Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_70

tripitaka_70

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_70

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาท่ี 333อนวัชชโภชบี าง จงึ สละราชสมบัติใหญ สมาทานการบรรพชา เรมิ่วปิ ส สนาแลว ไดเปนพระปจเจกพุทธเจา เมื่อจะชี้แจงอารมณของตนในทามกลางพระปจเจกพุทธเจา ทั้งหลาย ณ ควงตนไมสวรรค ไดก ลา วคาถาน.ี้ คาถานั้นโดยใจความของบทงา ยมาก แตใ นบทวา สหายสมปฺ ทน้ี สหายผเู พียบพรอ มดว ยศลี ขนั ธเ ปนตนอนั เปนอเสขะ พึงทราบวาสหาย-สัมปทาทัง้ สิน้ . สวนวาจาประกอบความในคาํ วา สหายสมปฺ ท นี้ มีดังตอไปนี้:-เราสรรเสรญิ สหายสัมปทาทกี่ ลา วแลวนน้ั โดยแท อธิบายวา เราชมเชยโดยสวนเดียวเทา น้นั . สรรเสรญิ อยา งไร ? สรรเสริญวา ควรคบหาสหายผูประเสรฐิ กวา หรอื ผูเสมอกัน. เพราะเหตุไร ? เพราะเม่ือบุคคลคบหาผูท่ปี ระเสริฐกวาดว ยคณุ มีศลี เปน ตน ของตน ธรรมทั้งหลายมีศลี เปนตนทย่ี ังไมเ กดิ ยอ มเกิดขน้ึ และที่เกดิ แลว ยอมถึงความเจรญิ งอกงามไพบลู ย.เมื่อคบหาคนผเู สมอกนั ธรรมทไี่ ดแลว กไ็ มเ ส่อื ม เพราะเสมอเทากนัและกนั ทัง้ เพราะบรรเทาความรําคาญใจเสียได. ก็กุลบตุ รผใู ครป ระโยชนไมไดสหายเหลา นัน้ ผูประเสรฐิ กวา และเสมอกัน แลว ละมจิ ฉาชพี มีการหลอกลวงเปน ตน บรโิ ภคโภชนะท่เี กิดขึ้นโดยธรรม โดยเสมอ และไมทาํ ความยินดียนิ รา ยใหเ กิดขน้ึ ในโภชนะนน้ั เปน ผมู ปี กตบิ รโิ ภคโดยหาโทษมิได เทยี่ วไปผูเดยี วเหมอื นนอแรดฉะน้นั . แมเรากป็ ระพฤตอิ ยอู ยา งน้ี จึงไดบรรลสุ มบัตนิ ้แี ล. จบพรรณนาอัทธาปสงั สาคาถา

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาที่ 334 พรรณนาสุวณั ณวลยคาถา คาถาวา ทสิ ฺวา สุวณถฺ เสฺส ดังนี้เปนตน มเี รอ่ื งเกิดขน้ึ อยา งไร ? ไดยินวา พระราชาในนครพาราณสอี งคหนึ่ง ไดเสดจ็ เขา บรรทมกลางวนั ในฤดูรอ น และนางวณั ณทาสใี นสาํ นักของพระราชานนั้ กาํ ลังบดจนั ทนแ ดงอยู ทีแ่ ขนขางหนึง่ ของนางวณั ณทาสีนัน้ มีกาํ ไลมอื ทองคาํอนั หน่ึง ท่แี ขนอีกขางหน่ึงมสี องอนั . กาํ ไลทอง ๒ อันนั้นกระทบกันกําไลทองอนั เดียวนอกน้นั ไมก ระทบ (อะไร). พระราชาทรงเหน็ ดังนน้ัจงึ ดํารวิ า ในเพราะการอยเู ปน คณะอยา งนแ้ี หละ จงึ มกี ารกระทบกันในเพราะการอยโู ดดเดย่ี ว จึงไมมีการกระทบกนั แลวทอดพระเนตรดูนางทาสีบอย ๆ. กส็ มยั นั้น พระเทวปี ระดับประดาดว ยเครื่องอลังการทุกชนิด ยืนถวายการพดั อยู พระเทวีนั้นทรงดาํ รวิ า พระราชาเหน็ จะมีพระทยั ปฏิพทั ธน างวณั ณทาสี จึงรับส่ังใหนางทาสีน้ันลกุ ข้ึน แลว เริม่ บดดว ยพระองคเอง. ก็ครงั้ น้นั ทพ่ี ระพาหาทั้งสองของพระนางมีกําไลทองคํามใิ ชนอ ย กําไลทองเหลา นั้นกระทบกัน ทําใหเ กดิ เสยี งดงั ลนั่ . พระราชาทรงเบอื่ ระอายิง่ นกั จึงทรงบรรทมโดยพระปรัศวเ บ้ืองขวาเทา น้นั ทรงเรม่ิ วิปส สนาแลวกระทาํ ใหแจงพระปจเจกโพธญิ าณ. พระเทวถี อื จันทนเขา ไปหาพระราชานัน้ ผบู รรทมสบายดวยสุขอันยอดเยี่ยม แลว กราบทลู วาขาแตม หาราช พระองคจงทรงลูบไล. พระราชานน้ั ตรสั วา จงหลีกไปอยา ลบู ไล. พระเทวกี ราบทลู วา ขา แตมหาราช หมอ มฉันจะลบู ไลใ หแ กใคร. พระราชาตรสั วา เราไมใ ชพระราชา. อาํ มาตยท้ังหลายไดฟ งถอยคาํ ปราศรัยของพระราชาและพระเทวนี น้ั อยางนัน้ จึงพากนั เขา ไปเฝา.พระองค แมอํามาตยเ หลา นน้ั รองทลู ดว ยวาทะวาพระราชา ก็ตรสั วา

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาที่ 335เราไมใ ชพ ระราชาดอกพนาย. คําที่เหลือเชนกับที่กลา วแลวในคาถาแรกนัน่ แหละ. สวนการพรรณนาคาถามีดงั ตอไปนี้ :- บรรดาบทเหลาน้ัน บทวาทสิ ฺวา แปลวา ทรงแลดูแลว . บทวา สุวณณฺ สสฺ แปลวา ทองคาํ .บาลที ี่เหลือวา วลยาน.ิ ก็อรรถะพรอมท้งั อรรถะของบทท่เี หลอื มีเพยี งเทา น.ี้ บทวา ปภสฺสรานิ แปลวา มแี สงสุกปลั่งเปนปกติ มีอธิบายวาโชตชิ วงอยู คําท่เี หลอื มีอรรถะของบทงายทงั้ นน้ั . สวนวาจาประกอบความมีดังตอไปนี้ :- เราเหน็ กําไลทองท่แี ขนจงึ คิดอยางน้วี า เมื่อมีการอยูเปนคณะ การกระทบกันยอ มมี เม่ืออยผู เู ดยี ว ก็ไมม ีการกระทบกันจงึ เริ่มวปิ ส สนาไดบรรลุแลว . คาํ ที่เหลือเขา ใจไดง ายท้งั นัน้ แล. จบพรรณนาสุวณั ณวลยคาถา พรรณนาอายตภิ ยคาถา คาถาวา เอว ทตุ ิเยน ดงั น้เี ปน ตน มีเร่ืองเกิดข้นึ อยา งไร ? ไดย นิ วา พระเจาพาราณสีองคห นึง่ ยงั เปนหนมุ อยูทเี ดยี ว มีพระประสงคจะทรงผนวช จึงสง่ั อาํ มาตยท ั้งหลายวา ทานท้งั หลายจงพาพระเทวมี าแลว ใหท รงบริหารราชสมบตั ิ เราจักบวช. อํามาตยท้งั หลายทูลใหท รงทราบวา ขา แตม หาราชเจา ขา พระองคท้งั หลายไมอ าจรกั ษาราชสมบัตทิ ่ีหาพระราชามิได พระราชาใกลเ คียงทง้ั หลายจักพากนั มาปลนชิงเอา ขอพระองคจงทรงรอจนตราบเทา พระโอรสสักองคห น่ึงเสดจ็ อบุ ตั ิขึ้น. พระราชาทรงมีพระทยั ออนจึงทรงรับคํา. ลาํ ดับน้ัน พระเทวที รง

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 336ตง้ั ครรภ. พระราชาทรงส่งั อํามาตยเ หลานนั้ อกี วา พระเทวีทรงมพี ระครรภทานท้ังหลายจงอภเิ ษกพระโอรสผูประสตู ิแลวในราชสมบตั ิ แลว จงบริหารราชสมบัติ เราจักบวช. อาํ มาตยท ัง้ หลายทูลพระราชาใหท รงทราบแมอ กี วาขาแตมหาราชเจา ขอท่ีพระเทวจี ักประสตู พิ ระโอรสหรือพระธิดาน้ันรูไ ดยาก เพราะเหตุนน้ั ขอพระองคจ งทรงรอเวลาประสตู กิ อ น. ทีนนั้ พระเทวีไดป ระสตู ิพระโอรส. แมคราวนน้ั พระราชากท็ รงสัง่ อํามาตยท ้ังหลายเหมือนอยางน้นั น่นั แหละ. อํามาตยท้ังหลายพากนั ทูลพระราชาใหท รงทราบดวยเหตุมากมายแมอ กี วา ขา แตม หาราชเจา ขอพระองจงทรงรอจนกวาพระโอรสจะเปนผสู ามารถ. ลาํ ดบั นั้น เมอื่ พระกุมารเปนผูสามารถแลวพระราชารับสัง่ ใหอ าํ มาตยท ง้ั หลายประชุมกันแลวตรสั วา บัดนี้ พระ-กุมารน้เี ปน ผสู ามารถแลว ทานทง้ั หลายจงอภิเษกพระกุมารนนั้ ในราชสมบตั ิแลว ปรนนบิ ตั ิ ครน้ั ตรัสแลว ไมใหโอกาสแกพวกอํามาตย ใหนาํ บรขิ ารท้งั ปวงมีผา กาสายะเปน ตนมาจากตลาด ทรงผนวชในภายในบรุ นี ่นั เองแลวเสดจ็ ออกไปเหมือนพระมหาชนก. ปรชิ นทงั้ ปวงพากนั รา่ํ ไรมปี ระการตา ง ๆ ตดิ ตามพระราชาไป. พระราชาเสดจ็ ไปตราบเทารัชสมี าของพระองค แลวเอาไมเทาขดี รอยพลางตรัสวา ไมค วรกา วลวงรอยขีดน้ีมหาชนนอนลงบนแผนดินทาํ ศรี ษะไวทร่ี อยขีดรา่ํ ไรอยู กลา ววา น่แี นะ พอบัดน้ี อาชญาของพระราชาจะทาํ อะไรแกพระองคได จงึ ใหพระกุมารกา วลวงรอยขดี ไป. พระกมุ ารทูลวา พระเจา พอ พระเจาพอ แลว วงิ่ไปทันพระราชา. พระราชาทรงเหน็ พระกมุ ารแลวทรงดํารวิ า เราบรหิ ารมหาชนนครองราชสมบัติ บดั นี้ เราไมอ าจบริหารทารกคนเดียวไดห รือจงึ พาพระกุมารเขา ปา ทรงเหน็ บรรณศาลาที่พระปจ เจกพุทธเจาในปาง

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 337กอนทง้ั หลายอยูมาแลว ในปา น้นั จึงสําเร็จการอยพู รอ มกบั พระโอรส. ลําดับน้นั พระกุมารทรงทาํ ความคนุ เคยในทน่ี อนอยางดีเปนตนเม่ือมานอนบนเครอื่ งลาดทาํ ดวยหญา หรอื บนเตยี งเชือก จงึ ทรงกนั แสง.เปนผอู ันความหนาวและลมเปนตนถูกตอ งเขา ก็ทูลวา หนาวเสดจ็ พอ รอ นเสด็จพอ ยงุ กดั เสดจ็ พอ หวิ เสดจ็ พอ กระหายเสดจ็ พอ . พระราชามวั แตท รงปลอบโยนพระกมุ ารอยนู ่ันแล ทาํ ใหเวลาลวงไปตลอดราตรี แมเวลากลางวันทรงเท่ียวบิณฑบาตแลวนาํ ภตั ตาหารเขาไปใหพ ระกมุ ารนน้ั .ภตั ตาหารสํารวม มากไปดวยขา วฟา ง ลกู เดือย และถวั่ เขียวเปนตน แมไมชอบใจกเ็ สวยภตั ตาหารนน้ั ดว ยอาํ นาจของความหวิ พอลวงไป ๒-๓ วนัก็ทรงซบู ซดี เหมอื นปทุมทีว่ างไวในทรี่ อน สวนพระราชาไมทรงมปี ระการอันแปลก เสวยไดด ว ยกําลงั แหง การพจิ ารณา. ลําดบั นัน้ พระราชาเมื่อจะทรงใหพ ระกมุ ารยินยอมจงึ ตรสั วา น่ีแนะพอ ในนคร ยอ มจะหาอาหารประณตี ได พวกเราจงพากันไปในนครนนั้ เถดิ . พระกุมารรับวาดีละเสด็จพอ. แตน้นั พระราชาทรงใหพ ระกมุ ารอยขู า งหนา แลว พากันกลับมาตามทางทีม่ าแลว นน่ั แหละ. ฝายพระเทวีชนนีของพระกมุ ารทรงดาํ ริวา บัดน้ี พระราชาจักไมท รงพาพระกุมารไปอยูปานาน พอลว งไป ๒-๓ วันเทา น้นั ก็จักเสด็จกลบั จงึ ใหก ระทําร้ัวไวในท่ที ่ีพระราชาเอาไมเทาขีดไวน ั่นแหละ แลว สาํ เร็จการอยู. พระราชาประทบั ยืนอยใู นท่ีไมไ กลจากรัว้ ของพระเทวนี ้นั แลว ทรงสง พระกุมารไปวา ดูกอนพอมารดาของเจา นั่งอยทู นี่ ้ี เจา จงไป. พระองคไ ดป ระทับยนื ดดู วยหวงั พระทัยวา ใคร ๆ อยาไดเบยี ดเบยี นเขาเลย จนกระทัง่ พระกุมารนัน้ ถงึ ที่น้นั พระ-กมุ ารไดว ง่ิ ไปยังสํานกั ของพระมารดา.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาที่ 338 พวกบุรษุ ผทู ําการอารกั ขาเหน็ พระกมุ ารนั้นเสด็จมา จงึ กราบทลูพระเทวี. พระเทวหี อ มลอมดวยหญงิ ฟอ นสองหมน่ื นางตอนรับเอาไวแ ลวและตรัสถามถึงความเปนไปของพระราชา ไดท รงสดับวา เสดจ็ มาขา งหลังจึงทรงสัง่ คนไปคอยรบั ฝายพระราชาไดเสดจ็ ไปยงั ทอ่ี ยขู องพระองคใ นทนั ใดนน้ั เอง. คนทัง้ หลายไมพ บพระราชจงึ พากนั กลบั มา. ลําดบั นนั้พระเทวที รงหมดหวงั จงึ พาพระโอรสไปยังพระนครอภิเษกไวในราช-สมบัต.ิ ฝายพระราชาประทับน่งั อยูใ นท่ีอยูข องพระองค ทรงเหน็ แจง บรรลุพระโพธญิ าณแลว ไดกลา วอุทานคาถานี้ ในทา มกลางพระปจ เจกพทุ ธเจาท้งั หลาย ณ ควงตน ไมสวรรค. อุทานคาถานน้ั โดยใจความงายทัง้ นน้ั . ก็ในอุทานคาถานี้ มอี ธบิ ายดังตอ ไปน้ี. การเปลงวาจาสนทนาหรือวาจาเคร่อื งเกีย่ วของดว ยอํานาจความเสนหาในกมุ ารนัน้ นี้ใด เกดิ แลว แกเราผยู งั กุมารนน้ั ใหย นิ ยอมอยู โดยการอยูรวมกับกมุ ารคนหนง่ึ ผเู ปนเพือ่ น.ผูประกาศใหทราบความหนาวและความรอ นเปน ตน . ถา เราไมสละกมุ ารน้นั ไซร แมก าลตอ จากนนั้ ไป การเปลง วาจาสนทนาหรือวาจาเคร่ืองเกย่ี วขอ งนั้น กจ็ กั มอี ยูเหมือนอยางน้ัน. การเปลงวาจาสนทนาหรอื วาจาเคร่ืองเก่ยี วของกับเพ่ือนจะพึงมแี กเราจนถงึ ในบดั น.ี้ เราเลง็ เหน็ ภยั น้ีตอไปขา งหนาวา การเปลงวาจาสนทนาและวาจาเครื่องเกย่ี วขอ งท้ังสองนี้จะกระทําอันตรายแกก ารบรรลุคุณวเิ ศษ จงึ ท้ิงกุมารนัน้ แลว ปฏิบตั ิโดยแยบคาย จึงไดบ รรลปุ จเจกโพธิญาณ. คาํ ทเี่ หลือมีนยั ดังกลา วแลวนน่ั แล. จบพรรณนาอายติภยคาถา

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 339 พรรณนากามคาถา คาถาวา กามา หิ จติ รฺ า ดังนีเ้ ปนตน มเี รอ่ื งเกิดข้นึ อยางไร ? ไดย ินวา บตุ รของเศรษฐใี นนครพาราณสี ยังหนมุ แนน ทีเดยี วไดตําแหนง เศรษฐ.ี เขามีปราสาท ๓ หลังอันเหมาะแกฤดทู ง้ั ๓. เขาใหบาํ เรอดวยสมบตั ทิ งั้ ปวงดุจเทพกุมาร. ครง้ั นัน้ เขายงั เปนหนุมอยูทเี ดียวคดิ วา จักบวช จงึ ลาบดิ ามารดา. บิดามารดาหา มเขาไว เขาก็ยงั รบเรา อยูเหมือนอยา งนั้นนน่ั แหละ. บดิ ามารดาจึงหามเขาแมอ ีกโดยประการตาง ๆวา พอเอย เจา เปนคนละเอยี ดออน การบรรพชาทําไดยาก เชนกบั การการเดนิ ไป ๆ มา ๆ บนคมมดี โกน. เขาก็ยังรบเราอยเู หมือนเดมิ นั่นแหละบิดามารดาจึงคดิ วา ถาลูกคนนี้บวช ความโทมนสั ยอมเกิดมแี กพ วกเราหามเขาได ความโทมนสั ยอ มจะเกิดมีแกเขา. เออกค็ วามโทมนัสจงมแี กพวกเราเถดิ จงอยา มแี กเ ขาเลย จงึ อนุญาตใหบ วช. แตน ั้น บตุ รของเศรษฐีนน้ั ไมส นใจปริชนท้งั ปวงผูปริเทวนาการอยู ไปยังปา อิสิปตนะบวชในสํานกั ของพระปจเจกพุทธเจาท้ังหลาย. เสนาสนะอนั ประเสริฐยงัไมถงึ เขา เขาจงึ ลาดเส่ือลําแพนบนเตียงนอ ยแลวนอน. เขาเคยชินที่นอนอยา งดมี าแลว จึงไดม คี วามลําบากย่งิ ตลอดคนื ยงั รงุ . เม่อื ราตรสี วางแลวเขาทาํ บรกิ รรมสรีระแลวถอื บาตรจีวร เขาไปบิณฑบาตพรอ มกบั พระ-ปจ เจกพุทธเจา ทงั้ หลาย. บรรดาพระปจเจกพทุ ธเจา เหลา น้ัน พระ-ปจ เจกพุทธเจา ผแู กกวา ไดเสนาสนะเลิศและโภชนะเลิศ. พระปจเจก-พทุ ธเจาผูเปน นวกะ ไดอ าสนะและโภชนะอนั เศราหมอง อยา งใดอยา งหนง่ึ เทา น้ัน. เขาไดเปน ผูม คี วามทกุ ขอ ยา งยิง่ แมเ พราะโภชนะอนั เศรา -หมองนั้น. พอลวงไป ๒-๓ วนั เทาน้ัน เขาก็ซูบผอมมีผิวพรรณหมอง-

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ที่ 340คลาํ้ เบอ่ื หนา ย ในเพราะสมณธรรมยังไมถึงความแกก ลา นั้น. แตนน้ั จงึสั่งทตู ใหบ อกแกบ ดิ ามารดาแลว สกึ . พอ ๒ - ๓ วนั เขาไดกําลังแลวประสงคจ ะบวชแมอกี . แตน นั้ เขาจงึ บวชเปนครั้งทีส่ อง แลวก็สกึ ไปอีกในครั้งที่สามเขาบวชอีก ปฏบิ ตั โิ ดยชอบเห็นแจงแลว กระทําใหแจงปจเจกโพธิญาณแลว กลาวอทุ านคาถาน้ี ไดกลาวแมพ ยากรณค าถานแ้ี หละในทา มกลางพระปจ เจกพทุ ธเจา ท้ังหลายซา้ํ อีก. บรรดาบทเหลานั้น บทวา กามา ไดแ ก กาม ๒ อยา ง คือวัตถุกาม ๑ กิเลสกาม ๑. ใน ๒ อยางนนั้ ธรรมคืออารมณม ปี ยรูปเปน ตน ชอื่ วาวัตถกุ าม ประเภทของราคะท้ังหมด ชอื่ วากิเลสกาม. ก็ในที่นี้ ประสงคเอาวัตถุกาม. กามทงั้ หลายวิจิตรงดงามโดยอเนกประการมรี ูปเปน ตน. ช่อื วาอรอย เพราะเปนทชี่ อบใจของชาวโลก. ช่ือวาเปนทร่ี ืน่ รมยใ จ เพราะทําใจของพาลปถุ ชุ นใหยนิ ด.ี บทวา วิรูปรเู ปน ไดแ กดวยรูปตา ง ๆ. ทานกลา วอธบิ ายวา ดวยสภาวะหลายอยาง. จรงิ อยู กามเหลา น้นั วิจิตรงดงามดว ยอํานาจรูปเปน ตน มีรูปตา ง ๆ ชนดิ ดว ยอํานาจสเี ขยี วเปน ตน ในรปู เปนตน . อธิบายวา กามทงั่ หลายแสดงความชอบใจโดยประการนน้ั ๆ ดว ยรูปตา ง ๆ น้นั ๆ อยางน้ี ยา่ํ ยจี ิตอยูคอื ไมใ หยนิ ดีในการบวช. คาํ ทีเ่ หลอื ในคาถาน้ี ปรากฏชัดแลว แมบทสรปุ กพ็ งึประกอบดว ยบท ๒ บท หรือ ๓ บท แลว พงึ ทราบโดยนัยดังกลา วในคาถาแรกนน้ั แล. จบพรรณนากามคาถา

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ที่ 341 พรรณนาอีตคิ าถา คาถาวา อตี ิ จ ดงั นเ้ี ปนตน มเี รื่องเกิดข้ึนอยา งไร ? ไดย ินวา หวั ฝเกดิ ขนึ้ แกพระเจาพาราณสี เวทนากลาไดเ พมิ่ มากขน้ึ หมอท้ังหลายทลู วา เวนสัตถกรรมการผา ตัด จะไมมคี วามผาสกุพระราชาทรงใหอภยั หมอเหลา น้ัน แลวใหกระทาํ การผา ตดั . หมอเหลา-นั้นผา หวั ฝน นั้ แลว นาํ หนองและเลือดออกมา กระทําใหไมมเี วทนาแลวเอาผา พันแผล. และถวายคาํ แนะนําพระราชาใน (การเสวย) เน้อื และพระกระยาหารอันเศรา หมอง. พระราชาทรงมพี ระสรรี ะซบู ผอม เพราะโภชนะเศรา หมอง. และหัวฝข องพระราชานั้นกแ็ หงไป. พระราชาทรงมีสัญญาวาทรงผาสกุ จงึ เสวยพระกระยาหารอนั สนทิ . ดวยเหตุน้นั จึงทรงเกดิ พละกาํ ลงั ทรงเสพเฉพาะในการเสพเทาน้ัน. หัวฝข องพระราชาน้ันก็ถึงสภาวะอนั มใี นกอนนนั่ แหละ เมื่อเปนอยา งนั้น พระองคจึงใหท ําการผา ตัดจนถงึ ๓ คร้ัง อนั หมอท้งั หลายละเวน แลว (จากการรักษา) จึงทรงเบ่อื หนาย ละราชสมบตั ิใหญออกบวชเขา ปา เร่ิมวปิ สสนา ๖ พรรษาก็ทาํ ใหแจงพระปจ เจกโพธิญาณ ไดก ลา วอทุ านคาถานแ้ี ลว ไปยังเงื้อมเขานนั ทมลู กะ. ท่ชี อ่ื วา อีติ จัญไรในคาถานัน้ เพราะอรรถวา มา. คําวา อตี ินี้ เปนชอื่ ของเหตุแหงความฉิบหายอันเปนสว นแหง อกุศลทีจ่ รมา. เพราะ-ฉะนั้น แมก ามคุณเหลานี้ก็ชื่อวา จัญไร เพราะอรรถวา นํามาซง่ึ ความฉิบหายมใิ ชนอ ย และเพราะอรรถวา เปนทีป่ ระชมุ อนตั ถพนิ าศ. แมหัวฝก็หล่งั ของไมส ะอาดออกมา เปนของบวมข้นึ แกจ ัด และแตกออกเพราะฉะน้ัน กามคุณเหลานี้ จึงชื่อวา ดุจหวั ฝ เพราะหล่ังของไมส ะอาด

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 342คือกเิ ลสออกมา และเพราะมีภาวะบวมขึ้น แกจ ดั และแตกออก โดยการเกิดขึ้น การคร่าํ ครา และแตกพงั ไป. ชือ่ วาอุปทวะ เพราะอรรถวารบกวน. อธบิ ายวา ทาํ อนตั ถพินาศใหเกดิ ครอบงํา ทวมทับไว. คาํ วาอุปท วะน้ีเปน ช่ือของหวั ฝคือราคะเปน ตน. เพราะฉะน้นั แมก ามคณุเหลานี้ ก็ช่อื วาอปุ ท วะ เพราะนํามาซึง่ ความพินาศคอื การไมรูแ จงพระ-นิพพานเปน เหตุ และเพราะเปนวตั ถุทต่ี งั้ โดยรอบแหง อปุ ท วกรรมทกุ ชนดิ .กเ็ พราะเหตุทีก่ ามคณุ เหลา น้ี ทําความกระสับกระสา ยเพราะกิเลสใหเกดิทําความไมม โี รคกลาวคอื ศลี หรอื ความโลภใหเ กดิ ข้นึ ปลน เอาความไมมโี รคซง่ึ เปน ไปตามปกติ ฉะนัน้ กามคณุ เหลา นน้ั จึงช่ือวาดจุ โรค เพราะอรรถวา ปลนความไมมโี รคน้.ี อน่ึง ชื่อวาดจุ ลกู ศร เพราะอรรถวาเขาไปเรื่อย ๆ ในภายใน เพราะอรรถวา เสียบเขา ในภายใน และเพราะอรรถวา ถอนออกยาก. ชื่อวาเปนภยั เพราะนาํ มาซง่ึ ภยั ในปจจุบันและภยั ในภายหนา. ชอ่ื วา เมต เพราะตดั บทออกเปน เม เอต . คาํ ทีเ่ หลอื ในคาถาน้ีปรากฏชดั แลว . แมค ําสรุปกพ็ งึ ทราบโดยนยั ดงั กลาวแลวนน่ั แล. จบพรรณนาอีติคาถา พรรณนาสตี าลกุ คาถา คาถาวา สีตฺจ ดังนี้เปนตน มเี ร่อื งเกดิ ขน้ึ อยา งไร ? ไดยินวา ในนครพาราณสี ไดมีพระราชาพระนามวา สตี าลกุ -พรหมทตั พระราชานนั้ ทรงผนวชแลวอยใู นกุฎีทม่ี งุ บงั ดวยหญาในปากใ็ นสถานทน่ี ้ัน ในฤดูหนาวกห็ นาวจดั ในฤดรู อนกร็ อนจดั เพราะเปน

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาท่ี 343สถานทโ่ี ลงแจง . ในโคจรคาม กไ็ มไ ดภ ิกษาเพียงพอแกค วามตอ งการแมน ํา้ ดม่ื กห็ าไดยาก. ท้ังลม แดด เหลือบ และสัตวเลือ้ ยคลานก็เบยี ดเบยี นพระราชานั้นไดมพี ระดํารดิ งั น้ีวา ในท่ีประมาณก่ึงโยชนจากท่นี ีไ้ ป มีถิน่ทสี่ มบูรณ อนั ตรายอันเบยี ดเบยี นเหลา นนั้ แมท กุ ชนดิ กไ็ มม ี ในถิน่ ท่นี ัน้ถากระไรเราพงึ ไปในถ่ินทีน่ ั้น เราอยผู าสกุ อาจไดบรรลคุ วามสขุ . พระ-องคไ ดทรงดาํ รติ อไปอีกวา ธรรมดาบรรพชิตทง้ั หลายยอมไมเ ปนผูมักมากในปจ จยั และยอ มทาํ จติ เหน็ ปานนี้ ใหอยูในอํานาจของตนได ยอ มไมตกอยใู นอาํ นาจของจิต เราจักไมไปละ ครั้นทรงพจิ ารณาอยางนแี้ ลวจงึ ไมเสด็จไป. พระองคทรงพจิ ารณาจติ ท่เี กิดขน้ึ อยางน้ีจนถงึ ครัง้ ทส่ี ามทําจิตใหก ลบั แลว แตน้นั พระองคก ็ประทบั อยูใ นท่เี ดิมนนั่ แหละ ถงึ๗ พรรษา ปฏิบตั ชิ อบอยู กระทาํ ใหแ จง พระปจเจกสัมโพธิญาณตรสั อทุ านคาถาน้ี แลว ไดเ สดจ็ ไปยงั เงอ้ื มเขานนทั มูลกะ. บรรดาบทเหลานั้น บทวา สตี จฺ ความวา ความหนาวมี ๒ อยางคือความหนาวมีธาตุภายในกําเรบิ เปน ปจ จยั และความหนาวมีธาตุภายนอกกาํ เริบเปน ปจ จัย. แมความรอนกม็ ี ๒ อยา งเหมือนกนั . แมลงวนั สีนํ้าตาลชอ่ื วา เหลอื บ. บทวา สิรสึ ปา ความวา ทีฆชาติชนิดใดชนิดหนง่ึ ซง่ึเลื้อยคลานไป. คาํ ที่เหลือปรากฏชัดแลว . แมบทสรปุ พงึ ทราบโดยนัยดังกลาวแลวน่ันแล. จบพรรณาสตี าลกุ คาถา

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ที่ 344 พรรณนานาคคาถา คาถาวา นาโคว ดงั นีเ้ ปน ตน มีเรื่องเกิดขนึ้ อยางไร ? ไดย ินวา ในนครพาราณสี มพี ระราชาองคห นงึ่ ครองสมบัตอิ ยู๒๐ ป สวรรคตแลว ไหมอ ยใู นนรก ๒๐ ปเ หมือนกนั แลวเกดิ ในกําเนดิชางในหิมวนั ตประเทศ มสิ กนธกายเกิดพรอ มแลว มีรา งกายทงั้ สิน้ ดจุ สีปทมุ ไดเ ปน ชา งใหญจ า โขลงตัวประเสริฐ. เฉพาะลูกชา งทั้งหลายยอมกินก่ิงไมห กั ทีช่ างนน้ั หกั ลงแลว ๆ แมใ นการหย่ังลงนํา้ พวกชา งพังกเ็ อาเปอ กตมมาไลท าชา งนั้น. เรอื่ งท้งั หมดไดเ ปนเหมือนเร่ืองของชา งปาล-ิไลยกะ. ชางน้นั เบือ่ หนา ยจงึ หลีกออกไปจากโขลง. แตนั้น โขลงชา งก็ติดตามชา งนน้ั ไปตามแนวของรอยเทา. ชา งน้ันแมหลกี ไปอยางนัน้ ถงึ ครงั้ที่ ๓ โขลงชางกย็ งั ติดตามอยูนน่ั แหละ. ลําดบั น้นั ชา งนั้นจึงคิดวาบดั น้ี หลานของเราครองราชสมบัติอยูใ นนครพาราณสี ถากระไรเราพึงไปยงั อทุ ยาน ตามชาตกิ ําเนิดอันมใี นกอนของตน หลานนน้ั จกั รกั ษาเราไวใ นอุทยานนั้น. ลําดับน้นั เมื่อโขลงชางพากนั หลับในตอนกลางคนืชางนัน้ จึงละโขลงเขา ไปยงั อทุ ยานน้ันน่นั แหละ. พนกั งานรกั ษาอทุ ยานเห็นเขา จงึ กราบทลู แดพ ระราชา พระราชาทรงแวดลอ มดวยเสนา โดยหวังพระทยั วา จกั จบั ชา ง. ชางบายหนาไปเฉพาะพระราชา. พระราชาทรงดาํ รวิ า ชางมาตรงหนาเรา จึงผกู สอดลกู ศรประทบั ยนื อย.ู ลําดบั นัน้ชา งคิดวา พระราชานค้ี งจะยิงเรา จงึ กลา วดวยถอ ยคํามนุษยว า ขาแตทานพรหมทตั พระองคอยายิงขาพระองคเ ลย ขา พระองคเ ปน พระอยั กาของพระองค. พระราชาตรัสวา ทา นพูดอะไร แลว ตรสั ถามเรื่องราวทั้งปวง. ฝายชา งก็กราบทูลเรือ่ งทง้ั ปวงในราชสมบัติ ในนรก และใน

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาท่ี 345กําเนดิ ชา ง. ใหทรงทราบ. พระราชาตรสั วา ดีละ ทานอยา กลวั และอยา ใหใคร ๆ กลวั แลวใหเขาไปตัง้ เสบยี ง คนอารกั ขา และสงิ่ ของสาํ หรับชางแกชา ง. อยูมาวนั หนง่ึ พระราชาเสด็จบนคอชา งตวั ประเสริฐทรงดาํ ริวาพระอยั กานีค้ รองราชสมบตั อิ ยู ๒๐ ป แลว ไหมใ นนรก แลว เกิดในกาํ เนิดดริ จั ฉานดวยเศษแหงวิบากท่ีเหลือ แมใ นกําเนดิ นนั้ กอ็ ดกลน้ั การกระทบกระทัง่ ในการอยูเปน หมูคณะไมได จงึ มาท่นี ี้. โอ ! การอยูเปน หมูคณะลาํ บากหนอ. แตความเปน ผเู ดียวอยูเปนสขุ แล. จงึ ทรงเริมวปิ ส สนาบนคอชา งนัน้ น่ันเอง ไดกระทาํ ใหแ จงพระปจ เจกโพธญิ าณแลว.พระราชานน้ั ทรงมีความสขุ ดวยโลกตุ รสุข พวกอาํ มาตยเ ขา ไปหมอบกราบแลวทูลวา ขาแตมหาราชเจา ไดเ วลาเสดจ็ ไปแลว พระเจา ขา . ลําดับนั้นพระราชาตรัสวา เราไมไดเ ปนพระราชา แลวไดตรัสคาถาน้ี โดยนัยอันมใี นกอนนน่ั แล. คาถานน้ั วาโดยอรรถแหง บท ปรากฏชดั แลว . กใ็ นทน่ี ้ี ประกอบคาํ อธิบายไวดงั ตอไปน้ี. กค็ าถานัน้ ทานกลา วโดยความถูกตอง มใิ ชกลาวตามทีไ่ ดฟ งกันมา. ชางนช้ี ่ือวานาคะ เพราะไมมาสูภมู ทิ ี่ตนยังมไิ ดฝก เพราะเปนผฝู กแลวในศีลทงั้ หลายทพ่ี ระอริยะใครหรอื เพราะเปน ผูมรี างกายใหญโต ฉันใด ช่ือวาในกาลไหน ๆ แมเ รากฉ็ นั นั้น พงึ เปนผูชือ่ วานาค เพราะไมม าสูภมู ิทีย่ งั ไมไดฝ ก เพราะเปน ผูฝกแลว ในศีลท้งั หลายท่ีพระอรยิ เจา ใคร เพราะไมกระทําบาป และเพราะไมม าสูความเปนอยางนอี้ ีก หรือเพราะเปนผูมสี รีระคุณใหญ. อนง่ึชา งนีล้ ะโขลง อยใู นปาตามความชอบใจ ดวยความสุขในความเปน ผเู ดยี วเท่ียวไป พงึ เปน ผูเดยี วเทย่ี วไปเหมือนนอแรด ฉันใด ชอ่ื วา ในกาลไหน ๆ

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ที่ 346แมเ รากฉ็ นั นนั้ พึงเวน หมูคณะเสยี อยใู นปาตามความชอบใจดวยความสุขในการอยผู เู ดยี ว คืออาศยั ในปาตลอดกาลทป่ี รารถนา โดยประการที่จะมีความสุขแกตน พงึ เปน ผเู ดยี วเทย่ี วไปเหมือนนอแรด อธิบายวาพึงเปนผเู ดียวเทีย่ วไป. อนงึ่ ชางนี้ช่อื วา มีขันธเกิดพรอ มแลว เพราะเปนผูม ขี นั ธซ่ึงต้ังอยูถ กู ท่ใี หญโ ต ฉนั ใด ช่ือวา ในกาลไหน ๆ แมเ รา กฉ็ ันน้ันเปน ผชู ื่อวามีขนั ธเ กิดพรอมแลว เพราะเปนผูมขี ันธคอื กองแหงศีลอันเปนของพระอเสขะอนั ย่งิ ใหญ. อนึ่ง ชางนีช้ ือ่ วา ปทุมี มีสเี หมอื นปทมุ เพราะมีตวั เชนกับปทมุ หรอื เพราะเกิดในตระกลู ชางปทุม ฉนั ใด ชื่อวาในกาลไหน ๆ แมเ รา กฉ็ นั น้นั พงึ เปนผชู ื่อวาปทุมี เพราะเปน ผซู อ่ื ตรงเชนกับปทมุ หรือเพราะเปน ผเู กิดในปทมุ คืออริยชาต.ิ อนึ่ง ชา งนเ้ี ปนผูโอฬารยิ่งดวยเรี่ยวแรงและกาํ ลังเปน ตน ฉันใด ช่ือวา ในกาลไหน ๆแมเ รา กฉ็ นั นัน้ พงึ เปน ผยู ิ่งใหญด ว ยความเปนผูม ีกายสมาจารอนั บริสุทธ์ิเปนตน หรอื ดวยศลี สมาธิ และปญญา เปน เครอื่ งชําแรกกเิ ลสเปน ตน .เราคิดอยอู ยา งนี้ จึงเรม่ิ วปิ ส สนา แลวไดบรรลพุ ระปจเจกสมั โพธิญาณฉะนแ้ี ล. จบพรรณนานาคคาถา พรรณนาอัฏฐานคาถา คาถาวา อฏ าน ต ดังน้ีเปนตน มีเรือ่ งเกิดขึน้ อยา งไร ? ไดย นิ วา โอรสของพระเจาพาราณสยี งั ทรงเปน หนุมอยูท ีเดยี ว มีพระประสงคจ ะผนวช จงึ ทลู ออ นวอนพระชนกชนนี. พระชนกชนนที รง

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 347หามพระโอรสนนั้ . พระโอรสนนั้ แมจ ะถกู หามก็ยังทรงรบเรา อยูนนั่ แหละวาจักบวช. แตน ้นั พระชนกชนนไี ดต รสั คาํ ทงั้ ปวงแลว ทรงอนญุ าต เหมือนบุตรเศรษฐที ีก่ ลาวไวในเบอ้ื งตน . และทรงใหพระโอรสปฏิญาณวา บวชแลว ตองอยใู นพระอทุ ยานเทา นัน้ . พระโอรสไดท รงการทาํ อยางนนั้ แลว .พระมารดาของพระองคทรงหอมลอ มดวยหญิงฟอนสองหมื่นนาง เสด็จไปพระอุทยานแตเชาตรู ใหพ ระโอรสดืม่ ยาคู และในระหวางก็ทรงใหเ คี้ยวของควรเคย้ี วเปนตน ทรงสนทนาอยกู บั พระโอรสนน้ั จนกระทัง่ เท่ียง จงึเสดจ็ เขาพระนคร. ฝา ยพระบดิ ากเ็ สด็จมาในเวลาเที่ยง ใหพ ระโอรสน้นัเสวย แมพ ระองคก็เสวยดวย ทรงสนทนากบั พระโอรสน้ันตลอดวนั ในเวลาเยน็ ทรงวางคนผูป รนนิบตั ไิ ว แลวเสด็จเขา พระนคร. พระโอรสนน้ั ไมเ งยี บสงัดอยตู ลอดทง้ั วนั และคืนดว ยประการอยางน.้ี กส็ มัยนนั้ พระปจเจกสมั พทุ ธเจา พระนามวา อาทจิ จพนั ธุ อยูในเงอื้ มเขานนั ทมูลกะ พระปจเจกสัมพทุ ธเจาพระองคน ้ันทรงรําพงึ อยไู ดเห็นพระกมุ ารน้ันวา กมุ ารนอี้ าจบวชได แตไมอาจตัดชฏั ได. เบือ้ งหนาแตน ้ันทรงรําพงึ ตอไปวา พระกุมารจักเบอื่ หนา ยโดยธรรมดาของตนไดห รือไมห นอ. ลําดบั นัน้ ทราบวา พระกมุ ารเมอื่ ทรงเบ่ือหนา ยเองโดยธรรมดาจกั เปน เวลานานมาก จงึ ดํารวิ า เราจกั ใหอ ารมณแกพระกุมารนนั้ ดงั นี้แลว มาจากพ้ืนมโนศิลาโดยนัยกอ น แลว ไดยนื อยใู นอทุ ยาน. บริษัทของพระราชาเหน็ เขาจงึ กราบทลู วา ขาแตมหาราช พระปจ เจกสัมพุทธเจาเสด็จมา. พระราชาทรงมีพระทัยปราโมทยวา บัดน้โี อรสของเราจะไมรําคาญ จักอยูกับพระปจเจกสัมพทุ ธเจา จงึ ทรงอปุ ฏ ฐากพระปจ เจกสัม-พทุ ธเจา โดยเคารพ แลว ขอใหอยใู นอทุ ยานัน้ รับสั่งใหก ระทําทกุ ส่งิ

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ที่ 348มบี รรณศาลา ที่พกั กลางวัน และทจ่ี งกรมเปน ตน เสรจ็ แลวนมิ นตใหอย.ูพระปจเจกสัมพุทธเจา นนั้ อยใู นทน่ี ั้น วันหนึ่งไดโ อกาสจึงถามพระกมุ ารวาพระองคเปนอะไร ? พระกุมารตรสั วา ขาพเจาเปน บรรพชิต. พระ-ปจ เจกสัมพุทธเจาตรัสวา ธรรมดาบรรพชติ ท้ังหลายยอ มไมเปน ผูเชนน.้ี ลําดับนั้น เมื่อพระกมุ ารตรสั วา ทานผเู จรญิ บรรพชิตท้ังหลายเปน ผูเชน ไร อะไรไมส มควรแกข า พเจา พระปจ เจกสมั พทุ ธเจา จึงตรัสวาทา นไมเพง ดกู ารกระทําอันไมสมควรแกท าน พระมารดาของทานเสด็จมาในเวลาเชา พรอมกบั พวกสตรสี องหม่ืนนาง กระทาํ อุทยานใหไมเงียบสงัด อน่ึง พระบิดาของทา นก็เสดจ็ มาพรอ มกับหมูพ ลใหญ ทาํใหไมเงยี บสงดั ในตอนเยน็ บรษิ ทั ผปู รนนบิ ตั ทิ ําใหไ มเ งียบสงดั ตลอดราตรที ั้งสิ้น มใิ ชห รือ ธรรมดาบรรพชติ ทั้งหลายยอ มไมเปน เชนกบั ทา นแตท านเปนผเู ปน เชนน้ี ดังนี้แลว แสดงธรรมเคร่ืองอยอู ยา งใดอยางหนึง่ในหมิ วันตประเทศดวยฤทธแิ์ กพระกุมาร ผยู ืนอยู ณ ทีน่ นั้ นัน่ แหละ.พระกุมารเหน็ พระปจเจกสัมพุทธเจาท้ังหลายในหมิ วนั ตประเทศนัน้ ผูย ืนพงิ แผน กระดานสาํ หรับยึด ผกู าํ ลังจงกรม และผูกาํ ลงั ทําการยอ มและการเยบ็ เปน ตน จงึ กลา ววา ทานทัง้ หลายไมไ ดม าในทีน่ ี้ แตการบรรพชาทานท้ังหลายอนญุ าตแลว . พระปจ เจกสมั พุทธเจา กลาววาเจริญพร ทานอนญุ าตการบรรพชาจําเดิมแตก าลทีบ่ วชแลว ช่อื วา สมณะท้งั หลายยอ มไดเ พอื่ จะกระทาํ การออกไปจากทุกขแ กต น และเพอื่ จะไปยังถิน่ ทต่ี องการที่ปรารถนา กรรมมีประมาณเทา นีแ้ หละยอมควร ครนั้ กลาวแลวจงึ ยืนอยูในอากาศ กลาวก่ึงคาถานีว้ า ขอทจ่ี ะไดส ัมผัสวมิ ุตตอิ ันเกิด

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ที่ 349ขึ้นในสมัยน้นั มิใชฐานะของผูย ินดีในการคลุกคลดี งั นี้ เปนผทู ่ีใคร ๆยงั เห็นอยูน ้ันแล ไดไปยงั เง้อื มเขานันทมูลกะทางอากาศ. เม่อื พระปจ เจกสัมพุทธเจา เสด็จไปอยางน้ันแลว พระกมุ ารนั้นเสด็จเขา ไปยงั บรรณศาลาของตนแลว กน็ อน. ฝายบรุ ษุ ผูอารกั ขาประมาทเสียวาพระกมุ ารนอนแลว บดั น้จี ักไปไหนได จึงกาวลงสูค วามหลับ. พระ-กุมารรวู าบรุ ุษน้นั ประมาทแลว จงึ ถอื บาตรจีวรเขาไปปา. ก็พระกมุ ารนั้นยนื อยใู นทน่ี ้ันเริ่มวิปส สนา กระทาํ ใหแจง พระปจ เจกสัมโพธญิ าณแลว ไปยังสถานทข่ี องพระปจ เจกสัมพุทธเจา. และในที่นั้น ถูกถามวา บรรลุไดอ ยางไร จึงกลา วกงึ่ คาถาท่พี ระอาทิจจพันธปุ จเจกสมั พุทธเจา กลาวไวใหครบบริบูรณ. ความของคาถานนั้ วา บทวา อฏ าน ต ตดั เปน อฏ าน ตทา นอธิบายวา อการณ ต แปลวา ขอ นัน้ มิใชเหต.ุ ทานลบนิคคหิต.เหมือนในคาํ มีอาทิวา อริยสจจฺ าน ทสสฺ น ดังน.ี้ บทวา สงคฺ ณิกา-รตสสฺ แปลวา ผูยินดีในหมูค ณะ. บทวา ย เปนคาํ กลา วเหตุ ดุจในคาํ มอี าทิวา ย หิรียติ หริ ยี ิตพฺเพน แปลวา เพราะละอายดว ยสง่ิ ทค่ี วรละอาย. บทวา ผสฺเส ไดแ ก พึงบรรล.ุ บทวา สามยิก วิมตุ ตฺ ึไดแ ก โลกยิ สมาบัต.ิ จรงิ อยู สมาบัตอิ นั เปน ฝา ยโลกยิ ะนัน้ ทานเรียกวาสามยกิ า วิมตุ ตฺ ิ เพราะหลดุ พนจากขา ศึกทง้ั หลายในสมัยท่แี นวแน ๆเทา นั้น. ซง่ึ สามยกิ วิมุตติ นั้น. พระกมุ ารตรสั วา เราใครค รวญคาํของพระอาทจิ จพันธุปจเจกสมั พทุ ธเจาดงั นีว้ า บุคคลพงึ บรรลุวมิ ุตตดิ ว ยเหตุใด เหตนุ ้ันมิใชฐ านะ คอื เหตนุ ้ันยอ มไมมแี กผูยินดีในการคลกุ คลี

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาท่ี 350ดังนี้ จึงละความยินดีในการคลุกคลี ปฏิบัตโิ ดยแยบคาย จงึ ไดบรรลแุ ลว.คาํ ทีเ่ หลอื มนี ยั ดังกลาวแลว แล. จบพรรณนาอฏั ฐานคาถา จบวรรคท่ี ๒ พรรณนาทฏิ ฐวิ สิ ูกคาถา คําวา ทิฏีวิสกู านิ ดังนเี้ ปน ตน มีเรื่องเกดิ ขน้ึ อยางไร ? ไดย ินวา พระเจาพาราณสอี งคหน่งึ ไปในท่ลี ับแลว ทรงดาํ ริวา ความรอนเปน ตนอนั กาํ จัดความหนาวเปนตน มอี ยฉู ันใด วิวฏั ฏะอันกาํ จดั วัฏฏะมีอยูฉันนั้นหรือไมห นอ. พระองคจงึ ตรสั ถามอาํ มาตยท ง้ั หลายวา พวกทา นรูจกั ววิ ัฏฏะไหม ? อํามาตยเ หลานน้ั กราบทูลวา ขา แตมหาราชเจารูพระเจาขา . พระราชาตรัสถามวา ววิ ัฏฏะนนั้ คืออะไร ? แตน้นั อาํ มาตยทั้งหลายจึงกลาวถึงความเที่ยงและความขาดสญู โดยนยั มีอาทิวา โลกมีท่ีสุด. พระราชาทรงดาํ รวิ า อํามาตยพ วกน้ีไมรู อํามาตยพ วกนท้ี ั้งหมดเปนไปในคติของทิฏฐิ ทรงเห็นความท่ีพระองคเองทรงเปน ท่ขี ดั กันและไมเหมาะสมกนั แกอ ํามาตยเ หลานั้น แลว ทรงดํารวิ า ววิ ฏั ฏะอันกาํ จัดวฏั ฏะยอ มมี ควรแสวงหาวิวัฏฏะนน้ั จึงทรงละราชสมบัตอิ อกผนวชเจรญิวิปสสนาอยู ไดทรงทาํ ใหแ จงพระปจ เจกสมั โพธิญาณแลว . ไดต รัสอทุ านคาถานี้ และพยากรณค าถา ในทามกลางพระปจ เจกสัมพุทธเจา ท้งั หลาย. ความของคาถาน้ันวา บทวา ทิฏีวสิ กู านิ ไดแ ก ทิฏฐิ ๖๒.จริงอยู ทิฏฐเิ หลา น้นั ช่ือวา เปนขาศกึ เพราะอรรถวา เปนขาศึก เพราะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook