Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_70

tripitaka_70

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_70

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาที่ 351อรรถวา เปน เคร่อื งแทง และเพราะอรรถวา ทวนตอมรรคสัมมาทฏิ ฐิ เมือ่เปนอยา งนน้ั ขาศกึ ของทิฏฐิ หรอื ขา ศกึ คอื ทฏิ ฐิ ชื่อวา ทฏิ ฐวี สิ ูกะ. บทวาอปุ าตวิ ตฺโต แปลวา กา วลว งแลวดวยมรรคคอื ทสั สนะ. บทวา ปตฺโตนิยาม ความวา บรรลุถึงนยิ ตภาวะความเปนผูแ นน อน โดยความเปนผไู มตกไปเปนธรรมดา และโดยความเปน ผมู สี มั โพธิญาณเปนทไ่ี ปในเบือ้ งหนา อกี อยางหนงึ่ บรรลปุ ฐมมรรคกลาวคือสัมมตั ตนยิ าม. ทา นกลาวความสาํ เร็จกิจในปฐมมรรค และการไดเ ฉพาะปฐมมรรคนน้ั ดว ยลาํ ดับคํามปี ระมาณเทาน.้ี บัดน้ี ทานแสดงการไดเฉพาะมรรคท่เี หลอื ดว ยคาํ วา ปฏลิ ทฺธมคฺโค น.ี้ บทวา อุปฺปนฺนาโณมฺหิ แปลวา เราเปน ผูมพี ระปจ เจกสัมโพธญิ าณเกิดข้นึ แลว. ทา นแสดงผล ดว ยบทวา อุปปฺ นนฺ -าโณมหฺ ิ น้ี. บทวา อนฺเนยโฺ ย ความวา อนั คนเหลา อน่ื ไมต องแนะนําวา นีจ้ รงิ . ทา นแสดงความเปน พระสยมั ภู ดวยบทวา อนฺ -เนยโฺ ย นี้. อีกอยางหนึ่ง แสดงถงึ ความเปนผูเชีย่ วชาญเอง เพราะไมมีความเปน ผูอันคนอ่นื จะพึงแนะนําในพระปจ เจกสมั โพธิญาณทไี่ ดบ รรลุแลว. อีกอยา งหนึ่ง ความวา เปน ไปลวงขาศึกคอื ทิฏฐิ ดวยสมถะและวปิ ส สนา บรรลุถึงความแนน อน ดว ยมรรคเบ้ืองตน มีมรรคอันไดแ ลวดว ยมรรคท่ีเหลอื ท้งั หลาย มีญาณเกิดขน้ึ แลว ดวยผลญาณ ชื่อวาอันคนอื่นไมไดแ นะนาํ เพราะไดบ รรลุธรรมทงั้ หมดน้นั ดว ยตนเอง. คาํ ทีเ่ หลือพงึ ทราบโดยนัยดงั กลาวแลว ฉะน้ีแล. จบพรรณนาทิฏกฐวี สิ กู คาถา

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 352 พรรณนานิลโลลุปคาถา คาถาวา นลิ โฺ ลลโุ ป ดังน้เี ปนตน มีเรื่องเกิดขน้ึ อยา งไร ? ไดยนิ วา พอ ครัวของพระเจา พาราณสหี งุ พระกระยาหารในระหวา ง(เสวย) เหน็ เปน ที่พอใจมีรสอรอย แลวนอ มเขาไปถวายดวยหวังใจวาชอื่ แมไ ฉน พระราชาคงจะประทานทรัพยใ หแกเ รา. พระกระยาหารนั้นโดยเฉพาะกลนิ่ เทาน้ัน ก็ทําความเปน ผใู ครเ สวยใหเกดิ แกพ ระราชา ทาํพระเขฬะในพระโอฐใหเ กิดขึ้น ก็เมอ่ื คาํ ขาวคาํ แรกสกั วาใสเ ขาในพระโอฐเอ็นหมน่ื เจด็ พันเอน็ ไดเ ปนประหนึ่งนาอมฤตถูกตอ งแลว. พอครวั คดิ วาจกั ประทานเราเดี๋ยวน้ี จกั ประทานเราเดีย๋ วน.ี้ ฝายพระราชาทรงดาํ ริวาพอ ครัวสมควรแกก ารสักการะ. แลวทรงดํารติ อ ไปวา กเ็ ราไดล ิม้ รสแลวสกั การะ เกียรติศพั ทอ นั เลวก็จะแพรไ ปวา พระราชาองคน ้ีเปนคนโลภหนกั ในรส ดงั น้ี จงึ มิไดตรสั คําอะไร ๆ. เมื่อเปนอยา งนน้ั พอ ครัวกย็ ังคงคิดอยูวา ประเดี๋ยวจักประทาน ประเดยี๋ วจักประทาน จนกระท่ังเสวยเสร็จ. ฝา ยพระราชาก็มไิ ดตรัสอะไร ๆ เพราะกลวั ตอการติเตยี น.ลําดับนน้ั พอ ครัวคิดวา ชวิ หาวญิ ญาณของพระราชานี้ เห็นจะไมม ีในวนั ท่สี อง จึงนอมพระกระยาหารอันมีรสไมอ รอยเขา ไปถวาย. พระ-ราชาพอไดเ สวยแมท รงทราบอยวู า แนะผูเจริญ วนั นน้ั พอครัวควรแกการตาํ หนหิ นอ แตก ็ทรงพิจารณาเหมือนในครง้ั กอ น จงึ มิไดตรสั อะไรๆเพราะกลัวการตเิ ตยี น. ลาํ ดับนน้ั พอครวั คดิ วา พระราชา ดกี ไ็ มทรงทราบไมดกี ไ็ มทรงทราบ จึงถอื เอาเครอื่ งเสบยี งทุกชนิดดวยตวั เอง แลว หงุตม เฉพาะบางอยางถวายพระราชา. พระราชาทรงพระดํารวิ า โอหนอความโลภ ชื่อวา เราผกู นิ บา นเมอื งถงึ สองหมนื่ เมือง ยงั ไมไดแ มส ักวา

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาท่ี 353ขาวสวย เพราะความโลภของพอครัวน้ี ทรงเบื่อหนา ยละราชสมบตั ิออกผนวชเหน็ แจง อยู ไดทําใหแจงพระปจเจกสมั โพธิญาณ ไดตรสั คาถานี้โดยนัยกอนนน่ั แล. บรรดาบทเหลา น้ัน บทวา นลิ ฺโลลโุ ป แปลวา ไมมีความโลภ.จริงอยู บุคคลใด ถกู ความอยากในรสครอบงาํ บุคคลนัน้ ยอ มโลภจัดโลภแลว ๆ เลา ๆ.เพราะเหตุนน้ั ทา นจึงกลาววา โลลุปะ ผโู ลภ. เพราะ-ฉะน้ัน พระราชานี้เมื่อจะทรงหามความเปนผถู ูกเรยี กวา เปน คนโลภ จงึตรสั วา นลิ โลลุปะ ผูไมมคี วามโลภ. ในบทวา นิกกฺ โุ ห นี้ มีอธิบายดังตอไปนี.้ เรอ่ื งสาํ หรบั หลอกลวง ๓ อยาง ไมม ีแกผ ใู ด ผนู นั้ ทานเรียกวาผูไมห ลอกลวง ก็จริง ถงึ อยางนนั้ ในคาถานี้ ชอ่ื วา ผไู มหลอกลวงเพราะไมถ ึงความประหลาดใจในโภชนะอันเปนท่ีพอใจเปนตน. ในบทวานปิ ฺปป าโส น้ี ความอยากจะดม่ื ชอ่ื วาความกระหาย, ชอ่ื วาผูไมกระหาย เพราะไมม คี วามอยากจะด่ืมนนั้ อธบิ ายวา ผูเวน จากความประสงคจ ะบรโิ ภคเพราะความโลภในรสอรอย. ในบทวา นิมฺมกโข นี้มกั ขะ ความลบหลคู ณุ ทาน มลี ักษณะทําคณุ ความดขี องคนอ่นื ใหฉ บิ หาย.ชื่อวาผไู มมีความลบหลูคณู ทา น เพราะไมมมี กั ขะนั้น. ทา นกลาวหมายเอาความไมมกี ารลบหลูคณุ ของพอครวั ในคราวทีพ่ ระองคทรงเปนคฤหัสถ.ในบทวา นิทฺธนตฺ กสาวโมโห นี้ ธรรม ๖ ประการ คือกิเลส ๓ มรี าคะเปนตน และทจุ ริต ๓ มีกายทุจรติ เปนตน พงึ ทราบวา กสาวะ นํา้ ฝาดเพราะอรรถวา ไมผอ งใสตามทีเ่ กิดมี เพราะอรรถวา ใหล ะภาวะของตนแลว ใหถือภาวะของผูอ นื่ และเพราะอรรถวา ดจุ ตะกอน. เหมอื นดงั ทานกลา วไววา

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาที่ 354 บรรดาธรรมเหลา นั้น กิเลสดุจนาํ้ ฝาด ๓ เปนไฉน ? กเิ ลส ดจุ นํา้ ฝาก ๓ เหลาน้ี คอื กเิ ลสดุจนํา้ ฝาดคือราคะ โทสะ และโมหะ บรรดาธรรมเหลานนั้ กเิ ลสดุจนํ้าฝาด ๓ แมอ ื่น อีกเปน ไฉน ? คือกเิ ลสดุจน้าํ ฝาดทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ ดงั น้ี. บรรดากเิ ลสดุจนา้ํ ฝาดเหลา นนั้ ช่อื วา ผมู ีโมหะดุจน้ําฝาดอันขจดัแลว เพราะเปนผูข จัดกเิ ลสดจุ นํ้าฝาด ๓ เวนโมหะ และเพราะเปน ผูขจดั โมหะอันเปนมลู รากของกเิ ลสดจุ นา้ํ ฝาดท้งั หมดนั้น. อกี อยางหนึ่งชอ่ื วาเปนผูมโี มหะดจุ น้าํ ฝาดอนั ขจดั แลว เพราะเปนผูขจัดกเิ ลสดุจน้ําฝาดทางกาน วาจา ใจ ๓ นน่ั แหละ และชอื่ วาเปนผมู โี มหะ. อันขจัดแลวเพราะเปนผูขจัดโมหะแลว. บรรดากเิ ลสดจุ นํ้าฝาดนอกนี้ ความทก่ี ิเลสดจุ นํ้าฝาดคอื ราคะถูกขจัด สาํ เรจ็ แลวดวยความเปนผไู มมีความโลภเปน ตน ความทก่ี เิ ลสดจุ น้ําฝาดคือโทสะถกู ขจดั สาํ เรจ็ แลวดว ยความเปนผไู มมกี ารลบหลคู ณุ ทา น. บทวา นริ าสโย แปลวา ผไู มมีตณั หา. บทวาสพฺพโลเก ภวิตวฺ า ความวา เปนผเู วน จากภวตัณหาและวภิ วตณั หาในโลกทั้งสิน้ คือในภพท้ัง ๓ หรอื ในอายตนะ ๑๒. คําทเี่ กลอื พึงทราบโดยนยั ดังกลาวแลว นัน่ แล. อีกอยางหน่ึง กลาวบาททงั้ ๓ แลวพงึ ทาํ การเชอื่ มความในบทวา เอโก จเร น้ี แมอ ยางนว้ี า พึงอาจเปน ผูเดยี วเที่ยวไป ดังน.้ี จบพรรณนานิลโลลปุ คาถา

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาที่ 355 พรรณนาปาปสหายคาถา คาถาวา ปาป สหาย ดังนเ้ี ปนตน มีเร่ืองเกิดข้นึ อยางไร ? ไดย ินวา พระราชาองคห น่งึ ในพระนครพาราณสี ทรงทาํ ประทกั ษิณพระนครดวยราชานุภาพอันใหญย่งิ ทรงเห็นคนทงั้ หลายนําขาวเปลือกเกาเปนตน ออกจากฉางไปภายนอก จึงตรัสถามอํามาตยวา พนาย นี้อะไรกัน ? เหลา อาํ มาตยก ราบทลู วา ขาแตพ ระมหาราชเจา บัดนข้ี า วเปลอื กใหมเปนตน จกั เกดิ ขึ้น คนเหลา นจ้ี ึงท้งิ ขาวเปลือกเกาเปน ตน เสยีเพ่ือจะทาํ ท่ีวางแกข า วเปลือกใหมเ ปนตน เหลา น้นั . พระราชาตรัสวานแี่ นะ พนาย เสบยี งของพวกหมพู ลในตาํ หนกั ในฝายหญิงเปนตน ยังเต็มบริบรู ณอยูหรอื . เหลา อาํ มาตยกราบทลู วา ขา แตพระมหาราชเจา ยงั เตม็บรบิ รู ณอยูพระเจาขา . พระราชาตรสั วา นแี่ นะพนาย ถา อยางน้นั ทา นทงั้ หลายจงกอ สรา งโรงทาน เราจกั ใหทาน ขา วเปลือกเหลา นี้จงอยาไดเสยี หายไปโดยไมม กี ารชว ยเหลอื เกื้อกูลเลย. ลําดบั นน้ั อาํ มาตยผ มู ีคติในความเห็นผิดคนหนงึ่ ปรารภวา ขาแตพ ระมหาราชเจา ทานท่ีใหแลว ไมม ีผลดังน้ี แลวจึงกราบทลู พระราชาตอ ไปวา คนทัง้ ที่เปน พาลและเปนบัณฑิต แลน ไป ทองเทย่ี วไป จกั กระทาํ ที่สดุ แหง ทกุ ขไ ดเ อง ดังน้ีแลวทูลหา มเสยี . พระราชาทรงเห็นคนท้ังหลายแยงฉางขา วกันแมค รง้ั ทีส่ องแมค รงั้ ทีส่ าม กต็ รัสสง่ั เหมอื นอยางนั้นนนั่ แหละ. แมคร้งั ท่สี าม อํามาตยผมู ีคตใิ นความเห็นผดิ แมนนั้ ก็กลาวคาํ มอี าทวิ า ขาแตพระมหาราชเจาทานน้ีคนโงบ ญั ญตั ิ แลวทลู หา มพระราชานนั้ . พระองคตรสั วา แนะ เจาแมของของเราก็ไมไ ดเ พอ่ื จะใหห รือ เราจะไดประโยชนอะไรจากพวกสหายลามกเหลาน้ี ทรงเบื่อหนา ย จึงสละราชสมบตั อิ อกผนวช เห็นแจง อยู

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาท่ี 356ไดก ระทําใหแ จง พระปจ เจกสมั โพธิญาณ. และเม่ือจะทรงตเิ ตยี นสหายลามกผูน น้ั จงึ ตรัสอุทานคาถาน้.ี เนอื้ ความยอ แหง อุทานคาถานน้ั มดี ังตอไปนี.้ สหายนใี้ ดชอื่ วาผลู ามก เพราะเปน ผปู ระกอบดวยทิฏฐิลามกอนั มวี ัตถุ ๑๐ ประการ, ชอื่ วาผูมักเห็นความฉิบหายมิใชประโยชน เพราะเหน็ ความฉิบหายมิใชประโยชนแมข องคนเหลา อื่น และเปน ผตู ง้ั มนั่ อยูใ นธรรมอนั ไมสม่าํ เสมอมีกายทจุ ริตเปน ตน กลุ บุตรผใู ครป ระโยชน พึงงดเวนสหายผูลามกนัน้ ผมู กัเห็นแตความฉบิ หายมใิ ชประโยชน ผูต้ังม่นั อยูในธรรมอันสมาํ่ เสมอ.บทวา สย น เสเว ไดแก ไมพึงซองเสพสหายนนั้ ดวยอํานาจของตน. ทานอธบิ ายวา ก็ถา คนอน่ื มีอาํ นาจจะอาจทาํ อะไรได. บทวาปสุต ไดแก ผขู วนขวาย อธบิ ายวา ผคู ิดอยใู นอารมณนั้น ๆ ดวยอํานาจทฏิ ฐิ. บทวา ปมตฺต ไดแก ผปู ลอยจิตไปในกามคณุ ๕. อีกอยา งหนึ่งไดแก ผูเวนจากการทาํ กุศลใหเ จรญิ . ไมพึงซองเสพ ไมพ งึ คบหา ไมพึงเขาไปนั่งใกลส หายนั้น คอื ผูเหน็ ปานนั้น โดยทแ่ี ท พึงเปน ผเู ดยี วเท่ยี วไปเหมอื นนอแรดฉะน้นั แล. จบพรรณนาปาปสหายคาถา พรรณนาพหุสสุตคาถา คาถาวา พหสุ สฺ ุต ดงั น้ีเปนตน มเี รอื่ งเกดิ ขึ้นอยา งไร ? คําทง้ั ปวงมอี าทิวา ไดย นิ วา ในกาลกอนพระปจ เจกโพธิสัตว ๘ องคบวชในศาสนาของพระผมู ีพระภาคเจากัสสป บําเพ็ญคตปจจาคตวัตรแลว

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาท่ี 357อบุ ัตขิ น้ึ ในเทวโลกดงั น้ี เปน เชนกบั ที่กลา วไวแลวในอนวัชชโภชีคาถานน่ั แหละ, สวนความแปลกกันมีดังตอไปน้.ี พระราชานิมนตใ หพ ระปจ เจกสัมพุทธเจาทัง้ หลายนั่งแลว จึงตรัสถามวา ทานท้งั หลายเปน ใคร พระปจเจกสัมพุทธเจาเหลาน้นั ทูลวามหาราชเจา อาตมาทัง้ หลายชือ่ วาพหุสุตะ. พระราชาทรงดาํ ริวา เราชือ่ วา สุตพรหมทัต ยอมไมอิม่ การฟง, เอาเถอะ เราจกั ฟง ธรรมเทศนาซ่ึงมนี ยั อันวจิ ติ รในสาํ นกั ของพระปจเจกสมั พทุ ธเจาเหลา นน้ั ครนั้ ดําริแลว ทรงดีพระทยั ถวายน้ําทักษิโณทกแลว ทรงองั คาส ในเวลาเสร็จภตั กิจ จึงประทับนั่งในท่ใี กลพ ระสังฆเถระแลว ตรสั วา ทา นผูเ จริญ ขอทานไดโปรดกลา วธรรมกถาเถิด. ทา นกลาววา ขอมหาราชเจา จงทรงมีพระเกษมสาํ ราญ จงมีความสิน้ ไปแหงราคะเถดิ แลวลกุ ขึน้ . พระราชาทรงดําริวา ทานผนู ้มี ไิ ดเปนพหสู ตู ทา นองคทีส่ องคงจักเปนพหสู ูต,พรุงนีเ้ ราจกั ไดฟงธรรมเทศนาอันวจิ ิตรในสาํ นกั ของทาน จึงนมิ นตฉันในวนั พรุง นี.้ พระองคท รงนมิ นตจนถึงลาํ ดบั แหง พระปจเจกสัมพุทธเจาทุกองค ดว ยประการอยา งน้.ี พระปจ เจกสมั พุทธเจาแมทง้ั หมดนั้นก็กลา วบทที่เหลอื ใหเ ปนเชนกบั องคท ่ี ๑ ทําบทหนึ่ง ๆ ใหแ ปลกกนัอยา งนวี้ า จงสนิ้ โทสะเถิด จงสิ้นโมหะเถดิ จงสิ้นคตเิ ถดิ จงส้นิ ภพเถิดจงสนิ้ วฏั ฏะเถิด จงสิ้นอปุ ธิเถิด แลวกล็ ุกขึ้น. ลําดบั นน้ั พระราชาทรงดาํ ริวา ทานเหลานี้กลาววา พวกเราเปนพหสู ตู แตท า นเหลานัน้ ไมมีกถาอนั วจิ ติ ร ทานเหลา นนั้ กลาวอะไร จงึทรงเรมิ่ พจิ ารณาอรรถแหง คําของพระปจ เจกสมั พุทธเจา เหลา น้นั . ครน้ัเมอ่ื ทรงพิจารณาอรรถของคําวา จงสิน้ ราคะเถดิ จึงไดทรงทราบวา

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาท่ี 358เมือ่ ราคะสิน้ ไป โทสะก็ดี โมหะก็ดี กิเลสอน่ื ๆ กด็ ี ยอมเปนอนั สนิ้ ไปได ทรงดพี ระทยั วา สมณะเหลาน้ีเปน พหสู ตู โดยสน้ิ เชิง เหมอื นอยา งวาบรุ ุษผเู อานิ้วมือชี้มหาปฐพีหรืออากาศ ยอมเปนอันชเี้ อาพืน้ ทปี่ ระมาณเทา องคลุ เี ทาน้ันกห็ ามไิ ด โดยทีแ่ ท ยอมเปนอันชีเ้ อามหาปฐพที งั้ ส้ินอากาศก็เหมือนกนั แมฉ นั ใด พระสมณะเหลาน้ี ก็ฉนั นนั้ เมอื่ ชแี้ จงอรรถหนึ่ง ๆ ยอมเปน อันช้ีแจงอรรถท้งั หลายอันหาปรมิ าณมิได. จากนั้นพระองคทรงดาํ ริวา ชอื่ วา ในกาลบางคราว แมเ ราก็จักเปนพหูสูตอยางนั้นเมือ่ ทรงปรารถนาความเปนพหสู ตู เหน็ ปานน้ัน จงึ ทรงสละราชสมบัตอิ อกผนวช เห็นแจง อยู ไดทรงทําใหแ จง พระปจ เจกสัมโพธญิ าณ แลวไดตรัสอุทานคาถาน้.ี เน้ือความยอ ในอทุ านคาถานี้มดี ังตอ ไปน้.ี บทวา พหสุ สฺ ุต ความวา พหสู ตู มี ๒ อยาง คอื ปริยัตพิ หูสูตทั้งมวล โดยใจความในพระไตรปฎก และปฏิเวธพหสู ูต โดยแทงตลอดมรรค ผล วิชชา และอภิญญา. ผมู ีอาคมอันมาแลว ช่ือวา ธมฺมธโรผูทรงธรรม, อนงึ่ ผูป ระกอบดวยกายกรรม วจกี รรม และมโนกรรมอนั ย่ิงใหญ ชอ่ื วา อุฬาโร ผูยิ่งใหญ. ผูมียตุ ตปฏิภาณ มีมุตตปฏภิ าณและมียตุ ตมตุ ตปฏิภาณ ชื่อวา ปฏภิ าณวา ผูมีปฏิภาณ. อกี อยางหนงึ่พึงทราบผมู ปี ฏภิ าณ ๓ อยา ง โดยปริยตั ิ ปริปจุ ฉาและอธคิ ม. จรงิ อยูปรยิ ตั ิยอมแจม แจง แกผูใ ด ผนู ้นั เปนผมู ีปรยิ ัตปิ ฏิภาณ แจมแจงในปริยัติ.การสอบถามยอ มแจม แจง แกผูใ ดซง่ึ สอบถามถึงอรรถ ญาณ ลกั ษณะ ฐานะและอฐานะ ผนู ้นั เปน ผูมีปรปิ จุ ฉาปฏภิ าณ แจม แจง ในการถาม. มรรค

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 359เปน ตนอันผูใ ดแทงตลอดแลว ผูนัน้ เปน ผูม อี ธิคมปฏิภาณ แจมแจงในการบรรล.ุ บุคคลคบมติ รนัน้ คอื เหน็ ปานนนั้ ผูเปนพหูสตู ทรงธรรมผูยิง่ ใหญ มีปฏภิ าณ. แตน ้นั พงึ รทู ั่วถงึ ประโยชนมีประการมิใชนอย โดยชนดิ ประโยชนต น ประโยชนผูอนื่ และประโยชนท ัง้ สอง หรอื โดยชนดิประโยชนป จจบุ นั ประโยชนภายหนา และประโยชนอยางยิ่ง ดว ยอานุภาพของมิตรนัน้ แตน นั้ บรรเทาความกงั ขา คือบรรเทา ไดแ กท ําใหพ ินาศไปซงึ่ ความลังเลสงสยั ในฐานะอนั เปนที่ตงั้ แหงความสงสยั มีอาทิวา ในอดตี -กาลอนั ยาวนาน เราไดม ีแลวหรอื หนอ เปน ผทู าํ กิจทัง้ ปวงเสรจ็ แลวอยางน้ี พงึ เปน ผเู ดียวเทย่ี วไปเหมือนนอแรดฉะนัน้ แล. จบพรรณนาพหุสสตุ คาถา พรรณนาวภิ สู ัฏฐานคาถา คาถาวา ขฑิ ฑ รตึ ดังน้ีเปนตน มีเรอ่ื งเกิดขึ้นอยา งไร ? ไดย นิ วา พระราชาพระนามวา วภิ ูสกพรหมทตั ในนครพาราณสีเสวยยาคูหรอื พระกระยาหารแตเ ชา ตรู แลวใหชางประดบั พระองคด ว ยเครือ่ งประดบั นานาชนดิ แลว ทรงดพู ระสรีระทง้ั ส้ินในพระฉายใหญไมโปรดสิ่งใด ก็เอาสงิ่ นน้ั ออก แลว ใหประดบั ดวยเครื่องประดบั อยางอนื่ .วนั หนง่ึ เม่อื พระองคทรงกระทาํ อยางน้ัน เวลาเสวยพระกระยาหารเปนเวลาเที่ยงพอดี. พระองคท รงประดบั คางอยู จงึ ทรงเอาแผน ผา พนั พระ-เศียรเสวยแลว เสดจ็ เขาบรรทมกลางวัน. เมอ่ื พระองคท รงลุกขนึ้ แลว

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 360ทรงกระทําอยูอยา งน้นั นั่นแลซ้าํ อกี พระอาทิตยก็ตก. แมวันที่สองแมว ันทีส่ ามกอ็ ยางน้ัน. คร้ันเม่ือพระองคท รงขวนขวายแตก ารประดับประดาอยอู ยา งน้ัน โรคที่พระปฤษฎางคไดเ กดิ ขึน้ พระองคไ ดม ีพระดําริดังนวี้ า พทุ โธเอย เราแมเ อาเร่ียวแรงทั้งหมดมาประดบั ประดากย็ งั ไมพอใจในการประดับทส่ี ําเรจ็ แลว น้ี ทาํ ความดนิ้ รนใหเกิดขึน้ กข็ ึ้นช่ือวาความดิน้ รนเปน ธรรมเปนที่ตัง้ แหงการไปอบาย เอาเถอะ เราจกั ขมความดน้ิ รนเสีย จงึ ทรงสละราชสมบัตอิ อกผนวช ทรงเหน็ แจง อยู ไดทรงทําใหแจงพระปจ เจกสมั โพธญิ าณ แลวไดต รัสอทุ านคาถานี.้ การเลน และความยินดีในอุทานคาถานนั้ ไดก ลา วมาแลวในเบ้ืองตน .บทวา กามสุข ไดแ ก ความสุขในวัตถกุ าม. จริงอยู แมวัตถกุ ามทั้งหลายทา นก็เรียกวาสุข เพราะเปนอารมณเ ปนตน ของความสขุ . เหมือนดังทท่ี า นกลาวไวว า รูปเปน สขุ ตกไปตามความสุข มีอยูดังนี้ . เมื่อเปนอยางนัน้ ไมท าํ ใหพ อใจ คือไมท าํ วาพอละ. ซงึ่ การเลน ความยนิ ดีและความสุขนีใ้ นโลกพภิ พนี้ ไดแก ไมถ ือเอาการเลน เปน ตนนอี้ ยา งนีว้ าเปน ทีอ่ ม่ิ ใจ หรอื วาเปน สาระ. บทวา อนเปกขฺ มาโน ไดแก ผูมปี กติไมเพง เลง็ คอื ไมมกั มาก ไมม ีความอยาก เพราะการไมทําใหพ อใจนน้ั .ในคําวา วิภสู ฏานา วิรโต สจจฺ วาที น้นั การประดับมี ๒ อยางคอื การประดบั ของคฤหสั ถ และการประดับของบรรพชิต. การประดับดวยผาสาฎก ผาโพก ดอกไม และของหอมเปนตน ชอ่ื วา การประดบัของคฤหสั ถ การประดบั ดวยเคร่อื งประดบั คือบาตรเปนตน ช่อื วา การประดบั ของบรรพชิต. ฐานะทป่ี ระดบั กค็ อื การประดบั นนั่ เอง. ผคู ลาย

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาท่ี 361ความยินดจี ากฐานะท่ปี ระดับน้ันดว ยวริ ัติ ๓ อยาง. พงึ เหน็ เนือ้ ความอยางนีว้ า ชือ่ วา ผมู ปี กติกลาวคาํ สัตย เพราะกลา วคําจรงิ แท. จบพรรณนาวภิ สู ฏั ฐานคาถา พรรณนาปตุ ตทารคาถา คาถาวา ปุตฺตจฺ ทาร ดังนี้เปน ตน มีเร่ืองเกิดขึน้ อยา งไร ? ไดย ินวา โอรสของพระเจา พาราณสี ทรงอภเิ ษกครองราชสมบตั ิในเวลายังทรงเปนหนุมอยูทเี ดียว. พระองคเ สวยสริ ิราชสมบตั ิ ดจุ พระ-ปจเจกโพธสิ ัตวท ่ีกลา วแลวในคาถาที่หน่ึง วันหนึง่ ทรงดําริวา เราครองราชสมบตั ิอยู ยอ มกระทาํ ความทุกขใหแ กคนเปน อนั มาก เราจะประ-โยชนอะไรดวยบาปน้ี เพอ่ื ตอ งการภัตมอื้ เดยี ว เอาเถอะ เราจะทาํ ความสุขใหเ กิดข้นึ จงึ ทรงสละราชสมบัติออกผนวช เห็นแจงอยู ไดทรงทาํ ใหแจงพระปจเจกสมั โพธญิ าณแลว ไดต รสั อทุ านคาถาน้.ี บรรดาบทเหลา นั้น บทวา ธนานิ ไดแก รตั นะท้ังหลายมีแกวมุกดา แกวมณี แกว ไพฑูรย สงั ข ศิลา แกวประพาฬ เงินและทองเปนตน. บทวา ธฺานิ ไดแ ก บุพพัณชาติ ๗ ชนิด มขี า วสาลี ขา วเปลือก ขา วเหนียว ขาวละมาน ขา วฟา ง ลูกเดอื ย และหญา กบั แกเปน ตน และอปรณั ชาติที่เหลอื (มีถวั่ งา เปนตน ). บทวา พนธฺ วานิไดแก เผาพันธุ ๔ อยา ง มีเผาพนั ธุค อื ญาติ เผา พนั ธุคือโคตร เผาพันธุ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาท่ี 362คอื มติ รและเผาพันธุค อื ศลิ ป. บทวา ยโถธกิ านิ ไดแก ซึง่ ตง้ั อยตู ามเขตของตน ๆ. คําท่เี หลอื มีนัยดงั กลาวแลว นน่ั แล. จบพรรณนาปตุ ตทารคาถา พรรณนาสังคคาถา คาถาวา สงฺโค เอโส ดงั นี้เปนตน มเี รื่องเกดิ ขึน้ อยางไร ? ไดย ินวา ในนครพาราณสี ไดมพี ระราชาพระนามวา ปาทโลล-พรหมทัต พระองคเ สวยยาคูและพระกระยาหารแตเ ชาตรู แลว ทอดพระเนตรละคร ๓ อยาง ในปราสาทท้งั ๓. การฟอนชือ่ วามี ๓ อยา งคอื การฟอ นอันมาจากพระราชาองคกอน ๑ การฟอนอันมาจากพระราชาตอมา ๑ การฟอนอันตั้งขึ้นในกาลของตน ๑. วันหนึง่ พระองคเ สดจ็ไปยังปราสาททีม่ ีนางฟอนสาวแตเชา ตร.ู หญงิ ฟอ นเหลา นัน้ คดิ วา จักทาํพระราชาใหย นิ ดี จึงพากันประกอบการฟอ น การขับ และการประโคมเปนที่ประทบั ใจอยา งยิง่ ประดุจนางอปั สรประกอบถวายแกท าวสักกะผูเปนจอมเทวดาฉะน้ัน. พระราชาไมท รงยนิ ดดี ว ย ดํารวิ า นีไ้ มน าอัศจรรยสําหรบั คนสาว จึงเสดจ็ ไปยงั ปราสาททม่ี นี างฟอ นปูนกลาง. หญิงฟอ นแมเหลา นนั้ กไ็ ดก ระทําเหมอื นอยางนั้นน่นั แหละ. พระองคก็ไมท รงยนิ ดีเหมือนอยางนน้ั แมในหญงิ ฟอนปูนกลางน้นั จึงเสด็จไปยังปราสาททม่ี ีหญงิ ฟอนเปนคนแก. แมห ญิงฟอ นเหลา น้นั ก็ไดกระทําเหมอื นอยา งนั้น.พระราชาทรงเห็นการฟอนเสมือนกระดกู เลนแสดง และไดท รงฟง การขบั

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ที่ 363ไมไ พเราะ เพราะหญิงฟอ นเหลาน้นั เปน ไปลวง ๒-๓ ช่วั พระราชาแลวจึงเปน คนแก จงึ เสดจ็ ไปยงั ปราสาทท่มี หี ญงิ ฟอ นสาว ๆ ซา้ํ อีก แลวเสดจ็ ไปยังปราสาทที่มีหญิงปนู กลางช้ําอีก พระองคท รงเที่ยวไปแมอยา งน้ีดว ยประการฉะน้ี ก็ไมท รงยินดใี นปราสาทไหน ๆ จึงทรงดําริวา หญงิฟอ นเหลานี้ ประสงคจ ะยงั เราใหย ินดี จงึ เอาเรีย่ วแรงท้งั หมดประกอบการฟอน การขับ และการประโคม ประดจุ นางอัปสรท้ังหลาย ประสงคจะใหท าวสกั กะจอมเทวดาทรงยนิ ดี จงึ ประกอบถวายฉะนัน้ . เรานนั้ ไมยนิ ดีในทีไ่ หน ๆ ทําใหรกโลก. กข็ ้ึนชื่อวา ความโลภนี้ เปน ธรรมทต่ี ้งัแหง การไปสอู บาย เอาเถอะ เราจักขม ความโลภเสยี จึงสละราชสมบตั ิแลวทรงผนวช เจรญิ วปิ ส สนาแลว ไดทําใหแจงปจเจกโพธิญาณ จงึ ไดตรสั อทุ านคาถาน.้ี เนื้อความแหงอุทานคาถานั้นวา :- พระราชาทรงชแี้ จงเคร่อื งใชสอยของพระองคดวยบทวา สงโฺ ค เอโส นี.้ เพราะเคร่อื งใชส อยนนั้ชอ่ื วา สงั คะ เพราะเปน ทข่ี อ งอยขู องสัตวท ง้ั หลาย ดุจชางเขา ไป (ตดิ )อยใู นเปอกตมฉะน้นั . ในบทวา ปรติ ตฺ เมตฺถ โสขฺย นี้ ความสขุ ชื่อวานิดหนอย เพราะอรรถวา ต่ําชา โดยจะตอ งใหเ กดิ ขน้ึ ดวยสญั ญาวิปรติในเวลาใชสอยกามคุณ ๕ หรือโดยนบั เนอ่ื งในธรรมอันเปนกามาวจรคือเปน ของช่วั ครูเ หมือนความสขุ ในการเห็นการฟอ นดว ยแสงสวางแหงแสงฟาแลบ อธบิ ายวา เปน ไปชว่ั คราว. ก็ในบทวา อปปฺ สสฺ าโท ทกุ ฺข-เมเวตฺถ ภยิ ฺโย นี้ ความยนิ ดีใดทต่ี รัสไววา ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย สุข-โสมนัสอาศัยกามคณุ ๕ เหลานเี้ กิดขึน้ ใด นเี้ ปนความยนิ ดีในกามท้ังหลายความยินดีน้ัน คือทุกข ในความเก่ยี วของนี้ ท่ตี รัสไวโดยนยั มีอาทอิ ยา งนี้

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ที่ 364วา ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย กโ็ ทษของกามทง้ั หลายเปน อยางไร ? ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย กุลบตุ รในพระศาสนาน้ี ยอ มเลยี้ งชวี ติ ดวยฐานะแหง ศิลปะใด คอื ดว ยการตตี รา หรอื ดว ยการคํานวณดงั นี้ วาดวยการเทียบเคียงกนัทุกขน ้นั มนี อ ย ประมาณเทาหยาดนํ้า โดยท่แี ท ทุกขเทา น้ันมีมากย่ิงเชน กับน้ําในมหาสมุทรท้งั ๔. ดวยเหตนุ ัน้ ทานจึงกลา ววา ในความเก่ยี วขอ งนี้ มคี วามยินดนี อย ทกุ ขเทา นน้ั มากยิ่ง. บทวา คโฬ เอโสความวา ความเกียวขอ งคอื กามคณุ ๕ น้ี เปรียบดังเบด็ โดยแสดงความยนิ ดีแลวฉดุ ลากมา. บทวา อิติ ตฺวา มติมา ความวา บุรุษผมู ีความรูคือ เปน บัณฑิต รูอ ยางนแ้ี ลว พึงละความเกยี่ วขอ งท้ังหมดนัน้ แลว เทยี่ วไปผูเ ดียวเหมอื นนอแรดฉะน้ันแล. จบพรรณนาสงั คคาถา พรรณนาสันทาลคาถา คาถาวา สนฺทาลยิตฺวาน ดงั น้ีเปน ตน มเี รือ่ งเกิดข้นึ อยา งไร ? ไดยนิ วา ในนครพาราณสี ไดมพี ระราชาพระนามวา อนิวัตต-พรหมทตั พระราชานนั้ เขาสสู งความไมช นะ หรือทรงปรารภกจิ อ่ืนไมสําเร็จจะไมก ลบั มา. เพราะฉะนน้ั ชนทั้งหลายจงึ รจู กั พระองคอ ยางนนั้ .วันหนึ่ง พระองคเ สด็จไปพระราชอุทยาน. กส็ มัยนนั้ ไฟปา เกดิ ข้ึน ไฟน้นั ไหมไมเ เหง และหญาสดเปนตนลามไปไมก ลบั เลย. พระราชาทรงเหน็ ดังนัน้ จึงทรงทํานิมิตอนั มีไฟปาน

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 365นน้ั เปน เครอ่ื งเปรียบใหเกดิ ข้ึนวา ไฟปานฉี้ นั ใด ไฟ ๑๑ กองกฉ็ ันนั้นเหมือนกัน ไหมส ตั วทัง้ ปวงลามไปไมก ลับมา ทํามหนั ตทุกขใหเ กดิ ขึ้น.ชื่อวาเมอ่ื ไร เพ่ือใหท กุ ขนี้หมดสิน้ แมเราก็จะเผากเิ ลสท้ังหลายไมใ หก ลับมาดวยไฟคอื อรมิ รรคญาณ เหมอื นไฟนี้ ไหมลามไปไมพงึ หวนกลับมา ฉะนั้น. แตน ้ัน พระองคเ สด็จไปครหู น่งึ ไดทรงเห็นชาวประมงกาํ ลงั จบัปลาในนาํ้ ปลาใหญตัวหนึ่งเขาไปถวายในแหของชาวประมงเหลา นนั้ ไดทําลายแหหนีไป. ชาวประมงเหลานจ้ี งึ พากนั สงเสียงวา ปลาทาํ ลายแหหนไี ปแลว. พระราชาไดท รงสดบั คําแมน้ัน จงึ ทรงทาํ นมิ ติ อนั มปี ลาน้นัเปน ขอ เปรียบเทียบวา ชื่อวาเม่ือไร แมเรากจ็ ะทําลายขา ยคือตัณหาและทฏิ ฐิ ดวยอริมรรคญาณ พงึ ไปไมติดของอยู. พระองคจงึ ทรงสละราชสมบัตผิ นวช ปรารภวิปส สนา ไดทรงทําใหเเจง พระปจ เจกโพธิญาณและไดต รัสอทุ านคาถานี้. ในบททส่ี องของคาถานัน้ ส่ิงที่ทาํ ดวยดา ยเรยี กวา ชาละ. น้าํเรยี กวา อมั พุ. ช่ือวา อมั พจุ ารี เพราะเที่ยวไปในนา้ํ นัน้ . คาํ วา อมั พุจารีนน้ั เปนชอื่ ของปลา. ปลาในน้ํา ชื่อวา สลิลัมพจุ าร.ี อธบิ ายวา เหมือนปลาทาํ ลายแหไปในแมน ํา้ นนั้ . ในบาททสี่ าม สถานทีท่ ถ่ี ูกไฟไหมเรียกวาทฑั ฒะ อธบิ ายวา ไฟยอมไมหวนกลับมายงั ทีท่ ไี่ หมแลว คือจะมาเกิดที่นั้นไมไ ด ฉันใด เราก็จะไมห วนกลบั มายงั สถานท่ี คือกามคณุ ทถี่ กู เผาไหมด ว ยไฟคอื มรรคญาณ คอื จะไมมาในกามคณุ นั้นตอไปฉันนน้ั . คาํ ที่เหลือมนี ัยดังกลา วแลวนัน่ แล. จบพรรณนาสนั ทาลคาถา

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาที่ 366 พรรณนาโอกขิตตจักขคุ าถา คาถาวา โอกขฺ ติ ตฺ จกขฺ ุ ดังน้เี ปนตน มเี ร่ืองเกิดข้ึนอยางไร ? ไดยนิ วา ในนครพาราณสี พระราชาพระนามวา จักขโุ ลลพรหม-ทัต เปนผทู รงขวนขวายการดลู ะคร เหมือนพระเจาปาทโลลพรหมทัต.สว นความแปลกกันมีดังตอ ไปน.้ี พระเจา ปาทโลลพรหมทัตนนั้ เปนผไู มสนั โดษเสดจ็ ไปในทีน่ ้ัน ๆสวนพระเจา จกั ขุโลลพรหมทตั พระองคน ี้ ทอดพระเนตรการละครนน้ั ๆทรงเพลิดเพลินอยางยงิ่ เสดจ็ เท่ยี วเพม่ิ ความอยาก โดยผลัดเปลีย่ นหมนุเวียนทอดพระเนตรการแสดงละคร. ไดย นิ วา พระองคท รงเห็นภรรยาของกุฎมพีนางหนึ่งซ่งึ มาดูการแสดง ไดยงั ความกําหนดั รักใครใหเ กดิ ข้ึน.แตน นั้ ทรงถึงความสลดพระทัยขึน้ มา จงึ ทรงดาํ รวิ า เฮอ! เราทาํ ความอยากนใ้ี หเ จริญอยู จักเปน ผเู ต็มอยใู นอบาย เอาละ เราจักขม ความอยากนน้ั จึงออกผนวชแลว ไดเหน็ แจง อยู ไดก ระทําใหแจงพระปจ เจกโพธิญาณเม่อื จะทรงติเตียนการปฏบิ ัตแิ รก ๆ ของพระองค จึงไดต รัสอุทานคาถาน้ีอันแสดงคณุ ซง่ึ เปน ปฏิปกษตอการปฏิบัตินน้ั . บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา โอกขฺ ิตตฺ จกฺขุ แปลวา ผมู จี ักษุทอดลงเบื้องลาง. ทานอธิบายไววา วางกระดกู คอ ๗ ขอไวโ ดยลาํ ดับแลวเพงดชู ่วั แอก เพอ่ื จะดูสง่ิ ทค่ี วรเวน และสิ่งทค่ี วรจะถอื เอา. แตไ มใชเอากระดูกคางจรดกระดูกหทัย เพราะเมอ่ื เปน อยา งนั้น ความเปน ผูมีจกั ษุทอดลงกย็ อมจะไมเ ปนสมณสารูป. บทวา น จ ปาทโลโล ความวา ไมเปน เหมือนคนเทาคนั โดยความเปน ผูใครจ ะเขา ไปทา มกลางคณะ ดว ยอาการอยางน้ี คือเปน คนที่ ๒

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 367ของคนคนเดยี ว เปนคนที่ ๓ ของคน ๒ คน คอื เปน ผูงดเวนจากการเทีย่ วจาริกไปนานและเท่ยี วจารกิ ไปไมก ลับ. บทวา คุตตฺ ินทฺ รฺ โิ ย ความวา เปน ผมู อี ินทรียอนั คุมครองดวยอาํ นาจอนิ ทรยี ที่เหลอื ดงั กลาวแลว เพราะบรรดาอนิ ทรยี ท ้งั ๖ ในทีน่ ี้ทา นกลา วมนินทรยี ไ วเปนแผนกหน่ึงตางหาก. บทวา รกฺขติ มานสาโน ความวา มานสาน ก็คือ มานส นน่ั เอง.ชื่อวา ผรู ักษาใจ เพราะรกั ษาใจนั้นไวไ ด. ทา นอธิบายวา เปนผรู กั ษาจติ ไวไดโ ดยประการที่ไมถกู กเิ ลสปลน . บทวา อนวสฺสุโต ความวา ผูเวน จากการถูกกเิ ลสร่ัวรดในอารมณน น้ั ๆ ดวยกายปฏบิ ัตนิ .้ี บทวา อปรฑิ ยหฺ มาโน ไดแ ก ไมถ กู ไฟกิเลสเผา. อกี อยางหน่ึงไดแก ไมถ ูกกิเลสรวั่ รดภายนอก ไมถ กู ไฟกเิ ลสเผาในภายใน. คําท่ีเหลอืมีนัยดังกลา วแลว น่ันแล. จบพรรณนาโอกขิตตจักขคุ าถา พรรณนาปาริจฉตั ตกคาถา คาถาวา โอหารยิตวฺ า ดงั น้ีเปนตน มีเร่ืองเกิดขน้ึ อยา งไร ? ไดยนิ วา ในนครพาราณสี มีพระราชาอกี องคพระนามวา จาต-ุมาสกิ พรหมทัต เสดจ็ ไปเลนอทุ ยานทุก ๆ ๔ เดอื น วนั หนึง่ พระองคเสดจ็ เขา ไปยงั อทุ ยาน ในเดือนกลางของฤดูคมิ หันต ทรงเห็นตน ทองหลางดารดาษดว ยใบ มกี ง่ิ และคาคบประดับดว ยดอก ท่ปี ระตอู ทุ ยาน ทรงถอืเอาหน่งึ ดอกแลว เสดจ็ เขา ไปยงั อุทยาน.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนาที่ 368 ลําดับน้ัน อาํ มาตยคนหนึง่ ผอู ยบู นคอชาง คดิ วา พระราชาทรงถอื เอาดอกชนั้ เลศิ ไปแลว จึงไดถ ือเอาหนง่ึ ดอกเหมอื นกัน. หมพู ลทั้งหมดตา งไดถ อื เอาโดยอบุ ายเดียวกนั . พวกทีไ่ มชอบดอก แมใ บก็ถอืเอาไป. ตน ไมนนั้ ไมม ีใบและดอก ไดมอี ยูสักวา ลาํ ตนเทา นัน้ . เวลาเย็นพระราชาเสดจ็ ออกจากอทุ ยาน ทรงเหน็ ดังนน้ั จงึ ทรงดาํ ริวา ทําไมคนจงึ ทาํ กับตนไมน ี้ ตอนเวลาทีเ่ รามา ตนไมน ยี้ ังประดับดว ยดอก เชนกบัแกว ประพาฬทีร่ ะหวา งก่งิ อนั มีสดี จุ แกว มณี มาบดั นี้ กลับไมมใี บและดอกเม่ือกําลงั ทรงดําริอยกู ไ็ ดทอดพระเนตรเหน็ ตน ไมไมม ดี อก มใี บสะพรั่งในท่ไี มไ กลตน ทองหลางน้ันเอง และพระองคครัน้ ทรงเห็นแลว ไดมีพระดําริดังน้วี า ตน ไมนเ้ี ปน ท่ีต้งั แหงความอยากไดข องชนเปน อนั มากเพราะมีก่ิงเตม็ ดว ยดอก ดว ยเหตนุ ้ัน จงึ ถึงความพนิ าศไปโดยครูเดียวเทาน้นั สว นตนไมอื่นตน น้ี คงต้งั อยเู หมือนเดมิ เพราะไมเ ปน ทต่ี ัง้ แหงความอยากได กร็ าชสมบตั นิ ีเ้ ลา ก็เปน ทต่ี ั้งแหง ความอยากได เหมือนตนไมมดี อกฉะนั้น สว นภกิ ขุภาวะไมเปน ทต่ี งั้ แหงความอยากได เหมอื นตนไมท่ไี มม ดี อก. เพราะฉะนั้น ตราบใด ที่ราชสมบตั แิ มน ย้ี งั ไมถูกชงิเหมอื นตนไมน้ี ตราบนน้ั เราจะนงุ หมผา กาสาวะบวช เหมือนตน ทอง-หลางตนอนื่ น้ที ่ไี มม ีใบดารดาษอยฉู ะนน้ั . พระองคจ ึงทรงสละราชสมบตั ิผนวช ทรงเห็นแจงอยู ไดกระทาํ ใหแจง พระปจเจกโพธิญาณ แลว ไดตรัสอทุ านคาถาน้.ี บรรดาบทเหลาน้นั บาทคาถาวา กาสายวตฺโถ อภินิกขฺ มิตวฺ า น้ีพงึ ทราบเนอ้ื ความอยา งน้ีวา เสด็จออกจากตาํ หนักเปนผูนงุ หมผากาสายะ.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย อปทาน เลม ๘ ภาค ๑ - หนา ท่ี 369คาํ ทเ่ี หลืออาจรแู จง ไดโ ดยนัยดงั กลาวแลวแล เพราะเหตนุ ั้น จึงไมต องกลา วใหพิสดาร. จบพรรณนาปาริจฉัตตกคาถา จบวรรคที่ ๓ พรรณนารสเคธคาถา คาถาวา รเสสุ ดงั น้ีเปนตน มีเรื่องเกดิ ขน้ึ อยา งไร ? ไดยินวา พระเจาพาราณสีองคห น่ึง อนั บุตรอาํ มาตยท ัง้ หลายหอมลอมอยูใ นอทุ ยาน ทรงเลนอยูในสระโบกขรณอี นั มแี ผน ศลิ า. พอครวัของพระองคเ อารสของเน้ือทุกชนิดมาหงุ อนั ตรภัต (อาหารวาง) อันปรงุอยา งดีเยีย่ ม ประดุจอมฤตรสแลว นอมเขา ไปถวาย. พระองคทรงคิดในรสนนั้ ไมทรงประทานอะไร ๆ แกใคร ๆ เสวยเฉพาะพระองคเทานั้น.ทรงเลนน้าํ อยู จึงเสดจ็ ออกไปในเวลาพลบค่าํ เกนิ ไป แลว รบี ๆ เสวย.บรรดาคนท่พี ระองคเคยเสวยรวมดวยในกาลกอ นน้ัน พระองคมิไดทรงระลกึ ถึงใคร ๆ. คร้นั ภายหลงั ทรงยงั การพิจารณาใหเ กิดขึ้น ทรงทราบวา โอ ! เราถกู ความอยากในรสครอบงาํ ลมื ชนทง้ั ปวงเสีย บริโภคเฉพาะคนเดียวนนั้ ไดก ระทํากรรมอันลามกแลว เอาเถอะ เราจกั ขมความอยากในรสนัน้ คร้นั ทรงดาํ รแิ ลว จึงสละราชสมบตั ผิ นวช เจริญวปิ ส สนากระทาํ ใหแ จง พระปจ เจกโพธญิ าณ เม่ือจะทรงตเิ ตยี นการปฏบิ ตั ิอนั มีในกอ นของพระองค จึงไดตรัสอทุ านคาถานี้ อนั แสดงคุณตรงกนัขา มกบั การปฏิบตั ินน้ั .






























































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook