Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_06

tripitaka_06

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:31

Description: tripitaka_06

Search

Read the Text Version

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 325ผูมีธรรมอันงอกงามในธรรมวินยั นี้ เพราะเปน ผไู มควรแกฌ านวิปส สนาและมรรคผล. บทวา สชาติยา ไดแ ก นางนาคนน่ั เอง. แตวา เม่อื ใดนาคนน้ัเสพเมถนุ ดว ยชาตอิ ืน่ ตางโดยชนิดมีหญิงมนุษยเ ปนตน เมอ่ื น้นั ยอมเปนเหมอื นเทพบตุ ร. สวนคําวา ปจ จัย ๒ อยางในพระบาลนี ี้ พระผูมีพระภาคเจาตรสั แลว ดวยอํานาจแหง การชก้ี รรมซึง่ ปรากฏตามสภาพเนือง ๆ ในประวตั กิ าล.และกรรมซึง่ ปรากฏตามสภาพ ยอมมีแกนาคใน ๕ กาล คือ เวลาปฏสิ นธิ ๑เวลาที่ลอกคราบ ๑ เวลาท่เี สพเมถนุ ดว ยนางนาคชาติของตน คือมีชาตเิ สมอกนั ๑ เวลาที่วางใจหยั่งลงสูความหลับ ๑ เวลาจุติ ๑. ในคําวา ติรจฺฉานคโต ภกิ ฺขเว เปน ตนน้ี มวี นิ จิ ฉยั วา จะเปนนาค หรอื จะเปนสตั วพิเศษผใู ดผหู นึง่ มีสบุ รรณมาณพเปนตน ก็ตามท.ี ผูใ ดผหู นง่ึ ซึ่งมใิ ชม นุษยชาตโิ ดยทีส่ ุดแมท าวสักกเทวราช บรรดามีทง้ั หมดเทียว พงึ ทราบวา เปนดิรจั ฉาน ในอรรถน้ี ผนู ้ันอันภิกษุทั้งหลายไมค วรใหอ ุปสมบท ไมค วรใหบรรพชา แมอ ปุ สมบทแลว กค็ วรใหฉิบหายเสีย. ตริ ัจฉานคตวัตถุ จบ

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 326 เรื่องหา มคนฆามารดามใิ หอปุ สมบท [๑๒๘] กโ็ ดยสมัยนัน้ แล มาณพผหู นึง่ ปลงชวี ติ มารดาเสีย เขาอดึ อดัระอารงั เกียจบาปกรรมอนั น้นั และไดมคี วามดาํ ริวา ดวยวธิ อี ะไร นอ เราจึงจะทาํ การออกจากบาปกรรมอันนีไ้ ด จึงหวนระลึกนกึ ข้นึ ไดวา พระสมณะเชอ้ืสายพระศากยบุตรเหลา น้ี เปนผปู ระพฤตธิ รรม พระพฤตสิ งบ ประพฤติพรหมจรรย กลาวแตค าํ สตั ย มศี ีล มีกลั ยาณธรรม ถาเราจะพงึ บวชในสํานักพระสมณะเช้อื สายพระศากยบุตรดวยวธิ ีเชน นี้ เราก็จะทําการออกจากบาปกรรมอนั นไี้ ด ตอมาเขาเขา ไปหาภกิ ษุทั้งหลายแลวขอบรรพชา ภกิ ษทุ ง้ั หลายไดแจงความนต้ี อ ทา นพระอุบาลีวา อาวุโสอุบาลี เม่อื ครั้งกอนแล นาคแปลงกายเปนชายหนมุ เขามาบวช ในสาํ นกั ภกิ ษุ อาวโุ สอบุ าลี นิมนตทา นไตส วนมาณพคนนี้ คร้ันมาณพนน้ั ถกู ทา นพระอบุ าลีไตส วนอยู จึงแจง เร่อื งน้ัน ทา นพระอบุ าลไี ดแจง ใหพ วกภิกษุทราบ แลว ภกิ ษทุ ้ังหลายจึงกราบทูลเรอื่ งน้นั แดพระผูมพี ระภาคเจา. พระผพู ระภาคเจารับสั่งกะภกิ ษทุ งั้ หลายวา ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย อน-ุปสมั บันคอื คนฆา มารดา ภิกษไุ มพึงใหอ ปุ สมบท ที่อุปสมบทแลว ตอ งใหสกึ เสยี . เรื่องหา มคนฆา บดิ ามิใหอุปสมบท [๑๒๙] ก็โดยสมยั น้นั แล มาณพผูหนง่ึ ปลงชีวติ บิดาเสีย เขาอดื อดัระอารังเกียจบาปกรรมอนั น้ัน และไดมีความดาํ รวิ า ดว ยวิธีอะไรหนอ เราจงึจะทาํ การออกจากบาปกรรมอันนไี้ ด จงึ หวนระลึกนึกขนึ้ ไดวา พระสมณะเธอสายพระศากยบุตรเหลา น้ี เปน ผูประพฤติธรรม ประพฤตสิ งบ ประพฤตพิ รหม-จรรย กลาวแตค าํ สตั ย มศี ีล มกี ลั ยาณธรรม ถาเราจะพงึ บวชในสาํ นกั พระสมณะเชอ้ื สายศากยบุตร ดวยวิธีเชน นี้ เราก็จะทาํ การออกจากบาปกรรมอันน้ี

พระวินยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 327ได ตอมาเขาเขาไปหาภกิ ษุท้งั หลายแลวขอบรรพชา ภิกษุทง้ั หลายไดแ จง ความนตี้ อ ทานเพระอบุ าลวี า อาวโุ สอุบาลี เมือ่ ครั้งกอ นแล นาคแปลงกายเปนชายหนุม เขามาบวชในสาํ นกั ภกิ ษุ อาวโุ สอบุ าลี นมิ นตทานไตสวนมาณพคนนน้ัคร้ันมาณพน้ัน ถกู ทานพระอุบาลีไตสวนอยู จงึ แจงเรอ่ื งน้ัน ทานพระอบุ าลีไดแจงใหพวกภกิ ษทุ ราบแลว ภกิ ษุท้งั หลายจึงกราบทูลเรื่องน้ันแดพ ระผมู ีพระภาคเจา . พระผูม ีพระภาคเจารบั สั่งกะภิกษทุ ้ังหลายวา ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลายอนุ-ปสัมบนั คอื คนฆาบดิ า ภกิ ษุไมพึงใหอ ปุ สมบท ท่อี ปุ สมบทแลว ตองใหส ึกเสยี . เรอ่ื งหา มคนฆา พระอรหนั ตใหอ ปุ สมบท [๑๓๐] ก็โดยสมัยนั่นแล ภิกษมุ ากรูปดวยกนั เดนิ ทางไกล จากเมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี ในระหวางทาง พวกโจรพากนั ยกพวกออกมาแยงชิงภิกษบุ างพวก ฆา ภกิ ษบุ างพวก เจาหนาท่ียกออกไปจากพระนครสาวตั ถีแลวจับโจรไดเ ปนบางพวก บางพวกหลบหนไี ปได พวกท่ีหลบหนไี ป ไดบ วชในสาํ นักภกิ ษุ พวกท่ีจบั ได เจาหนาที่กาํ ลังนาํ ไปฆา พวกโจรทีบ่ วชแลว เหลา นนั้ไดเ ห็นโจรพวกนั้นกําลังถูกนําไปฆา คร้นั แลว จึงพูดอยางนีว้ าเคราะหด ี พวกเราพากนั หนรี อดมาได ถาวนั นน้ั ถกู จับ จะตอ งถูกเขาฆาเชน น้ีเหมือนกัน ภกิ ษุทง้ั หลายพากนั ถามวา อาวุโสทัง้ หลาย กพ็ วกทานไดทําอะไรไว จึงบรรพชติเหลา นัน้ ไดแจงเรื่องน้นั แกภิกษุทั้งหลาย ภกิ ษทุ ้งั หลายไดกราบทูลเรือ่ งน้นั แดพระผูมีพระภาคเจา พระผูมีพระภาคเจารับส่งั กะภิกษุทง้ั หลายวา ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ภิกษพุ วกน้ันเปนพระอรหันต ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย อนปุ สมั บัน คือคนฆา พระอรหันต ภิกษุไมพงึ ใหอุปสมบท ท่ีอุปสมบทแลว ตอ งใหสึกเสีย.

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 328 อรรถกถามาตุฆาตกาทิวัตถุ พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในเรอ่ื งบคุ คลผูฆา มารดาเปนตน ตอไป:- สองบทวา นกิ ฺขนตฺ ึ ถเรยฺย มคี วามวา เราพงึ กระทําความออกคือ ความหลกี ไป ความชาํ ระสะสาง. ในคําวา มาตฆุ าตโก ภิกฺขเว น้ี มีวนิ ิจฉยั วา มารดาผใู หเ กดิซ่ึงเปน หญงิ มนษุ ย อนั บุคคลใดแมต นเองกเ็ ปนชาตมิ นุษยเหมือนกันแกลง ปลงเสยี จากชวี ิต บคุ คลนเ้ี ปนผฆู ามารดาดวยอนนั ตริยมาตฆุ าตกรรม. บรรพชาและอปุ สมบทแหงบคุ คลนนั้ อนั พระผมู ีพระภาคเจาทรงหามแลว. สว นมารดาผเู ลย้ี งดูก็ดี ปาก็ดี นา ก็ดี ซงึ่ มิใชผใู หเ กิด แมเ ปนหญิงมนุษย หรือมารดาผใู หเ กดิ แตมใิ ชห ญงิ มนุษย อนั บุคคลใดฆา แลว บรรพชาของบคุ คลนั้นพระผมู พี ระภาคเจา ไมทรงหาม และเขาไมเ ปนผมู อี ันนตริยกรรม. มารดาผูเ ปน หญิงมนษุ ย อนั บุคคลใดซึง่ ตนเองเปน สตั วดิรจั ฉานฆาแลว แมบุคคลนัน้ ยอมไมเ ปน ผูมีอนั นตริยกรรม. สวนบรรพชาของเขาเปนอนั ทรงหามดวย เพราะขอทีเ่ ขาเปนสัตวดริ ัจฉาน. คําท่ีเหลอื เปน คําตนื้ ท้งั น้ัน .แมใ นบคุ คลผฆู าบดิ า ก็นัยน้แี ล. ก็ถา แมบ รุ ุษเปน ลกู หญงิ แพศยา ไมท ราบวา ผนู เ้ี ปน บิดาของเราเขาเกดิ ดวยนํ้าสมภพของชายใด และชายนนั้ อันเขาฆา แลว ยอ มถึงความนบั วา เปนผูฆาบิดาเหมอื นกัน ยอ มถูกอนนั ตรยิ กรรมดว ย. แมบุคคลผูฆาพระอรหนั ต พงึ ทราบดวยอํานาจพระอรหันตผ ูเปน มนุษยเ หมอื นกัน. วินจิ ฉยั ในอรหนั ตฆาตกวตั ถุน้ี พงึ ทราบดงั น้วี า อนั บุคคลเมื่อแกลงปลงพระขีณาสพผูเปนชาติมนุษย โดยทส่ี ุดแมไมใ ชบ รรพชติ เปน ทารกกต็ าม

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 329เปนทารกิ ากต็ าม จากชีวติ ยอมเปนผูช ่อื วาพระอรหนั ตแท; ยอมถกู อนนั ตรยิ -กรรมดว ย และบรรพชาของผนู ั้น อันพระผมู ีพระภาคเจา ทรงหา ม. สว นบคุ คลฆาพระอรหนั ตซึง่ มใิ ชชาติมนุษย หรอื พระอริยบคุ คลทเ่ี หลอื ซง่ึ เปนชาตมิ นษุ ยยงั ไมเ ปน ผูมีอนันตรยิ กรรม แมบ รรพชาของเขา ก็ไมท รงหา ม. แตวา กรรมเปนของรนุ แรง. ดิรจั ฉานแมฆาพระอรหันตซ ่ึงเปนชาตมิ นษุ ย กไ็ มเ ปน ผมู ีอนนั ตรยิ กรรม แตวา เปนกรรมอนั หนกั . หลายบทวา เต วธาย โอนยี นฺติ มคี วามวา โจรเหลานัน้ อันพวกราชบุรษุ ยอ มนําไป เพือ่ ประโยชนแกการฆา. อธบิ ายวา นําไปเพื่อประหารชีวิต. ก็คาํ ใด ท่พี ระธรรมสังคาหกาจารยทั้งหลายกลา วไวในบาลีวา สจาจ มย ความแหงคําน้ันเทานเ้ี องวา สเจ มย . จริงอยู ในพระบาลีน้ี ทา นกลา วนิบาตนิ วี้ า สจา จ ในเมือ่ นิบาตวา สเจ อนั ทานพงึ กลาว. อกี อยางหนึง่ ปาฐะวา สเจ จ กม็ .ี ใน ๒ ศพั ทน นั้ ศัพทว า สเจ เปน สัมภาว-นตั ถนบิ าต. ศพั ทว า จ เปน นบิ าตใชในอรรถมาตรวา เปนเครือ่ งทาํ บทใหเ ต็มปาฐะวา สจชชฺ มย บา ง ความแหง ปาฐะน้นั วา สเจ อชฺช มย . อรรถกถามาตฆุ าตกาทวิ ตั ถุ จบ

พระวินัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 330 เรอ่ื งหา มอปุ สมบทคนประทุษรายภิกษุณีเปน ตน [๑๓๑] กโ็ ดยสมยั นัน้ แล ภกิ ษณุ ีหลายรปู เดนิ ทางไกลจากเมืองสาเกตไปพระนครสาวตั ถี ในระหวางทาง พวกโจรพากนั ยกออกมา แยงชงิ ภิกษณุ ีบางพวก ทํารายภกิ ษุณบี างพวก เจาหนา ที่ยกออกไปจากพระนครสาวัตถี แลวจับโจรไดเปน บางพวก บางพวกหลบหนีไป พวกทหี่ ลบหนีไป ไดบวชในสาํ นักภิกษุ พวกทถ่ี กู จับไดเ จาหนาทีก่ าํ ลงั นําไปฆา พวกโจรที่บวชแลว เหลา นนั้ไดเหน็ โจรพวกน้นั กาํ ลงั ถกู นาํ ไปฆา ครัน้ แลว จงึ พูดอยางน้วี า เคราะหด ี พวกเราพากนั หนีรอดมาได ถา วันนน้ั ถูกจบั จะตอ งถกู เขาฆาเชนน้ีเหมอื นกนัภกิ ษุท้งั หลายพากันถามวา อาวโุ สทง้ั หลาย กพ็ วกทา นไดท าํ อะไรไว จงึ บรรพ-ชิตเหลานน้ั ไดแ จงเรอื่ งนัน้ แกภ กิ ษุทั้งหลาย ภกิ ษทุ ัง้ หลายกราบทูลเรอ่ื งน้นัแดพ ระผูมพี ระภาคเจา . พระผูมพี ระภาคเจา รบั สั่งกะภิกษุทัง้ หลายวา ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย อนุ-ปสัมบนั คือ คนประทษุ รายภิกษณุ ี ภิกษไุ มพงึ ใหอุปสมบท ที่อุปสมบทแลวตองใหส กึ เสยี . ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย อนปุ สัมบันคือ คนผทู าํ สังฆเภท ภกิ ษไุ มพงึ ใหอปุ สมบท ท่อี ุปสมบทแลว ตอ งใหส ึกเสยี . ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย อนปุ สัมบันคอื คนทํารายพระพุทธเจาจนถงึ หอพระโลหติ ภกิ ษุไมพงึ ใหอุปสมบท ท่อี ปุ สมบทแลว ตองใหส ึกเสีย.

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 331 อรรถกถาภิกขุนีทสู กาทวิ ตั ถุ พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในคาํ นว้ี า ภิกฺขนุ ีทสู โก ภิกขฺ เว เปนตน ดังนี:้ - บุรษุ ใดประทุษรา ยนางภกิ ษุณีผมู ีตนเปนปกติ ในบรรดามรรค ๓มรรคใดมรรคหนึง่ บุรษุ นช้ี ่ือภกิ ชุนที สู กะ. บรรพชาและอปุ สมบทของบรุ ษุนั้นพระผูม พี ระภาคเจา ทรงหามแลว . ฝายบุรษุ โดยังนางภิกษุณีใหถ ึงศีลพินาศกายสงั สคั คะ บรรพชาและอปุ สมบทแหงบรุ ุษนั้นไมท รงหา ม. แมบ ุรษุ ผทู าํนางภิกษณุ ใี หน ุงผา ขาวแลว ประทุษรา ยนางผูไมยนิ ยอมเลยท่เี ดยี วดว ยพลการช่อื ภกิ ขุนที สู กะแท. ฝายบุรุษผูทํานางภิกษณุ ีใหน งุ ขาวดวยพลการะแลว ประทุษรา ยนาผูยนิ ยอมอยู ไมเ ปนผชู อื่ ภิกขุนที ูสกะ. ถามวา เพราะเหตุไร ? แกวา เพราะนางภกิ ษุณนี ั้น ยอมเปนผมู ใิ ชน างภกิ ษุณี ในเรือ่ งความเปนคฤหสั ถม าตรวา อันตนยอมรบั ทเี ดียว. สวนบรุ ุษผูประทษุ รายนางภกิ ษุณีผูเสียศลี แลว คราวเดยี ว ในภายหลังและปฏิบัติผดิ ในนางสิกขมานาและสามเณรที ั้งหลาย ไมจดั วา ภิกขุนีทสู กะเหมอื นกัน; ยอ มไดทัง้ บรรพชา ทงั้ อปุ สมบท. ในคําวา สงฺฆเภตโก ภิกฺขเว เปน ตน น้ี มีวนิ จิ ฉยั วา ผูใ ดทําพระศาสนาใหเ ปนของนอกธรรมนอกวินยั ทาํ ลายสงฆดวยอํานาจแหงกรรม ๔อยา งใดอยา งหนงึ่ เหมือนพระเทวทัต, ผูน้ีช่ือสงั ฆเภทกะ ผูทําลายสงฆ บรรพชาและอปุ สมบทแหงบคุ คลนัน้ ทรงหาม.

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 332 พงึ ทราบวนิ ิจฉยั แมในคาํ นี้วา โลหิตุปฺปาทโก ภิกฺขเว เปน ตนดังนี:้ - ผูใดมจี ติ ประทษุ รายตดิ ฆา ยงั พระโลหิตในพระสรรี ะซ่ึงยง่ิ เปน อยูข องพระตถาคตเจา แมพอที่แมลงวันเล็ก ๆ จะด่ืมไดใหหอ ขึ้นเหมอื นพระเทวทตัผนู ชี้ ื่อผูทําโลหิตุปบาท. บรรพชาเละอปุ สมบทแหง บคุ คลนัน้ ทรงหาม. สวนผูใดใชม ีดผาตดั เอาเนื้อเสยี และโลหิตออกทาํ ใหท รงสําราญเหมอื นหมอชวี กไดทาํ เพ่อื ใหพ ระโรคสงบไป ผูนั้นยอมประสบบญุ มากฉะนี้. อรรถกถาภิกษนุ ขี นที สู กาทวิ ัตถุ จบ

พระวินยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 333 เรอื่ งหามอุปสมบทอุภโตพยัญชนก [๑๓๒] กโ็ ดยสมยั นัน้ แล อุภโตพยัญชนกคนหน่งึ ไดบ วชในสํานักภิกษุ เธอเสพเมถนุ ธรรมในสตรีทัง้ หลาย ดว ยปุริสนิมติ ของตนบาง ใหบ ุรษุอ่ืนเสพเมถุนธรรมในอิตถนี ิมติ ของตนบา ง ภิกษุท้ังหลายจงึ กราบทลู เร่ืองนั้นแดพระผูมพี ระภาคเจา พระผมู พี ระภาคเจา รบั สั่งกะภิกษทุ งั้ หลายวา ดกู อนภิกษุท้ังหลาย อนุปสมั บนั คือ อภุ โตพยัญชนก ภิกษุไมพึงใหอ ปุ สมบท ท่ีอปุ สมบทแลว ตองใหส ึกเสยี . อรรถกถาอภุ โตพยัญชนกวตั ถุ บทวา อภุ โตพยฺ ชฺ นโก มีอรรถวิเคราะหว า นิมติ เคร่ืองปรากฏท่ีต้ังขึ้น โดยกรรม ๒ อยา ง คือ โดยกรรมเปนเหตุยงั อิตถนี มิ ิตใหเกิดขนึ้ ๑โดยกรรมเปน เหตุยงั ปุรสิ นมิ ิตใหเ กดิ ขึ้น ๑ ของบุคคลนนั้ มอี ยู เหตนุ ั้น เขาชื่ออภุ โตพยญั ชนก. บทวา กโรติ มีความวา ยอมทาํ ตนเองดว ยความละเมดิ ดวยอาํ นาจเมถุนในสตรที ง้ั หลาย ดวยปุริสนิมิต. บทวา การาเปติ มีความวา ยอ มชวนบรุ ษุ อื่นใหทาํ ความละเมิดดว ยอํานาจเมถุน ในอติ ถีนมิ ิตของตน. อุภโตพยญั ชนกนนั้ มี ๒ ชนดิ คอื สตรอี ุภโตพยญั ชนก ๑. บุรุษ-อุภโตพยัญชนก ๑.

พระวนิ ัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 334 ใน ๒ ชนดิ นัน้ อิตถีนมิ ิตของสตรอี ภุ โตพญั ชนกปรากฏปรุ สิ นิมติเปน ของลล้ี บั ; ปุรสิ นมิ ิตของบุรษุ อุภโตพยญั ชนกปรากฏอติ ถีนมิ ติ เปนของลี้ลับเมือ่ สตรอี ภุ โตพยญั ชนกทาํ หนา ท่ขี องบุรษุ ในสตรที ้งั หลาย อิตถนี มิ ติ รยอมเปนของลลี้ ับ. ปุริสนมิ ติ ปรากฏ; เมื่อบรุ ษุ อุภโตพยัญชนกเขาถึงความเปน สตรสี ํา-หรับพวกบรุ ุษ ปุรสิ นิมติ เปนของลล้ี ับ อติ ถีนิมติ ปรากฏ. เหตุซึ่งทาํ ใหต า งกนั แหงอภุ โตพยญั ชนก ๒ ชนิดนัน้ ดงั น้ี คือสตรีอุภโตพยญั ชนกมคี รรภเองดวย, ใหส ตรีอืน่ มคี รรภไดด ว ย; สวนบุรษุ อุภโตพยญัชนกมคี รรภเ องไมไ ด แตใหส ตรีอ่ืนมคี รรภได. แตในอรรถกถากุรนุ ทีทานแกวา ถา เพศชายเกิดในกําเนดิ คอื ปฏสิ นธ-ิกาล เพศหญิงยอ มเกดิ ตอ เมอ่ื ความกําหนัดในบุรุษเปน ไป,๑ ถาเพศหญิงเกดิในกาํ เนดิ คือปฏสิ นธิกาล เพศชายยอมเกิดตอเมื่อจาความกําหนดั ในสตรเี ปนไป๒ ลําดบั แหง วิจารณใ นความเกดิ แหง ๒ เพศนัน้ บัณฑติ พึงทราบพิสดารในอรรถกถาธรรมสังคหะช่ืออฏั ฐสาลิน.ี ๓ สวนในบรรพชาธิการนี้ พึงทราบสันนิษฐานแมน วี้ า บรรพชาอุปสมบทแหงอุภโตพยัญชนกทัง้ ๒ ชนิดน้ี ไมม ีเลย. อรรถกถาอโุ ตพยญั ชนกวตั ถุ จบ๑,๒. ปวตฺเต นาจะหมายความวา ในปวัตตกิ าล.๓. อฏฐาสาลินี. ๔๖๗-๔๗๐.

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 335 บุคคลไมค วรใหอุปสมบท ๒๐ จําพวก เร่ืองหา มอุปสมบทคนไมมอี ปุ ช ฌายเปนตน [๑๓๓] กโ็ ดยสมัยน้นั แล ภกิ ษุท้ังหลายอปุ สมบทกลุ บุตรผไู มม ีอุปช ฌาย ภกิ ษทุ ั้งหลายจึงกราบทูลเร่ืองน้นั แดพระผมู พี ระภาคเจา พระผูมี-พระภาคเจารับส่ังกะภิกษุทง้ั หลายวา ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย กุลบตุ รผไู มมีอุปชฌาย ภิกษุไมพ งึ อุปสมบทให รปู ใดอุปสมบทให ตองอาบตั ิทุกกฏ. สมยั ตอมา ภกิ ษุทง้ั หลายอุปสมบทกุลบตุ รมีสงฆเปน อุปชฌาย ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทลู เรอื่ งนนั้ แดพ ระผูมีพระภาคเจา พระผมู ีพระภาคเจารับสั่งกะภกิ ษทุ ้ังหลายวา ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย กลุ บุตรมีสงฆเ ปนอปุ ชฌาย ภิกษุไมพ งึ อุปสมบทให รูปใดอุปสมบทให ตอ งอาบตั ทิ ุกกฏ. สมัยตอมา ภิกษทุ ั้งหลายอุปสมบทกลุ บตุ รมีคณะเปน อุปช ฌาย ภิกษุท้ังหลายจึงกราบทูลเรอ่ื งน้ันแดพ ระผมู พี ระภาคเจา พระผูมพี ระภาคเจารับสง่ักะภกิ ษุทง้ั หลายวา ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย กลุ บตุ รมีคณะเปน อปุ ช ฌาย ภกิ ษุไมพงึ อปุ สมบทให รปู ใดอปุ สมบทให ตอ งอาบัติทกุ กฏ สมัยตอมา ภกิ ษุทง้ั หลายอปุ สมบทกุลบุตรมีบัณเฑาะกเ ปนอุปช ฌาย . . . อปุ สมบทกุลบุตรมีบคุ คลลกั เพศเปน อปุ ชฌาย . . . อปุ สมบทกุลบุตรมภี กิ ษไุ ปเขารตี เดียรถยี เ ปน อุปชฌาย . . . อปุ สมบทกลุ บตุ รมสี ัตวด ริ ัจฉานเปน อุปช ฌาย . . . อปุ สมบทกุลบุตรมีคนฆา มารดาเปนอุปช ฌาย . . . อุปสมบทกุลบุตรมคี นฆา บิดาเปน อุปช ฌาย . . . อปุ สมบทกุลบตุ รมีคนฆาพระอรหันตเปน อปุ ช ฌาย

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 336 . . . อุปสมบทกลุ บุตรมตี นประทุษรายภกิ ษุณเี ปนอุปช ฌาย . . . อุปสบทกลุ บุตรมคี นทาํ สงั ฆเภทเปนอุปช ฌาย . . . อุปสมบทกุลบุตรมีคนทํารา ยพระศาสดาจนหอ พระโลหติ เปนอุปช ฌาย. . . . อปุ สมบทกลุ บุตรมีอภุ โตพยญั ชนกเปน อปุ ช ฌาย ภิกษทุ ัง้ หลายจึงกราบทลู เร่อื งนัน้ แดพระผูมีพระภาคเจา พระผมู ีพระภาคเจารับส่งั กะภกิ ษทุ ้ังหลายวา ดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลาย กุลบุตรมบี ัณเฑาะกเปนอุปชฌาย ภิกษไุ มพ ึงอุปสมบทให. . . กุลบุตรมีบคุ คลลักเพศเปน อุปชฌาย ภิกษไุ มพ งึ อุปสมบทให . . . กลุ บุตรมภี ิกษไุ ปเขา รีตเดยี รถียเปนอปุ ชฌาย ภกิ ษุไมพ ึงอุปสมบทให. . . กลุ บุตรมสี ตั วด ริ จั ฉานเปน อปุ ชฌาย ภกิ ษุไมพ ึงอุปสมบทให . . . กลุ บุตรมคี นฆา มารดาเปนอุปชฌาย ภิกษไุ มพงึ อปุ สมบทให . . . กุลบตุ รมคี นฆา บิดาเปน อุปช ฌาย ภิกษุไมพ งึ อปุ สมบทให . . . กลุ บตุ รมีคนฆา พระอรหันตเ ปน อุปช ฌาย ภกิ ษุไมพ ึงอุปสมบทให . . . กลุ บตุ รมีตนประทุษรา ยภิกษณุ เี ปน อุปชฌาย ภกิ ษุไมพงึ อปุ สมบทให. . . กลุ บุตรมีคนทาํ สังฆเภทเปนอปุ ช ฌาย ภกิ ษุไมพ ึงอุปสมบทให . . . กลุ บตุ รมีคนทาํ รา ยพระศาสดาจนหอ พระโลหิตเปน อุปช ฌาย ภกิ ษไุ มพงึ อปุ สมบทให. . . กุลบุตรมีอุภโตพยัญชนกเปน อปุ ช ฌาย ภกิ ษไุ มพงึ อปุ สมบทให รูปใดอุปสมบทให ตองอาบัติทุกกฏ.

พระวนิ ยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 337 เรอ่ื งหา มอุปสมบทคนไมมบี าตรเปนตน [๑๓๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภกิ ษทุ ้งั หลายอุปสมบทกุลบุตรผไู มม บี าตรพวกเธอเทยี่ วรับบณิ ฑบาตดว ยมอื คนทัง้ หลายจึงเพงโทษ ติเตียนโพนทะนาวาเทย่ี วรบั บิณฑบาตรเหมือนพวกเดยี รถยี  ภกิ ษุทัง้ หลายกราบทูลเรื่องนั้นแดพระผูมพี ระภาคเจา พระผมู พี ระภาคเจารบั สงั่ กะภิกษุทัง้ หลายวา ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย กุลบุตรไมม ีบาตร ภกิ ษุไมพ ึงอปุ สมบทให รูปใดอุปสมบทใหตอ งอาบตั ทิ ุกกฏ. สมัยตอ มา ภิกษทุ ัง้ หลายอปุ สมบทกลุ บุตรผไู มมจี ีวร พวกเธอเปลือยกายเที่ยวรับบณิ ฑบาต คนท้ังหลายจึงเพง โทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาวา เทย่ี วรบั บณิ ฑบาตเหมอื นพวกเดียรถยี  ภิกษทุ ัง้ หลายกราบทลู เรือ่ งน้นั แดพ ระผมู ีพระภาคเจา พระผมู ีพระภาคเจา รับส่ังกะภกิ ษุทง้ั หลายวา ดกู อนภิกษุทั้งหลายกุลบุตรไมมีจวี ร ภกิ ษไุ มพงึ อปุ สมบทให รูปใดอปุ สมบทให ตอ งอาบัติทุกกฏ. สมยั ตอ มา ภิกษทุ ้ังหลายอุปสมบทกุลบุตรผูไมม ีทงั้ บาตรทง้ั จีวร พวกเธอเปลอื ยกายเทีย่ วรับบณิ ฑบาตรดว ยมือ คนท้งั หลายจึงเพงโทษ ติเตยี นโพนทะนาวาเที่ยวรับบณิ ฑบาตรเหมือนพวกเดียรถยี  ภิกษทุ ัง้ หลายกราบทูลเร่ืองนนั้ แดพ ระผูมีพระภาคเจา พระผมู พี ระภาคเจารับสงั่ กะภิกษทุ ้ังหลายวา ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย กุลบตุ รไมม ที งั้ บาตรทง้ั จวี ร ภกิ ษไุ มพ ึงอุปสมบทให รูปใดอปุ สมบทให ตอ งอาบัติทุกกฏ. สมยั ตอ มา ภิกษุทงั้ หลายอุปสมบทกลุ บุตรมบี าตรท่ียืมเขามา เมื่ออุปสมบทแลว เจาของกน็ ําบาตรคืนไป พวกเธอเท่ียวรับบิณฑบาตดวยมือคนทัง้ หลายจงึ เพง โทษ ติเตียน โพนทะนาวา เท่ยี วรับบิณฑบาตเหมือนพวกเดยี รถยี  ภิกษุท้ังหลายกราบทลู เร่อื งนั้นแดพ ระผมู ีพระภาคเจา พระผูมี

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 338พระภาคเจารบั สงั่ กะภิกษทุ ้งั หลายวา ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลายกุลบตุ รมีบาตรทย่ี ืมเขามา ภกิ ษุไมพงึ อปุ สมบทให รูปใดอุปสมบทให ตอ งอาบตั ิทกุ กฏ. สมยั ตอมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบตุ รมจี วี รทย่ี มื เขามา เมื่ออุปสมบทแลว เจา ของก็นาํ จวี รคนื ไป พวกเธอเปลือยกายเทย่ี วรับบิณฑบาตคนทั้งหลายจึงเพงโทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวา เทีย่ วรบั บิณฑบาตเหมือนพวกเดยี รถีย ภกิ ษุท้ังหลายกราบทลู เรอ่ื งนัน้ แดพ ระผูมีพระภาคเจา พระผมู ีพระภาคเจา รบั สัง่ กะภิกษุทัง้ หลายวา ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย กลุ บุตรมีจีวรท่ียืมเขามา ภิกษไุ มพ งึ อุปสมบทให รูปใดอุปสมบทให ตองอาบตั ทิ ุกกฏ. สมัยตอ มา ภิกษุทัง้ หลายอุปสมบทกลุ บุตรมีบาตรและจีวรทีย่ มื เขามาเมอื่ อุปสมบทแลว เจาของกน็ าํ บาตรและจวี รคืนไป พวกเธอเปลือยกายเที่ยวรับบณิ ฑบาตดวยมือ คนทงั้ หลายจึงเพงโทษ ติเตียน โพนทะนาวา เที่ยวรับบณิ ฑบาตเหมอื นพวกเดียรถยี  ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนน้ั แดพระผมู ีพระภาคเจา พระผูมีพระภาคเจารับสงั่ กะภิกษุท้ังหลายวา ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลายกุลบุตรมีบาตรและจวี รท่ียืมเขามา ภกิ ษไุ มพ งึ อปุ สมบทใหร ูปใดอุปสมบทใหตองอาบัตทิ กุ กฏ. บุคคลไมควรใหอปุ สมบท ๒๐ จาํ พวก จบ บคุ คลไมควรใหบวช ๓๒ จําพวก ทรงหา มบวชคนมีอวัยวะพิการ [๑๓๕] กโ็ ดยสมัยนั้นแล ภกิ ษุท้งั หลายบรรพชาคนมือดว น. . .บรรพชาคนเทา ดว น. . . บรรพชาคนทัง้ มอื และเทาดว น. . .บรรพชาคนหขู าด . . .บรรพชาคนจมูกแหวง . . . บรรพชาคนท้ังหขู าดและจมกู แหวง . . .บรรพชาคน

พระวินยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 339น้ิวมอื น้ิวเทาขาด . . . บรรพชาคนมงี า มมืองา มเทา ขาด . . . บรรพชาคนเอ็นขาด. . . บรรพชาคนมือเปน แผน . . . บรรพชาคนคอ ม . . . บรรพชาคนเต้ีย . . .บรรพชาคนคอพอก. . .บรรพชาคนถกู สักหมายโทษ. . .บรรพชาคนมรี อยเฆ่ยี นดว ยหวาย . . .บรรพชาคนถกู ออกหมายส่งั จับ. . .บรรพชาคนเทาปกุ . . .บรรพชาคนมโี รคเร้อื รงั . . .บรรพชาคนมีรปู รางไมส มประกอบ. . . บรรพชาคนตาบอดชา งเดียว. . .บรรพชาคนงอ ย. . .บรรพชาคนกระจอก . . .บรรพชาคนเปนโรคอมั พาต. . .บรรพชาคนมอี ริ ยิ าบถขาด . . . บรรพชาคนชราทพุ พลภาพ . . .บรรพชาคนตาบอดสองขาง . . . บรรพชาคนใบ . . . บรรพชาคนหูหนวก . . .บรรพชาคนทงั่ บอดและใบ. . . บรรพชาคนทัง้ บอดและหนวก . . . บรรพชาคนทง้ั ใบและหนวก . . . บรรพชาคนทัง้ บอดใบแ ละหนวก. ภกิ ษุท้ังหลายจงึ กราบทลู เร่ืองน้ันแดพระผูมีพระภาคเจา พระผูมีพระภาคเจารับสงั่ กะภิกษทุ ั้งหลายวา ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษุไมพึงบรรพชาคนมือดว น. . .ไมพงึ บรรพชาคนเทาดวน. . .ไมพ ึงบรรพชาคนทั้งมอื และเทาดวน. .. ไมพึงบรรพชาคนหูขาด . . .ไมพงึ บรรพชาคนจมูกแหวง. . .ไมพ ึงไมบ รรพชาคนทัง้ หูขาดท้งั จมกู แหวง. . .ไมพงึ บรรพชาคนนิว้ มอื นิว้ เทาขาด . . .ไมพ งึ บรรพชาคนงา มมืองา มเทาขาด . . . ไมพ งึ บรรพชาคนเอ็นขาด . . . ไมพ งึบรรพชาคนมือเปน แผน . . .ไมพึงบรรพชาคนคอ ม. . .ไมพงึ บรรพชาคนเต้ีย. . .ไมพ งึ บรรพชาคนคอพอก. . .ไมพ ึงบรรพชาคนถกู สักหมายโทษ. . .ไมพ ึงบรรพชาคนมีรอยเฆย่ี นดว ยหวาย . . .ไมพงึ บรรพชาคนถกู ออกหมายสง่ั จบั . . .ไมพ ึงบรรพชาคนเทาปกุ . . .ไมพงึ บรรพชาคนมีโรคเรือ้ รงั . . .ไมพ ึงบรรพชาคนมรี ปู รางไมสมประกอบ . . .ไมพึงบรรพชาคนตาบอดขา งเดยี ว . . .ไมพ ึงบรรพชาคนงอย . . .ไมพ งึ บรรพชาคนกระจอก. . .ไมพ งึ บรรพชาคนเปนโรค

พระวินัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 340อมั พาต . . .ไมพึงบรรพชาคนมอี ิริยาบถขาด . . .ไมพ งึ บรรพชาคนชราทพุ พล-ภาพ . . .ไมพึงบรรพชาคนตาบอดสองขา ง . . . ไมพงึ บรรพชาคนใบ. . .ไมพงึบรรพชาคนหหู นวก. . .ไมพึงบรรพชาคนทั้งบอดและใบ. . .ไมพ ึงบรรพชาคนทั้งบอดและหนวก. . . ไมพึงบรรพชาคนทั้งใบและหนวก. . .ไมพ งึ บรรพชาคนทั้งบอดใบและหนวก รูปใดบรรพชาให ตอ งอาบตั ทิ ุกกฏ. บคุ คลไมควรใหบ วช ๓๒ จําพวก จบ ทายชั ชภาณวารที่ ๙ จบ อรรถกถาอนุปช ฌายกาทิวัตถุ หลายบทวา เตน โข ปน สมเยน มีความวา โดยสมัยใด สิกขาบทอันพระผูมีพระภาคเจา ยังมไิ ดท รงบญั ญตั แิ ลว โดยสมัยนัน้ . บทวา อนปุ ชฌายก มีความวา เวนจากอุปชฌายทกุ ๆ อยางเพราะไมใ หถอื อปุ ชฌาย. กุลบุตรทงั้ หลาย ผูอปุ สมบทแลวอยางน้ัน ยอมไมไ ดค วามสงเคราะหโดยธรรม โดยอามิส เขายอมเส่อื มเทานั้น ยอ มไมเจริญ. หลายบทวา น ภกิ ขฺ เว อนปุ ชฌฺ ายโก เปนตน มีความวากลุ บตุ รชือ่ ผูไมมีอปุ ชฌาย เพราะไมใหถ ืออุปช ฌาย ไมพึงใหอ ปุ สมบท. เปน อาบตั ิแกภิกษผุ ูใ หอ ุปสมบทดวยอาการอยา งนน้ั จาํ เดิมแตท รงบัญญัติสิกขาบทวาภกิ ษใุ ดพึงใหอ ปุ สมบท ภิกษนุ นั้ ตองทกุ กฏ. สวนกรรมหากําเรบิ ไม. พระอาจารยบ างพวกกลา ววา กําเริบ คาํ ของอาจารยบ างพวกนน้ั ไมค วรถือเอา.

พระวนิ ยั ปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 341 แมในคาํ ท้งั หลาย มคี ําวา สงฺเฆน อปุ ชฌฺ าเยน เปนตน มีอภุ โตพยัญชนกเปน อุปช ฌายเ ปน ทส่ี ุด ก็นัยนแ้ี ล. ขอวา อปตตฺ กา หตเฺ ถสุ ปณ ฺฑาย จรนฺติ มคี วามวา ภกิ ษทุ ้งัหลายผูไมมีบาตรยอมเทยี่ วไป เพ่ือประโยชนแ กบ ิณฑะอนั ตนจะไดในมือทง้ั ๒ ขอวา เสยยฺ ถาป ตติ ถฺ ิยา มีความวา เหมอื นพวกเดยี รถยี ม ชี ่อือาชวี ก. จริงอยู เดยี รถยี เ หลา นนั้ ยอมฉันบณิ ฑะอนั ตนคลกุ ดว ยแกงและกบัใสไวใ นมอื ทั้ง ๒ นง่ั เอง. สองบทวา อาปตฺต ทุกกฺ ฏสฺส มคี วาม วา เปนอาบตั แิ กภ กิ ษุผใู หอ ุปสมบทดว ยอาการอยา งนัน้ เทานน้ั . สวนกรรมไมก าํ เรบิ แมในวัตถุวาอจีวรกา เปน ตน ก็นยั นแ้ี ล. บทวา ยาจติ เกน มคี วามวา ดว ยบาตรเปนของยมื ซ่ึงอุปสัมปทา-เปกขะออ นวอนยมื มาวา ขอทา นจงใหเ พียงท่ีขาพเจา กระทาํ การอุปสมบทเถิด จริงอยู ยอ มเปนอาบัติเฉพาะแกภกิ ษุผใู หอ ุปสมบทดว ยบาตร หรือจีวร หรอื ทงั้ บาตรท้งั จีวร เชนนี้ แตก รรมไมก ําเริบ. เพราะเหตุน้ัน กลุ บุตรผูมบี าตรจวี รครบเทานนั้ จึงควรใหอปุ สมบทถา ของเขาไมมี และอาจารยอ ปุ ช ฌายอยากจะใหเ ขา หรอื ภิกษเุ หลา อ่ืนปรารถนาจะใหอาจารยแ ละอปุ ชฌาย หรือภิกษุเหลาอน่ื ผูไมเ สยี ดาย พึงสละใหบ าตรและจวี รท่ีควรอธิษฐานได. แคจะใหบ รรพชาเปกขะผดู ังใบไมเหลืองบวช ดวยบาตรและจวี รแมท ่ยี ืมมาสมควรอย,ู แมถอื เอาดว ยวิสาสะในท่ีแหง ภิกษผุ เู ปนสภาคกนั แลวใหบวชก็ควร. แตถ าปณ ฑปุ ลาสน้ัน เปนผถู ือบาตรที่ยังมไิ ดระบมและผา ที่ควรแกจีวรมา, บาตรยงั ระบมอยูและจีวรยงั กระทาํ อยูเพียงใด ควรจะใหอนามฏั ฐ-

พระวินัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 342บณิ ฑบาตแกเ ขาผพู กั อยใู นวิหารเพยี งนนั้ . ปณฑุปลาสนนั้ จะบริโภคในบาตรก็ควร. ในเวลากอนฉันอาหาร สว นแหงอามสิ เทากับสวนของสามเณรอนั ภิกษุผเู ปน ภัตตทุ เทสกส มควรจะให. สวนการถือเสนาสนะและภัตตา ง ๆ มีสลากภัต อทุ เทสภตั และนิมนั -ตนภัต เปน ตน ไมสมควรให. แมในเวลาภายหลังอาหาร สว นแหงเภสชั มนี ํา้ มนั นํา้ ผ้ึง และน้ําออย เปนตน เทา กับสวนของสามเณร อนั ภกิ ษุผูเปนภัตตทุ เทสกสมควรจะให. ถา เขาเปนไข ภิกษุทง้ั หลายควรจะทาํ ยาใหเขา และควรทาํ การปรนนบิ ตั ิท้งั ปวงแกเขา เหมือนทําแกสามเณร ฉะนีแ้ ล. อรรถกถาอนปุ ช ฌายกาทิวัตถุ จบ อรรถกถาหัตถัจฉินนาทิวัตถกุ ถา พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในเร่อื งคนมือดว นเปน ตนตอ ไป:- มอื ขา งเดยี วหรือทั้ง ๒ ขา ง ของผูใ ด เปน อวยั วะขาดไปที่ฝา มอื กด็ ีทีขอมือกด็ ี ที่ศอกกด็ ี สวนใดสวนหน่งึ ผนู ัน้ ชอ่ื วาผมู มี อื ขาด. เทาขา งเดยี วหรอื ทั้ง ๒ ขา ง ของผูใ ด เปน อวัยวะขาดไปทีป่ ลายเทาก็ดี ที่ขอเทากด็ ี ทแี่ ขง ก็ดี สวนใดสวนหนงึ่ ผูน้นั ชื่อวา ผมู เี ทาขาด. ในมอื และเทาทง้ั ๔ โดยประการดังกลาวแลว นนั้ แล มือและเทา ของผูใด ๒ หรอื ๓ หรอื ทั้งหมด เปนอวัยวะขาดไป ผูนั้นช่อื วา ผมู ีมือและเทา ขาด. หขู องผใู ด ขา งเดียวหรอื ทั้ง ๒ ขา ง เปนอวัยวะขาดไปที่เงาหูกด็ ี ท่ี

พระวนิ ยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 343ใบหกู ็ดี ผูน ัน้ ช่ือวาผูม หี ูขาด. แตหูของผูใด ยอ มฉกี ทต่ี มุ แหง หู แตเปนอวัยวะท่อี าจตอ ใหต ดิ กนั ได ผูนน้ั พงึ ใหต อ หใู หต ดิ แลว จึงใหบวช. จมูกของผูใด เปน อวยั วะแหวงวิน่ ไปทด่ี ้งั จมูกกด็ ี ท่ีชอ งจมกู ขางเดียวกด็ ี ชอ งจมกู ท้งั ๒ ก็ดี สวนใดสวนหนึง่ ผูนัน้ ช่ือวาผูมจี มูกแหวง แตจ มกูของผูใ ด เปนอวยั วะท่อี าจประสานใหติดกนั ได. ผนู ัน้ พึงทาํ จมกู นน้ั ใหห ายแลวจึงใหบ วช. บุคคลทชี่ ื่อวา ผูม หี แู ละจมกู แหวง พงึ ทราบดว ยอํานาจแหงอวัยวะทั้ง ๒. น้ิวของผูใด น้วิ เดยี วหรอื หลายน้ิว เปนอวัยวะขาดไป ไมเห็นมีเล็บเหลอื ผูนั้นชอ่ื วา ผมู ีเลบ็ ดวน แตเ ลบ็ ทเี่ หลือของผใู ด แมป ระมาณเทาเสนดายยงั ปรากฏ จะใหผ นู ั้นบวชควรอย.ู ในหวั แมมอื เทาทัง้ ๔ นิ้ว หวั แมมอื และแมเ ทา ของผใู ด น้ิวเดยี วหรอื หลายนิ้ว เปน อวัยวะขาดไป ตามนัยที่กลา วแลวในนวิ้ ผนู ้ัน ชือ่ วา มีงามมืองา มเทา ขาด. เอน็ ใหญท ีช่ ่อื วา กณั ฑระของผูใด เปนอวยั วะขาดไป ขา งหนา กด็ ีขา งหลงั ก็ดี ผนู ั้นช่อื วา ผมู ีเอน็ ขาด บคุ คลยอมกา วเดินดว ยปลายเทา บาง ดวยสน เทา บา ง หรือไมอ าจยันเทาลงตรง ๆ ได กเ็ พราะในเอ็นใหญเ หลาน้นั แมเอ็นหนึง่ ขาดไป. นิ้วมอื ของผูใด เปน ของติดกนั เหมอื นปก คา งคาว ผนู นั้ ช่ือวา ผมู มี ือเปนแผน . ภกิ ษผุ ูใครจะใหบ ุคคลน้ันบวช พึงผา หนงั ซ่ึงมีในระหวางนิว้ เอาหนังในระหวา งออกทั้งหมด รกั ษาหายแลวจึงใหบ วช. แมผใู ดมี ๖ นิ้ว ภกิ ษุผใู ครจ ะใหผนู ้ันบวชพงึ ตดั น้วิ ที่เกนิ เสยี รักษาหายแลวจึงใหบ วช.

พระวินัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 344 ผใู ดจดั วา มีรางกายคอ ม เพราะอกหรือหลัง หรอื สีขางโกง ผนู ัน้ ชอื่วาคนคอ ม. แตอวัยวะนอยใหญบางสวนของผูใด โกงไปนดิ หนอย จะใหผ ูน น้ับวชสมควรอยู เพราะวาพระมหาบุรษุ เทาน้ัน มพี ระกายตรงดงั กายพรหมสตั วท ีเ่ หลือชือ่ วาผูไมค อ มยอมไมมี. คนมขี าสน้ั กด็ ี มีบัน้ เอวสัน้ ก็ดี สน้ั ทัง้ ๒ กด็ ี ชือ่ วาคนเตย้ี . กายทอนลา งต้ังแตบั้นเอวลงมา แหง คนขาส้นั เปน ของสัน้ กายทอ นบนสมบูรณ. กายทอนบนต้งั แตบัน้ เอวข้ึนไป แหงคนบ้นั เอวส้ัน เปน ของส้ัน กายทอ นลางบรบิ ูรณ. กายทัง้ ๒ ทอน แหงคนสน้ั ทง้ั ๒ เปน ของสนั้ . รา งกายยอ มกลมรอบคลา ยหมอมีกะพุง ใหญเหมือนรา งกายแหงภตู ท้ังหลาย เพราะกายทง้ั ๒ ทอ นเหลาไรเลาเปน ของสน้ั จะใหชนน้นั แมท ั้ง ๓ ชนิดบวช ยอ มไมค วร. ที่คอแหง ผูใด มพี อกดังลกู ฟก ผูนนั้ ชื่อวา คนคอพอก. และคาํ นีส้ ักวาแสดง แตเมื่อมีพอกทีป่ ระเทศอนั ใดอันหนึง่ ก็ไมควรใหบวช. วนิ ิจฉยั ในคําวา คลคณฺฑี น้นั พึงทราบตามนยั ที่กลา วแลวในคาํ นี้วา น ภิกฺขเว ปจฺ หิ อาพาเธหิ ผฏุ โ ปพพฺ าเชตพฺโพ นัน่ แล. คําใดทจี่ ะพึงกลาวในคนมรี อยแผลเปน คนถูกเฆ่ียนดว ยหวายและคนถกู เขียนไว คําน้นั ขาพเจา ไดก ลาวแลว ในขอทง้ั หลายมีขอวา น ภิกฺขเวลกขฺ ณาหโต เปน ตน นน่ั แล. คนมีเทา เปน ตุม ทานเรียกวาคนตีนปกุ . เทาของผูใดอมู เกิดเปนตมุแข็ง ผนู ัน้ ไมค วรใหบ วช แตเทา ของผูใด ยังไมทันจบั แข็ง เปน ของทีอ่ าจผกู เครอ่ื งรัดแชไ วในหลมุ นาํ้ กลบดวยทรายเบียกนาํ้ ใหเ ต็มใหเ หยี่ วยบุ ลงจน

พระวนิ ัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ท่ี 345เสนเอน็ ปรากฏ และแขง เปนเหมือนกระบอกน้ํามนั จะทาํ เทาของผนู น้ั ใหเปนเชน นี้ แลวใหเ ขาบวชควรอย.ู ถาตมุ น้นั เขอ่ื งขน้ึ อกี แมเ ม่อื จะใหอ ปุ สมบท พึงทําอยา งน้นั จงึ ใหอปุ สมบท. คนนาเกลียด ไมน าชอบใจ มีความเดอื นรอนเปนนิตย มโี รคทรี่ กั ษาไมห ายดวยโรคชนดิ ใดชนดิ หนงึ่ ในบรรดาโรครดิ สีดวงงอก รดิ สดี วงลาํ ไสโรคดี โรคเสมหะ โรคไอ โรคหืด เปน ตน ชอ่ื วา คนมโี รคเปน ผลแหงบาป แมบคุ คลนกี้ ็ไมค วรใหบวช. ผใู ดยอมประทษุ รา ยบรษิ ัท เพราะความทค่ี นมรี ปู แปลก ผนู ้นั ชอ่ืปรสิ ทูสกะ คือเปนคนสงู เกนิ ไป มนี าภปี ระเทศแคศรี ษะของชนเหลาอ่ืนบา ง.เต้ยี เกนิ ไปดังรูปแหงภูต เตย้ี ทงั้ ๒ ทอ นบา ง. ดําเกนิ ไป คลา ยตอไมทน่ี าถกูไฟไหมบ าง. ขาวเกินไป มสี ีคลายบาตรทองแดงท่ขี ัดดว ยนมสม และเปรยี งเปนตนบา ง. ผอมเกินไป มเี นอื้ และเลือดนอ ย ประหนงึ่ รา งกายซ่ึงมแี ตก ระดูก เอน็และหนงั บาง. อวนเกินไป มเี นื้อต้งั หาบ มพี งุ พลยุ เชน กับมหาภตู บาง. มีศรี ษะใหญเกนิ ไป เหมือนวางกระเชาไวบ นศรี ษะบาง. มีศรี ษะหลิมเกนิ ไป คอืประกอบดวยศรี ษะเล็กนักไมส มตัวบาง. มีศรี ษะเปน ลอน ๆ คอื ประกอบดวยศีรษะเชน กบั ทะลายแหง ผลตาลบาง. มีศีรษะเรียวแหลม คือประกอบดวยศรี ษะอันสอบข้นึ ไปโดยลําดับบา ง. มศี ีรษะดงั ลําไผ คอื เปนกระบอก ประกอบดวยศีรษะเชน กับปลองไมไ ผอยา งเข่อื งบา ง. มศี ีรษะเปน งามบา ง. มีศีรษะเปนเงื้อมคอื ประกอบดวยศรี ษะอนั งมุ ลงในขางทงั้ ๔ ขางใดขา งหนึ่งบา ง. มศี ีรษะเปนแผลบาง มศี ีรษะเนาบา ง.

พระวนิ ัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 346 มีผมเปน หยอม ๆ คอื มาตามพรอ มดว ยผมท่ีขนึ้ ในท่นี น้ั ๆ เชนกบัขา วกลา ในกระทงนาท่ีสัตวกัดกินบา ง. มีศีรษะลนุ ไมมผี มบาง. มีผมหยาบแข็งคอื มาตามพรอ มดว ยผมเชน กับแปรงตาลบาง. มีผมขาวดว ยผมอันหงอกแตกาํ เนดิ บา ง. มีผมเปนปกติ คือมาตามพรอมดวยผมเหมอื นเปลวเพลิงจับบาง.มีผมบนศีรษะเวียน คือมาตามพรอ มดว ยผมขวญั ท้ังหลายมปี ลายชนั ขนึ้ เบอื้ งบน เชนกบั ขวัญในตวั โคบา ง. มีขนคิ้วเน่ืองเปน อันเดยี วกับผมบนศีรษะ คือมาตามพรอมดวยหนาผากดงั หมุ ดวยรา งแหบา ง, มีควิ้ ติดกันบา ง, ไมม ขี นคิ้วบา ง, มีคว้ิ คลายลิงบา ง. มีตาใหญเ กนิ ไปบา ง, มีตาเล็กเกินไปบา ง, คือมาตามพรอ มดว ยตาทงั้๒ เชนกบั ชองในหนังกระบือทเี่ ขาแทงดวยปลายมดี บาง. มตี าสอ น คอื มาตามพรอ มดวยตาใหญข างหน่งึ เล็กขางหน่งึ บาง มวี งตาคาํ ไมเ สมอ คือมาตาม.พรอ มดว ยวงตาคาํ ไมเ สมอกันอยางนี้ คอื ขา งหน่งึ สงู ขางหนง่ึ ตาํ่ บาง, คนตาเหลบา ง, คนมีตาลกึ คอื มลี กู ตาปรากฏเหมอื นโปงนาํ้ ในบอนา้ํ อันลกึ บาง, คนมีตาทะเลนออก คอื มีลกู ตายื่นออกเหมือนตาแหง ปลาบา ง. มหี ูเหมอื นชาง คอื มาตามพรอ มดวยใบหูอันใหญบ าง, มหี ูเหมอื นหนูหรอื มหี ูเหมือนคางคาว คือมาตามพรอมดว ยใบหอู นั เลก็ บาง. คนมแี ตชอ งหูคอื ปราศจากใบหู มแี ตช องหเู ทาน้ันบา ง. คนมีหูเจาะกวางบาง แตช นชาติโยนกไมจดั เปน คนประทษุ รายบริษทั เพราะวาการเจาะหกู วา งนน้ั เปนประเพณีของเขาโดยเฉพาะ๑. คนเปนโรครดิ สีดวงในหู คือมาตามพรอ มดว ยอันเนาเปน นิจบาง, คนมหี เู ปน นาหนวก คอื มาตามพรอมดว ยหมู นี ํ้าเหลืองไหลออกทกุ เมอื่ บาง, คนมีใบหตู รง คือมาตามพรอมดวยใบหูเชนกบั ปลายกะพลอ๒สาํ หรบั กรอกอาหารโคบาง.๑. ตามนยั โยชนา แปลวา จริงอยู หเู ชน นนั้ เปนสภาพโดยเฉพาะของชนชาตโิ ยนกนน้ั .๒.โคภตตฺ นาฬกิ าย.

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 347 คนมตี าเหลืองเกินไปบาง แตจะใหค นมีตาเหลอื งดังน้าํ ผ้ึงบวชสมควรอย,ู คนไมม ีขนตาบา ง, คนมตี ามนี ํา้ ตาไหลบา ง, คนมีตาแหกบา ง, คนมีตาประกอบดวยโรคยงั ตาใหสุก คือคนตาแฉะ มขี ้ตี ากรังบา ง. คนมีจมกู ใหญเ กินไปบาง, มจี มูกเลก็ เกนิ ไปบาง, คนมจี มูกบบ้ี า ง, คนมีจมูกดดเบีย้ วไปขางหน่ึงไมต้ังอยตู รงกลางบาง, คนมจี มูกยาว คือมาตามพรอมดวยจมกู ดังสุกร ซ่งึ อาจเลยี ดวยล้นิ ไดบ า ง, คนมีจมกู กน็ ํ้ามูกไหลออกเปน นจิบาง. คนมปี ากใหญ คอื มเี คา แหง ปากเทาน้นั ใหญเหมอื นปากแหงกบปากกวา ง สว นหนาเลก็ นกั เชน กับนาํ้ เตาบา ง คนมีปากอา บาง, คนมีปากคดบาง. คนมรี ิมฝปากใหญ คอื มาตามพรอ มดว ยริมฝป ากเชน กบั เกลยี วปากหมอขาวบาง, คนมริ มิ ฝป ากลั้น คอื มาตามพรอมดว ยริมฝป ากอันไมสามารถจะปดฟน มิด เชน กับหนังหมุ กลองบา ง. คนมรี มิ ฝปากลา งหนาบา ง, คนมีริมฝปากบนบางบา ง, คนมีริมฝป ากลา งบางบาง, คนมรี ิมฝป ากบนหนาบา ง, คนมรี ิมฝป ากแหวงบาง. คนมปี ากมีนาํ้ ลายไหลเสมอบาง, คนมปี ากสุกแดงนักบา ง, คนมปี ากดังสังข คือมาตามพรอมดว ยริมฝป ากขา งนอกขาว ขางในแดงจดั บาง, คนมีปากเหม็นดังซากศพบาง. คนมฟี น ใหญ คือมาตามพรอ มดว ยฟน เชนกับสัตวมี ๘ ซ่บี า ง, คนมีฟน ดังอสรู คอื มีฟนลา งหรือฟน บนออกนอกปากบา ง, สวนฟนของผูไ ดเปนของอาจปดดวยริมผปี าก เมือ่ พดู เทานัน้ จงึ ปรากฏ เมือ่ ไมพดู ไมปรากฏ จะใหผ นู ้ันบวชสมควรอยู. คนมฟี นเนา บาง, คนไมมีฟน บาง, แตใ นระหวา งฟนขอผูใด มฟี นซ่เี ลก็ ดังฟนกระแต จะใหผนู น้ั บวชสมควรอย.ู

พระวินัยปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาท่ี 348 คนมคี างใหญ คือมาตามพรอ มดวยคางดงั คางแหง โคบา ง, คนมีคางยาวบาง. คนมีตางเฟด คือมาตามพรอมดว ยคางอันสัน้ นกั ดังหดหายเขาในบา ง,คนมคี างหกั บา ง, คนมีคางคดบา ง. คนไมม ีหนวดและเครา คือมีหนาคลา ยนางภิกษณุ ีบา ง. คนมีคอยยาว คอื ประกอบดว ยคอเชน กับคอนกยางบา ง คนมีคอสั้นคือประกอบดวยคอดงั หดหายเขาขา งในบา ง, คนมคี องาํ้ ลงบา ง. คนมีจะงอยไหลอนั ลบู าง, คนไมม มี อื บา ง คนมมี ือขา งเดยี วบาง. คนมีมอื ส้ันเกนิ บาง, คนมมี อื ยาวเกนิ บาง, คนมีอกหกั บา ง. คนมหี ลงั หกั บา ง. คนมีตวั เปน คุดทะราดบา ง, มีตวั เปน ลาํ ลาบบา ง. มีตัวเปน หิดบาง, มีตวั เหมอื นเหี้ยคือมผี งรวงจากตวั ดงั เหยี้ บาง. ก็แลคาํ วา มตี ัวเปนคดุ ทะราดเปน ตนท้ังหมดขา พเจาหมายเอาโรคทท่ี ํากายใหม ีรูปแปลก กลาวแลวดว ยอํานาจแหง ปรสิ ทสู กศัพทอนั มีความกวา ง. สว นวินิจฉยั ในคาํ นี้ ผศู ึกษาพึงทราบโดยนัยทกี่ ลา วแลว ในคาํ นว้ี า นภิกขฺ เว ปฺจหิ อาพาเธหิ ผุฏโ  นนั่ แล. คนมีบัน้ เอวหกั บาง คนมีตะโพกใหญ คือประกอบดวยเนอ้ื ตะโพกอนั สูงเกนิ ไป เชนกับกระพุงแหงเตาบาง, คนมขี าใหญบ า, คนมีอณั ฑะใหญบาง. คนมีเขาใหญบ าง คนมีเขาเบียดกันบา ง, คนมีแขง ยาว คือมีแขง เชน กับไมเทาบาง. คนมีเทา ผดิ กฏ คือไปตามขวาง บา ง๑. คนมเี ทา บิดไปขา งหลงั บา ง. ๒คนมีปลนี องเปนปนสงู บา ง๓ . คนมีปลนี อ งเปน ปน สูงนน้ั มี ๒ ชนิด คือประกอบดวยปลแี ขง ใหญงอกยอ ยลงภายใตก ม็ ี อวบข้ึนเบอื้ งบนก็มี คนมีแขง ใหญบางคนมีกอนเนอื้ ท่ีแขงหนาบาง คนมเี ทา ใหญบา ง, คนมสี น ใหญบ า ง, คนมปี ลายเทากับสนเทากนั คอื มีแขงต้งั ขึ้นจากกลางเทาบาง, คนมเี ทาเกบา ง. คนมเี ทา เกนั้นมี ๒ ชนิด คือมีเทาบดิ เขาในกม็ ี บดิ ออกนอกกม็ .ี คนมนี ิว้ หงกิ คอื๑. ๒ ๓. คนมีเทากางออกบาง กนมีเทา กรอมเขา บาง คนมปี ลแี ขงโปบา ง ก็วา .

พระวินัยปฎ ก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 349ประกอบดวย น้วิ เชนกับแงงขงิ บาง. คนมีเล็บดํา คอื ประกอบดว ยเลบ็ เนา มีสีดาํบาง, คนแมท ้ังหมดน้ีเปน คนประทุษรายบริษทั คนประทษุ รายบริษทั เหน็ ปานน้ี ไมค วรใหบ วช. บทวา กาโณ มีความวา คนตาบอดตาใส หรอื คนจักษปุ ระสาทอันตอ มเลือดเปนตน ขจดั เสยี กต็ ามที ผใู ดมองไมเหน็ ดว ยตาทง้ั ๒ หรอื ขางเดียวผนู ้นั ไมค วรใหบวช. แตในมหาปจ จรีอรรถกถาแกวา คนตาบอดขางเดียวเรียกวา กาณะ,คนตาบอด ๒ ขาง สงเคราะหด ว ยอันธะ คนมดื . ในมหาอรรถกถาแกวา คนบอดแตก ําเนิด เรียกวา อันธะ เพราะเหตุน้นั คาํ แมทั้ง ๒ ยอมถกู โดยปริยาย. คนมืองอยกด็ ี คนเทา งอ ยกด็ ี คนนว้ิ งอยกด็ ี ช่อื วา คนงอย. บรรดาอวยั วะทัง้ หลายมมี ือเปนตน เหลา นัน้ สวนใดสวนหนึ่งของผใู ดงอปรากฏ ผูนั้นชื่อคนงอ ย. คนเขาพบั ก็ด,ี คนแขง็ หักก็ดี. คนมีอุงเทาคด เพราะมเี ทา หักตรงกลาง คอื เดินดวยทามกลางแหง หลงั เทาก็ดี คนมปี ลายเทา พบั เพราะมเี ทา หกัปลาย คือเดนิ ดว ยหลงั เทาทอ นปลายกด็ ี คนเดนิ เขยงเฉพาะดวยปลายเทา ก็ด.ีคนเดินเขยงดวยสน เทากด็ ,ี คนเดินเขยกดวยสว นนอกแหง เทาก็ดี คนเดินเขยกดว ยสว นในแหง เทา กด็ ,ี คนเดนิ เขยกดว ยหลังเทาท้ังหมด เพราะมีขอ เทาทั้ง ๒หกั ตอนบนก็ดี. ชอ่ื วาคนกระจอก คนชนิดนแ้ี มท ้งั หมด เปน ตนกระจอกแทไมค วรใหบ วช. มือขา งหนง่ึ กด็ ี เทาขางหน่งึ ก็ดี ตัวซีกหนงึ่ ก็ดี ของผูใดไมน ําความสุขมาให ผูน น้ั ช่ือวาผูชาไปแถบหนง่ึ . คนเปลย้ี เรยี กวา คนมีอริ ยิ าบถขาด.

พระวนิ ยั ปฎก มหาวรรค เลม ๔ ภาค ๑ - หนา ที่ 350 คนทรุ พลเพราะความเปนผูช รา ไมสามารถจะทําแมซงึ่ กรรม มียอมจีวรของตนเปน ตน ช่ือวา คนชราทุรพล. สวนผใู ดเปนคนแกแ ตย งั มกี ําลัง อาจประคบั ประคองตน ผนู ั้นควรใหบวช. คนตาบอดแตกาํ เนดิ เรียกวา คนบอด. ความเปลงวาจาของผูใด เปน ไปไมได ผูน น้ั ซง่ึ วา คนใบ. แมของผูใดเปนใบได แตไมส ามารถจะกลาวสรณคมนใ หบรบิ รู ณ จะใหพ ูดไมชัด๑ แมเ ชน น้นั บวช ยอมไมควร. สว นผใู ดสามารถจะวาเพียงสรณคมนใ หบริบรู ณได จะใหผ ูน ้ันบวช ยอ มควร. ผใู ด ฟง ไมไดยินดว ยประการทงั้ ปวง ผูน้ันชื่อคนหนวก. สว นผใู ดฟงเสยี งดงั ไดยิน จะใหผ นู ้นั บวชยอ มควร. คนพิการมีคนท้ังบอดท้ังใบเ ปน ตนพระผูมพี ระภาคเจา ตรัสดว ยอาํ นาจแหง โทษสองช้นั . กบ็ รรพชาของชนเหลา ใด อนั พระผูมีพระภาคเจา ทรงหาม แมอปุ สมบท ของชนเหลา นัน้ ก็เปน อนั ทรงหามดว ย แตถ าสงฆใ หคนประทษุรา ยบรษิ ทั เหลานน้ั อุปสมบท คนมีอวัยวะบกพรองแมท้งั หมด มีคนมอื ขาดเปนตน ก็เปน อันอุปสมบทดว ยดี แตก ารกสงฆและอาจารยก บั อปุ ช ฌาย ไมพ นอาบตั .ิ จริงอยู ดังขา พเจา จักอา งบาลวี า ภิกษุทัง้ หลาย บุคคลผูไมควรเรยี กเขา หมู มีอย,ู ถา สงฆเรียกบุคคลนน้ั เขา หมู บางคนเรียกเขาหมแู ลวก็เปนอนัแลวไป บางคนเปนอนั เรียกเขาหมแู ลวใชไ มไ ด. เนือ้ ความแหงพระบาลีน้นั จักมแี จง ในอาคตสถานนั้นแล ดว ยประการฉะนี.้ อรรถกถาหตั ถัจฉนิ นาทวิ ัตถกุ ถา จบ๑. ผพู ดู ตดิ อาง. โบราณวา มถี อ ยคําเปนอางกระอกั กระไอกลาวมไิ ดถ ูกตอง.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook