำนวย อานนโฺ ท ๑. การศึกษาเรื่องการบรรลธุ รรมในพระพทุ ธศาสนา (จันทรเ์ ปล่ง) เถรวาท ๒/๔๔ ๒๕๔๔ พรรณราย รตั นไพฑรู ย์ ๒. การศึกษาวธิ กี ารปฏบิ ัตกิ รรมฐานตามแนว สติปฏั ฐาน ๔ : ศกึ ษาแนวสอนของพระธรรมธรี ราชมหามนุ ี (โชดก ญาณสฺ ิทธิ) ๓/๔๖ ๒๕๔๖ พระมหานิพนธ์ มหาธมฺมรกฺขโิ ต ๓. ศึกษาเปรียบเทยี บแนวทางการปฏบิ ตั กิ รรมฐาน (แสมแก้ว) ของหลวงพอ่ เทียน จิตตฺ สโุ ภ และพทุ ธทาสภกิ ขุ ๔/๔๖ ๒๕๔๖ อภริ าษฎร์ ปรชี าจารย์ ๔. ศกึ ษาวิเคราะห์ “สมถยานกิ ะ” ในการปฏิบัติ กัมมัฎฐาน อนั มกี สณิ ๑๐ เป็นอารมณ์ ๕/๔๗ ๒๕๔๗ พระมหากฤช ญาณาวโุ ธ ๕. การศกึ ษาวิเคราะห์ความสมั พนั ธ์ระหว่างญาณ (ใจปลื้มบญุ ) และปัญญาในพระพุทธศาสนา ๖/๔๘ ๒๕๔๘ พระสมบัตร ฐติ ญาโณ ๖. ศกึ ษาเปรียบเทียบหลักวิปสั สนากมั มัฎฐานใน (สุขประเสริฐ) พระไตรปิฎกและแนวปฏบิ ัติวปิ สั สนากัมมัฎฐาน วดั โพธิ์บ้านโนนทนั . ๗/๔๘ ๒๕๔๘ ฐิติรัตน์ รกั ษใ์ จตรง ๗. ศึกษาการใชอ้ านาปานสตภิ าวนาเพือ่ พฒั นา คณุ ภาพชวี ติ ของเสถยี รธรรมสถาน ๘/๔๙ ๒๕๔๙ เสนาะ ผดุงฉัตร ๘. การศึกษาเชิงวเิ คราะห์อานาปานัสสตกิ ถาใน คัมภีร์ปฏิสมั ภิทามรรค ๙/๔๙ ๒๕๔๙ พชิ ญรชั ต์ บุญชว่ ย ๙. การศึกษากระบวนการสร้างภาวนา ๔ โดยใช้ หลักไตรสิกขา

๒๗ ตารางท่ี ๒.๑ (ต่อ) รหัส แบบ ปี ช่ือผ้ศู ึกษาวจิ ยั ชือ่ งานวิทยานพิ นธ์ บันทกึ ๑๐. การศึกษาวิเคราะห์ผลสัมฤทธใ์ิ นการปฏิบัติ วิปัสสนากมั มฏั ฐาน ตามแนวของมหาวิทยาลยั ๑๐/๔๙ ๒๕๔๙ อณิวชั ร์ เพชรนรรตั น์ จฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ๑๑/๕๐ ๒๕๕๐ ทัศนี วงศย์ ืน ๑๑. ศกึ ษาวเิ คราะห์การปฏบิ ตั ิกัมมฏั ฐานตามแนว กายคตาสตใิ นคัมภรี พ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท ๑๒/๕๑ ๒๕๕๑ พระแสนปราชญ์ ฐิตสทโฺ ธ ๑๒. การศกึ ษาเชิงวเิ คราะหส์ ติปฏั ฐานกถา ๑๓/๕๑ ๒๕๕๑ แม่ชรี ะวีวรรณ ธมมฺจารินี ในคัมภีร์ปฏิสัภิทามรรค (ง่านวสิ ทุ ธิพนั ธ์) ๑๓. การศึกษาสภาวญาณเบื้องตน้ ของผู้เขา้ ปฏิบัติ ๑๔/๕๒ ๒๕๕๒ พระปลดั พงค์ศกั ด์ิ ธมมฺ วโร วิปัสสนาตามหลักสตปิ ฏั ฐาน ๔ ณ สำนกั (อภยั โส) วิปสั สนากรรมฐาน วดั พระธาตศุ รจี อมทอง วรวิหาร ๑๕/๕๒ ๒๕๕๒ ภาวนีย์ บญุ วรรณ ๑๔. ศึกษาสังขารเุ ปกขาญาณในการปฏิบัติวิปัสสนา ๑๖/๕๒ ๒๕๕๒ รุจาภา ธงปลมื้ จิตร ตามหลกั สตปิ ฏั ฐาน ๔ เฉพาะกรณีการปฏิบตั ิ วิปสั สนาภาวนา ๗ เดือน ๑๗/๕๓ ๒๕๕๓ พระมหาสงิ หห์ น สิรินธฺ โร (ฉมิ พาลี) ๑๕. การศึกษาอาการวปิ ลาสทเ่ี กดิ ขนึ้ ในการปฏิบัติ กรรมฐาน ๑๘/๕๓ ๒๕๕๓ พระทรัพยช์ ู มหาวีโร (บุญพฬิ า) ๑๖. การศกึ ษาอทุ ยพั พญาณในการปฏิบัตวิ ปิ สั สนา ตามหลกั สตปิ ฏั ฐาน ๔ : เฉพาะกรณี การปฏบิ ตั ิ ๑๙/๕๓ ๒๕๕๓ พระสวุ รรณ สุวณโฺ ณ วปิ สั สนาภาวนา ๗ เดือน (เรืองเดช) ๑๗. ศกึ ษาวเิ คราะห์ความสอดคล้องระหว่างหลัก ปฏิบตั ิสมั ปชญั ญะในมหาสติปัฏฐานสตู รกับ วิธีการฝึกเจริญตามแนวของหลวงพอ่ เทยี น จติ ฺต สโุ ภ ๑๘. การศกึ ษาวิธีการเจรญิ สติในชวี ิตประจำวันตาม แนวทางของติช นทั ฮันท์ ๑๙. ศกึ ษาผลการเจริญตามแนวปฏบิ ตั ิของหลวงพ่อ เทยี น จติ ฺตสโุ ภ : กรณีศกึ ษาผปู้ ฏบิ ัตธิ รรมใน สำนักปฏบิ ตั ธิ รรมมหาสตปิ ฏั ฐาน ๔ บา้ นเหล่า โพนทอง

๒๘ ตารางที่ ๒.๑ (ต่อ) รหัส แบบ ปี ชือ่ ผู้ศกึ ษาวิจยั ชือ่ งานวทิ ยานิพนธ์ บันทกึ ๒๐. ศกึ ษารปู นามตามท่ปี รากฏในไตรลกั ษณใ์ นการ ปฏิบัติวปิ สั สนาภาวนา ๒๐/๕๔ ๒๕๕๔ พระทนงศักดิ์ ปภาโต ๒๑. วเิ คราะห์ศลี เพอื่ การบรรลุธรรมใน (ปิยะสุข) พระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒๑/๕๔ ๒๕๕๔ พระครสู ังฆรักษช์ ีพ ธมมเฺ ตโช (คู่ ๒๒. ศกึ ษาการพฒั นาสตโิ ดยใช้หลักกายคตาสติใน คมั ภรี ์พระพุทธศาสนาเถรวาท กระโทก) ๒๓. ศึกษาศรัทธาในการปฏบิ ัตวิ ิปัสสนาภาวนา ตาม ๒๒/๕๔ ๒๕๕๔ พระครูนวิ ฐิ สาธุวตั ร แนวสติปฏั ฐาน ๔ (ทองล่ำ ยโสธโร) ๒๔. ศกึ ษาอรยิ มรรค ในการปฏิบตั ิวปิ ัสสนา ตามหลกั สติปฏั ฐาน ๔ ๒๓/๕๔ ๒๕๕๔ พระชยั พร จนฺทวํโส ๒๕. การศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างปฏจิ จสมปุ บาท (จนั ทวงษ์) กบั ขนั ธ์ ๕ ในการ เจรญิ วปิ ัสสนาภาวนา ๒๔/๕๔ ๒๕๕๔ พระอำนาจ ขนฺตโิ ก ๒๖. การศกึ ษาวเิ คราะห์หลกั การปฏิบตั ิธรรม ในภัทเทกรัตตสตู ร (ภาคาหาญ) ๒๗. ศึกษาการปฏบิ ัตเิ พอื่ บรรลุมรรคผลในปณุ โณวาท ๒๕/๕๔ ๒๕๕๔ พระมหาพสิ ูตน์ จนฺทวํโส สตู ร (พะนริ ัมย์) ๒๘. ศึกษาสัมมปั ปธาน ๔ อันเปน็ องค์แหง่ การบรรลุ ธรรม ๒๖/๕๔ ๒๕๕๔ พระครูพสิ ฐิ สรภาณ ๒๙. ศกึ ษาปรากฏการณข์ องโอภาสในการปฏบิ ตั ิ (นริ นั ดร์ ศริ ริ ตั น์ ) วปิ ัสสนาภาวนา ตามหลักสตปิ ัฏฐาน ๔ ๒๗/๕๔ ๒๕๕๔ พระทรงยศ ยสธโร ๓๐. ศึกษาจติ ตวสิ ุทธิในการปฏิบตั ิวปิ สั สนาภาวนา (ตั้งจิตพิทักษ์กลุ ) ๓๑. อธโิ มกขใ์ นการปฏบิ ตั วิ ิปัสสนาภาวนาตามหลกั สติปฏั ฐาน ๔ ๒๘/๕๔ ๒๕๕๔ พระวรมน ขนตฺ โิ ก ๓๒. ศกึ ษาหลักธรรมในอนุปทสตู รกบั การปฏิบัติ (วัดถมุ า) วิปัสสนาภาวนา ๒๙/๕๔ ๒๕๕๔ พระจติ ตพัฒน์ โสภณปญโฺ ญ ๓๓. ศกึ ษาวเิ คราะห์อเุ บกขาในการปฏบิ ตั วิ ปิ ัสสนา ภาวนา ตามแนวสตปิ ฏั ฐาน ๔ (กจิ จาณัฏฐ)์ ๓๔. ศกึ ษาสภาวะรูปนามในการปฏิบตั ใิ นหมวด ๓๐/๕๔ ๒๕๕๔ พระครูปรยิ ัติกาญจนโชติ สมั ปชัญญะบรรพ ในสติปฏั ฐานสตู ร (มานิตย์ ธมฺมโชโต) ๓๑/๕๔ ๒๕๕๔ พระครูปลดั ศภุ ชัย ปริชาโน (ฉตั รคู่) ๓๒/๕๔ ๒๕๕๔ พระพงษ์สทิ ธ์ พาหิโย (เทพอารีนนั ท์) ๓๓/๕๔ ๒๕๕๔ พระมหาณชั พล พนฺธ ญาโณ (นราวงษ์) ๓๔/๕๔ ๒๕๕๔ พระมหาญาณทสั น์ ฉฬภิญโฺ ญ (วงศก์ ำภู)

๒๙ ตารางท่ี ๒.๑ (ตอ่ ) รหัส แบบ ปี ชือ่ ผู้ศึกษาวิจยั ชื่องานวิทยานพิ นธ์ บนั ทึก ๓๕. ศกึ ษาการกำหนดรูปนามทางวิญญาณ ๖ ในการ ปฏิบตั ิวปิ สั สนาภาวนา ๓๕/๕๔ ๒๕๕๔ พระมานสั โสภณจิตฺโต ๓๖. ศึกษาหลกั ปฏบิ ตั ิวปิ ัสสนาภาวนาแบบพอง–ยุบ (ชอบม)ี ตามแนวการปฏิบัติของพระโสภณมหาเถระ ๓๖/๕๔ ๒๕๕๔ พระครปู ลดั สนุ ทร สนุ ทฺ โร ๓๗. ศกึ ษาการบรรลุธรรมดว้ ยการเจริญอานาปานสติ ในคมั ภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท (แซ่เตยี ว) ๓๘. ศึกษาวริ ยิ ะในการปฏิบัตวิ ิปสั สนาภาวนา ๓๗/๕๔ ๒๕๕๔ พระมหาสามารถ อธิจิตฺโต ๓๙. ศึกษาเวทนาในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา (มนัส) ตามหลกั สตปิ ฏั ฐาน ๔ ๓๘/๕๔ ๒๕๕๔ พระครูพศิ ษิ ฏช์ ยั โชติ ๔๐. ศึกษาการสอนสตปิ ฏั ฐาน ๔ ตามแนวทางของ โคเอน็ กา้ กับพระไตรปฎิ ก (สำรวย โชติวโร) ๔๑. การศึกษาวิเคราะห์การรกั ษาโรคด้วยวิปัสสนา ๓๙/๕๔ ๒๕๕๔ พระครสู มุหเ์ กดิ ปญุ ฺ กาโม กมั มัฏฐานตามแนวทางของพระธรรม สงิ หบุราจารย์ (จรญั ฐิจธมฺโม) (ดานขุนทด) ๔๒. การศึกษาเครื่องมือจำแนกจรติ ท่เี หมาะสมในการ ๔๐/๕๔ ๒๕๕๔ บุญเรือง ทิพพอาสน์ เจริญสติปัฏฐาน ๔๑/๕๔ ๒๕๕๔ พลกฤษณ์ โชติศริ ริ ตั น์ ๔๓. ศกึ ษาธัมมนานุปสั สนาในพระพุทธศาสนาเถร วาท ๔๒/๕๔ ๒๕๕๔ สุเมธ โสฬศ ๔๔. ศกึ ษาปญั ญาเจตสิกกับการพัฒนาสมั ปชัญญะ ๔๓/๕๔ ๒๕๕๔ กัมปนาท พุทธปวรางกูร ในการปฏิบัตวิ ิปัสสนาภาวนา ๔๔/๕๔ ๒๕๕๔ พยงุ พ่มุ พวง ๔๕. การศึกษาเปรยี บเทยี บการปฏิบตั กิ รรมฐานของ พระโพธิญาณเถร (ชา สภุ ทโฺ ท) กับพระธรรมวิ ๔๕/๕๕ ๒๕๕๕ พระวงศแ์ กว้ วราโภ สทุ ธิมงคล (บวั ญาณสมฺปนฺโน) (เกสร) ๔๖. ศกึ ษาหลกั การเจริญจตรุ ารกั ขกัมมฏั ฐานในคมั ภรี ์ ๔๖/๕๕ ๒๕๕๕ พระมหาอาคม สมุ งฺคโล พทุ ธศาสนาเถรวาท (คณุ สถติ ) ๔๗. การวเิ คราะหจ์ ริต ๖ กบั การปฏบิ ัติธรรมใน ๔๗/๕๕ ๒๕๕๕ พระศรศักดิ์ สงฺวโร พระพทุ ธศาสนา (แสงธง) ๔๘. การเจริญเวทนานุปัสสนาในคัมภรี ์ ๔๘/๕๕ ๒๕๕๕ พระอนุชา อนชุ าโต พระพุทธศาสนาเถรวาท (นามจันทร)์

๓๐ ตารางที่ ๒.๑ (ตอ่ ) รหสั แบบ ปี ชือ่ ผศู้ กึ ษาวจิ ัย ชอื่ งานวทิ ยานพิ นธ์ บันทกึ ๔๙/๕๕ ๒๕๕๕ พระครสู ุวรรณ ๔๙. ศกึ ษาปฏิจจสมปุ บาทกับการบรรลุธรรมใน (สมจติ ต์ คุ้มสมบัติ) พระพุทธศาสนาเถรวาท ๕๐/๕๕ ๒๕๕๕ พระมหาบญุ เลศิ ธมฺมทสฺสี ๕๐. การสรา้ งตวั ช้ีวัดเพื่อวิเคราะห์อินทรีย์ ๕ (โอฐส)ู เปรยี บเทยี บกบั ญาณ ๑๖ ในผู้ปฏบิ ัตวิ ปิ สั สนา กัมมฏั ฐาน ๕๑/๕๕ ๒๕๕๕ ทศพร เหลอื งขาบทอง ๕๑. ศึกษาการปฏิบตั ิวิปัสสนากับการบำบดั เยยี วยา รักษาโรค ๕๒/๕๕ ๒๕๕๕ อรภคั ภา ทองกระจา่ งเนตร ๕๒. การศกึ ษาวเิ คราะหส์ มาธิกับการบรรลธุ รรมใน พระพทุ ธศาสนา ๕๓/๕๕ ๒๕๕๕ อุทยั สติม่นั ๕๓. การพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้สำหรบั สำนักปฏบิ ัติธรรมในประเทศไทย ๕๔/๕๕ ๒๕๕๕ เสถียร ท่ังทองมะดัน ๕๔. สมถกัมมฏั ฐานในฐานะเปน็ บาทฐานของ วปิ ัสสนากมั มัฏฐาน ๕๕/๕๕ ๒๕๕๕ ภทั รนิธิ์ วิสทุ ธศิ์ กั ด์ิ ๕๕. รูปแบบผสมผสานการปฏิบตั วิ ิปสั สนากรรมฐาน ตามหลกั สตปิ ฏั ฐาน ๔ จากตารางที่ ๒.๑ แสดงรหัสแบบบันทึก ปีการศึกษา ชื่อผู้ศึกษาวิจัย และชื่องาน วิทยานิพนธ์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยเป็นการ รวบรวมและคัดเลือกวิทยานิพนธ์ทั้งในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก จำนวน ๕๕ เรื่อง โดย กำหนดเน้ือหาสาระของงานวิทยานิพนธ์เกี่ยวข้องกับเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นประเด็นการ คัดเลือกงานวิทยานิพนธ์ท่ีนำมาวิเคราะห์ และสังเคราะห์ โดยเน้นเน้ือหาสาระงานวิทยานิพนธ์ที่ เช่ือมโยงเร่ืองมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ เน้นแนวทางปฏบิ ัติและหลกั การเกีย่ วกับพระสูตรมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ตามพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๓๙ โดยจาก การเรียบเรยี งจากบทคดั ย่องานวิทยานิพนธ์ตามรายละเอยี ด ดังตอ่ ไปน้ี ๑) พระมหาอำนวย อานนฺโท (จันทร์เปล่ง) (๒๕๔๒) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษาเรื่องการบรรลธุ รรมในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ผลการศกึ ษาพบวา่ การบรรลุธรรม ส่ิง สำคัญประการแรก คือ การศึกษาถึงหลักธรรมท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ โดยเฉพาะโพธิ ปกั ขยิ ธรรม ๓๗ ประการ เปน็ หลักธรรมทน่ี ำไปสูก่ ารปฏบิ ตั เิ พื่อการบรรลุธรรมโดยเฉพาะ พระผ้มู ี พระภาคเจ้าแสดงไว้ในวาระตา่ งๆ เพื่อใหเ้ หมาะกับจริตนิสัยของแต่ละบคุ คล โพธปิ ักขิยธรรม ๓๗

๓๑ ประการ ประกอบด้วย สติปฏิฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘ แต่ละหมวดธรรมมีความสมบูรณ์อยู่ในตัว ผู้ปฏิบัติธรรมจะถือ หมวดไหนในการปฏิบัติก็สามารถบรรลุธรรมได้เช่นเดียวกัน เปรียบเหมือนแม่น้ำทุกสายย่อมไหล ลงสู่มหาสมุทร ฉันใด การปฏิบัติธรรมตามหมวดธรรมใดย่อมนำไปสู่บรรลุธรรมได้ ฉันน้ัน สรุป การปฏิบัติธรรม มี ๒ วิธี สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งจะต้องปฏิบัติควบคู่กันไป โดยเฉพาะวิปัสสนากรรมฐาน ถือวา่ เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบตั ิ ถ้าผู้ปฏิบัติยงั ไม่สามารถยกจิต เข้าสู่วิปัสสนาญาณได้ การบรรลุมรรคผลจะไม่เกิดขึ้นเลย เมื่อสามารถทำวิปัสสนาญาณให้แจ้งได้ แล้ว การบรรลุมรรคผลจึงจะเกิดขึ้น การปฏิบัติเม่อื ได้ศึกษาหลักธรรมจนมีความเขา้ ใจจดจำได้ เป็นอย่างดีแล้วจึงลงมือปฏิบัติ ซ่ึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม ตัดส่ิงวิตกกังวลต่างๆ ออกให้หมด เสียก่อน เมื่อพร้อมแล้วจึงไปสู่สำนักของอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถในการสอน แนะนำ แก้ไขข้อขัดข้องตา่ งๆ ได้ แลว้ เร่มิ ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจงั มีความมงุ่ มั่นอย่างมีเป้าหมาย ไม่ท้อแท้ เพียรพยายามปฏิบัติไปตามข้ันตอน และต้องคอยตรวจสอบผลการปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา พยายาม ปรบั ปรุงแก้ไขวิธีการปฏิบัติให้ถกู ตอ้ งตามหลกั การท่ไี ด้ศกึ ษามา จนสามารถขจัดกิเลสออกจากจิต สันดาน และบรรลุมรรคผลตามที่ปรารถนาในท่ีสุด ผลของการบรรลุธรรมมี ๔ ระดับ คือ โสดาปัตติผล สกทาคามีผล อนาคามิผล และ อรหัตผล ซ่ึงผลของการบรรลุธรรมแต่ละระดับ สามารถขจัดกิเลสได้ตามลำดับ ตั้งแต่กิเลสอย่างหยาบไปจนถึงกิเลสอย่างละเอียด พร้อมท้ัง เปล่ียนแปลงพฤติกรรมขอบบุคคลนั้นๆ ไปด้วย สภาวะของการบรรลุธรรมและช่วงจังหวะในการ บรรลุธรรมน้ัน มีความแตกต่างกัน แล้วแต่ประสบการณ์และภูมิหลังของแต่ละบุคคล แต่ที่ เหมือนกัน คือ เมื่อถึงจุดสดุ ท้ายของการบรรลุธรรม ทุกคนล้วนมองเห็นความจริงของสรรพส่งิ ว่า ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ไม่ควรยึดม่ันถือม่ัน ว่าเป็นเราเป็นของเรา ทุกส่ิงเป็นไปตามเหตุ ปัจจัย ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ ผลจากการศึกษาพบว่า หลักธรรมและแนวทางในการปฏิบัติมี ความสมบรู ณ์อยู่แล้วแต่ยงั ขาดข้ันตอนการปฏบิ ัตแิ ละแบบแผนในการปฏิบัตทิ เี่ ป็นระบบเป็นข้ัน เป็นตอน และการประเมินผลการปฏิบัติที่สามารถนำมาประเมินผลของทั้งตนเองและผู้อ่ืนได้ ทั้ง สว่ นทเ่ี ป็นนามธรรมและรูปธรรม๑ ๒) พรรณราย รัตนไพฑูรย์ (๒๕๔๔) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เร่ือง การศึกษาวิธีการ ปฏิบัติกรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ : ศึกษาแนวสอนของพระธรรมธีรราชมหามุนี(โชดก ญาณฺสิทธิ) ผลการศึกษาพบว่า สติปัฏฐาน ๔ เป็นหนทางเอกที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งสัจธรรมบรรลุ ๑พระมหาอำนวย อานนฺโท (จันทร์เปล่ง), “การศึกษาเรื่องการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเถร วาท” )”, วทิ ยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑติ , (บัณฑิตวิทยาลยั : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒).

๓๒ นิพพานซึ่งเป็นภาวะหมดกิเลสอันเป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธ)ิ ใช้หลักสตปิ ัฏฐาน ๔ คือ การพจิ ารณากาย เวทนา จิต ธรรม เป็นกรอบใน การปฏิบัติและการสอน ในภาคทฤษฎี พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) สอนให้ผู้ ปฏิบัติเข้าใจทั้งหลักสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ควบคู่กันไป แต่ในภาคปฏิบัติท่าน ปฏิบัตแิ ละสอนโดยเนน้ วิธีการแบบสมถะมีวปิ สั สนานำ ในการสอนวปิ สั สนา พระธรรมธรี ราชมหา มุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)แบ่งเป็น ๒ ภาคคือ(๑)ภาคสมถะหรือปฏิบัติศาสนา เป็นหลักการเตรียม ตัวก่อนลงมือปฏิบัติ ท่ีสำคัญคือ การแผ่เมตตา การระลึกถึงความตาย (๒) ภาควิปัสสนาหรือ ปฏิเวธศาสนา ว่าด้วยวิปัสสนาญาณ ๑๖ วิสุทธิ ๗ และญาณ ๑๘ อุปกิเลส ๑๐ ในการปฏิบัติน้ัน ประเด็นสำคัญอยู่ที่การมีสติกำหนดรูปนามตามอิริยาบถใหญ่ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน และมีสติ กำหนดรูปนามตามอิริยาบถย่อยหรือตามอายตนะท้ัง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผู้ปฏิบัติ เร่ิมตน้ ด้วยการกำหนดพจิ ารณาอริ ิยาบถเดิน คือ เดินจงกรม ภาวนา ๒ ระยะวา่ ขวายา่ งหนอ,ซ้าย ย่างหนอ เม่ือสติมัน่ คง ญาณแก่กลา้ แล้ว ให้ภาวนา ๖ ระยะว่า “ยกส้นหนอ ยกหนอ ยา่ งหนอ ลง หนอ ถูกหนอ กดหนอ” ต่อไปก็เป็นอิริยาบถนงั่ พจิ ารณาอาการพองยุบของท้อง พิจารณาต้นใจคือ ความรู้สึก พิจารณาทวารท้ัง ๕ โดยใช้วิปัสสนาญาณ ๑๖ เป็นกรอบในการตรวจสอบ ความก้าวหน้าทางจิต แนวการสอนและการปฏิบัติธรรมของพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก  ญาณสิทฺธิ) ดำเนินตามเน้ือหาในมหาสติปัฏฐานสูตร และประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ โดย อาศัยแนวพระไตรปิฎกและแนวทพ่ี ระวิปัสสนาจารย์แห่งพม่า เป็นกรอบในการประยุกต์ เช่นเร่ือง ระบบหนอ คำบาลีในพระไตรปิฎก เช่น “อญฺาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ” พระอัญญาโกณ ฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ภาษาพม่าใช้คำว่า “แด่” การเดินจงกรมท่านประยุกต์มาจากพระบาลีว่า “ภิกฺขุ คจฺฉนฺโต คจฺฉามีติ ปชานาติ” ภิกษุเม่ือเดินก็รู้ว่า กำลังเดิน ส่วนการกำหนดพองยุบเป็น เพียงอบุ ายวธิ ี ท่วี ิปัสสนาจารย์สอนให้กำหนด เพ่ือให้รู้ธาตุต่างๆ ทีอ่ ยู่ในรา่ งกาย๒ ๓) พระมหานิพนธ์ มหาธมฺมรกฺขิโต(แสมแก้ว) (๒๕๔๖) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษาเปรียบเทียบแนวทางการปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ และพุทธทาส ภิกขุ ผลการศึกษาพบว่า หลวงพ่อเทียน มองว่าความคิดปรุงแต่งท่ีเกิดข้ึนโดยปราศจากสติ คอยกำกับเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์และนำเสนอวิธีการที่จะควบคุมวามคิดโดยอาศัยการเจริญ สติแบบเคลื่อนไหวเป็นหลักปฏิบัติ ส่วนพุทธทาสภิกขุ เห็นว่า ความยึดม่ันถือมั่นเป็นสาเหตุแห่ง ความทุกข์ พร้อมท้ังอธิบายกระบวนการเกิด-ดับทุกข์ตาม หลักปฏิจจสมุปบาท และนำเสนอ ๒ พรรณราย รัตนไพฑูรย์, “การศึกษาวิธีการปฏิบัติกรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ : ศึกษาแนว สอนของพระธรรมธรี ราชมหามนุ ี (โชดก) ญาณฺสทิ ธ)ิ ”, วิทยานิพนธ์พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต, (บณั ฑิตวทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๔).

๓๓ วิธีการควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาทอันเป็นการทำลายความยึดมัน่ ถอื ม่ันด้วยการเจริญอานาปาน สติและวิปัสสนาระบบลัดส้ัน มุมมองที่ต่างกันนำไปสู่การใช้รูปแบบ วิธีการปฏิบัติ การใช้ภาษา และการอธิบายลำดับสภาวธรรมท่ีเกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติต่างกัน ในส่วนที่สอดคล้องกัน หลวงพ่อ เทียนและพุทธทาสภิกขุ มองชีวิตด้านใน คือ จิตว่าเร่ิมต้นจากธรรมชาติเดิมท่ีบริสุทธ์ิ แต่ยังอยู่ ในฐานะที่ปรุงแต่งด้วยกิเลสได้ และเป็นหน้าที่ของทุกคนท่ีจะต้องปฏิบัติให้เข้าถึงความบริสุทธ์ิ อย่างแท้จริง ด้านแสดงหลักคำสอนของท่านท้ังสองต่างมุ่งการนำปฏิบัติสำหรับดับทุกข์ใน ชีวติ ประจำวันเป็นหลกั สำคัญ และแนวการปฏบิ ัติกรรมฐานของท่านท้ังสองก็ให้ความสำคัญกบั สติ ในฐานะเป็นพื้นฐานที่สำคัญย่ิงของการปฏิบัติ ในส่วนของการใช้หลักการปฏิบัติตามแนว พระไตรปิฎก พบว่า แนวการปฏิบัติของหลวงพ่อเทียนใช้หลักการกำหนดรู้อิริยาบถน้อยใหญ่ใน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน และการดูจิตเพ่ือรู้เท่าทันความคิดจัดเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ส่วนพุทธทาสภิกขุใช้อานาปานสติซึ่งมีหลักการปฏิบัติครอบคลุมสติปักฐาน ๔ และใช้วิปัสสนา แบบลัดสั้น ซ่ึงเป็นการนำหลักการกำหนดรู้ลมหายใจและอริยาบถน้อยใหญ่ในกายานุปัสสนาสติ ปฏั ฐาน มาใช้ พรอ้ มทั้งกำหนดรู้ลมหายใจและอิริยาบถน้อยใหญ่โดยความเป็นนามรูป เบญจขันธ์ โดยความไม่เทย่ี ง คายตัวออก ดับไป และสลดั คืน ซ่ึงเป็นธัมมานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน ในสว่ นการใช้ วิธีการปฏิบัติตามแนวทางพระไตรปิฎก พบว่า แนวการปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน ใช้วิธีการ เจริญวิปัสสนานำหน้าสมถะและวิธีการปฏิบัติเพื่อออกจาก ธรรมุธัจจ์ ส่วนพุทธทาสใช้วิธีการ เจริญสมถะนำหน้าวิปสั สนา วิธกี ารเจริญวปิ ัสสนานำหน้าสมถะและวธิ ีการปฏิบัติเพื่อออกจาก ธรรมุสัจจ์ เม่ือเปรียบเทียบแล้ว พบว่า ท่านท้ังสองได้ใช้หลักการและวิธีการในพระไตรปิฏกสอด คล้องกันเป็นส่วนมากต่างกันตรงท่ีพุทธทาสได้นำหลักการและวิธีการปฏิบัติในพระไตรปิฏกมาใช้ หลากหลายกวา่ กัน อยา่ งไรก็ตาม แนวการปฏิบตั ิของท่านทง้ั สองแม้ต่างกันบ้างเหมือนกันบ้างบาง ประเด็น แต่เมื่อว่าโดยจุดมุ่งหมายสูงสุดแล้ว แนวการปฏิบัติทั้งสองแบบล้วนเป็นไปเพื่อควบคุม และอยู่เหนือความทุกข์อย่างเดียวกันและสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายแห่งหลักการและวิธีปฏิบัติ กรรมฐานในพระไตรปฏิ ก ๓ ๔) อภิราษฎร์ ปรชี าจารย์ (๒๕๔๖) ได้ศึกษาวทิ ยานิพนธ์เรื่อง ศึกษาวิเคราะห์ “สมถ ยานิกะ” ในการปฏิบัติกัมมัฎฐาน อันมีกสิณ ๑๐ เป็นอารมณ์ ผลการศึกษาพบว่า วิเคราะห์ แนวทางการเข้าสู่วิปสสนา หลัก ๒ แนวทาง คือ แนวทางทห่ี น่ึงสำหรับผู้ที่ได้รับอภิญญา แนวทาง ท่ีสองสำหรับผู้ไม่ได้อภิญญาแต่ว่าได้ในระดับฌานตั้งแต่ปฐมฌานเป็นต้นไป งานวิจัยนี้ได้แสดงถึง ๓พระมหานิพนธ์ มหาธมฺมรกฺขิโต (แสมแก้ว) , “ศึกษาเปรียบเทียบแนวทางการปฏิบัติกรรมฐานของ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ และพุทธทาสภิกขุ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖).

๓๔ วิธีการท้ังสองว่าควรปฏิบัติวิปัสสนาแบบ \"สมถยานิกะ\" ในแนวทางลักษณะต่างๆ จนสามารถ บรรลุอาสวักขยญาณในท่ีสุด ผลจากการศึกษาทัศนคติของผู้ปฏิบัติกรรมฐานดังกล่าว จากข้อมูล ท่ัวไปและพฤติกรรมการปฏิบัติกรรมฐาน ส่วนมากพบว่าเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง อายุอยู่ ระหว่าง ๓๑-๔๐ ปี ทุกคนนับถือพระพุทธศาสนา ส่วนมากเร่มิ การปฏิบัติด้วย วรรณกสิณ ๔ และ ส่วนมากจะเจริญวิปัสสนาไปด้วย ในด้านทัศนคติต่อการเจริญกสิณ ๑๐ ปฏิบัติอยู่ในระดับปาน กลางแต่สนใจการปฏิบัติกสิณ ๑๐ อยใู่ นระดบั มาก ฝึกแล้วทำให้ตัวเองมีจิตใจสงบ มคี วามสุข ชว่ ย พฒั นาตวั เองและสงั คมให้ดีข้ึน อย่ใู นระดบั มาก ส่วนใหญ่เชอ่ื ในผลการปฏิบตั วิ ่าได้อภิญญาจริง แต่ ขาดความรู้ในทางปรยิ ตั ธิ รรมในแนวทางการปฏบิ ัติดังกล่าว ส่วนทศั นคตติ ่อการปฏิบตั แิ บบ \"สมถ ยานกิ ะ\" อนั มีกสณิ ๑๐ เป็นอารมณ์น้ัน ยังมีความร้ใู นดา้ นน้นี ้อย แตเ่ ช่ือวา่ ผลการปฏบิ ตั ิมีผลดีต่อ ตนเองและผู้อื่น รวมท้ังต่อสังคมไทยส่วนรวมอยู่ในระดับมาก รวมทั้งเชื่อม่ันระดับมาก ว่าเป็นวิธี หน่ึงที่สามารถทำให้บรรลุมรรคผลพระนิพพานและมีปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ได้ สำหรับทัศนคติ ปัญหา และข้อเสนอแนะจากผู้ปฏิบัติ พบว่ามีความคิดเห็นหลากหลาย ตามความเชื่อและศรัทธา ของตนเอง แต่โดยส่วนรวมแล้วเห็นว่า เป็นประโยชน์มาก และควรส่งเสริมให้มีการปฏิบัติแนว \"สมถยานิกะ\" อันมกี สณิ ๑๐ เป็นอารมณต์ ่อไป ๔ ๕) พระมหากฤช ญาณาวุโธ (ใจปล้ืมบุญ) (๒๕๔๗) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง การศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างญาณและปัญญาในพระพุทธศาสนา ผลการศึกษา พบว่า ผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุฌาน (สมถะ) ในสมัยก่อนพุทธกาลครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระ โพธิสัตว์ สมัยนั้นไม่มีพิธีกรรมในการปฏิบตั ิเพยี งแต่กล่าวถึงการบำเพ็ญพรตมีการเพ่งกสิณเป็นต้น มาถึงสมัยพุทธกาลพุทธบริษัทได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้ามีจิตเป็นสมาธิแล้วใช้ปัญญาพิจารณา ธรรมน้ันก็สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ต่อมาในสมัยปัจจุบันได้มีการปฏิบตั ิอย่างเปน็ ขั้นตอน คือ ผู้ปฏิบัติจะต้องสมาทานศีลตัดความกังวลและเข้าไปหาอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานและเลือก อารมณ์กรรมฐานเหมาะกับจริตของตนแลว้ ลงมือปฏิบัติผู้ปฏบิ ัติเมื่อบรรลุฌานแลว้ จิตเกิดสมาธิ สงบแน่วแน่ ปตี ิความอิม่ ใจสขุ ใจก็เกิดข้ึน ทำให้ผูป้ ฏิบัติตดิ อยู่กับฌาน เมื่อตดิ อยกู่ ับฌานแล้วจึงไม่ ต้องการที่จะบำเพ็ญปัญญา(วิปัสสนา) ต่อไปได้ อีกประการหน่ึง มีคำกล่าวไว้ว่า “ฌานเป็นบาท ฐานของปัญญา” หมายความว่า ฌานเป็นพื้นฐานของการเจริญปัญญา ดังน้ัน เมื่อกล่าวอย่าง ถกู ต้องแล้วการบำเพ็ญฌานจึงต้องเชื่อมโยงไปสู่การเจริญปัญญา (วิปัสสนา) เสมอการปฏิบัติแนว สมถะ (ฌาน) วิปัสสนา (ปัญญา) ทั้งสองอย่างนี้มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ความหลุดพ้นจาก ๔อภริ าษฎร์ ปรีชาจารย์, “ศึกษาวเิ คราะห์ “สมถยานิกะ” ในการปฏิบัติกัมมัฎฐาน อันมกี สิณ ๑๐ เป็น อารมณ์”, วทิ ยานิพนธพ์ ุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวทิ ยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๖).

๓๕ กิเลส แตก่ ารหลุดพ้นจากกเิ ลสตามแนวการปฏิบัติสมถะ(ฌาน) เป็นเพียงการข่มกิเลสไว้เหมือนกับ หินทับหญ้า เม่ือนำหินออกหญ้าก็งอกขึ้นอีก ส่วนความหลุดพ้นจากกิเลสตามแนวการปฏิบัติ วปิ ัสสนา (ปัญญา) เป็นการหลุดพ้นจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงฌาน (สมถะ) และปัญญา (วิปัสสนา) ถือ ว่าเป็นแบบอย่างที่อนุชนพึงประพฤติปฏิบัติ เพราะถ้าหากใครประพฤติปฏิบัติตามแล้วผลท่ีได้รับ คือ มีชวี ิตอยดู่ ว้ ยความผาสกุ และบรรลจุ ุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา๕ ๖) พระสมบัตร ฐิตญาโณ (สุขประเสริฐ) (๒๕๔๘) ได้ศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่อง ศึกษา เปรยี บเทยี บหลักวิปัสสนากัมมัฎฐานในพระไตรปิฎกและแนวปฏิบัติวิปสั สนากัมมฎั ฐานวดั โพธิ์ บ้านโนนทัน ผลการศึกษาพบว่า จุดประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบหลักการปฏิบัติวิปัสสนา กัมมัฏฐานในพระไตรปิฎกกับแนวปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดโพธิ์บ้านโนนทัน ในประเด็นที่ว่า หลักวิปัสสนามีความสอดคล้องหรือแตกต่างกันมากน้อยอย่างไร โดยจุดมุง่ หมายของการศกึ ษาจะ กล่าวถึง ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ คือ หลักการปฏิบัติที่ปรากฏใน พระไตรปิฎก กับแนวปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดโพธิ์บ้านโนนทันว่า ได้นำเอาหลักมหาสติปัฏ ฐานสูตร มาใช้ปฏิบัติสอดคล้องกันหรือไม่ เมื่อนำมาศึกษาเปรียบเทียบดแู ล้ว ส่วนมากแนวปฏิบัติ วปิ สั สนาวัดโพธิ์บา้ นโนนทนั ได้นำหลักมหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร ท่มี ีเน้ือหาสมบูรณ์ทง้ั หลกั ทฤษฎแี ละ หลักการปฏิบัติท่ีปรากฏในพระไตรปิฎกมาประยุกต์ใช้ และเป็นแนวทางเผยแผ่ การปฏิบัติ วิปัสสนากัมมัฏฐานได้เป็นอย่างดีในสังคมยุคปัจจุบัน ทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจและเข้าถึงสารประโยชน์ สูงสุด ในทางพระพุทธศาสนาได้อย่างมีประสิทธิภาพและในข้ันตอนของการศึกษา ผู้วิจัยได้แบ่ง ออกเป็น ๒ ตอน คือ ตอนที่ ๑ ศึกษาค้นคว้าข้อมูลในพระไตรปิฎก ตอนที่ ๒ ศึกษาข้อมูล ภาคสนาม โดยมีการสัมภาษณ์และเข้าร่วมสังเกตการณ์ และได้จัดทำบันทึกข้อมูลสำคัญ ในการ ปฏิบัติแต่ละคร้ังตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๖ ถึง ปี พ.ศ.๒๕๔๘ เป็นต้นมา ผลจากการศึกษาวิจัยจาก เอกสารข้ันปฐมภูมิ พบว่า หลักการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในพระไตรปิฎกที่ปรากฏในมหา สติปัฏฐานสูตร มีท้ังสมถะและวิปัสสนารวมอยู่ด้วย ความหมายของ สมถะ คือ ภาวะท่ีจิตเป็น สมาธิมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว ผลที่มุ่งหมายคือ ฌาน และ คำว่า วิปัสสนา เป็นช่ือของปัญญาที่รู้ แจ้งในพระไตรลักษณ์ มรรค ผล นิพพาน หรือ ปัญญา ที่รู้แจ้ง ซ่ึงวิสุทธิ ๗ และธรรมที่ควร กำหนดรู้ คือ ขันธ์ ๕ ท่ีควรละ คือ อวิชชา ที่ควรทำให้แจ้ง คือ วิชชาและวิมุตติ ธรรม ๒ ประการ เม่ือเจริญให้ยิ่งข้ึนไปแล้ว จักเป็นไปเพ่ือรู้แจ้งธรรมธาตุหลายประการเพ่ือยังกุศลธรรม คอื โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ ให้เกิดขึน้ เปรียบเหมือนราชทูต ๒ นาย ผู้มีราชการดว่ น นี่เป็น ๕พระมหากฤช ญาณาวโุ ธ (ใจปลืม้ บุญ), “การศกึ ษาวเิ คราะหค์ วามสัมพันธ์ระหว่างญาณและปญั ญาใน พระพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธพ์ ุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย, ๒๕๔๗).


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook