Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_77

tripitaka_77

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_77

Search

Read the Text Version

พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 179 สังขารขันธหมวดละ ๑ คอื สังขารขันธเปนจิตสมั ปยุต ฯลฯสังขารขนั ธห มวดละมากอยา ง ดว ยประการฉะนี้ นเี้ รยี กวา สงั ขารขนั ธ. รูปทเี่ หน็ ไมไ ดก ระทบไมไ ด นับเน่อื งในธรรมายตนะ เปนไฉน ? อิตถินทรยี  ฯลฯ กพฬงิ การาหาร นี้เรยี กวา รปู ท่เี ห็นไมไ ดกระทบไมไ ด นับเนอ่ื งในธรรมายตนะ. อสังขตธาตุ เปนไฉน ? ความสนิ้ ราคะ ความสนิ้ โทสะ ความสน้ิ โมหะ นเี้ รียกวา อสงั ขตธาตุสภาวธรรมนเ้ี รียกวา ธรรมายตนะ. อภธิ รรมภาชนีย จบ วรรณนาอภิธรรมภาชนีย พระผูมีพระภาคเจา ตรสั อายตนะทัง้ หลายไว (ในสตุ ตนั ตภาชนีย)ในหนหลัง โดยความเปน อายตนะคูวา จกฺขายตน รปู ายตน (จักขายตนะรปู ายตนะ) ดงั นี้เปนตน เพอ่ื ประสงคท รงอปุ การะพระโยคาจรท้งั หลายผเู จริญวปิ ส สนา ฉนั ใด ในอภธิ รรมภาชนีย มิไดต รสั เหมือนอยา งนั้น เพอ่ืทรงประสงคจะแสดงสภาวะแหงอายตนะภายใน และอายตนะภายนอก โดยอาการ (ลักษณะ) ท้ังปวง จึงตรสั โดยนยั แหง การกําหนดอายตนะภายในและภายนอก อยางน้วี า จกขฺ ุวายตน โสตายตน (จักขวายตนะ และโสตายตนะ)ดงั น้เี ปน ตน.

พระอภิธรรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 180 ในนเิ ทศวารแหง อายตนะเหลาน้ัน พงึ ทราบคาํ วา บรรดาอายตนะ๑๒ เหลา นนั้ จกั ขายตนะเปนไฉน เปนตน โดยนยั ที่กลาวไวในหนหลังน่ันแหละ. แตใ นคําที่ตรสั ไวในนิเทศแหง ธรรมายตนะวา ตตฺถ กตมาอส ขตา ธาตุ ราคกฺขโย โทสกฺขดย โมหกขฺ โย (ในอายตนะเหลา นัน้ )อสังขตธาตุ เปน ไฉน ? ความสนิ้ ราคะ ความส้นิ โทสะ ความสน้ิ โมหะ)ดังนีเ้ ปน ตน มอี ธิบายดงั ตอ ไปนี้ บทวา อส ขตา ธาตุ (อสงั ขตธาต)ุ ไดแก พระนิพพานอนั มีอสงั ขตะเปนสภาวะ (คือเปน ธรรมอนั ปจจัยปรุงแตง ไมไ ดเปน สภาวะ) แตเพราะอาศัยพระนพิ พานน้ี กเิ ลสทง้ั หลายมรี าคะเปนตน ยอ มส้ินไป ฉะนั้นจึงตรัสวา ความส้ินไปแหง ราคะ ความสน้ิ ไปแหง โทสะ ควานสนิ้ ไปแหงโมหะ ดงั น้ี. น้เี ปน คาํ อธิบายเนอื้ ความท่เี หมือนกันของอาจารยท ้ังหลายในนเิ ทศอภธิ รรมภาชนยี น.ี้ แตอาจารยว ติ ัณฑวาท่กี ลา ววา ธรรมดาวา นพิ พานเฉพาะอยา งไมม ี มแี ตน พิ พาน คอื ความสิ้นไปแหงกเิ ลสเทานนั้ ดงั นี.้ แตเ ม่อื มีผูทวงวา ขอจงนําสตู รมา ดังน้ี ก็จะอางชัมพุขาทกสูตรนว้ี า ดูกอ นทา นสารบี ุตรทีเ่ รยี กวา นิพพาน นิพพาน ดงั น้ี อาวุโส นิพพานเปนไฉน ดังน้ี อาวุโสความสิน้ ราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะอนั ใด น้เี รยี กวา นิพพานดงั น้ี แลว กลาวคําท่ีควรกลาวโดยสตู รนีว้ า ธรรมดาวา นพิ พานเฉพาะอยา งไมม ี มีแตน ิพพานคือความสน้ิ กิเลสเทา น้นั ดังนี.้ พงึ โตท านอาจารยว ิตณั ฑวาทีวา กเ็ นอ้ื ความนน้ั เหมือนกับสตู รนีห้ รือแนละทา นอาจารยวิตัณฑวาทีจักตอบวา ใช เนือ้ ความท่ีพนจากสตู รไปมิไดม ีดังน้ี.

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 181 ลาํ ดบั นนั้ พงึ กลา วกะทา นอาจารยวิตณั ฑวาทีวา สตู รน้ีทานอา งมากอนขอใหนาํ สูตรถดั ไปมาแสดง ดังนี้ ทานอาจารยว ติ ณั ฑวาที จงึ นําช่ือสตู รที่ถดั ไปแหง สตู รนนั้ มาแสดงอยา งน้วี า ดูกอ นอาวุโสสารบี ตุ ร ทเ่ี รียกวา อรหัตอรหตั ดังนี้ ดกู อ นอาวุโส อรหตั เปน ไฉน ? ดงั นี้ ดูกอนอาวโุ ส ความส้ินราคุ ความสนิ้ โทสะ ความสิน้ โมหะ นเี้ รยี กวา อรหตั ดงั น้ี. เมอ่ื อาจารยว ติ ัณฑวาทีนําสตู รนมี้ า ชนทง้ั หลายก็จะกลาวกะอาจารยวติ ณั ฑวาทีนั้นวา ธรรมนับเนือ่ งดวยธรรมายตนะ ช่ือวา นิพพาน นามขนั ธ๔ ช่อื วา พระอรหัต พระธรรมเสหาบดีผกู ระทําใหแจงซงึ่ พระนิพพานอยูเมอื่ มีผถู ามถงึ พระนพิ พานบาง ถามถงึ พระอรหตั บาง กก็ ลาวถงึ ความสิน้ กิเลสเทาน้ัน ก็นิพพานและพระอรหตั เหมือนกนั หรอื ตางกันอยางไร นพิ พานเปนอยา งเดยี วกัน หรือตา งกันจงยกไว ในที่นเี้ น้อื ความทท่ี านทาํ ใหล ะเอียดเกนิ ไป มคี วามประสงคอะไร ทานไมร พู ระนพิ พานเปน อยางเดยี ว หรอื วาตา งกนั ดอกหรือ เมื่อทา นรแู ลวก็เปนการดมี ใิ ชห รือ ทานอาจารยวติ ณั ฑวาทีถูกถามบอ ย ๆ อยา งนี้ กไ็ มอาจกลา วใหผ ดิ ไปจากความจรงิ ก็จะกลา ววาพระอรหตั พระองคก ็ตรัสวา ความสนิ้ นราคะ ความส้นิ โทสะ ความส้ินโมหะเพราะความท่พี ระอรหัตนน้ั เกิดข้ึนในท่สี ุดแหง การสิน้ ราคะเปน ตน ดังน้ี. ลําดับนน้ั ชนทง้ั หลายก็จะกลา วกะอาจารยวิตัณฑวาทีน้นั วา ทานเอาใหญแลว แมทําความหมายใหพูดอยา งนั้น แตกลบั ไปพดู เสยี อยา งนท้ี ีเดยี วกพ็ ระนพิ พานน้ี พระผูม ีพระภาคเจา ทรงจําแนกตรสั ไว ฉนั ใด ทานจงกาํ หนดพระนพิ พานแมน้ี ฉนั น้นั เถิด เพราะอาศยั พระนพิ พานแลว ราคะเปน ตนยอ มสิ้นไป เพราะฉะน้นั จงึ ตรสั วา นพิ พาน คือความสิ้นราคะ คือความส้ิน

พระอภธิ รรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 182โทสะ คอื ความส้ินโมหะ ดงั นี้ เพราะคําแมท ั้ง ๓ เหลานน้ั ก็เปน ชื่อของพระนิพพานเหมือนกัน ดังน.ี้ ถากลาวอยา งนปี้ รบั ความเขา ใจกันได นน่ั เปน การดี ถา ยังไมเขาใจกพ็ ึงใหก ระทําสภาวะเปนนพิ พานมากมาย ทําอยา งไร ? คอื พึงถามอยา งนี้กอ นวา ชอ่ื วา ความสิ้นราคะ เปน ควานส้ินไปแหงราคะอยา งเดียว หรือเปนการส้ินไปแมแหงโทสะและโมหะ ชอื่ วา ความสนิ้ โทสะ เปนการสิ้นไปแหงโทสะอยา งเดียว หรือวาเปน ความส้ินไปแมแ หง ราคะและโมหะ ชื่อวาควานสิ้นโมหะ เปน การส้ินไปแหงโมหะอยา งเดยี ว หรอื เปน การส้นิ ไปแมแหงราคะและโทสะ ดังน้.ี แนนอนอาจารยวิตัณฑวาทีนัน้ จกั กลาววา ชื่อวา ความสนิ้ ราคะเปน การสิ้นเฉพาะราคะ ช่อื วา ความส้นิ โทสะ เปน การสิ้นเฉพาะโทสะชอื่ วา ความสน้ิ โมหะ เปน การส้ินเฉพาะโมหะ ดงั นี.้ ลาํ ดับน้ัน พึงกลาวกะอาจารยว ติ ัณฑวาทีวา ในวาทะของทา นความสิ้นราคะเปนนพิ พานหนง่ึ ความสน้ิ โทสะเปน นิพพานหนงึ่ ความส้นิ โมหะเปน นพิ พานหน่งึ เม่อื สิน้ อกุศลมูล ๓ อยา ง นิพพานกม็ ี ๓ อยา ง เม่ือสิน้อุปาทาน ๔ อยา ง กม็ นี ิพพาน ๔ อยาง เมื่อสิ้นนวิ รณ ๕ อยาง ก็มีนพิ พาน๕ อยาง เมือ่ ส้ินกองแหง ตัณหา ๖ กม็ ีนพิ พาน ๖ อยา ง เม่อื ส้ินอนุสยั ๗ อยา งก็มีนิพพาน ๗ อยาง เมอื่ สนิ้ มจิ ฉตั ตะ ๘ อยา ง ก็มนี ิพพาน ๘ อยา ง เม่อื ส้นิธรรมอันเปน มูลแหงตณั หา ๙ อยา ง กม็ ีนิพพาน ๙ อยาง เม่ือสนิ้ สังโยชน๑๐ อยาง ก็มีนพิ พาน ๑๐ อยาง เม่อื สิน้ กเิ ลส ๑,๕๐๐ อยาง นิพพานกม็ ีแตละอยา ง ๆ เพราะฉะนัน้ นิพพานจึงมาก. กน็ พิ พานของทานไมมปี ระมาณดงั น้ี.

พระอภิธรรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 183 กบ็ ุคคลไมถ อื เอาอยา งนี้ ก็จะกลา ววา กเิ ลสท้งั หลายมรี าคะเปน ตนอาศัยพระนพิ พานแลวก็ส้ินไป เพราะฉะนั้น พระนิพพานจงึ มีอยางเดยี วเทานั้นคือความสิน้ ราคะ ความสิ้นโทสะ ความสน้ิ โมหะ ดังนี้ เพราะความส้ินอกุศลมลู แมท้ัง ๓ นี้กเ็ ปนชือ่ ของพระนิพพานเทา นั้น ขอทา นจงถืออยางน้ี กถ็ า วาชนเหลาอื่นแมก ลา วอยางนีแ้ ลว อาจารยวติ ณั ฑวาทีกย็ ังกาํ หนดไมได ก็พึงทําการอธิบายพระนพิ พานโดยเปรียบกบั ของหยาบ ๆ อธิบายอยา งไร คือวาสัตวผ โู งเขลาแมม ี เสอื เหลือง เนื้อ และลงิ เปนตน ถกู กเิ ลสกลุมรุมแลวยอมเสพวัตถุ (เมถุน) เมื่อถึงทส่ี ุดแหงการเสพของสัตวเ หลา นัน้ กเิ ลสท้ังหลายกส็ งบ ในวาทะของทา น พวกสตั วม หี มี เสอื เหลือง เนอ้ื และลงิ เปน ตนก็ชือ่ วา เปนผูถ ึงพระนิพพานแลว นิพพานของทานหยาบหนอ เปนของหยาบชา ใคร ๆ ไมอาจเพื่อประดับแมท ่ีหไู ด. อนง่ึ อาจารยว ติ ัณฑวาทไี มย อมรบั เชน นี้ ก็ตองกลาววา กิเลสทั้งหลายมีราคะเปนตนสน้ิ ไปเพราะอาศยั พระนพิ พาน เพราะฉะนนั้ พระนพิ พานจึงมีอยา งเดยี วเทา น้นั คือ ความสนิ้ ราคะ ความสิ้นโทสะ ความสนิ้ โมหะ เพราะวา ความสิ้นอกศุ ลมลู เหลานี้ แมท ง้ั ๓ เปนช่อื ของพระนพิ พานทานน้ัน ทานจงถอื เอาดวยอาการอยา งน้ี. กถ็ าวา กลาวแลว อยางนแ้ี ลว อาจารยวติ ณั ฑวาทนี ้ันยังกําหนด ไมไดก็ควรอธบิ าย แมดวยโคตภู อธบิ ายอยา งไร ? คอื วา พงึ ถามอาจารยวติ ัณ-ฑวาทอี ยา งนีก้ อ นวา ทานกลา ววา ชอ่ื วา โคตรภูมีอยูหรอื อาจารยวิตณั ฑวาทีกจ็ ะตอบวา ใชผมยอ มกลา วดงั นี้ แลว จงึ กลา วกะอาจารยวติ ัณฑวาทวี า ในขณะแหงโคตรภู กเิ ลสท้ังหลายสิ้นไปแลว หรือกาํ ลังสน้ิ หรือจกั สิ้น ดงั น้ี.

พระอภธิ รรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 184อาจารยว ติ ัณฑวาทกี จ็ ะกลาววา กเิ ลสทัง้ หลายยงั ไมสิ้นไป มิใชกาํ ลังส้ินไป ก็แตวา จักสนิ้ ไป ดงั น.ี้ ถามอีกวา ก็โคตรภมู อี ะไรเปนอารมณ ตอบวา มีนิพพานเปนอารมณ. ในขณะโคตรภูของทา น กิเลสท้งั หลายยังไมสน้ิ ไป มิใชกาํ ลังสิน้ โดยท่ีแทจกั สิน้ เมื่อกเิ ลสท้ังหลายยงั ไมสิ้นไป ทานยอ มบัญญตั คิ วามสิน้ ไปแหง กเิ ลสวาเปนนพิ พาน เมือ่ ยังไมไ ดล ะอนุสยั ทานยอมบัญญัติการละอนสุ ยั วาเปน นพิ พาน คาํ นนั้ ๆ ของทานไมสมกนั . กค็ ําอยา งนี้ อาจารยวิตัณฑวาทีกย็ ังไมเอา กจ็ ะตองกลาววา กเิ ลสท้งัหลายมรี าคะเปน ตน สิน้ ไปเพราะอาศัย พระนพิ พาน เพราะฉะน้ัน พระนิพพานจงึ มอี ยา งเดยี ว คอื ความสนิ้ ราคะ ความสนิ้ โทสะ ความสิน้ โมหะ ความสิน้อกุศลมลู เหลานแ้ี มท ั้ง ๓ เปน ชือ่ ของพระนพิ พาน ทา นจงถอื เอาอยางนี.้ ก็ถา เขากลา วแมอยางน้ี อาจารยว ติ ัณฑวาทกี ย็ งั กําหนดไมไ ด กค็ วรทาํ อธบิ าย ดว ยมรรค อธิบายอยางไง ? คือพงึ ถามทา นอาจารยวติ ณั ฑวาทีอยา งนก้ี อนวา ทานกลา วชอ่ื วา มรรค หรือ ? ทา นก็จะตอบวา ใช เรายอมกลาวดงั นี.้ ถามอีกวา ในขณะแหงมรรค กเิ ลสทง้ั หลายสนิ้ ไปแลว หรือกําลังสิ้น หรือจกั สน้ิ ดงั นี้. เมือ่ อาจารยวิตัณฑวาทรี ูกจ็ ักตอบวา ในขณะแหง มรรคไมควรจะกลาววา กเิ ลสทั้งหลายส้ินแลว หรือวา จักส้ิน แตควรจะกลา ววา กเิ ลสทั้งหลายกําลังสน้ิ ไป ดงั นี้. กค็ วรใหท านอาจารยว ิตณั ฑวาทีวา ถา หากวา พระนพิ พานชนิดไหนยังกิเลสใหส้นิ ไปมีอยูแ กม รรคอยางนี้ กิเลสท่ีสนิ้ ไปอยา งไหน มีอยดู วยมรรคอยางนไ้ี ซร ก็มรรคกระทาํ พระนพิ พานอนั ไหนซึ่งยงั กเิ ลสใหสิน้ ไปใหเปน

พระอภธิ รรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 185อารมณ แลว ยังกเิ ลสเหลาไหนใหส้ินไปเลา เพราะฉะนน้ั ทานอยาถือเอาอยา งนี้เลย กก็ เิ ลสมรี าคะเปน ตน สิ้นไปเพราะอาศยั พระนพิ พาน เพราะฉะนน้ั จะตอ งกลาววา พระนิพพานมีอยางเดยี วเทานน้ั คือ ความสิน้ ราคะ ความสนิ้ โทสะความสิ้นโมหะ แมอ กุศลมูลที่สิน้ ไปท้ัง ๓ เหลา นั้นก็เปน ชอื่ ของพระนิพพานเทานน้ั ดงั น้.ี คร้ันกลา วอยางนี้แลว ก็กลา วกะอาจารยวิตัณฑวาทนี ้ันอยา งนี้วา ทานยอมกลา ววา อาศัย อาศยั ดงั นห้ี รอื ? อาจารยว ิตณั ฑวาทีก็จะพดู วา ใชกระผมยอมกลาว ดงั นี้. ถามอกี วา คาํ วา ชอื่ วา อาศัย ดงั น้ี นีท้ า นไดม าจากไหน ทานก็จะตอบวา ไดม าจากสูตร. ขอทา นจงนําสูตรมา. จงึ นาํ สตู รมาวา อวิชชา และตัณหาอาศยั พระนิพพานแลว หกั ไปในพระนพิ พานน้ัน สิ้นไปในนพิ พานนัน้ จะไมถ งึ ความเปนอะไร ๆ ในท่ีไหน ๆ เมอ่ื กลา วอยางน้แี ลวปรวาที (ผมู ีวาทะในลทั ธิภายนอกพระศาสนา) กจ็ ะถึงความเปน ผูดุษณีภาพแล. แมใ นอภิธรรมภาชนยี น ้ี อายตนะ ๑๐ เปน กามาพจร สว นอายตนะ๒ พึงทราบวา เปนไปในภมู ิ ๔ คอื ระคนกนั ท้งั โลกิยะและโลกุตระ ฉะนแ้ี ล. วรรณรา อภธิ รรมภาชนยี  จบ

พระอภิธรรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 186 ปญหาปจุ ฉกะ [๑๐๑] อายตนะ ๑๒ คอื ๑. จกั ขายตนะ ๒. รปู ายตนะ ฯลฯ ๑๑. มนายตนะ ๑๒. ธรรมายตนะ. ตกิ มาติกาปุจฉา ทกุ มาตกิ าปุจฉา บรรดาอายตนะ ๑๒ อายตนะไหนเปน กศุ ล อายตนะไหนเปน อกุศลอายตนะไหนเปนอพั ยากฤต ฯลฯ อายตนะไหนเปนสรณะ. อายตนะไหนเปนอรณะ. ตกิ มาตกิ าวิสชั นา [๑๐๒] อายตนะ ๑๐ (คอื โอฬาริกายตนะ ๑๐) เปน อัยพากฤตอายตนะ ๒ (คือ มนายตนะ ธรรมายตนะ) เปน กศุ ลก็มี เปนอกศุ ลกม็ ี เปนอัพยากฤตกม็ ี อายตนะ ๑๐ กลา วไมไดว า แมเ ปนสขุ เวทนาสมั ปยตุ แมเปนทุกขเวทนาสมั ปยุต แมเปน อทกุ ขมสขุ เวทนาสัมปยตุ มนายตนะ เปน สขุ เวทนาสัมปยตุ ก็มี เปน ทุกขเวทนาสมั ปยตุ ก็มี เปนอทกุ ขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มีธรรมายตนะเปนสุขเวทนาสมั ปยุตก็มี เปน ทกุ ขเวทนาสมั ปยตุ ก็มี เปน อทุกขม-สุขเวทนาสมั ปยตุ กม็ ี กลาวไมไดวา แมเ ปน สุขเวทนาสมั ปยุต แมเปน ทุกข-เวทนาสมั ปยตุ แมเ ปน อทุกขมสุขเวทนาสมั ปยุตกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปน เนว-

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 187วปิ ากนวิปากธมั มธรรม อายตนะ ๒ เปน วิบากก็มี เปน วปิ ากธัมมธรรมกม็ ีเปน เนววปิ ากนวปิ ากธัมมธรรมก็มี อายตนะ ๕ เปนอปุ าทินนปุ าทานยิ ะ สัททายตนะ เปน อนุปาทินน-ุปาทานิยะ อายตนะ ๔ เปนอปุ าทนิ นปุ าทานยิ ะกม็ ี เปนอนปุ าทินนุปาทานยิ ะก็มี เปนอนุปาทนิ นานปุ าทานิยะก็มี อายตนะ ๒ เปนอุปาทินนุปาทานยิ ะกม็ ีเปนอนปุ าทินนุปาทนยิ ะกม็ ี เปนอนุปาทนิ นานุปาทานยิ ะก็มี อายตนะ ๑๐เปน อสงั กสิ ิฏฐสงั กเิ ลสิกะ อายตนะ ๒ เปน สงั กลิ ฏิ ฐสังกเิ ลสิกะกม็ ี เปน อสงั -กิลิฏฐสังกเิ ลสิกะกม็ ี เปน อสังกิลิกฐาสงั กิเลสิกะก็มี อายตนะ ๑๐ เปนอวิตักกา-วิจาระ มนายตนะ เปน สวติ กั กสวิจาระก็มี เปน อวติ กั กวจิ ารมัตตะก็มี เปนอวิตกั กาวจิ าระกม็ ี ธรรมายตนะ เปนสวติ ักกสวิจาระก็มี เปน อวติ กั กวิจารมตั ตะก็มี เปนอวติ ักกาวิจาระกม็ ี กลาวไมไดว า แมเ ปน สวติ ักกสวิจาระ แมเปนอวติ ักกวจิ ารมตั ตะ แมเปน อวิตักกาวิจาระก็มี อายตนะ ๑๐ กลา วไมไ ดว า แมเปน ปต สิ หคตะ แมเปน สขุ สหคตะ แมเปน อเุ ปกขาสหคตะ อายตนะ ๒ เปนปติสหคตะกม็ ี เปนสขุ สหคตะกม็ ี เปน อเุ ปกขาสหคตะก็มี กลา วไมไดวา แมเปนปต สิ หคตะ แมเ ปน สุขสหคตะ แมเปนอเุ ปกขาสหคตะก็มี อายตนะ ๑๐เปนเนวทัสสนนภาวนาปหาตพั พะ อายตนะ ๒ เปนทสั สนปหาตพั พะกม็ ี เปนภาวนาปหาตพั พะกม็ ี เปนเนวทสั สนนภาวนาปหาตพั พะก็มี อายตนะ ๑๐ เปนเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตกุ ะ อายตนะ ๒ เปนทัสสนปหาตพั พเหตกุ ะก็มีเปนภาวนาปหาตัพพเหตกุ ะก็มี เปนเนวทัสสนนภาวนาปหาตัพพเหตุกะกม็ ีอายตนะ ๑๐ เปนเนวาจยคามนี าปจยคามี อายตนะ ๒ เปนอาจยคามีก็มี เปนอปจยคามกี ็มี เปน เนวาจยคามีนาปจยคามกี ็มี อายตนะ ๑๐ เปน เนวเสกขนา-

พระอภิธรรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 188เสกขะ อายตนะ ๒ เปน เสกขะก็มี เปน อเสกขะกม็ ี เปนเนวเสกขนาเสกขะก็มีอายตนะ ๑๐ เปน ปริตตะ อายตนะ ๒ เปน ปรติ ตะกม็ ี เปนมหัคคตะกม็ ี เปนอัปปมาณะก็มี อายตนะ ๑๐ เปน อนารมั มณะ อายตนะ ๒ เปน ปรติ ตารัมมณะก็มี เปน มหคั คตารัมมณะกม็ ี เปน อปั ปมาณารมั มณกม็ ี กลา วไมไ ดวา แมเปน ปรติ ตารัมมณะ แมเปนมหัคคตารัมมณะ แมเปน อัปปมาณารมั มณะก็มีอายตนะ ๑๐ เปน มชั ฌิมะ อายตนะ ๒ เปนหนี ะกม็ ี เปนมชั ฌมิ ะก็มี เปนปณตี ะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปน อนิยตะ อายตนะ ๒ เปน มิจฉัตตนยิ ตะกม็ ี เปนสมั มตั ตนิยตะก็มี เปน อนิยตะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนอนารัมมณะ อายตนะ ๒เปน มัคคารัมมณะกม็ ี เปน มคั คเหตุกะกม็ ี เปนมคั คาธปิ ตกิ ม็ ี กลา วไมไดวาแมเปนมัคคารมั มณะ แมเ ปนมคั คาธปิ ติกม็ ี อายตนะ ๕ เปน อุปปน นะกม็ ี เปนอุปปาทีก็มี กลาวไมไ ดว า เปนอนุปปนนะ สทั ทายตนะ เปนอุปปนนะก็มี เปน อนุปปนนะก็มี กลาวไมไดวา เปนอุปปาที อายตนะ ๕ เปนอปุ ปนนะก็มี เปน อนุปปน นะก็มี เปนอุปปาทกี ม็ ี ธรรมายตนะ เปนอปุ ปนนะกม็ ี เปน อนุปปนนะก็มี เปนอุปปาทีกม็ ี กลาวไมไ ดวา แมเ ปนอปุ ปนนะ แมเปน อนปุ ปนนะ แมเ ปน อุปปาทกี ็มีอายตนะ ๑๑ เปนอดีตกม็ ี เปน อนาคตกม็ ี เปนปจ จบุ ันก็มี ธรรมายตนะ เปนอดตี กม็ ี เปนอนาคตก็มี เปนปจ จุบนั ก็มี กลา วไมไดว า แมเปน อดีต แมเปนอนาคต แมเ ปน ปจ จบุ ันก็มี อายตนะ ๑๐ เปน อนารัมมณะ อายตนะ ๒เปนอตีตารัมมณะก็มี เปน อนาคตารมั มณะกม็ ี เปนปจ จุปปนนารมั มณะกม็ ีกลา วไมไ ดว า แมเปน อตีตารมั มณะ แมเ ปนอนาคตารัมมณะ แมเปนปจจปุ -ปนนารมั มณะกม็ ี อายตนะ ๑๒ เปนอัชฌัตตะก็มี เปนพหิทธาก็มี เปน

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 189อชั ฌตั ตพหิทธากม็ ี อายตนะ ๑๐ เปน อนารมั มณะ อายตนะ ๒ เปน อัชฌตั ตา-รมั มณะก็มี เปนพหทิ ธารัมมณะก็มี เปน อชั ฌตั ตพหิทธารมั มณะกม็ ี กลาวไมไดว า แมเ ปน อัชฌตั ตารมั มณะ แมเปนพหิทธารมั มณะ แมเ ปน อชั ฌัตต-พหทิ ธารมั มณะก็มี รูปายตนะ เปนสนทิ สั สนสปั ปฏิฆะ อายตนะ ๙ เปนอนิทสั สนสปั ปฏิฆะ อายตนะ ๒ เปน อนทิ สั สนอัปปฏฆิ ะ. ทกุ มาตกิ าวิสัชนา ๑. เหตโุ คจฉกวิสัชนา [๑๐๓] อายตนะ ๑๑ เปน นเหตุ ธรรมายตนะ เปน เหตุกม็ ี เปนนเหตุก็มี อายตนะ ๑๐ เปน อเหตุกะ อายตนะ ๒ เปน สเหตกุ ะกม็ ี เปนอเหตกุ ะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปน เหตวุ ิปปยุต อายตนะ ๒ เปน เหตุสมั ปยุตก็มีเปน เหตวุ ปิ ปยุตกม็ ี อายตนะ ๑๐ กลาวไมไดว า แมเปน เหตสุ เหตุกะ แมเ ปนสเหตกุ นเหตุ มนายตนะ กลา วไมไดว า เปนเหตุสเหตุกะ เปนสเหตกุ นเหตุก็มี กลาวไมไดวา เปน สเหตุกนเหตกุ ็มี ธรรมายตนะ เปน เหตสุ เหตกุ ะกม็ ีเปนสเหตกุ นเหตุกม็ ี กลาวไมไ ดว า แมเปนเหตสุ เหตกุ ะ แมเปนสเหตุกนเหตุก็มี อายตนะ ๑๐ กลาวไมไ ดวา แมเ ปนเหตเุ หตสุ มั ปยุต แมเปนเหตสุ ัมป-ยตุ ตนเหตุ มนายตนะ กลาวไมไดว า เปนเหตเุ หตุสมั ปยตุ เปน เหตสุ มั ปตุตนเหตกุ ็มี กลาวไมไ ดวา เปน เหตุสัมปยุตตนเหตกุ ม็ ี ธรรมายตนะ เปนเหตุเหตุสัมปยตุ กม็ ี เปน เหตสุ มั ปยุตตนเหตกุ ม็ ี กลาวไมไ ดว า แมเปน เหตุเหตุสัมปยุต แมเปนเหตุสัมปยตุ ก็มี อายตนะ ๑๐ เปนนเหตอุ เหตกุ ะมนายตนะ เปนนเหตสุ เหตุกะกม็ ี เปน นเหตุอเหตกุ ะก็มี ธรรมายตนะ เปน

พระอภิธรรมปฎก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 190นเหตุสเหตุกะก็มี เปน นเหตุอเหตุกะก็มี กลาวไมไ ดว า แมเ ปน นเหตุสเหตกุ ะแมเปน นเหตอุ เหตุกะกม็ ี. ๒. จูฬันตรทกุ วสิ ชั นา [๑๐๔] อายตนะ ๑๑ เปนสัปปจจยะ ธรรมายตนะ เปน สัปปจ จยะกม็ ี เปนอปั ปจ จยะกม็ ี อายตนะ ๑๑ เปน สงั ขตะ ธรรมายตนะ เปน สังขตะกม็ ี เปน อสังขตะกม็ ี อายตนะ ๑๑ เปนอนิทสั สนะ รปู ายตนะ เปนสนทิ ัสสนะอายตนะ ๑๐ เปน สปั ปฏิฆะ อายตนะ ๒ เปนอปั ปฏิฆะ อายตนะ ๑๐ เปนรปูมนายตนะ เปน อรปู ธรรมายตนะ เปนรูปกม็ ี เปน อรปู ก็มี อายตนะ๑๐เปน โลกิยะ อายตนะ ๒ เปน โลกิยะก็มี เปนโลกุตระกม็ ี อายตนะ ๑๒เปน เกนจวิ ิญเญยยะ เปนเกนจนิ วิญเญยยะ. ๓. อาสวโคจฉกวสิ ัชนา [๑๐๕] อายตนะ ๑๑ เปน โนอาสวะ ธรรมายตนะ เปน อาสวะกม็ ีเปนโนอาสวะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนสาสวะ อายตนะ ๒ เปน สาสวะกม็ ีเปน อนาสวะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปน อาสววิปปยตุ อายตนะ ๒ เปนอาสว-สมั ปยุตก็มี เปน อาสววปิ ปยุตก็มี อายตนะ ๑๐ กลาวไมไดว า เปนอาสวสาสวะเปนสาสวโนอาสวะ มนายตนะ กลาวไมไ ดวา เปน อาสวสาสวะ เปนสาสวโนอาสวะกม็ ี กลาวไมไดวา เปนสาสวโนอาสวะก็มี ธรรมายตนะ เปนอาสวสาสวะกม็ ี เปนสาสวโนอาสวะก็มี กลาวไมไดว า แมเปนอาสวสาสวะแมเปนสาสวโนอาสวะก็มี อายตนะ ๑๐ กลาวไมไดวา แมเ ปนอาสวอาสวสัมปยุต แมเปน อาสวสัมปยุตตโนอาสวะ มนายตนะ กลาวไมไ ดวา เปน

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 191อาสวอาสวสมั ปยุต เปน อาสวสัมปยุต โนอาสวะกม็ ี กลา วไมไ ดว า เปนอาสวสมั ปยุตตโนอาสวะก็มี ธรรมายตนะ เปน อาสวอาสวสัมปยตุ กม็ ี เปนอาสวสัมปยตุ ตโนอาสวะก็มี กลา วไมไดว า แมเปนอาสวอาสวสมั ปยตุ แมเปนอาสวสมั ปยตุ ตโนอาสวะก็มี อายตนะ ๑๐ เปนอาสววิปปยตุ ตสาสวะ อายตนะ ๒เปน อาสววิปปยตุ ตสาสวะกม็ ี เปนอาสววิปยุตตอนาสวะกม็ ี กลาวไมไดว าแมเปนอาสววปิ ปยตุ ตสาสวะ แมเ ปนอาสววิปปยุตตอนาสวะกม็ .ี ๔. สญั โญชนโคจฉกวสิ ชั นา [๑๐๖] อายตนะ ๑๑ เปนโนสัญโญชนะ ธรรมายตนะ เปน สัญโญชนะกม็ ี เปนโนสัญโญชนะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปน สัญโญชนิยะ อายตนะ ๒ เปนสัญโญชนยิ ะก็มี เปน อสัญโญชนิยะก็มี อายตนะ ๑๐ เปน สัญโญชนวิปปยุตอายตนะ ๒ เปน สญั โญชนสมั ปยุตกม็ ี เปนสัญโญชนวปิ ปยุตกม็ ี อายตนะ ๑๐กลาวไมไดวา เปน สญั โญชนสัญโญชนิยะ เปนสัญโญชนิยโนสญั โญชนะมนายตนะ กลา วไมไ ดว า เปนสัญโญชนสัญโญชนิยะ เปน สญั โญชนิยโน-สัญโญชนะกม็ ี กลา วไมไดวา เปน สญั โญชนิยโนสัญโญชนะก็มี ธรรมายตนะเปน สญั โญชนสัญโญชนิยะก็มี เปน สญั โญชนิยโนสญั โญชนะก็มี กลา วไมไ ดวาแมเ ปนสญั โญชนสญั โญชนยิ ะ แมเ ปนสญั โญชนิยโนสญั โญชนะกม็ ี อายตนะ ๑๐กลา วไมไดว า แมเ ปน สัญโญชนสญั โญชนสมั ปยุต แมเ ปน สญั โญชนสมั ปยตุ ต-โนสญั โญชนะ มนายตนะ กลา วไมไดว า เปน สญั โญชนสญั โญชนสมั ปยตุเปน สญั โญชนสัมปยตุ ตโนสญั โญชนะก็มี กลาวไมไดว า เปน สญั โญชนสมั ป-ยตุ ตโนสัญโญชนะกม็ ี ธรรมายตนะ เปน สัญโญชนสัญโญชนสมั ปยตุ ก็มี เปนสญั โญชนสมั ปยุตตโนสญั โญชนะก็มี กลาวไมไดวา แมเปนสัญโญชนสัญโญชน

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 192สัมปยุต แมเ ปนสญั โญชนสัมปยุตตโนสญั โญชนะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนสัญโญชนวปิ ปยตุ ตสัญโญชนิยะ อายตนะ ๒ เปนสัญโญชนวิปปยุตตสัญโญชนยิ ะกม็ ี เปนสัญโญชนวิปปยตุ ตอสัญโญชนิยะก็มี กลา วไมไ ดวา แมเ ปนสญั โญชนวิปปยุคตตสญั โญชนยิ ะ แมเ ปนสัญโญชนวิปปยตุ ตอสัญโญชนยิ ะกม็ .ี ๕. คนั ถโตจฉกวสิ ชั นา [๑๐๗] อายตนะ ๑๑ เปนโนคนั ถะ ธรรมายตนะ เปน คันถะก็มีเปนโนคันถะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนคนั ถนยิ ะ อายตนะ ๒ เปน คนั ถนิยะก็มีเปนอคันถนยิ ะก็มี อายตนะ ๑๐ เปน คันถวิปปยตุ อายตนะ ๒ เปนคนั ถ-สัมปยุตกม็ ี เปนคันถวปิ ปยตุ ก็มี อายตนะ ๑๐ กลาวไมไดว า เปนคันถคนั ถนิยะเปนคันถนยิ โนคันถะ มนายตนะ กลาวไมไดวา เปน คันถคนั ถนิยะ เปนคันถนิยโนคนั ถะก็มี กลา วไมไ ดว า เปน คันถนยิ โนคันถะก็มี ธรรมายตนะเปนคันถคันถนิยะกม็ ี เปนคันถนยิ โนคนั ถะกม็ ี กลาวไมไดว า แมเ ปนคันถคันถนยิ ะ แมเ ปน คันถนิยโนคันถะก็มี อายตนะ ๑๐ กลา วไมไ ดวา แมเปนคันถคนั ถสัมปยตุ แมเ ปน คันถสมั ปยุตตโนคนั ถะ มนายตนะ กลาวไมไดว าเปน คนั ถคันถสมั ปยตุ เปนคันถสัมปยตุ ตโนคนั ถะกม็ ี กลา วไมไ ดว า เปนคนั ถสมปั ยตุ ตโนคนั ถะกม็ ี ธรรมายตนะ เปนคันถคนั ถสัมปยุตก็มี เปนคันถสัมปยุตตโนคนั ถะกม็ ี กลาวไมไ ดวา แมเปนคนั ถคนั ถสมั ปยุต แมเปน คนั ถสัมปยตุ ตโนคันถะก็มี อายตนะ เปนคันถวิปปยุตตคันถนิยะ อายตนะ ๒เปนคนั ถวิปปยุตตคันถนยิ ะกม็ ี เปน คันถวปิ ปยตุ ตอคันถนิยะกม็ ี กลา วไมไดวาแมเปนคันถวิปปยุตตคันถนยิ ะ แมเ ปน คันถวิปปยตุ ตอคันถนิยะก็มี.

พระอภธิ รรมปฎ ก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 193 ๖.๗.๘ โอฆโคจฉกกาทิวสิ ัชนา [๑๐๘] อายตนะ ๑๑ เปน โนโอฆะ ฯลฯ อายตนะ ๑๑ เปน โนโยคะฯลฯ อายตนะ ๑๐ เปนโนนวี รณะ ธรรมายตนะ เปน นวี รณะก็มี เปนโนนวี รณะก็มี อายตนะ ๑๐ เปนนีวรณยิ ะ อายตนะ ๒ เปนนีวรณยิ ะกม็ ีเปน อนีวรณิยะก็มี อายตนะ ๑๐ เปน นีวรณวิปปยุต อายคนะ ๒ เปน นีวรณสมั ปยุตก็มี เปนนวี รณวปิ ปยตุ ก็มี อายตนะ ๑๐ กลาวไมไดวา เปนนวี รณ-นวี รณิยะ เปน นีวรณิยโนนวี รณะ มนายตนะ กลา วไมไดว า เปนนีวรณนีวรณิยะเปนนีวรณิยโนนวี รณะกม็ ี กลา วไมไ ดว า เปนนีวรณยิ โนนีวรณะกม็ ีธรรมายตนะ เปน นวี รณนีวรณิยะกม็ ี เปนนีวรณิยโหนวี รณะก็มี กลาวไมไ ดวาแมเปน นวี รณนวี รณยิ ะ แมเปน นีวรณยิ โนนวี รณะก็มี อายตนะ ๑๐ กลาวไมไ ดว า แมเปนนวี รณนวี รณสัมปยตุ แมเปนนีวรณสมั ปยตุ ตโนนีวรณะมนายตนะ กลาวไมไ ดว า เปน นีวรณนีวรณสัมปยตุ เปนนวี รณสัมปยตุ ต-โนนีวรณะกม็ ี กลา วไมไ ดวา เปนนวี รณสมั ปยตุ ตโนนีวรณะก็มี ธรรมายตนะเปนนีวรณนีวรณสมั ปยตุ กม็ ี เปน นวี รณสัมปยตุ ตโนนวี รณะกม็ ี กลา วไมไ ดวาเปน นวี รณนวี รณสัมปยตุ แมเปน นีวรณสัมปยตุ ตโนนีวรณะกม็ ี อายตนะ ๑๐เปนนีวรณวปิ ปยุตตนีวรณยิ ะ อายตนะ ๒ เปนนวี รณวปิ ปยตุ ตนวี รณิยะกม็ ีเปน นีวรณวปิ ปยคุ ตตอนีวรณิยะกม็ ี กลาวไมไ ดวา แมเปน นีวรณวปิ ปยตุ ตนีวรณยิ ะ แมเปนนีวรณวิปปยุตตอนวี รณยิ ะกม็ ี. ๙. ปรามาสโคจฉกวิสชั นา [๑๐๙] อายตนะ ๑๑ เปน โนปรามาสะ ธรรมายตนะ เปนปรามาสะกม็ ี เปน โนปรามาสะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปน ปรามฏั ฐะ อายตนะ ๒ เปน

พระอภธิ รรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 194ปรามัฏฐะก็มี เปนอปรามัฏฐะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนปรามาสวปิ ปยุต มนายตนะเปน ปรามาสสมั ปยุตกม็ ี เปนปรามาสวปิ ปยุตกม็ ี ธรรมายตนะ เปน ปรามาสสัมปยตุ กม็ ี เปนปรามาสวปิ ปยตุ ก็มี กลาวไมไ ดว า แมเปน ปรามาสสัมปยุตแมเ ปน ปรามาสวปิ ปยตุ กม็ ี อายตนะ ๑๐ กลาวไมไดวา เปนปรามาสปรามฏั ฐะเปน ปรามฏั ฐโนปรามาสะ มนายตนะ กลา วไมไ ดว า เปน ปรามาสปรามฏั ฐะเปนปรามฏั ฐโนปรามาสะก็มี กลาวไมไ ดวา เปนปรามฏั ฐโนปรามาสะก็มีธรรมายตนะ เปนปรามาสปรามัฏฐะกม็ ี เปน ปรามฏั ฐโนปรามาสะกม็ ี กลา วไมไ ดว า แมเปนปรามาสปรามฏั ฐะ แมเ ปน ปรามัฏฐโนปรามาสะก็มี อายตนะ ๑๐เปน ปรามาลวิปปยุตตปรามัฏฐะ อายตนะ ๒ เปน ปรามาสวิปปยตุ ตปรามัฏฐะก็มี เปน ปรามาสวปิ ปยุตตปรามฏั ฐะกม็ ี กลาวไมไ ดว า แมเ ปน ปรามาส-วิปปุยตุ ตปรามฏั ฐะ แมเ ปนปรามาสวิปปยตุ ตอปรามัฏฐะกม็ .ี ๑๐. มหันตรทกุ วสิ ัชนา [๑๑๐] อายตนะ ๑๐ เปนอนารัมมณะ มนายตนะ เปนสารมั มณะธรรมายตนะ เปนสารมั มณะกม็ ี เปนอนารมั มณะก็มี มนายตนะ เปน จติ ตะอายตนะ ๑๑ เปนโนจิตตะ อายตนะ ๑๑ เปน อเจตสิกะ ธรรมายตะ เปนเจตสิกะก็มี เปน อเจตสิกะก็มี อายตนะ ๑๐ เปน จติ ตวิปปยุต ธรรมายตนะเปนจติ ตสัมปยุตกม็ ี เปน จิตตวิปปยตุ ก็มี มนายตนะ กลา วไมไดว า แมเ ปนจิตตสัมปยตุ แมเ ปน จิตตวิปปยุต อายตนะ ๑๐ เปนจิตตวสิ ังสฏั ฐะ ธรรมายตนะเปนจิตตสงั สฏั ฐะก็มี เปนจิตตวสิ งั สัฏฐะก็มี มนายตนะ กลาวไมไ ดว า แมเปน จติ ตสงั สัฏฐะ แมเปน จิตตวิสงั สัฏฐะ อายตนะ ๖ เปนโนจิตตสมฏุ ฐานะอายตนะ ๖ เปน จติ ตสุฏฐะกม็ ี เปนโนจิตตสมุฏฐานะกม็ ี อายตนะ ๑๑

พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 195เปน โนจติ ตสหภู ธรรมายตนะ. เปนจิตตสหภูก็มี เปนโนจติ ตสหภกู ม็ ีอายตนะ ๑๑ เปนโนจติ ตานปุ รวิ ัตติ ธรรมายตนะ เปนจติ ตานุปริวตั ตกิ ็มี เปนโนจติ ตานุปริวัตตกิ ม็ ี อายตนะ ๑๑ เปน โนจติ ตสังสฏั ฐสมุฏฐานะ ธรรมายตนะเปน จติ ตสงั สฏั ฐสมฏุ ฐานะก็มี เปนโนจติ ตสังสฏั ฐสมุฏฐานะกม็ ี อายตนะ ๑๑เปน โนจติ ตสงั สัฉฐสมฏุ ฐานสหภู ธรรมายตนะ เปน จติ ตสงั สัฏฐสมุฏฐานสหภูกม็ ีเปน โนจติ ตสงั สัฏฐสมฏุ ฐานสหภูก็มี อายตนะ ๑๑ เปน โนจิตตสงั สฏั ฐสมุฏฐา-นานุปริวัตติ ธรรมายตนะ เปน นจติ ตสงั สัฏฐสมฏุ ฐานานปุ รวิ ัตติกม็ ี เปนโน-จติ ตสงั สฏั ฐสมฏุ ฐานุปริวัตตกิ ม็ ี อายตนะ ๖ เปนอัชฌตั ติกะ อายตนะ ๖ เปนพาหิระ อายตนะ ๙ เปนอุปาทา อายตนะ ๒ เปน นอปุ าทา ธรรมายตนะเปนอปุ าทากม็ ี เปนนอุปาทาก็มี อายตนะ ๕ เปนอปุ าทินนะ สทั ทายตนะเปอนปุ าทนิ นะ อายตนะ ๖ เปน อุปาทินนะกม็ ี เปน อนปุ าทินนาก็ม.ี ๑๑. อปุ าทานโคจฉกวสิ ัชนา [๑๑๑] อายตนะ ๑๑ เปน นอปุ าทานะ ธรรมายตนะ เปน อปุ าทานะกม็ ี เปน นอปุ าทานะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนอปุ าทานยิ ะ อายตนะ ๒ เปนอปุ าทานยิ ะก็มี เปน อนุปาทานยิ ะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนอุปาทานวปิ ปยุตอายตนะ ๒ เปน อปุ าทานสัมปยตุ ก็มี เปน อปุ าทานวิปปยตุ กม็ ี อายตนะ ๑๐กลาวไมไดว า เปนอปุ าทานอุปาทานยิ ะ เปน อปุ าทานิยโนอุปาทานะ มนายตนะกลาวไมไดว า เปนอปุ าทานอุปาทานิยะ เปน อุปาทานิยโนอุปาทานะกม็ ี กลาวไมไ ดว า เปน อปุ าทานิยโนอปุ าทานะกม็ ี ธรรมายตนะ เปน อปุ าทานอุปาทานยิ ะกม็ ี เปนอปุ าทานิยโนอุปาทานะกม็ ี กลา วไมไ ดว า แมเ ปนอปุ าทานอปุ าทานิยะแมเ ปนอุปาทานิยโนอุปาทานะก็มี อายตนะ ๑๐ กลาวไมไดวา แมเ ปน

พระอภิธรรมปฎก วภิ งั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 196อปุ าทานอุปาทานสัมปยตุ แมเ ปน อุปาทานสมั ปยุตตโนอุปาทานะ มนายตนะกลา วไมไดวา เปนอปุ าทานอุปาทานสมั ปยุต เปน อปุ าทานสมั ปยตุ ตโนอุปาทานะก็มี กลาวไมไ ดวา เปน อุปาทานสัมปยุตตโนอปุ าทานะก็มี ธรรมายตนะ เปนอปุ าทานอปุ าทานสมั ปยตุ กม็ ี เปนอุปทานสัมปยุตตโนอุปาทานะกม็ ี กลาวไมไดวา แมเปน อปุ าทานอปุ าทานสมั ปยุต แมเปนอุปาทานสมั ปยุตตโนอุปาทานะกม็ ีอายตนะ ๑๐ เปนอปุ าทานวิปปยุตตอุปาทานิยะ อายตนะ ๒ เปน อปุ าทานวปิ ป-ยุตตอปุ าทานิยะก็มี เปน อุปาทานวปิ ปยตุ ตอนุปาทานิยะกม็ ี กลาวไมไ ดวาแมเปน อุปาทานวิปปยุตตอปุ าทานิยะ แมเ ปนอปุ าทานวปิ ปยตุ ตอนปุ าทานิยะก็มี. ๑๒. กเิ ลสโคจฉกวสิ ัชนา [๑๑๒] อายตนะ ๑๑ เปนโนกเิ ลสะ ธรรมายตนะ เปนกเิ ลสะก็มี เปนโนกเิ ลสะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนสงั กเิ ลสิกะ อายตนะ ๒ เปนสงั กิเลสิกะก็มี เปนอสังกิเลสกิ ะก็มี อายตนะ ๑๐ เปนอสงั กลิ ฏิ ฐะ อายตนะ ๒ เปนสังกลิ ฏิ ฐะก็มีเปน อสงั กลิ ฏิ ฐก็มี อายตนะ ๑๐ เปนกิเลสวิปปยตุ อายตนะ ๒ เปนกิเลสสมั ป-ยตุ ก็มี เปนกิเลสวิปปยุตก็มี อายตนะ ๑๐ กลาวไมไ ดว า เปน กิเลสสังกเิ ลสิกะเปนสงั กิเลสกิ โนกิเลสะ มนายตนะ กลาวไมไดว า เปน กเิ ลสสังกิเลสิกะ เปนสงั กิเลสกิ โนกเิ ลสะก็มี กลาวไมไดวา เปน สังกเิ ลสกิ โนกิเลสะกม็ ี ธรรมายตนะเปน กิเลสสงั กิเลสกิ ะกม็ ี เปนสังกเิ ลสิกโนกิเลสะกม็ ี กลา วไมไดวา แมเปนกเิ ลสสงั กเิ ลสกิ ะ แมเปนสังกเิ ลสกิ โนกเิ ลสะกม็ ี อายตนะ ๑๐ กลาวไมไดวาแมเปน กิเลสสังกิลิฏฐะ แมเปนสังกลิ ิฏฐโนกิเลสะ มนายตนะ กลาวไมไดวาเปน กเิ ลสสังกลิ ิฏฐะ เปน สังกิลิฏฐโนกเิ ลสะกม็ ี กลาวไมไ ดวา เปน สงั กิลิฏฐ-โนกิเลสะก็มี ธรรมายตนะ เปน กิเลสสงั กลิ ฏิ ฐะกม็ ี เปนสงั กิลกิ ฐโนกิเลสะกม็ ี

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาท่ี 197กลา วไมไ ดวา แมเปนกเิ ลสสงั กิลิฏฐะ แมเ ปน สังกลิ ฏิ ฐโนกเิ ลสะก็มี อายตนะ๑๐ กลาวไมไ ดว า แมเ ปน กิเลสกเิ ลสสัมปยตุ แมเ ปน กิเลสสัมปยตุ ตโนกิเลสะมนายตนะ กลาวไมไ ดว า เปน กเิ ลสกเิ ลสสมั ปยตุ เปนกิเลสสมั ปยุตตโนกิเลสกม็ ี กลาวไมไ ดว า เปนกิเลสสมั ปยตุ ตโนกเิ ลสะก็มี ธรรมายตนะ เปน กเิ ลสกเิ ลสสัมปยุตกม็ ี เปน กิเลสสัมปยุตตโนกเิ ลสะกม็ ี กลา วไมไ ดวา แมเ ปน กเิ ลสกิเลสสมั ปยุต แมเ ปน กิเลสสมั ปยุตตโนกเิ ลสะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนกเิ ลส-วิปปยตุ ตสงั กิเลสกิ ะ อายตนะ ๒ เปน กเิ สสวิปปยตุ ตสังกเิ ลสกิ ะก็มี เปนกิเลสวปิ ปยุตตอสงั กิเลสกิ ะก็มี กลา วไมไ ดวา แมเ ปนกิเลสวิปปยุตตสังกเิ ลสิกะแมเปน กิเลสวปิ ปยตุ ตอสงั กิเลสกิ ะกม็ .ี ๑๓. ปฏ ฐิทกุ วสิ ชั นา [๑๑๓] อายตนะ ๑๐ เปน นทัสสนปหาตพั พะ อายตนะ ๒ เปนทัสสนปหาตัพพะกม็ ี เปนนทัสสนปหาตัพพะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนนภาวนา-ปหาตพั พะ อายตนะ ๒ เปนภาวนาปหาตัพพะกม็ ี เปนนภาวนาปหาตัพพะก็มี อายตนะ ๒ เปนนทสั สนปหาตพั พเหตุกะ อายตนะ ๒ เปนทสั สนปหา-ตพั พเหตุกะกม็ ี เปนนทัสสนปหาตัพพเหตกุ ะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนนภาวนา-ปหาตพั พเหตกุ ะ อายตนะ ๒ เปนภาวนาปหาตัพพเหตกุ ะก็มี เปนนภาวนา-ปหาตพั พเหตกุ ะก็มี อายตนะ ๑๐ เปน อวิตกั กะ อายตนะ ๒ เปน สวติ ักกะกม็ ี เปนอวติ ักกะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนอวจิ าระ อายตนะ ๒ เปน สวิจาระกม็ ี เปน อวจิ าระก็มี อายตนะ ๑๐ เปน อัปปต ิกะ อายตนะ ๒ เปนสปั ปต ิกะก็มี เปน อปั ปติกะก็มี อายตนะ ๑๐ เปน นปต สิ หคตะ อายตนะ ๒ เปนปต ิสหคตะกม็ ี เปน นปต ิสหคตะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนนสุขสหคตะ อายตนะ ๒

พระอภธิ รรมปฎก วิภงั ค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ที่ 198เปน สขุ สหคตะก็มี เปน นสขุ สหคตะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปน นอเุ ปกขาสหคตะอายตนะ ๒ เปน อุเปกขาสหคตะกม็ ี เปนนอเุ ปกขาสหคตะก็มี อายตนะ ๑๐เปนกามาวจระ อายตนะ ๒ เปนกามาวจระก็มี เปนนกามาวจระกม็ ี อายตนะ๑๐ เปน นรปู าวจระ อายตนะ ๒ เปน รูปาวจระก็มี เปน นรูปาวจระก็มีอายตนะ ๑๐ เปนนอรปู าวจระ อายตนะ ๒ เปน อรูปาวจระกม็ ี เปนอรูปา-วจระกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปน ปริปน นะ อายตนะ ๒ เปน ปรยิ าปน นะกม็ ีเปนอปริยาปน นะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปน อนยิ ยานกิ ะ อายตนะ ๒ เปน นิยยา-นกิ ะกม็ ี เปนอนยิ ยานิกะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนอนิยตะ อายตนะ ๒ เปนนนิยตะก็มี เปน อนิยตะกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนสอุตตระ อายตนะ ๒ เปนสอุตตระก็มี เปน อนุตตระกม็ ี อายตนะ ๑๐ เปนอรณะ อายตนะ ๒ เปนสรณะก็มี เปนอรณะก็มี ฉะน้ีแล. ปญ หาปุจฉกะ จบ อายตนวภิ ังค จบบรบิ ูรณ วรรณนาปญหาทางปจุ ฉกะ ในปญหาปุจฉกะ แมในอายตนวิภังคนี้ อายตนะใดทีไ่ ด อายตนะใดท่ีไมไ ด พระองคต รัสถามอายตนะน้ันทัง้ หมดแลวทรงวิสชั นาดว ยสามารถแหงอายตนะทีไ่ ดเ ทา นนั้ มใิ ชแ ตในท่นี อี้ ยา งเดยี ว ในปญ หาปจุ ฉกะแมท้ังหมดก็นยั นแ้ี หละ.

พระอภธิ รรมปฎ ก วิภังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนาที่ 199 กใ็ นอายตนะทัง้ หมดในท่ีน้ี พึงทราบความทอ่ี ายตนะ ๑๐ เปนอพั ยา-กตะโดยความเปน รปู พงึ ทราบความที่อายตนะ ๒ เปนกศุ ลเปนตน เหมือนขนั ธ๔ ในขนั ธวภิ งั ค เพราะขนั ธ ๔ เปน ธรรมมีปจ จัยดว ยเปนสงั ขตะดวยทง้ั หมดทีเดียว แตธ รรมายตนะมาแลว วา พึงเปน อปจ จัยก็มี พึงเปน อสังขตะก็มี ดังนี้. อนึ่ง ในอารัมมณติกะ ธรรมายตนะเปน อนารมั มณะ คือ เปนสขุ ุมรปู ยอ มเขา กนั กบั สวนแหงอารมณท ่ีเปน นวตั ติตัพพารัมมณะ (อารมณทไ่ี มพงึ กลาว) กค็ วามแปลกกนั ในอายตนวิภังคน ี้ ดังน้ี คือ ธรรมายตนะนั้นแลเปน ธรรมไมม อี ารมณ และธรรมารมณทเ่ี ปนนวัตติตัพพารัมมณะ (คอื เปนอารมณท ก่ี ลาวไมได) โดยไมเปน ปริตตารมณเ ปน ตน. คาํ ท่เี หลือเปนเชนเดยี วกันทีเดยี ว. อายตนะ ๒ แมใ นทนี่ ี้ก็เหมอื นขันธ ๔ คือคําทัง้ หมดวา เมือ่ บุคคลผูมจี ิตยนิ ดี ผมู ีจิตประทุษรา ย ผมู ีจิตลมุ หลง ผูสํารวม ผูพิจารณา ผูเล็งเหน็มอี ยู ปรติ ตารมณะกป็ รารภกามาวจรธรรม ๕๕ เปนไป ดงั นี้ เปนเชน ดงั คาํทีก่ ลา วไวในขนั ธท ้งั หลาย ฉะนี้แล. อายตนวิภังคนเิ ทศ ที่ ๒ จบ

พระอภธิ รรมปฎก วภิ ังค เลม ๒ ภาค ๑ - หนา ท่ี 200 ๓. ธาตุวิภังค สุตตันตภาชนีย ธาตุ ๖ นัยท่ี ๑ [๑๑๔] ธาตุ ๖ คอื ๑. ปฐวธี าตุ ๒. อาโปธาตุ ๓. เตโชธาตุ ๔. วาโยธาตุ ๕. อากาสธาตุ ๖. วญิ ญาณธาตุ [๑๑๕] ในธาตุ ๖ นน้ั ปฐวีธาตุ เปนไฉน ? ปฐวธี าตุมี ๒ อยาง คือ ปฐวีธาตุภายใน ปฐวีธาตุภายนอก. ในปฐวธี าตุ ๒ อยางนัน้ ปฐวีธาตภุ ายใน เปน ไฉน ?ธรรมชาติท่แี ขง็ ธรรมชาติที่กระดา ง ความแข็ง ภาวะท่แี ข็ง เปนภายในเฉพาะคน เปนอุปาทินนรูปขา งใน ไดแ ก ผม ขน เลบ็ ฟน หนงัเนือ้ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก มา ม หวั ใจ ตับ พังผืด ไต ปอดไสใ หญ ไสนอ ย อาหารใหม อาหารเกา หรอื ธรรมชาติทแ่ี ข็ง ธรรมชาติทีก่ ระดาง ความแข็ง ภาวะทแี ขง็ เปน ภายในเฉพาะตน เปนอปุ าทินนรปูขางใน แมอื่นใดมีอยู นี้เรยี กวา ปฐวีธาตภุ ายใน. ปฐวธี าตภุ ายนอก เปน ไฉน ?


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook