Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_70

tripitaka_70

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_70

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 201อันอรอย ของควรดื่มคือนํา้ ปานะ ๘ อยา งทสี่ มบูรณค ืออรอ ย และโภชนะคอื อาหารทีค่ วรกิน บรรจใุ หเ ตม็ ทใี่ นบาตรมณีมัย คอื ทาํ ดว ยศิลาอันงามคือดี แลวถวายแกพ ระปจ เจกพทุ ธเจาเหลา นั้นผนู ่ังลงแลว อธิบายวานิมนตใหรบั เอาแลว. อรยิ มณฑลทั้งหมดน้ัน คอื หมพู ระอริยเจาทั้งหมดน้ัน เปน ผูมีทิพยจกั ษุเสมอกัน เปนผูเกลย้ี งเกลา อธิบายวา เปน ผูพ ร่ังพรอ มดวยทิพยจกั ษุ เปนผูเกลี้ยงเกลา คอื เปนผูส ละสลวย คอื งดงาม เพราะเวนจากกิเลสทง้ั ปวง ครองจวี ร คือเปน ผพู รั่งพรอ มกันดว ยไตรจวี ร เปนผอู นั เราใหอ ม่ิ หนําสาํ ราญบรบิ รู ณด ว ยของหวาน น้าํ ตาลกรวด นาํ้ มันนา้ํ ผง้ึ น้ําออ ย และขาวชนั้ ด.ี หมูพระอริยเจาเหลานน้ั อันเราใหอมิ่ หนาํ อยา งน้แี ลว เขาสหู องแกวคือเรอื นมีหองอนั นิรมติ ดว ยรตั นะทง้ั ๗ แลว สําเรจ็ สีหไสยาบนที่นอนอนัมคี า มาก คอื บนเตยี งอนั หาคามิได ดุจไกรสรราชสีหม ีถา้ํ เปน ที่อยูอ าศัยคอื นอนอยใู นถา้ํ ฉะน้นั อธิบายวา สหี มฤคราชนอนตะแคงขา งขวาซอนเทาเหลอ่ื มเทา เอาเทา ขวาทําเปนท่หี นนุ ศีรษะ วางเทา ซา ยทอดไปตรง ๆ เอาหางซุกไวในระหวา งหวั ไส แลวน่ิง ๆ ฉนั ใด หมูพระ-อรยิ เจาท้งั หลายก็สําเรจ็ คือกระทําการนอน ฉนั นนั้ . อธิบายความวา หมูพ ระอริยเจา เหลานั้น คร้นั สาํ เร็จสหี ไสยาอยางน้แี ลว รตู วั อยูค ือสมบูรณดวยสติสัมปชัญญะ ลุกขนึ้ แลวคือลกุ ขึ้นอยา งเรียบรอ ย แลว คูบ ัลลังกบ นทน่ี อน คือทาํ การนงั่ ทาํ ขาออนใหแนบตดิ กันไป.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 202 บทวา โคจร สพฺพพทุ ฺธาน ความวา เปนผเู พียบพรอ มดว ยความยินดีในฌาน คือเปนผพู รง่ั พรอ มดว ยความยินดใี นฌาน อันเปนโคจร คืออารมณข องพระพุทธเจา ท้ังปวงท้งั ที่ลว งไปแลวและทย่ี ังไมมา.บทวา อเฺ  ธมมฺ านิ เทเสนตฺ ิ ความวา บรรดาพระปจเจกพุทธเจาเหลานั้น พระปจเจกพทุ ธเจา พวกหนง่ึ คือบางพวกแสดงธรรม อีกพวกหนึ่งเลนคอื รื่นรมยด วยฤทธ์ิ คือดว ยการเลนฌานมีปฐมฌานเปน ตน. ความอธิบายตอไปวา บางพวกอบรมอภญิ ญา คืออภิญญา ๕ใหเช่ียวชาญ คอื ทําใหช าํ นาญ คอื บรรดาอภิญญา ๕ ยอมถงึ คอื เขาอภิญญาอนั ไปคอื ถงึ บรรลุความชํานาญ ดวยความชาํ นาญ ๕ ประการกลาวคอื การนกึ การเขา การออก การหยุดยนื และการพิจารณา.บางพวกแผลงฤทธิ์ คอื ทําการแผลงฤทธใิ์ หเปนหลายพนั คน ไดแ กแผลงฤทธ์มิ ีอาทอิ ยางนี้ คือแมค นเดยี วทาํ ใหเ ปนหลายคน แมหลายคนทาํ ใหเ ปน คนเดยี วกไ็ ด. บทวา พุทธฺ าป พทุ ฺเธ ความวา เม่ือพระปจเจกพุทธเจา ทั้งหลายประชุมกนั อยางนีแ้ ลว พระพทุ ธเจา ทง้ั หลายยอมถามพระพทุ ธเจา ทง้ั หลายถึงปญ หาอนั เปนวสิ ัย คือเปนอารมณข องพระสพั พัญพัญุตญาณ พระ-พุทธเจาเหลาน้นั ยอ มตรัสรูแ จง จรงิ คอื ตรสั รโู ดยพิเศษไมมสี วนเหลือ ซึ่งฐานะคือเหตุ ทชี่ ่ือวาลึกซึ้ง เพราะลกึ ซงึ่ โดยอรรถ อันละเอยี ดคอื สุขมุ ดว ยพระปญญา. ในกาลนั้น แมพระสาวกทงั้ หลายผปู ระชุมกันอยูในปราสาทของเรายอ มถามปญ หากะพระพุทธเจา ทัง้ หลาย และพระพทุ ธเจาทง้ั หลายก็ถาม

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ที่ 203ปญหากะสาวกดอื ศษิ ยท ง้ั หลาย พระพุทธเจาและพระสาวกเหลานน้ั ตางถามปญ หากันและกนั ตา งพยากรณค ือแกป ญ หากันและกนั . เม่อื จะทรงแสดงพระพุทธเจาทง้ั หมดนน้ั โดยมีภาวะเปนอยา งเดยี วกนั อีก จึงตรสั คํามอี าทิวา พทุ ฺธา ปจเฺ จกพทุ ธฺ า จ ดงั น้ี. ในคํานั้นมอี ธบิ ายวา พระพุทธเจาไดแกพ ระสัมมาสัมพทุ ธเจา พระปจเจกพุทธเจาพระสาวกคือศิษย และผปู รนนบิ ัตคิ อื นสิ ิต ท้ังหมดน้ยี นิ ดีอยูด วยความยินดีของตน ๆ เรน อยู ยอมอภริ มยอยใู นปราสาทของเรา. พระเจาตโิ ลกวชิ ัยจักรพรรดริ าชนน้ั ครั้นทรงแสดงอาจารสมบัติของพระปจ เจกพุทธเจา ท้งั หลาย ในเวชยนั ตปราสาทของพระองคอ ยา งน้ีแลว บัดนี้ เม่ือจะทรงแสดงอานภุ าพของพระองค จงึ ตรสั คํามอี าทิวาฉตฺตา ตฏิ นตฺ ิ รตนา ดังน.ี้ ในคาํ นัน้ มีอธบิ ายวา ฉตั รแกว อันลวนแลว ไปดว ยแกว ๗ ประการ มีพวงมาลัยทองเปนทวิ แถว คือหอ ยตาขา ยทองอยปู ระจาํ . ฉตั รทงั่ หลายวงดว ยขา ยแกวมกุ ดา คือลอ มดวยขา ยแกว มุกดา เพียงแตค ดิ วา ฉัตรทกุ ชนดิ จงกัน้ อยเู หนือกระหมอ มคือศีรษะเรา ก็ยอ มปรากฏขนึ้ . เพดานผาวจิ ิตดว ยดาวทอง คอื แวววาวดว ยดาวทองจงมี คอื จงบงั เกิดข้นึ . อธิบายวา เพดานมใิ ชน อ ยทุกชนดิ วจิ ติ รคือมีสหี ลายอยา งดาษดว ยมาลยั คอื แผไปดวยดอกไม จงก้ันอยเู หนือกระหมอม คอื สว นเบือ้ งบนแหงทเ่ี ปนท่นี งั่ . เช่ือมความวา สระโบกขรณีดาดาษ คอื กลาดเกล่ือนดว ยพวงดอกไมคือพวงของหอมและดอกไมหลายอยา ง งดงามดว ยพวงของหอม คือพวงสุคนธชาติมจี ันทน หญาฝรัน่ และกฤษณาเปนตน. อธบิ ายวา สระ-

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 204โบกขรณเี กลอื่ นกลนดวยพวงผา คอื พวงผา อนั หาดามิได มีผา ปตตณุ ณะและผาจนี ะเปนตน ประดบั ตกแตงดว ยพวงรัตนะทั้ง ๗. ดาดาษดว ยดอกไม คอื ดาดาษดวยดอกไมห อมมีจําปา สฬละ และจงกลนเี ปนตนวจิ ิตรงดงามดว ยด.ี สระโบกขรณมี อี ะไรอีกบาง ? คือสระโบกขรณีอบอวลดว ยสุคนธชาตอิ ันมกี ลิน่ หอมนา พอใจยง่ิ . เจิมดว ยของหอมไวโดยรอบคอื ประดบั ดว ยของหอมทเ่ี อานวิ้ ทัง้ ๕ ไลทาไว สระโบกขรณอี ันมอี ยูในทิศท้ัง ๔ ของปราสาท มงุ ดวยเครอื่ งมงุ เหมคือมุงดว ยเครื่องมงุ อันเปนทอง และเพดานทอง ดาดาษแผเ ตม็ ไปดวยปทมุ และอบุ ล ปรากฏเปนสีทองในรปู ทอง สระโบกขรณฟี งุ ไปดวยละอองเรณขู องดอกปทมุ คอืขจรขจายไปดว ยละอองธุลีของดอกปทุม งดงามอย.ู รอบ ๆ เวชยนั ตปราสาทของเรา มตี นไมมตี นจําปาเปนตนออกดอกทกุ ตน น้ีเปนตนไมด อก. ดอกไมท ้งั หลายหลน มาเองแลวลอยไปโปรยปราสาท อธิบายวา โปรยลงเบือ้ งบนปราสาท. มีอธิบายวา ในเวชยันตปราสาทของเราน้ัน มีนกยูงฟอน มหี มูหงสทพิ ย คอื หงสเทวดาสงเสียงรอ ง หมนู กการวกิ คือโกกิลาทมี่ เี สียงเพราะขับขาน คอื ทําการขับรอ ง และหมูนกอืน่ ๆ ที่ไมส ําคัญ ก็รํา่ รอ งดวยเสยี งอนั ไพเราะอยูโดยรอบปราสาท. รอบ ๆ ปราสาท มีกลองขงึ หนังหนาเดียวและกลองขึงหนังสอง-หนาเปน ตนท้งั หมดไดด ังขึน้ คือไดต ีขนึ้ พิณนน้ั ทั้งหมดซ่งึ มีสายมิใชนอ ยไดด ีดขนึ้ คือสง เสยี ง. สังคตี ทกุ ชนิด คอื เปนอเนกประการ จงเปน ไปคือจงบรรเลง อธิบายวา จงขับขานขนึ้ .



























































































พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ที่ 250แนน ไดแ ก ในวัตถุกามและกิเลสกามทั้งหลาย มจี ติ ปราศจากกําหนัดในโลกอันกาํ หนัดแลว คอื ในโลกอนั มสี ภาวะเปน เคร่อื งยดึ ตดิ ละกิเลสเคร่อื งเนิน่ ชาทัง้ หลายไดแลว คอื ละกิเลส กลาวคือ เครือ่ งเน่นิ ชา คือเคร่ืองเนิ่นชา คือราคะ เครือ่ งเนน่ิ ชาคอื โทสะ เคร่อื งเน่นิ ชาคือโมหะ เครอ่ื งเนนิ่ ชาคือกิเลสท้ังปวง ชนะความดิน้ รน คอื ชนะทฏิ ฐิ ๖๒ อันดน้ิ รน บรรลุตามโพธิอยางนั้น คือกระทาํ ปจ เจกโพธิญาณใหป ระจักษแ ลว ดวยเหตนุ ัน้ . บทวา สพเฺ พสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฑ ความวา วาง คือเวนการขู การทาํ ลาย การฆา และการจองจํา ไมเ บยี ดเบยี นสัตวต ัวใดตวั หน่ึงคอื สตั วไร ๆ แมตัวเดียวในระหวา งสัตวท้งั ปวงเหลานน้ั คือไมทาํ ใหลาํ บาก มจี ติ เมตตา คือมจี ติ สหรคตดว ยเมตตาวา สัตวท้งั ปวงจงมีความสุข เปน ผูอนุเคราะหดว ยประโยชนเ กอ้ื กลู คอื มีความอนเุ คราะหดว ยประโยชนเกือ้ กูลเปน สภาพ. อีกอยางหนงึ่ บทวา สพฺเพสุ นี้ ในคาํ วาสพเฺ พสุ ภเู ตสุ นธิ าย ทณฑ เปน บทบอกการถือเอาหมดโดยประการทงั้ ปวง คือหมดส้นิ ไมมีเศษ. ในบทวา ภเู ตสุ น้ี สัตวท สี่ ะดงุ และม่นั คงเรยี กวา ภูตะ สัตวเ หลา ใดละความอยากคอื ตัณหาไมได ทง้ั ละภัยและความกลัวไมได สตั วเหลานนั้ ชือ่ วา ผสู ะดุง . เพราะเหตุไรจงึ เรียกวาผูสะดงุ ? สัตวเหลา ใดยอมสะดงุ คือสะดงุ ขน้ึ สะดุง รอบ ยอ มกลัวยอ มถงึ ความสะดุงพรอ ม เพราะเหตุนั้น สตั วเหลา นน้ั ทานจงึ เรียกวาผูส ะดงุ . สตั วเ หลา ใดละความอยากคอื ตัณหา ทัง้ ภยั และความกลวั ไดสตั วเ หลานั้นชอ่ื วา ผูม่ันคง. เพราะเหตุไรจงึ เรยี กวา ผูมน่ั คง ? สัตวเหลาใดยอมมน่ั คง คอื ไมสะดุง ไมส ะดงุ ขึ้น ไมส ะดุงรอบ ไมกลัว ไมถ งึความสะดุง พรอม เพราะเหตนุ ัน้ สัตวเ หลานั้น ทา นจงึ เรียกวา ผมู ่ันคง.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook