พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 1 พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตตรนิกาย จตุกนบิ าต เลมท่ี ๒ ขอนอบนอ มแดพ ระผมู พี ระภาคอรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธเจา พระองคน ้ัน ปฐมปณ ณาสก ภัณฑคามวรรคที่ ๑ ๑. อนพุ ุทธสูตร วาดว ยอรยิ ธรรม ๔ [๑] ขา พเจา (พระอานนท) ไดส ดับมาอยา งน้ี :- สมัยหน่งึ พระผมู พี ระภาคเจาประทบั ณ บานภัณฑคามในแควนวัชชี ตรัสเรียกภกิ ษุทั้งหลายในที่นน้ั ดว ยพระพุทธพจน วา ภกิ ฺขโว (ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย). ภิกษุเหลานัน้ กราบทลู ขานรับดวยคําวา ภทนฺเต (พระพุทธ-เจาขา) แลวตรสั พระธรรมเทศนาน้ีวา ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เพราะไมรูไ มแจงซงึ้ ธรรม ๔ ประการ เราทานท้งั หลายจึงไดเวยี นวา ยตายเกดิ อยูส ิ้นกาลนาน ธรรม ๔ ธรรม คอื อะไรบางคือ อริยศลี อรยิ สมาธิ อรยิ ปญญา อริยวมิ ตุ ติ.
พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 2 ภกิ ษทุ งั้ หลาย อรยิ ศลี อริยสมาธิ อริยปญญา อริยวิมตุ ติ นน้ี ้นัเราทานไดร แู ลวไดแ จง แลว ความทะเยอทะยานในภพ เปนอนั เราทา นถอนไดแ ลว สายโยงไปสูภพขาดสน้ิ แลว บดั น้ีภพใหมไมม ี. พระผมู ีพระภาคเจา ผูพระสคุ ตศาสดา ไดตรสั พระธรรมเทศนาไวยากรณภาษิตน้แี ลว คร้นั แลวจงึ ตรสั นิคมคาถาประพนั ธน ้ีอีกวา สีลสมาธิปฺา จ วมิ ตุ ฺติ จ อนตุ ฺตรา อนพุ ทุ ธฺ า อเิ ม ธมมฺ า โคตเมน ยสสสฺ นิ า ธรรมเหลาน้ี คอื ศลี สมาธิ ปญ ญา และวมิ ตุ ติ อันยอดเย่ยี ม พระโคดมผู ทรงเกียรติ ไดตรัสรูแ ลว. อติ ิ พุทฺโธ อภิ ฺาย ธมมฺ มกฺขาสิ ภิกฺขุน ทุกฺขสฺสนฺตกโร สตฺถา จกขฺ ุมา ปรนิ ิพฺพโุ ต พระพทุ ธเจา คร้นั ทรงรจู ริงอยางนี้ แลว ทรงบอกพระธรรมแกภิกษุทั้งหลาย พระองคผูพระศาสดามีจักษุ ทรงกระทํา ทีส่ ุดทุกข ดับสนิทแลว. จบอนุพุทธสตู รที่ ๑
พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 3 อรรถกถาองั คตุ ตรนิกาย ช่อื มโนรถปรู ณี จตกุ นบิ าตวรรณนา ปฐมปณ ณาสก ภณั ฑคามวรรควรรณนาท่ี ๑ อรรถกถาอนุพุทธสูตร พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในอนพุ ุทธสูตรท่ี ๑ แหง จตุกนบิ าต ดังตอไปนี้ :- บทวา อนนุโพธา ไดแก เพราะไมรู เพราะไมทราบ บทวาอปฺปฏิเวธา ไดแ ก เพราะไมแ ทงตลอด คอื เพราะไมท าํ ใหป ระจกั ษ บทวาทฆี มทธฺ าน แปลวา สิ้นกาลนาน. บทวา สนธฺ าวติ ไดแก แลนไปโดยไปจากภพสภู พ. บทวา ส สรติ ไดแ ก ทองเที่ยวไป โดยไปมาบอย ๆ.บทวา มมเฺ จว ตมุ ฺหากฺจ แปลวา อนั เราและอันทานท้งั หลาย. อีกอยางหนึง่ ในบทวา สนฺธาวติ ส สรติ นี้ พงึ ทราบเนือ้ ความอยางนวี้ าการแลน ไป การทอ งเทยี่ วไป ไดมีแลวทงั้ แกเราทัง้ แกท านท้งั หลาย บทวาอริยสฺส ไดแกไมม โี ทษ. กธ็ รรม ๓ เหลา นี้ คือ ศีล สมาธิ และปญญา พึงทาบวา สมั ปยตุ ตดว ยมรรคและผลแล. ผลเทาน้ัน ทา นแสดงโดยชอ่ื วา วมิ ุตติ.บทวา ภวตณหฺ า ไดแ ก ตัณหาในภพท้งั หลาย. บทวา ภวเนตตฺ ิ ไดแ กตัณหา ดจุ เชือกผกู สัตวไวใ นภพ. บทนัน้ เปน ช่อื ของตณั หาน่ันแล จริงอยูตัณหานั้นนาํ สัตวท้ังหลายไปสูภพน้ัน ๆ เหมือนผกู คอโค เพราะฉะน้นั ตัณหานน้ั ทา นจึงเรียกวา ภวเนตฺต.ิ บทวา อนุตฺตรา ไดแก โลกุตระ บทวาทกุ ฺขสสฺ นฺตกโร ไดแก ทรงทําทส่ี ดุ แหงวัฏทกุ ข. บทวา จกขฺ ุมา ไดแ กทรงมจี ักษดุ วยจกั ษุทง้ั ๕. บทวา ปรินพิ ฺพุโต ไดแ ก ปรินพิ พานแลว ดวย
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 4กเิ ลสปรนิ พิ พาน (คือดบั กเิ ลส). ทรงจบเทศนาตามลําดับอนุสนธิวา นเี้ ปน การปรินพิ พานครั้งแรกของพระศาสดานน้ั ณ โพธิมัณฑสถาน. แตภ ายหลงั พระองคปรนิ พิ พานดวยอนุปาทเิ สสนพิ พานธาตุดบั ขนธ ณ ระหวา งไมสาละคูดังน.ี้ อรรถกถาอนพุ ุทธสูตรท่ี ๑ ๒. ปปติตสตู ร วาดว ยผูตกจากพระธรรมวินยั [๒] ดกู อนภกิ ษทุ งั้ หลาย บุคคลผไู มประกอบดว ยธรรม . ประการเรียกวา ผตู กจากพระธรรมวนิ ยั นี้ ธรรม ๘ ประการ คืออะไรบาง คอือริยศีล อริยสมาธิ อริยปญญา อริยวมิ ุตติ บุคคลผไู มป ระกอบดวยธรรมประการนแี้ ล เรียกวา ผูตกจากพระธรรมวนิ ัยนี.้ บุคคลผูป ระกอบดว ยธรรม ๔ ประการน้ี เรยี กวา ผูไ มต กจากพระ-ธรรมวนิ ยั นี้ ธรรม ๔ ประการคอื อะไรบาง คอื อรยิ ศลี อริยสมาธิ อรยิ -ปญญา อริยวิมุตติ บคุ คลผูประกอบดวยธรรม ๔ ประการนแ้ี ล เรียกวาผูไมต กจากพระธรรมวินยั น.้ี (นคิ มคาถา) บคุ คลผเู คลอื่ นไป (จากคุณมีอรยิ ศีล เปน ตน ) ชื่อวา ตก (จากพระธรรมวินยั ) ผตู กแลว และยงั กาํ หนดั ยินดี ก็ตองมา (เกิด) อีก ความสขุ ยอมมาถงึ ผูทาํ กิจท่ี ควรทาํ แลว ยินดีคณุ ท่ีควรยินดีแลว โดย สะดวกสบาย. จบปปติตสตู รที่ ๒
พระสุตตนั ตปฎ ก องั คุตรนิกาย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 5 อรรถกถาปปติตสูตร พึงทราบวนิ ิจฉัยใหป ปติตสูตรท่ี ๒ ดงั ตอไปน้ี:- บทวา ปปติโต ไดแก ผูเคลอ่ื นไป. บทวา อปปฺ ปติโต ไดแกผตู งั้ อยูแ ลว . บรรดาบคุ คลเหลา นั้น โลกิยมหาชนชือ่ วา ตกไปท้ังนนั้ . พระอริ ิยบคุ คลมีพระโสดาบนั เปนตน ช่อื วา ตกไปในขณะเกิดกิเลส. พระขณี าสพช่อื วา ตั้งอยแู ลวโดยสวนเดยี ว. บทวา จตุ า ปตนตฺ ิ ความวา ชนเหลา ใดเคล่อื นไป ชนเหลาน้ัน ชื่อวา ตก. บทวา ปติตา ความวา ชนเหลาใดตกไป ชนเหลานั้น ช่อื วาเคลอ่ื นไป. อธบิ ายวา ชอื่ วาตกเพราะเคลอ่ื นไปชอื่ วา เคลอื่ นไป เพราะตกดังนี้. บทวา คทิ ฺธา ไดแ กบคุ คลผูก าํ หนัดเพราะราคะ. บทวา ปุนราคตา ความวา ยอ มชื่อวาเปนผมู าสูชาติ ชรา พยาธิมรณะอกี . บทวา กตกจิ ฺจ ความวา ทํากจิ ทคี่ วรทาํ ดว ยมรรค ๔. บทวารต รมมฺ ความวา ยนิ ดแี ลว ในคุณชาตทิ ่คี วรยินด.ี บทวา สุเขนานฺวาคตสขุ ความวา จากสุขมาตามคือถึงพรอ มซง่ึ สขุ อธบิ ายวา จากสุขของมนุษยมาถึงคอื บรรลสุ ขุ ทิพย จากสุขในฌานมาถึงสขุ ในวิปส สนา จากสขุ ในวปิ ส สนามาถึงสขุ ในมรรค จากสุขในมรรคมาถงึ สุขในผล จากสุขในผล ก็มาถงึ สุขในนิพพาน. จบอรรถกถาปปติตสูตรที่ ๒
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 6 ๓.ปฐมขตสตู ร วาดวยธรรม ๔ ประการ ของคนพาลและบัณฑติ [๓] ดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย บคุ คลผปู ระกอบดว ยธรรม ๔ ประการเปน คนพาล เปนคนโงเ ขลา เปนอสตั บุรษุ ครองตนอนั ถูกขดุ (รากคือความดี) เสยี แลว ถูกขจดั ไปครงึ่ หนึ่งแลว เปน คนประกอบดว ยโทษ ผรู ูเคยี น และไดส ิง่ อันไมเ ปนบญุ มากดวย ธรรม ๔ ประการเปนไฉน คอืบคุ คลไมใครค รวญไมสอบสวนแลว ชมคนทค่ี วรติ ๑ ติคนทีค่ วรชม ๑ปลกู ความเลื่อมใสในฐานะอนั ไมค วรเลือ่ มใส ๑ แสดงความไมเล่ือมใสในฐานะอนั ควรเลอ่ื มใส ๑ บุคคลประกอบดวยธรรม ๔ ประการนแี้ ล เปน คนพาล ฯลฯและไดส่งิ อนั ไมเปน บญุ มากดว ย ภกิ ษทุ ั้งหลาย บคุ คลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการ เปนบัณฑติเปน คนฉลาด เปนสตั บุรุษ ครองตนอันไมถกู ขุด ไมถ ูกขจดั ไปครึ่งหนง่ึเปนผหู าโทษมไิ ด ผรู ูสรรเสรญิ และไดบุญมากดว ย ธรรม ๔ ประการเปนไฉน คอื บคุ คลใครค รวญสอบสวนแลว ติคนทค่ี วรติ ชมคนท่คี วรชม ๑แสดงความไมเลื่อมใสในฐานะอนั ไมค วรเลื่อมใส ๑ ปลกู ความเล่อื มใสในฐานะอนั ควรเลื่อมใส ๑ บุคคลประกอบดว ยธรรม ๔ ประการนีแ้ ล เปนบณั ฑติ ฯลฯและไดบ ุญมากดว ย (นิคมคาถา) ผใู ดชมคนทค่ี วรติ หรือ ตคิ นท่ี ควรชม ผูน ั้น ชอ่ื วากอ (กลี) ความรา ย ดว ยปาก เพราะความรายนั้น เขากไ็ มได
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาที่ 7 ความสขุ นี่ รายไมมาก คือการเสียทรพั ย ในการพนัน แมจนสนิ้ เน้ือประดาตัว สิง่ นส้ี ิ รา ยมากกวา คอื ทาํ ใจรา ย ในทานผู ดาํ เนนิ ดแี ลวท้ังหลาย คนที่ตง้ั ใจและใช วาจาลามก ตเิ ตียนทานผูเปนอรยิ ะ ยอ ม ตกนรกตลอดเวลา สิ้นแสนสามสิบหก นิรัพพทุ ะ กบั อีกหาอัพพทุ ะ. จบปฐมขตสูตรท่ี ๓ อรรถกถาปฐมขตสูตร ปฐมขตสูตรท่ี ๓ กลาวไวในอรรถกถาทุกนบิ าตแลว . สวนในคาถาพงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ดังนี้ บทวา นินฺทยิ ไดแกผ ู ควรนนิ ทา. บทวา นนิ ฺทติไดแก ยอมตเิ ตยี น. บทวา ปส สิโย ไดแก ผคู วรสรรเสรญิ . บทวาวิจินาติ มเุ ขน โส กลึ ความวา ผนู น้ั ประพฤตอิ ยา งนแ้ี ลว ช่อื วายอมเฟนโทษดวยปากน้ัน. บทวา กลนิ า เตน สุข น วินฺทติ ความวาเขายอ มไมไ ดค วามสุขเพราะโทษน้นั . บทวา สพฺพสฺสาป สหาป อตฺตนาความวา การแพพ นัน เสียท้งั ทรพั ยข องตนทุกสิง่ กบั ทั้งตวั เอง (สน้ิ เน้อื -ประดาตัว) ชือ่ วา เปนโทษประมาณนอ ยนัก. บทวา โย สุคเตสุ ความวาสว นผูใ ดพงึ ทาํ จติ คดิ ประทษุ รา ยในบุคคลท้ังหลาย ผดู าํ เนนิ ไปโดยชอบแลวความมีจิตคดิ ประทุษรา ยของผูน น้ั นีแ้ ล มีโทษมากกวา โทษน้ัน. บดั นี้ เมื่อ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 8ทรงแสดงความท่ีมีจิตคิดประทุษรา ยน้นั มโี ทษมากกวา จึงตรสั คําวา สตสหสสฺ าน เปน อาทิ. บรรดาบทเหลาน้นั บทวา สต สหสสฺ าน ไดแกสิน้ แสน โดยการนบั ตามนิรพั พุทะ. บทวา ฉตฺตสึ ติ ไดแ ก อีกสามสบิ หกนริ พั พุ ุทะ. บทวา ปฺจ จ คอื หา อพั พุทโดยการนับตามอพั พทุ ะ. บทวายมรยิ ครหิ ความวา บคุ คลเมือ่ ตเิ ตยี นพระอรยิ ะทงั้ หลาย ยอมเขาถึงนรกใดในนรกนน้ั ประมาณอายุมีเทาน้ี . จบอรรถกถาปฐมขตสูตรที่ ๓ ๔. ทุติยขตสูตร วา ดวยพาลและบณั ฑติ [๔] ดกู อนภิกษุทั้งหลาย บคุ คลผปู ฏิบัตผิ ิดในสถาน ๔ เปน คนพาลฯลฯ และไดส ง่ิ อนั ไมเปนบญุ มากดวย ในสถาน ๔ คอื อะไร คอื ในมารดาในบดิ า ใหพระตถาคต ในสาวกของพระตถาคต บุคคลปฏบิ ัติผดิ ในสถาน ๔นแี้ ล เปน คนพาล ฯลฯ และไดสงิ่ อนั ไมเ ปน บุญมากดว ย ภิกษทุ ง้ั หลาย บุคคลผปู ฏิบัตชิ อบในสถาน ๔ เปนบัณฑติ ฯลฯ และไดบ ุญมากดว ย ในสถาน คืออะไร คอื ในมารดา ในบิดา ในพระตถาคตในสาวกของพระตถาคต บคุ คลปฏบิ ตั ชิ อบในสถาน ๔ น้แี ล เปน บณั ฑิต ฯลฯและไดบ ุญมากดว ย
พระสุตตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 9 (นิคมคาถา) คนใดปฏิบัตผิ ิด ในมารดา และในบิดา ในพระตถาคตสัมพทุ ธเจา และใน สาวกของพระตถาคต คนเชน นั้น ยอมไดสง่ิ อนั ไมเปน บญุ มาก เพราะความประพฤตไิ มเ ปนธรรมในมารดาบดิ าเปน ตนน้นั ในโลกน้ี บัณฑิตทัง้ หลายกต็ ิเตยี นเขาเขาตายไปแลวยังไปอบายดวย. คนใดปฏบิ ตั ชิ อบ ในมารดา ในบิดาในพระตถาคตสัมพทุ ธเจา และในสาวกของพระตถาคต คนเชน นนั้ ยอมไดบ ญุมากแท เพราะความประพฤตเิ ปน ธรรมในมารดาบิดาเปน ตน นัน้ ในโลกนี้ บณั ฑิตทัง้ หลายก็สรรเสริญเขา เขาละโลกนีแ้ ลวยังบันเทงิ ในสวรรค. จบทุตยิ ขตสูตรท่ี ๔
พระสตุ ตันตปฎก องั คุตรนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 10 อรรถกถาทุตยิ ขตสตู ร พึงทราบวินจิ ฉัยในทตุ ยิ ขตสูตรท่ี ๔ ดังตอ ไปน้ี :- ในบทวา มาตริ ปต ริ จ เปน อาทิ นายมติ ตวนิ ทกุ ะ ช่อื วา ปฏิบัติผดิในมารดา. พระเจาอชาตศตั รู ชือ่ วาปฏิบัตผิ ดิ ในบดิ า. เทวทตั ช่ือวาปฏบิ ัติผิดในพระตถาคต. โกกาลิกะ ช่อื วาปฏิบตั ิผิดในพระสาวกของพระตถาคต.บทวา พหฺุจ แปลวา มาก. บทวา ปสวติ แปลวา ยอ มได. บทวาตาย ความวา ดวยความพระพฤติอธรรมกลาวคอื ความปฏบิ ัตผิ ิดน้ัน. บทวาเปจฺจ คอื ไปจากโลกน.้ี บทวา อปายจฺ คจฉฺ ติ คอื เขาจะตอ งบังเกดิ ในนรกเปนตน แหง ใดแหงหนึง่ . สวนในสกุ กปกข (ธรรมฝายด)ี กน็ ยั นี้เหมอื นกนั . จบอรรถกถาทตุ ยิ ขตสตู รท่ี ๔ ๕. อนโุ สตสตู ร วาดวยบคุ คล ๔ ปรากฏในโลก [๕] ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คล ๔ นม้ี ปี รากฏอยูในโลก บคุ คล ๔คือใคร คอื บุคคลไปตามกระแส ๑ บคุ คลไปทวนกระแส ๑ บคุ คลตัง้ ตัวไดแ ลว (ไมต ามและไมทวนกระแส) ๑ บคุ คลขามถงึ ฝง ข้นึ อยูบ นบกเปนพราหมณ ๑ บคุ คลไปตามกระแส เปน อยา งไร ? บุคคลบางคนในโลกนีเ้ สพกามดวย ทาํ บาปกรรมดวย นี้เรียกวา บคุ คลไปตามกระแส.
พระสตุ ตันตปฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 11 บุคคลไปทวนกระแส เปน อยางไร ? บุคคลบางคนในโลกนี้ไมเสพกาม และไมท ําบาปกรรม แมทั้งทุกขก ายทั้งทุกขใ จ กระท่งั รองไห นาํ้ ตานองหนา กย็ ังประพฤตพิ รหมจรรยใหบ ริบรู ณบรสิ ทุ ธิอ์ ยูได นีเ้ รียกวา บคุ คลไปทวนกระแส. บคุ คลต้งั ตัวไดแลว เปน อยางไร ? บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะสนิ้ สงั โยชนเบือ้ งตาํ่ ๕ เปนโอปปาติกะ ปรนิ พิ พานในโลกทเี่ กิดนน้ั มีอนัไมกลับจากโลกน้นั เปน ธรรมดา นีเ้ รยี กวา บคุ คลตั้งตัวไดแ ลว . บุคคลขา มถึงฝง ข้ึนบนบกเปนพราหมณ เปน อยา งไร ? บคุ คลบางคนในโลกนี้ เพราะสิน้ อาสวะท้งั หลาย กระทาํ ใหแ จงซึ่งเจโตวมิ ตุ ติปญญาวิมตุ ติอนั หาอาสวะมไิ ด ดว ยปญญาอนั ย่งิ ดว ยตนเอง สําเรจ็ อยูในปจ จบุ ันนี้ นีเ้ รยี กวา บุคคลขา มถงึ ฝง ขึ้นอยูบนบกเปนพราหมณ. ภกิ ษุทง้ั หลาย น้ีแลบุคคล ๔ มีปรากฏอยใู นโลก. (นคิ มคาถา) ชนเหลา ใดเหลาหน่ึง ไมส ํารวมใน กาม ยงั ไมส ิ้นราคะ เปน กามโภคี ใน โลกนี้ ชนเหลา น้ัน ชื่อวา ผไู ปตามกระแส ถูกตัณหาครอบงาํ ไว ตองเกิดและแก บอ ย ๆ เพราะฉะน้นั แหละ ผูเปน ปราชญ ในโลกน้ี ตั้งสติ ไมเ สพกามและไมท าํ บาป แมท ัง้ ทกุ ขกายใจ กล็ ะกามและบาปได ทา นเรียกบุคคลนน้ั วา ผไู ปทวนกระแส
พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 12 คนใดละกเิ ลส ๕ ประการ (คอื สังโยชนเ บอ้ื งตํา่ ) ไดแ ลว เปนพระเสขะ บริบรู ณ มอี ันไมเส่อื มคลายเปน ธรรมดา ไดวสที างใจ มีอนิ ทรียอ นั มั่นคง คนนน้ั ทา นเรียกวา ผูตง้ั ตัวไดแลว เพราะได ตรัสรูแลว ธรรมท้ังหลายท้ังยิ่งและหยอ น ของบุคคลใด ส้นิ ไปดับไป ไมมอี ยู บุคคลน้ัน เปนผบู รรลซุ ึง่ ยอดความรู สาํ เร็จพรหมจรรย ถงึ ที่สุดโลก เรยี กวา ผู ถงึ ฝง แลว. จบอนโุ สตสูตรที่ ๕ อรรถกถาอนุโสตสูตร พึงทราบวินจิ ฉยั ในอนุโสตสูตรท่ี ๕ ดงั ตอ ไปนี้ :- บุคคลชื่อวา อนุโสตคามี เพราะไปตามกระแส. ชือ่ วาปฏโิ สตคามี เพราะไปทวนกระแสของกระแสคือกิเลส โดยการปฏิบตั ิท่เี ปนขาศกึ .บทวา ิตตฺโต คือมภี าวะตั้งตนไดแ ลว. บทวา ตณิ ฺโณ ไดแก ขา มโอฆะตง้ั อยูแ ลว. บทวา ปารคโต ไดแ ก ถงึ ฝง อนื่ . บทวา ถเล ติฏ ติ ไดแกอยบู นบก คอื นพิ พาน. บทวา พฺราหมฺ โณ ไดแ ก เปน ผูประเสรฐิ หาโทษมไิ ด. บทวา อธิ แปลวา ในโลกนี้. บทวา กาเม จ ปฏิเสวติ ไดแกสอ งเสพวัตถุกามดว ยกเิ ลสกาม. บทวา ปาปจฺ กมฺม กโรติ ไดแ ก
พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 13ยอ มทาํ กรรมมีปาณาตบิ าตเปนตน อันเปน บาปะ บทวา ปาปจฺ กมฺม นกโรติ ไดแ ก ไมท ํากรรมคือเวร ๕. บทวา อย วุจฺจติ ภกิ ฺขเว ติ ตโฺ ตความวา อนาคามีบุคคลน้ี ช่ือวา ตั้งตนไดแ ลว ดวยอํานาจการไมกลบั มาจากโลกนัน้ โดยถือปฏิสนธอิ กี . บทวา ตณฺหาธปิ นฺนา ความวา เหลา ชนที่ถกู ตณั หางาํ คือครอบไวหรือเขาถึง คือหยง่ั ลงสูตัณหา. บทวา ปริปุณณฺ เสกโฺ ข ไดแ ก ต้งั อยใู นความบรบิ ูรณดวยสิกขา. บทวา อปรหิ านธมฺโม ไดแ ก มอี นั ไมเส่อื มเปนสภาวะ. บทวา เจโตวสิปฺปตโฺ ต ไดแก เปนผชู ํานาญทางจติ . บคุ คลเหน็ปานน้ี ยอ มเปนพระขณี าสพ. แตในขอน้ี ตรสั แตอนาคามบี คุ คล. บทวาสมาหิตนิ ฺทรฺ โิ ย ไดแ ก ผมู อี นิ ทรียห กมัน่ คงแลว. บทวา ปโรปรา ไดแกธรรมอยางสงู และอยา งเลว อธบิ ายวา กศุ ลธรรมและอกุศลธรรม. บทวาสเมจจฺ ไดแก มาพรอมกนั ดวยญาณ. บทวา วธิ ปู ตา ไดแ ก อนั ทา นกาํ จดั หรือเผาเสียแลว. บทวา วสุ ิตพฺรหมฺ จริโย ความวา อยูจบมรรคพรหมจรรย. บทวา โลกนฺตคู ความวา ถึงทีส่ ดุ แหง โลกทัง้ สาม. บทวาปารคโต ความวา ผถู ึงฝง ดวยอาการ ๖. ในขอนต้ี รสั แตพระขณี าสพเทานั้นแตวัฏฏะและววิ ัฏฏะ (โลกยิ ะและโลกุตระ) ตรัสไวทง้ั ในพระสตู ร ทง้ั ในคาถาดว ยประการฉะน้ี. จบอรรถกถาอนโุ สตสตู รท่ี ๕
พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คุตรนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 14 ๖. อัปปสุตสูตร วาดวยบคุ คลผมู สี ตุ ะ ๔ จําพวก [๖] ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย บคุ คล ๔ จําพวกมีปรากฏอยใู นโลกบคุ คล ๔ คอื ใคร คือ บุคคลผสู ดับนอ ย (เรยี นนอย) ทง้ั ไมไ ดป ระโยชนเพราะการสดบั ๑ บคุ คลผสู ดับนอ ย แตไ ดประโยชนเ พราะการสดับ ๑ บุคคลผูสดับมาก (เรียนมาก) แตไมไดประโยชนเ พราะการสดับ บคุ คลผสู ดับมาก ทัง้ ไดประโยชนเ พราะการสดับ บคุ คลผสู ดับนอ ย ท้ังไมไ ดป ระโยชนเพราะการสดบั เปนอยา งไร ?(นวงั คสัตถุศาสนา คําสอนของพระศาสดามอี งค ๙ คอื ) สตุ ตะ เคยยะเวยยากรณะ คาถา อทุ าน อิติวุตตกะ ชาตกะ อพั ภูตธัมมะ เวทัลละบุคคลบางตนในโลกนไี้ ดส ดับนอย ทง้ั เขาหารูอรรถ (คอื เนอื้ ความ) รธู รรม(คือบาลี) แหง คําสอนอนั นอ ยทไี่ ดส ดับนั้น แลวปฏิบัตธิ รรมสมควรแกธรรมไม บคุ คลผูส ดบั นอย ทงั้ ไมไ ดประโยชนเพราะการสดบั เปนอยางนี้แล. บุคคลผูสดับนอ ย แตไดประโยชนเพราะการสดบั เปนอยางไร ?(นวงั คสัตถุศาสนา คําสอนของพระศาสดามีองค ๙ คอื ) สตุ ตะ ฯลฯ เวทลั ละบคุ คลบางตนในโลกนไี้ ดสดบั นอ ย แตเขารอู รรถรธู รรมแหงคําสอนอนั นอ ยที่ไดสดับน้นั แลวปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธ รรม บคุ คลผูสดับนอ ย แตไ ดประโยชนเ พราะการสดับ เปน อยา งนีแ้ ล. บคุ คลผสู ดบั มาก แตไ มไ ดประโยชนเ พราะการสดับเปน อยางไร ?(นวงั คสตั ถศุ าสนา คาํ สอนของพระศาสดามอี งค ๙ คอื ) สุตตะ ฯลฯ เวทัลละบุคคลบางคนในโลกน้ไี ดสดบั มาก แตเขาหารอู รรถรูธ รรมแหง คาํ สอนเปน อัน
พระสตุ ตันตปฎ ก องั คตุ รนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 15มากทีไ่ ดสดบั น้ันแลวปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธรรมไม บุคคลผูสดับมาก แตไมไ ดประโยชนเพราะการสดบั เปนอยา งนแี้ ล บุคคลผสู ดบั มาก ทง้ั ไดป ระโยชนเพราะการสดบั เปนอยา งไร(นวงั คสตั ถศุ าสนา คาํ สอนของพระศาสดามอี งค ๙ คือ) สุตตะ ฯลฯ เวทลั ละบุคคลบางคนในโลกนี้ไดส ดับมาก ทงั้ เขารูอ รรถรูธรรมแหงคาํ สอนเปนอันมากทไ่ี ดสดบั นั้นแลว ปฏิบัตธิ รรมสมควรแกธรรม บคุ คลผสู ดับมาก ท้งั ไดประโยชนเ พราะการสดบั เปน อยา งน้ีแล. ภกิ ษุทงั้ หลาย นแ้ี ลบคุ คล ๔ จาํ พวกมปี รากฏอยูใ นโลก. บคุ คลใด ถาเปน คนสดบั นอย ทั้งไม ตงั้ อยูในศีล บัณฑติ ท้งั หลายยอมติเตียน บุคคลนั้นทงั้ ๒ ทาง คือทัง้ ทางศีล ทงั้ ทางสดับ. บุคคลใด ถา แมเปน คนสดบั นอย แตต้งั ม่นั อยใู นศีล บณั ฑติ ทงั้ หลายยอ ม สรรเสริญบุคคลน้ันทางศลี แตการสดบั ของเขาบกพรอง. บคุ คลใด ถา แมเปนคนสดับมา แตไ มต ง้ั มัน่ อยใู นศีล บณั ฑติ ทง้ั หลายยอม ตเิ ตยี นบคุ คลน้ันทางศีล แตการสดบั ของ เขาพอการ. บุคคลใด ถาเปน คนสดบั มาก ทัง้ ต้ังมนั่ อยใู นศีล บัณฑติ ทงั้ หลายยอม สรรเสริญบคุ คลนั้นท้งั ๒ ทาง คือท้งั ทาง ศีล ทง้ั ทางการสดบั .
พระสุตตันตปฎ ก องั คุตรนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 16 ใครจะควรตบิ คุ คลผูไดส ดับมาก ทง้ั เปน ผทู รงธรรม ตอบดวยปญ ญา เปน สาวกพระพทุ ธเจา ราวกะแตง ทองชมพูนท นัน้ เลา แมเหลา เทวดาดียอ มชม ถึงพรหม สรรเสริญ. จบอปั ปสตุ สูตรท่ี ๖ อรรถกถาอัปปสตุ สตู ร พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในอปั ปสุตสูตรท่ี ๖ ดงั ตอ ไปน.้ี บทวา อนุปปนโฺ น แปลวา ไมเขา ถึง. ในบทมีอาทวิ า สุตฺต นี้อุภโตวิภังค นทิ เทส ขนั ธกปริวาร สตุ ตนิบาต มงคลสตู ร รตนสตู รนาลกสตู ร ตวุ ฏกสตู ร พระดาํ รสั ของพระตถาคตแมอ่นื มี ชื่อวาสูตร พงึทราบวา สูตร. พระสตู รท่ีมีคาถาแมท ง้ั หมด พึงทราบวา เคยยะ. โดยเฉพาะอยางยิง่ ในสังยตุ ตนิกาย สคาถวรรคแมทงั้ หมด อภธิ รรมปฎ กแมท ั้งสิน้ สูตรท่ีไมมคี าถา พระพทุ ธพจนแมอ นื่ ที่ไมสงเคราะหเ ขากบั องค ๘ เหลาอืน่ พงึทราบวา เวยยากรณะ. ธรรมบท เถรคาถา เถรคี าถา และคาถาลวนไมมีช่ือพระสูตรในสตุ ตนิบาต พึงทราบวา คาถา. พระสตู ร ๘๒ สูตร ท่ปี ระกอบดว ยคาถาอันสําเร็จมาแตโสมนัสญาณ พงึ ทราบวาอทุ าน. พระสตู ร ๑๑๐ สตู รอนั เปนไปโดยนัยเปน อาทวิ า วตุ ฺตมิท ภควตา พระผูมีพระภาคเจาตรสั ไวดังน้ี พงึ ทราบวา อิติวตุ ตกะ. ชาดก ๕๕๐ ชาดก. มอี ปณณกชาดกเปนตนพงึ ทราบวา ชาดก. พระสตู รทป่ี ระกอบดว ยธรรมท่นี าอศั จรรยไมเคยมี แม
พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 17ทัง้ หมด อันเปนไปโดยนยั เปนตนวา ดกู อ นภิกษทุ ัง้ หลาย อจั ฉริยอพั ภูตธรรม๔ ของเรามอี ยู พึงทราบวา อพั ภตู ธรรม. พระสูตรแมทง้ั ปวง ทีถ่ ามแลวไดค วามรู และความยนิ ดี มจี ูฬเวทลั ลสตู ร มหาเวทลั ลสูตร สัมมาทฏิ ฐิสตู รสกั กปญ หสตู ร สงั ขารภาชนยิ สูตร มหาปณุ ณมสจู รเปน ตน พงึ ทราบวาเวทัลละ. บทวา น อตฺถมฺ าย ธมมฺ มฺาย ความวา ไมรอู รรถกถาและบาลี. บทวา ธมฺมานธุ มฺมปฏิปนฺโน ความวา ยอมไมปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกโลกตุ รธรรม ๙ คอื ขอ ปฏิบัติเบอื้ งหนา พรอมทงั้ ศลี . พงึ ทราบเนือ้ ความในทุกวาระโดยอุบายน้ี. สวนวาระทห่ี นงึ่ ในพระสตู รนี้ ตรัสถงึบคุ คลผูม ีสุตะนอ ยแตทุศลี ในวาระท่ีสอง ตรสั ถงึ บคุ คลผมู ีสตุ ะนอ ยแตเ ปนพระขณี าสพ ในวาระทส่ี าม ตรัสถึงบคุ คลผมู สี ุตะมากแตทุศลี ในวาระท่สี ่ีตรัสถงึ บคุ คลผูม สี ุตะมากทงั้ เปนพระขีณาสพ. บทวา สีเลสุ อสมาหิโตความวา ไมทาํ ใหบริบรู ณใ นศลี ทั้งหลาย. บทวา สีลโต จ สุเตน จความวา นกั ปราชญทง้ั หลายยอ มติเตียนผนู นั้ ท้ังโดยสวนศลี ท้ังโดยสวนสุตะอยา งน้ีวา คนน้ีทุศลี มสี ตุ ะนอ ย. บทวา ตสสฺ สมปฺ ชฺชเต สตุ ความวาสุตะของบคุ คลนนั้ ชื่อวา สมบรู ณ เพราะเหตุท่ีกิจคือสุตะอันเขาทาํ แลว ดว ยสตุ ะนัน้ . บทวา นาสฺส สมปฺ ชฺชเต ไดแ ก ความวา สตุ กจิ ช่ือวา ไมสมบรู ณเพราะกจิ คือสุตะอนั เขามิไดทาํ . บทวา ธมฺมธร ไดแก เปน ผทู รงจาํ ธรรมที่ฟงแลวไวไ ด. บทวา สปปฺ ฺ ไดแก มปี ญญาด.ี บทวา เนกขฺ ชมฺโพนทสเฺ สว ความวา ทองคาํ ธรรมชาติ เขาเรียกวา ชมพูนทุ ดุจแทง ทองชมพนู ทุ นัน้ คอื ดจุ ล่ิมทองเนอ้ื ๕. จบอรรถกถาอัปปสตุ สูตรที่ ๖
พระสุตตันตปฎก อังคุตรนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 18 ๗. สงั ฆโสภณสูตร วา ดว ยบุคคลผทู าํ หมูใหง าม ๔ จาํ พวก [๗] ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย บคุ คล ๔ จําพวกเหลานี้ ท่ฉี ลาด มวี ินัยกลา หาญ สดบั มาก ทรงธรรม ปฏบิ ตั ิธรรมสมควรแกธ รรม ยอมยงั หมูใหง าม บุคคล ๔ จาพวกเหลา นค้ี อื ใคร คือ ภิกษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก อุบาสกิ าบคุ คล ๔ จําพวกเหลาน้แี ล ท่ฉี ลาด มีวินยั กลา หาญ สดบั มาก ทรงธรรมปฏิบตั ิธรรมสมควรแกธรรม ยอ มยงั หมูใหงาม บุคคลใด เปนผูฉ ลาดและกลา หาญ เปน ผูสดบั มาก และทรงจาํ ธรรม เปน ผู ประพฤตธิ รรมสมควรแกธรรม บคุ คลเชน น้นั นั่น เรียกวาผยู งั หมใู หง ามภกิ ษุ ภิกษณุ ี อุบาสก และอุบาสกิ า เปน ผูมีศรทั ธา สมบรู ณดวยศีล เปน พหูสูต บุคคลเหลานี้ แลยังหมูใหงาม บคุ คลเหลา นี้เปนสังฆ- โสภณ (ผยู งั หมูใหง าม) แทจรงิ . จบสังฆโสภณสูตรที่ ๗
พระสตุ ตันตปฎก องั คตุ รนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 19 อรรถกถาสงั ฆโสภณสูตร พึงทราบวนิ จิ ฉัยในสังฆโสภณสูตรที่ ๗ ดงั ตอไปนี้ :- บทวา วยิ ตตฺ า ไดแ ก บคุ คลผปู ระกอบดวยปญ ญาสามารถ. บทวาวินตี า ความวา ผูเขาถึงวินยั อันทา นแนะนาํ ดี. บทวา วสิ ารทา ความวาผปู ระกอบดว ยความกลา หาญ คือญาณสหรคตดวยโสมนัส. บทวา ธมฺมธราคอื ทรงจําธรรมท่ฟี งมาแลวไวไ ด. บทวา ภกิ ขฺ ุ จ สลี สมปฺ นฺโน ความวาในคาถาตรสั คุณแตละอยาง แตล ะบคุ คลไวก ็จรงิ ถึงอยา งนั้น คุณธรรมทงั้ ปวงก็ยอ มควรแกท านเหลา น้นั แมทงั้ หมด จบอรรถกถาสังฆโสภณสตู รท่ี ๗ ๘. เวสารัชชสูตร วาดวยเวสารัชชญาณของตถาคต [๘] ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย เวสารัชชญาณ (ญาณเปน เหาตุใหก ลาหาญ)ของตถาคต ๔ นี้ ตถาคตประกอบดวยเวสารชั ชญาณเหลา ไรเลา จึงปฏิญญาฐานผูเปนโจก เปลง สิงหนาทในบริษัททง้ั หลาย ประกาศพรหมจกั ร เวสา-รัชชญาณคืออะไรบาง คือเราไมเ หน็ นมิ ติ นีว้ า สมณะ หรอื พราหมณ หรือเทวดา หรอื มาร หรอื พรหม หรือใคร ๆ ในโลก จกั ทักทว งเราไดโดยชอบแกเ หตุ ในขอวา
พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 20 ๑. ทา นปฏิญญาวา เปนสัมมาสัมพทุ ธะ แตธรรมเหลาน้ีทา นยังไมรูแลว ๒. ทานปฏิญญาวา เปน ขณี าสพ แตอาสวะเหลานข้ี องทา นยังไมส นิ้แลว ๓. ทา นกลา วธรรมเหลา ใดวา ทําอันตราย ธรรมเหลา นน้ั ไมอาจทําอันตรายแกผซู องเสพไดจรงิ ๔. ทานแสดงธรรมเพ่ือประโยชนอยา งใด ประโยชนอ ยา งนั้นไมเปน ทางสนิ้ ทกุ ขโดยชอบแหงบุคคลผูทาํ ตาม เม่อื ไมเ หน็ นมิ ิตอนั นเี้ สียเลย เราจึงโปรงใจ จงึ ไมค รนั้ คราม จึงกลาหาญ ภิกษทุ ้งั หลาย นี้แล เวสารชั ชญาณของตถาคต ตถาคตประกอบดวยเวสารชั ชญาณเหลา ไรเลา จงึ ปฏญิ ญาฐานผูเปน โจก เปลง สิงหนาทในบริษัททั้งหลาย ประกาศพรหมจักร ถอยความ ทีผ่ กู แตง ขึน้ เปนอันมาก ทุกชนิด และสมณพราหมณท ัง้ หลายอาศัย วาทะใด วาทะน้นั มาถงึ ตถาคตผแู กลว กลา ผยู ่ํายเี สียซึง่ วาทะแลว ยอมพายไป ทา นผู ใดครอบงาํ เสยี ซึ่งวาทะและสมณพราหมณ ทัง้ ส้นิ มคี วามเอ็นดใู นสรรพสตั ว ประกาศ ธรรมจกั ร สัตวท ง้ั หลายยอ มกราบไหว ทา นผูเชน น้ัน ผูประเสรฐิ แหง เทวดา และมนษุ ย ผูถงึ ฝง แหง ภพ. จบเวสารัชชสูตรที่ ๘
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 21 อรรถกถาเวสารชั ชสตู ร พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในเวสารัชชสตู รท่ี ๘ ดังตอ ไปน้ี :- ในบทวา เวสารชชฺ านิ นี้ ธรรมอนั เปน ปฏปิ ก ษตอความขลาดช่ือวา เวสารัชชะ ญาณเปนเหตุใหก ลา หาญ. เวสารชั ชะน้ี เปนชือ่ ของโสมนัสญาณที่เกดิ ขนึ้ แกตถาคต ผพู จิ ารณาเหน็ ความไมม ีความขลาดในฐานะ ๔. บทวา อาสภณฺาน ความวา ฐานะอนั ประเสรฐิ คือฐานะสูงสุด.หรอื พระพุทธเจา ในปางกอนท้ังหลายเปนผอู งอาจ ฐานะของพระพทุ ธเจาท้งั หลายเหลา นนั้ . อกี นัยหน่ึง โคจาฝงู ของโครอ ยตวั ช่อื วา อุสภะ โคจาฝูงของโคหนง่ึ พนั ตัว ชอื่ วา วสภะ หรือโคอุสภะ เปน หวั โจกโครอ ยคอก โควสภะเปน หัวโจกโคพนั คอก โคนิสภะ ประเสรฐิ สดุ แหงใดทง้ั หมด อดทนตอ อนั ตรายทกุ อยาง เผอื ก นารัก ขนภาระไปไดมาก ท้งั ไมหวนั่ ไหวดว ยเสียงฟา รองรอ ยครงั้ พันครัง้ โคนิสภะนนั้ ทานประสงคว า โคอสุ ภะในที่น้ีนี้เปนคาํ เรยี กโคอสุ ภะนนั้ โดยปรยิ าย. ท่ชี ือ่ วา อาสภะ เพราะฐานะนี้เปนของโคอสุ ภะ. บทวา าน ไดแ ก การเอาเทา ทัง้ ๔ ตะกยุ แผนดินยนื หยัด. ก็ฐานะนี้ ช่ือวา อาสภะ เพราะเหมอื นการยนื หยัดของโคอสุ ภะ. โคอสุ ภะที่นบัวา โคนสิ ภะ เอาเทา ๔ เทาตะกยุ แผน ดนิ แลว ยนื หยดั โดยยนื ไมห วน่ั ไหวฉนั ใด ตถาคตกต็ ะกยุ แผน ดินคอื บรษิ ทั ๘ ดว ยพระบาทคอื เวสารชั ชญาณ ๔ไมห ว่นั ไหวดว ยขา ศึกปจจามติ รไร ๆ ในโลก พรอมทง้ั เทวโลก ยนื หยัดโดยยืนไมห วนั่ ไหวกฉ็ นั นัน้ . ตถาคตเม่อื ยืนหยดั อยอู ยา งน้ี จงึ ปฏิญญาฐานของผูองอาจ เขา ถงึ ไมบอกคนื กลบั ยกขนึ้ ไวในพระองค ดว ยเหตุนนั้ จึงตรสั วาอาสภณฺาน ปฏชิ านาติ ดังน.ี้
พระสุตตันตปฎก อังคุตรนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 22 บทวา ปรสิ าสุ ไดแก ในบริษัททงั้ ๘. บทวา สหี นาท นทติความวา เปลง เสยี งแสดงอาํ นาจอันประเสรฐิ สุด เสียงแสดงอาํ นาจของราชสีหหรอื บนั ลือเสียงแสดงอาํ นาจเสมือนการแผดเสียงของราชสีห. ความขอ น้ีพึงแสดงดว ยสหี นาทสูตร. ราชสหี เขาเรียกวา สหี ะ เพราะอดทน และเพราะลา เหย่ือ แมฉ นั ใด ตถาคตก็ฉันน้ัน เขาเรียกวา สีหะ เพราะทรงอดทนโลกธรรมทัง้ หลาย และเพราะทรงกาํ จัดลทั ธอิ น่ื . การบันลือของสหี ะท่ที า นกลาวอยางนี้ เรียกวา สหี นาท. ในสีหนาทนัน้ ราชสีหประกอบดว ยกาํ ลังของราชสกี ลาหาญในท่ที ้งั ปวง ปราศจากขนชชู ัน บันลอื สหี นาทฉนั ใด สีหะคือ ตถาคตก็ฉนั นนั้ ประกอบดว ยกาํ ลงั ของตถาคต เปนผกู ลาหาญในบรษิ ทัทงั้ ๘ ปราศจากขนพอง ยอมบันลอื สหี นาท อนั ประกอบดวยความงดงามแหง เทศนามอี ยา งตา ง ๆโดยนยั เปน อาทิวา อยา งนีร้ ูป. ดวยเหตนุ น้ั จึงตรสั วาปริสาสุ สหี นาท นทติ ดงั นี้ . บทวา พฺรหมฺ ในบทวา พรฺ หฺมจกกฺ ปวตเฺ ตติ นี้ ไดแ ก จกั รอนั ประเสรฐิ สงู สุดหมดจด. ก็จกั กศพั ทนี้ ยอมใชในอรรถวาสมบตั ิ ลกั ษณะ สว นแหง รถ อิริยาบถ ทาน รตนจกั ร ธรรมจกั ร และอุรจักรเปนตน ในท่ีน้ี รกู นั วา ใชในอรรถวา ธรรมจักร พงึ ทํา ธรรมจักรใหช ดั แจง แบง เปน สองประการ. จริงอยู จักกศัพทน ้ียอมใชในอรรถวา สมบตั ิ ไดใ นบาลเี ปน ตน วาจตฺตาริมานิ ภกิ ขฺ เว จกฺกานิ เยหิ สมนนฺ าคตาน เทวมนสุ ฺสานดกู อ นภิกษทุ ัง้ หลาย สมบัติ ๔ ทีเ่ ทวดาและมนษุ ยทัง้ หลายประกอบพรอ มแลวดังน.ี้ ใชในอรรถวา ลกั ษณะ ไดในบาลีนี้วา ปาทตเลสุ จกกฺ านิ ชาตานิ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก อังคุตรนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 23ลักษณะเกดิ บนฝา พระบาท ดงั นี.้ ใชในอรรถวา อริ ยิ าบถ ไดในบาลนี วี้ าจตจุ กฺก นวทวฺ าร มอี ิริยาบถ ๔ มที วาร ๙ ดงั น้.ี ใชใ นอรรถวา ทานไดในบาลีนี้ ทท ภุชฺ จ มา จ ปมาโท จกฺก วตฺตย สพฺพปาณนี ทา นจงให จงบริโภค และจงอยาประมาท จงใหท านเปนไปแกส รรพสตั วดังนี้. ใชในอรรถวา รตนจักร ไดใ นบาลนี ว้ี า ทิพฺพ รตนจกฺก ปาตุรโหสิจกั รรัตนท ี่เปนทิพยไดป รากฏแลว ดงั นี.้ ใชใ นอรรถวา ธรรมจกั ร ไดใ นบาลนี ี้วา มยา ปวตตฺ ิต จกฺก ธรรมจกั รอนั เราใหเปน ไปแลว ดังน้ี . ใชใ นอรรถวา อุรจักร ไดในบาลนี ี้วา อรุ จกั ร กงจกั รหมนุ อยบู นกระหมอมของคนผถู ูกความอยากครองงาํ ดงั น.้ี ใชในอรรถวา ปหรณจักร เคร่ืองประหารไดในบาลีนีว้ า ขรุ ปริยนเฺ ตน เจป จกฺเกน. ถาประหารดว ยจกั รมคี มรอบ ๆดังนี้. ใชใ นอรรถวา อสนมิ ณั ฑละ คอื วงกลมแหง สายฟา ไดใ นบาลนี ว้ี าอสนิจกฺก วงกลมแหง สายฟา ดงั น.ี้ แตจ กั กศัพทน ้ี ในท่นี ้รี ูก ันวา ใชใ นอรรถวา ธรรมจกั ร. กธ็ รรมจกั รนน้ี ้ันมี ๒ คอื ปฏเิ วธญาณ ๑ เทศนาญาณ ๑. บรรดาธรรมจักร ๒ นั้น ญาณท่ปี ญญาอบรม นาํ อรยิ ผลมาใหต นเอง ช่ือวาปฏเิ วธญาณ. ญาณทีก่ รุณาอบรม นําอรยิ ผลมาใหสาวกทั้งหลาย ชอื่ วาเทศนาญาณ. บรรดาญาณ ๒ อยางน้ัน ปฏิเวธญาณมี ๒ คือ ทกี่ ําลังเกิดขึน้ ที่เกดิ ข้นึ แลว. กป็ ฏิเวธญาณนัน้ ช่อื วากําลงั เกดิ ขน้ึ นับแตทรงออกผนวชจนถงึ อรหัตมรรค ชอ่ื วาเกิดขนึ้ แลว ในขณะแหงอรหัตผล. อกี อยางหน่งึช่ือวากําลังเกิดขน้ึ นับแตภ พชน้ั ดุสิต จนถงึ อรหัตมรรค ณ มหาโพธิบลั ลงั กช่อื วา เกดิ ข้ึนแลว ในขณะแหง อรหตั ผล. อีกอยา งหน่งึ ชอ่ื วา กาํ ลงั เกิดขึน้นบั แตค ร้ังพระทปี่ งกรพทุ ธเจา จนถึงอรหัตมรรค ณ โพธิบัลลังก ช่อื วา
พระสตุ ตนั ตปฎก องั คตุ รนิกาย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 24เกิดขึน้ แลวในขณะแหงอรหตั ผล. เทศนาญาณกม็ ี ๒ คือที่กําลงั เปน ไปทเ่ี ปนไปแลว. ก็เทศนาญาณนน้ั ชอื่ วากําลงั เปนไปจนถงึ โสดาปต ติมรรคของทานพระอัญญาโกณฑัญญะ ช่ือวาเปน ไปแลวในขณะแหง โสดาปต ตผิ ล.บรรดาญาณทั้ง ๒ นัน้ ปฏิเวธญาณ เปน โลกุตระ เทศนาญาณเปน โลกยิ ะ.กญ็ าณทั้งสองน้นั ไมทว่ั ไปกบั สาวกเหลาอน่ื เปน โอรสญาณทําใหเกดิ โอรสคือสาวก สาํ หรบั พระพุทธเจาท้งั หลายเทา น้นั . บทวา สมฺมาสมพฺ ุทธฺ สฺส เต ปฏชิ านโต ความวา ทา นปฏญิ ญาอยางนว้ี า เราเปน สัมมาสมั พุทธะ ธรรมทั้งหลายทง้ั ปวงเราไดตรัสรูแลว ดงั น้ี . บทวา อนภิสมฺพทุ ฺธา ความวา ธรรมทงั้ หลาย ชื่อเหลา น้ีทา นยงั ไมร ูแลว . บทวา ตตฺร วต คือในธรรมท่ีทา นแสดงเหลา นนั้ อยางนว้ี าอนภิสมฺพทุ ฺธา. บทวา สหธมเฺ มน ไดแกดวยถอ ยคาํ พรอมดวยเหตุดว ยการณ. บคุ คลก็ดี ธรรมก็ดี ทานประสงคว านมิ ติ ในบทวา นิมิตฺตเมต นี.้ในขอ น้มี ีใจความดงั น้วี า บุคคลใดจะทกั ทว งเรา เราก็ยงั ไมเ ปนบคุ คลนน้ับคุ คลแสดงธรรมใดแลว จักทกั ทวงเราวา ธรรมชื่อน้ี ทานยังไมรูแลว ดงั นี้เราก็ยังไมเหน็ ธรรมนนั้ . บทวา เขมปฺปตฺโต ไดแ กถ ึงความเกษม. สองบทท่ีเหลอื ก็เปน ไวพจนของบทน้ีน้ันเอง. คํานั้นทงั้ หมดตรัสมุงถึงเวสารชั ชญาณอยางเดยี ว. ดวยวา พระทศพลเมอ่ื ไมทรงเหน็ บคุ คลทีท่ กั ทวง หรอื ธรรมทีย่ ังไมร ู ทเ่ี ปน เหตทุ กั ทวงวา ธรรมขอนี้ ทา นยังไมรแู ลวดังน้ี พิจารณาเหน็ วาเราตรสั รูตามความเปนจรงิ แลว จงึ กลา ววา เราเปนพทุ ธะดังน้ี จึงเกิดโสมนสัทมี่ กี าํ ลังกวา ญาณทปี่ ระกอบดวยโสมนัสนัน้ ชอ่ื วา เวสารัชชะ. ทรงหมายถึงเวสารชั ชญาณน้ัน จึงตรสั คําเปน ตนวา เขมปฺปตโฺ ต ดังน้.ี ในบททุกบทพงึ ทราบเนื้อความอยางน้.ี
พระสุตตนั ตปฎก องั คุตรนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ท่ี 25 ในบทวา อนตฺ รายิกา ธมฺมา น้ี ชื่อวา อนั ตรายิกธรรม เพราะทําอนั ตราย. อันตรายิกธรรมเหลาน้ัน โดยใจความกไ็ ดแกอาบัติ ๗ กอง ที่จงใจลว งละเมดิ . ความจริงโทษทจ่ี งใจลวงละเมิด โดยทสี่ ุดแมอาบตั ทิ ุกกฏและทพุ ภาสติ ก็ยอมทําอนั ตรายแกมรรคและผลได. แตใ นทีน่ ี้ ประสงคเ อาเมถนุ ธรรม ดวยวา เม่อื ภกิ ษุรปู ใดรูปหน่งึ เสพเมถนุ ธรรม ยอมเปนอนั ตรายตอ มรรคและผลถายเดียว. บทวา ยสฺส โข ปน เต อตฺถาย ความวาเพือ่ ประโยชนแ กธ รรมอนั ใดในบรรดาธรรมเปนทสี่ นิ้ ราคะเปนตน. บทวาธมโฺ ม เทสโิ ต ความวา ทานกลา วธรรนมอี สุภภาวนาเปน ตน . บทวาตตฺร วต ม คือในธรรมทไ่ี มน าํ สตั วอ อกจากทกุ ขน้นั . บทท่เี หลือ พงึ ทราบโดยนัยอันกลา วไวใ นวนิ ัย. บทวา วาทปถา คือ วาทะทงั้ หลายนน่ั เอง. บทวา ปุถุ แปลวามาก บทวา สติ า คอื ท่ผี ูกแตงเปนปญ หาข้นึ . อกี อยา งหนึง่ บทวาปถุ สุ ฺสิตา ไดแก วาทะทเ้ี ตรียมคือจดั ไวมาก. อีกอยางหนึง่ ชอ่ื วา ปถุ ุสฺสติ าเพราะสมณพราหมณเปนอันมากผูกไว. บทวา ย นสิ สฺ ติ า ความวาแมบ ดั น้สี มณพราหมณอาศยั คลองวาทะใด. บทวา น เต ภวนตฺ ิความวา คลองวาทะเหลา นนั้ ยอ มไมม ี คอื แตกพินาศไป. บทวา ธมฺมจกฺกนัน้ เปน ช่ือของเทศนาญาณกม็ ี ปฏิเวธญาณกม็ .ี บรรดาญาณทง้ั สองนัน้เทศนาญาณเปน โลกยิ ะ ปฏิเวธญาณเปนโลกตุ ระ. บทวา เกวลี ไดแกทรงถึงพรอ มดว ยโลกุตระสิน้ เชิง. บทวา ตาทิส คอื ทานผูเปน อยางน้นั . จบอรรถกถาเวสารัชชสตู รท่ี ๘
พระสตุ ตนั ตปฎก อังคุตรนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 26 ๙. ตณั หาสูตร วาดว ยทเี่ กิดตณั หา ๔ อยาง [๙] ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย ทเี่ กดิ ตัณหา ๔ อยา งนี้ ทีเ่ กดิ ตณั หา ๔อยาง คืออะไร คอื ตัณหาเม่อื เกดิ ข้นึ แกภ ิกษุ ยอมเกิดเพราะจวี รบา งเพราะบณิ ฑบาตบา ง เพราะเสนาสนะบา ง เพราะความมนี อ ยมมี ากอยา งนนั้อยางนีบ้ าง น้แี ล ท่ีเกิดตณั หา ๔ อยาง คนมีตณั หาเปนเพือ่ น เวียนวายไป เปน อยา งน้อี ยา งนั้นสิน้ กาลนาน ไมล ว ง- พนสงสารไปได ภกิ ษรุ ูโทษอนั นแ้ี ลว รูวา ตัณหาเปน เหตุเกิดทกุ ข ก็จะพึงเปน ผมู ีสติ สิน้ ตัณหา ไมม ีความยึดถือไป. จบตณั หาสูตรท่ี ๙ อรรถกถาตณั หาสตู ร พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในตัณหาสูตรที่ ๙ ดงั ตอไปนี้ :- ชอื่ วา อุปปาทะ เพราะเปนท่ีเกดิ ขน้ึ แหง ตัณหาเหลานนั้ . ถามวาอะไรเกดิ . ตอบวา ตณั หา. ความเกดิ ขน้ึ แหง ตัณหา ช่ือวา ตัณหุปปาทะอธิบายวา วัตถุแหง ตัณหา เหตุแหง ตณั หา. บทวา จีวรเหตุ ความวาตณั หายอ มเกดิ เพราะมีจวี รเปน เหตุ วา เราจกั ไดจ วี รท่ีนา ชอบใจ ในทีไ่ หน.
พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 27ศัพทวา อติ ิ ในบทวา อิตภิ วาภวเหตุ นีเ้ ปน นบิ าตลงในอรรถวาตวั อยา งอธบิ ายวา ตณั หายอ มเกิดขึ้นเพราะความมีนอ ยมีมากเปนเหตุ เหมอื นทเี่ กิดขน้ึเพราะมีจวี รเปน ตน เปนเหตุ สว นในบทวา ภวาภโว นปี้ ระสงคเ อาเนยใสและเนยขน เปนตนทป่ี ระณตี และประณตี กวา กัน. อาจารยบางพวกกลา ววาภพที่ประณีตกวาและประณตี ท่ีสดุ ในสมั ปตติภพดงั นก้ี ็มี. บทวา ตณหฺ าทตุ ิโย ความวา กส็ ัตวนี้ทองเทีย่ วไปในสังสารวฏัท่ตี ัวสัตวเองไมรจู ุดจบ มิใชทองเท่ียวไปแตลําพงั เทาน้นั ย่งิ ไดตัณหาเปนเพื่อนทอ งเท่ียวไปดว ย ดว ยเหตุนัน้ จงึ ตรสั วา ตณฺหาทุติโย ดังนี้ . ในบทวาอิตถฺ ภาวฺ ถาภาว นีไ้ ดแ กอตั ภาพนี้ ชื่อวา อิตถภาวะเปน อยา งน้ี อัตภาพในอนาคต ชื่อวาอญั ญถาภาวะเปน อยา งอื่น อกี อยางหน่งึ อัตภาพแมอ ืน่ ท่ีเปนอยางน้ี ชือ่ วา อติ ถภาวะเปน อยางน้ี ท่มี ิใชเ ปนอยางน้ี ชอื่ วา อญั ญถาภาวะเปนอยา งอ่นื . ซึ่งเปน อยา งน้แี ละอยางอน่ื . บทวา ส สาร ไดแกลาํ ดับขนั ธธาตุ อายตนะ. บทวา นาตวิ ตตฺ ติ แปลวา ไมลวงพน ไป. บทวา เอตมาทีนวตวฺ า ความวา ภกิ ษรุ ูถงึ โทษในขนั ธทเ่ี ปน อดีต อนาคต ปจ จบุ นั อยา งนี้แลว. บทวา ตณฺห ทุกขฺ สฺส สมฺภว ความวา รถู งึ ตณั หาอยางน้วี าตัณหานี้ เปน เหตเุ กิด เปนแดงเกดิ เปน เหตแุ หงวัฏทกุ ข. ความทภี่ ิกษุนี้เจริญวปิ สสนาแลวบรรลพุ ระอรหัต ทรงแสดงดว ยเหตปุ ระมาณเทาน้ี . บัดนี้เมือ่ ทรงยกยองภกิ ษขุ ีณาสพนัน้ จงึ ตรัสวา วติ ฺตณฺโห เปนอาทิ. บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา อนาทาโน ไดแ ก ไมถอื ม่นั . บทวา สโต ภิกฺขุปริพพฺ เช ความวา ภิกษผุ ขู ณี าสพถึงความไพบูลยดว ยสติสัมปชัญญะ พึงมีสติสัมปชัญญะเทย่ี วไปอย.ู ดงั นนั้ ในสตู รตรัสถึงวฏั ฏะ ในคาถา ตรัสทงั้ วัฏฏะทงั้ วิวฏั ฏะ (โลกยิ ะและโลกตุ ระ) ดว ยประการฉะน้ี. จบอรรถกถาตัณหาสูตรท่ี ๙
พระสตุ ตนั ตปฎก อังคตุ รนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 28 ๑๐. โยคสตู ร วา ดวยโยคะ ๔ อยาง [๑๐] ดูกอ นภิกษุทัง้ หลาย โยคะ (เครื่องผูก) ๔ นี้ โยคะ ๔คืออะไร คอื กามโยคะ (เครื่องผูกคอื กาม) ภวโยคะ (เคร่อื งผกู คอื ภพ)ทิฏฐโิ ยคะ (เคร่อื งผูกคือทิฏฐ)ิ อวิชชาโยคะ (เครื่องผกู คืออวชิ ชา) กามโยคะเปนไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้ีไมรถู งึ ความเกดิ ความดบัความชมุ ชนื่ ความขมขน่ื และความออกไป แหงกามท้ังหลายตามจรงิ เม่ือไมรถู ึงความเกิด ฯลฯ ความออกไปแหงกามท้ังหลายตามจรงิ ความยนิ ดีในกามความเพลิดเพลินในกาม ความเยอ่ื ใยในกาม ความสยบในกาม ความกระหายในกาม ความกลดั กลมุ ในกาม ความหมกมุนในกาม ความด้นิ รนในกามยอมติดแนบใจ. นเี่ รียกวา กามโยคะ. กามโยคะเปน ดังน้ี ก็ภวโยคะเปนอยา งไร ? บคุ คลบางคนในโลกนี้ไมรูถึงความเกิดฯลฯความออกไปแหง ภพทงั้ หลายตามจริง เมอ่ื ไมร ูถงึ ความเกดิ ฯลฯ ความออกไปแหง ภพทั้งหลายตามจริง ความยนิ ดใี นภพ ฯลฯ ความด้นิ รนในภพ ยอมตดิแนบใจ นีเ่ รยี กวา ภวโยคะ. กามโยคะ ภวโยคะ เปน ดังน้ี กท็ ฏิ ฐโิ ยคะเปน อยา งไร ? บุคคลบางคนในโลกน้ีไมรูถงึ ความเกิดฯลฯ ความออกไปแหงทิฏฐิทง้ั หลายตามจริง เมอื่ ไมร ูถงึ ความเกิด ฯลฯความออกไปแหงทฏิ ฐิทั้งหลายตามจริง ความยนิ ดีในทฏิ ฐิ ฯลฯ ความดิน้ รนในทิฏฐิ ยอมตดิ แนบใจ นเ่ี รียกวา ทิฏฐิโยคะ. กามโยคะ ภวโยคะทิฏฐโิ ยคะ เปน ดงั นี้
พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ที่ 29 กอ็ วิชชาโยคะเปน อยางไร บุคคลบางคนในโลกนไ้ี มร ถู งึ ความเกดิฯลฯ ความออกไปแหง ผสั สายตนะ ๖ ตามจริง เม่อื ไมร ถู งึ ความเกิด ฯลฯความออกไปแหง ผสั สายตนะ ๖ ตามจรงิ ความไมรูแจง ความเขลา ในผสั สายตนะ ๖ ยอ มติดแนบใจ น่ีเรียกวา อวชิ ชาโยคะ. กามโยคะ ภวโยคะทฏิ ฐโิ ยคะ อวิชชาโยคะ เปน ดังน้ี บุคคล (ผยู งั ละโยคะไมไ ด) นุงนงั ดว ยธรรมท้งั หลายอันเปน บาปอกุศล เปนสงั กิเลส เปน เหตุใหเ กิดในภพใหม ประกอบดว ยความเรา รอ นมีทุกขเปน ผล ทาํ ใหมชี าติชรามรณะตอ ไป เพราะเหตุนัน้ เราเรียกบุคคลนัน้ วา (อโยคกฺเขมี) ผไู มปลอดจากโยคะ น้แี ล โยคะ ๔ ภิกษทุ ั้งหลาย วิสังโยคะ (ความปลอดโปรง ) ๔ นี้ วสิ งั โยคะ ๔คอื อะไร คือ กามโยควสิ งั โยคะ (ความปลอดโปรงจากกามโยคะ) ภวโยค-วสิ งั โยคะ (ความปลอดโปรงจากภวโยคะ) ทฏิ ฐโิ ยควิสังโยคะ (ความปลอด-โปรงจากทิฏฐิโยคะ) อวชิ ชาโยควสิ งั โยคะ (ความปลอดโปรง จากอวชิ ชาโยคะ) กามโยควิสงั โยคะเปนไฉน ? บุคคลบางคนในโลกน้รี ถู ึงความเกิดฯลฯความออกไปแหงกามท้ังหลายตามจริง เมอื่ รูถึงความเกิด ฯลฯ ความออกไปแหง กามทง้ั หลายตามจริง ความยนิ ดใี นกาม ฯลฯ ความดนิ้ รนในกาม ยอมไมตดิ แนบใจ น่เี รยี กวา กามโยควิสังโยคะ. กามโยควสิ งั โยคะ เปนดังน้ี กภ็ วโยควิสงั โยคะเปน อยางไร ? บุคคลบางคนโนโลกน้ีรูถ ึงความเกิดฯลฯ ความออกไปแหง ภพทงั้ หลายตามจริง เมอ่ื รถู ึงความเกดิ ฯลฯ ความออกไปแหงภพท้ังหลายตามจรงิ ความยินดีในภพ ฯลฯ ความดิ้นรนในภพยอมไมตดิ แนบใจ น่ีเรียกวา ภวโยควิสงั โยคะ. กามโยควสิ ังโยคะ ภวโยค-วิสังโยคะ เปน ดังน้ี
พระสตุ ตันตปฎ ก อังคตุ รนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 30 ก็ทิฏฐิโยควสิ ังโยคะเปน อยางไร ? บคุ คลบางคนในโลกนี้รถู ึงความเกดิ ฯลฯ ความออกไปแหงทฏิ ฐิท้ังหลายตามจริง เมอื่ รถู ึงความเกิด ฯลฯความออกไปแหง ทิฏฐทิ ั้งหลายตามจริง ความยนิ ดใี นทิฏฐิ ฯลฯ ความดิ้นรน.ในทิฏฐิ ยอ มไมตดิ แนบใจ น่ีเรยี กวา ทิฏฐโิ ยควิสงั โยคะ. กามโยควสิ งั โยคะภวโยควิสังโยคะ ทฏิ ฐโิ ยควสิ ังโยคะ เปน ดังน้ี ก็อวชิ ชาโยควสิ ังโยคะเปน อยางไร บุคคลบางคนในโลกน้รี ถู ึงความเกดิ ฯลฯ ความออกไปแหง ผัสสายตนะ ๖ ตามจริง เม่อื รถู งึ ความเกิดฯลฯ ความออกไปแหงผัสสายตนะ ๖ ตามจรงิ ความไมรแู จง ความเขลาในผัสสายตนะ ๖ ยอมไมติดแนบใจ น่เี รยี กวา อวิชชาโยควิสงั โยคะ.กามโยควิสังโยคะ ภวโยควิสังโยคะ ทฏิ ฐิโยควสิ ังโยคะ อวิชชาโยควสิ ังโยคะเปนดงั นี้ บุคคล (ผลู ะโยคะไดแลว) ปลอดโปรง จากธรรมทง้ั หลายอนั เปนบาปอกศุ ล เปน สงั กิเลส เปนเหตใุ หเ กิดในภพใหม ประกอบดว ยความเรา รอนมีทุกขเ ปนผล ทาํ ใหม ชี าติชรามรณะตอไป เพราะเหตนุ น้ั เราเรียกบคุ คลนนั้ วา (โยคกฺเขม)ี ผูป ลอดจากโยคะ นี้แล วสิ ังโยคะ ๔ สตั วท้ังหลาย อันกามโยคะผูไ ว แลว ซํ้าภวโยคะและทิฏฐิโยคะผูกเขาอีก อวิชชารุมรดั เขา ดว ย ยอ มเวยี นเกดิ เวียน ตายไป. สว นสตั วเ หลาใดกาํ หนดรกู าม และ ภวโยคะ ดวยประการทงั้ ปวง ตัดถอน
พระสุตตนั ตปฎ ก อังคุตรนิกาย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 31 ทฏิ ฐโิ ยคะ และทาํ ลายอวชิ ชาเสยี ได สตั วเ หลานั้นก็เปนผูป ลอดโปรง จากโยคะ ทั้งปวง เปน มนุ ผี ูขามพนเครื่องผกู แล. จบโยคสตู รที่ ๑๐ จบภัณฑคามวรรคท่ี ๑ อรรถกถาโยคสตู ร พึงทราบวนิ จิ ฉัยในโยคสตู รท่ี ๑๐ ดังตอ ไปน้ี :- กิเลสช่อื วา โยคะ เพราะผกู สตั วไ วใ นวฏั ฏะ. ในบทวา กามโยโคเปน อาทิ ความกําหนัดประกอบดว ยกามคณุ ๕ ช่อื วา กามโยคะ. ความกาํ หนดั ดวยอํานาจความพอใจในรูปภพและอรูปภพ ชื่อวา ภวโยคะ. ความติดใจในฌานก็อยา งนนั้ . ราคะประกอบดวยสสั สตทฏิ ฐิ และทฏิ ฐิ ๖๒ ชอ่ื วาทฏิ ฐิโยคะ. ความไมร ูใ นสจั จะ ๔ ช่ือวา อวชิ ชาโยคะ อีกอยางหนง่ึชื่อวา กามโยคะ เพราะประกอบสตั วไวใ นกามะ ช่ือวา ภวโยคะ เพราะประกอบสัตวไ วในภพ. ชอื่ วา ทิฏฐิโยคะ เพราะประกอบสตั วไ วในทิฏฐิ.ช่ือวา อวิชชาโยคะ เพราะประกอบสตั วไ วในอวิชชา คําดังกลา วมานี้ เปนช่ือของธรรมท่กี ลาวไวแลวในหนหลงั . บัดนี้ เม่ือทรงแสดง ขยายธรรมเหลา น้ันใหพสิ ดาร จงึ ตรัสวา กตโม จ ภิกขฺ เว เปน อาทิ. บรรดาบทเหลาน้นับทวา สมทุ ย คือความเกดิ . บทวา อตถฺ งฺคม คอื ความดับ. บทวาอสสฺ าท คอื ความชมุ ชื่น. บทวา อาทนี ว คอื โทษที่มใิ ชความชุม ชืน่ .บทวา นิสสฺ รณ คือความออกไป.
พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 32 บทวา กาเมสุ คือ ในวตั ถกุ าม. บทวา กามราโค คอื ราคะเกิดเพราะปรารภกาม. แมใ นบททเี่ หลอื กม็ นี ยั นี้แล. บทวา อนเุ สติ คือบงั เกิด. พึงทราบเน้อื ความในบททกุ บทอยางนวี้ า บทวา อย วจุ จฺ ติภกิ ฺขเว กามโยโค ความวา ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย นเี้ รยี กวา เหตุแหง การประกอบเครื่องผูกสตั วไ วใ นกาม. บทวา ผสฺสายตนาน ไดแ ก เหตุมจี ักขุ-สมั ผสั เปน ตน สําหรับอายตนะทัง้ หลายมจี ักษเุ ปนตน. บทวา อวชิ ฺชาอฺ าน ความวา อวิชชาคือความไมรู เพราะเปนปฏิปก ษต อ ความรูอิตศิ ัพท ในบทนี้วา อิตกิ ามโยโค พงึ ประกอบกบั โยคะแมท ้งั ๔ วากามโยคะดังนี้ ภวโยคะ ดงั น้เี ปนตน บทวา สมฺปยตุ ตฺโต ไดแ ก ผูห อ มลอ มแลว . บทวา ปาปเกหิไดแ ก ท่ีลามก. บทวา อกุสเลหิ ไดแก เกิดแตค วามไมฉลาด. บทวาสงกฺ เิ ลสิเกหิ คือมคี วามเศราหมอง อธบิ ายวา ประทุษรายความผอ งใสแหงจติ ทผ่ี อ งใสแลว. บทวา โปโนพฺภวเิ กหิ ไดแก เปนเหตุใหเกดิ ในภพใหม. บทวา สทเรหิ ไดแก มคี วามเรารอน. บทวา ทกุ ฺขวิปาเกหิไดแ ก ใหทุกขเกดิ ข้นึ ในเวลาใหผล. บทวา อายตึชาตชิ รามรณเิ กหิ ไดแ กใหเกิดชาติ ชรา มรณะในอนาคตบอย ๆ. บทวา ตสฺมา อโยคกฺเขมตี ิวจุ ฺจติ ความวา ก็เพราะเหตุทีบ่ ุคคลผูละโยคะยังไมไ ด ยอ มเปน ผปู ระกอบดว ยธรรมเหลาน้นั ฉะนัน้ เราจึงเรยี กวา อโยคักเขมี ไมเ กษมจากโยคะเพราะเขายังไมบ รรลุพระนพิ พานอนั เกษมจากโยคะ ๔ เหลาน้นั . บทวา วสิ โยคา คือเหตแุ หงความคลายโยคะกิเลสเคร่ืองผกู . บทวากามโยควสิ โยโค คือเหตแุ หงความคลายกามโยคะ. แมใ นบททเ่ี หลือก็มีนัยนแี้ ล. บรรดาบทเหลานัน้ การเพงอสภุ กมั มฏั ฐาน เปนการคลายกามโยคะ
พระสตุ ตนั ตปฎก องั คุตรนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 33อนาคามมิ รรคทําอสภุ ฌานนน้ั ใหเ ปน บาทแลวบรรลุ ช่อื วา คลายกามโยคะโดยสว นเดียวแท. อรหตั มรรค ช่อื วา คลายภวโยคะ โสดาปตตมิ รรค ชอ่ื วาคลายทิฏฐโิ ยคะ อรหตั มรรค ชอื่ วา คลายอวชิ ชาโยคะ. บัดน้ี เมือ่ ทรงแสดงขยายวสิ ังโยคธรรมเหลาน้ันใหพสิ ดาร จงึ ตรสั วา กตโม จ ภกิ ขฺ เว เปน อาทิ.ความแหงพระดาํ รัสนน้ั พึงทราบโดยนยั อนั กลา วแลว. บทวา ภวโยเคนจภู ย ความวา ผกู ไวดวยภวโยคะ และผกู ไวดว ยภวโยคะทฏิ ฐโิ ยคะแมท ง้ั -สองยิ่งขึ้นอีก คือประกอบดว ยโยคะอยางใดอยา งหน่ึง. บทวา ปรุ กขฺ ตา ไดแ กถกู นาํ ไวขางหนา หรอื ถูกแวดลอม. บทวา กาเม ปริ ฺาย ไดแก กําหนดรูกามแมท ง้ั สองอยา ง. บทวา ภวโยคฺจ สพฺพโส ไดแก กําหนดรูภวโยคะทงั้ หมดนัน่ แล. บทวา สมหู จฺจ ไดแ ก ถอนหมดแลว . บทวา วริ าชยไดแ ก กําลงั คลายหรอื คลายแลว. กเ็ มื่อกลา ววา วริ าเชนฺโต ก็เปน อนักลา วถึงมรรค เมอ่ื กลา ววา วิราเชตวฺ า กเ็ ปนอนั กลา วถงึ ผล. บทวา มนุ ิไดแก พระมุนีคอื พระขณี าสพ. ดังนนั้ ในสูตรน้ีก็ดี ในคาถากด็ ี จึงตรัสทงั้ วฏั ฏะท้ังววิ ัฏฏะ (โลกยิ ะและโลกตุ ระ) แล. จบอรรถกถาโยคสตู รที่ ๑๐ จบภัณฑคามวรรควรรณนาท่ี ๑ รวมพระสูตรทมี่ ีในภัณฑคามวรรคนี้ คือ ๑. อนพุ ทุ ธสตู ร ๒. ปปตติ สูตร ๓. ปฐมขตสตู ร ๔. ทุติยขต-สตู ร ๕. อนุโสตสตู ร ๖. อัปปสุตสูตร ๗. สงั ฆโสภณสูตร ๘. เวสา-รชั ชสูตร ๙. ตณั หาสตู ร ๑๐. โยคสูตร และอรรถกถา.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก องั คตุ รนกิ าย จตุกนิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 34 จรวรรคท่ี ๒ ๑. จารสตู ร วา ดวยภิกษุไมละวิตก ๓ อยา ง [๑๑] ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย ถา เม่อื ภกิ ษุเดินอยูก็ดี ยืนอยูก็ดี นัง่ อยูกด็ ี นอนอยไู มห ลับก็ดี กามวิตก หรอื พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวติ กเกิดข้ึนและภกิ ษุรบั เอาวติ กน้นั ไว ไมล ะ ไมถายถอน ไมทาํ ใหส ้ินใหห ายไปเสียภกิ ษเุ ดินอยเู ปน อยา งนี้กด็ ี ยืนอยูเปนอยางน้ีก็ดี นง่ั อยเู ปนอยางนก้ี ็ดี นอนอยูไมห ลบั เปน อยางนก้ี ็ดี เราเรียกวา ผูไ มมีอาตาปะ (ความเพียรอันแรงกลา)ไมม โี อตตปั ปะ (ความสะดงุ กลัวบาป) เปนคนเกียจครา น มีความเพยี รอนั ทรามอยูเนอื งนิตย ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย ถาเมอื่ ภกิ ษเุ ดนิ อยูกด็ ี ยืนอยูก็ดี นั่งอยูก ็ดีนอนอยไู มห ลบั กด็ ี กามวิตกหรอื พยาบาทวิตก หรือวิหงิ สาวติ กเกิดขึน้ แตภกิ ษไุ มร บั เอาวิตกนั้นไว ละเสียถา ยถอนเสีย ทาํ ใหส ้ินใหห ายไปเสีย ภิกษุเดินอยเู ปน อยางนี้กด็ ี ยนื อยูเปน อยางน้ีก็ดี น่ังอยเู ปนอยา งนี้ก็ดี นอนอยูไมห ลับเปนอยา งนก้ี ด็ ี เราเรยี กวา ผมู อี าตาปะ มโี อตตัปปะ มคี วามเพียรอนั ทาํ แลว ตง้ั ใจมัน่ คงเปนเนอื งนติ ย ภกิ ษุใดเดนิ อยู หรือยืนอยู นั่งอยู หรือนอนอยู (ไมห ลบั ) ตรกึ วติ กอันเปน บาป อนั เกี่ยวดวยเรือน (คอื กาม) ภิกษุ น้นั ชื่อวาดําเนนิ ทางผิด สยบอยใู นอารมณ
พระสุตตันตปฎ ก อังคตุ รนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 35 อนั เปนที่ตง้ั แหง ความหลง ภกิ ษุเชนน้ัน ไมควรเพือ่ บรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม. ภิกษใุ ดเดินอยหู รือยืนอยู นั่งอยู หรอื นอนอยู ราํ งับวิตก (อันเปนบาป) ขึน้ ดีในทางราํ งบั วติ กแลว ภกิ ษุเชน นนั้ ยอ มอาจเพ่ือบรรลสุ ัมโพธญิ าณอนั อดุ ม. จบจารสูตรที่ ๑ จรวรรควรรณนาที่ ๒ อรรถกถาจารสตู ร พึงทราบวนิ ิจฉัยในจารสตู รท่ี ๑ แหงจรวรรคท่ี ๒ ดังตอ ไปน้ี :- บทวา อธิวาเสติ ไดแ ก ยกข้ึนไวใ หอยูในจิต (คือพักไว) . บทวาน ปชหติ ไดแ ก ไมส ละ. บทวา น วโิ นเทติ ไดแก ไมนาํ ออก.บทวา น พฺยนตฺ ีกโรติ ไดแ ก ไมท าํ ใหส ้นิ สดุ คอื ตดั หนทาง. บทวาน อนภาว คเมติ ไดแ ก ไมท ําใหถงึ ความไมม ีไมเ จริญ คอื ยอยยับไป.บทวา จรมปฺ คือ แมเ ดนิ อยู. บทวา อนาตาป คอื ไมม ีความเพยี ร.บทวา อโนตฺตาป คอื เวน จากความกลัวการตาํ หนิตเิ ตียน. บทวา สตตคอื เปน นิตย. บทวา สมิต คือ ไมม ีระหวาง. ผศู กึ ษาทราบความในทกุ บทอยางน้ันแลว พึงทราบความตามปริยายที่กลา วไวแลวในสุกกปกษฝายธรรมขาว.
พระสุตตันตปฎก องั คุตรนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนาท่ี 36 ในคาถา พึงทราบวินิจฉยั ดังตอ ไปน้ี บทวา เคหนิสฺสติ ไดแกอาศัยกิเลส. บทวา โมหเนยฺเยสุ ไดแ ก ในอารมณท ่ใี หเ กิดความหลง.บทวา อภพฺโพ ไดแกไมเ ปนดังภาชนะทร่ี องรบั . บทวา ผฏุ สมโฺ พธิมุตฺตม ไดแก เพือ่ สมั ผสั อุดมญาณกลา วคือ พระอรหัต. จบอรรถกถาจารสตู รท่ี ๑ ๒. สลี สูตร วา ดว ยปริสุทธศิ ลี ๔ [๑๒] ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย ทานทงั้ หลายจงเปน ผมู ีศลี ถึงพรอ มมีปาฏิโมกขถ งึ พรอมอยูเถิด จงสาํ รวมในปาฏิโมกข ถึงพรอ มดว ยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภยั ในโทษมาตรวา นอย สมาทานศกึ ษาอยใู นสิกขาบททั้งหลายเถดิ เมอื่ ทา นทง้ั หลายมีศีลถึงพรอมมีปาฏโิ มกขถ งึ พรอ มอยู สาํ รวมในปาฏโิ มกข ถงึ พรอมดวยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยใหโทษมาตรวานอ ย สมาทานศึกษาในสกิ ขาบททง้ั หลายอย.ู อะไรเปน กจิ ทจี่ ะพึงทาํ ตอไป ? ภิกษุทั้งหลาย ถาเมื่อภิกษุเดนิ อยูกด็ ี ยืนอยกู ็ดี นั่งอยูก็ดีนอนอยไู มหลับก็ดี อภชิ ฌาปราศไป พยาบาทปราศไป ถนี มิทธะ อทุ ธัจจะกุกกจุ จะ วิจกิ จิ ฉา ภกิ ษุก็ละได ความเพยี รทําไมย อ หยอน สติตง้ั มน่ั ไมฟน เฟอน กายรํางบั ไมกระสบั กระสา ย จติ เปน สมาธิแนวแน ภกิ ษุเดินอยูเปนอยางนก้ี ด็ ี ยืนอยเู ปน อยา งนกี้ ็ดี นง่ั อยเู ปนอยางนกี้ ด็ ี นอนอยไู มห ลับเปนอยางน้กี ด็ ี เราเรียกวา ผมู ีอาตาปะ มีโอตตัปปะ มีความเพยี รอันทําแลว มใี จเด็ดเด่ียวเนืองนติ ย.
พระสุตตันตปฎก อังคตุ รนกิ าย จตกุ นบิ าต เลม ๒ - หนา ท่ี 37 ภกิ ษุพงึ เปนสาํ รวม ยนิ สาํ รวม น่งั สาํ รวม นอนสาํ รวม คูอ วยั วะเขา ก็สํารวม เหยียดอวยั วะออกกส็ าํ รวม พิจารณาดู ความเกดิ ข้นึ ความเสื่อมไปแหง ธรรมและ ขนั ธท้ังหลาย ในเบืองบน ทา มกกลาง เบอ้ื งลา ง ทุกภมู โิ ลก บณั ฑติ ทงั้ หลาย กลา วภิกษผุ ศู ึกษา ปฏปิ ทาอันสมควรแก ความสงบใจ มสี ติทกุ เม่อื เขา รุ ใจเดด็ เด่ียวเนืองนติ ย. จบสลี สูตรท่ี ๒ อรรถกถาสีลสตู ร พงึ ทราบวนิ ิจฉัยในสลี สตู รที่ ๒ ดังตอไปนี้ :- บทวา สมฺปนฺนสลี า ไดแก เธอท้งั หลายมศี ีลบรบิ รู ณ. บทวาสมปฺ นฺนปาติโมกฺขา ไดแกมีปาติโมกขบริบรู ณ. บทวา ปาตโิ มกฺขส วร-ส วตุ า ความวา เธอท้งั หลายจงเปน ผูสํารวมปด ประกอบดว ยปาติโมกขสงั วร-ศลี อยเู ถิด. บทวา อาจารโคจรสมปฺ นนฺ า ความวา เธอท้ังหลายจงเปน ผูถึงพรอ ม คอื ประกอบดวยอาจาระและโคจรเถิด . บทวา อณมุ ตเฺ ตสุ วชเฺ ชสุไดแ ก ในโทษทง้ั หลายมีประมาณนอ ย. บทวา ภยทสฺสาวโิ น ความวาเปนผมู ีปรกตเิ ห็นโทษทมี่ ปี ระมาณนอ ยเหลา นน้ั โดยเปนภยั . บทวา สมาทาย
พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาท่ี 38สิกฺขถ สิกฺขาปเทสุ ความวา เธอทั้งหลายจงสมาทานยึดถือสิกขาบททค่ี วรสมาทานนนั้ ๆ ในสวนแหงสกิ ขาทงั้ หมดศึกษาอยู. คร้นั ทรงชกั ชวนและตรัสสรรเสรญิ ในคุณทไ่ี ดแ ลว ดว ยการตรัสธรรมประมาณเทา นีว้ า สมฺปนนฺ สลี านฯเปฯ สกิ ขฺ าปเทสุ บดั น้ี เมอื่ ทรงแสดงประโยชนอ นั จะพึงทาํ ใหย งิ่ ขึ้นไปจงึ ตรสั วา กมิ สฺส ดงั นีเ้ ปน ตน. ในบทน้ัน บทวา กมิ สสฺ แปลวาจะพึงมีอะไรเลา. บทวา ยต จเร ความวา ภิกษพุ งึ เดินอยางทีเ่ ดินสาํ รวมระวัง.ในบทท้งั ปวงกม็ นี ัยน.้ี บทวา อจฺเฉ แปลวา พึงนั่ง. บทวา ยตเมต ปสารเยความวา พึงเหยยี ดอวยั วะนอ ยใหญอยางสาํ รวมคอื เรียบรอ ย. บทวา อุทธฺ แปลวา เบ้ืองบน. บทวา ตริ ิย แปลวา เบ้อื งกลาง ( วาง) บทวา อปาจนี แปลวา เบ้ืองลาง. เบญจขันธ ทั้งอดีต ปจจบุ นั และอนาคต ตรัสดว ยเหตุประมาณเทา น.้ี คาํ วา ยาวตา เปนคําทีแ่ สดงความกําหนด. บทวาชคโต คติ ไดแก ความสําเร็จแหง โลก. บทวา สมเวกขฺ ิตา จ ธมฺมานขนธาน อุทยพพฺ ย ความวา พิจารณาดูความเกดิ ข้นึ ความเส่อื มไปแหงธรรม คือ เบญจขนั ธท ่ีตางดว ยอดตี เปน ตน เหลา นน้ั ในโลกทงั้ ปวง คอื ไดพจิ ารณาเหน็ โดยชอบดว ยลักษณะ ๕๐ ถว นท่ที านกลา ววา เม่อื เห็นความเกดิแหงเบญจขันธก ็พจิ ารณาเหน็ ลักษณะ ๒๕ ได. เมือ่ เห็นความเส่อื มก็พจิ ารณาเห็นลกั ษณะ ๒๕ ได. บทวา เจโตสมถสามีจึ ไดแ ก ขอ ปฏบิ ัตทิ สี่ มควรแกค วามสงบจติ . บทวา สกิ ฺขมาน ความวา เมอื่ ปฏิบตั ิ คือ บาํ เพ็ญอยู.บทวา ปหติ ตฺโต ไดแก มีใจเด็ดเดย่ี ว. บทวา อาหุ แปลวา กลา วอย.ูบทท่เี หลอื ในสูตรน้ีงา ยทัง้ นั้น. ก็ในสูตรนีต้ รัสคละกันกบั ศลี ในคาถาตรสั ถงึภกิ ษผุ ขู ีณาสพ. จบอรรถกถาสีลสูตรที่ ๒
พระสุตตนั ตปฎก อังคตุ รนิกาย จตุกนบิ าต เลม ๒ - หนาที่ 39 ๓. ปธานสูตร วา ดวยสมั มัปปธาน ๔ [๑๓] ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย สัมมปั ปธาน (ความเพียรชอบ) ๔ น้ีสัมมปั ปธาน ๔ คืออะไร คอื ภิกษุในพระธรรมวนิ ยั นี้ ๑. ยังฉันทะใหเ กดิ พยายามทาํ ความเพียร ประคองจติ ตง้ั ใจม่นั เพื่อยงั อกุศลบาปธรรมทีย่ ังไมเ กดิ มิใหเ กดิ ขึ้น ๒. ยงั ฉันทะใหเกดิ พยายามทําความเพยี ร ประคองจิตตั้งใจม่ันเพ่อืละอกศุ ลบาปธรรมทเี่ กดิ แลว ๓. ยังฉันทะใหเ กิดพยายามทาํ ความเพยี ร ประคองจติ ตง้ั ใจมัน่ เพือ่ยังกุศลธรรมที่ยงั ไมเ กิดใหเ กดิ ขึ้น ๔. ยงั ฉันทะใหเ กดิ พยายามทําความเพียร ประคองจิตตั้งใจมนั่ เพ่อืใหกุศลธรรมทีเ่ กดิ แลวคงอยูไมเ ลือนหายไป ใหภ ิยโยภาพไพบูลเจรญิ เต็มที่ ภิกษทุ ้ังหลาย นแี้ ล สัมมัปปธาน ๔. ภิกษเุ หลา น้ันมีความเพียรชอบยอ ม ครอบงาํ เสยี ไดซ่งึ แดนมาร ภิกษุเหลา น้นั เปน ผอู ันกิเลสไมอาศัย แลว พน ภัย คือ เกดิ ตายแลว ถึงฝง (คือพระนิพพาน) ภกิ ษุ เหลา น้นั สบายใจ ชนะมารกบั ท้งั พล- พาหนะมารแลว ภกิ ษเุ หลานัน้ เปนผูไม หวนั่ ไหว ลวงเสยี ซง่ึ มารและพลมาร ทงั้ ปวง ถงึ ซ่ึงความสุข. จบปธานสตู รที่ ๓
พระสุตตนั ตปฎก องั คตุ รนกิ าย จตกุ นิบาต เลม ๒ - หนา ที่ 40 อรรถกถาปธานสตู ร พึงทราบวินจิ ฉัยในปธานสูตรท่ี ๓ ดังตอไปน้ี :- บทวา สมมฺ ปฺปธานานิ ไดแก ความเพียรดี คอื ความเพยี รสูงสดุ .บทวา สมฺมปฺปธานา ไดแก พระขณี าสพผูม ีความเพียรบริบูรณ. บทวามารเธยยฺ าภิภูตา ความวา พระขีณาสพเหลา นนั้ ครอบงาํ ขา มแดนมาร คอืเตภมู ิกวัฎ. บทวา เต อสิตา ไดแก พระขีณาสพทง้ั หลายเปนผอู นั กิเลสไมอ าศยั แลว. บทวา ชาติมรณภยสสฺ ไดแ ก ภยั ทเ่ี กิดขน้ึ เพราะอาศยัความเกิดและความตาย หรือภยั กลา วคือความเกดิ และความตาย. บทวา ปารคูแปลวา ถงึ ฝง . บทวา เต ตุสติ า ความวา พระขณี าสพเหลาน้ัน ชอื่ วายินดีแลว . บทวา เชตวฺ า มาร สวาหน ไดแ ก ชนะมารกบั ทั้งกองทพัอยแู ลว. บทวา เต อเนชา ความวา พระขณี าสพเหลา น้ัน ไมห วาดหว่นัดวยความหวาดหว่นั คอื ตัณหา ช่อื วา ไมหวน่ั ไหว. บทวา นมจุ พิ ล แปลวาพลของมาร. บทวา อุปาติวตตฺ า แปลวา กาวลว ง. บทวา เต สขุ ิตาไดแก พระขณี าสพเหลานั้น ชอ่ื วา ความสขุ ดวยโลกุตรสุข. ดว ยเหตุนนั้ทานจึงกลา ววา พระอรหันตทงั้ หลายสุขจริงหนอ ทา นไมมตี ัณหา ถอนอสั มิมานะไดเด็ดขาด แลว ทําลายขายคอื โมหะเสียแลว ดงั น.ี้ จบอรรถกถาปธานสูตรที่ ๓
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 634
Pages: