Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_27

tripitaka_27

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:36

Description: tripitaka_27

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 1 พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ท่ี ๓ ขอนอบนอ มแดพ ระผมู ีพระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา พระองคน ั้น ๑. ขนั ธสังยุต มูลปณณาสก นกลุ ปตุวรรคท่ี ๑ ๑. นกลุ ปตสุ ูตร วาดว ยกายเปรยี บดว ยฟองไข [๑] ขา พเจาไดสดบั มาแลว อยา งนี้ :- สมัยหน่งึ พระผูม ีพระภาคเจาประทบั อยู ณ เภสกฬาวัน (ปาเปนท่ีนางยกั ษช อื่ เภสกฬา อยูอาศยั ) อนั เปนสถานท่ีใหอภัยแกหมมู ฤค ใกลเมอื งสุงสมุ ารคริ ะในภคั คชนบท ฯลฯ ครงั้ น้ันแล คฤหบดีชือ่ นกลุ บิดาเขา ไปเฝา พระผมู พี ระภาคเจา ถวายอภิวาทแลว นั่ง ณ ท่ีควรสวนขางหนึ่ง แลวไดกราบทูลพระผูมพี ระภาคเจา วา พระเจา ขา ขา พระองคเปนผูแ กเ ฒา เปนผูใ หญ ลว งกาลผานวัยแลว โดยลําดับ รางกายกระสับกระสาย เจบ็ ปว ยเนอื งๆ พระเจา ขา กข็ าพระองคมิไดเห็นพระผมู -ีพระภาคเจาและภิกษทุ ั้งหลาย ผใู หเ จริญใจอยูเปน นิตย ขอพระผมู ี-

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 2พระภาคเจาโปรดส่งั สอนขา พระองค ขอพระผมู พี ระภาคเจา โปรดพรํา่ สอนขาพระองค ดว ยธรรม เปน ไปเพอื่ ประโยชน เพอื่ ความสขุ แกขาพระองคตลอดกาลนานเถิด. พระผูมีพระภาคเจาตรสั วา นั่น ถูกแลว ๆคฤหบดี อันทีจ่ ริง กายน้กี ระสับกระสา ยเปน ดังฟองไข อันหนงั หมุ ไวดูกอ นคฤหบดี กบ็ คุ คลผบู ริหารกายนีอ้ ยู พึงรูต วั ไดช ดั วา ไมมีโรคไดแ มเพยี งครเู ดยี ว กจ็ ะมีอะไรเลา นอกจากความเปน คนเขลา ดกู อนคฤหบดีเพราะเหตนุ ้แี หละ ทานพงึ ศกึ ษาอยางนีว้ า เมื่อเรามกี ายกระสับกระสา ยอยู จติ ของเราจักไมก ระสบั กระสาย ดกู อ นคฤหบดี ทา นพงึ ศึกษาอยางนแ้ี ล. [๒] ครั้งนัน้ แล คฤหบดีชอ่ื นน้ี กุลบิดาชื่นชมยนิ ดพี ระภาษิตของพระผมู พี ระภาคเจา ลุกจากอาสนะ ถวายอภวิ าทพระผมู ีพระภาคเจาทาํ ประทักษณิ แลว เขา ไปหาทานพระสารบี ตุ ร อภิวาทแลว นั่งอยู ณ ท่ีควรสว นขางหนึ่ง. ทา นพระสารีบตุ ร ไดกลา วกะนกลุ ปต ุคฤหบดีวาดูกอ นคฤหบดี อนิ ทรยี ของทานผอ งใสนัก สีหนาของทา นบริสุทธิ์เปลง ปลง่ั วนั น้ี ทา นไดฟงธรรมกี ถาในท่เี ฉพาะพระพักตรพ ระผมู ีพระภาคเจาหรือ. นกุลปตคุ ฤหบดตี อบวา ขา แตทา นผูเจริญ ไฉนจะไมเปน อยา งนี้เลา พระผมู พี ระภาคเจา ทรงหล่ังอมฤตธรรมรดขา พเจาดว ยธรรมีกถา. ส. ดูกอนคฤหบดี พระผูม ีพระภาคเจาทรงหลัง่ อมฤตธรรมรดทา น ดวยธรรมกี ถาอยางไรเลา . น. ขา แตทานผเู จริญ (ขา พเจา จะเลาถวาย) ขา พเจาเขา ไปเฝาพระผูมีพระภาคเจา ถวายอภิวาทแลว นงั่ อยู ณ ท่ีควรสว นขางหนง่ึ แลว

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 3ไดกราบทูลพระผูมีพระภาคเจาวา พระเจา ขา ขา พระองคเปน ผแู กเฒาเปน ผูใ หญล ว งกาลผา นวัยแลว โดยลาํ ดับ มกี ายกระสบั กระสาย เจบ็ ปว ยเนืองๆ พระเจาขา ก็ขา พระองคม ิไดเห็นพระผูม พี ระภาคเจาและภิกษุทัง้ หลาย ผใู หเจรญิ ใจอยูเปน นติ ย ขอพระผูม พี ระภาคเจา โปรดสั่งสอนขา พระองค ขอพระผูมีพระภาคเจาโปรดพรา่ํ สอนขาพระองคด ว ยธรรมทีเ่ ปนไปเพื่อประโยชน เพอื่ ความสขุ แกขาพระองคต ลอดกาลนานเถิด.เม่ือขา พเจากราบทลู อยา งนี้แลว พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสวา นนั่ ถกู แลว ๆคฤหบดี อันทจี่ ริง กายนีก้ ระ สบั กระสาย เปนดังวาฟองไข อนั หนังหุม ไวดกู อนคฤหบดีกบ็ ุคคลผบู ริหารกายนอ้ี ยู พงึ รูต วั ไดช ดั วา ไมม โี รคไดแ มเพียงครเู ดียว กจ็ ะมอี ะไรเลา นอกจากความเปน คนเขลา ดูกอนคฤหบดีเพราะเหตนุ ัน้ แหละ ทา นพงึ ศกึ ษาอยา งนว้ี า เม่ือเรามกี ายกระสับกระสายอยู จิตของเราจกั ไมกระสบั กระสาย ดูกอ นคฤหบดี ทานพงึศึกษาอยา งน้ีแล ขาแตท านผูเจริญ พระผมู พี ระภาคเจาทรงหล่ังอมฤต-ธรรมรดขาพเจา ดวยธรรมีกถาอยางนีแ้ ล. [๓] ส. ดูกอ นคฤหบดี กท็ า นมิไดทูลสอบถามพระผูมีพระภาคเจาตอ ไปวา พระเจา ขา ดว ยเหตเุ ทาไรหนอ บคุ คลจงึ ชื่อวา เปน ผูมกี ายกระสับกระสาย และเปนผมู ีจิตกระสบั กระสาย และก็ดว ยเหตุเทา ไรเลาบุคคลแมเ ปน ผมู ีกายกระสบั กระสาย แตห าเปน ผมู จี ติ กระสบั กระสายไม. น. ขาแตท า นผูเจริญ ขาพเจามาแมแ ตทไ่ี กล เพ่อื จะทราบเนอ้ืความแหงภาษติ นัน้ ในสํานักทา นพระสารีบุตร ดีละหนอ ขอเนอื้ ความแหง ภาษติ นน้ั จงแจม แจง กะทานพระสารีบุตรเถดิ . ส. ดกู อ นคฤหบดี ถา เชนนนั้ ทานจงฟง จงใสใจใหดี เราจกั กลา ว.

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 4 นกุลปต ุคฤหบดีรับคําทา นพระสารบี ตุ รแลว ทา นพระสารีบุตรจงึ ไดกลาววา สกั กายทิฏฐิ ๒๐ [๔] ดูกอนคฤหบดี กอ็ ยา งไรเลา บคุ คลจงึ ชอ่ื วาเปนผูม ีกายกระสับกระสา ยดว ย จงึ ช่ือวาเปนผูม จี ติ กระสบั กระสายดวย ดูกอนคฤหบดี คือ ปุถุชนในโลกนี้ผมู ไี ดส ดับแลว มไิ ดเ หน็ พระอรยิ ะท้งั หลายไมฉลาดในธรรมของพระอรยิ ะ มไิ ดรบั แนะนาํ ในอรยิ ธรรม มิไดเ ห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไมฉ ลาดในธรรมของสตั บรุ ษุ มไิ ดรบั แนะนําในสัปปุริสธรรม ยอมเห็นรปู โดยความเปน ตน ๑ ยอ มเหน็ ตนมรี ูป ๑ ยอ มเหน็ รปู ในตน ๑ ยอ มเหน็ ตนในรูป ๑ เปน ผตู ้ังอยูดว ยความยดึ มั่นวาเราเปน รูป รูปของเรา เมอ่ื เขาต้ังอยดู ว ยความยึดม่นั วา เราเปน รูปรปู ของเรา รูปนั้นยอ มแปรปรวนเปนอยา งอนื่ ไป เพราะรปู แปรปรวนเปนอยางอน่ื ไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนสั และอปุ ายาสจึงเกิดขึ้นยอ มเห็นเวทนาโดยความเปน ตน ๑ ยอ มเหน็ ตนมเี วทนา ๑ ยอ มเห็นเวทนาในตน ๑ ยอมเหน็ ตนในเวทนา ๑ เปน ผตู ั้งอยูดวยความยึดมัน่ วาเราเปน เวทนา เวทนาของเรา เม่ือเขาต้ังอยดู ว ยความยึดมัน่ วา เราเปนเวทนา เวทนาของเรา เวทนาน้นั ยอมแปรปรวนเปนอยางอน่ื ไป เพราะเวทนาแปรปรวนเปน อยา งอ่นื ไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัสและอุปายาสจงึ เกดิ ข้นึ ยอมเห็นสญั ญา โดยความเปนคน ๑ ยอมเห็นตนมีสัญญา ๑ ยอ มเห็นสญั ญาในตน ๑ ยอ มเหน็ ตนในสญั ญา ๑ เปนผตู ัง้ อยูดว ยความยดึ มั่นวา เราเปนสญั ญา สัญญาของเรา เมื่อเขาตั้งอยดู ว ย

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 5ความยดึ ม่ันวา เราเปนสัญญา สญั ญาของเรา สญั ญานัน้ ยอ มแปรปรวนเปนอยางอ่นื ไป เพราะสัญญาแปรปรวนเปนอยางอนื่ ไป โสกะ ปรเิ ทวะทุกข โทมนัสและอุปายาสจงึ เกดิ ขึน้ ยอมเหน็ สังขารโดยความเปน คน ๑ยอ มเห็นตนมสี งั ขาร ๑ ยอมเห็นสงั ขารในตน ๑ ยอมเหน็ ตนในสังขาร ๑เปนผตู ัง้ อยูดวยความยึดม่ันวา เราเปน สังขาร สงั ขารของเรา เมื่อเขาต้งั อยดู ว ยความยดึ มั่นวา เราเปนสงั ขาร สงั ขารของเรา สังขารนนั้ ยอมแปรปรวนเปนอยา งอ่นื ไป เพราะสังขารแปรปรวนเปนอยางอื่นไปโสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนัสและอปุ ายาสจงึ เกดิ ข้นึ ยอ มเห็นวิญญาณโดยความเปน คน ๑ ยอ มเห็นตนมีวิญญาณ ๑ ยอ มเห็นวญิ ญาณในตน ๑ยอ มเห็นตนในวิญญาณ ๑ เปน ผูตัง้ อยูด วยความยึดมัน่ วา เราเปนวิญญาณ วญิ ญาณของเรา เม่อื เขาตั้งอยดู ว ยความยดึ มนั่ วา เราเปนวิญญาณ วิญญาณของเรา วิญญาณนั้นยอ มแปรปรวนเปนอยา งอน่ื ไปเพราะวิญญาณแปรปรวนเปน อยางอืน่ ไป โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนัสและอุปายาสจึงเกดิ ขนึ้ ดกู อนคฤหบดี ดวยเหตุอยางนีแ้ ล บคุ คลจึงชือ่ วาเปนผมู ีกายกระสับกระสา ย และเปนผมู จี ิตกระสับกระสา ย. [๕] ดกู อนคฤหบดี กอ็ ยางไรเลา บคุ คลแมเปน ผมู กี ายกระสบักระสาย แตหาเปน ผูม จี ิตกระสับกระสายไม ดกู อ นคฤหบดี คอื อรยิ สาวกในธรรมวนิ ยั น้ี ผูไดสดับแลว ผเู หน็ พระอริยะทงั้ หลาย ผูฉลาดในธรรมของพระอรยิ ะ ผูไดร บั แนะนาํ ดีแลว ในอรยิ ะธรรม ผูเห็นสัตบุรุษท้ังหลายผฉู ลาดในธรรมของสตั บรุ ษุ ผไู ดร ับแนะนาํ ดแี ลว ในสปั ปุรสิ ธรรมยอ มไมเ ห็นรปู โดยความเปนตน ๑ ยอ มไมเ ห็นตนมรี ูป ๑ ยอมไมเ ห็นรูปในตน ๑ ยอมไมเ หน็ ตนในรูป ๑ ไมเปนผตู ้งั อยูดวยความยดึ ม่นั วาเราเปน รปู รปู ของเรา เมื่ออรยิ สาวกน้นั ไมตง้ั อยดู ว ยความยดึ ม่ันวา

พระสุตตนั ตปฎก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 6เราเปน รปู รปู ของเรา รปู นั้นยอมแปรปรวนเปนอยา งอื่นไป เพราะรูปแปรปรวนเปนอยา งอ่ืนไป โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนสั และอุปายาสจงึ ไมเ กดิ ขน้ึ ยอมไมเห็นเวทนาโดยความเปน ตน ๑ ยอ มไมเหน็ ตนมีเวทนา ๑ ยอ มไมเ ห็นเวทนาในตน ๑ ยอมไมเห็นตนในเวทนา ๑ ไมเปนผตู งั้ อยูด วยความยดึ มน่ั วา เราเปน เวทนา เวทนาของเรา เมื่ออรยิ สาวกน้ันไมต ั้งอยดู ว ยความยึดมั่นวา เราเปน เวทนา เวทนาของเรา เวทนานั้นยอ มแปรปรวนเปนอยา งอน่ื ไป เพราะเวทนาแปรปรวนเปนอยา งอ่ืนไปโสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนัสและอปุ ายาสจึงไมเ กดิ ข้นึ ยอมไมเหน็สัญญาโดยความเปนตน ๑ ยอมไมเหน็ ตนมีสญั ญา ๑ ยอ มไมเห็นสญั ญาในตน ๑ ยอ มไมเ หน็ ตนในสัญญา ๑ ไมเปนผตู ง้ั อยูดว ยความยึดมน่ั วาเราเปนสัญญา สญั ญาของเรา เมอื่ อรยิ สาวกน้ันไมตัง้ อยูด ว ยความยดึ มนั่ วา เราเปน สญั ญา สญั ญาของเรา สัญญาน้ันยอมแปรปรวนเปนอยางอนื่ ไป เพราะสญั ญาแปรปรวนเปน อยางอ่ืนไป โสกะ ปรเิ ทวะทุกข โทมนสั และอปุ ายาสจึงไมเกิดขึน้ ยอมไมเ ห็นสงั ขารโดยความเปนตน ๑ ยอ มไมเหน็ ตนมีสังขาร ๑ ยอมไมเ ห็นสังขารในตน ๑ ยอ มไมเหน็ ตนในสังขาร ๑ ไมเ ปนผตู ้งั อยดู วยความยดึ มั่นวา เราเปน สังขารสงั ขารของเรา เม่ืออรยิ สาวกนน้ั ไมต้งั อยูดวยความยึดมน่ั วา เราเปนสงั ขาร สังขารของเรา สงั ขารน้นั ยอมแปรปรวนเปนอยา งอน่ื ไป เพราะสังขารแปรปรวนเปน อยา งอ่ืนไป โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนัสและอุปายาสจงึ ไมเกิดขน้ึ ยอมไมเหน็ วญิ ญาณโดยความเปนตน ๑ ยอมไมเห็นตนมวี ญิ ญาณ ๑ ยอ มไมเห็นวิญญาณในตน ๑ ยอมไมเห็นตนในวิญญาณ ๑ ไมเ ปนผูต ้งั อยูดว ยความยึดม่นั วา เราเปน วิญญาณวิญญาณของเรา เมือ่ อริยสาวกนนั้ ไมตัง้ อยูด ว ยความยึดมนั่ วา เราเปนวญิ ญาณ วิญญาณของเรา วิญญาณน้นั ยอ มแปรปรวนเปน อยางอ่นื ไป

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 7เพราะวญิ ญาณแปรปรวนเปน อยา งอน่ื ไป โสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนัสและอปุ ายาสจึงไมเกิดขนึ้ ดกู อ นคฤหบดี อยางนแี้ ลบคุ คลแมม กี ายกระสบั กระสา ย แตหาเปนผูม ีจติ กระสบั กระสา ยไม. ทานพระสารีบตุ รไดกลาวคําน้ีแลว นกุลปตุคฤหบดีชืน่ ชมยนิ ดีภาษิตของทา นพระสารีบุตร ฉะน้ีแล. จบ นกุลปตุสูตรท่ี ๑ สารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค อรรถกถานกุปต สุ ูตรที่ ๑ นกุลปต ุวรรคสตู รท่ี ๑ มวี ินิจฉัยดงั ตอไปน้ี :- บทวา ภคฺเคสุ ไดแก ในชนบทมชี ่ืออยางน้ี. บทวา สุ สุมารคิเร ไดแ ก ในนครช่อื สงุ สุมารคิระ เลากันมาวาเมื่อสรางนครนน้ั จระเขรอง ฉะน้ันคนทง้ั หลายจงึ ตั้งชื่อนครนั้นวาสงุ สุมารคิระ. บทวา เภสกฬาวเน ความวา ในปาท่ไี ดชื่ออยางนี้ เพราะยักษณิ ีช่อื เภสกฬาสงิ อยู ปานน้ั แหละ เรยี กวา มิคทายะ เพราะเปน ท่ีใหอภัยแกหมเู น้อื พระผูมีพระภาคเจา ทรงอาศยั นครน้ันในชนบทนัน้ประทบั อยใู นไพรสณฑนั้น. บทวา นกลุ ปตา ไดแก เปน บดิ าของทารกชื่อน้ีกุละ.

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 8 บทวา ชณิ ฺโณ ไดแก เปน ผคู ราํ่ คราเพราะชรา. บทวา วุฑโฺ ฒไดแก เปนผูเจรญิ วยั . บทวา มหลลฺ โก ไดแก เปน คนแกนับแตเ กิด. บทวาอทธฺ คโต ไดแ ก ลวงกาล ๓. บทวา วโยอนปุ ปฺ ตโฺ ต ไดแกล วงกาล ๓ น้ันๆถงึ ปจฉมิ วัยตามลําดับ. บทวา อาตุรกาโย ไดแ ก มีกายเจ็บไข. ความจริงสรีระนีแ้ มม วี รรณะดงั ทอง กช็ ื่อวากระสับกระสายอยูน่นั เอง เพราะอรรถวาไหลออกเปน นิจ แตวาโดยพิเศษ สรรี ะนน้ั ยอมมีความกระสับกระสา ย ๓ อยาง คอื กระสบั กระสา ยเพราะชรา ๑ กระสบั กระสา ยเพราะพยาธิ ๑ กระสบั กระสา ยเพราะมรณะ ๑ ใน ๓ อยางน้ัน เพราะความเปน คนแก จึงชื่อวากระสบั กระสายเพราะชรานั้นก็จรงิ ถงึอยา งนนั้ ในทนี่ ท้ี า นก็ประสงคเ อาความทีส่ รีระนน้ั กระสับกระสายเพราะพยาธิ เพราะเปนโรคอยูเ นอื งๆ. บทวา อภิกขฺ ณาตงโฺ ก ไดแกเปน โรคเนืองๆ คือเปนโรคอยูเรือ่ ย. บทวา อนจิ จฺ ทสฺสาวี ความวาขาพระองคไ มอาจมาในขณะที่ปรารถนาๆ ไดเ ฝา บางคราวเทา น้นัมิไดเ ฝา ตลอดกาล. บทวา มโนภาวนียาน ไดแก ผใู หเ จรญิ ใจ ก็เมือ่ขา พระองคเ หน็ ภิกษุเหลาใด จติ ยอ มเจรญิ ดวยอาํ นาจกศุ ล ภิกษเุ หลานัน้ไดแ กพระมหาเถระมีพระสารีบตุ รและพระโมคคัลลานะเปนตน ชื่อวาเปน ผใู หเจริญใจ. บทวา อนสุ าสตุ ไดแกขอโปรดสงั่ สอนบอ ย ๆ. จรงิ อยูสอนครง้ั แรกชื่อวาโอวาท สอนครง้ั ตอ ๆ ไปชื่อวา อนุสาสนี. อีกอยางหน่ึงสอนในเรื่องทม่ี แี ลว ชอ่ื วา โอวาท สอนตามแบบแผนคือตามประเพณีนัน่ แหละในเรอื่ งท่ียังไมม ีชือ่ วา อนสุ าสน.ี อกี อยางหน่งึ คําวาโอวาทกด็ ีคําวา อนุสาสนี ก็ดี โดยอรรถเปน อยา งเดียวกนั ทีเดียว ตางกันเพยี งพยญั ชนะเทา นน้ั เอง. บทวา อาตุโร หายั ตดั เปน อาตุโร หิ อย . ความวา กายนม้ี สี ี

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 9เหมอื นทอง แมเสมอดวยไมประยงค กช็ ือ่ วากระสบั กระสาย เพราะอรรถวาไหลออกเปน นจิ . บทวา อณฺฑภโู ต ความวา เปนเหมอื นฟองไขใชการไมได ฟองไขไ กกต็ าม ฟองไขนกยงู ก็ตาม ที่คนเอามาทาํ เปนลกู ขาง จับโยนหรือขวางไป ไมอาจจะเลนได ยอ มแตกในขณะนน้ันนั่ เอง ฉันใด กายแมนี้กฉ็ ันน้ัน เมื่อคนเหยยี บชายผาก็ดี สะดดุ ตอกด็ ีลม ลง ยอมแตกเปนเหมือนฟองไข ฉะนัน้ ทานจงึ กลาววา อณฑฺ ภูโต.บทวา ปริโยนทฺโธ ไดแ ก เพยี งผวิ หนังทล่ี ะเอียดหมุ ไว เพราะฟองไขมีเปลอื กแข็งหุม ไวฉ ะนนั้ แมเหลือบยงุ เปน ตน แอบเขาไปเจาะผวิ ทฟ่ี องไขนนั้ก็ไมอาจใหนา้ํ เยอื่ ไขไหลออกมาได แตทีก่ ายน้ี เจาะผิวหนงั ทาํ ไดต ามปรารถนา กายนผ้ี ิวหนังท่ีละเอียดหุมไวอยางน้.ี บทวา กิมฺตฺร พาลฺยาความวา อยางอน่ื นอกจากความออนแอ จะมอี ะไรเลา กายนอี้ อ นแอจรงิ ๆ. บทวา ตสมฺ า ไดแ ก เพราะกายน้เี ปน อยางน้ี บทวา เตนุปสงฺกมิ ความวา คฤหบดชี ื่อนีก้ ุลบิดา เขา ไปเฝาพระผมู พี ระภาคเจาผูเ ปน สัทธรรมจักรพรรดิ ตอมาประสงคจะทําความเคารพพระธรรมเสนาบดี จงึ เขาไปหาพระสารบี ุตรถงึ ที่อยูเหมือนราชบุรุษเขาเฝา พระเจา จกั รพรรดแิ ลว ตอมาจึงเขา ไปหาทานปรนิ ายกรตั น (อคั รมหาเสนาบด)ี . บทวา วปิ ฺปสนนฺ ามิ ไดแก ผองใสดว ยดี. บทวา อนิ ทฺ ฺริยานิ ไดแ ก อนิ ทรยี มใี จเปน ท่ี ๖. บทวา ปรสิ ทุ โฺ ธไดแก ปราศจากโทษ. คําวา ปรโิ ยทาโต เปนไวพจนของคําวา ปรสิ ทุ โฺ ธนน่ั เอง. จรงิ อยู ทานพระสารีบตุ รนี้ ทา นเรียกวา ปรโิ ยทาโต เพราะทา นปราศจากอปุ กเิ ลสน่นั เอง มใิ ชเ พราะเปนคนขาว. คฤหบดีพอเหน็ ความผอ งแผว ของพระสารีบุตรเทา น้ัน กร็ ูวาทา นมอี นิ ทรยี ผองใส. ไดย ินวาน้เี ปน ปญญาคาดคะเนของพระเถระ.

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 10 บทวา กหหฺ ิ โน สยิ า ความวา เพราะเหตุไรทา นจักไมไ ดปญญานนั้ เลา อธิบายวา ไดแ ลว ทีเดยี ว. ดวยบทนี้ ทานแสดงอะไรแสดงวาเปนผคู นุ เคยกบั พระศาสดา. ไดย นิ วา คฤหบดีนจ้ี าํ เดิมแตไ ดเ หน็ พระศาสดา ก็ไดค วามรักดุจวา ตนเปนบิดา ฝายอุบาสิกาของทา นกไ็ ดค วามรกั ดจุ ตนเปน มารดา.ทา นทั้งสองเรยี กพระผมู ีพระภาคเจาผูศาสดาวา บุตรของเรา. จรงิ อยูความรักของทานทง้ั สองนน้ั มมี าแลว ในภพอนื่ ๆ. ไดย ินวา อุบาสิกาน้นัไดเปน มารดา สวนคฤหบดีนั้นไดเ ปนบิดาของพระตถาคต ๕๐๐ ชาติ.อุบาสกิ าเปนยายและเปนปา -นา อบุ าสกเปนปู และเปน อา ตลอด๕๐๐ ชาตอิ กี . รวมความวา พระศาสดาทรงเจริญเติบโตในมือของทานท้งั สองนน้ั เองสิน้ ๑,๕๐๐ อัตภาพ. ดว ยเหตนุ ั้นนัน่ แล ทา นทง้ั สองนน้ัจงึ นั่งพูดในสาํ นกั ของพระศาสดาใชค ําท่ีใคร ๆ ไมส ามารถจะพูดในที่ไกลบ ุตรและธดิ าได. ก็ดว ยเหตุนีน้ ีแ่ ล พระผมู พี ระภาคเจาจงึ ทรงตั้งทานทงั้ สองนน้ั ไวในตาํ แหนงเอตทคั คะดว ยพระดาํ รัสวา ภกิ ษุทัง้ หลาย บรรดาอุบาสกสาวกทส่ี นทิ สนมของเรา นกุลปต า คฤหบดีจัดเปน เลิศ บรรดาอุบาสิกา สาวิกา ที่สนมิ สนมของเรา นกลุ มาตาคหปตานี เปน เลศิ ดงั น้นั พระองคเม่ือจะทรงประกาศความเปน ผูส นิทสนมน้ีจึงตรัสคํามีอาทวิ า กหฺหิ โน สิยา ดงั น.้ี บทวา อมเตน อภสิ ติ โฺ ต ความวา ฌานกด็ ี วปิ ส สนาก็ดี มรรคก็ดีผลกด็ ี อะไรอ่ืนในท่นี ้ีไมพึงเหน็ วา อมตาภิเสก (คอื การโสรจสรงดวยน้ําอมฤต) แตพระธรรมเทศนาทไี่ พเราะเทานั้น พงึ ทราบวา อมตาภเิ สก.บทวา ทรู โตป ไดแก จากภายนอกแวนแควน บาง ภายนอกชนบทบาง.

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 11 คาํ วา อสุตวา ปุถุชฺชโน นม้ี ีอรรถดงั กลาวมาแลว น่ันแล พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในคําวา อรยิ าน อทสฺสาวี เปน ตนดังตอ ไปนี้ พระพทุ ธเจาพระปจ เจกพุทธเจา และพระสาวกทงั้ หลายกลา ววา อริยะเพราะไกลจากกิเลส เพราะไมด ําเนนิ ไปในความเส่อื ม เพราะดาํ เนินไปในความเจริญ เพราะโลกพรอมดว ยเทวโลกพงึ ดําเนนิ ตาม อน่ึง พระพุทธเจาทั้งหลายนัน้ แล เปน พระอริยะในโลกน้ี อยางท่ที า นกลา วไวว าพระตถาคตทา นเรียกวาอรยิ ะในโลกพรอมทง้ั เทวโลก ฯลฯ ดงั น้ี กพ็ ึงทราบวินิจฉัยในคาํ วา สปปฺ รุ ิสาน ดังตอไปนี้ พระปจ เจกพุทธเจา และพระสาวกของตถาคต พงึ ทราบวา สตั บรุ ษุ จริงอยูท านเหลาน้นัทานกลา ววา สตั บุรุษ เพราะเปน คนงาม เพราะประกอบดว ยคณุ อนั เปนโลกตุ ตระ อน่ึง ทานทัง้ หมดนั้น ทานกลา วไววา เปนทง้ั ๒ อยา ง จรงิ อยูแมพระพทุ ธเจา ทงั้ หลายเปน พระอริยะดว ยเปนสปั บุรษุ ดวย แมพระปจ เจกพุทธเจา และพระสัมมาสมั พทุ ธเจาก็เรยี กอยางน้นั เหมือนกนัเหมอื นพระผูม ีพระภาคเจาตรสั วา บุคคลใดแล เปน ผกู ตัญกู ตเวที เปน นกั ปราชญ เปนกัลยาณมิตร และเปนผมู ีความ ภกั ดีอันม่นั คง กระทํากิจของผไู ดร บั ทุกขโ ดย เคารพ บัณฑิตท้ังหลายเรยี กบคุ คลผเู ชน นน้ั วา เปนสปั ปุรุษ. บทวา กลฺยาณมิตฺโต ทฬหฺ ภตตฺ ิ จ โหติ ความวา กพ็ ทุ ธสาวกทา นกลาวไวดวยบทเพยี งเทา น้ี พระปจเจกพุทธเจาท้ังหลายทา นกลา วดว ยคุณมกี ตญั ตุ า เปน ตน.

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 12 ผูใดมปี กตไิ มเ ห็นพระอรยิ ะเจา เหลา นนั้ ในบัดนี้ และไมท ําความดีในการเห็น ผนู น้ั พึงทราบวา เปนผูไมเ ห็นพระอรยิ ะเจา และผูไมเห็นพระอรยิ ะเจานั้นมี ๒ จาํ พวก คือผไู มเ ห็นดว ยจักษพุ วกหนึง่ ผไู มเ ห็นดวยญาณพวกหนึ่ง ใน ๒ พวกน้ัน ผูไ มเ หน็ ดวยญาณทานประสงคเอาในที่นี.้ แมผทู ่ีเห็นพระอรยิ ะเจาดว ยมงั สจักษุ หรือดวยทิพยจักษุ กช็ ่อื วาเปนอันไมเหน็ อยนู ่ันเอง เพราะถอื เอาเพียงสี (รปู ) แหงจกั ษเุ หลา นน้ัไมใชถ ือเอาโดยเปนอารมณแหง อรยิ ปญญา แมสัตวเดียรัจฉาน มีสุนัขบา นและสนุ ัขจิ้งจอกเปนตน ยอ มเห็นพระอริยเจา ดว ยจกั ษุ และสตั วเหลา นั้นจะชอ่ื วา ไมเหน็ พระอรยิ เจาก็หามไิ ด ในขอ นั้นมีเร่ืองนเ้ี ปน อทุ าหรณ เลา กนั มาวา อปุ ฏฐากของพระเถระผขู ณี าสพ ผอู ยู ณ จติ รลดา-บรรพต เปนผูบวชเม่อื แก วนั หน่ึงทานเที่ยวบณิ ฑบาตกบั พระเถระถอื บาตรและจีวรของพระเถระเดินไปขางหลงั ถามพระเถระวาทานขอรบั ข้ึนชอ่ื วา พระอรยิ เจาทง้ั หลายเปน เชนไร. พระเถระตอบวา บุคคลบางตนในโลกน้เี ปนคนแก ถือบาตรและจวี รของพระอริยะทั้งหลาย ทาํ วัตรปฏิบตั ิ แมเ ทีย่ วไปดวยกนั ก็ไมรจู กั พระอริยะผูม อี ายุ พระอริยะท้งั หลายรไู ดยากอยางน้ี. แมเ มื่อทา นกลา วอยา งนัน้ทานก็ยังไมร อู ยูน ั้นเอง เพราะฉะน้นั การเหน็ ดวยจักษุและการเหน็ดว ยญาณ (ปญ ญา) กช็ ่ือวา เห็น เหมือนอยางทพ่ี ระผูมีพระภาคเจาตรัสไววา ดูกอ น วักกลิ ประโยชนอะไรดวยกายเนา ทท่ี า นเห็นอยูน.ี้ผใู ดแลเหน็ ธรรม ผูนั้นชื่อวา เห็นเรา. ผูใ ดเหน็ เรา ผูน ้นั ชอื่ วา เหน็ ธรรม.เพราะฉะนัน้ แมผ ูทเ่ี หน็ ดว ยจกั ษุไมเ ห็นอนิจจลักษณะเปนตนที่

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 13พระอรยิ ะท้งั หลายเห็นดวยญาณ และไมบ รรลธุ รรมที่พระอริยะบรรลุแลว พึงทราบวาไมเ หน็ พระอริยะ เพราะไมเหน็ ธรรมอนั กระทาํความเปนพระอรยิ ะ และไมเ ห็นความเปน พระอรยิ ะ. บทวา อริยธมฺมสฺส อโกวโิ ท ไดแกผ ไู มฉลาดในอรยิ ธรรมตางโดยสติปฏ ฐานเปน ตน ก็ในคําวา อรยิ ธมฺเม อวนิ ีโต มวี นิ จิ ฉยั ดังตอ ไปน้ี ขึน้ ชอ่ื วา วินัย มี ๒ อยาง ใน ๒ อยางน้ี แตละอยางแบง เปน ๕ อยา ง ทา นเรียกปุถชุ นน้ี วา มไิ ดรับแนะนาํ เพราะไมม วี ินยั นัน้ . กว็ นิ ัยนีม้ ี ๒ อยาง คือ สังวรวนิ ยั ๑ ปหานวินัย ๑ และในวินัย๒ อยางน้ี วนิ ยั แตล ะอยางแบง เปน ๕ อยา ง. แมสงั วรวินัยก็มี ๕ อยาง คอื สีลสังวร สตสิ ังวร ญาณสงั วรขันตสิ งั วร วิริยสังวร. แมปหานวนิ ัยกม็ ี ๕ อยาง คอื ตทังคปหาน วิกขัมภนปหานสมุจเฉทปหาน ปฏปิ ส สทั ธปิ หาน นิสสรณปหาน. ใน ๕ อยางนัน้ สังวรในประโยควา อิมนิ า ปาฏิโมกขฺ ส วเรนอุเปโต โหติ สมุเปโต ภิกษเุ ปน ผูเขา ถึงแลว เขาถงึ พรอ มแลว ดวยปาฏิโมกขสังวรนี้ น้ชี อ่ื วา สีลสังวร สงั วรในประโยควา รกขฺ ติ จกขฺ นุ ทฺ ฺริยจกขฺ ุนฺทฺริเย ส วร อาปชฺชติ ภกิ ษยุ อมรกั ษาจกั ขนุ ทรีย ถงึ ความสํารวมในจกั ขุนทรยี  น้ชี ือ่ วา สตสิ งั วร สังวรในคาถาวา

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 14ยานิ โสตานิ โลกสมฺ ึ สติ เตส นิวารณโสตาน ส วร พรฺ ูมิ ปฺ าเยเต ปถิยฺยเรากระแสเหลาใดในโลก สติเปนเคร่ืองกน้ั กระแสกระแสเหลา นัน้เรากลาวสติวาเปนเครอื่ งกนั้ กระแสทัง้ หลาย กระแสเหลานน้ั อันบัณฑติ จะปด ไดดว ยปญ ญา. นชี้ ่ือวา ญาณสงั วรสังวรในประโยควา ขโม โหติ สีตสฺส อุณฺหสสฺ ภิกษยุ อ มอดทนตอหนาวตอรอ น นชี้ ื่อวา ขันติสังวร สงั วรในประโยควา อปุ ฺปนนฺ กามวติ กกฺ  นาธิวาเสติ ภกิ ษอุ ดกลั้นกามวิตกท่เี กดิ ขึ้นแลวไมไ ด น้ีชอ่ืวิริยสังวร อนึง่ สงั วรทง้ั หมดนี้ทานเรยี กวา สังวร เพราะเปน เคร่ืองปด กนั้ กายทุจริตเปน ตนท่จี ะพงึ ปดก้นั ตามหนา ท่ขี องตน และทา นเรียกวา วนิ ยั เพราะเปนเครือ่ งกําจัดกายทุจรติ เปน ตนทีจ่ ะพงึ กําจัดตามหนา ท่ีของตน สังวรวนิ ัยพงึ ทราบวา แบง เปน ๕ อยา ง ดวยประการฉะน้ีกอน.อนึง่ ในวปิ ส สนาญาณมีนามรูปปริจเฉทญาณเปน ตน การละอนตั ถะนน้ั ๆดว ยวปิ ส สนาญาณน้นั ๆ เหมือนการละความมดื ดวยแสงประทปี นัน่ แล โดยความเปน ปฏิปกษกัน คอื ละสกั กายทิฏฐดิ ว ยการกําหนดนามรูป ละทฏิ ฐิท่ไี มมเี หตแุ ละทฏิ ฐทิ ี่มีเหตไุ มเ สมอกนั ดว ยการกาํ หนดปจ จยั ละวิจิกิจฉาดวยกงั ขาวิตรณวสิ ุทธิอันเปนสว นเบ้อื งปลายแหงการกาํ หนดปจ จัยนน้ั แหละ ละการยดึ ถอื วา เรา ของเราดวยการพิจารณานามรูปโดยเปน กลาป ละสญั ญาในสงิ่ ที่ไมใ ชทางวาเปนทางดว ยมคั คามัคคญาณทัสสนวิสทุ ธิ ละอุจเฉททิฏฐดิ วยการเห็น

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 15ความเกดิ ของนามรปู ละสสั สตทิฏฐดิ วยการเห็นความดบั ของนามรปูละสัญญาในสิง่ ที่มภี ยั วา ไมม ีภยั ดวยการเห็นนามรปู วา เปน ภัย ละสัญญาในอสิ สาทะความยนิ ดี ดว ยการเหน็ อาทนี พโทษ ละสญั ญาในอภริ ติความยินดี ดวยนพิ พิทานปุ สสนา ละความไมอ ยากปลอย ดว ยมุญจิตกุ ามยตาญาณ ละความไมวางเฉยดว ยอเุ บกขาญาณ ละภาวะท่เี ปนปฏิโลมในธรรมฐติ ญิ าณ และในนิพพานดว ยอนโุ ลมญาณ ละการยดึ ถอืนิมติ ในสงั ขารดวยโคตรภูญาณ นชี้ ่ือวา ตทงั คปหาน. อนึ่ง การละธรรมมนี ิวรณเ ปนตนน้ันๆ ดวยอปุ จารสมาธิและอัปปนาสมาธนิ น่ั แล เหมือนการก้นั สาหรา ยบนผิวนาํ้ ดวยการกั้นดวยไมโดยหา มภาวะ คอื ความเปนไปเสีย น้ชี ่อื วา วิกขัมภนปหาน. การละหมูก เิ ลสทเี่ ปนฝก ฝา ยสมทุ ัย ท่ีกลาวไวโดยนัยเปนตน วาเพือ่ ละทิฏฐิในสนั ดานของตนโดยมรรคน้ันๆ เพราะทําอริยมรรค ๔ใหเ กดิ โดยมใิ หเกิดขนึ้ อยา งเด็ดขาด น้ชี ือ่ วาสมจุ เฉทปทาน. อนึ่งการระงบั กเิ ลสทง้ั หลายในขณะแหงผลจติ นี้ชื่อวาปฏปิ สสัทธิปหาน. พระนิพพานที่ละสังขตธรรมไดหมด เพราะสลดั สงั ขตธรรมทง้ั หมดได น้ีชื่อวา นิสสรณปหาน. อีกอยา งหนึ่ง ปหานท้ังหมดนี้ เหตทุ ท่ี านเรยี กวา ปหาน เพราะอรรถวา สละ เรียกวา วนิ ัย เพราะอรรถวา กาํ จัด ฉะนั้นทา นจงึเรียกวา ปหานวินัย. อีกอยา งหนงึ่ ปหานนีท้ า นเรยี กวา ปหานวินยัเพราะมกี ารละกิเลสนน้ั ๆ และเพราะมีการกําจัดกิเลสน้ันๆ แมปหานวนิ ัย ก็พงึ ทราบวา แบงเปน ๕ ดวยประการฉะนี้. วนิ ยั นี้โดยสงั เขปมี ๒ อยาง โดยประเภทมี ๑๐ อยา ง ยอ มไมม ีแกป ถุ ชุ นผูไ มไดศ กึ ษานนั้ เพราะเปน ผทู ําลายสงั วร และเพราะไมล ะ

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 16ส่ิงทค่ี วรละ ฉะน้นั ปถุ ุชนนีท้ านจงึ เรยี กวา ผไู มไดรบั แนะนํา เพราะไมม ีวินยั นั้น. แมใ นคํานีว้ า สปปฺ ุรสิ าน อทสฺสาวี สปปฺ ุรสิ ธมมฺ สสฺ อโกวิโทสปปฺ รุ สิ ธมฺเม อวีนีโต ก็นัยนี้.ความจริง คําน้ีวาโดยอรรถไมแตกตา งกันเลย. เหมือนอยางทต่ี รัสวา ผูเปน อรยิ ะกค็ ือสตั บรุ ุษ ผเู ปน สตั บุรษุ ก็คืออรยิ ะ ธรรมของอรยิ ะกค็ อื ธรรมของสัตบรุ ษุ ธรรมของสัตบรุ ษุ ก็คือธรรมของอรยิ ะ วนิ ยั ของอริยะก็คือวินยั ของสตั บรุ ุษ วินัยของสัตบรุ ษุกค็ ือวินยั ของอริยะ. คาํ วา อริเย ก็ตาม สปฺปุริเส ก็ตาม อริยธมเฺ ม กต็ ามสปฺปรุ สิ ธมฺเม กต็ าม อรยิ วินเย ก็ตาม สปฺปรุ สิ วนิ เย ก็ตาม นๆ้ี เปนอยางเดียวกนั มอี รรถอันเดยี วกัน เสมอกนั เทากัน มีสภาพเปน อยา งนัน้อืน่ ๆก็เปนอยา งนัน้ . บทวา รปู  อตฺตโต สมนุปสฺสติ ความวา ภิกษุบางรูปในศาสนาน้ีพจิ ารณาเห็นรปู โดยความเปนตนวา รปู อันใด เราก็อนั นั้น เราอันใดรูปกอ็ นั น้ัน พิจารณาเห็นรปู และอตั ตาวาเปนอยา งเดยี วกัน. ภกิ ษบุ างรปูในศาสนานพ้ี จิ ารณาเห็นรูปโดยความเปน ตน ฯลฯ พจิ ารณาเหน็ รปู และตนวาเปน อยางเดยี วกัน รวมความวา ยอมเหน็ รปู ดว ยทิฏฐวิ า ตนเหมอื นประทีปนาํ้ มนั ทก่ี ําลังตามอยู คนยอมเห็นเปลวไฟและสีเปนอยางเดียวกันวา เปลวไฟอนั ใด สีก็อนั นนั้ สอี ันใด เปลวไฟกอ็ ันน้นั .บทวา รูปวนฺต วาอตฺตาน ความวา ยดึ สิง่ ทไี่ มม รี ปู วา เปน ตน ยอ มพิจารณาเห็นส่งิ ทไ่ี มมีรปู นั้นวามีรูป เหมือนเห็นตน ไมท ่มี เี งา. บทวา อตฺตนิ วา รูป ความวายึดสง่ิ ทีไ่ มมรี ปู นนั่ แหละวา เปนตน พจิ ารณาเห็นรปู ในตน เหมอื นกลิน่ในดอกไม.บทวา รปู สฺมึ วา อตฺตาน ความวา ยดึ สงิ่ ทีไ่ มม ีรูปน่ันแลวาตนพจิ ารณาเหน็ ตนนน้ั ในรูป เหมือนแกวมณใี นขวด. บทวา ปริยฏุ  ายีความวา ตัง้ อยโู ดยอาการที่ถูกกเิ ลสกลมุ รุม คือโดยอาการที่ถกู ครองงํา.

พระสุตตันตปฎก สงั ยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 17อธบิ ายวา กลนื รปู ดว ยตัณหาและทิฏฐใิ หเ สรจ็ ไปอยางน้วี า เรา วาของเรา ช่อื วายอมยดึ .บทวา ตสฺส ต รูป ไดแก รปู ของเขานั้น คือทยี่ ึดไวอยา งน้ัน แมในขนั ธม เี วทนาขันธเปนตน กน็ ยั นี้แหละ. บรรดาบทเหลานัน้ บทวา รปู  อตตฺ โต สมนปุ สสฺ ติ ความวาทา นกลาว รปู ลวนๆน่ันแลวา ตน.อกี อยา งหน่ึงทา นกลาว สงิ่ ท่ีไมมรี ูปในฐานะ ๗ เหลานี้วา พิจารณาเห็นตนมีรปู หรือ รปู ในตน หรอื ตนในรปู๑ เวทนา โดยเปน ตน ๑ ฯลฯ สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยเปนตนกลาว ตน ท่ีระคนปนกับรูปและอรปู ในฐานะ ๑๒ โดยขันธ ๓ ในบรรดาขันธ ๔ อยา งน้ีวา พจิ ารณาเห็นตนมเี วทนา หรอื เวทนาในตนหรอื ตนในเวทนา ในบรรดาขนั ธเ หลา น้นั ทานกลาวอุจเฉททฏิ ฐิ ในฐานะวา พิจารณาเหน็ รปู โดยเปนตน พจิ ารณาเห็นเวทนา สัญญาสังขาร วญิ ญาณ โดยเปน ตน. ในทฏิ ฐิท่เี หลือ สัสสตทิฏฐิ ยอ มเปน อยา งน้ีสรุปความวา ในปญจขนั ธเหลา นี้ ภวทฏิ ฐิ ๑๕ (วิภวทิฏฐิ ๕) ยอมเปนอยา งนี้ ทฏิ ฐิเหลานัน้ ทั้งหมดพงึ ทราบวา ยอมหา มมรรค ไมห า มสวรรคอนั โสดาปต ตมิ รรค พึงฆา . บทวา เอว โข คหปติ อาตุรกาโย เจว โหติ อาตรุ จิตฺโต จ ความวาขึ้นช่อื วากาย แมของพระพทุ ธเจาท้งั หลายก็ยอ มกระสับกระสา ยเหมอื นกัน สวนจิตซ่งึ คลอ ยตามราคะ โทสะ และโมหะ กช็ ื่อวากระสับกระสาย จติ น้ันทา นแสดงไวใ นทนี่ แ้ี ลว . บทวา น จ อาตโุ ร ความวา ในทีน่ ้ีทา นแสดงถงึ ความทีจ่ ิตสงดัไมกระสับกระสาย เพราะปราศจากกเิ ลส. ดังนนั้ ในพระสูตรนพี้ งึ ทราบวา ทานแสดงถึงโลกิยมหาชนวามีกายกระสบั กระสาย และมีจิตกระสบั กระสาย พระขีณาสพ พงึ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 18ทราบวา มกี ายกระสบั กระสาย มีจิตไมก ระสบั กระสาย พระเสขะ๗ จําพวก มีกายกระสับกระสา ย มีจติ กระสบั กระสา ยกไ็ มใชมีจิตไมกระสับกระสายกไ็ มเ ชิง แตเมื่อจะคบ ยอ มคบแตผ ทู มี่ ีจิตไมกระสบั กระสายเทา นน้ั แล. จบ อรรถกถานกลุ ปต ุสูตรที่ ๑ ๒. เทวทหสูตร วา ดว ยการกาํ จดั ฉนั ทราคะในขนั ธ ๕ [๖] ขา พเจาไดสดับมาแลว อยางน้ี :- สมัยหนึง่ พระผูมีพระภาคเจา ประทบั อยู ณ นคิ มเทวทหะของศากยะทงั้ หลายในสกั กชนบท. ครัง้ นน้ั แล ภกิ ษุมากรูปดว ยกนัปรารถนาจะไปสปู จฉาภมู ชนบท เขา ไปเฝาพระผูม พี ระภาคเจาถวายอภิวาทพระผมู พี ระภาคเจา แลว น่ังอยู ณ ทีค่ วรสว นขา งหน่งึแลว ไดก ราบทลู พระผมู พี ระภาคเจาวา พระพทุ ธเจาขา พวกขา พระองคปรารถนาจะไปสูป จ ฉาภมู ชนบท เพ่อื อยอู าศัยในปจฉาภูมชนบท.พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสถามวา ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย กเ็ ธอท้ังหลายลาสารบี ุตรแลว หรอื .ภิกษุเหลานนั้ กราบทูลวา พระเจาขา พวกขาพระองคยังมไิ ดล าทานพระสารบี ตุ ร. พระผมู ีพระภาคเจาตรัสวา ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย เธอทัง้ หลายจงไปลาสารีบตุ รเถดิ สารบี ตุ รเปน บณั ฑิตอนุเคราะหเ พอื่ นสพรหมจาร.ี ภิกษเุ หลานนั้ ทูลรบั พระผูม พี ระภาคเจาวาอยางน้นั พระเจา ขา.

พระสุตตนั ตปฎก สงั ยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 19 [๗] กส็ มยั น้นั แล ทา นพระสารบี ุตรน่ังอยใู นมณฑปเลก็ ๆแหง หน่งึ ที่มุงดว ยตะไครนาํ้ ไมไ กลพระผมู ีพระภาคเจา ครง้ั น้นั แลภกิ ษุเหลานัน้ ชื่นชมยนิ ดีพระภาษิตของพระผูมพี ระภาคเจา ลกุ จากอาสนะ ถวายอภิวาท ทาํ ประทักษิณพระผมู พี ระภาคเจาแลว พากนัเขา ไปหาทานพระสารีบุตร กลาวคาํ ปราศรัยกับทานพระสารบี ตุ รครั้นผานการปราศรัยพอใหร ะลกึ ถงึ กนั ไปแลว จึงนั่งอยู ณ ทค่ี วรสว นขางหนึ่ง แลว ไดก ลาวกะทานพระสารบี ตุ รวา ขาแตทา นพระสารีบตุ รขา พเจาทัง้ หลายปรารถนาจะไปปจ ฉาภูมชนบท เพอื่ อยูอ าศัยในปจ ฉาภมู ชนบท ทา นพระสารบี ุตรกลาววา ทานทัง้ หลายกราบทลู ลาพระศาสดาแลวหรอื ดูกอ นทานผมู อี ายทุ ง้ั หลาย ก็กษตั ริยผ ูเปนบัณฑติ บา ง พราหมณผเู ปนบัณฑติ บาง คฤหบดผี เู ปน บัณฑิตบางสมณะผูเปน บัณฑิตบาง เปน ผถู ามปญหากะภิกษุผูไ ปไพรัชประเทศตางๆมีอยู ดูกอ นทานผมู ีอายทุ ั้งหลาย กพ็ วกมนุษยทเี่ ปนบัณฑติ ทดลองถามวา พระศาสดาของพวกทา นมีวาทะอยา งไร ตรสั สอนอยา งไรธรรมท้ังหลายพวกทานฟงดแี ลว เรยี นดแี ลว ใสใ จดีแลว ทรงจาํ ดแี ลวแทงตลอดดแี ลว ดวยปญญาบา งหรือ ทานผูมอี ายทุ ้ังหลาย พยากรณอยางไร จึงจะช่อื วาเปน ผกู ลา วตามทีพ่ ระผูม พี ระภาคเจา ตรัสแลวจะไมกลา วตพู ระผมู พี ระภาคเจา ดว ยคาํ ไมจ รงิ และพยากรณธ รรมสมควรแกธ รรม ท้งั การคลอ ยตามวาทะท่ถี กู ไรๆ จะไมพ งึ ถกู วิญชู นติเตยี นได. ภิ. ขาแตท า นผมู อี ายุ ขา พเจา ทงั้ หลายมาแมแ ตท่ีไกล เพื่อจะรูเนอื้ ความแหง ภาษติ นน้ั ในสํานักทา นพระสารีบุตร ดลี ะหนอ ขอเนื้อความแหงภาษิตน้นั จงแจมแจง กะทานพระสารีบตุ รเถิด.

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยตุ ตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 20 [๘] ส. ถาเชน นัน้ ทา นทัง้ หลายจงฟง จงใสใ จใหด ี เราจกั กลาวภกิ ษุเหลาน้ันรับคาํ ทา นพระสารีบุตรแลว ทานพระสารบี ตุ รไดก ลาววาทา นผูม อี ายทุ งั้ หลาย กก็ ษตั รยิ เปนบณั ฑติ บาง พราหมณเ ปน บณั ฑติ บางคฤหบดีเปน บัณฑิตบา ง สมณะเปนบัณฑติ บาง เปน ผูถ ามปญหากะภกิ ษผุ ไู ปไพรชั ประเทศตางๆมีอยู ดกู อนทา นผูม อี ายุทง้ั หลาย ก็มนษุ ยทัง้ หลายทเ่ี ปน บัณฑติ จะทดลองถามวา พระศาสดาของทา นผมู อี ายุทงั้ หลาย มวี าทะวา อยางไร ตรัสสอนอยา งไร ดูกอ นทา นผมู ีอายทุ ้ังหลายทานท้ังหลายถกู ถามอยางนี้แลว พงึ พยากรณอยางนี้ ดูกอนทา นผมู อี ายุทั้งหลาย พระศาสดาของเราทง้ั หลายตรสั สอนใหก ําจัดฉันทราคะเม่อื ทานท้ังหลายพยากรณอ ยา งน้แี ลว กษตั ริยผ ูเปนบณั ฑติ บางพราหมณผ เู ปน บณั ฑติ บาง คฤหบดีผูเปนบณั ฑิตบา ง สมณะผเู ปนบัณฑติ บาง พึงถามปญ หายิ่งขน้ึ ไป ดูกอนทา นผมู ีอายทุ ้ังหลาย กม็ นษุ ยท้ังหลายที่เปน บณั ฑิตจะทดลองถามวา ก็พระศาสดาของทา นผมู อี ายุทัง้ หลาย ตรสั สอนใหก าํ จดั ฉนั ทราคะในสิ่งอะไร ทา นทงั้ หลายถูกถามอยา งนแ้ี ลว พงึ พยากรณอยา งน้วี า ดูกอนทา นผูม ีอายทุ ้งั หลาย พระศาสดาตรสั สอนใหกําจัดฉันทราคะในรปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณดกู อนทานผูม ีอายุท้ังหลาย เม่อื ทา นท้ังหลายพยากรณอ ยางนีแ้ ลวกษตั รยิ ผูเ ปนบณั ฑิตบาง พราหมณผ ูเปน บณั ฑิตบา ง คฤหบดีผูเปนบัณฑติ บา ง สมณะผูเ ปน บัณฑิตบาง พึงถามปญ หายงิ่ ขนึ้ ไป กม็ นษุ ยทง้ั หลายที่เปนบัณฑิต จะทดลองถามวา กพ็ ระศาสดาของทานผมู ีอายุทง้ั หลายทรงเห็นโทษอะไร จึงตรสั สอนใหกําจัดฉนั ทราคะในรปู เวทนาสญั ญา สงั ขาร วิญญาณ ดูกอนทานผูมอี ายุทงั้ หลาย ทานทัง้ หลายถูกถามอยางนี้แลว พงึ พยากรณอยา งนี้วา ดูกอนทานผมู ีอายทุ ้ังหลายเมื่อบคุ คลมคี วามกาํ หนัด ความพอใจ ความรัก ความกระหาย

พระสตุ ตนั ตปฎก สังยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 21ความกระวนกระวาย ความทะยานอยากในรูป เวทนา สญั ญา สังขารและวิญญาณ ยงั ไมปราศจากไปแลว โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนสั และอปุ ายาสยอ มเกดิ ขน้ึ เพราะรปู เวทนา สัญญา สงั ขาร และวิญญาณแปรปรวนเปน อยา งอน่ื ไป ดกู อ นทา นผมู ีอายทุ ั้งหลาย พระศาสดาของเราทงั้ หลายทรงเห็นโทษน้แี ล จึงตรัสสอนใหกําจดั ฉนั ทราคะในรูปเวทนา สญั ญา สังขาร และวิญญาณ ดูกอนทา นผมู อี ายทุ ัง้ หลายแมเ มื่อทานท้งั หลายพยากรณอ ยางนี้แล กษัตรยิ ผ ูเ ปน บัณฑิตบา งพราหมณผ เู ปน บณั ฑติ บา ง คฤหบดผี เู ปนบณั ฑติ บาง สมณะผูเปนบณั ฑิตบาง พงึ ถามปญหายิง่ ข้นึ ไป ดูกอนทานผูมอี ายุท้งั หลาย ก็มนุษยทัง้ หลายที่เปนบณั ฑติ จะทดลองถามวา ก็พระคาสดาของทานผมู อี ายุท้งั หลาย ทรงเหน็ อานสิ งสอะไร จึงตรสั สอนใหก ําจัดฉนั ทราคะในรปูเวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ ทานท้ังหลายถูกถามอยางนแี้ ลวพงึ พยากรณอ ยางน้ีวา ดกู อ นทานผูมีอายทุ ัง้ หลาย เม่อื บคุ คลมีความกําหนัด ความพอใจ ความรัก ความกระหาย ความกระวนกระวายความทะยานอยากในรปู เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณปราศจากไปแลว โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนสั และอุปายาสยอ มไมเกดิ ข้นึ เพราะรูป เวทนา สญั ญา สังขาร และวิญญาณ แปรปรวนเปน อยางอ่ืนไป ดกู อ นทา นผมู อี ายุทั้งหลาย พระศาสดาของเราทั้งหลายทรงเห็นอานสิ งสน แี้ ล จงึ ตรสั สอนใหก ําจดั ฉนั ทราคะในรปู เวทนาสัญญา สังขาร และวิญญาณ. [๙] กอนทานผมู อี ายุทงั้ หลาย ก็เม่อื บุคคลเขา ถึงอกุศลธรรมท้ังหลายอยู จกั ไดม ีการอยสู บาย ไมม คี วามลาํ บาก ไมม คี วามคบั แคนไมมคี วามเดอื ดรอน ในปจจบุ นั นี้ และเมอ่ื ตายไปแลว ก็พึงหวงั สุคตไิ ซร

พระสุตตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 22พระผูมพี ระภาคเจากจ็ ะไมพ ึงทรงสรรเสรญิ การละอกุศลธรรมทัง้ หลายก็เพราะเม่อื บุคคลเขา ถึงอกุศลธรรมทั้งหลาย ยอมมกี ารอยเู ปนทกุ ขมคี วามลําบาก มีความคับแคน มคี วามเดือดรอ น ในปจ จุบนั และเมอื่ตายไปแลว ก็พงึ หวงั ไดทุคติ ฉะน้ัน พระผูมีพระภาคเจา จึงทรงสรรเสรญิ การละอกุศลธรรมท้ังหลาย. [๑๐] ดูกอนทา นผูมอี ายุทัง้ หลาย แตเ มื่อบคุ คลเขา ถึงกุศลธรรมทงั้ หลายอยู จักไดมกี ารอยเู ปนทกุ ข มีความลาํ บาก ความคบั แคนมคี วามเดอื ดรอ น ในปจจบุ นั นี้ และเมื่อตายไปแลว กพ็ งึ หวงั ไดทคุ ตไิ ซรพระผมู ีพระภาคเจา ก็จะไมพึงทรงสรรเสรญิ การเขา ถึงกุศลธรรมทั้งหลาย ก็เพราะเมือ่ บุคคลเขาถงึ กุศลธรรมท้ังหลายอยู มกี ารอยูสบายไมมีความลําบาก ไมมคี วามคับแคน ไมมคี วามเดือดรอน ในปจ จบุ นั นี้และเมื่อตายไปแลว กพ็ ึงหวงั ไดส ุคติ ฉะน้ัน พระผมู พี ระภาคเจาจึงทรงสรรเสรญิ การเขา ถึงกศุ ลธรรมท้ังหลาย ทานพระสารีบุตรไดก ลา วคําน้ีแลว ภกิ ษุเหลาน้ันชน่ื ชมยนิ ดภี าษิตของทานพระสารบี ุตร ฉะน้แี ล. จบ เทวทหสตู รที่ ๒ อรรถกถาเทวทหสูตรที่ ๒ ในเทวทหสูตรท่ี ๒ มวี นิ จิ ฉยั ดงั ตอ ไปนี้ เจาทัง้ หลายทา นเรียกวาเทวะ สระอันเปน มงคลของเจา เหลานน้ั ช่อื วา เทวทหะ อีกนัยหน่ึงสระนน้ั เกดิ เอง เพราะเหตดุ งั นี้นัน้ ทานจึงเรียกวา เทวทหะ นคิ มมอี ยูในทีไ่ มไกลสระเทวทหะนั้น จึงวา เทวทหะนั้นแหละโดยเปนนปงุ สกลงิ คบทวา ปจฺฉาภมู คามกิ า ไดแ ก ผูใ ครจ ะไปยงั ปจฉาภมู ชนบททต่ี ้ังอยูใน

พระสตุ ตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 23ทิศอืน่ อกี บทวา นวิ าส ไดแก อยูจาํ พรรษาตลอด ๓ เดือน บทวาอปโลกิโต แปลวา บอกลา บทวา อปโลเกถ แปลวา ขอทา นจงบอกลาถามวา เพราะเหตไุ ร จึงใหพ ระเถระบอกลา ? ตอบวา เพราะมีพทุ ธประสงคจะทาํ ใหทา นเหลา นัน้ มภี าระหนา ท่ี จริงอยู ผใู ดแมเ มือ่ อยูในวิหารเดยี วกันกไ็ มไ ปสสู าํ นัก เม่อื จะหลีกไป กห็ ลีกไปโดยไมบอกลาผนู ีช้ ือ่ วา นพิ ฺภาโร ไมม ภี าระ ผใู ดแมอยูในวหิ ารเดยี วกัน ก็มาพบกันไดเมือ่ จะหลกี จาํ ตอ งบอกลา ผูน ้ีชอื่ วา มีภาระ ภิกษแุ มเหลา นหี้ าเปน เชน น้นั ไมพระผูม ีพระภาคเจา ทรงพระดาํ ริวา ภกิ ษเุ หลาน้จี กั เจรญิ ดว ยคุณมศี ีลเปนตน แมดว ยอาการอยา งน้ี จงึ มีพระพทุ ธประสงคจะทรงนาํภกิ ษุเหลา น้ัน ใหมีภาระหนาท่ี จึงรบั ส่งั ใหบอกลา. บทวา ปณฑฺ โิ ตความวา ผูประกอบดว ยความเปนบณั ฑิต ๔ อยา ง มีความเปนผูฉลาดในธาตเุ ปน ตน. บทวา อนุคฺคาหโก ไดแ กผ ูอ นุเคราะหด วยการอนุเคราะห๒ อยา ง คือ อนุเคราะหดวยอามสิ และอนเุ คราะหดว ยธรรม ไดย ินวา พระเถระ ไมไปบณิ ฑบาตแตเชา ตรเู หมอื นภกิ ษุเหลาอืน่ เมอ่ื ภกิ ษุทง้ั ปวงไปแลว กเ็ ดนิ ตรวจไปตามลําดบั ท่ัวสงั ฆารามกวาดทที่ ีไ่ มไดก วาด ทงิ้ หยากเย่ือที่ยังไมไ ดท งิ้ เกบ็ งาํ เตียงตั่งเคร่ืองไมแ ละเครือ่ งดิน ทเี่ กบ็ ไวไ มดใี นสังฆาราม ถามวา เพราะเหตไุ ร?แกวา เพราะประสงควา อัญญเดยี รถียผูเขา ไปวหิ ารเหน็ เขา อยากระทาํความดูหมนิ่ แตน ้ันไดไปยงั ศาลาภิกษไุ ข ปลอบใจภกิ ษุไขถ ามวาตองการอะไร จึงหาภิกษุหนุมและสามเณรของภิกษเุ หลานนั้ ไปเพื่อประโยชนต ามท่ีประสงค แลว แสวงหาเภสัชดว ยภิกขาจารวตั รหรือในท่ที ค่ี นชอบพอกัน ถวายแกภิกษุเหลาน้นั จึงสง ภกิ ษุเหลานน้ั ไปดวยกลาววา ขึ้นชื่อการบํารงุ ภิกษุไข พระพุทธเจาและพระปจ เจกพุทธเจา

พระสุตตันตปฎก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 24สรรเสรญิ แลว ไปเถิด ทา นสปั ปรุ ุษ พวกทา นอยาเปน ผปู ระมาท แลวตนเองกเ็ ท่ยี วไปบณิ ฑบาตหรือกระทาํ ภตั กจิ ในตระกูลอุปฏฐาก แลว ไปสวู ิหารขอ นี้เปนเพราะพระเถระนนั้ เคยประพฤติมาในสถานที่อยปู ระจาํกอน กเ็ ม่ือพระผมู ีพระภาคเจา เสดจ็ จาริกไป พระเถระคดิ วา เราเปนพระอคั รสาวกจึงไมเดินสรวมรองเทากนั้ รมไปขางหนา. ก็ในบรรดาภิกษุเหลา นนั้ ภิกษเุ หลา ใดเปนผูแ ก เปน ผไู ข หรือยงั หนุม นัก พระเถระกใ็ หเ อานํ้ามันทาท่เี จบ็ ของภิกษุเหลานน้ั แลวใหภ กิ ษุหนมุ และสามเณรของตนถอื บาตรและจวี ร วนั นัน้ หรอื วันรงุ ข้นึ กพ็ าภกิ ษุเหลา นั้นไปวันหนึ่งพระศาสดาทรงเห็นทา นผูน ี้แล ไมไดเสนาสนะน่งั อยูในกลดเพราะมาถงึ เวลาวกิ าลเกนิ ไป วันรุงข้ึนจงึ ใหประชุมภกิ ษุสงฆแสดงเรื่องชาง ลงิ และนกกระทา แลวทรงบญั ญตั ิ สกิ ขาบทวา ทา นพงึ ใหเสนาสนะตามลําดับผูแ ก. อนั ดับแรกพระองคท รงอนุเคราะหด ว ยอามิสดวยประการฉะน้ี กแ็ ลพระองคเมอื่ จะทรงโอวาทรอยครัง้ บา งพนั ครงั้ บา ง จนกระทัง่ บคุ คลนัน้ ดาํ รงอยูในโสดาปตตผิ ล ลําดับน้ันจึงทรงผละบคุ คลน้ันแลวโอวาทบคุ คลอ่นื โดยนัยน้คี นท้งั หลายตงั้ อยใู นโอวาทของพระองคผ ูทรงโอวาทอยู กบ็ รรลพุ ระอรหัตนบั ไมถว นพระองคท รงอนเุ คราะหดวยธรรมดวยประการฉะน.้ี บทวา ปจฺจสฺโสสุ ความวา ภกิ ษุเหลา นน้ั คิดวา ผูนไ้ี มไดเ ปนอปุ ชฌาย ไมไ ดเ ปน อาจารย ไมไ ดเปน เพอื่ นเหน็ เพอ่ื นคบกนั มา ดงั นนั้เราจักทาํ ในสํานักของทานดังน้ีแลว มิไดนิง่ เฉยเสีย จึงรบั พระดาํ รสัพระศาสดาวา อยางนั้นพระเจา ขา . บทวา เอลคลาคมุ เฺ พ ไดแก ที่โรงท่มี ุงบงั ดว ยตะไครน า้ํ ไดยินวาพมุ ตะไครนาํ้ นั้นเกดิ ในท่มี นี ํ้าขังนานๆ ครั้งนั้นภิกษุเหลานน้ั ทําโรง

พระสตุ ตันตปฎก สงั ยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 25๔ เสาในทีน่ นั้ แลวยกพุมตะไครนํ้านัน้ ขึ้นไวบ นโรงนน้ั ตะไครนา้ํ นั้นปด กนั้ โรงนน้ั ทนี่ ้นั ภกิ ษเุ หลา น้นั จงึ กอ อฐิ ไวภายใตโรงนัน้ เกลยี่ ทรายปลู าดอาสนะไว ลมออ นๆพัดตอ งทีพ่ กั กลางวนั อันรมเยน็ พระเถระนั่งในท่ีนัน้ ซง่ึ ทา นมงุ หมายกลา วไวว า ทีพ่ มุ ตะไครน ํา้ . บทวา นานา-เวรชชฺ คต ความวา ไดแกประเทศตา งๆนอกจากประเทศพระราชาพระองคห นึง่ . บทวา วิรชฺช ไดแ ก ประเทศอ่ืน เหมอื นอยางวา ถิ่นอน่ืนอกจากถนิ่ ของตนออกไป ชื่อวา วิเทส (ตางถ่นิ ) ฉันใด ประเทศอ่ืนนอกจากประเทศทเี่ คยอยอู าศยั ช่ือวิรัชชะ (ตา งประเทศ) ฉันน้ัน.ตางประเทศนนั้ ทานเรียกวา เวรชั ชะ. บทวา ขตตฺ ิยปณฑฺ ิตา ไดแ กพระราชาผูเปนบัณฑิต มีพระเจาพมิ พิสารและพระเจาโกศลเปนตน .บทวา พรฺ าหมฺ ณปณฑฺ ติ า ไดแก พราหมณผ ูเ ปน บณั ฑติ มจี งั กีพราหมณและตารุกขพราหมณเ ปน ตน . บทวา คหปติปณฺฑิตา ไดแก คฤหบดีผูเปนบัณฑิต มจี ิตตคฤหบดีและสทุ ตั ตคฤหบดเี ปนตน. บทวา สมณปณฺฑติ าไดแ ก นกั บวช ผเู ปน บณั ฑิต มสี พั พิยปรพิ าชก และปโลติกปริพาชกเปน ตน . บทวา วีม สกา ไดแ กผแู สวงหาประโยชน. บทวา กึวาที ไดแกทา นกลาวความเห็นของตนวาอยางไร อธบิ ายวา ผูมีลทั ธิวาอยางไร.บทวา กมิ กขฺ ายี ไดแก บอกโอวาทและอนสุ าสนแกสาวกทั้งหลายวาอยางไร. บทวา ธมมฺ สฺส จานุธมมฺ  ไดแก พยากรณต ามพยากรณที่พระผูมพี ระภาคเจาตรัสแลว. บทวา สหธมฺมโิ ก ไดแ ก ผเู ปนไปกับดวยเหต.ุ บทวา วาทานุวาโท ไดแก กลาวตามวาทะท่ีพระผูมพี ระภาคเจาตรสั . บาลี วาทานุวาโต ดังนกี้ ็ม.ี อธบิ ายวา ตกไปตาม คลอ ยตามเปนไปตาม. แมด ว ยบทนี้ เปน อนั ทา นแสดงเฉพาะวาทะทีค่ ลอยตามวาทะนัน่ เอง

พระสตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 26 ในบทวา อวตี ราคสสฺ พึงทราบอรรถโดยตณั หาน่ันเอง เพราะฉะน้ันตณั หาแล ทา นเรียกวา ราคะ เพราะกําหนดั วา ฉันทะ เพราะพอใจ วา เปมะ เพราะอรรถวาประพฤตริ ักใคร วา ปป าสาระหายเพราะอรรถวา ประสงคจะดม่ื วาปริฬาหะรุมรอน เพราะอรรถวาตามเผา. ถามวา เพราะเหตไุ ร ทานจงึ เริ่มคําเปนตน วา อกุสเล จาวโุ สธมเฺ ม แกวา เพอ่ื แสดงโทษของผไู มป ราศจากราคะและอานสิ งสของผูป ราศจากราคะในขนั ธ ๕. บรรดาบทเหลานั้น บทวา อวิฆาโต ไดแ กผหู มดทกุ ขแ ลว. บทวา อนปุ ายาโส ไดแ ก ผหู มดความเดอื ดรอ น.บทวา อปริฬาโห ไดแ กผ ไู มม คี วามรมุ รอน พึงทราบความทกุ บทดงั วามานี้. จบ อรรถกถาเทวทหสตู รที่ ๒ ๓. หลิททกิ านิสูตรที่ ๑ วา ดว ยลกั ษณะมุนี [๑๑] ขา พเจาไดสดบั มาแลวอยางน้ี :- สมยั หนึ่ง ทานพระมหากัจจานะอยู ณ ภูเขาชันขางหนึง่ ใกลกุรรฆรนคร แควน อวนั ตี ครั้งนั้นแล คฤหบดชี ่ือวาหลทิ ทกิ านิเขาไปหาทา นพระมหากจั จานะถงึ ทอ่ี ยู อภิวาทแลว นัง่ อยู ณ ทค่ี วรสว นขางหน่งึแลว ไดก ลา วกะทานพระมหากจั จานะวา ขา แตทา นผูเจริญ พระผมู -ีพระภาคเจาตรัสพระภาษิตนีใ้ นมาคัณฑิยปญหา อนั มใี นอฏั ฐกวรรควา

พระสตุ ตันตปฎก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 27 มุนลี ะท่อี ยูแ ลว ไมม ีทพ่ี ักเที่ยวไป ไมทํา ความสนทิ สนมในบา น เปน ผูวา งจากกามทง้ั หลาย ไมม งุ ถงึ กาลขางหนา ไมทําถอยคาํ แกง แยงกบั ชนอนื่ ดังน.้ี ขา แตท า นผูเ จรญิ เน้ือความแหง พระพทุ ธวจนะทพี่ ระผมู ี-พระภาคเจา ตรัสโดยยอ นี้ จะพงึ เห็นไดโดยพิสดารอยางไร. [๑๒] พระมหากัจจานะไดก ลา ววา ดูกอ นคฤหบดี รูปธาตุเปนทอ่ี ยูอ าศัยของวญิ ญาณ กแ็ หละมุนใี ดมวี ิญญาณพัวพนั ดว ยราคะในรปู ธาตุ มนุ นี ้ันทา นกลา ววา มที ่ีอยอู าศัยเทย่ี วไป ดูกอ นคฤหบดี เวทนา...สัญญา...สงั ขารธาตเุ ปน ทีอ่ ยูอ าศัยของวญิ ญาณ ก็แหละมุนใี ดมีวิญญาณพวั พันดว ยราคะในสงั ขารธาตุ มุนีน้นั ทานกลาววามีที่อยอู าศยัเท่ียวไป ดูกอนคฤหบดี มนุ ีช่ือวา เปน ผมู ที อี่ ยอู าศยั เท่ียวไป ดว ยประการอยา งนแ้ี ล. [๑๓] ดกู อนคฤหบดี กม็ นุ ีเปนผไู มม ีท่อี ยอู าศยั เท่ียวไปอยางไรดูกอนคฤหบดี ความพอใจ ความกําหนดั ความเพลิดเพลนิความทะยานอยาก ความเขาถงึ ความยึดมน่ั อนั เปน ทต่ี งั้ ทีอ่ ยอู าศยัแหง จิตเหลา ใด ในรปู ธาตุ ความพอใจเปนตนเหลา นน้ั อนั พระตถาคตทรงละเสยี แลว ทรงตัดรากขาดแลว ทาํ ใหเปน ดังตาลยอดดวนทรงกระทาํ ใหไ มม ี มอี ันไมเ กดิ ขึ้นตอ ไปเปน ธรรมดา เพราะฉะน้นัพระตถาคตบณั ฑติ จงึ กลาววา เปน ผูไมมีทีอ่ าศยั เทย่ี วไป ดกู อ น

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 28คฤหบดี ความพอใจ ความกําหนัด ความเพลดิ เพลนิ ความทะยานอยากความเขา ถึง ความยึดมัน่ อันเปน ทตี่ ง้ั ทีอ่ ยูอาศยั แหง จิตเหลา ใดในเวทนาธาตุ... ในสญั ญาธาต.ุ .. ในสงั ขารธาต.ุ .. ในวญิ ญาณธาตุความพอใจเปนตน เหลานน้ั อันพระตถาคตทรงละเสยี แลว ทรงตัดรากขาดแลว ทรงทําใหเปนดงั ตาลยอดดวน ทรงกระทาํ ใหไ มม ี มอี ันไมเกิดขึ้นตอ ไปเปน ธรรมดา เพราะฉะน้นั พระตถาคตบณั ฑิตจึงกลา ววาเปนผไู มม ที ีอ่ ยูอาศัยเทย่ี วไป ดกู อนคฤหบดี มนุ ชี อื่ วา เปนผไู มมที ีอ่ ยูอาศัยเที่ยวไปอยา งนแ้ี ล. [๑๔] ดูกอ นคฤหบดี กม็ นุ เี ปน ผมู ที ่ีพักเทยี่ วไปอยางไร ดกู อนคฤหบดี มนุ ที า นกลา ววา เปนผูมที ่พี กั เท่ียวไป เพราะซา นไปและพัวพันในรูป อันเปน นมิ ติ และเปน ทีพ่ ัก ดกู อนคฤหบดี มุนีทา นกลา ววาเปนผมู ีทพ่ี กั เที่ยวไป เพราะซา นไปและพัวพันในเสียง... ในกลนิ่ ... ในรส...ในโผฏฐัพพะ... ในธรรมารมณ อนั เปนนิมติ และเปนท่ีพกั ดูกอนคฤหบดี มุนเี ปน ผูม ีทพี่ กั เทย่ี วไป อยา งนแี้ ล. [๑๕] ดกู อนคฤหบดี ก็มนุ ีเปน ผไู มมีท่พี กั เท่ียวไปอยา งไร ดูกอ นคฤหบดี กิเลสเปนเหตุซา นไปและพวั พนั ในรูปอนั เปน นมิ ิตและท่พี ักอนั พระตถาคตทรงละเสียแลว ทรงตดั รากขาดแลว ทําใหเปนดงัตาลยอดดวน ทรงกระทําใหไ มม ี มอี นั ไมเกดิ ข้นึ ตอไปเปน ธรรมดาเพราะฉะน้นั พระตถาคตบัณฑติ จึงกลา ววา เปน ผูไมมีท่ีพักเทยี่ วไปดกู อนคฤหบดี กเิ ลสเปนเหตุไปพัวพนั ในเสยี ง... ในกลน่ิ ... ในรส...ในโผฏฐพั พะ... ในธรรมารมณอนั เปนนมิ ติ และเปน ท่ีพัก อนั พระตถาคตทรงละเสียแลว ทรงตดั รากขาดแลว ทาํ ใหเปน ดงั ตาลยอดดว นทรงกระทาํ ใหไ มมี มอี นั ไมเกดิ ขน้ึ ตอ ไปเปน ธรรมดา เพราะฉะนน้ั

พระสตุ ตนั ตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ท่ี 29พระตถาคตบัณฑิตจงึ กลา ววา เปนผูไมมที ่ีพกั เทีย่ วไป ดูกอ นคฤหบดีมุนชี ่อื วาเปน ผไู มม ที ี่พักเทยี่ วไปอยา งนแ้ี ล. [๑๖] ดูกอ นคฤหบดี ก็มุนีเปนผูสนิทสนมในบา นอยา งไร ดกู อ นคฤหบดี มุนบี า งคนในโลกนี้ เปน ผูคลุกคลีกับพวกคฤหสั ถอ ยู คอื เปนผพู ลอยชืน่ ชมกบั เขา พลอยโศกกบั เขา เม่ือพวกคฤหสั ถมสี ขุ ก็สขุ ดว ยมที กุ ข กท็ ุกขดว ย เม่ือพวกคฤหสั ถม กี รณยี กจิ ทีค่ วรทําเกดิ ข้นึ กข็ วนขวายในกรณียกจิ เหลา นัน้ ดว ยตนเอง ดกู อ นคฤหบดี มนุ ีเปน ผูส นิทสนมในบา นอยา งน้ีแล. [๑๗] ดกู อ นคฤหบดี ก็มนุ ีไมเปนผูสนทิ สนมในบานอยางไรดูกอนคฤหบดี ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ไมเปนผคู ลกุ คลกี บั พวกคฤหัสถ คือไมพ ลอยชื่นชมกบั เขา ไมพ ลอยโศกกบั เขา เม่ือพวกคฤหสั ถม สี ุขกไ็ มสุขดว ย มที ุกข ก็ไมท กุ ขด วย เมื่อคฤหสั ถมีกรณยี กจิ ท่คี วรทําเกิดขึน้ก็ไมข วนขวายในกรณียกิจเหลา นนั้ ดวยตนเอง ดกู อ นคฤหบดี มนุ ีไมเปนผูสนทิ สนมในบา น อยางนี้แล. [๑๘] ดูกอ นคฤหบดี กม็ ุนเี ปนผไู มว า งจากกามทัง้ หลายอยา งไรดูกอนคฤหบดี มนุ ีบางคนในโลกน้ี ยังเปนผไู มป ราศจากความกําหนัดความพอใจ ความรัก ความกระหาย ความกระวนกระวาย ความทะยานอยากในกามทง้ั หลาย ดูกอ นคฤหบดี มนุ เี ปนผูไมว างจากกามท้ังหลายอยางนี้แล. [๑๙] ดกู อนคฤหบดี ก็มนุ เี ปน ผวู า งจากกามท้ังหลายอยา งไรดูกอ นคฤหบดี ภิกษุบางรูปในธรรมวนิ ัยน้ี ยอ มเปน ผปู ราศจากความกําหนัด ความพอใจ ความรกั ความกระหาย ความกระวนกระวาย

พระสุตตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 30ความทะยานอยากในกามทั้งหลาย ดกู อ นคฤหบดี มนุ ีเปนผูวา งจากกามท้งั หลาย อยางนแี้ ล. [๒๐] ดูกอ นคฤหบดี กม็ ุนเี ปนผมู งุ ถึงกาลขางหนาอยา งไรดูกอ นคฤหบดี มนุ ีบางคนในโลกน้ี มีความปรารถนาอยา งน้ีวา ในกาลขา งหนา ขอเราพึงเปน ผมู ีรูปอยางนี้ มีเวทนาอยา งนี้ มีสัญญาอยางน้ีมสี ังขารอยางน้ี มวี ิญญาณอยางน้ี ดูกอนคฤหบดี มุนีเปน ผูมุง ถึงกาลขา งหนา อยางน้แี ล. [๒๑] ดูกอนคฤหบจี ก็มุนีเปนผไู มมุงถงึ กาลขา งหนาอยางไรดูกอ นคฤหบดี ภิกษบุ างรูปในธรรมวินัยนี้ ไมม ีความปรารถนาอยางนี้วา ในกาลขางหนา ขอเราพงึ เปนผูมรี ปู อยางน้ี มเี วทนาอยา งนี้ มีสัญญาอยางน้ี มสี งั ขารอยา งนี้ มีวญิ ญาณอยางน้ี ดูกอนคฤหบดี มนุ ีเปนผูไ มมุงถึงกาลขางหนา อยา งนีแ้ ล. [๒๒] ดกู อนคฤหบดี กม็ นุ เี ปนผทู ําถอ ยคําแกงแยงกับชนอืน่อยางไร ดกู อ นคฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ ยอ มเปนผูท าํ ถอยคาํ เห็นปานน้ีวา ทานไมร ูทวั่ ถึงธรรมวนิ ัยน้ี เรารทู ่ัวถึงธรรมวนิ ยั น้ี ไฉนทา นจักรทู วั่ ถงึ ธรรมวนิ ยั นี้ได ทานเปน ผูปฏบิ ตั ิผดิ เราเปนผูปฏิบตั ิชอบคาํ ทค่ี วรกลาวกอน ทานกลาวทีหลัง คาํ ทคี่ วรกลาวทีหลัง ทานกลาวกอ นคาํ ของเรามีประโยชน คาํ ของทานไมมีประโยชน ขอ ท่ที านเคยประพฤตมิ าผิดเสียแลว เรายกวาทะแกทานแลว ทา นจงประพฤตเิ พ่อืปลดเปลอ้ื งวาทะเสยี ทา นเปน ผูอันเราขม ไดแ ลว หรอื จงปลดเปลอื้ งเสียเอง ถาทานสามารถ ดกู อ นคฤหบดี มุนีเปน ผทู าํ ถอ ยคําแกงแยง กบัชนอน่ื อยา งน้ีแล.

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 31 [๒๓] ดกู อนคฤหบดี ก็มุนีไมเ ปนผทู ําคาํ แกง แยง กบั ชนอืน่อยา งไร ดูกอ นคฤหบดี ภกิ ษบุ างรปู ในธรรมวนิ ยั นี้ ยอมเปน ผไู มทาํถอ ยคําเหน็ ปานน้ีวา ทานยอ มไมรทู ั่วถงึ ธรรมวินยั น้ี เรารูท่วั ถึงธรรมวนิ ยั นี้ ไฉนทา นจกั รทู ัว่ ถงึ ธรรมวินยั นไี้ ด ทา นเปนผูป ฏิบตั ผิ ดิเราเปน ผปู ฏบิ ัตชิ อบ คําท่คี วรกลาวกอ น ทานกลาวทีหลงั คําท่ีควรกลา วทหี ลัง ทา นกลาวกอน คาํ ของเรามีประโยชน คําของทา นไมมีประโยชนขอ ท่ที านเคยปฏบิ ัตมิ าผิดเสียแลว เรายกวาทะแกท า นแลว ทา นจงประพฤติเพือ่ ปลดเปลอื้ งวาทะเสยี ทานเปน ผอู นั เราขมไดแ ลว หรือจงปลดเปล้ืองเสียเอง ถา ทา นสามารถ ดูกอ นคฤหบดี มุนีไมเปนผทู าํถอยคําแกงแยงกับชนอน่ื อยางน้ีแล. [๒๔] ดกู อ นคฤหบดี พระพทุ ธวจนะท่ีพระผูมพี ระภาคเจาตรสัแลวในมาคณั ฑิยปญ หา อันมใี นอัฏฐกวรรควา มุนีละทอ่ี ยแู ลว ไมมีท่ีพกั เทีย่ วไป ไมท าํ ความสนทิ สนมในบา น เปนผูวา งจากกามทงั้ หลาย ไมม งุ ถงึ กาลขา งหนา ไมทําถอยคําแกงแยง กับ ชนอน่ื ดังน.ี้ ดูกอนคฤหบดี เน้อื ความแหง พระพุทธพจนท่พี ระผมู ีพระภาคเจาตรสั โดยยอนแี้ ล พงึ เห็นโดยพสิ ดารอยางนี้ ดว ยประการฉะนี.้ จบ หลทิ ทกิ ารนิสตู รท่ี ๓

พระสุตตันตปฎก สังยตุ ตนิกาย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนาที่ 32 อรรถกถาหลทิ ทิกานิสตู รที่ ๓ ในหลทิ ทิกานสิ ตู รท่ี ๓ มวี นิ จิ ฉยั ดงั ตอไปนี้ บทวา อวนฺตีสุ ไดแกใ นแควนอวนั ตี กลา วคือ อวันตีทกั ขิณาปถ.บทวา กุรรฆเร ไดแ ก ในนครมชี ือ่ อยางน้ัน. บทวา ปปาเต ไดแ กในเหวขางหนึ่ง ไดย ินวา ภูเขาลูกน้ันมขี า งแถบหน่ึงเปน เสมือนขาดตกไป.บาลีวา ปวตเฺ ต ดงั นี้ก็มี อธบิ ายวา เปนสถานทปี่ ระกาศลัทธิของพวกเดยี รถียตา งๆ. ดงั นน้ั พระเถระจงึ อาศัยนครนนั้ ในรัฐนน้ั แลว อยบู นภเู ขาน้นั . บทวา หลิททฺ ิกานิ ไดแ ก คฤหบดีนั้นผูม ีชือ่ อยา งนน้ั บทวาฏกวคฺคิเย มาคณฺฑิยปเฺ ห ไดแกใ นปญหาที่มชี ่ือวา มาคณั ฑิยปญ หาในวรรคที่ ๘. ดวยบทวา รูปธาตุ ทา นประสงคเ อารูปขนั ธ. บทวา รูปธาต-ุราควินพิ นฺธ ความวา อนั ความกําหนดั ในรูปธาตุรงึ รดั แลว. บทวาวิฺ าณ ไดแกก รรมวิญญาณ. บทวา โอกสารี ไดแ กผอู าศยั เรือนอยูประจาํ คอื ผูอ าศัยอาลยั อยูประจํา. ถามวา ก็เพราะเหตไุ ร ในทน่ี ้ีทานจึงไมกลา ววา วิ ฺ าณธาตุ โข คหปต.ิ แกว า เพ่อื กาํ จดั ความงมงาย.จรงิ อยู วา โดยอรรถ ปจจยั ทา นเรยี กวา โอกะ กรรมวญิ ญาณท่เี กิดกอ นยอมเปนปจจัยทง้ั แกกรรมวิญญาณ ทัง้ แกว บิ ากวญิ ญาณทเี่ กดิภายหลัง สว นวิบากวญิ ญาณยอ มเปนปจ จยั ทง้ั แกวิบากวิญญาณ ทั้งแกกรรมวิญญาณ ฉะนัน้ เพือ่ จะกําจดั ความงมงายท่จี ะพึงมวี า อะไรหนอแลช่อื วา วญิ ญาณ ในทนี่ ี้ จงึ ไมทรงกําหนดเอาขอ น้นั ทาํ เทศนาโดยไมปนเปกนั อกี อยา งหนึ่ง เมอื่ วา โดยอาํ นาจอารมณ เพื่อจะแสดงวญิ ญาณฐติ ทิ ่ีปจจัยปรุงแตง ๔ อยาง ท่ตี รสั ไวนั้น จงึ ไมจัดวิญญาณเขาในท่ีน.ี้

พระสุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย ขนั ธวารวรรค เลม ๓ - หนาท่ี 33 อบุ ายในคําวา อปุ ายุปาทานา มี ๒ อยาง คือ ตณั หาอบาย ๑ทฏิ ฐอิ ุบาย ๑ และอุปาทาน ในคาํ วา อปุ ายุปาทานา มี ๔ อยา ง มีกามุปาทานเปนตน. บทวา เจตโส อธฏิ านาภินเิ วสานุสยา ไดแ กเปนที่ตง้ั อาศัย เปนทย่ี ดึ ม่นั และเปนทนี่ อนเน่อื งแหงอกศุ ลจิต. บทวาตถาคตสฺส ไดแก พระสมั มาสมั พุทธเจา จรงิ อยู ตัณหาและอปุ าทานเหลานน้ั พระขีณาสพทกุ จําพวกละไดแลว . แตเ มอื่ วาโดยสว นสงูทานกลา วไวอยา งนี้วา ความทพ่ี ระศาสดาเปนพระขีณาสพ ปรากฏชดัแลว ในโลก. ถามวา เพราะเหตไุ ร ทา นจงึ จัดวิญญาณไวในท่นี ้วี าวิฺ าณธาตุยา ดงั น้.ี แกว า เพอื่ แสดงการละกเิ ลส. ดวยวา กิเลสที่ทานละในขันธ ๔ เทา นั้น ยังไมเปน อันละได ตอ งละไดข ันธท ง้ั ๕จงึ เปน อนั ละได ฉะนั้น ทา นจงึ จดั ไว เพือ่ แสดงการละกิเลส. บทวาเอว โข คหปติ อโนกสารี โหติ ความวา ชอ่ื วา เปนผูไ มม ีท่อี ยอู าศัยประจาํ อยางน้ี คอื ดว ยกรรมวิญญาณทไี่ มอ าศยั ทอ่ี ย.ู บทวา รูปนมิ ติ ฺตนเิ กตวิสารวนิ พิ นธฺ า ความวา รูปนนั่ แหละชอ่ื วานมิ ติ เพราะอรรถวาเปนปจ จัยของกิเลสท้ังหลาย ชื่อวา นิเกตเพราะอรรถวาเปนท่ีอยอู าศยั กลา วคอื เปน อารมณ ดังน้ันจงึ ช่อื วามรี ปู เปนนิมิตและเปน ทีอ่ ยูอ าศยั . ความซา นไปและความพัวพนั ช่ือวาวิสารวนิ พิ นั ธะ.ดวยสองบทวา วิสาระ และ วินิพนั ธะ ทานกลา วถงึ ความทก่ี เิ ลสแผไ ปและความท่ีกิเลสพัวพนั . บทวา รูปนมิ ติ ตฺ นเิ กตวิสารวินพิ นธฺ า แปลวาเพราะซา นไปและพัวพนั ในรปู อนั เปน นิมิตและเปนท่ีพัก ฉะนัน้ จึงมีอธิบายวา ดว ยความซานไปแหงกิเลส และดว ยความพวั พันแหงกิเลสท่เี กิดข้ึนในรูปที่เปนนิมิตและเปน ที่อยอู าศัย. บทวา นิเกตสารีติ วจุ ฺจติความวา สถานทีเ่ ปนที่อยอู าศยั ทานเรียกวา สารี โดยกระทาํ ใหเปน

พระสตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย ขันธวารวรรค เลม ๓ - หนา ที่ 34อารมณ. บทวา ปหีนา ความวา พระตถาคตทรงละความซานไปและความพัวพนั แหง กิเลสในรปู ทเี่ ปน นิมติ และเปน ทีอ่ ยูอาศัย. ถามวาก็เพราะเหตุไร ในทน่ี ี้ เบญจขันธทา นจึงเรยี กวา โอกะ อารมณ ๖ทานจงึ เรียกวา นิเกตะ แกวา เพราะฉนั ทราคะมกี ําลังแรงและมีกําลังออน. จรงิ อยู แมเมอื่ ฉันทราคะมกี ําลังเสมอกัน อารมณเ หลานัน้ก็มีความแตกตางกัน ดวยอรรถวา เปนทอี่ ยอู าศยั คือ เรือนเปนท่อี ยูอาศยั ประจาํ น่ันแล ทา นเรยี กวา โอกะ. สวนเปน ตน เปน ทีอ่ ยูอาศัยของผทู นี่ ดั หมายกนั ทาํ งานวา วนั นพ้ี วกเราจักทาํ ในที่โนน ชื่อวา นิเกตะในสองอยา งนั้น ในขันธท ่ีเปนไปภายใน เหมือนฉนั ทราคะในเรือนท่ีเต็มดว ยบตุ รภรรยาทรัพยและธญั ญาหาร ยอ มมกี าํ ลงั แรง. ในอารมณภายนอก ๖ เหมอื นฉันทราคะในทีส่ วนเปน ตน มีกาํ ลงั ออนกวานัน้ฉะนน้ั พงึ ทราบวา ตรัสเทศนาอยา งนีเ้ พราะฉนั ทราคะมกี าํ ลังแรงและมีกําลังออน. บทวา สขุ เิ ตสุ สขุ โิ ต ความวา เมอื่ พวกอุปฏฐากไดรับความสุขโดยไดท รพั ยธ ญั ญาหารเปนตน ก็มคี วามสขุ ดวยความสุขอาศัยเรอื นวาบดั นีเ้ ราจกั ไดโภชนะท่ีนา พอใจ เปนเหมือนเสวยสมบัตทิ ีพ่ วกอปุ ฏฐากเหลานัน้ ไดร ับ เทย่ี วไป. บทวา ทุกขฺ เิ ตสุ ทกุ ฺขโิ ต ความวา เม่ือพวกอปุ ฏ ฐากเหลา นั้นเกดิ ความทุกขดวยเหตอุ ยา งใดอยา งหนึง่ ตนเองมีความทกุ ขสองเทา . บทวา กจิ ฺจกรณเี ยสุ ไดแก ในเรื่องทค่ี วรทํา คือกจิ .บทวา โยค อาปชชฺ ติ ความวา ชว ยขวนขวาย คือทํากิจเหลาน้ันดวยตนเอง. บทวา กาเมสุ ไดแก ในวตั ถุกามท้งั หลาย. บทวา เอว โข คหปติกาเมหิ น ริตโฺ ต โหติ ความวา เปน ผไู มวางจากกิเลสกามท้งั หลาย คอืเปนผูไมเ ปลา เพราะยังมีกามภายใน อยางน.ี้ ฝา ยตรงขาม พึงทราบวา
































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook